ฝ่ายนั้นไม่ตอบอะไรกลับมา
เพลิงกัลป์ผิวปากเป็นเพลงโปรด ละเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว ที่วอร์ดของเขามีเคสคนไข้หนักกำลังอาการแย่ลง ชายหนุ่มเลยลืมเรื่องนัดไปเสียสนิท เขามัวแต่คร่ำเคร่งอยู่กับการยื้อชีวิตคนไข้ตรงหน้าจากมัจจุราช
“ครบสามสิบนาทีแล้วค่ะ หยุดปั้ม คลำชีพจร” เสียงคุณพยาบาลที่จับเวลาดังขึ้น
นายแพทย์หนุ่มเป็นคนคลำชีพจรด้วยตัวเอง เขาหวังสุดใจว่ามันจะกลับมาเต้นอีกครั้ง แม้จะเป็นความหวังที่แสนเลือนลางก็ตาม เพราะอาการของคนไข้หนักมากมาตั้งแต่แรกแล้ว
“ไม่มีชีพจรครับ” เขาพูด
ได้ยินเสียงญาติคนไข้ที่อยู่นอกม่านกั้นปล่อยโฮเสียงดังก่อนที่เขาจะออกไปคุยเสียอีก เพลิงกัลป์ถอนหายใจยาว ถอดถุงมือออก เขาสบตากับทีมแทนคำขอบคุณที่ช่วยกันเต็มที่ตลอดสามสิบนาทีที่ปั้มหัวใจ ก่อนจะเปิดม่านเดินออกมา ทำหน้าที่ที่เขาเกลียดที่สุด...แจ้งข่าวร้าย
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของญาติยังดังก้องอยู่ในหูแม้ว่าเขาจะกลับออกมาจากวอร์ดแล้วก็ตาม เขาทำเต็มที่แล้ว...เพลิงกัลป์บอกตัวเอง เหมือนทุกครั้งเวลาที่เขายื้อชีวิตคนไข้เอาไว้ไม่สำเร็จ
“ทำหน้าแบกโลก ไม่เข้ากับมึงเลยนะ”
เสียงทักดังขึ้นตรงหน้า เพลิงกัลป์กระพริบตา เพิ่งสังเกตเห็นร่างผอมๆที่ยืนแอบอยู่ตรงชานพักบันไดข้างวอร์ด
“เหนื่อย” เขาตอบตามตรง เดินลงบันไดไปหา “มารอเหรอ”
“กะจะมาช่วย CPR แต่เห็นจบซะก่อน”
“อืม...” ชายหนุ่มรับคำในคอ อีกฝ่ายตบที่ไหล่ของเขาดังป้าบ
“หิวแล้ว บอกจะไปฉลองเงินเดือนออกไม่ใช่หรือไง” เมืองแมนพูดเสียงดัง “นี่กูอุตส่าห์หิ้วท้องรอ ไม่ไปกับพวกหวานแล้วนะ”
คนฟังค่อยยิ้มออก
“พวกหวานไปร้านไหน มึงอยากไปหรือเปล่า หรืออยากกินอะไร” เพลิงกัลป์เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมืองแมนสังเกตในใจ เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายคงเป็นพวกติดเอาใจสาวๆก็เลยเผลอมาใช้กับเพื่อนด้วยแม้ว่าท่าทางของเจ้าตัวจะอ่อนล้าก็ตาม
“เดี๋ยววันนี้กูขับรถให้ มึงนั่งเฉยๆพอ” เขาตบที่บ่าแข็งตึงด้วยกล้ามเนื้อนั้นอีกรอบ
“ครับคุณแมน แมนฉิบหาย”
“รู้ก็ดีแล้ว”
เมืองแมนขับรถพาเพื่อนมากินอาหารร้านหนึ่งนอกเมืองที่เขาอยากมานานแล้วแต่ยังหาโอกาสไม่ได้ มันเป็นร้านอาหารที่มีทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง รสชาติใช้ได้เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆในจังหวัดนี้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องบรรยากาศละก็...ร้านนี้กินขาด
“ร้านสวยมาก เหมือนมึงพากูมาเดทเลยแมน”
“ปากหมาแบบนี้ นั่งเฝ้ารถกูไปล่ะกันนะ”
เพลิงกัลป์หัวเราะ เดินตามหลังเพื่อนเข้าไปในร้านที่ตกแต่งออกมาคล้ายกระท่อมกลางสวน เขาชอบสนามหญ้านุ่มๆและต้นไม้ร่มรื่นทันทีที่เห็น มีโต๊ะอาหารตั้งกระจายอยู่ทั้งภายในและภายนอกร้าน ท่ามกลางแสงไฟที่ตกแต่งเอาไว้กัลต้นไม้และหลังคาอย่างมีศิลป์
“นั่งตรงไหนดีคะ” หญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้นยิ้มๆ ท่าทางเธอไม่เหมือนบริกรในร้าน น่าจะเป็นเจ้าของมากกว่า
“ข้างนอกแล้วกันครับ” เมืองแมนเป็นคนตอบ
“ทางนู้นดีไหมคะ มีโต๊ะว่างอยู่” เธอเดินนำพวกเขาไปอีกทางหนึ่งที่มีโต๊ะที่จัดเอาไว้สำหรับสองที่ ข้างๆกันนั้นเป็นบ่อปลาคราฟ ค่อนข้างเป็นส่วนตัวทีเดียว
“ร้านสวยจังเลยครับ” เพลิงกัลป์เป็นคนพูดขึ้น “คุณเป็นเจ้าของหรือเปล่าครับ” หญิงสาวผมสั้น ใบหน้าหวานรูปหัวใจหันมายิ้มให้เขา
“ร้านของคุณแม่ค่ะ หนูช่วยดูแล”
“ดีจังเลยนะครับ แล้วร้านนี้อะไรอร่อยบ้างครับ”
เมืองแมนไม่แปลกใจเท่าไหร่กับท่าทางของเพื่อน สาวน้อยตรงหน้าก็หน้าตาน่ารักดี แค่ออกจะเซ็งนิดๆที่มันหม้อทุกที่ทุกเวลาเท่านั้น
พวกเขาสั่งสเต็กมาคนละจาน แล้วสั่งสลัดผลไม้เป็นจานกลาง แน่นอนว่าเมืองแมนเป็นคนเลือก
“สลัดผลไม้? มึงนี่กินเหมือนผู้หญิงเลยนะ”
“ผู้ชายกินผลไม้ไม่ได้หรือไง หรือว่าต้องแดกแต่เบียร์เหมือนมึง”
“วันนี้กูดื่มไวน์โว้ย จะได้เข้ากับเนื้อ” เพลิงกัลป์ตอบกลับ ยกแก้วไวน์ที่บริกรเพิ่งรินให้มาชูขึ้น “แด่เงินเดือนเดือนแรกของกูที่คงปลิวไปกับมื้อนี้เยอะเลย”
เมืองแมนยิ้มมุมปาก ยกแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง
“แด่เงินเดือนเดือนต่อๆไป” เขายกไวน์ขึ้นจิบ
ลมพัดมาวูบหนึ่ง เมืองแมนได้กลิ่นเหมือนดอกไม้ที่เคยคุ้นจมูกปนมากับสายลมด้วย ชายหนุ่มขมวดคิ้ว กำลังจะทักออกไป พอดีกับที่คนตรงหน้าบ้วนไวน์ออกมาจากปาก
“เหม็นว่ะ นี่มันเอาไวน์ชาติไหนมาให้กินวะเนี่ย” เพลิงกัลป์อุทาน คายเครื่องดื่มในปากออกมาจนหมด แล้วหยิบแก้วน้ำเย็นขึ้นมาดื่มหลายอึก “ขมปากสุด เหม็นด้วย”
“เหม็นอะไรของมึง กูว่าไวน์เขาดีออกนะ รสก็นุ่ม” เมืองแมนจิบเครื่องดื่มของตัวเองอีกอึก “ไม่เห็นเหม็นเลย”
เพลิงกัลป์เอื้อมมือมาดึงแก้วของเขาไปดมแล้วยกขึ้นจิบบ้าง จากนั้นเจ้าตัวก็คายออกมาจนหมด
“เหม็นออก มึงกินเข้าไปได้ไง ดื่มไวน์เป็นป้ะเนี่ยถามจริง”
“ดื่มเป็นดิวะ เอ้า...เหม็นก็ไม่ต้องกิน กูกินเอง”
“เรียกน้องเขามาถามดีกว่า”
เพลิงกัลป์ยกมือขึ้นเรียกหญิงสาวที่เป็นลูกเจ้าของร้านเข้ามาคุย เธอรับไปลองดื่มดูก็บอกว่ารสชาติปกติดี สร้างความหงุดหงิดให้กับชายหนุ่มมาก เขาเลยเปลี่ยนไปสั่งเบียร์มาแทน
“มึงเป็นหวัดหรือเปล่า ต่อมรับรสก็เลยเปลี่ยน” เมืองแมนสันนิษฐาน
“ไม่รู้ว่ะ สงสัยจะเป็นอย่างงั้นมั้ง”
เพลิงกัลป์เริ่มจะเห็นด้วยว่าตัวเองคงจะเป็นหวัด เพราะแม้แต่เบียร์เย็นจัดที่เขาเคยดื่มประจำก็ยังรสชาติผิดเพี้ยนจนกินไม่ไหว กลิ่นฉุนขึ้นจมูกชวนให้คลื่นไส้จนต้องตัดใจเลิกดื่มชั่วคราว
“แต่กูไม่มีน้ำมูกเลยนะเว้ย ทำไมกลิ่นมันเปลี่ยนวะ” เจ้าตัวยังติดใจสงสัย
“เดี๋ยวกูกินเอง วางไว้นั่นแหละ”
ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่กินไม่ค่อยลง เมืองแมนกลับเจริญอาหารเป็นพิเศษ เขาใช้มีดหั่นสเต็กเนื้อวัวที่ย่างมาแบบกำลังพอดีเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย แกล้มด้วยเครื่องดื่มที่ช่วยส่งให้เนื้อรสชาติดีนุ่มลิ้น ตัดกับผักสลัดที่ใส่กีวีกับสตรอเบอร์รี่รสเปรี้ยวอมหวานตัดกัน
“ร้านนี้กูว่าไม่ผ่าน ไม่อร่อยเลย”
“ลิ้นไม่รับรสแล้วก็อย่าพาลดิวะ ไม่สบายแล้วมึงอ่ะ กูว่าอร่อยมากเลยแหละ กินส้มมั้ย” เขาใช้ส้อมจิ้มส้มไปวางในจานของเพื่อนให้ สงสารหรอกนะเห็นทำหน้าเซ็ง กินอะไรก็ไม่อร่อย
เพลิงกัลป์กินส้มเข้าไปก็มีสีหน้าดีขึ้น หลังจากนั้นเจ้าตัวก็กวาดส้มและสตรอเบอร์รี่ในชามสลัดไปกินจนเกลี้ยง
“มันเปรี้ยวๆ ตัดเลี่ยนดี” ฝ่ายนั้นพูดเมื่อเห็นเขามองมา “สั่งอีกชามก็ได้เอ้า ...กูแย่งมึงกินใช่มั้ย”
“อิ่มแล้ว พอเหอะ”
“มึงก็เลิกดื่มได้แล้ว หน้าแดงเชียว”
“กินไปสองแก้วเอง” เมืองแมนบ่นอุบ มองตามไวน์ขวดนั้นอย่างเสียดายเพราะเพื่อนขอให้เก็บกลับไป รู้ตัวดีว่าถ้าดื่มมากกว่านี้คงจะเมา และถ้าเขาเมา...อย่าเมาจะดีกว่า ชายหนุ่มคิดในใจ
คุณหมอหนุ่มล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเซลฟี่ตัวเองกับร้านทางด้านหลังที่เห็นเป็นกระท่อมเอาเก็บเอาไว้แบบที่ทำประจำเวลาเจอร้านถูกใจ คนตรงข้ามนั่งกอดอกมองการกระทำของเขาด้วยใบหน้าติดเยาะนิดๆ
“กูถ่ายให้เอามั้ย ถ้ามึงจะลำบากขนาดนั้นล่ะก็”
เมืองแมนส่งโทรศัพท์มาให้โดยไม่พูดอะไร อีกฝ่ายก็รับมากดถ่ายให้หลายรูป
“ยิ้มเหมือนปลาคราฟข้างหลังมึงเลย”
“...........” อีกฝ่ายด่ากลับมาแบบไม่ออกเสียง
เพลิงกัลป์หัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นเรียกคิดเงิน เจ้าของร้านสาวสวยยังมาขอโทษขอโพยพวกเขาต่อเรื่องรสชาติไวน์ แต่ว่าเพลิงกัลป์ก็ตอบไปว่าเขาคงไม่ค่อยสบายเอง ลิ้นก็เลยเพี้ยน
“ไว้มาทานอีกนะคะ กี้จะลดให้พิเศษสำหรับคุณหมอเลย”
เมืองแมนเกือบจะถามแล้วว่าทำไมถึงรู้ว่าพวกเขาเป็นหมอ แต่พอเห็นเสื้อกาวน์สั้นที่ผู้ชายข้างตัวไม่ได้ถอดก็นึกออก
“พี่สาวกี้ก็เคยทำงานที่โรงพยาบาลค่ะ แต่ว่านานแล้ว”
“อ้าวหรอครับ”
“ค่ะ...พี่ของกี้ก็เป็นหมอ” เธอพูดยิ้มๆ “ไว้มาอีกนะคะ” เธอถูกลูกค้าโต๊ะอื่นเรียกเสียก่อนก็เลยผละไป
“เลยไม่ได้ถามต่อเลยว่าพี่เธอเป็นใคร” เมืองแมนปรารภ “เผื่อรู้จักได้ไปขอส่วนลดมั่ง”
ชายหนุ่มขับรถกลับมาถึงที่แฟลตแพทย์ เขาจอดรถเอาไว้ทางด้านหลังที่เป็นที่ว่างใต้ต้นปีบต้นใหญ่ พอได้กลิ่นดอกปีบที่ลอยมาตามลม เมืองแมนก็นึกออกว่ากลิ่นที่เขาได้รับรู้ที่ร้านเมื่อครู่นี้คือกลิ่นอะไร
“กลิ่นอะไรวะ หอมๆ” เพื่อนของเขาทำจมูกฟุดฟิด คงได้กลิ่นเช่นเดียวกัน
“ดอกปีบ” เมืองแมนตอบ ล็อครถเรียบร้อย เดินเนิบๆอ้อมไปทางข้างหน้าแฟลตโดยมีอีกคนเดินตามหลังมาด้วยติดๆ
“ไม่ๆ มีอีกกลิ่นนึงน่ะ หอมแปลกๆ”
มือใหญ่รั้งคอเสื้อด้านหลังของเขาเอาไว้ จมูกโด่งก้มลงดมในระยะประชิดจนเมืองแมนรู้สึกถึงสัมผัสที่หลังคอของตนเอง ชายหนุ่มตกใจดึงตัวออกห่าง
“ทำอะไรของมึง”
“กลิ่นมาจากตัวมึงอ่ะแมน” เพลิงกัลป์ตอบกลับมา “หอมมาก...เหมือนไวน์ที่บ่มอย่างดี ต้องเป็นเพราะมึงดื่มเข้าไปแน่ๆ”
“อย่ามาใกล้นะ” เมืองแมนขู่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเข้ามาใกล้อีก
“ขอดมอีกที นะ...ทีเดียว จะพิสูจน์กลิ่นเฉยๆ” เพลิงกัลป์โอดครวญ “กูไม่ได้จะแกล้งมึงนะ แค่สงสัยว่ากลิ่นอะไรกันแน่ หรือมึงใส่น้ำหอม...ของยี่ห้ออะไรกูจะไปซื้อมาใส่บ้าง”
“ไม่ได้ใส่” แมนพูดเสียงห้วน เดินมาจนถึงห้องของตนก็ล้วงเอากุญแจขึ้นมาไข รู้สึกได้ว่าคนข้างหลังขยับเข้ามาใกล้กว่าปกติจนได้ยินเสียงลมหายใจ
“ขอดมทีนึง แล้วจะไปอาบน้ำล่ะ”
“ประสาท!”
เมืองแมนกระแทกเสียง แต่ก็ไม่ได้ถอยหลบตอนที่เพลิงกัลป์ก้มหน้าลงมาแตะปลายจมูกที่หลังคอเสื้อของเขา
“โคตรหอม นี่มันกลิ่นอะไรวะเนี่ย”
เขาก็อยากถามเหมือนกันว่าอีกฝ่ายป่วยจนประสาทกลับไปแล้วหรือเปล่า ถึงมาเที่ยวดมคอเสื้อชาวบ้านเขาอยู่ได้ แถมยังมาทิ้งลมหายใจอุ่นๆเอาไว้ตรงหลังคอ กลายเป็นสัมผัสชวนขนลุกไปอีก
........................................................................................
มาต่อแล้วจร้า มีใครรออ่านเรื่องนี้กันบ้างคะ
อ่าว...ไม่มีหรอ///ปาดน้ามทาร์
ไม่เป็นไร อยากเขียน
ก็ได้เขียนแล้วค่ะ
สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะทุกคน
#แฟนหมอแมน
Melenalike