ท่าเรือที่ 12
ไม่รู้จะอธิบายยังไง
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่เหล่านักศึกษาในหลายภาควิชาจะต้องเอาความรู้ที่มีทั้งหมดไปสู้รบปรบมือกับข้อสอบที่อาจารย์คัดสรรค์มาให้พวกเรา หึหึ คัดข้อง่ายออกไปหมดแล้วล่ะสิ
วันนี้เป็นวันแรกของการสอบกลางภาคของมหาวิทยาลัยผม มีหลายคณะที่ไม่ได้เริ่มสอบวันนี้ แต่คณะเภสัชศาสตร์ของผมมีหรือจะพลาดตารางสอบวันแรกไป จัดมาก่อนเลยด้วยวิชาแคลคูลัส 1 ก็นับว่ายังโชคดีที่วันนี้สอบแค่วิชาเดียว ความกังวลก็ไม่ค่อยมีมากเท่าไร เพราะว่าผมค่อนข้างมั่นใจในความรู้ที่มีตอนนี้ ก็แหงล่ะ พี่เกียร์มันทั้งสอน ทั้งบ่น ทั้งบังคับให้ผมทำโจทย์เป็นร้อยข้อจนผมจำฝังลึกเข้าไปในซีรีบรัมกันเลยทีเดียว คนอะไรดุชะมัด แม้กระทั่งผมใช้สกิลอ้อนขอต่อรองยังไม่ยอมใจอ่อนเลย
RrrrrrrrrrrRrrrrrrrrrr - P’ GEAR –
นั่นไง แค่บ่นถึงก็โทรมา แต่ทำไมวันนี้โทรมาเช้าจัง
“ครับ” ทักทายปลายสายไปสั้นๆ เงยหน้ารับลมที่ตีหน้าให้หน้าม้ากระจายบริเวณท้ายเรือที่เดิม
(ไง ออกจากบ้านยังเตี้ย) อีกละ ชื่อดีๆมีไม่เรียก แค่สูงกว่าเกือบสิบเซ็นนี่ย้ำจังนะ
“ออกมาแล้วคร้าบบบ อยู่บนเรือ ว่าแต่พี่ไม่มีสอบนี่ ทำไมโทรมาเช้าจัง” เท่าที่ถามผมว่าผมจำไม่ผิดนะว่าพี่เกียร์ไม่มีสอบ
(อืม ไม่มี แต่มีส่งรายงานตอนบ่าย) คนตัวสูงตอบผมมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ ได้นอนบ้างไหมเนี่ย
“แล้วพี่ทำเสร็จยังอ่ะ ผมเห็นทำมาหลายวันแล้วนี่” เอ่ยถามออกไป ทั้งที่จริงๆผมอยากบอกให้เขาพักมากกว่า แต่ใครจะกล้าล่ะ
(ยังไม่เสร็จ แต่เหลือไม่เยอะแล้ว แก้อีกนิดเดียว วันนี้มึงสอบแคลฯใช่มั้ย) อีกฝ่ายตัดบทเรื่องของตัวเองแล้วเอ่ยถามผมแทน น้ำเสียงพี่ควรนอนมากกว่านะ
“อาฮะ”
(อืม งั้นตั้งใจล่ะ อย่าลืมกินข้าวเช้าด้วย เดี๋ยวกูไปทำงานต่อละ) เสียงง่วงขนาดนี้ยังจะทำต่ออีกหรือ แต่ถึงผมห้ามไปก็ไม่ฟังอยู่ดี
“ครับๆ”
“(บาย)”
“ดะ..เดี๋ยวพี่!”
“(หือ?)”
“พี่ก็..พักบ้างนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ถึงแม้ท้ายประโยคระดับเสียงจะลดลงจากปกติไปหน่อย แต่ผมก็คิดว่าพี่มันได้ยิน ห้ามเขาไม่ได้ แต่ขอให้พักสักหน่อยก็คงเป็นอะไรเนอะ
“(หึ เป็นห่วงกูหรอเอ๋อ)” เกลียดเสียงหึในลำคอพี่มันมาก โคตรเจ้าเล่ห์ อยากขอซื้อไปทิ้ง ทำมาเป็นรู้ทัน
“มั่วอีกละ ใครเป็นห่วง มีที่ไหน ผมก็แค่กลัวพี่ไม่สบาย แล้วทีนี้งานก็ไม่เสร็จ แล้วก็เดือดร้อนพวกเพื่อนพี่มาทำแทน เป็นภาระคนอื่นอีก เห็นไหม ผมเป็นห่วงเพื่อนพี่เถอะ ใช่ๆผมเป็นห่วงเพื่อนพี่ต่างหาก” ผมพูดรัวเป็นปืนกลแบบไม่ทันได้คิด ก็ใครมันจะไปยอมรับง่ายๆเล่าว่าห่วง เขินเป็นนะว้อย
“(ฮ่าๆ โอเค ไม่ห่วงก็ไม่ห่วง แต่ขอบใจนะที่เป็นห่วง...เพื่อนกู)” จะเว้นวรรคทำแมวอะไร ถึงคุยกับพี่เกียร์บ่อยแค่ไหน ผมก็ยังไม่ชินกับความเจ้าเล่ห์ ทำยังไงก็ไม่รู้สึกชนะสักที หึ่ย
“เออ งั้นแค่นี้นะครับ ผมจะไปขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว” เรือจะเทียบท่าเรือจุดเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางของผมพอดี
“(อืม บาย)”
ติ๊ด! ใช้เวลาจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แม้จะเป็นวันธรรมดาแต่ด้วยเวลาออกจากบ้านที่เช้ากว่าปกติ ทำให้ผมมีเวลาเหลือสบายๆในการกินข้าวเช้าก่อนเข้าห้องสอบ ก่อนออกจากบ้านก็ส่งข้อความนัดกับไอ้อินเรียบร้อยแล้วว่าเจอกันที่โรงอาหารคณะ
เดินผ่านป้ายคณะแล้วเดินตรงเข้าไปทางโรงอาหาร จำนวนคนในเช้านี้ก็หนาตาสมกับการเป็นวันแรกของการสอบ ทุกชั้นปีคงจะมีสอบไม่ต่างกับพวกปี 1 อย่างผม ชะเง้อคอมองไปยังตำแหน่งโต๊ะประจำที่ผมกับไอ้อินชอบนั่งแล้วก็เป็นไปตามคาด เพื่อนตัวเล็กกว่าผมมันนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“มานานแล้วหรือมึง” ผมเอ่ยทักทายคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านชีทเรียนอยู่
“อ่าว มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง กูมาถึงก่อนมึงแปบเดียวเอง”
“อ่อ งั้นซื้อข้าวปะ กินอะไรดีน้า” ปากผมก็พูดกับไอ้อิน แต่ตาผมมองไปที่ร้านอาหารที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าแล้ว นี่ปฏิเสธข้าวเช้าฝีมือที่รักมากินข้าวกับเพื่อนอย่างมึงเลยนะอินเอ้ย
“มึงไปซื้อก่อนเลย เดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะให้” มันเงยหน้าจากชีทมาบอกผม
“งั้นมึงกินอะไร เดี๋ยวกูซื้อมาให้เลยแล้วกัน”
“เหมือนมึง”
“อ่ะได้ เดี๋ยวเจ้าจัดให้นะคุณอินทัช อิอิ” ท้ายประโยคผมก็ยิ้มแฉ่งใส่ไปที วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ผมเลยลุกออกไปสั่งอาหารตามสั่งข้างๆร้านก๋วยเตี๋ยวป้าเย็น เช้านี้ก็คงเลือกเมนูเบาๆสบายท้องอย่างผัดคะน้าหมูกรอบไข่ดาวไม่สุก อย่าตกใจกันนะครับ นี่เบาท้องสำหรับผมแล้ว อิอิ สอบแคลฯต้องใช้พลังงานเยอะอ่ะเนอะ รอไม่นานข้าวราดผัดคะน้าหมูกรอบสองจานก็มาอยู่ในมือผม พร้อมที่จัดการส่งเข้าระบบย่อยอาหารของร่างกายแล้วครับ
“มาแล้ว นี่เลย สำหรับร่างกายที่ต้องการพลังงานในเช้านี้” ผมวางจานข้าวคะน้าหมูกรอบหนึ่งจานลงตรงหน้าอิน พร้อมนำเสนอความพิเศษของเมนูนี้เต็มที่
“อื้อหือ มึงหิวขนาดนั้นเลยหรอไอ้เจ้า จัดหนักแต่เช้า” อินเอ่ยพร้อมเลื่อนชืทวิชาแคลคูลัสไปด้านข้างแล้วเอื้อมมาเลื่อนจานข้าวไปวางแทนที่
“หนักที่ไหน นี่เบาๆเลยนะ อิอิ”
“กูขอให้มึงอ้วน!” อ่าวๆ ปากมึง เดี๋ยวก็ไม่ได้กินข้าว
“ไอ้เชี่ยอิน! กินไปเลย ชิ” อย่าให้ต้องโมโหนะ เดี๋ยวไข่ดาวในจานมึงจะบินเข้าท้องกู
“เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อน มึงเอาน้ำอะไร” อินผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ก้าวออกมายืนเอาแขนค้ำโต๊ะฝั่งตรงข้ามผม
“เอา..”
“นมเย็น หึ”
“รู้ใจอีกแล้ว รักมึงจัง” เอื้อมมือไปจับแขนมันแล้วก็ฉีกยิ้มใส่ ไม่มีใครจะโชคดีมีเพื่อนรู้ใจอย่างอินได้เท่าผมอีกแล้ว
“ไม่ต้องมาบอกรักกูเลย ไปบอกพี่เกียร์ของมึงโน่น! แบร่!” แล้วมันก็วิ่งออกไปร้านน้ำอย่างไว พูดอะไรไว้ เดี๋ยวเถอะมึงงงงงง
“ไอ้เชี่ย กูขโมยเจาะไข่ดาวมึงแน่!!” อะไรของมันก็ไม่รู้ บอกรงบอกรักอะไรเล่า ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่มันซะหน่อย ใช่ไหมครับ
ระหว่างที่รอมันซื้อน้ำผมก็ตักข้าวเข้าปากสบายใจ ไม่รอมันหรอก ชิ
“สวัสดีครับน้องเจ้า” เสียงเอ่ยทักจากผู้มาใหม่ที่มายืนข้างๆโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
“อ้าว สวัสดีครับพี่ไนซ์” กล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้ตามธรรมเนียมปฏิบัติ
“มีสอบเช้าหรือครับ” รุ่นพี่สถาปัตย์ถามผมด้วยรอยยิ้ม บางทีพี่ก็ยิ้มเก่งไปนะ ผมยอมแพ้
“ครับ มีสอบแคลฯ”
“แล้วทำไมมานั่งคนเดียวครับ ให้พี่นั่งเป็นเพื่อนเปล่า” บางทีพี่ก็ใจดีไปอีกนั่นแหละ งืออออ คราวก่อนกว่าจะเคลียร์กับบางคนได้ พี่อย่าเพิ่งหางานมาให้ผมสิครับ เดี๋ยวนะ แล้วทำไมผมจะต้องรู้สึกเกรงใจพี่เกียร์ขนาดนั้นด้วยวะ
“เปล่าครับ นั่งกับเพื่อน มันไปซื้อน้ำ แหะๆ”
“หรือครับ อืม...งั้นอ่ะ พี่ให้ ตั้งใจสอบนะครับ ขอให้ผ่านฉลุยเลย” กลางประโยคที่ว่านั้นพี่ไนซ์ยื่นกล่องขนมมาการองสีสวยมาตรงหน้าผม สมองประมวลทำให้ผมคิดจะปฏิเสธ แต่พอเงยหน้ามองพี่ไนซ์แล้ว ถ้าผมเอ่ยปฏิเสธไปรอยยิ้มที่ส่งมาพร้อมกล่องมาการองจะต้องหายไปแน่ๆ
“เอ่อ ขอบคุณนะครับ แต่คราวหน้าไม่ต้องซื้อมาก็ได้นะครับ มันแพงผมเกรงใจ” เอื้อมมือไปรับขนมจากมือพี่ไนซ์
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้า พี่เต็มใจ”
“ครับๆ ขอบคุณอีกครั้งครับ”
“อย่าลืมกินล่ะ พี่ไปก่อนนะครับ” จบประโยคของพี่ไนซ์ พี่เขาก็ยกมือขึ้นมาวางที่หัวผมแล้วโยกเบาๆแบบที่ผมไม่ทันได้ระวังตัว
“สะ..สวัสดีครับ” แล้วพี่ไนซ์ก็หันหลังเดินออกจากโรงอาหารของคณะผมออกไป ทิ้งไว้เพียงความตกใจและความงุนงงกับการกระทำเมื่อสักครู่นี้ การกระทำที่คนๆหนึ่งมักทำเป็นประจำ แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกตอนนี้คือ ไม่เหมือน
ไม่เหมือนกับตอนที่พี่เกียร์ทำ
“ไง เรตติ้งพุ่งแต่เช้าเลยนะมึง” เสียงทักจากเพื่อนสนิทที่นั่งลงตรงข้ามผม คำพูดไม่เท่าไหร่ แต่สีหน้ามึงน่าถีบมากอิน มึงไปซื้อน้ำที่ตีนเข้าเอเวอร์เรสรึไง ทำไมเพิ่งมาฮะ
“เรตติ้งเชี่ยไร เห็นแล้วทำไมไม่เดินเข้ามา”
“เอ้า กูไม่อยากขัด เดี๋ยวเสียมารยาท ละไหน พี่มันเอาอะไรมาให้วะ”
“มาการอง” ผมตอบมันพร้อมกับยกกล่องมาการองไปวางตรงหน้าไอ้อิน
“หืม มาการองเลยหรอวะ รู้จักซื้อมาเอาใจมึงเนอะ เจ้าพระยาผู้พ่ายแพ้ต่อขนมทุกชนิดบนโลก ฮ่าๆ”
“หยุดหัวเราะเลยนะ!! กูไม่ได้อยากได้สักหน่อย เฮ้อ” สายตาผมที่จับจ้องไปยังกล่องขนมหลากสีสัน ซึ่งถ้าเป็นปกติผมจะดีใจและพร้อมจัดการมันลงท้องอย่างไม่เกี่ยง แต่ขนมในกล่องตรงหน้านี้ผมกลับรู้สึกลำบากใจที่จะรับมันมา อาจเป็นเพราะผมพอจะเดาเจตนาคนให้ถูกก็ได้
“หึ ไม่อยากได้ ก็ปฏิเสธสิ รับมาทำไม” พูดเสียงเรียบพร้อมกับตักข้าวเข้าปาก สบายใจเลยนะมึง ทำไมกลายเป็นผมที่หายหิวขึ้นมาดื้อๆ
“ปฏิเสธได้ก็ดีสิวะ มึงต้องมาเห็นหน้าพี่เขาตอนยื่นขนมมาให้ ยิ้มซะกูไม่กล้าปฏิเสธ” ผมมุ่ยหน้า ยู่ปากตอบมันไป ไม่ใช่ไม่ลำบากใจนะเว้ย แต่จะหาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธน้ำใจเขาวะ
“บางอย่างมึงก็ควรชัดเจน ปฏิเสธตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้อะไรมันยืดยาวไปไกล ถึงวันนั้นตัวมึงเองนะที่จะลำบาก” ไอ้อินเงยหน้าจากจานข้าวมาพูดประโยคยาวเหยียดกับผม และผมก็รู้ว่ามันไม่ได้หมายถึงการให้ผมปฏิเสธการรับมาการองกล่องนี้มา
“แล้วกูจะเอาเหตุผลอะไรปฏิเสธวะ พี่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วที่สำคัญกูก็...กูไม่รู้ว่ะ” ผมขมวดคิ้วแน่นกับสิ่งที่กำลังตีกันอยู่ในหัว จริงอยู่ที่ผมรู้สึกลำบากใจ รู้สึกเหมือนว่าทำอะไรผิดกับคนๆหนึ่ง แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรชัดเจนพอที่จะทำให้ผมต้องปฏิเสธความหวังดีจากเขานี่ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
“เจ้า” เพื่อนสนิทตรงหน้าเอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ
“หือ?”
“กูไม่ได้ให้มึงชัดเจนเพราะพี่เกียร์ ยังไงตอนนี้มึงกับพี่เขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กูแค่อยากให้มึงชัดเจนกับความรู้สึกของตัวมึงเอง มึงไม่ต้องตอบกูว่าความรู้สึกของมึงตอนนี้เป็นยังไง มึงตอบตัวเองให้ได้ก็พอ” ประโยคยาวเหยียดอีกครั้งจากปากเพื่อนสนิทไหลผ่านเข้าไปในสมองส่วนรับรู้และกำลังประมวลผลตามคำพูดเหล่านั้น ความรู้สึกข้างในรวมกับเหตุผลที่ได้รับมามันก็มากพอที่จะทำให้ผมได้คำตอบที่ใช้ตอบตัวเอง
แค่ชัดเจนกับความรู้สึกตัวเองก็พอ...ผมรู้แค่นั้น
“ขอบใจว่ะอิน กูเข้าใจแล้ว” เอ่ยบอกเพื่อนสนิทไปทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้า
“เข้าใจแล้วก็กินข้าว เขี่ยอยู่นั่น อีกชั่วโมงนึงก็เข้าห้องสอบละ”
“คร้าบบบๆ คุณอินทัช”
กับเรื่องเรียน เรื่องความรู้รอบตัว ผมถือว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ฉลาดรอบรู้ แต่กับเรื่องความรักผมก็คงต้องมีคนคอยช่วยให้คำปรึกษา เพราะสำหรับผม ความรักมันยากเสมอ
หลังจากจัดการอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อย พวกเราสองคนก็เก็บของเตรียมตัวเข้าสอบแคลคูลัส 1 วิชาพื้นฐานของเด็กสายวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย เดินถึงหน้าห้องสอบก็เจอเพื่อนร่วมชั้นปีที่กำลังขะมักเขม้น กับการอ่านเอกสารประกอบการเรียน บางกลุ่มก็สุมหัวติวกันแบบไฟลุก โดยเฉพาะกลุ่มเดือนหน้าหล่ออย่างไอ้ว่าน ไอ้นาย และไอ้ซัน คิ้วนี่ขมวดรวมกันเป็นโบว์ละ
“แฮ่!!” สองเสียงประสานพร้อมยกมือเกาะไหล่ไอ้เพื่อนหน้าดีแต่ปากไม่ดีตามหน้า ฮ่าๆ
“เหี้ย!!!” ที่หน้ามึงไงซัน ฮ่าๆ มีมาทำมงทำมือลูบอก
“ฮ่าๆ ขวัญอ่อนจังนะคุณปฏิภาณ”
“ไอ้เจ้า ไอ้อิน เล่นอะไรของพวกมึงวะ ถ้าลิมิตกูตกใจหลุดออกจากสมองไป แล้วกูทำข้อสอบไม่ได้นะ พวกมึงต้องรับผิดชอบ!” มันหันมาชี้หน้าคาดโทษผมกับไอ้อิน แต่คิดหรือว่าพวกผมจะกลัว รู้แหละว่ามันขู่ไปงั้น คนแบบไอ้ซันก็งี้
“กูว่าถึงกูไม่แกล้ง มึงก็สอบไม่ได้ คนห่าอะไรอ่านหนังสือหน้าห้องสอบแล้วหวังผ่าน” ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆไอ้นายที่ตอนนี้เลิกอ่านแล้วมานั่งควงดินสอกดเล่นแล้ว ไอ้อินเจ้าของประโยคเมื่อสักครู่ก็นั่งลงข้างไอ้ซัน ส่วนไอ้ว่านนั่งตรงกลาง
“คนแบบกูนี่แหละ มึงไม่รู้จักอัจฉริยะข้ามคืนหรือวะ คอยดูกูจะเอาเอมาปาหน้ามึงนะอิน” ไอ้ซันหันไปคุยโวแสดงความมั่นใจใส่ไอ้อิน
“กูจะรอดู ฮ่าๆ”
“เจ้า ข้อนี้ทำไงวะ” คุณว่าน ธีรเดช ที่นั่งอยู่ตรงกลางก็ชะเง้อคอ ยื่นชีทข้ามตักไอ้นายมาถามผม
“อ่าว มึงก็เขียนแล้วนี่ไง งงอะไรวะ” จริงครับ มันเขียนวิธีทำไว้เต็มหน้ากระดาษเลยครับ แต่ดันมาถามว่าทำยังไง อะไรของมึงเนี่ย
“กูลอกเขามา” เอ่อ..
“โอเค รู้เรื่อง ไอ้นายมึงจะฟังไหม ถ้าไม่ มึงสลับที่กับมันหน่อย”
“ฟังๆ”
แล้วผมก็ต้องเปิดคอร์สติวสดไฟท่วมชีทเป็นการสรุปรวบยอดแบบเนื้อเน้นๆ ปากอธิบายไป พยายามดึงความรู้ที่มีในหัวมาสอนมัน แต่รู้อะไรไหมครับ ภาพในหัวผมกลับเป็นใบหน้าคนๆหนึ่งที่คอยดุตอนผมงอแงไม่ยอมทำโจทย์ต่อ ข้อไหนผมทำไม่ได้ก็ด่าผมว่าโง่ ไม่ตั้งใจฟัง แต่ก็ยังคอยสอนให้ผมเข้าใจ มือที่ชอบตีหัวผมตอนแทนค่าผิดแต่ก็คอยลูบหัวผมตอนคำตอบออกมาตรงกับเฉลย คนที่แสดงออกแบบแข็งกระด้างแต่กลับทำให้หัวใจผมอบอุ่นเหมือนได้รับแสงอาทิตย์ยามเช้า คนแบบพี่เกียร์นี่ไง
“เจ้า เจ้า ไอ้เจ้า!!!” ไอ้ว่านตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง
“ห๊ะ? อะไร” อยู่แค่นี้จะตะโกนทำไมวะ
“หยุดอธิบายทำไม เอาแต่ยิ้ม เป็นอะไรของมึง” ไอ้นายมันหันมาขมวดคิ้วถาม
“กูยิ้มหรอวะ”
“ก็เออสิ!!!!!” ประสานเสียงซะชัดเต็มสองหูกูเลยพวกมึง เออ รู้แล้ว คนมันมีความสุข ยิ้มไม่ได้หรือไง ได้แค่คิด ใครจะกล้าพูดออกไป
“หึ ใจลอยหาเจ้าของหัวใจหรือเจ้าของมาการองวะ” ไอ้อินมันชะโงกหน้ามาทิ้งระเบิดใส่ผม มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยยยยย
“อะไรวะ มาการองไหนวะ ไอ้เจ้าบอกกูมา” เอาล่ะ ไอ้ซันถึงกับเทชีทแคลฯมาถามขนาดนี้ ถ้ามึงตั้งใจอ่านหนังสือได้เท่ากับการตั้งใจเสือกตอนนี้ มึงคงได้เอแน่ๆซันเอ้ย
“ไม่มีอะไรโว้ย พอๆเตรียมตัวเข้าห้องสอบได้ล่ะ อะ! นั่นไง เขาให้เข้าห้องสอบแล้ว ไปๆลุกสินาย” ผมรีบตัดบทหยิบเครื่องเขียนที่จะใช้ทำข้อสอบเตรียมตัวเข้าห้องสอบ ขืนอยู่นานไม่วายจะต้องหาเรื่องมาแถกับไอ้พวกนี้อีก อินนะอิน ให้กูสอบเสร็จก่อนเถอะ กูจะฟ้องพี่พี!!!
“เออๆ ไปๆ” ไอ้นายมันก็ตอบรับหน้างงๆ ดีแล้วล่ะ อย่าเพิ่งฉลาดรู้ทันกูนะนาย
“สอบเสร็จกูจะมาง้างปากมึงแน่” ไอ้ซันหันมาส่งสายพร้อมเอ่ยประโยคคาดโทษไว้ กลัวตายแหละ ชิ
“ฮ่าๆ” มีความสุขเหลือเกินนะไอ้อิน
มีต่อด้านล่าง