❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❣ เจ้าพระยาที่รัก ❣ ท่าเรือที่ 20 : ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม (17/12/2018) p.09  (อ่าน 79165 ครั้ง)

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
พี่เกียร์คนดีของน้องเจ้าาาาาาาาา  :hao5:

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2
ท่าเรือที่ 20

ปลาทองน้อยกลางฝูงฉลาม






 
   “เจ้า แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก”

   “เสร็จแล้วครับแม่”

   เสียงแม่ตะโกนเรียกผมที่หน้าห้อง เพราะผมลงไปข้างล่างผิดเวลา น้องสาวอย่างพารักคงจะรอกินข้าวเช้าพร้อมกัน 

   “เร็วหน่อยลูก พ่อรอกินข้าว”

   “ห้ะ!” ผมดึงบานประตูให้เปิดออก ชะโงกหน้าออกมาส่งเสียงตกใจใส่แม่ที่ยืนรออยู่ 

   “เจ้า! แม่ตกใจหมด”

   “พ่อกลับมาแล้วหรอครับ”

   “ใช่จ๊ะ พ่อมาถึงเมื่อคืน”

   “แล้วคราวนี้อยู่นานมั้ยครับ ไปอยู่เชียงใหม่จนลืมลูกแล้วเนี่ย”

   “นี่งอนพ่อหรอเรา ฮ่า ๆ น่าจะหลายวันนะลูก ทางนู้นอะไร ๆ ก็เริ่มลงตัว ผู้จัดการสวนเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี คงบินไปดูถ้าเป็นเรื่องจำเป็น”

   “เจ้าไม่เท่าไหร่หรอกครับแม่ คนที่จะงอน นู่น ยัยน้องพามากกว่าครับ” ผมกับแม่คุยกันระหว่างเดินลงบันได

   “รายนั้นได้ของฝากก็หายแล้ว ดูสิ นั่งคุยจ้อเชียว” เราทั้งสองคนเดินมาถึงห้องรับประทานอาหารของบ้านพอดี แม่เลยพยักเพยิดให้ดูสาวน้อยของบ้านกำลังพูดไม่หยุด

   “ไง ได้ของฝากเยอะเลยล่ะสิ ไหนบ่นกับพี่ว่าจะงอนพ่อฮะ” ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ น้องสาวตัวแสบ อดไม่ได้ที่ยกมือขึ้นดึงผมหางม้าของพารักเบา ๆ

   “ใครงอนกัน ไม่มี้ พี่เจ้าอย่ามั่วสิ พ่ออย่าไปเชื่อพี่เจ้านะคะ” พารักปฏิเสธเสียงสูง แถมยังไม่ออดอ้อนคนเป็นพ่ออีก

   เป็นแบบนี้แล้วใครจะไม่หลงพารัก

   ทนได้หรอ ฮ่า ๆ


   “สวัสดีตอนเช้าครับพ่อ” ผมยกมือไหว้คนเป็นพ่อเมื่อนั่งลงประจำที่เรียบร้อยแล้ว

   “ไงเจ้าพระยา ได้ข่าวว่าไปแข่งหลีดได้ที่ 2 “

   “ใช่แล้ว เจ้าเก่งล่ะสิ” ผมยกมือตบอกปุ ๆ ประกอบคำเยินยอของตัวเองเพื่ออวดคุณสมภพ

   “เก่งครับเก่ง เก่งสุด ๆ แล้วเรียนเป็นไงบ้าง”

   “ก็ดีครับ คะแนนสอบกลางเทอมออกมาแล้ว ดีกว่าที่เจ้าคิดไว้อีก” พอคิดถึงคะแนนที่ทยอยประกาศออกมาแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ตอนแรกก็กลัวจะได้อยู่ในสภาพมือเกาะมีนตีนถีบเอฟซะแล้ว

   “ดีแล้ว พยายามเข้า แต่ไม่ต้องไปเครียดหรือกดดันตัวเองมากนะ ทำเท่าที่ได้” เสียงทุ้มแหบที่บ่งบอกอายุกล่าวให้กำลังใจผม ความอบอุ่นของพ่อทำให้ผมสบายใจอยู่เสมอครับ

   “ครับผม”

   “มา ๆ กินข้าวกัน พ่อมีนัดกับเพื่อนไว้ เดี๋ยวรถจะติดซะก่อน”

   “พ่อคะ วันนี้พ่อไปส่งพาที่โรงเรียนน้า” พารักหันไปเกาะแขนอ้อนหัวหน้าครอบครัว

   “แน่อยู่แล้วสิ…เอ้อ แล้วนี่เจ้าไปมหา’ลัยยังไง ให้พ่อไปส่งมั้ย”

   ปลายประโยคพ่อหันมาถามผม ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงตอบอย่างไม่ต้องคิดว่า นั่งเรือครับ แต่พอมาตอนนี้…

   “เดี๋ยวนี้พี่เจ้ามีคนมารับมาส่งแล้วพ่อ หล่อด้วย คิคิ” พารักตอบพ่อแต่ส่งสายตายิ้มล้อมาทางผม

   บรรยากาศเงียบลงไปชั่วอึดใจ ผมได้แต่ส่งยิ้มบาง ๆ ให้พ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ แต่ไม่กล้าสบสายตาเข้มนั่น

   “ใครหรอเจ้า” เสียงทุ้มเข้มติดแหบพร่าเอ่ยถามผม

   “เอ่อ รุ่นพี่ที่มหา’ลัยอะครับ”

   “อืม” พ่อตอบผมกลับมาแค่นั้น

   ผมรีบหันไปสบตาคนที่นั่งเยื้องกันอยู่ฝั่งตรงข้าม แม่ยังคงมอบรอยยิ้มหวาน สายตาอ่อนโยนแสดงความเข้าอกเข้าใจ แต่ยังไงหัวใจผมเต้นรัวเหมือนคนทำความผิดมาอยู่ดี 

   ผมยังไม่พร้อมจะเล่ารายละเอียดของเรื่องให้พ่อฟังทั้งหมด แต่เดา ๆ ว่าก็คงได้ฟังเรื่องระหว่างผมกับรุ่นพี่ต่างคณะอย่างพี่เกียร์มาจากแม่บ้าง

   ผมไม่รู้ว่าพ่อจะคิดยังไง

   พ่อจะผิดหวังไหม

   ถึงแม้เราจะเคยแซวกันเล่น ๆ บ้าง แต่พอมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาผมกลับไม่กล้าถามความรู้สึกของพ่อเท่าไหร่


   “กินข้าวเถอะ ยัยพาจะไปโรงเรียนสายแล้วคุณ” แม่เอ่ยพลางเลื่อนขวดซอสสำหรับใส่ข้าวต้มไปให้พ่อ 

   และเหมือนพารักจะจับความรู้สึกกับบรรยากาศแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นได้ และก็คงจะเพิ่งรู้ตัวว่าได้เอ่ยแซวเรื่องบางเรื่องผิดเวลาไป น้องเลยเอื้อมมือข้างหนึ่งมาบีบมือผมที่วางอยู่บนตักเบา ๆ

   ผมหันไปส่งยิ้มให้น้องสาว เพื่อสื่อว่า ไม่เป็นไร

 











   หลังจากเวลาแห่งการรับประทานอาหารเช้าจบลง พ่อก็ขับรถไปส่งน้องพารักที่โรงเรียน ส่วนผมก็รอคนบางคนมารับ เอาจริง ๆ พี่เกียร์ไม่ได้มารับมาส่งผมบ่อยขนาดนั้น เพียงแต่ช่วงที่ซ้อมหลีดผมต้องกลับดึกมาก แล้วคนอย่างพี่เกียร์ต่อให้พยายามบอกไปว่ากลับเองได้ ยังไงเขาก็ไม่มีทางยอม แม่กับน้องพาก็เลยได้เห็นคนตัวสูงขับรถยนต์สัญชาติยุโรปมาเทียบฟุตบาทที่หน้าบ้านจนเป็นเรื่องชินตา ในตอนเช้าก็อาสามารับผมที่บ้านตลอด เขาอ้างว่าผมคงเพลียเพราะซ้อมหนักและนอนดึกมากแล้ว เลยไม่อยากให้ไปเบียดคนบนเรือและรถไฟฟ้า ถ้าเขามารับเองผมก็ยังได้งีบหลับบนรถระหว่างเดินทาง

   ผมว่าพี่เกียร์สปอยผมจนติดความสบายแล้วอะ

   ไม่ได้การละ

   “น้องเจ้าคะ ‘คุณสุดหล่อ’ มาแล้วค่ะ” พี่หวานเดินเข้ามาเรียกผมที่ยังนั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหาร

   “อ่า ขอบคุณครับพี่หวาน”

   ผมเดินออกจากห้องอาหาร ผ่านส่วนของหน้าร้านที่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดให้บริการ พอมองผ่านกระจกใสออกไปก็เห็น ‘คุณสุดหล่อ’ ของพี่หวาน ซึ่งวันนี้คนตัวสูงอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อช็อปสีเข้มคลุมทับเสื้อยืดสีดำ ทรงผมไม่เป็นทรงแต่กลับดูดีจนน่าเหลือเชื่อ เจ้าตัวยืนพิงเจ้าสายฟ้า พาหนะสองล้อคันใหญ่สีดำคู่ใจที่เพิ่งจะเอากลับมาขับหลังจากผ่านงานประลองเวทย์ปรุงยาไป

   ก่อนหน้านี้พี่เกียร์บอกว่าที่เอารถยนต์มาใช้เพราะกลัวผมเผลอหลับตอนซ้อนท้าย ถ้าวันไหนซ้อมหนัก ๆ อยากให้นั่งสบาย ๆ

   ดูแลผมดีตลอด

   พอผมเลื่อนบานประตูกระจกของร้านแล้วก้าวขาพ้นกรอบประตูไป พี่เกียร์ก็เงยหน้าย้ายสายตาจากจอโทรศัพท์ในมือมาสบตากับผมแล้วส่งยิ้มให้  ผมก้าวเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดที่ตรงหน้าเจ้าของนัยน์ตาแสนอ่อนโยนตอนนี้

   “ไงครับ มาสมัครเป็นพนักงานส่งดอกไม้หรอครับ” หาเรื่องแซวคนตัวสูงไปเรื่อยตามนิสัยขี้เล่นของตัวเอง

   “หึ ก็น่าสนใจอยู่นะครับ” ไม่พูดเปล่า ยังพยักหน้าเบา ๆ แววตาหยอกล้อ ทำหน้าสนอกสนใจอีกด้วย

   “งานหนักน้า จะไหวหรือเปล่าเนี่ย” 

   “มันก็อยู่ที่ว่าผลตอบแทนคุ้มหรือเปล่า”

   “ค่าแรงขั้นต่ำ 320 บาทต่อวันขาดตัว!!” ผมยกแขนสองข้างขึ้นมากอดอกแล้วยักคิ้วใส่คนตัวสูง

   “ฮ่า ๆ งั้นไม่รับค่าตอบแทนเป็นเงินก็ได้ครับ”

   “หื้ม?”

   “ขอรับเป็นลูกเจ้าของร้านแทนจะได้มั้ยครับ” จบด้วยยิ้มมุมปากใส่กันนิ่ง ๆ

   “โว้ะ! พอ ๆ เลิกเล่นเลยครับ เดี๋ยวไปเรียนสาย” เนี่ย พอพี่เขาเล่นด้วยจริง ๆ จัง ๆ ผมก็ไม่เคยจะชนะเขาเลย ร้ายกาจตลอด

   “นึกว่าจะเก่ง หึหึ มานี่ เดี๋ยวใส่หมวกให้” พี่เกียร์หยิบหมวกกันน็อกอีกใบมาตั้งท่าจะสวมมันลงที่หัวให้ผม

   “ไม่ใส่ครับ”

   “ไม่ได้สิ มันอันตราย”

   “งั้น…ก็ไม่ต้องขับรถไปครับ”

   “หืม? หมายความว่ายังไง”

   “ก็…พี่เกียร์ครับ วันนี้นั่งเรือไปมหา’ลัยกัน” ปิดท้ายวลีเชิญชวนคนตัวสูงให้ตกลงกับผมด้วยรอยยิ้มกว้าง

   “นั่งเรือ? จะเล่นอะไรพิเรนทร์อีกเอ๋อ หื้ม?”

   “ไม่ได้เล่น นั่งเรือไปกันนะพี่เกียร์ เอารถจอดไว้บ้านเจ้านี่แหละ ไหน ๆ ตอนเย็นพี่ก็ต้องมาส่งเจ้าอยู่แล้วนี่ นะ ๆ” ผมขยับเข้าไปเกาะแขนคนตัวสูงแล้วเขย่าเบา ๆ เพื่อโน้มน้าวพี่เกียร์ให้ใจอ่อนทำตามที่ผมบอก

   “เอางั้นหรอ”

   “น้า นะ ๆๆ นะครับ”

   “โอเค ไปก็ไปครับ แล้วจะให้พี่เอารถไปจอดไว้ไหน”

   “นั่นไง ตรงนั้นเลย ที่จอดรถของร้าน” ไม่พูดเปล่าผมยกนิ้วชี้ไปยังจุดจอดรถของร้านให้พี่เกียร์รู้

   “โอเค แต่พี่ขอเอาหมวกไปฝากไว้ในร้านได้มั้ย”

   “ได้ครับ เอามาเลย เดี๋ยวเจ้าเอาไปเก็บให้เอง” ผมยื่นมือไปรับหมวกกันน็อกทั้งสองใบเพื่อนำไปเก็บไว้ในร้าน


   วันนี้จะได้นั่งเรือแล้ว

 






   เราทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันมาที่ท่าเรือยอดพิมาน แล้วไปที่ท่าเรือเพื่อรอขึ้นเรือร่วมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ อากาศในตอนเช้าที่มีแสงแดดอุ่น ๆ กระทบกับผิวน้ำจนทำให้มันเกิดแสงระยิบระยับสะท้อนตามตัวอาคาร แบบที่ถ้าจ้องมองมันไปนาน ๆ ก็แสบตาใช่เล่นครับ

 

   ‘ยอดพิมานครับ ยอดพิมาน ใครไม่ลงชิดในเลยคร้าบ'

 

   รออยู่สักพักเรือโดยสารเจ้าพระยาธงสีส้มที่ต้องการขึ้นก็เคลื่อนเข้ามาเทียบท่า เสียงกระเป๋าเรือเมล์ตะโกนบอกชื่อท่าเรือที่เป็นจุดจอดเทียบ ผู้โดยสารขาออกขยับเดินมารอตรงท้ายเรือพร้อมที่จะก้าวขึ้นท่า ส่วนผู้โดยสารที่รอใช้บริการเรือนี้ก็ยืนบนโป๊ะแบ่งเป็นสองแถว พอคนแรกเริ่มก้าวลงเรือคนในแถวก็ขยับเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ

   ช่วงที่ผู้โดยสารสวนทางกันเข้าออก มือเย็น ๆ ของผมที่ทิ้งอยู่ข้างตัวก็ถูกกุมด้วยมือใหญ่ ผมเงยหน้าสบตากับเจ้าของมือนั้น พี่เกียร์ส่งยิ้มบาง ๆ มาให้

   “จับไว้ เดี๋ยวก็ล้มเหมือนวันนั้น” แล้วก็ยิ้มด้วยสายตาล้อเลียนผม

   “ชิ ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย” ผมจิ๊ปากแถมย่นจมูกใส่คนตัวสูงไปที แต่ก็กระชับมือที่กุมไว้แล้วก้าวเดินตามแรงจูงจนสามารถขึ้นมายืนบนเรือได้อย่างปลอดภัย

   เราทั้งสองคนเลือกที่จะไปยืนบริเวณท้ายเรือ เพราะไม่กี่สถานีก็ลงที่ท่าเรือสาทรแล้ว พี่เกียร์ดันไหล่ผมเบา ๆ ให้ไปยืนพิงราวเหล็กท้ายเรือที่กั้นล้อมไม่ให้ผู้โดยสารตกลงไปในแม่น้ำ ส่วนเจ้าตัวก็ยืนเอาแขนข้างหนึ่งเท้าราวเหล็กไว้ มองผ่าน ๆ ก็เหมือนผมตกอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูง

   “เอ้อ เจ้า” พี่เกียร์อุทานเบา ๆ เหมือนคิดอะไรได้ก่อนจะก้มหน้าลงมาพูดกับผม

   “ครับ”

   “เดี๋ยววันนี้เลิกเรียนแล้วไปสยามกัน”

   “ไปทำอะไรครับ”

   “ไปช่วยพี่เลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนหน่อย”

   “หือ ? วันเกิดเพื่อนคนไหนครับ เจ้ารู้จักมั้ย”

   “เพื่อนเก่าน่ะ มันไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่จบ ม.6 แต่ตอนนี้มันกลับมาเที่ยว ก็เลยจะจัดวันเกิดที่นี่”

   “อ่อ ก็ได้ครับ แล้ววันเกิดนี่จัดวันไหนอ่า”

   “พรุ่งนี้”

   “อาฮะ เดี๋ยวเจ้าไปช่วยเลือก”

   “เจ้า”

   “ครับ ?”

   “พรุ่งนี้ไปงานวันเกิดเพื่อนกับพี่นะ”

   “หื้อ ? เจ้าไปได้หรอครับ เจ้าไม่รู้จักเพื่อนพี่สักหน่อย”

   “ก็เพราะไม่รู้จักไง ถึงอยากพาไปให้รู้จัก”

   “…”

   “ไปนะครับ”

   “เจ้าขอคิดดูก่อนไม่ได้หรอ”

   “ไม่ต้องคิดแล้วเอ๋อ ไปนะเจ้าพระยา พี่อยากให้ไปนะครับ”

   เนี่ยยยย พอรู้ว่าผมแพ้สายตาและน้ำเสียงเวลาเขาอ้อน เขาก็ขยันใช้มุกนี้ให้ผมใจอ่อนตลอดเลยอะ

   คนร้าย ๆ !!!

   “ก็ได้ เจ้าไปก็ได้ครับ” เอ่ยตอบออกไปทั้ง ๆ ที่สายตาผมเสมองไปทางอื่น ใครจะไปกล้าสบตาคม ๆ ที่ทอประกายความอ่อนโยนตอนนี้ล่ะครับ

   หน้าร้อน ๆ อีกแล้วแฮะ

   คำตอบของผมคงทำให้เจ้าของนัยน์ตาคมพอใจอย่างมาก ดูได้จากรอยยิ้มกว้างตอนนี้เลย

   




   รวมระยะเวลาการเดินทางมามหา’ลัยวันนี้ก็ปาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ผมก็ชอบช่วงเวลาที่เสียไปนะ ตอนนี้เราทั้งสองคนต่างแยกย้ายกันไปเรียนตามตารางของตัวเอง พักเที่ยงพี่เกียร์ก็บอกไว้แล้วว่าคงติดแล็บ น่าจะไม่ได้มากินข้าวเที่ยงด้วย ให้เจอกันตอนเลิกเรียนในช่วงบ่ายเลย สำหรับผมคือไม่มีปัญหาครับเรื่องกินข้าวเนี่ย แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ…

   “อิน กูเครียดดดดด” ผมยกมือสองข้างกุมขมับแล้วก็เลื่อนไปขยี้หัวตัวเอง ข้อศอกทั้งสองข้างค้ำอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์

   “เป็นอะไร”

   “กูคิดไม่ออก”

   “คิดโจทย์บนสไลด์ไม่ออก?” มันหันมาเลิกคิ้วเชิงถามใส่ผม แต่ใช้นิ้วโป้งชี้ไปยังสไลด์เนื้อหาหน้าห้อง

   “ไม่ใช่สิ อันนั้นกูไม่เครียด”

   “เอ้า ไอ้นี่ มึงคิดเรื่องอะไรก็บอกดิวะ ไม่บอกกูจะเข้าใจกับมึงมั้ย”

   “คืองี้มึง หลังเลิกเรียนพี่เกียร์ให้กูไปช่วยเลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนเก่าเขาอะ แต่กูคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรดี!!”

   “เจ้า!! หุบปากมึงเลยนะ มึงจะเสียงดังให้อาจารย์มาช่วยคิดหรือไง”

   ผมยกมือปิดปากฉับ ตามองไปยังหน้าห้องเรียนที่มีอาจารย์คอยกดสไลด์สอนอยู่ อินส่ายหัวให้กับความบ้าบอของผม ก็คือผมพยายามช่วยพี่เกียร์คิดแล้วว่าจะซื้ออะไรให้เพื่อนเขาดี

   จริง ๆ คนที่น่าจะเลือกได้ดีที่สุดก็ต้องเป็นพี่เกียร์นั่นแหละ เพราะรู้จักนิสัยและความชอบของเพื่อนดี แต่ที่ผมต้องเอามาคิดเยอะให้ปวดสมอง ก็เพราะอยากมีส่วนร่วมอะ

   เคยได้ยินคำว่า First impression ไหมครับ

   นั่นแหละ

   ผมก็อยากให้มันเป็นความประทับใจแรกที่จะเกิดขึ้นเมื่อเพื่อน ๆ ของพี่เกียร์ได้รู้จักผม จะว่าผมเว่อร์ก็ได้ แต่มันก็กังวลจริง ๆ นี่ กลัวเพื่อนพี่เขาไม่โอเคกับผมอะ

   “มึงจะมาปวดหัวเองทำไมวะ เอาไว้ไปถึงที่จะซื้อก็ค่อยเลือก แล้วให้แฟนมึงนู่นเป็นคนตัดสินใจ ของขวัญของเพื่อนเขานี่” อินคงรำคาญตาที่เห็นหน้ายุ่ง ๆ ของผม เลยพยายามแสดงความคิดเห็นช่วยผมคิดอีกที

   “ก็เผื่อพี่เกียร์ให้ช่วยเลือกไง”

   “งั้นก็เดี๋ยวค่อยคิด เรียนก่อนเถอะ”

   “เออ ๆ ก็ได้วะ เอ๊ะ แต่เดี๋ยว แล้วพี่พีชวนมึงไปปะ เขาเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกันนี้”

   “ไม่เชิงชวนนะ พี่เขาก็แค่บอกไว้ว่ามีนัดกับเพื่อน”

   “เอ้า ได้ไงวะ ไม่พามึงไปเปิดตัวกับเพื่อนเขาวะ”

   “ส้นตีน เปิดตัวอะไร กูไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เขาสักหน่อย”

   “จ้า ไม่เป็นอะไรกันจ้า หอมหน้าผากกันตอนนู้นกูยังไม่ได้แซวเลยนะ เปิดโหมดไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหนหรอวะ”

   “กูสะดวกแบบนี้”

   “สะดวกแบบนี้ หรือทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้”

   “…”

   “กูถามจริง ๆ นะอิน พี่เขาไม่เคยพูดหรือถามเชิงขอคบหรอวะ ในสายตากูคือมึงกับพี่เขาเกินคำว่าพี่น้องไปเยอะมากนะ”

   “…”

   “ตอบ อย่ามาเงียบดิ” ผมทำเสียงเข้มคาดคั้นเพื่อนตัวเล็กที่หลบสายตาผมไปจ้องปากกาไฮไลท์ในมือ

   “ก็พูด” คิ้วเรียวของเพื่อนตัวเล็กขมวดเป็นปมเหมือนมันเป็นเรื่องหนักอกหนักใจ

   “เอ้า แล้วทำไม...” ยังไม่ทันที่ผมจะถามจบประโยค อินก็ตอบผมกลับมาก่อน

   “เอาความจริงมั้ย คือกูไม่อยากให้พี่เขาลำบากว่ะ สถานการณ์ที่บ้านกูก็ยังไม่ดีขึ้น มึงรู้มั้ย พอป้ากูเห็นพี่เขาไปหากูที่บ้านบ่อย ป้าก็เริ่มมาด่ามาว่าแม่กูแล้ว บอกว่ากูทำเรื่องให้ตระกูลเขาเสียหาย คนจะนินทาพวกเขาเพราะกู ทั้ง ๆ ที่กูไม่ได้ใช้นามสกุลเขานะ แล้วพอกูชวนแม่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เขาก็ทวงบุญคุณ ทวงเงินค่าบ้าน ทวงทุกอย่างจนแม่กูรู้สึกผิด มันแย่มากเว้ยเจ้า กูเลยไม่อยากให้พี่เขาพลอยโดนว่าเสีย ๆ หาย ๆ ไปด้วย” มือขาวที่กำปากกาอยู่ก็ยิ่งกำแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว เรื่องราวที่เจ้าตัวพยายามเก็บกลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมา

   ผมตัวชาเพราะไม่คิดว่าเพื่อนผมจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ขนาดนี้

   “แล้วมึงไม่คิดว่าพี่เขาจะเต็มใจเข้าไปช่วยแบ่งเบาความทุกข์บ้างหรือวะ”

   “คิดสิ คิดมาตลอด ว่าพี่เขาเป็นที่พักพิงให้กู แล้วพี่พีก็เป็นจริง ๆ แต่กูอยากเป็นฝ่ายมอบความสบายใจให้เขาบ้าง ไม่ใช่มีแต่ความกังวลอย่างทุกวันนี้ กูรับรู้ตลอดว่าเขาเป็นห่วง เป็นกังวลเรื่องครอบครัวกู มันทำให้กูไม่เคยกลัวอะไรเลยเวลามีเขาอยู่ข้าง ๆ แต่พอมันเป็นแบบนี้ ยังหาทางออกของปัญหาตอนนี้ไม่ได้ แล้วเขาจะทนกับกูได้นานแค่ไหนวะ เขาจะเบื่อกูวันไหน เขาจะไปจากกูเมื่อไหร่ กูไม่รู้เลยเจ้า ไม่รู้เลย” อินทัชตอนนี้เหมือนแก้วใสบาง ๆ ที่พยายามกักเก็บทุกอย่างไว้กับตัว แต่ตัวมันเองก็คงหลงลืมไปว่าแก้วบาง ๆ นี่มันจะอัดแน่นไปด้วยเรื่องแย่ ๆ ได้มากสักแค่ไหน และตอนนี้คนที่เป็นเหมือนแก้วบางตรงหน้าผมก็พร้อมแตกสลายทุกเมื่อ เพียงแค่มีเรื่องแย่ ๆ อีกสักเรื่องเข้ามาสัมผัสมันเบา ๆ  บางทีเพื่อนอย่างผมจะอยู่นิ่ง ๆ เป็นกำลังใจอย่างเดียวไม่ได้แล้ว

   “ใจเย็น ๆ มึงอย่าไปดูถูกความรักพี่พีดิวะ เขาอาจจะไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาก็ได้ กูว่ามึงควรคุยกับพี่เขา เหมือนที่คุยกับกู เขาจะได้เข้าใจ จะได้ไม่คิดว่าที่มึงไม่ยอมคบกับเขา ไม่ใช่เพราะไม่ได้รัก”

   “…”

   “ถ้าจะสู้ไปด้วยกัน ก็ต้องคุยกันให้เข้าใจ”

   “อืม ขอบใจนะเจ้า”

   “เออ ๆ ไม่เป็นไร อย่าคิดมากนะมึง เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น เชื่อกู” เพราะกูจะช่วยมึงเอง ประโยคสุดท้ายที่ผมไม่ได้พูดไป แต่มันคงถึงเวลาที่ผมกับไอ้ภาคจะต้องช่วยกันทำอะไรสักอย่างเพื่ออิน เพื่อนสนิทตัวเล็กผมควรได้มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นเป็นของตัวเองสักที

   นิทานเรื่อง ‘อิน’เดอเรลล่ากับป้าใจร้าย ควรถึงกาลอวสานได้แล้ว



   “แล้วทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมาเรื่องกูได้วะ”

   “แหะ ๆ เพราะความเสือกกูเองจ้า ขอบคุณจ้า” ผมหัวเราะตาหยีใส่เพื่อนตัวเล็ก อินอมยิ้มส่ายหัวให้กับความทะเล้นของผม อย่างน้อยมันก็ยังยิ้มได้ ใจสู้มากเลยเพื่อนผม

   สรุปว่าเรื่องของขวัญก็ไปหาเอาดาบหน้าแล้วกัน

   










   หลังจากเลิกเรียนคาบบ่าย พี่เกียร์ก็เดินมารับผมที่คณะเช่นเคย แถมวันนี้เจ้าสายฟ้ายังจอดอยู่ที่บ้านของผมอีก เราสองคนเลยเลือกที่จะเดินไปซื้อของขวัญวันเกิดที่แหล่งรวมห้างสรรพสินค้าใหญ่ใกล้ ๆ มหา’ลัย ซึ่งพอไปถึงก็ใช้เวลาในการเลือกซื้อไม่นานเพราะพี่เกียร์คิดเอาไว้แล้ว

   แล้วผมเครียดคิดหัวแทบแตกทำไมวะเมื่อเช้า

   ของขวัญที่ได้ก็เป็นถุงมือสำหรับใส่ขับรถจักรยานยนต์สายพันธุ์ใหญ่ กำลังม้าแรงสูงแบบเจ้าสายฟ้านั่นแหละ 

และพอได้ฟังเหตุผลที่เลือกของขวัญชิ้นนี้ รวมถึงลักษณะนิสัยคร่าว ๆ ของเพื่อนพี่เกียร์ก็รู้เลยว่าทำไมถึงมาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันได้


   สายเฟี้ยวเปรี้ยว teen มากันตั้งแต่เด็ก ๆ เลยนะครับ

 

   ถึงแม้จะต้องแยกกันเรียนกันคนละประเทศ คนละมหาวิทยาลัย ก็ยังมีการติดต่อคุยกันเสมอ พรุ่งนี้ก็คงได้เจอกันครบทั้งกลุ่มเลยสินะ

   หลังจากใช้เวลาในการเลือกซื้อของขวัญไม่มาก เวลาที่เหลือจึงหมดไปกับการสรรหาอาหารหลากรสลงท้อง  ทั้งของคาวและของหวาน ซึ่งไม่ต้องแปลกใจอะไรมาก ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจเลือกเมนูอาหารก็ยังคงเป็นผมอยู่ดี พี่เกียร์เขาไม่เคยขัดใจผมเรื่องกินหรอกครับ 









   เวลาเกือบหกโมงเย็นหลังจากกินข้าวกินขนมจนอิ่ม เราสองคนก็พร้อมกันเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าแล้วต่อเรือโดยสารเจ้าพระยาเหมือนเมื่อเช้า แต่ก็นะ เวลาเลิกงานแบบนี้คนใช้บริการขนส่งสาธารณะก็ค่อนข้างหนาแน่น เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเบียดเสียดและเสียเวลาไปกับการเดินทางมากกว่าเดิม

   ตอนนี้ผมกับพี่เกียร์ก็มายืนต่อแถวรอขึ้นเรือตรงท่าน้ำที่เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางบกกับทางน้ำเหมือนกับใครหลายคน ความแออัดและหนาแน่นของผู้โดยสารก็ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวขึ้นมา แต่บรรยากาศรอบข้างที่ท้องฟ้าเป็นสีส้มแดง แสงจากดวงอาทิตย์ที่ใกล้เวลาลับขอบฟ้านั้นสะท้อนกับผืนน้ำจนเกิดแสงระยิบระยับสวยงาม สันคลื่นน้ำขยับเคลื่อนต่อกันเป็นทอด ๆ ตามแรงรบกวนจากการเคลื่อนที่ของเรือบนผิวน้ำ เป็นภาพเคลื่อนไหวที่สวยงามจนช่วยทำให้หายหงุดหงิดไปได้บ้าง

   คนตัวสูงใช้ขายาวที่แข็งแรงเป็นหลักยึดมั่นคง แล้วจับผมที่กำลังตั้งใจเล่นเกมในโทรศัพท์รอเวลาเรือเทียบท่าให้ยืนพิงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไออุ่นที่แผ่กระจายจากเจ้าของแผงอกนั้นได้มาโอบล้อมรอบตัวผม อุณหภูมิเดิม ๆ กลิ่นไอที่คุ้นชิน สัมผัสที่มั่นคงกับหัวใจเสมอ  การที่อยู่ใกล้กันบ่อย ๆ ทำให้สมองที่ควบคุมประสาทรับรู้เหล่านี้สร้างกลไกบางอย่างให้ผม กลไกของร่างกายที่กล้าจะปล่อยความรู้สึกให้ผ่อนคลาย ไร้ความกังวล และรับรู้ถึงความปลอดภัย

   เมื่อมีเขาอยู่ข้าง ๆ

   

   “เจ้า หยุดเล่นก่อน เรือมาแล้ว” เสียงทุ้มดังเตือนจากเหนือศีรษะของผม

   “ครับ ๆ เก็บแล้ว” ผมรีบกดออกจากเกมแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ดันตัวเองจากแผ่นอกแกร่งที่เอนหลังพิงมาสักพักให้ยืนตรงด้วยตัวเอง รอยยิ้มตาหยี ๆ ที่พี่เกียร์บอกว่าเป็นเอกลักษณ์ของผมถูกส่งไปให้เขาแทนคำขอบคุณที่เสียสละแผ่นอกนั้นให้ยืนพิง

   “ว่าง่ายแบบนี้ เดี๋ยวพี่ให้รางวัล” มุมปากได้รูปยกขึ้นเล็กน้อยกับแววตาพราวระยับ

   “รางวัลอะไรครับ”

   “ไม่บอก”

   ผมขมวดคิ้วใส่คนที่ไม่ยอมบอกความลับเกี่ยวกับรางวัลอะไรนั่น แต่พี่เกียร์กลับยกมือขึ้นมาพลิกตัวผมให้กลับหลังหัน สองมือวางบนบ่าแล้วดันให้ผมเดินไปข้างหน้าเมื่อแถวเริ่มขยับไปทางท่าเรือ

   

   เราสองคนถึงบ้านในตอนที่ท้องฟ้าเป็นสีนิลเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาต้องแยกกันกลับไปพักผ่อน พี่เกียร์ไปถอยเจ้าสายฟ้าออกมาจากที่จอดรถ ส่วนผมก็เดินเข้าไปหยิบหมวกกันน็อกมายื่นให้ พี่เกียร์รับไปสวมครอบศีรษะในตอนที่เจ้าตัววาดขายาวคร่อมรถแล้ว พอจัดทุกอย่างเรียบร้อย เสียงเครื่องยนต์สองล้อกำลังขับเคลื่อนสูงพอ ๆ กับรถยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมที่เคลื่อนตัวไปยังถนนเส้นหลัก

   สัญลักษณ์นิ้วโป้งกับนิ้วก้อยที่พี่เกียร์ยกมันขึ้นมาชิดหูที่มีหมวกกันน็อกกั้นอยู่ ซึ่งผมเข้าใจภาษากายนั้นได้ดี เลยพยักหน้าตอบรับแล้วโบกมือยืนรอส่งพี่เกียร์อยู่ตรงหน้าบ้าน จนเจ้าสายฟ้ากับนายของมันพ้นรัศมีการมองเห็นของสายตาไป

   ผมกระชับกระเป๋าสะพายใบโปรดแล้วกลับเข้าไปบ้าน อาบน้ำทำธุระส่วนตัว รอเวลาที่คนตัวสูงส่งข้อความมาบอกหากเจ้าตัวเดินทางถึงคอนโด ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน เพราะเมื่อผมออกมาจากห้องน้ำ ก็ได้เห็นข้อความจากพี่เกียร์ที่ส่งผ่านแอพลิเกชันสีเขียวสำหรับสนทนาผ่านข้อความ

   ‘ P’GEAR : ถึงคอนโดแล้วนะครับ ’

   รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผมเองหลังจากได้เห็น ผมไม่ได้ตอบไปในทันทีแต่วางเครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมไว้บนเตียงก่อนจะไปจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย

   พอแต่งตัวเสร็จผมก็กลับมาสนใจเครื่องมือสื่อสารนั้นอีกครั้ง โดยกดโทรหาคนที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา บทสนทนายามค่ำคืนก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็ได้ข้อสรุปบางเรื่องมาแบบงง ๆ ว่าวันพรุ่งนี้พี่เกียร์ให้ผมชวนไอ้ภาคและชาววิศวะฯ ปี 1 กลุ่มที่เคยช่วยกันทำพานไปด้วยได้ ส่วนเหตุผลที่ให้ชวนก็เพราะว่าพี่เกียร์กลัวผมเหงา กลัวคนพูดมากอย่างผมจะไม่มีคนคุยด้วย หากต้องไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนของพี่เกียร์ที่ยังไม่คุ้นเคยกัน

   เมื่อได้รับอนุญาตแบบนี้ผมก็ไม่รอช้าที่จะส่งข้อความเข้ากลุ่มสื่อสารออนไลน์ เพื่อชวนเพื่อนสนิททั้งสองคน รวมถึงให้ไอ้ภาคไปชวนพวกเพื่อนมันด้วย

   อย่างน้อยการเจอเพื่อนพี่เกียร์ครั้งแรก ผมก็ไม่ต้องไปนั่งเกร็งคนเดียวแหละน่า

   

   





   (มีต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2018 13:48:11 โดย chomistry »

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2

   เวลาเที่ยงวันในโรงอาหารของคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็นอะไรที่ไปสุดมากครับ หมายถึงจำนวนนักศึกษาที่มาใช้บริการฝากท้องไว้ที่นี่ ทั้งคนในคณะ ทั้งคนนอกคณะ พลุกพล่านจนตาลายไปหมด คิวในการซื้ออาหารแทบทุกร้านยาวไม่ต่ำกว่าห้าคน 

   และหนึ่งในกลุ่มคนนอกคณะอย่างผมและอินทัชเพื่อนสนิทก็มานั่งแหมะ แปะตัวเองกับเก้าอี้หน้าขาวทรงยาวเพื่อเฝ้าโต๊ะรอการปรากฏตัวของเจ้าถิ่นอย่างคุณภาคภูมิ

   คือวันนี้ผมสองคนไม่มีเรียนตอนเช้า ก็เลยมามหา’ลัยในเวลาใกล้เที่ยงแทน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมกับอิน ต้องมานั่งชะเง้อคอรอพ่อเดือนวิศวะ ฯ ปี 1 ก็เพราะว่าเมื่อคืนที่คุยกันในกลุ่มแชทเรื่องที่พี่เกียร์ให้ชวนมันไปร่วมสังสรรค์ด้วยเย็นนี้ ไอ้ภาคมันก็เลยไปชวนเหล่าเพื่อนฝูงทีมทำพานทั้งหมดนั่นแหละ คราวนี้พวกสาว ๆ เลยบอกให้มันสร้างกลุ่มแชทใหม่โดยมีคนนอกคณะอย่างผมกับอินเข้าร่วมด้วย และนั่นก็ทำให้ผมกับอินถูกสาว ๆ ชวนมากินข้าวเที่ยงด้วยกันที่นี่ แล้วคนอย่างเจ้าพระยาปฏิเสธเพื่อนที่ไหนเล่า โดยเฉพาะเรื่องกิน พอมาถึงมหา’ลัย ผมก็รีบลากเพื่อนตัวเล็กอย่างอินมาที่นัดหมายเลย

นั่งกดโทรศัพท์เล่นอยู่สักพัก พอเงยหน้ามองไปที่ทางขึ้นโรงอาหารอีกที ผมก็เห็นกลุ่มคนที่ผมเฝ้ารอยืนอยู่ตรงนั้น

   “ไอ้ภาค ทางนี้” เพราะโต๊ะที่นั่งอยู่ไม่ได้ไกลจากจุดไอ้ภาคยืนมากนัก ผมเลยโบกมือเรียกเพื่อนตัวสูงที่ยืนหันซ้ายหันขวามองหาผมกับอิน พอไอ้ภาคเห็นผม มันก็หันไปส่งสัญญาณกับกลุ่มเพื่อนว่าเจอผมแล้ว

   “เจ้า! อิน! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ส้มพุ่งตัวเข้ามานั่งข้างผมพร้อมกับกอดแขนผมแน่น ศีรษะเล็กกับผมยาวม้วนลอนน่ารัก ๆ ไถไปมาที่ไหล่ข้างซ้ายของผม

   “นานบ้าอะไร อาทิตย์ก่อนมึงก็เพิ่งเจอมั้ยล่ะ” แยมท้วงเพื่อนตัวเล็ก พร้อมกับพาตัวเองมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม

   “ก็แค่เจอเฉยๆ ไม่นับว่าเจอปะ ไม่ได้คุยนี่หว่า” ส้มรีบตอบสวนแยมไป

   “อ้าว ส้มเจอเราที่ไหน ทำไมไม่ทักอ่า” ผมสงสัยกับคำพูดทั้งคู่เลยหันไปถามคนที่ยังไม่ปล่อยแขนผม แต่หยุดเอาหัวมาไถ ๆ ที่ไหล่แล้ว

   “เจอใต้ตึกวิศวะไง” มิวซ์ที่นั่งลงตรงข้าง ๆ แยมเอ่ยตอบคำถามผมแทนส้ม

   “ใครจะกล้าคุย พี่เกียร์ยืนคุมซะขนาดนั้น” ส้มทำเสียงกระซิบกระซาบบ่นเบา ๆ

   “หื้อ?”

   “มึงไม่ต้องทำหน้าสงสัย คนในคณะกูเขารู้กันหมดเรื่องมึงคบกับพี่เกียร์ ไม่สิ รู้ทั้งมอแล้วมากกว่า แต่ในคณะรู้ดีสุดว่าพี่เกียร์โคตรหวงมึง” ไอ้ภาคมันอธิบายทุกอย่างให้ผมคลายความสงสัย

   “มึงก็พูดเกินไปไอ้ภาค ก็ไม่ได้หวงขนาดนั้นมั้ยล่ะ” ผมส่ายหัวให้กับคำสาธยายเกินจริงของเพื่อนสนิทตัวสูง

   “เกินที่ไหนเจ้า เรายืนยัน แค่ใครพูดถึงเจ้าพี่เกียร์ก็มองแล้ว” ส้มรีบเอ่ยย้ำ

   “มองเฉย ๆ แหละ ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมตอบแล้วยิ้มจาง ๆ ให้กับเพื่อนผู้หญิงต่างคณะที่สนิทกันไปแล้ว

   “เนี่ย ถ้าพี่เกียร์มาเห็นไอ้ส้มเกาะแกะเจ้าพระยาแบบนี้นะ โดนแน่!” แยมทำเสียงเข้มขู่เพื่อนตัวเอง

   “อุ้ย! แหะ ๆ” ส้มมองตามมือแยมที่ชี้มาตรงที่ส้มกอดแขนผมอยู่ พอเจ้าตัวเห็นก็รีบปล่อยแขนผมแล้วผละออกไปนั่งตัวตรง ยังจะมาขำแห้งใส่กันอีก ฮ่า ๆ

   “ลืมตัว ไม่กอดแล้ว เรายังไม่มีแฟน ยังตายไม่ได้” 

   “ฮ่า ๆ กอดได้ ๆ” ผมหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางระแวงอะไรแบบนั้นของส้ม

   “หวงทำไมนักหนาวะ เตี้ยก็เตี้ย เอาตรงไหนมาน่ารักวะ” ไอ้ภาคลอยหน้าลอยตาแซะผม

   “เชี่ยภาค มึงอย่ามาว่าเจ้าพระยาคนดีของกูนะ” องค์แม่ลงคุณส้มแล้วครับตอนนี้

   “ใช่ มึงไม่มีสิทธิ์มาด่าผู้มีพระคุณของรุ่นเรา ถ้าไม่ได้เจ้ากับอิน พานรุ่นเราไม่มีทางได้รางวัล!” มิวซ์หันไปชี้หน้าถลึงตาใส่ไอ้ภาค ร่วมวงด่าไอ้ภาคปกป้องผม

   “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับส้ม มิวซ์”

   “ใช่ พวกเราเต็มใจ พอชมเยอะเกินมันจะเขิน ๆ นะ” อินเกาท้ายทอยแก้เก้อ

   “ไม่ได้หรอก เรื่องนี้จะถูกพวกเราเล่าขานรุ่นสู่รุ่น!” ส้มหันชูกำปั้น ส่งสายตามุ่งมั่นใส่ผมกับอิน

   “อ่า ครับ” ผมตอบรับแบบไปต่อไม่ถูก

   “ไอ้พวกเว่อ เล่นใหญ่ฉิบหาย” ไอ้ภาคบ่นแล้วยื่นมือมาผลักหัวส้มเบา ๆ ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งข้างอิน ซึ่งถัดจากผมไปอีกที

   “พอ ๆ หยุดตีกัน จะแดกมั้ยข้าวอะ มีเรียนบ่ายนะมึง” คนห้ามศึกน้ำลายอย่างแทน ที่นั่งยิ้มมาสักพักก็รีบทักขึ้นมา

   ตอนนี้ฝั่งผมก็นั่งกันสี่คน ส่วนฝั่งตรงข้ามผมเป็นแยมซึ่งถูกขนาบข้างโดยมิวซ์กับแทน


   พอสำนึกได้ว่ามีเรียนตอนบ่าย แต่ละคนก็ต่างแยกย้ายกันไปซื้ออาหารกลางวันของตัวเอง อินนั่งเฝ้าโต๊ะโดยที่ไอ้ภาคเป็นคนรับอาสาไปซื้อข้าวให้ ส่วนผมก็เป็นฝ่ายซื้อน้ำไปเผื่อเพื่อนสนิททั้งคู่เอง


   พวกเรากินไปคุยกันไปอย่างสนุกสนานเฮฮา วีรกรรมแต่ละเรื่องยามที่ไม่ได้เจอกันก็ถูกขุดมาแฉอย่างไม่น้อยหน้ากัน ผมกับอินที่เป็นผู้รับฟังต่างคณะก็ได้แต่ขำกับเรื่องราวเหล่านั้นจนปวดท้อง อินที่ว่าเส้นลึกยังหัวเราะจนสำลักน้ำ พอใกล้เวลาที่ต้องขึ้นไปเรียนในคาบบ่าย เราก็ปิดท้ายเรื่องเฮฮาทั้งหมดด้วยการนัดหมายเวลาของปาร์ตี้วันนี้ แต่ละคนไม่มีใครกังวลเรื่องอายุไม่ถึงเลยสักนิด คือร้านที่พี่เกียร์เลือกเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ที่มีดนตรีสด เน้นนั่งคุยสังสรรค์กันสบาย ๆ แต่เอาจริง ๆ ถึงพี่เกียร์จะเลือกไปผับ ไอ้พวกเพื่อนเหล่านี้มันก็ไม่กังวลอะไรหรอกครับ ชาววิศวะเขาดูจะชำนาญเรื่องนี้ โดยเฉพาะไอ้เพื่อนตัวสูงของผมเอง ไปบ่อยเหลือเกิน เลี้ยงสาย เลี้ยงส่ง เลี้ยงสอบ เลี้ยงหมาคลอด เลี้ยงไหน ๆ มันก็ไปหมด 


   สรุปได้ว่าพอเลิกเรียนก็จะแยกกันไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วไปเจอกันที่ร้านเลย ซึ่งพี่เกียร์ได้ส่งพิกัดร้านไปให้ไอ้ภาคไว้แล้ว สาว ๆ จะเอารถไปเองหนึ่งคันโดนมีแยมเป็นคนขับ ส่วนแทนก็จะไปกับเพื่อนสองคนอีกคัน ส่วนผมกับอิน ก็ไม่พ้นต้องไปกับไอ้ภาคเพราะพี่เกียร์ฝากผมไว้กับมันเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าพี่เขาต้องไปรับเพื่อน














   คาบบ่ายผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังกลางภาคมานี้อาจารย์แต่ละวิชาจัดเต็มกันมาก ๆ ครับ คะแนนกลางภาคที่ว่าดีแทบทำให้วางใจไม่ได้เลย สภาพผมตอนนี้ก็ไม่มีความสดชื่นหรือตื่นเต้นกับนัดเย็นนี้ละ

   ง่วง !

   อยากนอน !

   ครืด!

   เครื่องมือสื่อสารทรงสี่เหลี่ยมในกระเป๋ากางเกงของผมสั่นเบา ๆ ในขณะที่ผมกำลังต่อคิวลงลิฟต์ ผมรีบหยิบมันขึ้นมาดู ไฟหน้าจอล็อกสกรีนที่ยังไม่ดับลงก็ทำให้ผมเห็นข้อความจากคนคุ้นเคย

   ‘P’ GEAR : พี่รอหน้าคณะนะ’

   หือ ? รอทำไม ?

   ผมไม่พิมพ์ตอบกลับไป แต่เลือกที่จะก้าวเข้าลิฟต์เมื่อถึงคิวพอดี เอาไว้ไปถามต่อหน้าแล้วกัน

   เมื่อออกจากลิฟต์ผมกับอินก็เดินตามทางไปยังหน้าคณะ ยังไม่พ้นตัวอาคารผมก็เห็นใครบางคนยืนพิงรถยนต์คู่ใจอยู่ ประกายความหล่อโดดเด่นจนสาว ๆ ในคณะผมอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองแล้วตีแขนกันสนุกสนาน

   “มายืนหล่ออะไรตรงนี้ครับ” พอเดินมาประชิดตัวคนตัวสูง ผมก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว

   “มารอรับแฟนครับ”

   “อ้อ หรอครับ หล่อขนาดนี้แฟนไม่หวงหรอครับ” ผมยักคิ้วใส่คนพี่ไปที

   “ก็ไม่รู้สิครับ คงต้องรอถามก่อน”

   “อ้าว! ทำไมต้องรอถามอะ!”

   “ฮ่า ๆ มาโวยวายใส่ผมแบบนี้ เป็นแฟนผมหรอครับ”

   “ใช่สิ! หึ่ย ไม่น่าเล่นด้วยเลย” ผมยู่ปาก ย่นจมูกใส่ใส่คนตัวสูง

   “ไปครับ ขึ้นรถได้แล้วเอ๋อ น้องอินด้วย”

   “อ้าว ไหนไอ้ภาคบอกว่าพี่เกียร์ให้ผมกับอินไปพร้อมมันไง นี่งงตั้งแต่ส่งข้อความว่ามารอแล้วนะ”

   “ก็ไปพร้อมไอ้ภาคนั่นแหละ แต่ตอนนี้กลับบ้านไง พี่เลยจะไปส่งก่อน”

   “อ่า จริง ๆ เจ้ากับอินกลับเองก็ได้วันนี้พี่ไม่มีเรียนนี่ ยังจะลำบากมารับอีก”

   “เดี๋ยวจะโดนตีปาก พี่เคยพูดว่าลำบากหรอเอ๋อ”

   “แหะ ๆ ไม่เคยครับ แต่นั่นแหละ เจ้ากลับเองได้นะ”

   “ดื้อจริงนะตัวแค่เนี่ย มาให้บีบปากสักที”

   “ม่ายยยย” ผมรีบพลิกตัวไปยืนหลังอิน ดันเพื่อนตัวเล็กให้เป็นกำแพงบังคนจ้องจะบีบปากผมสักสามสิบวิ 

   “ไม่ต้องไปหลบหลังเพื่อน มานี่เลยเตี้ย”

   “ง่ะ” ผมลดมือลงจากไหล่อินแล้วเดินเข้าไปหาคนตัวสูง ซึ่งยังไม่ทันประชิดตัว แขนยาวที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อก็ล็อกคอผมจนหลังไปแนบชิดแผงอก ลำบากต้องเงยหน้ามองคนพูดไปอีก

   “ที่พี่จะไปส่งที่บ้าน จริง ๆ คือจะไปขออนุญาตคุณแม่ให้เจ้าด้วย”

   “ขออนุญาตทำไมครับ”

   “ก็ต้องขออนุญาตสิ พี่จะพาลูกชายแม่ไปเที่ยวกลางคืน ไม่ขอได้ไง”

   “อ่าว แต่เจ้าบอกแม่ไว้แล้ว เนี่ย อินถึงมานอนบ้านเจ้าไง”

   “รู้แล้วว่าบอก แต่พี่เป็นคนพาไป พี่ก็ต้องไปขออนุญาตด้วยตนเอง แม่เจ้าคงอยากได้ความมั่นใจว่าเจ้ากับอินจะปลอดภัยถ้าไปที่แบบนั้น”

   “อ่า เข้าใจแล้วครับ”

   “เข้าใจแล้วก็ขึ้นรถครับ” ผมพยักหน้าทำตาปริบ ๆ ยืนยันความเข้าใจ ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปนั่งที่ประจำของตัวเองบนรถ

    เบาะนั่งข้างคนขับนั่นแหละครับ

    ส่วนเพื่อนตัวเล็กของผมก็ไม่มีเสียงขัดอะไรสักอย่าง เปิดประตูไปนั่งเบาะหลังแต่ก็ไม่วายส่งยิ้มล้อ ๆ มาให้ผมอีก เดี๋ยวโดนเอาคืนแน่!

 












   ครึ่งชั่วโมงบนท้องถนนสิ้นสุดลงเมื่อรถยนต์ที่ผมนั่งมาจอดเทียบฟุตบาทหน้าบ้าน การจราจรวันนี้ค่อนข้างติดขัดเพราะเป็นช่วงเย็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ บางทีก็ไม่เข้าใจมากนักว่าทำไมรถชอบติดวันจันทร์กับวันศุกร์ ยังไม่ทันที่จะหาคำตอบให้กับความสงสัยของตัวเองก็ต้องปัดมันทิ้งไปก่อนเพราะคนตัวสูงเปิดประตูลงไปรอหน้าประตูร้านเรียบร้อยแล้ว

   พอก้าวเข้ามาในร้านก็เจอแม่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเคาท์เตอร์คิดเงิน คงจะเช็คยอดขายประจำวันอยู่

   “สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้สุดที่รักของผมก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกอด

   “อ้อนอะไรครับลูกคนนี้” คุณคนสวยเอ่ยแซวผม

   “สวัสดีครับคุณน้า” อินที่เดินตามหลังผมมาก็เอ่ยทักทาย พร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

   “จ้า น้องอิน”

   “โห่ ไม่เห็นเรียกเจ้าว่าน้องเจ้าบ้างเลย” ผมย่นจมูกทำท่าแกล้งงอนใส่คุณพิมพ์ลดา

   “อยากให้เรียกอย่างนั้นหรอ”

   “ใช่สิครับ นี่เจ้าพระยาลูกแม่ไง” ผมโผเข้าไปกอดเอว ส่งสายตาออดอ้อนอีกครั้ง

   “อืม…ถ้าอย่างนั้น…แม่ฝากเกียร์เรียก ‘น้องเจ้า’ ทีนะ” แม่หันไปพูดกับคนตัวสูงที่เข้าบ้านมาทีหลังสุดเพราะมัวแต่ไปย้ายที่จอดรถ

   “ครับ? สวัสดีครับคุณน้า” เหมือนคุณเดือนวิศวะปี 3 จะไม่เข้าใจ เลยยกมือไหว้แม่ผมด้วยสีหน้างง ๆ

   “ฮ่า ๆ” อินที่ยืนกลั้นขำอยู่ก็หลุดหัวเราะออกมา

   “แม่อะ เจ้าจะให้แม่เรียกต่างหาก”

   “อ้าว แม่ก็นึกว่าอยากให้พี่เขาเรียก” คุณพิมพ์ลดาพูดด้วยรอยยิ้มล้อ ๆ ส่วนพี่เกียร์ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวก็ได้แต่ยืนยิ้ม

   “คุณน้าครับ คือวันนี้ผมจะขออนุญาตพาเจ้าพระยากับอินไปงานเลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนผมหน่อยได้มั้ยครับ” พี่เกียร์พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง

   “จ้า เจ้าพระยามาขออนุญาตน้าแล้ว”

   “ครับ แต่ยังไงผมก็อยากจะมาขออนุญาตด้วยตัวเอง เพราะผมเป็นคนพาน้องไป แต่ผมสัญญานะครับว่าจะดูแลน้องทั้งสองคนให้ดีและพากลับมาส่งอย่างปลอดภัยครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแต่กลับเต็มไปด้วยความมั่นคง แววตาเข้มสื่อถึงความจริงจัง พี่เกียร์ไม่ได้สัญญาแค่คำพูด แต่สัญญาด้วยใจทั้งหมดที่มี ผมรู้สึกได้

   “เอาเป็นว่าน้าอนุญาต และน้าก็คิดว่าน้าจะเชื่อคำพูดของเกียร์ที่เคยบอกน้าในวันนั้นได้ ใช่มั้ย?” แม่ผมทิ้งคำถามสั้น ๆ ท้ายประโยค น้ำเสียงฟังดูสบาย ๆ แต่ผมรู้ว่าแม่จริงจัง ว่าแต่เคยไปคุยอะไรกัน ผมอยากรู้จัง

   “ครับ คุณน้าเชื่อใจผมได้ครับ ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่ตลอดไปครับ” ประโยคไม่สั้น ไม่ยาว แต่แทรกซึมไปยังทุกอณูความรู้สึกให้ผมได้รับรู้ในตอนนี้ ประโยคที่เหมือนคำสัญญาแค่เรื่องพาผมไปร้านเหล้า แต่ความมั่นคงในน้ำเสียงกลับทำให้ผมรู้สึกว่ามันคือคำสัญญาที่สำคัญกว่านั้น 

   สัญญาที่ผมจะมีเขาอยู่ข้าง ๆ

   “ถ้าอย่างนั้นน้าก็สบายใจแล้ว แต่ก็อย่าลืมดูแลน้องอินอีกคนด้วยล่ะ น้ารับปากคุณอรไว้แล้ว”

   “หูยยย เรื่องนั้นหายห่วงเลยครับแม่ มีคนพร้อมดูแลน้องอินของแม่แบบไม่ให้คลาดสายตาแน่นอน อิอิ” ผมพูดกับแม่ แต่สายตาของผมนั้น ได้ส่งไปล้อเลียนคนเป็นเพื่อนอย่างโจ่งแจ้ง ขอเอาคืนหน่อยเถอะ

   “หืม ใครกันน้องอิน”

   “เอ่อ…คือ…”

   “เพื่อนผมเองครับคุณน้า” พี่เกียร์เอ่ยตอบแม่ของผมแทนอาการขัดเขินที่จะตอบของอิน

   “หรอ งั้นก็บอกเพื่อนเกียร์ให้ดูแลน้องดี ๆ นะ ปกป้องน้องดี ๆ” แม่ผมยกมือลูบหัวเพื่อนสนิทของผม สายตาอ่อนโยนเหมือนที่แม่มองผม 

   ใช่ครับ 

   แม่ผมก็รู้เรื่องที่บ้านอิน และแม่พร้อมที่จะยื่นมือไปช่วยเสมอขอแค่เอ่ยปากบอก

   นั่นสิ! ผมลืมแม่ผมไปได้ยังไง เจอนางฟ้าที่จะมาช่วยอินเดอเรลล่าละ

 

   “ถ้าอย่างนั้นไปอาบน้ำเตรียมตัวกันได้แล้ว แล้วจะออกไปพร้อมกันเลยหรอ”

   “เดี๋ยวภาคมารับอ่ะแม่ พี่เกียร์ต้องไปหาเพื่อน” ผมเอ่ยตอบคำถามของผู้เป็นแม่

   “แล้วตอนกลับใครจะมาส่ง ปาร์ตี้กันแบบนี้มีดื่มกันแน่ ๆ ใช่มั้ยจ๊ะ”

   “แหะ ๆ มีแน่ครับ”

   “เดี๋ยวผมมาส่งน้องเองครับ” เจ้าของเสียงทุ้มเข้มเอ่ยรับปากแม่ผม

   “น้าฝากด้วยนะ รับปากน้าแบบนี้แล้ว จะเมาไม่ได้แล้วนะเกียร์”

   “นั่นสิ” ผมหันไปถามคนตัวสูง

   “ไม่เป็นไร วันนี้แค่อยากคุยกันเฉย ๆ บอกพวกมันไว้แล้ว”

   “อ่า โอเค ๆ”

   “ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณน้า” พี่เกียร์หันไปเอ่ยยืนยันกับแม่ของผมอีกที

   “จ้า งั้นสองคนนี้ขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว”

   “ครับ ๆ ไปเถอะอิน” ผมยื่นแขนไปกอดคอเพื่อนตัวเล็กเตรียมจะลากกันเดินขึ้นชั้นสาม

   “ผมกลับแล้วนะครับ สวัสดีครับ”

   “จ้า สวัสดีจ่ะ” แม่รับไหว้พี่เกียร์ด้วยรอยยิ้ม

   “ขับรถดี ๆ นะพี่ เจอกันที่ร้าน” 

   “อืม ออกจากบ้านก็ส่งข้อความมาบอกด้วยนะ”

   “ครับผม” ไม่ตอบรับเปล่า มืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็ยกขึ้นมาทำท่าตะเบะเหมือนทหารฝึกใหม่

   “งั้นพี่ไปละ” พี่เกียร์ยกมือใหญ่มาโยกหัวผมเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปยังรถที่จอดอยู่ พอเห็นว่ารถยนต์ของคนตัวสูงเคลื่อนออกไป ผมก็กอดคออินให้เดินขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวรอไอ้ภาคมารับ









(มีต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ chomistry

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-2

   นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงสีทองจากดวงอาทิตย์ มีเพียงแสงสว่างไสวจากหลอดไฟต่าง ๆ ของเมืองที่ไม่เคยหลับใหล รวมถึงแสงไฟสีส้มนวลสลับกับสีขาวเหลืองอีกหลายดวงที่ประดับตกแต่งร้านอาหารที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้


   ผมที่ยืนรอไอ้ภาคเอารถไปจอดที่ลานจอดรถหลังจากที่มันไปรับผมกับอินที่บ้าน เอาจริง ๆ คือมันโผล่ไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด แต่มันกลับไปนั่งคุยนั่งโม้กับพ่อของผมจนฟ้ามืด เรื่องเผาผมนี่ขุดมาเล่าจนหมด รวมไปถึงเรื่องพี่เกียร์ด้วย และก่อนออกมาจากบ้าน คำพูดของพ่อได้ทำให้ผมใจวูบโหวงไปชั่ววินาที แล้วมันก็กลับมาสั่นแรงจนเหมือนไปว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามา เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ประโยคเดียว



   ‘ไว้พารุ่นพี่คนนั้นมาแนะนำให้พ่อรู้จักหน่อยนะเจ้าพระยา’



   ความราบเรียบของโทนเสียงและสีหน้าทำให้ผมคาดเดาความรู้สึกของคนเป็นพ่อไม่ได้เลย



   ระหว่างทางมาที่ร้านทำให้บรรยากาศในรถเงียบจนน่าตกใจ ยังดีที่ไอ้ภาคเปิดเพลงคลอ พอถึงร้านมันก็ตบไหล่ผมเบา ๆ บอกว่า อย่าเพิ่งคิดมาก แล้วถึงเอารถไปจอด

   ผมกับอินเลยยืนนิ่งอยู่หน้าร้านรอเดินเข้าไปพร้อมไอ้ภาคทั้ง ๆ ที่ส่งข้อความไปบอกคนตัวสูงเรียบร้อยแล้วตั้งแต่รถจอดในอาณาเขตร้านอาหาร

   บรรยากาศทั่วทั้งร้านตอนนี้ ถ้าตัดความกังวลเล็ก ๆ ในใจของผมออกไปคือมันดีมาก การจัดร้าน แสงไฟนวล ๆ อากาศเย็น ๆ เสียงเพลงที่เปิดคลออยู่ทำให้ค่อยข้างสบายหูทั้ง ๆ ที่ร้านนี้ก็เป็นร้านเหล้าดี ๆ นี่เอง

   “เจ้า” เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยดึงให้เจ้าของชื่ออย่างผมหันไปหาเจ้าของเสียงนั่น

   พี่เกียร์เดินจากหน้าร้านเข้ามาหาผม ซึ่งก็ไม่ได้มาคนเดียว คนที่เดินตามมาด้านหลังก็เป็นเพื่อนสนิทหน้านิ่งของเจ้าตัว ซึ่งพอมาถึงพี่พีก็ไม่พูดไม่จาใด ยิ้มบาง ๆ ให้ผมแล้วก็คว้าข้อมือเพื่อนตัวเล็กของผมไปต่อหน้าต่อตา

   และเพื่อนผมนี่ธรรมดาที่ไหน ไม่มีถงไม่มีถาม เดินตามไปอย่างว่าง่าย

   หมั่นไส้

   “ทำหน้าอะไรแบบนั้นอะเตี้ย หึหึ”

   “หน้ายังไง”

   “ทำตาขวางเป็นปลาทองโดนแย่งอาหาร แล้วก็ทำปากขมุบขมิบเนี่ย หิวหรอครับปลาทองน้อย” ไม่พูดเปล่า มือหนาสองข้างก็ยกขึ้นมายืดแก้มผมเล่น 

   มันใช่มั้ยเนี่ย!

   “อะแฮ่ม ! สวีทกันเกรงใจดินฟ้าอากาศบ้างพี่”

   “เสือก”

   “รู้เรื่อง ! พี่เกียร์แม่ง อ่อนโยนกับน้องหน่อยดิ นี่ผมหลานรหัสพี่โซ่นะเว้ย ครองตำแหน่งเดือนคณะปีหนึ่งเลยนะเว้ยพี่” ไอ้ภาคมันทำท่าดีดดิ้นงอแงเหมือนน่ารักมากมั้ง ฮ่า ๆ

   “เดี๋ยวถีบ ไม่ใช่เมีย กูจะอ่อนโยนกับมึงเพื่อ?”

   “จ้า รู้แล้วจ้า ไม่ใช่เมียจ้า แต่ถึงเป็นเมีย ถ้าเมียคนนี้ไม่ได้ชื่อเจ้าพระยาก็ไม่อ่อนโยนจ้า” มันหันมาเบะปากใส่ผม คือไอ้ภาค กูเริ่มนะแวงมึงละนะ

   “รู้ก็ดี”

   “หุบปากนะไอ้ภาค เมียเชี่ยไรเนี่ย โอ้ย! พี่! เจ็บนะ ตีมาได้” ผมยกมือขึ้นลูบปากเบา ๆ หลังจากโดนคนตัวสูงตีด้วยนิ้วมือสองนิ้ว

   “พูดไม่เพราะ ไม่มีเมียเชี่ย มีแต่เมียพี่ หึ” ยังจะมายิ้มมุมปากใส่กันอีก

   “มะ..เมียอะไร ไม่มีเมียใครทั้งนั้นแหละ มั่วแล้วพี่อะ โว๊ะ!” ไม่อยู่แล้วว้อย เดินหนีเข้าร้านแม่ง

   ว่าแต่…

   เขานั่งโต๊ะไหนกันอะ แหะ ๆ

   ซึ่งก็นั่นแหละครับ เดินหนีมายังไม่ทันพ้นองศาสายตาของพี่เกียร์ ก็ต้องยืนรอให้คนสูงไม่แบ่งชาวบ้านสองคนเดินตามมาแล้วพาไปที่โต๊ะ 

   พอมาถึงมุมหนึ่งด้านในของร้าน ในส่วนที่เป็นโซนปิดเพราะติดเครื่องปรับอากาศ เสียงที่ดังกว่าโต๊ะอื่น ๆ และใบหน้าของคนคุ้นเคยก็ทำให้ผมยิ้มกว้างที่เจอเพื่อนแล้ว ไอ้ภาคที่ตอนแรกเดินตามหลังผมมาก็รีบจ้ำอ้าวเข้าไปเสนอหน้าร่วมวงกับกลุ่มเพื่อนที่มาถึงก่อนแล้ว

   ผมเลยจะเดินตามไอ้ภาคไปเพราะคิดว่าพี่เกียร์คงไปนั่งกับเพื่อน แต่ก็ยังไม่ทันได้ก้าวขาตามเพื่อนหน้าหล่อ ผมกลับถูกมือหนาของคนตัวสูงกำรอบข้อมือแล้วจูงไปอีกมุมหนึ่งของร้านซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน พอสังเกตรอบ ๆ แล้ว เหมือนบริเวณนี้จะถูกจองโดยกลุ่มของพวกเรา

   เมื่อเดินตามแรงจูงมือของพี่เกียร์ เราทั้งคู่ก็มาหยุดอยู่ที่โต๊ะหนึ่งที่มีบุคคลทั้งคุ้นหน้านั่งอยู่

   “น้องเจ้า มาสักที พี่คิดถึ้งงงง คิดถึง” ยังไม่ทันที่ผมจะยกมือขึ้นมาสวัสดีทักทายใคร พี่โซ่สุดสวยก็พุ่งจากเก่าอี้ตัวเองมากอดผมแน่น

   “เยอะไปไอ้โซ่ เยอะไป” พี่เกียร์ส่ายหัวเบา ๆ ใส่ท่าทางโอเว่อร์แอคติ้งของเพื่อนตัวเอง

   “อะไรล่ะ เยอะที่ไหน กูก็คิดถึงของกู มึงแหละไม่พาน้องมาหากูบ้าง” พี่โซ่ตวัดสายตาไปมองค้อนพี่เกียร์แต่ยังไม่ปล่อยผมออกจากอ้อมกอด

   “เหมือนมึงว่างอะโซ่ โปรเจคต์จะทับคอตายห่าแล้ว” พี่มายด์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พี่พีพูดขึ้น

   “สำหรับน้องเจ้า กูว่างเสมอ พร้อมเทโปรเจคต์เพื่อน้องเจ้า” ไม่พูดเฉย พี่โซ่ผละวงแขนที่กอดตัวผม แต่ยกมือขึ้นมาจับแก้มผมซ้ายทีขวาที

   “พูดไรเกรงใจคู่โปรเจคต์มึงบ้างเพื่อน” พี่มายด์ยังคงไม่เลิกจิกกัด

   “ปล่อยเจ้าก่อนไอ้โซ่ เจ้ามานี่” พี่เกียร์จับมือผมให้ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่ก่อนหน้านี้พี่โซ่นั่งอยู่ ทำให้พี่โซ่ย้ายไปนั่งเก้าอี้ว่างข้างพี่พี ส่วนพี่เกียร์ก็นั่งลงข้างผม

   คือพอตั้งสติได้จากการถูกจู่โจมโดยพี่โซ่ เมื่อผมกวาดสายตามองรอบโต๊ะก็พบว่า ไม่ได้มีแค่รุ่นพี่ต่างคณะที่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่กลับมีผู้ชายแปลกหน้าอีกสองคนนั่งอยู่ด้วย คิดว่าคงเป็นเพื่อนของพี่เกียร์ที่นัดเจอกัน นั่นก็เป็นเหตุให้ผมได้มาอยู่ตรงนี้ในวันนี้เพราะพี่เกียร์บอกว่าจะพาผมมาแนะนำให้เพื่อนรู้จัก 

   แล้วผมก็เผลอไปสบตากับพี่คนหนึ่งที่ตัวเล็กกว่าพี่เกียร์มาก ความสูงประมาณพี่มายด์ซึ่งเป็นมาตรฐานของชายไทยทั่วไป ใบหน้าพี่เขาปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ แต่สายตาดูร้าย ๆ เจ้าเล่ห์แปลก ๆ ส่วนอีกคนก็ตัวใหญ่แบบที่ตีลังกามองยังไงก็ไม่ใช่คนเอเชีย เพราะหน้าฝรั่งจ๋ามาเลย นี่คงเป็นเพื่อนลูกครึ่งที่เป็นเจ้าของงานวันเกิดในวันนี้แน่ ๆ

   “เจ้า” เสียงทุ้มดังขึ้นข้าง ๆ หู เรียกสติผมให้กลับมาจากภวังค์

   “ครับ” ผมเอ่ยตอบไปพร้อมรอยยิ้มบาง

   “นี่เพื่อนพี่ ไอ้หน้าฝรั่งเจ้าของวันเกิดชื่อคริส ส่วนไอ้หน้าตี๋นี่ชื่อเต้” พี่เกียร์แนะนำเพื่อนของตัวเองได้สมเป็นพี่เกียร์มาก ๆ

   ถ้าผมเป็นเพื่อนพี่เขา ผมร้องไห้แล้ว ฮ่า ๆ

   “สวัสดีครับ” ผมยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้พี่คริสกับพี่เต้ ซึ่งพี่เขาก็ยกมือขึ้นมารับไหว้ด้วยรอยยิ้ม แต่พูดจริง ๆ นะ สายตาทำไมเจ้าเล่ห์เหมือนกันทั้งกลุ่มแบบนี้อะ ผมเริ่มระแวงแล้วนะ

   “ส่วนพวกมึง นี่เจ้าพระยา แฟนกู”

   “เหยดดดดดดด พราวทูพรีเซ้นสุด ๆ” เสียงพี่มายด์

   “วี๊ดดดดดด หน้ามึงขิงมากไอ้เกียร์ ฮ่า ๆ” เสียงหวีดของพี่โซ่ที่ดังออกมาตอนกัดแขนเสื้อพี่มายด์อยู่ ตามด้วยประโยคจิกกัดเพื่อนตัวเอง ที่ตอนนี้หน้าดูมีความสุขเหลือเกิน

   “ได้เจอกันสักทีนะน้อง น่ารักกว่าในรูปเยอะนะ” พี่คนที่ชื่อเต้เอ่ยขึ้นมาสั้น ๆ

   “คะ..ครับ?” ผมทำหน้าสงสัยแล้วมองสลับระหว่างพี่เกียร์กับพี่เต้

   “ฮ่า ๆ เออว่ะ พอเจอตัวจริง น้องเหมือนปลาทองอย่างที่มึงเพ้อจริง ๆ ว่ะ” พี่เต้หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นตบบ่าพี่เกียร์

   “ตามหาตั้งนาน พอจะเจอก็เจอง่ายจังวะ” ภาษาไทยสำเนียงแปลก ๆ ที่ฟังดูก็รู้ว่าคนพูดไม่ค่อยชินที่จะใช้มันในการสื่อสาร แต่พี่คริสก็ยังถือว่าเก่งที่ยังพูดเข้าใจได้ขนาดนี้

   “ถึงเวลามั้ง” พี่เกียร์ตอบเพื่อนด้วยรอยยิ้ม แต่สายตากลับมองมาที่ผม 

   “น้องเจ้ารู้ปะ ตอนนั้นมันไปตามหาแถวโรงเรียนน้องเจ้าทุกวันเลยนะ บางวันก็ลากพวกพี่ไปแล้วอ้างเหตุผลโง่ ๆ ว่าไปเดินเล่น ฮ่า ๆ” พี่เต้ที่ดูเป็นคนขี้เล่น เฟรนด์ลี่ ก็เริ่มเปิดบทสนทนาย้อนวันวาน

   “หรอครับ”

   “อื้ม ทำเพื่อนพี่สับสนรสนิยมตัวเองเป็นปี ๆ เลยนะครับ”

   “แหะ ๆ” ผมก็ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไง ยิ่งพอได้รู้ว่าพี่เกียร์พยายามตามหาผมมากขนาดไหน ผมก็ยิ่งเขินอะ แต่ลึก ๆ คือดีใจมากกว่า ที่พี่เกียร์ลืมกันเลย

   “สัดเต้” คนข้างตัวผมสบถเสียงด่าเพื่อนด้วยท่าทางที่ดูแปลก ๆ สงสัยเขิน ฮ่า ๆ

   “แต่ก็สมควรที่มันจะสับสนแหละ น่ารักขนาดนี้” พี่คริสพูดเสียงนิ่ง ๆ แต่หน้านี่ยิ้มแซวเพื่อนเลยอ่ะ

   “ไม่ต้องเสือกชมเยอะ”

   “หวงเก่งเหลือเกินพ่อ” พี่มายด์โพล่งขึ้นมาร่วมบทสนทนา

   “ก็แฟนกู”

   “รู้แล้วจ้า ประกาศไปทั้งมอแล้วจ้า ขอเป็นแฟนธรรมดาโลกไม่จำอะมึง ฮ่า ๆ”

   “ใช่ กราบกูซะไอ้เกียร์ ถ้าไม่ได้กูถ่ายคลิป มึงไม่ได้ประตัวเป็นเจ้าของน้องเจ้าได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้หรอก” พี่โซ่เอ่ยพร้อมปัดผมออกจากไหล่ทำท่ารอให้พี่เกียร์ไปกราบจริง ๆ ฮ่า ๆ

   “จริงดิมึง อาการหนักขนาดนี้เลยหรอวะ” พี่เต้ทำหน้าแปลกใจใส่เพื่อนตัวเอง ซึ่งพี่เกียร์ก็ทำได้แค่มองแรงใส่ตัวต้นเหตุอย่างพี่โซ่

   ซึ่งพี่คนสวยก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร

   “จริงเต้ แกเข้าไปดูคลิปในไอจีเราได้เลย” ไม่พูดเปล่าพี่โซ่ยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำท่าจะเปิดคลิปนั้นให้พี่เต้ดูเพื่อยืนยันความเล่นใหญ่ของคนตัวสูง

   “แล้วแถมยังหวงเก่งจนนึกว่าเป็นพ่อน้องเจ้าละ” พี่มายด์เติมเชื้อไฟอย่างมีความสุขที่ได้เล่าเรื่องพี่เกียร์เสียความเป็นตัวเอง

   “ใครพ่อ”

   “มึงไง”

   “หึ พ่อที่ไหน นี่ผั-.. แค่ก ๆ”

   “กินเข้าไปเลยนะ!!”

   “ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะจากคนทั้งโต๊ะดังเยาะเย้ยสภาพพี่เกียร์ตอนนี้มาก ๆ

   เนี่ย ยังดีที่ผมตั้งสติทัน หยิบเฟรนซ์ฟรายยัดใส่ปากคนตัวสูงที่กำลังจะพูดบางคำที่มันเกินจริง

   ติดคอตายไปเลย !!

   “แค่กๆ เจ้า เล่นอะไรเนี่ย”

   “ไม่ได้เล่น พี่นั่นแหละจะพูดอะไรอะ”

   “เอ้า ก็พูดเรื่องจริง”

   “จริงที่ไหนเล่า!! ยังไม่ใช่เหอะ!! อย่ามั่ว!!”

   “ฮ่า ๆ โอ้ย กูขำ ทำไมเพื่อนกูกากจังวะ ไอ้เหี้ยเอ้ย ฮ่า ๆ” พี่เต้หัวเราะจนต้องยกมือมากุมท้อง

   “หุบปากไปเลยสัด” พี่เกียร์หยิบถั่วทอดในจานปาใส่เพื่อนหน้าตี๋

   “ดีแล้ว น้องเจ้าอย่าไปยอมมันนะ เสือมันไม่ทิ้งลายหรอก” พี่คริสยิ้มมุมปากตบท้ายสิ่งที่ตัวเองพูด

   “จริง ตอนปี 1 ปี 2 นี่แบบ หื้มมมมมมม ยิ่งกว่าเสือ มันระดับราชสีห์เจ้าป่าเลยว่ะ ฮ่า ๆ” พี่มายด์ทำท่าเห็นด้วย

   “ไอ้เหี้ยมายด์ อย่าปั่น”

   “อันนี้เจ้าเชื่อพี่มายด์นะ” ผมตอบยิ้ม ๆ แกล้งคนตัวสูงเล่น

   “โถ่เจ้า ไปเชื่อมันทำไม”

   “ก็เป็นไปได้นี่ ใคร ๆ ก็รู้ว่าพี่ฮอทจะตาย แต่มันก็เป็นแค่อดีตถูกมั้ยครับ” ผมกดเสียงให้ต่ำลงหนึ่งระดับกับคำถามท้ายประโยค

   “แน่นอนดิเอ๋อ ตอนนี้ไม่มีแล้ว ก็หลงอยู่คนเดียวเนี่ย” ข้อนิ้วแกร่งสองนิ้วของคนตัวสูงถูกยกขึ้นมาคีบปลายจมูกผมเบา ๆ

   “อื้ม เจ้าเชื่อ” ผมยิ้มกว้างให้คนที่ถูกเพื่อนแกล้งรอบวง

   “ดีมาก” พี่เกียร์ลูบหัวผมเบา ๆ

   “เอ่อ ฮัลโหล มองเห็นกูมั้ยเพื่อน กูอยู่นี่ อย่าเพิ่งสร้างโลกตัวเองกันสองคนนะ” พี่โซ่เอ่ยเสียงดัง แถมยังยกมือขึ้นมาโบกไปมาอีก

   ผมหันไปยิ้มให้ทุกคนรอบโต๊ะ ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนเป็นไปอีกหลาย ๆ เรื่อง ส่วนใหญ่วีรกรรมสมัยเรียนมัธยมของพี่เกียร์จะถูกขุดขึ้นมาแฉให้ได้แซวกันทั้งวง พี่พีที่ว่าเงียบ ๆ ยังโดนพี่คริสแฉเลย ไม่วายโดนปาด้วยก้อนน้ำแข็ง 

   ความรู้สึกตอนแรกของผมที่กังวลและเกร็งเมื่อก้าวเข้ามาร่วมโต๊ะที่เต็มไปด้วยคนอายุมากกว่ากลับถูกละลายด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความเป็นกันเองที่เพื่อนพี่เกียร์มอบให้ ความสบายใจเข้ามาแทนที่จนเกือบลืมว่ามีเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่อีกโต๊ะ พอนึกขึ้นมาได้ผมก็กำลังจะหันไปบอกพี่เกียร์ว่าขอไปนั่งกับเพื่อน

   แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ทุกคนในโต๊ะถูกดึงความสนใจไปโดยบุคคลแปลกหน้าที่มาใหม่ ตอนแรกผมก็คิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนพี่เขาแหละ จนได้เห็นหน้าชัด ๆ

   “สวัสดีครับพี่ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” คนมาใหม่ที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม แถมขนาดตัวก็พอ ๆ กัน

   “เอ่อ สวัสดีครับ แล้วน้องเอ่อ…” พี่เต้เป็นฝ่ายเอ่ยทักทายกลับไปทั้ง ๆ ที่คิ้วยังขมวดเป็นปม

   ส่วนคนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าสงสัยไม่ต่างจากผม เพราะผมหันไปสบตาพี่โซ่ พี่เขาก็ยักไหล่ตอบกลับมาเชิงว่าไม่รู้เหมือนกัน

   “ผมคิดไว้แล้วว่าพวกพี่ต้องจำผมไม่ได้แน่ ๆ”

   “เออ ยอมรับเลยว่าจำไม่ได้ แต่ก็แอบคุ้นแหละ”

   “โห่ ผมน้องโรงเรียนพี่ไง”

   อ่า น้องโรงเรียนนี่เอง

   “กูมีมึงเป็นน้องโรงเรียนคนเดียวมั้ง ใครจะไปจำได้วะ” พี่เต้เบี่ยงตัวหันไปคุยกับน้องโรงเรียนจริงจัง

   “น้อง…กูคุ้นนะ” พี่พีที่นั่งเงียบอยู่เอ่ยขึ้นมา

   “คุ้นสิ ก็วันนั้นพี่อยู่กับพี่เกียร์นี่ครับ” รุ่นน้องคนนั้นตอบพี่พีด้วยรอยยิ้มกว้าง โดยเฉพาะตอนที่หันไปมองคนตัวสูงที่นั่งข้างผมตอนนี้

   “วันนั้น…” เสียงพี่เกียร์พึมพำพร้อมกับหัวคิ้วขมวดจนเกือบชิดกัน

   “ครับ”

   “อย่าลีลา ไอ้ห่า น้องโรงเรียนรุ่นไหนวะ”

   “รุ่น 114 ครับพี่เต้ ตอนพี่อยู่ ม.6 ผมเพิ่งอยู่ ม.3 เอง ไม่แปลกที่พี่จะจำผมไม่ได้” รอยยิ้มสดใสยังคงไม่จางไปจากรุ่นน้องคนนี้ ถ้านับดี ๆ ตอนนี้น้องก็น่าจะอยู่ ม.6 เป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี

   ตลอดเวลาที่น้องพูด น้องยังไม่หยุดยิ้มเลย 

   สำหรับผมน้องหน้าตาดีมากนะ เวลายิ้มมีลักยิ้มจาง ๆ ด้วย ทรงผมสีดำที่ยังหลงเหลือความเป็นรองทรงแบบทรงนักเรียนอยู่ หุ่นสมส่วน ความสูงน่าจะไล่เลี่ยกันกับผม แสงไฟที่ไม่มากพอแต่ก็ไม่สามารถบดบังความขาวของผิวน้องได้

   “อ่า…” อยู่ดี ๆ พี่พีก็ส่งเสียงออกมา แถมทำหน้าแปลก ๆ

   “งั้นผมแนะนำตัวก็ได้ ผมชื่อเซฟครับ” แนะนำตัวเสร็จน้องก็ยกมือไหว้ทุกคนในโต๊ะ ซึ่งผมก็ยกมือรับไหว้แบบงง ๆ

   “เซฟ?” พี่เต้ทวนชื่อของน้องเหมือนกำลังพยายามนึก

   “เจ้า อินเรียกครับ” พี่พีเรียกผมให้หันไปมองที่กลุ่มเพื่อนตัวเอง เห็นอินกับภาคยกมือเรียกอยู่

   “อ่า พี่เกียร์ครับ เจ้าไปนั่งกับเพื่อนนะ” 

   “เอางั้นหรอ ไปได้ใช่มั้ย” พี่เกียร์ละสายตาจากรุ่นน้องตัวเองแล้วหันมาพูดกับผม

   “ได้สิ แค่นี้เอง ห่วงเจ้าเกินไปละ ไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ” ผมยิ้มน้อย ๆ ให้กับอาการห่วงเกินเรื่องของพี่เกียร์

   “ห่วงตลอดนั่นแหละ”

   “คร้าบบบบ ไปนะครับ”

   “อื้ม อย่าดื่มเยอะล่ะ เดี๋ยวโดนแม่ดุ”

   “ครับผม พี่ก็ห้ามเมานะ รู้เปล่า” ผมรับปากเสียงเข้มพร้อมเอ่ยกำชับคนตัวสูงก่อนจะลุกจากเก้าอี้ที่ตัวเองนั่ง แล้วเดินไปหาเพื่อน ๆ ของตัวเอง

   ระหว่างที่นั่งอยู่กับเพื่อน สายตาผมก็ยังคงมองไปที่โต๊ะของพี่เกียร์และเพื่อน ๆ บ้าง ซึ่งก็ไม่เห็นน้องคนนั้นแล้ว คงมาแค่ทักทายรุ่นพี่นั่นแหละ

   แต่ผมแค่รู้สึกแปลก ๆ กับสายตาของรุ่นน้องคนนั้นเวลามองไปที่พี่เกียร์ มันเหมือนเกินไป

   เหมือนผมเห็นตัวเอง

   หวังว่าผมจะคิดมากไปเอง







 

   เมื่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเริ่มสูงขึ้น เสียงแหกปากร้องเพลงไปพร้อม ๆ กับนักร้องนำวงดนตรีสดก็ดังตามมา แต่ละคนปล่อยตัวเองให้รั่วไหลตามจำนวนเหล้าในแก้วที่เทแล้วหายเหมือนแก้วรั่ว เสียงเฮฮาหลุดโลกเหมือนปลดปล่อยให้สมองโล่งก่อนช่วงเวลาของการสอบปลายภาคจะคืบคลานเข้ามา ตอนนี้มีเพียงผม อิน และแยม ที่ยังดูปกติที่สุดในโต๊ะ  ส่วนไอ้ภาครายนั้นก็ไม่เมาจนสติหลุดไปง่าย ๆ หรอก แต่ทำท่าเหมือนคนเมา แหกปากร้องเพลงให้บรรยากาศดูครื้นเครงตามนิสัยของมันไปเรื่อย

   ผมหัวเราะเฮฮาร่วมไปกับเพื่อน ๆ จะบอกว่าไม่เมาก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก ต้องยอมรับว่ามีมึน ๆ บ้าง เพราะกลุ่มสาว ๆ ก็เชียร์ให้ดื่มไปหลายแก้ว อาศัยวิธีลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ให้ได้ขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายไปบ้าง และตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกอยากที่จะเข้าห้องน้ำอีกครั้ง

   “อิน กูจะไปเข้าห้องน้ำ” ผมหันไปบอกเพื่อนตัวเล็กที่นั่งข้างกัน

   “อืม ไปด้วย” คนพูดน้อยตอบกลับมา จากที่พูดน้อยอยู่แล้ว พอมีอาการมึน ๆ ก็ยิ่งพูดน้อยไปอีก

   บางทีมึงเมาแล้วโวยวาย เมาแล้วรั่วบ้างก็ได้นะ

   





   เราสองคนเลยลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ก่อนพ้นโต๊ะก็ทำสัญญาณมือบอกไอ้เพื่อนหน้าหล่อที่แกล้งเมาอยู่ให้รู้ว่าไปห้องน้ำ


   เมื่อเดินมาถึงห้องน้ำบริเวณหลังร้าน ต่างคนก็ต่างแยกกันไปทำธุระส่วนตัว ในตอนที่ผมล้างมือและล้างหน้าให้สร่างเมาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ข้างนอก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะจับใจความ พอล้างมือเสร็จก็กะว่าจะไปยืนรออินหน้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันเดินพ้นกำแพงปูนเปลือยขัดมันที่ก่อขึ้นมากั้นแบ่งประตูห้องน้ำกับตัวร้านไว้ ผมก็ได้เห็นคนสองคนยืนคุยกันอยู่ และหนึ่งในสองคนนั้นก็คือแฟนผมเอง 


   คนสองคนยืนคุยกันมานานแค่ไหน ผมไม่รู้

   แต่ทำไมต้องเป็นผมที่ถูกดึงเข้ามาให้เห็นและได้ยินอะไร

   อยากหัวเราะให้กับจังหวะละครหลังข่าวของตัวเอง แต่ผมกลับปั้นไม่ออกแม้กระทั่งรอยยิ้มบางให้เกิดขึ้นบนใบหน้า

   เพราะสิ่งที่ได้ยินมัน...

 

   “ผมชอบพี่นะครับ ชอบมาก ๆ”

   “เซฟ”

   “และคงไม่มีทางเลิกชอบได้จริง ๆ ให้ผมได้ชอบพี่เถอะนะครับพี่เกียร์”

 

   รอยยิ้มกว้างดูมีความหวังของรุ่นน้องคนนั้น

   ตาเรียวสวยที่ทอดมองไปยังคนตัวสูงอย่างมั่นคง

   มือขาวคู่นั้นที่เกาะกุมกันไว้ด้านหน้าแสดงอาการประหม่าได้อย่างน่ารัก

   น้องเขาคงชอบคนใจดีแบบพี่เกียร์จริง ๆ นั่นแหละ 



   หัวใจที่สั่นหวิวราวกับใครกำลังพยายามบีบมันไว้ไม่ให้ขยับเต้น ยามมองใครบางคนที่มาสารภาพรักกับคนที่มีสถานะเป็นแฟนของผม จู่ ๆ ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นในอกที่เหมือนมีแรงบีบบังคับกลับกลายเป็นแรงกระชากมันออกจากกลางอก ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ยินเสียงรอบข้างไปชั่วขณะ ภาพรอบตัวหยุดนิ่ง

   เพราะคนตัวสูงเจ้าของหัวใจชา ๆ ของผมตอนนี้ ยกมือขึ้นลูบเบา ๆ ไปที่ศีรษะของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ไม่ต้องเห็นก็นึกภาพออกว่าสายตาพี่จะอ่อนโยนเหมือนกับการกระทำแค่ไหน

   การกระทำอันแสนอบอุ่นที่เคยมีแค่ผมได้รับมันอยู่เสมอ แต่ตอนนี้กลับมีใครอีกคนได้รับเช่นเดียวกัน

   พี่ยังคงใจดีเสมอ


   หรือผมควรดีใจที่มีแฟนเป็นคนใจดีแบบนี้


   ถ้าผมรู้สึกดีใจ ก็คงจะดีใจมาก มากเสียจนควบคุมหยาดน้ำใส ๆ ไม่ให้ไหลเปื้อนแก้มแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้


   อาการดีใจประสาอะไร ทำไมเจ็บจัง...







   TBC
   (17/12/2018)

   ******************************************
   โอ๋น้องเจ้าหน่อยนะคะ แงงงงงงง #เจ้าพระยาที่รัก
   my twitter : @chomistry_
   ทักมาคุยเล่นกันได้นะคะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2018 14:23:18 โดย chomistry »

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
เจ้าพระยาที่รัก ต้องถามไถ่ก่อนนะ
แม้จะเสียใจจากภาพที่เห็นก็ตาม
ไม่ร้องนะคะ ...

ว่าแต่พี่เกียร์ทำอะไร ทำไมต้องลูบ!!
จะรู้ไหมนี่ว่าตัวเองกำลังจะแย่แล้ว
ขออย่าให้มีปัญหา ...

อิน ออกมาข่วยเร็วๆ นะคะ ...

ขอให้มาต่อเร็วๆ อย่าให้ขาดตอน ห่วงน้องเจ้าค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2018 15:40:35 โดย arjinn »

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :hao5: นี้คงไม่มโนไปเองนะน้องเจ้า

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ไปลูก ออกไปแสดงตัว อย่าเงียบๆ  :m16:

ออฟไลน์ fammykiki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

หายไปนาน  กลับมาอย่างจุใจ  แต่ไหงทิ้งท้ายด้วย...

อิน้องเซฟกับพี่เกียร์นี่มีความหลังในอดีตกันยังไงเนี่ย?

เจ้าพระยาต้องเข้มแข็งไว้นะ อดีตมันผ่านไปแล้ว  เราคือปัจจุบัน  อย่าลืมประเด็นนี้นะ  อิอิ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อย่าใจดีแบบนี้ได้มั้ยพี่เกียร์
แต่น้องก็ฟังเขาก่อนนะ  :hao5: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร การใจดีเรื่องอย่างนี้มีแต่ทำให้เกิดปัญหา
สงสารเจ้า

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เอ้า พี่ ทำแบบนี้เป็นปัญหาในอนาคตเด้อ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เป็นธรรมดาของคนรูปหล่อใจดี ก็ต้องมีคนมาชอบ ความรักมันต้องมีบททดสอบความเชื่อใจกันบ้างแหละ ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีนะน้องเจ้า เชื่อเจ้ :กอด1:

ออฟไลน์ Noina_Pn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ปลาทองน้อยน่ารักกกกกกแกก มาม่าพอกรุบกริบก็พอนะ เจ้าเหมาะกับความน่ารักมากกว่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด