❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09  (อ่าน 79210 ครั้ง)

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
พี่เกียร์เดินหน้าเต็มที่แล้วน้องเจ้า  :-[

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
เป็นคนตรงๆทั้งคู่เลยใช่ไหมเนี่ยย ถามตรงๆกับตอบตรงๆ 5555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โอย.............ชอบบบบบบ ดีต่อใจ น่ารักมากกกกกกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
พี่เกียร์ เจ้า  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

พี่เกียร์ เก็บงำเรื่องเจ้ามานานมากเลย
เจ้าซุ่มซ่ามตอนที่ไปช่วยพี่เกียร์ตอนโน้น ยังไงๆ อยากรู้
พี่เฟือง แนะนำดีมากเรื่องเจ้า

พี่พี บอกรักแรกพบ ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก
แอ่ะ.........พี่พี เจออิน รักแรกพบของตัวเองแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เกียร์เจ้า พีอิน ใช่ไหม  :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
คำว่า "พี่ชอบเจ้า" ของพี่เกียร์น้านนนนนนนนนนนน มันช่างละมุนละไม ฟังแล้วคล้ายเป็นคำพูดของคนสมัยก่อน
โอ้ยยยย ชอบประโยคนี้ พี่ชอบเจ้า

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 7

ปลาทองน้อยปล่อยแสง


   
   พี่ชอบเจ้า

   แล้วก็ขออนุญาตจีบนะ


   พี่ชอบเจ้า

   แล้วก็ขออนุญาตจีบนะ



   ไอ้เชี่ยยยยยย วนเป็นแผ่นซีดีตกร่องเครื่องอ่านเลยว้อยยยย

   สองประโยคของไอ้พี่เกียร์ ทั้งน้ำเสียงที่อบอุ่น แววตาที่มีประกาย และรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วง
ความคิดของผมจนถึงตอนนี้ ซึ่งเป็นเช้าวันจันทร์ที่ผมมาเรียนในสภาพที่ดูไม่จืด เพราะอะไรนั่นหรอครับ ก็ผมนอนไม่หลับไง
 
   คือผมจะเล่าย้อนให้ฟังนิดนึง เมื่อวานใช่ไหม หลังจากพี่เกียร์ได้กระทำการอุกอาจบอกชอบผมแล้วก็ขอจีบเสร็จสรรพ พี่แม่งก็เรียกเช็คบิล จ่ายเงิน แล้วก็ลากแขนผมมาส่งที่ทางเข้าสถานีรถไฟฟ้า แล้วยังไง แล้วพี่มันก็แยกกับผมไป ใช่ครับทุกคน พี่มันทิ้งผมไว้หน้าสถานีกับสติอันน้อยนิดเพราะการกระทำของเขา ว๊ากกกกก แถมตอนโบกมือลายังจะมายิ้มล้อเลียนอีก พี่แม่ง ผมเลยกลับถึงบ้านแบบงงๆ ในหัวก็วนคิดถึงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใจหนึ่งก็คิดว่าพี่มันแกล้งแน่ๆ แต่อีกใจหนึ่งมันก็ดันเต้นแรงไปกับน้ำเสียง และแววตา เชื่อไปแล้วด้วยซ้ำว่าพี่มันพูดจริง กว่าผมจะข่มตาหลับได้ ก็พ้นเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว

   เช้าวันนี้ผมเลยต้องมานั่งเรียนวิชาสุดหินของปี 1 พร้อมทั้งต้องพยายามสลัดความฟุ้งซ่านในหัวออกไปด้วย หึ่ย
 
   “เจ้า”

   “...”

   “ไอ้เจ้า”

   “...”

   “ไอ้เจ้าว้อย!!”

   “ห๊ะ! อะไร มีอะไรมึง” ผมสะดุ้งตามเสียงเรียกของเพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ สติที่หลุดไปในภวังค์ก็กลับคืนมาอีกครั้ง

   “มึงเป็นอะไรเนี่ย นั่งทำหน้ามุ่ย ทึ้งหัวตัวเองทำไม” อินหันหน้าที่ขมวดคิ้วอยู่มาถามผมด้วยความแปลกใจ

   “เอ่อ..เปล่า ไม่มีอะไรมึง กูง่วง” จบประโยคคำตอบผมก็ฟุบหน้าลงกับแขนที่วางบนโต๊ะแลคเชอร์

   “มึงเนี่ยนะง่วงเวลาเรียน เมื่อคืนนอนดึกหรอวะ” ยัง ยังไม่เลิกสงสัย

   “เออ ดึก”

   “ทำอะไรวะ หรือว่า...” มันยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆหู น้ำเสียงเจือไปด้วยความล้อเลียน

   “โอ้ยยย อิน มึงจะมาเสือกอยากรู้อะไรเนี่ย”

   “ฮ่าๆๆ วันนี้มึงตลกว่ะไอ้เจ้า เลิกโวยวายละลุกขึ้นมานั่งเรียนดีๆ”

   “เออๆ เรียนๆ มึงก็หันไปจดเลย บ่นกูจัง”

   เมื่อบทสนทนาจบลง ผมก็ได้รวบรวมสมาธิมาตั้งใจฟังเนื้อหาที่อาจารย์กำลังพร่ำสอน จำเข้าไปเนื้อหาเนี่ย จะได้ไม่มีพื้นที่คิดเรื่องอื่น



   เนื้อหาความรู้ที่ถูกยัดใส่สมองมาเป็นเวลาสามชั่วโมงก็จบลง ผมกับอินก็เตรียมเก็บของเพื่อที่จะไปกินข้าวกลางวันกันที่โรงอาหารของคณะ วันนี้ไม่อยากไปไหนไกล เพราะถึงแม้ช่วงบ่ายอาจารย์จะแจ้งยกคลาสไปแล้วก็ตาม แต่ผมสองคนก็ตั้งใจจะไปทบทวนเนื้อหาความรู้ของวันนี้กันที่ห้องสมุด สารภาพเลยว่าต้นคาบเรียนไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ

   แต่หลังจากอาจารย์ก้าวพ้นประตูห้องออกไป รุ่นพี่ปี 2 ก็เดินเข้ามายืนบริเวณหน้าห้องแทน มีเรื่องอะไรนะ เพราะวันนี้พี่ๆก็ไม่ได้นัดประชุมคณะสักหน่อย

   “สวัสดีค่ะน้องๆทุกคน” พี่จ๋าเอ๋ยทักน้องปี 1 ในห้อง คือพี่จ๋าเขาเป็นรุ่นพี่คอยพาทำกิจกรรมต่างๆอ่ะครับ คอยประสานงานแจ้งข่าวน้องๆจากกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย

   “สวัสดีคร้าบ/สวัสดีค่า”

   “เป็นยังไงกันบ้าง เรียนหนักป่าว”
 
   “โหยยยย พี่ ถ้ารักกันอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องเรียน ผมจะอ้วก” เพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งของผมเอ่ยขึ้นจากมุมห้อง ฮ่าๆ ตอบแทนใจพวกกูเลยนะ

   “แล้ววันนี้พี่อะไรหรือเปล่าคะ หนูไม่เห็นรู้ว่าวันนี้พี่นัดประชุม” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

   “คือขอโทษทีนะที่ไม่ได้บอกก่อน พอดีว่าฝ่ายเชียร์ปี 2 ก็เพิ่งมาบอกเหมือนกัน แล้วก็เห็นว่าบ่ายนี้น้องๆไม่มีเรียน ก็เลยขอมาคุยกับน้อง ไม่นานหรอก ยังไงฟังจากพี่เชียร์เลยนะ” พี่จ๋าเอ่ยด้วยรอยยิ้มเชิงขอโทษ แต่คงไม่มีใครโกรธหรอก เพราะพี่เขาดูแลรุ่นพวกผมดีมาก เป็นพี่ที่น่ารักสุดๆ

   “สวัสดีค่ะน้องๆ พวกพี่เป็นฝ่ายเชียร์ของคณะนะคะ ไม่ให้เสียเวลา พี่ขอเข้าเรื่องเลยละกัน วันนี้พวกพี่จะมาคัดตัวแทนหลีดคณะค่ะ”

   หลีดคณะหรอ

   เห้ยยย เราอยากเป็นอ่ะ

   เชี่ย ใครก็ได้อย่ามาตกที่กูก็พอ

   แกๆ สมัครด้วยกันไหม

   งานนี้กูขอบาย


   เสียงของปี 1 ทั้งหลายก็ดังขึ้นหลังจากจบประโยคของพี่ฝ่ายเชียร์ ซึ่งผมกับอินก็ได้แต่หันมองหน้ากันด้วยใบหน้าเรียบเฉยๆ ไม่รู้สิ ผมว่ามันไม่น่ามาตกที่ผมหรอก พี่เขาคงเลือกจากคนที่ดูมีความสามารถหน่อยแหละ

   “อ่า เงียบก่อนค่ะ ตัวแทนหลีดคณะที่พี่จะคัดนี้ เราต้องฝึกซ้อมเพื่อเข้าแข่งขันตอนกีฬาของมอ แล้วก็งานปรุงยา”

   “งานปรุงยา นี่ไปแข่งที่ฮอกส์วอตเลยปะพี่ ฮ่าๆ” เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งมันเล่นมุก คิดได้นะมึง

   “ฮ่าๆ ตลกนะน้อง ไม่ใช่เว่ย งานปรุงยามันเป็นงานกีฬาของคณะเภสัชฯของแต่ละมออ่ะ ที่ร่วมมาทุกปีก็ 5 มอ” พี่ผู้ชายหน้าตาดีในทีมเชียร์ตะโกนตอบเพื่อนผม

   “กลับมาๆ อย่าเพิ่งพาออกทะเล งั้นตอนนี้พี่จะขอคัดคนที่เข้าตาก่อน แล้วตอน 4 โมงค่อยไปคัดการ์ดที่ลานใต้คณะ” พี่คนสวยที่คาดว่าน่าจะเป็นหลีดคณะรุ่นที่แล้ว

   “คัดคนที่เข้าตา งั้นผมไม่เข้านะพี่ ผมอยากเป็นคนที่เข้าใจ” คราวนี้เป็นไอ้ซันครับ ฮ่าๆ เพื่อนตัวฮาของรุ่น

   “ฮิ้ววววววว”

   “มาว่ะ”

   ผมกับอินก็นั่งยิ้มกับมุกของเพื่อนร่วมรุ่นไปกับเขา บรรยากาศคัดหลีดก็ไม่ได้ดูเครียดอะไร พี่เขาก็จะส่องๆมองๆจากหน้าห้อง ถูกใจคนไหนก็เดินมาดึงมือให้ไปยืนหน้าห้อง เพื่อนผู้หญิงของผมบางคนที่สนใจอยากเป็นอยู่แล้วก็ยกมือสมัครใจแบบไม่ให้เสียเวลาเลือก แล้วตอนนี้หน้าห้องก็มีว่าที่หลีดคณะอยู่หลายคน และที่สำคัญ ‘มีแต่ผู้หญิง’

   “ตอนนี้จำนวนหลีดฝ่ายหญิงที่จะไปคัดการ์ดก็พอสมควรแล้วนะ แต่พี่อยากได้หลีดฝ่ายชายด้วย มีใครจะอาสาเป็นตัวแทนได้ไหมคะ” พี่ผู้หญิงสวยๆคนเดิมเอ่ยถาม

   “...” กริบ มีเพียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ส่งเสียงออกมา

   “ถ้าไม่มีพี่จะเลือกแล้วนะคะ ยังไงก็ขอความร่วมมือหน่อยเนาะ ถือว่าทำเพื่อคณะของเรา”

   แล้วก็เริ่มต้นการคัดเลือกผู้ลงแข่งขันไตรภาคี เอ้ย ตัวแทนลีดคณะฝ่ายชาย ฮ่าๆ ผมนี่นั่งกระดิกนิ้วมือเคาะโต๊ะแลคเชอร์รอเวลาไปกินข้าวกลางวันแบบสบายใจหายห่วง

   รอดใช่ไหม...




   รอดบ้าอะไรเล่า! ผมนี่โดนดึงแขนคนแรกเลย โธ่ เจ้าไม่เป็นได้ไหม ฮือออออ
   ส่วนอินที่นั่งข้างๆผม เหอะ มีหรอจะรอด โดนดึงแขนไปลงชื่อต่อจากผมเลยครับ ได้แต่มองหน้า ส่งสายตาให้กันด้วยความเข้าใจ



   ในเวลาบ่ายแก่ๆตอนนี้ทำให้ผมกับอินต้องมารอที่ลานใต้คณะตามที่พี่ๆได้นัดหมายไว้ สมาชิกผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมดก็มานั่งรวมกันตรงบริเวณโต๊ะไม้ใต้อาคาร ฝ่ายผู้หญิงก็ดูไม่มีปัญหาอะไร แถมบางคนยังดูตื่นเต้นที่จะได้คัดตัว แต่ตัดภาพมาที่ฝ่ายผู้ชายอย่างพวกผมที่มี ผม อิน ว่าน นาย แล้วก็คนสุดท้ายนั่งหน้าหงิกเลย ไอ้ซันครับ ฮ่าๆ ถือว่าปากพาซวยไปนะมึง คณะผมถ้ามองด้วยสายตาผู้ชายก็จะดูน้อยกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว ตัวเลือกที่ได้มาก็จะมีแค่นี้ เฮ้อ
 
   Rrrrrrrrr...............

   โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมสั่น จึงล้วงมือเข้าไปหยิบออกมาเพื่อรับสายที่ถูกปิดเสียงไว้นั้น

   - เกียร์หมา –

   “เห้ย!!..อุ๊ป” แค่เห็นชื่อนี้ปรากฏบนหน้าจอสมาร์ทโฟนของผม ก็พาให้สติกระเจิงแล้ว พี่มันโทรมาทำไมวะ ผมที่โพล่งเสียงดังขึ้นมาอย่างลืมตัว ก็รีบปิดปากตัวเองทันที แต่เพื่อนที่นั่งบริเวณเดียวกันก็ส่งสายตามีคำถามมาให้

   “ตกใจอะไรมึง ใครโทรมา” อินหันหน้ามาถามผม

   “เอ่อ...”

   “หืม?” คุณเพื่อนสนิทก็ยังคงเลิกคิ้วถามเพื่อเอาคำตอบ

   “พี่เกียร์” ผมตอบเสียงเบา เพื่อให้ได้ยินแค่เจ้าของคำถาม ซึ่งตอนนั้นโทรศัพท์ก็หยุดสั่นไปแล้ว

   “หืม พี่เกียร์? รุ่นพี่ไอ้ภาคอ่ะนะ”

   “อือ”

   “ไปมีเบอร์กันตอนไหนวะ แล้วพี่เขาโทรมาทำไมอ่ะ”

   “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” เอ่ยตอบอิน พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนในมือเบาๆที่เกิดขึ้นจากโทรศัพท์เมื่อมีสายเรียกเข้า โอ้ย พี่เลิกโทรเหอะ

   “ไม่รู้ก็รับดิ เนี่ย โทรมาอีกแล้ว มีอะไรหรือเปล่าถึงไม่รับ” สวมวิญญาณอิน ยอดนักสืบอีกแล้วเพื่อนผม แต่...เออ ก็จริงนะ แล้วทำไมผมไม่รับ ผมกำลังกลัวอะไรอยู่

   “เอ่อ.. เออๆรับแล้ว” หันหน้าไปตอบเพื่อนตัวขาวแล้วใช้นิ้วโป้งสไลด์จอเพื่อกดรับสายจากพี่เกียร์

   “สวัสดีครับ”

   ( ทำอะไรอยู่เอ๋อ รับช้า ) ปลายสายเอ่ยเสียงดังตามนิสัย

   “เอ่อ...ไม่ได้ทำอะไรครับ” ผมตอบเสียงตะกุกตะกัก ที่แม้แต่ผมเองก็ยังฟังดูไม่เป็นตัวเอง นี่ผมเป็นอะไร แล้วทำไมไอ้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันถึงไม่เต้นแบบปกติเหมือนก่อนหน้านี้

   ( เป็นอะไร แปลกๆนะมึง )

   “อ่อ เปล่าๆ พี่โทรมามีอะไรหรือเปล่า” พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติที่สุด ใจเย็นเว้ยเจ้า!

   ( เปล่าอ่ะ แค่จะโทรมาถามว่ามึงอยู่ไหน เย็นนี้ไปไหนไหม ) น้ำเสียงจากปลายสายฟังดูนุ่มนวลขึ้นจนน่าแปลกใจ มันทำให้ผมรู้สึกอยากเห็นหน้าเขาตอนพูดเสียงแบบนี้

   “อยู่คณะครับ เย็นนี้ยังไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่าจะคัดหลีดเสร็จกี่โมง พี่มีอะไรหรือเปล่า” เขาพูดดีมา ผมก็เลยตอบกลับดีๆ เพราะเอาจริงๆก็ไม่อยากจะก่อกวนชวนทะเลาะเท่าไหร่ เพราะยังไงพี่เกียร์ก็เป็นรุ่นพี่

   ( หืม คัดหลีด? มึงเนี่ยนะเป็นหลีด ) น้ำเสียงปนความแปลกใจได้ถูกส่งมาเมื่อได้รับคำตอบจากผมแบบนั้น

   “ก็พี่เขาเลือก เดี๋ยวตอนคัดการ์ดก็ไม่ผ่านเองแหละ ว่าแต่ แล้วถ้าผมเป็นหลีดมันแปลกตรงไหน ผมก็มีความสามารถนะ”

   ( หึ แปลกดิ ใครเขาเอาปลาทองเอ๋อแถมเตี้ยมาเป็นหลีด )

   “พี่เกียร์!! พี่แม่ง ผมไม่ได้เป็นปลาทองเอ๋อนะ แล้วก็สูงตามมาตรฐานชายไทยด้วย” ตอกกลับพร้อมกับความไม่พอใจที่ปนไปกับน้ำเสียง

   ( ยังไงมึงก็ไม่เหมาะ )

   “ทำไม ไม่เหมาะตรงไหน”

   ( ไม่ดี )

   “ไม่ดีอะไรของพี่”

   ( เออ เป็นหลีดไม่ดี )

   ( กูหวง!! )

   “...”


   ซู่วววววว เสียงน้ำเดือดบนหน้าผมเอง
 
   โอ้ยยยยย พี่แม่ง นึกคำพูดไม่ออกแล้ว เจ้าไม่ไหวนะแบบนี้
   

   “เจ้าๆ” อยู่ดีๆอินก็เอ่ยเรียกผม

   “มีอะไรอิน” ผมเอ่ยตอบอินแต่ก็ยังไม่ได้กดวางสายจากคนตัวสูง

   “มึงอ่ะเป็นอะไร หน้าแดงขนาดนี้ ละยังนั่งยิ้มเหมือนคนบ้าอีก หึหึ” เพื่อนสนิทเอ่ยแซวผมเสียงดัง แววตาเคลือบไปด้วยความล้อเลียน และมีคำถาม รู้เลยว่ามันตั้งใจพูดให้คนในสายได้ยิน
 
   “....”

   ( อะไรเอ๋อ มึงเขินหรอ )

   “เขินอะไรของพี่ อย่ามามั่ว ไม่มีอะไรใช่ไหม แค่นี้นะ รุ่นพี่เรียกแล้ว” พยายามหาทางเอาตัวรอดสุดๆละตอนนี้ แถได้ต้องแถ

   ( ฮ่าๆ )

   “บาย”

   ( ครับๆ ฮ่าๆ )

   ติ๊ด!

   ผมรีบกดวางสายเพราะขี้เกียจทนฟังเสียงหัวเราะของไอ้พี่เกียร์ โว๊ะ และพอเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงข้างเดิมเรียบร้อยแล้ว เงยหน้าขึ้นมาสายตาผมก็สบเข้ากับดวงตามีคำถามคู่หนึ่ง เห้อ กูต้องเล่าใช่ไหมอิน

   “จะให้กูถามหรือมึงจะเล่าเอง” อินเอ่ยถามผมเสียงเรียบ

   “มึงถามเลย เพราะกูไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงว่ะ” จนปัญญาจะเรียบเรียงคำพูด ไม่รู้จะต้องเล่าให้บทบาทออกมารูปแบบไหน เพราะผมรู้ตัวว่าผมโกหกไม่เก่ง ผมกลัว กลัวว่าถ้าเล่าออกไป เรื่องที่เรียบเรียงจะกลายเป็นเหมือนว่า


   ผมก็รู้สึกดีกับเขาคนนั้น...


   “งั้นตอบความจริงนะมึง”

   “เออ”

   “พี่เกียร์จีบมึงหรอ?”

   “...”

   “ตอบ”

   “สัด! มึงเป็นไม้บรรทัดหรอ ตรงขนาดนี้”

   “ฮ่าๆ ตอบมาอย่าลีลา”

   “ถ้าเอาความจริงกูไม่รู้ แต่ถ้าตามที่พี่มันบอกก็...คงจีบ” ผมตอบอ้อมแอ้มแบบไม่แน่ใจ ก็ไม่แน่ใจจริงๆ

   “หืม พี่เกียร์บอกเองเลยหรอ”

   “อือ บอกเมื่อวาน คือกูต้องเล่าเรื่องเมื่อวานเลยใช่ไหม”

   “เล่าเองดีกว่า เชื่อกู หึหึ”
 
   แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้เพื่อนสนิทชิดเชื้อฟัง เหตุการณ์ที่อยู่ในหัวผมมาทั้งวันแบบครบถ้วนไม่มีตกหล่น เพราะคิดๆดูแล้วว่า ผมคงต้องได้ขอความช่วยเหลือจากมันแน่ๆ

   “อื้อหือ พี่เกียร์แม่ง คนจริงว่ะ ฮ่าๆ”

   “สัด ไม่ตลก”

   “เอ้า แต่ก็ไม่ตลกจริงๆว่ะ ออกไปทางน่าแปลกใจ คนอย่างพี่เกียร์เนี่ยนะจะมาชอบมึง”

   “ใช่ไหมมึง กูเป็นผู้ชาย พี่มันก็ผู้ชายที่ดูไม่น่าจะเป็นเกย์ จะมาชอบกูได้ไงวะ พี่มันต้องแกล้งกูแน่ๆ” ผมรีบหาพวกเพื่อความสบายใจก่อนละตอนนี้

   “เปล่า กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”

   “อ่าว แล้วหมายถึงอะไร”

   “พี่เกียร์เขาดูดีเกินกว่าจะมาชอบคนเพี้ยนอย่างมึง ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วมันก็หัวเราะใส่หน้าผมอย่างมีความสุข ไอ้อิน! ไหนครับ ใครว่ามันเรียบร้อยขี้อาย มาเจอมันตอนอยู่กับผมหน่อยไหม

   “ไอ้เชี่ยอิน มึงแม่ง” ขมวดคิ้ว ยู่ปาก แสดงความไม่พอใจให้เพื่อนจอมกวนรับรู้

   “โอ๋ๆ ไม่งอนนะเจ้า แล้วเรื่องนี้ไอ้ภาครู้ยัง”

   “ยังอ่ะ กูไม่ได้เล่า”

   “กูว่าถ้ามึงอยากรู้ว่าพี่มันพูดจริงหรือแกล้ง ต้องให้ไอ้ภาครู้เรื่องนี้ พี่เกียร์รุ่นพี่มัน ต้องมีข้อมูลอะไรบ้างแหละ”

   “เออ เอาไว้เล่าแล้วกัน กูขี้เกียจคิดละ อ๊ะ! นู่น รุ่นพี่มาละ” รีบตัดบทสนทนาก่อนที่มันจะไปไกลกว่านี้ ตามที่บอกอินไปแหละครับ ผมขี้เกียจคิดแล้วจริงๆ ยังหน้าร้อนกับเหตุการณ์ในโทรศัพท์เมื่อกี้ไม่หายเลย


   ไม่รู้ว่าคำพูดพี่เกียร์จะชัดเจนจนน่าเชื่อถือได้แค่ไหน
   แต่การกระทำของพี่แม่ง...ชัดเจนจนหัวใจผมสั่นตอบรับว่าเชื่อไปแล้ว





   การคัดตัวเพื่อหาตัวแทนหลีดคณะที่กินเวลาไปสองชั่วโมงกว่า จากท้องฟ้าที่มีแดดอ่อนๆ จนตอนนี้เป็นเวลายามเย็นที่ฟ้าใกล้เปลี่ยนเป็นสีดำก็สิ้นสุดลง ผลการคัดเลือกก็แทบจะไม่แปลกใจผมสักเท่าไหร่ เพราะด้วยจำนวนผู้ชายที่มีน้อยผมก็เลยได้ผ่านการคัดตัวไปแบบไม่ยาก เหมือนล็อคผลเพราะหาใครไม่ได้แล้วจริงๆ ส่วนอินแจ้งความจำเป็นที่ทำให้ไม่สามารถรับหน้าที่ตัวแทนนี้ได้ ปัญหาที่บ้านครับ แต่ก็ไม่เป็นไร มันบอกจะมาอยู่เป็นเพื่อนตอนซ้อม อาจจะไม่ทุกวันผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เข้าใจมันแหละ

   เมื่อได้ตัวแทนครบพี่เขาก็ปล่อยคนที่ไม่ผ่านให้กลับบ้านได้ ส่วนคนที่ผ่านก็ต้องถ่ายรูปเพื่อลงโปรโมทผลการคัดเลือกในเพจของคณะ อินที่ไม่ได้รีบกลับบ้านมันก็เลยนั่งรอผมถ่ายรูป

   “น้องๆคะ เดี๋ยวเข้าไปถ่ายรูปที่ห้องสโมฯนะ”

   “โห พี่คะ ถ่ายหลังจากคัดเสร็จเลยหรอ หน้าหนูไม่พร้อมอ่ะ เนี่ย มีแต่เหงื่อ” สาวน้อยปี 1 ตัวแทนหลีดคณะหมาดๆบ่นอุบให้กับสภาพตัวเองตอนนี้

   “เอาน่า น้องๆน่ารักทุกคน ถ่ายสดๆผลจะได้ดูเรียลไทม์ไง” พี่จ๋าที่ยังคงอยู่ดูแลน้องๆในระหว่างการคัดเลือกเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม


   ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงในการถ่ายรูปตัวแทนหลีดคณะปี 1 ทั้ง 9 คนเสร็จ พี่ๆก็เลยปล่อยให้แยกย้ายกลับบ้านไปพักผ่อนกันได้ ผมกับอินก็เดินมาขึ้นรถไฟฟ้าพร้อมกัน แต่มาแยกกันตรงชานชาลาเพราะทางกลับบ้านอยู่คนละสาย ผมกลับสายสีลมเพื่อไปต่อเรือโดยสารเจ้าพระยาที่ท่าเรือสาทรต่ออีก โอ้ย วันนี้รู้สึกพลังงานร่างกายใกล้หมด ไปเรียนแบบไม่สดชื่น แถมยังต้องมากางแขนตั้งการ์ดคัดหลีดอีก เจ้าเพลียยยย
 



   (มีต่อด้านล่างนะคะ)

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
       (ต่อจากด้านบน)




       ถึงบ้านในเวลาสองทุ่มนิดๆ สภาพแบบนี้ก็ขอขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่นขึ้นมาหน่อยดีกว่าแล้วค่อยลงมากินข้าวมื้อเย็นที่ไม่เย็นเท่าไหร่  ใช้เวลาในการอาบน้ำเกือบยี่สิบนาที ยังไม่ทันก้าวพ้นออกจากประตูห้องน้ำดี เสียงแจ้งเตือนจากแอพลิเคชันแชทสีเขียวก็ดังขึ้น แสงวาบจากหน้าจอโทรศัพท์ที่วางชาร์จแบตอยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียงทำให้ผมเห็นว่า ไม่ได้มีแค่การแจ้งเตือนเพียงรายการเดียว ยาวเป็นพรืดเลย เห็นอย่างนั้นก็รีบแต่งตัวแล้วมาคว้าเอาโทรศัพท์มาเปิดเช็คดู

   จ่ะ

   - คนหล่อ 2017 –

   ไอ้ภาคมันดีดอะไรของมันเนี่ย

                                          Today
   GU PHAK
        ไอ้เจ้า มึงได้เป็นหลีดคณะหรอวะ
        ไม่เห็นบอกกูวะ
        ไอ้เจ้า
        ไอ้อิน มึงอยู่มั้ย
        แม่งไปไหนกันวะ

                                                                JAO – YA
                                                         ไอ้สัดภาค
                             มึงดีดอะไรเนี่ย โวยวายเหมือนมี
                             ใครตาย

   GU PHAK
        หยุด มึงอย่าพึ่งด่า ตอบคำถาม
        กูก่อน
        มึงได้เป็นหลีดคณะหรอวะ?

                                                                JAO – YA
                                                                 เออ
                          แล้วมึงไปรู้มาจากไหน ไอ้อินบอก?

   GU PHAK
        อินเชี่ยไรล่ะ รูปมึงในเพจคณะ
        แชร์เต็มเฟซ
        อย่าบอกนะว่ามึงยังไม่เห็น
        ให้ไวเลยเจ้า ไปเช็คความฮอตตัวเอง
        ด้วยมึง

                                                                JAO – YA
                                                      รูปกู? แปบ?

   แล้วผมก็รีบกดออกจากแอพฯสีเขียวเพื่อเปลี่ยนไปยังแอพฯสีน้ำเงิน แหล่งสังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่กำลังเป็นที่นิยม ไอ้ภาคบอกมันเห็นรูปผมจากเพจของคณะเภสัชฯของผม

   พอเปิดเข้ามาก็ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างไปกับจำนวนตัวเลขแจ้งเตือนที่มีมากขึ้นจนน่าตกใจ นี่มันอะไรกันวะเนี่ย ผมเป็นคนไม่ค่อยเช็คแอพลิเคชันนี้ มีแอคเคาท์เอาไว้ติดต่อเรื่องงานกับกลุ่มเพื่อน การปิดแจ้งเตือนก็ทำให้ผมไม่ได้ทราบความเคลื่อนไหวในบัญชีผู้ใช้ของตัวเองมาหลายวัน แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะเป็นอะไรที่พีคขนาดนี้ เพราะหน้าฟีดข่าวเต็มไปด้วยรูปผมที่ถูกแชร์จากเพจของคณะ เป็นรูปโปรโมทตัวแทนหลีดคณะที่ถ่ายสดๆร้อนๆไปเมื่อตอนเย็น

   รูปผมในชุดนึกศึกษาที่พับแขนมาไว้ที่ศอก

   ก็ธรรมดา...

   ใช่ ผมก็คิดว่าธรรมดา ถ้าเขาเอารูปที่แอคท่าถ่ายตอนก่อนกลับมาลง

   แต่ไม่!

   พี่เขาเลือกรูปผมตอนที่กำลังกางแขนขึ้นการ์ดบน และที่สำคัญรูปนี้ ผมมัดจุก

   โอ้ เชี่ยยยย ทำไมทำร้ายกันแบบนี้ล่ะพี่ ตอนนั้นผมรำคาญหน้าม้าเลยให้อินมัดจุกน้ำพุให้ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของผม แต่มันก็ไม่ใช่แบบที่ต้องให้คนทั่วไปเห็นอ่ะ โอ้ย เจ้าอายยยย
 
   ผมนั่งไล่อ่านคำบรรยายประกอบการแชร์ แต่ละอันนี่แบบผมยอมเลย หยอดขนาดนี้ถ้าผมเป็นขนมครกก็คงสุกคาเตาพร้อมแคะอ่ะ ไล่อ่านตามหน้าฟีดจนไม่ไหวแล้วก็เลยกดเข้าไปที่หน้าเพจของคณะเพื่อดูโพสต์ต้นตอที่ทำให้รูปผมกระจายขนาดนี้
 
   งื้ออออออ น้องน่ารักอ่ะ
   เห้ย ขอวาร์ปคนนี้ที
   เปิดวาร์ป @JaoYaJaopraya ตัวจริงน่ารักสัส
   มึงๆ @myname นี่ไงน้องเจ้า ที่เจอที่โรงอาหารวันนั้นอ่ะ เชี่ย รูปนี้น่ารักฉิบหาย มัดจุกด้วย
   น้องเขามีแฟนยังครับ
   เจอหมอจ่ายยาหน้าแบบนี้ พี่ขอเข้าคิวรับพาราสัก 10 รอบ โอ้ย ใจพี่


   และอีกมากมาย...

   เอ่อ แล้วผมต้องทำยังไงอ่ะ มีคนมาพูดถึงเยอะขนาดนี้คือมันต้องยังไงต่อ งงไปหมดแล้ว
 
   ผมนั่งอ่านความคิดเห็นมากมายที่ปรากฏอยู่ใต้โพสต์นั้น มีทั้งคำชม มีทั้งคำถาม มีทั้งแท็กเพื่อนให้ดู  ให้ความรู้สึกที่หลากหลายกับตัวผมมากๆตอนนี้ มันก็แอบเขินอยู่หน่อยๆ เอ่อ ไม่หน่อยก็ได้ครับ เขินมาก ก่อนที่ความคิดผมจะตีกันแบบงงๆในหัว การแจ้งเตือนของแอพลิเคชันสีเขียวก็ขึ้นแถบบนหน้าจอด้านบน ผมเลยใช้นิ้วสัมผัสไปที่แถบนั้นเพื่อพลิกสลับแอพฯ

   GU PHAK
        เห็นยังวะ
        
                                                                JAO – YA
                                                        อือ เห็นละ
                                    ทำไมคนเขาแชร์เยอะจังวะ

   GU PHAK
        กล้าถามนะมึง
        เพื่อนกูฮอตเลยทีนี้ 555
        ดังแล้วขายครีมมั้ย
        5555555555

                                                                JAO – YA
                                                สัด ขายบ้านมึงสิ
                                ขอให้ชีวิตกูไม่วุ่นวายขึ้นก็พอ

   GU PHAK
        โว๊ะ คิดมากนะมึง มีคนชอบ ก็ดีกว่า
             มีคนเกลียด มึงเคยพูดไม่ใช่หรอ

                                                               JAO – YA
                                      มันก็ใช่ ขอให้มันดีละกัน

   GU PHAK
        ไปนอนไป กูจะนอนละ
        ฝันดีมึง

                                                               JAO – YA
                                                          อือ ฝันดี

   บอกลาไอ้เพื่อนสนิทดีกรีเดือนคณะวิศวะฯผ่านแชทเสร็จ ผมก็กดสลับหน้าแอพฯกลับไปที่หน้าเพจของคณะอีกครั้ง ยอดกดถูกใจ กดแบ่งปัน และการแสดงความคิดเห็นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พ่วงมาด้วยยอดการขอเพิ่มเป็นเพื่อนอีกจำนวนมาก แต่ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะรับเพื่อนเพิ่มอีก หน้าไทม์ไลน์ของผมถึงแม้จะไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่ได้ตั้งข้อมูลทั้งหมดเป็นสาธารณะอยู่ดี เพราะยังไงผมก็ถือความสบายใจของตัวเองเป็นอันดับต้นๆ

   และผมก็หวังว่า ในวันพรุ่งนี้ ความสบายใจจะยังคงอยู่กับผม แม้จะมีอะไรเปลี่ยนไปก็ตาม
   ผมหวังจะเป็นที่รักสำหรับคนรอบข้าง แต่กฎธรรมชาติของสังคมโลกมนุษย์ ผมก็รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นผมเป็นที่รัก


   จมอยู่กับการเลื่อนไถหน้าจอโทรศัพท์อยู่สักพัก กระเพาะที่ยังขาดอาหารมื้อเย็นอยู่ก็ส่งเสียงร้องประท้วงผมให้รีบนำอาหารใส่ลงไป ผมจึงรีบลงมายังห้องครัวเพื่อค้นตู้เย็นหาอะไรไปรองท้อง เพราะความเหนื่อยมาทั้งวันต่อมความรู้สึกง่วงมันชนะต่อมความหิวไปแล้ว แต่แค่ต้องกินเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน

   กลับขึ้นมาบนห้องพร้อมนมหนึ่งแก้วกับโดนัทเคลือบน้ำตาลแบรนด์ดังสองชิ้น แค่นี้ก็อิ่มฟินไปทั้งคืนแล้ว

   บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอนถ้ามองจากตรงนี้...

   ผมเอื้อมมือไปกดรับโทรศัพท์แทบจะทันที ทั้งๆที่ตาไม่ได้มองรายชื่อที่เป็นสายเรียกเข้าในเวลานี้ เพราะกำลังสาละวนกับการควานหาทิชชู่มาเช็ดคราบนมที่เปื้อนมุมปาก

   “ฮัลโหล”

   ( ฮัลโหลเตี้ย )

   “ห๊ะ!”

   รีบเอาโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อเอาดูชื่อผู้โทรเข้า

   - เกียร์หมา –

   ชัดเลย โทรมาทำไมเวลานี้วะเนี่ย ไอ้ประโยคเมื่อตอนบ่ายแก่ๆ ยังไม่หายไปจากความคิดเลยเนี่ย

   “ว่าไงครับ”

   ( ไม่ว่าไง ทำอะไรอยู่ )

   “กินนม”

   ( กินนม? หึหึ อยากสูงหรอ มึงกินไปก็ไม่สูงขึ้นหรอกเตี้ย )

   “โว๊ะ พี่นี่ คำก็เตี้ย สองคำก็เตี้ย ผมไปเตี้ยในกระเป๋าเสื้อพี่รึไงเล่า” คนอะไรปากเสียจัง

   ( หึหึ )

   “แล้วสรุปโทรมามีอะไร ผมจะนอนแล้ว”

   ( มี มึงเล่นเฟซบุ๊คไหม )

   “ก็มี แต่ไม่ค่อยได้เล่น ทำไมอ่ะ”

   ( ดีละ เลิกเล่นไปเลยก็ดีนะเอ๋อ )

   “อ่าว ทำไมอ่ะ” อยู่ดีๆมาให้เลิกเล่น อะไรของพี่มันวะ

   ( ถามมากจังวะ แล้ววันนี้ได้เข้าไปเช็คยัง )

   “อือฮึ” เอ่ยตอบไปสั้นๆแบบหวังว่าเขาจะเข้าใจเพราะปากผมกำลังงับเจ้าขนมปังวงกลมมีรูตรงกลางอยู่

   ( อือฮึอะไรเตี้ย สรุปมึงได้เป็นหลีดใช่ไหม ไหนบอกไม่อยากเป็นไงวะ แล้วทำไมรูปโปรโมทเต็มเฟซขนาดนั้น ) คนปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าหงุดหงิด เอ่อ พี่เกียร์มันเป็นอะไรเนี่ย
 
   “อื้อ ก็ไม่อยากเป็น แต่ก็ไม่มีใครเป็นอ่ะ ก็เลยช่วยคณะ ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย เดี๋ยว แล้วพี่หัวร้อนทำไมเนี่ย”

   ( ไอ้ปลาทอง นี่ขนาดไม่อยากเป็นนะ แต่ละรูปนี่ยิ้มหน้าบานเลยนะมึง ละมัดจุกห่าไรเนี่ย คิดว่าน่ารักหรอ)

   “โหย น่ารักไหมไม่รู้ แต่คนก็ชมผมว่าน่ารักเยอะเหอะ”

   (...)

   “อ่าว เงียบเลยๆ เถียงไม่ออกละสิ ฮ่าๆ”

   ( อือ น่ารักสัด )

   “...”

   ( แต่จะน่ารักกว่านี้ ถ้ามึงน่ารักกับกูคนเดียวพอ )

   ( กูหวง! )

   “...”

   ปริ!   ได้ยินเสียงแก้มแตกกันไหมครับ

   หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้นะเจ้าพระยา ฮืออออออ


   ( เอ๋อ )

   อย่าเพิ่งเรียกสิโว้ย ขอเอาหน้าจ่อแอร์ให้หายร้อนก่อน

   “อือฮึ”

   ( พรุ่งนี้ตอนพักกลางวันกินข้าวที่ไหน )

   “ยังไม่รู้ พี่มีอะไร”

   ( เปล่า ถามดู จะไปหา )

   “มาหาทำไม”


   ( คิดถึง )


   “...”

   ...เอ่อ...

   ไอ้พี่เกียร์โว้ย พอก๊อนนนนนนนนนนน  ใจคอจะหยอดทุกนาทีเลยรึไงพี่มึง ช่วยด้วย เจ้าเหนื่อยใจ

   ( ไปนอนไปเตี้ย ฝันดี )

   “อือฮึ ฝะ..”

   ติ๊ด!

   ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยบอกฝันดีเช่นเดียวกับที่คนตัวสูงบอกผม ปลายสายก็ตัดไปเสียก่อน มือที่จับโทรศัพท์ลดลงมาจนไฟหน้าจอสว่างวาบแสดงรูปภาพแม่น้ำเจ้าพระยาที่ผมตั้งไว้เป็นภาพพักหน้าจอ แต่ภาพนั้นกลับไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลย ตอนนี้สิ่งที่บันทึกอยู่ ก็ยังคงเป็นเหตุการณ์ การกระทำ และคำพูด ของคนๆเดียวที่เข้ามาวนเวียนในชีวิตผมตลอดช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้

   จากที่เคยสงสัยว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า เคยเจอกันตอนไหน ความสงสัยและคำถามเหล่านั้นถูกความรู้สึกบางอย่างลบเลือนออกไป ตอนนี้ความรู้สึกของผมแทบจะไม่สนใจหาคำตอบเหล่านั้นเท่าไหร่ สิ่งเดียวที่ถามซ้ำๆกับตัวเองตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ คือ พี่เกียร์ชอบผมจริงๆใช่ไหม เมื่อตอนบ่ายผมตอบอินไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ผมว่าผมเชื่อหัวใจที่มันเต้นเป็นปฏิกิริยาตอบรับความรู้สึกที่คนตัวสูงส่งมาแล้วล่ะ

   สัญญาณอันตรายที่ผมกลัวว่าตัวเองรู้สึกดีแบบนั้นเหมือนกัน

   แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องเสียเวลากลัวแล้ว เป็นเพราะว่า...
   

   ผมรู้สึกดีไปแล้วจริงๆ


   ก่อนเข้านอนคืนนี้ ผมกดเข้าหน้ารายชื่อของผู้ติดต่อในโทรศัพท์ เพื่อกดแก้ไขรายชื่อของใครคนหนึ่ง

   ฝันดีนะ


   - P’ GEAR -






*TBC
14/09/2017
***********************************************************************
ยาวมากกกกกกก มารอบนี้คงหายไปสักอาทิตย์นึงเลยนะคะ ตอนหน้าอาจจะพาไปรู้จักน้องอินธัชกันเน้อ
ส่วนตอนนี้ ขอมอบแท็กให้พี่เกียร์ค่ะ #พี่เกียร์คนจริง พี่แกบุกแบบต้องร้อง โอ้โห อะไรจะขนาดนั้น คนน้องฮอตแบบชั่วข้ามคืน คนพี่นี่หัวร้อนกันเลยทีเดียว ฮ่าๆ แค่นี้ยังน้อยไปนะพี่เกียร์ เดี๋ยวเจองานหยาบกว่านี้ ขอเตือนไว้ก่อน น้องเจ้ายังน่ารักได้อีกเด้อ
แนะนำ ติชม ได้เสมอนะคะ เราจะพยายามปรับปรุงการเขียนเรื่อยๆค่ะ
ชวนติดแท็กในทวิตเตอร์ #เจ้าพระยาที่รัก #เกียร์เจ้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2017 17:42:27 โดย chomistry »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พี่เกียร์คนจริง ตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมให้เสียเวลา
นึกว่าอินจะได้โชว์ความน่ารักเป็นหลีดคู่เพื่อนรักซะอีก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
อะโหห น้องเจ้าน่ารักขนาดนี้ พี่เกียร์ต้องสู้นะ คู่แข่งเยอะมาก  :katai2-1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
ชอบบบบ  ตามค่ะตาม เรื่องน่ารักมากเลย ฮือออ  :m3:
ชอบการตั้งชื่อตอนแต่ละตอนด้วย นี่ก็ปลาทองน้อยปล่อยแสง  น่าเอ็นดู
น้องเจ้าเริ่มฮอทแล้ว พี่เกียร์ก็เลยหัวร้อนซะ น่าสงสารจริง 555
น้องเจ้าน่ารักมาก ๆ ส่วนพี่เกียร์ ก็พระเอกแบบที่ชอบเลย
คนจริงทั้งการกระทำและคำพูดอ่ะ ชอบก็บอกชอบ จีบก็ขอจีบ
แค่เริ่มจีบ น้องเจ้าก็ยิ้มแก้มปริแล้วเนี่ย อยากให้พี่เกียร์ได้เห็นจริง ๆ
รอติดตามตอนต่อไปน้า ชอบมากเลย ภาษาก็ดีด้วยค่ะ อ่านแล้วสบาย ๆ ดี
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
เราชอบ เขียนสนุก
อย่าหายไปนานนะคะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบ  ตามค่ะตาม เรื่องน่ารักมากเลย ฮือออ  :m3:
ชอบการตั้งชื่อตอนแต่ละตอนด้วย นี่ก็ปลาทองน้อยปล่อยแสง  น่าเอ็นดู
น้องเจ้าเริ่มฮอทแล้ว พี่เกียร์ก็เลยหัวร้อนซะ น่าสงสารจริง 555
น้องเจ้าน่ารักมาก ๆ ส่วนพี่เกียร์ ก็พระเอกแบบที่ชอบเลย
คนจริงทั้งการกระทำและคำพูดอ่ะ ชอบก็บอกชอบ จีบก็ขอจีบ
แค่เริ่มจีบ น้องเจ้าก็ยิ้มแก้มปริแล้วเนี่ย อยากให้พี่เกียร์ได้เห็นจริง ๆ
รอติดตามตอนต่อไปน้า ชอบมากเลย ภาษาก็ดีด้วยค่ะ อ่านแล้วสบาย ๆ ดี
ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:

เหมือนกัน
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
น่ารักตั้งแต่ชื่อยันเนื้อเรื่อง  :impress2:

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 8
จะผิดไหม...ถ้าใจสั่น


[ P x Inn ‘s Special Part ]




Inn ‘s Part



หากว่าโลกใบนี้มีคำนิยามของความรักอยู่มากมาย
แต่ทำไมนิยามความรักที่มาเกิดขึ้นกับผม มันถึงกลายเป็น...ความทุกข์




   ในเวลาพลบค่ำวันจันทร์ที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยสีดำ ผมยืนอยู่ตรงชานชาลาสายสุขุมวิทหนึ่งในเส้นทางเดินรถไฟฟ้าของสถานีสยาม ย่านธุรกิจสำคัญใจกลางเมืองหลวงที่ตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย จุดมุ่งหมายของแต่ละคนก็คงจะต่างกันไป ตัวผมที่เพิ่งแยกจากเพื่อนสนิทหลังจากจบภารกิจคัดตัวแทนหลีดของคณะเภสัชศาสตร์ก็มายืนรอรถไฟฟ้าเพื่อกลับบ้านเหมือนเช่นทุกวัน

   ผมคือ อิน อินธัช วิชยกุล เพื่อนสนิทหนึ่งในสองของเจ้าพระยาที่ทุกคนคงรู้จักเป็นอย่างดี และบางทีเจ้าก็คงแนะนำตัวผมให้ทุกคนรู้จักไปบ้างแล้ว ก็ตามนั้นแหละครับ ไม่ว่าเจ้าจะแนะนำว่าผมเป็นเพื่อนแบบไหน แต่สำหรับผม เจ้าพระยาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม อ้อ รวมไอ้ภาคไปอีกคนนะ ไม่มีเพื่อนคนไหนเข้าใจผมไปมากกว่ามันสองคนแล้ว บางทีก็เข้าใจมากกว่า...คนในครอบครัวซะอีก

   หลายคนอาจจะมองว่าผมเป็นคนเงียบๆขี้อาย เหมือนที่ได้รู้จักผ่านไอ้ภาคและเจ้า แต่ความจริงแล้วผมก็คนธรรมดาที่มีทุกอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป ยิ้ม หัวเราะ มีความสุข เศร้า คิดมาก และอีกมากมาย ผมก็ผ่านทุกอารมณ์เหล่านั้นมาแล้ว แต่ที่เป็นคนเงียบๆอยู่ทุกวันนี้มันก็แค่ ‘กำแพง’ ที่ก่อตัวขึ้นจากความเสียใจ หลังจากวันที่ผมเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป พ่อและน้องสาวของผม


   RrrrrrrrrrrRrrrrrrrrrrr...............

   - My Heart –
   
   “สวัสดีครับแม่” ตอบรับปลายสายแทบจะทันทีที่กดรับ

   ( ถึงไหนแล้วลูก )

   “รอรถไฟฟ้าอยู่สยามครับ”

   ( อ๋อ ถ้างั้นก็รีบกลับมานะอิน แม่ทำอาหารเย็นของโปรดลูกไว้รอนะ )

   “ครับๆ อินจะรีบกลับนะ หิวมากเลย”

   ( จ้า นี่มอคค่า กับลาเต้ก็วิ่งวนคอยลูกอยู่หน้าประตูเลยนะ )

   ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ฟังประโยคนั้น
 
   “ได้เลย เอ่อ แม่ครับ แล้ว...” ผมชะงักค้างไม่กล้าเอ่ยถามคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

   ( ป้าเขายังไม่กลับหรอกจ๊ะ เขาไปงานเลี้ยงสมาคมกับคุณลุง ) คนปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเข้าใจ

   “หรอแม่ อินจะรีบกลับนะ เจอกันที่บ้านครับ”

   ( จ้า เดินทางดีๆ )

   ติ๊ด!

   กดวางสายจากคนที่เป็นทั้งหมดของชีวิตผมตอนนี้


   หลายคนอาจจะกำลังสงสัยและอยากรู้ความเป็นไปของชีวิตผมตอนนี้ ถ้าจะให้ผมอธิบายชีวิตตัวเองก็คงมีแค่ประโยคสั้นๆ ว่า...เป็นความหวัง แต่รู้อะไรไหมว่าการเป็นความหวังที่ต้องแบกรับความกดดันมันเป็นอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ชีวิตไม่ใช่ของผมอีกต่อไป

   ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความรักของพ่อกับแม่ อยู่กันเป็นครอบครัวเล็กๆ หลังจากนั้นก็มีน้องสาวที่เกิดมาเพื่อให้ผมปกป้องดูแลอีกหนึ่งคน พอผมขึ้นมัธยมต้นสมาชิกใหม่สี่ขาก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอีกตั้งสองตัว ‘มอคค่ากับลาเต้’ ของขวัญปีใหม่ของผมกับน้องอรที่ได้รับมาจากบุพการี บอกได้เลยว่าชีวิตตอนนั้นผมเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก


   แต่โลกแห่งความสุขของผมก็ไม่เป็นนิรันดร์


   เพราะมันสูญสลายหลังจาก ความตาย พรากพ่อและน้องอรไป


   รถยนต์คันเดียวของครอบครัวที่พ่อขับออกไปรับน้องอรที่โรงเรียน นี่ก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว ที่พ่อกับน้องอรไม่กลับมา และคงจะไม่มีวันกลับมา ตอนนี้ผมกับแม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านป้านิล พี่สาวแท้ๆของแม่ บ้านที่ใหญ่โต หรูหรา บ่งบอกฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี มีทุกอย่างเพียบพร้อม แต่...ไม่มีความสุข เวลาที่ได้อยู่พร้อมหน้า


   
   ระหว่างที่ยืนรำลึกถึงอดีตรถไฟฟ้าก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบชานชาลา ผมรอให้ผู้โดยสารที่ต้องการลงก้าวออกมาจนครบทุกคนก่อน ถึงจะเริ่มเดินตามแถวเข้าขบวนไป ซึ่งสำหรับตอนค่ำของวันจันทร์เช่นนี้คงไม่ต้องอธิบายถึงจำนวนคนใช่ไหม เพราะมันเยอะมาก โบกี้ที่ผมเคลื่อนตัวตามกระแสคนในแถวเข้ามาก็เบียดเสียดกันจนต้องยืนซ้อนหลัง ซ้อนไหล่กับบุคคลแปลกหน้าแบบไม่ถือสากัน

   สิ้นเสียงแจ้งเตือนประตูอัตโนมัติก็ปิดลงให้รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาของสถานีสยามเพื่อมุ่งหน้าไปตามสถานีต่างๆในสายสุขุมวิท เหล่าผู้โดยสารร่วมขบวนแต่ละคนก็หยิบเอาอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยออกมาหาความบันเทิงใจในโลกส่วนตัวของตัวเอง ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ใช้มือข้างที่ว่างจากการเกาะเสาใกล้ประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูที่เดินเข้ามา หยิบสมาร์ทโฟนแบรนด์ผลไม้มาสไลด์เลือกเพลงในลิสต์เพลย์ที่ชอบ

   แต่...ทำไมคนข้างหลังผมเขาฟังเพลงเสียงดังจัง

   นิสัยขี้เผือกที่ติดไอ้ภาคมาก็กระตุ้นความอยากรู้ของผมจนต้องเบี่ยงหน้าไปทางซ้ายเพื่อหาต้นตอของเสียงเพลงที่เล็ดลอดออกมาจากหูฟังของใครสักคน

   ...อ่าว...

   “พี่พี” มายืนตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ ทำไมผมไม่เห็น

   “...”

   “สวัสดีครับ” เอ่ยทักทายคนมีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบัน แถมยังเป็นรุ่นพี่ของเพื่อนสนิทอย่างไอ้ภาคอีก ว่าแต่ ทำไมพี่เขากลับรถไฟฟ้าวะ ปกติขับรถมานี่ ที่ผมรู้ก็เพราะพี่พีเคยบอกตอนไปส่งผมที่โรงพยาบาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เดี๋ยวค่อยเล่าแล้วกัน

   “อืม ทำไมกลับค่ำ ไหนว่ากลับค่ำไม่ได้” คนที่ตัวสูงกว่าผมถามเสียงเรียบ

   “อ๋อ วันนี้ที่คณะมีคัดหลีด ผมโดนเรียกไป เพิ่งเลิกเนี่ย”

   “คัดหลีด?” หัวคิ้วพี่พีกระตุกเข้าหากันเล็กน้อยหลังจากถาม “แล้วได้หรอ”

   “ผมไม่ได้เป็นหรอก ไปขอพี่เขาว่าเป็นไม่ได้ แต่ไอ้เจ้าได้เป็นนะ โดนเรียกคนแรกเลย” ผมยิ้มกว้างประกอบคำตอบที่เอ่ยออกไป

   “หึหึ” มาอีกละเสียงหัวเราะแบบนี้

   “เอ้อ ละทำไมวันนี้พี่กลับรถไฟฟ้าอ่ะ?”

   “ขี้เกียจขับรถ”

   “แปลกนะพี่เนี่ย เขามีแต่ไม่อยากเบียดกับคนเยอะๆ”

   “ยุ่ง”

   “เอ้า ว่ากันเฉย”

   “แล้วนี่กลับค่ำจะไม่เป็นอะไรหรอ” พี่พีถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่น

   “โทรบอกแม่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก เขาก็ไม่อยู่ด้วย” สรรพนามที่ใช้เรียกป้าของผมก็หลุดปากออกไป

   “เรียกเขาดีๆ” คนตัวสูงเอ่ยปราม

   “เอ่อ ครับ ป้าไม่อยู่” แล้วทำไมผมต้องกลัวพี่เขาด้วยเนี่ย

   ในระหว่างนั้น ผมกับพี่เขาก็ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นอีก แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือ แผ่นหลังของผมแนบกับช่วงตัวของใครสักคน ที่มันไม่ได้สร้างความตกใจ แต่กลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่า สิ่งที่บ่งบอกให้แน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนอื่นก็คือกลิ่นที่ผมรู้สึกคุ้นเคยของพี่พี แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็ตาม


   สถานีต่อไป เอกมัย...Next Station Ekamai...


   เสียงประชาสัมพันธ์อัตโนมัติของระบบรถไฟฟ้าดังขึ้น แจ้งสถานีต่อไปซึ่งเป็นสถานีจุดหมายของผม ผมขยับตัวเตรียมพร้อมที่จะลง จำนวนผู้โดยสารที่เบาบางลงกว่าตอนแรกก็ทำให้ขยับกายง่ายขึ้น แต่ว่า ทำไมพี่พียังยืนใกล้ผมเหมือนเดิม ไม่อึดอัดหรือไงนะ

   ขยับตัวไปด้านหน้าแล้วหันกลับมาทางคนตัวสูงที่ยังยืนอยู่เดิม “ผมลงแล้วนะ สวัสดีครับ” พร้อมกับยกมือไหว้รุ่นพี่หน้าดุ

   “อืม”


   เอกมัย...Ekamai


   เมื่อรถไฟฟ้าเทียบชานชาลานิ่งสนิท ประตูอัตโนมัติก็เปิดออกให้ผู้โดยสารที่ต้องการลงสถานีนี้ก้าวออกจากตัวรถ รวมถึงตัวผมเช่นกัน

   แต่ทว่า...

   “หืม พี่ลงมาทำไม” คนหน้าดุก้าวเดินออกจากตัวรถตามผมมาติดๆ

   “มืดแล้ว”

   “ก็ใช่น่ะสิ นี่มันสองทุ่มแล้วพี่” กระตุกหว่างคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยประกอบความสงสัยในการกระทำของพี่เขา

   “เดี๋ยวกูไปส่ง จะได้ไม่โดนด่า” รุ่นพี่หน้าดุตอบคลายความสงสัยทั้งๆที่ไม่หันมามองหน้าผม

   ยกมือโบกปฏิเสธพี่พี “เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่ วันนี้เขา เอ่อ ป้าไม่อยู่ ไม่โดนหรอก”

   “เออ กูจะไปส่ง ไม่ต้องเถียง!” คนตัวสูงหันมาเอ่ยเสียงดุใส่ผม เอ่อ แล้วจะดุกันทำไมเนี่ย

   “พูดดีๆก็ได้ ทำไมต้องดุเนี่ย” ผมก้มหน้าบ่นพึมพำด้วยเสียงที่คิดว่าคนข้างตัวฟังไม่รู้เรื่องแน่ๆ

   แล้วก็เป็นผมที่ต้องสงบปากสงบคำระหว่างที่ลงจากตัวสถานีรถไฟฟ้า โดยมีพี่พี รุ่นพี่ปี 3 ต่างคณะที่อยู่ดีๆก็มาสนิท? สนิทหรือเปล่านะ เอ้อ มารู้จักกันนั่นแหละ


   ถ้าทุกคนยังจำเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ ที่ผม เจ้า แล้วก็ไอ้ภาคนัดกันไปกินบิงซู แต่วันนั้นแผนก็ล่มเพราะผมได้รับข่าวจากป้านวล แม่บ้านของบ้านใหญ่ว่าลาเต้ สุนัขพันธุ์ปอมปอมของน้องอรท้องเสียหนักจนต้องพาไปโรงพยาบาลสัตว์ วินาทีที่ได้รับข่าวตอนนั้นตัวผมชาวาบ รู้สึกถึงความเย็นเฉียบเข้ามาปกคลุมหัวใจ ความกลัวคืบคลานเข้ามาในห้วงความคิด และปฏิเสธไม่ได้ว่าผมภาวนาอย่าให้ผมได้เจอกับ ‘ความสูญเสีย’ อีกเลย

   วันนั้นพี่พีอาสาขับรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่ยืมพี่เกียร์มา ไปส่งผมที่โรงพยาบาลให้ทันใจก่อนที่ผมจะไม่มีสติไปมากกว่านี้ จำได้ว่าเป็นการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ผมลืมความกลัวไปเลย เพราะความกลัวบางอย่างมันทับถมพื้นที่ในความคิดผมไปหมดแล้ว พี่พีพาลัดเลาะไปตามซอยท่ามกลางฝนที่โปรยปรายลงมา ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงโรงพยาบาลที่ป้าแม่บ้านพาลาเต้มาส่ง ผมพาสภาพเนื้อตัวเปียกปอนไปหน้าห้องตรวจที่ป้านวลนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอป้าเห็นผมมาก็เลยขอตัวกลับไปดูแลบ้านต่อ ระหว่างที่รอคนตัวสูงที่ขับรถพาผมมาก็ยังไม่กลับไป พี่พีนั่งรอเป็นเพื่อนผมจนหมอที่ตรวจอาการของลาเต้ออกมาบอกผลการตรวจที่ทำให้ใจของผมกับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง หลังจากมันบีบรัดตัวระหว่างที่รอจนผมเหนื่อย แต่อาการของลาเต้ก็ยังไม่หายดีจนสามารถพากลับบ้านได้ในวันนี้ ต้องให้รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อเพื่อดูอาการ

   พี่พีก็เลยพาผมมาส่งที่บ้าน แต่มันก็เกิดเหตุการณ์ที่ผมคาดไว้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น เพราะเพียงแค่ก้าวผ่านประตูเล็กข้างบานประตูอัลลอยด์ขนาดใหญ่เข้าไปแค่ก้าวเดียว ยังไม่ทันหันมาปิดประตูด้วยซ้ำ เสียงด่าทอบาดหัวใจของป้านิลก็ดังเข้ามาในโสตประสาททันที สาเหตุนั่นหรอ เพราะผมเหลวไหลกลับบ้านมืดจนทำให้คนอื่นวุ่นวายกับลาเต้ ป้านวลที่ปกติต้องคอยดูแลน้องพราวลูกสาวคนเดียวของป้านิลกลับต้องมาพาลาเต้ไปหาหมอ ผลของความวุ่นวายเลยมาตกที่ผม ตอนผมหันมาปิดประตูก็เลยได้เห็นว่าพี่พียังคงยืนพิงรถสองล้อราคาแพงนั้นอยู่ที่เดิม สายตาที่สบกันพอดีทำให้ผมรู้สึกถึงความห่วงใยที่ส่งมาพร้อมกับความสงสัยกับเหตุการณ์ขณะนั้น แต่ผมก็ทำได้แค่เพียงส่งยิ้มจางๆกลับไปให้เพื่อบอกเขาว่า ‘ไม่เป็นไร’

   เมื่อก่อนผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าป้านิล ผู้มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆนั้นจงเกลียดจงชังอะไรผมนัก ตั้งแต่ที่ผมกับแม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านป้าตามความต้องการของป้าเอง ผมก็ถูกด่าทอ ประชดประชันต่างๆนานา ถูกเปรียบเทียบกับน้องพราวอยู่ทุกเรื่อง ความไม่เข้าใจทำให้ผมเอ่ยถามแม่อยู่เสมอว่าทำไม? คำตอบที่มักได้รับกลับมาก็คือป้าเขาเป็นห่วงผม ป้าเขารักผมนะ นี่คือการแสดงความรักของป้าที่มีให้ผมหรอ


   ทำไมความรักของป้า มันทำให้ผมรู้สึกทุกข์ใจเหลือเกินครับ


   พอผ่านไปไม่นานผมก็ได้รู้ความจริงจากปากป้านิลเองว่า การเกิดมาของผมทำให้ครอบครัวที่มีหน้ามีตาในสังคมต้องอับอาย แม่ผมท้องกับพ่อก่อนแต่งงาน บ้านที่เคยมีความสุขก็เกิดปัญหาเพราะพ่อผมเป็นแค่คนธรรมดา ตายายเกิดความทุกข์ใจและขายหน้า ไม่มีใครเห็นด้วยกับความรักของพ่อกับแม่ ทุกคนในบ้านนี้ต่างพากันเกลียดพ่อที่ทำให้แม่ผมหมดอนาคต เพราะแม่เลือกหนีไปอยู่กับพ่อสร้างเพื่อครอบครัวเล็กๆขึ้นมา แม่บอกเสมอว่า แม่รักพ่อมาก ผมเชื่อแม่นะ ผมรับรู้มาตลอด แล้วการจากไปของพ่อก็ทำให้แม่ถูกบังคับให้กลับมาอยู่ร่วมชายคากับพี่สาวของตัวเองอย่างป้านิลอีกครั้ง แม่ยอมกลับมาเพราะความรู้สึกผิดบาปในการกระทำที่ผ่านมา ความเกลียดชังที่พ่อเคยได้รับ ตอนนี้มันมาตกที่ตัวผมแล้ว ผมก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ทำตามที่แม่พร่ำสอนว่าให้เป็นคนดี ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดจนผมสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์ตามที่ผมชอบได้สำเร็จ แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่ใช่คณะที่ป้านิลต้องการ





   ระหว่างทางจากสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยกับบ้านผม เป็นระยะทางที่ไม่ได้ไกลมากทำให้ปกติผมเลือกที่จะเดินเข้ามา อีกนัยหนึ่งคือ ผมอยากยืดเวลาให้นานที่สุดก่อนที่จะถึงสถานที่ที่เรียกว่าบ้าน ในตอนนี้ผมกับพี่พีก็ไม่ได้เอ่ยบทสนทนาขึ้นระหว่างกัน มีเพียงความเงียบแผ่กระจายแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด

   ผมเลือกที่จะก้าวเท้าให้ช้าลง จนกลายเป็นว่าเราทั้งสองคนเดินข้างกัน จากที่ก่อนหน้านี้พี่พีเป็นฝ่ายเดินตามหลังผมตลอด

   “เอ้อพี่ ล้าเต้หายแล้วนะ กลับมาซนได้เหมือนเดิมแล้ว” ประโยคทำลายความเงียบของผมเกิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม

   รุ่นพี่ตัวสูงเหลือบตามองมาทางผม “หรอ ดีแล้ว”

   “อยากเข้าไปเล่นกับมันปะ หมาผมน่ารักนะ” เอ่ยคำชวนพร้อมยักคิ้วให้

   “ได้หรอ ไม่ดีมั้ง” คนข้างตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ

   “ได้ดิ วันนี้แม่ก็อยู่ เดี๋ยวอ้อมไปเล่นหลังบ้านเล็ก” คำชักชวนที่ออกมาโดยไม่รู้ว่าจะต้องชวนทำไม แต่แค่รู้สึกอยากรู้จักคนหน้าดุคนนี้เพิ่มขึ้นไปอีก

   “อืม”
   “เย้ พี่ต้องหลงรักมอคค่ากับลาเต้ของผมแน่ๆ” คำโฆษณาหลุดจากปากไม่ขาดสาย

   คนตัวสูงหันมายิ้มมุมปากให้ผม “หึหึ...เด็กน้อย”



   หลังจากบทสนทนาจบลงเพียงไม่นาน ผมกับพี่พีก็เดินมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่ปิดกั้นด้านหน้าด้วยประตูรั้วอัลลอยด์ เลยพารุ่นพี่ตัวสูงผ่านเข้าบ้านด้วยประตูเล็กแล้วเดินอ้อมสนามหญ้าไปทางหลังบ้านเล็กที่ผมอยู่กับแม่สองคน

   บ๊อกๆ บ๊อกๆ

   เสียงทักทายจากสุนัขพันธุ์ปอมปอม ที่มีรูปหน้าคล้ายหมี เล็ดลอดออกมาจากประตูด้านหลังที่กั้นระหว่างครัวกับนอกบ้าน ยังไม่ทันก้าวเข้าไปประชิด ประตูบานนั้นก็เปิดออกจนสุนัขอ้วนกลมสองตัวกระโดดพุ่งออกมาตรงที่ผมยืนอยู่

   “งื้ออออ ไงไอ้อ้วน พี่กลับมาแล้ว” ผมย่อตัวลงไปจับเจ้าตัวอ้วนกลมที่วิ่งส่ายก้นดุ๊กดิ๊กอยู่รอบๆตัวผม

   “อ้าว อิน ทำไมเข้าหลังบ้านล่ะลูก แม่ก็ตกใจอยู่ดีๆเจ้าสองตัวก็วิ่งเข้าครัว”

   “แหะๆ” หัวเราะเสียงแห้งใส่ผู้เป็นแม่

   “แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ เพื่อนหรอ?” คำถามจากแม่ดังขึ้นหลังจากสายตาของแม่มองข้ามผ่านผมที่นั่งยองกับพื้นไป

   “อ้อ นี่รุ่นพี่ที่มออ่ะแม่ ชื่อพี่พี” เอ่ยแนะนำเสร็จผมก็หันไปที่เจ้าของชื่อ “พี่พีนี่แม่ผมเอง”

   “สวัสดีครับคุณน้า” คนตัวสูงยกมือพุ้มไหว้พร้อมกับก้มหัวแสดงความนอบน้อมกับผู้อาวุโสกว่ามาก

   “หืม ไม่ต้องเรียกคุณน้าหรอ เรียกน้าแอนก็ได้ น้าไม่ถือจ๊ะ แล้วนี่รุ่นพี่คณะของอินใช่ไหม น้าฝากช่วยดูอินด้วยนะ มาๆเข้าบ้านก่อน” แม่ผมเอ่ยยาวไม่เว้นช่วงให้อธิบายความจริงเลย

   ผมผุดขึ้นยืนแล้วเดินนำพี่พีเข้ามาในตัวบ้านในส่วนที่เป็นห้องครัว ที่บริเวณกลางห้องมีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารขนาดเข้ากับห้องตั้งอยู่ เลยพยักเพยิดส่งสัญญาณให้คนตัวสูงไปนั่งเก้าอี้ตรงนั้น

   ระหว่างนั้นพี่พีก็อธิบายความจริงกับแม่ผม “ป่าวครับ ผมเรียนวิศวะฯโยธา”

   “อ่าว แล้วไปรู้จักพี่เขาได้ยังไงล่ะ” คนร่างบางที่มีฐานะเป็นแม่หันมาถามผม

   “พี่พีเป็นรุ่นพี่ของไอ้ภาคอ่ะแม่” ตอบพร้อมทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามแขกผู้มาเยือน โดยที่มีแม่ผมนั่งอยู่หัวโต๊ะ

   “หรอจ๊ะ ถึงจะคนละคณะยังไงน้าก็ฝากอินด้วยนะ” แม่เอ่ยย้ำประโยคก่อนหน้าพร้อมรอยยิ้ม

   “ได้ครับ” เจ้าของหน้าดุเอ่ยตอบแม่ของผม แต่ทำไมสายตาต้องมองมาที่ผมด้วยเนี่ย

   “นี่ยังไม่ได้กินข้าวกันมาใช่มั้ย เดี๋ยวกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะพี”

   “เอ่อ..” คนตัวสูงมีสีหน้าเกรงใจจนรู้สึกได้

   “แม่ผมทำกับข้าวอร่อยมากนะ อร่อยกว่าเชฟภัตตาคารอีก พี่ต้องลอง” ผมรีบโฆษณาขายฝีมือทำกับข้าวของแม่ให้คนร่างสูงตอบตกลง

   “ไม่ต้องเกรงใจนะลูก ปกติแม่ก็กินลูกชายแค่สองคนเอง” แม่หันไปเอ่ยสำทับด้วยรอยยิ้ม

   “ถ้างั้นวันนี้ผมขอฝากท้องด้วยนะครับน้าแอน” พี่พีตอบรับคำชวนด้วยรอยยิ้มกว้าง

   หืม พี่พียิ้ม นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของผมเลยนะ ฮ่าๆ



   กินข้าวกันไปก็คุยกันไปหลากหลายเรื่องราว ส่วนใหญ่ก็หนักมาที่ผมถูกแม่เผาซะไหม้เป็นฝุ่นเลย เรื่องตลกในอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของผมก็ถูกแม่ขุดค้นขึ้นมาเล่าให้พี่พีฟัง แทนที่ผมจะรู้สึกอาย แต่รู้อะไรกันไหมครับ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกคุ้มคือผมได้เห็นมุมแปลกใหม่ของพี่พี รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาแต่สายตาติดดุนั้น มันทำให้ผมยิ้มตาม ทั้งยังให้ความรู้สึกว่า


   รอยยิ้มกับพี่พีก็ดูเข้ากันดีนะ



   อาหารมื้อเย็นของบ้านกับแขกผู้มาเยือนก็ผ่านพ้นไปด้วยดี รุ่นพี่ตัวสูงออกปากชมรสฝีมือของแม่ผมไม่ขาดปาก แม่ผมก็ปริ่มใจยิ้มแก้มแทบแตก แถมแม่ยังชวนพี่พีคุยเหมือนรู้จักกันมานาน ผมที่ถูกมอคค่าลาเต้ดึงความสนใจให้ไปหยอกล้อกับมันก็ปล่อยให้เขาทั้งสองคุยกันไป เพียงไม่นานที่แม่จัดการความเรียบร้อยภายในครัวเสร็จก็ปลีกตัวเข้าไปในบ้าน ปล่อยพี่พีไว้กับผม และสุนัขอีกสองตัว

   “นั่งลงสิ”

   รุ่นพี่ตัวสูงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างๆผม กลิ่นกายที่ไม่คุ้ยเคยของพี่พีทำให้เจ้าอ้วนทั้งสองตัวเกิดความสนใจเข้าไปทำจมูกฟุดฟิดวนรอบตัวของพี่พี คนหน้าดุที่กลายเป็นเป้าหมายการสำรวจของหมาอ้วนก็ได้แต่นั่งนิ่งสงบเสงี่ยมรอผลสำรวจ แล้วก็เป็นเจ้าลาเต้ สุนัขพันธุ์ปอมปอม เพศเมียของน้องอรที่อัธยาศัยค่อนข้างดีก็กระโจนขึ้นไปนั่งบนตักของพี่พี เจ้าตัวก็เลยยกมือขึ้นมาลูบหัวลูบตัวของลาเต้พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ส่วนเจ้ามอคค่าก็พาตัวกลมๆขึ้นมายคเหน้าตักของผมเป็นที่ซุกตัว เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของผมตลอดเวลาโดยเฉพาะรอยยิ้มนั้น

   “มองอะไร” เป้าสายตาของผมเอ่ยถามโดยที่ไม่หันหน้ามามอง

   “เอ่อ มองลาเต้ไง มันดูชอบพี่นะ”

   “อืม อ้วนนะ” คนข้างๆผมเอ่ยตอบในขณะที่มือยังไม่เลิกสัมผัสขนของเจ้าลาเต้

   “นี่ผอมลงแล้วนะเนี่ย เพิ่งหายป่วย แต่มันกินเก่ง เดี๋ยวก็อ้วนอีก”

   “แล้วตัวนั้นทำไมไม่ค่อยซน”

   “มอคค่าอ่ะหรอ มันเป็นหมาหนุ่มจอมสุขุม ฮ่าๆ” ก้มลงเอ่ยหยอกเหย้าเจ้าอ้วนบนตักพร้อมกับสางนิ้วไปตามเส้นขนสีน้ำตาลเข้ม

   แช๊ะ!

   ผมเงยหน้าตามเสียงชัตเตอร์ที่ดังอยู่ใกล้ตัว “เห้ย ถ่ายรูปผมทำไมพี่?”

   “กูถ่ายหมา” เขาตอบด้วยรอยยิ้มมุมปาก พร้อมกับยกมือขึ้นมาโคลงศีรษะผม

   อ๋อหรอ...ตามนั้น
   


   
        (มีต่อด้านล่าง)


ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2




     เราสองคนนั่งเล่นกับเจ้าก้อนทั้งสองตัวอยู่สักพัก ยกข้อมือข้างซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกาก็คิดว่าดึกมากแล้ว เลยอุ้มมอคค่ากับลาเต้ไปวางไว้ตรงเบาะที่เป็นตำแหน่งประจำ แล้วเดินเข้าไปหาแม่ที่ห้องนั่งเล่นเพื่อให้พี่พีเอ่ยลา

   “แม่ พี่พีจะกลับแล้ว”

   “จ้า ไว้วันหลังมาอีกนะลูก” แม่หันไปพูดกับเขา

   “ถ้าไม่เป็นการรบกวนก็โอเคครับ ขอบคุณสำหรับอาหารเย็นนะครับน้าแอน” คนตัวสูงยกมือพุ่มไหว้ขอบคุณแม่ของผม

   “จ้า เดินทางดีๆนะ”

   “สวัสดีครับ” เอ่ยลากันเสร็จตามมารยาทที่ดี ผมก็เดินนำพี่พีมาทางประตูด้านหลังที่เราเข้ามา

   “เดี๋ยวผมเดินออกไปส่ง”

   “อืม”



   ผมพาพี่พีเดินออกจากตัวบ้านอ้อมสนามหญ้าเพื่อไปยังหน้าประตู ขณะที่กำลังเปิดประตูเล็ก จู่ๆประตูรั้วอัลลอยด์ก็เคลื่อนตัวเปิดออกตามระบบอัตโนมัติที่ติดตั้งไว้ ผมหันไปสบตากับคนตัวสูงข้างๆ โดยที่พอจะเดาได้ว่ารถของใครกำลังผ่านประตูบานใหญ่นั้นเข้ามา

   รถยนต์สัญชาติยุโรปคันหรูค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาในอาณาเขตบ้านที่มีเจ้าของนั่งอยู่บนรถคันนี้ ผมกับพี่พียืนหลบมุมอยู่ใกล้ๆประตูเล็กเพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตา แต่ก็คงไม่เป็นดั่งใจคิด กระจกฟิล์มดำทึบตำแหน่งประตูด้านหลังคนขับก็ค่อยๆลดเปิดลง ปรากฏใบหน้าของผู้หญิงวัยเกษียณที่มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆของผม

   “อิน!”

   “คะ...ครับป้านิล”

   “มายืนทำอะไรตรงนี้ หรือว่าเพิ่งถึงบ้าน ไม่รู้จักเวล่ำเวลา” เสียงดังแผดลอดออกมาจากตัวลด ไม่เว้นฟังแม้กระทั่งคำอธิบาย

   “เปล่าครับ กลับมานานแล้ว แต่ออกมาส่งรุ่นพี่ เอ่อ นี่พี่พีครับ รุ่นพี่ที่มอ” ผมอธิบายตอบความจริงให้ป้านิลฟังพร้อมกับแนะนำคนข้างๆตัว

   “สวัสดีครับ” พี่พียกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประกบนบน้อมไหว้เจ้าของบ้าน

   “เหอะ! นี่บ้านนะไม่ใช่สวนสาธารณะ ที่คิดจะพาใครเข้าใครออกได้ตามใจ” ประโยคจิกกัดถูกเอ่ยออกมาตอกย้ำความรู้สึกแย่ๆระหว่างผมกับป้าให้มากขึ้นไปอีก

   “ขอโทษครับ”

   “จะทำอะไรให้มันเกรงใจกันบ้างนะ อย่ามาทำนิสัยแบบพ่อแกที่นี่ ฉันไม่ชอบ”
 
   ประโยคที่ทำให้ผมทำได้เพียงกัดริมฝีปากด้านในจนรู้สึกเจ็บไปหมด แต่ก็ยังเจ็บไม่เท่ากับหัวใจผมตอนนี้ที่ได้ฟังคำด่ากระทบบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งอย่างพ่อของผม

   “ขอโทษครับ จะไม่ให้เกิดขึ้นอีกแล้วครับ” ผมยกมือพุ่มไหว้ขอโทษเจ้าของบ้านผู้มีหน้ามีตาในสังคม

    ไร้ซึ่งคำตอบรับการขอโทษ มีเพียงกระจกติดฟิล์มสีดำที่เลื่อนขึ้นจนปิดสนิทพร้อมกับตัวรถหรูที่เคลื่อนเข้าไปทางที่โรงจอดรถขนาดใหญ่ ผมค่อยๆลดมือที่ยกไหว้อยู่แนบองลงมาข้างตัว พาตัวเองเดินนำพี่พีออกมาทางประตูเล็กเหมือนเดิม




   เมื่อเดินพ้นอาณาเขตบ้านหรูออกมา ผมก็หันไปมองคนตัวสูงด้วยรอยยิ้มจางๆเตรียมเอ่ยลา แต่ก่อนจะมีคำลาใดๆหลุดออกมาจากปาก อยู่ๆร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันก็ยกมือซ้ายขึ้นมาวางบนศีรษะของผมพร้อมกับลูบเบาๆ

   การกระทำของคนตรงหน้าสร้างความแปลกใจเป็นอย่างมาก ผมชะงักค้างไร้เสียงเล็ดลอดออกมาจากลำคอ สายตาของผมประสานกับพี่พีท่ามกลางความเงียบที่ยังปกคลุมอยู่รอบๆ สายลมเย็นที่พัดผ่านไป แต่ทำไมหัวใจของผมถึงรู้สึก..อบอุ่นจัง หรือเพราะมันเต้นแรงเกินไป

   “ไม่เป็นไรนะ” เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเอ่ยออกมา

   “...”

   “กูอยู่กับมึงตรงนี้”

   ประโยคสั้นๆของคนตรงหน้าผม เหมือนเป็นยาชโลมหัวใจที่ถูกทิ่มแทงอย่างเจ็บปวดจากวาจาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนในครอบครัวให้รู้สึกดีขึ้นจนสัมผัสได้ ความอบอุ่นจากน้ำเสียง แววตา และแรงสัมผัสบนเส้นผมด้วยฝ่ามือหนา เป็นเหมือนสิ่งกระตุ้นต่อมน้ำตาที่ผมมักจะกดมันไว้ไม่ให้มันผลิตน้ำใสๆออกมาต่อหน้าคนอื่น เพียงเสี้ยววินาทีที่ผ่านพ้นความรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ การสะกดกลั้นของผมก็ไม่เป็นผลอีกต่อไป ผมไม่อยากอ่อนแอ แต่ผมห้ามมันไม่ได้
 
   “พี่..” ปฏิกิริยาตอบกลับด้วยเสียงของผมกลั่นกรองทุกความรู้สึกออกมาได้เพียงแค่คำนี้

   “อย่าร้อง” สัมผัสอ่อนโยนจากปลายนิ้วที่เพิ่งเลื่อนจากศีรษะมาลูบเช็ดหยดน้ำใสๆที่ไหลออกจากดวงตาของผม

   “ฮึก...พี่...ฮึก...ขอบคุณครับ”

   “...”

   “ผมขอโทษ” เอ่ยขอโทษกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่พี่เขาไม่ควรจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์แย่ๆแบบนี้

   “ไม่ผิดก็ไม่ต้องขอโทษ กูไม่เป็นไร”

   “...”

   “แต่จำไว้”

   “...”

   “อินยังมีพี่อยู่นะ”


   คำบอกกล่าวย้ำการมีตัวตนของเขาที่เอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม สำหรับพี่พีมันคงเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดา แต่สำหรับผมหัวใจบังคับให้ผมรู้สึกว่า


   นี่คือคำสัญญา


   “ครับ”

   เอ่ยพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆเหือดแห้ง คำตอบรับที่เอ่ยออกไป ไม่ใช่แค่ตอบรับประโยคก่อนหน้า แต่ผมตอบรับคำสัญญาที่ถูกสร้างขึ้นในหัวใจ


   “กลับแล้วนะ”

   “อื้ม กลับดีๆนะครับ”

   สิ้นคำเอ่ยลาคนตัวสูงก็ค่อยๆเบี่ยงตัวกลับหลังหันไปตามเส้นทางของหมู่บ้านที่จะออกสู่ถนนภายนอก ผมที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็ยืนมองแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆไกลออกไปจนเลือนลับจากสายตา


   ผมจึงหันหลังเดินกลับเข้าบ้านผ่านประตูรั้วบานเล็ก ทั้งๆที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันยังคงสูบฉีดด้วยอัตราเร็วที่มากกว่าปกติ


   จะหาคำอธิบายจากที่ไหน จะใช้คำจำกัดความว่าอะไร ที่จะมาบรรยายความรู้สึกของผมตอนนี้ ความอ่อนแอที่ผมเก็บซ่อนเอาไว้กลับกล้าเปิดเผยออกมาต่อหน้าคนๆนี้ อีกทั้งความอบอุ่นในหัวใจที่ก่อตัวขึ้นจากการกระทำของพี่พีมันจะเป็นคำตอบได้หรือเปล่าว่า สิ่งที่ผมรู้สึกมันเป็นอย่างที่ผมคิด แล้วถ้ามันใช่


   มันจะผิดไหมครับ?


   ถ้า...


   ผมรู้สึกดีกับรุ่นพี่ต่างคณะคนนี้






   *TBC
   20/09/2017
   
***************************************************

   กลับมาพร้อมกับความดราม่าเบาๆของชีวิตน้องอิน งื้ออออออ ส่งสารน้อง//ดึงมากอด
   พาร์ทของอินจะให้ความรู้สึกไปอีกแบบนะคะ นิสัยเงียบๆของน้องก็คงได้รู้แล้วว่าเพราะอะไร
   แต่แต่งตอนนี้จบอยากบอกว่า อินขา ที่บ้านพี่ไม่มีพี่พี ขอได้มั้ย ฮืออออ อบอุ่นมากเวอร์
   ยังไงก็ให้กำลังใจคู่นี้ไปพร้อมๆกันนะคะ จะพยายามถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด
   
   ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเม้นท์ อยากให้รู้ว่ามันคือกำลังใจชั้นยอดของเราเลย เวลาหัวตันๆเราชอบเข้ามาอ่านที่ทุกคนแสดงความคิดเห็น อ่านวนจนจำได้แล้วอ่ะ ฮ่าๆ ยังไงก็คอมเมนท์มาคุยกันบ่อยๆนะคะ
   ที่ทอล์กยาวนี่ คือจะหายไปอีกไง นี่แอบอู้งานมาอัพเลย
   เจอกันตอนต่อไปนะคะ หวีดได้ที่แท็ก #เจ้าพระยาที่รัก #เกียร์เจ้า #พีอิน #ยาใจพี่เกียร์บวกเมียพี่พี


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
รู้ว่าคุณแม่รู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องพ่ออิน เลยยอมมาอยู่กับพี่สาวเพื่อชดเชยเรื่องในอดีต
แต่บางทีคุณแม่ก็น่าจะสงสารลูกของตัวเองบ้างนะ ที่ต้องโดนพูดจาถากถางทำร้ายจิตใจแบบนี้

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ทำไมแม่ถึงปล่อยให้เขาทำร้ายจิตใจลูกอยู่ทุกวัน

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
ไม่เข้าใจยัยป้า ดูไม่ได้รัก ดูเกลียด  แล้วเรียกน้องกับหลานกลับมาอยู่ด้วยทำไม เพื่อ :katai1:

ออฟไลน์ Apinnoolek

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่พี ชอบอินแล้ว

ป้านิล ไม่มีเหตุผล ไม่ชอบพ่อแล้วมาลงกับลูก
ทั้งที่เป็นหลานตัวเอง

แม่อิน จำต้องอยู่ เพราะรู้สึกผิดเหรอ
แต่แม่อิน มีฝีมือทางทำอาหาร
น่าจะออกมาอยู่กับลูกข้างนอก
อิน ต้องทนทุกข์กับความปากร้ายใจร้ายของป้าไแถึงเมื่อไร
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ แม่น้องเปา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สนุกมากค่ะ อ่าน8ตอนรวดเลย ตลกเจ้า สงสารอิน
มาต่ออีกนะคะ รอเธอเสมอ :L2:

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
สงสารน้องอิน ฮือออ  :monkeysad: อ่านแล้วน้ำตาคลอเลยอ่ะ จะร้องไห้ตาม ฮือออ
เข้าใจความอึดอัดของน้องอิน การที่ต้องไปอาศัยเขาอยู่ อยู่ในที่ ๆ ไม่ใช่ของเรา มันไม่มีความสุขหรอก
ยังดี ที่น้องยังมีคุณแม่ มีมอคค่ากับลาเต้ ยังมีคนที่เรารักอยู่เป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปนะ
ป้านิลนี่ก็ประสาท เอาความเกลียดมาลงที่เด็กที่เกิดมาโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่นี่มันบ้าชัด ๆ โมโห  :m16:
เกลียดอิน แล้วไปพาน้องกับแม่มาอยู่ด้วยทำไม แล้วก็มาคอยด่า คอยตอกย้ำฐานะคนอาศัยใส่อยู่นั่น
อยากให้ครอบครัวน้องย้ายออกมาจัง ไม่อยากให้น้องต้องอยู่ด้วยความกดดันโดนดูถูกตลอดเลยอ่ะ T^T
พี่พีอบอุ่น อ่อนโยนมากเลย   :-[  ช่างเหมาะที่จะมาดูแลน้องกับครอบครัว  มอคค่าลาเต้ น่ารักที่สุด > <
พาร์ทพี่พีน้องอิน นี่คนละอารมณ์กับพี่เกียร์น้องเจ้าเลยอ่ะ 555  แต่ก็ชอบทั้งสองคู่เลย
จริง ๆ แอบเชียร์ภาคกับพี่มายด์ด้วยแหละ ชอบพี่มายด์ พูดมาก ทะเล้นน่ารักดี
แต่ตอนนี้แอบติดใจคู่พี่พีน้องอินเป็นพิเศษ จนโลภมาก อยากให้คู่นี้แยกเป็นเรื่องยาวด้วยซ้ำ แหะ ๆ
รอตอนต่อไปนะคะ หวังว่าจะพาพี่พีน้องอินมาบ่อย ๆ น้า
ขอบคุณคนเขียนมากค่า  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด