ท่าเรือที่ 14
หลบหน่อยเรือจะแล่น
“แม่คร้าบ เจ้าไปก่อนน้า”
“เอ้า ไปยังไงล่ะลูก”
“เจ้าว่าจะเดินไปครับ”
“แต่เอ้ ทำไมรีบออกไปแต่เช้าขนาดนี้น้า คิคิ”
“อ่า ก็เจ้าจะเดินไปไง เช้านี้อากาศดีม๊าก มาก”
“จ่ะ แม่เชื่อ”
“ที่รักอ่ะ อย่าทำหน้าแซ็วเจ้าสิ”
“แม่เปล่าน้า”
“เจ้าไปดีกว่า”
“เดินดีๆนะเจ้าพระยา แล้วก็อย่าลืมพา ‘
รุ่นพี่คนนั้น’ มาเที่ยวบ้านเราบ้างล่ะ แม่อยากเจอ”
รอยยิ้มทิ้งทายที่แสดงสีหน้าชัดเจนว่าแม่อยากเจอ ‘รุ่นพี่คนนั้น’ จริงๆ
เลี่ยงที่จะให้มาที่บ้านทุกรอบที่เขามาส่ง เพราะผมเลือกที่จะให้จอดหน้าร้านกาแฟตรงหัวมุมแทนที่จะให้เขามาส่งที่หน้าบ้าน คนมาส่งไม่ถามอะไรมากแต่คนที่บ้านผมนี่สิ พอรู้ว่าคนมาส่งไม่ใช่ไอ้ภาคเพื่อนสนิทที่ร่วมผจญภัยในโลกใบใหญ่ตั้งแต่เด็ก แต่กลับเป็นรุ่นพี่ต่างคณะก็เลยขยันสอบปากคำผม หนักกว่าคุณแม่สุดที่รักก็คือน้องสาวสุดแสบนี่แหละ ผมก็ได้บอกคนในบ้านไปแค่ว่า ทางผ่านบ้านพี่เขาพอดี หารู้ไม่ว่า คนร่างสูงนอนคอนโดสุดหรูราคาสะเทือนบัญชีธนาคารผมแถวๆมหาวิทยาลัย เอาเป็นว่า ให้ผมทำความรู้จักเขาให้ดีกว่านี้ก่อน ถึงวันนั้นผมจะพามาให้ครอบครัวผมรู้จักเองแหละน่า
บทสนทนาที่เพิ่งจบไป พร้อมกับตัวผมที่อยู่ในชุดเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีชมพูอ่อนจางๆ กางเกงขาสั้นทรงสบายๆที่เลยเข่าขึ้นมาครึ่งฝ่ามือ รองเท้าผ้าใบแบรนด์ยอดฮิตสีขาว ก็ก้าวออกจากบ้านที่หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ หันหน้าไปยังทิศทางของอาคารยอดพิมานที่หลายคนคงรู้จักกันดี
ผมจะไปไหน?
หลายคนก็คงตั้งคำถามนี้ และบางคนก็คงรู้ล่วงหน้าไปก่อนตัวผมแล้วด้วยซ้ำ ถ้ายังจำบทสนทนาล่าสุดที่เจ้าของใบสั่งบทเพลงสุดท้ายในวันประชาสัมพันธ์ค่ายจิตอาสาของพวกปี 1 คณะวิศวะฯ ได้ดี
ที่พี่เกียร์ชวนผมไปเดท
ฮึ่ย
แค่ทวนคำๆนั้นอุณหภูมิบนใบหน้าก็สูงขึ้นมาซะดื้อๆ
เหตุการณ์ในวันนั้นหลังจากที่ผมได้รับข้อความสั้นๆจากคนตัวสูง ผมก็ไม่ได้ส่งข้อความตกลงหรือปฏิเสธอะไรไป มีเพียงรอยยิ้มกว้างมากกับแววตาที่เอาแต่จ้องโทรศัพท์ในมือไม่หยุด การเงยหน้าแล้วหันไปสบตาเจ้าของข้อความที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเดิมด้านหลังก็คงเป็นอะไรที่คิดผิด เพราะสายตาคมที่นัยน์ตาติดดุจ้องมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว แววตาที่แสดงชัดถึงเจตนาว่าจริงจังกับคำชวนนั้น แล้วสีหน้าที่ผมแสดงออกไปโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันมีความหมายแบบไหน ถึงทำให้พี่เกียร์ยิ้มกว้างขนาดนั้น แล้วสรุปว่าผมก็ไม่ได้ตอบข้อความอะไรไปจริงๆ และนึกว่าวันต่อมารุ่นพี่ต่างคณะจะมาเค้นเอาคำตอบ แต่เปล่าเลย พี่เกียร์ไม่ได้มารอผมซ้อมหลีด ยิ่งไปกว่านั้นคือแทบไม่ได้เจอหน้า ข้อความที่ส่งมาก็มีแต่ถามว่า
‘กินข้าวยัง?’
‘วันนี้ซ้อมหรือเปล่า’
แค่นี้จริงๆ
ตอนแรกก็ว่าจะถามว่าเป็นอะไร แต่ก็ได้คำตอบจากไอ้ภาคว่า พี่เกียร์ติดทำโปรเจ็คต์ของปี 3 เห็นว่ายากมาก ฝากให้มันมารับผมไปส่งที่บ้าน ทั้งๆที่ผมก็ยืนกรานว่าจะกลับเอง พี่นะพี่ ทำเหมือนผมเป็นเด็กต้องมีผู้ปกครองมาคอยรับส่งตลอดเวลาอยู่ได้ แต่คำตอบที่หลุดมาจากไอ้ภาคก็ทำผมเงียบกริบ
‘เอาสิ ถ้ามึงอยากเห็นพี่เกียร์หัวร้อนไม่เป็นอันทำงาน แล้วเหาะมารับมึงแทน’
แค่นั้นแหละ
ตกอยู่ในสภาพจำยอม แต่ไม่จำใจเลยกู
ห่วงขนาดนี้นี่ รุ่นพี่ หรือ พ่อ
พอเมื่อวานตอนเย็นคนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบสี่วันก็เดินล้วงกระเป๋ามาตรงที่ผมซ้อมหลีด ไม่ใช่แค่ทำลายสมาธิผม เพราะทั้งรุ่นพี่ ทั้งเพื่อนรอบข้างต่างหยุดซ้อมแล้วหันไปทางเดียวกับผม ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไง คนบ้าอะไร ถึงขอบตาจะคล้ำเป็นญาติกับหลินปิงยังไง ออร่าความเป็นหนุ่มฮ็อตประจำมหาลัยก็ยังพุ่งชนเพดานอยู่ดี แล้วยิ่งตอนนี้คือ ผมทรงใหม่ ไม่สิ สีใหม่ด้วย จากผมสีดำเข้มรับกับนัยน์ตาดุ ตอนนี้กลายเป็นสีเทาเข้ม ไม่ได้สว่างจนสะดุดตาแต่ถ้าเผลอจ้องลมหายใจก็สะดุดเหมือนกันอ่ะ โหย อิจฉา!! ไหนว่างานเยอะ เอาเวลาที่ไหนไปทำเนี่ย
จากที่หล่ออยู่แล้ว ยอมรับเลยว่าตอนนี้
หล่อฉิบหาย!!
เมื่อถึงเวลาเลิกซ้อม พี่เขาก็ไม่พูดอะไร มีเพียงขวดน้ำเย็นที่ยื่นมาพร้อมกับหยิบกระเป๋าผมไปสะพายแล้วเดินนำไปยังลานจอดรถ เส้นทางที่คุ้นเคยที่เดินตามหลังแบบนี้มาเป็นเดือน ไอ้ขานี่ก็ใจง่ายเดินตามไปเฉยๆทั้งที่ผมควรจะอ้าปากถามถึงสิ่งที่สงสัยมาหลายวัน
สรุปพรุ่งนี้กูต้องไปเดทอยู่ไหม?
คำตอบของคำถามบรรทัดบนที่คิดว่าคงไม่ได้ถาม แต่ก็ได้รับเมื่อรถมาจอดอยู่ตรงหน้าร้านกาแฟตรงหัวมุมร้านเดิม
‘พรุ่งนี้จะให้มารับกี่โมง?’
‘ห๊ะ?’ อึ้งไปสามวิ เอ้า นึกจะพูดก็พูด
‘สัก 8 โมงเช้ามั้ย?’
‘เดี๋ยว ๆ อ่า ก็ได้ แต่ไม่ต้องมารับผมหรอก เจอกันที่ยอดพิมานเลย พี่เอารถไปจอดนั่นแหละ’ จากตอนแรกจะถามแทรกอะไรไปก่อน แต่แววตาที่มองมาเจือคำถามว่า จะเดี๋ยวอะไรอีกไอ้เตี้ย
ก็ไหลตามน้ำไปแล้วกัน
‘หืม เอารถไปจอด แล้วจะไปไหน ยังไง’ พี่เกียร์ถามด้วยความสงสัย ส่วนผมที่อยู่ดีๆอะไรบางอย่างก็แล่นมาในหัวถึงได้บอกให้พี่เกียร์ไปเจอกันที่ยอดพิมาน
เพราะอะไรน่ะหรือ?
เพราะผมจะพาเขาเปิดประสบการณ์ใหม่ตามแบบฉบับเด็กที่โตมาริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ในเช้าวันเสาร์เวลาเกือบจะแปดโมงเช้านี้ ผมเลยเดินรับแสงแดดอ่อนๆจากบ้านเพื่อไปยอดพิมาน แต่ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวอาคาร แต่เป็นท่าเรือต่างหาก ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีผมก็เดินมาถึงจุดที่นัดหมายก่อนเวลานิดหน่อย แซนวิสกับนมอุ่นก็เป็นอาหารเช้ารองท้องอย่างดีที่ไม่ทำให้ผมรู้สึกหิวเมื่อต้องใช้พลังงานในการเดินเท้า
RrrrrrrRrrrrrrr แรงสั่นของเครื่องมือสารในกระเป๋าเสื้อฮู้ดสะเทือนขึ้นระหว่างที่ผมนั่งบนม้านั่งริมระเบียงที่ยื่นออกไปเป็นท่าเรือทำให้รู้สึกตัว ล้วงมือเข้าไปหยิบขึ้นมาดูชื่อผู้มีความประสงค์จะติดต่อกับผม
อ่า คงถึงแล้ว
ติ๊ด “อาฮะ”
(อยู่ตรงไหน?)
“พี่มาถึงแล้วหรือ” ถามคำถามโง่ๆอีกแล้วกู
(อืม)
“ผมนั่งอยู่ตรงทางออกท่าเรือ N6/1 อ่ะพี่” เอ่ยบอกตำแหน่งตัวเองกับคนปลายสาย
(หือ? โอเค กำลังเดินไป) ถึงแม้จะมีเสียงอุทานด้วยความสงสัยแต่คนร่างสูงก็เลือกที่จะยังไม่ถามผ่านโทรศัพท์
สัญญาณโทรศัพท์ตัดไปแล้ว ผมเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อฮู้ดเช่นเดิม พร้อมกับสายตาทอดมองไปยังสายน้ำด้านหน้า เรือเล็กแบบเช่าเหมาลำที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยวยามเช้าแล่นผ่านหน้าไป กลิ่นน้ำ กลิ่นควันของเครื่องยนต์เรือจางๆลอยเข้ามาปะทะจมูก แต่ก็ไม่ได้เห็นจนต้องยกมือมาปิดป้องอะไร กลับทำให้รู้สึกดีตามแบบที่คุ้นเคย
แปะ “อ๊ะ”
สัมผัสหนักบนศีรษะทำให้ผมต้องหันมองตามแล้วก็พบกับรอยยิ้มของรุ่นพี่ต่างคณะ
“รอนานหรือยัง?” เสียงทุ้มเอ่ยถามโดยที่ยังไม่เอามือออกจากหัวผม
ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ถึงก่อนพี่แปบเดียวเอง”
“เอ๋อ แล้วทำไมถึงนัดที่นี่” หัวคิ้วเจ้าของคำถามกระตุกชนกันนิดหน่อยประกอบความสงสัย
“อิอิ ก็ไปเที่ยวไง”
“หือ? ไปเที่ยว? แล้วให้กูเอารถมาจอดที่นี่ทำไม” เดือนคณะวิศวะฯปี 3 เอ่ยถามพร้อมทั้งพาตัวเองนั่งลงตรงที่ว่างข้างผม
“ก็ที่ที่เราจะไปไม่จำเป็นต้องใช้รถราคาหลายล้านของพี่หรอก”
“จะไปไหน?” พี่เกียร์ถามเสียงต่ำ ส่งสายตาไม่ไว้ใจมาให้คนคิดแผนการเที่ยวแบบไม่ปรึกษา
“เชื่อสิว่าพี่ต้องสนุก เพราะผม...จะพาพี่ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา” เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้างแบบที่ภูมิใจนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวสำหรับวันนี้
คนที่มีความสงสัยอยู่เต็มหัวได้แต่ทำหน้านิ่งมองผมที่ลอยหน้าลอยตายิ้มตาหยี จนตัวผมเองที่มัวแต่โม้ยิ้มค้างกลางอากาศ เอ๊ะ หรือพี่มันจะไม่โอเควะ
“เอ่อ พี่เกียร์ พี่ไปเที่ยวแบบนี้ได้ปะ ผมก็ลืมถาม” คือคุณชายเขาจะชินกับการเดินห้าง เที่ยวหรูๆมั้ย
“แล้วทำไมคิดว่ากูจะไปไม่ได้”
“เอ้า ก็แบบลุคคุณชายแบบพี่ไง ไปเที่ยวแบบนี้ไม่เย็นเหมือนเดินตากแอร์ในห้างนะ”
“หึ แล้วคิดว่าว่าที่วิศวกรโยธาอย่างกู ทำงานในห้องแอร์หรอเอ๋อ” คนข้างๆตอบมาเสียงเรียบแถวยกมือใหญ่มาโคลงหัวผม
“ก็คิดว่าไม่ชอบไปที่ร้อนๆคนเยอะๆ”
“
ที่ไหนมีมึง กูก็ชอบทั้งนั้นแหละ”
ขวับ ...ฉ่า... ถ้าหันไปแล้วเจอรอยยิ้มแบบนี้ กูยอมมุดเข้าฮู้ดว้อย
ปรี๊ดดดดดดดดดด “ปลายทางท่าน้ำนนท์คร้าบ เตรียมตัวคร้าบ หลบผู้โดยสายลงท่าก่อนคร้าบ” “อ่ะ” เสียงนกหวีดของพนักงานท้ายเรือ บวกกับเสียงบอกจุดหมายปลายทางของเรือโดยสารเจ้าพระยา ทำให้ได้สติจากอาการตกใจค้างในคำพูดของคนเจ้าเล่ห์ พอหันไปมองธงที่ปักอยู่ท้ายเรือก็ทำให้รู้ได้ว่า เรือสายที่รอคอยเข้าเทียบท่าแล้ว
“ไปพี่ ลุกเร็ว เรือมาแล้ว”
“ห๊ะ!”
ไม่ทันให้พี่เกียร์ตกใจ ผมก็คว้าข้อมือใหญ่ที่กำไม่รอบฉุดให้ลุกขึ้นแล้ววิ่งตามไปยังท่าเรือตรงหน้า ยังดีที่อยู่ในช่วงกำลังรอคนบนเรือลงท่านี้พอดี พอได้สัญญาณจากคนที่ยืนรอข้างหน้าก้าวขึ้นไปบนเรือโดยสารคนด้านหลังก็ก้าวตามขึ้นไปจนมาถึงผมกับพี่เกียร์ที่ต้องก้าวตาม ข้อมือของคนตัวสูงที่ผมจับอยู่ๆก็บิดออกจากสัมผัสมือผมให้รู้สึกหวิวเบาๆ แต่ความรู้สึกนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นฟองฟูลอยเต็มหัวใจเมื่อฝ่ามือใหญ่จับที่ข้อมือผมจนกำได้รอบ แล้วก้าวเดินไปยืนอยู่ด้านหน้าของผม การกระทำที่เราไม่แม้แต่จะหันมาสบตากันมีเพียงผมที่มองผ่านลาดไหล่กว้างไป เห็นปลายคางที่วันนี้เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา
ผมสารภาพเลยตรงนี้ ว่าอบอุ่นกว่าแสงแดดแปดโมงที่โลมเลีย ก็พี่เกียร์นี่แหละ
พาก้าวมาบนตัวเรือโดยสาร พี่เกียร์ที่วันนี้มาในชุดเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีเทาเข้ม เหน็บด้วยแว่นกันแดดทรงสวย กางเกงยีนส์ขาดเข่าเล็กน้อย รองเท้าผ้าใบแบรนด์เดียวกับผมแต่คนละรุ่น เพราะรุ่นที่พี่เกียร์ใส่มันแพงมาก ทรงผมสีใหม่ที่ถูกเซ็ทลวกๆแบบที่ด้านหน้ายังหล่นมาปกคิ้วบ้าง ก็เดินนำเข้าไปข้างใน การแต่งตัวแบบผู้ชายทั่วไป แต่สำหรับพี่เกียร์มันยิ่งทำให้ทั้งหน้าทั้งหุ่นเขาดูน่าสนใจ ทำไมยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกว่าพี่เกียร์โคตรหล่อเลยวะ หมั่นไส้!
เช้าๆวันเสาร์แบบนี้ถึงจะมีนักท่องเที่ยวเยอะแต่ก็ยังมีที่นั่งว่างอยู่ พี่เกียร์ดันตัวผมให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ด้านในชิดกราบเรือ โดยที่ตัวเองก็นั่งติดช่องว่างกลางเรือ ไอ้ผมก็ไม่อะไรแต่ตอนนี้นั่งแล้วไง ทำไมไม่ปล่อยมือ
พี่เกียร์หน้ามึนจับมือผมบ่อยนะ แต่วันนี้มันแปลกๆอ่า
“เอ่อ พี่”
“หือ?”
“เอ่อ...” ผมปรายตามองมือตัวเองที่ถูกคนตัวสูงกำข้อมือไว้เหมือนเดิม แถมเอาไปวางไว้บนหน้าขาตัวเองอีก
มันใช่ไหมเนี่ยยยย
“ฮึ อะไรเตี้ย” ยัง ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก รู้นะว่ารู้ตัวอ่ะ
“เอ๊ะ พี่นี่”
“หึหึ จับไว้แหละดีแล้ว เดี๋ยวปลาทองแถวนี้จะโดดลงไปเล่นน้ำ” ประโยคหยอกล้อที่หน้าตาคนพูดก็ล้อเลียนผม
“นี่พี่เกียร์ ผมเป็นคน ไม่ใช่ปลาทอง”
“โอ๊ย! ต่อยทำไม เดี๋ยวจะโดน” คนตัวสูงยกแขนที่ว่างอีกข้างกุมที่ต้นแขนข้างที่ถูกผมปล่อยหมัดไปกระแทก ไม่แรงแต่ก็มีปวดหนึบๆล่ะวะ
“เฮอะ สมน้ำหน้า ต่อยแค่นี้ทำสำออย” หันไปแลบลิ้นปิดท้ายประโยคใส่คนข้างๆ
“นั่งนิ่งๆไปเลย” เสียงเรียบนิ่งว่าตามนั้นแต่มือที่เหมือนคีมเหล็กก็ไม่ปล่อยออกจากข้อมือผมอยู่ดี เออ แล้วแต่เลยแล้วกัน จับให้ตลอดนะ ฮึ่ยยย
“พี่เกียร์ ผมถามอะไรหน่อยดิ”
“ว่า?” ตอบรับนะ แต่ตามองไปริมแม่น้ำนู่น
“ทำไมหลายวันที่ผ่านมาพี่ไม่เห็นถามผมเลยอ่ะ ว่าตกลงจะมากับพี่หรือเปล่า?” คำถามที่คาใจอยู่หลายวันหลุดออกจากปากผมจนได้
“ไม่อ่ะ”
“ทำไม?” ผมคิ้วชนกันกว่าเดิมกับคำตอบที่ได้รับ อะไรของพี่มันวะ
“เดี๋ยวมึงปฏิเสธ”
“ห๊ะ!”
...ก็คิดได้เนอะ...
“ตกใจไรเตี้ย แล้วนี่จะพากูไปไหน?” คนนัยน์ตาคมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง ไม่สนที่จะอธิบายสิ่งที่ผมสงสัยไปมากกว่านี้
“ก็ไปเที่ยวไง พี่คงเที่ยวห้าง เที่ยวผับ เที่ยวบาร์มาเยอะแล้ว ไปวัดทำบุญ ตะลุยหาของกินอร่อยๆดีกว่า” ร่ายยาวให้คนตัวสูงฟัง
“ฮึ ไม่พ้นเรื่องกิน”
“เฮ้ย พี่อย่าดูถูกนะ ขนมที่วังหลังโคตรรอร่อย แต่ก่อนไปถึงวังหลังเดี๋ยวเราแวะวัดอรุณฯก่อน เคยไปปะ”
“ไม่เคย”
“ดีเลย งั้นเดี๋ยวผมพาไป แล้วที่นี้เราก็จะข้ามฟากไปวัดโพธิ์ แล้วก็เดินไปท่ามหาราช ต่อด้วยข้ามฟากอีกทีไปวังหลัง หาอะไรกินแล้วก็เดินไปให้อาหารปลาที่วัดระฆัง แล้ว แล้วไปไหนอีกดีนะ” ท้ายประโยคยาวเหยียดผมพึมพำกับตัวเอง โดยลืมสงสัยไปว่าคนข้างตัวเอาแต่เงียบ
พอเงยหน้าหันไปมองก็สบตากับรุ่นพี่มองมาพร้อมกับรอยยิ้มที่บ่งบอกว่ากำลัง...เอ็นดู
“ยิ้มอะไรเนี่ย”
“ทริปนี้นอกจากกูจะอิ่มท้องแล้ว คงอิ่มบุญด้วยสินะ ฮ่าๆ”
“แน่นอน เอ๊ะ หรือว่าพี่เข้าวัดไม่ได้ ร้อนหรอ? คิกคิก โอ๊ย นี่หน้าผากคนนะไม่ใช่ลูกแก้ว ดีดอยู่ได้” ผมยกมือข้างที่ว่างลูบหน้าผากป้อยๆ
“หมั่นไส้”
“ไม่ได้เข้าวัดนานล่ะสิ”
“รู้ดี”
“แน่นอน มองหน้าพี่ก็รู้ละ คนใจบาปที่แท้จริง”
“ถ้ายังไม่หยุดแซะกู กูจะทำบาปกับมึงตอนนี้เลยเตี้ย”
“อะไร พี่จะทำอะไรผม ทำบาปเยอะเดี๋ยวทำบุญล้างไม่หมดนะ ฮ่าๆ”
กึก อุ๊บ! ผมรีบหุบปากฉับแถมยกมือมาปิดปากทันทีทันใด เพราะอยู่ดีๆพี่เกียร์ก็โน้มหน้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ระยะห่างใบหน้าตอนนี้ใกล้แค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ใกล้กว่าที่ระยะโฟกัสของตาผมจะทำงานได้ดี พอตั้งตัวได้ผมก็เบนหน้าหนีไปอีกที พร้อมกับยกมือดันหน้าคนเจ้าเล่ห์ให้ออกห่าง
ระยะนี้โคตรอันตราย
คนเต็มเรือไม่ได้ช่วยให้ไอ้พี่เกียร์มีความอายเลยสักนิด แม่ง
“เอาหน้าออกไปไกลๆเลย “
“หึ นึกว่าจะเก่ง”
“เก่งสิ ผมอ่ะคนเก่ง”
“งั้นคนเก่งช่วยควบคุมหน้ากับหูตัวเองไม่ให้แดงก่อนสิ ยังไม่ทันเข้าวัดก็ร้อนจนแดงไปหมดทั้งหน้าแล้ว”
ฟึ่บ “อะ..ไอ้พี่...ว้อยยย” ผมยกมือข้างเดียวที่เหลือกุมหน้ากุมแก้มตัวเอง หันหน้าออกไปมองวิวริมฝั่งแม่น้ำหลบวิวที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของเจ้าเล่ห์ข้างตัว ยังไม่ทันจะไปถึงไหน จะแกล้งอะไรพร่ำเพรื่อขนาดนี้เนี่ย กว่าจะเที่ยวครบทุกที่ผมไม่เหนื่อยตายกันหรือไง ไม่ได้เดินจนเหนื่อยนะ แต่ใจเต้นแรงจนเหนื่อยเนี่ย
เรือธงส้มพาเราทั้งสองคนล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยามาเรื่อยๆจนมาหยุดที่ท่าเรือที่ผมตั้งใจจะลง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แรกของทริปนี้ ทริปที่พี่เกียร์เรียกมันว่า เดท
พระปรางค์องค์ใหญ่สีขาวนวลตาตั้งตระหง่านอยู่กลางวัด เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกนักท่องเที่ยวได้ดีว่าถึงวัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหารเรียบร้อยแล้ว เมื่อก้าวเหยียบท่าเรือก็ออกเดินตามนักท่องเที่ยงทั้งไทยและเทศที่ลงมาหวังจะเยี่ยมชมความงดงามของพระปรางค์ และรูปปั้นยักษ์ที่เป็นต้นกำเนิดท่าเตียนอย่างยักษ์วัดแจ้ง พี่เกียร์ปล่อยมือจากข้อมือผมแต่เอาตัวเองมาเดินซ้อนไหล่แทน กลิ่นอาฟเตอร์เชฟประจำตัวลอยเตะจมูกทำให้รู้ว่าเจ้าของกลิ่นไม่ได้เดินทิ้งห่างผมแน่ๆ พอเดินเข้ามาในลานวัดก็ทำให้กวาดตามองเห็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญในประวัติศาสตร์ไทยที่ยังคงความงดงามตามอารยธรรมโบราณอยู่
พอเห็นแบบนี้ก็เริ่มกังวลว่าทริปที่ผมคิดขึ้นมาไม่ปรึกษาจะสร้างความหงุดหงิดให้คนที่มาด้วยหรือเปล่า เพราะพี่แกเล่นเงียบตั้งแต่ลงจากเรือ เลยตัดสินใจหันกลับไปสังเกตสีหน้าว่าทำหน้ายังไงอยู่ พาคนแบบพี่เกียร์มาวัด รู้ถึงหูไอ้ภาคมันคงด่าว่าเอาปลายนิ้วก้อยเท้าคิดแล้วใช่ไหม
“เอ่อ พี่ คือ...”
“มีอะไร?” ปากถามแต่ตาไม่มองผมอีกละ
“คือว่า..”
“เตี้ย นั่นยักษ์วัดแจ้งในตำนานปะ เหมือนจำได้ว่าเคยเรียนตอนมัธยม”
“หื้อ อ่า ใช่ๆ ที่ตีกับยักษ์วัดโพธิ์เรื่องยืมเงินแล้วไม่คืน ตีกันจนแถวนี้ราบเป็นหน้ากลองเขาเลยเรียกว่าท่าเตียน” เอ่ยอธิบายประวัติคร่าวเท่าที่จำได้
“ฮ่าๆ เรื่องยืมเงินแล้วไม่คืนนี้ทำคนทะเลาะกันไม่เว้นแม้แต่ยักษ์ในตำนานเลยเนอะ” คนตัวสูงเอ่ยออกมาพร้อมกับยกโทรศัพท์เครื่องหรูออกมาถ่ายรูปยักษ์วัดแจ้งที่เป็นรูปปั้นตั้งตระหง่านเฝ้าหน้าประตูวัด การกระทำที่ทำให้ผมยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว
“พี่จะไม่เบื่อแน่นะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามออกไป แต่ก็หลุดปากออกไปแล้วแหละ
“เออน่า คิดมากนะเอ๋อ ไปๆ ยืนข้างยักษ์หน่อย” ไม่พูดเปล่าแต่ใช่แขนแข็งแรงพาดไหล่แล้วออกแล้วพาผมไปใกล้กับรูปปั้นยักษ์
“เห้ย ให้ผมยืนทำไม”
“นิ่งๆดิ”
แชะ!! ครับ ไอ้พี่บ้าพาผมมายืนข้างยักษ์ แล้วก็จัดการถ่ายรูปผมกับยักษ์วัดแจ้ง
“เดี๋ยวๆ เอามาดูหน่อย จะถ่ายทำไมไม่นับ ยังไม่ได้ยิ้มเลย” ผมรีบวิ่งมาตั้งท่าจะคว้าขอดูรูปในโทรศัพท์
“หน้ามึงบึ้งกว่ารูปปั้นยักษ์อีก ฮ่าๆ”
“เห้ยพี่ ไหนดูดิ โอ้ยยยย ลบเลยนะ น่าเกลียดอ่ะ ถ่ายใหม่ก็ได้แต่ขอยิ้มดีๆก่อนดิ” พอเห็นรูปผมก็โวยวาย หน้ายู่ปากยื่น
“ฮ่าๆ น่าเกลียดตรงไหน”
“ก็ตรงที่หน้าบึ้งเหมือนยักษ์เนี่ย”
“น่ารักจะตาย ฮ่าๆ”
“...”
“ไปๆ ยืนอึ้งอะไร เป็นไกด์นำเที่ยวยังไงฮะ ไหนพาไปตรงนั้นหน่อยสิ” คนตัวสูงว่าพร้อมกับใช้สองมือจับไหล่ผมด้านหลังแล้วออกแรงดันให้เดินนำหน้า แล้วพี่เกียร์ก็เปลี่ยนท่าทางแบบที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าโอบไหล่อยู่
และมองจากดาวพลูโตก็รู้ว่าเจ้าของไหล่อย่างผมก็ยินดีให้เป็นแบบนี้
ผมเดินนำพี่เกียร์มาที่พระปรางค์องค์ใหญ่ ซึ่งพอพ้นเข้ามาในรั้วขององค์พระปรางค์พี่เกียร์ก็เอาแขนที่พาดไหล่ลงข้างตัว เดินข้างกันเงียบๆ ตาก็มองไปยังความงดงามและยิ่งใหญ่ของพระปรางค์องค์นี้ มีหยุดถ่ายรูปบ้าง คุยกันถึงความสวยงามบ้าง แดดตอนสายที่เริ่มจะร้อนแสบผิวขึ้นมาบ้าง ผมที่ใส่เสื้อแขนยาวอ่ะไม่เท่าไหร่ แต่คนตัวสูงนี่สิ เสื้อแขนสั้นแล้วยังบางอีก
“ร้อนปะ?”
“ถามถึงอากาศหรือจะแซ็ว” คนถามหรี่ตามองผมอย่างจับผิด แหม แซ็วครั้งเดียวทำระแวงไปได้
“อากาศสิ แดดเริ่มร้อนแล้วเนี่ย”
“ทำไม มึงร้อนหรอ งั้นเข้าร่มปะ” ไม่พูดเปล่าแต่พี่แกรีบพาผมมาเดินมาตรงศาลาริมน้ำที่มีไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวนักพัก
“จริงๆผมถามเพราะกลัวพี่ร้อนต่างหาก ดูดิ เหงื่อท่วมเลย”
“งั้นเช็ดให้หน่อย” เดี๋ยวๆ ยื่นหน้ามางี้เลยหรอ
“เอ้า เช็ดเองดิ”
“เร็วๆเอ๋อ” ยัง ยังไม่เลิกจ้องหน้าอีก นี่มันในวัดในวานะพี่
“เออๆ” ตอบรับพร้อมเอาแขนเสื้อของตัวเองนี่แหละยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าและไรผมให้คนเจ้าเล่ห์ ที่ทำหน้าพริ้มเหลือเกิน
“ขอบคุณ...ครับ”
...จะครับทำม้ายยยย...
“หึ่ย ไม่ต้องมาครับ ตอนเช้าพี่กินอะไรมาเนี่ย ทำไมพูดมากจัง” สิ่งที่อยู่ในความคิดผมตั้งแต่อยู่บนเรือแล้วครับ วันนี้พี่เกียร์พูดเยอะกว่าปกติมากๆ
“ไม่ดีหรือไง” คนตรงหน้าที่ยืดตัวกลับไปยืนเหมือนเดิมถามกลับมา
“มันก็ดี ผมแค่แปลกใจเฉยๆ”
“นอกจากเป็นปลาทองเอ๋อแล้ว ยังเป็นปลาทองขี้สงสัยอีกนะ”
“ปลาทองอะไรเล่า!! นี่คนโว้ย”
“ฮ่าๆ นี่ไงปลาทอง ทำแกล้งพองลมเป็นปลาทองพ่นน้ำอีกละ”
“หยุดล้อเลยนะ!!” เถียงไม่ชนะผมก็ได้แต่หมุนตัวเดินออกมาทางท่าเรือ ไม่ทำบุญวัดนี้ละ เดี๋ยวค่อยไปทำที่วัดระฆังก็แล้วกัน
พี่เกียร์เดินตามผมออกมายังท่าเรือเพื่อนั่งเรือข้ามฟากไปอีกวัดที่มีรูปปั้นยักษ์ที่เป็นคู่อริกับยักษ์วัดแจ้งอย่างยักษ์วัดโพธิ์ แวะไปสักการะพระพุทธไสยาสน์ เป็นพระนอนองค์ใหญ่ที่แม่เคยมาพามาไหว้เมื่อนานมาแล้วสักหน่อย คือผมเกิดวันอังคารไงแล้วพระพุทธรูปประจำวันเกิดก็ปางไสยาสน์นี่แหละครับ รอเรือข้ามฟากอยู่ไม่นานก็ได้ขึ้นเรือโดยที่ค่าเรือทั้งตอนแรกและตอนนี้พี่เกียร์ก็ตัดหน้าจ่ายแทนผมทั้งหมด รั้นไปก็เท่านั้น ดีเหมือนกันค่าขนมผมเหลือเพียบ มากพอที่จะให้ไปถล่มร้านขนมที่วังหลัง
ต่อด้านล่าง