*✿❀ LOCK IT UP!❥ รับฝากใจ ❀✿**ใจแถมღ P.6☛ 16.03.18 [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *✿❀ LOCK IT UP!❥ รับฝากใจ ❀✿**ใจแถมღ P.6☛ 16.03.18 [END]  (อ่าน 162430 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Sugar_stack

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • Page FB Sugar_stack
❥・ใจดวงที่แปด・❥



ฟังเสียงใจตัวเอง



..ภูฟ้า..



ตกบ่ายวันอาทิตย์พวกผมก็ต้องช่วยกันเก็บของเพื่อเดินทางกลับ ไอ้จั๊ดกับไอ้ปาล์มก็ช่วยผมเรื่องปาลินจริงๆ ด้วยการพูดหว่านล้อมให้ผมพาเด็กจืดนั่งรถผมกลับมาก่อน พวกมันอ้างว่ารถบัสนั่งไม่สบาย เหยียดขาได้น้อย เด็กจืดมันสูง เดี๋ยวจะยิ่งเจ็บเข่ามากกว่าเดิม


บางทีก็ต้องยอมรับว่า พวกไอ้จั๊ดไอ้ปาล์มมันก็มีประโยชน์อยู่บ้าง


“หลับก็ได้นะ”


“ไม่เป็นไรครับ”


คนตัวขาวนั่งเกร็งจนหลังตรงแหน่วมาตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกจากรีสอร์ท ไม่เมื่อยหรืออย่างไรก็ไม่รู้


“จอดทำไมครับ”


น้องมันทักเมื่อผมให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย เพื่อจอดรถเข้าข้างทาง ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่จอดรถ แล้วหันมาจัดการเลื่อนเบาะแล้วปรับพนักพิงของเด็กขี้สงสัยให้เอนไปจนสุดแทนคำตอบ


“อ.เอ่อ ขอบคุณครับ”


“นอน”


“ครับ”


ถึงจะบอกแบบนั้น แต่คนอายุน้อยกว่าก็ยังนอนทำตาแป๋ว ไม่ยอมหลับตา


“หลับตาด้วย”


“ครับ”


หึหึ อยู่ดีๆก็ว่าง่ายเชียว


“จะจีบนะ”


“ครับ?”


คนที่ถูกผมจู่โจมจีบเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง


“ถ้าไม่นอนหลับตาลงไป จะจับจูบ”


คนตื่นตูมเมื่อกี๊ รีบนอนลงไปหลับตาปี๋เลยคราวนี้ น่ารัก


“จะจีบนะ”


“พี่พูดเรื่องอะไรครับ”


เด็กกลัวจูบ ก็ยังไม่กล้าลืมตาขึ้นมาอยู่ดี


“ก็บอกจะจีบไง”


“ใครจีบใครครับ?”


ผมหันไปมองคนนอนหลับตาแต่หัวคิ้วขมวดแน่น


“พี่ จีบเราไง”


“.........”


“แล้วคำตอบหล่ะ”


ผมได้ทีเร่งรัดเอาคำตอบ


“ไม่ได้ครับ ผมมีม่านแล้ว”


ถึงจะหลับตาอยู่ แต่เด็กเลี้ยงแกะก็ยังเป็นเด็กเลี้ยงแกะอยู่วันยังค่ำ


“เพื่อนเรามาเกี่ยวอะไรด้วย”


“แฟนครับ ไม่ใช่เพื่อน”


“หึหึหึ”


“หัวเราะทำไมครับ”


เด็กตัวขาวที่ตอนนี้กลับมาขาวจนเรืองแสงได้อีกครั้งพูดกับผมแบบฉุนๆ


“ชั้นสองของคาเฟทีเรียมีห้องชมรมอยู่ รู้รึเปล่า”


“รู้ครับ แต่เกี่ยวอะไรด้วย”


“แล้วรู้มั้ยว่าระเบียงห้องชมรมว่ายน้ำมองไปจะเห็นอะไร”


“ผมไม่เข้าใจ”


“อะ ใจดี จะยอมเฉลยให้ก็ได้ว่าระเบียงชั้นสองของชมรมว่ายน้ำหน่ะ ด้านล่างก็จะเป็นเนินสนามหญ้าที่แสนจะบรรยากาศดี เหมาะจะมาคุยความลับกันสองต่อสองยังไงหล่ะ”


“นี่พี่แอบฟัง!”


เด็กเรืองแสงเด้งตัวลุกขึ้นมาทำตาโตใส่ผม หึหึ เด็กเลี้ยงแกะตื่นตูมเป็นแบบนี้นี่เองสินะ


“อ้าว อยากโดนจูบก็ไม่บอก”


เด็กกลัวจูบได้แต่ทำตาเขียวส่งมา ก่อนจะนอนลงไปหลับตากอดอกแน่น หว่างคิ้วก็ยังผูกเป็นปมยับย่น


หึหึหึ


แกล้งเด็กนี่ก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ






..ปาลิน..




ผมไม่รู้จะจัดการยังไงกับเรื่องนี้ดี ดูท่าเรื่องตลกที่ผมเคยคิดว่าจะไม่มีทางเป็นจริง จะกลายเป็นจริงขึ้นมาเสียได้ แต่คิดให้ตายยังไงก็คิดไม่ออกว่าภูเขาไฟระเบิดลูกย่อมๆอย่างคนข้างๆผม จะมารักมาชอบผมได้ยังไง หรือจะแค่อยากกวนประสาท? อยากแกล้ง? หรืออยากล้อเล่น? ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็รู้สึกว่า เรื่องนี้มันบ้าบอทั้งหมด คิดแล้วก็ได้แต่ปวดหัว








“แวะพักที่ปั๊มน้ำมันหน่อยมั้ย หื้ม”


เสียงไม่คุ้นทำให้ผมที่กำลังสะลึมสะลือเผลอขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ นิ้วปริศนาบรรจงนวดที่หว่างคิ้วของผมเพื่อช่วยให้มันคลายตัวออกจากกัน แต่นั่นยิ่งทำให้ผมปะติดปะต่อสถานการณ์ได้ยากกว่าเดิม


“ขี้เซาจังเลยเรา”


เหมือนมีฝ่ามืออุ่นมาลูบแก้มผมเบาๆ ผมชอบให้คนเกาๆลูบๆเวลานอนที่สุดเลย สบายสุดๆ


“ชอบหรอ”


เสียงทุ้มเหมือนจะดังขึ้นข้างหูผม แต่สัมผัสที่ข้างแก้มเป็นสิ่งที่ผมสนใจมากกว่า


“อื้มมมม”


เวลาฟินแน่นอนว่าเราจะควบคุมเสียงตัวเองไม่ได้


ฟอดดดดด


“มึงแม่ง โคตรน่ารักเลย”


หื้มมมมมมมมมม









“ฮ่าๆๆๆๆ เป็นอะไร ยังไม่หายงอนอีกหรอ”


คนหน้ามึนที่กำลังยืนพิงรถยี่ห้อหรูถามขึ้น แววตาเปล่งประกายคล้ายจะถูกอกถูกใจเป็นหนักหนา หลังจากเห็นผมเดินกลับมาจากห้องน้ำที่คนขับเลือกจะจอดแวะระหว่างทาง ว่าแต่ว่ามีใครเค้างอนกัน เค้าเรียกโมโหต่างหาก ไอ้ความฟินจากการนอนที่ตามมาด้วยการถูกขโมยหอมแก้มนี่มันแย่ชะมัด อยากพ่นไฟใส่คน ถ้าไม่ติดว่าจะหารถกลับเองไม่ได้แล้วหล่ะก็นะ จะไม่ยอมอยู่ต่อล้อต่อเถียงกับผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ


“โอ๋ๆๆๆ พี่ขอโทษครับ ดีกันนะๆ นี่ขนาดไปห้องน้ำมาแล้วยังไม่หายงอนอีกหรอ”


เกี่ยวอะไรกันเนี่ย ห้องน้ำกับการลืมว่าโดนขโมยหอมแก้มเนี่ยนะ มันแทนกันได้ด้วยหรอ


“อ๊ะ พี่ให้หอมคืนก็ได้ ยอมเสียเปรียบให้หอมสองข้างเลยก็ได้นะ ดีกันนะ ดีกัน”



“........”


ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายความหน้ามึนของผู้ชายคนนี้ดี พูดอะไรไปก็ดูจะเสียแรงเปล่าเท่านั้น


♫….ต่อให้ใครไม่รัก ต่อให้ใครไม่สน
แต่อยากจะขอให้เธออดทน ไม่ต้องไปหวั่นไหว..♪



เสียงนี้


“พี่ครับ ช่วยปลดล็อคหน่อยครับ ผมจะรับโทรศัพท์”


เสียงเรียกเข้าคุ้นเคยดังขึ้น แต่โทรศัพท์ผมดันอยู่ในรถเนี่ยสิ


“หึหึ หายงอนก่อนสิแล้วจะเปิดให้”


“ครับๆๆ โอเคครับ เปิดให้หน่อยครับ”


ขี้เกียจจะเถียงจริงๆ เถียงไปก็ไม่เคยชนะ


♬..ต่อให้ดาวหมดฟ้า ต่อให้คนทั้งโลกไม่เข้าใจ
แต่รู้ไว้อย่างได้ไหม ว่าฉันนั้นรักเธอ…



“อื้มมม ว่าไงม่าน”


“กำลังจะกลับแล้ว จ้า ใช่ๆ อ๋อ เอ่อ… คือ”


“อ่าาา คืออย่างนี้นะม่าน คือลินเจ็บขานิดหน่อย อุบัติเหตุหน่ะ อุบัติเหตุจ้า เดี๋ยวไว้เล่าให้ฟังนะ อื้มๆ เอ่อออ แล้วคือเลยต้องมารถยนต์รุ่นพี่หน่ะ นี่ก็น่าจะครึ่งทางแล้วมั้ง”


“อ่าาา คือใจเย็นนะม่าน เรื่องในเพจเจ๊มินนี่ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลังนะ จ้า กลับไปจะอธิบายทุกรูปเลยจ้า แต่ตอนนี้หายโกรธก่อนนะครับ นะๆๆ มากับรุ่นพี่คนไหนหน่ะหรอ เอ่อ คือ.. คือลินอยู่บนรถพี่ภู แต่ไม่มีอะไรนะม่าน กลับไปถึงแล้วจะรีบรายงานทันทีเลย”


ผมพยายามพูดให้เบาที่สุด แต่รถที่ยังไม่ติดเครื่องยนต์และคนข้างๆที่ดูท่าว่าจะตั้งใจฟัง ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในเวลานี้


“ครับๆ เข้าไปรอในห้องได้เลย เดี๋ยวจะให้ซักฟอกถึงเช้าเลยนะ ต้องวางแล้วน้าาา นะๆๆ จ้า รักเหมือนกัน”


“นี่ต้องเล่นละครตลอดเวลาเลยหรือไง”


เฮ้อออ เงียบดีกว่า ขี้เกียจเถียงกับพี่แก เดี๋ยวโดนฆ่ายัดข้างทางเปล่าๆ


“หรือเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ”


อยู่ดีๆเค้าลางหายนะก็มาเยือน ถ้าเงียบต่อไปอาจไม่ได้กลับ เพราะพี่แกเล่นหันมาจ้องแล้วไม่ยอมออกรถสักที


แต่..ตอบยังไงหล่ะ ภูเขาไฟถึงจะไม่ระเบิด


“เพื่อนเฉยๆครับ คิดซื่อ”


“แล้วบอกรักกันทำไม”


“ก็รักกันครับ”


“ฮึ?”


อ่าว ตอบผิดหรอ หน้าหงิกเลยทีนี้


“เอ่อ ก็บอกกันแบบนี้เป็นปกติครับ พี่ภูไม่สตาร์ทรถหรอครับ ข้างนอกครึ้มๆเหมือนฝนจะตกแล้วนะครับ เดี๋ยวขับยาก”


“กอดหน่อย”


“ครับ??”


อะไรกันเนี่ย ชีวิตปาลิน


“หดหู่อะ ไม่มีแรงขับรถ”


หื้ม แบบนี้ก็ได้หรอ แหนะ มีเอนเบาะนอนหลับตาไปอี๊ก เอายังไงดีหล่ะเนี่ย


“เอ่อ พี่ภูเหนื่อยหรอครับ ผมพอจะขับรถเป็นนะครับ ให้ผมช่วยมั้ย”


เอาวะ ลองถามดู


กึก นอนหันหลังให้เลยคราวนี้


“พี่ภูครับ เอากาแฟมั้ย ผมไปซื้อให้”


ผมที่จะเปิดประตูเพื่อลงจากรถ แต่ถูกมือหนาคว้าตัวไว้ก่อน


“ก็แค่ขอกอดเอง วันนั้นยังยอมให้พี่กอดเลย”


โอ้โห ไม่แค่เลยครับ ถ้าผู้ชายสองคนมากอดกันในรถกลางปั๊มน้ำมันที่คนพลุกพล่าน แล้วที่สำคัญในผับคืนนั้น ใครกันแน่ที่เผด็จการกอดเอง แล้วยังมาอ้างว่าเรายอมให้กอดด้วยนะ


พอไม่ให้กอดก็งอนเป็นเด็กๆ แล้วตอนนี้ยังมีหน้ามากอดเองอีก เอาแต่ใจตัวเองสุดๆ


“ขอเติมพลังแป๊บนึง”


คนหน้ามึนกอดผมไว้จากด้านหลัง แล้วยังเอาคางมาเกยไว้บนไหล่ผมอีก เนียนแบบหาคำเปรียบไม่ได้ แล้วจะผลักออกก็ไม่ได้ มัวแต่ยื้อไปยื้อมา เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับกันพอดี เฮ้อ วันนี้มันวันโลกาวินาศของปาลินแน่ๆ






..ภูฟ้า..




นี่ผมเป็นสตรีวัยหมดประจำเดือนชัดๆ วันนี้แป๊บๆก็มีความสุข แป๊บๆก็โกรธ ตื่นเต้น โมโห ฟิน แล้วแป๊บๆก็น้อยใจอีกแล้ว สามนาทีสี่อารมณ์มากๆ และสาเหตุก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นี่เลย..ไอ้เด็กจืดข้างๆนี่เลย


แต่แค่ได้กอดมันจากข้างหลัง แค่นั้นก็ดูจะทำให้อาการบ้าบอของผมทุเลาลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ทำไมมันมีอิทธิพลกับอารมณ์ผมจังวะ ขนาดจะตีนผียังไม่กล้า ปกติกรุงเทพอ่าวมะนาว กะด้วยระยะทางสองชั่วโมงกับปอร์เช่คาเยนน์ลูกรักผมคันนี้ บอกได้เลยว่าเหลือๆ แล้วดูตอนนี้สองชั่วโมงพึ่งครึ่งทาง ฝนก็ดันมาตกอีก ผมนี่ขับ80กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็เร็วสุดแล้วในเวลานี้


ก็เพราะกลัวไอ้เด็กข้างๆจะได้รับอันตรายนี่แหละ


เฮ้ออออ อาการหนักเหมือนที่ไอ้ปาล์มว่าแล้วมั้ยเนี่ยกู


“พี่ภูมองทางเห็นหรอครับ”


ด้วยความที่ฝนเม็ดใหญ่มาก เด็กจืดคงนอนไม่หลับเพราะเสียงฝนแน่ๆ


“เห็นแหละ ค่อยๆไป”


ความจริงคือไม่เห็นเลย ที่ขับอยู่คืออาศัยไฟเบรครถคันหน้า คอยดูการชะลอเป็นระยะๆ


“แวะปั๊มก่อนดีมั้ย ผมว่าขับแบบนี้อันตรายนะครับ”


ก็จริงของเด็กจืด นี่ขับจนเกร็งเท้าที่รอเหยียบเบรคไปหมดแล้ว ลำพังมาคนเดียวหรือมากับคนอื่นก็ไม่คิดอะไร แต่พออัญเชิญองค์เด็กจืดมาประทับเท่านั้นแหละโว๊ยยยย เต่ายังแซง


“งั้นปั๊มนั้นแล้วกัน”


ผมเห็นปั๊มใหญ่พอสมควรจึงแวะพักก่อน ถนนเส้นนี้อันตรายอีกอย่าง คือรถพ่วงและรถบรรทุกที่วิ่งกันให้ควั่ก ขับช้าแต่ชอบแช่เลนขวาด้วยนะ พ่อหล่ะอยากไปเบิ๊ดกระโหลกเรียงตัว


“ดื่มอะไรมั้ยครับ ผมไปซื้อให้”


พอผมขับเข้ามาหาที่จอดได้แล้ว เด็กจืดก็ชี้ไปยังเซเว่นด้านหน้าของเรา


แต๊ก


ปลดล็อกเองแล้วด้วย


แต๊ก


ผมล็อคใหม่อีกครั้ง เลยได้เครื่องหมายคำถามที่แปะไว้กลางหน้าผากเด็กจืดมาแทน


“ฝนมันตก เดี๋ยวเปียก”


“ไม่เป็นไรครับ วิ่งไปแป๊บเดียว”


แหน๊ะ มียิ้มสดใสส่งมาให้อีก ฟ้าฝนยิ่งเป็นใจ เดี๋ยวพ่อจับกดในรถซะหรอก


“หิวหรอ”


ผมไม่อยากกินอะไรเท่าไหร่ เวลาเครียดๆ ผมจะกินอะไรไม่ลง


“ครับ หิวแล้ว”


เฮือก เหมือนโดนหมัดเสย พูดสามคำด้วยท่าทางโคตรน่ารักขนาดนี้ได้ยังไงวะ อดใจไม่ไหว ก็จับมันกอดอีกทีซะเลย


“อื้อออ ปล่อยนะครับ พี่ภู! พี่ภู!!”


แกล้งมึนครับ พูดอะไรหรอ ภูไม่เห็นได้ยินเลย ตัวก็ห๊อมหอม ภูเมาฝน ภูไม่รู้เรื่อง


“พี่ภูครับ!! ปล่อยนะ!! ผมยังไม่ได้อนุญาตให้จีบหรือกอดได้เลยนะ”


หื้มมมมม


“แล้วทำไมต้องขออนุญาตหล่ะ”


ผมผละออกมาเล็กน้อยเพื่อดูหน้าเด็กจืด ซึ่งอ้าปากค้างตาโตไปแล้ว


“ก..ก็ ก็ต้องขอก่อนสิครับ ต้องได้รับอนุญาตก่อนสิ”


เด็กจืดกัดปากทำหน้าครุ่นคิด เหมือนพูดกับตัวเองคนเดียว โอ๊ย อย่างน่าฟัดอะ


“งั้นก็รีบอนุญาตสิ”


“ครับ??”


“พี่ก็ขออยู่นี่ไง”


ไม่รู้แหละขอแล้วก็ถือว่าได้แล้ว ก็จะเนียนๆไม่ยอมปล่อยนี่แหละ อยากน่ากอดทำไมเล่า


“แต่ผมเป็นผู้ชายนะ พี่ชอบผู้ชายหรอ”


เสียงแหบปร่าถูกเปล่งออกมา ดวงตาวูบไหวคล้ายคนลังเล เด็กจืดกำลังสับสน ผมผละคนตรงหน้าแล้วจัดให้นั่งหันหน้ามามองผมดีๆ


“เอาตรงๆมั้ย”


เด็กจืดพยักหน้า


“ไม่รู้หว่ะ ยังไม่เคยชอบผู้ชายเลย เนี่ยก็ครั้งแรกที่พิศวาสผู้ชายขนาดนี้”


ผมไม่อยากจะอ้อมค้อม มันพูดตรง ผมก็จะพูดตรง


“แล้วพี่คิดว่าความรักชายชายมันจะยั่งยืนหรือไง”


“เอาตรงๆอีกรอบมั้ย พี่ว่าไม่หว่ะ”


ไม่รู้เพราะสายตาคาดคั้นหรือเพราะท่าทางเหมือนกวางตัวน้อยโดนกับดักและกำลังเจ็บปวด ที่ทำให้ผมตอบคำถามเจ้าตัวไปอย่างใจคิด เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนเจ้าของเสียงจะพิงพนักเบาะกลับไปใหม่ คล้ายคนหมดแรง


“ถือว่าขอร้องเถอะครับ อย่ายุ่งกับผมเลยนะพี่”


ไม่รู้ว่าเพราะประโยคขอร้องหรือเพราะดวงตาอ่อนล้าคู่นั้น ผมจึงมีโอกาสได้ด่ำดิ่งไปกับความรู้สึกขมปร่านี้เป็นครั้งแรก พึ่งจะรู้ว่าการถูกปฏิเสธมันเจ็บไม่น้อย ก็ตอนได้ลองฟังเสียงหัวใจตัวเองที่ดังแข่งกับเสียงฝนอยู่ในตอนนี้ ทั้งๆที่ไม่คุ้นชินกับไอ้ความรู้สึกแปลกๆนี่สักนิด แต่สองเท้าโง่ๆของผมกลับทำเรื่องที่แปลกยิ่งกว่า ด้วยการวิ่งฝ่าสายฝน เพื่อมาซื้อขนมจีบกับน้ำเต้าหู้ให้คนบนรถทานรองท้อง และเหตุผลที่โง่เง่ายิ่งกว่า ที่พอจะตอบตัวเองได้ ก็มีเพียงแค่กลัวว่าใครสักคนจะหิวไปมากกว่านี้


。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。


ตอนนี้สั้นไปหน่อย สำหรับตอนต่อไปเจอกันพรุ่งนี้ค่ะ(。>‿‿<。 )


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-09-2017 23:01:25 โดย Sugar_stack »

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
Hahaha 3 นาที4 อารมณ์.... พี่ภูเป็นวัยทอง....  o13

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
เฮ้อออ พี่ภู พูดตรง ๆ อย่างนี้ก็ดีแหละ จริง ๆ นะ
แต่ถ้าเราเป็นน้องลิน ได้ฟังอย่างนี้ ก็คงขอให้อย่ามายุ่งกับเราเหมือนกัน
ไม่ต้องคิดว่าเป็นว่าเป็นเพศไหนหรอก ถ้าแค่มีคนมาขอจีบ มาทำเหมือนชอบเรา
แต่บอกว่าไม่เชื่อว่าจะมีความรักที่ยั่งยืนด้วย ใครมันจะอยากเสี่ยงให้เจ็บตัวเปล่า ๆ
ตัวเองไม่เชื่อว่าจะมีรักยั่งยืน คบกันไป ก็ต้องลุ้นว่าจะจบวันไหน จะมีความสุขเหรอ
เป็นเราก็ไม่ขอเริ่มให้เจ็บตัวหรอก สงสารน้องลินจังอ่ะ T^T
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:


ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ชอบค่าาาาา นี่ขนาดเขียนเรื่องแรกยังเขียนขนาดนี้ คำผิดก็ไม่มีด้วย ดีมากกกกกก

ออฟไลน์ Sugar_stack

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • Page FB Sugar_stack
❥・ใจดวงที่เก้า・❥



กำแพงสูง แต่มีประตู



..ปาลิน..



ผมกลับมาถึงคอนโดตอนสี่โมงกว่าๆ โชคดีที่ฝนเริ่มซาหลังรถเคลื่อนตัวออกมาจากปั๊มน้ำมันได้ไม่นาน น้ำตาฟ้าที่แห้งเหือด ราวกับได้ชะเอาสรรพเสียงรอบกายให้หายตามไปด้วย ต่างคนจึงต่างจมจ่อมและจดจ่ออยู่กับห้วงความคิดของตัวเอง โดยไม่มีใครคิดจะทำลายความเงียบงันนั้นอีกเลยตลอดทาง


“ลิน”


เจ้าของเสียงใสพุ่งเข้ามากอดผม ทันทีที่เปิดประตูเปิดออก


“ว่าไงคิตตี้ วันนี้จะนอนนี่มั้ย”


ผมกอดแล้วโยกตัวเบาๆ คิตตี้ตัวเล็กเหมือนเด็ก ผมเลยชอบทำแบบนี้


“ฮือ อยากนอนด้วยจัง แต่พรุ่งนี้มีเรียนเช้าแล้วก็ต้องไปแคสติ้งงานต่อหน่ะสิ”


คนน่ารักถูแก้มกับพุงผมอย่างอ้อนๆ คิตตี้เป็นหนึ่งในคนที่ใช้โซเชียลมีเดียให้เกิดประโยชน์ได้จริง เธอเริ่มจากการเป็นคนน่ารักที่เล่นอินสตาแกรม เมื่อมีคนชอบมากมาย ยอดFollowersหลักแสนจึงตามมา ตามมาด้วยการทำงานในวงการบันเทิง ถึงจะยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากมาย แต่ผมว่า นี่ก็นับเป็นก้าวแรกที่น่าชื่นชม


“ออกมานี่เลยแม่ตัวดี ลินหน่ะ ของเค้านะ”


ดาวมหาลัยเดินมาแกะคนตัวเล็กออกแล้วกอดคอผมไว้แน่น ม่านแพงแทบจะตรงข้ามกับคิตตี้ทุกอย่าง เว้นก็แต่เรื่องของนิสัยขี้หึง เธอเป็นคนสวยที่มีเพียงแอคเคาท์เฟซบุ๊คไว้เพื่อตั้งสเตตัส In a relationship คู่กันกับผมเท่านั้น นอกนั้นอย่าไปถามหาเรื่องโซเชียลมีเดียกับเธอเลย


“อะๆๆ ลินของทุกคนเลย เดี๋ยวจะตัดครึ่งซ้ายให้ม่าน แล้วขวาให้คิตตี้ ดีล?”


ผมไกล่เกลี่ยเหมือนทุกที


“เย่!!”


สองสาวแย่งกันกอดแขนผมคนละข้าง พาผมเข้าไปในห้องตัวเอง แล้วแข่งกันโชว์เสน่ห์ปลายจวัก(ที่ซื้อมา) เอามาเรียงตรงหน้าผมทีละจานๆ คล้ายการประชันกัน


เราสามคนทานอาหารด้วยกัน คุยกัน ผลัดกันเล่าเรื่องต่างๆที่แต่ละคนเจอมาระหว่างวัน หัวเราะให้กับเรื่องเป๋อๆของแต่ละคน และปลอบใจกันในบางเรื่องที่เรายังทำไม่สำเร็จ


ผมรู้สึกผ่อนคลายเสมอเมื่ออยู่กับคิตตี้และม่านแพง รู้ได้ในทันทีว่าทั้งคู่คือนิยามคำว่าบ้านและความสุขสำหรับผม และก็รู้ด้วยว่า ความปรารถนาดีที่ทั้งสองคนมีให้ผมอยู่เสมอ คือการที่อยากเห็นผมมีแต่ความสุข


“ลินอิ่มยัง”


ผมเห็นม่านส่งสายตาเป็นสัญญาณให้คิตตี้ถามคำถามกับผม


“อื้ม อิ่มแล้วจ้า”


“งั้นเค้าเก็บจานน้า”


“จ้า”


คิตตี้ลงมือเก็บจานโดยที่ผมไม่ได้ลุกไปช่วย เพราะม่านแพงดูมีหลายอย่างอยากจะพูดกับผม


“ลิน”


“หื้ม”


“เรื่องค่ายหน่ะ ไม่มีอะไรที่อยากเล่าให้ม่านฟังหรอ”


ม่านแพงเปิดประเด็นที่เธอคงจะอยากถามตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้าผมด้วยซ้ำ แต่พอเห็นว่าผมเลี่ยงที่จะพูดถึง เธอจึงถามขึ้นเองเมื่อรอต่อไปไม่ไหว


“เฮ้อ มันเยอะมากจนไม่รู้จะพูดเรื่องไหนก่อนเลยดี เอาเป็นว่า ม่านถามเรื่องที่อยากรู้แล้วกันนะ ลินจะตอบทุกประเด็นเลย”


ผมถอนใจกับเรื่องยุ่งที่รออยู่ข้างหน้า แค่คิดถึงผู้ชายที่ทำให้ชีวิตผมวุ่นวายคนนั้น ผมก็อยากจะถอนหายใจแรงๆอีกสักสิบรอบเลยทีเดียว


“เรื่องรูปกับนายนั่น”


ม่านแพงคงหมายถึงรูปมากมาย ที่เจ๊มินนี่อัพโหลดเต็มหน้าเพจของแก ผมและพี่ภูฟ้าในอิริยาบถต่างๆ โดยเฉพาะเวลาอยู่ร่วมเฟรมเดียวกัน ทั้งรูปแอบถ่ายและรูปที่ผมรู้ตัว


“ก็ตามแคปชั่นแหละม่าน คนในค่ายมีแต่ผู้หญิง ก็เลยชอบใจใหญ่เลยเวลาที่เราอยู่ใกล้ๆพี่ภู พวกนั้นก็เลยแซวกันขำๆว่าคู่จิ้น”


เจ๊มินนี่ไม่ได้อัพข้อความบรรยายยืดยาวอย่างทุกที แกแค่ลงรูปหนึ่งโฟลเดอร์ แล้วตั้งชื่อว่า “#ภูฟ้าปาลิน” มีบรรยายแคปชั่นนิดหน่อย ว่า #นี่คู่จิ้นหรือคู่จริงคะ #ใจแตกสลายผู้ชายอยากได้กันเอง ผมแค่เข้าไปดูเพราะมีแจ้งเตือนทั้งจากการแท็กรูปและคอมเมนท์มากมาย จากใครหลายต่อหลายคนที่ผมไม่รู้จัก


“แล้วตาพี่นั่นทำอะไรลินบ้าง ทำไมถึงได้ร้องเพลงให้ลินเสียขนาดนั้น หรือเกิดเฮี้ยนอะไรขึ้นมา หรือว่าตานั่นแกล้งลิน”


ม่านแพงหมายถึงคลิปวีดีโอจากเพจเจ๊มินนี่อีกตามเคย ซึ่งอันนี้แหละที่ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผมต้องล้อคเอาท์เฟซบุ๊คหนีแจ้งเตือนมหาโหดนั่นก่อน ตอนนั้นที่ผมเห็น แค่ไม่กี่ชั่วโมงทั้งยอดวิวยอดไลค์ ก็ปาไปแตะๆสามหมื่น นี่ผมยังสงสัยอยู่เลย ว่าเด็กมหาลัยผมมีกันเยอะขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร แต่ก็ไม่ได้คิดจะหาคำตอบ ทำได้แค่เพิกเฉยแล้วปิดการรับรู้ รอให้กระแสซาไปเอง


“ก็ไม่รู้นึกยังไง ก็คงอยากแกล้งเราด้วยแหละ เห็นทำแล้วคนกรี๊ดกันใหญ่เลยยิ่งทำ”


“แต่ตอนนี้ ลินเชื่อม่านแล้วใช่มั้ย”


“เชื่อเรื่องอะไร”


“ก็เชื่อเรื่องที่ว่า พี่ภูฟ้าชอบปาลินหน่ะสิ”


ผมหลบสายตาม่านแพงหลังจากที่เจอเธอถามตรงๆ พยายามเรียบเรียงความคิดในหัวที่ยังไม่สมบูรณ์ดี แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น เลยพยักหน้าให้เธอไปอย่างจำนน


“อื้ม เชื่อแล้ว”


“ทำไมถึงเชื่อ”


ม่านแพงใช้สองมือประคองหน้าผมให้เงยขึ้นมาสบตาคู่สวย


“ก็..”


ผมลังเลเล็กน้อย


“พี่เขาบอกตอนที่นั่งมาในรถหน่ะ”


ไม่ช้าก็เร็วม่านแพงก็ต้องรู้ ผมเลยเลือกที่จะเล่าทุกเรื่องให้เธอฟัง โดยที่ไม่ต้องรอเธอถามซ้ำ “ทุกเรื่อง” ยกเว้นเรื่องที่พี่ภูบังคับให้ผมนอนเตียงเสริมคนเดียว แทนการนอนร่วมเตียงกับเพื่อนๆ และเรื่องที่ผมโดนคนหน้าไม่อายขโมยกอดและหอมแก้ม ก็มันน่าอายนี่นา อยู่ดีๆก็โดนลวนลามจากคนหน้ามึน ไม่ต่างจากสาวน้อยไม่ประสีประสา ที่โดนตาแก่ล่อลวงสักนิด


ม่านแพงเงียบไปนานเหมือนคนกำลังใช้ความคิด เธอไม่ได้ลุกขึ้นมาโวยวายอย่างทุกที ซึ่งทำให้ผมรู้ได้ทันที ว่าเธอกำลังเข้าสู่โหมดจริงจัง


“ลินยังมีความสุขดีอยู่มั้ย ที่เป็นแบบนี้”


เป็นเธอที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ส่วนผมทำเพียงแสดงความสงสัยผ่านทางสีหน้าแทนคำตอบ


“ก็หมายถึง การที่ชีวิตมีแต่ตัวป่วนแบบเรากับคิตตี้ เอ่อ หมายถึง การที่ไม่มีแฟนหน่ะ”


คนสวยก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายลำบากใจที่จะพูดในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ


“ม่าน เรามีความสุขมากเลย เมื่อก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น”


ฟู่วววว


เสียงพรูลมหายใจอย่างโล่งอกของม่านแพงและคิตตี้(ที่แอบฟังอยู่ข้างตู้เย็น)ดังขึ้นพร้อมกัน คงเพราะผมไม่เคยโกหกพวกเธอสักครั้ง ทั้งสองคนเลยเชื่อใจได้ ว่าผมจะไม่โกหกในเรื่องที่ผมพึ่งยืนยันไป


“เค้าบอกตัวแล้วว่าลินยังรักพวกเรา”


คนน่ารักเดินมานั่งตักคนรักของตัวเองด้วยสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด


“เค้ารู้ แต่พวกเราจะต้องทำให้แน่ใจสิ ว่าลินกำลังมีความสุขจริงๆ ดังนั้นการถามตรงๆหน่ะ เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”


ม่านแพงกอดเอวคนบนตักแล้วพยักหน้าหงึกหงักสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองพูดไปก่อนหน้านี้


“แล้วทำไมลินจะต้องไม่มีความสุขหล่ะ”


คนตัวเล็กกว่ายังถามต่อ


“เอ้า ก็ลินหน่ะ หล่อเลือกได้นะตัว แต่ละวันมีสาวๆหนุ่มๆจ้องตาไม่กะพริบ ถ้าลินอยากมีแฟน เราจะได้ประกาศว่าเลิกกับลินแล้วยังไงหล่ะ”


ม่านแพงบิดจมูกแฟนสาวคล้ายมันเขี้ยวคนช่างซักเสียเต็มประดา เลยได้เห็นอาการหูลู่หางตกจากลูกแมวน้อยขี้อ้อนในทันที ทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูจนผมยังอดไม่ได้ที่จะบีบแก้มขาวๆนุ่มๆนั่นอีกคน


“อื้อๆ งั้นแบบนั้นก็ได้ ลิน ลินอยากมีแฟนมั้ย”


คิตตี้หันมาถามผมแทน


“ไม่หล่ะ เรายังไม่พร้อม”


ผมตอบรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ


“กำแพงหัวใจ สูงแค่ไหนก็มีประตู จำคำเราไว้นะตัว”


อยู่ดีๆม่านแพงก็พูดขึ้นมา ถึงจะเหมือนพูดกับคิตตี้ แต่สายตากลับจ้องมาที่ผมแทน


“คืออะไรอะตัว เค้าตามไม่ทัน”


คนตัวเล็กมุ่ยหน้ากับประโยคปริศนาของม่านแพง


“ก็ต่อให้เราสร้างกำแพงเพื่อซ่อนหัวใจตัวเองสักแค่ไหน แต่วันหนึ่ง กำแพงที่ไม่ว่าจะสูงหรือแข็งแกร่งมากมายขนาดไหน ก็ไม่สามารถซ่อนใจเรา จากคนที่มีกุญแจได้หรอก โดยที่ไม่ต้องปีนป่าย ไม่ต้องพยายาม แค่ไขกุญแจแกร๊กเดียว ก็ได้เข้าไปนั่งในใจแล้ว เผลอๆเจ้าของกำแพงอาจจะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ ว่าเป็นคนยื่นกุญแจนั้นให้เองกับมือ”


“แล้วถ้าคนนั้นเกิดเป็นคนใจร้ายขึ้นมาหล่ะ”


คิตตี้ที่ดูจะเข้าใจในสิ่งที่ม่านแพงต้องการจะบอก เป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง


“ก็เลยเป็นหน้าที่ขององครักษ์สาวแสนสวยอย่างเราสองคนยังไงหล่ะ เราจะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อกันคนใจร้ายให้ห่างจากประตูบานที่ว่า และจะต้องทำให้แน่ใจด้วยว่า จากนี้จะไม่มีคนใจร้ายหน้าไหน สามารถเดินเข้ามาทำร้าย“หัวใจของพวกเรา”ได้อีก”


ม่านแพงพูดกับคิตตี้ แต่สายตายังจ้องเข้ามาสบตากับผมอยู่ ถึงจะไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ผมก็มั่นใจว่าม่านแพงจะรับรู้ได้ ว่าผมรู้สึกขอบคุณกับทุกสิ่งที่เธอและคิตตี้ทำให้ผมมากแค่ไหน




เรานั่งดูหนังด้วยกันจนจบไปหนึ่งเรื่อง ม่านแพงต้องไปส่งคิตตี้ เพราะคิตตี้เรียนมหาลัยเอกชนชื่อดังที่อยู่อีกฟากของเมือง ถ้าออกตอนเช้าคงต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ กลับเวลานี้จึงน่าจะดีกว่า


เสียงแจ้งเตือนรัวๆ จากแอพพลิเคชั่นสีน้ำเงินที่ผมพึ่งทำการล็อคอินเข้าไปหลังจากเดินไปส่งม่านแพงกับคิตตี้ที่รถ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะกดเข้าไปดู


*****************


มินนี่สสสสส์..มีเผือก

โอร๊ยยยยยย ต่อมอิจฉากำเริบหนักมาก ก็จะใครซะอีก ครอบครัวสามคนเผรียมรัวของน้องปริญน้องม่านและสาวปริศนาหน่ะสิคะคุ๊ณณณณณ ทำให้ขาเผือกจากคอนโดAรีบต่อสายมาหาเจ๊จนแทบไหม้ อู่ยยยยๆๆๆ งานนี้ไม่ธรรมดานะคระ เค้ามีปาร์ตี้รับขวัญซัมมี(ของเจ๊แน่ๆ คริ)กลับบ้านค่ะคุณขาาาา ได้ข่าวว่าซัมมีไปค่ายแต่แพ้น้ำทะเล วรั้ยๆๆๆๆ ไม่รู้คืนนี้จะอ้อนให้ใครทาถูๆให้ดี เอ๊ะๆๆๆ หรือจะพร้อมกันเลยดี วรั้ยๆๆๆแค่คิดก็สยิวแล้วอะะะ

ปูลู ไม่ได้อยากรู้เลยจริงๆนะคะ ว่าจะมาเคลียร์กันเรื่องคู่จิ้น #ภูฟ้าปาลิน รึเปล่า อุ๊ปส์ ไม่เอาไม่พูด

#อยากแพ้น้ำ #สองน้ำสามน้ำก็บ่ยั่น #สามพีที่ดี #ซัมมีแห่งชาติ #อยากได้อยากโดน #วรั้ย #ใครก็ได้นะจุดนี้ #หรือจะกินกันเองเพื่อทรมานใจเมีย #กระซิกกระซิก


อ่านแล้วก็ได้แต่กุมขมับ ผมสำนึกได้ในทันที ว่าการเป็นคนที่คนอื่นให้ความสนใจนี่มันน่าปวดหัวขนาดไหน


..ลืมตาเพื่อจะพบว่าไม่มีเธอ
อยู่บนโลกใบที่เคยเจอ
กับความรักที่มันสวยงาม

อยากทำใจอยากจะรับความเป็นไป
อยากจะไม่มัวมาอาลัย
แต่ก็ไม่วายคิดถึงเธอ..


[ศิลปิน Synkronize เพลง เข้ากันไม่ได้ ]



ผมปล่อยให้โทรศัพท์ดังโดยไม่คิดจะรับสาย หลังจากหน้าจอแสดงชื่อที่เจ้าตัวพิมพ์เอาไปพิมพ์เองอย่างเอาแต่ใจ


“พี่ภูฟ้าของปาลิน”


เสียงเพลงรอสายดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่สามสี่รอบ ก่อนจะหยุดไปเอง ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะบล็อคเบอร์ที่โทรเข้ามานี้ดี หรือจะแค่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น“ตัวอันตราย”ดีอยู่นั้น ก็มีเสียงดังขึ้นจากทางประตูห้องด้านหน้า


ก๊อกๆๆ


ห้าทุ่มแล้ว ใครจะมีธุระกับผม ในเวลาแบบนี้


“เปิดให้พี่หน่อย”


ยังไม่ทันเดินไปถึง แต่ก็รู้ได้ในทันที ว่าใครกำลังยืนอยู่อีกฟากของประตู เสียงนี้..ไม่ผิดแน่ เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่ผมไม่คิดจะรับ




..ภูฟ้า..



“มีธุระอะไรครับ”


เด็กจืดยอมแง้มประตูออกมา แต่ใช้โซ่คล้องประตูไว้แทน


“คิดถึง”


ผมพูดความจริงออกไป ต่อหน้าดวงตากลมโตคู่นี้ ผมโกหกไม่ได้จริงๆ


“.....”


“ขอมองหน่อย ขอแค่นาทีเดียว”


ผมไม่รู้ว่าน้ำเสียงของผมมันจะน่าสมเพชขนาดไหนในเวลานี้ รู้แต่เพียงว่า ผมต้องการเห็นหน้าผู้ชายตรงหน้าคนนี้จริงๆ ถึงแม้จะพึ่งแยกกันเมื่อช่วงเย็นก็ตาม


“ม่านแพงพึ่งกลับไปหรอ”


และยังเป็นผมที่ยังพูดอยู่คนเดียว


“อ้อ ครับ”


เสียงตอบรับมาพร้อมกับแววตาอ่อนอกอ่อนใจ มองตรงมายังผม


“พี่รู้จากเพจมินนี่หน่ะ”


จะว่าหน้าด้านก็ได้ แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่เห็นแววตาลำบากใจของคนที่ผมคิดถึงจนแทบบ้า ที่ถึงแม้จะยืนห่างจากผมแค่เพียงบานประตูกั้น แต่กลับเหมือนไกลและเลือนลางเกินกว่าจะเอื้อมคว้า


“ครับ”


คนที่ไม่ได้ยินดีกับการมาของผม ยังคงถามคำตอบคำ


“สนุกมั้ย เพื่อนมาหา”


คำถามโง่ๆยังถูกส่งออกไปเพื่อทำลายความเงียบ


“สนุกครับ”


ยังดีที่น้องก็ยังยอมตอบกลับมา


“มากกว่าตอนอยู่กับพี่มั้ย”


อยู่ดีๆก็หลุดถามในสิ่งที่ใจคิด


“อื้ม”


และก็กลายเป็นตัวเองที่เจ็บเอง เจ็บ เจ็บมาก เจ็บชิบหายเลยตอนนี้ ก็รู้แหละ ว่าน้องมันจะเอาอะไรมาสนุกกับผม เราแทบจะยังเป็นคนแปลกหน้าระหว่างกันอยู่เลย แล้วที่สำคัญ ผมเองก็ยังไม่สามารถยืนยันอะไรให้น้องมันเชื่อใจได้เลยสักเรื่อง


“วันนี้พี่ขอไปกินเหล้านะ ไม่หิ้วใครไปนอนด้วยหรอก สบายใจได้”


น้องอยากรู้รึเปล่าก็ไม่รู้ รู้แค่อยากบอกก็เท่านั้น


“อ่อ..ครับ”


ก็เจ็บดี เจ็บจนหวังว่าจะชินไปได้เองในเร็ววันนี้


“ไปนอนเถอะ”


รู้ว่ารั้งต่อไปก็คงไม่ช่วยให้น้องมองผมดีขึ้นมาได้ แต่การตั้งท่าจะปิดประตูในทันที ก็ทำผมช็อคไปไม่น้อย นี่ไม่คิดจะมีเยื่อใยให้กันสักนิดเลยหรอ


“เดี๋ยวก่อน”


แต่ใจเรามันก็ดันไม่รักดีไง ก็ยังอยากจะเจ็บต่อไปอีกหน่อย แลกกับการได้เห็นหน้าเขา


“ครับ?”


“ฝันดีนะ”


“ขอบคุณครับ”


ทั้งที่อยากจะได้ยินคำว่า พี่ก็ฝันดีนะครับแท้ๆ แต่ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่า ได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ทำไมตอนจีบคนอื่นไม่เห็นยากแบบนี้เลยวะ ที่สำคัญ ใจก็ไม่เคยเจ็บขนาดนี้ด้วย ไม่รู้ว่าบาดแผลขนาดนี้ เหล้าแพงๆจะรักษามันได้บ้างไหม





“ไงมึง เรียกพวกกูมามีไร ไหนเหลามาเซะ”


ไอ้ปาล์มส่งเสียงกวนแบบลิ้นเปลี้ยมาแต่ไกล


“ทำไม กกเมียแล้วจะไม่สนใจเพื่อน??”


ผมเลยกวนตีนมันกลับบ้าง


“เอ้า พาลนะครับเนี่ย เค้าเรียกว่าพาล และที่สำคัญกรุณาใช้คำว่า“แฟน”ก็พอครับ เดี๋ยวเมียกูโกรธ ฮ่าๆๆๆ”


ไอ้ปาล์มมันเล่นมุกจิกกัดตัวเอง ก่อนจะหันมารับแก้วเหล้าใบเล็กที่ไอ้จั๊ดส่งให้มายกดื่มรวดเดียวหมด


“เออ แต่นัดมาก็ดี เล่ามาดิ๊ว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง มึงได้ทำคะแนนบ้างมั้ยวะ กูเห็นหน้าเป็นหมาป่วยของมึง กูฟันธงได้เลย วันนี้คะแนนติดลบแน่ๆ หรือมึงไปแกล้งอะไรน้องมันอีก”


ไอ้จั๊ดผู้ผันตัวเป็นกูรูด้านความรัก หันมาถามจี้ใจดำผมเต็มๆ


“แกล้งห่าอะไร มีแต่กูหน่ะสิ โดนกระทืบไม่ยั้ง”


“ห๊ะ!!!” 


ไอ้สองตัวนี้นอกจากจะเสียงดังพร้อมกันแล้ว พวกมันยังจับผมพลิกซ้ายพลิกขวาหารอยตีนอีก


“ไม่ได้เหยียบกาย กูหมายถึงเหยียบใจเว่ย”


ผมตะโกนออกไปอย่างฉุนๆ


“มันกินไปกี่แก้วแล้ววะไอ้จั๊ด”


“ไม่รู้หว่ะ กูก็พึ่งมา ถ้าแค่ขวดนี้ก็ยังพร่องไม่เยอะนะมึง”


พอไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ไอ้จั๊ดเลยจัดการกวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟมาถามในสิ่งที่มันสงสัย


“ไอ้เชี่ย พอๆๆ มึงจะแดกเหล้าหรือให้เหล้าแดก ก่อนหน้านี้มึงล่อเหล้าครึ่งขวดที่ฝากไว้คราวก่อนจนหมดแล้วนี่หว่า”


ไอ้จั๊ดมันถลามาคว้าแก้วเหล้าในมือผมออก แต่มีหรือที่ผมจะยอม


“เชรด ครั้งแรกที่ไอ้ภูอกหักเว่ยมึง มาๆ กูขอชักภาพประวัติศาสตร์”


เป็นไอ้ห่าปาล์มที่ยังเล่นไม่รู้เวล่ำเวลา จนผมอดที่จะด่ามันไม่ได้


“ชักกับตีนกูนี่”


ตอนแรกกะจะฟาดมันอีกสักทีด้วยซ้ำ แต่คิดไปคิดมา


“เออๆ ถ่ายๆ ถ่ายแล้วส่งมาให้กูด้วย”


อยู่ดีๆ ผมก็คิดอะไรออก


“หื้อออ”


“เร็วสิวะ”


“เออๆๆ”


หลังจากที่ไอ้ปาล์มส่งรูปมาให้ผม ผมก็จัดการ..


**Picture**
Sent      1.03 AM



ทำไมถึงอยากให้เห็นว่าทำอะไรอยู่ ตัวผมเองก็ตอบไม่ได้ ทั้งๆที่ก็บอกไปแล้วว่าจะไปไหน ไปทำอะไร และที่สำคัญก็คือ เขาไม่ได้อยากรู้สักนิด ขนาดเบอร์มือถือ ไลน์ เฟซบุ๊ค และไอจี ก็บังคับขอเขามาทั้งนั้น แต่ก็ยังอยากที่จะดันทุรังส่งไปอยู่ดี


“หนักนะมึงเนี่ย”


เสียงไอ้จั๊ดที่ชะโงกหน้ามาเสือกหน้าจอผมอยู่


“เออ กูถึงมาแดกเหล้าอยู่นี่ไง”


ผมยอมรับออกไปตรงๆ


“อันซีนสัด”


เสียงไอ้ปาล์มที่เริ่มสนใจการเต้นอันเร่าร้อนของสาวโต๊ะข้างๆ แต่ก็ยังดีที่ยังนึกเป็นห่วงผมอยู่บ้าง


“อีกนานมั้ยวะจะหาย เดี๋ยวกูก็เบื่อใช่มั้ย อาทิตย์เดียวคงไม่เกินนี้”


ผมหันไปถามไอ้จั๊ด แต่มันตบไหล่ผมแทนที่จะตอบคำถาม


“หญิงซักคนมั้ยมึง รับรองลืมชัวร์ โอ้โห้โต๊ะนั้นแม่คุณเอ๊ย นมหรือของดีนครปฐม มองมาทางมึงด้วยนะเว่ย นี่ถ้ากูไม่ติดเป็นคนรักครอบครัวกูพุ่งเก็บลูกส้มโอแล้วนะครับเนี่ย”


ปากบอกรักครอบครัวแต่ตาไอ้ปาล์มนี่แทบจะแปะไว้บนหน้าอกสาวโต๊ะข้างๆ


“วันนี้ไม่ได้หว่ะ”


พวกมันหันมามองผมเป็นตาเดียว


“มึงเป็นวันนั้นของเดือนรึไง หรือไม่มีถุง เอามั้ย กูหาให้ได้ ทั้งถุงยางทั้งผ้าอนามัยเลย”


ไอ้ปาล์มที่พอเหล้าเข้าปากก็เริ่มเรื้อน มุกต่ำกว่าเอวกำลังจะถูกปลดล็อคในไม่ช้านี้ ดูได้จากหน้ากรึ่มๆของมัน


“เปล่า กูแค่เสือกไปบอกเค้าว่าวันนี้จะไม่หิ้วหญิงไปนอน”


“.......”


ไอ้สองตัวหันมาจ้องผมตาไม่กระพริบ ไอ้ปาล์มดูจะสร่างเมาขึ้นมาทันที


“เอ้า กินมึงกิน กินเท่าที่อยากจะกิน เดี๋ยวพวกกูแบกมึงกลับเอง”


ไอ้จั๊ดที่ในตอนแรกจะไม่ยอมให้ผมดื่มต่อ กลับเป็นคนหันมารินเหล้าให้ผมอย่างกับกะจะมอม พร่องปุ๊บเติม เต็มปุ๊บชน เออ ให้มันได้แบบนี้สิวะไอ้เพื่อน ค่อยคบกันได้หน่อย ถึงตอนนี้ผมจะรู้แล้วว่า การกินเหล้ามันไม่ได้ช่วยเยียวยาแผลใจเลยสักนิด มันแค่ทำให้เราลืมแล้วหลับไป ก่อนจะตื่นมาทุรนทุรายกับความจริงที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง


。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。

ไม่ดราม่าหรอกเนอะ อึดอัดพอกรุบกริบ พอให้พี่ภูรู้ใจตัวเอง อิอิ

ขอบคุณทุกคอมเมนท์เลยค่ะ ตอนนี้เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องแล้ว เย่ (ó ꒳ ò✿)

พรุ่งนี้เจอกันใหม่ เรื่องราวคลี่คลาย เมฆฝนสลาย แฮ่!


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-03-2018 11:10:28 โดย Sugar_stack »

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
ไม่ดราม่าค่า พี่ภูโดนหนักกว่านี้ เราก็โอเคนะ 555
ถ้าจะทำให้พี่ภูรู้ใจตัวเองจนสามารถให้ความมั่นใจกับน้องได้ เจ็บตอนนี้ แต่มีความสุขในอนาคตเน้อ
มั่นใจว่ารักน้องจริง ๆ เมื่อไหร่ เราก็จะเชียร์ต่อนะพี่ภู ตอนนี้ขอเข้าข้างน้องลินก่อนนะจ้ะ
ชอบความใจแข็งของน้องลินล่ะ อย่างพี่ภูสอยดาว ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ ถึงจะเข้าใจอะไร ๆ ได้
ชอบความสัมพันธ์ของสามเพื่อนรัก ลินม่านคิตตี้ มาก ๆ รักและปกป้องดูแลกันดีจัง
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เออดี ให้นังพี่ภูมันเลิกนิสัยแย่งแฟนคนอื่นไปเลย 5555555

ออฟไลน์ Sugar_stack

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • Page FB Sugar_stack
❥・ใจดวงที่สิบ・❥



รถรางรอรัก



..ภูฟ้า..




ผ่านมาเกือบสามอาทิตย์แล้วหลังจากค่ายรักน้อง เวลาเหมือนจะผ่านไปเร็ว แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเชื่องช้าจนน่าใจหาย ไอ้เด็กจืดพยายามหลบหน้าผม ผมรู้ดี ก็อะไรจะชัดเจนเท่ากับการที่คนติดน้ำเต้าหู้ขนาดนั้น ไม่กล้ำกลายมาเฉียดใกล้ร้านป้าชื่นอีกเลย เป็นผมเองที่ต้องซื้อไปสองถุง เพราะนั่งมองอยู่ตั้งนาน ป้าแกก็ได้แต่ชะเง้อชะแง้หามัน เห็นแล้วก็ได้แต่สงสารทั้งป้าทั้งตัวเอง


ผมก็ไม่รู้ว่ามันรู้ตัวตอนไหนว่าผมตาม หรือเอาจริงๆน้องมันแค่ขี้เกียจตื่นหล่ะมั้ง เลซี่วีคอะไรแบบนี้ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งเวทนาตัวเอง ทำไมไม่เห็นจะอยากเจอมันน้อยลงเลยวะ


ทุกวันนี้จะได้เจอมันที ก็ตอนขึ้นรถราง ใช่ครับ ฟังไม่ผิดหรอก ไอ้คนตีนผีที่แสนจะรักความเร็วอย่างผม ต้องยอมเอารถไปจอดไว้ แล้วเดินมาตั้งไกลเพื่อขึ้นรถรางป้ายเดียวกับมัน ร้อนก็ร้อน เบียดก็เบียด ยิ่งเป็นผู้ชายนี่ลืมไปได้เลยเรื่องได้นั่ง บางวันจะได้จับราวรึเปล่ายังต้องมาลุ้นเลย


“เป็นไรมึง หน้าเหนื่อยชิบหาย”


เสียงไอ้ปาล์มถามขึ้น ตอนที่เรานั่งกันอยู่ที่โต๊ะประจำใต้ตึกSC


“แต่มันเข้าคาบเช้าตลอดเลยนะเว่ยช่วงนี้ มิน่าฝนฟ้าคะนอง ฮ่าๆๆๆ”


หมั่นไส้ไอ้จั๊ด มันพาเมียเด็กมานั่งกับพวกผมด้วย อารมณ์มันเลยสดชื่นแจ่มใส จนทำให้ผมนึกรำคาญอยู่ตอนนี้ แต่..


ฟุดฟิดฟุดฟิด


“ไอ้เชี่ยภู มึงทำอะไร”


หื้มมม อยู่ดีๆผมก็โดนไอ้จั๊ดกระชากคอเสื้อจนแทบหงายหลัง


“ห่าภู มึงมีสติมั้ยเนี่ย มึงดมมือเมียไอ้จั๊ดทำไม”


ไอ้ปาล์มหน้าตื่นวิ่งมาแกะมือไอ้จั๊ดออกจากคอเสื้อผม


ฮะ ใคร ใครดมใคร


“ไอ้ภู เดี๋ยวมึงกับกูเคลียร์กัน”


ไอ้จั๊ดทำเสียงเหี้ยม ก่อนจะลากเมียเด็กที่ทำหน้าตกใจไปที่อื่น ผมก็พอจะสติกลับร่าง เลยนึกสงสารไอ้เด็กนั่นขึ้นมา


“เห้ยๆๆ นั่งก่อนๆ กูไม่ได้ตั้งใจ กูขอโทษ”


ไอ้จั๊ดที่กำลังคว้าแขนเมียตัวเองหันมามองผมตาขวาง แต่ก็ยังดีที่มันยอมฟัง และยอมนั่งลงมาใหม่ แต่คราวนี้มันจับเมียเด็กให้นั่งตัก แล้วเอามือกอดเอวไว้แทน โอ้โหไอ้เพื่อนเวร กูทำพลาดครั้งเดียว หึงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเลยคราวนี้


“ว่ามา”


แหนะ มีมองตาขวาง มิตรภาพตั้งแต่อนุบาลสามของเราทำไมมันสั่นคลอนง่ายจังวะ ไอ้เพื่อนเวร


“เด็กมึงกลิ่นคล้ายไอ้เด็กจืด กูเลยอยากดมว่ามันกลิ่นอะไร”


อยู่ดีๆก็เสียวสันหลัง ไอ้จั๊ดมองผมเหมือนจะตัดสินโทษ ไอ้ชิบหาย กูกลัวมึงจริงๆแล้วเนี่ย


“ดมมือเนี่ยนะ?”


มันหันมองผมกับเมียบนตักสลับกัน ไม่ต้องมองกูครับ กูทำอะไรลงไปกูยังมึนๆอยู่เลย


“เออ มึงก็อีกคนไอ้จั๊ด มึงใจเย็นก่อน ไอ้ภูมันเป็นหนุ่มน้อยริรักนะเว่ยตอนนี้ สงสารหน้าหงอยๆเหมือนหมาป่วยของมันบ้าง”


เป็นไอ้ปาล์มที่เหมือนจะช่วย หรือจะซ้ำเติมผมกันแน่ก็ไม่รู้พูดขึ้น


“พี่เค้าไม่ได้โดนตัวเท็นจริงๆนะพี่จั๊ด”


เสียงกระซิบงุ้งงิ้งๆดังอยู่ข้างหูไอ้จั๊ด แต่ดีว่าผมขี้เสือกเลยได้ยินชัดทุกคำ ทำดีมากครับน้องเท็น เดี๋ยวพี่จะเลิกแอบเรียกน้องว่าเด็กกุมารทองเลยครับ พี่สัญญา


“เห้ออออ”


เสียงไอ้จั๊ดถอนหายใจเหมือนคนกำลังใช้ความคิด มันคงรักเมียเด็กของมันจริงๆ ตั้งแต่รู้จักกันมามันก็ไม่เคยหวงใครขนาดนี้มาก่อนเลย นี่กระทืบผมได้ มันคงทำไปแล้ว


“มึง ดีกัน เลี้ยงเหล้าเลยอะ”


ต้องทำตัวน่ารักไม่อ้อนตีนครับ เพราะรู้ตัวว่ารอบนี้ตัวเองทำผิดจริง


“เออๆ แล้วมึงก็เลิกประสาทหลอนซักที เลิกขึ้นรถรางด้วย สภาพยับเยินชิบห๊ายยย”


“แหะๆ”


ก็ผมไม่กล้าเข้าใกล้เด็กจืด เลยทำได้แต่ยืนตัวลีบอยู่ท้ายรถ ที่เป็นแค่ชานพักเท้าขึ้นลง ร่มเงาอะไรของรถนี่อย่าได้หวังเลยครับ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้แดดดีๆนี่เอง จะเยินไปบ้างก็ไม่แปลก


“เอ่อ พี่ภูครับ มันคือครีมยี่ห้อนี้อะครับ แต่สงสัยเป็นอีกสีนึง มันคนละกลิ่นกัน”


เด็กกุมา-  เอ๊ย น้องเท็นยื่นภาพที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมส่อง


มันเป็นภาพครีมทาผิวของผู้ชายยี่ห้อหนึ่ง ผมเห็นคัทเอาท์ผ่านตามาบ้าง กำลังโปรโมทหนักเลยช่วงนี้


“ไปซื้อให้มันหน่อยไป”


เป็นไอ้จั๊ดที่คงทนเวทนาผมไม่ไหว มันปล่อยเมียเด็กลงจากตัก แล้วส่งเงินแบงค์ห้าร้อยให้ น้องรหัสควบตำแหน่งเมียเด็กของมัน ก็รับไปแต่โดยดี โดยไม่ได้ทักท้วงอะไรอีก แค่ยิ้มหวานๆให้ไอ้จั๊ด ก่อนจะเดินไปทางสโตร์ของมหาลัย เพื่อซื้อครีมที่ทำผมเกือบโดนเพื่อนเลิกคบมาให้แทน


“ซื้อมาทำไมวะ”


ไอ้ปาล์มมันก็สงสัยเหมือนผม


“ให้มันพี้ เดี๋ยวมันลงแดง”


“....”


ชัดเจนเต็มสองหู นี่ชีวิตกูมาถึงขั้นต้องพี้ครีมแล้วหรอวะ โอ้ ไม่นะ






ผมนั่งดมครีมที่แขนตัวเองด้วยความฟินครับตอนนี้ ตอนแรกก็พี้ตรงจากขวด แต่กลิ่นมันยังไม่ใช่ เลยต้องบีบออกมา ทาๆ โปะๆ นวดไปนวดมาแล้วดมอีกที อื้มมม ก็พอไหว ถึงจะหอมไม่ได้เศษเสี้ยวตอนอยู่บนตัวเด็กจืดก็ตาม


“มึง กูกลัวมันหว่ะ ดูโรคจิตชิบหายเลย นั่งดมแขนตัวเองมาหลายวันแล้วเนี่ย”


เอ๊ะ ไอ้ห่าปาล์ม ไอ้เพื่อนเวร ไม่ช่วยอะไร แล้วปากยังน่าเตะอีกต่างหาก


“เช้าก็ขึ้นรถรางส่องเค้า เที่ยงก็สะกดรอยตามไปดูเค้ากินข้าว เย็นก็นั่งเป็นหมาดมครีม มึงทำอะไรซักอย่างดิ๊ไอ้จั๊ด กูเนี่ยแหละจะประสาทกินก่อนมัน”


ไอ้จั๊ดที่คงพึ่งเสร็จแล็บตามมานั่งข้างไอ้ปาล์มอีกที


“ไหวมั้ยมึง”


ไม่สักนิด


“มึง!”


“....”


กูได้ยิน แต่กูไม่มีแรงจะตอบมึงหว่ะเพื่อนจั๊ด


“แล้วทำไมมึงไม่พุ่งไปจีบน้องเค้าแบบหน้าด้านสไตล์มึงเหมือนเดิมวะ”


ไอ้ปาล์มมันยังเห่าไม่เลิก


“กูหมดแรง”


“ฮะ”


“ก็หมดแรงไง มึงต้องเห็นสายตาเค้าเวลามองกู เห้อ กูว่าบางที ถ้ากูถูกตบกลางสี่แยกไฟแดง อาจจะไม่เจ็บขนาดนี้ก็ได้หว่ะ”


ผมบอกความรู้สึกของผมให้พวกมันฟังตรงๆ


“หรือน้องเค้าแค่ไม่ชอบผู้ชายวะ เลยทำหน้าไม่ถูก”


“ก็คงอย่างนั้นมั้ง ตัวกูเองถ้ามีผู้ชายมาจีบ ก็คงไล่กระทืบไปแล้ว หรือไม่ผู้หญิงอีกคน อาจจะเป็นแฟนตัวจริงของเด็กจืดก็ได้”


ยอมรับว่าผมคิดฟุ้งซ่านไปหมด หลายวันมานี้ผมคิดแล้วคิดอีก คิดหาเหตุผลมากมายมารองรับท่าทางปิดตัวเองเสียมากมายของปาลิน ถ้าให้คิดในมุมของน้อง ก็คงจะรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ดีๆก็มีผู้ชายตัวโตๆมาตามจีบ อาจจะไม่พอใจหรืออาจจะอยากกระทืบผมด้วยซ้ำ ตัวผมเองก็มีผู้ชายเข้าหาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ตัวเล็กอ้อนแอ้นบอบบาง ที่พอเราไม่สนใจก็ไม่ได้ตอแยอะไรอีก แต่ถ้าต้องเจอไอ้ตัวถึกๆ แถมยังอยากได้ตัวเองเป็นเมียมาจีบแบบนี้ นับว่าที่ยังไม่โดนน้องมันต่อยนี่ก็บุญแล้ว ส่วนอีกข้อสันนิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้ ก็คือผู้หญิงอีกคนที่ชอบเห็นอยู่ด้วยกันกับเด็กจืดและม่านแพง บางทีเธออาจจะเป็นคนคนนั้น คนที่อยู่ในใจของ “ผู้ชายที่ผมรัก”


มาตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมรักผู้ชายที่ชื่อปาลิน ผู้ชายที่มีอิทธิพลกับใจของผม ขนาดที่ตัวผมเองก็ยังไม่อาจจินตนาการได้ จากที่เคยคิดว่าอีกไม่นานคงเบื่อหรือลืมความรู้สึกนี้ไปเอง แต่เปล่าเลย ทุกสิ่งทุกอย่างกลับชัดเจนและอยู่นอกเหนือจากการควบคุมของผมโดยสิ้นเชิง..โดยเฉพาะหัวใจ


ผมแพ้แล้ว ยอมแพ้อย่างหมดรูป ยอมจำนนต่ออะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้มาเจอกับผู้ชายที่ทำให้ผมรักได้มากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่ไม่ต้องทำอะไรให้มากมาย แค่“เขา”เป็น“เขา” ใจของผมก็แทบจะกระเด้งกระดอนไปสยบลงแทบเท้า ยอมทุกอย่าง ยอมแม้แต่จะทรยศเจ้าของของมันที่เฝ้าปฏิเสธความรู้สึกนี้มาทั้งชีวิต


ไม่อยากจะคิดอะไรแล้ว นอนดมมือตัวเองต่อดีกว่า


“ยอมแพ้แล้วหรอมึง”


เป็นไอ้จั๊ดที่ถามบ้าง


แต่ผมยังไม่ทันได้ตอบ


“มึงๆๆๆๆ เรื่องใหญ่ๆๆๆ”


ไอ้ปาล์มที่ก้มหน้าไถโทรศัพท์อยู่นานสองนาน ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง


“เป็นห่าอะไรของมึงอีกคนเนี่ย”


สม โดนไอ้จั๊ดแพ่นกบาลเลยมึง


“เฮ้ยยยยยยยยย”


อ่าวเวร ไอ้จั๊ด กูต้องลุกขึ้นแพ่นกบาลมึงด้วยอีกคนมั้ย


“ดูมึงดู มึงฟื้นแน่ถ้าเห็น”


อะไรของพวกแม่งวะ


“...................”


มือถือไอ้ปาล์มที่ถูกยัดใส่มือผม แทบร่วงลงไปกับพื้น หน้าจอที่ยังเปิดอยู่ แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ปรากฏอยู่บนนั้น เพจ“มินนี่สสสสส์..มีเผือก” ที่พึ่งอัพเดตเมื่อไม่ถึงสามนาทีที่แล้ว และสาเหตุที่ทำให้พวกผมสามคนมีอาการเหมือนคนบ้าอยู่ในเวลานี้ นั่นก็เพราะ ในนั้นมีรูปผมบนรถราง รูปเด็กจืด แล้วก็รูปผม สลับไปสลับมาแบบนี้เกือบสิบๆรูป วันที่ที่มุมรูปข้างเครดิตเพจแสดงวันเวลาที่ผมเริ่มขึ้นรถราง คงมีใครสักคนหรือหลายคนถ่ายพวกเราไว้ ความคมชัดของรูป บอกได้เป็นอย่างดี ว่ามันไม่ได้มาจากมือถือเครื่องเดียวกัน





*****************


มินนี่สสสสส์..มีเผือก

เอ๊ะๆๆ อะไรยังไงกันคะ เจ๊งงไปหมด ทำไม๊ทำไมหลายวันมานี้มีแต่คนส่งรูปซัมมีเจ๊ทั้งคู่มาให้ไม่ขาดสาย แล้วก็จะต้องเป็นรถรางคันเดียวกัน เวลาเดียวกันตลอด! เฮ้ยยยยยยยแก พวกแกคิดอย่างที่เจ๊คิดเหมือนกันใช่แมะ เรื่องราวชักจะไม่ชอบมาพากลแล้วนะคะน้องม่าน!! (งานนี้เราต้องยืมมือเมียหลวงจัดการให้เราค่ะ!!)

อุ๊ยยยย นี่เจ๊เปล่าชี้โพรง เปล่าเสี้ยมอะไรเลยนะคะ ก็แค่มีเด็กวิดยาเมาท์มาว่า นอกจากค่าย“รักน้อง”จะก่อกำเนิดคู่จิ้นคู่ใหม่ตามชื่อค่ายเป๊ะ! หลังจากนั้น เพจเจ๊ก็ถูกพวกหล่อน หล่อนและหล่อน เข้ามากรีดร้องโหยหวนทั้งดีใจทั้งเสียใจจนเพจแทบล่ม ไหนๆก็ไหนๆ เป็นคนสวยก็ต้องมีน้ำใจถูกแมะ เจ๊เลยจะแบ่งปันเรื่องผัวและผัวของเจ๊ให้ฟังอีกหน่อยก็ได้ เรื่องมีอยู่ว่า ก็วันที่น้องปริญ(ซัมมีปีหนึ่ง)กลับจากค่ายรับน้องวิดยานั่นแหละ ดันมีเหตุ???ให้ต้องกลับมากับภูขา(ซัมมีหลวงปีสาม)แบบสองต่อสอง บนรถคันเดียวกันด้วยอะแก๊

แล้วแหมมม อะไรจะบังเอิ๊ญบังเอิญเบอร์นี้คะ ก็ตั้งแต่วันนั้นใช่แมะ อยู่ดีๆซัมมีปีสามของเจ๊ ก็เปลี่ยนมาขึ้นรถรางซะงั้น ร้อยวันพันปีคนหล่อคนรวยอย่างซัมมีเจ๊เนี่ย ไม่เคยขึ้นเลยซักครั้งนะยะ ย้ำ!! ขีดเส้นใต้หนาๆ! ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว! แต่ตอนนี้ภาพที่เห็นมันคืออะไรกันคะ ซัมมีขา!!

#ใจเมียแตกสลาย #ลางร้ายเริ่มปรากฏ #ทีมม่านแพง #ผัวเธอผัวฉันและรักของเรา #ภูฟ้าปาลิน #นี่คู่จิ้นหรือคู่จริงคะ




ผมไม่ได้สนใจข้อความมากนัก แต่ที่ผมสนใจคือหนึ่งในรูปมากมายเหล่านั้น มีอยู่รูปหนึ่งที่เด็กจืดกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาห่วงใย! ย้ำ!! ไม่ได้คิดไปเอง(หรือถึงเข้าข้างตัวเองก็แค่นิดเดียวจริงจริ๊ง) น้องใช้ดวงตากลมโตใสแจ๋ว มองมาที่ผม! ตอนที่ผมหันไปทางอื่น!(อยากเตะตัวเองสักทีเหมือนกัน มึงมาเหม่ออะไรตอนนี้!!)


คนถ่ายก็ถ่ายออกมาได้ดีมากๆ องค์ประกอบทุกอย่างราวกับถูกถ่ายด้วยกล้องโปร โดยเฉพาะดวงตาคู่สวยที่เจือแววห่วงใยที่ทำให้ผมแทบลอยได้ หัวคิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ ตอนที่เห็นผมยกแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าผาก เพราะตรงท้ายรถที่ผมยืน หลังคามันมาไม่ถึง ดังนั้นพระอาทิตย์กับหัวผมเลยตั้งฉากกันแทบจะทำมุมเก้าสิบองศาเลยทีเดียว


“มึงงงงง!!”


ผมเบะปากหันไปทางไอ้ปาล์มไอ้จั๊ด ไม่รู้ว่ามีน้ำตาคลอด้วยไหม รู้แค่ว่าดีใจจนอยากร้องไห้ออกมาจริงๆแล้วตอนนี้


“น้องเป็นห่วงกู!!”


ความจริงข้อนี้ทำให้ผมมีความสุขจนแทบบินได้ ตอนประกาศชื่อรับตำแหน่งนางสาวไทยเค้าคงรู้สึกแบบนี้กันสินะ รู้สึกมงลงหัว รู้สึกน้ำตาจะไหล


“เออ มึงเออ กูเห็นแล้วครับเพื่อน แต่มึงเบาๆหน่อยได้มั้ยวะ กูอายแทน”


ฮิฮิฮิ


ต้องอายด้วยหรอวะ แล้วทำไมถึงต้องอายด้วยหล่ะ เรื่องดีๆแบบนี้ มันต้องตะโกน มันต้องป่าวประกาศสิถึงจะถูก แล้วทำไมมึงและมึงต้องมองกูด้วยสายตาเอือมๆอย่างนั้นด้วยหล่ะไอ้ปาล์มไอ้จั๊ด ชิ ไม่เป็นกูไม่เข้าใจหรอกเว่ย


*Saved*

*Use as wallpaper*

*Set Both*



ฮิฮิฮิ


โคตรฟินเลยโว้ยยยยยย




วันนี้ดูท่าความโชคดีของผม จะยังไม่หมดแค่นี้ หลังจากได้กำลังใจดี วันนี้ก็ว่าจะไปอ้อนคนซะหน่อย ฮิฮิฮิ ตอนแรกก็ใจแป้วว่าน้องมันจะไม่มีเยื่อใยอะไรให้เลย กับคนอื่นผมก็ไม่ยักกะใจบางแบบนี้ แต่พอเป็นคนนี้กลับคิดเล็กคิดน้อยไปหมด แค่น้องมันจะปิดประตูใส่ ใจผมนี่ก็แทบขาด แต่พอเห็นรูปนั้นแล้ว ฮิฮิฮิ บอกเลยว่ากำลังใจพี่ภูมาเต็ม


“ไปกันเลยมั้ย ไอ้ดื้อมาแล้ว”


ไอ้จั๊ดชวนเพราะเห็นเมียเด็กของมันกำลังเดินมาทางที่พวกผมนั่งอยู่


“เห้อออ รู้งี้จีบสาวในคณะดีกว่า มีงานคณะทีจะได้ไม่แห้งเหี่ยวเดียวดายอยู่แบบนี้”


บอกเลยว่ารำคาญหน้าโอเว่อร์แอคติ้งของไอ้ปาล์มมากตอนนี้


“เดี๋ยวหวายก็มาหลังเราเสร็จงานไงครับ”


น้องเท็นหันไปบอกไอ้ปาล์ม ที่พอได้ยินก็ทำหน้าระรื่นทันที พวกมันสี่คนจะไปกินไอติมกันต่อ หลังจากเสร็จงานเลี้ยงรวมสายรหัส ซึ่งผมบอกไปแล้วว่างานนี้ผมขอบาย เล่นไปกันครบคู่แบบนี้ ถึงไปก็คงรู้สึกไม่ต่างจากส่วนเกินดีๆนี่เอง


พวกผมเดินเข้ามาในโรงอาหารตอนเกือบหนึ่งทุ่ม คนเริ่มมากันหมดแล้ว แต่ผมยังหาเด็กจืดไม่เจอ แต่งานนี้ ผมเด็ดกว่านั้น


“ไอ้ภู ทางนี้เว่ย”


เสียงไอ้เอสพี่รหัสเด็กจืดตะโกนมาจากอีกฟากของคาเฟทีเรีย ผมโทรบอกมันก่อนหน้านี้ ว่าจะนั่งข้างสายมัน


“ไอ้จืดหล่ะ”


ผมถามหาเด็กจืดของผม ที่มองหาเท่าไหร่ก็ยังไม่เห็น


“ฮะ ใครวะ น้องปีสองกูหรอ เดี๋ยวก็มา”


ลืมไปว่าน้องรหัสปีสองของมันโคตรเนิร์ด ไอ้เอสมันเลยได้ทีแกล้งกวนผม


“กวนนะมึง เดี๊ยะๆ แล้วน้องปีหนึ่งมึงอะ”


ผมถามถึงคนที่คิดถึงโดยไม่เสียเวลาเล่นลิ้นกับมันอีก


“อ๋อ นู่นนนน ขอไปหาแฟน เดี๋ยวมา”


มันยักคิ้วกวนๆส่งมา ก่อนจะชี้ไปทิศไกลลิบๆฝั่งซ้ายของคาเฟทีเรีย เนื่องจากคณะผมคนเยอะ ยิ่งรวมกันสี่ปีแบบนี้ มากันครบที ก็แทบเรียกได้ว่าปิดคาเฟทีเรียเลี้ยงนั่นแหละ


“พี่มึงอะ”


ผมถามถึงพี่ติง พี่ปีสี่ของมัน


“ติดแล็บหว่ะ มาไม่ได้”


“เออ พี่กูก็เหมือนกัน”


ช่วงนี้พี่ปีสี่ต้องทำโปรเจคจบการศึกษารวมถึงฝึกงาน เลยทำให้ไม่ค่อยว่างมาทำกิจกรรมกับน้องๆ วันนี้ผมกับไอ้เอส เลยกลายเป็นคนที่แก่ที่สุดในโต๊ะอย่างไม่ต้องสงสัย ฮิฮิฮิ ว่าแล้วก็หาเรื่องแกล้งเด็กดีกว่า


หลังจากคนมากันเกือบครบ พิธีกรจำเป็นซึ่งเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ปีสี่ ก็กล่าวเปิดงานและสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้น น้องรหัสผมก็มากันครบแล้ว ส่วนเด็กจืดก็กำลังเดินมาทางนี้


“อ้าว มาแล้วหรอ นั่งเลยปริญ”


ไอ้เอส มึงทำดีมาก เด็กจืดเหวอนิดหน่อยที่ต้องนั่งระหว่างผมกับไอ้เอส ไม่สนครับ งานนี้ผมเนียนไว้ก่อน


“อ่า ครับ”


ฮิฮิฮิ ฟิน


“คิดถึงจัง”


ผมลงมือทำคะแนน ทันทีที่เด็กจืดนั่งลง


“.....”


ไม่ตอบ แต่เลือกที่จะถลึงตาใส่ผมแทน เพราะผมกระซิบไม่เบาเท่าไหร่ โอ๊ย ยิ่งมองยิ่งน่ารักน่าฟัด


“เอาหล่ะครับ ถึงวันนี้พี่ๆปีสี่สายเราทั้งคู่จะมาไม่ได้ แต่พี่จะเพิ่มความอบอุ่นให้น้องๆ ด้วยการทานข้าวร่วมกันระหว่างสาย078กับ287แทนนะครับ”


ผมไม่ลืมที่จะยิ้มและพูดเพื่อสร้างบรรยากาศให้น้องๆผ่อนคลาย  หลังจากอาหารทยอยมาเสิร์ฟลงตรงหน้า พึ่งสังเกตด้วยว่า เลขรหัสเราต่างกันแค่ตัวหน้าและตำแหน่งสองตัวท้ายที่สลับกัน งานนี้ไอ้เอสมันยินดีปรีดาเป็นพิเศษ เพราะน้องรหัสของผมมีแต่คนสวยๆ


เราให้น้องแนะนำตัวเองทีละคน จากนั้นก็ลงมือทานกันโดยไม่มีพิธีรีตองให้วุ่นวาย สำหรับอาหารในมื้อนี้ ถือว่าไม่ได้หวือหวาแต่อย่างใด เพราะจุดประสงค์หลักของการจัดกิจกรรม ก็คือการเลี้ยงสายรหัสพร้อมกันทั้งคณะเท่านั้นเอง


“อันนี้อร่อยนะ”


ผมตักปลาทอดน้ำปลาให้เด็กจืด อาศัยเนียนจากตอนตักให้น้องรหัสตัวเอง แล้วมันก็นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือไง ก็เลยอ๊ะ ตักให้ซะหน่อยแล้วกัน ฮิฮิฮิ


“ขอบคุณครับ”


โถ เสียงหวานจ๋อยเลยพ่อคุณของพี่ นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยินเสียงใกล้ๆแบบนี้


“.......”


เด็กจืดหันมามองผม เพราะผมคงจ้องน้องมันมากไป อ๊ะๆๆ เนียนๆทำเป็นกินไปคุยไปก็ได้ ทั้งที่ความจริงอิ่มทิพย์แล้วเนี่ย ฮิฮิฮิ


“ไอ้ภูๆ กินเสร็จแล้ว พวกเราพาน้องไปเปิดหูเปิดตาดีมั้ยวะ”


ไอ้เอสมีสีหน้าระริกระรี้มากเลยครับตอนนี้ หลังจากที่มันได้พูดคุยและถ่ายทอดประสบการณ์การเรียนให้สองสาวน้องรหัสผมฟัง โดยไม่ได้สนใจสายรหัสที่เป็นผู้ชายของมันเท่าไหร่ ก็อย่างที่บอก เพราะมันดันปากโป้งเฉลยสายรหัสไปตั้งแต่ต้นเทอม ตอนนี้มันเลยเลิกเห่อปาลินของผมไปแล้ว


“ได้ดิ มึงอยากไปที่ไหนอะ”


งานนี้เราต้องเนียนให้มากที่สุดครับ มันไม่เห่อน้องรหัสมัน แต่ผมนี่แหละทั้งรักทั้งเห่อ ทั้งอยากเห็นหน้าน้องมันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ดังนั้นอะไรที่จะทำให้ได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น ผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว


“สาวๆ เอ้ย น้องๆอยากไปทานอะไรกันต่อไหมครับ”


ไอ้เอสเริ่มขายขนมจีบน้องปีหนึ่งปีสองของผมต่อ โดยมีผมคอยสอดส่องอยู่เป็นพักๆ ไอ้เอสมันเป็นคนดีครับ ถึงมันจะมีนิสัยห่ามๆ แต่เวลามีแฟน มันก็คบทีละคน ผมเลยไม่ห่วงมากนัก


“ดาวแล้วแต่พี่ภูเลยค่ะ”


น้องดาวน้องรหัสปีหนึ่งมองผมอายๆ เอ่อ อย่าพึ่งหางานให้พี่ครับน้องดาว


“ปาลินหล่ะครับ อยากทานอะไรดี ไอศกรีม นมปั่น หรือแอลกอฮอล์”


ได้โอกาสก็ต้องทำคะแนนครับงานนี้ เสียเวลาใจบางไปหลายวัน ป่านนี้เด็กจืดคงลืมผมไปหมดแล้ว


“....”


เด็กจืดถลึงตาใส่ผมอีกแล้ว แต่บอกเลย ว่าวันนี้พี่คือคนเก่งหัวใจแกร่ง ต่อให้โดนด่าเหมือนหมูเหมือนหมา พี่ก็จะไม่สะทกสะท้าน


“เอ้อ นั่นสิไอ้เป๋า น้องปริญ พวกมึงอยากกินอะไรกัน”


ไอ้เอสถามน้องรหัสปีสองและปีหนึ่งโดยระบุวรรณะที่มันตั้งเองนำหน้าชื่อไปด้วย ยังดีที่มันยังไม่ลืมว่าน้องมันนั่งอยู่ด้วย


“ไอศกรีมหรือนมก็ได้ แล้วแต่พี่เลยครับ”


เสียงเด็กจืดของผมหันไปตอบไอ้เอส ถ้าผมซื้อหวยคงถูกไปแล้ว เพราะเด็กจืดตัดแอลกอฮอล์ออกเป็นอย่างแรก ดูท่าว่าการไปผับแต่ละที คงไม่ได้มีที่มาจากเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย จืดสมชื่อจริงๆ เด็กจืดของพี่ ถึงน้องจะจืดแต่หวานสำหรับพี่เสมอนะจ๊ะ ผมหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวเพราะตลกความเสี่ยวที่ตัวเองคิดกับคนข้างๆ จึงได้สายตามองมาเป็นคำถามจากคนที่ทำให้ผมเป็นเอามากขนาดนี้ เลยได้โอกาสยิ้มหวานส่งกลับไปให้เสียเลย ฮิฮิฮิ ฟินหนักมากครับนาทีนี้


เมื่อไม่มีคนค้านอะไร สุดท้ายจึงลงเอยกัน ที่ร้านนมหน้ามหาลัย ถึงจะอนุบาลไปหน่อย แต่ถ้าเด็กจืดของพี่มีสีหน้าแช่มชื่น พี่ก็แฮปปี้ ติดอยู่แค่อย่างเดียว..


“ม่านเอานมสตรอเบอร์รี่ปั่นเพิ่มวิปครีม แล้วของลินเอานมจืดร้อน ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่มนะคะ”


เด็กมาร เอ๊ย เด็กม่านขอตามพวกผมมาด้วย และแน่นอนว่าไอ้เอสกับไอ้เป๋าน้องปีสองของมันนี่น่าระรื่นมากจนผมอยากจะด่าซักที เมื่อกี๊กูพึ่งชมมึงเป็นคนดีอยู่เลยนะ ทำไมตอนนี้มึงเปลี่ยนใจจากน้องรหัสกูแล้ว ไอ้ห่าเอส


“พี่ภูจะสั่งอะไรดีคะ”


แหนะ น้องมารที่นั่งตรงข้ามกับผม มียักคิ้วประกาศสงครามส่งมาให้ด้วย


“เอาเหมือนปาลินอีกหนึ่งที่แล้วกันครับ”


ผมยิ้มละไมแต่ส่งสายตาท้าทายไปทางน้องมาร ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะเรียกเด็กนี่ แบบนี้แหละ ฮึ่ย


“ปริญกับม่านคบกันนานแล้วหรอจ๊ะ”


เสียงน้องผึ้งปีสองสายผมเองครับ


“อืมมม กี่ปีแล้วอะลิน สี่เนาะ”


ฮึ่ยยยย หมั่นไส้ หน้าระรื่นยิ้มหวานแขนนี่ก็กอดไปสิ คางก็จะซบไหล่ทำไม เดือดครับเดือด มีแต่ความอิจฉาล้วนๆ


“โหหห คบกันนานมากเลยอะ น่าอิจฉาจัง”


เสียงน้องดาวสายผมอีกแล้ว นี่พวกน้องกินเผือกแทนข้าวรึเปล่าครับ พาลโว้ยพาล อยากจะตัดสายก็วันนี้


“อุ๊ย ขอบคุณจ้า แต่ไม่มีอะไรให้ต้องอิจฉาหรอกน้าาา”


พูดกับดาวแต่ตามองผม มือนี่ก็จับเด็กจืดขึ้นมาถูๆไถๆอยู่นั่นแหละ รู้สึกหงุดหงิดน้องมารสุดๆเลยตอนนี้ อยากจะดึงให้ห่างออกมาจากสุดที่รักของผมเสียจริงๆ


“อิจฉาสิ ก็ปริญหล่อแล้วยังได้แฟนสวยขนาดนี้”


ผมไม่ยอมแพ้ คว้ามือเด็กตรงหน้ามาจับๆบ้าง ทำเป็นลูบๆจะดูลายมือ งานนี้งานเนียนงานหน้ามึนต้องมา น้องมันจะดึงมือกลับผมก็ขืนแรงไว้ ชื่นใจจริงโว้ย


“พี่ภูดูลายมือเป็นหรอคะ ดูให้ดาวบ้างสิ”


รู้สึกว่างานจะเข้า น้องดาวยื่นมือขาวๆมาตรงหน้าผม เด็กจืดกับม่านแพงก็หันมายิ้มให้ผมอย่างคนรอดูเหตุการณ์สนุกๆต่อจากนี้ โว้ย ทำไมถึงซวยแบบนี้


“พี่ก็ดูไม่เป็นหรอกจ้ะ แค่อยากเห็นลายมือคนหล่อที่มีแฟนสวยหน่ะ”


แถสิครับรออะไร วันนี้งานแถต้องมา ต่อให้สีข้างถลอกปอกเปิก แต่ถ้าได้กุมมือนุ่มที่ผมยังเนียนไม่ยอมปล่อยอยู่ตอนนี้ ผมว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก






หลังทานพวกนมกับขนมปังปิ้งปังเย็นทั้งหลายจนอิ่มหนำ สาวๆก็ดูจะสนใจการถ่ายรูปเซลฟี่ขึ้นมาบ้าง


“พี่ภูคะ ถ่ายด้วยกัน”


เกร็งเลยครับงานนี้ มีสายตา(ว่าที่)แฟนจ้องอยู่ด้วย


“ลินจ๋า ถ่ายกันๆ”


แหน๊ะ เด็กมารนี่ก็เอาใหญ่ มีการหน้าแนบหน้า ดึงความสนใจเด็กจืดไปจากผมด้วย หัวร้อนโว้ย


“เราถ่ายรวมกันบ้างดีกว่าเนาะ”


ไอ้เอสกับไอ้น้องเป๋าพยักหน้าจนหัวแทบหลุดพอได้ยินผมพูดจบ แน่นอนว่าพวกมันอยากมีรูปกับสาวๆ ส่วนผมก็เนียนๆครับ ไปยืนข้างเด็กจืดที่ถอยมายืนด้านหลัง งานนี้ใกล้ได้ใกล้ โอบได้ต้องโอบ ฮิฮิฮิ เป็นช่วงเซลฟี่ที่ผมโคตรจะมีความสุขเลย ถึงแม้ว่าจะมีตัวมารคอยขัดขวางอยู่เรื่อยๆก็ไม่ได้ทำให้ความฟินผมลดน้อยลงได้เลย


。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
พี่ภู  นับวันจะยิ่งเหมือนโรคจิตบวกไบโพล่าเข้าไปทุกทีแล้วนะ  555   :laugh:
แอบกลัวแทนน้องลินนิด ๆ แฮะ  แต่ก็ถือว่าได้ผลนิ น้องเริ่มเห็นใจละ
แค่นี้ก็รู้เลยนะ ได้เป็นแฟนน้องลินเมื่อไหร่ พี่ภูได้เป็นนายกสมาคมเกลียมัวแน่อ่ะ สงสาร 555
น้องดื้อของพี่จั๊คมาแล้ว ชอบ ๆ น้องเท็นให้ความรู้สึกน่าเอ็นดูอ่ะ
ขอบคุณคนเขียนมากค่า  :กอด1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รู้สึกว่าอารมณ์พี่ภูจะเหวี่ยงไปมาดังรถไฟเหาะอยู่หน่อย ๆ นะ ฮา
เห็นคิดเองฟินเองน้อยใจเองเหวี่ยงเองแล้วตลกดี
พยายามเข้าล่ะพี่ภู

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 o13 พี่ภูคลั่งรัก....

ออฟไลน์ Sugar_stack

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • Page FB Sugar_stack
❥・ใจดวงที่๑๑・❥



โอกาส



..ปาลิน..



ผมคงจะเป็นคนปิดตัวเองอย่างที่ม่านแพงชอบพูดจริงๆ แต่ถ้ามันจะทำให้ผมปลอดภัย ผมว่าการปิดตัวเองมันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะในเวลาที่ชีวิตผมมีพร้อมทุกอย่างแล้ว ทั้งคนที่ผมรักและคนที่รักผม


เจ้าของฉายาภูสอยดาวไม่ได้มากวนผมและม่านแพงอีกหลังจบค่ายรักน้อง ผมมั่นใจว่าความเงียบของผม คือการตอบคำถามที่เขาเคยถามก่อนหน้านี้แล้ว ผมยินดีให้เขาเดินจากไป มากกว่าที่จะยอมให้เขาก้าวเข้ามาในโลกของผม และนานวันเข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำถูกแล้ว ที่ไม่เปิดโอกาสให้คนใจร้ายเดินเข้ามาได้อีก รุ่นพี่เดือนมหาลัยก็ไม่ต่างจากคนอื่น เข้ามาและเดินจากไปง่ายๆ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน โลกของผม จะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมเร็วๆ


เราบังเอิญเดินเจอกันบ้างในบางครั้ง และนั่งรถรางคันเดียวกันบ้างในบางที แต่นั่นก็เพราะความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันเท่านั้น ตอนนี้พี่เขากลับไปเป็นเดือนมหาลัยที่มีดาวมากมายรายล้อม กลับไปอยู่ในโลกของเขา โลกที่ขนานกันกับโลกของผมอย่างสิ้นเชิง


ผมเคยคิดแบบนั้น จนกระทั่งวันที่โลกอันสงบสุขของผมได้ถูกสั่นคลอนอีกครั้ง หลังจากที่เพจของเจ๊มินนี่ลงรูปผมกับเดือนปีสาม ที่ไม่รู้หามาจากไหนตั้งมากมาย และที่สำคัญคือผมไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองได้กลายเป็นนายแบบจำเป็นมาเป็นเวลาเกือบเดือน โดยมีฉากหลังเป็นรถรางและนักศึกษาที่เบียดเสียดกันในวันที่ผมมีเรียนในตอนเช้า และบางตาในวันที่ผมมีเรียนในตอนบ่าย


ในบรรดารูปมากมายเหล่านั้น มีแทบจะทุกอิริยาบถของผมและคนอายุมากกว่า มีตั้งแต่ตอนกำลังก้าวขึ้นรถ นั่งเหม่อๆ หน้าเหวอๆ หรือแม้กระทั่งตอนโหนจับราว ซึ่งส่วนมากจะเป็นภาพของเดือนมหาลัย ที่โดนวิญญาณสุภาพบุรุษลูกผู้ชายเข้าสิง เพราะถึงแม้จะมีที่นั่งว่าง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะยืนตรงชานพักเท้าด้านหลังรถที่ร่มเงาไปไม่ถึง ทุกภาพเรียงวันเวลาและมีเครดิตเพจแสดงเอาไว้ จึงทำให้ผมได้รู้ว่า การบังเอิญเจอกันระหว่างเรา มันอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วก็ได้ จากเดิมที่ผมเคยเห็นเขาบนรถรางแค่ไม่กี่วัน แต่กลับกลายเป็นว่า มันคือทุกๆวันที่ผมมีเรียน ไม่ว่าจะในตอนเช้าหรือบ่ายก็ตาม และข้อความที่บรรยายพร้อมรูปก็ทำให้ผมมั่นใจว่าทุกอย่างคือความตั้งใจของผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนที่ไม่เคยขึ้นรถรางสักครั้ง ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่


แต่ที่แย่กว่านั้น ก็คือสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ตอนที่พี่รหัสผมพาออกมาเลี้ยงที่ร้านนมหน้ามหาลัย มันก็คงจะไม่เป็นไรมาก ถ้าไม่มีใครอีกคนมาด้วย เจ้าของมือปลาหมึกที่พยายามสัมผัสตัวผมอย่างแนบเนียน เอามืออ้อมมากอดเอวบ้าง กอดไหล่บ้าง แตะมือ หรือแม้แต่เอาหน้ามาใกล้ๆ ถึงแม้จะมีม่านแพงและสองสาวน้องรหัสของเขา คอยจ้องมองมาด้วยความไม่พอใจหรือแม้แต่สงสัยอยู่เป็นระยะ


ผมเห็นสีหน้าเก็บความสงสัยไม่มิดของปลายดาว เพื่อนร่วมรุ่นของผมที่เป็นน้องรหัสรุ่นพี่มือปลาหมึก เธอมองมาที่เราหลายต่อหลายครั้ง และถามคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมและม่านแพงไม่หยุด แต่จะโทษเธอก็ไม่ได้ ในเมื่อเพจเจ๊มินนี่ล้วนจุดประกายความสงสัยของคนทั้งมหาลัยไปหมดแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งพี่รหัสของผม ที่บอกผมตั้งแต่เจอหน้ากันที่คาเฟทีเรียว่า


“ปริญ เห็นแบบนี้ พี่ก็หัวสมัยใหม่นะเว่ย ถ้ารักกันชอบกันกับไอ้ภู พี่ว่าก็ทำให้มันชัดเจนซะเถอะ สงสารน้องม่านแพงหว่ะ อีกอย่างนะ ถ้าได้ไอ้ภูเป็นน้องเขย พี่คงสบายไปทั้งชาติ ฮ่าๆๆๆ”


พี่เขาหัวเราะขำกับสิ่งที่ตัวเองพูด แต่แววตาที่จ้องมา กลับจริงจังเสียจนทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไร และไม่ได้ตอบอะไรเรื่องนี้อีก แค่ขอตัวเลี่ยงไปหาม่านแพงที่บอกว่าจะมารอกลับพร้อมกันกับผม


“โอเคค่ะ เดี๋ยวดาวส่งรูปให้ทุกคนนะคะ”


เสียงของดาว ช่วยฉุดผมขึ้นมาจากภวังค์ความคิด และยังช่วยให้ผม แทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่สถานการณ์ตอนนี้ใกล้จะยุติลงแล้ว


วันนี้เรื่องต่างๆล้วนถาโถมและประดังประเดเข้ามา จนผมตั้งรับแทบไม่ทัน แล้วไหนจะต้องมารับมือกับคนหน้ามึนอย่างพี่ภูสอยดาวที่กำลังจ้องตอบกลับม่านแพงอย่างท้าทาย ในขณะที่มือของเขา กำลังถูกผมพยายามแกะออกจากหัวไหล่ของผมอย่างทุลักทุเล


“ใครจะเดินกลับหอในบ้าง”


คำถามของพี่เอส ทำให้ผมยกมือข้างที่พึ่งจะได้รับอิสระจากเดือนมหาลัยปีสามขึ้นมา ผมต้องเดินไปส่งม่านแพงที่หอใน ซึ่งเป็นหอหญิงล้วน ที่ตั้งเยื้องไปทางด้านหลังของมหาวิทยาลัยก่อน และสาเหตุที่ม่านแพงต้องอยู่หอใน นั่นก็เพราะพ่อของเธอเป็นเพื่อนกับอธิการบดีคนปัจจุบัน แน่นอนว่าท่านไม่ได้เข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตของพวกผม แต่ออกแนวโฆษณาให้พ่อแม่ม่านแพงเห็นถึงความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ จนยอมส่งลูกสาวคนเดียวออกจากอ้อมอกมาอยู่นอกบ้านเป็นครั้งแรก


“เอ้า ทุกคนเลยหรอ ไอ้ภู มึงก็ด้วยหรอวะ”


พี่เอสหันไปถามคนหน้ามึน ที่เนียนยกมือกับพวกผมด้วย


“เออๆ กูจะไปส่งน้องรหัสกูก่อนค่อยกลับ”


และคำตอบนั้น จึงทำให้พวกเราทุกคน เดินมาตามทางเดินที่มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าต้นสูง เป็นอุปกรณ์ให้ความสว่างเพียงอย่างเดียว อากาศเย็นๆในตอนกลางคืนทำให้ผมสดชื่น เพราะมันคล้ายกับอากาศที่บ้านของผมที่เชียงใหม่


“ลิน หนาว”


ม่านแพงลูบแขนตัวเองไปมา


“อืม เอาไงดีหล่ะ”


ผมรู้ดีว่าม่านแพงเป็นคนขี้หนาว แต่วันนี้เราทั้งคู่ไม่ได้มีเสื้อคลุมหรือผ้าคลุมติดมาด้วย ถ้างอแงจะให้ผมกอด ผมคงต้องปฏิเสธก่อน เพราะเราอยู่ในมหาลัย และตรงนี้คนก็อยู่กันเยอะ เดี๋ยวม่านแพงจะเสียหายเอาได้


“กอดๆ”


นั่นไงหล่ะ ผิดคาดเสียที่ไหน ผมส่ายหน้าแต่ก็ลูบหัวคนที่เบะปากเพราะถูกขัดใจไปมาให้รู้ว่าผมกำลังโอ๋


“ไปเอาเสื้อในรถพี่มั้ย จอดอยู่แค่ตรงนี้เอง”


คนที่โดนม่านแพงหมายหัวให้เป็นศัตรูอันดับหนึ่ง คงจะฟังบทสนทนาของเราทั้งคู่อยู่ตั้งแต่แรก ถามแทรกขึ้นมา และผมคิดว่าม่านแพงจะต้องปฏิเสธแน่นอน


“จริงหรอคะพี่ภู ม่านขี้หนาวอะค่ะ ยังไงก็ต้องรบกวนด้วยนะคะ”


หื้ม ม่านแพงหนาวถึงขนาดยอมใส่เสื้อรุ่นพี่ภูสอยดาวเลยหรอ ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่ยังคงนิ่งและไม่ได้พูดอะไร เพื่อขยายความให้ผมเข้าใจถึงการกระทำของเธอสักนิด


“ไอ้เอส มึงพาน้องคนอื่นกลับก่อนเลยละกัน อากาศมันเย็น แล้วน้ำค้างก็ลงอีก เดี๋ยวจะไม่สบายกันหมด กูฝากไปส่งน้องผึ้งกับน้องดาวด้วย เดี๋ยวกูไปเอาเสื้อในรถให้น้องม่านแพงก่อน แล้วเดี๋ยวกูไปส่งน้องสองคนนี้เอง”


คนที่จัดแจงแผนการการเดินทางกลับให้พวกเราทั้งหมด หันไปคุยกับพี่รหัสของผม ที่ก็คงได้ยินอยู่ก่อนแล้วว่าผมและม่านแพง จะต้องเดินไปที่รถของเพื่อนเขาก่อน


พี่ผึ้งกับดาวมองมาที่พวกเรา ด้วยความสงสัยอย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ตรงกันข้ามกับสีหน้าแสดงความอยากรู้อยากเห็น พวกเธอแค่นิ่งฟังตอนที่พี่ภูตกลงกับพี่เอสเงียบๆ จากนั้นจึงยกมือไหว้พี่รหัสตัวเองเพื่อบอกลา และเดินไปพร้อมพี่เป๋าพี่เอส โดยไม่ลืมที่จะยิ้มกว้างและโบกมือเพื่อบอกลาผมและม่านแพงก่อนไป ผมกับม่านแพงก็ไหว้พี่เอส พี่ผึ้งและพี่เป๋า ก่อนเราจะเดินไปทางลานจอดรถของมหาลัย พร้อมกันกับคนที่ทำให้ผมตกเป็นเป้าสายตาและหัวข้อสนทนาของทุกคนในมหาลัยอย่างเลี่ยงไม่ได้


คนที่เดินนำผมและม่านแพง ผิวปากเป็นเพลงอย่างอารมณ์ดีมาตลอดทาง จนผมเห็นม่านแพงแอบหัวคิ้วกระตุกอยู่หลายที แต่ก็ยังพยายามทำสีหน้าเรียบเฉย


ปิ๊บบบ


เจ้าของรถคันหรูกดรีโมทเพื่อปลดล็อคปอร์เช่ คาเยนน์สีขาวที่จอดอยู่คันเดียวในเวลานี้


“ม่าน”


ผมเรียกเบาๆ พร้อมทั้งส่งสายตาเป็นคำถามไปให้คนสวยที่เดินอยู่ข้างกัน


“ขึ้นมาสิลิน เดี๋ยวพี่ภูก็ขับรถไปส่งพวกเราที่คอนโดเองแหละ ใช่มั้ยคะพี่ภู”


แทนที่จะตอบผม ม่านแพงกลับพูดและแสดงออกอย่างเอาแต่ใจ เธอถือวิสาสะเชิญตัวเองขึ้นไปนั่งบนรถของคนที่กำลังสาละวนหาเสื้อคลุมให้เธออยู่ท้ายรถ ผมยอมรับว่าตอนนี้ ผมตามความคิดม่านแพงไม่ทัน และไม่รู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไรกันแน่ แต่ถ้าเธอเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้วขนาดนั้น ผมก็จำใจต้องขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง ถึงแม้จะไม่ต้องการทำตามความเอาแต่ใจของดาวมหาลัยคนสวยสักนิด


ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่กำลังสงสัยในสิ่งที่ม่านแพงทำ แต่เจ้าของรถก็คงจะรู้สึกมึนงงไม่น้อย พอได้สติถึงได้เห็นคนมีสีหน้าแปลกใจ ตามขึ้นมานั่งข้างม่านแพง โดยมีผมนั่งอยู่เบาะหลัง





“อ่าาา ถึงแล้วครับ”


เป็นรุ่นพี่เดือนปีสามที่เอ่ยทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดขึ้นมาก่อน เนื่องจากตลอดทาง ยังไม่มีใครพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว


“ม่านแค่บอกว่าคอนโดนะคะ พี่ภูรู้ได้ยังไงว่าม่านจะมาคอนโดA”


ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าแม่ตัวดีจะทำอะไร


“ก็คนที่พี่จีบอยู่ที่ไหน พี่ก็ต้องรู้สิครับ”


พี่ภูฟ้าหันมายักคิ้วกวนๆส่งให้ม่านแพง ส่วนผมก็อยากจะเปิดประตูเดินออกไปให้รู้แล้วรู้รอด


“เอ๊ พี่ภูจีบใครอยู่หรอคะ ม่านไม่เห็นรู้เลย”


ม่านแพงยังไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา แต่เลือกที่จะตามน้ำไปกับรุ่นพี่ปีสาม ที่หันมามองหน้าเธอตรงๆ


“พี่ก็..จีบแฟนน้องม่านอยู่นี่ไงหล่ะครับ”


คนที่ชะตาใกล้ขาด ดูจะยังไม่รู้ตัว มิหนำซ้ำยังมีการหันมายิ้มแล้วขยิบตาส่งให้ผมด้วย


“จีบแฟนคนอื่นมันผิดนะคะ”


ถ้าในรถจะเกิดเสียงอะไรสักอย่างหลังจากนี้ ผมว่าก็คงจะเป็นเสียงประกายตาที่ม่านแพง ใช้จ้องตอบพี่ภูฟ้าแน่ๆ ถึงผมจะเคยเล่าให้ม่านแพงฟังแล้วว่าอดีตเดือนมหาลัยได้ยินเรื่องที่เราไม่ใช่แฟนกันแล้ว แต่ผมก็ยังคงคาดเดาไม่ออกว่าม่านแพงคิดจะทำอะไรกันแน่


“น้องม่านก็เลิกกับแฟนซักทีสิครับ พี่จะได้ไม่ผิด”


ประโยคร้ายๆจากปากเจ้าของฉายาภูสอยดาว ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผิดคาดมากนัก


“พี่ภู!!!” 


แต่เป็นม่านแพงเอง ที่ดูจะรับไม่ได้กับคำตอบนั้น


“ทำไมหล่ะครับน้องม่าน พี่พูดผิดตรงไหน”


คนกวนโมโหก็ยังคงกวนโมโหต่อไป


“ไม่ยักรู้นะคะว่านอกจากชอบของคนอื่นแล้วพี่ยังชอบเพศเดียวกันด้วย”


แต่ม่านแพงก็พลิกสถานการณ์กลับมาได้ เมื่อประโยคที่น่าจะจี้ใจดำผู้ชายอย่างเดือนมหาลัยปีสามถูกส่งออกมาจากริมฝีปากคู่สวย


“พี่เองก็พึ่งรู้ไม่นานมานี้เอง ยอมรับว่าก็บ้าบอไปอยู่หลายวันเหมือนกัน แต่ตอนนี้มั่นใจแล้วหล่ะ ก็ในเมื่อคนที่พี่ชอบดันเป็นผู้ชายนี่นา”


ผมหลบสายตาที่จ้องมาจากกระจกมองหลังโดยไม่รู้ตัว และก็ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป สิ่งเดียวที่รู้ คือผมอยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด


“อ้อ หรอคะ งั้นต่อให้ครอบครัว เพื่อน หรือคนทั้งมหาลัยจะรู้ ก็ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”


กึกกกก


ม่านแพงกำลังหยิบประเด็นที่ผมไม่โอเคที่สุดขึ้นมาพูด เธอไม่ได้หันกลับมา แต่แววตาที่สะท้อนผ่านกระจกมองหลังเต็มไปด้วยคำว่าขอโทษ ผมถอนใจออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่สามารถหลุดรอดสายตาอีกคู่ที่กำลังมองผ่านกระจกมายังผมได้


“อืมมม ก็โอเคนะ รู้เยอะๆสิดี จะได้ไม่มีใครกล้ามาแย่ง”


คนที่คงจะอารมณ์ดีตลอดเวลา ยิ้มและยักคิ้วส่งมาให้ผมผ่านกระจกมองหลัง ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดที่หันกลับมา


“แล้วครอบครัวพี่จะรับได้แน่หรอคะ”


ม่านแพงเริ่มมองเหยียด เธอคงรู้สึกว่าคำตอบเมื่อกี๊ของรุ่นพี่เดือนมหาลัยนั้น สวยงามเกินไป


“เอาจริงๆก็ไม่รู้หรอก ว่าจะรับได้มั้ย แต่พี่มันเป็นคนดื้อด้านมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องที่พี่ปักใจไปแล้วด้วยหน่ะนะ”


ผมไม่อยากฟังบทสนทนาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆอีกต่อไปแล้ว รู้สึกแค่ว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้


“คนอื่นจะรับได้หรือไม่ได้แล้วจะยังไงหล่ะ  ถ้าอยากให้คนอื่นยอมรับ ก็ควรเริ่มจากตัวเองก่อนรึเปล่า และพี่ก็มั่นใจว่าตอนนี้พี่ยอมรับตัวเองได้แล้ว ส่วนเรื่องต่อจากนี้ ยังไงมันก็ต้องยากอยู่แล้ว มองยังไงมันก็ไม่ง่ายแน่ๆ แต่การจะผ่านเรื่องยากๆพวกนั้น มันไม่ใช่หน้าที่ของพี่แค่คนเดียว แต่มันเป็นหน้าที่ของเราสองคน ขอแค่ให้โอกาสกันบ้าง”


ผมหันไปสนใจถนนมืดๆของมหาลัยที่อยู่ด้านนอก ตอนนี้หมอกที่ไม่รู้ที่มา กำลังทอดตัวปกคลุมบรรยากาศรอบนอกจนทำให้แสงจากหลอดไฟ ทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก


“แล้วทุกวันนี้ที่เห็นรูปพี่ภูในทุกที่ที่ลินอยู่นี่หมายความว่ายังไงคะ”


ม่านแพงยังคงถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย


“ก็อย่างที่บอก พี่ขอแค่โอกาส อยากให้หันมามองพี่บ้าง ให้พี่ได้อยู่ในสายตาบ้างได้รึเปล่า”


ผมยังจับจ้องกับถนนของมหาลัยที่นานๆจะมีรถยนต์ผ่านมาสักคัน


“แล้วจะทำได้นานแค่ไหน”


ยอมรับว่าลึกๆแล้วผมก็สงสัยไม่ต่างกันกับม่านแพง


“ลองเชื่อใจพี่ซักครั้งได้มั้ย”


คำพูดเหมือนจะบอกม่านแพง แต่ถึงแม้ผมหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา ผมอยากจะตอบอะไรสักอย่างกลับไป แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ


“ชอบลินมากหรอคะ”


ผมไม่เข้าใจว่าสองคนนี้กำลังทำอะไรกันอยู่


“อื้ม มากๆเลย เล่นของใส่พี่รึเปล่าเนี่ย”


เสียงหัวเราะเบาๆของคนอายุมากกว่า ยังคงดังพอที่จะทำให้ผมได้ยิน


“มากถึงขั้นที่จะเรียกว่ารักได้รึเปล่า”


ผมไม่รู้ว่าควรจะอยู่ตรงนี้ต่อไปหรือเปล่า


“ได้สิ แต่ขอพี่ไปบอกกับเจ้าตัวก่อนนะ ตอนนี้คงพูดลอยๆยังไม่ได้”


คำถามคำตอบบ้าบอของสองคนนี้ ยิ่งทำให้ผมอยากหายตัวออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด


“แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าพี่รักลินจริง ในเมื่อพี่ก็พึ่งรู้ใจตัวเองว่าชอบผู้ชาย”


ผมอยากจะถอนหายใจแรงๆสักที รู้สึกอึกอัดจนไม่รู้ว่าควรทำยังไงดีกับเหตุการณ์ในตอนนี้


“อย่าว่าแต่รู้ตัวว่าชอบผู้ชายเลย แม้แต่คำว่ารัก ก็พึ่งจะรู้จักนี่แหละ พี่เลยจะบอกว่าไม่ต้องแน่ใจในตัวพี่ตอนนี้ก็ได้ แต่ตัวพี่หน่ะ มั่นใจในตัวเองแล้ว และมั่นใจด้วยว่ามันมากพอจะทำให้พี่หยุดที่ใครสักคน”


“แน่ใจแค่ไหนว่าจะไม่ทำให้ลินเสียใจ”


ม่านแพงถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ล้านเปอร์เซนต์”


“ไม่อยากฟัง”


ผมพลั้งปากออกไปตามที่คิด และเพราะหมายความตามที่พูดทุกคำ จึงไม่รีรอที่จะเสียมารยาทและเปิดประตูลงมาเลย ไม่รู้ว่าตัวเองเอาความกล้ามาจากไหนถึงเผลอพูดอะไรแบบนั้นออกไป แต่ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าทำดีแล้ว ถึงจะไม่รู้สึกตามนั้นเลยสักนิด


ตอนแรกผมนึกว่าม่านแพงจะตามผมลงมา แต่เปล่าเลย ม่านแพงยังเลือกที่จะนั่งนิ่งอยู่บนรถยนต์คันหรู ผมที่ถึงแม้จะไม่อยากอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกแม้นาทีเดียว ก็จำยอมต้องยืนรอม่านแพงอยู่ใต้เสาไฟเพียงต้นเดียวในบริเวณนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


“ไปกันเถอะ”


คือประโยคเดียวที่ผมได้ยินจากม่านแพง หลังจากลงมาจากรถยนต์ที่จอดติดเครื่องอยู่ริมทางเท้าเกือบยี่สิบนาที เราเดินจากมาเงียบๆ สุดท้ายผมที่รอเธออธิบายเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปก่อน เพราะม่านแพงบอกแค่เพียงว่า “เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”



..ภูฟ้า..



ผมกำลังบิดตัวเป็นเกลียวไปมาบนที่นอน หน้าร้อนไปหมด เขินอย่างกับหนุ่มน้อยริรักอย่างที่ไอ้ปาล์มพูดจริงๆ


ม่านแพงตั้งสเตตัสในเฟซบุ๊ค โดยระบุสถานะโสดตามสัญญา นั่นก็หมายความว่าเด็กจืดของผม โสดทั้งเรื่องจริงและเรื่องอุปโลกน์ ฮิฮิฮิ อารมณ์ดีเหมือนจะมีปีกลอยได้แล้วตอนนี้


ผมก็ไม่รอช้า รีบทำตามที่ตกลงกับเธอไว้เมื่อคืนทันที


“ม่านจะให้โอกาสพี่พิสูจน์ตัวเอง จะลองให้พี่ลองปีนกำแพงหัวใจของลินดู ถ้าพี่ทำได้ ม่านก็จะดีใจมากเพราะม่านอยากเห็นเพื่อนมีความสุข แต่กลับกัน ถ้าโอกาสที่ม่านให้พี่ ถูกพี่เอามาใช้ทำร้ายลิน ม่านจะทำทุกทางให้มั่นใจว่า ชีวิตนี้พี่จะไม่มีวันได้มีความสุขอีกเลย”


นั่นคือหนึ่งในหลายประโยคที่ม่านแพงบอกกับผม แววตาของเธอทอประกายเอาจริงอย่างไม่ปิดบัง ผมนับถือใจม่านแพงนะ เธอเด็ดเดี่ยวและรักเพื่อน ผมไม่ได้ตอบรับเธอส่งๆ ผมรับปากเธอเพราะผมก็รับปากหัวใจตัวเองแบบเดียวกัน



Bhufah Sitthithananon
ขออนุญาตจีบครับผม -with Palin Lipanakul




ฮิฮิฮิ ผมแท็กรูปแอบถ่ายตอนเด็กจืดนอนหลับบนรถไปด้วย ภาพโคตรจะมุ้งมิ้งตัลล้าก เด็กจืดก็ไม่ต่างจากเด็กตัวเล็กๆ เวลานอนจะดูน่าฟัดเป็นพิเศษ หน้าใสๆ แก้มนุ่มๆขาวๆ ขนตาเป็นแพ ปากนิด จมูกหน่อย ผมก็เริ่มยาวคลอเคลียรับกับกรอบหน้า ยิ่งทำให้ภาพๆนี้มีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก มากจนทำให้ผมรู้สึกแอบหวงหน่อยๆแล้วแฮะ ลบดีมั้ยเนี่ย หรือใส่เครดิตบนรูปด้วยดี จะได้รู้ว่าคนนี้ผมจอง


ผมนอนบิดไปบิดมาเพราะเขินที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ ในขณะที่โทรศัพท์ผมก็สั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ข้างๆกัน แต่ผมไม่รับหรอก เพราะตอนนี้ผมรอสายเข้าจากคนแค่คนเดียว


ฮิฮิฮิ


โทรมาแล้ว


“สวัสดีครับ”


ต้องเก๊กๆ ฮิฮิฮิ


“พี่ภู นี่พี่ทำอะไรครับ”


เสียงเหวี่ยงมากๆๆ ฮิฮิฮิ มีความสุข เด็กจืดโทรหาโผ๊มมมม


“ก็ลินโสดแล้ว พี่ก็ขอจีบไง เป็นอะไรหื้ม นอนไม่พอหรอครับ ทานข้าวรึยัง พี่ไปหามั้ย”


ฮิฮิฮิ วันนี้วันเสาร์จะดักรอที่ป้ายรถรางก็ไม่ได้ แต่ขอหยอดหน่อย เผื่อฟลุ๊คได้เจอหน้า


“ไม่ต้องมาเรียกว่าลินเลยนะ!!”


ตู้วหูววว หวงชื่อด้วย


“อ๊ะๆๆ ยอมแล้วครับ เรียกที่รักแทนก็ได้เนาะ”


ฮิฮิฮิ ให้เรียกอะไรพี่ก็ยอมจ้า


“พี่ภู!! แค่กๆๆๆ”


“ไม่สบายหรอครับ?”


เสียงไอของคนที่กำลังอารมณ์ไม่ดี เรียกความสนใจของผมได้ในทันที


“ไม่ต้องมายุ่ง ลบสเตตัสเฟซบุ๊คพี่เดี๋ยวนี้เลยนะ แค่กๆๆ”


หรือว่าจะป่วยเพราะรอม่านแพงเมื่อคืนกันนะ ความจริงผมก็อยากชวนให้กลับมานั่งด้วยกันบนรถ แต่ติดที่ม่านแพงมีเรื่องอยากจะคุยกับผมแค่สองคน จะบอกให้ไปรอในคอนโดก่อนก็คงไม่ยอมอีก คู่เพื่อนสองคนนี้ดูจะหวงกันมากเสียด้วย ถ้าไม่ติดที่ว่าม่านแพงรับปากว่าจะช่วยผมจีบเด็กจืด ผมต้องกลุ้มใจความสัมพันธ์สองคนนี้แน่ๆ เห้อ ตั้งแต่คิดมีแฟนเป็นผู้ชาย ทำไมใจมันบางไปหมดทุกเรื่องขนาดนี้ก็ไม่รู้


“โอ๋ๆๆ ไม่เสียงดังนะครับ เจ็บคอหมดแล้วเนี่ย หื้มมม”


แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาใจบาง เพราะนี่คือเวลาที่เหมาะกับการทำคะแนนที่สุด ฮิฮิฮิ


“ลบเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”


“พี่ลบไม่เป็นอะครับ เดี๋ยวพี่เอาโทรศัพท์ไปให้ลินลบให้ถึงที่เลยน้าาา เท่านี้นะครับ งดใช้เสียงนะ จุ๊บๆ”


ผมรีบพูดตัดบทเพราะกลัวคนตรงหน้าปฏิเสธ โทรมาอีกก็ทำใจแข็งไม่รับซะเลย


ฮิฮิฮิ


ได้เวลาดูแลคนป่วยแล้ว!


。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。


พี่ภูไม่ได้เป็นไบโพล่าร์นะคะ พี่ภูเป็นบ้า 55555  :hao7:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2018 21:24:58 โดย Sugar_stack »

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
พี่ภู อะไรจะมุ้งมิ้งติงต๊องได้ขนาดนี้ เชื่อคำที่ว่า ความรักทำให้คนเป็นบ้าได้แล้วล่ะ 555  :laugh:
ชอบม่านแพงอ่ะ เด็ดเดี่ยวจริง ๆ รักและหวังดีกับน้องลินเหลือเกิน
ม่านให้โอกาสแล้ว พี่ภูก็พยายามปีนกำแพงใจน้องลินให้ได้ล่ะ
น้องลินเคยเจ็บช้ำจากใครมาน้อ ก็รุ่นพี่มอหกนั่น เป็นความรักที่ยังไม่ได้เริ่มไม่ใช่เหรอ
รู้สึกสงสารน้องลินเบา ๆ ต้องรับมือกับพี่ภูโหมดนี้ ขอเอาใจช่วยน้องลินแทนแล้วกันนะ ฮาาา
ขอบคุณคนเขียนค่า  :กอด1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หลอนกับเสียง ฮิฮิฮิ ในใจของพี่ภูสอยดาวนี่จริง ๆ ฮา
พอมีความรักแล้วรู้สึกว่าพี่เขามุ้งมิ้งขึ้น ไม่สมกับหน้าตาเลยอ่ะ

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
555 พี่ภูน่ารักตะมุตะมิแทนน้องลินไปเลยอ่ะ

ตื้อเท่านั้นจะครองโลกเนอะพี่ภู. :)

 :hao6:  :hao6:  :hao6:  :hao6:  :hao6:  :hao6:

เอ๊ะ เอ๊ะ. สติ๊กเกอร์หื่นไปไหมเนี่ย อิ อิ

..

.

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :o8:  :-[  :impress2: พี่ภูไมากากแล้วค่ะ...

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ชอบความ ฮิฮิฮิ ของพี่ภู
เชียร์พี่ภูให้น้องลินยอมยื่นกุญแจ (กำแพงใจ) ให้แบบไม่รู้ตัวนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Sugar_stack

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • Page FB Sugar_stack
❥・ใจดวงที่๑๒・❥


วันที่น้องป่วย



..ปาลิน..



เพราะตากน้ำค้างรอม่านแพงวางแผนการร้ายกับไอ้พี่บ้านั่นเมื่อคืนแน่ๆ เช้านี้ผมเลยตื่นมาพร้อมกับไข้หวัดและอาการเจ็บคอ กะจะเช็ดตัวแล้วลงไปซื้อข้าวกับยาแก้เจ็บคอขึ้นมาทานเสียหน่อย แต่โทรศัพท์ที่สั่นจนน่ากลัวทำให้ยังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่าง


เริ่มแรกก็เป็นพวกคนที่กระหน่ำถามเข้ามาทุกช่องทางว่าเลิกกับม่านแพงแล้วหรอ ผมที่ยังงงๆเลยไม่ทันได้ตอบอะไร พอเลื่อนไปดูสเตตัสแม่ตัวดี ถึงได้รู้ว่าผมถูกปลดจากตำแหน่งแฟนกำมะลอแล้ว ซึ่งนั่นก็ยังไม่เท่าไหร่ ถ้าไม่ตามมาด้วยแจ้งเตือนคำขอแท็กผมจากรูป ซึ่งเป็นรูปที่ผมถูกแอบถ่ายตอนหลับบนรถ ที่สำคัญยังมีแคปชั่นบ้าๆของเจ้าของรถนั่นด้วย ขนาดผมไม่ได้กดอนุญาตให้แสดงที่หน้าฟีดเฟซบุ๊คผม แต่แจ้งเตือนที่บอกว่ามีคนกดไลค์หรือคอมเมนท์มากแค่ไหน ก็ยังมีเข้ามาไม่หยุด


แบบนี้มันคือการสมรู้ร่วมคิดกันชัดๆ ผมจะโทรไปต่อว่าแม่ตัวดี แต่ทั้งม่านแพงทั้งคิตตี้ชิงปิดเครื่องด้วยกันทั้งคู่ ชัดเจนเลยว่ามีการวางแผนกันมาอย่างดี เราจะได้เห็นดีกันแน่ ยัยสองแสบ!


พอคิดบัญชีกับทางนี้ยังไม่ได้ เลยต้องเลื่อนหาเบอร์ผู้สมรู้ร่วมคิดหมายเลขสาม จากประวัติรายการโทรเข้าโทรออก เพราะผมเคยลบชื่อที่บันทึกไว้ออกไปแล้ว กว่าจะหาเจอก็ทำเอาแบตเตอรี่โทรศัพท์ผมลดไปเกือบยี่สิบเปอร์เซนต์ เพราะข้อความและแจ้งเตือนทุกช่องทาง ยังเด้งเตือนไม่หยุด ฮึ่มมมมมม ผมชักจะโมโหแล้วนะ!!


แต่ความโมโหเหมือนจะส่งไปไม่ถึง ซ้ำร้ายยังย้อนกลับมาหาผมและทำให้ผมโมโหมากขึ้นเสียอีก ก็คนที่ผมตั้งใจโทรไปเอาเรื่อง ดันเอาแต่พูดจาบ้อบอไร้สาระ พูดเองเออเอง แล้วก็วางสายไปเฉยเลย โอ๊ยยยย อยากฆ่าคน!!!


แค่กๆๆๆ


แต่รอผมหายป่วยก่อนแล้วกัน ฮึ่ย!!



..ภูฟ้า..



ผมแวะซื้อโจ๊กหมูใส่ไข่ไม่ใส่ขิง แบบที่ผมชอบเห็นน้องสั่งทานเป็นมื้อเช้า แน่นอนว่าสามห่อ เผื่อผม และคนป่วยในมื้อกลางวันด้วย เจ็บคอแบบนี้ โจ๊กกับน้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาลน่าจะช่วยให้ไม่ระคายคอมากนัก


ผมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง ที่ตัวเองจำเลขและชั้นได้จนขึ้นใจ คอนโดนี้จะเข้ามาแต่ละทีก็ใช่ว่าจะง่าย ดีนะที่ตอนนี้ผมมีคีย์การ์ดที่ขอยืมมาจากไอ้นิค เพื่อนภาคไบโอซึ่งอยู่ถัดห้องเด็กจืดขึ้นไปอีกสองชั้น ส่วนกุญแจห้องและคีย์การ์ดอันเดิมที่ได้มาจากสาวที่เคยคั่ว ก็ต้องจำใจคืนเขาไป เพราะกลัวว่าถ้าน้องมันรู้เข้า จะทำให้จีบยากกว่าเดิม ดังนั้นอะไรที่ตัดความเสี่ยงออกได้ ผมก็ต้องทำ โดยเฉพาะแต่ละคะแนนจากเด็กจืด ดูท่าว่าจะไม่ได้มาง่ายๆ ผมจึงควรต้องรอบคอบและระวังจะโดนหักคะแนนให้มากกว่าเดิม


ก๊อกๆๆ


ผมเคาะประตูสามครั้งตามมาตรฐาน แต่หัวใจผมเนี่ยสิ ดันบีบตัวแรงและถี่รัวแซงหน้าไปแล้วสามสิบเท่า จนผมกลัวว่ามันอาจจะดังกว่าเสียงเคาะประตูเสียอีก แค่คิดว่าจะได้เจอหน้าคนบางคน ผมก็ตื่นเต้นขนาดนี้แล้ว หรือเด็กจืดจะทำคุณไสยใส่ผมจริงๆกันนะ


แค่กๆๆๆ


“เปิดช้า”


ผมทำแก้มพอง แบบที่เคยเห็นเด็กตรงหน้าทำแล้วน่ารัก เพื่อเรียกคะแนนสงสาร แต่ยิ่งทำยิ่งดูเหมือนจะทำให้คนป่วยอาการแย่กว่าเดิมแฮะ


แค่กๆๆๆๆๆๆๆ


“พี่ลบรึยังเนี่ย แล้วมาทำไม”


คนที่ไอจนเหนื่อย ยังอุตส่าห์ใช้แววตาเคืองๆมองมาที่ผม หึ ตัวเองน่ารักขนาดนี้ คิดว่าทำหน้าดุแล้วจะน่ากลัวหรือไง


“มาดูแลคนป่วยครับ”


ผมจัดการชูถุงเสบียงมากมายขึ้นมาให้คนตรงหน้าได้เห็น แล้วจึงส่งยิ้มที่คิดว่าใสซื่อที่สุดส่งไปให้


แค่กๆๆๆ


“กลับไปเถอะ ผมทานแล้ว”


คนป่วยตอบแบบไร้เยื่อใยมากๆ แต่ไอ้เรามันหน้าด้านครับ ก็เบียดตัวแทรกผ่านประตูเข้าไปเลยเนียนๆ


“เห็นๆอยู่ว่าตัวเองป่วยหนัก อย่าเล่นตัวสิ มานี่มา มาดูพี่ซื้อแต่ของโปรดเรามาทั้งนั้น”


ผมถือวิสาสะคว้าข้อมือเจ้าของห้องที่ยังจับบานประตูค้างไว้ให้เดินเข้ามาด้วยกัน เพื่อประตูจะได้ทำหน้าที่ปิดกั้นโลกภายนอกอย่างที่มันควรจะเป็น


แค่กๆ


“ปล่อยครับ”


“อยากให้ปล่อยก็ต้องเชื่อฟังพี่ ไปนั่งลงรอทานข้าวทานยาเลย”


“ผมทานแล้ว”


“ไม่เชื่อ”


แค่กๆๆ


“ก็ผมทานแล้วจริงๆ ทั้งข้าวทั้งยา”


“ข้าวกับอะไร ละยาด้วย ไปซื้อตอนไหน”


“ข้าว ก็นมจืดในตู้เย็นนั่นแหละ ส่วนยาก็พาราไง”


ดื้อใหญ่แล้วครับเด็กคนนี้ เห็นผมรักผมหลงเข้าหน่อยก็ตั้งท่าจะเถียงจนไอหน้าแดงไปหมด


“ถ้าไม่หยุดพูด หรือยังไม่เชื่อฟัง พี่จะจูบแล้วนะ”


ถึงผมจะคาดโทษ แต่ก็ยอมรับว่าอยากให้น้องยังยืนยันที่จะดื้อต่อจริงๆ


“จะจูบแบบแลกเอนไซม์ด้วยนะ กลัวไม่กลัว”


ผมหรี่ตาทำหน้าแบบตาแก่หื่นกามให้คนตรงหน้าหวาดระแวง จนเผลอยกมือขึ้นปิดหมับเข้าที่ปากตัวเอง


“อื้ม แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย มานั่งนี่มา”


เปล่าหรอก น้องมันก็น่ารักตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ไม่อยากชมเดี๋ยวดื้อไม่ยอมฟังกันอีก


ผมจูงมือคนที่ถลึงตามองผมจนตากลมๆนั่นแทบหลุดออกมา มือก็ประกบปิดปากตัวเองไว้แน่น ให้มานั่งลงที่โต๊ะอาหาร เอาโจ๊กใส่ชาม เทน้ำเต้าหู้กับน้ำเปล่าอย่างละแก้ววางลงข้างๆ พร้อมด้วยแก้วเล็กๆบรรจุยาหลายขนาน ที่ผมปรึกษาเภสัชกรหน้ามหาลัยมาแล้ว จากนั้นจึงส่งสายตากดดันให้เด็กดื้อลงมือทาน ส่วนตัวเองก็แกะโจ๊กอีกชามมานั่งทานที่ฝั่งตรงข้าม


ต่างคนก็ต่างนั่งทานโจ๊กในชามของตัวเองเงียบๆ ก็แค่การทานมื้อเช้าด้วยกัน แต่ทำไมผมรู้สึกมีความสุขมากมายขนาดนี้ก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ว่าคนป่วยจะคิดเหมือนกันมั้ย แต่อย่างน้อยผมก็แอบเข้าข้างตัวเองว่าคนตรงหน้าไม่ได้เกร็งเวลาที่อยู่กับผมเหมือนทุกที คงเป็นเพราะป่วย กลไกการป้องกันตัวเองที่ม่านแพงชอบเรียกว่า“กำแพง” นั้น ก็เลยดูจะเบาบางลงไปด้วย


“เปิดทีวีมั้ย”


ผมมองตามสายตาน้องไปยังรีโมททีวีบนโซฟา คนป่วยหันมามองผมอย่างช่างใจอยู่แป๊บนึง ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ ผมเห็นน้องตั้งท่าจะลุกไปหยิบด้วยตัวเอง เลยจัดการกดคนป่วยให้นั่งลงที่เดิม แล้วเป็นฝ่ายเดินไปหยิบมาให้น้องเอง


“เดี๋ยวพี่เอาให้ แล้วถ้าไม่ดื้อเนี่ย ไม่ได้ห้ามพูดซะหน่อย กลัวขนาดนั้นเลยหรอเรา”


ผมส่งรีโมทในมือให้คนป่วยที่ยังไม่ยอมละสายตาขึ้นมาจากถ้วยโจ๊ก ทานใกล้หมดแล้วด้วย สงสัยคำขู่ผมจะเป็นผลจริงๆ เลยต้องพูดเพื่อลดความน่ากลัวลงหน่อย


น้องไม่ตอบอะไร แต่กลับช้อนตามองผมแบบอ้อนๆแทน จะรู้ตัวบ้างมั้ย ว่าไอ้ท่าทางที่บอกว่า “ผมอิ่มแล้ว” เนี่ย น่ารักขนาดไหน


“ครับๆ อิ่มแล้วก็พอนะ ทานยาแล้วไปนอนดูทีวีได้”


เป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งที่แววตาดีใจฉายขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะหันไปจัดการยาสามสี่เม็ดตรงหน้าแล้วดื่มน้ำตาม คนป่วยทำท่าจะเก็บชามทั้งของตัวเองและของผม ที่พึ่งทานหมดไปล้าง


“หยุดเลยเรา พี่ทำเอง ไปนอนดูทีวีเลยนะ”


“ทำได้”


ดูสิ เห็นตามใจเข้าหน่อย เริ่มดื้ออีกแล้ว


“แต่พี่อยากทำให้ ให้พี่ทำนะครับ”


ได้ผลแฮะ คราวนี้คนป่วยไม่ดื้อต่อ และเลือกที่จะไปนั่งจุมปุ๊กบนโซฟา เพื่อดูการ์ตูนประจำเช้าวันเสาร์แทน ผมล้างชามและแก้วจนเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะอินบ็อกไปบอกม่านแพงให้รับทราบ ว่าผมกำลังดูแลคนป่วยอยู่ ผมต้องคอยรายงานเรื่องน้องกับม่านแพงเป็นระยะๆ ไม่อย่างนั้นเธอขู่ว่าจะไม่ช่วยผมต่อ ซึ่งผมจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน


จะว่าไปแล้ว ผมว่าเรื่องดีๆหลายๆอย่างที่เกิดกับผมในช่วงนี้ คงต้องยกความดีความชอบให้เพจของมินนี่ เพราะรูปที่ปาลินมองผมแค่นั้น กลับทำให้ผมมีกำลังใจมากมาย และยังทำให้ม่านแพงตัดสินใจว่าจะลองช่วยผมดู เพราะเธอบอกว่านานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นเด็กจืดใช้สายตาแบบนั้นมองใคร สายตาแบบไหนกันนะ จะใช่สายตาแบบที่น้องกำลังหันมามองผมอยู่ตอนนี้มั้ย พอผมมองกลับไป ดวงตาคู่นั้นก็หันกลับไปดูการ์ตูนเสียแล้ว


“ตัวหายร้อนรึยัง ไหนพี่ดูซิ”


ผมตามไปนั่งข้างๆ เอามืออังหน้าผากของคนป่วยที่ยอมอยู่นิ่งๆให้ผมสัมผัสแต่โดยดี ตัวรุมๆที่ผมรับรู้ได้ตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามา ทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้


“เช็ดตัวดีกว่านะ จะได้นอนสบาย”


ถึงจะยังเช้าอยู่ แต่ยามีฤทธิ์ทำให้ง่วง ยิ่งพึ่งทานข้าวอิ่มๆ อีกไม่นานคนป่วยคงจะฝืนความง่วงไม่ไหว


“เดี๋ยวทำเองครับ”


“ถ้าทำเองจะจับปล้ำ”


ต้องขู่ครับคนนี้ ถึงใจจะอยากทำจริงก็ตาม


“กะละมังเล็กอยู่ใต้อ่างล้างจาน”


น่ารักเชียวคราวนี้ กะจะลองให้ดื้อซะหน่อย


“ถอดเสื้อครับ”


ผมถือกะละมังที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กกลับมาหาเด็กที่ตาเริ่มปรือ คนที่เคยไม่อายที่จะเดินในผับทั้งๆที่เสื้อเปียกๆหายไปไหนนะ วันนี้เห็นแต่คนอึกอักกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น ยิ่งท่าทางเผลอเม้มปากเพราะกังวลใจนี่ยิ่งน่าฟัดจริงๆ


“ไม่ทำอะไรหรอก พี่จะพยายามห้ามใจตัวเอง”


ผมไม่อยากสัญญาว่าจะไม่แอบหาเศษหาเลยหรือแม้แต่ใช้สายตาเก็บภาพผิวเนื้อนุ่มๆนั่น แต่ก็จะพยายามอย่างถึงที่สุด เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า ผมไม่ได้ต้องการแค่ร่างกาย แต่ผมอยากได้หัวใจด้วย


“หน่านะ มาเร็ว ง่วงแย่แล้วเรา จะนั่งหลับอยู่แล้วเนี่ย”


ผมทำใจแข็งถอดเสื้อน้องออกเอง ตอนแรกน้องก็จะยื้อไว้แหละ แต่พิษไข้กับยาคงกำลังโจมตีจนง่วง พอผมส่งสายตาดุๆไปให้ จึงยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี


ผมบิดผ้าจนหมาดแล้วค่อยๆลูบไปตามหน้าผากมน แก้มนุ่ม เรื่อยลงมายังปลายคาง ซอกคอ และไหปลาร้าได้รูป พยายามไม่โฟกัสที่มือตัวเองให้มาก เพราะกลัวจะห้ามใจไม่ไหว จนเผลอจับคนป่วยกดกับโซฟาเบด ที่ในเวลานี้ดูจะอยู่ถูกที่ถูกทางเสียจนน่ากลัว


คนป่วยที่คงจะเขินไม่น้อย เพราะริ้วแดงๆปรากฏขึ้นให้เห็นที่สองข้างแก้ม จนผมอดใจไม่ไหวจริงๆ


ฟอดดดด


หลังจากประสาทการควบคุมตัวเองได้พังไปเรียบร้อยแล้ว ผมจึงทำได้เพียงใช้สายตาอ้อนๆขอลุแก่โทษ ในข้อหาห้ามใจตัวเองไม่อยู่ส่งไปให้คนป่วย จำใจผละออกมาจากแก้มหอมด้วยความเสียดาย  ยิ่งใกล้ก็ยิ่งอยากสัมผัส พอได้สัมผัสแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่ายังไม่พอ ยังอยากที่จะทำมากกว่านี้ อยากจะใกล้ชิดจนได้ยินเสียงหัวใจของน้อง อยากจะรู้ว่าจะดังจนน่ากลัวเหมือนกันกับผมบ้างหรือเปล่า


“ค่าดูแลชื่นใจแบบนี้ ขอพี่ดูแลตลอดไปเลยได้รึเปล่า”


ปากไม่รักดีก็ดันพูดออกไปตามที่ใจคิด ผมลอบมองสีหน้าคนป่วย เพื่อเตรียมตัวรับคำพิพากษาที่กำลังจะมาถึงในไม่กี่นาทีข้างหน้าด้วยใจไม่เป็นสุขนัก น้องใช้ฟันขบริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ เหมือนเด็กที่กำลังเตรียมตัวจะงอแงเต็มที่ ก่อนจะทำหน้างุ้ยๆ แล้วช้อนสายตาเคืองๆขึ้นมามองผม ที่วิญญาณได้ออกจากร่าง เพราะโดนความน่ารักน่ารังแกของน้องที่ทวีคูณจากเวลาปกติล้านเท่าแดเมจไปเรียบร้อยแล้ว


“ห้ามทำอีกเลยนะ!”


หน้างุ้ยๆกับปากเจ่อๆที่ผ่านการรังแกโดยเจ้าตัว ยิ่งทำให้ผมต้องกลั้นหายใจกับภาพที่เห็น นึกขอบคุณกับโทษสถานเบาที่น้องมอบให้ แต่ก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำเพราะกลัวคนป่วยจะเปลี่ยนใจ


ผมหันไปชุบผ้ากับน้ำแล้วบิดใหม่อีกครั้ง ก่อนจะบรรจงเช็ดผิวเนื้อนุ่มต่ออย่างพยายามตั้งสติ ค่อยๆขยับมือเช็ดต่ำลงมาจากกระดูกไหปลาร้า ลงมายังหน้าอกที่มียอดสีชมพูขวางอยู่ ราวกับจะทดสอบความอดทนของผม จนต้องกัดปากหลับตา และสูดหายใจเข้าลึกๆอยู่หลายทีกว่าจะผ่านไปได้ ไม่กล้าสบตากับคนป่วยเลยด้วยซ้ำ เพราะหน้าร้อนๆของผมในตอนนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่าจะกลายเป็นสีแดงแค่ไหน


ความทรมานของผมยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะผ้าที่ถูกบิดจนหมาด ยังคงลากไล้ลงมายังกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เด่นนูนขึ้นเพราะความเกร็งตัวของเจ้าของ ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างห้ามไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าอะไรอะไรของตัวเองจะเริ่มปวดหนึบขึ้นมา จึงรีบหันไปโฟกัสที่การชุบผ้ากับน้ำแล้วบิดจนหมาดอีกรอบ จากนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งซ้อนหลังคนป่วย แล้วเริ่มตั้งสมาธิเช็ดทั่วหลังเนียนขาว ที่เอาแต่เชิญชวนผมอย่างร้ายกาจนั้นต่อจนเสร็จ


เหนื่อยมากครับงานนี้ เพราะใจผมเต้นรัวจนแทบหลุดออกมา หน้าก็คงแดงไปหมด ที่สำคัญลูกชายผมที่ถูกผมทรมานโดยการอดมาเป็นเดือนๆก็ประท้วงซะจนผมปวดหนึบไปหมด เห็นทีว่าส่งคนป่วยนอนแล้ว ผมต้องปราบเจ้าลูกชายตัวดี ให้สงบลงสักหน่อยแล้ว


“อย่าพึ่งใส่เสื้อนะ”


ผมรีบห้ามคนป่วยที่ไม่ยอมมองหน้าผม


“เดี๋ยวพี่เอาเสื้อตัวใหม่ให้”


ผมถือวิสาสะเปิดเข้าไปในห้องนอนของน้อง เมื่อไม่มีเสียงท้วงตามมา เลยเดินไปหยุดหน้าตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกเสื้อยืดเนื้อนุ่มสีฟ้าอ่อน ออกมาส่งให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาหยิบไปสวม


“อยากเช็ดข้างล่างด้วยมั้ย เดี๋ยวพี่เตรียมกะละมังไว้ให้ในห้องน้ำนะ”


ผมรู้ตัวดีว่าไม่ได้จิตใจแข็งแกร่งอะไร เลยไม่กล้าเช็ดให้น้องเอง ก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะว่าทำไมอะไรอะไรที่ก็มีไม่ต่างกันกับผม ถึงทำให้“รู้สึก”แตกต่างได้ขนาดนี้ แต่จะประมาทไม่ได้เลยจริงๆ ก็ในเมื่อคนตรงหน้า ดันมีอิทธิพลต่อใจผมไปเสียทุกอย่างขนาดนี้


ผมยื่นส่งกางเกงนอนขายาวสีน้าเงินเข้มให้น้องถือไว้ก่อน จากนั้นตัวเองก็ไปเปลี่ยนผ้าผืนใหม่มาชุบน้ำแล้วบิดจนหมาด วางไว้ที่ข้างอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ก่อนจะไปจูงเด็กตัวสูงที่ก้มหน้างุด เพราะสบายตัวแล้วคงจะง่วงเต็มที่ให้เดินตามเข้ามา


อดใจไม่ได้เลยหอมเหม่งเด็กง่วงไปทีอย่างขอกำลังใจ จากนั้นก็รีบปิดประตูแล้วหนีออกมาก่อนจะโดนคาดโทษทบต้นทบดอก ดีที่วันนี้น้องโดนพิษไข้เล่นงาน ประโยคห้ามไม่ให้ผมเอาเปรียบ เลยไม่มีตามมาอีกเพราะคนป่วยดูจะเสียแรงจากการไอจนเจ็บคอไปหมด ทำให้ผมทั้งสงสารทั้งย่ามใจในเวลาเดียวกัน


ผมพาตัวเองมายืนรอเด็กจืดที่หน้าห้องน้ำ แค่คิดตามว่าตอนนี้น้องกำลังทำอะไรอยู่บ้าง เจ้าลูกชายตัวดีของผมก็เริ่มมีอาการอีกแล้ว รอไม่ถึงห้านาที เด็กตัวหอมก็เปิดประตูออกมา ดีนะที่ผมกำราบเจ้าลูกชายให้สงบใจไว้ได้ทัน ไม่งั้นต้องโดนน้องไล่ออกจากห้องแน่ๆ


“ไปนอนนะ เดี่ยวบ่ายโมงพี่ปลุกทานข้าวทานยา”


พึ่งอิ่มได้ไม่นาน ถ้าปลุกขึ้นมาทานข้าวตั้งแต่เที่ยง คงจะเร็วเกินไปหน่อย


“ดื่มน้ำเต้าหู้ก่อนมั้ย จะได้หลับสบาย”


มื้อเช้าน้องยังไม่ได้ดื่มของโปรดเลยสักนิด คงเพราะจะอิ่มเกินไปจนดื่มไม่ไหว ผมเลยเก็บไว้ให้ในตู้เย็น เดี๋ยวอุ่นแป๊บเดียวก็ดื่มได้แล้ว


“แปรงฟันแล้ว”


เด็กน้อยปรือตาบอกผม ทั้งน่ารักและน่าฟัดเลย ให้ตายเถอะ


“โอเค งั้นก็นอนก่อนก็ได้”


ผมจูงมือคนที่ง่วงได้ที่ให้ตามเข้ามาในห้องนอน รู้สึกอุ่นๆที่ตรงหัวใจอย่างบอกไม่ถูก แค่น้องปล่อยให้ผมดูแลแบบนี้ ผมก็ถือว่าเป็นวันดีๆแล้วหล่ะ


“หลับตาครับ”


คนป่วยยังดูกังวลบางอย่าง


“ไม่ฉวยโอกาสหรอกหน่า ถ้าทำ พี่ทำตอนรู้ตัวดีกว่า”


ผมห่มผ้าให้ แล้วยิ้มให้เด็กที่ยังไม่ยอมหลับตาเพราะมัวเอาแต่จ้องผมตาแป๋ว ริ้วแดงๆข้างแก้มก็น่าเอ็นดูจนผมอดใจไม่ไหว


“ไม่นอนซักที งั้นพี่ขอจูบนะ”


ผมโน้มหน้าลงไปหาปากสีชมพูซีดที่ยังน่ารักเสมอแม้ยามป่วย แต่ไม่ทันได้ทดสอบความนุ่มก็มีมือมาปิดไว้ก่อน ผมยิ้มใส่ตาคู่สวยแล้วจูบย้ำไปยังหลังมือขาวนั้นแทน


“ชื่นใจจัง”


ผมหัวเราะขำคนป่วยที่ไม่รู้หน้าแดงจากพิษไข้หรือเพราะความเขินกันแน่ และตอนนี้ยังนอนหันหลังหนีผมไปเรียบร้อยแล้วด้วย ผมหันไปปิดม่านเพื่อให้คนป่วยนอนสบาย แล้วจึงเดินออกจากห้องมาด้วยใจฟูๆ การมาดูแลน้องในวันนี้ ทำให้ผมพึ่งเข้าใจ ว่าการรักใครสักคน มันทำให้เรามีความสุขและอยากดูแลเขาตลอดเวลาแบบนี้นี่เอง




ระหว่างที่น้องหลับ ผมก็กลับบ้านตัวเอง เพื่อไปอ้อนป้าจวง คนเก่าคนแก่ควบตำแหน่งพี่เลี้ยงของผม ให้ทำกับข้าวรสชาติอ่อนๆให้สักสองสามอย่าง พราะผมกลัวว่าคนป่วยอาจจะเบื่อโจ๊ก และจะได้เตรียมเผื่อมื้อเย็นด้วยเลย จากนั้นก็ไม่ลืมที่จะอ้อนป้าแกให้ทำต้มยำรสเด็ด ผัดคะน้าหมูกรอบและข้าวสวยร้อนๆสำหรับผม


จากนั้นก็เตรียมชุดไปนอนค้างด้วย เผื่อน้องใจอ่อนยอมให้นอนเฝ้าไข้ แล้วก็ไม่ลืมจะจัดการอะไรอะไรไว้ก่อน ก็ยอมรับว่ากลัวตัวเองตบะแตกอยู่เหมือนกัน จากคนแปลกหน้าไม่ก็รุ่นพี่ร่วมคณะ ดีไม่ดีจะกลายเป็นคนที่น้องเกลียดเอาได้ เอ๊ะ หรือตอนนี้ก็เป็นอยู่แล้ว


แกร๊ก


ผมเปิดประตูห้องที่แอบหยิบกุญแจออกไปด้วยก่อนหน้านี้ แล้วก็ต้องช็อคกับภาพที่เห็นตรงหน้า หัวใจผมเหมือนจะหยุดเต้น เพราะผู้ชายที่ผมรักกำลังก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นกับหัวเข่าตัวเองอยู่บนโซฟา ภาพที่เห็นห่างไกลกับประโยคของม่านแพงที่โทรหาผมเพื่อบอกว่า “ลินจะชอบงอแงเวลาไม่สบาย” ไปมากจนผมทำอะไรไม่ถูก


พอน้องได้ยินเสียงประตูก็เงยหน้าขึ้นมาจนผมเห็นดวงตาที่บวมช้ำ นี่ร้องไห้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ผมรีบวางของลงบนโต๊ะอาหาร แล้วเดินไปหาคนป่วยที่กำลังเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆอย่างน่าสงสาร


“เป็นอะไรไปครับคนดี บอกพี่หน่อยได้มั้ย”


ผมทรุดตัวนั่งลงข้างๆ แล้วกอดปลอบคนที่ดูเปราะบางราวจะบุบสลายเสียให้ได้อย่างแผ่วเบา แค่เห็นน้องร้องไห้ ใจผมก็เจ็บปวดไปหมด น้องสะอึกสะอื้นพยายามที่จะหยุดน้ำตาตัวเอง แต่นั่นยิ่งทำให้ดูน่าสงสารเสียจนผมอดไม่ได้ที่จะจูบซับความทุกข์บนเปลือกตาคู่สวย ไล่ลงมาจูบสองข้างแก้มที่เปียกชื้น จมูกรั้น ปลายคาง แต่เว้นริมฝีปากนุ่มหยุ่นไว้อย่างตัดใจ ก่อนจะใช้สองมือประคองหน้า แล้วค่อยๆเช็ดคราบน้ำตาให้กับคนป่วย ที่ตัวร้อนเหมือนไข้จะกลับมาอีกครั้งเพราะร้องไห้มากไป


“ปวดหัวมั้ย”


น้องพยักหน้าให้กับผมแทนคำตอบ


“ไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารนะ เดี๋ยวพี่ไปเอาผ้าชุบน้ำมาให้”


ผมกำลังจะผละออกมา แต่ก็ต้องแปลกใจที่ชายเสื้อผมถูกเกี่ยวรั้งด้วยนิ้วเรียวๆนั่น


“ไปด้วยกันมั้ย”


ผมเดาเอาว่าน้องคงไม่อยากอยู่คนเดียว และก็คงจะจริง เพราะน้องยังคงไม่ปล่อยชายเสื้อผมตอนที่เราสองคนลุกขึ้นยืนแล้ว แน่นอนผมมีความสุขมาก แต่ก็ต้องแกะมือน้องออก จะได้เอามากุมไว้ดีๆ ยิ้มให้กับเด็กงอแงที่เบะปากขึ้นวูบหนึ่งที่ผมแกะมือออก แค่เพียงครึ่งวัน น้องก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ ว่าคนเราจะสามารถมีความสุขได้มากมายขนาดไหนกันนะ ทำไมยิ่งอยู่ด้วยกัน ผมก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆขนาดนี้ มากเสียจนผมเริ่มกลัวว่า จากนี้ผมคงจะขาดน้องไม่ได้อีกแล้ว



..ปาลิน..



ผมไม่ชอบเวลาที่ตัวเองป่วย เพราะความสามารถในการตัดสินใจของผมจะย่ำแย่ลงทุกที ดูได้จากการที่ยอมให้คนเจ้ากี้เจ้าการเข้ามาในห้อง ยอมทำตามที่คนเอาแต่ใจบอกให้ทำ แล้วไหนจะยอมถูกเอาเปรียบอยู่เรื่อยๆนั่นอีก แต่ก็ต้องยอมรับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าการที่ได้เป็นคนสำคัญสำหรับใครสักคน ทำให้ผมมีความสุขไม่น้อย


แค่ไม่กี่ชั่วโมงผมก็ดูจะโลภอย่างร้ายกาจ ก็แค่ตัวเองฝันร้ายอย่างทุกที ก็แค่ตื่นมาไม่เจอใคร ทำไมถึงได้อ่อนแอขนาดที่ต้องร้องไห้ออกมากันนะ


“อร่อยมั้ย”


“ครับ”


“ไม่ต้องฝืนทานนะ เอาเท่าที่ไหว แต่ให้พอมีอะไรรองท้องก่อนทานยาซะหน่อย”


คนตรงหน้าคงเห็นผมทานด้วยความลำบาก ผมเจ็บคอ แถมยังไข้ขึ้นอีกรอบ เพราะความงี่เง่าของตัวเองที่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ปวดหัวก็ปวด แต่เพราะคนตัวโตเอาแต่โม้ถึงเมนูอาหารแต่ละจานให้ฟังด้วยประกายตามีความสุข และเพราะเห็นใจคุณป้าจวงที่อุตส่าห์ทำมาให้ ผมจึงพยายามฝืนกลืนอาหารหน้าตาน่าทานเข้าไปอีกคำ


“ต้มยำฝีมือป้าจวงยิ่งเด็ดเลยนะ ไว้หายป่วยแล้วพี่จะให้แกทำมาให้ทาน เดี๋ยวบอกแกให้ใส่กุ้งให้ด้วย”


“กุ้ง?”


“อ้อ พี่แพ้หน่ะ ปกติที่บ้านเลยไม่เคยซื้อมา แต่ต้มยำทะเลรวมมิตรก็ควรจะมีกุ้งด้วยสิเนาะ ถึงจะอร่อย”


“ไม่ก็ได้”


“หื้ม?”


“ไม่ต้องใส่กุ้งหรอก”


“ห่วงพี่หรอ น่ารักเกินไปแล้วเราเนี่ย”


ผมไม่ตอบอะไรอีก ความร้อนที่ข้างแก้มกำลังจู่โจมผมอีกแล้ว ผมควรจะทานยาแล้วนอนพักเสียที อาการไข้กำเริบแบบนี้จะได้หายเร็วๆ


“วางไว้แล้วไปแปรงฟันเตรียมนอนกลางวันได้แล้วนะครับคุณเด็ก”


คนตัวโตบอกผมด้วยดวงตาล้อๆ ไม่ป่วยบ้างให้รู้ไป ผมยังปวดหัวอยู่ เลยยอมเชื่อฟังหรอกนะ หลังจากแปรงฟันก็เดินไปขึ้นเตียงเตรียมนอนอีกรอบ


“อย่าพึ่งนอนนะ นั่งพิงหัวเตียงไว้ก่อน จะได้ไม่เป็นกรดไหลย้อน”


เสียงคนที่ล้างจานอยู่หน้าซิงค์น้ำตะโกนเข้ามาบอก แล้วผมจะทำอะไรแก้เบื่อดีหล่ะ จัดการเปิดโทรศัพท์มือถือที่ปิดหนีความอยากรู้อยากเห็นของใครหลายคนตั้งแต่เช้า นี่ก็จะบ่ายสองโมงแล้ว น่าจะซาแล้วรึเปล่า


แต่ผมคิดผิด เพราะทันทีที่ภาพหน้าจอปรากฏ แจ้งเตือนนับร้อยนับพันก็จู่โจมผมจนไม่ทันได้ตั้งตัว


“ดูอะไรอยู่เรา หน้าเครียดเชียว”


นอกจากม่านแพง อีกคนที่เป็นต้นเหตุของปัญหาก็โผล่หน้าเข้ามาให้ผมคาดโทษ ผมยื่นภาพหน้าจอที่มีสเตตัสหน้าอายของผู้ชายคนนี้เพื่อให้เห็นสาเหตุของปัญหา


“โห ยอดไลค์สองหมื่น ความเห็นหมื่นสอง นี่แค่ไม่กี่ชั่วโมงนะเนี่ย”


“ลบเดี๋ยวนี้เลย”


“ไม่ลบ”


ทำหน้าระรื่นไม่พอ ยังสอดตัวเข้ามานอนข้างๆอีก


“งั้นกลับไปเลย”


“โห ใจร้ายอะ เดี๋ยวร้องไห้คิดถึงพี่ไม่รู้ด้วย”


อยากจะตอบว่าไม่มีทาง แต่เรื่องหน้าอายเมื่อตอนบ่ายทำให้ไม่กล้าพูดแบบนั้น


“โอ๋ๆๆ ไม่เล่นแล้วครับ ลบก็ได้อะ”


สุดท้ายทุกคนก็คงเหมือนกัน


“แต่มีข้อแม้นะ”


ผมหันไปสบตากับคนที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ข้างๆอย่างไม่เข้าใจ


“ลินก็ต้องตอบคำถามในสเตตัสพี่ก่อนสิ”


หรือผู้ชายคนนี้จะแตกต่างจากคนอื่น..


。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。


มีต่อข้างล่างอีกน้า ฮิฮิฮิ (ᅌᴗᅌ✿)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2017 18:27:04 โดย Sugar_stack »

ออฟไลน์ Sugar_stack

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • Page FB Sugar_stack
..ภูฟ้า..



“ว่าไงครับ”


ตอนแรกผมกะจะให้เวลาคนข้างๆคิดก่อนเพราะไม่อยากเร่งรัดน้องมาก แต่หลังจากเห็นน้ำตาน้อง ผมก็บอกตัวเองว่าผมไม่อยากเป็นแค่รุ่นพี่ที่รู้จัก อยากสำคัญกว่านั้น อยากมีสิทธิ์ดูแลน้องบ้าง อย่างน้อยในฐานะคนที่มาจีบก็ยังดี


“ถ้าบอกว่าไม่หล่ะ”


“ก็จะไม่ยอมลบสเตตัส จะได้ประกาศให้ทุกคนได้รู้ ว่าคนนี้ภูฟ้าจอง”


ผมดึงตัวคนที่ตาเริ่มปรือแต่ยังนอนไม่ได้ให้พิงลงมาที่อก จัดการโอบเอวไว้ไม่ให้ขยับ แล้วก็วางคางลงบนไหล่คนป่วยที่บางกว่าผมไม่มาก เอียงหน้าเข้าหาซอกคอหอมกรุ่นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง แต่ก็ไม่ลืมโยกตัวเพื่อกล่อมคนป่วยไปด้วย


ที่ไม่ดิ้นเพราะพิษไข้หรือเพราะมีใจกันแน่นะ


“งั้นก็ลบ อายคนอื่นเค้า”


เด็กตัวหอมหยิบโทรศัพท์ผมที่วางอยู่บนผ้าห่มขึ้นมาวางบนมือผม


“พี่ขออนุญาตจีบนะครับ”


ผมยื่นหน้าเพื่อให้ริมฝีปากชิดกับแก้มแดงตอนพูดประโยคนี้ เห็นแก้มที่ยิ่งขึ้นสีเลยอดไม่ได้ที่จะจูบแล้วกดจมูกตามลงไปหอมผิวนุ่ม


“อื้อออ ยอมแล้ว ลบซักทีสิ”


โคตรน่ารัก ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเปิดแอพลิเคชั่นสีน้ำเงินขึ้นมาให้คนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหน้าผมเห็นด้วย


“จะลบแล้วนะ ไม่เสียดายความรักพี่หรอ แคปไว้รึยังหื้ม”


ผมล้อคนป่วยที่ก้มหน้างุด แต่ตาก็คอยจ้องโทรศัพท์เขม็ง ผมเลยโดนศอกถองสีข้างไม่แรงแต่ไม่เบามาหนึ่งที


“อู่ยยย ว่าที่แฟนพี่มือหนักจัง”


“ลบเลย อยากโดนอีกมั้ย”


คราวนี้หันหน้ามาคาดโทษด้วยแฮะ


“ครับๆ พี่หน่ะ เชื่อฟังจะตาย”


ผมกดลบสเตตัสที่ยอดไลค์เกือบแตะเลขสองหมื่นห้าพันไลค์ แต่ลบก็ดี บอกแล้วไงว่ารูปนั้นเด็กจืดโคตรน่ารัก ผมก็หวงของผมเหมือนกัน


“จะทำอะไร”


“อัพสเตตัส”


ผมกอดเด็กจืดให้แน่นขึ้น จะได้ไม่กวนการอัพสเตตัสใหม่ของผม รีบพิมพ์รีบอัพ จากนั้นก็กดปิดหน้าจอมันซะเลย


Bhufah Sitthithananon

คนน่ารักอนุญาตให้จีบแล้ว แต่เค้าบอกให้ลบสเตตัสนั้น #ตามใจเสมอ #ใครแคปทันยกมือขึ้น #จองแล้วนะครับ -with Palin Lipanakul



“ทำอะไรเนี่ย”


นั่นไง คนถูกจองเริ่มโวยวาย


“อ้าว ยี่สิบนาทีแล้วหนิ นอนได้ อะ นอนน้า นอน”


แก้ตัวไม่ได้ก็ต้องแถไปเรื่องอื่นแทน


“ไม่ต้องมากอดเลย จะนอนแล้ว ปล่อย”


“นอนกับพี่ฝันดีนะจะบอกให้”


คนที่พยายามดิ้นในตอนแรก ดูจะยอมสงบลงได้เพราะคำว่า“ฝันดี” ความจริงผมก็ยังไม่รู้ว่าน้องฝันว่าอะไร แต่พอถามว่าทำไมถึงร้องไห้ น้องกลับตอบผมแค่ว่า“ฝันร้าย” เพียงเท่านั้น


“นอนนะครับ จะได้หายไวๆ”


ผมจัดหมอนให้น้องได้นอนสบายๆ เมื่อเช้าผมแอบเข้ามาดูคนป่วยนอน เห็นชอบนอนตะแคงซ้าย เลยจัดการให้ตัวเองอยู่ฝั่งขวาแล้วกอดน้องไว้ซะเลย เพราะคนป่วยไม่ดิ้นงอแง การจัดสรรการนอนของผมเลยเป็นไปได้อย่างราบรื่น ผมเลือกที่จะขยับหมอนให้สูงกว่า เพราะอยากให้คนตัวขาวซบกับอกผมได้พอดี


ลมหายใจสม่ำเสมอของคนในอ้อมกอดเป็นเหมือนกำลังใจให้ผมหายเหนื่อย การวิ่งตามหัวใจใครสักคน ยากแค่ไหน ผมเองก็พึ่งมารู้ตอนได้เจอกับคนคนนี้


ผมเริ่มคิดตามที่ปาลินพูด ความรักระหว่างผู้ชายสองคนมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่วินาทีนี้ คนในอ้อมแขนผม ทำให้ผมมั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า นี่แหละคือความรักที่ตลอดมาผมไม่เคยคิดจะศรัทธา ในที่สุดผมก็ได้เจอ




“พี่ภู”


“พี่ภู”


“หิวแล้ว”


ผมปรือตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแหบปร่าของคนเป็นไข้


“ขออีกห้านาทีน้า”


ผมหลับสบายที่สุดในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ ทั้งที่ไม่ได้ป่วย แต่กลับนอนเพลินกว่าคนป่วยเสียอีก


“งั้นปล่อยก่อน”


สิ่งมีชีวิตตัวนิ่มๆหอมๆเริ่มประท้วงเพื่อออกจากอ้อมแขนผม


“หอมก่อนแล้วถึงจะปล่อย”


“หิวแล้วนะ หิวๆๆๆ อยากกินน้ำเต้าหู้จังเลย”


แหนะ รู้จักใช้เล่ห์ด้วยนะเนี่ย แค่นี้พี่ก็ยกให้ทั้งใจแล้วครับ


“โอเคครับ โอเค เดี๋ยวจะไปอุ่นให้เดี๋ยวนี้เลย”


ทำยังไงได้หล่ะครับ ก็(ว่าที่)แฟนผมอยากกินนี่นา ผมเลยลุกไปอุ่นน้ำเต้าหู้ ดูเวลาก็เป็นเวลาหกโมงแล้ว มิน่าตอนตื่นขึ้นมารู้สึกห้องมืดไปหมด


“พี่ภู”


เดี๋ยวนี้น่ารักครับ พี่ภูอย่างนั้น พี่ภูอย่างนี้ น่ารักเป็นบ้า กลัวก็แต่พอหายป่วยจะไม่ยอมเรียกแล้วนี่แหละ


“ครับ?”


“ดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวทำเอง”


นั่นไงพูดยังไม่ทันขาดคำ พอไข้เริ่มลดก็เริ่มมาตรการกีดกันผมทันที


“คนใจร้าย เย็นแล้วเนี่ย พี่กลับบ้านไม่ไหวหรอก”


อ้อนครับ ต้องอ้อน เสื้อผ้าก็ขนมาแล้ว ใครจะยอมกลับง่ายๆ


“แล้วใครว่าอะไรรึยัง จะบอกให้ไปอาบน้ำ เดี๋ยวอุ่นกับข้าวให้”


ช็อค เหมือนมีค้อนปอนด์มาทุบหัว นี่ผมฝันอยู่รึเปล่านะ


“อู้ยยย”


ผมหยิกแขนตัวเองเพื่อเช็คว่าไม่ได้ฝันไป เจ็บสิครับงานนี้ แต่เห็นคนป่วยหัวเราะเป็นครั้งแรกของวันแบบนี้ เห็นทีจะต้องจดไว้ว่ามุกตลกเจ็บตัวนี่ได้ผล




พอทานข้าวกันเสร็จ พวกเราก็นั่งดูหนังที่ผมขนแผ่นDVDมาจากบ้านให้น้องเลือก ตอนหยิบก็หยิบมามั่วๆ แต่ไม่นึกว่าน้องจะเลือกดู The Time Traveler’s Wife ที่น่าจะเป็นของแม่ไม่ก็พี่สาวผม เรื่องนี้ผมก็ยังไม่เคยดู


ไม่รู้ว่าน้องชอบหนังโรแมนติค หรือเพราะหนังเรื่องอื่นๆที่ผมขนมาเป็นหนังแนวบล็อกบัสเตอร์(Blockbuster)เรื่องดังที่น้องคงดูไปหมดแล้ว แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร ผมกลับนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้น้องเลือกที่จะหยิบมันขึ้นมา


หนังว่าด้วยเรื่องของนักท่องเวลาที่ความผิดปกติทางยีนทำให้เขาสามารถเดินทางข้ามเวลาไปยังอดีตและอนาคต แต่ความสามารถนี้กลับไม่สามารถควบคุมเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์ได้ ทำให้ภรรยาของเขาทำได้แค่อดทนรอเพื่อที่จะได้รักและได้อยู่ร่วมกัน หนังให้ข้อคิดหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่ควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุด


ฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครหลายคนรู้อยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนกันหล่ะที่ทำได้ ผมกุมมือคนข้างๆให้แน่นขึ้น ทันทีที่ End credit ขึ้น ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะกลิ่นไอของหนังยังล้อมรอบเราไว้ ผมว่าเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ดีมากๆของวันนี้ เพราะมันคือความเงียบ ที่ทำให้เราใกล้กันมากขึ้น






หลังจากดูหนังจบ น้องก็เข้าไปเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ผมก็ไม่ได้ขัดอะไรอีก เพราะเห็นว่าอาการป่วยของน้องดีขึ้นมาก และก็เพราะยังไม่อยากถูกไล่ออกไปนอนนอกห้อง เลยไม่กล้าอาสาจะเช็ดตัวให้อีก กลัวเดี๋ยวเผลอทำหน้าหื่นจนน้องไม่ไว้ใจแล้วจะเป็นเรื่อง


“เลือกได้รึยัง ว่าปีสองอยากเข้าภาคไหน”


ผมถามหลังจากเห็นคนตัวขาวเดินออกมาจากห้องน้ำ ถึงผมจะผิวขาวแต่ผมว่าผิวเรายังต่างกันอยู่ดี ผิวน้องจะขาวอมชมพู โดยเฉพาะตามพวงแก้ม ข้อนิ้ว หรือข้อศอกก็จะยิ่งชมพูเป็นพิเศษ และเพราะกลัวตัวเองจินตนาการเตลิดเลยต้องสบัดหัวแรงๆให้ภาพฟุ้งซ่านหายไปก่อน


“ยังไม่แน่ใจ แต่คงไม่เลือกคณิตศาสตร์ประกันภัยแน่ๆ มีรุ่นพี่ไม่เต็มบาท”


โถ่ ไอ้เรารึก็หวังดี ที่ทำไปก็เพราะห่วงสวัสดิภาพตัวเองนั่นแหละ เดี๋ยวโดนจับปล้ำจะหาว่าไม่เตือน


“ครับๆๆ แล้วสนใจภาคไหนหล่ะ”


ผมอยากรู้จริงๆเลยเก็บเรื่องหื่นไว้ก่อน


ในการเรียนปีหนึ่งของคณะวิทย์จะยังไม่มีการระบุภาควิชา เนื่องจากมหาวิทยาลัยของผมจะมีให้เลือกตอนจะขึ้นปีสอง โดยใช้เกรดเป็นเกณฑ์ ซึ่งภาควิชาทั้งหมดก็ได้แก่ ภาควิชาเคมี ภาควิชาชีววิทยา ภาควิชาฟิสิกส์ ภาควิชาคณิตศาสตร์ ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพและภาควิชาพฤกษศาตร์ ซึ่งการเลือกภาคตอนขึ้นปีสองก็ไม่ต่างจากการแอดมิดชั่นรอบสองอยู่ดี


“พี่เลือกภาคmathอันดับหนึ่งเลยรึเปล่า”


“ใช่สิ พี่แอดเข้ามอนี้เพราะอยากเรียนด้านประกันภัยนี่แหละ เงินดี ฮ่าๆๆ”


ตอนแรกผมก็พิจารณาจากความสนใจและเงินนี่แหละ เอาจริงๆนะ ผมว่าการให้เด็กเลือกว่าตัวเองชอบหรือถนัดอะไรตอนอายุสิบแปดสิบเก้า มันค่อนข้างจะยากทั้งกับวุฒิภาวะและประสบการณ์ เพราะการเรียนในไทยเน้นให้เรียนเก่ง แต่ไม่ได้ให้เน้นหาความถนัด กลายเป็นปัญหาการซิ่วไม่ก็ปัญหาหลังเรียนจบที่ไม่อยากทำงานตรงสายที่จบมา ผมเลยอยากให้น้องรีบหาตัวเองให้เจอ


“แล้วเราหล่ะ ทำไมเลือกคณะนี้ กะจะซิ่วรึเปล่าเนี่ย”


ต้องถามดักไว้ครับ เด็กส่วนใหญ่ชอบใช้คณะผมเป็นทางผ่าน เพราะสอบไม่ติดหมอหรือคณะที่คะแนนสูงๆ เรียกง่ายๆว่าเรียนไปก่อนเพื่อรอซิ่ว


“ตอนม.ปลายผมชอบทำโครงงานวิทยาศาสตร์หน่ะ สนุกดี”


“หู้ววว โล่งอก นึกว่าจะซิ่วหนีพี่ซะอีก”


“ทันมั้ย”


แหน๊ะ มีอารมณ์ขันนะเราหน่ะ แต่บอกเลยนะว่า


“ไม่ทันแล้ว เพราะจะจับไม่ปล่อยเลย”


ผมเอื้อมมือไปจูงคนป่วยที่เริ่มตาปรือให้เดินตามเข้ามาในห้องนอน คราวนี้ไม่ต้องจัดท่านอนแล้ว เพราะน้องเดินไปนอนด้วยความเคยชิน จนผมนี่แหละเป็นฝ่ายต้องแอบยิ้ม แล้วปิดไฟเดินตามไป


“ฝันดีนะครับ”


ฟอดดด


“อื้อออ อย่ากวน”


คืนนี้คงเป็นคืนที่ผมหลับฝันดีที่สุดเลย



。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。


วันนี้ยาวมาก จัดหนักจัดเต็ม ฮ่าๆๆ Σd(゚∀゚)

ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะคะ สำหรับคนแต่งนี่ถือเป็นกำลังใจหลักเลยค่ะ รู้ซึ้งก็วันนี้ ฮา(´∀` )

เมื่อวานมีคนทวิตติดแท็ก #ภูฟ้าปาลิน ในทวิตด้วย ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ดีใจแทบเซิ้งรอบบ้าน ฮ่าๆๆ

ทุกวันนี้คือตั้งตารอให้ถึงตอนจบไวๆ เพราะรู้สึกใช้เวลาในการอ่านซ้ำๆ แก้ไข และแต่งเพิ่มเรื่อยๆ

จนไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย ฮา ಥ∀ಥ

ในขณะเดียวกันก็สนุกดีค่ะ และจะดีใจมากถ้าทำให้คนอ่านรู้สึกสนุกเหมือนกัน

ปล แอบอยากรู้ว่าคนอ่านคิดถึงยังไงกับการมีหรือไม่มีncคะ หรือชอบแบบตัดเข้าโคมไฟ ฮ่าๆๆ (///∇///✿)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2018 21:25:40 โดย Sugar_stack »

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :hao3: nc สิค่ะหลายๆตอนเลยยยย...(อยากแอบดูเรื่องพี่ภูกับน้องลิน)  :hao6: ไม่อยากให้จบเลยค่ะ...คิดถึง...ขอตอนพิเศษแยอะๆยาวๆนะค่ะ(คนอ่านโลภค่ะ)  :hao3:

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
มีncมาสักเล็กสักกะน้อย ก้อดีนะ. 555

น้องลินน่ารัก ให้พี่ฟ้าได้ชื่นใจหน่อยน้าาาา

 :hao3:  :hao3:  :hao3:  :hao3:  :hao3:

...

.

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เห็นน้องเรียก พี่ภูๆ แล้วอยากจะให้น้องป่วยบ่อยๆ เลยล่ะ  :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Sugar_stack

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • Page FB Sugar_stack
❥・ใจดวงที่๑๓・❥



พี่ก็มีซิกแพค



..ภูฟ้า..




ก๊อกๆๆ


เสียงเคาะประตูดังแว่วมาให้ได้ยินอยู่หลายครั้งก่อนจะหยุดไป ภาวะคล้ายคนกึ่งหลับกึ่งตื่น ทำให้ผมไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินเท่าไหร่นัก แต่ก็เลือกที่จะพยายามสลัดความงัวเงีย แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงมาดูเวลา


ตัวเลขดิจิตอลที่มาพร้อมแสงสะท้อนแยงตา บอกให้ผมได้รู้ว่า ตอนนี้พึ่งจะล่วงเข้าสู่เวลาตีห้าของเช้าวันใหม่ได้เพียงไม่กี่นาที ความง่วงงุนและความอบอุ่นของร่างกายคนในอ้อมแขน ยิ่งทำให้ผมไม่อยากผละไปไหน  โดยเฉพาะในเวลาที่แม้แต่แสงแรกของวันก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น แล้วใครกันหล่ะ ที่จะมีธุระจำเป็นขนาดนั้น


ระหว่างที่สมองกำลังประมวลผล สองแขนของผมก็กอดกระชับคนในอ้อมแขนให้เข้ามาใกล้กว่าเดิม ยิ้มให้กับความสุขที่มากมายจนแทบล้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้าได้ตื่นมาเจอคนคนนี้ในทุกเช้า ผมจะกลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกอย่างแน่นอน


ก๊อกๆๆ


คราวนี้เสียงเคาะประตูดูจะดังใกล้เข้ามามากกว่าเดิม เพราะเสียงที่ว่าดังอยู่แค่หน้าประตูห้องนอนเท่านั้น ผมจำใจสลัดความง่วงแล้วลุกขึ้นนั่ง โดยยังมีแขนของคนป่วยที่อาการดีขึ้นมากแล้วกอดอยู่ที่เอว และเรื่องที่น้องทำตอนไม่รู้ตัวนี้เอง ที่ทำให้ผมยิ้มกว้างอยู่ในเวลานี้


แกร๊ก


“ลินจ๋า ม่านมาแล้ว”


แสงไฟที่ลอดเข้ามาจากด้านนอก ทำให้ผมต้องหรี่ตาเพื่อมองคนมาใหม่ ม่านแพงชะงักไปเมื่ออาศัยแสงที่สาดมาถึงปลายเตียง
 ทำให้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนนั้นน่าจะไม่ใช่เจ้าของห้อง


“พี่ภู?”


“อื้อ พี่เอง แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่ออกไปคุยด้วย ปล่อยปาลินนอนก่อนเถอะ น้องยังไม่หายดี”


ม่านแพงพยายามมองฝ่าความมืดเข้ามาด้านใน แต่ก็ไม่ได้ก้าวผ่านประตูห้องนอนเข้ามา ผมอาศัยแสงจากประตูที่เธอเพียงเปิดแง้มไว้ ก่อนจะเดินตามเธอออกไปยังห้องนั่งเล่น ไม่ลืมที่จะยิ้มให้คนป่วยที่ยังนอนหลับสบาย และก็ไม่ลืมจูบหน้าผากเนียนเพื่อขอกำลังใจ


“ว่ายังไงเรา ทำไมมาหาเพื่อนแต่เช้าเลย”


ผมคิดเอาเอง ว่าผมเริ่มสนิทกับม่านแพงมากขึ้น หลังจากเปิดใจคุยกับเธอในรถเมื่อวันก่อน เธอให้โอกาสและสัญญาว่าจะช่วยผม ซึ่งเธอก็ทำตามนั้นทุกอย่าง ม่านแพงแลกเปลี่ยนเรื่องราวของปาลิน ในขณะที่ผมก็ต้องคอยรายงานเป็นระยะ ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนของเธอ คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว


“ไม่เห็นบอกเลย ว่าพี่ค้างที่นี่ กับลิน บนเตียง”


ม่านแพงเปิดประเด็นทันทีที่ผมทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาไม่ไกลจากเธอนัก


“คนป่วยใจดีหน่ะ พี่มัวแต่ดีใจเลยไม่ทันได้บอก นี่ก็พาน้องนอนตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่ม ขอโทษทีนะม่าน”


แค่พูดถึงน้อง ผมก็ห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมาไม่ได้ ทั้งๆที่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะยิ้มสักนิด


“ลินอนุญาต?”


“ครับ”


ผมเหมือนลูกเขยที่กำลังถูกพ่อตาสอบสวน จะพูดห้วนๆก็กลัวท่านจะไม่ยกลูกสาวให้ ม่านแพงหรี่ตามองผมคล้ายจับพิรุธ


“พี่ทำอะไรลินรึเปล่า”


มาแล้วครับ คำถามที่ชวนเหงื่อตก


“เอ่อ ก็..”


เขินสิครับ อยู่ดีๆคนอย่างไอ้ภูฟ้าก็หน้าบางขึ้นมา ม่านแพงเลยยิ่งหรี่ตาแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม


“ก็..ก็กอดกับหอม”


อยู่ดีๆผมก็เงอะงะเหมือนมือไม้จะหาที่วางไม่ได้ ตาก็เอาแต่มองฝ่ามือตัวเอง เหมือนบนนั้นมีอะไรน่าสนใจหนักหนา รู้ว่าตัวเองอาการหนักก็ตอนยกมือขึ้นมาเกาคอตัวเองอย่างงกๆเงิ่นๆนี่แหละ


“แล้วลินก็ยอม?”


“ครับ”


ม่านแพงให้ความรู้สึกคุกคามมากกว่าที่จะเป็นแม่ยาย เอาเป็นว่าขนาดไม่มีหนวดกับปืน ภาพพ่อตาจอมเฮี้ยบยังลอยมาเลย เธอทิ้งตัวไปนั่งพิงพนักโซฟา มือก็ยกขึ้นมาลูบคางอย่างคนใช้ความคิด ถึงในสมองผม จะเห็นเหมือนลูบหนวดไปแล้วก็ตาม


แกร๊ก


“พี่ภู?”


เสียงติดแหบที่เรียกชื่อผม ทำให้เราทั้งคู่หันกลับไปมอง


คนป่วยกำลังยกมือขึ้นขยี้ตา เพราะดูท่าจะยังปรับสายตาให้ชินกับแสงจ้าไม่ได้


“ทำไมตื่นเร็วจังครับ”


ผมเดินไปหาเด็กพึ่งหายไข้ที่ยังไม่หยุดขยี้ตา น้องทำหน้าอ้อนๆทันทีที่ผมไปหยุดอยู่ตรงหน้า และช็อตที่แดเมจหัวใจผมที่สุด ก็คือการที่น้องยกมือขึ้นมากำชายเสื้อผมไว้ แล้วช้อนตาขึ้นมามองจนผมเกือบเผลออุทานว่าน่ารักออกมาดังๆ จะเห็นแก่ตัวไปรึเปล่า ถ้าผมจะอยากให้น้องป่วยนานกว่านี้อีกสักหน่อย


“ลิน”


น้องเอียงคอเพราะคงคิดว่าตัวเองหูฝาด


“ลินจ๋า”


ม่านแพงพุ่งตัวมากอดเด็กที่ยังงัวเงียของผมแล้วลากให้ไปนั่งบนโซฟาด้วยกัน


“ม่านมาได้ไง”


คนงัวเงียที่ตอนนี้น่าจะตื่นแล้ว หันไปมองหน้าเพื่อนตัวเองด้วยความสงสัย นาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลาตีห้าครึ่ง ถึงม่านแพงน่าจะมีกุญแจเข้านอกออกใน แต่ยังไงก็ดูแปลกอยู่ดีที่จะมาในเวลาแบบนี้


“เค้ามารับลินไปพัทยา”


“หื้ม พัทยา?”


“ช่ายยยยย ก็แม่ตัวดีหน่ะสิ หนีเค้าไปถ่ายชุดโป๊ๆ”


ม่านแพงทำท่าฟึดฟัด โดยที่สองแขนก็ยังไม่คลายออกจากการกอดรัด(ว่าที่)แฟนผมอยู่


“อะแฮ่ม”


อยากให้รู้ว่าผมอยู่ด้วย และผมก็อิจฉาจะบ้าตายอยู่แล้ว


“นี่ใครอะลิน มานอนนี่ได้ไง”


ม่านแพงได้ทีผลักไสผมออกจากวงโคจรเสียเลย ฮึ่ย อุตส่าห์เลิกเรียกว่าเด็กมารแล้วนะ


“ฮ่าๆๆ นี่หรอ คนรับใช้เราเอง”


เด็กจืดก็น้อยหน้ากันที่ไหน หัวเราะเสียงใส ตบมุกกับม่านแพงหน้าตาเฉย ฮึ่ย มันเขี้ยวนัก เดี๋ยวจับจูบจนหน้างุ้ยเลยนี่


“ดีจังเลยนะ คนรับใช้คนนี้เนี่ย ทำให้ลินทั้งร่าเริงและหัวเราะได้ขนาดนี้ อืม นับว่ามีประโยชน์จริงๆด้วย”


ม่านแพงอมยิ้มเอ็นดูให้กับเด็กน้อยที่ขำมุกตัวเองจนน้ำตาเล็ด เธอหันมามองผม แล้วแอบยกนิ้วโป้งข้างที่ยังกอดเด็กจืดส่งมาให้ผมด้วย ส่วนผมหน่ะหรอครับ แทบอยากลุกขึ้นเต้นทันทีที่พ่อตาเปิดไฟเขียวให้แบบนี้




เราสามคนใช้เวลาเตรียมตัวและทานอาหารง่ายๆที่ผมอุ่นจากไมโครเวฟ เด็กจืดถูกม่านแพงจับไปเช็ดตัวในห้องนอน ถึงผมจะหวงแต่ก็ไม่คิดจะตามไป ผมมาทีหลัง และผมรู้ดีว่าความสุขที่ผ่านมาของปาลินมาจากความใส่ใจของม่านแพง ผมไม่หวังจะให้โลกของน้องมีแต่ผมคนเดียว ผมแค่อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของน้องก็พอ พอคิดแบบนี้แล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ นี่ถ้าไอ้ปาล์มไอ้จั๊ดมาได้ยิน หรือแค่มีโอกาสเห็นผมปรนนิบัติพัดวีปาลิน มันสองคนคงแทบพาผมไปเช็คสมอง ไม่ก็หาหมอไสยศาสตร์ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมทำแบบนี้ให้กับใครสักคน


ผมเป็นลูกชายคนเล็กและลูกหลงที่อายุห่างจากพี่สาวคนโตถึงเก้าปี และยังเป็นหลานชายคนเดียวของตระกูล แน่นอนว่าความรักและความใส่ใจของทุกคนต้องมีให้ผมอย่างท่วมท้น ผมไม่ใช่คนขาดความรัก เลยต้องทำตัวมีปัญหาเพื่อตามหารักแท้หรอกนะ ผมแค่เป็นพวกไม่เคยศรัทธากับคำๆนี้ จะเรียกว่าปรับตัวเข้ากับชีวิตในอนาคตก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะยังไงผมก็ต้องถูกจับคลุมถุงชน ไม่ต่างจากพ่อแม่ และพี่สาวของตัวเอง ยังไงเงินทองและธุรกิจก็กำหนดชะตาชีวิตผมเอาไว้แล้ว จนได้มาเจอคนคนนี้..




ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับการเดินทางกระทันหันในครั้งนี้นัก รู้แค่ม่านแพงคงจะไปหาเพื่อนที่ไปถ่ายรูปอะไรสักอย่างที่ชลบุรี และผมก็โชคดีที่น้องอนุญาตให้ตามมาด้วย


 “พี่ๆ จอดข้างรถคันนี้แหละ”


ม่านแพงกับเด็กจืดที่แข่งกันหลับมาตลอดทาง ตื่นขึ้นมาชี้ให้ผมจอดรถยังช่องจอดที่เธอต้องการ


“หนอย ดูนะ กล้าเอาป้าย“แฟนหวงมาก”ออกจากกระจกรถด้วย คอยดูเถอะ วันนี้เราได้เห็นดีกันแน่!”


ม่านแพงที่ตื่นมาก็กลายร่างเป็นระเบิดลูกย่อมๆ บ่นพรางชี้มือไปยังมินิคูเปอร์สีแดงที่ผมพึ่งจอดเทียบ เธอเปิดประตูลงทันทีที่ผมจอดสนิท แล้วสาละวนกดโทรออกหาใครสักคนอย่างเอาเป็นเอาตาย


ฟอดดดด


พ่อตาไม่อยู่เราต้องรีบทำกำไรครับ


จุ๊บ


“อื้อออ พี่ภู”


เมื่อแก้มนุ่มยังไม่สามารถเติมความปรารถนาให้ผมได้หมด ผมจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังหน้าผากเนียนแล้วประทับริมฝีปากลงไปไม่เบานัก ฮึ่ย อยากฟัด


“ถึงแล้วครับผม”


“รู้แล้ว”


คนนอนเพลินที่บอกว่าตัวเองรู้แล้ว ยกผ้าห่มที่ผมให้เอามาด้วยขึ้นบังหน้า ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือเพราะอยากนอนต่อ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร แค่น้องไม่ว่าเรื่องที่ผมแอบชื่นใจ ผมก็ยิ้มหน้าบานแล้วหล่ะ


ก๊อกๆๆ


“ลินๆ ตื่นเร็ว เราจะเข้าไปจัดการคน! น่าฟาดใหญ่แล้วเนี่ย!”


ม่านแพงเคาะกระจกฝั่งผมไม่เบานัก และพยายามมองทะลุฟิล์มหนาเข้ามาด้านใน ทำให้คนที่ยังมีผ้าห่มปิดถึงคิ้ว ต้องยอมเอาผ้าลง อยากจะขำแต่ก็กลัวคนพึ่งตื่นจะงอแง ผมชี้ๆกับหน้าง่วงๆ น่าเอ็นดูจนผมต้องช่วยปรับเบาะ แล้วลูบหัวจัดทรงผมให้คนขี้เซา จากนั้นจึงพากันออกมาจากรถ ก่อนที่ม่านแพงจะอาละวาดไปมากกว่านี้


ผมจัดการซื้อบัตรผ่านประตูเข้าสวนน้ำให้เราทั้งสามคน ถึงจะมาทะเล แต่ดูเหมือนคนที่ทั้งคู่จะมาหา มีถ่ายงานอะไรสักอย่างที่สวนน้ำแห่งนี้


“คิตตี้!!”


ทันทีที่เข้ามาด้านใน ม่านแพงก็จูงมือเพื่อนตัวเองให้เดินตามหาคนไปทั่ว จนผมกลัวว่าปาลินจะไข้กลับมาเพราะออกแรงเยอะไป แต่ยังโชคดีที่ใช้เวลาไม่นาน ทั้งคู่ก็เจอเป้าหมายที่ต้องการ


“ตัว?”


ทีมงานที่กำลังเซ็ตฉากการถ่ายทำอะไรสักอย่าง หันมามองพวกผมเป็นตาเดียว ท่ามกลางความมึนงงที่เกิดขึ้น ดูจะมีหนึ่งคนที่สามารถเรียกสติตัวเองได้ก่อน


“เอ่อ พี่ปั้นคะ นี่เพื่อนๆของคิตตี้เองค่ะ พอดีเพื่อนมาให้กำลังใจคิตตี้หน่ะค่ะ”


แม่กระต่ายน้อยที่ผมจำได้ หันไปบอกคนที่ใส่เสื้อยืดสกรีนลายDirector ท่าทางคงตำแหน่งใหญ่ไม่เบาแฮะ


“โห ไม่บอกก็รู้เลยเนี่ย หล่อสวยกันทุกคนขนาดนี้ เพื่อนน้องคิตตี้คนน่ารักแน่ๆ”


พี่ปั้นอะไรนี่ดูสายตากรุ้มกริ่มไม่เบา หลังจากยิ้มเจ้าชู้ใส่แม่กระต่ายน้อยที่ชื่อคิตตี้ ก็หันมาใช้สายตาแทะโลมม่านแพงอย่างไม่ปิดบัง


หมับ


เด็กจืดกอดเอวม่านแพงแล้วลากเข้ามาประชิดตัว วันนี้ม่านแพงก็ยังสวยเหมือนทุกที แต่ชุดมาสวนน้ำของเธอนี่สิที่เปรี้ยวเข็ดฟันจนนึกว่าหลุดออกมาจากหน้าปกFHM


“เอ่อ พี่ปั้นขา ขอคิตตี้คุยกับเพื่อนแป๊บนึงนะคะนะ”


สาวหมวยสวยและเซ็กซี่ตรงหน้าหันไปยิ้มอ่อนหวาน ทำเสียงอ้อนใส่คนที่ดูมีอำนาจที่สุดในเวลานี้


“อะ..เอ้อ อื้มได้จ้ะ ยังไงก็อย่าลืมชวนเพื่อนๆมาถ่ายด้วยกันนะ ยิ่งคนเยอะ ภาพจะได้ยิ่งสวย”


คนที่เหมาะสมกับคำว่าลุงมากกว่าคำว่าพี่พูดขึ้น ไม่วายหันมาเลียริมฝีปากแล้วหลิ่วตาให้ม่านแพง นี่ถ้าเด็กจืดเป็นแฟนม่านแพงตัวจริงคงถลาไปตั๊นหน้าไอ้คนหื่นกามพรรค์นั้นแน่ๆ ขนาดผมแค่มาด้วยเฉยๆ ยังอยากพุ่งเข้าไปกระทืบไอ้หื่นนี่สักที


“เค้าบอกตัวแล้วใช่มั้ยว่าห้ามมา!! ทำไมตัวไม่เคยฟังกันบ้าง!!”


พอเหลือแต่เรา คนที่สูงน้อยที่สุดในนี้ก็ระเบิดอารมณ์ออกมาจนผมตกใจ แต่ความตกใจดูจะไม่จำเป็นแล้วในเวลานี้ เพราะความช็อคทำให้ผมนิ่งค้างกับสิ่งที่ได้ยินไปแล้ว พึ่งเข้าใจว่าเวลารักใครมากๆแต่ถูกเขาปั่นหัวเหมือนเป็นแค่ของเล่น มันเจ็บได้ขนาดนี้นี่เอง ผมไม่รู้ว่าม่านแพงที่เคยบอกว่าจะช่วยผมกำลังทำอะไรอยู่ และเด็กจืดกำลังคิดอะไร ถึงยอมให้ผมตามมาเจอผู้หญิงอีกคนของเขา


“เฮ้ย พี่! ไม่ใช่แบบที่พี่คิดนะ”


ผมหลบตาไม่ทัน เด็กจืดเลยทันได้เห็นสายตาของผมที่จ้องน้องกับผู้หญิงคนนั้นอยู่



..ปาลิน..


ผมตกใจกับสายตาที่พี่ภูมองมาทางผม สายตาคู่นั้นทั้งเสียใจ ตัดพ้อและเจ็บปวด ผมทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในหัวเต็มไปด้วยคำถามถึงสาเหตุ ที่ทำให้คนร่าเริงอยู่เสมอแบบพี่ภูฟ้า แสดงความท้อแท้ออกมาได้ขนาดนี้


ผมหรอ?


เป็นเพราะผมใช่ไหม?


ชั่วแวบหนึ่งที่ความเห็นแก่ตัวเข้าครอบงำผม มันทำให้ผมรู้สึกหลงระเริงและดีใจ ดีใจที่ทำให้ผู้ชายคนนี้แสดงออกชัดเจนว่าขาดผมไม่ได้ และเขาจะเป็นทุกข์แค่ไหน ถ้าผมฝากหัวใจไว้ที่คนอื่นแล้ว


“ฟังผมก่อนนะ”


แต่เพราะทนความรู้สึกผิดที่เห็นแววตาหม่นเศร้าคู่นั้นไม่ได้ ผมจึงปล่อยมือที่โอบเอวม่านแพง แล้วเปลี่ยนมาใช้มันกุมมือของคนมื่อสั่นเอาไว้แทน


“ไปคุยกันในรถนะม่าน ถ้าเกินสิบนาทีเราจะไปตามนะ และย้ำว่า ห้าม!ทำ!รอย!”


ผมหันไปสั่งม่านแพงที่กำลังลากแขนคิตตี้เดินไปทางที่เราพึ่งเข้ามา วันนี้คิตตี้มาถ่ายโฆษณาสวนน้ำ ที่ผมกับม่านแพง ก็พึ่งรู้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนมานี่แหละ คราวนี้คนตัวเล็กปิดได้เงียบจริงๆ แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถเล็ดลอดความเป็นห่วงของม่านแพงไปได้ เสียหน่อยเดียวก็ตรงที่เคลียร์กันแล้วชอบจบลงที่รอยคิสมาส์คทั่วตัว เหมือนอย่างตอนที่ม่านแพงมีรอยรอบคอนั่นก็ฝีมือคิตตี้เค้าหล่ะ


“ไปนั่งอันนั้นกันครับ”


ผมดูนาฬิกาข้อมือเพื่อกะเวลาตามที่บอกม่านแพง แล้วจึงหันกลับมาสนใจคนที่ผมยังกุมมืออยู่ ข้อดีของพี่ภูที่ผมเห็นได้ชัด คือพี่เขายอมที่จะรับฟัง ไม่ตวาด หรือโมโหแล้วหนีกลับไปก่อน


ผมจัดแจงยื่นข้อมือของเราทั้งคู่ให้คนที่คอยจัดการเรื่องเครื่องเล่น บนข้อมือของทุกคนที่มาเล่นสวนน้ำแห่งนี้ จะมีแท็กพลาสติกที่มีโค้ดไว้สแกนตามเครื่องเล่นต่างๆสวมอยู่ แต่เพราะผมยังตัวรุมๆและเจ็บคออยู่นิดหน่อย จึงเลือกที่จะพาพี่ภูมานั่งเรือแพทรงกลม ที่ผมดูแล้วว่ามันเหมาะสำหรับการนั่งชิลล์ปล่อยให้แพไหลไปเองตามกระแสน้ำ


“พี่ภูครับ”


“....”


คนที่ยังเงียบมาสักพักก็ยังคงเงียบต่อไป


“โกรธผมอยู่หรอ”


ผมถามออกไปเพราะเดาเอาว่าพี่ภูก็น่าจะปะติดปะต่อเรื่องได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรนี่นา แต่ทำไมพี่เขายังทำหน้าหงอยขนาดนี้ หรือที่จริงแล้วพี่ภูหวงม่านแพง


“หรือว่าพี่ชอบม่าน”


เป็นผมเองที่ฟุ้งซ่านและอยากถามให้แน่ใจ วันอาทิตย์ถึงปกติคนน่าจะเยอะ แต่นี่พึ่งแปดโมงกว่าๆจึงทำให้ทั้งลำธารเทียมแห่งนี้มีแค่ผมและพี่ภู


“ไม่ใช่นะครับ เราก็รู้ว่าพี่รักใคร”


ประโยคซื่อๆของพี่ภูทำให้ผมรู้สึกเหมือนไข้จะกลับ ยิ่งตอนพี่เขาหันมาสบตาผมตรงๆเป็นครั้งแรกหลังจากที่เข้าใจผิด ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีใครเอากลองมาตีรัวอยู่ที่อกผมอย่างนั้นแหละ


“แล้วทำไมพี่ภูยังทำหน้าแบบนั้นอยู่หล่ะ”


“ก็พี่ใจเสียหนิ”


“ครับ?”


“ไม่รู้หล่ะ เพราะเรานั่นแหละ ทำให้พี่เป็นแบบนี้ รับผิดชอบเลยนะ”


ผมยิ้มขำให้กับมุกเด็กๆของคนอายุมากกว่า ความจริงพี่เขาก็มีมุมนี้เยอะเหมือนกัน หลังจากที่รู้จักกันมา


“ไม่ต้องหัวเราะเลยนะ ลินหน่ะ ต้องโอ๋พี่ด้วย”


ดูเขาสิ ทำปากยู่เหมือนเด็กโดนขัดใจแล้วยังทำหน้างอนอีก แล้วผมจะไม่ขำได้อย่างไร


“ครับๆ โอ๋ๆนะ”


ผมตามน้ำผู้ใหญ่งอแง ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือห่วงยางทรงกลม ด้านตรงข้ามกับผม


หมับ


“พี่ภู!”


คนงอนเป็นเด็กอยู่ดีๆก็แปลงร่างเป็นปลาหมึก แล้วคว้าตัวผมเข้าไปกอดเสียอย่างนั้น


“ปล่อยเลยนะ เดี๋ยวเรือคว่ำ”


มีอย่างที่ไหน พอเรือผ่านเข้ามาในอุโมงค์เท่านั้นแหละ คนฉวยโอกาสก็หวิดจะทำเรือคว่ำเสียได้ เพราะเรานั่งถ่วงน้ำหนักอยู่คนละฝั่ง พอพี่เขาขยับตัวเท่านั้นแหละ เรือก็โคลงเคลงทันที


“แสดงว่าถ้าไม่อยู่บนเรือก็กอดได้”


หมั่นไส้คนยิ้มร่าที่ผละออกจากผม นั่งเอาแขนกอดอก แล้วอีกมือก็ลูบคางตัวเองคล้ายกำลังครุ่นคิด แต่ไม่ว่าจะมองยังไง ท่าทางแบบนี้ก็เจ้าเล่ห์ชัดๆ


“ไม่ต้องพูดเลย จะสิบนาทีแล้ว ไปตามสองคนนั้นกันเถอะครับ”


“โอ๊ะๆๆ อยากให้พี่กอดเร็วๆก็ไม่บอก”


คนเจ้าเล่ห์จัดการวักน้ำพาผมและตัวเองขึ้นฝั่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากอุโมงค์ที่เราพึ่งลอดผ่านมาเมื่อกี๊


หมับ


ทันทีที่ขึ้นจากแพได้ พี่ภูที่ก่อนหน้านี้ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่รออยู่ริมฝั่ง ก็เป็นฝ่ายยื่นมือเพื่อดึงผมขึ้น แต่คนเจ้าเล่ห์ก็ยังเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทันทีที่ผมขึ้นมาได้ก็ถูกพี่ภูกอดไว้ทันที


“ปล่อยเลยนะ คนเยอะ”


ผมรู้สึกอายเหมือนที่ผมพูดไปนั่นแหละ ถึงจะยังเช้ามาก แต่บนฝั่งตอนนี้ก็เริ่มมีคนมาเที่ยวกันหนาตาขึ้นบ้างแล้ว


“พี่โคตรดีใจเลยอะ”


พี่ภูที่ปล่อยผมแล้ว แต่หน้ายังยิ้มพรายทั้งปากทั้งตา


“เรื่องที่แต๊ะอั๋งผมหน่ะหรอ”


ผมหรี่ตา เตรียมจะเปรยว่าจะไปฟ้องม่านแพงให้พี่ภูฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะประโยคจากคนหน้ายิ้มที่เปลี่ยนเป็นจริงจังพูดขึ้นก่อน


“ทุกเรื่องเลย ทั้งเรื่องที่ยอมให้พี่มาด้วย เรื่องที่เป็นห่วงความรู้สึกพี่ แล้วก็เรื่องที่ยอมให้พี่จีบ”


ถ้าบนหน้าผมมีเทอร์โมมิเตอร์ ป่านนี้คงแสดงขีดแดงที่เลขหลักร้อยแน่ๆ อยู่ดีๆก็มาใช้ตาซื่อๆกับประโยคที่ฟังแล้วทำให้หัวใจรู้สึกอุ่นขึ้นแปลกๆบอกผมแบบนี้ แล้วอย่างนี้ผมควรจะทำอย่างไรกับหัวใจตัวเองดีหล่ะ มันทั้งเห็นแก่ตัวและโลภมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่มจะควบคุมมันไม่ได้แล้ว




วันนี้ม่านแพงคงจะโกรธมากจริงๆ เธอไม่ได้ชวนคิตตี้ทะเลาะอย่างทุกที แต่กลับเลือกที่จะเงียบไม่พูดอะไรสักคำเลยต่างหาก ซึ่งผมว่าแบบนี้ กลับสร้างความกดดันและบรรยากาศตึงเครียดมากกว่าการทะเลาะกันเสียอีก


“ไม่เป็นไรนะคิตตี้ เดี๋ยวค่อยเคลียร์กันดีๆ ตั้งใจทำงานนะ”


ผมกอดคิตตี้ที่ลานจอดรถ โดยมีรถของพี่ภูบังเราทั้งคู่ไว้อยู่ ม่านแพงเดินกลับเข้าไปด้านในแล้ว คิตตี้จึงหน้าหงอยลงอย่างที่เห็น

 
“ขอโทษนะลิน แต่เค้าอยากทำงานนี้จริงๆนะ ตอนแรกที่แคสติ้งไม่ผ่านก็เฟลจะแย่ พอรู้ว่าคนที่ถูกเลือกไว้เกิดไม่สบายกระทันหัน แล้วแบบนี้จะให้ปฏิเสธได้ยังไงหล่ะ”


คิตตี้ช้อนสายตาสำนึกผิดขึ้นมองผม พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็ได้แต่ถอนใจออกมา


“ลินก็เข้าใจนะ แต่ตอนแอบไปแคสติ้ง ก็ทะเลาะกันไปทีแล้วไม่ใช่หรอ คิตตี้ก็ต้องเข้าใจม่านด้วย เป็นใครก็คงไม่อยากให้คนที่เรารักปิดบังหรอก โดยเฉพาะต้องมาทำงานกับคนเจ้าชู้แบบคุณปั้นอะไรนั่น”


“ก็เพราะรู้ไงว่าตานั่นเจ้าชู้เลยไม่อยากให้ม่านมา เกิดนายนั่นหมายตาม่านขึ้นมา แล้วใช้วิธีสกปรก เค้าจะทำยังไง”


เห้อ ผมหล่ะอ่อนอกอ่อนใจกับความขี้หึงของทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างหวงและหึงอีกคนมากๆ แต่ดาวมหาลัยกับเน็ตไอดอล จะหลีกเลี่ยงการเจอผู้คนและเก็บซ่อนความสวยได้ยังไงกัน


“เอาหน่า ตั้งใจทำงานก่อนค่อยคิด รีบทำจะได้เสร็จเร็วๆนะ”


ผมยิ้มให้กำลังใจคิตตี้ ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปด้านใน ซึ่งม่านแพงและพี่ภูฟ้า ที่ถูกผมขอให้เดินตามม่านแพงมา ยืนรออยู่ก่อนแล้ว




การถ่ายโฆษณาเป็นไปด้วยความราบรื่น จนกระทั่งม่านแพงเดินเข้าไปคุยบางอย่างกับคุณปั้น ผมไม่ทันเห็นด้วยซ้ำ ว่าเธอลุกไปตอนไหน เพราะมัวแต่มองคิตตี้ที่กำลังเข้าฉากนั่งเครื่องเล่นที่เป็นเรือยางขนาดใหญ่แล้วสไลด์ตัวลงมาจากสไลด์เดอร์สูงชันกว่ายี่สิบเมตร ขนาดผมเองยังรู้สึกว่าน่าหวาดเสียวมากๆเลย


“ลิน”


ม่านแพงที่เงียบมาเกือบสองชั่วโมงเรียกผมที่จ้องเธออยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่เห็นม่านแพงเดินกลับมาจากการคุยกับคุณปั้น


“หื้ม ว่าไงม่าน”


ผมรอฟังประโยคแรกที่เธอจะพูด หลังจากมีแต่พี่ภูและผมบ้างในบางครั้ง ที่ผูกขาดการพูดคุยนับตั้งแต่เริ่มการถ่ายทำ


“ฉากต่อไปหน่ะ เราไปถ่ายด้วยกันเถอะลิน”


“ฮึ? ว่าไงนะม่าน”


“ก็ม่านเห็นอิตาผู้กำกับปรึกษากับทีมงานว่าจะปรับเนื้อหาให้มีเลิฟไลน์ระหว่างคิตตี้กับนายตัวประกอบฝรั่งนั่น ม่านยังไม่ได้เตรียมใจมาเลย ม่านทนไม่ได้หรอก”


การทำงานในวงการบันเทิง คงจะหลีกเลี่ยงการทำงานกับเพศตรงข้ามไม่ได้ ม่านแพงก็ต้องปรับตัวกับเรื่องนี้พอสมควร แต่ทุกทีคิตตี้ทำอะไรก็จะบอกก่อน โดยเฉพาะถ้าต้องเข้าซีนกับเพื่อนร่วมงานผู้ชาย ดังนั้นม่านแพงเลยมีเวลาทำใจอยู่เป็นเดือนๆเลยทำให้ผ่านมาได้ แต่วันนี้ดูจะไม่ใช่อย่างนั้น


“ม่านไปคุยละ ว่าม่านกับลินจะยอมเป็นตัวประกอบเอง แล้วให้ลินเป็นคนเข้าซีนแทนอิตาฝรั่งนั่น”


ถ้าเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าในห่วงยางขนาดใหญ่ที่ต้องนั่งถ่วงน้ำหนักกันสี่คน จะมีผม ม่านแพง คิตตี้ และตัวประกอบอีกคน


“อิพี่ปั้นอะไรนั่นรีบรับข้อเสนออย่างไว แต่ดีที่ยังพูดกันรู้เรื่องว่าห้ามโฟกัสม่าน ขืนพ่อเห็น โดนด่าตาย โคตรโชคดีเลยเนี่ย ที่พาลินมาด้วย มีหน้ามาถามว่าเพื่อนมีซิกแพคมั้ย ถ้าไม่มีก็คงไม่ยอม ชิ จะขายสวนน้ำหรือขายอะไร เกลียดจริงๆเลย”


ม่านแพงยังบ่นกระปอดกระแปดต่อไป ขณะที่รอไปเข้าฉากที่ว่า ซึ่งผมว่าไม่น่ายาก ก็แค่ขึ้นไปนั่งเล่นให้ดูสนุกๆก็พอ


“ทำไมต้องมีซิกแพค”


เสียงพี่ภูถามขึ้นมาก่อน


“ก็เดี๋ยวต้องใส่กางเกงเหมือนอิตาฝรั่งนั่นไง เดี๋ยวพี่เขาเอาอีกตัวมาให้เปลี่ยน หรือไม่ก็แค่ถอดเสื้อออกก็พอ”


“ไม่มีทาง แบบนี้พี่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน”


หน้าผมชักจะร้อนขึ้นมาโดยไม่รู้เวล่ำเวลาอีกแล้ว ดีนะที่พี่ภูมัวแต่จ้องตาม่านแพงอยู่


“อิพี่ภู!!”


“แล้วอีกอย่างลินก็ยังไม่หายดีเลยนะม่าน ขึ้นไปถ่ายแบบนั้น ใช่ว่าถ่ายรอบเดียวจะเสร็จนะ”


“แล้วพี่จะให้ม่านทำยังไง”


ม่านแพงดูจะอ่อนลงเมื่อพี่ภูพูดถึงอาการป่วยของผม ทำให้ผมนึกโมโหตัวเองที่มาป่วยตอนที่เพื่อนกำลังต้องการความช่วยเหลือ


“ไม่เป็นไรครับ ผมดีขึ้นแล้ว”


ตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องช่วยเพื่อน ลำพังแค่นี้ม่านแพงกับคิตตี้ก็คงต้องเคลียร์กันนาน ถ้าเกิดมีนายแบบฝรั่งนั่นด้วย งานนี้ไม่อยากจะคิดเลย


“ม่านแพง ให้ลินรออยู่นี่ พี่จะถ่ายแทนเอง พี่ก็หล่อ หุ่นก็ดีกว่า ซิกแพคก็ชัดกว่า สูงกว่าอีกต่างหาก ถึงจะไม่ขาวเท่า แต่เค้าไม่ได้ขายครีมคงไม่ว่าอะไรหรอก ส่วนคิตตี้ก็เพื่อนว่าที่แฟน พี่ไม่คิดเกินเลยอยู่แล้ว ม่านให้พี่ทำเถอะ”


ประโยคบรรยายสรรพคุณตัวเอง ที่ถ้าเป็นเวลาปกติคงโดนม่านแพงด่าว่ามั่นหน้า ถูกส่งมายังคนที่ขมวดคิ้วรอการตัดสินใจจากเธอ ส่วนผมก็ทำได้แค่หลบสายตาคนที่หันมามอง ตั้งแต่ตอนที่พูดคำว่า“ว่าที่แฟน”อย่างไม่อายปากนั่นแล้ว หรือผมจะเป็นไข้ขึ้นมาอีกแล้วกันนะ รู้สึกตัวรุมๆด้วยเนี่ย


“ก็ได้”


เป็นม่านแพงที่ยอมจำนน ซึ่งแน่นอนว่าผมหมดสิทธิ์โต้แย้งอะไรได้ ลำพังให้ผมเงยหน้าขึ้นมาตอนนี้ ผมยังทำได้ยากเลย



 
。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。

มีต่อคับ..♡´・ᴗ・`♡

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2017 22:03:02 โดย Sugar_stack »

ออฟไลน์ Sugar_stack

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • Page FB Sugar_stack
..ภูฟ้า..


“ครับ? เป็นอะไรหื้ม ทำไมทำหน้าแบบนั้น”


เด็กที่พึ่งหายไข้ช้อนตาใสๆขึ้นมามองผม เราอยู่กันในห้องแต่งตัวที่ทางกองจัดไว้ให้ ทุกอย่างดูจะเป็นใจให้พี่ภูคนนี้มากๆ


ฟอดดด


อดไม่ได้จริงๆ ก็อยากน่ารักเองทำไม ถึงน้องจะไม่โวยวาย แต่หน้างุ้ยๆก็กลับมาอีกแล้ว


“เป็นอะไรครับ อยากเอาคืนพี่หรอ อ๊ะๆ พี่ให้หอมสองข้างเลย”


ผมก้มลงไปทำแก้มป่องอยู่หน้าน้อง แต่แทนที่จะถูกหอม กลับเป็น


เปี๊ยะ


“พี่เจ็บนะครับ”


ผมเบะปากประท้วงรอยที่ข้างแก้ม ถึงจะไม่แรง แต่ผมมั่นใจว่าน่าจะแดงแน่ๆ


“สมน้ำหน้า”


ดูสิ ดูปากงุ้ยๆนั่นพูดเข้า เดี๋ยวก็จับกิน ให้พูดจาไม่น่ารักไม่ได้อีกเลยนี่


“มีอะไร ไหนบอกพี่ซิ”


หรือจะไม่พอใจที่ผมจะแสดงแทน แต่เรื่องที่จะยอมให้เด็กจืดของผมโชว์เนื้อหนังมังสานี่ฝันไปได้เลย ขาวใสออร่าวิงค์ๆอย่างนั้น ผมไม่ยอมให้ใครเห็นด้วยแน่ๆ ถึงจะบอกตัวเองว่าไม่ควรบังคับน้องจนเกินไป แต่เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้จริงๆ ถ้าไปเที่ยวกับเพื่อนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นโฆษณาของสวนน้ำชื่อดังเชียวนะ แบบนี้ยิ่งยอมไม่ได้เลย


“โกรธที่พี่ไม่ยอมให้แสดงหรอ”


ผมโล่งใจที่น้องส่ายหัวเพื่อตอบคำถามของผม


“แล้วเป็นอะไรครับ”


ผมยังห่วงว่าคนที่พึ่งอาการดีขึ้น จะไข้กลับเพราะอากาศร้อนจัดและความชื้นของสวนน้ำ แต่ก็รู้ว่าน้องคงอยากจะช่วยเพื่อนด้วยเหมือนกัน ถ้าเมื่อวานไม่ป่วย บางทีวันนี้ผมอาจต้องยอมน้องก็ได้ เพราะตามจริงแล้ว ตัวผมเองก็ยังไม่มีสิทธิ์จะห้ามอะไรคนตรงหน้าได้เลยแม้แต่นิดเดียว


“......”


น้องดูมีเรื่องในใจที่อยากพูด แต่ยังไม่กล้าพูดออกมา เด็กจืดเป็นเด็กซื่อๆ โกรธใครจริงๆเป็นหรือเปล่าผมก็ยังไม่แน่ใจ ผมเลยกลัวว่าน้องจะลำบากใจกับสิ่งที่ผมกำลังทำให้เขาอยู่


“เพราะออยล์นี่หรอ”


ผมมองตามสายตาน้องไปยังขวดบรรจุออยล์สีใส ที่เมื่อกี๊พี่ช่างแต่งหน้า บอกว่าให้มาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วเดี๋ยวพี่เขาจะทาให้ น้องกัดปากตัวเอง แต่ไม่ได้ตอบอะไร


“ออยล์ขวดนี้ทำไมครับ”


นอกจากจะโชคดีที่เรื่องในใจน้อง ไม่ใช่ประโยคตัดรอน เช่น พี่ทำให้ผมอึดอัด แต่ตรงกันข้าม มันกลับเป็นแสงแห่งความหวังที่ผมสัมผัสได้


“ทำไมครับ ลินก็อยากทาหรอ พี่ทาให้มั้ย”


ผมอารมณ์ดี แค่คิดว่าน้องกำลังรู้สึกยังไง เลยส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้คนตัวขาวที่พักนี้ชอบเปลี่ยนเป็นสีชมพู แต่คราวนี้นอกจากจะไม่เขินแล้ว น้องยังจ้องผมแบบเอาเรื่องอีกด้วย


“ไหน คนดีบอกพี่สิครับ พูดให้พี่ฟังนะ พี่ใจเสียแล้วเนี่ย ไม่รู้โดนลินโกรธเพราะอะไร”


ก็ยังเป็นผมที่เว้าวอนอยากฟังสิ่งที่อยู่ในใจน้องชัดๆจากปากเจ้าตัว


“ไม่ต้องมากอดเลย ไปให้พี่คนนั้นทาให้เลยไป”


ช็อตนี้พี่ภูตาย


ฟอดดดด


ชักจะน่ารักเกินไปแล้วนะ แหนะ มีช้อนตามอง เดี๋ยวก็ทั้งกอดทั้งหอม ไม่ปล่อยเลยนี่


“หวงพี่หรอ ดีใจจัง”


ผมยิ้มให้น้อง ขณะที่สองแขนก็กอดคนขี้หวงให้แน่นขึ้น รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ที่น้องเริ่มแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมามากขึ้น


“ใครหวง”


“หึๆ ไม่หวงก็ไม่หวงครับ แต่พี่วานให้ลินทาออยล์ให้พี่หน่อยนะ พอดีไม่อยากให้ใครมาลูบตัวหน่ะ นอกจากว่าที่แฟน”


ผมกระซิบชิดใบหูคนขี้หวงที่ผมดึงเข้ามากอดไว้ น้องคงไม่รู้จะจัดการกับการรุกรานของผมยังไง เลยก้มหน้างุดซุกกับอกผม ที่เป็นทางหนีเดียวในเวลานี้


“ได้มั้ยครับ”


ผมยังถามต่อ เพราะคนขี้เขินไม่ยอมตอบอะไรสักคำ


“อื้อ เพราะเห็นว่าช่วยม่านกับคิตตี้หรอกนะ”


โอ๊ย โคตรน่ารักเลยน้องครับ ใจพี่โดนแอทแทคเพราะความน่ารัก จนบางไปหมดแล้ว


น้องผละออกจากอกผมแล้วดันให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ มือขาวเทออยล์จนชุ่มฝ่ามือ แล้วก็เริ่มลงมือทาแขนให้ผม ทั้งๆที่ยังก้มหน้าเกือบชิดอกอยู่แบบนั้น ผมไม่ได้ท้วงอะไรเพราะเดี๋ยวคนใจดีจะบอกให้ผมทาเอง ผมเลยต้องกลั้นยิ้มแล้วทำตัวเองให้เงียบเข้าไว้


“หันหลังหน่อย”


ผมก็หันให้อย่างว่าง่าย แต่ความรู้สึกสบายที่แขน พอย้ายมาเป็นหลัง ทำไมมันถึงทำให้ผมเริ่มร้อนขึ้นมาแบบนี้หล่ะ ไหนจะมือนุ่มๆ กับกลิ่นหอมๆของเจ้าของสัมผัสที่แผ่นหลังผมนั่นอีก


“อ.เอ่อ ข้างหน้าพี่ภูทาเองละกัน”


อยู่ดีๆคนที่ยังทำภารกิจไม่เสร็จจะล้มเลิกกลางคัน มีหรอที่ผมจะยอม


“ทาให้พี่หน่อยนะครับ พี่ทาเองแล้วเดี๋ยวมือลื่นเวลาจับเครื่องเล่น”


ผมคว้าข้อมือน้องเอาไว้ แถได้ก็ต้องแถสิครับงานนี้ น้องทำหน้าลังเลแต่ก็ผงกหัว ยอมให้ความร่วมมือ


ผมรู้สึกว่าคิดผิดนิดหน่อยที่บอกให้น้องทาด้านหน้าให้ ฝ่ามือนุ่มที่ลูบวนอยู่ที่หน้าอก ทำผมแทบครางฮือออกมาอย่างลืมตัว พยายามตั้งสติและกัดฟันแน่น แต่ก็ดูจะไม่ช่วยอะไร ยิ่งตอนฝ่ามือน้องลากต่ำลงมายังหน้าท้อง เจ้าลูกชายของผมก็เริ่มประท้วงหาแม่อย่างดื้อรั้น จนผมต้องขบกรามแน่นเพื่อปรามลูกตัวเอง


น้องก็ดูจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงรีบเร่งมือที่ปัดป่ายทั่วหน้าท้องของผมให้เสร็จเสียที แต่ยิ่งเร่งตัวผมก็ยิ่งเกร็งอย่างห้ามไม่ได้ เขินก็เขินหื่นก็หื่นเลยตอนนี้


“เสร็จแล้ว”


น้องเขินจนแดงไปทั้งตัว ไม่ต่างกับผลเชอรี่ลูกโต ที่ผมอยากจะลองกัดดูสักที


“แต่พี่ยังไม่เสร็จเลย”


ผมพูดเสียงพร่าข้างหูน้อง จนใบหูที่เป็นสีชมพูอยู่แล้ว ยิ่งเปลี่ยนเป็นแดงแปร๊ดเลยทีเดียว


“พี่ภู! เสร็จรึยัง ออกมาได้แล้ว”


เป็นน้องมาร เอ๊ย น้องม่านที่ตะโกนเรียกอยู่หน้าประตู ผมเลยจำใจต้องผละออกมาจากเด็กขี้เขินที่เผลอสบตาผมแล้วกลับไปก้มหน้างุดเหมือนเดิม


ปาลินไม่ได้ดูนุ่มนิ่มแบบน้องเท็นเมียเด็กของไอ้จั๊ด น้องก็เป็นผู้ชายหล่อๆ ที่มีมุมน่ารักเยอะๆก็เท่านั้น แต่ไม่ว่าผมจะมองยังไง สายตาของผมก็ดันใส่ฟิลเตอร์ฟรุ้งฟริ้งเข้าไปในทุกการกระทำของน้องอย่างห้ามไม่ได้ ทำอะไรก็น่ารักน่าฟัดไปหมด


“พี่ภู เสร็จยังเนี่ย กางเกงตัวเดียวพี่เปลี่ยนนานขนาดนั้นเลยหรอ แล้วนี่ลินอยู่ด้วยใช่มั้ย”


มาแล้วครับโหมดพ่อตาหวงลูกสาว ถ้าผมไม่ตอบอะไรไป มีหวังได้หัวแบะ


“เสร็จแล้วจ้า เสร็จแล้ว พี่กับลินจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”


ผมกุมมือน้องพาออกมาด้วยกัน ม่านแพงพอเห็นผมทาออยล์จนตัววาวเรียบร้อยแล้วก็เลยเลิกบ่น ตอนนี้ผมเปลี่ยนเป็นกางเกงสามส่วนลายกราฟฟิค ส่วนม่านแพงเปลี่ยนจากบิกินี่ทรงสปอร์ตสีขาวที่สวมทับด้วยกางเกงยีนส์ขาสั้น และเสื้อตาข่ายที่ไม่ได้ช่วยปิดอะไร มาเป็นชุดว่ายน้ำวันพีซสีเนื้อที่โคตรจะเว้าลึกทั้งหน้าและหลัง เผยให้เห็นผิวเนียนและทรวดทรงองค์เอว ที่ต้องยอมรับว่าดีมากๆ


“โอ๊ยยยย”


คนที่บิดเอวผมจนแทบช้ำไม่มีท่าทีว่าจะสงสารแม้แต่น้อย แถมยังมองถลึงตาดุๆให้ผมอีกต่างหาก


“อู่ยยย ว่าที่แฟนพี่มือหนักจัง แบบนี้พี่จะกล้านอกลู่นอกทางได้ยังไง”


หยอดครับหยอด ถึงจะต้องง้อแต่ก็ไม่ลืมจะหยอดไปด้วย


“อย่ามัวแต่จีบกัน ป้ะ พี่ภู ไปได้แล้ว”


พ่อตาผมบ่นขึ้นมาไม่จริงจังนัก ตอนนี้ใจคงไปอยู่กับคิตตี้ที่เปลี่ยนจากชุดวันพีชกระโปรงชมพูในตอนเช้า มาเป็นบิกินี่สีเหลืองที่มีเพียงแค่เสื้อคลุมตัวบางสีขาวสวมทับ ยอมรับเลยว่าม่านแพงและคิตตี้นี่เรื่องความเซ็กซี่ไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ


ฟอดดด


เหมือนจะไม่พอใจที่ผมมองเพื่อนเขาด้วยสายตาแบบผู้ชายเวลาเห็นคนสวย เด็กน้อยของผมเลยพองแก้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ได้โอกาสผมเลยหอมแก้มขาวๆนุ่มนั่นซะเลย แล้วรีบเดินออกมาก่อนจะมีคนเขินแล้วโวยวายกลบเกลื่อน




“พี่โคตรเจ๋งเลยหว่ะ ที่ทำให้ลินยอมขนาดนี้”


ม่านแพงมองหน้าผมอึ้งๆ แล้วพูดขึ้นตอนเรากำลังเตรียมตัวเข้าฉาก ไอ้ผมก็นึกว่าม่านแพงที่เดินนำมาก่อนแล้ว จะไม่เห็นที่ผมแอบหอมน้องเสียอีก ใจหายแว๊บเลย นึกว่าจะโดนด่าซะแล้ว


“ม่านก็เจ๋งนะ รักแฟนจนยอมมาถ่ายอะไรแบบนี้”


ยอมรับว่าผมตกใจไม่น้อย เมื่อรู้ว่าม่านแพงมีแฟนเป็นผู้หญิง ที่สำคัญยังเป็นคนเดียวกับที่เด็กจืดควงเย้ยผมในผับวันนั้นด้วย และที่แปลกใจมากกว่าก็เพราะม่านแพงคนที่ปฏิเสธทุกโมเดลลิ่งและแมวมองตามที่ผมเคยได้ยินมา กลับยอมใส่ชุดว่ายน้ำถ่ายโฆษณาเป็นตัวประกอบ เพื่อให้แฟนตัวเองทำงานได้ราบรื่นหายห่วงนี่แหละ เธอคงเห็นเหมือนผม ว่าคิตตี้ดูจะเกร็งๆกับนายแบบฝรั่งตาสีฟ้าคนนั้น จนการถ่ายธรรมดาแบบไม่มีเลิฟไลน์ก็ยังกินเวลาไปหลายเทค เอ่อ ว่าแต่ แล้วกับผมจะรอดหรอเนี่ย




..ปาลิน..


คนที่จับพลัดจับผลูมาเป็นตัวประกอบจำเป็น ดูจะช่วยให้การถ่ายทำโฆษณาเป็นไปได้ดียิ่งกว่าดีเสียอีก ดีจนน่าหมั่นไส้ทีเดียว


“คัท ดีมากๆ น้องภูนี่ใช้ได้เลยนะ สายตาสื่อความหมายดี รูปหล่อขึ้นกล้อง หุ่นก็ดีอีก”


เสียงผู้กำกับที่ตบมือพออกพอใจกับซีนเมื่อครู่ จริงอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ ฉายาภูสอยดาว ที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ทำให้เดือนมหาลัยปีสามแพรวพราวทั้งท่าทางและแววตา แถมยังเผื่อแผ่บรรยากาศสดใสไปทั่ว ทั้งกับสาวๆที่เข้าฉากด้วยกัน และทั้งกับทีมงานที่ดูจะเป็นปลื้มกับพี่เขาทุกคน


หึ


คนเจ้าชู้


“เบื่อหรอครับ หน้าบึ้งเชียว”


คนที่เป็นลูกรักคนใหม่ของทุกคนในกองเดินเข้ามาหาผม


“อีกฉากเดียวนะ ทนแป๊บนึง”


ชิ มีหน้าเอามือมาโยกหัวผมอีก


“ไหน งอนอะไร ดื่มน้ำมั้ย พี่ไปเอามาให้”


หมับ ผมคว้าแขนพี่เขาไว้


บางทีก็เกลียดความใส่ใจที่ทำให้ผมโกรธเขาไม่ลง


“ไม่เอาหรอครับ”


แล้วยังเกลียดท่าทางซื่อๆกับยิ้มเอ็นดูแบบนี้ด้วย


“คนเจ้าชู้”


ทนเกลียดไม่ไหว เลยหลุดปากพูดออกไป


“เมื่อก่อนหน่ะใช่ ตอนนี้ไม่แล้ว”


ฟอดดด


นอกจากขโมยหอมแก้มแล้วยังขยิบตาก่อนเดินตามพี่ทีมงานที่มาเรียก เพื่อกลับไปถ่ายต่ออีก ส่วนผมก็พูดอะไรไม่ออกและไม่รู้จะทำหน้ายังไง เลยเลือกที่จะจำลองตัวเองเป็นรูปปั้น จะโวยวายก็ไม่ได้ เมื่อกี๊ไม่รู้มีใครเห็นบ้าง ทีมงานก็ไม่ใช่น้อยๆ ไหนจะนักท่องเที่ยวที่มามุงดูการถ่ายทำนี่อีก เกลียดจริงๆเลย ผมหน่ะเกลียดผู้ชายที่ชื่อภูฟ้าที่สุดเลย


。☆✼★━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━★✼☆。


วันนี้ก็ยาวน้าาา (●⌒v⌒●)

ที่ถามเรื่องnc เพราะมือลั่นเกินเบอร์มากค่า ฮ่าๆๆๆ

กลัวจะไม่เหมาะสมรึเปล่านะ ฮ่าๆๆ เขิน

ไว้ลุ้นเอาละกันเนาะว่าจะตัดหรือจะโผล่มาตอนไหน



ออฟไลน์ idoloveyou555

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เกลียดจริงๆหรอจ๊ะน้องลิน กิ้วๆ :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จ้า เกลียดจ้าปาลิน หึหึ
งานนี้ถ้าเพจเผือกมีรูปไปลงนี่คงดังกระฉ่อนไปทั่ว ม. ค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด