ตอนที่ 13
ความเหงากลับมาทักทาย
ผมรู้แล้วว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่มนุษย์เราต้องเผชิญอีกเยอะ
ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นเราจะต้องเก่งกล้ามาก ต่อให้มีสิ่งที่น่ากลัวแค่ไหนเข้ามาสุดท้ายก็คงผ่านมันไปได้ในที่สุด แต่ใครจะคิด สิ่งที่คาดหวังกับความเป็นจริงมันต่างกัน
บางอย่างเราควบคุมมันไม่ได้ น้ำ ลม ฝนฟ้าอากาศ โชคชะตา หรือแม้แต่ความรู้สึกของคน
“ชยิน อย่าคิดไปเอง ตอนนี้คุณต้องตั้งสติก่อน” คำพูดของคนตัวสูงทำให้ผมชะงักนิ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ด้วยซ้ำ
“ผมขอโทษ ผมงี่เง่าเอง”
“มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ตอนนี้คุณช่วยกลับไปก่อนได้มั้ย”
“...”
“แล้วผมจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง”
“ก็คง...ต้องเป็นอย่างนั้น”
ผมไม่ใช่ผู้ฟังที่ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็อยากให้โอกาสตัวเองได้ฟังคำอธิบายอะไรสักอย่างจากปากของเขา เพื่อที่บางทีจะได้เข้าใจว่าสถานะที่เราเป็นอยู่นี้มันควรหยุดลงหรือดำเนินต่อ
“เดี๋ยวผมลงไปส่ง”
“ยุค” ยังไม่ทันหมุนตัว เสียงหนึ่งก็หยุดความมีน้ำใจของคนตัวสูงเอาไว้ ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ
หลายอย่างไม่จำเป็นต้องพูดตอนนี้ ต่อให้อยากรู้หรือไม่เข้าใจกับมันมากแค่ไหนก็ควรเก็บเอาไว้ในใจ ผมไม่ได้อยากดูแย่ในสายตาของใครหลายๆ คน ทว่ากว่าจะอดกลั้นให้สงบนิ่งได้ขนาดนี้มันไม่ง่ายเลยสักนิด
สองเท้าติดสั่นก้าวออกมานอกห้อง เดินไปตามทางอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกสับสน ในใจกำลังหวังอะไรบางอย่างที่ดูเป็นไปได้ยากแต่ผมก็ยังคิด ช่วยตามออกมาได้มั้ย หรือบอกอะไรก็ได้ให้รู้สึกใจชื้นกว่านี้หน่อย ช่วยบอกว่าผมเข้าใจผิด บอกว่าผมคิดไปเอง อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การกลับไปรอความหวังลมๆ แล้งๆ เหมือนที่กำลังทำอยู่
ทำไมถึงพูดตอนนี้ไม่ได้ เพราะแคร์เธอมาก กลัวว่าเธอจะเสียใจเหรอ แล้วตัวผมล่ะ
ตอนที่ตัดสินใจจะรักเขา ผมทิ้งความกลัวทั้งหมดออกไป
โดยลืมนึกไปว่า ความผิดหวังก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวเหมือนกัน
ผมสะกดจิตตัวเองไม่ให้หันไปมองด้านหลัง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความรู้สึกของตัวเอง เพราะเมื่อหันไปความหวังที่สร้างมาก็พังทลายไม่เป็นท่า ยุคไม่ได้ตามออกมา ประตูห้องยังคงปิดสนิท ต่อให้ยืนรอนานกว่านี้อีกเป็นชั่วโมงมันก็ยังเหมือนเดิม
การกลับมารอที่ห้องอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมรู้ดีว่าคงไม่สามารถทำอะไรต่อได้อีกแล้วนอกจากทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เฝ้ารอเวลาให้ผันผ่านไปแต่ละวินาทีอย่างมีความหวัง
หนึ่งวินาที...สองวินาที...สามวินาที...
ผมเกลียดการเฝ้ารอ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของยุคในวันนั้น ผมปล่อยให้เขาจมจ่อมอยู่หน้าห้องนานนับชั่วโมง นี่หรือเปล่าที่ทำให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อผมเริ่มเปลี่ยนไป
ผมผิดเอง ขอโทษ ผมผิดเอง...
อยากบอกแบบนี้มาตลอดแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ อีกนานแค่ไหนกว่าเวลาจะผ่านพ้น เพราะผมคงทนไม่ได้ที่ตัวเองรู้สึกอ่อนแอลงทุกที ผมไม่ใช่ชยินคนเดิมที่ยอมรับกับเรื่องเลวร้ายทุกอย่างในชีวิตได้อีกแล้ว นั่นเป็นเพราะเขาได้เปลี่ยนทุกอย่างของผมไป
นาฬิกายังคงเดินของมันตามปกติ มีแต่ผมที่คิดว่าแม่งโคตรช้า นอนก็ไม่หลับ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่งเพลงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำได้แค่พลิกตัวไปมา มองดูแสงสว่างที่ลอดผ่านหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนสี ตอนนี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว
แสงในช่วง Afterglow ผลักความรู้สึกหดหู่นั้นให้ยิ่งหนักเข้าไปอีก
หนึ่งทุ่มผมลุกเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาก่อนกลับมากดมือถือ เลื่อนไปยังหน้าคอนแท็กซึ่งมีชื่อของคนที่เฝ้ารออยู่หลายครั้ง ผมอยากโทรไปหาเขา แต่ก็รู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางรับ ทำได้อย่างเดียวคือรอต่อไป เขาบอกให้รอก็ต้องรอ ต่อให้ไม่รู้ว่ารอไป...สุดท้ายเขาจะมาหรือเปล่าก็ตาม
Rrrr...!
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นในเวลาสามทุ่มกว่า ผมรีบคว้าโทรศัพท์อย่างเร็วรี่ แต่ก็ต้องใจเสียอีกครั้งเพราะคนที่โทรมาไม่ใช่ยุค และคนเดิมที่ตามติดสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วงก็มีเพียงไอ้เบิร์ดแค่คนเดียว ผมกดรับสายอย่างไม่รีรอก่อนกรอกเสียงอ่อยๆ ลงไป
“ว่าไง”
[มึงนั่นแหละว่าไง เป็นไงบ้างวะ เคลียร์กันยัง] อีกฝ่ายรัวคำถามเป็นน้ำไหลไฟดับ ส่วนคนฟังน่ะเหรอ พอมีคนสะกิดหน่อยล่ะใจเหลวขึ้นมาทันที
“ยัง”
[มึงโอเคหรือเปล่า เสียงแม่งโคตรแย่เลยว่ะ]
“วันนี้กูไปหายุคแล้วนะ” บางทีผมก็แค่ต้องการใครสักคนที่รับฟัง ไม่ต้องปลอบก็ได้ แค่อยู่ด้วยกันตอนที่ไม่มีใครแบบนี้ก็พอ
[อืม เจอมั้ย มันว่าไงบ้างล่ะ คือถ้าไม่โอเคกูโทรไปเคลียร์ให้ได้]
“มันไม่มีประโยชน์หรอก ยุคบอกให้กูกลับมารอที่ห้องก่อน คิดว่าอีกไม่นานคงได้คุยกัน”
[แล้วทำไมมึงไม่คุยกันตั้งแต่ตอนนั้นวะ]
“ยุคไม่สะดวกคุยน่ะ” ผมไม่ได้เล่าทั้งหมดให้ไอ้เบิร์ดฟัง อาจเพราะกลัวว่าตัวเองจะคิดไปเอง ประกอบกับไม่อยากให้ใครมองยุคไม่ดีเลยเลือกพูดแค่บางอย่างที่พูดได้เท่านั้น
[เอาเถอะ พอเข้าใจ เดี๋ยวก็ได้เคลียร์กันแล้ว ว่าแต่มึงเถอะกินอะไรหรือยัง]
“กูไม่หิว” เสียงพรูลมหายใจดังเข้ามาในสาย ซูปเปอร์เนิร์ดเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนกรอกเสียงตอบกลับมา
[ถ้ากูยังอยู่ไทย แม่งจะขับรถไปตีก้นมึงให้หนักเลยจริงๆ ไปหาอะไรกินซะ]
“เบิร์ด...” ผมแทบไม่สนใจคำขู่ของมันด้วยซ้ำ นอกจากถามสิ่งที่คิดอยู่ในหัวตลอดทั้งวันออกไป
[ว่าไง]
“ถ้าสมมติกูกับยุคไปด้วยกันไม่รอด มึงว่ากูควรทำยังไงต่อไปวะ”
[ทำเหมือนที่มึงเคยจบกับแฟนเก่ามึงไง]
“ไม่เหมือนกัน อันนั้นเราต่างหมดรักกันไปแล้ว แต่ตอนนี้กู...กูยังรักมันอยู่”
ตอนแรกที่เจอกันผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ครั้งที่สองและสามก็เหมือนกัน
ขนาดตอนที่ได้ยินคำสารภาพรักครั้งแรกผมยังรู้สึกเฉยๆ ยังถามตัวเองอยู่เลยว่าตายด้านหรือเปล่า ครั้งแรกไม่ได้ชอบก็จริง ทว่าวันนี้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าตัวเองได้รักเขาจนไม่เผื่อใจสำหรับความเจ็บปวดไปหมดแล้ว
[ชยิน ทุกความสัมพันธ์ไม่ได้จบแค่คำว่าแฟนนะเว้ย มึงสองคนยังเป็นเพื่อนกันได้] ผมส่ายหัวทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว
“กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับยุค”
[…]
“ถึงใครจะเป็นได้ แต่สำหรับกูมันไม่มีวันเป็นแบบนั้นแล้ว”
ผมไม่เคยเตรียมใจไว้ว่าต้องผิดหวัง ในจินตนาการมันมีแต่เรื่องที่เราคบกันและจะใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันยังไงมากกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นผมควรทำยังไง
เป็นเพื่อนก็ไม่ได้ จะรักก็ไม่ได้ บางทีคงเป็นได้แค่...ความทรงจำ ผมวางสายจากเพื่อนสนิทที่อยู่ไกลคนละซีกโลกในเวลาเกือบสี่ทุ่ม ก่อนจะกลับมาเฝ้ารอใครบางคนอย่างมีความหวัง เกือบสิบชั่วโมงแล้วที่ยังอยู่ที่เดิม ยึดเตียงเป็นที่พักพิงใจแล้วสะกดจิตตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่มีอะไร ทุกอย่างจะดีขึ้น เดี๋ยวเขาก็มา เดี๋ยวเสียงประตูห้องก็ดังอย่างใจหวัง
เที่ยงคืน จิตใจที่เคยสงบเริ่มกลับมากระวนกระวายอีกครั้ง ผมเดินไปทั่วห้อง หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดและตัดสินใจต่อสายหาคนตัวสูงโดยไม่กลัวว่าจะถูกมองแย่ยังไง
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้... จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา ผมไม่ควรเป็นแบบนี้ ไม่ควรต้องเจ็บปวดกับการมีความรัก ทั้งที่เคยบอกตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่เริ่มต้นกับใครง่ายๆ อีก สุดท้ายผมก็กลืนน้ำลายตัวเอง
หากจะโทษใครที่ทำให้เจ็บ คงเป็นตัวผมเองที่ก้าวออกมาจากกำแพงทั้งที่รู้ดีว่าอยู่ในนั้นแม่งก็ดีอยู่แล้ว
ตีหนึ่ง...
ยังคงพลิกตัวไปมาบนเตียง ร่างกายไม่รู้สึกถึงความหิวแม้ลำคอจะแห้งผากไปแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันความกระวนกระวายที่เกาะกุมจิตใจก็ยังไม่หายไปไหน ได้แต่ข่มตานอนซึ่งรู้ดีว่ามันคงไม่ต่างอะไรกับการนอนนิ่งๆ เหมือนในคราแรก
ตีสอง...
ผมตัดสินใจเดินออกมานั่งรออยู่ตรงโซฟา เผื่อเสียงเคาะห้องดังขึ้น ผมจะได้รีบเดินไปเปิดโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายรอนาน ระหว่างนี้ก็พยายามลดความฟุ้งซ่านของตัวเองลงด้วยการหยิบกีตาร์มาเล่นไปพลางๆ
การเพ่งสมาธิไปที่จุดใดจุดหนึ่งช่วยได้มาก ทว่ามันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นแหละ
ตีสาม...
ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง การเปิดโอกาสเป็นเรื่องที่ดีแล้วเหรอ ถ้าให้เลือกย้อนเวลากลับไปได้ผมยังอยากสานสัมพันธ์กับยุคอยู่มั้ย คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ
เวลาตีห้า ผมรอข้ามคืนด้วยความหวัง แต่ผลตอบแทนกลับมานั้นมันโคตรว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เฝ้ารอ ไม่มีเสียงเคาะประตู ไม่มีคำอธิบายใดๆ ที่ทำให้รู้สึกใจชื้นเลยสักนิด ผมไม่อยากคิดไปไกลแต่มันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี
การมีแฟนเก่าอยู่ในห้องว่าเจ็บแล้ว แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือสภาพของผู้หญิงคนนั้น มันอดเชื่อได้ยากว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยุคกับดรีมเคยคบกัน เขาเคยรักกันมาก่อน
พอคิดว่าทุกอย่างที่เขาเคยทำดีกับผม ครั้งหนึ่งเขาก็เคยทำให้เธอ แม่งก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที ไม่มีหรอก คนที่ทำดีกับเราแค่คนเดียวในโลก มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องมารับผิดชอบความรู้สึกไม่พอใจของผมสักหน่อย เป็นผมเองต่างหากที่ต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้
หกโมงเช้าผมอาบน้ำแปรงฟัน หาของกินง่ายๆ รองท้องแม้จะไม่รู้สึกอยากเท่าไหร่นัก เมื่อจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จจึงย่างเท้าเข้ามายังห้องนอน เก็บเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋า ในหัวผมไม่รู้หรอกว่าควรทำอะไรหรือตัดสินใจจะไปที่ไหน รู้แค่ว่าไม่ควรอยู่ตรงนี้นานนัก
ผมเป็นคนไม่มีเพื่อนมาก จะหวังพึ่งใครก็กลัวว่าเขาจะอึดอัดเลยเลือกแบกทุกอย่างไว้กับตัวเอง
ในบัญชีมีเงินอยู่เล็กน้อย มันพอสำหรับค่าเดินทาง ค่าที่พัก รวมถึงค่าอาหารในระยะเวลาหนึ่ง แย่หน่อยที่ผมเลือกหนีปัญหา แต่เชื่อเถอะว่ามันดีสำหรับตอนนี้ที่สุดแล้ว
ผมให้เวลา ผมเฝ้ารอ ทว่าความอดทนของคนเรามีวันสิ้นสุดเสมอ
ถ้ายุคแคร์ผมจริงเขาคงวิ่งมาอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมถึงปล่อยให้ผมรอนานขนาดนี้ อย่างน้อย...โทรมาบอกสักนิดก็ได้ว่าคืนนี้คงไม่มา ว่างวันไหนค่อยคุยกันมันก็อาจจะดีกว่า
ผมส่งข้อความไปหาที่บ้าน บอกกับเขาด้วยประโยคสั้นๆ ว่าขอหนีเที่ยวสักสัปดาห์ จากนั้นช่องทางการติดต่อทุกอย่างก็ถูกปิด หวังว่ามันคงเพียงพอสำหรับการทบทวนสิ่งต่างๆ เพียงลำพัง
โชคดีที่เมื่อสองเดือนก่อนผมได้รับอีเมลชวนให้ไปคอนเสิร์ตต่างจังหวัด ตอนแรกคิดว่าคงไม่มีเวลาว่างพอจะไป ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ชีวิตก็อยากหาอะไรทำขึ้นมาซะงั้น
‘ยุค’
‘ว่า...’
‘คุณชอบผมเพราะอะไร จะบอกว่าผมหล่อก็คงไม่ใช่มั้ง เงินก็ไม่มีด้วย แถมคอนโดยังผ่อนอยู่เลย ผมไม่เคยทำดีเพื่อคุณสักอย่างแต่ทำไมคุณถึงชอบผม’
‘เพราะคุณทำให้ผมเติบโต และเพราะคุณอีกเหมือนกันที่ทำให้ผมกลายเป็นเด็ก’
‘…’
‘ผมเกลียดการเป็นผู้ใหญ่เพราะต้องแบกรับหน้าที่อะไรหลายๆ อย่าง ผมอยากเป็นเด็กที่ไม่ต้องคิดอะไรนอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ แต่กาลเวลาเอาความเป็นเด็กกลับมาไม่ได้’
‘…’
‘ตอนที่ผมได้เจอคุณครั้งแรก มันทำให้ผมคิดว่าผมอยากเป็นผู้ใหญ่ อยากดูแลคุณ อยากแบกรับภาระทุกอย่างที่มีคุณอยู่ ขณะเดียวกันความสดใสของคุณ ความคิดเด็กๆ ของคุณมันทำให้ผมได้รับช่วงเวลาวัยเด็กกลับมาพร้อมๆ กัน คุณเป็นมันทุกอย่าง’ ยังจำได้ดี
ประโยคสารภาพรักในคืนนั้น เขาบอกชอบผม ชอบทุกอย่างที่เป็นตัวตนของคนชื่อชยิน นี่อาจเป็นคำปลอบใจที่ดีที่สุดที่สามารถบอกกับตัวเองได้
สิบโมงเช้าผมแบกกระเป๋าออกจากห้องหลังสำรวจความเรียบร้อยเสร็จสรรพ แต่ก็ยังไม่หมดความพยายามต่อสายหายุคไปพลางๆ แน่นอนว่าคำตอบก็เป็นอย่างที่รู้กันดี เขาปิดเครื่องไปแล้ว เหมือนกับความสัมพันธ์ของเราที่คงต้องจบลงไปพร้อมกันด้วย
ถ้ารู้ว่าแพ้ผมก็จะถอย คงไม่ดันทุรังให้ใครต้องรู้สึกอึดอัดอีก
“มึงอยู่คนเดียวได้เว้ยชยิน มึงอยู่กับความทรงจำได้” ผมพูดปลอบใจตัวเองขณะเดินแบกกระเป๋าเป้ไปตามทาง
ก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิมคงไม่มีอะไรยาก เมื่อก่อนเหงาแค่ไหน โดดเดี่ยวแค่ไหนทำไมถึงอยู่ได้ ผมดูหนังคนเดียวเป็นประจำ กินข้าว ปั่นเรือเป็ด หรือแม้กระทั่งไปดูคอนเสิร์ต ทุกอย่างที่ทำผมมีความสุขดี คราวนี้ก็คงไม่ต่าง...
ชีวิตเคยมีเขาเข้ามา วันหนึ่งเขาไม่อยู่แล้ว มองในแง่ดีครั้งหนึ่งเราก็เคยอยู่ด้วยกัน ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็เรียกร้องอะไรกลับมาไม่ได้หรอก
ทำได้แค่พาคำว่ารักของเขาเดินทางไป ทั้งที่ตอนนี้อาจไม่เหลือความรักอยู่แล้วก็ตาม
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...”
“...”
“เก่งแล้วชยิน เก่งมาก”
วันแรกของการเดินทางมาต่างจังหวัดในรอบหลายเดือน ผมไม่ได้ติดตามข่าวสารทางโซเชียลใดๆ เพราะปิดมือถือและไม่ได้พกแล็ปท็อปติดตัวมาด้วย ช่วงเวลานี้จึงเป็นการแค่พักผ่อนโดยไม่มีอะไรมารบกวนอย่างแท้จริง
การอยู่ในกำแพงเหงาก็จริง แต่ถ้าแลกกับการไม่เจ็บปวดอีกมันก็คุ้มค่า
โฮมสเตย์ที่เข้าพักค่อนข้างสะอาด และราคามิตรภาพเหมาะสำหรับคนกินแกลบประจำอย่างผม อาหารอร่อย บรรยากาศก็ดี ผมพกหนังสือของมูราคามิเล่มที่ยังไม่ได้อ่านติดตัวมาด้วย เลยไม่มีเวลาว่างแบ่งไปคิดถึงเรื่องอื่น แค่ถ่ายรูปกับอ่านหนังสือหนึ่งวันก็ผ่านไปแล้ว
วันที่สองผมยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม มีแค่หนังสือที่ไม่ได้หยิบมาด้วยเนื่องจากตะบี้ตะบันอ่านแก้อาการนอนไม่หลับจนจบเล่มภายในคืนเดียว เลยเปลี่ยนไปใช้เวลาเที่ยวละแวกนั้น หาไอเดียแต่งเพลงเลี้ยงปากท้องเหมือนที่ชอบทำแบบเมื่อก่อน
ใกล้ค่ำหน่อยก็กลับมาหาข้าวกิน เวลาดึกผมนอนดูดาวอยู่ตรงระเบียงห้อง ที่ตรงนี้เห็นดาวชัดแจ๋ว สวยไม่ต่างจากดาดฟ้าคอนโดที่กรุงเทพฯ เลยสักนิด
ผมไม่ได้มีกำหนดว่าจะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่ คิดว่าเงินหมดก็คงต้องกลับ ซึ่งข่าวร้ายก็คือมันคงพอให้ผมได้ดูคอนเสิร์ตในวันสุดท้ายเท่านั้นแหละ เกิดมาจนจะแย่ ทำตามความฝันบางทีก็แดกไม่ได้ แถมมีความรักกับเขาทั้งทีก็ต้องมาเจ็บปวดเพราะไม่สมหวังอีก
ผมเลยพยายามตัดใจ
แต่มันไม่ง่ายเท่าไหร่เพราะยังคิดถึงเขาอยู่ ยุคจะคิดเหมือนกันบ้างมั้ย ผมตั้งคำถามแบบนี้ซ้ำๆ ทว่าก็ไม่เคยรู้คำตอบอยู่ดี
บรรยากาศในวันคอนเสิร์ตพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ผมยื่นนิ่งๆ กวาดตามองบรรยากาศโดยรอบ บางคนมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ บางคนมากับคนรัก บางคนมากับเพื่อนสนิท หรืออีกหลายๆ คนก็ฉายเดี่ยวด้วยความแกร่งกล้า ผมคือหนึ่งในนั้น
ความรู้สึกเดิมๆ ตีวนเข้ามาในความคิด เมื่อก่อนผมอยู่กับความเหงายังไงวะ โคตรเก่งเลย ตอนนี้ก็ไม่ยากนักหรอก เปิดใจ ยอมรับความจริง อีกไม่นานก็ผ่านมันไปจนได้นั่นแหละ
“ขอเสียงคนรักในเสียงเพลงดังๆ ได้มั้ยคร้าบบบ”
“โว้วววววววว” เสียงลากยาวจากหน้าเวทีทำให้ทุกคนวิ่งกรูกันเข้าไป
วันนี้มีวงดนตรีหลายวงมาเล่นที่นี่ มั่นใจว่ายังไงก็ต้องได้ฟังเพลงที่ตัวเองแต่งแน่ๆ เลยเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมตัดสินใจมาดูคอนเสิร์ตไกลถึงต่างจังหวัด ทั้งที่ตัวเองเป็นคนติดห้องจนใครก็ลากออกมาไม่ได้
งานเริ่มตั้งแต่ห้าโมงเย็นยาวนานจนถึงเที่ยงคืน ผมเดินไปซื้อเบียร์กระป๋อง จากนั้นก็เดินเข้าไปบริเวณเวทีใหญ่และโยกไปตามจังหวะเพลงที่ศิลปินกำลังเล่น
รักที่เธอเคยมีถูกร้องในเวลาเกือบสี่ทุ่ม เนื่องจาก A little bliss เล่นเป็นวงที่ห้า ทุกคนดูอินกับการร้องคร่ำครวญราวกับเพิ่งอกหักมาหยกๆ ขณะที่อีกหลายคนก็กอดคอเพื่อนเพื่อปลอบใจอยู่ไม่ห่าง
ไม่มีใครจำผมได้ อาจเพราะทุกคนกำลังโฟกัสไปที่ความสนุกบนเวทีเลยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ซึ่งมันดีแล้ว
จากเพลงเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นเพลงสนุกสนานในเวลาต่อมา เรากระโดดโลดเต้น แหกปากร้องจนเหน็ดเหนื่อย เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มกรอบหน้าและแผ่นหลัง ผมเดินไปซื้อเบียร์มาอีกกระป๋อง กระดกดื่มจนหมดเนื่องจากแอลกอฮอล์ช่วยให้รู้สึกสนุกขึ้นเป็นเท่าตัว
สี่ทุ่มครึ่ง Moving and cut วงดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟอีกวงที่ผมชื่นชอบก็เอ่ยทักทาย ท่ามกลางเสียงกรี๊ดต้อนรับของคนด้านล่าง
เพลงส่วนใหญ่ของวงมักเป็นเพลงเศร้า ดังนั้นหลายคนจึงเตรียมตัวอย่างดีว่าจะมาน้ำตาหลากกันที่นี่ ก่อนหน้าก็ A little bliss ไปแล้ว ตอนนี้หัวใจคนฟังคงอินไปอีกพักใหญ่
“นี่เป็นเพลงใหม่ของพวกเรา อาจจะแปลกหน่อยที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยเพลงเร็ว เพียงแต่เราคิดว่าคงมีใครในนี้อีกหลายคนที่มาคนเดียว”
“วู้วววๆๆๆ”
“ใครอีกหลายคนที่เพิ่งอกหัก”
“ช่ายยยยยยยย”
“ใครหลายคนที่กำลังหนีความจริง และใช่...บางคนเลือกหนีเพื่อที่จะได้รู้สึกดีขึ้น หนี...เพื่อลืมความรักที่จากเราไป เพราะงั้นขอเสียงคนที่กำลังหนีหน่อยได้มั้ยครับ”
“กรี๊ดดดดดดดดดด”
เสียงตอบกลับดังไปทั่วพื้นที่ ผมยังคงยืนนิ่ง จ้องมองไปตรงเวที รอคอยจนกระทั่งดนตรีในจังหวะแสนคุ้นเคยดังขึ้นมา
คืนนี้ผมมาเที่ยวกับความเหงา เราแบกเป้กันมาไกลด้วยความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างในร่างกายที่แหลกสลาย ผมพยายามที่จะรักษาด้วยการหยุดเฝ้ารอ และเลือกเยียวยามันด้วยการทำทุกๆ อย่างเหมือนในอดีต
ก่อนมีความรักผมทำอะไรบ้าง รู้สึกยังไง มีความสุขแค่ไหน
ผมไม่ได้โดดเดี่ยว ในวันที่ความเหงาเข้ามาทักทาย ก็แค่ยอมรับความจริงและอยู่ให้ได้เท่านั้น
“มาช่วยร้องไปพร้อมๆ กันนะครับ Escape…”
“ฉันเพียงแค่อยากหนีไป ยังฝืนความรู้สึกไม่ไหว
เพราะว่าในความหลัง ไม่ได้ทำให้มีความหวัง
ให้เดินต่อไป...
แต่สุดท้ายฉันยังคงอยู่ที่เดิม
มีชีวิตเหมือนวันเก่าๆ เสมอ
ได้แค่ยิ้มให้ความผิดหวัง และคงทำได้เพียงแค่นั้น
มานานเหลือเกิน” เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมคนอกหักถึงชอบฟังเพลงเศร้า ทั้งที่มันไม่ได้ปลอบประโลมอะไรเรา ตรงกันข้ามกลับทำให้เรายิ่งเจ็บเข้าไปอีก
จริงๆ แล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยึดติดกับความเจ็บปวดต่างหาก การตอกย้ำว่าเราทรมานแค่ไหนเป็นเหมือนการระบายความอัดอั้นทุกอย่างออกมา หลายครั้งที่คนฟังเพลงเศร้าแล้วร้องไห้ หลายครั้งที่ไม่อาจฝืนยิ้มได้อีกต่อไป และหลายครั้งเหมือนกันที่เราตะโกนแหกปากร้องเพลงฟูมฟายจนแทบเสียสติ
ถามว่าเจ็บมั้ย ก็ไม่ได้บรรเทาอะไรมาก แต่ในทางความรู้สึกผมคิดว่ามันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เจ็บปวดเข้าไปอีก แต่ต่อให้เจ็บแค่ไหน เราก็ยังมีความหวังว่าทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม
“ฉันเพียงอยากขอช่วยทำให้ฉันหายไป
หายไปในความฝันที่ไม่มีใครสนใจ
อยู่ตรงนั้นคงงดงาม ฟ้าที่สีคราม ลมที่พัดผ่านไป
ได้แต่หวังว่ามันคงสวยงาม” น้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ความอดทนที่พยายามมาตลอดพังทลายลงไม่เป็นท่า ท่ามกลางผู้คนมากมาย ผมรับรู้ได้แต่เสียงร้องไห้ของตัวเอง มันดังก้องในใจและยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด
‘ชยิน’
‘หืม’
‘จากวันแรกที่เจอคุณจนวันนี้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่...’
‘...’
‘ผมชอบคุณมากขึ้นทุกวันเลยว่ะ’ เขาคงลืมมันไปหมดแล้ว มีเพียงผมที่ยังคงจดจำได้ขึ้นใจ
ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลราวกับสายน้ำ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวลงทุกขณะจนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
เกลียดตัวเองฉิบหายที่ต้องมาอกหักทั้งที่ยังไม่ได้คบ
“คุณ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ใครสักคนย่อเข่าลงตาม มือข้างหนึ่งแตะลงบนไหล่ของผมเบาๆ ราวกับกำลังเป็นห่วง
“เปล่าครับ ผม...ไม่เป็นไร”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะคะ”
“ขอบคุณมากครับ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ” ผมกะพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำตาร้อนๆ พลางยกแขนขึ้นเช็ดอีกที จากนั้นจึงยืนขึ้นเต็มความสูง ก้มหัวขอบคุณกลุ่มคนตรงหน้าก่อนเบียดเสียดผู้คนเดินออกไปด้านนอก
ความพยายามที่ทำมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ล้มเหลวไม่เป็นท่า
วันนี้...ผมคิดถึงเขาอีกแล้ว
ถึงผมกับยุคจะได้เจอกันในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้ยาวนานนับปีเหมือนใครหลายคน แต่แปลกเหลือเกิน...ตอนที่ความสัมพันธ์จบลงในวันนั้น ความทรงจำทุกอย่างกลับยังคงดำเนินต่อ
ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ อาจจะหนึ่งเดือน สองเดือน หนึ่งปี ตอนที่มีความรักครั้งใหม่เข้ามาทักทาย หรือบางที...
มันอาจเป็นตลอดไป
อ่านต่อด้านล่างค่ะ