“ทำไมจู่ๆถึงมาถาม”
“ตอบมาก่อน”
“กูไม่ได้ปล้ำมึง กูรู้แค่นั้น” เมืองแมนตอบ “ถ้ามึงกลัวว่าตัวเองจะโดนล่ะก็ สบายใจได้”
“แล้วกู...” เพลิงกัลป์กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ “...ทำมึงหรือเปล่า?” คำถามที่ออกมาจากปากทำเอาอีกฝ่ายนิ่งไปนาน หัวใจของคนรอเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขายอมรับว่าตัวเองกลัวคำตอบที่จะได้รับ เพราะนั่นเท่ากับว่าเขาประพฤติตัวเป็นพวกเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ปากบอกเกลียดเกย์แต่ดันไปมีเซ็กส์กับเกย์ ....แต่ให้ตายเหอะ สิ่งที่เขากลัวมากกว่าการได้รับคำตอบก็คือความไม่รู้
เขาครุ่นคิดมาตลอดทั้งบ่ายว่าจะเป็นอย่างไรถ้าคำตอบที่ว่าคือ ใช่ ...มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเขาทำเป็นเฉยๆ ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นปริศนาไปโดยไม่ไปค้นหาคำตอบ ไม่นานเขาก็คงจะลืมเรืองนี้ไป เหมือนๆกับเรื่องอื่น
ทว่าทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าเมืองแมน เขาก็ต้องสงสัยขึ้นมาอีกแน่ๆว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น และไม่ใช่นิสัยของเขาอยู่แล้วที่จะทำแล้วไม่รับ ..คนอย่างเพลิงกัลป์ กล้าทำกล้ารับเสมอ
ถึงจะนึกภาพแล้วรู้สึกรับไม่ได้ แต่ถ้าตัวเขาเองเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกคนต้องป่วยหนักขนาดนี้ล่ะก็...
“หึๆ” จู่ๆคนบนเตียงก็หัวเราะออกมา “มึงอยากได้คำตอบแบบไหน”
“ตอบตามตรง”
“กูไม่รู้” เมืองแมนตอบ “กูจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”
“มันจะเป็นไปได้ไงที่จำไม่ได้”
“แล้วมึงจำได้ไหมล่ะ”
คนฟังอึ้ง ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม ยกมือขึ้นกุมศีรษะ
“จำไม่ได้” เสียงห้าวลอดริมฝีปากออกมา “ปกติถึงกูจะเมาแค่ไหน แต่เวลามีเซ็กส์กับใครตื่นมาก็จะต้องพอจำได้บ้าง แต่นี่มัน...จำอะไรไม่ได้เลย อย่างกับว่า...โดนลบความจำ”
เมืองแมนถอนหายใจยาว
“กูไม่ใช่ผู้หญิง” เขาพูดเบาๆ ทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า “มึงไม่ต้องทำหน้าเหมือนทำกูท้องหรอก...เพลิง” ชื่อของอีกฝ่ายหลุดออกมาจากปากของคนพูดเป็นครั้งแรก
เพลิงกัลป์เงยหน้าขึ้นสบตาอีกคน
“กูจำไม่ได้จริงๆว่ะ” เขาสารภาพ “แต่ถ้ากูทำอะไรมึงจริงๆ กูก็ต้องขอโทษด้วยนะแมน ที่มึงป่วยคราวนี้ก็เพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย ทำไมมึงไม่ถามกูตั้งแต่เช้าวันนั้นวะ เก็บเงียบทำไม”
“จะให้กูถามว่าอะไร ให้ถามว่าเมื่อคืนมึงเอากูหรือเปล่างั้นหรือ ทั้งๆที่ต่างคนต่างก็จำไม่ได้ด้วยกันทั้งคู่” คนป่วยพูด “ตอนแรกกูก็โกรธมึงหรอกนะ แต่มาคิดดูอีกที มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยังไงเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นแค่ความผิดพลาดที่โทษใครไม่ได้เท่านั้น”
“แล้วหลังจากนี้”
“ก็ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีก” เมืองแมนพูดเสียงแข็ง “ลืมมันไปซะ”
“แต่ว่า..”
“ทำไม...มึงจะรับผิดชอบกูด้วยการแต่งงานหรือไง ประสาทหรือเปล่า แค่มีเซ็กส์กันครั้งเดียว มีด้วยกันจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ กูไม่ใช่สาวที่ต้องหวงพรหมจรรย์หรอกนะ กูไม่ได้แคร์เรื่องนี้หรอก” เมืองแมนพูดเสียงห้วนจัด “แค่อีกสองอาทิตย์มึงไปตรวจเลือดแล้วเอาผลมาให้กูดูด้วยเท่านั้นแหละ จะได้สบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย มั่วอย่างมึงกูกลัวติดเอดส์”
สีหน้าของคนฟังดีขึ้น เพลิงกัลป์หัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่าย
“แมนสมชื่อเลยนะมึงน่ะ กูขอโทษที่ตอนแรกด่ามึงว่าไม่แมนนะ” คนป่วยโยกหัวหลบ
“เออ กูแมนกว่ามึงก็แล้วกัน”
“กูไม่เถียง” เพลิงกัลป์ตอบ เงียบไปอึดใจหนึ่ง “ถึงกูจะจำไม่ได้ แต่กูก็ต้องขอโทษมึงด้วย....กูรู้สึกผิดต่อมึงจริงๆ”
“................”
คนป่วยไม่ตอบ แต่กลับพลิกตัวไปอีกทาง
คืนนั้นเพลิงกัลป์ยกเลิกนัดกับเพื่อนในก๊วนที่จะไปเที่ยวด้วยกัน เขาอยู่เฝ้ารูมเมทจนเช้าถึงได้ตื่นไปทำงานต่อ จากนั้นก็จะเข้ามาเยี่ยมบ้างตอนเย็นๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันเกินความจำเป็น จะว่าไปแล้ว...ความสัมพันธ์ของพวกเขาดูเหินห่างกว่าตอนแรกรู้จักกันเสียอีก
เมืองแมนกลับไปทำงานได้ในอีกห้าวันถัดมา เขารู้จากแพทกับเมย์ด้วยความแปลกใจว่าเพลิงกัลป์เป็นคนอาสาอยู่เวรและราวน์วอร์ดแทนเขาทุกวัน ชายหนุ่มเลยตัดสินใจเดินไปหาเพื่อนร่วมห้องที่แทบไม่ได้เจอหน้าเพื่อขอบคุณ
ร่างสูงใหญ่กำลังถือชาร์ตยืนอยู่ปลายเตียง พูดคุยกับคนไข้บนเตียงอย่างอารมณ์ดี เพลิงกัลป์เหลียวมาเห็นเขาเข้า ฝ่ายนั้นชะงักเล็กน้อยก่อนจะฝากแฟ้มกับพี่พยาบาลเอาไว้แล้วเดินเข้ามาหาเขา
“ไง...กลับมาทำงานแล้วเหรอ”
“อืม” เมืองแมนตอบ สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมีรอยคล้ำใต้ตามากกว่าปกติ คงล้าจากการต้องอยู่เวรติดๆกันเพราะอยู่แทนเขา “ขอบคุณนะที่ราวน์แทนให้”
คนฟังยักไหล่ราวกับเป็นเรื่องปกติ
“ก็ต้องเป็นกูอยู่แล้ว จะให้แพทหรือเมย์ราวน์ก็จะหนักไป” อีกฝ่ายพยักหน้าเนิบๆ ทำท่าจะผละจากไป “เดี๋ยวก่อน..” เพลิงกัลป์เรียกเอาไว้
“ว่า?”
“หายแล้วเหรอ...หมายถึง...แผล” เขาอึกอัก
“หายหมดแล้ว” คนตอบหน้านิ่ง “อาจารย์ให้ยามาทั้งกินทั้งทา”
“คือ...” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบท้ายทอย เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าต้องการจะพูดอะไรกันแน่ เป็นความรู้สึกอึดอัดประดักประเดิดที่เพลิงไม่ชอบเลยสักนิด
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เพลิงเสร็จยัง อ้าว....แมนหายแล้วหรอจ้ะ” เสียงใสๆดังขึ้นทางด้านหลัง ทั้งคู่เหลียวไปมองก็เจอตุ๊กตายืนส่งยิ้มมาให้ เธอเดินเรื่อยๆแต่เหมือนลอยได้เข้ามาหา ใบหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตากระเบื้องมีรอยยิ้มแต่งแต้ม สวยจนเมืองแมนไม่แปลกใจที่เห็นรูมเมทของเขามองไม่วางตา
“หายแล้ว ตุ๊กตามาคอนซัลท์ศัลย์หรอ” เขาถาม เธอหัวเราะเบาๆ ใบหน้าขึ้นสีชมพูระเรื่อ
“เปล่าจ้ะ..แค่จะมาชวนเพลิงไปทานข้าว แมนไปด้วยกันสิ ฉลองที่หายดีไง”
เมืองแมนขมวดคิ้วแวบเดียวก็คลายออก ห้าวันที่ผ่านมาเขาตกข่าวเรื่องอะไรไปหรือเปล่า เหลือบมองเพื่อนร่วมห้องก็เห็นทำหน้าเฉยๆ
“ไปกันเถอะ เราต้องเคลียร์งานก่อน หยุดห้าวันงานกองเท่าภูเขา” เขาตอบกลั้วหัวเราะ
“งั้นก็ได้จ้ะ แต่อย่าหักโหมมากนะ ตุ๊กตาเป็นห่วง” หญิงสาวตอบกลับมา แล้วหันไปทางเพลิงกัลป์ “เพลิงอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม ถ้าไม่...ตุ๊กตามีร้านที่อยากพาไปกินค่ะ”
“ตุ๊กตาเลือกเลยครับ” เสียงห้าวๆนั้นตอบ
เมืองแมนไม่ได้สนใจอะไรกับคนคู่นี้อีก เขามาได้ยินเพื่อนๆอินเทินผู้ชายพูดกันอย่างเสียดายว่าอินเทินที่สวยที่สุดของรุ่นถูกเพลิงกัลป์ชิงไปเสียแล้ว
“เราก็ไม่นึกว่าตุ๊กตากับเพลิงจะไปคบกันได้ เร็วชะมัด ไม่รู้ไปคุยกันตอนไหน” เต้ยพูดขึ้น เหลือบมองมาทางเมืองแมนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่แรก “แมนล่ะรู้ไหม อ้อ...ลืมไปแมนเพิ่งหายป่วยนี่”
“เพลิงมันร้ายตั้งแต่เรียนแล้ว ดาวคณะฯคนไหนที่ว่าสวยๆมันกินเรียบหมด ที่ร้ายกว่านั้นคือสาวๆของมันไม่เคยทะเลาะตบตีกันเลยนะ ไม่รู้ว่ามันจัดการยังไง” โย่ง เพื่อนอีกคนที่มาจากมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือพูดขึ้นมาบ้าง “ชื่อเสียงมันดังมาถึงมอกูเลย”
“ชื่อเสียงหรือชื่อเสียวะ” ปิงพูดลอยๆ
คนในโต๊ะหัวเราะ หัวข้อสนทนาหมุนเวียนไปเป็นเรื่องอื่น เมืองแมนฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง เขากำลังกังวลถึงคืนนี้ที่จะต้องกลับไปนอนที่แฟลต
ยอมรับว่าตัวเองกลัวผีมาก ไม่อยากได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นอะไรอีกแล้ว
“แมนเงียบจัง หรือว่าไข้ขึ้นอีก” มือใหญ่ยกขึ้นทาบที่หน้าผากของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว เต้ยดึงมือออกท่ามกลางเสียงโห่แซ็วของเพื่อนๆ
“เห้ยๆ คู่นี้นี่ยังไงๆหรือเปล่าวะ” โย่งพูด “ก็ว่าเห็นเต้ยไปเฝ้าทุกวัน นี่ถ้าจะเปิดตัวก็บอกพวกกูบ้างนะ”
“สงสารคนโสดบ้างเหอะ” หวานที่เป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวของโต๊ะโอดครวญ “อย่านะแมน...เหลือผู้ชายแท้ๆให้เราได้มีความหวังบ้าง”
แมนยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบอะไร ส่วนเต้ยก็ยกมือปฏิเสธพลางหัวเราะ ชวนเปลี่ยนเรื่องอย่างนิ่มนวล กว่าจะกลับมาถึงที่แฟลตก็เกือบสามทุ่ม เมืองแมนเปิดประตูเข้าไปในห้องพัก รูมเมทของเขายังไม่กลับมา เดาว่าคงไปเที่ยวอีกตามเคย
เขาจัดการธุระส่วนตัวจนเรียบร้อย แล้วก็มานั่งสวดมนต์อยู่บนเตียง แค่เห็นเงาอะไรวอบแวบ หัวใจก็หล่นวูบเป็นระยะ เมืองแมนเริ่มรู้สึกว่าเขาคิดผิดที่ไม่ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ที่ห้องพักแพทย์ให้รู้แล้วรู้รอด หรือไม่ก็ไปเช่าโรงแรมอยู่ซะ
กึก...กึก...กึก
มาแล้ว...ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฝีเท้าที่ได้ยิน พอเขาลืมตาขึ้น เสียงนั้นก็หายไป เมืองแมนเหลือบมองนาฬิกาเห็นเวลาผ่านไปเกือบตีสองแล้ว
“หึๆ”
ขนอ่อนลุกซู่ทั้งตัว คราวนี้ถึงแม้จะลืมตาอยู่โต้งๆ แต่หูกลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆใสกังวานมาจากมุมหนึ่งของห้อง ราวกับมีใครสักคนอยู่ในห้องด้วยนอกเหนือจากเขา
มือสั่นรีบคว้าโทรศัพท์มือถือกับกุญแจห้องมาถือเอาไว้ เมืองแมนเผ่นพรวดเดียวออกมาจากห้องนอน พุ่งตัวออกไปที่ประตูอย่างรวดเร็วกระชากเปิดออก
เขากระแทกเข้ากำแพงหนาๆดังปึกจนตัวกระเด้งถอยกลับเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง ‘กำแพง’ อย่างงงๆ
“โอ๊ะ! จะรีบไปไหนของมึง” เสียงอุทานดังขึ้นหน้าห้อง รูมเมทของเขากลับมาแล้วในสภาพเสื้อแสงหลุดลุ่ยเล็กน้อย กลิ่นแอลกอฮออล์ปนออกมากับลมหายใจจางๆ
“กูจะไปหาเต้ย” แมนตอบแบบไม่ต้องคิดซ้ำ ขยับจะเบี่ยงตัวหลบอีกฝ่ายเพื่อออกไปจากห้องทว่ามือแข็งๆกลับคว้าที่ต้นแขนของเขาเอาไว้บีบแน่น
“จะไปทำไม ดึกดื่นป่านนี้” เสียงของเพลิงกัลป์ฟังเหมือนคุณพ่อดุๆสักคนที่ดุลูกชายออกเที่ยว
“กูกลัวผี” เมืองแมนตอบตามจริง “กูอยู่ห้องนี้ไม่ได้แล้ว คืนนี้กูจะไปนอนห้องเต้ยก่อน”
“จะบ้าหรือไง” อีกฝ่ายตอบกลับมา “ไหนผี กูจะไปจัดการเอง แต่มึงห้ามไปห้องเต้ย โดยเฉพาะเวลากลางคืนแบบนี้” เพลิงกัลป์ตอบเสียงเข้ม ออกแรง ‘ลาก’ อีกฝ่ายกลับเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู
“มึงเนี่ยนะจะไปจัดการผีให้กู ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวมึงก็โกรธกูอีก กูไปหาเต้ยดีกว่า กูเล่าเรื่องนี้ให้เค้าฟังแล้ว เต้ยบอกว่าถ้านอนไม่ได้ก็ให้ไปนอนห้องเค้า”
“มึงคิดว่ากูจะปล่อยให้มึงทิ้งกูอยู่ในห้องที่มีผีคนเดียวหรือไง” เพลิงกัลป์ขมวดคิ้ว “อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน กูก็กลัวผีหักคอเหมือนกันนะโว้ย”
“อย่างมึง ผีมันไม่หักคอให้เสียมือหรอก” เมืองแมนหลุดปากออกไปแล้วก็รีบพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าหงิก “กูหมายถึงว่า...เออ มึงรีบๆอาบน้ำเลยแล้วไปนอนห้องเต้ยกัน”
“กูจะไม่ย่างเท้าเข้าไปในห้องของมันเด็ดขาด” ฝ่ายนั้นประกาศกร้าว “และจะไม่ยอมให้มึงทิ้งกูอยู่คนเดียวด้วย มานี่เลย”
มือแข็งแรงลากเขาตรงไปที่ห้องนอนของตนเพื่อหยิบผ้าเช็ดตัว จากนั้นก็ลากเมืองแมนต่อไปยังห้องน้ำ ชายหนุ่มร่างเล็กโวยวายลั่น
“มึงทำบ้าอะไร ปล่อยกูนะ”
“ไม่....กูกลัวมึงทิ้งกูอยู่กับผี”
“แต่กูไม่อยากอยู่ในห้องน้ำกับมึงนะ”
“ถ้ามึงดิ้น กูจะปล้ำจริงๆด้วย” เสียงเข้มๆนั้นทำเอาคนฟังชะงักกึก
“มึงไม่กล้าหรอก กูเป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่สาวเอสไลน์”
“แล้วไง กูก็เคยแล้วนี่” ...ถึงจะจำไม่ได้ก็เหอะ...เพลิงกัลป์ต่อประโยคในใจ ซ่อนยิ้มขำเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของอีกฝ่าย
ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนกลัวผี ไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย แต่เขาแค่หงุดหงิดที่เห็นอีกฝ่ายจะไปหาไอ้เต้ยสารเลวนั่นก็เท่านั้น ไม่เข้าใจว่าเมืองแมนไปเห็นดีเห็นงามอะไรกับมันนัก เห็นหน้าโง่ๆเซ่อๆคงโดนฝ่ายนั้นหลอกกินตับเข้าสักวัน
เพื่อนร่วมห้องของเขาเดินไปนั่งกอดอกหน้างออยู่บนชักโครก ขณะที่เขาก้มลงแปรงฟันที่อ่างล้างหน้า ได้ยินเสียงอีกฝ่ายบ่นพึมพำเหมือนสาปแช่งเขาก็อดหัวเราะในคอไม่ได้ ก้มลงบ้วนปากเป็นครั้งสุดท้าย เพลิงกัลป์เงยหน้าขึ้นมองกระจก
เขาใจหายวาบ...ชายกระโปรงสีน้ำเงินเข้มกับเรียวขาสวยขาวผ่องของผู้หญิงปรากฏขึ้นข้างหลังเขาในกระจก ชายหนุ่มหันขวับไปมองข้างหลังก็เห็นเพียงบานประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท
ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น
..................................................................................
มาต่อกันแล้วคร่า ไม่น่าเขียนตอนกลางคืนเลย นี่อยู่หอคนเดียว กลัวอ่ะงืออออ 5555555 เรื่องนี้ค่อนข้างเหนือธรรมชาติมากๆ เตือนเอาไว้ก่อนนะคะ เป็นเรื่องที่ชอบพล็อตตัวเองมาก แบบสนุกอ่ะ (สนุกอยู่คนเดียว55) ใครสนุกกับเราก็ช่วยกันเม้นท์หรือโปรโมทหน่อยนะ
ใครเล่นทวิต #แฟนหมอแมน นะคะ