ใจดวงสุดท้าย
..ภูฟ้า..
ไม่รู้ว่าไอ้จั๊ดมันหลอกผม เมียเด็กของมันบอบบาง หรือมันทำรุนแรงกับน้องกันแน่ เพราะหลังจากที่เด็กจืดของผมกลายร่างเป็นเด็กช่างยั่ว ก็ถูกผมเอาแต่ใจไปไม่น้อย แต่ตอนนี้นอกจากแก้มแดงๆกับลมหายใจอุ่นๆ ก็ยังไม่เห็นว่าคนน่ารักของผม จะมีทีท่าว่าจะไม่สบายตรงไหนเลย มิหนำซ้ำยังดูหลับสบาย เสียจนผมอยากจะลักหลับใจจะขาดแล้วเนี่ย
ถึงแม้เมื่อคืนจะเอาเปรียบน้องจนดึกดื่น แต่เพราะความสุขที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกตารางนิ้วของร่างกาย และเพราะกังวลว่าน้องจะไข้ขึ้น ผมจึงหลับไม่ค่อยสนิทนัก จนแล้วจนรอดเลยเปลี่ยนมาเป็นนอนกอดคนที่ผมรัก แล้วใช้โอกาสนี้ถ่ายภาพเขาไว้ด้วยสองตา ให้มากเท่าที่จะมากได้เสียเลย
ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าน้องรักผม ไม่ใช่เพราะคำว่ารักที่น้องบอก แต่เป็นเพราะการกระทำของน้อง น้องยอมก้าวออกมาจากกำแพงของตัวเองเพื่อผมหลายต่อหลายครั้ง น้องที่ไม่อยากเปิดใจรับเพื่อนใหม่ กลับยอมผูกมิตรกับเพื่อนหลายคนในคณะ โดยเฉพาะไอ้น้องดิว ที่ก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับน้อง และกลายมาเป็นเงาตามตัวน้องอีกคน แต่ผีก็ยังเห็นผี ดูก็รู้ว่าไอ้น้องหล่อนี่คงจะชอบน้องแก้วตา สาวน้อยร่างอวบผู้เป็นความสดใสและเสียงหัวเราะประจำกลุ่ม แต่เรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่ง เพราะผมอยากให้มันเผชิญความลำบากด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆ
นอกจากเรื่องที่เห็นได้ชัดอย่างการยอมเปิดใจมากขึ้น เรื่องเล็กๆน้อยๆที่แสนน่ารักของน้องก็มีอีกมากมาย เช่นการที่น้องพยายามไม่ทานกุ้ง เพราะไม่อยากทานของอร่อยแค่คนเดียว จนผมต้องบังคับสั่งมาให้ทานหลายต่อหลายครั้ง การที่น้องยอมพูดความต้องการของน้อง เช่น การตั้งสเตตัสคบกันกับผมในเฟซบุ๊ค เอาจริงๆผมก็พึ่งรู้ ว่าน้องมีมุมเด็กขี้หวงไม่น้อยเหมือนกัน แน่นอนว่าผมดีใจและยิ้มหน้าบานไปหลายวัน
น้องมีเรื่องทำให้ผมประหลาดใจไม่หยุด ทั้งการบอกให้ผมย้ายมาอยู่ด้วยกัน และการที่น้องยอมให้ผมเป็นเจ้าของทั้งกายและใจ แค่คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ก็ทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกแล้ว
“อื๊อ พี่ภู..พอแล้ว”
เสียงคนตัวขาวที่ยังเพลียประท้วงฝ่ามือผมที่เริ่มซุกซนอีกรอบ ถึงเมื่อคืนจะเอาแต่ใจไปแค่รอบเดียว แต่ผมก็พาน้องกลับมาแทะเล็มอยู่ที่เตียงเกือบทั้งคืน เรียกได้ว่า ไม่มีพื้นที่ไหนในร่างกายน้องที่ผมยังไม่ได้แสดงความรักใคร่
ฟอดดด
“พอแล้วก็ได้ครับ พี่ไปซื้อโจ๊กมาให้ทานก่อนนะ”
ผมหอมแก้มนุ่มของเด็กงอแงเพราะโดนปลุก น้องกระพริบตาถี่ๆ พยายามมองสู้แสงโคมไฟสีอุ่นที่เปิดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
“ไม่ให้ไป กอดๆ พี่ภูกอดๆ”
หลังจากเป็นแฟนกัน แฮปปี้ไทม์ของผมก็ขยายเวลามากขึ้นเรื่อยๆ การอ้อนตาใสของน้องก็มีให้เห็นเกือบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ยิ่งถ้าป่วยหรือพึ่งตื่น คนอายุน้อยกว่าก็ยิ่งสรรหาความน่ารักมาอ้อนผมเป็นพิเศษ จนแต่ละวันผมยิ่งรักยิ่งหลงน้องมากขึ้นเรื่อยๆ
หลายคนที่เคยปรามาสว่าเดี๋ยวผมก็เบื่อน้อง ก็เริ่มไม่กล้าออกมาวิจารณ์กันอีก ในเมื่ออาการหลงน้องจนโงหัวไม่ขึ้นของผม แนวโน้มมีแต่จะเพิ่มไม่มีลด จนเป็นที่เลื่องลือกันทั่วมหาลัย ถึงขั้นมีเพจภูฟ้าปาลินFC ซึ่งผมก็ว่าน่ารักดี ขนาดตัวผมยังตามไปกดไลค์และเซฟรูปบ่อยๆเลย ยิ่งในเพจ“มินนี่สสสสส์..มีเผือก”นี่ยิ่งทำให้คนสนใจคู่เรามากขึ้น มินนี่ขยันสรรหาเรื่องของผมและน้องไปลงทุกวัน เมื่อชาวเผือกชอบ เพจก็ยิ่งดัง ส่วนผมก็ได้แสดงความเป็นเจ้าของน้องในแบบของผม ตอนนี้เลยไม่มีใครกล้ามาจีบหรือระรานน้อง ช่วยให้ผมเบาใจไปได้เยอะเลย
“อะๆ กอดๆอีกครึ่งชั่วโมงนะ เดี๋ยวเจ็ดโมงแล้วต้องยอมให้พี่ออกไปซื้อข้าวมาให้ทานนะ”
ผมสอดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มผืนหนา ที่กว่าผมจะตัดใจยอมผละออกมาจากคนตัวนุ่ม ก็กินเวลาไปไม่น้อย
“อื้อๆ”
น้องขยับตัวเข้าหาอ้อมกอดของผม แล้วพูดอู้อี้อยู่กับอก จนผมต้องก้มไปหอมกลุ่มผมนุ่มของคนน่ารักเสียหลายที และไม่ลืมที่จะลูบหลังกล่อมเบาๆให้คนติดสัมผัสได้นอนหลับสบาย
“น้อง”
“อื้อ”
“ฝันดีนะครับ ถ้าตื่นแล้ว เล่าเรื่องในรถให้พี่ฟังหน่อยนะ”
ผมระบายยิ้มส่งให้คนง่วง ที่พยายามขับไล่ความงัวเงีย ก่อนจะช้อนตากลมใสขึ้นมาสบกันกับผม
“เล่าเลยก็ได้ครับ”
น้องกระชับอ้อมแขนที่กอดเอวผมไว้ให้แน่นขึ้น ก่อนจะยิ้มละลายใจส่งกลับมาให้กัน เห็นน้องยิ้มได้แบบนี้ ใจของผมก็รู้สึกสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
“อืม ผมก็รู้ว่าพี่พอร์ชกลายเป็นนักร้องดังไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่Vela พอได้เจอกันหลังจากผ่านมาตั้งสามสี่ปี ก็อึ้งๆเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าควรทำหน้ายังไงดี ถามว่าชอบพี่เขาอยู่มั้ย หลังจากได้เจอ ก็ตอบได้เลยว่าไม่ แค่รู้สึกว่าการจากกันแบบแย่ๆ มันทำให้กระอักกระอ่วนใจเวลาที่ได้เจอ”
น้องจับจ้องสีหน้าผมตลอดเวลาที่เริ่มเล่า ผมเลยกระชับอ้อมแขนให้น้องรู้ว่าผมยินดีจะฟังจริงๆ อย่างที่ผมเคยบอกไป ผมไม่คิดจะโปรโมทหรือโฆษณาถึงนักร้องคนนี้ให้ร้านผมเสียเครดิตอีก ทั้งน้องและผมจึงมีเรื่องที่ต่างคนต่างไม่รู้เกี่ยวกับการปรากฏตัวของพอร์ช พิชญุตม์อยู่ไม่น้อย ตัวน้อง ที่ไม่รู้ว่าจะได้มาเจอกับมันในสถานการณ์ที่ตัวเองเป็นคนรักของเจ้าของผับ กับมันที่กลายมาเป็นนักร้องคนพิเศษของค่ำคืนนั้น และตัวผม ที่พึ่งรู้ว่า“ไอ้เหี้ย”ที่ผมด่าในใจเป็นพันๆครั้ง จะเป็นคนเดียวกันกับทายาทไฮโซและศิลปินที่กำลังขึ้นหม้ออยู่ในเวลานี้
“ตลกดีนะครับ ที่พอได้เจอกันอีกครั้ง พี่เขากลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน”
ผมเลิกคิ้วเป็นคำถาม ส่งกลับไปให้คนที่กำลังถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นสาเหตุให้ผมใจแกว่งในค่ำคืนที่ผ่านมา
“พี่เขาขอโทษกับเรื่องวันนั้น ขอโทษกับทุกเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกแย่”
ผมรู้สึกตัวเองโตขึ้นมาก ก็เพราะเลือกที่จะไม่ใช้กำลังในการแก้ปัญหา อย่างตอนเพจแอนตี้น้องนั่น ผมก็แค่จัดการสั่งสอน ด้วยการตามหาตัวจากเลขIPอินเตอร์เน็ต และรวบรวมหลักฐานหมิ่นประมาทเตรียมเข้าแจ้งความพร้อมทนายความก็เท่านั้น แต่เพราะคนทำยังเป็นแค่เด็กปีหนึ่งที่ยังพอมีอนาคต และที่สำคัญคือถ้าเข้าแจ้งความ น้องก็ต้องรับรู้ ผมเลยเลือกที่จะบอกขอบเขตความสามารถของผมและแสดงให้ดูอีกเล็กน้อย เช่นการส่งหลักฐานทั้งหมดให้อาจารย์ที่ปรึกษาของเด็กคนนั้น และไม่ลืมจะย้ำให้ได้รู้ ว่าถ้าหากยังไม่วางมือจากน้อง จะได้เจอกับอะไรที่น่ากลัวกว่านี้มาก
และกับเรื่องนี้ ถึงผมจะอยากกระทืบไอ้นักร้องนั่นให้จมดิน แต่เพราะกลัวจะกลายเป็นคนขี้ขลาดยิ่งกว่าที่เคยด่ามัน ผมเลยกะแค่สั่งสอน ด้วยการพูดความจริง ก็แค่บอกถึงพฤติกรรมการเบี้ยวงานให้คนในแวดวงผมรู้ เชื่อแน่ว่านิสัยอย่างมัน คงมีคนเคยโดนเหมือนกันอยู่ไม่น้อย แล้วก็จะรอดู ว่าคนที่ขาดวินัยในอาชีพ จะไปได้ไกลสักแค่ไหน ในแวดวงที่คลื่นลูกใหม่มาแรงแซงคลื่นลูกเก่าจนเป็นวัฏจักรอยู่แบบนี้
“แล้วน้องโอเคมั้ย”
ผมอยากรู้ว่าน้องตอบมันไปว่ายังไง
“ผมก็บอกไปแล้ว ว่าไม่โอเค”
ผมขมวดคิ้วแทบจะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“คนนิสัยแย่ที่ชอบเล่นกับความรู้สึกคนอื่น สมควรได้รับการให้อภัยจากแค่คำว่าขอโทษคำเดียวหรอครับ”
ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบน้องว่าอะไรดี ความจริงผมควรสะใจที่น้องไม่ให้อภัยมัน แต่เพราะกลัวความโกรธจะผูกมัดให้น้องยังลืมมันไม่ได้ ผมก็เลยไม่แน่ใจนัก ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร
“ผมบอกพี่เขาไป ว่าผมคนที่โกรธทั้งพี่เขาและตัวเองก็ยังไม่ได้หายไปไหน แค่เลือกที่จะไม่เอามาถือไว้ให้หนัก แต่เลือกที่จะใช้เป็นบทเรียนในชีวิตก็เท่านั้น ถ้าร้องขอการอภัยจากผมตอนนี้ ผมยังไม่สามารถพูดได้จากใจ ว่าผมไม่โกรธเขา แต่ถามว่าผมมัวแต่คิดแค้นรึเปล่า ก็บอกเลยว่าไม่ ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นแล้ว”
ผมยิ้มให้คนฉลาดตอบ ก่อนจะจุมพิตหน้าผากมนของคนที่ผมรัก เท่าที่ฟัง น้องก็ไม่ได้แยแสอะไรมันแล้ว แต่แค่ไม่อยากให้มันลืม ว่าตัวเองเคยทำเหี้ยไว้แค่ไหนสินะ
“แต่ตลกมากเลยนะพี่ภู วันนี้ที่พี่เขามีทุกอย่าง ความสามารถ ชื่อเสียง เงินทอง แต่กลับเหมือนไม่มีใครเลย ประกายตาร่าเริงก็หายไปแล้ว พี่เขาถึงกับถามผมว่าให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย จะยอมทิ้งพี่ภูมาหาเขาได้หรือเปล่า”
กึก
ไอ้เหี้ยพอร์ช
จากที่อยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่ให้น้องพึ่งได้ ตอนนี้ผมชักคันตีนอยากตามไปกระทืบมันให้จมดินอีกแล้ว
“อย่าทำหน้าบึ้งขนาดนั้นสิครับ”
น้องชันตัวขึ้นมาจูบเบาๆที่ริมฝีปากผม ก่อนจะยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้
“ผมบอกพี่เขาไปแล้ว ว่าต่อให้พี่ภูไล่ ลินก็ไม่ไปไหนหรอก”
น้องหัวเราะร่วนกับหน้าบูดๆของผม ช่วยไม่ได้หรอก ก็ผมรักผมหวงของผมนี่นา
“แล้วก็บอกไปแล้วด้วยนะ ว่าต่อไปถ้าบังเอิญเจอกัน ไม่ต้องทักหรอก ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ให้เรียกชื่อเล่น ไม่ก็ชื่อจริงไปเลย เพราะชื่อ“ลิน”หน่ะ เก็บไว้ให้คนที่รักเรียกเท่านั้น”
ประโยคน่ารักของน้องทำให้ใจเหี่ยวๆของผมพองฟูจนแทบลอยได้ น้องใส่ใจผมเสมอ คนอื่นอาจจะคิดว่า เป็นผมที่เอาแต่วิ่งตามน้องอยู่ฝ่ายเดียว แต่สำหรับผม กลับรู้สึกว่าผมไม่ได้วิ่งอยู่ลำพัง แต่เป็นเราทั้งคู่ที่จูงมือกันก้าวผ่านแต่ละวันอย่างมีความหมาย ผมอาจจะแสดงออกมากมายในสายตาคนอื่น แต่เปล่าเลย ความใส่ใจของน้อง ก็แสดงออกมากมายในสายตาผมไม่ต่างกัน
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
ผมพรมจูบรัวๆไปทั่วผิวหน้าเนียนอย่างรักใคร่และมันเขี้ยวคนช่างพูด เรียกเสียงหัวเราะเพราะความจั๊กจี้จากคนใต้ร่าง จนบรรยากาศในห้องนอนของเราสดชื่นขึ้นเป็นกอง
“อื๊อออออ พี่ภู!”
อยากสดชื่นกว่านี้ เลยอุ้มคนน่ารักให้ขาเกี่ยวเอวผมไว้ ก่อนจะพาลุกขึ้นทั้งๆที่น้องยังประท้วงอยู่
“พี่ภู ลินเจ็บ”
เวรละไง เล่นไม่ดู เผลอทำเมียเจ็บ
“พี่ขอโทษครับ เจ็บมากมั้ย ลินเจ็บตรงไหน”
ผมรีบย่อตัวให้น้องนั่งลงกับเตียง ทั้งๆที่ขายังเกี่ยวเอวผมไว้
“ก็เจ็บตรงนั้นไงเล่า!”
ป้าบบบ
นั่นไง โดนคนขี้เขินทำร้ายร่างกายไปหนึ่งที โทษฐานอุ้มท่าที่ทำให้น้องเจ็บ โดนตีแต่มีความสุขแฮะ งานนี้ผมเลยหุบยิ้มไม่ได้ เรียกสายตาดุๆจากคนหน้าแดงที่มองคาดโทษมาทางนี้
“ครับผมๆ ไว้หายแล้วลองท่าเมื่อกี๊กันเนาะ”
ปึบบบ
แหะๆๆ คราวนี้เลยได้หมอนใบโต ฟาดเข้ามาจนเต็มหน้าเลยครับ
“ไม่คุยด้วยแล้ว!!”
งานนี้คนเขินจนงอนเลยเดินปึงปังด้วยความเก้ๆกังๆไปยังห้องน้ำ น่ารักเป็นบ้าเลยน้องครับ ใจพี่บางหมดแล้ว
“อาบด้วยกันนะจ๊ะเมียจ๋า”
ผมอาศัยความหน้ามึนรีบวิ่งตามและแทรกตัวเข้าไปก่อนที่น้องจะปิดประตู ถึงจะเข้าไปได้ แต่ก็โดนทั้งหยิกทั้งตีเลยคราวนี้ แหม ทีเมื่อคืนใครกันที่ไขกุญแจมายั่วเราให้ตบะแตกนะ ชิชะ สงสัยต้องทวนความจำซะแล้ว
“อื๊อออ พี่ภู แปรงฟันอยู่ อื๊ออ อ๊ะ ..อ.อ๊ะ”
..ปาลิน..
กว่าจะได้ทานข้าวเช้าก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง เป็นเพราะพี่ภูคนเดียวแท้ๆ แต่คนต้นเหตุกลับกำลังบ่นงึมงำไม่หยุด เรื่องที่ผมทานข้าวไม่ตรงเวลา ถึงแม้พี่เขาจะบ่นตัวเอง แต่ก็อดทำให้ผมอายไม่ได้นี่นา จะพูดซ้ำๆย้ำๆทำไม ว่าเอาเปรียบผมยังไงบ้าง
“หยุดบ่นเลยนะพี่ภู”
ทนความบ้าบอของพี่ภูไม่ได้ ก็เลยต้องห้ามเสียหน่อย คนหน้าไม่อาย บ้าบอที่สุด
“ครับผม แล้วลินเจ็บมากมั้ย”
พี่ภูหายงอนเรื่องชื่อผมแล้ว เลยยอมกลับมาเรียกผมว่าลินเหมือนเดิม
“เจ็บมากกกกกก ต่อไปห้ามพี่ภูทำอีกเลยนะ”
ผมเก๊กหน้าดุมองพี่ภู ซึ่งก็ทำให้คนที่รังแกผมอย่างเอาแต่ใจตลอดเช้านี้หน้าจ๋อยไปเลย สมน้ำหน้า มีอย่างที่ไหน พอรู้ว่าตื่นมาผมก็ยังแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นอะไรมากมายแบบที่พี่ภูกลัว พี่แกก็จัดหนักจัดเต็ม แทบทำให้ผมลุกจากเตียงไม่ขึ้นเลยทีเดียว
“โถ่ ลินจ๋า คนดีของพี่ ให้พี่รักหนูนะ นะๆๆๆ”
บ้าบอใหญ่แล้วเดี๋ยวนี้ คำก็หนู สองคำก็เมียจ๋า
เปี๊ยะๆๆๆๆ
“โอ๊ยๆๆๆๆ เมียจ๋า ผัวเจ็บนะครับ”
นั่นไงหล่ะ พูดยังไม่ทันขาดคำ
ป้าบ!
“โอ๊ย ยอมแล้ว พี่แค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง”
คนโดนตียิ้มเผล่จนน่าโดนตีอีกรอบ
“ไปแต่งตัวเลย เดี๋ยวไปแคสงานสายนะ”
เดี๋ยวนี้พี่ภูขยันทำงานมาก มากจนบางทีผมก็อดห่วงไม่ได้ ไหนจะเรียน บริหารVela เล่นหุ้น และเดี๋ยวนี้ก็เริ่มรับงานถ่ายแบบถ่ายโฆษณาอีกด้วย ดีที่ตอนนี้มหาลัยอยู่ในช่วงปิดภาคเรียนที่หนึ่ง คนที่ไม่เคยได้พัก เลยมีเวลาหายใจหายคอได้บ้าง ส่วนผมที่พี่ภูมอบหมายหน้าที่ที่แสนสำคัญให้เพียงสองอย่าง ก็คือตั้งใจเรียนและมีความสุข เลยอดไม่ได้ที่จะช่วยเหลือพี่ภูบ้าง เช่น ตอนนี้พี่เขาก็ยอมให้ผมขับรถให้นั่งบ้างแล้ว หลังจากผมอ้อนให้พี่ภูสอนผมขับจนคล่องกว่าเดิม นอกเหนือจากนั้นก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่จะทำให้พี่ภูมีความสุข นั่นก็คือการตามใจพี่ภูและอ้อนพี่เขาให้มากๆ
❥
หลังจากไปส่งพี่ภูที่สตูดิโอสำหรับแคสติ้งงาน ผมก็มาทำภารกิจลับ ที่ผมแอบทำมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
“น้องลิน”
“สวัสดีครับคนสวย”
เสียงทักทายของผม เรียกรอยยิ้มให้ประดับบนหน้าสวย ของคนที่กำลังเปิดประตูขึ้นมานั่งเคียงข้างกันกับผม
“ไปส่งพี่ภูเรียบร้อยแล้วหรอคะ”
“พี่ภูคือใครครับ ไม่เห็นรู้จักเลย ใจผมมีแต่คนสวยคนเดียวเลยนะ”
นาทีนี้ผมต้องแอบทิ้งพี่ภูไว้ก่อน เพราะอยากทำคะแนนกับคนที่ยิ้มทั้งปากทั้งตา ซึ่งกำลังหัวเราะถูกใจกับสิ่งที่ผมบอกเธอ
“ดีจังเลย วันนี้ได้ควงหนุ่มโสด ว่าแต่เราจะไปไหนกันดีคะ”
ตุ๊กตาหน้ารถของผมมีสีหน้าสดชื่น จนผมอดยิ้มตามไม่ได้
“ไปตลาดนัดสวนจตุจักรกันครับ”
ผมหัวเราะกับคนตาโตที่กำลังอ้าปากค้าง ก็แน่หล่ะ เห็นบ่นว่าอยากไปมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปสักที
“น้องลินน่ารักที่สุดเลย”
ฟอดดดด
ไม่ว่าอยู่กับใคร แก้มผมก็ต้องช้ำแน่ๆ ผมเลยได้แต่ยิ้มตอบคนที่ดีใจเหมือนเด็กๆ
ตลาดนัดสวนจตุจักรในเวลาเกือบบ่ายสอง คลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งไทยและต่างชาติ คนสวยของผมตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างเสียจนผมต้องจับมือเอาไว้ เพราะกลัวจะคลาดกัน
“ดูเครื่องแก้วนั่นสิคะน้องลิน สวยมากเลย”
“อุ๊ย โมบายแบบนั้นก็น่ารัก”
“ขนมอะไรคะนั่น น่าทานมากเลย”
“โหหห มีขายเพื่อนวู้ดดี้เต็มเลยค่ะ น่ารักจัง”
ผมที่มือหนึ่งถูกคนตื่นตาตื่นใจจับจูงไปจนทั่วตลาดนัด ส่วนอีกมือก็ถือของที่คนสวยเลือกสรรและจับจ่ายสินค้าจนแทบล้นอยู่นานสองนาน แต่กลับดูจะไม่รู้สึกเมื่อยเลยสักนิด
“ร้อนมั้ยครับ พักดื่มน้ำก่อนดีมั้ย”
เป็นผมที่ห่วงว่าร่างบอบบางของคนตรงหน้า จะทนความร้อนของแดดประเทศไทยไม่ได้เสียก่อน
“อุ๊ย ลืมไปเลย เราเดินกันมาจะสองชั่วโมงแล้วหรอคะเนี่ย น้องลินเหนื่อยมั้ยคะ ปะๆๆ พักกันค่ะ”
คนสวยยกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นมามองเวลา ก่อนจะทำหน้าไม่สบายใจหันมาทางผม
“ไม่เหนื่อยเลยครับ คนสวยนั่นแหละ เหนื่อยรึเปล่า”
“น้องลินนี่ปากหวานจนน้ำตาลสดแก้วนี้ต้องจืดไปแล้วแน่เลย”
คนยิ้มหวานที่พึ่งนึกได้ว่าเรายังไม่ได้ดื่มน้ำกันสักหยด หลังจากเดินเข้านอกออกในแต่ละซอยของตลาดนัดแห่งนี้เป็นเวลานาน จึงจัดการรีบซื้อน้ำตาลสดที่ตั้งแผงอยู่ไม่ห่างจากเราสองคนมากนัก ก่อนจะยื่นแก้วที่พึ่งรับมาจากคนขายยื่นมาตรงปากผม แล้วยังใจดีใช้มืออีกข้างจับหลอดให้ผมดื่มได้ถนัดๆอีก
“ขอบคุณครับ”
ฟอดดด
ผมยิ้มหวานและไม่ลืมจะหอมกลับคนใจดีอีกหนึ่งฟอด เรียกเสียงหัวเราะมีความสุขจากคนที่พึ่งเคยมาจตุจักรได้เป็นอย่างดี เห็นทีงานนี้ถ้าพี่ภูรู้ผมคงโดนงอนหนักแน่ๆ
พวกเราเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ จนตอนนี้ผมไม่สามารถจูงมือคนสวยได้แล้ว เพราะถุงมากมายถูกกำจนเต็มสองมือ
“ว้าย ของเต็มมือน้องลินเลย”
คนสวยที่หลังจากพักเหนื่อย ก็เดินต่อจนเกือบเย็น หันมาทำสีหน้าตกใจ หลังเห็นของในมือผม
เปล๊า ฉันไม่ได้รักเธอ
เปล๊า ฉันไม่ได้ชอบเธอ
รู้สึก นิดหน่อย แค่มีเธอเต็มหัวใจ
บอกว่าเปล๊า ฉันไม่ได้รักเธอ
เปล๊า ไม่ได้คิดอะไร ถ้ารู้สึกชัดไป
ก็ช่วยแกล้งทำเป็นเชื่อได้หรือเปล่าเพราะถือของจนเต็มสองมือ เลยเป็นคนสวยที่ช่วยล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของผม ที่กำลังแผดเสียงเพลงของคุณภูฟ้าเขาหล่ะ แน่นอนว่าพี่ภูเห็นผมตั้งเสียงรอสายเป็นออริจินอลเวอร์ชั่นเลยเกิดการยอมไม่ได้ เจ้าตัวเลยเอาไปอัดเป็นเสียงตัวเองแทนซะเลย บ้าบอ บอกแล้วว่าพี่ภูหน่ะบ้าบอที่สุด
“นี่หน้าไม่อายขนาดนี้เลยหรอคะเนี่ย”
คนสวยที่จำเสียงของเจ้าของเพลงรอสายได้ หัวเราะร่วนมองมาที่ผม
“รับเถอะครับ เดี๋ยวจะงอแงยิ่งกว่านี้”
ผมยิ้มขำคนที่กำลังอึ้งและขบขันกับความเป็นเอามากของพี่ภู
“สวัสดีค่ะ”
“ลิน? ไม่ทราบว่านั่นใคร? ผมขอสายเจ้าของโทรศัพท์หน่อยครับ”
เสียงที่ดังจากลำโพงที่คนสวยใจดีเปิดให้ผมได้ฟังด้วยกัน
“แหม คำก็ลิน สองคำก็ลิน แล้วยังจำเสียงกันไม่ได้อีก จะงอนแล้วนะคะเนี่ย”
ผมหัวเราะเมื่อเห็นว่าคนปลายสายนิ่งอึ้งไปแล้ว
“แม่? นั่นแม่หรอครับ? แม่ไปอยู่กับน้องได้ยังไงครับ”
พี่ภูดูจะตกใจเอามากๆกับภารกิจลับของผม
“ก็พี่ภูนั่นแหละ แอบเก็บน้องลินไว้คนเดียว เชอะ คุณแม่ก็เลยต้องมาขโมยสิคะ น่ารักขนาดนี้”
การสนทนาของเราเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ จนคนที่เดินไปเดินมาหันมามองกันใหญ่ แต่คุณแม่คุณลูกคู่นี้เขาเหมือนกันอย่างกับร่างโคลนนิ่ง แน่นอนว่านอกจากจะไม่อายแล้ว ยังมีความสุขกับภาษากายและการแสดงออกถึงความรักอันเปี่ยมล้นนี่ด้วย
หลังจากเป็นแฟนกันอย่างเป็นทางการเมื่อสองเดือนก่อน ผมก็พยายามเปิดใจกับหลายๆอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นมีพี่ภูเป็นตัวแปร ผมไม่สบายใจที่เป็นสาเหตุที่พี่ภูถูกไล่ออกจากบ้าน ถึงพี่ภูจะสบายใจที่จะเปิดเผยเรื่องระหว่างเราให้ทุกคนรับรู้ แต่สำหรับผู้ใหญ่ เรื่องของเราก็ยังยากที่จะยอมรับได้ ตัวผมโชคดีที่หลังจากโทรบอกที่บ้าน ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ขอให้พาพี่ภูไปเยี่ยมพวกท่านที่เชียงใหม่บ้างก็เท่านั้น แต่เรื่องทางบ้านพี่ภูนี่สิที่ทำให้ผมหนักใจ
ผมปรึกษากับม่านแพงคิตตี้พี่จั๊ดและพี่ปาล์ม จนได้ข้อสรุปว่า ผมควรลองเข้าหาที่บ้านพี่ภูบ้าง เริ่มจากการไปสวัสดีและแนะนำตัวเองกับพี่พาฝัน พี่สาวของพี่ภู โชคดีที่ผมสามารถไปทำความคุ้นเคยและเข้าหาพี่ฝันได้บ่อย เพราะเธอมีร้านเสริมสวยและห้องเสื้อครบวงจรอยู่ที่ห้างไม่ไกลจากมหาลัย พี่ฝันเป็นคนสวย ใจดีและมีความคิดทันสมัย เธอไม่ได้ตกใจจนเกินไปกับเรื่องระหว่างผมและพี่ภู เธอบอกกับผมเพียงว่า
“ก็รักไปแล้วนี่เนอะ จะให้ทำยังไงได้หล่ะ จะเพศไหนถ้ารักก็คือรัก มีตั้งหลายคนที่แค่คิดจะรักยังไม่กล้าเลย พี่ภูมิใจในตัวภูนะ แล้วก็จะเป็นคนที่อยู่ข้างๆเราทั้งคู่เอง”
เพราะพี่ภูงานยุ่ง ผมเลยมีเวลามาขลุกอยู่กับพี่ฝันที่ร้านได้บ่อยๆ พี่ฝันกำลังท้อง ผมจึงอยากดูแลพี่เขาให้มากๆ เพราะสามีพี่ฝันต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำงานเป็นว่าเล่น พอเริ่มสนิทกัน พี่ฝันก็ชอบเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟัง สอนผมหลายอย่าง และสอนให้ผมอย่ากลัวที่จะรัก เพราะพี่ฝันเคยขี้ขลาด จึงไม่อยากให้ผมหรือพี่ภูเป็นแบบเธอ ผมไม่ได้ซักพี่ฝันมากนัก ถ้าพี่ฝันสบายใจที่จะเล่า วันหนึ่งพี่ฝันคงเล่าเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในใจของเธอเอง หรือไม่อย่างนั้น เธอคงเลือกที่จะฝังกลบมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด เพื่อเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าแทน
พี่ฝันช่วยผมหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่อยากจะเจอคุณพ่อคุณแม่ของเธอ แน่นอนว่าคุณพ่อที่เป็นคนไล่พี่ภูออกจากบ้าน ดูจะยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่ ผมจึงเริ่มจากการเข้าไปสวัสดีและแนะนำตัวกับคุณแม่พี่ภู ที่พี่ฝันนัดให้มาเจอกันที่ร้านของพี่ฝัน ตอนแรกก็กลัวมากว่าจะโดนต่อว่าไม่มากก็น้อย แต่ตรงกันข้าม เพราะคุณแม่ของพี่ภูท่านดีกับผมมาก คอยถามไถ่และชวนคุย ทำให้คนพูดน้อยอย่างผม ได้มีช่วงเวลาดีๆร่วมกับท่านเกือบจะทุกสัปดาห์
จากการเจอกันและทานอาหารที่ห้าง ตอนนี้ผมเลยอยากพาท่านมาเที่ยวในที่ที่ท่านไม่เคยมา อย่างตลาดนัดสวนจตุจักร ความจริงผมก็ยังไม่ค่อยโอเคกับสภาพตัวเองที่โดนพี่ภูเอาแต่ใจอยู่ไม่น้อย แต่นัดแล้วก็ไม่อยากให้ท่านรอเก้อ จึงทำตามแผนเดิมที่ตัวเองวางไว้ ถึงแม้จะต้องกัดฟันข่มความเจ็บบ้างก็ต้องทน พอนึกถึงตัวการแล้วก็อยากยื่นมือลอดสายโทรศัพท์ไปหยิกเสียจริงเชียว
“โถ่ แม่ครับ แม่กับน้องอยู่ไหนเนี่ย บอกผมมาเถอะ ผมร้อนใจจะแย่แล้ว เดี๋ยวผมไปหานะ”
เสียงร้อนรนของพี่ภูยิ่งทำให้คนสวยที่พิมพ์เดียวกันเป๊ะกับพี่ภูยิ้มถูกใจ
“พี่ภูจะต้องตกใจ ถ้าคุณแม่บอกว่าตอนนี้น้องลินพาคุณแม่มาเที่ยวที่ไหน”
คุณแม่ติดเรียกพี่ภูตามผมมาสักพักแล้ว จนผมต้องกลั้นขำ เมื่อได้ยินคนที่คงงงไม่น้อย ตอนถูกแม่ตัวเองเรียกแทนตัวต่างไปจากเดิม
“แม่ครับ อยู่ไหนครับ ขอผมคุยกับน้องได้มั้ย น้องไม่สบายอยู่นะแม่”
ฉ่าาาา
เสียงหน้าผมที่ร้อนแทบไหม้ คุณแม่พี่ภูมีสีหน้าตกใจ หันมามองหน้าผมทันที
“น้องลิน น้องลินไม่สบายทำไมไม่บอกแม่หล่ะลูก ปะๆๆ กลับกันนะคะ นี่แม่ก็มัวแต่เดินเพลินเลย”
คุณแม่หน้าเสียไปเลยเมื่อได้ยินพี่ภูพูดแบบนั้น จนผมอดคาดโทษตัวการที่เป็นต้นเหตุไม่ได้
“ผมสบายดีครับคุณแม่ ไม่ต้องไปฟังพี่ภูนะครับ”
ผมยิ้มส่งให้คุณแม่พี่ภูได้สบายใจ
“แม่ครับ ลินจ๋า อยู่ไหนกัน พี่อยากไปหา”
แต่ลูกชายของท่าน ดูจะไม่ยอมเลิกงอแงง่ายๆ
“พี่ภูไม่มีรถ รออยู่นั่นเลยครับ เดี๋ยวผมกับคุณแม่จะไปรับนะ”
ผมคุยนัดแนะกับพี่ภูอีกนิดหน่อยก่อนจะพาคุณแม่ไปรับพี่ภูที่สตูดิโอที่ผมไปส่งไว้เมื่อบ่าย ตอนแรกๆพี่เขาก็ชอบงอแงให้ผมไปอยู่ด้วยถ้าผมว่าง แต่พักหลังๆเริ่มจะไม่อยากให้ผมอยู่รอแล้ว เพราะชอบมีคนชวนผมให้แคสติ้งด้วย และบางคนก็เข้าหาเพราะเจตนาอื่น ซึ่งแน่นอนว่านั่นทำให้พี่ภูเลือกที่จะขับรถไปเอง หรือให้ผมไปรับไปส่งเพียงเท่านั้น
❥
“ทำไมแม่ถึงอยู่กับน้องได้ครับเนี่ย”
พี่ภูถามทันทีที่ก้าวขึ้นรถ ดูท่าคนพึ่งเสร็จงานจะไม่ชินกับการต้องนั่งเบาะหลังของรถตัวเองสักเท่าไหร่ ตอนนี้ผมเลยได้เห็นหน้าตาน่าขำของพี่ภูที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“แม่ก็จะมาแย่งน้องลินจากพี่ภูไง”
“โถ่ แม่ครับ”
“ผมชวนคุณแม่ออกมาเที่ยวเองครับ โดยมีพี่ฝันเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ”
ผมหัวเราะขำคุณแม่คุณลูก ที่โยเยใส่กันตั้งแต่เห็นหน้า
ฟอดดดดด
ฟอดดดดด
คนหน้าไม่อายยื่นหน้ามาหอมแก้มแม่ตัวเองที่นั่งฝั่งซ้าย ก่อนจะหอมแก้มผมที่เป็นสารถีอยู่ฝั่งขวา
“พี่ภูครับ ทำอะไรเนี่ย”
ถึงจะรู้ว่าดุไปก็ไม่เป็นผล แต่ก็ต้องปรามกันบ้าง ยิ่งนับวันยิ่งหน้าไม่อายใหญ่แล้ว ระหว่างทางที่จะมารับพี่ภู ผมก็โดนคุณแม่พี่เขาซักถามอาการป่วย จนผมหน้าร้อนแล้วร้อนอีก กว่าจะบ่ายเบี่ยงที่จะลงรายละเอียดได้ก็แทบแย่ เพราะเข้าใจดีว่าคุณแม่ท่านเป็นห่วง แล้วดูลูกชายตัวการของคุณแม่สิ ยังมีหน้ามาหอมแก้มผมให้ต้องอายอีกแล้ว อันตรายต่อหัวใจจริงๆเลย ผู้ชายบ้าบออย่างพี่ภูเนี่ย แต่ถ้าจะให้ผมห้ามพี่ภูไม่ให้แสดงความรักต่อหน้าคนอื่นแบบจริงจัง ผมก็ไม่อยากทำ เพราะการได้เป็นคนรักและถูกรัก ทำให้ผมมีความสุขมาก พี่ภูดูแล ให้เกียรติ และกล้าที่จะบอกใครต่อใครว่าผมคือคนรัก ไม่ต้องบอกก็รู้เลย ว่าตัวผมนั้นโชคดีมากแค่ไหน ที่ได้รักกับผู้ชายคนนี้ “ภูฟ้าของผม”
。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。
ขอโทษที่มาผิดเวลาค่ะ พยายามจะแต่งตอนนี้ให้จบ
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สมบูรณ์อย่างที่ใจต้องการ
นับไปนับมาก็เกินหนึ่งพันคำแล้ว เลยขอเอาครึ่งแรกที่พอใจแล้วมาลงก่อน
ครึ่งหลังขอเกลาอีกนิด แต่งเพิ่มอีกหน่อย แล้วจะมาลงให้ได้อ่านภายในวันนี้นะคะ (❦ ᴗ ❦ ✿)