ตอนที่ 11
หัวใจมักวุ่นวาย (เป็นบางครั้ง)
บางครั้งโลกก็แสนวุ่นวาย
บางครั้งชีวิตแสนราบเรียบก็มีสีสันขึ้นมาเพราะใครคนหนึ่ง
และบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอทำอะไรลงไป แต่กลับทำให้คนบางคนยิ้มปากแทบฉีกถึงใบหูเหมือนในตอนนี้
“แต่งงานกัน! แต่งงานกัน! แต่งงานกัน!”
แต่งเชี่ยไรของเมิ๊งงงงงงงง
บอกตามตรงว่าเสียงเพลงที่อึกทึกครึกโครมภายในร้านตอนนี้ ยังไม่สามารถสู้กับเสียงโห่ร้องและเอ่ยแซวที่ดังมาจากโต๊ะของผมได้เลย คือกูไม่รู้ตัวไงว่าเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจไปจนหมดเปลือก แต่เวลาก็ย้อนกลับไปให้แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
เหงื่อเปียกๆ ไหลซึมเต็มฝ่ามือของผม ขณะถูกมือหนาของไอ้ยุคกอบกุมเอาไว้ ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของคนโดยรอบ
ง้างงงงงง ใครก็ได้สูบกูลงนรกที ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีก่อนผมจะหน้าบางไปมากกว่านี้
“กลับมั้ย คุณอาจจะเมาแล้ว” ซึ่งยุคแม่งก็ฉลาดในเรื่องนี้ทุกที เวลาที่ผมเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากอะไรก็ตาม มันจะเป็นคนแรกที่จับมือและพาผมออกไปเสมอ ครั้งนี้ก็ไม่ต่าง
“อือ” ผมพยักหน้าอย่างไม่รีรอ
“งั้นทุกคน คืนนี้ต้องขอพาชยินกลับก่อน” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ
“ง่อววววว ไปไหนกันต่อคร้าบ แอบไปกิ๊กกันสองต่อสองเหรอ”
“เสือกน่า”
“โว้วๆๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้ กลับก่อนเถอะไอ้ชยิน เดี๋ยวยังไงค่อยเจอกันใหม่” ไอ้เบิร์ดพูดพลางปัดมือเป็นเชิงไล่ คือหน้ากูตอนนี้ไม่รับมุกแล้วครับ แม่งอยากจะซุกหน้าเข้าไปในถุงปุ๋ยอย่างเดียว
หลังเอ่ยลาเพื่อนในโต๊ะอย่างลวกๆ ผมก็เดินจ้ำอ้าวตามหลังร่างสูงไปติดๆ ขามาไอ้ริวเป็นคนถ่อไปรับ ขากลับผมก็ยังติดสอยห้อยตามไปกับไอ้นักเขียนฆาตกรรมที่โหดสัดอีก
บรรยากาศในรถเต็มปกคลุมด้วยความเงียบงัน ผมเคาะมือไปบนเข่า พยายามทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ในหัว อะไรที่ผลักดันให้ผมคิดและพูดแบบนั้นออกไป อาจเป็นความสับสนชั่วขณะ หรือเพราะความกดดันที่กำลังเผชิญอยู่ หลายอย่างตีกันจนวุ่นวายและสุดท้ายผมไม่อยากปวดหัวกับมันอีก
หมีใหญ่จะเป็นใครไม่สำคัญแล้ว ก็แค่ความทรงจำช่วงหนึ่ง ผ่านมา จดจำ และก็ผ่านไป หากวันใดวันหนึ่งที่มีโอกาสเจอกันเราก็คงทำได้แค่ยิ้ม แล้วเอ่ยขอบคุณที่เข้ามาทำให้ชีวิตราบเรียบของผมไม่เหงาเหมือนที่ผ่านมา มันมีแค่นั้น
แต่เหตุผลที่ทำให้ผมวิตกกังวลกับเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน คงเป็นเพราะช่วงเวลาก่อน MSN จะหมดอายุ อีกฝ่ายดันบอกชอบผมขึ้นมาซะงั้น
เคยมั้ย...เวลาที่เจอหรือคุยกับใครคนหนึ่ง เราไม่ได้ชอบเขามากหรอก แต่พอเขาบอกว่าชอบเรา แม่งจะรู้สึกดีขึ้นมาทันที ผมเองก็คงไม่ต่างกันนัก
อาจจะหวั่นไหวง่าย อาจจะสับสนงุนงงจนบางทีก็นึกสงสัย...แล้วกับยุคล่ะเป็นความชอบจริงๆ ใช่มั้ย
หรือที่พูดออกไปแบบนั้นเพียงแค่เจ้าตัวเอ่ยชอบออกมา
คำถามนี้ค้างคาอยู่ในใจมาตลอด กระทั่งผมเลือกหาคำตอบด้วยการเปิดใจ อยากรู้เหมือนกันว่าเราจะไปกันได้ไกลแค่ไหน แต่ก่อนอื่นเลยช่วยหาอะไรก็ได้ที่พอจะลดความประหม่าในตอนนี้ให้กูที
แม่งเอ๊ย! คือไอ้ยุคเงียบผมก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วครับ บางทีในใจมันอาจจะล้ออยู่ เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาพักหนึ่งแล้ว
“เป็นอะไรคุณ” ยิ่งคนบ้าจี้อย่างผมด้วยแล้ว มันเลยอดถามออกไปไม่ได้
“เปล่า” ดูมันตอบเข้า
“ก็เห็นคุณยิ้ม”
“ดีใจต่างหาก คุณบอกชอบผม”
“ชะ...ใช่ที่ไหนเล่า มันเรียกว่าการเปิดใจต่างหาก เพราะถ้าเปิดใจแล้วผมก็จะไม่คุยกับคนอื่นอีก มันมีแค่นั้นจริงๆ” พูดออกมายืดยาวขนาดนี้หวังว่าจะเข้าใจนะ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ดีใจอยู่ดี คุณไม่รู้สึกแบบนั้นบ้างเหรอ” เสี้ยวหน้าคมหันมามองผมแว๊บหนึ่งก่อนกลับไปจดจ่อกับถนนตรงหน้า
“ไม่อ่ะ”
“สักวันอาจจะดีใจ”
“ไม่แน่ ต้องดูก่อนว่าเวิร์กหรือเปล่า อย่าลืมนะว่าผมไม่มีความรักมานานแล้ว อีกอย่างคุณก็เป็นผู้ชายด้วย มันยังมีอะไรอีกเยอะแยะที่ต้องเรียนรู้”
“ผมก็เหมือนกัน เหมือนคุณทุกอย่าง เพราะงั้นเรามาเรียนรู้ด้วยกันเถอะ”
เหมือนวิชาภาษาไทยที่ครูผ่องศรีเคยสอน เรามาเรียนรู้กันเถอะค่ะนักเรียน ถุย!
“อืม ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”
“ฝากตัวด้วยนะชยิน”
“เหมืนกัน”
อยากรู้เหลือเกินว่าชีวิตนักแต่งเพลงกากๆ กับนักเขียนในคราบนักฆ่าอย่างมันจะเป็นยังไง บางทีอาจจะดี หรือบางทีอาจจะพังพินาศ ผมขจัดความกลัวออกไปจากใจจนหมดแล้ว ไม่ว่าจะยังไง ดีหรือร้าย สมหวังหรือเจ็บปวด เราต่างก็ต้องยอมรับมันเมื่อได้รับคำตอบในที่สุด
ยุคมาส่งผมถึงหน้าห้อง จากนั้นมันก็กลับออกไป ปล่อยให้ผมทิ้งตัวลงนอนได้ไม่นานประตูห้องก็ถูกเคาะอีกรอบ คิ้วสองข้างขมวดปมอย่างสงสัย แม่งเสือกลืมอะไรอีกวะ คิดไปก็ลากเท้ากลับไปยังหน้าประตู ไม่นึกเลยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้จะไม่ใช่ไอ้ยุค แต่เป็นไอ้ริว
“มาได้ไงวะ” ไอ้ริวยืนนิ่ง ส่งยิ้มหล่อๆ ของมันมาให้ก่อนตอบ
“กูมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับมึงอ่ะ ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย”
ผมเกาหัวแกรกแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาภายใน ร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟา ขณะที่กูนั้นรีบกุลีกุจอเก็บเศษซากอารยธรรมเกลื่อนพื้นอยู่พักใหญ่
“โทษทีนะกูไม่ค่อยได้เก็บห้อง” ตอนมารับมันก็อยู่ข้างล่างรอไง ไม่ได้มาเห็นสภาพแบบนี้เหมือนไอ้ยุค
ซึ่ง...อีกฝ่ายก็คงชินกับภาพพวกนี้ไปแล้ว แต่กับไอ้ริวมันไม่ใช่ไง
“ไม่เป็นไรเลย”
“หิวน้ำมั้ย เดี๋ยวรอแป๊บนะ” ไม่รอฟังคำตอบผมรีบพุ่งตรงไปยังตู้เย็น เปิดเอาน้ำดื่มออกมาเสิร์ฟแขกของห้องอย่างเร็วรี่
“ชยินมึงไม่ต้องเกรงใจกูขนาดนั้น” เสียงของไอ้ริวทำให้ผมชะงักมือ ปล่อยขวดน้ำลงกลางโต๊ะและหันไปมองคนพูดครู่หนึ่ง
“ก็มึงมาห้องกูทั้งทีนี่”
“มาคุยกันหน่อย กูมีเรื่องสำคัญจะบอกกับมึง” คราวนี้มึนกว่าเก่าอีกสัด ด้วยความขี้เสือกประมาณนึงผมจึงสาวเท้าไปยังโซฟาตัวเก่ากลางใหม่ แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวสูงกว่าอย่างสงบเสงี่ยม
“มีอะไรหรือเปล่าวะ” ดึกดื่นป่านนี้ยังลากสังขารมาหากันได้ คิดว่าคงสำคัญไม่น้อย
“มึง...ชอบไอ้ยุคจริงๆ เหรอ”
เชี่ย! คำถามห่าอะไรวะเนี่ย
“มึงเป็นอะไรวะริว ทำไมถึงถามเรื่องนี้ได้”
“ตอบมาเถอะน่า”
“กูยังไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง อาจจะ...ลองดูกันไปเรื่อยๆ มั้ง”
“งั้นถามหน่อย มึงเข้าใจว่ากูเป็นคนที่มึงคุยด้วยใน MSN นี่เลยเป็นเหตุผลที่มึงออกมาเจอกูแล้วไปนั่นไปนี่ด้วยกันใช่มั้ย”
คำถามนี้เล่นเอาผมสตั๊นไปหลายวินาที รู้สึกผิดขึ้นมาเลยไอ้เหี้ย
“กูขอโทษว่ะริว แต่ส่วนหนึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ กูแย่มาก เข้าใจว่าเราสนิทกันมาก่อนแล้วก็เลย...” ผมพูดไม่ออก ขณะคนเคียงข้างเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ไม่ๆ กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น คือที่มาเนี่ยแค่อยากถามให้แน่ใจ แล้วก็มีเรื่องที่อยากบอกกับมึง”
“อือ”
“กูไม่ใช่หมีใหญ่อะไรนั่นของมึง แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่กูก็ชอบมึงไม่ต่างจากไอ้ยุคหรอก”
“ฮะ! มึงวะ...ว่าไงนะ”
บอกตามตรง หากมันยังคงเป็นหมีใหญ่ผมคงไม่ตกใจเท่านี้ เพราะที่ผ่านมาผมก็คิดเองเออเองไปหมดทุกอย่าง ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งไอ้ริวจะมาบอกชอบกันจริงๆ
ตอนแรกคิดว่าชีวิตผมจะมีผู้ชายเข้ามาป้วนเปี้ยนให้ปวดหัวเล่นแค่สองคน นั่นคือไอ้ยุคกับหมีใหญ่ แต่คราวนี้ดันพ่วงไอ้ริวเข้ามาในวงจรอุบาทว์ด้วยนี่สิ
ฮอตไม่ดูเวล่ำเวลาเลยไอ้ชยิน ไอ้เวร!
เงินในบัญชีทำไมไม่เข้ามาบ่อยเหมือนความรักบ้าง แถมโผล่มาทีก็เล่นเอาปวดหัวฉิบหาย
“กูชอบมึง”
“ล้อเล่นหรือเปล่าวะ คือถ้ามึงเข้าใจผิดจากการกระทำที่ผ่านมาของกู กูขอโทษจริงๆ”
“กูรู้ตัวเองดี และก็เข้าใจมึงด้วย หลายครั้งที่เหมือนมึงมีใจแต่สุดท้ายกูก็ได้คำตอบว่าไม่ใช่ เพราะงั้นกูเลยขอโอกาสกับมึงเหมือนที่ไอ้ยุคได้รับ” มนุษย์บนโลกที่ผมรู้จักต้องตรงเผงทุกคนเลยป่ะวะ
บางทีอ้อมค้อมบ้างก็ได้ กูไม่โกรธหรอก มาแบบนี้มันตั้งตัวไม่ทันไง ทุกสิ่งที่อยู่ในหัวพรั่งพรูออกมาไม่รู้จบ ทว่าผมก็คงพูดได้แค่...
“ริว ความจริงแล้วกูถามตัวเองหลายครั้งว่าคิดยังไงกับมึง ไม่ว่าจะตอนที่ปักใจเชื่อว่ามึงเป็นหมีใหญ่หรือไม่ได้เป็น สุดท้ายแล้วกูก็ได้คำตอบเหมือนเดิมคือเป็นเพื่อนกันน่ะดีที่สุดแล้ว”
“เรายังไม่มีเวลาศึกษากันเลย มึงแม่งก็ตัดสินกูซะละ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันไม่ถูกต้อง”
“ยังไงที่เรียกว่าไม่ถูกต้องวะ”
“กูไม่ชอบคุยกับใครหลายๆ คน คนปกติเขาไม่ทำกัน”
“ตราบใดที่มึงยังไม่คบใคร มึงก็มีสิทธิ์จะทำแบบนั้นเว้ยชยิน”
“แต่ว่า...”
“มึงทำได้ เดี๋ยวกูคุยกับไอ้ยุคเอง คนเราควรมีสิทธิ์เลือกป่ะวะ”
“มันไม่ปกติว่ะริว ทุกคนมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีหรือเหมาะสมที่สุดให้ตัวเองอันนี้กูรู้ดี แต่บางครั้งมันไม่ใช่ว่าเราจะเลือกโดยไม่แคร์อะไรเลย ไอ้ยุคมาขอโอกาสจากกูก่อน แล้วกูก็บอกแล้วว่าจะเปิดใจ ถ้าวันไหนที่ไปกันไม่รอดกูถึงจะเริ่มกับคนใหม่ ถึงตอนนั้น...”
ผมหยุดพูดไปอึดใจหนึ่ง จ้องมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้า “มึงรอได้มั้ยล่ะ”
“กูรอได้” คำตอบนั้นหนักแน่นจนผมเริ่มหนักใจ
ไม่ใช่ไอ้ริวไม่ดี แต่มันไม่ใช่จังหวะและเวลาของมัน
พูดเหมือนคนเลือกได้เนาะ แต่ถามหน่อยเถอะ ไม่มีผู้หญิงสักคนหลุดมาให้กูเลือกแบบนี้เลยเหรอวะ หรือจริงๆ แล้วโชคชะตาต้องการกำหนดให้ผมได้รักกับผู้ชายสักคนมากกว่า งงในงงเว่อร์
“บางทีมึงอาจจะต้องรอโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย”
“กูก็ยินดี”
“ไม่อยากให้มึงต้องเสียเวลาเลยว่ะ กับความรู้สึกกูตอนนี้มึงเป็นแค่เพื่อนจริงๆ”
“กูไม่ได้เสียเวลาเลยสักนิด ยังมีเวลาอีกเยอะเพื่อรอโอกาสจากมึง”
“...” เดดแอร์เลยครับ
“งั้นตามนี้นะ กูจะรอวันที่ได้รับโอกาสจากมึง แต่ถึงไม่ได้กูก็จะรอคำตอบในวันนั้นอยู่ดี”
เรื่องจบลงตรงที่ไอ้ริวมัดมือชกทุกอย่าง และปิดประเด็นด้วยการเดินออกห้องไป ทิ้งความหนักอึ้งเอาไว้ให้กับมนุษย์แกลบอย่างผม จนต้องเผลอเอาตีนก่ายหน้าผากหนักหน่วงกว่าทุกคืน
มันไม่ง่ายหรอกที่จะรักใครสักคน
แล้วมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันที่เราจะเลือกคนๆ หนึ่งโดยที่อีกคนไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ผมต้องส่งเพื่อนรักขึ้นเครื่องเพื่อกลับไปหาเมีย
ใจหายขึ้นมาเลยว่ะ ตอนมันไม่อยู่ทุกอย่างก็คงเงียบเหงากว่าเดิมเป็นเท่าตัว ยังจำวันแรกตอนที่แม่งแวะมาหาที่ห้องได้อยู่เลย กระเป๋าสตางค์ยี่ห้อ Coach กูยังใช้อยู่นะ แถม MSN ของมันก็คงเป็นเรื่องเล่าในชีวิตของผมไปอีกนาน
ซุปเปอร์เนิร์ดที่เป็นทุกอย่างของผม กำลังเดินทางไกลอีกแล้ว กว่าจะเจอกันอีกทีก็หนึ่งถึงสองปีข้างหน้าโน่น
เพื่อนที่ดีอย่างมันไม่ใช่จะหากันง่ายๆ ยิ่งคนขี้เหงาและเพื่อนไม่เอาอย่างผมยิ่งแล้วใหญ่ จะกลับไปหาเพื่อนมหา’ลัยเขาก็มีงานมีการทำเป็นเวลา หรือจะให้ติดต่อหาเพื่อนสมัยเด็กนี่ยิ่งหนัก ผมไม่ชอบขี้หน้าแม่งเลย ครั้งหนึ่งพวกมันเคยแย่งกล้วยบวชชีของผมไปกินตอนอยู่เนอสเซอรี่ บอกตามตรง กูฝังใจมาจนทุกวันนี้
“ฮือออออออ”
“ร้องไห้ทำเหี้ยไรเนี่ย” กูล่ะหมดมู้ดทันทีที่ไอ้เพื่อนเลวนี้พูดขึ้น
“มึงไม่อยู่กูก็เหงาดิวะ”
“มึงจะไม่เหงา ฝากชยินด้วยนะ” ท้ายประโยคมันหันไปหาคนตัวสูงอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และใช่! ไอ้ยุคมากับผมด้วย เรามาส่งเพื่อนรักด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศน้ำเน่าสัดๆ
“จะดูแลเป็นอย่างดี” แล้วดูคำตอบของไอ้ยุคครับ เล่นเอากูขนลุกขนชันขึ้นมาฉับพลัน
“เมื่อไหร่มึงจะกลับมาอีก”
“ปีหน้าอาจจะมา รอดูจังหวะก่อน”
“แล้วกลับมาอยู่ถาวรล่ะเมื่อไหร่”
“ตอนแก่โน่นจ้า” ดูจากสภาพหนังหน้าและกิริยามึงแล้ว ไม่ได้ตายแก่ชัวร์
“กูคงคิดถึงมึงมากว่ะเบิร์ด และคงเหงาฉิบหาย”
“เชื่อสิว่ามึงจะไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว แต่อาจจะเครียดเรื่องไม่มีเงินจนนอนไม่หลับแทน”
“แช่งกูไอ้สัด ยิ่งปีชงอยู่ด้วย”
“เออท่าจะจริง ชงเข้มซะขนาดนี้” พูดไปสายตาก็เหลือบมองไอ้ยุคไป เผื่อมึงยังไม่รู้นะเบิร์ด นอกจากไอ้ยุคแล้วไอ้ริวก็ยังตามเข้ามาผสมโรงชงจนวุ่นวายด้วยอีกคน
“เดี๋ยวกูว่าต้องเข้าเกตแล้วว่ะ” สิ้นสุดคำพูดของเพื่อนเมพ ผมก็โผเข้าไปกอดคอมันทันที
ใจหายโว้ยยยยยยยยย
“เป็นหมาเหรอชยิน ปล่อยกูไอ้สัด”
“กูไม่ให้มึงไป โทรบอกเมียมึงเลยว่าจะอยู่ที่นี่ ให้เมียมึงตามมา”
“ห่าอะไรของมึง กูคิดถึงเมีย”
“มึงไม่คิดถึงกูเหรอ”
“มึงไม่ได้สำคัญกับกูขนาดนั้น”
โฮร่ลลลลลลลล ร้องไห้น้ำตาเป็นสายไหม
“กูจะทำเรื่องขอให้ทรัมป์ส่งมึงกลับไทย ข้อหาลอกเลียนโปรแกรมของของไมโครซอฟท์”
“ยิ่งใหญ่จังเลยนะมึงเนี่ย” ไอ้เบิร์ดลากกระเป๋ามาตามทาง โดยมีผมเกาะหลังมันไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดปล่อย
เราอยู่ห่างจากเกตพอสมควร เลยใช้เวลาเดินไปบ่นไปไม่หยุดหย่อน คือกูจะงอแงใครก็ห้ามไม่ได้ ขนาดไอ้ยุคยังไม่กล้าปริปากเลย มีแต่ไอ้เบิร์ดเนี่ยแหละที่เอาแต่สาปแช่งผมทุกวินาที
“เดี๋ยวกูก็กลับมามั้ย แต่ถ้าคิดถึงก็ช่วยส่งลาบหมูไปให้ที่เมกาหน่อยดิ”
“ไม่!!”
“งั้นกูก็ไม่กลับมาแล้วจ้า”
“เออๆ กูจะส่งลาบหมูแช่แข็งไปให้เลย ถึงแล้วติดต่อหากูบ้างนะ”
“จะลืมได้ไง ไปละ” เราหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเกต จู่ๆ หัวใจก็วูบโหวงขึ้นมาดื้อๆ กระบอกตาร้อนผ่าว มือสั่นเทาราวกับกลัวว่าตัวเองจะสูญเสียอะไรบางอย่างไปซึ่งมันก็จริง...
เบิร์ดไม่อยู่แล้ว คนเหงาที่ไม่มีใครเข้าใจกำลังจะกลับมา
“โชคดีชยิน” เพื่อนรักโบกมือลา ผมกับไอ้ยุคก็โบกมือตามหยอยๆ
“โชคดี”
ทำได้แค่มองดูแผ่นหลังของมันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนสุดสายตา ผมไม่คิดว่าจะทำใจกับอะไรพวกนี้ได้มากนัก หากวันหนึ่งคนที่เคยอยู่กับเราเดินจากไป ผมจะเป็นยังไงวะ
“ร้องไห้ทำไม ไม่ร้อง โตๆ กันแล้ว” ไอ้ยุคเอ่ยปลอบผมก่อนดึงตัวเข้าไปกอดราวกับกูเป็นเด็ก และมันก็แปลกมากที่ผมยอมให้เจ้าตัวได้ทำตามใจโดยไม่นึกเถียง
ช่างเป็นซีนที่โลกนี้ต้องจารึก นักแต่งเพลงและนักเขียนกากๆ สองคนยืนกอดกันหน้าเกต ท่ามกลางสายตาของเจ้าหน้าที่ที่มองกลับมาเป็นเชิงถาม...
อะไรของมันวะ?
คล้อยหลังซุปเปอร์เนิร์ดได้ไม่นาน ผมกับไอ้ศตวรรษก็แวะหาร้านข้าวประทังกระเพาะแถวๆ สนามบิน เราสั่งฟาสต์ฟู้ดแดกง่ายๆ คนละอย่าง ใช้เวลากินไปคุยไปตามประสาจนกระทั่งสังเกตเห็นสายตาคมเข้มที่เพ่งมองไปยังอะไรสักอย่างซึ่งอยู่ด้านหลังของผมอยู่บ่อยครั้ง
ด้วยความอยากรู้จึงเห็นไปมองบ้าง เลยได้เห็นผู้ชายหน้าตาดีเหี้ยๆ คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่กับเพื่อน
“รู้จักกันเหรอ” ผมถาม น้ำเสียงแข็งกระด้างจนรู้สึกได้
“เปล่า”
“แล้วคุณมองทำไมอ่ะ หรือชอบ”
“เปล่า”
“ไม่เข้าใจอ่ะ ช่วยตอบให้กระจ่างหน่อย”
“แค่คิดว่าทรงผมนั้นน่ารักดี ถ้าคุณตัดมันคงเหมาะมาก”
“เหอะ! ผมไม่มีความคิดที่จะทำอะไรเหมือนคนอื่นหรอก” แม้ช่วงนี้ผมจะเริ่มยาวจนแทบปิดตาแล้วก็ตาม
“ก็ดีแล้ว คุณเป็นแบบไหนมันก็ดีทั้งนั้นแหละ”
อยากปาเบอร์เกอร์ทิ้งแล้ววิ่งเข้าส้วมเพื่อไปอ้วกเลยจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเสียดายเพราะความจนอ่ะนะ
“เดี๋ยวคุณไปไหนต่อ” ผมไม่เล่นไปตามเกมของอีกฝ่าย แต่พยายามเบี่ยงประเด็นเพื่อคุยเรื่องอื่นแทน
“ปั่นต้นฉบับ คุณล่ะอยากไปไหนมั้ย”
“ไม่ ผมเองก็ยังมีโปรเจ็กต์เพลงที่ต้องแต่งอีกเพลงนึง”
“งั้นกลับห้องมั้ย”
“อืม...” แม้ลึกๆ จะยังไม่อยากกลับเท่าไหร่ ไม่รู้สิ บางทีสิ่งที่ต้องการอาจไม่ใช่การออกไปข้างนอกหรือแช่อยู่ในห้อง แต่เป็นความรู้สึกที่ว่าเราอยากมีใครสักคนทำอะไรด้วยในตอนนั้นมากกว่า
“แล้วรีบหรือเปล่า” เสียงทุ้มปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ชั่วครู่
“หมายถึงอะไร”
“แต่งเพลง”
“ไม่เท่าไหร่ งานไม่เร่ง แต่งไปเรื่อยๆ”
“คืนนี้ไปนั่งแต่งเพลงที่ห้องผมมั้ย เดี๋ยวแวะไปรับ” หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาเฉย
“ไม่ต้อง”
“ไม่อยากมาเหรอ”
“ใช่ที่ไหนล่ะ แค่จะบอกว่าไม่ต้องมารับ”
“...”
“เดี๋ยวไปเอง” นี่ไม่ได้เรียกว่าให้ความหวังหรอกนะ ก็แค่...ก็แค่...
ก่อนที่จะไปหาไอ้ศตวรรษ ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกระดิกเท้าฆ่าเวลาอยู่ที่ห้องหรอก แต่เปลี่ยนเป็นรีบติดต่อหาใครคนหนึ่งที่รู้จักกันพอสมควรแทน พอได้ยินคำว่า ‘ว่าง’ จากปลายสายผมก็ไม่รอช้านั่งรถไฟฟ้าไปอีกสองสถานีจนถึงหน้าร้าน
“น้องชยิน ไม่เจอกันนานเลย” รุ่นพี่สาวประเภทสองที่เป็นเจ้าของร้านเดินมาต้อนรับถึงที่
“ครับ ไม่ได้เจอกันนาน” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“แล้ววันนี้จะตัด สระ ไดร์ หรือทำสีผมเอ่ย”
“คือ...ตัดผมครับ”
“แบบไหนคะ เดี๋ยวนั่งโซฟาก่อน” เจ้าตัวผายมือไปยังโซฟาตัวหรูสีดำ ก่อนผมจะเดินเข้าไปนั่งพร้อมหยิบมือถือขึ้นมา
คือกูหืดจับมากครับกับการเซิร์ชหาทรงผมของผู้ชายที่อยู่ในสนามบิน จะให้อธิบายก็ยาก จะให้วาดออกมาฝีมือก็ง่อยอีกนั่นแหละ ดังนั้น Google จึงเหมือนเป็นทางออกสุดท้าย
‘ทรงผมผู้ชายน่ารักๆ” กูเกลียดคำนี้มาก แต่แม่งก็ต้องหา
แล้วเสือกเจอด้วยไง!
แถมเหมือนผู้ชายคนนั้นเป๊ะ
“เอาตามรูปนี้เลยครับ” ผมยื่นมือถือให้คนตรงหน้า
“โอ้วดีมากค่า อันนี้ก็ตัดผมหน้าขึ้นนิดหน่อยเนาะ ส่วนข้างหลังก็ซอยให้สั้นลง ทรงนี้วัยรุ่นตัดกันเยอะ น่ารักมากจริงๆ เข้ากับรูปหน้าชยินด้วย เกาหลีมั่กมากค่ะ”
นั่งฟังคำสาธยายอะไรต่อมิอะไรไปสักพัก ผมก็ถูกจับขึ้นเขียง ทั้งตัด ซอย แบตเตอร์เลี่ยนไถกรุยจนเส้นผมที่อยู่บนหัวหายไปเยอะโข ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
“เสร็จแล้วค่า หุยยยย หล่อน่ารักเลย”
ส่องตัวเองในกระจกมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไมเกิดมาหน้าตาดีขนาดนี้วะเนี่ย
“เท่าไหร่ครับ”
“หกร้อยค่า เดี๋ยวก่อนไปขอถ่ายรูปลงเพจร้านหน่อยได้มั้ยคะ”
“ครับ”
ผมยืนนิ่งปล่อยให้แกและเด็กในร้านจัดท่าจัดทางให้ พอถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลากลับไปต้มมาม่าแดกเพราะไม่มีตังค์ซื้อข้าวกิน ก่อนจะนอนมองดูนาฬิกาที่หมุนไปเรื่อยๆ เพื่อรอจนกว่าจะถึงเวลานัดหมาย
สองทุ่ม...เมื่อไหร่จะสองทุ่ม
ลืมสิ้นแล้วเรื่องไอ้เบิร์ด นึกเสียดายน้ำตาที่ร้องให้มันตอนกลางวันฉิบหายเลย
กริ๊งงงงงงง
เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นห้อง ผมดีดตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วคว้าถุงผ้าลงไปยังชั้นล่างทันที คาดว่าพอไปถึงห้องไอ้ยุคก็อาจจะเลทนิดหน่อย แต่มันดีแล้วเพราะจะได้ดูไม่จงใจเกินไปนัก แม้ในใจกูนั้นแทบจะพุ่งตัวถึงห้องมันตั้งแต่ตัดผมเสร็จแล้วก็ตาม
ผมนั่งรอคนตัวสูงอยู่ตรงล็อบบี้ ไม่นานคนที่รอคอยก็เดินลงมาพร้อมส่งยิ้มกว้างมาให้ ผมเกาท้ายทอยแก้เขิน ไม่รู้แม้กระทั่งจะวางมือไว้ตรงไหนอ่ะคิดดู
“ดูแปลกตาไปนะ” คำทักทายแรกที่หลุดออกมาจากปากของไอ้ยุค
“เหรอ”
“อืม”
“แบบ...อากาศมันร้อนน่ะ เลยตัดผมออกนิดหน่อย”
“น่ารักดี” เจ้าตัวเอ่ยชม จนกูนี่แทบบิดเป็นผ้าซักใหม่เลยสัด
“คือบังเอิญเดินผ่านหน้าร้านตัดผม ช่างก็แนะนำมา ไม่ได้ตัดตามใครเลยจริงๆ”
“คุณไม่ได้ตามใครหรอกชยิน คุณเป็นคุณ ถึงจะมีคนตัดทรงเดียวกับคุณเป็นร้อย คุณก็น่ารักที่สุดอยู่ดี”
บึ้ม!!
คำพูดมึงเหมือนมีดสับหัวใจกูได้ละเอียดลออมาก
“ขึ้นไปข้างบนเลยมั้ย”
“อือ” ผมพยักหน้าเดินตามร่างสูงไปต้อยๆ และทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดเข้าไป บรรยากาศเดิมๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้ง ในห้องที่เตียงนอนห้อมล้อมไปด้วยตู้หนังสือ โต๊ะทำงานแสนรกแต่กลับมองดูเพลินตาไปอีกแบบ แถมยังมีกลิ่นอบอวลแสดงถึงตัวตนของคนเป็นเจ้าของ ซึ่งคงหาไม่ได้จากที่ไหน เพราะมันมีแค่ที่เดียว
“ผมขอนั่งพื้นได้มั้ย ตอนแต่งเพลงผมชอบนั่งพื้น”
“ไปนั่งบนเตียงไป พื้นมันเย็นมากเดี๋ยวขาจะชาเอา”
ผมไม่ได้ปฏิเสธ เดินตรงดิ่งไปที่เตียงหลังใหญ่ก่อนเทกระจาดของทุกอย่างในถุงผ้าออกมา การมาห้องของไอ้ยุคหลายๆ ครั้งทำให้ผมรู้ว่ามันมีสมบัติล้ำค่าเก็บเอาไว้อีกชิ้นหนึ่ง นั่นคือกีตาร์ นี่เลยเป็นเหตุผลที่ผมไม่พกของตัวเองมาด้วย
“คุณ ผมขอยืมกีตาร์หน่อยสิ” เอ่ยออกไปครู่เดียว ใบหน้าหล่อเหลาก็ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหมุนเก้าอี้หันมองผมนิ่งๆ
“งั้นมานี่สิ”
“คุณวางไว้ตรงไหนเดี๋ยวผมไปหยิบเอง” ครั้งก่อนอยู่ข้างตู้หนังสือ ครั้งนี้ไม่รู้หายไปไหน
“มานี่ก่อน” เสียงทุ้มยังคงเปล่งประโยคเดิม
“ทำไมล่ะ”
“เดินมาใกล้ๆ ผม” ผมไม่สามารถแย้งคำพูดประโยคนั้นได้ นอกจากคลานลงจากเตียงแล้วเดินไปหาคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ในเสี้ยววินาทีนั้นร่างกายก็ถูกรวบไปกอดจนแน่น ใบหน้าคมและจมูกสันโด่งกดลงบนหน้าท้องของผมจนรู้สึกจั๊กจี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายมันเป็นบ้าอะไรของมัน
แต่ที่บ้ายิ่งกว่าคือผมไม่เคยปฏิเสธอะไรได้เลย
“ผมคิดถึงคุณ” เจ้าตัวพูดออกมาตรงๆ จนผมเองก็ได้แต่อึ้ง
“ก็มาเจอแล้วนี่ไง”
“อยากอยู่กับคุณไปตลอด” ความจริงแล้วการอยู่กับไอ้ศตวรรษมันก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน ผมไม่ได้รู้สึกแย่ กลับกัน เพิ่งรู้ว่าความสบายใจมันหาได้ง่ายขนาดนี้
“แต่จะกอดผมตลอดแบบนี้ไม่ได้นะ บอกมาว่ากีตาร์อยู่ไหน ส่วนคุณก็ทำงานต่อไป”
“ผมจะได้อะไรจากการตอบคำถามคุณครับ”
มันมากอีกแล้วววววววววว มาแบบนี้ทีไรแม่งต้องมีข้อแลกเปลี่ยนตลอด
“คะ...คุณก็จะได้เพื่อนนั่งทำงานด้วยไง”
“พูดแล้วนะ”
“โอเค กีตาร์อยู่ข้างทีวีที่ห้องนั่งเล่น” เมื่อได้คำตอบแล้วเจ้าตัวก็ยอมปล่อยมือจากผม ทว่าความอบอุ่นยังคงเกาะกุมร่างกายจนรู้สึกได้อยู่ นี่หรือเปล่าที่หลายคนคิดถึงและโหยหาอ้อมกอด มันเป็นแบบนี้นี่เอง
สองเท้าเดินออกไปด้านนอก จากนั้นก็คว้ากีตาร์กลับเข้ามาดังเดิม คงมีแต่เจ้าของห้องล่ะมั้งที่ดูจะไม่จดจ่อกับการทำงานแต่กำลังพุ่งเป้ามาที่ผมโดยตรง
“มองอะไร ทำไมไม่ปั่นงานครับ” ผมถามเสียงดุขึ้นเล็กน้อย
“ผมบอกว่ากีตาร์อยู่ไหนแล้ว เพราะงั้นผมขอข้อแลกเปลี่ยนที่คุณเสนอมาหน่อย”
“ผมก็ทำอยู่นี่ไง นั่งเป็นเพื่อนทำงานกับคุณ”
“ไม่ใช่แบบนี้”
“ไม่ใช่แบบนี้แล้วแบบไหน”
ไอ้ยุคไม่ตอบแต่อ้าขากว้าง เฮ้ย! เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะนั่น
ห้านาทีต่อมา...
“คุณ อย่าเอาคางมาวางไว้บนหัวผมได้มั้ย” เริ่มบ่นอุบอิบแล้วครับ
“ก็มันสบาย คุณก็ทำงานไปดิ”
อย่างนี้จะให้กูทำได้ยังง้ายยยยยยยยยยยย
นรกบนดินมีจริงนะเนี่ย และวิธีการตกนรกแบบนี้ก็ทำร้ายร่างกายกันสุดๆ ร่างกายของผมทำงานหนักขึ้นจนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าหัวใจอาจจะวายตายในสักวัน
ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวเดียวกับไอ้ยุค โดยมีคนตัวสูงนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง แล้วกูเบื่อมากเวลาที่แม่งเอื้อมมือไปจับแป้นพิมพ์ทำงาน ร่างกายของผมเลยเหมือนถูกล็อกไว้ในวงแขนแกร่งจนขยับไปไหนไม่ได้ แถมหัวกูยังทำหน้าที่เป็นหมอนวางคาให้มันอีกต่างหาก
ซวยของจริง เจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้ แต่งเพลงก็ไม่ได้ ไม่มีสมาธิโว้ยยยยยย
กว่าจะหลุดออกจากพันธนาการของไอ้นักฆ่าได้ ก็ทำเอานั่งง่อยอยู่เกือบชั่วโมงจนเผลอพิงอกแกร่งหลับคาเก้าอี้ไปโดยปริยาย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกอุ้มกลับมาที่เตียงเนี่ยแหละถึงได้ลืมตาขึ้นมา
“นอนได้แล้ว”
“ผมต้องกลับ” ผมบอกเสียงงัวเงีย ภาพตรงหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเพราะยังปรับโฟกัสได้ไม่เต็มที่
“ดึกแล้ว นอนที่นี่เถอะ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“คุณทำให้ผมไม่ได้งาน” เสียงหัวเราะดังตามหลังมาทันที
“คุณไม่ทำเองนะ ผมให้โอกาสคุณทำแล้ว”
“ใครทำได้ก็โคตรเก่งแล้วโว้ย”
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยตื่นขึ้นมาเถียงต่อ”
“อือ...”
จำไม่ได้เหมือนกันว่าประสาทการรับรู้ถูกปิดไปตอนไหน แต่ผมฝัน ฝันเห็นใครคนหนึ่งล้มตัวลงนอนเคียงข้าง กอดผมไว้ในอ้อมกอดของเขาแล้วหลับไปด้วยกัน
เสียงทุ้มนั้นพูดกล่อมอยู่ข้างหู มันวนเวียนแบบนั้นซ้ำๆ ไม่รู้จบ
‘ผมรักคุณชยิน รักคุณ...’ อ่านต่อด้านล่างค่ะ