❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09  (อ่าน 79247 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เป็นการระลึกถึงความหลังที่ระทึกจริง ๆ  :laugh3:

ระทึกจริงๆ ด้วย  :z6:
เกียร์ เจ้าพระยา   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ในที่สุดก็จำกันได้แล้ว

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เจ้าพระยาเคยช่วยไว้นี่เอง มนต์รักปลาทอง o18

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ที่มาของฉายาปลาทอง มาจากความน่ารักของน้องนี่เอง :-[

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
เจ้า ไม่ลืม เจ้าแค่จำไม่ได้..อิอิ

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 16
น่านน้ำนี้ของกัปตันเกียร์

 




   เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็อย่างที่ทุกคนรู้นั่นแหละครับ ผมไม่โสดแล้ว เขินจัง ตกลงคบกับพี่เกียร์ได้สองวัน ถามว่ามีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมไหม หึ การกระทำไม่เปลี่ยนเลยครับ ดุ โหด ขี้แกล้งเหมือนเดิม แต่คำพูดคำจานี่คือกะฆ่าผมให้ตายไปสิบแปดล้านรอบ
 
   ไม่มีแล้วครับคำแทนตัวว่า ‘ผม’ พี่เกียร์บอกให้ผมเปลี่ยนไปแทนตัวเองว่า ‘เจ้า’ ก็ถือว่าปกติ เพราะผมก็แทนตัวกับครอบครับแบบนี้ แต่ที่ทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นปกติทุกครั้งก็คือการที่พี่เกียร์แทนตัวเองว่า ‘พี่’ ทุกคำ ผมขอสารภาพตรงนี้ว่าได้ยินทีไรเหมือนหน้าจะไหม้ 

   สำหรับผมพี่เกียร์เป็นคนที่การกระทำอบอุ่นอยู่แล้ว แต่พอคำพูดคำจาเพราะขึ้นก็ยิ่งทำให้อบอุ่นแข่งกับแดดยามเช้าของประเทศไทยเลยครับ เขินมาก แต่ก็ชอบมากเหมือนกันครับ อิอิ


   ก๊อก ๆ

 
   ผมส่งยิ้มกว้างให้คนที่นั่งหลังพวงมาลัยเมื่อผมเคาะกระจกรถเบา ๆ “รอนานไหมครับ”
 
   คนตัวสูงยิ้มรับ “ไม่ถึง 10 นาที มาขึ้นรถได้แล้ว”

   “คร้าบบบ” ตอบรับแล้วก็พาตัวเองเดินอ้อมหน้ารถไปฝั่งข้างคนขับ ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยเรียบร้อย

   “เมื่อไหร่จะให้พี่ไปรับหน้าบ้านได้ครับ” พี่เกียร์หันมาส่งยิ้มแล้วถามผมพร้อมกับกดปุ่มสตาร์ทรถ

 
   คำถามที่ผมเองก็คิดว่าจะต้องได้คำตอบที่เป็นข่าวดีในเร็ววันอยู่เหมือนกัน

 
   ผมหันไปยิ้มจาง ๆ ให้คนที่กำลังตั้งใจขับรถ “รอเจ้าหน่อยนะ”

   “พี่รอมา 3 ปี รอแค่นี้สบายมาก” เจ้าของนัยน์ตาคมพูดจบก็เบนสายตาจากถนนตรงหน้ามาสบตากับผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง

   แต่ผมยอมแพ้ สบตาไม่ไหวครับ เลยหันไปมองถนนตรงหน้าแทนทั้ง ๆ ที่ก็ห้ามรอยยิ้มตัวเองไม่ได้เลย “ขอบคุณครับ”
 
   คนตัวสูงหันกลับไปตั้งใจขับรถอีกครั้ง แล้วภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบ แต่เป็นความเงียบที่สบายใจมาก ต่างคนต่างมีรอยยิ้มให้กัน เจ้าชอบความรู้สึกนี้จัง



   วันนี้พี่เกียร์มารับผมไปเรียนพร้อมกันเป็นวันแรกในสถานะที่เปลี่ยนไป ถึงแม้คอนโดพี่เกียร์จะอยู่ใกล้มหา’ลัยมากกว่า แต่ก็ยังอุตส่าห์ขับรถอ้อมมารับผม

   ถามว่าผมปฏิเสธไหม เหอะ จะเหลือหรือครับ แต่คิดว่าคนอย่างพี่เกียร์จะฟังไหม ก็ไม่ฟังไง เถียงไปก็เหนื่อยเปล่า ทำได้แค่บอกสถานที่รับส่งเท่านั้นแหละครับ พี่เกียร์นี่คนดื้อที่สุดแห่งปี ผมรู้ ผมเป็นแฟนพี่เกียร์นะ ฮ่า ๆ
 
   ผมให้พี่เกียร์มารอรับผมที่ร้านกาแฟตรงมุมถนน ซึ่งเป็นร้านเดิมที่เคยรับส่งช่วงที่พี่แกจีบผมนั่นแหละ การจะให้เปิดเผยไปรับถึงหน้าบ้านผมนั้นมันคงต้องใช้เวลาสักพัก เพราะผมก็ยังไม่รู้จะบอกที่บ้านว่ายังไงเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับพี่เกียร์
จะให้บอกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องเหมือนที่เคยบอกแม่เมื่อก่อนก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกกันเปล่า ๆ 
ขอให้ผมมั่นใจในทุก ๆ เรื่องของความสัมพันธ์ก่อน ถึงวันนั้น ต่อให้ต้องข้ามอุปสรรคอะไรผมก็พร้อมสู้
 








 
   ใช้เวลาเกินครึ่งชั่วโมงมานิดหน่อย รถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวผ่านประตูมหาวิทยาลัยมุ่งหน้าไปยังตึกคณะเภสัชศาสตร์
เจ้าของใบหน้าคร้ามคมเลือกจอดรถชิดฟุตบาทโดยไม่ดับเครื่องยนต์ห่างจากหน้าคณะผมไม่ไกล

   ผมปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย แล้วกระชับกระเป๋าสะพายข้างคู่ใจเตรียมตัวลงจากรถ
 
   “ขอบคุณที่มาส่งครับ” ผมหันไปยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าของรถหรู ถึงจะเป็นแฟนกันแล้ว ยังไงพี่เกียร์ก็อายุมากกว่าผมอยู่ดี
 
   พี่เกียร์ยกมือมายีหัวผมเบา ๆ “ฮ่า ๆ ไหว้เลยหรือ”
 
   “ก็พี่เกียร์เป็นพี่”
 
   สายตาคมที่ทอดมองมาส่อแววเจ้าเล่ห์ “ก็ดี ซ้อมไว้”
 
   หัวคิ้วผมขมวดเข้าชนกันน้อย ๆ ให้กับคำพูดคำจาแปลก ๆ ของพี่เกียร์ “…?”

   คนตัวสูงชะโงกหน้าเข้ามาใกล้แบบไม่ทันให้ตั้งตัว “ตอนสวมแหวนวันแต่งงานจะได้ไหว้สวย ๆ
 
   “…!!” ผมชะงักค้างตาโตให้กับคำพูดของคนเจ้าเล่ห์


   ไอ้พี่บ้าว้อย !!


   เป็นแฟนได้สองวันแต่คิดไปถึงเรื่องแต่งงานแล้ว

 
   ใครจะแต่งด้วย
 
   คนตัวสูงหัวเราะในลำคอ “ทำหน้าปลาทองอีกแล้ว” หน้าปลาทองของพี่เกียร์ก็คือการที่ผมทำตาโต แก้มป่อง ปากพะงาบ ๆ ไม่มีเสียงเหมือนปลาทองงับอากาศ
 
   “จะ..เจ้าไป..เจ้าจะไปเรียนแล้ว!!” ยกกระเป๋าสะพายขึ้นปิดซ่อนสีหน้าเขินอายที่มีหลักฐานเป็นแก้มสีเรื่อ แล้วรีบเปิดประตูรถพาตัวเองออกรถ
 
   “ตั้งใจเรียนนะเอ๋อ ฮ่า ๆ” เสียงตะโกนของคนขี้แกล้งดังไล่ตามหลังมา


   หึ่ย! คนร้ายกาจ
 







 
   วันนี้เป็นการเริ่มเรียนหลังจากการสอบกลางภาคผ่านพ้นไป สิ้นหวังไปได้กับเรื่องจะได้หยุดพักสมองให้ผ่อนคลาย เพราะต้องหอบร่างแห้ง ๆ สมองล้า ๆ เข้าเรียนตามปกติอยู่ดี ในบางวิชาก็นั่งตัวเกร็งลุ้นคะแนนกันไป แต่บางวิชาเห็นว่ารู้อีกทีก็ก่อนสอบไฟนอล เอ่อ คืออาจารย์ครับ บางทีผมว่ามันก็นานไปนะครับ แต่ก็บ่นได้แค่ในมโนคติความเป็นจริงก็แค่นั่งยิ้มแล้วเรียนต่อไป
 
   ในส่วนของนักศึกษาปี 1 คณะเภสัช ฯ ตัวน้อย ๆ อย่างผม นอกจากกลับมาตั้งใจเรียนแล้ว ยังพ่วงหน้าที่อันหนักอึ้งอย่างการซ้อมหลีดด้วย เหลือเวลาอีกประมาณ 2 สัปดาห์นิดๆ ก็ถึงวันงานปรุงยาสัมพันธ์แล้ว คงจะซ้อมหนักขึ้นมากขึ้นจากเดิมหลายเท่า แต่ไม่เป็นไรครับ เจ้าพระยาสู้ตาย

   การเรียนในช่วงเช้าก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี ผมกับอินก็ยังเป็นเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันเหมือนเดิม และวันนี้ผมก็มีเรื่องต้องบอกเพื่อนสนิทคนนี้ให้รับรู้
 
   ผมเลือกที่จะบอกเมื่ออาจารย์ให้เวลาพักระหว่างคาบเรียน
 
   ผมหันหน้าไปเรียกเพื่อนสนิทตัวเล็ก “อิน..วันนี้ไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารวิศวะ ฯ กัน”
 
   “หือ?” อินชะงักมือที่จับปากกาสีน้ำเขียนเนื้อหาลงในชีทเรียนแล้วหันหน้ามาหาผม “นึกไงชวนวะ?”
 
   “กูนัดกับพี่เกียร์ไว้” ผมตอบเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้ม
 
   อินยิ้มน้อย ๆ ให้กับคำตอบเถรตรงของผม “เดี๋ยวนี้พัฒนาว่ะ ตอบเต็มปากเต็มคำเลยนะมึง ไม่เขินแล้ว?” อินเลิกคิ้วถาม
 
   ผมส่งเสียงหึในลำคอเบา ๆ “ไม่อ่ะ กูเขินจนเหนื่อยละ”
 
   “ฮ่า ๆ พี่เกียร์เขารุกจีบมึงแรงขนาดนั้นเลย?”
 
   “เปล่า ไม่จีบแล้ว” ผมพยายามซ่อนรอยยิ้มแล้วตีหน้าให้นิ่งสนิทที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
   “อ่าว ยังไงวะ?” อินชะงักเสียงหัวเราะ แล้วถามผมด้วยท่าทางที่ตกใจไม่น้อย “ทะเลาะกันหรือ”
 
   “เปล่า” เสียงเรียบนิ่งพอ ๆ กับสีหน้า

   ตุ๊กตาทองประจำปีนี้ผมขอนะ ฮ่า ๆ
 
   อินเริ่มมีสีหน้าจริงจัง คิ้วเรียวเส้นขนเรียงสวยขมวดชนกัน สายตาที่ส่งมาหาผมเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร มึงโอเคนะ” มันยกมือตบบ่าผมเบา ๆ
 
   “อืม โอเคสิ เป็นแฟนกับพี่เกียร์ กูโอเคมาก” ผมกันไปกลั้นรอยยิ้มแล้วยักคิ้วให้เพื่อนสนิทสองที
 
   ตากลมโตเบิกกว้าง “ห๊ะ!! มึงว่าไงนะ”
 
   “ก็ตามนั้นแหละ ฮ่า ๆ”
 
   “มึงกับพี่เกียร์…แฟนกัน?”

   “อืม แฟนกัน”
 
   อินยังคงทำหน้าตกใจ แต่รอยยิ้มเริ่มกว้างแข่งกับผม “เมื่อไหร่วะ แหม แล้วทำหน้านิ่งซะกูเกือบคิดว่าทะเลาะกันจริง”

   ผมควงปากกาในมือเล่น “ฮ่า ๆ เนียนปะ” หันไปยิ้มให้อิน “เมื่อวันเสาร์พี่เกียร์ขอกูเป็นแฟน แล้วกูก็ตกลงคบกับพี่มันแล้ว”

   “กูดีใจด้วยนะ”

   อินยิ้มทั้งแววตาและปากบาง ผมรับรู้ได้ว่ามันดีใจและมีความสุขไม่ต่างจากผม เพราะเราเป็นเพื่อนกันมานาน กลับกันถ้ามีคนดี ๆ มาดูแลหัวใจเพื่อนผมคนนี้ได้ ผมก็คงมีความสุขมาก

   ผมเลยเล่าเรื่องวันนั้นรวมถึงเรื่องที่พี่เกียร์เคยเจอผมเมื่อ 3 ที่แล้วให้อินฟังคร่าว ๆ พออาจารย์ให้สัญญาณหมดเวลาพัก เราก็กลับไปตั้งใจเรียนกันเหมือนเดิม 
 

   สรุปว่ามื้อเที่ยงวันนี้เราทั้งสองคนก็คงต้องหอบความหิวไปฝากท้องที่โรงอาหารคณะวิศวะ ฯ ตามที่คุยกันไว้ 
ไปถึงถิ่นคนใส่ช็อปมีเกียร์ทั้งที ก็คงต้องบอกกล่าวเพื่อนสนิทสุดหล่อดีกรีเดือนวิศวะ ฯ ปี 1 ให้รับรู้ด้วย ก่อนหมดคาบเช้าไม่นาน อินเลยรับอาสาส่งข้อความไปบอกไอ้ภาค ส่วนผมก็ส่งไปบอกพี่เกียร์เหมือนกัน

   ไอ้ภาคตอบรับข้อความและนัดแนะการเจอกันเรียบร้อย มีแต่แฟนผมเนี่ย เงียบเชียว







   พอหมดเวลาเรียน ผมกับอินก็รีบเดินไปยังโรงอาหารของคณะวิศวะ ฯ อย่างรวดเร็วเพราะยิ่งช้าคนก็ยิ่งเยอะ เดี๋ยวจะไม่มีที่นั่ง
แต่พอเดินมาถึงก็เห็นไอ้ภาคยืนโบกมือรออยู่ตรงบันไดทางขึ้นโรงอาหาร ผมกับอินก็รีบเดินไปหาเพื่อนตัวสูง

   ไอ้ภาคยกแขนพาดไหล่ผมกับอิน “มาเร็วจังวะ”

   ผมปัดมือมันออกจากไหล่ ไม่ใช่รังเกียจนะ แต่โคตรหนัก แขนหรือท่อนซุง

   “กูกลัวไม่มีที่นั่ง” ไอ้อินเอ่ยตอบ

   “กูจองไว้แล้ว นู่น” ไอ้ภาคตอบพร้อมชี้มือไปยังโต๊ะที่มีกระเป๋ามันวางไว้ เอ้อ มึงก็ไม่กลัวของหายเนอะ “แล้วยังไง ข้าวคณะมึงไม่อร่อยแล้วหรือวะ ถ่อมาถึงนี่ เอ๊ะ ได้ข่าวว่ามีเรียนบ่ายด้วยนะ” 

   “มึงถามมันนู่น” ไอ้เพื่อนตัวเล็กโยนหน้าที่ตอบคำถามมาให้ผม ดีจริง ๆ หึ

   พ่อของกลุ่มหันมาเลิกคิ้วถามใส่ผม 

   ผมหลบสายตามันด้วยการมองร้านข้าวไปเรื่อยเปื่อย “กูนัดกับพี่เกียร์ไว้” 

   “เชรดดดดดด นัดบ่อยนะช่วงนี้ อิอิ” ไอ้ภาคส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ผม

   “เดี๋ยวต่อไปบ่อยกว่านี้อีก” ไอ้อินเริ่มส่งสารกระตุ้นความเสือกของคุณภาคภูมิแล้วครับ

   คนที่ยังไม่รู้เรื่องหันไปมองหน้ายิ้ม ๆ ของเพื่อนตัวเล็กสุด ก่อนจะหันมาทางผม “บ่อยกว่านี้ก็คบกันเป็นแฟนให้จบ ๆ ป๊าย” 

   ผมหันไปยิ้มมุมปากใส่ “คบแล้วว่ะ” อ่ะ แถมขยิบตาให้อีกทีนึง

   “…!!” ไอ้ภาคหยุดชะงักเท้าที่จะก้าวเดิน แล้วหันมาทำตาโตใส่ผม “มึงว่าไงนะ!”

   “มึงได้ยินว่าไงล่ะ” ผมทำลีลาไม่สนใจคำถามมัน นิสัยขี้เสือกอย่างไอ้ภาคต้องโดนปั่น ฮ่า ๆ

   “ได้ยินว่าคบแล้ว”

   “ก็ตามนั้น” ผมยักไหล่ใส่มันแล้วรีบเบี่ยงตัวโดนไปที่โต๊ะ ไอ้อินก็เดินตามผมมา ปล่อยให้คนความรู้สึกช้ารวบรวมสติไป

   “เห้ย! ไอ้เจ้า!” ไอ้ภาครีบก้าวตามมาที่โต๊ะ แล้วพาตัวเองไปนั่งฝั่งตรงข้ามผม คือหน้าตามันตอนนี้โคตรตลก

   “มึงจะเสียงดังทำห่าอะไรเนี่ย”

   “มึงตอบกูมา คบจริงดิ! เมื่อไหร่วะ อะไร ยังไง ขอที่ไหน ใครขอใคร ตอบเร็วววว!!” ไอ้คนสติแตกที่ผมมีแฟนก็รีบยิงคำถามรัว ๆ 

   อยากรู้อะไรขนาดนั้น 

   อินที่นั่งอยู่ข้างไอ้ภาคก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วลูบหลังคนรู้ช้า “มึงใจเย็น ๆ นะไอ้ภาค ค่อย ๆ เสือก ฮ่า ๆ”

   “เออ” ภาคหันไปตอบอินสั้น ๆ แล้วก็กลับมาใส่ใจเรื่องผมต่อ “ไอ้เจ้า มึงอย่ามาลีลา รีบเล่าดิ๊”

   “ก็ตามที่บอกมึงไปไง กูกับพี่เกียร์คบกันแล้ว แค่นั้น” ผมยังดึงเกมกวนตีนไอ้ภาคด้วยรอยยิ้ม ฮ่า ๆ

   “กูอยากรู้รายละเอียดโว้ย เล่ามาเร็วๆเลย”

   “กูหิวแล้ว จะรีบกิน มีเรียนบ่าย” ผมรีบตอบไอ้ภาคแล้วหันไปหาอินพร้อมลุกขึ้นยืน “อิน ไปซื้อข้าวกัน”

   อินขำท่าทางไอ้ภาคแล้วก็รับมุกผม “ไป ๆ กูหิวแล้ว วันนี้กินอะไรดี” อินลุกขึ้นยืนพร้อมจะเดินไปซื้อข้าว

   ผมกับอินเดินไปซื้อข้าวด้วยกันโดยปล่อยให้คนขี้เสือกนั่งไม่ติดด้วยความอยากรู้

   “ม่ายยยย มึงจะปล่อยกูไว้แบบนี้ไม่ได้นะว้อย กลับมาเล่าก๊อน!!”

   “ฮ่า ๆ” ผมกับอินหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน



   พอได้รับข้าวไข่ข้นพิเศษตามที่สั่งไว้ ผมก็ถือจานเดินกลับมาที่โต๊ะ กะว่าจะเดินกลับไปซื้อน้ำ แต่คนอยากใส่ใจเรื่องเพื่อนอย่างไอ้ภาคมันซื้อนมเย็นสีชมพูน่ากินไว้รอผมเรียบร้อยแล้ว

   มึงกะเอานมเย็นมาล่อซื้อความลับจากกูหรือไอ้ภาค ฮ่า ๆ

   “นั่ง ๆ เลยคุณเจ้าพระยา เนี่ยกูซื้อนมเย็นของโปรดไว้รอมึงเลย” 

   “ลงทุนฉิบหาย ฮ่า ๆ” อินยังคงขำกับท่าทางเอาอกเอาใจของไอ้เพื่อนตัวสูง

   ผมนั่งลงแล้วหยิบนมเย็นสีชมพูขึ้นมางับหลอดดูดชิมรสชาติเครื่องดื่มสุดโปรด

   “ขอบใจว่ะ มึงเป็นเพื่อนที่รู้ใจกูจริง ๆ” 

   “ใช่ไหม งั้นกูควรได้รู้เรื่องของมึง รีบเล่ามา”

   “ฮ่า ๆ” อินหัวเราะเสียงดัง “มึงเลิกแกล้งมันเถอะไอ้เจ้า เล่าให้จบ ๆ ไป กูกลัวไอ้ภาคกินข้าวไม่ลง ถ้าเสือกไม่สำเร็จ” 

   “มึงพูดถูก” ไอ้ภาคยอมรับคำประชดของอินอย่างหน้าด้าน ๆ

   เออ ยอม ฮ่า ๆ

   ผมกลั้นหัวเราะจนเมื่อยแก้ม “เออ เล่าก็ได้”

   แล้วเรื่องราวเมื่อวันเสาร์ก็ถูกผมรีเพลย์อีกครั้งเหมือนตอนที่เล่าให้อินฟัง ต่างกันตรงที่…

   “เหยดดดดด หน้าร้อนที่ไม่ใช่ฤดู”

   “อูย เขินสัด”

   “อั้ยยะ มีตำนงตำนาน”

   “พรหมลิขิตชัด ๆ”

   เนี่ย มันแซวทุกช็อต ผมอยากจะบ้า!!


   พอไอ้ภาคมันได้รู้เรื่องจนสาแก่ใจมันแล้ว มันถึงยอมปล่อยให้ผมกินข้าวอย่างคนปกติได้ แต่ผมกลับไม่มีสมาธิกินข้าวเท่าไหร่ เพราะคนตัวสูงยังไม่ตอบข้อความผมกลับมาเลย แถมลองกดโทรไปก็ไม่รับด้วย


   ทำอะไรอยู่นะ


   “เป็นไรวะ ทำหน้าเครียดไรขนาดนั้น” เสียงไอ้ภาคเอ่ยทัก

   ผมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ที่วางข้างจานข้าวไปสบตาคนถาม “กูทำหน้าเครียดหรือ”

   “ก็เออสิ คิ้วจะผูกเป็นโบว์แล้ว” ไอ้ภาควางช้อนแล้วจ้องหน้าผม “สรุปเป็นอะไร”

   อินที่นั่งอยู่ข้างไอ้ภาคก็หันมามองผมเช่นกัน

   ผมมองหน้าเพื่อนสองคนสลับกัน ก่อนจะหลบตา “ พี่เกียร์ไม่ตอบข้อความกูว่ะ” ผมตอบด้วยเสียงปนกังวล “โทรไปก็ไม่รับ”

   “เรียนอยู่มั้ง” อินบอกผม

   ผมสบตาอิน “นี่พักเที่ยงแล้ว ถ้าไม่ว่างก็น่าจะส่งข้อความมาบอกกูนะ”

   “เดี๋ยวกูถามพี่รหัสกูแปบ” ไอ้ภาคหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดยุกยิก คาดว่าน่าจะส่งข้อความไปหาพี่โซ่ 

   เพื่อนตัวสูงของผมกดโทรศัพท์อยู่สักพักก็เงยหน้าจากจอสีฟ้ามาสบตาผมที่จ้องมันอยู่ก่อนแล้ว 

   “พวกพี่เขาแก้ผลแลปอยู่ว่ะ”


   ครืด!


   สิ้นเสียงไอ้ภาค เสียงโทรศัพท์ของผมสั่นครูดกับผิวโต๊ะไม้ก็ดังขึ้น

   พี่เกียร์ตอบแล้ว !!

   P’ GEAR : เจ้า

   P’ GEAR : พี่ขอโทษ พี่มัวแต่แก้งานครับ

   ตัวอักษรปรากฎขึ้นบนหน้าจอทัชสกรีน แสดงการตอบกลับของคนที่ผมกำลังรออยู่


   RrrrrrRrrrrr


   ยังไม่ทันได้เลื่อนสัมผัสหน้าจอเพื่อตอบกลับข้อความ โทรศัพท์ก็สั่นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการสั่นเพราะมีสายเรียกเข้าจากคนที่เพิ่งส่งข้อความมา

   “(เจ้า)” เสียงร้อนรนจากคนปลายสายเรียกร้อยยิ้มจาง ๆ ของผมได้ในทันที

   “ครับพี่เกียร์”

   “(พี่ขอโทษ  พี่แก้งาน ไม่ได้ดูโทรศัพท์ เลยลืมส่งข้อความบอกเราด้วย)”

   “ไม่เป็นไรครับ”

   “(แล้วนี่กลับคณะหรือยัง)”

   “ยังครับ กินข้าวอยู่กับภาคกับอิน แล้วพี่กินข้าวยังอ่ะ”

   “(ยังไม่มีเวลาเลยเอ๋อ แก้งานเสร็จเดี๋ยวไปกินทีเดียว)” ผมก็ยังคงเป็นน้องเอ๋อเหมือนเดิม 

   “อ่า งั้นตั้งใจทำนะครับ สู้ๆ”

   “(ครับ พี่ไปทำงานก่อนนะ)”

   “โอเคครับ”

   สัญญาณการตัดสายดังขึ้นเมื่อผมเอ่ยตอบรับจบคำ แต่รอยยิ้มก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้าซาลาเปาของผม หมายถึงขาวเหมือนซาลาเปานะครับ ไม่ใช่อ้วนกลม

   “เหม็นความรักว่ะ” เสียงเพื่อนจอมกวนของผมดังขึ้นจนทำให้ผมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ไปจ้องหน้ามัน ได้ทีก็เอาใหญ่เลยนะไอ้ภาค

   ผมแสยะยิ้ม ลอยหน้าลอยตาใส่เพื่อนตัวสูงที่นั่งฝั่งตรงข้าม “อิจฉา พูดแบบนี้เพื่อน”

   “บ๊ะ ! มีแฟนแล้วปากเก่งขึ้นนะมึง”

   “เก่งนานแล้วโว้ย” 

   สงครามน้ำลายกำลังจะก่อตัวขึ้น เพื่อนตัวเล็กสุดในกลุ่มเห็นท่าจะไม่จบง่าย ๆ เลยรีบยกมือขึ้นห้ามผมกับไอ้ภาค “พอ ๆ รีบกินข้าวเถอะ”

   คู่แข่งความปากดีที่มาในรูปแบบของเพื่อนอย่างผมกับไอ้ภาคก็ยอมสงบศึก แต่ไม่วายแยกเขี้ยวขู่กันทิ้งท้าย

   อินส่งเสียงขำน้อย ๆ ในลำคอและส่ายหัวเอือมระอากับนิสัยของผมสองคน

   ตักข้าวเข้าปากได้ไม่กี่คำ ก็มีบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิด

   “ไอ้ภาค มึงรู้ไหมว่าพวกพี่เขาทำแลปอยู่ห้องไหน”

   นายภาคภูมิเงยหน้าจากจานข้าว แววตาสงสัยกับคำถามของผม “รู้…ทำไมวะ”

   ผมไม่ได้ตอบคำถามภาคแต่หันหน้าไปหาอินแทน “วิชาตอนบ่ายอาจารย์เช็คชื่อต้นคาบหรือท้ายคาบวะ”

   “หือ? บ่ายนี้หรือ อาจารย์คนนี้ไม่เช็คชื่อนะ” รอยย่นระหว่างคิ้วของอินทัชสื่อถึงความสงสัยในคำถามของผมเหมือนกับไอ้ภาค

   “โอเค งั้นเดี๋ยวกูฝากเก็บจานหน่อย” ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วเตรียมจะลุกออกจากโต๊ะ

   แต่ไอ้ภาคเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้อย่างรวดเร็ว “เห้ย จะไปไหนวะ”

   รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะทำ

   “กูจะซื้อข้าวไปให้พวกพี่เกียร์ กว่าจะแก้แลปเสร็จคงอีกนาน”

   “เหยดดดดด เอาโล่ห์แฟนดีเด่นแห่งปีไปเลยครับคุณเจ้าพระยา” สายตาล้อเลียนและรอยยิ้มกว้างจากคุณภาคภูมิถูกส่งมาให้ผม

   ถามว่า ผมเขินไหม

   หึ

   จะเหลือหรือครับคุณผู้อ่าน แต่ต้องนิ่งไว้ อย่าให้ใครรู้ว่าเขินหนักมาก

   ไอ้ภาครวบช้อนส้อมเข้าหากันทั้งที่ข้าวยังไม่หมดจาน “งั้นเดี๋ยวกูไปด้วย บ่ายนี้กูไม่มีเรียนพอดี”

   “เห้ย” ผมรีบยกมือห้ามเพื่อนจอมกวนทันที “ไม่เป็นไร มึงแค่บอกห้องแลปมาก็พอ”

   “ไม่บอก” แถมยักคิ้วใส่ผมอีก 

   “เออ ก็ได้วะ” ผมไม่มีทางเลือกเลยตอบตกลงคำขอของไอ้ภาคไป

   คงสงสัยกันว่าทำไมผมไม่อยากให้ไอ้ภาคไปด้วย เหอะ จากสกิลปากหมา ๆ อย่างมันแล้ว ไม่น่าจะคาดเดายากนะครับ

   “มึงจะทิ้งกูหรือเจ้า” เคลียร์ฝั่งไอ้ภาคจบ ก็ยังต่อด้วยนายอินทัชเพื่อนผู้เรียบร้อย (?) อีกคน 

   ผมหันไปสบตากับอินที่นั่งช้อนตามองผมด้วยแววตาตัดพ้อสุดพลัง

   โอ้ย มึงเอารางวัลการแสดงยอดเยี่ยมแห่งปีไปเลยอิน

   “ไม่ต้องมาใช้สายตาแบบนั้นกับกู เพราะมันได้ผล !” ผมยกมือตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ ไปหนึ่งที “เออ ไปกันหมดนี่แหละ”

   “ฮ่า ๆ” เรื่องรุมผมนี่เข้าขากันดีจริง ๆ เลยนะสองคนนี้


  นี่เพื่อนเอง


   พวกเราทั้งสามคนก็เก็บของลุกออกจากโต๊ะพร้อมกัน โดยแยกกันไปซื้อของตามที่ตกลงกันไว้คือ ผมไปซื้อข้าวแบบใส่กล่อง อินไปซื้อน้ำ และภาคเอาจานข้าวทั้ง 3 ใบไปเก็บ

   เมื่อต่างคนต่างจัดการส่วนของตัวเองเสร็จ ก็เดินมายืนรอที่บันไดทางลงโรงอาหาร ผมที่รับหน้าที่สั่งข้าวนั้นได้รับของเป็นคนสุดท้าย เมื่อมาพร้อมกันแล้วไอ้ภาคก็เป็นฝ่ายเดินนำไปทางอาคารกลางของคณะวิศวะ ฯ
เวลาพักกลางวันที่เหลืออยู่คงจะเพียงพอในการให้พวกผมนำอาหารกลางวันไปให้คนที่กำลังทำงานอยู่แล้วรีบไปเรียนในคาบบ่าย ผมไม่ได้กะจะโดดอยู่แล้วครับ มันไม่ดีต่อคะแนนเท่าไหร่







(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2

   เดินตามไอ้ภาคไม่นานมันก็พาขึ้นลิฟต์มาที่ชั้น 6 ทั้งชั้นนี้เหมือนจะมีแต่ห้องปฏิบัติการ ซึ่งในเวลาพักกลางวันแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีคนใช้งานเท่าไหร่

   ตอนนี้ไอ้เพื่อนหน้าหล่อก็พาผมมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง ๆ หนึ่ง ไม่ต้องใช้เวลาคิดอะไรให้มากมายก็รู้ได้ว่าน่าจะเป็นห้องที่พวกพี่เกียร์ทำงานอยู่

   ภาคภูมิหันมาส่งสัญญาณด้วยการยกนิ้วโป้งมือข้างซ้ายชี้ไปทางประตูเพื่อบอกว่ากลุ่มคนที่เรามาหาอยู่ในห้องหลังบานประตูบานนี้ ซึ่งยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากบอกให้มันเคาะประตู จู่ ๆ บานประตูก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือใครสักคน ยังไม่ทันได้คิดคำพูดใด ๆ เจ้าของแรงดึงประตูก็ออกมายืนปิดช่องว่างระหว่างบานประตูกับวงกบ มือข้างหนึ่งของเขายังไม่ปล่อยออกจากลูกบิดประตู

   “อ้าว” เสียงอุทานเบา ๆ ที่หลุดออกจากลำคอของรุ่นพี่ปี 3 ตรงหน้า “มาไงวะ”

   “ไอ้เหี้ยมายด์ จะไปเข้าห้องน้ำก็รีบไปสิโว้ย ยืนเล่นประตูหาพ่อมึงหรือ” เสียงหญิงสาวดังกังวานมาจากด้านในห้องปฏิบัติการ ไม่ต้องคิดให้ยากเพราะเป็นเสียงพี่โซ่แน่นอน

   “กูไม่ได้เล่นหาพ่อกู แต่ลูกสะใภ้พ่อใครบางคนมาหาว่ะ” พี่มายด์ตะโกนตอบคนในห้องปฏิบัติการแต่สายตาและรอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั้นจ้องไปมาระหว่างหน้าผมกับอิน

   “ลูกสะใภ้ห่าอะไรของมึงอีก เล่นเหี้ยอะไร เสียเวลาแก้งานฉิบ-” เสียงบ่นที่ดังอยู่หลังบานประตูชะงักเมื่อบานประตูเปิดกว้างขึ้นด้วยแรงดึงของพี่มายด์ “น้องเจ้า! น้องอิน!”

   ผมกับอินหันหน้ามาสบตากันประมาณหนึ่งวินาทีแล้วถึงหันกลับไปยิ้มเขิน ๆ ให้พี่โซ่ ที่ตอนนี้วิ่งจากโต๊ะที่กำลังทำงานงานมาหาพวกผมที่หน้าประตู

   “อ้าวเจ๊ ฮัลโหล หลานรหัสก็อยู่ตรงนี้นะ ทำไมสนใจแต่ไอ้สองคนนี้อ่ะ น้อยใจชะมัด” เดือนวิศวะ ฯ ปี 1 ที่เป็นถึงหลานรหัสดาวคณะปี 3 อย่างพี่โซ่บ่นเสียงตัดพ้อ ดึงหน้าดึงตาแสร้งทำเป็นงอนป้ารหัสตัวเอง

   พี่โซ่หันไปชี้หน้าไอ้ภาค “หยุดเลยมึง ทำแล้วไม่น่ารักอย่าทำ รำคาญลูกตา”

   “โห่ เจ๊อ่ะ นี่หลานเอง หลานสุดหล่อไง” ไอ้ภาคยกนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง หน้างอยับยู่ยี่ที่ไม่ได้รับความสนใจจากป้ารหัสคนสวย

   “มึงหล่อ แต่มึงไม่ได้น่ารักแบบน้องเจ้ากับน้องอินไง จบไหม” พอจิกกัดหลานรหัสตัวเองเสร็จก็หันมาหาผม แถมยกมือเรียวบางทั้งสองข้างมาแนบแก้มบวม ๆ ของผม ซึ่งตอนนี้ทั้งเขินทั้งประหม่า ทำได้แค่ส่งยิ้มตาหยีไปให้ “งื้อ ไม่ได้เจอกันหลายวัน น่ารักเหมือนเดิมเลยนะ” พี่โซ่ขยับมือทั้งสองข้างคลึงแก้มผมเล่นเหมือนบีบมาร์ชเมลโล่

   เพี๊ยะ !!

   “โอ๊ย”

   ประตูเปิดกว้างจนสุดพร้อมกับเสียงเนื้อหนังโดนกระทบไม่เบาไม่แรงแต่ก็อาจจะทำให้เกิดรอยแดงได้ไม่ยาก สายตาผมเบนจากใบหน้าพี่โซ่ไปยังเจ้าของฝ่ามืออรหันต์ที่ตีแขนพี่โซ่

   คนตัวสูงใบหน้าคมเข้มกับแววตาที่ติดดุเล็กน้อย ทว่าในตอนนี้ใบหน้าหล่อเรียบตึงและนัยน์ตาฉายแววดุกว่าปกติ กับเพื่อนกับฝูงก็ไม่เว้นเนาะพี่เนาะ

   “กับเพื่อนก็หวงนะมึง” พี่โซ่ส่งสายตาขวางไปให้เดือนคณะที่ประกวดคู่กัน

   “เออ! รู้แล้วก็ปล่อย” พี่เกียร์ปัดมืออีกข้างของพี่โซ่ออกจากแก้มผม แล้วก็ดึงแขนผมไปยืนข้างตัวเอง

   ตอนนี้ทั้งพี่เกียร์และพี่พีก็มายืนอยู่ตรงหน้าพวกผมรวมกับพี่มายด์และพี่โซ่แล้ว

   “ไงเรา ขึ้นมาทำอะไรครับ” พี่เกียร์หันมาถามผม

   “เอ่อ คือว่า...” ผมสบตากับพี่เกียร์แล้วก็ไล่สายตาไปหาพี่ ๆ ทุกคน พร้อมกับยกถุงกล่องข้าวในมือ พออินเห็นแบบนั้นก็ยกถุงพลาสติกใสที่บรรจุน้ำ 4 ขวดไว้ขึ้นมาเช่นกัน “เจ้าคิดว่าพวกพี่คงแก้งานกันอีกนาน แถมยังไม่ได้ลงไปกินข้าวเที่ยง คือ..เจ้ากลัวพวกพี่หิว ก็เลยซื้อข้าวขึ้นมาให้ครับ” คำตอบที่ร่ายออกไปยาวเหยียดจบลงพร้อมกับรอยยิ้มกว้างจนตากลมของผมมันหยีเล็กลงเป็นสระอิ

   “เทวดาน้อยของพี่!!” เสียงตะโกนของพี่มายด์พร้อมกับสัมผัสที่มือถูกกอบกุมโดยเจ้าของเสียง “มาโปรดกระเพาะแห้ง ๆ ของพี่แล้ว ฮืออออ”

   ผละจากมือผมก็หันไปจับมือไอ้อินลูบไปมาเหมือนที่ทำกับผม “น้องอินด้วย เทวดาของพี่”

   “อ้าว แล้วผมอ่ะพี่มายด์” ไอ้ภาคส่งเสียงประท้วงขอความยุติธรรม

   “มึงหรือ ซาตานของกูไง”

   “อะไรวะ ผมอุตส่าห์พาไอ้สองคนนี้ขึ้นมาเลยนะ” คุณภาคภูมิเขายังคงไม่ล้มเลิกการประท้วง

   “หยุด!! จะเถียงกันก็ไปเถียงที่อื่น รำคาญ !!” หญิงสาวหน้าคมผิวสีแทนเพียงหนึ่งเดียวยกมือขึ้นเป็นกรรมการยุติการเถียงกัน
   
   “พี่ขอบใจน้องเจ้ากับน้องอิน...เออ ไม่ต้องมองกูแบบนั้น มึงด้วยไอ้ภาค ที่ซื้อข้าวขึ้นมาเยียวยาพี่นะคะ น่ารักที่สุดเลย”

   “น้องซื้อมาให้กู” คนข้างตัวผมที่สงสัยกลัวไม่มีบท เลยเอ่ยออกมาขัดใจเพื่อนสุดสวยของตัวเอง

   “ของพวกกูด้วยเถอะ” พี่มายด์รับกล่องข้าวจากมือผมไปถือแล้วชูขึ้นใส่หน้าพี่เกียร์ “เนี่ย มึงนับกล่องดูเลยสัด” พูดจบก็หดแขนเข้าหาตัวกอดถุงกล่องข้าวไว้ท่าทางเหมือนกลัวจะโดนใครพรากกล่องข้าวสุดที่รักไป

   พลันสายตาผมก็หันไปเห็นพี่พียื่นมือไปรับถุงขวดน้ำจากอินไปถือ ทั้งสองคนส่งยิ้มให้กันจาง ๆ แต่แววตาดูลึกซึ้งจัง


   คนจริงเขาไม่พูดเยอะ อิอิ


   เมื่อบทสนทนาจบลงพี่มายด์ก็รีบกอดถุงกล่องข้าวเดินออกจากห้องปฏิบัติการไปยังห้องข้าง ๆ โดยมีพี่โซ่และไอ้ภาคเดินตามไป แรงสะกิดที่แขนข้างขวาทำให้ผมรีบเบนสายตาจากคู่พีอินหันไปมองเจ้าของแรงสะกิด ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถามกับคนตัวสูง

   พี่เกียร์ยิ้มให้ผม “ขอบคุณนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มที่ส่งมาพร้อมกับสายตาแสนอบอุ่นนั้นเรียกอาการหน้าร้อนของผมได้ในทันที

   แต่เจ้าพระยาคนกล้าจะไม่แสดงอาการแล้วครับ “ไม่เป็นไรครับ เต็มใจดูแลแฟน” เอ่ยประโยคหลังออกไปเสียงเบา แม้จะพยายามควบคุมสีหน้าให้นิ่ง แต่ไม่ปฏิเสธเลยว่าหัวใจเต้นแรงมากกับมุกที่กล้าหยอดพี่เกียร์

   “หรือครับ งั้นสนใจย้ายไปดูแลแฟนแบบ 24 ชั่วโมงที่คอนโดไหมครับ” ประโยคเชิญชวนดังขึ้นเบา ๆ แต่ลมร้อนของลมหายใจที่ปะทะข้างแก้มใสของผมนั้น เป็นสิ่งที่บอกได้ว่าใบหน้าหล่ออยู่ไม่ห่างจากแก้มผมแน่นอน


   ยอมแพ้ครับ

   เจ้ายอมแล้ว

   ให้ตายเถอะ


   “เห้ย!” เสียงพี่มายด์ตะโกนมาจากด้านหลังของผมกับพี่เกียร์ ผมหันไปก็เห็นแค่ใบหน้ากวน ๆ ของพี่มายด์ที่โผล่ออกมาจากประตูห้องข้าง ๆ “จะจีบกันอีกนานไหม น้องเจ้ากินแทนข้าวไม่ได้นะไอ้เกียร์”

   “หรอวะ” คนตัวสูงตอบรับเพื่อนแล้วก็เบนสายตาหันมามองผม “แต่กูว่าน่าจะอิ่มกว่ากินข้าวนะ”


   อิ่มอะไร นี่คน กินไม่ได้ว้อยพี่ !!!


   “ไอ้เชี่ยยยยยย หน้ามึงหื่นมากเพื่อน โอ้ย กูขนลุก น้องเจ้ามาหาพี่เร็ว อย่าไปอยู่ใกล้มัน” ใช่ไหมครับพี่มายด์ คนอะไรน่ากลัว คือสายตาตอนพี่เกียร์พูดนี่แบบว่า ขอคาถาหายตัวให้เจ้าที ทนสบตาไม่ไหวจริง ๆ ครับ

   ผมที่ก้มหน้าหลบสายตาคนเจ้าเล่ห์ก็รีบเดินเร็ว ๆ ไปยังห้องที่มายด์โผล่หน้าออกมา ก่อนเข้าห้องหางตาก็มองเห็นพี่เกียร์ยืนเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อช็อปยิ้มมุมปากมองมาที่ผม

   ไอ้คนร้ายกาจ !!!





   พอเข้ามาในห้องก็พบว่าห้องนี้น่าจะเป็นห้องพักสำหรับนักศึกษาที่มาใช้ห้องปฏิบัติการ คิดตามเหตุผลแล้วห้องปฏิบัติการก็ไม่ควรนำอาหารเข้าไปรับประทานนั่นแหละครับ ถึงได้มีห้องพักแบบนี้ไว้ ผมก้มมองนาฬิกาบนข้อมือตัวเองก็พบว่าเหลือเวลาอีกประมาณอีก 15 นาทีจะถึงเวลาเข้าเรียนในคาบบ่าย คิดคำนวณเวลาเดินแล้วก็น่าจะสายไม่เกิน 10 นาที ยังไม่ทันได้หันไปเรียกเพื่อนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างพี่พี แฟนเจ้าเล่ห์ของผมก็เปิดประตูเข้ามา

   ผมหันไปมองพี่เกียร์ “พี่เกียร์ งั้นเจ้าไปเรียนก่อนนะ”

   คนตัวสูงยกแขนข้างซ้ายขึ้นมาดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตัวเองก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ “โอเคครับ เดี๋ยวตอนเย็นพี่ไปรับ”

   “วันนี้เจ้าซ้อมหลีดนะ คงเลิกดึกหน่อย” ถึงวันนี้จะเป็นการกลับมาซ้อมหลีดวันแรก แต่ระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนจะถึงวันแข่งจริงนั้นไม่ได้มีมาก ผมเลยคิดว่ารุ่นพี่น่าจะให้ซ้อมหนักน่าดู เลยบอกพี่เกียร์ล่วงหน้าไว้ก่อน

   “อืม เดี๋ยวพี่ทำงานรอที่ห้องสมุด ถ้าใกล้เลิกก็โทรมาครับ”

   “ตกลงครับ งั้นเจ้าไปก่อนนะ” ผมยิ้มกว้างเอ่ยลาคนตรงหน้า แล้วจึงหันไปหาเพื่อนตัวเอง “อิน ไปเรียนกัน”

   อินพยักหน้าตอบรับผม ก่อนจะหันไปหาพี่พี แต่ยังไม่ทันที่อินจะพูดอะไร พี่พีก็พยักหน้าแล้วยกมือขึ้นวางบนกลุ่มผมนุ่มของเพื่อนผมแล้วยีเบา ๆ

   “ตั้งใจเรียน” เสียงเรียบติดเย็นชาสำหรับคนอื่น แต่แววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นนั้นส่งไปยังเพื่อนตัวเล็กของผม

   “ครับ” อินตอบรับแค่นั้นก็หยิบกระเป๋าของตัวเองลุกขึ้นเดินมาหาผม

   “โอ้ย ทำไมข้าวกูมันหวานจังวะโซ่” เสียงเอ่ยแซวของพี่มายด์ดังขึ้นพร้อมกับสายตาล้อเลียนที่มองไปยังพี่พี

   แปะ!!

   พี่พีโยนซองน้ำปลาพริกไปตรงหน้าพี่มายด์ “อ่ะ น้ำปลา ถ้าไม่พอก็บอก โซเดียมคลอไรด์ในห้องแลปมีเยอะ”

   “พอแล้วจ่ะ ไม่หวานแล้วจ่ะ” พูดจบก็ก้มหน้าตักข้าวใส่ปากเงียบ ๆ

   “สม !” คู่ป้าหลานรหัสไม่วายจะเอ่ยสมน้ำหน้าคนขี้เล่น

   ผมหันไปสบตากับพี่เกียร์อีกครั้ง เราต่างยิ้มให้กัน บอกลาผ่านแววตาโดยไร้ซึ่งคำพูด แต่กลับเหมือนได้รับพลังมาหล่อเลี้ยงหัวใจพร้อมที่จะทำอะไรต่าง ๆ นานาให้ผ่านไปได้ด้วยดี










   เป็นไปตามคาดเพราะผมกับอินเข้าห้องเรียนสาย แต่ได้รับเพียงสายตามองแรงจากอาจารย์เล็กน้อยซึ่งผมกับอินก็ทำได้แค่ยกมือไหว้โค้งตัวสวยงามตามมารยาทไทย รอยยิ้มแห้ง ๆ ถูกส่งไปพร้อมแววตาสำนึกผิด แหะๆ การเรียนดำเนินไปจนกระทั่งเลยเวลาเลิกเรียนมาเล็กน้อย พออาจารย์เอ่ยว่า ‘วันนี้ พอเท่านี้แล้วกัน’ เพื่อนร่วมห้องของผมก็พากันร้องเฮไม่เกรงใจอาจารย์กันเลยทีเดียว


   เหล่าพวกหลีดที่มีหน้าที่ซ้อมต่อจากนี้ก็ตะโกนเรียกกันให้ไปรวมตัวหน้าห้องเรียนก่อน ไอ้ว่านมันก็เป็นตัวแทนนัดแนะให้เวลาแต่ละคนไปทำธุระส่วนตัว หาอะไรกินก่อนซ้อม แล้วก็นัดเวลาเจอกันตรงลานใต้คณะเหมือนเดิม ผมกับอินก็เลยชวนกันเดินไปที่ซุ้มขายของกินเล่นข้าง ๆ คณะ เพื่อซื้อน้ำกับขนมตุนไว้ระหว่างซ้อม  แต่ระหว่างทางอินก็ขอผมกลับก่อน เห็นว่าน้าอรไลน์มาบอกให้ไปหาที่ทำงาน ผมก็เลยเดินไปซุ้มคนเดียว






   เมื่อเดินมาถึงซุ้มขายขนม ผมก็เลือกขนมอย่างเพลิดเพลิน ในขณะที่ผมกำลังจะจ่ายเงินค่าขนมให้กับพี่คนขายก็มีอีกมือยื่นธนบัตรใบสีม่วงให้พี่เขาตัดหน้าผม

   ผมรีบหันขวับไปมองหน้าเจ้าของธนบัตรใบนั้น

   “พี่จ่ายให้ครับ” รุ่นพี่ปี 2 คณะสถาปัตย์ ฯ ที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างพี่ไนซ์เอ่ยขึ้นข้าง ๆ ผม

   ผมรีบยกมือปฏิเสธพี่เขาทันที “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจ่ายเอง”

   พี่ไนซ์ยิ้มกว้าง ส่งสายตาที่มองยังไงก็รู้ว่ากำลังอ้อน “ครั้งนี้พี่ขอเลี้ยงเรานะ อย่าปฏิเสธเลยนะครับ”

   “เอ่อ...” ผมกำลังจะปฏิเสธอีกครั้ง

   “นะครับ แค่ครั้งนี้ก็ได้ครับ” สายตาอ้อนวอนยังคงถูกส่งมาจากรุ่นพี่ต่างคณะไม่หยุด

   “ถ้าแค่ครั้งนี้ก็ได้ครับ” ผมหมดหนทางปฏิเสธ เพราะดูท่าพี่ไนซ์จะตั้งใจปิดมันทุกทาง

   “น่ารักครับ” แววตาเอ็นดูส่งมาพร้อมกับมือที่พยายามจะลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มของผม แต่ด้วยความตกใจผมเลยเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือหนานั้น

   “ขอโทษครับ” ผมเอ่ยขอโทษกับปฏิกิริยาทางร่างกายที่ปฏิเสธสัมผัสอ่อนโยนนั้น

   พี่ไนซ์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ “กลัวพี่ขนาดนั้นเลยหรือ”

   “เปล่าครับ ! ไม่ได้กลัวนะครับ” ผมรีบยกมือสองข้างโบกไปมาแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้กลัวพี่ไนซ์แบบที่พี่เขาเข้าใจ “แต่ว่า...คือผม...”

   “ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ” ยังไม่ทันที่จะอธิบายจบพี่ไนซ์ก็พูดขึ้นมาก่อน

   “เอ่อ งั้นผมไปซ้อมก่อนนะครับ เดี๋ยวสาย ยังไงก็ขอบคุณสำหรับขนมนี่นะครับ” ผมยกมือไหว้แสดงความขอบคุณรุ่นพี่คนนี้

   “พี่เต็มใจครับ ตั้งใจซ้อมนะเจ้า” พี่ไนซ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   “อ่า ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้อีกครั้งแล้วจึงเดินแยกออกมาเพื่อที่จะไปซ้อมหลีดตามเวลาที่นัดกันไว้ โดยที่ผมก็ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหลังจากนี้










   การซ้อมหลีดเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากที่หยุดซ้อมไปช่วงที่มีสอบกลางภาค ทำให้การต่อท่ามีติดขัดไปบ้าง หลัก ๆ ของการซ้อมวันนี้ก็จะหนักไปที่การทวนท่าเดิม ๆ มากกว่า แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อไปกับการซ้อมท่าเดิมซ้ำ ๆ คือการที่เหล่าหลีดรุ่นพี่ และหลีดรุ่นน้องซ้อมไปด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้มีการกดดันให้พวกเรารู้สึกเครียด แต่กลับพูดให้กำลังใจคนที่ตามไม่ทันเสมอ การซ้อมไปหัวเราะไปมันยิ่งทำให้มีพลังมากขึ้นกว่าเดิม คนที่ตามไม่ทันก็ยิ่งพยายามซ้อม อยากที่จะทำออกมาให้ดี เพื่อตอบแทนให้กับความเชื่อใจที่รุ่นพี่มีให้พวกเราตัวแทนหลีดปี 1 ว่าพวกเราจะทำมันออกมาดีสมศักดิ์ศรีเราชาวเภสัช ม. ยู
พอทวนท่าจนคิดว่าออกมาพร้อมเพรียงเป็นที่น่าพอใจแล้ว รุ่นพี่ก็ปล่อยพวกผมให้ได้พักคลายความเหนื่อยล้า เหล่าหลีดผู้ชายก็เลยจับกลุ่มนั่งพักกันเป็นวงบนพื้นลานคณะ

   “เห้ย !! ไอ้เจ้า !!” ไอ้ซันโพล่งเรียกชื่อผมเสียงดังขึ้นมากลางวง

   ผมที่กำลังดูดน้ำแก้กระหายก็แทบสำลักน้ำด้วยความตกใจ “แค่ก ๆ ..เหี้ยไรของมึงเนี่ย”

   ไอ้ซันเงยหน้าจากเครื่องสื่อสารในมือของมันขึ้นมาชี้หน้าผม “ไอ้เจ้า ไอ้วันทองสองใจ”

   “วันทองอะไรวะ กูไม่เข้าใจ” ผมยังคงงุนงงกับท่าทางของไอ้ซัน

   “เออ กูก็งง เป็นห่าอะไรของมึง” ไอ้ว่านก็คงมีความคิดไม่ต่างจากผม

   “มึงนอกใจพี่เกียร์หรือวะไอ้เจ้า ทำไมมึงทำแบบนี้วะ ดีนะที่ยังไม่เป็นแฟนกับพี่เขา” ไอ้ซันมันยังคงโวยวายใส่ผม แม้มันจะยังไม่รู้ความสัมพันธ์จริง ๆ ของผมกับพี่เกียร์ คือมึงออกอาการแทนขนาดนี้มึงแอบชอบพี่เกียร์ปะวะ แล้วนอกใจอะไร ผมงงไปหมด

   “มึงรีบอธิบายมาดิ” ผมโวยวายกลับ แถมยังลุกขึ้นย้ายไปนั่งข้างไอ้ซัน

   ไอ้ซันไม่ตอบแต่ยื่นโทรศัพท์ราคาหลายหมื่นมาตรงหน้าผม จอที่ยังไม่ดับลงทำให้ผมเห็นว่ามันเปิดแอพลิเคชั่นสีน้ำเงินอยู่ พอไล่สายตาอ่านข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์เสร็จ ดวงตากลมของผมก็ต้องเบิกกว้าง ปากอ้าค้างแบบไร้เสียงเล็ดลอดออกมา


   U Cute Boy


      นี่มันอะไรยังไงคะ แอดมินงงไปหมด ก่อนสอบเรือ #เกียร์เจ้า แล่นออกนอกจักรวาลไปแล้ว แต่ทำไมหลังสอบเรือ #ไนซ์เจ้า ถึงกลับมาแล่นล่ะคะ ช่วงสอบมีเรื่องอะไรที่แอดตามไม่ทันปะคะ พี่ไนซ์ออกตัวแรงขนาดนี้ น้องเจ้าเลือกแล้วหรือคะ #ใต้ความตั้งใจซ้อม #ใต้ความกินให้อร่อย #ใต้ความไม่รู้เรื่องของแอดมิน


   รูปที่ถูกแนบมาใต้แคปชั่นยาวเหยียดนั้นก็คือรูปที่แคปมาจากแอพลิเคชันอินสตาแกรมที่อ่านชื่อแล้วใครก็รู้ว่าเป็นแอคเคาท์ของพี่ไนซ์ แต่ที่ทำให้ผมต้องตกใจขนาดนี้คือ ตัวผมในรูป ถึงแม้จะถ่ายจากด้านหลังแต่ถ้าใครที่รู้จักผมมาเห็นก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นผมแน่ ๆ ในรูปเห็นแค่แผ่นหลังและในมือก็คือถุงขนมกับเครื่องดื่มที่ผมเลือกแต่พี่ไนซ์เป็นคนจ่ายนั่นแหละ และให้ตายเถอะ

   ข้อความที่พี่ไนซ์ใช้อธิบายใต้รูปนั่น


   ‘เจอแค่นี้ก็ดีใจแล้ว ตั้งใจซ้อมนะครับ พี่เป็นกำลังใจให้ ส่วนขนมก็กินให้อร่อยนะครับ’


   เวลาที่เพจ U Cute Boy แคปมาโพสต์ก็ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งก็นานพอที่จะทำให้ใครบางคนเห็นโพสต์นั้น
ผมรีบลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าสะพายเพื่อดูโทรศัพท์ของตัวเองว่ามีความเคลื่อนไหวจากคนขี้หวงหรือไม่ และต้องแปลกใจเพราะไม่มีการติดต่อมาเลยสักช่องทาง ไม่มีทั้งข้อความและสายเรียกเข้า


   ขนลุกซู่เหมือนงานจะเข้าตัวยังไงไม่รู้ครับ


   “มึงอธิบายมาเลยไอ้เจ้า กูทีมพี่เกียร์” ไอ้ซันยิงคำถามเค้นคอผม

   “ไอ้ซัน มึงจะหัวร้อนแทนพี่เกียร์อะไรขนาดนั้น ฮ่า ๆ” ไอ้นายส่งเสียงหัวเราะตบท้ายดูไม่ได้จริงจังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ไอ้เจ้า แล้วนี่มันยังไงวะ” ไม่จริงจัง แต่เสือกหน่อยก็ดี นี่คงเป็นคติไอ้นาย

   “ไม่มีอะไรเลย คือกูไปซื้อขนมก่อนมาซ้อมอ่ะ แล้วพอกูจะจ่ายเงินพี่เขาก็มาแย่งจ่าย กูปฏิเสธแล้วแต่พี่เขาก็ยืนยันอ่ะ แล้วพี่คนขายก็รับเงินพี่ไนซ์ไปแล้ว กูไม่รู้จะทำไง แล้วก็รีบมาซ้อม ก็เลยให้พี่เขาจ่ายให้อ่ะ แต่ก็ไม่คิดว่าพี่เขาจะทำแบบนี้นี่หว่า มันไม่มีอะไรจริง ๆ นะเว้ย” ท้ายคำอธิบายยืดยาวเสียงผมก็เบาลง แล้วก็ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองที่มันเงียบแปลก ๆ

   “โอ้โห ไอ้พี่ไนซ์นี่มันกะใช้โซเชี่ยลปั่นกระแสปะวะ” การคาดเดาจากไอ้ซันเริ่มผุดขึ้นมา

   “เป็นไปได้ว่ะ” ไอ้ว่านพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของไอ้ซัน “แล้วมึงกับพี่เกียร์นี่ยังไงวะ” ความสงสัยของไอ้ว่านถูกส่งผ่านคำถามมาให้ผม

   ผมเงยหน้าขึ้นสบตาไอ้ว่าน และเพื่อนคนอื่นที่นั่งเป็นวงกลม แล้วก็ก้มมองที่โทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง


   ผมมีสิทธิ์ตอบได้แล้วใช่ไหม


   พี่คงไม่คิดปิดบังเรื่องของเราใช่หรือเปล่า


   คำถามที่ผุดขึ้นมาก่อเกิดความไม่แน่ใจในคำตอบที่ตั้งใจจะบอกเพื่อนร่วมรุ่นให้รับรู้ความจริง


   ระหว่างที่ผมกำลังสับสนในความคิดของตัวเองอยู่นั้น รุ่นพี่ก็เรียกรวมให้กลับไปซ้อมเหมือนเดิม ผมเลยรีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเหมือนเดิม เงยหน้าขึ้นมาก็สบเข้ากับสายตาของเพื่อนผู้รอคำตอบรอบวง ผมทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มจาง ๆ ไปให้แล้วรีบลุกขึ้นวิ่งไปยืนที่ตำแหน่งซ้อมของตัวเอง ส่วนพวกมันก็ลุกขึ้นเดินตามผมมาทีหลัง



การซ้อมช่วงหลังเป็นไปอย่างเข้มข้นและสนุกสนานไปในคราเดียวกัน แต่ผมกลับรู้สึกไม่มีสมาธิในการซ้อมเอาเสียเลย คำถามในใจยังคงก่อกวนให้เกิดตะกอนขุ่นมัวในความรู้สึก และผมก็ไม่รู้ว่าจะกำจัดความขุ่นมัวนี้ยังไงก็เลยตั้งหน้าตั้งตาซ้อมให้เหนื่อยเข้าไว้ พยายามดึงความคิดให้ไปโฟกัสที่การจดจำท่าทางของการเต้นแต่ละเพลง









   ตอนนี้ท้องฟ้าถูกฉาบด้วยสีดำสนิท นาฬิกาบอกเวลา 2 ทุ่มตรง พี่ ๆ เลยบอกหยุดการซ้อมสำหรับวันนี้ และเรียกพวกเราไปนั่งรวมกันเพื่อชี้แจง แนะนำเรื่องต่าง ๆ ก่อนที่จะปล่อยกลับบ้านเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

   ฮื้ออออออออออออ

   ว้ายยยยยย


   เสียงฮือฮาของพี่ ๆ ที่ควบคุมการซ้อมหลีดด้านหน้าของผมและพี่ที่ยืนล้อมน้องอยู่ด้านข้าง ทำให้เหล่าหลีดปี 1 ส่งสายตางุนงงไปให้รุ่นพี่ พอผมเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ที่นั่งจ้องมาตั้งแต่รุ่นพี่เริ่มชี้แจง เห็นสายตาของรุ่นพี่ก็อดไม่ได้ที่จะมองตามสายตาเหล่านั้น

   “พี่เกียร์ !!” พลันสายตาทอดมองไปเห็นร่างสูงสมส่วนของคนที่ผมกำลังคิดถึง ชื่อเรียกของเขาก็หลุดออกจากปากผมอย่างไม่รู้ตัว

   แต่พี่เกียร์ไม่ได้มาคนเดียวครับ ข้าง ๆ พี่เกียร์ก็มีพี่โซ่กับพี่มายด์ ไอ้ภาค ไร้เงารุ่นพี่หน้านิ่งอีกหนึ่งคนอย่างพี่พี แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมเริ่มลุกลี้ลุกลนได้


   เคยเป็นไหมครับ บริสุทธิ์ใจกับประเด็นอะไรสักอย่าง แต่โคตรกังวลเหมือนตัวเองมีความผิดเลยครับ


   พอสบเข้ากับแววตาคมของคนตัวสูงที่ตอนนี้มีใบหน้าเรียบนิ่ง ผมเลยกะพริบตาถี่ ๆ ปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ท่าทางนี้ถูกส่งไปให้พี่เกียร์ คนตัวสูงมีปฏิกิริยาแค่เพียงอมยิ้มน้อย ๆ แล้วส่ายหัวเหมือนระอากับท่าทางของผม

   ยอมรับครับว่าอ้อนอยู่

   ขอให้ได้ผล ฮือออออ


   ผมหันกลับมาสนใจรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหน้า “รอก่อนนะค้า จะปล่อยแล้วค่า” รุ่นพี่ของผมตะโกนไปให้คนด้านหลังได้ยิน

   “ตามสบายครับ” พี่เกียร์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเดาอารมณ์ไม่ได้เลย

   ผมนั่งก้มหน้ามือทั้งสองข้างกระชับกระเป๋าไว้แน่น กะว่าพอรุ่นพี่บอกว่าปล่อยกลับปุ๊บ ผมจะรีบพุ่งไปหาคนตัวสูงทันทีเลยครับ จังหวะนี้ต้องรีบอธิบาย

   “พอดีสงสัยครับ พี่มารอรับใครหรือเปล่าครับ” สิ้นเสียงคำถามนั้น ผมรีบหันขวับไปมองหน้าไอ้ว่านเลยครับ เหมือนมันรอจังหวะอยู่แล้วผมเลยได้เห็นใบหน้าและรอยยิ้มกวนตีนของเดือนคณะร่วมรุ่น มึงรู้แล้วมึงจะถามทำม้ายยยย

   คนตัวสูงยิ้มมุมปากในแบบที่ว่ารุ่นพี่ผู้หญิงของผมส่งเสียงวี๊ดกันในลำคอเป็นแถว


   หล่อแล้วครับ !!

   “พี่หรือ” พี่เกียร์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง มืออีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกงนักศึกษาทรงกระบอกเล็กเข้ารูป

   “...” ไอ้ว่านไม่ตอบแต่พยักหน้ารับแทน

   “มารับแฟนครับ...เจ้าพระยา เดี๋ยวพี่ไปรอตรงโน้นนะ


   ตู้มมมมมมม


   เสียงเรือผีระเบิดเป็นจุนโดยฝีมือกัปตันเรืออย่างนายอรุณวิชญ์


   เสียงที่ไม่ได้ดังมาก แต่เพราะตอนนี้เป็นเวลา 2 ทุ่มกว่าแล้ว ซึ่งโดยรอบอาคารมีแต่ความเงียบ แถมตอนนี้ทุกคนยังพร้อมใจกันเงียบเสียงเพื่อรอฟังคำตอบจากคนตัวสูง

   “เชร้ดดดดดด กูเลือกทีมไม่ผิดจริง ๆ คนจริงมันต้องแบบนี้สิวะ เรืออะไรกูไม่รู้จัก กูรู้จักแต่จรวด” เสียงไอ้ซันกู่ร้องชื่นชมกัปตันเรือในดวงใจของมัน

   มึงเช็คสติก่อนเพื่อน

   “วี๊ดดดดดด เขาเป็นแฟนกันแล้วหรือ”

   “โอ้ย กูอยากเป็นน้องเจ้า เสียงพี่เกียร์โคตรอ่อนโยน”

   “เขินกว่าเจ้า ก็เราเนี่ย”


   เสียงหวีด เสียงฮือฮาจากเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ดังขึ้นรอบ ๆ ตัวผม ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้นมาบ้างเพราะมัวแต่ก้มหน้าคางชิดอกหนีสายตาล้อ ๆ จากทุกคนอยู่ มือสองข้างที่กระชับกระเป๋าตัวเองอยู่แล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งรองรับแรงจิกของมือผมไปแล้วครับ ความร้อนชื้นของร่างกายหลังจากการซ้อมยังไม่ร้อนเท่าหน้าผมเลยตอนนี้ ร้อนจนรู้สึกได้


   เขินจนเหนื่อยเป็นยังไง ผมรู้แล้วครับ

   ใจเต้นแรงเหมือนโดนสั่งให้วิ่งรอบคณะสัก 20 รอบเลย

   แม่ค้าบบบบบบ ช่วยเจ้าด้วยยยยยยยย


   เหตุการณ์ที่พี่เกียร์ระเบิดเรือผีใต้อาคารคณะเภสัชฯ ท่ามกลางสักขีพยานเป็นสิบคนนั้นก็ถูกส่งต่อและเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นฝีมือของคนอื่น ๆ น่ะไม่เท่าไหร่ แต่พี่แพร่ไปไกลและเป็นประเด็นสุด ๆ เพราะฝีมือคนใกล้ตัวอย่างสองคนป้ารหัสหลานรหัส สายเดือนดาวแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์


   ป้าเป็นดาวคณะปี 3 หลานเป็นเดือนคณะปี 1


   หน้าแอคเคาท์อินสตาแกรมที่มียอดติดตามหลักหลายหมื่นของทั้งคู่ มีคลิปวีดีโอที่เป็นเหตุการณ์เดียวกัน ต่างกันเพียงแค่มุมในการถ่ายทอด


   IamChain : ก็แค่มารับ “แฟน”  เพื่อนกูต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยหรือวะ มาค่ะนั่งจิบกาแฟกัน กัปตันไม่ให้พายแล้วค่ะ ติดเครื่องยนต์ออกนอกโลกไปแล้วค่า  @Gear.ARW @ChaoyaChaopraya #คู่จิ้นหรือจะสู้คู่จริง #เกียร์เจ้าอิทสเรียล


   Phak_phoom : ไม่เคยเห็นมึงเดินสะดุดลานเกียร์สักที แต่ได้แฟนเป็นคนมีเกียร์เฉย @ChaoyaChaopraya แต่ว่าพี่ครับ @Gear.ARW ไหนสินสอดเพื่อนผมครับ #คู่จิ้นหรือจะสู้คู่จริง #เกียร์เจ้าอิทสเรียล



   จากเหตุการณ์วันนี้อยากบอกทุกคนไว้ว่า...


   อย่ามีเรื่องกับป้าหลานคู่นี้ครับ









   *TBC
   (07/05/2018)
****************************************************************
พูดคุยกันได้ที่แท็ก #เจ้าพระยาที่รัก ในทวิตเตอร์นะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกยอดวิวและคอมเมนต์นะคะ
กำลังพัฒนาในทุกๆด้านค่ะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
น่าร๊ากกกกก
กัปตันไม่ให้พายนะคะ
ติดเครื่องยนต์ออกนอกโลกไปแล้ว
สนุกมากกกก
มาต่อบ่อยๆ นะคะ
#เกียร์เจ้าอิทสเรียล

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นึกว่าเกียร์จะเข้ามาถล่มซะแล้ว ที่ไหนได้มาประกาศสถานะของตัวเองซะงั้น  :laugh:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
ตายไปเลย คนอ่านเนี่ย :pigha2: เขินแทนเจ้า

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
พี่เกียร์มันร้ายค๊าาาาาาาา

แต่เราชอบ

 :-[ :-[

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
พี่เกียร์ ... สุดยอดพระเอกเลย
มั่นคง เดินหน้า กล้าป่าวประกาศมาก


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
โอยยยย พี่เกียร์มานิ่มๆ แต่ดาเมจแรง :-[

พี่ไนซ์จะสร้างกระแสก็สร้างไป ยังไงมันก็สู้คู่เรียลไม่ได้หรอกนะ หึ!

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
คู่จิ้นหรือจะสู้คู่จริง :-[ เขินกว่าเจ้าก็เรานี่แหละ คำนี้โดนมาก5555555

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
พี่ไนซ์หนือจะสู้ พี่เกียร์และพวกได้ 5555555555
เจ้าพระยาของใคร ให้รู้นะคะ -.,-

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แฟนขับเกียร์เจ้าเยอะนะเนี่ย

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 17

เภสัชจ๋า ขอยารักษาใจหน่อย

 


   นับจากวันที่เกิดประเด็นดังทั่วมหา’ลัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับพี่เกียร์ที่ถูกเปิดเผยแบบเล่นใหญ่ไฟกะพริบด้วยฝีมือกัปตันเรืออย่างพี่เกียร์นั้น นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว จำได้ว่าวันนั้นตอนที่อยู่บนรถกับพี่เกียร์ในระหว่างทางที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านของผมนั้น ผมถึงกับต้องปิดการแจ้งเตือนจากทุกแอพลิเคชั่น เพราะข้อความมากมายเด้งเข้ามาถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้แต่เพื่อนในรุ่นบางคนที่ปกติเป็นคนเงียบ ๆ มันยังทักเข้ามาถามอ่ะคิดดูสิ ผมนี่นั่งยีหัวจนเส้นผมฟูฟ่องไปเถอะ แต่พลขับหน้าหล่อที่นั่งหลังพวงมาลัยนั้นกลับยิ้มกว้างไป มือหนาก็หมุนพวงมาลัยบังคับทิศทางไป อารมณ์ดีเหลือเกินนะพ่อคุณ
 

   และด้วยความคาใจกับเหตุการณ์ที่มันลงล็อคเกินพอดี ที่พี่โซ่กับไอ้ภาคถ่ายคลิปวีดีโอเหตุการณ์แกรนด์โอเพนนิ่งตอนนั้นทัน คมชัดทั้งภาพและเสียง ซึ่งจะเทพเกินไปแล้วครับ ผมหลุดพึมพำความสงสัยออกมาตอนที่นั่งดูคลิปหน้าแอคเคาท์ของไอ้ภาค แต่คำตอบที่ได้รับจากปากของผู้ก่อเหตุนี่ถึงกับทำให้ผมหลุดอุทานด้วยความตกใจลั่นรถ


    พี่มันตอบกลับมาว่า...


   'อ๋อ พี่บอกให้พวกมันถ่ายเองแหละ'


   'ห๊ะ !!!' ยังไม่หมดเท่านี้ครับ


   'แต่ยังไม่ทันให้ไอ้ภาคถามตามแผนเลย เพื่อนเจ้านี่รู้ใจพี่จริง ๆ เข้าแผนเป๊ะเลย'


   พี่มันพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ หน้าชื่นตาบานสุด ๆ ผมนี่แทบลงไปแดดิ้นตรงที่พักเท้าเลย


   ไอ้คนเจ้าแผนการ !!!


   ถึงว่าไม่โทร ไม่ส่งข้อความมาโวยวายเรื่องที่พี่ไนซ์ลงรูป เงียบจนน่าตกใจ ที่แท้ก็รวมหัวกันวางแผนระเบิดเรือผีมาเรียบร้อยนี่เอง


   พอผมโวยวายที่พี่มันเล่นใหญ่จนเรื่องดังระเบิดขนาดนี้ คนเจ้าเล่ห์ก็ส่งเพียงสายตาคาดโทษมาพร้อมกับประโยคยาว ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


   'คนมีความผิดเพราะไปให้ชายอื่นเลี้ยงขนมไม่มีสิทธิ์โวยวายนะครับ...เดี๋ยวจะโดนทำโทษ'


   แล้วคำว่า ‘เดี๋ยว’ ของพี่มันที่แอบคิดว่าคงวันพรุ่งนี้อะไรแบบนี้ หึ คิดผิดครับ เพราะเมื่อรถติดไฟแดงปุ๊บ ผมก็โดนพรากอากาศหายใจไปในทันที 


   ปากบวมเจ่อกลับบ้านจนระแวงว่าถ้าแม่เห็นแล้วถามมานี่ ผมจะตอบแม่ยังไง !!!!!


   นี่จูบหรือจะกินปากผมเข้าไปเนี่ย  หึ่ยยยยยยยย


   ช่วงแรก ๆ หลังเหตุการณ์วันนั้น เวลาผมเดินไปไหนมาไหนก็มักจะมีเสียงซุบซิบตามหลังมา ประมาณว่านี่ไงน้องเจ้า นี่ไงแฟนพี่เกียร์วิศวะ ฯ เป็นต้น ผมที่ทำได้แค่ก้มหน้ามองเท้าพยายามไม่สนใจเสียงรอบข้าง ไม่ใช่ว่ารู้สึกไม่ดีนะครับที่กลายเป็นจุดสนใจมากกว่าช่วงที่โดนจีบแบบนี้ 


   แต่เจ้าเขินครับ !!


   ยิ่งบางคนที่รู้จักมักจีกันในคณะไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือรุ่นพี่ก็ตบเท้ากันเข้ามาแซวทุกครั้งที่เจอหน้าผม


   เจ้าพระยา ชื่อผมนี่เลิกเรียกกันไปแล้วครับ


   นี่เลยครับ ‘ยาใจพี่เกียร์’ 


   ชื่อล่าสุดที่พี่ปี 3 เมตตาตั้งให้


   มันใช่ไหมเนี่ย !!


   แต่โชคดีที่เหตุการณ์นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากไปกว่าการแซวให้ผมเขิน แฟนคลับพี่เกียร์ก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผม ผมเลยได้ใช้ชีวิตในมหา’ลัยอย่างปกติสุข ไปเรียน ซ้อมหลีด กลับบ้าน วงจรชีวิตเกือบสั้นกว่าวงจรชีวิตยุงลายแล้วครับ 


   และในวงจรชีวิตประจำวันของผมนั้นก็มีพี่เกียร์เป็นส่วนหนึ่งเกือบครึ่งวงจร เจอหน้าคนตัวสูงตั้งแต่เช้า ที่ตอนนี้ผมตัดสินใจยอมให้พี่เกียร์ไปรับที่หน้าบ้านแล้ว ทุกคนในบ้านรับรู้ยกเว้นพ่อที่ไปดูแลเรื่องสวนดอกไม้ที่เชียงใหม่ นาน ๆ กลับมาทีครับ แต่สิ่งที่แม่ น้องพา และพี่คนงานในบ้านรู้ยังเป็นข้อมูลเก่าว่าพี่เกียร์คือรุ่นพี่ต่างคณะที่อาสามารับส่ง ไม่เคยมีใครถามอะไร แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกตัวว่าแม่เริ่มสังเกตผมกับพี่เกียร์มากขึ้น พี่หวานกับน้องพาก็มีหลุดแซวบ้าง ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร คือพูดกันตามตรงก็ชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่ในเมื่อยังไม่มีใครเริ่มพูดหรือถามออกมา ผมก็ขอเตรียมความพร้อมเงียบ ๆ ไปก่อนครับ


   บางวันตอนพักกลางวันก็เจอ ผลัดกันไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะของกันและกัน บางครั้งก็ออกไปกินข้าวตามห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ตอนเย็นเมื่อซ้อมหลีดก็จะพบใครบางคนมารอรับกลับไปส่งถึงบ้านจนเป็นที่ชินตาของคนในคณะผมแล้ว


   ชินขนาดที่ว่า วันไหนผมซ้อมหลีดเหนื่อยมาก โดนพี่ ๆ เพื่อน ๆ แซวยังขี้เกียจเขินเลยครับ


   ส่วนใหญ่พี่เกียร์ก็ไม่ได้มานั่งรอเฉย ๆ แต่เอางานมาทำระหว่างรอผมซ้อมหลีด ที่นับวันการซ้อมยิ่งดุเดือด บางท่าที่มีการสกินชิพหนัก ๆ ก็มักจะได้รับสายตาขวาง ๆ จากคนหน้านิ่ง แต่ก็ไม่เคยห้ามอะไร


   เพราะเข้าใจว่าเป็นงาน?


   เปล่าเลยครับ


   เพราะคนเจ้าเล่ห์ตามมาเก็บดอกเบี้ยทบต้นทบดอกกับผมทีหลัง


   ฮือออออ โดนไอ้นายอุ้มกี่ครั้ง ก็หอมแก้มผมตามจำนวนครั้งที่อุ้มนั่นแหละ


   แจ้งตำรวจจับคนเก็บดอกเบี้ยเกินจริงได้ไหมครับ



   เจอกันทั้งวันแล้ว แต่ในทุกวันหลังจากผมอาบน้ำเตรียมเข้านอนแล้ว ก็ยังวีดีโอคอลคุยต่อ แต่จะเรียกว่าคุยกันก็ไม่ถูกทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการวีดีโอคอลทิ้งไว้แล้วต่างคนก็ต่างทำการบ้านของตัวเองไป มองอีกคนทำงานเงียบ ๆ ครั้งไหนเผลอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน ก็ยิ้มให้กันผ่านจอเครื่องมือสื่อสารอัจฉริยะ บางวันผมเผลอหลับไป กลางดึกก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงพี่เกียร์เรียกผ่านสายมาปลุกให้ลุกขึ้นไปนอนที่เตียงดี ๆ แต่ก็ไม่ได้วางสายไปนะ ชาร์จแบตทิ้งไว้ยันเช้าแบบนั้นแหละ


   และการทำแบบนี้ในทุก ๆ วัน ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าพี่เกียร์ทำงานดึกมาก แทบไม่เคยเห็นพี่เกียร์หลับก่อนผมเลย แต่ตอนเช้าที่มารับผมไปมหา’ลัยด้วยกัน ผมกลับไม่พบอาการงัวเงียของแฟนคนเก่งเลย จะแข็งแรงไปไหน 


   ผมรู้ว่าพี่เกียร์เรียนหนักและมีโปรเจคต์ของเทอมหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไหนจะงานที่บริษัทของพ่อพี่เกียร์ที่ตอนนี้เริ่มเรียนรู้งานและรับผิดชอบงานบางส่วนมาทำแล้ว 


   เห้อ ทำไมแฟนผมเก่งและดูเป็นผู้ใหญ่จังครับ ตัดภาพมาที่ตัวเองยังงอแงแย่งขนมกับน้องพาอยู่เลย ช่วยอะไรเขาก็ไม่ได้


   ถึงงานจะหนักแต่คนเก่งของผมก็ยังหาเวลามาหา มาดูแลเอาใจใส่ผมอย่างดี ทุกครั้งที่ผมบอกให้กลับไปพัก หรือขอกลับบ้านเอง ดูแลตัวเองเหมือนเมื่อก่อน พี่เกียร์ก็มักจะใช้คำพูดอ่อนโยนที่ทำเอาหัวใจผมอ่อนยวบไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธความอบอุ่นนั้น อย่างเช่น


   'ใช่ครับพี่เหนื่อย แต่พอเห็นหน้าเจ้าพี่ก็หายเหนื่อยแล้วครับ'


   'ถ้าอยากให้พี่พัก แค่เจ้ายิ้มให้พี่บ่อย ๆ ก็พอแล้ว'


   'เวลาเห็นหน้าเจ้าแล้วเหมือนได้นอนหลับบนเตียงนุ่ม ๆ เลย สบายใจดี'


   คำพูดคำจาอ่อนโยนมาก แต่มันช่างรุนแรงกับใจดวงน้อย ๆ ของปลาทองเอ๋ออย่างผมมากมาย ได้ฟังครั้งใดเหมือนตัวจะระเบิดคายรังสีความสุขออกมาทุกที



   วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พี่เกียร์หอบแลปท็อปมานั่งทำงานรอผม แต่ผมสัมผัสได้ว่าพี่เกียร์มีอาการแปลก ๆ จากการที่พยายามหันไปมองคนตัวสูงทีไรก็จะพบว่าเจ้าตัวใช้มือหนาคลึงขมับตัวเองอยู่หลายรอบ ใบหน้าหล่อมีความอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ใต้ตานี่เกือบได้เป็นพ่อหมีแพนด้าแล้ว


   ในขณะที่นาฬิกาบอกเวลาเกือบ 3 ทุ่ม รุ่นพี่ที่ควบคุมการซ้อมก็อนุญาตให้พักดื่มน้ำเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่เริ่มซ้อมกันมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น


   ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปหาคนตัวสูงที่ตอนนี้พับหน้าจอแลปท็อปลงแล้วฟุบใบหน้าแนบลงกับท่อนแขนแกร่ง กลุ่มผมหนาไหลคลอเคลียปิดซ่อนใบหน้า เห็นเพียงริมฝีปากหยักได้รูปที่ไร้สีผิดปกติ ซีดเผือดเหมือนคนขาดน้ำ ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ


   เหนื่อยจนหลับเลยเหรอ


   ผมเลยเอื้อมมือจงใจจะแตะสัมผัสที่ท่อนแขนแข็งแกร่งให้คนที่หลับอยู่รู้สึกตัว แต่เมื่อฝ่ามือขาวของผมสัมผัสผิวกายของคนตรงหน้า ก็ต้องชะงักมือออกมาแบบอัตโนมัติ หัวคิ้วขมวดมุ่นเป็นปมกับอาการผิดปกติของพี่เกียร์


   ตัวร้อนจัง


   เร็วเท่าความคิดผมเลยใช้มือเกลี่ยกลุ่มผมหนาบริเวณหน้าผากแล้วใช้หลังมือแนบอังชั่วขณะ อุณภูมิร่างกายของคนตรงหน้าพุ่งสูงจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน


   เมื่อเห็นอาการเริ่มไม่ดี ผมเลยตัดสินใจออกแรงสะกิดคนที่กำลังตัวร้อน พยายามเรียกให้พี่เกียร์รู้สึกตัว


   “พี่เกียร์…พี่เกียร์ครับ” ออกแรงเขย่าแขนแกร่งมากขึ้น


   “…”


   ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของคนตัวสูง “พี่เกียร์ครับ ได้ยินเจ้าไหม”


   “อื้อ…เจ้าเหรอ” เสียงแหบพร่าหลุดออกจากลำคอคนงัวเงียที่กำลังสะบัดหัวไล่ความง่วงงัน


   “ไหวไหมครับ พี่เกียร์ตัวร้อนมากเลยนะ” พูดจบผมก็ใช้หลังมือแนบไปตามใบหน้าและลำคอของพี่เกียร์ ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งมั่นใจว่าคนตรงหน้ากำลังมีไข้


   “ร้อนเหรอครับ แล้วนี่ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ” คนหน้าง่วงก็ยังคงไม่สนใจสภาพร่างกายตัวเอง มือสองข้างสาละวนกับการเก็บแลปท็อปและหนังสือเข้ากระเป๋า


   “ยังไม่เลิกซ้อมครับ แต่เจ้าจะไปขอพี่เขากลับก่อน พี่เกียร์ตัวร้อนมากจริง ๆ นะ ไม่สบายทำไมไม่บอกเจ้าครับ”


   “พี่ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่พักสายตานิดเดียวเอง เดี๋ยวได้กลับไปนอนพักก็ดีขึ้นแล้ว” คนดื้อแห่งปีก็ยังคงเถียงเก่งเหมือนเดิม ดูแลแต่คนอื่น ไม่ดูแลตัวเองแบบนี้มันน่าตีให้ตาย


   “ยังจะมาดื้อบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก งั้นวันนี้กลับไปพักเลยครับ กลับเดี๋ยวนี้เลย” ผมตั้งท่าจะลุกขึ้นดึงแขนคนตัวสูงให้กลับไปพักให้หายป่วย ก่อนที่อาการจะหนักไปกว่านี้


   “กลับได้ยังไงครับ พี่ต้องไปส่งเจ้าที่บ้านก่อนนะครับ พี่ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ นะ ไม่ต้องห่วงนะเอ๋อ”


   “ถ้าเจ้ากลับด้วยพี่จะยอมกลับดี ๆ ใช่ไหม” ผมถลึงตาดุใส่คนดื้อหน้านิ่ง


   “แต่พี่รอเจ้าซ้อมให้เสร็จก่อนก็ได้ พี่ยังไหวนะ เชื่อใจพี่สิ”


   ผมจ้องหน้าคนตัวสูงไม่วางตา ก่อนจะตัดสินลุกออกจากโต๊ะแล้ววิ่งไปหารุ่นพี่หลีดที่นั่งอยู่ไม่ไกล


   เมื่อรุ่นพี่เห็นผมวิ่งมาหาก็ต่างหันมาเลิกคิ้วเชิงถามว่ามีอะไร


   ผมยกมือไหว้รุ่นพี่หนึ่งครั้ง “พี่ ๆ ครับ วันนี้ผมขออนุญาตกลับก่อนได้ไหมครับ”


   “อ้าว มีธุระด่วนเหรอเจ้า” พี่ปี 2 คนหนึ่งเอ่ยถามผม


   “ครับ คือพอดีว่า…” ผมขมวดคิ้วคิดทบทวนไปมาให้หัวว่าเหตุผลที่กำลังจะบอกรุ่นพี่ไปมันจะเหมาะสมหรือควรที่จะขอกลับก่อนไหม รุ่นพี่จะมองว่าผมเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เสียงานส่วนรวมหรือเปล่า


   แต่ความเป็นห่วงที่มันก่อตัวอยู่ในใจก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองคงมีสมาธิไม่มากพอที่จะซ้อมต่อแน่ ๆ ถ้ายังมองไปเห็นคนรักของตัวเองนอนหน้าซีดตัวร้อนแบบนั้น


   “คือพี่เกียร์เขาไม่สบายครับ ตัวร้อนมาก แต่ดื้อไม่ยอมกลับ จะรอให้ผมซ้อมเสร็จอย่างเดียวเลย” ผมก้มหน้ามองเท้าตัวเองไม่กล้าสบตารุ่นพี่ “ผมเป็นห่วงพี่เขาครับ”


   ไม่มีเสียงตอบรับจากรุ่นพี่ มีเพียงเสียงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ที่ผมก็มองไม่เห็นว่ามาจากพี่คนไหน


   สงสัยต้องไม่พอใจมากแน่ ๆ เลย เฮ้อ


   “น้องเจ้าคะ”


   ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับรุ่นพี่ที่เอ่ยเรียกชื่อผม “ครับ”


   “รีบพาแฟนกลับไปพักเลยค่ะ ถ้าน้องไม่รีบกลับพี่จะโกรธแน่ ๆ ค่ะ”


   ตากลมของผมที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดกลับเบิกกว้างขึ้นเพราะประโยคที่รุ่นพี่พูดออกมาอย่างเร็วจนเกือบฟังไม่ทัน


   “คะ..ครับ” ผมยังคงงุนงงกับท่าทางรีบร้อนแทนของรุ่นพี่ แต่ก็เข้าใจได้หลังจากนั้นเพราะรอยยิ้มของรุ่นพี่ที่ส่งมา


   “รีบกลับเลยค่ะ เอาจริง ๆ พี่ล่ะสงสารพี่สุดหล่อที่มารอรับน้องเจ้ากลับบ้านทุกวันจริง ๆ” รุ่นพี่ที่พูดยกมือเท้าคางมองไปยังคนตัวสูง “แต่มากกว่าความสงสารคือความอิจฉาล้วน ๆ เลยค่ะ ชาติที่แล้วน้องเจ้าไปกู้ชาติมาเหรอคะ ถึงมีแฟนหล่อและดีขนาดนี้ เฮ้อ ชะนีเศร้าใจ” รุ่นพี่มองหน้าผมแววตาตัดพ้อ แต่มองก้รู้ว่าแกล้งทำ


   ผมยิ้มกว้างและยกมือไหว้รุ่นพี่รอบโต๊ะจนครบทุกคน “ขอบคุณมากๆ นะครับ เจ้ากลับแล้วนะครับ”


   “จ้า ดูแลพี่เขาดี ๆ นะ”


   “ครับ” ผมส่งยิ้มลารุ่นพี่ แล้วหันไปหาเพื่อน ๆ ตัวแทนหลีดร่วมชะตากรรม “พวกมึง กูกลับก่อนนะ”


   “อ้าว ทำไมวันนี้กลับเร็ววะ” ไอ้ว่านเอ่ยถามผมด้วยใบหน้างุนงงไม่ต่างจากคนอื่น ๆ


   ผมยกนิ้วโป้งชี้ไปยังทิศทางที่ร่างสูงนั่งฟุบหน้าอยู่ “ไม่สบาย” เอ่ยตอบออกไปสั้น ๆ แค่นั้น


   พวกมันมองตามมือผมแล้วหันกลับมาพยักหน้าแสดงความเข้าใจ


   “เออ ๆ กลับดี ๆ พี่เขาขับรถไหวแน่นะมึง” ไอ้ซันสบตาแล้วถามผมด้วยความเป็นห่วง


   ผมเลยมองกลับไปหาพี่เกียร์ก่อนจะหันมาตอบเพื่อนจอมทะเล้น “น่าจะไหวแหละ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เดี๋ยวกูโทรตามพี่มายด์มาช่วยอีกที”


   “โอเค ๆ เจอกันพรุ่งนี้เว้ย”


   พยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับประโยคบอกลาของกลุ่มเพื่อนเสร็จ ผมก็รีบเดินไปหาคนที่อาการไม่ค่อยดี หวังว่าจะขับรถไหว   


   ผมหยิบกระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นสะพาย ก่อนเดินอ้อมไปยืนด้านหลังพี่เกียร์เพื่อปลุกคนที่ฟุบหน้าอยู่


   ลูบมือไปบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นเบา ๆ “พี่เกียร์ครับ กลับบ้านกันเถอะครับ”


   “ฮื้อ ไม่ซ้อมต่อเหรอครับ” คนตัวสูงที่ใบหน้าเหนื่อยล้าหันมามองผม


   “ไม่แล้วครับ ผมขอพี่เขากลับก่อน พี่ขับรถไหวไหม ให้ผมโทรหาพี่มายด์ไหมครับ”


   มือหนายกขึ้นโบกไปมาปฏิเสธความคิดเห็นของผม “ไหวครับ เดี๋ยวพี่ล้างหน้าก็น่าจะหายง่วงแล้ว”


   คิดตามคำพูดได้ชั่ววินาที ผมก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่แนบอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาเพื่อที่จะชุบน้ำใช้เช็ดหน้าคนที่แนบหน้าเข้ากับหน้าท้องของผม


   ไอร้อนแผ่ออกมาจากหน้าผากเรียบเนียนจนหน้าท้องผมรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่เริ่มสูงขึ้น


   จับไหล่พี่เกียร์ให้ผละออกห่างจากตัวก่อนจะหยิบขวดน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดฝาเทน้ำใส่ผ้าเช็ดหน้า


   บิดผ้าหมาดพอเหมาะแล้ว ผมก็กระชับกำผ้าเปียกหมาดในมือเช็ดลูบไล้วนเบา ๆ ทั่วใบหน้าซีดจาง พี่เกียร์ที่นั่งหลับตาพริ้มยอมเป็นคนสงบเสงี่ยมให้ผมเช็ดหน้าได้สะดวก


   ใบหน้าคร้ามคมดูสดชื่นขึ้น ก่อนที่จะหยุดมือตัวเองที่กำลังเช็ดหน้าคนตัวสูงอยู่นั้น นัยน์ตาคมที่อยู่ใต้เปลือกตาก็เผยออกมาจากที่ซ่อนมองสบเข้ากับแววตาห่วงใยของผม


   มือขาวที่มีผ้าเช็ดหน้าถูกกุมกระชับด้วยมือหนาของเจ้าของนัยน์ตาคม ริมฝีปากหยักขยับมุมปากเผยรอยยิ้มกว้าง


   รอยยิ้มตอบรับของผมถูกส่งกลับไปในทันที


   “ขอบคุณครับ” ประโยคเสียงเบาแต่ดังพอที่ผมจะได้ยินเพราะร่างกายที่ห่างกันแค่ฟุตนิด ๆ


   “ยินดีครับ” เอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้มกว้างที่ยังไม่หุบลงเลยแม้แต่น้อย “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่าครับ”


   คนตรงหน้าพยักหน้าตอบรับช้า ๆ “ดีขึ้นสิ เพราะได้คนดูแลดี”


   คำพูดคำจาเรียกเลือดสีแดงให้ไหลตามเส้นเลือดมากองกันที่แก้มผมได้อย่างดี ด้วยปฏิกิริยาแก้อาการขัดเขิน ผมเลยยกมือข้างที่ว่างตีไหล่คนปากหวานเบา ๆ


   “อย่ามาเว่อนะ แค่เช็ดหน้าเองครับ ยังไงก็ต้องรีบกลับไปกินข้าว กินยา แล้วก็นอนพักเยอะ ๆ คืนนี้เจ้าขอสั่งให้หยุดทำงานครับ” มือที่ว่างถูกยกขึ้นเหยียดนิ้วชี้เรียวชี้คาดโทษคนเจ้าเล่ห์หากไม่ฟังคำสั่ง


   มือหนาอีกข้างของพี่เกียร์ที่ยังว่างอยู่ก็ยกขึ้นมารวบข้อมือผมที่ชี้หน้าเจ้าตัวอยู่


   “ถ้ากลัวพี่ขัดคำสั่ง ก็ต้องตามไปเฝ้าครับ”


   เปลือกตาสีไข่ของผมเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมเพราะคำขอทีเล่นทีจริงของพี่เกียร์ “ไม่ได้ครับ เจ้าต้องกลับบ้าน แล้วคิดว่าวันนี้ก็จะกลับเองด้วย ส่วนพี่เกียร์ เจ้าไม่ไว้ใจให้ขับรถเองแล้วครับ เดี๋ยวโทรให้พี่มายด์มาช่วยขับให้” ประโยคความหวังดีจากใจอธิบายยาวเหยียดให้พี่เกียร์รับรู้


   คนป่วยแต่ยังดื้อยอมปล่อยมือทั้งสองข้างที่จับมือผมไว้ แล้วยกประสานกันที่อก หลบสายตาผมหันไปมองที่อื่น คิ้วเข้มขมวดเข้าเป็นปม ปากที่ขึ้นสีด้วยอุณหภูมิความร้อนของร่างกายยู่ยื่นเหมือนเด็กโดนขัดใจ


   คือกำลังงอน?


   หรืองอแง?


   ผมส่ายหัวยิ้มน้อย ๆ ให้กับท่าทางเหมือนเด็กที่ไม่บ่อยครั้งเลยที่คนมาดเข้มจะแสดงออกมา


   ลืมไปแล้วหรือไงว่าไม่ได้อยู่กันสองคน หึหึ


   “พี่เกียร์ครับ เจ้าเป็นห่วงพี่นะ อย่างอนสิ” ผมใช้เสียงอ่อนโยนอธิบายคนงอแงอย่างใจเย็น


   “พี่ไม่ได้งอน แต่พี่ก็เป็นห่วงเจ้าเหมือนกัน จะให้เจ้ากลับเองได้ยังไง” ไม่งอนครับ แต่พูดแล้วไม่มองหน้าผมนี่ยังไง 


   “โถ่ เมื่อก่อนเจ้าก็กลับบ้านเองนะ ลืมแล้วเหรอครับ”


   “แต่ตอนนี้เจ้าเป็นแฟนพี่ พี่อยากดูแลนี่”


   “แต่ตอนนี้พี่เกียร์กำลังไม่ดูแลตัวเองนะครับ พอพี่เกียร์ป่วยแล้วจะมาดูแลเจ้าได้ยังไง”


   “งั้นเจ้ามาดูแลพี่ได้ไหม พี่กำลังป่วยนะ”


   เอ๊ะ ทำไมวกกลับมาตรงนี้อีกแล้วอ่ะ


   “เอ่อ…”


   “เจ้าพระยา…นะครับ


   พังครับ พังหมดทุกความตั้งใจที่จะกลับบ้านเอง


   ใครสอนพี่ให้พูดคำว่า ‘นะครับ’ ด้วยสายตาแบบนี้ ไม่ใช่แค่พี่เกียร์หรอกที่แพ้สายตาของผมเวลาอ้อน ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมก็แพ้ท่าทางและสายตาเหมือนเด็กของพี่เกียร์เหมือนกัน


   “ก็ได้ครับ”


   คนตัวสูงยิ้มเริงร่าแสบตาไปหมด แววตาสดใสจนอดคิดไม่ได้ว่าแล้วไอ้สายตาที่เหมือนหมาป่วยเมื่อสักครู่นี้หายไปไหน


   “ขอบคุณครับ” มือหนาที่อุ่นร้อนตามอุณหภูมิร่างกายของคนมีไข้อ่อน ๆ ยกขึ้นมากุมมือผมทั้งสองข้างเหมือนเดิม


   ผมขยับมือสองข้างเพื่อให้หลุดจากการกอบกุม “ปล่อยมือเจ้าก่อนครับ เจ้าต้องโทรบอกที่บ้านก่อน”


   “ครับ ๆ”


   ผมล้วงมือหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายออกมาถือ แต่ในขณะที่จะกดโทรออก นิ้งโป้งที่กำลังจะสัมผัสหน้าจอตรงรายชื่อที่บันทึกไว้ว่า ‘my darling’ ก็ต้องชะงัก


   ผมจะบอกแม่ว่าอะไรดีล่ะ


   พี่เกียร์ที่ลุกขึ้นยืนข้าง ๆ ผมก็หันมามองหน้าผม คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถามว่าทำไมไม่โทร


   “พี่เกียร์ แล้วถ้าแม่ถาม...” แววตาไม่มั่นใจที่จ้องโทรศัพท์อยู่ในตอนแรกเลื่อนไปสบตาคนสูงกว่า


   พี่เกียร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหัวผมเบา ๆ “ถ้าเจ้ายังไม่พร้อม ก็บอกว่าเป็นรุ่นพี่เหมือนเดิมก็ได้ครับ ไม่ต้องกังวลนะ” รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนที่ส่งมาให้ผม ทำให้หัวใจมันพองโตขึ้นเหมือนได้รับพลังอะไรบางอย่าง


   “ครับ” ตอบรับเสร็จ นิ้วเรียวก็สัมผัสเข้าที่รายชื่อที่ตั้งใจ หน้าจอเปลี่ยนเป็นภาพของแม่ผมเมื่อการโทรออก


   รอสายอยู่ไม่นาน สัญญาณการรอสายก็เปลี่ยนเป็นเสียงหวานของผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด


   “สวัสดีครับที่รัก”


   “(ว่าไงคะลูก วันนี้จะกลับดึกอีกล่ะสิ)”


   “เอ่อ…คือ…” สิ่งที่อยากบอกอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมการจะเปล่งเสียงออกไปมันยากขนาดนี้ 


   “(…)” ปลายสายยังเงียบรอฟังคำพูดของผม


   “คือวันนี้เจ้าขออนุญาตไม่กลับไปนอนที่บ้านได้หรือเปล่าครับ”


   “(หืม)”


   “พี่เกียร์ไม่สบายครับแม่ เจ้าไม่อยากให้พี่เขาไปส่งแล้วขับรถกลับคนเดียว เจ้าเลยอยากขออนุญาตไปอยู่เป็นเพื่อนพี่เขา เผื่อช่วยเช็ดตัวตอนไข้ขึ้นกลางดึกด้วยครับ” ประโยคยาวที่หลุดออกจากปากผมอย่างเร็วและรัวจนกลัวคนปลายสายฟังไม่ทัน


   “(แน่ใจแล้วใช่ไหมครับ)” เสียงแม่นิ่งมาก


   “หืม” คำถามของแม่ก่อให้เกิดตะกอนความสงสัยขึ้นในใจทันที แต่ก็ไม่คิดจะถามอะไร “แน่ใจครับแม่ เจ้าอยากตอบแทนที่พี่เขาไปรับไปส่งด้วยครับ”


   “ถ้าเจ้าแน่ใจแล้ว แม่ก็อนุญาตครับ” ทำไมแม่ย้ำแต่เรื่องความแน่ใจอ่ะ แต่คงกลัวผมงอแงขอกลับบ้านกลางดึกมั้ง


   “ขอบคุณครับแม่”


   “(ดูแลพี่เขาดี ๆ ล่ะ เราอ่ะเคยดูแลใครที่ไหน)”


   “โห แม่ นี่ลูกแม่ไง”


   “(ฮ่า ๆ ก็ลูกแม่ไงคะ แม่ถึงรู้)”


   “แม่อ่ะ” ผมส่งเสียงน้อยใจออกไปให้กับสุดที่รัก “งั้นเจ้าวางสายก่อนนะครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”


   “(เจ้าพระยา แม่ขอคุยกับเกียร์หน่อยได้ไหม)”


   “หืม? อ่า ได้ครับ” ผมตอบรับคนปลายสายก่อนจะหันไปหาคนที่ยืนรออยู่ข้าง ๆ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ไปให้ “พี่เกียร์ แม่อยากคุยด้วย”


   คนตัวสูงรับโทรศัพท์จากมือผมไปแนบหู


   “ครับคุณน้า”


   พี่เกียร์ตอบรับแม่ผมแค่นั้น ผมไม่รู้ว่าแม่คุยอะไรกับพี่เกียร์ เพราะยังแปลกใจกับการกระทำของแม่ที่ปกติตอนเจอพี่เกียร์เวลาที่มารับส่งผมหที่บ้าน แม่ก็ไม่เคยคุยอะไรกับพี่เกียร์ยาว ๆ เลย มีเพียงการขอบอกขอบใจที่อาสามารับส่งผมแค่นั้น แต่บางครั้งก็มีทำแซนวิสมาให้ผมแบ่งกันกินกับพี่เกียร์บนรถ ไม่ได้เอามาให้ด้วยตัวเองด้วยนะ แต่วันนี้แม่กลับเอ่ยขอคุยกับพี่เกียร์


   หรือแม่กลัวผมดูแลพี่เกียร์ไม่ได้ เลยออกตัวไว้ก่อนงี้เหรอ


   ผมยืนมองพี่เกียร์คุยกับแม่ผ่านโทรศัพท์


   “ครับ…ใช่ครับ” ปากหยักเอ่ยตอบรับแม่ผมเรื่องอะไรสักอย่าง แต่แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่กลับทอดมองมาที่ผม “ได้ครับ…ผมสัญญาครับ…ขอบคุณคุณน้ามาก ๆ ครับ” สิ้นคำขอบคุณพี่เกียร์ก็ลดโทรศัพท์ที่แนบหูลงมากดวางสาย


   “อ่าว วางเลยเหรอพี่ เจ้ายังไม่ได้บอกฝันดีแม่เลยนะ” ผมโวยวายแบบไม่จริงจัง


   พี่เกียร์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ “อ้าว พี่ไม่รู้ งั้นเดี๋ยวบอกฝันดีพี่แทนแล้วกันนะ”


   ผมรับโทรศัพท์ที่คนตัวสูงส่งกลับคืนมาไว้ในมือ พร้อมกับแกล้งมองค้อนน้อย ๆ “มันเหมือนกันที่ไหนเล่า”


   “แล้วต่างกันยังไงอ่ะเอ๋อ”


   “ก็แม่เป็นแม่ เป็นคนในครอบครัว แต่พี่เป็น-“


   “เป็นอะไรครับ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มักจะปรากฎบนใบหน้าคนตัวสูงก็เผยออกมาให้เห็นอีกครั้ง


   ผมเบือนหน้าหลบสายตาคนตัวสูงก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เป็นแฟน


   “อืม งั้นถ้าพี่ขอเป็นคนในครอบครัวอีกคนได้หรือเปล่าครับ”


   “ไม่รู้ครับ ไปขอพ่อกับแม่เจ้านู่น” ผมเฉไฉไม่ตอบคำถามของคนที่กำลังยกมือโอบไหล่ผมอยู่ในตอนนี้


   “โอเค เจ้าพูดแล้วนะ” ท้ายประโยคคนตัวสูงก็ก้มหน้ามาใกล้ผมในระยะประชิด จนปลายจมูกโด่งเฉียดใบหูเล็ก ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดข้างแก้มจนรู้สึกแปลก ๆ “เดี๋ยวพี่ไปขอครับ”


   ขออะไร๊?!! พูดให้เคลียร์เส้!!






   (ต่อด้านล่างค่ะ)

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
   อาการเขินอายที่ก่อตัวเพราะความคิดไปไกลกับประโยคกำกวมของคนตัวสูงก็ทำให้ผมรีบกระชับกระเป๋าสะพายแล้วผละออกจากแขนแกร่งที่โอบไหล่อยู่ สาวเท้าก้าวถี่ไปยังลานจอดรถของคณะที่พี่เกียร์มาจอดเป็นประจำในทุกวันที่มารอรับผม







   นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้มาเยือนพื้นที่ส่วนตัวของพี่เกียร์อย่างคอนโดใจกลางเมือง ถ้าจับเวลาการเดินทางจากมหา’ลัยมาถึงคอนโดหรูนี้ก็คงไม่ถึง 15 นาทีครับ ใกล้จนผมเกิดความเกรงใจมากกว่าเดิมที่พี่เกียร์ต้องขับรถจากคอนโดไปรับผมแล้ววนกลับไปที่มหา’ลัยแบบนี้ทุกวัน


   คนมีไข้อ่อน ๆ ในตอนแรกก็ขับรถกลับคอนโดได้อย่างปกติ มีแต่ผมนี่แหละที่เอาแต่คอยหันไปมองคนป่วย กลัวจะเผลอหลับในโดยไม่รู้ตัว เรื่องชวนคุยนี่ขุดมาทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องกิน ผมโคตรถนัดอ่ะ 


   ตอนนี้ผมกำลังเดินตามหลังคนตัวสูงเข้าไปในตัวอาคารที่เป็นชั้น 2 เพราะพี่เกียร์มีที่จอดรถเป็นของตัวเองอยู่ชั้นนี้ ลิฟต์หรูหลายตัวกำลังทำงาน ยืนรอไม่นานลิฟต์โดยสารก็จอดรับเราทั้งสองคนเข้าไป และเป็นที่เข้าใจได้ชัดเจนว่าที่นี่หรูจริงก็ตรงที่ปุ่มกดแต่ละชั้นต้องใช้การ์ดสีดำเงาแตะไปที่ตำแหน่งเซ็นเซอร์แล้วลิฟต์ก็เคลื่อนตัวขึ้นไปยังชั้นที่ระบุไว้ตามข้อมูลในบัตร


   ความประหม่าน้อย ๆ เริ่มก่อตัวจนรู้สึกได้เพราะผมที่ตอนแรกพูดน้ำไหลไฟดับ แต่พออยู่ในลิฟต์กับคนตัวสูงแค่สองคนกลับเงียบกริบ ฝ่ามือผมที่กำลังจับสายกระเป๋าอยู่ก็เริ่มชื้นเหงื่อ พยายามบอกตัวเองในใจว่า ทำตัวสดใสไว้สิเจ้าพระยา พูดมาก ๆ สิโว้ย และเหมือนคนตัวสูงจะจับสัมผัสได้ เจ้าตัวหันมาหัวเราะในลำคอใส่ผมเบา ๆ 


   แหมมมมมมมมม หน้าเหมือนคนจะล้มทั้งยืนอยู่แล้ว ยังจะมาทำกวนใส่กันอีก


   เดี๋ยวหนีกลับบ้านเลยหนิ !!




   ความหมั่นไส้คนข้างตัวยังไม่ทันจางหาย ลิฟต์โดยสารก็มาหยุดอยู่ที่ชั้น 39 ซึ่งมันสูงมากสำหรับผม พอประตูลิฟต์เปิดออก ความเงียบที่ปกคลุมตั้งแต่ในตัวลิฟต์ก็ปะทะกับความเงียบของบรรยากาศในชั้นนี้ 


   ผมก้าวเท้าเดินตามหลังคนป่วยออกจากลิฟต์ สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณก็พบว่าจำนวนห้องมีน้อยมาก ผมไม่รู้ว่ามีกี่ห้อง แต่เห็นประตูห้องอื่นแค่สามบานเอง ด้วยความขี้สงสัยก็เผลอปล่อยเจ้าหนูจำไมที่ซ่อนอยู่ในตัวเองออกมา


   “พี่ ทำไมมีห้องแค่นี้อ่ะ” ถามทั้งที่สายตายังมองไปรอบ ๆ เหมือนเด็กที่เพิ่งเข้าบ้านผีสิงครั้งแรก


   “ทั้งชั้นมี 5 ห้อง แล้วนี่เดินดี ๆ สิเอ๋อ มองทางด้วย”


   พอได้ยินประโยคนั้น ผมก็หันไปมองคนที่หยุดยืนรอผมให้เดินไปยืนข้าง ๆ “แหะ ๆ” ส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ไปให้คนที่ส่ายหน้าระอากับท่าทางของผม “ก็เจ้าอยากรู้อ่า แต่จำนวนห้องแค่นี้ มันต้องแพงมากเลยนะพี่”


   คนที่ห้องราคาแพงอยู่ที่ชั้นนี้ไม่ตอบ แต่ก้าวเดินไปยังทางซ้ายของลิฟต์ ผมก็เดินตามหลังไปเงียบ ๆ จนมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องหนึ่งไม่ไกลจากลิฟต์เท่าไหร่ การ์ดสีดำเงาใบเดิมถูกยกขึ้นมาแตะที่ตำแหน่งใกล้กับที่จับบระตู สัญญาณติ๊ดดังสั้น ๆ พร้อมกับไฟสีเขียวดวงจิ๋วสว่างขึ้น จากนั้นเจ้าของห้องก็เปิดประตูบานใหญ่เผยให้เห็นสิ่งต่าง ๆ หลังบานประตู ดวงไฟสว่างขึ้นแบบอัตโนมัติ 



   โอ้โห !!!!



   กว้างกว่าบ้านผมสามคูหาติดกันอีก แล้วอยู่คนเดียวมันจำเป็นจะต้องมีชั้นสองด้วยหรือไง เท้าที่ก้าวเข้าห้องแบบไม่รู้ตัวก็ย่างตามส่วนต่าง ๆ ของห้อง ทุกอย่างถูกจัดให้เข้ากับโทนสีของห้องอย่างลงตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสีกรมท่าตัดกับสีขาว เหมาะกับเจ้าของห้องที่เป็นคนนิ่ง ๆ 


   “แล้วอยู่คนเดียวทำไมบ้านพี่ยอมให้อยู่แพงแบบนี้อ่ะ”


   เสียงหัวเราะเบา ๆ ถูกส่งจากลำคอแกร่งเหมือนเคย “นั่นสิ ไม่คุ้มเลยเนอะ จ่ายแพงแต่อยู่คนเดียว”


   “ใช่ ไม่คุ้มเลย เอาส่วนต่างไปกินไอติมนี่ได้เป็นล้านแท่ง” หัวสมองการค้าของผมก็จะมีของกินเข้ามาเกี่ยวข้องแบบนี้แหละครับ


   “งั้นก็มาอยู่กับพี่สิเอ๋อ” แววตาวาววับที่ส่งมาให้ผมที่กำลังอ้าปากชะงักกับประโยคเชิญชวนที่ไม่รู้พูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่


   แต่ที่แน่ ๆ 


   ผมไม่อยู่ด้วยหรอก ไม่งั้นกลายเป็นลูกหมาในกรงเสือโคร่งแน่ ๆ


   “ฝันไปก่อนนะพี่” ตอบเสร็จผมก็ทำทีไม่สนใจเจ้าของห้อง แต่เดินไปมารอบ ๆ ห้องประหนึ่งเหมือนบ้านตัวเอง






   เท่าที่ตาผมจะสังเกตได้ห้องนี้ก็แบ่งเป็นส่วนพักผ่อนกลางห้อง หางตาที่เดินผ่านมาก็เป็นห้องครัวกว้างขวาง ผมเดาเอาเองว่าคงมีห้องน้ำในนั้นด้วย แต่ขาของผมนั้นพาตัวเตี้ย ๆ สำหรับพี่เกียร์ไปยังริมกระจกใสบานใหญ่ที่เป็นเหมือนกำแพงกันผมกับภายนอกอาคาร บรรยากาศเมืองหลวงยามค่ำคืนฉายผ่านม่านตาเข้าไปตกกระทบที่เรตินาในดวงตา จนประสาทรับรู้การมองเห็นของผมประมวลผลมันออกมาเป็นคำสั้น ๆ


   “สวยจัง”


   เงาดำที่พาดทับเงาของผมบนกระจกใสก็ทำให้รู้ว่าคนตัวสูงมายืนบดบังแสงไฟอยู่ด้านหลัง “ชอบเหรอ”


   “ครับ เจ้าไม่เคยเห็นวิวเมืองหลวงจากที่สูงขนาดนี้” ผมตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากภาพกรุงเทพยามราตรีตรงหน้า


   “พี่ก็ชอบมายืนมองแบบนี้เหมือนกัน”


   “ก็คงสบายใจดีนะครับ” ผมตอบพลางหันไปมองร่างสูงที่ย้ายตัวเองมายืนอยู่ด้านขวาของผม รอยยิ้มกว้างถูกส่งไปให้อย่างเต็มใจ


   “อืม” เสียงตอบรับเบา ๆ ของพี่เกียร์ขณะที่เจ้าตัวก็หันมาสบตาผมเช่นกัน รอยยิ้มจาง ๆ ของคนตัวสูงก็ถูกส่งกลับมา “คงจะดีกว่าเดิมถ้าไม่ได้ยืนมองคนเดียวเหมือนทุกวัน”


   “…”


   “คงจะดีถ้ามีใครบางคนมายืนมองมันด้วยกัน” แววตาอ่อนโยนฉายชัดจนลมหายใจผมสะดุดเหมือนหลุดเข้าไปในแรงดึงดูดของนัยน์ตาคมดุจมีมนต์ขลังนั่น


   “แบบนี้…ทุกวัน” 


   ประโยคอบอุ่นมีความหมายตรึงใจถูกปิดท้ายด้วยความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากหยักได้รูปที่ทาบทับจนแนบชิดกับริมฝีบางของผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ฝ่ามืออุ่นหนาทั้งสองข้างของพี่เกียร์สัมผัสประคองแนบแก้มขาวที่ตอนนี้คงกำลังซับสีเลือดเพราะสัมผัสอ่อนโยนที่คนตัวสูงกำลังละเลียดชิมความหวานทั้งริมฝีปากบนและล่างของผม นิ้วโป้งแกร่งขยับเลื่อนลูบไปทั้งแก้มขาวอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา เปลือกตาสีไข่ที่เบิกกว้างด้วยความตกใจในคราแรกค่อย ๆ ปิดลงซ่อนแววตากลมใสที่ใครบางคนตรงหน้าแพ้พ่ายให้เสมอ มือบางกระชับกำชายเสื้อคนอบอุ่นจนแน่น ทุกวินาทีที่ริมฝีปากบางถูกสัมผัสนั้นไร้ซึ่งการล่วงล้ำใด ๆ แม้ในใจจะบอกตัวเองว่าหากจูบนี้เกิดความลึกซึ้งกว่าครั้งใด ๆ ตัวผมก็เต็มใจที่ยอมรับสัมผัสนั้นเช่นกัน ความซาบซึ้งก่อเกิดภายในใจเพราะความอ่อนโยนและให้เกียรติ มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน


   เนิ่นนานในความรู้สึกของการหลุดเข้าไปในห้วงอารมณ์อ่อนไหว เจ้าของมือหนาที่ประคองแก้มผมอยู่นั้นก็ค่อย ๆ ผละออกช้า ๆ จนระยะห่างเพิ่มขึ้นจากหนึ่งมิลลิเมตรเป็นหลายเซนติเมตร และหยัดยืนตามความสูงปกติของเจ้าตัวในที่สุด


   รอยยิ้มจาง ๆ กับแววตาที่เอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ถูกส่งให้กัน หากจะนิยามหรือเรียบเรียงทุกความรู้สึกระหว่างเราสองคนในตอนนี้ก็คงโอบล้อมไปด้วย…



   …ความรัก…



   …รักที่มากมายเหลือเกิน…







   พอกลับเข้าสู่โลกความจริงได้ สติสัมปชัญญะที่กลับมาก็ทำให้ความกระดากอายจากเหตุการณ์เมื่อครู่เริ่มแสดงตัว แววตาแห่งความรักเพิ่มจ้องมองกันไปหมาด ๆ นั้นในตอนนี้กลับไม่กล้าสบ ได้แต่เสมองไปรอบ ๆ ห้อง และเปลี่ยนบรรยากาศเก้อเขินตรงนี้ด้วยบทสนทนาเรื่องใหม่


   “เอ่อ เจ้าว่าพี่เกียร์ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าไหม”


   “ก็ได้ครับ เจ้าจะเปิดทีวีดูก็ได้นะ” ร่างสูงเบี่ยงตัวเดินไปยังบันไดทางขึ้นชั้นสอง


   “พี่เกียร์” ผมหันไปเรียกพี่เกียร์เอาไว้ก่อน “คือพี่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนะ” ผมท้วงออกมากับสิ่งที่พอจำได้


   คนตัวสูงทำท่าคิดอยู่ชั่วพริบตาก็หันกลับมามองผม “ในตู้เย็นมีข้าวต้มแบบแช่แข็ง พี่ฝากอุ่นหน่อยได้ไหมเอ๋อ”


   ผมพยักหน้ารัว ๆ “ได้ครับ พี่เกียร์ไปอาบน้ำได้เลย เดี๋ยวเจ้าจัดการเอง”


   “ทำได้แน่นะ อย่าระเบิดครัวพี่ล่ะ” คนตัวสูงพูดพลางก้าวเท้าขึ้นบันไดไปชั้นบนที่น่าจะเป็นห้องนอน


   “โห่ นี่ใคร นี่เจ้าพระยานะ รอดูฝีมือได้เลย” ผมอวดเหมือนว่าจะทำข้าวต้มรสชาติภัตตาการให้คนป่วยน้อย ๆ กินอ่ะ ทั้งที่จริงแค่เอาไปอุ่นในไมโครเวฟ ฮ่า ๆ







   พอเจ้าของห้องพ้นสายตาไป ผมก็รีบกุลีกุจอวิ่งเข้าไปในครัวที่กว้างกว่าห้องนอนผมอีก อุปกรณ์ทำครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ดูใหม่เอี่ยมเหมือนไม่ค่อยได้ใช้งาน ผมย่างเท้าเข้าไปยืนตรงหน้าตู้สี่เหลี่ยมบนเคาเตอร์ที่มองก็รู้ว่าเป็นไมโครเวฟ ชะโงกหน้าเล็งซ้ายแลขวาก็หาที่เสียบปลั๊กเจอ 


   เอาล่ะ ไมโครเวฟพร้อม ผมก็เดินไปเปิดตู้เย็นขนาดใหญ่สองประตู


   ผ่างงง !!!


   อะไรเนี่ย !!!


   กระป๋องเบียร์ยี่ห้อดังปรากฎแก่สายตาของผม หึ เกือบเต็มทุกชั้นเลยจ้า


   ผมส่ายหัวให้กับสิ่งตรงหน้าพลางนึกถึงคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ข้างบนห้องนอนว่าดื่มของพวกนี้บ่อยแค่ไหน


   เมื่อรู้สึกว่าเสียเวลามากไปแล้วก็เลยเปิดตู้เย็นชั้นที่เป็นช่องแช่แข็ง หยิบถ้วยข้าวต้มที่มีน้ำแข็งเกาะโดยรอบออกมาสองถ้วย สายตาจดจ้องไปยังคำแนะนำบนฝาว่าต้องใช้เวลาอุ่นนานเท่าใดจึงจะพอเหมาะ พอได้คำตอบผมก็เริ่มอุ่นข้าวต้มทั้งสองถ้วยพร้อมกัน






   พอสัญญาณของเครื่องไมโครเวฟดังขึ้นเครื่องก็หยุดทำงานตรงตามเวลาที่ตั้งไว้  ผมหยิบเอาถุงมือผ้าสำหรับทำครัวที่วางอยู่เหนือไมโครเวฟมาสวมแล้วค่อย ๆ ประคองข้าวต้มทั้งสองถ้วยออกมา และพอคิดว่าจะเอาข้าวต้มเทใส่ชามขนาดที่ใหญ่ขึ้น ผมก็ต้องเสียเวลาไปกับการเปิดตู้หาทั้งชามทั้งช้อน บางทีพี่ก็เก็บดีเกินไปนะ


   จังหวะที่หาภาชนะเจอก็เป็นเวลาที่คนตัวสูงอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในห้องครัว คนที่ตอนแรกดูอาการไม่ค่อยดีแต่ในตอนนี้กลับดูสดชื่นขึ้น กายสูงอยู่ในชุดเสื้อยืดผ้านุ่มกับกางเกงผ้าความยาวแค่หัวเข่า แต่ดูดีชะมัด ตอนท้องคุณแม่พี่ดูแต่นิตยสารแฟชั่นหรือไง ลูกถึงออกมาหุ่นอย่างกับนายแบบขนาดนี้


   ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้าคนที่ยืนพิงขอบโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่กลางห้องครัว ยกหลังมือขึ้นแนบหน้าผากคนตัวสูงกว่าเพื่อวัดความร้อนของร่างกายแกร่ง สิ่งที่รู้สึกได้ก็คงเป็นความอุ่นร้อนทั่วหลังมือ


   “ไม่ร้อนมาก กินข้าวกินยาแล้วนอนพัก พรุ่งนี้น่าจะดีขึ้น” ผมเอ่ยพลางลดมือลงมาไว้ข้างตัว


   “บอกแล้วไงเอ๋อว่าพี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”


   “ไม่รู้ครับ สำหรับเจ้า พี่กำลังป่วย เพราะฉะนั้นห้ามดื้อ ทำตามที่เจ้าสั่งก็พอ” ผมเอ่ยเสียงแข็งใส่คนดื้อ พร้อมกับหันไปจัดการอาหารเย็นที่กำลังกลายเป็นอาหารรอบดึก


   “โอเคครับ พี่ไม่ดื้อแล้ว”


   “ดีมากครับ งั้นมากินข้าวเลย”


   พี่เกียร์ช่วยผมยกถ้วยข้าวต้มอีกใบไปวางที่โต๊ะอาหาร แล้วก็หันไปหยิบแก้วมาวางที่โต๊ะ จากนั้นเจ้าของห้องก็เดินไปเปิดตู้เย็นที่คาดว่าน่าจะหยิบน้ำ


   และในจังหวะเปิดตู้เย็นหลังใหญ่นั้น เจ้าตัวก็หันกลับมาส่งยิ้มแหยใส่ผมทันที ส่วนผมที่พอจะจับสัมผัสได้ก็เลยส่งสายตาขวาง ๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปากไปให้


   “ไอ้เฟืองมันซื้อมาทิ้งไว้ พี่ไม่ค่อยได้กินเลยนะ”มีคนร้อนตัวว่าไหมครับ


   “เจ้ายังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แถมยังไม่มองหน้าพี่เกียร์ด้วย


   คนร้อนตัวรีบหยิบขวดน้ำเปล่าแล้วปิดตู้เย็นก้าวเท้ายาวมานั่งลงตรงข้ามผมอย่างว่องไว “งั้นก็อย่ามองพี่แบบนั้นสิเอ๋อ”


   “เอ้า มองก็ไม่ได้” 


   “ได้ครับ มองได้ โห่ เตี้ย อย่ามองพี่เป็นคนแบบนั้นสิ ดูทำสายตาเข้า”


   ผมหัวเราะร่าให้กับท่าทางของคนตัวสูงที่โดนผมมองแบบจับผิด “อะไรครับ กินข้าวไปเลย ไม่ต้องมาหาเรื่องเจ้านะ”


   “ยอมแล้วครับ”


   เถียงกันเสร็จเราสองคนก็ต่างกินข้าวต้มสำเร็จรูปในถ้วยของตัวเองจนหมด พอจะเอาจานไปล้างพี่เกียร์ก็บอกให้ผมไปอาบน้ำก่อน เจ้าตัวจะล้างเอง 



   และนี่แหละปัญหา


   คือผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยไง


   “เอ่อ พี่เกียร์” ผมเอ่ยเรียกคนที่กำลังล้างจานจากประตูหน้าห้องครัว “คือเจ้าไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยอ่ะ”


   “อ๋อ พี่เตรียมไว้ให้แล้ว อยู่ในห้องน้ำที่ห้องนอนชั้นบนอ่ะ” เจ้าของห้องพูดสบาย ๆ แบบที่ไม่ได้หันมามองผม


   “โอเคครับ เอ้อ พี่เกียร์อย่าลืมกินยานะ”


   คราวนี้พี่เกียร์หันมามองหน้าผม แววตาวาววับแบบคนเจ้าเล่ห์ “ไม่เอาอ่ะ พี่รอเภสัชกรมาจ่ายยาให้ดีกว่า”


   “เภสัชกรอะไรเล่า เจ้าเพิ่งเรียนปีหนึ่ง โตแล้วก็หายากินเองสิ”


   คนเรื่องมากที่ล้างจานเสร็จแล้วก็กำลังใช้ผ้าเช็ดมือให้แห้ง “ไม่ ไหนบอกจะมาดูแลพี่ไงเอ๋อ แล้วที่สำคัญเจ้าก็รับปากแม่ไปแล้วด้วยว่าจะดูแลพี่ดี ๆ อ่ะ”


   ตากลมผมเบิกกว้างขึ้นเมื่อประโยคที่คุยกับแม่เมื่อชั่วโมงกว่า ๆ ที่ผ่านไปย้อนกลับมาในหัว


   “ทำไมพี่ดื้อขนาดนี้เนี่ย”


   “ยอมรับ คุณเภสัชกรรีบไปอาบน้ำเลยครับ คนป่วยรอคุณเภสัชกรมาจ่ายยาอยู่นะ ถ้าชักช้าคนป่วยไม่กินมันแล้วยาน่ะ"


   “...”


   “กินเภสัชกรเข้าไปเลยน่าจะหายง่ายกว่า


   “ไอ้คนร้ายกาจ !!!”


   พี่เกียร์หัวเราะเสียงดังกับคำด่าของผม คือนานแล้วที่ไม่ได้หลุดปากด่าคนอายุมากกว่าแบบนี้


   ไหน อาการมันเป็นยังไงห๊ะ? ถึงต้องหาเรื่องให้กลับมาด่าเนี่ย !!!


   แล้วใครสอนพี่ว่ากินเภสัชกรแล้วมันจะทำให้หายป่วย


   นี่เจ้าพระยาไม่ใช่พาราเซตามอล !!!! 










   สุดท้ายแล้วเมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็เอาชุดนักศึกษาไปซักปั่นแห้งที่ห้องซักผ้า ทิ้งไว้รอเวลาตามแผงควบคุมการทำงาน ผมก็ต้องไปค้นตู้ยาสามัญประจำบ้าน เอ๊ะ หรือประจำคอนโด เอ่อ ช่างเถอะ นั่นแหละครับ ก็อ่านฉลากยาเท่าที่มีความรู้ จัดการจ่ายยาให้คนป่วยน้อย ๆ ตามคำเรียกร้อง พอคนป่วยกินยาแล้วผมก็ใช้ปรอทวัดไข้ที่เป็นแบบดิจิตอลวัดอุณหภูมิร่างกายของคนตัวสูง ตัวเลขอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วง พรุ่งนี้เช้าหายแน่นอน


   แต่แล้วก็พบปัญหาใหญ่คือ จิตใจที่เคยสงบกับการที่ตั้งใจเตรียมยาให้คนป่วยเลยลืมคิดเรื่องอื่นไป พอนึกได้เท่านั้นแหละ ความประหม่าก็โอบล้อมตัวผมไปหมด


   ก็วันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้มานอนค้างในพื้นที่ส่วนตัวของพี่เกียร์ แล้วถ้าเป็นไปตามความคิดใครหลายคน คงคิดว่าผมจะต้องขอพี่เกียร์นอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแทนใช่ไหมครับ


   ใช่ ผมคิด


   แต่ไม่ต้องเอ่ยออกไปแล้วเถียงกันจนเปลืองบรรทัดหรอกครับ ผมรู้จักแฟนผมดี


   มีเหรอที่พี่มันจะยอม

   
   สบสายตาแวววับผมก็รู้แล้ว


   ตอนนี้ผมกับพี่เกียร์เลยมายืนเถียงกันในห้องนอนข้างเตียงนอนขนาดคิงไซส์กลางห้อง ผมยอมนอนร่วมห้อง แต่พอขอปูผ้านอนที่พื้น พี่มันก็ไม่ยอม ผมก็เลยจำเป็นต้องสร้างข้อตกลงเพื่อต่อลองคนที่ผมไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัว


   “โอเค เจ้ายอมนอนบนเตียงพี่ก็ได้ แต่เจ้าขอเอาหมอนข้างกัน” พอเห็นร่างสูงจะอ้าปากท้วงบางอย่าง “หยุด ! ไม่มีข้อแม้ครับ กั้นจนเช้า เจ้าไม่ใช่คนนอนดิ้น ตื่นเช้ามาหมอนข้างต้องอยู่ที่เดิม”


   “แต่ว่า…”


   “พี่ไม่ห่วงผมเหรอ พี่ป่วยนะ นอนใกล้แล้วถ้าผมติดไข้ทำไง” ลากมาครับ ลากเหตุผลมาให้หมด คนแบบพี่เกียร์นี่ผมต้องเอาตัวเองเป็นตัวประกัน


   “ก็ได้ครับ” เสียงเซ็ง ๆ กับใบหน้าสิ้นหวังเรียกรอยยิ้มกว้างจากผมทันที “เฮ้อ ทำไมต้องป่วยด้วยวะ” คนตัวสูงยังคงพึมพำตัดพ้อชีวิตตัวเอง


   “เลิกบ่น แล้วก็มานอนได้แล้วครับ” พูดพลางหยิบหมอนข้างที่วางขวางอยู่บนหัวเตียงมาวางกั้นกลางแบ่งเตียงขนาดใหญ่เป็นสองฝั่ง “พี่จะนอนฝั่งไหน”


   เจ้าของห้องนอนไม่ตอบแต่เดินไปนอนฝั่งขวาของเตียง ผมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินไปยังฝั่งซ้ายที่ตัวเองจะใช้นอนหลับพักผ่อนคืนนี้


   “เจ้า” เสียงทุ้มที่ถูกบีบให้เป็นเสียงออดอ้อนเรียกชื่อผม


   “ว่าไงครับ” เอ่ยตอบพลางสะบัดผ้าห่มก่อนจะสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าผืนหนาแสนอบอุ่น


   “แล้วพี่จะนอนกอดยังไง”


   “เจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะมาให้นอนกอดนี่ครับ เจ้าบอกแม่ว่ามาอยู่ดูแลกลัวพี่ไข้ขึ้นกลางดึกแค่นั้นเอง” ผมนี่พยายามกลั้นยิ้มสุด ๆ จนเมื่อยแก้มไปหมด เมื่อรุ่นพี่วิศวะ ฯ สุดโหดในสายตาน้อง ๆ กำลังกลายร่างเป็นหมาขี้อ้อน


   “โถ่ แต่ถ้าพี่ได้กอด พี่จะยิ่งหายเร็วนะ”


   “ใครสอนพี่มาเนี่ย” ผมรีบดึงผ้ามาปิดปากซ่อนรอยยิ้มกว้างของตัวเอง


   “เหอะ เภสัชกรใจร้าย จ่ายยาไม่ครบตามอาการ”


   “หา !!” ผมผุดลุกขึ้นนั่งประจันหน้าคนป่วยทันที “ไม่ครบยังไง เจ้าก็ให้พี่กินยาแก้ปวดลดไข้แล้วนะ อย่ามามั่วสิ” เถียงครับ เจ้าขอเถียงคนพาล


   “ก็มันยังไม่ครบ เจ้าจ่ายแค่ยารักษาอาการป่วยกายให้พี่”


   “…??”


   “แต่ตอนนี้พี่ป่วยใจ เพราะไม่ได้นอนกอดแฟน เจ้าก็ต้องจ่ายยารักษาใจด้วยสิ”


   “…!!”


   “นะครับ…เภสัชจ๋า ขอยารักษาใจหน่อยยยย” 


   ฮอลลลลลลลล


   เจ้าขอยาแก้ปวดหัวที


   มีแฟนเจ้าเล่ห์แบบนี้เจ้ารับไม่หวายยยยยยบ



   ตัดภาพไปที่สุดท้าย…



   ผมก็โดนพี่มันดึงเข้าไปกอดจมอกเหมือนเดิม หมอนข้างเหรอครับ นู่น นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นข้างเตียง รางวัลคนดื้อออฟเดอะเยียร์ปีนี้ผมขอประกาศชื่อพี่เกียร์คนแรกเลยครับ


   ใบหน้าผมซุกซบอยู่ตรงอกแกร่ง เสียงการบีบคลายของหัวใจพี่เกียร์ดังสม่ำเสมออยู่ใกล้หู 


   ใจเราเต้นเป็นจังหวะเดียวกันเลยเนอะ


   ในขณะที่กำลังจะเคลิ้มเข้าสู่นิทรา หน้าผากมนก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอ่อนโยนที่มาสัมผัส พร้อมกับเสียงที่เบามากสำหรับโสตประสาท แต่ดังกังวานในความรู้สึก


   “ราตรีสวัสดิ์”


   “…”


   “รักนะครับ”


   คำพูดแสนสั้นสองคำกลับขับกล่อมให้ห้วงนิทราของผมเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หัวใจพองฟูและรอยยิ้มจาง ๆ เหมือนตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันที่สวยงาม



   หากการกอดผมจะทำให้พี่เกียร์เหมือนได้รับยารักษาใจ



   ตอนนี้ผมก็คงได้รับวิตามินเสริมความรักในหัวใจจนแข็งแรงเหมือนกันครับ



   “รักเหมือนกันครับ”









   *TBC
   (10/05/2018)
   ***********************************************************

   กระซิบข่าว ชมจะรีไรท์บทบรรยายต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มจนจบ โดยที่จะปรับแค่คำสันธาน คำเปรียบเทียบต่างๆเท่านั้น "ไม่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องหรือทัศนคติตัวละครแม้แต่น้อย" แต่การปรับนี้จะไม่ย้อนแก้ไขในเว็บต่างๆที่ลงนะคะ จะปรับที่ต้นฉบับก่อนการจัดพิมพ์ทีเดียว
   
   โอเคค่ะ หมดเวลาตึงเครียด ฮ่า ๆ
   ชมได้อ่านคอมเม้นท์ทุกคน อยากบอกว่าปริ่มใจจนน้ำตาคลอเลย ฮือออออ ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่รักน้องเจ้ากับพี่เกียร์
   อาจจะมีหลายคนแบบ เอ๊ะ พระเอกชัดเจนดีจัง จะรักน้องจนน่าเบื่อมั้ย
   คือถ้าพูดตามไทม์ไลน์ พี่เกียร์มันเลยช่วงสับสนในชีวิตมันมาแล้วค่ะ ช่วง 3 ปีที่ไม่ได้เจอน้องมันตบตีกับความคิดตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ฮ่า ๆ อารมณ์ประมาณถ้าไม่เจอกันอีกก็เป็นผู้ชายปกติธรรมดา แต่ถ้าเจออีกก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาอีกคนไว้ ง่ายๆก็คือยอมเป็นเกย์นั่นแหละค่า
   พอมาเจอน้องอีกครั้ง ทุกคนก็จะเห็นสภาพพี่มันตามเรื่องเลย รักถวายหัวโคตร ๆ
   แต่ถ้ามีแฟนแบบน้องเจ้า ชมก็หลงนะ ไอ้เจ้าเด็กน่าบีบบบบบ
   
   วันนี้ทอร์คยาวเป็นพิเศษ คนเหงา2018 ฮ่าๆ ยังไงไปทักทายพูดคุยกันได้ที่ #เจ้าพระยาที่รัก ทางทวิตเตอร์นะคะ
   ขอบคุณค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา


 

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
พี่เกียร์ชนะเลิศ ... รักนะครับ
ปริ่มมากกกกก

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
"รักนะครับ"
“รักเหมือนกันครับ”

ปุ้ง!!! คนอ่านเขินตัวแตกไปแล้ว1อัตราค่ะ :-[ :-[

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ได้ที อ้อนเจ้าใหญ่เลยนะ  :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด