❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09  (อ่าน 79192 ครั้ง)

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ใจอ่อนแทนเจ้าเลยอ่ะ พี่เกียร์คืองานดีจิงๆ >\\\\<

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชื่อตอนน่าจะเป็นอาการเหมือนคนเมารักมากกว่านะอิอิ
รอตอนต่อไปไม่ไหวล๊าวววว คนเขียนมาต่อไวไวนร๊าา :call: :-[

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
พี่เกียร์ขี้หึง ขี้หวงมากกกกกกก แต่น้องเจ้าชอบ อิอิ กำลังรอใจอ่อนอยู่ ไม่ใช่ใจอ่อนแล้วหราจ๊ะน้องเจ้า เป็นแฟนกันเร็วๆน้า o18

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
พี่ไนซ์ถอยทัพเถอะ เจ้าของน้องเจ้าหวงแรงมากกกกก
อยากให้อินออกจากบ้านคุณป้าปากปลาร้าจัง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ไปค่ะ บุกบ้านป้าพาอินออกมากัน!!! 5555


ถ้านี่เป็นพี่ไนซ์ไม่กล้ารุกต่อตั้งนานละนะ
นี่ยังจะกล้าารุกต่ออีกกก
พี่เกียร์คือแพ้ทางน้องเจ้าของจริงอะ
น้องอ้อนนิดหน่อยนี่ก้ยอมทุกอย่างแล้ว
หัวร้อนอยู่น้องพูดอ้อนปุ้บยิ้มกว้างปั๊บบเลย
รอค่าา

ก็บอกแล้วว่าอิพี่เกี่ยร์เนี่ย คนหลงเมีย แค่กๆ คนหลงน้องที่แท้จริง ฮ่าๆๆๆ ส่วนพี่ไนซ์ แหะๆ ก็เจ้ามันน่ารัก พี่ไนซ์ขอไฟว้หน่อย


อ้าวๆ.........มีคนมาหลงเสน่ห์เจ้าอีกคนแล้ว
ภาค หวงเจ้า แทนพี่เกียร์ด้วย

พี่ไนซ์นี่ยังไง เขารู้กันว่าพี่เกียร์จีบเจ้าอยู่
พี่ไนซ์ยังกล้ามาแข่งจีบอีก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ก็คุณภาคภูมิเขาเป็นพ่อลูกสอง หวงเจ้ายิ่งกว่าลูกเด้อ 55555
ความน่ารักของเจ้ามันกระแทกใจ พี่ไนซ์ขอลงสนามแข่งหน่อยยยยยย หึหึ


ยาวจุใจมากค่ะ
รอน้องเจ้าใจอ่อนนี่คือ หลังสอบเสร็จใช่ป่าวน้องเจ้า

ก็ขึ้นอยู่กับสกิลพี่มันนะ ฮ่าๆๆ


น่ารักจังเลย พี่เกียร์กับน้องเจ้านี่ช่างเหมาะกันจริง ๆ  :m1:
คนจีบ ก็จีบตรง ๆ เปิดเผย ประกาศไปทั่ว ส่วนคนโดนจีบ พอหวั่นไหว ใจอ่อน ก็ยอมรับง่าย ๆ เลยอ่ะ น่ารัก
ส่วนคู่พี่พีน้องอิน ก็เหมือนจีบกันแบบเงียบ ๆ อ่ะ ไม่พูดอะไรกัน แต่เหมือนความสัมพันธ์คืบหน้าไปเรื่อย ๆ
นี่ก็ยังไม่เลิกลุ้นคู่พี่มายด์น้องภาคน้า จับคู่กันได้เป็นคู่รักคู่ฮาบันเทิงแน่ ๆ
พี่ไนซ์ ให้ความรู้สึกน่ากลัวยังไงไม่รู้อ่ะ เอาเบอร์น้องมาได้ยังไง ไปไหนก็เจออยู่เรื่อย สตอล์กเกอร์หรือเปล่า
พี่เกียร์ต้องคอยดูน้องให้ดี ๆ เลยนะ เสียวพี่ไนซ์จะทำอะไรน้องเจ้ามากเลยเนี่ย
รอตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณคนเขียนจ้า  :กอด1:

งู้ยยยย ความขอบคุณที่ติดตามน้องภาคพี่มายนะ ฮ่าๆๆ เอาจริงหรอจะให้นางคู่กัน เรากลัวมันทะเลาะกันเรื่องแย่งมุก ฮ่าๆๆ ส่วนคู่เกียร์เจ้า แค่ทำใจลืมตอนไม่เจอก็ยากแล้ว เรื่องอะไรพี่มันจะยอมทำความรักให้ยาก อิอิ


:katai2-1:


ใจอ่อนนี่ต้องพยายามด้วย

เจ้าไม่ง่ายนะฮะ ถึงแม้ใจจะโคลงเคลงเป็นเรือด่วนเจ้าพระยาไปแล้วก็ตาม 5555555555555555


ใจอ่อนแทนเจ้าเลยอ่ะ พี่เกียร์คืองานดีจิงๆ >\\\\<

ตั้ง #ทีมเมียพี่เกียร์ เลยค่ะ จะไปอยู่ด้วย!!! //โดนน้องเจ้าถีบ!! 5555555


ชื่อตอนน่าจะเป็นอาการเหมือนคนเมารักมากกว่านะอิอิ
รอตอนต่อไปไม่ไหวล๊าวววว คนเขียนมาต่อไวไวนร๊าา :call: :-[

ขอบคุณที่ติดตามค่าาาาา ใกล้จะมาต่อแล้วววว ><


พี่เกียร์ขี้หึง ขี้หวงมากกกกกกก แต่น้องเจ้าชอบ อิอิ กำลังรอใจอ่อนอยู่ ไม่ใช่ใจอ่อนแล้วหราจ๊ะน้องเจ้า เป็นแฟนกันเร็วๆน้า o18

เจ้าไม่ง่าย!!! 555555555 แต่ใจเป๋ไปแล้วววว



ขอบคุณทุกการติดตาม พบกันตอนหน้านะเจ้าคะ ทักทายกันได้ที่ #เจ้าพระยาที่รัก เด้ออออ

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
จีบสไตล์พี่เกียร์น่ารักดี เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด
น้องเจ้าก็น่ารักไป๊ ใจอ่อนแล้ว ขอเป็นแฟนเลยลวกเพี่ย
ปล สงสารน้องอินมาก อยากให้ย้ายออก
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 11

รอยยิ้มของคนหน้าดุ

( P x Inn )









   ตู๊ดดดดดด…...ตู๊ดดดดดด…..


   (ฮัลโหลว่าไงอิน)

   “กูถึงบ้านแล้วนะ”

   (โอเค ดีแล้วๆ พักผ่อนไปมึง พรุ่งนี้เจอกัน ว่าแต่ไปอ่าน-)

   “เจ้า กู...กูคงไม่ได้ไปอ่านหนังสือด้วยนะ”

   (อ่าว ไมวะ)

   “วันนี้กูกลับมาเจอเขาพอดี แจ็คพล๊อตแตกเลยว่ะ เหอะๆ” ผมตอบปลายสายไปด้วยประโยคที่คิดว่ามันจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น แต่จากเสียงหัวเราะตัวเองและมันแผ่วเกินใจจะรับไหว

   (เห้อ กรรมของเวรมึงจริงๆว่ะอิน มึงทำอะไรผิดวะ)

   “ก็คงเป็นกรรมของกูแหละ เอาน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกูอ่านอยู่บ้านนี่แหละ วันจันทร์ค่อยไปอ่านด้วยกันที่มอ” เสนอทางเลือกที่คิดว่ามันดีสุดๆละ

   (เอางั้นหรอวะ แล้วตอนนี้มึงโอเคมั้ย)  เสียงปลายสายของเพื่อนสนิทที่ผมฟังแล้วน้ำตาที่มันไหลท่วมใจก็แทบจะทะลักล้นออกมาจากดวงตา ผมรู้ว่าไอ้เจ้ามันห่วงผมมาก

   “โอเคแล้ว เล่นกับมอคค่า ลาเต้ กูก็หายแล้ว ไว้ไงค่อยคุยกันนะ” ถือโอกาสรีบตัดบท เพราะผมโกหกมันออกไปว่าผมโอเค ทั้งที่จริงๆแล้ว...ไม่เลยสักนิด

   (โอเคๆ ฝันดีมึง)
   
   “อื้ม ฝันดีว่ะ”

   ติ๊ด!



   มือที่กดวางสายจากเพื่อนสนิทยิ้มง่ายก็พลันอ่อนแรงจนปล่อยโทรศัพท์ร่วงหล่นบนที่นอน พร้อมกับร่างกายที่ฝืนยืนไม่ไหว สภาพผมตอนนี้จริงๆแล้วร่างกายมันไม่ได้เป็นอะไรเลยครับ แต่พลังทั้งหมดที่มีมันหายไปเพราะหัวใจผมมันเจ็บจนชา คำถามที่ไอ้เจ้ามันเอ่ยทิ้งไว้ว่า

   ผมทำอะไรผิด…

   มันยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด ใช่ ผมทำอะไรผิดหรอ หรือผมผิดที่เกิดมา

   เพียงแค่ตั้งคำถามนี้หยาดน้ำใสๆที่ผมมักจะกดมันเอาไว้ก็ไหลออกมาจากหางตา ตอนนี้ผมอยู่ในห้องนอนเพียงคนเดียว ผมเลยไม่จำเป็นจะต้องหักห้ามมันอีกแล้ว การนอนเงยหน้ามองเพดานแล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลแบบนี้ มันคงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันหรือประจำสัปดาห์ของผมไปแล้ว เพียงแต่วันนี้มันคงจะไหลออกมามากกว่าเดิม ไหลออกมาตอกย้ำกับความจริงที่ผมได้รู้ ว่าทำไมผมกับแม่ต้องมาทนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ที่ๆผมไม่เคยสัมผัสได้เลยว่ามันคือครอบครัวที่เหลืออยู่ของผม


   แม่ครับ...อินจะอดทน















   ย้อนไปเหตุการณ์เมื่อตอนค่ำ


   “แม่ครับ อินกลับมาแล้ว” ผมตะโกนเสียงใสรายงานตัวขณะที่มือก็จับลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้าไปในตัวบ้าน

   “หึ กลับมาได้แล้วหรอ บ้านช่องมีก็ไม่รู้จักอยู่หรอกนะ” เสียงคุ้นเคยที่ผมไม่อยากจะได้ยินดังตอบผม ทำให้ผมหันไปตามเสียงก็พบว่าป้านิลนั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่น ส่วนแม่ผมก็นั่งโซฟาตัวเล็กข้างๆกัน

   “สวัสดีครับป้านิล” เอ้ยพร้อมยกมือไหว้หญิงสาวสูงวัยที่มีศักดิ์เป็นป้า

   “หายหัวไปไหนมาทั้งวัน!” คำถามเสียงดังที่ป้านิลเอ่ยออกมาจนใจผมกระตุก

   “ไปอ่านหนังสือกับเพื่อนครับ”

   “แล้วอ่านที่บ้านมันจะตายหรือไง ถึงชอบออกไปเหลือเกินนอกบ้านเนี่ย” คำประชดประชันที่ไม่เคยขาดปากเวลาที่เขาคุยกับผม ก็ยังคงพูดได้ไหลลื่นเหมือนเคย

   ผมไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ

   “แล้วป้ามีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” ถามออกไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงมันจะออกมาแข็งแค่ไหน

   “อิน!!”

   “อิน พูดกับป้าดีๆนะลูก” แม่ผมที่นั่งเงียบมานาน เอ่ยปรามการใช้เสียงแข็งกร้าวตอบโต้ผู้เป็นป้า

   “แอน แกสอนลูกยังไงถึงมีนิสัยแบบนี้ หรือเชื้อพ่อแกมันแรงจนสอนให้ดีไม่ได้ใช่มั้ย!” การด่าว่าผมเป็นร้อยเป็นพันคำ ผมไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดเท่าการที่เขาด่าไปถึงบุคคลอันเป็นที่รักของผม

   “ป้านิลครับ! ถ้าป้าจะด่าก็ด่าแค่ผม พ่อผมเป็นคนดี” บางครั้งความอดทนของคนเรามันสิ้นสุดลงได้เหมือนกัน

   “อินลูก ฮึก!..” แม่เงยหน้าขึ้นมาปรามผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สองแก้มอาบไปด้วยหยาดน้ำตา ใจผมชาวูบกับสิ่งที่เห็น แม่ร้องไห้อีกแล้ว

   “ถ้าพ่อแกดี พ่อแกจะไม่ทำชีวิตน้องสาวฉันพัง จะต้องไม่ทำให้วงศ์ตระกูลของฉันเสียชื่อเสียงแบบนี้!” ป้านิลลุกขึ้นมาแผดเสียงใส่ผม

   “ก็ถ้าพ่อผมไม่ดี ตัวผมมันเลว ป้าจะพาผมกับแม่มาอยู่ที่นี่ทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ผมอยู่กับแม่ที่บ้านหลังนั้นเหมือนเดิม”

   “หึ คิดว่าฉันอยากให้แกมาอยู่หรอ ลองถามแม่แกสิ! ถ้ายังไม่มีปัญญาทำอะไรไปมากกว่านี้ แกก็อย่ามาทำปีกกล้าขาแข็งใส่ฉัน จำใส่หัวแกไว้ด้วย!!” สิ้นเสียงด่าทอ ป้านิลก็เดินออกจากบ้านผมไป เหลือไว้แค่ความเจ็บปวดที่มันกัดกินหัวใจผม และในตอนนี้ห้องนั่งเล่นก็มีเพียงแค่เสียงสะอื้นของแม่ผู้เป็นชีวิตของผม






   “แม่ครับ แม่บอกอินได้มั้ย ว่าทำไมเราต้องทนอยู่ที่นี่ เรากลับไปอยู่บ้านเรากันเถอะนะ อิน..อินไม่อยากทนแล้วแม่” เสียงสั่นกลั้นสะอื้นของผม เอ่ยถามและขอร้องแม่ ผมไม่อยากทนแล้วจริงๆ

   “อิน..ฮึก!...แม่..แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ” แม่อ้าแขนรวบกอดผมไว้ มือพลางลูบหัวผมพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษไม่หยุด ผมที่นั่งอยู่กับพื้นวางใบแก้มไว้แนบตักพร้อมกับยกมือกอดเอวตอบ

   “แม่ครับ บอกอินได้มั้ย บอกอินเถอะว่าทำไมเราต้องอดทนขนาดนี้” เสียงอู้อี้ออกจากปากผม ผมต้องการเหตุผลที่เราสองแม่ลูกต้องทน

   “อิน คือ..แม่ขอโทษนะ แต่เราออกไปจากบ้านป้านิลตอนนี้ไม่ได้ ฮึก!..”

   “ทำไมครับ” เงยหน้าจากตักถามแม่ทันทีที่แม่เอ่ยจบประโยคนั้น

   “เพราะแม่เป็นหนี้ป้าเขาอยู่” แม่ตอบสั้นๆพร้อมกับน้ำตาที่ยังคงไหลอาบแก้ม

   “เป็นหนี้? ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ แล้วแม่ยืมเงีนป้าเขาไปทำอะไร แม่.. แม่บอกอินเถอะครับ”

    “แม่มาขอยืมตั้งแต่พ่อเสีย เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นตำรวจบอกว่าพ่อเป็นฝ่ายผิด เราต้องจ่ายค่าเสียหาย แต่ตอนนั้นบ้านเรามีปัญหาทางการเงิน แม่ก็ถูกจ้างให้ออกจากงาน บ้านที่เราอยู่ก็จะโดนยึดเพราะค้างผ่อน เงินเก็บที่มีแม่ก็อยากเก็บไว้ส่งอินเรียนจนจบมหาวิทยาลัย แม่ไม่รู้จะทำยังไง แม่อยากรักษาบ้านเราไว้ บ้านที่พ่อกับแม่ตั้งใจทำงานเพื่อให้ลูกเกิดมามีบ้านที่อบอุ่น แม่เลยกลับมาขอความช่วยเหลือจากป้านิล ป้านิลเขายอมช่วย แต่ต้องให้เราย้ายกลับเข้ามาอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีเงินมาใช้หนี้ทั้งหมด แม่ขอโทษนะอิน แม่..ไม่มีดีเอง แม่...”

   “แม่ครับ ไม่เป็นไรครับแม่ ไม่เป็นไรนะครับ” ผมเอ่ยประโยคเหล่านั้นปลอบใจผู้เป็นมารดา แต่จริงๆแล้วก็เป็นการปลอบใจตัวเองไปด้วย

   ความจริงที่ผมเพิ่งได้รู้มันทำให้สมองผมตื้อไปหมด ที่ผ่านมาผมทำอะไรอยู่ ทำไมผมไม่เคยได้รับรู้ปัญหาของครอบครัวที่เกิดขึ้นเลย ผมคิดอยู่ทุกวันว่าครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและโชคดีที่สุด พ่อกับแม่ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกขาด การที่ผมกับน้องได้อยู่อย่างสบาย ได้เรียนโรงเรียนดีๆในตอนนั้น พ่อกับแม่พยายามเพื่อผมมากขนาดนี้เลยหรอ ขนาดบ้านมีปัญหาใหญ่ขนาดนั้น พ่อกับแม่ก็ไม่เคยทำให้รู้สึกล่วงรู้ถึงปัญหาเลย

   “อิน แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ อินอดทนอีกนิดได้มั้ยลูก” แม่ลูบหัวผมไปด้วย สายตาที่แม่มองมาที่ผมมันอบอุ่นแต่มันก็ทำให้ผมเจ็บไปทั้งหัวใจ

   “ครับแม่ อินจะอดทน แล้วอินสัญญา อินจะเป็นคนพาแม่กลับไปอยู่บ้านเราด้วยตัวเอง อินสัญญา…” ผมไม่รู้ว่ามันจะยากขนาดไหนที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น จะหาเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นมาจากไหนเพื่อมาใช้หนี้ป้านิล แต่ผมจะพยายามหาทางให้ได้เร็วที่สุด

   “ขอบใจนะลูกที่อดทน แม่รักอินนะ” สัมผัสอบอุ่นบริเวณหน้าผากแผ่ซ่านบรรเทาความเจ็บปวดในใจของผม และยังเป็นพลังที่จะทำให้ผมกล้าต่อสู้กับปัญหา

   “อินก็รักแม่ครับ แม่รออินนะ อินจะพาแม่กลับบ้านของเราเอง” เอ่ยย้ำความตั้งใจที่มี เราจะต้องได้กลับบ้านที่อบอุ่นของเราสักที

   “จ๊ะ”

   เรากอดกันเพื่อส่งผ่านความรัก และความอบอุ่น เรามีกันอยู่แค่นี้ ผมสัญญาว่าผมจะดูแลแม่ด้วยชีวิตทั้งหมดของผม














   ปล่อยตัวเองร้องไห้จนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็เพราะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวเบาๆข้างตัว ที่น่าจะมาจากอุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์สีดำของผม เหลือบตามองเวลาก็พบว่านี่มันเที่ยงคืนแล้วนี่นา ชันตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอนก็รู้สึกได้ถึงอาการปวดตื้อที่ขมับ สงสัยเป็นเพราะร้องไห้เยอะไปแน่ๆ


   RrrrrrrrrrrrRrrrrrrrrrrrr


   โทรศัพท์ผมก็ยังไม่หยุดสั่น ทั้งๆที่นี่มันดึกมากแล้ว ใครมันพยายามโทรขนาดนี้นะ ที่แน่ๆไม่ใช่เพื่อนสนิทผมสองคนนั้นชัวร์


   - P -


   หือ?

   “สวัสดีครับพี่พี”

   (ทำอะไร ทำไมไม่รับโทรศัพท์) เสียงปลายสายเรียบดุแสดงถึงความไม่พอใจ คิดว่านี่คงไม่ใช่สายแรกที่เขาโทรมา

   “ผมเผลอหลับอ่ะ แหะๆ”

   (หือ? เป็นอะไร ทำไมหลับเร็ว) ทำไมในโทรศัพท์พี่พีพูดเก่งจัง ต่อหน้านี่พูดนับคำได้ แปลกคนดีแฮะ

   “เปล่าครับ ปวดหัวนิดหน่อย”

   (อืม งั้นนอนไป)

   “ฮะ..อ่าว แล้วพี่โทรมามีอะไรรึเปล่า” นั่นดิ ตั้งแต่โทรมาพี่พีถามเอาๆ สรุปโทรมาทำไม

   (เปล่า ไม่มีอะไร นอนได้แล้ว) เอ่ยเสียงเรียบตามแบบฉบับคนหน้าดุ แต่เอาจริงๆพี่พีใจดีนะผมว่า

   “ครับ งั้น...ฝันดีนะครับ” บอกฝันดีรุ่นพี่ต่างคณะ จนลืมตัวไปว่า ผมเผลอยิ้ม

   (อืม ฝันดี)

   ติ๊ด!

   สัญญาณถูกตัดไปจากคนปลายสาย ผมที่จ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์ที่มีรูปใครบางคนเป็นพื้นหลัง ก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาได้โดยง่าย ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้เขาคนนั้น ผมรู้สึกอบอุ่นใจ สบายใจ และปลอดภัยจากความเจ็บปวดต่างๆที่มันฝังอยู่ในใจ อยู่กับเขาผมแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วผมมีความทุกข์ นั่งมองรูปด้านข้างที่ผมถือวิสาสะแอบถ่ายไว้อยู่ไม่นาน ก็ได้ลุกขึ้นมาเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายเพื่อกลับเข้ามาพักผ่อนอีกครั้ง ด้วยใจที่พร่ำบอกตัวเองอยู่ทุกวันว่า…


   ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดี















   เช้าวันอาทิตย์ที่แสนสดใสที่ตอนแรกผมควรจะต้องรีบตื่นเพื่อออกไปจองที่ติวหนังสือให้กับเพื่อน แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว ผมตัดสินใจที่จะอ่านหนังสืออยู่บ้าน บอกกับตัวเองว่าจะสร้างปัญหาให้น้อยที่สุด อีกไม่นานผมกับแม่จะได้มองท้องฟ้าสดใสกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่นอน

   ก๊อกๆ ก๊อกๆ

   “อิน อินลูก ตื่นรึยังครับ” เสียงคุ้นเคยปลุกผมออกจากความคิด ทั้งๆที่ตื่นนานแล้ว แต่แค่นอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง

   “ตื่นแล้วครับแม่”

   “งั้นล้างหน้าล้างตา แล้วลงไปกินข้าวนะลูก”

   “คร้าบบบบบ” วันนี้คงจะเป็นวันที่ดีนั่นแหละ





   อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อย ผมก็พาตัวเองลงมาชั้นล่างของบ้าน กลิ่นอาหารมื้อเช้าลอยตลบอบอวลเมื่อผมย่างกายไปทางห้องครัว รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาววัยกลางคนกำลังหันรีหันขวางมองหาอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบอาหาร ภาพคุ้นชินที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กและหวังว่าจะได้เห็นแบบนี้ไปได้นานที่สุด

   “เช้านี้ทำอะไรครับ กลิ่นหอมทั่วบ้านเชียว”

   “ข้าวต้มกุ้งจ๊ะ”

   “อินจะกินให้เรียบเลย” คุยโวกับแม่ แต่สายตาก็สอดส่องมองหาเจ้าก้อนตัวกลมทั้งสองตัว

   “อิน เรื่องเมื่อวาน...อินโอเคหรือยังลูก” แม่มีสีหน้าไม่สบายใจเมื่อจำเป็นต้องถามถึงความรู้สึกผมกับเหตุการณ์เมื่อคืน

   “โอเคแล้วครับ อินบอกแม่แล้วไง ว่าอินจะอดทน และจะทำทุกอย่างเพื่อพาเรากลับบ้าน” ตอบแม่ด้วยรอยยิ้มที่คิดว่ากว้างที่สุด ผมไม่อยากให้แม่ลำบากใจ ผมรู้ว่าแม่ก็เกรงใจป้านิลอยู่ไม่น้อย ความรู้สึกผิดที่ฝังอยู่ในใจแม่ ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้หายไปเลย

   “จ๊ะ สู้ไปด้วยกันนะลูก”

   “ครับ เอ้อ ว่าแต่มอคค่า ลาเต้ไปไหนอะ ปกติต้องมาพันแข้งพันขาอินแล้วนะ”

   “อืมมมม สงสัยอยู่สนามหญ้ามั้ง อินลองเรียกสิ” แม่ตอบผมแต่หันไปจัดแจงปรุงอาหารเช้า

   “ครับๆ”









   ผมเดินออกจากครัวผ่านห้องนั่งเล่นเพื่อเปิดประตูออกไปทางหน้าบ้าน ตั้งใจว่าจะเรียกหาสุนัขพันธุ์ปอมปอมอ้วนกลม แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยเรียก ก็มองเห็นมันทั้งสองตัววิ่งไล่งับหางกันอยู่ตรงสนามหญ้า

   “มอคค่า ลาเต้ มานี่เร็ว”

   บ๊อกๆ บ๊อกๆ

   แค่เจ้าก้อนสองตัวได้ยินชื่อตัวเอง ก็วิ่งส่ายก้นดุ๊กดิ๊กมาพันแข้งพันขาผม จนอดไม่ได้ที่จะนั่งลงบนสนามหญ้าเพื่อหยอกล้อพุงพลุ้ยของพวกมัน หมดกันที่อาบน้ำมา มันตะกุยเสื้อผมสนุกเลย

   “อินลูก โทรศัพท์เข้า” เสียงแม่เรียกจากประตูหน้าบ้าน

   ว่าแต่ใครมันโทรมา หวังว่าจะไม่ใช่ไอ้ภาคโทรมาตามหรอกนะ ก็ผมบอกไอ้เจ้าไปแล้วว่าวันนี้ไปอ่านหนังสือด้วยไม่ได้ คิดได้แค่นั้นก็ต้องลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในบ้านโดยที่มีหมาขาสั้นสองตัววิ่งตาม

   -P-

   พอเห็นหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงชั้นข้างโทรทัศน์เท่านั้นแหละ รอยยิ้มผมก็ผุดขึ้นมาทันที ก็สงสัยนะว่าโทรมาทำไม แต่ตอนนี้เห็นแค่ชื่อใจมันก็เต้นตามแรงสั่นของโทรศัพท์แล้ว





   (มีต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2017 17:44:26 โดย chomistry »

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2


   “สวัสดีครับ โทรมาเช้าจัง”

   (สิบโมงบ้านมึงเรียกเช้าหรอ) โดนสวนทันทีจากรุ่นพี่จอมดุ

   “ฮ่าๆ ก็ผมเพิ่งตื่นอ่ะ”

   (อืม งั้นมาเปิดประตูให้หน่อย)

   “เห้ย! เปิดประตู? ประตูไหนพี่”

   (ประตูเล็กหน้าบ้านมึงสิ มึงจะไปเปิดประตูโดเรมอนที่ไหน)

   “อ้าว พี่อยู่หน้าบ้านหรอ มาทำ-..”

   (อย่าเพิ่งถามมาก มาเปิดประตูให้กูก่อนมั้ย) ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคดีพี่พีก็สวนมาตามนี้แหละ เสียงนี่จะดุไปไหน

   “ครับๆ”




    ผมกดวางสายแล้วรีบพุ่งออกไปยังประตูเหล็กอัลลอยด์หน้าบ้าน หวังว่าจะไม่มีใครเห็นนะ แต่คงไม่หรอก เวลานี้เขาคงพาน้องพราวไปเรียนดนตรี ว่าแต่พี่พีมาทำอะไรที่บ้านผมในวันอาทิตย์แบบนี้นะ พี่มันควรไปอ่านหนังสือสิ คำถามในความคิดยังไม่ทันได้คำตอบผมก็วิ่งถึงประตูพอดี ซึ่งเป็นประตูเล็กสำหรับคนเดินเข้าออก

   “พี่พี”

   “อืม แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น หึหึ” หน้าแบบไหนวะ หน้าตกใจหรอ

   “ก็ผมงงอ่ะ พี่มาได้ไง”

   “ขับรถมา” พอต่อหน้าก็ประหยัดคำพูดเหมือนเดิม ผมควรจะชินได้แล้วใช่มั้ยครับ

   “แล้วไหนรถอ่ะ” ต้องถามหาจริงๆ เพราะพี่พีบอกเอารถมา แต่ผมไม่ยักเห็นรถจอดหน้าบ้าน

   “จอดอยู่โรงแรมปากซอย กูขับมาก็คงไม่มีที่จอด ถูกมั้ย?”

   “อือ แหะๆ เอ้อ แล้วพี่มาทำไมอ่ะ”

   “ก็เห็นว่าวันนี้ไม่ไปติวกับเพื่อน”

   “หื้อ? พี่รู้ได้ไง ไอ้เจ้าบอกหรอ”

   “อืม เจอไอ้เจ้าที่ร้านเดิม พอรู้ก็เลยมา” พี่พีตอบหน้านิ่งมาก คือพี่ไม่แปลกใจตัวเองรึไง แต่ผมนี่โคตรแปลกใจ

   “มา? มาทำไรอ่ะ”

   “ถามมากจังวะ แล้วจะไม่ให้กูเข้าบ้านรึไง” คิ้วเข้มกระตุกเข้าหากันเล็กน้อย ตาคมดุมองมาที่ผม แสดงให้เห็นว่าเริ่มรำคาญกับความเป็นเจ้าหนูจำไมของผม ฮ่าๆ แต่จากที่รู้จักกันมา พี่พีเก็กไปงั้นแหละ

   “อะๆ เข้าบ้านก่อนครับ แล้วพี่กินข้าวมายัง แม่ผมทำข้าวต้มกุ้งด้วยนะ กำลังจะกินเลย” ผมเอ่ยชวนรุ่นพี่ตัวสูงเข้าบ้าน เดินลัดผ่านสนามหญ้าเหมือนเดิมเพื่อที่จะไปทางบ้านหลังเล็ก ไม่ให้เสียชื่อลูกแม่แอน ผมก็โฆษณาเมนูเช้านี้ให้พี่พีฟัง

   “อืม...แล้วไอ้ก้อนอ่ะ” เห้อ โฆษณาอาหาร แต่ถามถึงหมา พี่พีเรียกมอคค่า ลาเต้ว่าไอ้ก้อน พี่มันบอกว่าเหมือนก้อนอะไรสักอย่าง ฮ่าๆ

   “อยู่ครัวมั้ง เข้าบ้านกัน” เอ่ยตอบพร้อมเปิดประตูบ้านต้อนรับคนตัวสูง

   “อ้าว พี มาหาอินหรอลูก พอดีเลย กำลังจะกินข้าวต้มกุ้งกัน พีมากินด้วยกันสิ” เสียงใสของแม่เอ่ยชวนแขกผู้มาใหม่

   “สวัสดีครับน้าแอน งั้นผมขอฝากท้องด้วยนะครับ” ยกมือพุ่มไหว้แม่ผม แล้วก็พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แหม ที่กับผมนี่นิ่งยิ่งกว่าหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์มาดามตุสโซ่

   “ยินดีเลยจ๊ะ ปะ ไปในครัวกันดีกว่า” แม่พยักหน้าชวนให้ผมกับพี่พีเดินตามไปที่โต๊ะกินข้าวที่ตั้งอยู่ในห้องครัว





   พี่พีนั่งที่เดิมเหมือนตอนที่เคยมาส่งผมตอนนู้น ส่วนผมก็นั่งฝั่งตรงข้ามกับคนหน้าดุ เจ้าก้อนกลมๆสองตัวก็วิ่งรอบขาโต๊ะก่อกวนคนตัวสูง มันคงจะจำกลิ่นได้ พี่พีก็ก้มลงไปมอง ใช้ขาหยอกเล่นกับเจ้าก้อนกลมๆสองก้อนนั่น ผมก็ได้แต่ลอบมองรอยยิ้มกว้างที่ปรากฎอยู่บนใบหน้าติดดุนั้น นานๆจะได้เห็นที สักพักแม่ก็ยกหม้อข้าวต้มมาวางบนโต๊ะอาหาร ผมเลยลุกขึ้นช่วยแม่ตักใส่ชาม กลิ่นข้าวต้มกุ้งฝีมือของแม่ผมนี่หอมสุดๆไปเลย เรื่องรสชาตินี่อย่าให้คุย เดี๋ยวทุกคนจะน้ำลายสอกันเปล่าๆ




    เมื่อแต่ละคนได้ชามข้าวต้มกันครบแล้วก็ถึงได้เริ่มลงมือทานกัน ระหว่างนั้นก็มีการเปิดบทสนทนามากมายระหว่างแม่ผมกับพี่พี ดูจะคุยถูกคอกันจริงๆ

   “เอ้อนี่ แล้ววันนี้ทำไมพีถึงได้มาหาอินล่ะ อินก็ไม่เห็นบอกแม่ว่าพีจะมา” แม่นึกขึ้นได้ก็ถามคนตัวสูง

   “ผมมาติวหนังสือให้อินอ่ะครับ อินเขามาขอให้ผมช่วยติววิชาแคลฯให้” ร่างสูงตอบพลางหันมายิ้มแปลกๆให้ผม

   “ห๊ะ!” งงสิผม เดี๋ยวนะ ผมไปขอให้เขาช่วยตอนไหน ทำไมพี่เขาโมเมแบบนี้ล่ะ

   “จริงหรอจ๊ะ ดีเลย งั้นน้าฝากอินด้วยนะ มีว่าที่นายช่างมาติวให้แบบนี้ คะแนนต้องออกมาดีแน่ๆ” เดี๋ยวแม่ คือแม่ถามผมก่อนดีมั้ยคร้าบบบ

   “ยินดีเลยครับ” นี่ก็รับปากเสร็จสรรพ ผมที่ไม่รู้จะแทรกบทสนทนายังไงก็ได้แต่นั่งอ้าปากค้าง ช้อนคาปากอยู่เลย

   “งั้นอินรีบกินเข้าสิลูก จะได้ให้พี่เขาช่วยติว”

   “ห่ะ..เอ่อ ครับๆ” ตักข้าวต้มกุ้งที่ยังเหลืออยู่เข้าปากอย่างว่องไว เอาไว้ค่อยไปเคลียร์กับรุ่นพี่หน้านิ่งแต่แอบเจ้าเล่ห์ดีกว่าครับ ผมว่าผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพี่พีถึงอยู่กลุ่มเดียวกับพี่เกียร์ พี่มายด์ได้ ร้ายพอๆกันนี่เอง








   เมื่ออิ่มหนำกับมื้อเช้าที่มากินเอาตอนสายแล้ว แม่ก็ไล่ผมให้มาเตรียมตัวเป็นนักเรียนที่ดีรอให้พี่พีมาติวให้ ก็เลยต้องวิ่งขึ้นห้องมาเอาชีท และอุปกรณ์การเรียน ถึงจะมีคนมาติวให้แบบงงๆ แต่ก็ถือว่าผมโชคดีแล้วแหละเนอะ

   สถานที่ที่เราใช้อ่านหนังสือก็คือ ห้องนั่งเล่น แต่ผมเลือกที่จะไปเอาเบาะตรงพนักพิงโซฟามารองนั่งที่พื้น เอาโต๊ะในชุดโซฟาเป็นที่รองเขียน แบบนี้สบายกว่านั่งโซฟาเยอะ พี่พีที่แอบไปเล่นกับเจ้าก้อนมอคค่า ลาเต้ตอนที่ผมขึ้นไปเอาของ ก็พาตัวเองลงมานั่งข้างๆผม แต่ด้วยความสูงของพี่เขาอ่ะนะ ขามันก็จะดูหาที่วางยากหน่อย ฮ่าๆ


   “นั่งได้ปะเนี่ย”

   “อืม ได้ดิ”

   “งั้นก่อนอื่นพี่มาเคลียร์กับผมก่อนเลย” ว่าแล้วผมก็อุ้มมอคค่าที่นอนกางพุงอยู่บนตักพี่พีมาไว้ที่ตักผม เพื่อเบี่ยงเบนสมาธิจากหมามาที่ผมก่อน

   “เคลียร์อะไร?” แหนะ ยังจะมาทำหน้างงใส่อีก

   “ก็เคลียร์เรื่องที่พี่ไปบอกแม่ผมว่า ผมไปขอให้พี่มาช่วยติวเนี่ย ผมไปขอตอนไหน อยากมาเองก็พูดเถอะ”

   “อือ กูอยากมา” ตอบมาเสียงนิ่งๆ ไม่มีการหลบสายตาใดๆ ตาคมดุจ้องมาจนผมเผลอจ้องกลับ

   “ห่ะ..มา..พี่อยากมาหาผมหรอ” เอ่ยถามเสียงตะกุกตะกักทั้งๆที่ยังไม่สามารถหลบสายตาคมคู่นั้นได้

   “เปล่า..มาหาไอ้ก้อน”


   เพล้ง!


   มาช่วยผมเก็บเศษหน้าผมทีครับ

   พี่พีตอบประโยคชวนให้ผมหน้าแตกด้วยใบหน้าที่นิ่งแต่กระตุกยิ้มมุมปากเบาๆ แล้วก็ชี้มาที่มอคค่า ไอ้ก้อนตูดกลมบนตักผม


   คือสรุปว่า อยากมาหาหมาว่างั้น?


   “เออครับ งั้นพี่เอาไอ้ก้อนของพี่ไปเก็บในคอกเลย ผมจะอ่านหนังสือ” ว่าแล้วผมก็อุ้มมอคค่าออกจากตักแล้วไปยัดใส่แขนคนตัวสูง พี่พีก็เอาแขนกอดตัวมันไว้

   “หึหึ ทำหน้าแบบนี้ อิจฉาหมาหรอ”

   “ไม่ใช่ซะหน่อย รีบเอามันไปเก็บเลย”

   “จริงๆแล้ว…”

   “...??” แล้วอะไรวะ

   “กูอยากมาหาเจ้าของไอ้ก้อนมากกว่า




   หื้อ จริงหรอ...



   พูดประโยคชวนอี้งด้วยรอยยิ้มจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แขนก็ประคองอุ้มไอ้มอคค่าไว้ ก่อนจะเดินพามันไปไว้ในคอกร่วมกับลาเต้ เดี๋ยวมันจะมากวนจนไม่ได้อ่านหนังสือ

   ผมก็ได้แต่นั่งทำตัวไม่ถูกมองตามไป






   เวลาแห่งการท่องตำราก็เริ่มขึ้น แต่กว่าจะเริ่มได้นั้น ผมนั่งบ่นงุบงิบอยู่นานเลยแหละ ก็ผมอยากอ่านวิชาคณะก่อน แต่พี่เขาสั่งให้ผมอ่านแคลฯก่อน เขาให้เหตุผลว่าเช้าๆสมองมันรับความรู้ได้เต็มที่กว่า ผมจะทำยังไงได้นอกจากทำตามนั้นแหละ ใจนี่อยากเถียงมาก ถ้าเป็นคนอื่นผมเถียงไฟแล่บแล้ว แต่พอเป็นพี่พี ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงต้องยอม มันรู้สึกเกรงใจแปลกๆยังไงไม่รู้เหมือนกัน แหะๆ


   ใช้เวลาติวกว่าสองชั่วโมงพี่พีถึงปล่อยให้พัก แล้วนี่พี่เขาไม่อ่านหนังสือของตัวเองหรือไง

   “พี่พี พี่อ่านหนังสือของพี่ก็ได้นะ เดี๋ยวผมอ่านเอง ไม่เข้าใจเดี๋ยวถาม”

   “แน่ใจนะ” พี่เขาทำหน้าไม่ค่อยเชื่อผมแฮะ

   “อื้อ แน่ใจครับ”

   “อืม ไม่เข้าใจก็ถาม อย่าเดาเอง”

   “คร้าบบบบ”

   “เอ้อพี่พี ผมปรึกษาอะไรหน่อยสิ”

   ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกมั้ย แต่ผมรู้สึกไว้ใจที่จะถามอะไรบางอย่างกับเขา แม้ประเด็นนั้นผมยังไม่พร้อมจะเล่าก็ตาม แต่คิดว่าคนแบบพี่พี ไม่น่าจะมาจี้ถามอะไรมากมาย

   “อะไร”

   “พี่เคยทำงานพิเศษมั้ย” ถามออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

   “ทำไมถึงถาม” คนที่ผมอยากได้คำตอบกลับถามคำถามสวนกลับมา แถมตายังจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือตรงหน้าตัวเองอีก

   “เถอะน่า ตอบผมมาก่อน เคยทำหรือเปล่า หรือว่ามีเพื่อนทำมั้ย”

   “กูไม่เคยทำ เพื่อนกูก็ไม่น่ามีนะ ถามทำไม” คำตอบก็คงต้องออกมาแบบนี้สินะ ก็จริงแหละ พี่พีนี่หรอจะทำงานพิเศษ

   “คือ..ผมอยากทำงานพิเศษอ่ะ”

   “หือ? ทำไมถึงอยากทำ” คราวนี้ร่างสูงถึงกับเบนสายตาจากเนื้อหาตรงหน้ามาถามผมด้วยแววตาเคลือบไปด้วยความสงสัย

   “เอ่อ ผมมีความจำเป็นนิดหน่อยอ่ะ พี่ช่วยแนะนำงานให้ผมหน่อยสิ งานอะไรที่มันได้เงินเยอะๆอ่ะ”

   “มึงมีความจำเป็นอะไรจะต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้น” ทำไมเสียงเริ่มเข้มล่ะพี่

   “คือ..ผม..ผมยังไม่พร้อมเล่าอ่ะ แต่มันจำเป็นจริงๆนะ”

   ตัวผมที่ก้มหน้าหลบสายตาคนหน้าดุอยู่ๆก็รู้สึกถึงสัมผัสหนักบนศีรษะจากมือหนาที่เอื้อมมาวางบนหัวผม การกระทำที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง กำแพงในใจต่างๆมักจะถูกทำลายลงไปด้วยการกระทำแบบนี้ของพี่พี ผมเงยหน้ามองไปที่ดวงตาของเขา พร้อมกับส่งรอยยิ้มกลับไป

   “มีเรื่องไม่สบายใจอะไร เล่าให้กูฟังได้นะ”

   “เอ่อ..”

   “ยังจำที่บอกได้มั้ย”

   “...” ไม่เคยลืมต่างหาก

   “ว่ากูอยู่ตรงนี้”


   ประโยคบอกเล่าอันแสนอบอุ่นที่เปล่งออกมาจากปากคนตรงหน้า แถมยังมีรอยยิ้มที่ผมชอบมองเสมอส่งมาให้ ผมจ้องมองไปที่ตาคมดุคู่นั้นแล้วก็ส่งยิ้มตอบกลับไป สิ่งที่ส่งผ่านไปกับรอยยิ้ม มันเทียบไม่ได้กับที่ผมรู้สึกจนอัดแน่นอยู่ในหัวใจ มันบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร ผมบอกได้แค่ว่า ผมอยากมีเขาอยู่ตรงนี้ตลอดไปได้ไหม


   สุดท้ายผมก็ยังไม่พร้อมที่จะเล่าอะไรออกไป แต่พี่พีก็ยังคงเป็นพี่พี เขาไม่แม้แต่จะเร่งรัดถามอะไร ปล่อยให้ผมได้ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง จนตัดสินใจปัดสิ่งที่ค้างคาในใจออกไป ปรับจูนสมาธิไปที่เนื้อหาตรงหน้าเช่นเดิม มีบางครั้งที่ผมเหลือบสายตามองไปยังคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง แต่ทุกครั้งก็จะพบสายตาคมจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว











   เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง รู้ตัวอีกทีก็บ่ายสามกว่าแล้ว สาเหตุที่ทำให้รู้ตัวก็เพราะการประท้วงขออาหารของกระเพาะนั่นเอง อ่านกันจนลืมเวลากินข้าว แม่ผมที่ออกไปทำธุระเมื่อตอนเที่ยงก็ยังไม่กลับมา แต่แม่ก็คงเตรียมเสบียงไว้ให้แหละ

   “พี่หิวยัง” หันไปถามคนตัวสูง หวังว่าเขาจะรู้สึกหิวไม่ต่างกับผม

   “หึ เฉยๆอ่ะ” โหย นี่วิถีคนหุ่นดีรึไง

   “แต่ผมหิวแล้วอ่ะ พักก่อน แล้วไปกินข้าวกัน แม่น่าจะเตรียมไว้ให้ในครัว”

   “เชื่อแล้วว่าหิว อ่ะ ไปๆ”


   ถึงปากพี่พีจะบอกว่าไม่หิว แต่พอผมชวนกิน ก็เล่นกินซะเกลี้ยงจาน แม่เห็นคงจะดีใจจนยิ้มแก้มแตกเพราะรสชาติอาหารถูกปากคนกิน

   ระหว่างที่รอมื้อบ่ายย่อย ผมก็เลยไปปล่อยเจ้าก้อนมอคค่ากับลาเต้ให้ออกมาวิ่งเล่นตรงห้องนั่งเล่น พี่พีนั่งพื้นเอนหลังพิงโซฟาตัวยาวที่ผมนั่งอยู่ ลาเต้คลานขึ้นไปบนตักพี่พีปล่อยให้มือใหญ่เกาพุงสบายใจ ส่วนมอคค่าผมอุ้มขึ้นมานอนตักผมบนโซฟา นอนหงายอวดพุงกลมๆให้ผมขยำเล่นไม่ต่างกัน พอรู้สึกว่าบ้านมันเงียบเกินไปผมจึงหยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดทีวี หวังให้เสียงจากทีวีช่วยกลบความเงียบได้

   บนหน้าจอทีวีกำลังฉายรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่งที่กำลังพาทัวร์สถานที่ท่องเที่ยวแปลกตา เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูง บรรยากาศดูเย็นสบาย มีวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เดาว่าน่าจะอยู่ภาคเหนือของประเทศไทย สักพักมุมจอภาพปรากฏชื่อสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา

   แม่กำปอง



   “พี่เคยไปที่นี่ปะ” ผมถามคนที่นั่งเกาพุงลาเต้อยู่ แต่สายตาผมยังจดจ้องอยู่ที่รายการทีวีนั้น

   “แม่กำปอง?”

   “อื้ม ใช่”

   “ไม่เคยอ่ะ”

   “สวยดีเนาะพี่ว่าปะ ผมอยากพาแม่ไปจัง พี่รู้มั้ย ตั้งแต่พ่อไม่อยู่ผมกับแม่ยังไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนด้วยกันอีกเลย ผมนี่อยาก-..” ผมชะงักค้างเมื่อนึกได้ว่าผมเผลอพูดประโยคมากมายโดยไม่รู้ตัว “เอ่อ...คือ”

   “เป็นอะไรไป หื้ม?” พี่พีชันตัวขึ้นจากพื้นแล้วขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างๆผม

   “เปล่าครับ” ตอบออกไปทั้งๆที่ตายังก้มมองมอคค่าที่นอนอยู่บนตัก

   “มึงอยากไปหรอ?”

   “เอ่อ...อื้อ คือ จริงๆผมอยากพาแม่ไปเที่ยวด้วยกัน ที่ไหนก็ได้ แต่..คงเป็นไปได้ยาก” ผมหันไปตอบคนข้างตัวแบบที่รู้ว่าตัวเองเผลอส่งสายตาเศร้าออกไปมากแค่ไหน

   “ไปดิ เดี๋ยวกูพาไปเอง”

   “...!!” หูผมไม่ได้ฝาดใช่มั้ย

   “หึหึ ทำหน้าตกใจอะไรขนาดนั้น”

   “ก็ ก็เมื่อกี้พี่บอกว่าจะพาผมไปอ่ะ” สรุปคือพี่เขาพูดเล่นหรือพูดจริงเนี่ย

   “ก็ใช่ มึงอยากพาน้าแอนไปไหนล่ะ เดี๋ยวกูจะเป็นคนพาไปเอง” คนตัวสูงเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น สายตาจ้องลึกเข้ามายังดวงตาผม หวังว่าจะไม่สามารถจ้องจนรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจผมนะ

   “พี่พูดจริงนะ พี่ไม่ได้โกหกให้ผมดีใจเล่นนะ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดีใจจนสังเกตได้ พร้อมกับหันตัวไปจับมือพี่พีเขย่า เจ้ามอคค่านี่ล่วงไปจากตักผมตอนไหน ผมยังคว้าไม่ทันเลย

   “อืม จริง กูสัญญา” รอยยิ้มที่พี่พีส่งมาพร้อมคำสัญญานั้น ต่อให้นี่เป็นความฝัน แล้วต้องตื่นขึ้นมา ผมก็จะไม่มีทางลืมรอยยิ้มแบบนี้ไปแน่นอน ยิ้มที่ตอนนี้ผมอยากให้มันเป็น…


   รอยยิ้มของผมคนเดียว


   ผมยิ้มกว้างตอบกลับไป พร้อมกับการกระทำที่ไม่ได้ผ่านการประมวลด้วยสมอง แต่มันกับควบคุมด้วยหัวใจ ผมเลยโผเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้า แขนโอบกอดรอบคอร่างสูง ใบหน้าซบลงที่ลาดไหล่กว้าง ลำตัวเราแนบชิดกันจนผมรู้สึกได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจเราทั้งคู่


   มันเต้นแรงเหมือนกันเลย


   และสิ่งที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากขึ้นไปอีก คือการที่พี่พียกแขนขึ้นมากอดตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบหัวผมแผ่วเบา นอกจากอ้อมกอดของพ่อ แม่ และน้องอร ผมก็ไม่คิดว่าอ้อมกอดใครจะอบอุ่นเท่านี้อีกแล้ว ผมขอเห็นแก่ตัว หวงแหนความอบอุ่นของอ้อมกอดนี้ไว้ที่ผมคนเดียวได้ไหม



   ผมขอมากไปหรือเปล่า...







*TBC
(08/11/2017)
**********************************************************
พาน้องอินมาฝากทุกคนนนนนน เปลี่ยนโหมดกันหน่อย อย่าเพิ่งหายไปไหนกันนะ เพราะชมมิสขอหายก่อน 5555
ช่วงนี้งานประจำเกาะขาอ้อนวอนให้ไปทำ เลยแว้บมายากเหลือเกิน ยังไงจะพยายามอู้มาลงทุกวันพฤหัสนะฮ้าา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2017 17:47:00 โดย chomistry »

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
น้องอินน่ารัก และน่าสงสารมากๆ สู้ๆ นะคะ
พี่พีแกก็ละมุนของแก น้องก้อนสองก้อนน่าเอ็นดูมาก

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มาเป็นกำลังใจให้อิน

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ป้าร้ายของอิน รักน้องสาว แบบไหนนะ
กลัวว่าแม่อิน ตกยากข้างนอก
แล้วคนจะดูถูกมาถึงครอบครัวตัวเองหรือเปล่า

แม่อิน เลยอยู่ในสภาพคนอยู่อาศัย กึ่งคนใช้
เงินเดือนคงไม่ได้
เพราะจ่ายเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายของอิน

น่าสงสารอิน เวลาขอเงินป้าเพิ่ม
คงเจอกับสีหน้า แววตา ท่าทางที่ดูถูกเกลียดชังทุกครั้ง
ที่อินอยากทำงานพิเศษ
เพราะไม่อยากขอป้าเพิ่มเวลาต้องใช้เงินกับค่าใช้จ่ายจรแน่เลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
สงสารน้องอิน น้องต้องการที่พึ่งมากมาย เพราะตัวเองและแม่ดูเปราะบาง อ่อนแอ พอมาเจอพี่พีคนห่าม เลยรู้สึกอบอุ่นใจสินะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
พี่พี อบอุ่นที่สุดในสามโลก กอดน้องแน่น ๆ เลยน้า >////<
อ่านแล้วต้องรีบไปหารูป แม่กำปอง ดูเลยค่ะ ชอบมาก ๆ
ช่วงเดือนนีี้ถ้าได้ไปอากาศกำลังดีเลย อยากไปบ้างจัง

ยัยป้า เหมือนเป็นโรคประสาทอ่อน ๆ ไหมน่ะ (เม้นแรงไปไหม แหะๆ )
คือ ที่ช่วยเหลือเพราะยังรักน้องสาวอยู่ แต่เกลียดหลานในไส้ เพราะพ่อน้องอิน แค่นี้?
แล้วก็ไม่เข้าใจ ถึงจะให้คุณแม่น้องอินยืมเงิน แล้วทำไมต้องให้คุณแม่กับน้องมาอยู่ด้วย
ทั้งที่เกลียดน้อง พูดจาดูถูก จำกัดเสรีภาพสารพัด คือต้องการอะไรอ่ะ กลัวเขาหนีหนี้เหรอ
เท่ากับตอนนี้ บ้านของน้องอินยังไม่ถูกยึดสินะ แล้วคุณแม่เอาเงินที่ไหนผ่อนต่อล่ะ
ค่าเล่าเรียนน้องอิน มาจากเงินเก็บคุณแม่ เท่ากับเงินที่ยืมยัยป้า คือ ค่าเสียหายตอนนั้นเท่านั้นสินะ
แล้วคุณแม่ยืมมาเท่าไหร่ ถ้าเยอะมาก กว่าน้องอินจะเรียนจบ มีงานทำ กี่ปีจะใช้หมดล่ะเนี่ย
อึดอัดแทนน้องอ่ะ ทำอะไรก็ไม่ได้เพราะยังเรียนไม่จบ งานพิเศษจะได้เงินสักแค่ไหน เฮ้อ
แต่ไม่อยากให้น้องต้องทนอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เลย มันเสียสุขภาพจิตนะ ทั้งกับน้องและคุณแม่
รู้สึกจะเม้นด่ายัยป้า เยอะกว่าความละมุนของพี่พีซะแล้ว มันอินจัดเกินค่ะ ฮือออ T^T
รอตอนต่อไปค่า   ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:


ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
สงสารและอึดอัดแทนอินจิงๆเล๊ย
อิป้านิลก้อเหมือนคนเก็บกด ไม่มีที่ลง เลยมาระบายกับหลานตัวเอง อยากถามว่าทำไปแล้วสบายใจขึ้นไหม๊?
พี่พี คือผู้ชายอบอุ่นแห่งปีคร้าาาา (ความซึนนิดๆของเฮียไม่มีผลอะไรกับตำแหน่งนี้ 555555 )
ของน้องเปนแฟนไปเลยค่ะ ถ้าจะมีโมเม้นนี้ >\\\\<

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เมื่อไหร่อินจะมีอิสระซะที เบื่อนังป้าโรคจิต

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อ่านรวดเดียว 11 ตอน หนุกหนาน ๆ ชอบ ๆ รอตอนต่อไป  :mew1: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ littlegift

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เรื่องนี้ดีต่อใจมากกก  :L2:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
อินเอ๊ยยย มีป้าเจ้าคิดเจ้าแค้นนี่ลำบากเลยลูก อดทนนะลูกมีพี่พีเป็นกำลังใจนะ สู้ๆ :กอด1:

ออฟไลน์ ::UsslaJlwaJ::

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1011
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-4
เลาชอบมากเลยยยยยยย กรี๊ดดด ปักธงติดตามเลยค่า

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 12

ไม่รู้จะอธิบายยังไง



   และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เหล่านักศึกษาในหลายภาควิชาจะต้องเอาความรู้ที่มีทั้งหมดไปสู้รบปรบมือกับข้อสอบที่อาจารย์คัดสรรค์มาให้พวกเรา หึหึ คัดข้อง่ายออกไปหมดแล้วล่ะสิ

   วันนี้เป็นวันแรกของการสอบกลางภาคของมหาวิทยาลัยผม มีหลายคณะที่ไม่ได้เริ่มสอบวันนี้ แต่คณะเภสัชศาสตร์ของผมมีหรือจะพลาดตารางสอบวันแรกไป จัดมาก่อนเลยด้วยวิชาแคลคูลัส 1 ก็นับว่ายังโชคดีที่วันนี้สอบแค่วิชาเดียว ความกังวลก็ไม่ค่อยมีมากเท่าไร เพราะว่าผมค่อนข้างมั่นใจในความรู้ที่มีตอนนี้ ก็แหงล่ะ พี่เกียร์มันทั้งสอน ทั้งบ่น ทั้งบังคับให้ผมทำโจทย์เป็นร้อยข้อจนผมจำฝังลึกเข้าไปในซีรีบรัมกันเลยทีเดียว คนอะไรดุชะมัด แม้กระทั่งผมใช้สกิลอ้อนขอต่อรองยังไม่ยอมใจอ่อนเลย

   RrrrrrrrrrrRrrrrrrrrrr

   - P’ GEAR –

   นั่นไง แค่บ่นถึงก็โทรมา แต่ทำไมวันนี้โทรมาเช้าจัง

   “ครับ” ทักทายปลายสายไปสั้นๆ เงยหน้ารับลมที่ตีหน้าให้หน้าม้ากระจายบริเวณท้ายเรือที่เดิม

   (ไง ออกจากบ้านยังเตี้ย) อีกละ ชื่อดีๆมีไม่เรียก แค่สูงกว่าเกือบสิบเซ็นนี่ย้ำจังนะ

   “ออกมาแล้วคร้าบบบ อยู่บนเรือ ว่าแต่พี่ไม่มีสอบนี่ ทำไมโทรมาเช้าจัง” เท่าที่ถามผมว่าผมจำไม่ผิดนะว่าพี่เกียร์ไม่มีสอบ

   (อืม ไม่มี แต่มีส่งรายงานตอนบ่าย) คนตัวสูงตอบผมมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ ได้นอนบ้างไหมเนี่ย

   “แล้วพี่ทำเสร็จยังอ่ะ ผมเห็นทำมาหลายวันแล้วนี่” เอ่ยถามออกไป ทั้งที่จริงๆผมอยากบอกให้เขาพักมากกว่า แต่ใครจะกล้าล่ะ

   (ยังไม่เสร็จ แต่เหลือไม่เยอะแล้ว แก้อีกนิดเดียว วันนี้มึงสอบแคลฯใช่มั้ย) อีกฝ่ายตัดบทเรื่องของตัวเองแล้วเอ่ยถามผมแทน น้ำเสียงพี่ควรนอนมากกว่านะ

   “อาฮะ”

   (อืม งั้นตั้งใจล่ะ อย่าลืมกินข้าวเช้าด้วย เดี๋ยวกูไปทำงานต่อละ) เสียงง่วงขนาดนี้ยังจะทำต่ออีกหรือ แต่ถึงผมห้ามไปก็ไม่ฟังอยู่ดี

   “ครับๆ”
 
   “(บาย)”

   “ดะ..เดี๋ยวพี่!”
 
   “(หือ?)”

   “พี่ก็..พักบ้างนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ถึงแม้ท้ายประโยคระดับเสียงจะลดลงจากปกติไปหน่อย แต่ผมก็คิดว่าพี่มันได้ยิน ห้ามเขาไม่ได้ แต่ขอให้พักสักหน่อยก็คงเป็นอะไรเนอะ

   “(หึ เป็นห่วงกูหรอเอ๋อ)” เกลียดเสียงหึในลำคอพี่มันมาก โคตรเจ้าเล่ห์ อยากขอซื้อไปทิ้ง ทำมาเป็นรู้ทัน

   “มั่วอีกละ ใครเป็นห่วง มีที่ไหน ผมก็แค่กลัวพี่ไม่สบาย แล้วทีนี้งานก็ไม่เสร็จ แล้วก็เดือดร้อนพวกเพื่อนพี่มาทำแทน เป็นภาระคนอื่นอีก เห็นไหม ผมเป็นห่วงเพื่อนพี่เถอะ ใช่ๆผมเป็นห่วงเพื่อนพี่ต่างหาก” ผมพูดรัวเป็นปืนกลแบบไม่ทันได้คิด ก็ใครมันจะไปยอมรับง่ายๆเล่าว่าห่วง เขินเป็นนะว้อย

   “(ฮ่าๆ โอเค ไม่ห่วงก็ไม่ห่วง แต่ขอบใจนะที่เป็นห่วง...เพื่อนกู)” จะเว้นวรรคทำแมวอะไร ถึงคุยกับพี่เกียร์บ่อยแค่ไหน ผมก็ยังไม่ชินกับความเจ้าเล่ห์ ทำยังไงก็ไม่รู้สึกชนะสักที หึ่ย

   “เออ งั้นแค่นี้นะครับ ผมจะไปขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว” เรือจะเทียบท่าเรือจุดเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางของผมพอดี

   “(อืม บาย)”

   ติ๊ด!


   ใช้เวลาจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แม้จะเป็นวันธรรมดาแต่ด้วยเวลาออกจากบ้านที่เช้ากว่าปกติ ทำให้ผมมีเวลาเหลือสบายๆในการกินข้าวเช้าก่อนเข้าห้องสอบ ก่อนออกจากบ้านก็ส่งข้อความนัดกับไอ้อินเรียบร้อยแล้วว่าเจอกันที่โรงอาหารคณะ
 
   เดินผ่านป้ายคณะแล้วเดินตรงเข้าไปทางโรงอาหาร จำนวนคนในเช้านี้ก็หนาตาสมกับการเป็นวันแรกของการสอบ ทุกชั้นปีคงจะมีสอบไม่ต่างกับพวกปี 1 อย่างผม ชะเง้อคอมองไปยังตำแหน่งโต๊ะประจำที่ผมกับไอ้อินชอบนั่งแล้วก็เป็นไปตามคาด เพื่อนตัวเล็กกว่าผมมันนั่งอยู่ก่อนแล้ว

   “มานานแล้วหรือมึง” ผมเอ่ยทักทายคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านชีทเรียนอยู่

   “อ่าว มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง กูมาถึงก่อนมึงแปบเดียวเอง”
 
   “อ่อ งั้นซื้อข้าวปะ กินอะไรดีน้า” ปากผมก็พูดกับไอ้อิน แต่ตาผมมองไปที่ร้านอาหารที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าแล้ว นี่ปฏิเสธข้าวเช้าฝีมือที่รักมากินข้าวกับเพื่อนอย่างมึงเลยนะอินเอ้ย

   “มึงไปซื้อก่อนเลย เดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะให้” มันเงยหน้าจากชีทมาบอกผม

   “งั้นมึงกินอะไร เดี๋ยวกูซื้อมาให้เลยแล้วกัน”

   “เหมือนมึง”

   “อ่ะได้ เดี๋ยวเจ้าจัดให้นะคุณอินทัช อิอิ” ท้ายประโยคผมก็ยิ้มแฉ่งใส่ไปที วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ

   ผมเลยลุกออกไปสั่งอาหารตามสั่งข้างๆร้านก๋วยเตี๋ยวป้าเย็น เช้านี้ก็คงเลือกเมนูเบาๆสบายท้องอย่างผัดคะน้าหมูกรอบไข่ดาวไม่สุก อย่าตกใจกันนะครับ นี่เบาท้องสำหรับผมแล้ว อิอิ สอบแคลฯต้องใช้พลังงานเยอะอ่ะเนอะ รอไม่นานข้าวราดผัดคะน้าหมูกรอบสองจานก็มาอยู่ในมือผม พร้อมที่จัดการส่งเข้าระบบย่อยอาหารของร่างกายแล้วครับ

   “มาแล้ว นี่เลย สำหรับร่างกายที่ต้องการพลังงานในเช้านี้” ผมวางจานข้าวคะน้าหมูกรอบหนึ่งจานลงตรงหน้าอิน พร้อมนำเสนอความพิเศษของเมนูนี้เต็มที่

   “อื้อหือ มึงหิวขนาดนั้นเลยหรอไอ้เจ้า จัดหนักแต่เช้า” อินเอ่ยพร้อมเลื่อนชืทวิชาแคลคูลัสไปด้านข้างแล้วเอื้อมมาเลื่อนจานข้าวไปวางแทนที่

   “หนักที่ไหน นี่เบาๆเลยนะ อิอิ”

   “กูขอให้มึงอ้วน!” อ่าวๆ ปากมึง เดี๋ยวก็ไม่ได้กินข้าว

   “ไอ้เชี่ยอิน! กินไปเลย ชิ” อย่าให้ต้องโมโหนะ เดี๋ยวไข่ดาวในจานมึงจะบินเข้าท้องกู

   “เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อน มึงเอาน้ำอะไร” อินผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวออกมายืนเอาแขนค้ำโต๊ะฝั่งตรงข้ามผม

   “เอา..”

   “นมเย็น หึ”

   “รู้ใจอีกแล้ว รักมึงจัง” เอื้อมมือไปจับแขนมันแล้วก็ฉีกยิ้มใส่ ไม่มีใครจะโชคดีมีเพื่อนรู้ใจอย่างอินได้เท่าผมอีกแล้ว
 
   “ไม่ต้องมาบอกรักกูเลย ไปบอกพี่เกียร์ของมึงโน่น! แบร่!” แล้วมันก็วิ่งออกไปร้านน้ำอย่างไว พูดอะไรไว้ เดี๋ยวเถอะมึงงงงงง

   “ไอ้เชี่ย กูขโมยเจาะไข่ดาวมึงแน่!!” อะไรของมันก็ไม่รู้ บอกรงบอกรักอะไรเล่า ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่มันซะหน่อย ใช่ไหมครับ

   ระหว่างที่รอมันซื้อน้ำผมก็ตักข้าวเข้าปากสบายใจ ไม่รอมันหรอก ชิ

   “สวัสดีครับน้องเจ้า” เสียงเอ่ยทักจากผู้มาใหม่ที่มายืนข้างๆโต๊ะที่ผมนั่งอยู่

   “อ้าว สวัสดีครับพี่ไนซ์” กล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้ตามธรรมเนียมปฏิบัติ
 
   “มีสอบเช้าหรือครับ” รุ่นพี่สถาปัตย์ถามผมด้วยรอยยิ้ม บางทีพี่ก็ยิ้มเก่งไปนะ ผมยอมแพ้

   “ครับ มีสอบแคลฯ”

   “แล้วทำไมมานั่งคนเดียวครับ ให้พี่นั่งเป็นเพื่อนเปล่า” บางทีพี่ก็ใจดีไปอีกนั่นแหละ งืออออ คราวก่อนกว่าจะเคลียร์กับบางคนได้ พี่อย่าเพิ่งหางานมาให้ผมสิครับ เดี๋ยวนะ แล้วทำไมผมจะต้องรู้สึกเกรงใจพี่เกียร์ขนาดนั้นด้วยวะ

   “เปล่าครับ นั่งกับเพื่อน มันไปซื้อน้ำ แหะๆ”

   “หรือครับ อืม...งั้นอ่ะ พี่ให้ ตั้งใจสอบนะครับ ขอให้ผ่านฉลุยเลย” กลางประโยคที่ว่านั้นพี่ไนซ์ยื่นกล่องขนมมาการองสีสวยมาตรงหน้าผม สมองประมวลทำให้ผมคิดจะปฏิเสธ แต่พอเงยหน้ามองพี่ไนซ์แล้ว ถ้าผมเอ่ยปฏิเสธไปรอยยิ้มที่ส่งมาพร้อมกล่องมาการองจะต้องหายไปแน่ๆ

   “เอ่อ ขอบคุณนะครับ แต่คราวหน้าไม่ต้องซื้อมาก็ได้นะครับ มันแพงผมเกรงใจ” เอื้อมมือไปรับขนมจากมือพี่ไนซ์
 
   “ไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้า พี่เต็มใจ”

   “ครับๆ ขอบคุณอีกครั้งครับ”

   “อย่าลืมกินล่ะ พี่ไปก่อนนะครับ” จบประโยคของพี่ไนซ์ พี่เขาก็ยกมือขึ้นมาวางที่หัวผมแล้วโยกเบาๆแบบที่ผมไม่ทันได้ระวังตัว

   “สะ..สวัสดีครับ” แล้วพี่ไนซ์ก็หันหลังเดินออกจากโรงอาหารของคณะผมออกไป ทิ้งไว้เพียงความตกใจและความงุนงงกับการกระทำเมื่อสักครู่นี้  การกระทำที่คนๆหนึ่งมักทำเป็นประจำ แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกตอนนี้คือ ไม่เหมือน

   ไม่เหมือนกับตอนที่พี่เกียร์ทำ


   “ไง เรตติ้งพุ่งแต่เช้าเลยนะมึง” เสียงทักจากเพื่อนสนิทที่นั่งลงตรงข้ามผม คำพูดไม่เท่าไหร่ แต่สีหน้ามึงน่าถีบมากอิน มึงไปซื้อน้ำที่ตีนเข้าเอเวอร์เรสรึไง ทำไมเพิ่งมาฮะ

   “เรตติ้งเชี่ยไร เห็นแล้วทำไมไม่เดินเข้ามา”

   “เอ้า กูไม่อยากขัด เดี๋ยวเสียมารยาท ละไหน พี่มันเอาอะไรมาให้วะ”

   “มาการอง” ผมตอบมันพร้อมกับยกกล่องมาการองไปวางตรงหน้าไอ้อิน

   “หืม มาการองเลยหรอวะ รู้จักซื้อมาเอาใจมึงเนอะ เจ้าพระยาผู้พ่ายแพ้ต่อขนมทุกชนิดบนโลก ฮ่าๆ”

   “หยุดหัวเราะเลยนะ!! กูไม่ได้อยากได้สักหน่อย เฮ้อ” สายตาผมที่จับจ้องไปยังกล่องขนมหลากสีสัน ซึ่งถ้าเป็นปกติผมจะดีใจและพร้อมจัดการมันลงท้องอย่างไม่เกี่ยง แต่ขนมในกล่องตรงหน้านี้ผมกลับรู้สึกลำบากใจที่จะรับมันมา อาจเป็นเพราะผมพอจะเดาเจตนาคนให้ถูกก็ได้

   “หึ ไม่อยากได้ ก็ปฏิเสธสิ รับมาทำไม” พูดเสียงเรียบพร้อมกับตักข้าวเข้าปาก สบายใจเลยนะมึง ทำไมกลายเป็นผมที่หายหิวขึ้นมาดื้อๆ

   “ปฏิเสธได้ก็ดีสิวะ มึงต้องมาเห็นหน้าพี่เขาตอนยื่นขนมมาให้ ยิ้มซะกูไม่กล้าปฏิเสธ” ผมมุ่ยหน้า ยู่ปากตอบมันไป ไม่ใช่ไม่ลำบากใจนะเว้ย แต่จะหาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธน้ำใจเขาวะ

   “บางอย่างมึงก็ควรชัดเจน  ปฏิเสธตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้อะไรมันยืดยาวไปไกล ถึงวันนั้นตัวมึงเองนะที่จะลำบาก” ไอ้อินเงยหน้าจากจานข้าวมาพูดประโยคยาวเหยียดกับผม และผมก็รู้ว่ามันไม่ได้หมายถึงการให้ผมปฏิเสธการรับมาการองกล่องนี้มา

   “แล้วกูจะเอาเหตุผลอะไรปฏิเสธวะ พี่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วที่สำคัญกูก็...กูไม่รู้ว่ะ” ผมขมวดคิ้วแน่นกับสิ่งที่กำลังตีกันอยู่ในหัว จริงอยู่ที่ผมรู้สึกลำบากใจ รู้สึกเหมือนว่าทำอะไรผิดกับคนๆหนึ่ง แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรชัดเจนพอที่จะทำให้ผมต้องปฏิเสธความหวังดีจากเขานี่ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

   “เจ้า” เพื่อนสนิทตรงหน้าเอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ

   “หือ?”

   “กูไม่ได้ให้มึงชัดเจนเพราะพี่เกียร์ ยังไงตอนนี้มึงกับพี่เขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กูแค่อยากให้มึงชัดเจนกับความรู้สึกของตัวมึงเอง มึงไม่ต้องตอบกูว่าความรู้สึกของมึงตอนนี้เป็นยังไง มึงตอบตัวเองให้ได้ก็พอ” ประโยคยาวเหยียดอีกครั้งจากปากเพื่อนสนิทไหลผ่านเข้าไปในสมองส่วนรับรู้และกำลังประมวลผลตามคำพูดเหล่านั้น ความรู้สึกข้างในรวมกับเหตุผลที่ได้รับมามันก็มากพอที่จะทำให้ผมได้คำตอบที่ใช้ตอบตัวเอง

   แค่ชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองก็พอ...ผมรู้แค่นั้น

   “ขอบใจว่ะอิน กูเข้าใจแล้ว” เอ่ยบอกเพื่อนสนิทไปทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้า
 
   “เข้าใจแล้วก็กินข้าว เขี่ยอยู่นั่น อีกชั่วโมงนึงก็เข้าห้องสอบละ”

   “คร้าบบบๆ คุณอินทัช”
 
   กับเรื่องเรียน เรื่องความรู้รอบตัว ผมถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ฉลาดรอบรู้ แต่กับเรื่องความรักผมก็คงต้องมีคนคอยช่วยให้คำปรึกษา เพราะสำหรับผม ความรักมันยากเสมอ







   หลังจากจัดการอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อย พวกเราสองคนก็เก็บของเตรียมตัวเข้าสอบแคลคูลัส 1 วิชาพื้นฐานของเด็กสายวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย เดินถึงหน้าห้องสอบก็เจอเพื่อนร่วมชั้นปีที่กำลังขะมักเขม้น กับการอ่านเอกสารประกอบการเรียน บางกลุ่มก็สุมหัวติวกันแบบไฟลุก โดยเฉพาะกลุ่มเดือนหน้าหล่ออย่างไอ้ว่าน ไอ้นาย และไอ้ซัน คิ้วนี่ขมวดรวมกันเป็นโบว์ละ
 
   “แฮ่!!” สองเสียงประสานพร้อมยกมือเกาะไหล่ไอ้เพื่อนหน้าดีแต่ปากไม่ดีตามหน้า ฮ่าๆ

   “เหี้ย!!!” ที่หน้ามึงไงซัน ฮ่าๆ มีมาทำมงทำมือลูบอก

   “ฮ่าๆ ขวัญอ่อนจังนะคุณปฏิภาณ”

   “ไอ้เจ้า ไอ้อิน เล่นอะไรของพวกมึงวะ ถ้าลิมิตกูตกใจหลุดออกจากสมองไป แล้วกูทำข้อสอบไม่ได้นะ พวกมึงต้องรับผิดชอบ!” มันหันมาชี้หน้าคาดโทษผมกับไอ้อิน แต่คิดหรือว่าพวกผมจะกลัว รู้แหละว่ามันขู่ไปงั้น คนแบบไอ้ซันก็งี้

   “กูว่าถึงกูไม่แกล้ง มึงก็สอบไม่ได้ คนห่าอะไรอ่านหนังสือหน้าห้องสอบแล้วหวังผ่าน” ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆไอ้นายที่ตอนนี้เลิกอ่านแล้วมานั่งควงดินสอกดเล่นแล้ว ไอ้อินเจ้าของประโยคเมื่อสักครู่ก็นั่งลงข้างไอ้ซัน ส่วนไอ้ว่านนั่งตรงกลาง

   “คนแบบกูนี่แหละ มึงไม่รู้จักอัจฉริยะข้ามคืนหรือวะ คอยดูกูจะเอาเอมาปาหน้ามึงนะอิน” ไอ้ซันหันไปคุยโวแสดงความมั่นใจใส่ไอ้อิน

   “กูจะรอดู ฮ่าๆ”

   “เจ้า ข้อนี้ทำไงวะ” คุณว่าน ธีรเดช ที่นั่งอยู่ตรงกลางก็ชะเง้อคอ ยื่นชีทข้ามตักไอ้นายมาถามผม

   “อ่าว มึงก็เขียนแล้วนี่ไง งงอะไรวะ” จริงครับ มันเขียนวิธีทำไว้เต็มหน้ากระดาษเลยครับ แต่ดันมาถามว่าทำยังไง อะไรของมึงเนี่ย

   “กูลอกเขามา” เอ่อ..

   “โอเค รู้เรื่อง ไอ้นายมึงจะฟังไหม ถ้าไม่ มึงสลับที่กับมันหน่อย”

   “ฟังๆ”

   แล้วผมก็ต้องเปิดคอร์สติวสดไฟท่วมชีทเป็นการสรุปรวบยอดแบบเนื้อเน้นๆ ปากอธิบายไป พยายามดึงความรู้ที่มีในหัวมาสอนมัน แต่รู้อะไรไหมครับ ภาพในหัวผมกลับเป็นใบหน้าคนๆหนึ่งที่คอยดุตอนผมงอแงไม่ยอมทำโจทย์ต่อ ข้อไหนผมทำไม่ได้ก็ด่าผมว่าโง่ ไม่ตั้งใจฟัง แต่ก็ยังคอยสอนให้ผมเข้าใจ มือที่ชอบตีหัวผมตอนแทนค่าผิดแต่ก็คอยลูบหัวผมตอนคำตอบออกมาตรงกับเฉลย คนที่แสดงออกแบบแข็งกระด้างแต่กลับทำให้หัวใจผมอบอุ่นเหมือนได้รับแสงอาทิตย์ยามเช้า คนแบบพี่เกียร์นี่ไง

   “เจ้า เจ้า ไอ้เจ้า!!!” ไอ้ว่านตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง

   “ห๊ะ? อะไร” อยู่แค่นี้จะตะโกนทำไมวะ

   “หยุดอธิบายทำไม เอาแต่ยิ้ม เป็นอะไรของมึง” ไอ้นายมันหันมาขมวดคิ้วถาม

   “กูยิ้มหรอวะ”

   “ก็เออสิ!!!!!” ประสานเสียงซะชัดเต็มสองหูกูเลยพวกมึง เออ รู้แล้ว คนมันมีความสุข ยิ้มไม่ได้หรือไง ได้แค่คิด ใครจะกล้าพูดออกไป

   “หึ ใจลอยหาเจ้าของหัวใจหรือเจ้าของมาการองวะ” ไอ้อินมันชะโงกหน้ามาทิ้งระเบิดใส่ผม มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยยยยย

   “อะไรวะ มาการองไหนวะ ไอ้เจ้าบอกกูมา” เอาล่ะ ไอ้ซันถึงกับเทชีทแคลฯมาถามขนาดนี้ ถ้ามึงตั้งใจอ่านหนังสือได้เท่ากับการตั้งใจเสือกตอนนี้ มึงคงได้เอแน่ๆซันเอ้ย

   “ไม่มีอะไรโว้ย พอๆเตรียมตัวเข้าห้องสอบได้ล่ะ อะ! นั่นไง เขาให้เข้าห้องสอบแล้ว ไปๆลุกสินาย” ผมรีบตัดบทหยิบเครื่องเขียนที่จะใช้ทำข้อสอบเตรียมตัวเข้าห้องสอบ ขืนอยู่นานไม่วายจะต้องหาเรื่องมาแถกับไอ้พวกนี้อีก อินนะอิน ให้กูสอบเสร็จก่อนเถอะ กูจะฟ้องพี่พี!!!

   “เออๆ ไปๆ” ไอ้นายมันก็ตอบรับหน้างงๆ ดีแล้วล่ะ อย่าเพิ่งฉลาดรู้ทันกูนะนาย

   “สอบเสร็จกูจะมาง้างปากมึงแน่” ไอ้ซันหันมาส่งสายพร้อมเอ่ยประโยคคาดโทษไว้ กลัวตายแหละ ชิ

   “ฮ่าๆ” มีความสุขเหลือเกินนะไอ้อิน
   


   มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2



   ได้เวลาทุกคนก็ย้ายมวลร่างกายตัวเองเข้าห้องสอบ คนที่อ่านมาเต็มที่ก็เหมือนเดินเข้าสวนสนุก แต่หลายคนที่เป็นอัจฉริยะข้ามคืนก็มีสภาพเหมือนเดินเข้าโรงเชือด ถึงจะเป็นวิชาพื้นฐานแต่มันก็มีผลต่อเกรดรวมทั้งหมด แล้วยิ่งยังอยู่ปีหนึ่งแบบพวกผม การพยายามเก็บเกรดเอให้ได้มากที่สุดยังคงเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ เพื่อให้ได้มีเกรดสำหรับเฉลี่ยเกรดตอนขึ้นปีสูงๆ สำหรับวิชาแรกวันนี้นั้น ผมขอให้ทุกคนโชคดี

   เวลาผ่านพ้นไปเกือบสามชั่วโมง หลายคนก็อินเพลงพี่ตู่ รู้..แต่มันทำไม่ได้ เทข้อสอบออกจากห้องไปก่อน หลายคนที่อินเพลงไม่รู้จะอธิบายยังไง ของวงร็อคอย่างโปเตโต้ ก็นั่งมองข้อสอบตรงหน้าแบบปลงๆ ส่วนผมน่าจะอยู่ในช่วงอินเพลงคงไม่ทันแล้วแหละ ฮืออออ เวลาจะหมดแล้วแต่ข้อสุดท้ายยังทำได้แค่ครึ่งเดียว พี่สงกรานต์ช่วยเจ้าด้วยยยยยย

   และแล้วก็หมดเวลาตอนนี้ทุกคนคงจะอินเพลงเดียวกันแล้วคือหมดเวลาแก้ตัว รอเวลาฟังเพลงต่อไปหลังจากรู้คะแนนสอบแล้วกัน นี่แค่วิชาแรกสภาพแต่ละคนที่อยู่หน้าห้องสอบตอนนี้คือหนักเลยครับ แล้วก็เป็นธรรมเนียมของเด็กไทยแทบทุกคนที่จะต้องออกมาถามคำตอบเพื่อน ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกแต่แค่มีคนตอบเหมือนเราก็เบาใจไปได้มากโข ประหนึ่งว่ามีเพื่อนกอดคอยามผลคะแนนดำดิ่งสู่ใต้มีนนั่นเอง ผม อิน และผองเพื่อนไม่มีใครพูดอะไร เพียงแค่สบตากันก็เข้าใจว่า แล้วแต่บุญแต่กรรม สาธุ

   “เฮ้ออออออออ กูจะตาย ฝากพ่อฝากแม่กูด้วย”

   เสียงโหยหวนของไอ้ซันที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะยาวในโรงอาหารคณะ สภาพเหมือนไปรบมาจริงๆ

   หลังจากสอบเสร็จพวกเราทั้ง 5 คนก็เดินมาที่โรงอาหารคณะโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรกันสักคำ คงเดินมาถามเสียงของร่างกายที่กู่ร้องว่าต้องการอาหารไปทดแทนพลังงานที่สูญเสียไปในห้องสอบ ข้อสอบผ่านไปแล้ว เลิกคิด เจ้าจะกิน!!

   “กูฝากด้วยยยยย” ไอ้นายก็ไถตามไปอีกหนึ่งคน

   “พ่อกับแม่พวกมึงเอาไว้ก่อนไม่ต้องฝาก มาฝากข้าวกูก่อน จะกินอะไร” ไอ้อินเป็นตัวแทนเอ่ยถามเพื่อนๆ ตอนนี้ผมว่าผมกับอินอยู่ในสภาพปกติที่สุดแล้ว

   “กูเอาข้าวผัด” ซันเงยหน้ามาตอบสั้นๆแล้วหัวก็ทิ่มไปเหมือนเดิม

   “กูด้วย/เหมือนกัน” นายกับว่านตอบพร้อม เออดีเหมือนกันแฮะ ฮ่าๆ สภาพคุณธีรเดชตอนนี้หมดสภาพเดือนคณะเลยครับ แต่สภาพไหนมันก็หล่ออยู่ดี อิจฉาความสูงมึงจังว่าน

   “ไอ้เจ้า ไปช่วยกูถือ ไอ้นายกูฝากลุกไปซื้อน้ำด้วย” ฝากฝังไว้แค่นั้นเราสองคนก็เดินทาที่ร้านอาหารตามสั่งร้านเดิมกับเมื่อเช้า

   RrrrrrrrrRrrrrrrrr

   - P’ GEAR –

   “อิน กูเอาข้าวผัดกุ้งนะ รับโทรศัพท์แปบนึง”

   “อืม รับเร็วๆ เดี๋ยวพี่มันก็บุกมาหรอก ฮ่าๆ” แค่นี้มึงก็แซ็วเนาะ

   ติ๊ด!

   “ครับผม”

   (หึ เสียงแบบนี้ ทำข้อสอบได้สินะ)

   “ก็ได้นะ แต่ว่าข้อสุดท้ายทำไม่ทัน แหะๆ” รายงานผลกับอาจารย์เขาหน่อยครับ ถึงขั้นโทรมาหาหลังสอบขนาดนี้

   (คิดมากหรือ?)

   “ไม่ๆ ไม่คิดมากเลย น่าจะผ่านแล้วแหละ”

   (ดีแล้ว แล้วนี่อยู่ไหน)

   “โรงอาหารคณะกับเพื่อนอ่ะ เดี๋ยวไปอ่านหนังสือต่อที่หอสมุด” ตอนบ่ายไม่มีสอบเลยต้องไปอ่านสรุปความรู้ที่จะใช้สอบชีวะวันพรุ่งนี้  วิชานี้ผมไม่ค่อยเครียดเท่าไร ความรู้พื้นฐานตอนมัธยมยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย

   “อืม งั้นไปกินข้าวไป” เสียงราบเรียบของคนตัวสูงที่เคยติดดุ แต่วันนี้เสียงดูอ่อนแรงมาก ตั้งแต่เมื่อเช้าพี่มันได้พักบ้างรึเปล่านะ

   “เอ่อ แล้วพี่อยู่ไหนอ่ะ” ถามออกไปทั้งที่ใจอยากจะถามคำถามอื่นมากกว่า

   “อยู่คณะ เดี๋ยวกูไปทำงานต่อละ”

   “ครับ เอ่อ พี่เกียร์”

   “อืม ฟังอยู่”

   “พักบ้างนะครับ ผม...เป็นห่วง” ความรู้สึกที่ชัดเจนในใจก็มากพอที่จะทำให้ผมเอ่ยประโยคนี้ออกไป

   “หึหึ ห่วงเพื่อนกูหรือ” ว่าไปนั่น

   “พี่เกียร์!! ชิ แล้วแต่พี่เลย ผมไปกินข้าวละ” ไม่ห่วงมันละ ก็เป็นซะอย่างงี้

   “ฮ่าๆ โอเคๆ”

   “ไปแล้ว!” เอ่ยส่งปลายสายไปเสียงดัง แต่ยังไม่ทันที่จะเอาโทรศัพท์ออกจากหู เสียงปลายสายกลับทำให้ผมชะงัก

   “เอ๋อ ขอบคุณที่เป็นห่วง” เสียงทุ้มอบอุ่นลอดผ่านสัญญาณโทรศัพท์มาถึงผม และไม่ยากที่จะทำให้มุมปากผมยกยิ้มกว้างแสดงออกว่าตอนนี้ผมมีความสุข

   “ครับผม”

 
   เดินกลับมาที่โต๊ะข้าวที่สั่งไว้ก็มาวางตรงตำแหน่งที่กระเป๋าของผมวางไว้ สายตาเพื่อนร่วมโต๊ะที่ส่งมาเหมือนมีคำว่าเสือกฟอนต์ไทยสารบัญขนาด 150 pt แปะอยู่ตรงหน้าผาก แต่ผมก็ส่งเพียงรอยยิ้มไปเป็นคำตอบให้พวกมันแล้วก็นั่งกินข้าวผัดกุ้งอย่างสบายใจ ฮ่าๆ





   หลังจากมื้อเที่ยงผมกับอินก็เลยชวนเพื่อนสามคนไปอ่านหนังสือที่หอสมุด เพราะถ้าลองปล่อยกลับไปอ่านเองคงไม่แคล้วจะต้องมาเปิดคอร์สติวสดหน้าออกสอบอีกตามเคย แต่ละคนก็ยินยอมพร้อมใจไปอ่านกับพวกผม ก็แน่สิ ไอ้อินมันเอาผมไปเป็นดึงความสนใจว่าผมจะช่วยติวให้ ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ทำไมมึงโยนขี้ให้กูคนเดียวฮะไอ้อิน!!

   ตอนนี้พวกผมก็มาอยู่กันที่หอสมุดของมหาวิทยาลัย และในฤดูกาลสอบแบบนี้เหล่านักศึกษาก็มารวมตัวกันจนแต่ละชั้นเนืองแน่นไปด้วยผู้คน หอสมุดที่เคยเงียบตอนนี้กลับมีเสียงจอแจไม่ต่างจากโรงอาหารสักเท่าไร พวกผมเลือกที่จะขึ้นไปอ่านที่บริเวณชั้น 5 หวังว่ามุมโปรดของพวกผมจะยังไม่ถูกจับจอง มาเร็วขนาดนี้คิดว่าไม่น่าจะพลาดไปได้

   แล้วก็เป็นจริงดังคาดหวังที่บริเวณโต๊ะประจำของผมกับอินยังว่างเปล่าไร้เจ้าของ สงสัยจะรอเจ้าของตัวจริงอย่างเจ้าพระยาคนนี้อยู่แน่ๆ อิอิ เมื่อได้ที่นั่งต่างคนก็ต่างหยิบเอกสารการเรียนของตัวเองขึ้นมา อินแยกออกไปค้นหาหนังสือเพิ่มเติม ซัน นาย ว่าน ก็ดูจะพร้อมกับการเรียนรู้โปรแกรมลัดสรุปเนื้อหาตลอดทั้งเทอมจากผม ถ้านักเรียนพร้อมขนาดนี้ คนสอนอย่างผมก็พร้อมเช่นกัน เหมือนได้ทบทวนความรู้ไปในตัว ผมจึงเริ่มบทเรียนของบ่ายวันนี้ สอนไปสักพักอินก็กลับมาประจำที่ ถึงได้แยกไอ้ว่านออกไปช่วยสอน ดูจากรูปการแล้วไอ้ซันมันคงลืมเรื่องที่มันจะง้างปากผมเพื่อถามเรื่องมาการองแล้วแหละ
 
   สอนกันไป ถามกันไป มีเถียงกันบ้างเพื่อความบันเทิง แต่ทำไมอยู่ดีๆพวกมันถึงทำชะงักค้างเหมือนเจอผีแบบนั้นวะ

   “มีอะไรวะ” ผมเอ่ยถามไอ้ซันที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม ส่วนนายที่นั่งอยู่ข้างซ้ายผมมันก็ชะงักไม่ต่างกัน

   “อะไรวะ” อินก็เงยหน้าจากบทเรียนมาถามคำถามเดียวกับผม คือผมกับอินนั่งฝั่งเดียวกัน หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง ส่วนว่านก็นั่งด้านซ้ายของอิน

   “มี มีพี่สุดหล่ออยู่ข้างหลังมึงอ่ะ” พี่สุดหล่อ? อะไรของมึงเนี่ยไอ้ซัน

   ผมก็เลยหันตามสายตามันไปด้านหลังผม
 
   “อ้าว” คนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์กับผมไปเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมากลับมายืนนิ่งเป็นปูนปั้นอยู่ข้างหลัง นี่ถ้าไม่ยิ้มมุมปากนิดๆไม่รู้เลยนะว่ามีชีวิต ฮ่าๆ

   “อ้าว อะไรเตี้ย” คนตัวสูงก้มหน้ามาถามผม ตอนแรกก็ว่าสูง พอผมนั่งแล้วพี่มันยืน เออ นึกว่าคุยกับยีราฟ

   “ทำไมมาอยู่ตรงนี้อ่ะ ทำงานเสร็จแล้วหรอ”

   “ยังไม่เสร็จ” เจ้าของคำตอบเอ่ย พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านซ้ายผม เมื่อกี้ไอ้นายมันยังนั่งอยู่เลยนี่หว่า แล้วทำไมพวกเพื่อนผมมันถึงย้ายตัวเองไปกองอยู่ที่มุมโต๊ะฝั่งไอ้อินแบบนั้นล่ะ ไปนั่งไกลแต่หูผึ่งรอสอดแนมเชียวนะคุณปฏิภาณ

   “อ่าว อู้งานมา เดี๋ยวพี่โซ่ก็ตามมาด่าหรอก” อย่าให้องค์แม่ลงพี่โซ่เถอะ เคยเห็นแค่วันติวสอบที่ร้านกาแฟวันนั้นผมก็ขนลุกละ ด่าซะพี่มายด์สำนึกผิดไม่ทัน

   “กูขอมันแล้ว บอกว่ามาหามึง มันเลยยอมให้มา”

   “หืม นี่พี่เดินจากคณะมาหาผมหรือ?”

   “มาหาปลาทองเอ๋อ” เรียกผมว่าปลาทองไม่พอ ยกมือมายีหัวผมอีก ความสนุกพี่มันล่ะ

   “งื้ออออ อย่ายี ยุ่งหมดละเนี่ย”

   “ฮ่าๆ แค่นี้ทำหวง แล้วไงอ่านถึงไหนแล้ว” ท่าทางประกอบคำถามนี้คือพี่เกียร์ฟุบหัวลงไปวางบนแขนที่เอาขึ้นมารอง แล้วหันหน้ามาถามผม
 
   “ก็ติวให้เพื่อนไปเยอะแล้ว อ่านไปเรื่อยๆ ผมอ่านจบไปรอบนึงแล้วไง ว่าแต่พี่เถอะ ได้นอนบ้างมั้ยเนี่ย” ท้ายประโยคนั้นผมก็จ้องไปที่ใบหน้าคมเข้มของรุ่นพี่คนนี้ หน้าที่เนียนใส ก็ยังคงเนียนใสเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าตอนนี้ดูอิดโรยมากเหลือเกิน ใต้ตาคล้ำจนแทบจะยื่นใบไผ่ให้ สงสัยมัวแต่รีบทำรายงานส่งจนลืมดูแลตัวเองสินะ

   “ก็นอนนะ นอนเมื่อวันก่อน” ตอบเสียงราบเรียบ ทั้งยังหลับตาตอบอีก ง่วงขนาดนี้ก็ยังจะฝืนอีกนะ หึ่ย

   “เห้ย! นอนเมื่อวันก่อนเนี่ยนะ พี่ทำงานหนักเกินไปไหม”

   “เสียงดังทำไมเอ๋อ”

   “ก็พี่...”

   “กูทำไม?” ที่อย่างงี้มาลืมตา แล้วง่วงขนาดนี้สายตาเจ้าเล่ห์ก็ยังไม่เลิกทำเนอะ

   “หึ่ย พี่มันดื้อ!!”

   “หึหึ คนดื้ออย่างมึง กล้าว่ากูดื้อด้วยหรอเอ๋อ” สงสัยจะง่วงจริง หลับตาลงอีกแล้ว แพขนตายาวก็ช่างรับกับใบหน้านี้เหลือเกิน แบบนี้มั้งที่เขาเรียกว่าเทวดาสรรค์สร้าง

   “ไม่เถียงละ พี่นอนไปเลย”

   “หื้ม ไม่ได้จะนอน เดี๋ยวกูก็กลับไปทำงานแล้ว แวะมาหาเฉยๆ”

   “พี่นี่ดื้อจริง แทนที่จะเอาเวลาไปรีบทำงาน จะได้รีบกลับไปพัก มาหาผมแล้วงานมันจะเสร็จเร็วขึ้นรึไงเล่า” ผมบ่นยาวเหยียดให้กับความดื้อดึงของคนตัวสูง เดินมาก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ดีนะไม่หลับกลางทาง

   “อืม เสร็จเร็วขึ้น”

   “หื้อ? ได้หรอ”

   “ได้สิ มาเจอหน้ามึงแล้วกูมีกำลังใจทำงานไง” เกลียดรอยยิ้มมุมปากนั่นจริง แต่ทำไมผมต้องยิ้มด้วยเนี่ย

   “ฮิ้ววววววววววววววววววว” ไอ้เพื่อนชั่ว  มึงไม่ต้องส่งเสียงแสดงถึงการมีอยู่ของพวกมึงก็ได้นะ กูไม่ได้ลืม ถ้าบรรณารักษ์เดินมาด่ากูจะสมน้ำหน้าให้

   “ว๊ายยยยย เจ้า หอสมุดแอร์ก็เย็นนะ ทำไมมึงหน้าแดงวะ ฮ่าๆ” กูจะไม่ติวให้มึงแล้วไอ้ซัน

   “สัด”

   “หึหึ” นี่ก็ยังไม่เลิกมองผมอีก

   “เลิกมองได้แล้ว นอนไปเลย หึ่ย!” ทำอะไรไม่ได้ก็ละเลงปากกาเน้นคำลงบนชีทเรียนนี่แหละ เอาให้สว่างทั้งหน้ากระดาษกลบสีบนใบหน้าผมตอนนี้ได้ยิ่งดี

   “จะไปแล้ว เดี๋ยวไอ้โซ่บ่น”

   “อื้อ ไปเลย” ปากเอ่ยบอกคนตัวสูงให้รีบไป แต่ตัวผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ก็หน้ายังไม่หายร้อนเลยนี่นา

   “ตั้งใจอ่านหนังสือ” พี่เกียร์ลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือมาวางที่หัวผมพร้อมกับโยกเบาๆ มันไม่ได้ชัดเจนแค่การกระทำ แต่มันชัดเจนในความรู้สึกผมมากขึ้น เพราะมันย้ำถึงความแตกต่างในสัมผัสที่ได้รับ หัวใจที่เต้นตอบรับเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่านี่แหละ สัมผัสอบอุ่นที่คุ้นเคย

   “ครับ พี่ก็ตั้งใจทำงานนะ สู้ๆ” ผมแกยิ้มกว้างพร้อมชูสองนิ้วเป็นสัญลักษณ์ยืนยันว่าให้คนตรงหน้าสู้กับงานที่หนักหน่วงนี้ให้ผ่านไปได้ด้วยดี

   “อืม ไปละ” เจ้าของมืออุ่นผละมือเตรียมเดินกลับไปทำรายงานที่ค้างคาไว้

   “เดี๋ยวพี่เกียร์” เอ่ยรั้งคนตัวสูงไว้ เพื่อที่จะถ่วงเวลาให้ผมล้วงหาบางอย่างในกระเป๋าสะพายคู่ใจ

   “...?”

   “อ่ะนี่ ผมให้ เขาบอกว่าความหวานของน้ำตาลช่วยให้ร่างกายของเราสดชื่นขึ้น สมองแล่นด้วยนะ” ผมยื่นอมยิ้มทรงกลมยี่ห้อดังให้กับคนตัวสูงด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งโฆษณาสรรพคุณให้เรียบร้อย หวังว่าจะช่วยให้พี่เกียร์มีแรงทำงานจนถึงเวลาส่งงานด้วยเถอะ

   “ขอบใจ มึงนี่น้า” พี่เกียร์ยื่นมือมารับอมยิ้มสีสวยจากผมไป แต่อะไรคือการยกมืออีกข้างขึ้นมาจับแก้มผมยืดแรงขนาดนี้เนี่ย ขอบใจเฉยๆก็ได้ พี่แม่ง

   “อื้อออออ เจ็บๆ อะไรของพี่เนี่ย” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มที่โดนพี่เกียร์ยืด นี่มันแก้มคนนะว้อย

   “หึ วันนี้ทำไมปลาทองเอ๋อมัน...”

   “มันอะไร?” หัวคิ้วกระตุกเข้าหากันแสดงความสงสัยในการทิ้งช่วงคำของพี่มัน

   “มันน่ารักจังวะ

   ง่ะ...

   หน้าไหม้ไปอีกรอบแล้วเจ้าพระยา ฮืออออ

   “ฮิ้วววววววววววววว ดอกที่สอง พี่นี่โคตรไอดอลผมเลย ฮ่าๆ” ยัง ยังไม่เลิกแซ็วอีกไอ้เชี่ยซัน

   “หยอดแต่ละที เพื่อนผมเข่าแทบทรุดไปละนั่น ฮ่าๆ” ไอ้นี่ก็อีกคน มึงจะมีเรื่องกับกูใช่ไหมไอ้ว่าน

   “ไปทำงานเลยไป” ชิงตัดบทเอ่ยไล่คนตัวสูงที่บอกจะไปตั้งแต่สิบนาทีที่แล้ว

   “ครับๆ ไปแล้ว หึหึ” คนนัยน์ตาดุเอ่ยลาผมแค่นั้นก็หมุนตัวเดินออกไปทางลิฟต์ของหอสมุด ทิ้งไว้แค่รอยยิ้มกับหน้าแดงๆของผมเนี่ย

   พอผู้สร้างเรื่องชิ่งหนีไปกลางคันแบบนี้ ผมก็คงต้องเผชิญกับไอ้พวกเพื่อนจอมแซ็วตรงนี้คนเดียวสินะ หน้าแต่ละคนมันพร้อมแกล้งผมมากๆ

   “พี่เกียร์ครับ เจ้าให้ อมยิ้มหวานๆ แต่ปากเจ้าหวานกว่านะ ลองชิมไหม” ซื้อหวยคงถูกเพราะไอ้ซันมันเปิดก่อนแบบที่คิดไว้จริงๆ แม่งเอ้ย

   “อะแฮ่มๆ เอ่อ พี่ขอชิมได้ไหมครับ มามะ มาให้พี่ชิมหน่อย” คนที่สวมบทเป็นพี่เกียร์ก็คือไอ้ว่าน แหม มีดัดเสียงเข้มทำเนียน บทละครมึงเหี้ยมาก

   “ว๊าย ตรงนี้จะดีหรอครับพี่เกียร์ เจ้าเขินนะ” มีเขินบิดชายเสื้อนักศึกษาด้วยนะ มึงจะเล่นเอาออสการ์รึไง

   “ถ้ามึงสองคนยังไม่หยุด นอกจากกูจะไม่ติวให้แล้ว กูขอให้มึงได้กัน!!!” ผมจะยอมเสียแต้มบุญทั้งหมดให้คำขอนี้เป็นจริงเลยคอยดู

   “เหี้ย!!” มันประสานเสียงอุทานพร้อมกับเด้งตัวออกจากกันเหมือนเพิ่งรู้ว่าเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกัน

   “มึงอย่ามาแช่งพล่อยๆนะไอ้เจ้า เดี๋ยวผีผลัก” ไอ้ว่านชี้หน้าผม แต่มีหรือผมจะกลัว ลอยหน้าลอยตาแลบลิ้นใส่แม่ง

   “แล้วนี่พวกมึงจะอ่านกันต่อไหม มัวแต่เล่น” กราบเพื่อนผู้มีพระคุณอย่างอินทัชที่ช่วยตัดบทสักที

   “ใช่ มัวแต่เล่น ไร้สาระจริงพวกมึง” เกทับซ้ำไปอีก จะมันได้สำนึก

   “มึงก็ด้วย อย่ามัวแต่ยิ้มหน้าบาน  เลิกทำหน้าแดงแล้วมาช่วยกูติวพวกมันได้แล้ว”
 
   “ไอ้อิน!!!” ผมขอถอนคำพูด มึงมันร้ายที่สุดแล้ว

   “ฮ่าๆๆ” พร้อมใจกันหัวเราะดีจริง หึ่ย

   ช่วยเจ้าด้วยยยยยยยย







   หลังจากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ พวกผมก็เข้าสู่ช่วงมีสาระกันเหมือนเดิม ติวไป คุยไปเพื่อไม่ให้เครียดมากมาย พวกมันทั้งสามคนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย คงพอจะอ่านกันมาบ้าง หลังๆก็เลยไม่ได้จริงจังมากนัก นับจากพี่เกียร์กลับไปนี่ก็สองชั่วโมงแล้ว คงเอางานไปส่งแล้วมั้ง เพราะเส้นตายคือบ่ายสามวันนี้

   “ไอ้เจ้าๆ  มึงมาดูนี่ โอ้ยยยย กูเขินสัด พวกมึงเข้าเพจ U Cute Boy ด่วนๆ” อยู่ๆไอ้นายก็โพล่งขึ้นมากลางวงหลังจากที่มันก้มไถโทรศัพท์ไม่ถึงสองนาที

   “อะไรวะ” ผมที่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเลยเอื้อมไปคว้าเอาโทรศัพท์ของไอ้นายมาดูแทน มีอะไรทำให้มันตกใจขนาดนั้นวะ

   “เชี่ย! ไอ้เจ้ามึงเห็นยัง” ยังไม่ทันจะได้ดู ไอ้ซันก็ลั่นเสียงดังออกมาก่อน อะไรของพวกมึงเนี่ย

   พอผมก้มกลับมาโฟกัสที่หน้าจอสี่เหลี่ยมของสมาร์ทโฟนชื่อดัง ก็เป็นอันทำให้หัวใจที่เต้นด้วยอัตราปกติของมนุษย์ทั่วไปต้องเพิ่มอัตราการสูบฉีดอย่างรวดเร็ว เลือดที่ไหลเวียนทั่วร่างกายคงมากองที่หน้าผมแล้วแน่ๆ
   

   U Cute Boy


   ไม่ใช่พี่เกียร์ก็เหนื่อยหน่อยนะคะ ใครที่หวังจะได้สัมผัสแก้มยุ้ยๆยืดๆน่าฟัดของน้องเจ้า คงต้องเลิกหวังได้เลยค่ะ เพราะดูท่าพี่เกียร์จะแสดงความเป็นเจ้าของชัดแล้ว ว๊ายยยย ที่จับนี่คิดเป็นน้องเป็นนุ่งหรือคิดเป็นอย่างอื่นคะ //ยื่นไมค์ถาม แอดมินยายแช่ม

   **แนบรูปพี่เกียร์จับแก้มน้องเจ้าในห้องสมุด**

   กล่องความคิดเห็นใต้ภาพ

   กูบอกแล้วว่าคู่นี้เรียล ไม่ไหวจะเขินแล้วโว้ย

   สายตาอบอุ่นแบบนี้มีแค่น้องเจ้าที่ได้ไป ฮือออออ ฉันอยากสิงน้องงงงงง

   มึงๆ เขาคบกันจริงหรือวะ @ohmmy


   ภาพที่เห็นตรงหน้าผมต้องกราบความสามารถของคนถ่ายจริงๆ ครับ ภาพคมชัดระดับ HD ที่ทำให้เห็นสีแก้มที่เปลี่ยนไปของผมชัดมาก โอ้ยยยยยย แล้วเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย สารภาพไว้ตรงนี้ครับว่าผมเขินจริงๆ ฮืออออ

   “ไอ้เจ้า หน้ามึงโกหกใครไม่ได้จริงๆ ดูท่ามึงจะเขินพร้อมมุดโต๊ะมาก” เจ้าของโทรศัพท์ในมือผมมันเอ่ยแซ็วเรียกสติผมให้กลับมาสู่เหตุการณ์ตรงหน้า

   “มุดโต๊ะอะไรของมึงเล่า เอาโทรศัพท์มึงคืนไปเลยนะ” เจ้าของมันรีบรับโทรศัพท์ของตัวเองที่ผมโยนไปให้ หวังให้ตกกระแทกโต๊ะสักหน่อย ชิ หมั่นไส้

   “เออเจ้า กูถามจริงๆ มึงคบกับพี่เกียร์ยังวะ” อยู่ดีๆไอ้ซันก็ถามเสียงนิ่ง ใบหน้าจริงจังไร้การล้อเล่นใด

   “คะ..คบอะไรเล่า มึงอย่าพูดมั่วไปนะ”
 
   “เห้ย พี่เขาจีบมึงตั้งนานแล้วนะ นี่ยังไม่คบกันอีกหรือวะ” หน้าตามันดูตกใจกับคำตอบผมจริงๆครับ แต่จะยังไงล่ะ ผมไม่ได้โกหก ก็ยังไม่ได้คบแบบนั้นจริงๆนี่

   “แล้วตอนนี้เป็นอะไรกันวะ” ไอ้นายรับไม้ต่อเพื่อถามคำถามผม

   นั่นสิครับ ตอนนี้ผมกับพี่เกียร์เราเป็นอะไรกัน ผมจะตอบมันยังไงในเมื่อบางทีผมก็ยังแอบตั้งคำถามนี้กับตัวเองเลย

   “พวกมึงจะไปอยากรู้เรื่องของมันทำไมวะ อ่านต่อไปเลย ไร้สาระนานละนะ” สุดท้ายอินก็ยังคงเป็นเพื่อนที่เข้าใจผมเสมอ มันคงจับสังเกตได้จากท่าทางของผม ถึงได้ตัดบทพวกมันไป ผมก็ทำได้แค่ส่งสายตาเชิงขอบคุณไปให้มัน เพราะผมยังไม่รู้จะนิยามสถานะตัวเองตอนนี้ยังไง

   เหล่านักสืบที่ต้องการค้นหาความจริง แต่สถานการณ์ดูไม่พร้อมที่จะหาข้อมูลเพราะคนให้ข้อมูลอย่างผมที่ไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าอะไรออกไปถึงทำให้พวกมันยอมก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกันต่อ ไม่อยากให้พวกมันรู้สึกไม่ดีผมก็เลยส่งยิ้มบางๆไปให้เพื่อสื่อว่า กูไม่เป็นไร

   Line!

   เสียงจากแอพลิเคชันสื่อสารสีเขียวในกระเป๋าของผมดังขึ้น หลังจากที่เงียบมานาน ผมเลยล้วงเข้าไปหยิบเพื่อดูว่าใครส่งข้อความมา

   GU PHAK sent  a photo.

   รูป? ไอ้ภาคมันส่งรูปอะไรมา ไม่รอช้าผมเลยเลื่อนนิ้วสไลด์ไปด้านชวาเพื่อเปิดดูรูปที่ภาคส่งมาให้  ภาพที่เห็นในจอสี่เหลี่ยมของตัวเองเป็นภาพที่แคปมาจากหน้าโพสต์ของบัญชีผู้ใช้คนหนึ่ง คนที่ผมเพิ่งปล่อยให้เขาเข้ามาในความคิดเมื่อสักครู่นี้

   Arunwitch Gear

   Sweetie

   **ภาพอมยิ้ม**

   ภาพอมยิ้มที่ใครเห็นก็คงมองเป็นอมยิ้มธรรมดา อาจจะดูไม่เข้ากับเจ้าของโพสต์สักเท่าไร แต่ผมกลับยิ้มกว้างไปกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า คำบรรยายสั้นๆที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีลูกโป่งพองฟูอยู่ในตัวมากมาย คำตอบของคำถามเกี่ยวกับสถานะที่ยังค้างคาอยู่ในห้วงความรู้สึก


   Sweetie...


   ถือเป็นคำตอบได้ไหม







   TBC
   (12/12/2017)
   ***************************************************
   ชมกลับมาแล้ววววว หลังจากหายไปเป็นเดือน พอดีมีภารกิจเพื่อชาติ วันนี้เลยพาน้องเจ้ามาขอโทษ อย่าเพิ่งงอนชมน้า
   ยังไงก็ขอขอบคุณทุกการติดตามจริงๆนะคะ ชมตั้งใจอ่านเม้นของทุกคน ทั้งในเล้า แล้วก็แท็กในทวิตเตอร์ นั่งปริ่มไปเป็นวันหลังจากเห็นว่ามีคนหวีดผ่านแท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ฮืออออออ /กราบตัก
   การกลับมาครั้งนี้สิ่งที่กลัวที่สุดคือเรื่องภาษาและสำนวน กลัวมันจะไม่เหมือนเดิม อ่านแล้วขัดๆยังไงก็ติมชมได้นะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า บรั้ยยยยยยย

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
คิดถึงน้องเจ้าพี่เกียร์ 
กลับมาพร้อมเกล็ดน้ำตาลที่เกาะรอบตา  55555 :laugh3: :laugh3:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รอวันคนหล่อกลายร่างเป็นแมวมาตอดปลาทองเอ๋อ  :-[

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นี่ถ้าพี่เกียร์ โพสท์ภาพขนมมาการอง
พี่ไนซ์จะรู้ไหมว่าเป็นขนมของตัวเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
น้องเจ้ามาแล้ววววว มาพร้อมความหวานปนเขินด้วยยยย
 :-[ :-[ :-[ :-[


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด