ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
**********************************************
★ MSN ★
(musician ‖ solitude ‖ novelist)
คนสองอาชีพที่เหงาที่สุดในโลก ต้องมาเจอกันผ่าน MSN...
สารบัญ
อินทะโลดักฉัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3706525#msg3706525)
ตอนที่1 เวลคัมแบ็คทูเอ็มเอสเอ็น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3706528#msg3706528)
ตอนที่2 คนเหงาเราเข้าใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3717891#msg3717891)
ตอนที่3 ศตวรรษบุคคลเหนือโลก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3729863#msg3729863)
ตอนที่4 ดึงสติกันหน่อยนะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3735639#msg3735639)
ตอนที่5 ความจริงเป็นสิ่งวุ่นวาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3741389#msg3741389)
ตอนที่6 YukYinCouple (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3747609#msg3747609)
ตอนที่7 จีบไม่กลัว กลัวแพ้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3754394#msg3754394)
ตอนที่8 ผู้ประสบภัยความเหงา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3775583#msg3775583)
ตอนที่9 ไม่ได้อ่อยแต่อร่อยกว่าทุกคน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3830392#msg3830392)
ตอนที่10 ต่อให้เรือจมพี่ก็จะว่ายน้ำไป (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3835092#msg3835092)
ตอนที่11 หัวใจมักวุ่นวาย (เป็นบางครั้ง) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3839619#msg3839619)
ตอนที่12 Find yourself and grow (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3845032#msg3845032)
ตอนที่13 ความเหงากลับมาทักทาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3852711#msg3852711)
ตอนที่14 ความหมายของอะไรบางอย่าง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3863351#msg3863351)
ตอนที่15 ไม่เคย 'ลืมเลือน' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3866335#msg3866335)
ตอนที่16 Musician . Solitude . Novelist (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61686.msg3869273#msg3869273)
THE END
ติดตามตอนพิเศษได้ในเล่ม
1. Lovely Bunny
(ยุคยินฟิคชั่น) นิยายจากแฮชแท็ก #YukYinCouple เรื่องราวของพี่ยุควิศวะที่บังเอิญมาเจอน้องกระต่ายตัวน้อยในร้านนม นั่นทำให้คนหน้านิ่งที่ไม่เคยรักใครเกิดอาการตกหลุมรักจนหัวใจแทบระเบิด
2. ความพยายามของสามีและคุณภรรยา
เบิร์ดบินกลับมาหาชยินอีกครั้ง แถมคราวนี้ยังทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชักแนะนำให้เพื่อนเริ่มต้นอ่อยแฟนตัวเองเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น (18+)
3. Cover by คนของชยิน
วันเกิดปีที่ 27 ของชยินเต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์ หนึ่งในนั้นคือการที่ยุคติดงานจนไม่สามารถอยู่ฉลองด้วยได้ แง้
#mเอสn
ตอนที่ 1
เวลคัมแบ็คทูเอ็มเอสเอ็น
“ไม่มีใครเคยบอกว่ารักแล้วจะไม่เสียใจ”
รักที่เธอเคยมี - A little bliss
‘A little bliss แม่งเท่สัดๆ หนึ่งวันล้านวิว’
‘พี่แต่งได้ไง โคตรโดน’
‘ตอนเศร้าฟังเพลงนี้ยิ่งหนักเข้าไปอีก’
‘รักพี่ชยิน แต่งเพลงเจ็บๆ มาอีกนะพี่’
‘เจ็บจนไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปได้ยังไง’
‘ชีวิตพี่ชยินแกผ่านอะไรมาวะ ถึงแต่เพลงได้เจ็บขนาดนี้’
ผ่านเหี้ยอะไร
กูแค่นอนอยู่ห้องเฉยๆ จำได้แม่นว่าตอนแต่งเพลงนี้เงินกำลังหมดพอดี ถ้าไม่แต่งก็คงไม่มีแดก นี่คนฟังแม่งจะรู้บ้างมั้ยเนี่ยว่านักแต่งเพลงอย่างผมไม่ได้สัมผัสความรักกับเขามานานเท่าไหร่แล้ว
ทำได้ก็แค่หัวเราะขื่นๆ แล้วปลอบใจตัวเองทุกวันว่าอยู่คนเดียวก็ไม่เห็นตาย ความรักไม่ได้ทำให้คนคนหนึ่งอยู่รอดหรอก เงินต่างหากที่สำคัญ
ผมหยิบมือถือจอแตกที่ไม่ได้เปลี่ยนมาหลายเดือนขึ้นมา กดไปที่แอพลิเคชั่นอีเมลที่มักเปิดเข้าไปดูประจำทุกสองชั่วโมงแม้จะมีแจ้งเตือนอัตโนมัติอยู่แล้ว สัดเอ๊ย! ทำไมช่วงนี้ไม่มีงานจ้างให้แต่งเพลงเลยวะ
ผมเหลือบมองไปในครัว บนเคาน์เตอร์มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกสองแพ็ค ถ้าช่วงนี้แดกทุกวันก็น่าจะพอประทังชีวิตไปได้ แต่ทางที่ดีผมก็ควรมีงานเข้ามาบ้าง...
‘ผมชื่อชยิน เป็นนักแต่งเพลงฟรีแลนซ์ รับจ้างแต่งเพลงทั่วราชอาณาจักร’
นี่คือข้อมูลโดยคร่าวที่เขียนเอาไว้ในไบโอแฟนเพจสำหรับติดต่องาน และก็ยังมีข้อมูลอีกบางส่วนที่เพิ่มเข้ามาตามกาลเวลา
‘ผลงานที่ผ่านมาคือเพลง สุขใจของวง Pomelo ที่ตอนนี้มียอดคนดูเกินสิบล้านวิวไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เพลง Friday knight ของวง Metropolis ที่ขึ้นไปติดชาร์ตอันดับหนึ่งในแคทเรดิโอประจำสัปดาห์ และอีกหลายๆ เพลงที่คนฟังคงคุ้นหูกันดี’
เพราะมันดังไปทั่วประเทศ แถมใครๆ ต่างก็ตั้งฉายาให้ว่าเป็นนักแต่งเพลงอัจฉริยะ หลังเรียนจบมาสองปีผมก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในวงการนี้ จนกระทั่ง...
อายุ 25 ปีชง!
ไอ้สัด ชงเข้มไปมั้ย งานถึงไม่เข้ามาสองเดือนแล้วเนี่ย
ค่าคอนโดใจกลางเมืองก็ต้องผ่อน ค่าโทรศัพท์รายเดือน ค่ากิน ไหนจะมีค่าซื้อแผ่นเพลงแบบถูกลิขสิทธิ์ที่ต้องซัพพอร์ทอีก ดีที่ไม่มีรถยนต์เพราะอาศัยใช้รถไฟฟ้าในการเดินทาง ไม่อย่างนั้นคงได้กัดก้อนเกลือกินแทนมาม่าแน่ๆ
ผมไม่เคยคิดว่าปีชงบ้าบอนี่จะมีอิทธิพลกับชีวิตของตัวเองมากนัก จนกระทั่งเพื่อนมหา’ลัยคนหนึ่งทักท้วงขึ้น เราเจอกันที่สยามเมื่อสามเดือนก่อน มันเป็นหนุ่มออฟฟิศเต็มตัว วันๆ ทำหน้าที่เป็นเบ๊ชาวบ้านเขาเลยโทษโชคชะตาไปทั่ว ไม่พอมันยังหันมาบอกอีกว่า ไม่นานผมก็คงโดนความซวยเข้าครอบงำชีวิตเหมือนกับมัน
นั่นเป็นเพื่อนคนล่าสุดที่ผมเจอ ตอนนี้แม่งอยากกลับไปเจอมันอีกรอบแล้วขอร้องสุดกำลัง ช่วยถอนคำพูดมึงด้วยเพราะตอนนี้ชีวิตกูเหี้ยอย่างที่มึงบอกไว้จริงๆ
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องทำลายความฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัวของผม นึกสงสัยแกมแปลกใจเหมือนกันที่เวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วยังมีใครหน้าไหนแวะเวียนมาที่ห้องอยู่อีก
เสียงเคาะประตูระรอกที่สองดังทิ้งช่วงไม่ห่างนัก ผมเลยจำต้องพาสังขารตัวเองเดินไปเปิดประตู สิ่งแรกที่คิดในหัวว่าจะทำเลยก็คือการด่ากราดไอ้บ้านี่ให้หายหงุดหงิด แต่ทันทีที่ได้เผชิญหน้ากับคนด้านนอก ความรู้สึกไม่พอใจก็พลันสลายเปลี่ยนเป็นตกใจแทน
“ไอ้เหี้ย!”
“กูควรตัดเพื่อนกับมึงดีมั้ยเนี่ย”
“ไหนมึงบอกจะมาพรุ่งนี้”
“มึงจำเวลาไทยกับเมกาสลับกันป่ะเนี่ย”
“เออว่ะ” เพื่อนผิวขาวถือวิสาสะเดินดุ่มๆ เข้ามาในห้อง ในมือลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตามมาอย่างทุลักทุเล พอหาโซฟานั่งได้ที่แล้วก็ทิ้งตัวลงอย่างหมดสภาพ
ไอ้นี่ชื่อเบิร์ดครับ เป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมฯ แต่หลังจากเรียนจบก็ได้เจอกันแค่ปีละครั้งหรือบางทีก็สองปีครั้งเพราะมันตัดสินใจไปเรียนต่อมหา’ลัยในอเมริกา ตอนนี้คิดว่าคงเรียนจบและมีงานการดีๆ ทำเรียบร้อยแล้ว
“โทษทีเว้ย” ผมคงไม่สามารถแก้ตัวได้ ไอ้เบิร์ดมันบอกผมล่วงหน้านานแล้วว่าจะกลับกรุงเทพฯ แต่ผมก็ดันลืมเรื่องวันเวลาซะสนิท
“งานยุ่งนักเหรอมึง”
“เออยุ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องงานนะ เรื่องนอน” คือกูว่างมากเว้ย ว่างจนไม่รู้จะทำอะไรนอกจากนอน
“ก่อนจะมาเจอมึงกูไปเจอเพื่อนร่วมห้องเรามา แม่งบอกตอนนี้มึงเป็นนักแต่งเพลงที่โคตรจะดัง ทำไมถึงว่างงานได้วะ” บางทีคนภายนอกก็รู้แค่ความดัง แต่ไม่รู้ว่าข้างในเป็นยังไง
“ไม่รู้ดิ ทั้งที่แต่งเพลงให้ศิลปินมาตั้งเยอะ ที่สำคัญก็เสือกดังทุกเพลงแต่ทำไมช่วงนี้ถึงไม่มีใครป้อนงานเลย หรือเพราะมันเป็นปีชงของกูกันแน่วะ”
“ชงเหี้ยไร โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงอยู่ละมึงยังเชื่อเรื่องพวกนี้อีกเหรอ”
“เบื่ออเมริกันชนอย่างมึงว่ะ”
“เบื่อพวกงมงายเหมือนมึงด้วย”
“เสือก”
“นี่พูดเหรอ กูนึกว่าเห่า” กูเกลียดมึง...
ตั้งแต่สมัยเรียน กลุ่มผมจะมีกันอยู่ห้าคน หนึ่งในซูปเปอร์เนิร์ดของกลุ่มก็คือไอ้เบิร์ดเนี่ยแหละ มันเรียนเก่งมาก ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์นี่วิชาถนัดมันเลย แถมยังเป็นเซียนเกมส์ตัวยงตั้งแต่เด็กๆ ด้วย เพื่อนในห้องเลยช่วยกันตั้งฉายาให้มันใหม่ว่า...เมพเบิร์ด เพื่อเป็นการยกย่องความฉลาดเทียบเท่าไอสไตน์ของมัน
“หน้าตามึงก็ดีนะชยิน ทำไมไม่ไปเป็นนักร้องวะ” เอ่ยถามมาไม่พอ มันยังกวาดตาของมันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วย
“ไม่ใช่งานถนัดกู เป็นนักดนตรีกับแต่งเพลงแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
“แฟนคลับมึงโคตรจะเยอะ กูว่าลองเปลี่ยนทางอาจจะรุ่งแบบฉุดไม่อยู่ก็ได้นะ”
“ไปเอาคำว่าแฟนคลับมาจากไหน คนฟังเพลงเขาก็ชมไปงั้นแหละ ถามจริงมีใครบ้างที่เคยเห็นหน้าตากู”
“มึงไม่ออกสื่อเลยเหรอวะ”
“กูทำงานเบื้องหลังทำไมต้องออกไปเจอสื่อห่าไรด้วย ว่าแต่มึงเหอะชีวิตเป็นไงบ้าง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน เพื่อเมพเบิร์ดจะได้ไม่หาประเด็นถามจี้ผมอีก ใจจริงคือกลัวครับ...กลัวถามไปถามมาจะแทงใจดำตัวเองเข้า
“ก็โอเค ทำงานบริษัทไอทีในแอลเอ เงินเดือนก็พอใช้ได้ คุณภาพชีวิตก็ถือว่าดีโคตรๆ”
“เห็นว่ามึงมีแฟนแล้ว”
“อืม เป็นคนเวียดนาม”
“ไหนบอกชอบแบบผมบลอนด์ ตาสีฟ้า”
“ชอบ แต่เขาไม่เอาจบมะ”
“เคๆ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่มหรือของกินเล่นมาให้คนที่เพิ่งมาถึง ส่วนไอ้เมพเบิร์ดก็จัดการรื้อค้นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของมันอย่างขะมักเขม้น เดาว่าคงหอบของฝากมาให้เพื่อนอีกหลายคนเพราะไม่ได้กลับไทยนานนับปี
อีกอย่าง เจ้าตัวก็กะตั้งหลักปักฐานอยู่ต่างแดนด้วย คงคิดว่าอีกนานกว่าจะกลับมาเจอกันอีก
“อ่ะของฝาก” ผมวางแก้วน้ำองุ่นแดงไว้ตรงโต๊ะชุดโซฟา ก่อนเพื่อนรักจะยื่นถุงกระดาษสีขาวขุ่นมาให้ พอเปิดออกมาก็พบว่ามันคือกระเป๋าสตางค์ยี่ห้อ Coach สีดำใบหนึ่ง
“ขอบใจเว้ย น่าจะแพงอยู่นะเนี่ย”
“ได้มาจากเอาท์เลต เห็นถูกดีเลยซื้อกลับมาฝาก”
“บางทีมึงไม่ต้องบอกกูทั้งหมดก็ได้ไอ้เหี้ย”
“เออว่าจะถาม มึงยังไม่แต่งเมียอีกเหรอวะ” นั่นไง เรื่องจี้ใจดำที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด
“เสือก”
“นี่กูซีเรียสนะเนี่ย”
“ยังไม่มี”
“ยี่สิบห้าแล้วนะเว้ยชยิน ไม่คิดอยากแต่งงานกับเขาบ้างเหรอวะ”
“อยู่แต่ห้องอย่างกูคงได้เจอผู้หญิงดีๆ สักคนหรอก” พูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ปัญหานี้ไม่ได้เพิ่งเกิดครับ แต่มันเป็นมาสามปีแล้วหลังเรียนจบมหา’ลัย
ช่วงเรียนผมก็เคยมีแฟน รักแล้วเลิกกันเหมือนอีกหลายๆ คู่ มันดีที่ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่เรียนอยู่เราได้เจอคนแปลกหน้ามากมาย แต่หลังเรียนจบโลกทั้งใบของผมก็เหลือเพียงห้องเล็กๆ ในคอนโดที่ผ่อนไม่หมด
อาชีพนักแต่งเพลงมันต้องไปเจอคนเยอะๆ ด้วยเหรอวะ เวลาทำงานก็ดีลกันผ่านเมล หัวตันคิดไม่ออกหน่อยก็ไปนั่งร้านกาแฟร้านเดิม มีแวะร้านเหล้าบ้างประปราย เพื่อนก็ไม่ค่อยได้เจอ งานส่วนใหญ่แปดสิบเปอร์เซ็นต์บอกเลยว่าอยู่ที่ห้อง อย่างนี้จะให้หาเมียจากที่ไหนไม่ทราบ!
แม่บ้านคอนโดกูเหรอ
“มึงไม่เหงาบ้างเหรอ” โอ้โห เหมือนมีดที่มองไม่เห็นแทงใจผมอีกหลายแผล
“มีใครบ้างอยู่คนเดียวแล้วไม่เหงา”
“แล้วแต่งเพลงรักได้ไงวะ ทั้งที่มึงไม่มีความรัก”
“กูเก่งไง”
“แต่ไม่มีงาน”
“ปีชงกูสัด”
“เอางี้ ที่กูมาแวะหามึงเนี่ยไม่ได้มีแค่ของฝากเป็นกระเป๋าโคชอย่างเดียวหรอก กูมีนี่ด้วย” เมพเบิร์ดยื่นกล่องใส่แผ่นซีดีกล่องหนึ่งมาให้ ซึ่งผมก็รับมาดูแบบงงๆ
“หนังโป๊เหรอ กูดูประจำละช่วยแก้เหงาได้นิดหน่อย”
“ไอ้สัดไม่ใช่ นี่เป็นโปรแกรมทดลอง ใช้ได้แค่เดือนเดียว มันจะดึงคอนแท็กเก่าสมัยที่มึงเคยเล่น MSN ขึ้นมาเพื่อที่มึงจะได้กลับไปออนเอ็มได้อีกครั้ง”
“เอ็มเอสเอ็น แก่ไปมั้ยวะ”
“ยิ่งเก่ายิ่งคลาสสิกเว้ย”
เท่าที่ติดตามข่าวสารมา MSN หรือชื่อเต็มคือ Microsoft network มีขึ้นในปี 1999 และก็ปิดตัวลงในปี 2013 เพราะมีโปรแกรมแชตมากมายที่คนใช้เยอะๆ อย่างเฟซบุ๊กหรือไลน์เกิดขึ้น
แต่ตอนนี้ซูปเปอร์เนิร์ดของกลุ่มอย่างไอ้เบิร์ดกำลังเอาโปรแกรมที่ยกเลิกใช้ไปแล้วกลับมาทำใหม่เนี่ยนะ!
“ทำมาทำไมวะเสียเวลาว่ะ โหลดจากเน็ตมาก็ได้ มีเกลื่อนเลย”
“นั่นมันเซิร์ฟเวอร์เถื่อนเว้ย”
“ของมึงก็เถื่อนป่ะวะ”
“มึงอย่า นี่เป็นการศึกษางานของกู”
“ครับๆ”
“ขืนโหลดแบบนั้นมาคอมมึงเจ๊งแน่ สปายแวร์เยอะฉิบหาย”
“ของมึงไม่มีเหรอ”
“แน่นอนดิวะ แต่ทำมาให้ใช้แค่เดือนเดียว หมดอายุก็หยุดเล่น”
“แล้วมันจะไม่เป็นการแฮ็กความเป็นส่วนตัวของ Microsoft เหรอวะ”
“จุ๊ๆ ไม่เอาอย่าพูด”
อเมริกันชนจริงๆ
“สรุปของมึงแม่งก็โปรแกรมเถื่อนเหอะ”
“ลองสร้างเป็นต้นแบบเฉยๆ เดี๋ยวกูติดต่อซัคเคอร์เบิร์กเอง”
“นั่นมันเฟซบุ๊ก เกี่ยวไรกับเอ็มเอสเอ็น”
“ฉลาดจัง”
“แดกข้าว ไม่ได้แดกขี้นี่หว่า” ผมพูดประชดประชัน ซึ่งไอ้เพื่อนตัวดีก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรนอกจากยักไหล่ใส่ จ้า มึงมันคนฉลาดล้ำโลก เหนือปฐพีไม่มีใครสู้มึงได้ ถุย “แล้วใช้ไง”
“ก็ลงโปรแกรมติดตั้งในแผ่นก่อน จากนั้นก็ออนไลน์เหมือน MSN ธรรมดาเลย จุดเด่นที่กูสร้างขึ้นคือมันจะดึงอีเมลและข้อความที่มึงเคยคุยกับคนในอดีตขึ้นมา แล้วมึงก็จะกลับไปคุยกับเค้าได้อีกครั้ง”
“อาฮะ”
“แต่มีข้อจำกัดอยู่อย่าง คนที่จะเล่นกับมึงได้ต้องใช้โปรแกรมนี้เท่านั้น”
“แล้วมึงแม่งแจกใครไปบ้างวะ ถึงพันคนป่ะ”
“ก็อปปี้แผ่นมาแค่ห้าสิบ แจกเพื่อนสมัยมัธยมเราเนี่ยแหละ แต่โปรแกรมนี้บอกเลยว่าห้ามเผยแพร่ มึงก็รู้ถ้าหลุดไปกูซวย”
“โอ้โหเยอะจังเลย”
“เอาน่า ชีวิตที่ผ่านมาสมัยเล่นเอ็มก็มีแค่เพื่อนมัธยมเท่านั้นป่ะวะ คิดไรมาก” เมพเบิร์ดตบบ่าปลอบใจ
ผมพลิกแผ่นซีดีสะท้อนแสงในมือไปมา ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะทิ้งไว้ตรงไหนให้เพื่อนไม่รู้สึกเสียใจหลังจากกลับมาที่ไทยอีกดี แต่อีกใจหนึ่งก็เริ่มอยากลองเล่นอยู่เหมือนกัน
ในเมื่อมันข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่ในมือผมได้ แถมชีวิตของนักแต่งเพลงไส้แห้งก็กำลังว่างได้ที่ เห็นทีคืนนี้ผมอาจจะลองทำอะไรที่ไร้สาระนอกจากการนอนหายใจทิ้งไปวันๆ ดูบ้าง
“เออๆ เดี๋ยวลองเล่นดู”
“ได้ผลยังไงบอกกูด้วย เพราะกูต้องเอาข้อเสียไปปรับปรุงโปรแกรมอยู่”
“มึงยังจะปรับปรุงอีกเหรอวะ นี่แม่งเรื่องแฮ็กข้อมูลเลยนะเว้ย ถ้าเขารู้มึงโดนฟ้องอ่วมแน่”
“กูไม่ได้จะปรับปรุงเพื่อใช้กับเอ็ม แต่เอาไปต่อยอดทำโปรแกรมของตัวเองต่างหาก กูถึงย้ำมึงไงว่าอย่าให้แผ่นหลุดไปที่อื่น”
“ไอ้หัวหมอ”
“ผมไม่ใช่หมอครับ ผมเป็นไอทีแมน”
“ฆวย”
“ตอนนี้สี่นิ้วครึ่ง ทำยังไงให้ขนาดเพิ่มวะ”
“เฮ้ออออออออออออ”
ความคิดถึงที่มีต่อซูปเปอร์เนิร์ดพูดยังไงก็ไม่มีทางจบ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา หลังจากคุยได้กันสักพักมันก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ทิ้งไว้เพียงกระเป๋าโคชเอาท์เลตกับโปรแกรมเถื่อนของมันไว้ดูต่างหน้า
ด้วยความที่มีเวลาว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ผมจึงเดินไปที่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ สอดแผ่นซีดีเพื่อติดตั้งโปรแกรมเข้าไปแล้วก็รอ จนกระทั่งเสียงแห่งความคุ้นเคยได้กลับมาอีกครั้ง...
ติ๊ง~
Welcome back to Windows live messenger.
สวัสดีเอ็มเอสเอ็น สวัสดีอดีตที่เคยผ่านมา
ตะลึงสุดก็รูปโพรไลฟ์ที่เคยตั้งเนี่ยแหละ สมัยมัธยมฯ กางเกงดำ ไว้ผมสกินเฮดที่คิดว่าเท่ที่สุดในตอนนั้น เหอะ! ถ้าย้อนกลับไปได้กูขอเปลี่ยนทรงผมเป็นอันดับแรก
คนที่ผมเคยคุยด้วยมีค่อนข้างเยอะ แต่ทุกชื่อนั้นอยู่ในสถานะออฟไลน์ทั้งหมด ด้วยความที่ไม่รู้จะแชตกับใครเลยกดเข้าไปอ่านข้อความเก่าๆ เพื่อย้อนกลับไปในช่วงมัธยมฯ แสนหวานอีกครั้ง
ตอนที่ได้คุยกับเพื่อนสนิท
ตอนที่กำลังจีบสาวหลังจากการแอดอีเมลเข้าไปคุยได้ไม่นาน
ตอนที่ส่งไฟล์สำหรับงานเผาซึ่งต้องส่งอาจารย์ในวันรุ่งขึ้น
หรือแม้กระทั่ง...ตอนที่ถูกใครสักคนหนึ่งในความทรงจำ...บอกเลิก
Chayin says… กลับมาได้ไหม กลับมารักกัน กลับมาหาฉันคนที่รักเธอหมดใจ~
♥ MOMAY ♥ says… ขอโทษ
Chayin says… เราแค่อยากรู้ว่าเราผิดอะไร
♥ MOMAY ♥ says… ชยินไม่ผิดหรอก เราผิดเอง
Chayin says… เพราะมันเหรอ
♥ MOMAY ♥ says… ไม่เกี่ยวหรอก
Chayin says… ไอ้เดือนดาวองก์นั่นใช่มั้ย
ผมขมวดคิ้วมุ่น เดือนดาวองก์?
นานสัด
นี่ผมห่างจากการประกวดพวกนี้หรือบรรยากาศสมัยกวดวิชามานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย ที่สำคัญคือจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยจะเป็นจะตายตอนถูกผู้หญิงทิ้งถึงขนาดพิมพ์เนื้อเพลงแชตไปหาเธอ
♥ MOMAY ♥ says… เรารักชยิน แต่คงไม่เหมือนเดิมแล้ว เรา...เลิกกันเถอะนะ
Chayin says… (ಥ﹏ಥ)
ดราม่าเหี้ยๆ
ถึงวันนี้ โมเมคนที่เคยเป็นแฟนของผมจะเป็นยังไงบ้างวะ เราไม่ได้ติดต่อกันเลยหลังเรียนจบ แต่ก็นั่นแหละ เวลามันผ่านมานานกว่าเจ็ดปีแล้ว หลายๆ อย่างก็คงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
แต่นี่ไม่ใช่ช่วงหาคำคมปรัชญาเพื่อคุยกับตัวเองนะเว้ย เอาล่ะ ของเมพเบิร์ดล่ะเป็นไง เมื่อก่อนกูคุยอะไรกับมึงบ้างวะ
Chayin says… เมพ กูขอลอกการบ้านหน่อย ส่งมาให้ที
™SUPERBIRD Say… เออแป๊บ
Chayin says… มึงมีเบอร์แนนห้องสิบสองมั้ย
™SUPERBIRD Say… เอาไปทำไม
Chayin says… ชอบ อยากจีบ
™SUPERBIRD Say… เพิ่งเลิกกับแฟน เอาอีกแล้วเหรอมึง
Chayin says… อยากตัดใจว่ะ
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 3
ศตวรรษบุคคลเหนือโลก
หลังคุณนักเขียนหัวจรวยเผ่นแน่บเข้าห้องน้ำไป ก็ถึงคราวที่ผมจะได้เฉ่งมันให้ไอ้ท็อปฟังได้เต็มที่ สงสัยชาติก่อนผมคงเคยทำกรรมหนักกับมันมาก่อน ชาตินี้เจ้าตัวถึงได้ตามมาเอาคืนจนแทบกระอักเลือด
“นักเขียนมีเป็นร้อย ทำไมไม่รู้จักเชิญมาสัมภาษณ์วะ” พูดแล้วก็ขึ้น อยากเดินไปตบกะโหลกคนกวนประสาทนั่นสักทีสองที ติดอยู่อย่างเดียวคือไม่มีความกล้าพอที่จะทำเนี่ยแหละ ปากดีไปวันๆ เท่านั้นล่ะกู
“ก็คนนี้กำลังดังไง อีกอย่างเขาก็เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีนึง มึงก็ใจเย็นๆ หน่อย” ไอ้ท็อปตอบหน้าตาย ไม่ได้รู้สึกสำนึกเลยสักนิดที่พาผมมาให้ใครไม่รู้เชือดถึงที่
“มึงควรรับผิดชอบกูด้วยมั้ย”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่ทำให้วันดีๆ ของกูอับเฉาไง”
“ปกติชีวิตมึงน่าจะเหี้ยกว่านี้อีก เอาน่า...ทนหน่อย กว่ากูจะนัดเขามาได้เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็นเลยนะเว้ย”
“คิวแน่นขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“หึ! เขาไม่มีอารมณ์อยากเจอ”
เหยดเขร้! ให้มันได้อย่างนี้สิ เคยคิดมาตลอดว่าตัวเองก็อินดี้ระดับหนึ่งแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะเจอคนอาการหนักกว่าหลายเท่า แถมดูเหมือนมันก็ไม่ค่อยจะแคร์ใครเท่าไหร่เลยด้วย
“งั้นมึงรีบสัมภาษณ์กูได้มั้ย ไม่อยากอยู่นานกว่านี้ว่ะ”
“แป๊บนึงสิวะ”
“สรุปมึงจะสัมภาษณ์กูชาตินี้หรือชาติหน้า นี่กูพลาดเอาเบอร์ให้คนแปลกหน้าไปแล้วมึงไม่เดือดร้อนแทนกูหน่อยเหรอ” ไอ้ท็อปชะงักมือจากการเรียงสคริปต์แล้วเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง
“บล็อกสิ”
“ทำไมมึงฉลาดจังวะ” ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ก่อนหน้าที่โดนขอรหัสผ่านก็ยอมบอกไปง่ายๆ เพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไง รู้ตัวอีกทีปากก็สั่นผั่บๆ บอกรหัสผ่านให้คนแปลกหน้าซะเรียบร้อย
“กูไม่ได้ฉลาด มึงแค่โง่”
“สึด” หลังอดีตเพื่อนต่างห้องเสนอแนวคิด ผมก็ไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดไปที่เบอร์โทรเข้าล่าสุด แล้วจัดการบล็อกอีกฝ่ายอย่างทันท่วงที
คิดจะเล่นกับชยิน รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะครับ
“บล็อกแล้วใช่มั้ย ถ้าเสร็จแล้วกูรบกวนมึงเดินไปสั่งเครื่องดื่มให้คุณยุคหน่อย”
“ทำไมต้องกู”
“กูจะสัมภาษณ์เขาก่อนจะได้ไม่เสียเวลา นะ! ช่วยดูแลเขาหน่อย” ไม่พูดอย่างเดียว แม่งเล่นกะพริบตาปริบๆ เป็นการอ้อนวอนอีกต่างหาก
ไอ้ท็อป กูไม่น่าเรียนโรงเรียนเดียวกับมึงเลยแสรดดดดด
“เออสั่งให้ก็ได้ แต่เดี๋ยวรอมันกลับมาก่อนแล้วกัน” ดีหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งกวนประสาทกันสักห้านาที
“นั่นไง มาแล้ว” ผมหันไปมองร่างสูงที่กำลังสาวเท้ากลับมายังโต๊ะ ก่อนตัวเองจะรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และยิงคำถามใส่อีกฝ่ายซึ่งยังไม่ทันได้นั่งเก้าอี้อย่างไวว่อง
“คุณ ผมจะไปสั่งเครื่องดื่มให้ อยากกินอะไรครับ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปสั่งเอง”
“เอ่อคุณยุคครับ ผมกะว่าจะเริ่มสัมภาษณ์ตอนนี้เลย ให้ชยินสั่งให้เถอะครับ” ไอ้ท็อปเป็นฝ่ายแทรกขึ้น คนตรงหน้าจึงหันเหความสนใจมาที่ผมอีกครั้ง
“คุณว่าแบบผมชอบกินอะไร” เอ้า! ถามกูอีก
“ผมจะไปรู้เหรอ ก็อาจจะเป็นเอสเพรสโซ่หรืออเมริกาโน่มั้ง” ดูจากการแต่งตัวในคราบนักฆ่าของมัน ยังไงซะก็คงหนีไม่พ้นกาแฟเข้มๆ อีกตามเคย แต่ดูคำตอบมันครับ...
“ดาษดื่น”
“ชอบพวกมัคคิอาโตหรือเปล่าครับ”
“ไม่”
“ช็อกโกแลตร้อนมั้ย”
“ไม่”
“สรุปจะเอายังไง”
“ยืนเอาได้มั้ย”
“...!!”
“แต่ปกติผมก็นอนเอานะ คุณว่าไงอ่ะ”
โว๊ะ! เชี่ยนี่...
“ผมขี้เกียจเดาแล้ว รีบบอกมาเลยครับเสียเวลา” ก่อนเส้นเลือดในสมองของไอ้ชยินจะแตกตาย ช่วยสงเคราะห์บอกสิ่งที่มึงอยากแดกออกมาด้วยเถอะ เรื่องมากยิ่งกว่าศาลเจ้าพ่อร่างทรงแถวบ้านกูอีก
“งั้นผมขอนมสตรอเบอร์รี่ปั่นหนึ่งแก้วแล้วกัน”
โอ้โห พ่อคุณ สั่งเครื่องดื่มได้ทรยศหน้าตาสัดๆ ไปเลยครับโผ้มมมมมมม กูขอความเข้ากันระหว่างเสื้อผ้าที่มึงใส่กับนมที่มึงแดกหน่อยเถอะ
“โอเคเดี๋ยวผมไปสั่งให้”
“ขอเพิ่มวิปครีมด้วยนะ”
“จ้า”
ผมรีบหมุนตัวเข้าไปในร้าน จัดการสั่งเครื่องดื่มหวานแหววมาให้อีกฝ่ายอย่างจำใจ แต่หลังรอรับเครื่องดื่มตรงปลายบาร์ ผมกลับได้รับนมสตรอเบอร์รี่ถึงสองแก้ว
“ขอโทษนะครับ พอดีว่าผมสั่งแค่แก้วเดียวนะครับ” พนักงานซึ่งกำลังง่วนกับการทำเครื่องดื่มอีกแก้วเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมตอบคำถามด้วยน้ำเสียงหวานสุดๆ
“ช่วงนี้เป็นโปรโมชั่นของทางร้านค่ะ สั่งนมสตรอเบอร์รี่ซิกเนเจอร์หนึ่งแก้วแถมหนึ่งแก้วค่ะ” ว่าแล้วเธอก็ชี้ไปที่ป้ายเล็กๆ ซึ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ แถมในนั้นยังเขียนข้อความ ‘โปรโมชั่นคู่รัก’ เอาไว้ตัวเบอเร่ออีกต่างหาก
“งั้นขอบคุณมากนะครับ”
“ยินดีมากค่ะ”
ว่าแล้วก็จัดการถือแก้วเครื่องดื่มสีชมพูดเดินออกไปยังสนามหญ้าด้านนอก เห็นไอ้คุณยุคกับไอ้ท็อปกำลังสัมภาษณ์กันอย่างคร่ำเคร่งผมเลยไม่อยากพูดแทรก รีบวางแก้วเครื่องดื่มทั้งสองไว้ตรงหน้าคนตัวสูงกว่า จากนั้นก็จัดการหยิบมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา
แต่แล้ว บทสนทนาถามตอบกลับหยุดชะงักลงชั่วครู่
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองสถานการณ์ เห็นมือหนาของอีกฝ่ายกำลังดันแก้วนมสตรอเบอร์รี่มาไว้ตรงหน้าผมอย่างช้าๆ โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“ของคุณ” ผมบอก
“ผมมีแล้วไง นี่ของคุณ”
“ผมไม่ชอบกินนม กินแต่กาแฟ”
“ถึงว่า”
“อะไร”
“โดนกาแฟกัดกระดูกจนเตี้ยเลย” โหยสัด! กูจะโกรธมึงยันบรรพบุรุษแล้วนะ
ร้อยเจ็ดสิบหกนี่บ้านมึงเรียกเตี้ยเหรอ
แต่ถึงแม้ในใจจะเดือดดาลแค่ไหน สิ่งที่ผมทำได้กลับเป็นแค่การรักษามารยาทด้วยการตอบกลับไปอย่างเข่นเขี้ยวสุดชีวิต
“ผมก็สูงตามมาตรฐานชายไทยนะครับ มีแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่สูงผิดมนุษย์มนามากกว่า”
“ดีนะครับที่ผมไม่ใช่คนกลุ่มนั้น”
ยัง ยังไม่รู้ตัวอีก
แล้วที่พูดไปก่อนหน้าว่าไม่กินก็เหมือนจะไม่ฟังกันด้วย เพราะคุณชายศตวรรษแกหันไปหาไอ้ท็อปแล้วเริ่มสัมภาษณ์ต่อ ส่วนผมที่หมดอารมณ์จะเล่นมือถือฉับพลัน ก็เปลี่ยนมานั่งฟังบทสัมภาษณ์ของอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้แทน
“ตอนนี้คุณอายุยี่สิบห้า มีอะไรในชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างครับ” นี่คือคำถามจากไอ้ท็อป
“ไม่นะ ชีวิตผมเหมือนเดิม มีแค่อายุที่เพิ่มขึ้นซึ่งผมก็คิดว่าจริงๆ แล้วใจของผมก็ยังคงเป็นเด็กอยู่” คำตอบมันทำให้ผมนึกถึงโคนันเวอร์ชั่นรีเวิร์สเลยว่ะ
ถึงอายุจะเพิ่ม แต่สมองยังปัญญาอ่อนเหมือนเดิม ผมเพราะคือ...
ศตวรรษ แฮร่!
ไปที่ไหน ฉิบหายวายวอดที่นั่น
“คุณเขียนนิยายมาค่อนข้างเยอะ สิ่งที่คุณหลงรักในตัวของมันคืออะไร”
“ผมหลงรักตัวหนังสือของผม” เหยดแหม่ คำตอบมึง Positive thinking เว่อร์ เรื่องคิดเข้าข้างตัวเองกูให้มึงชนะเลิศ พอก่นด่าในใจได้ไม่นาน เจ้าตัวก็รีบขยายความต่อทันที “มันเหมือนเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ และผมจมจ่อมกับมันได้ไม่มีเบื่อ”
“คุณดูเป็นคนจริงจังมากกับการทำงาน แล้วชีวิตประจำวันของคุณล่ะ จริงจังขนาดนี้มั้ย”
“ภายนอกผมดูเป็นคนสบายๆ ใช่มั้ย แต่ภายใต้คำว่าอะไรก็ได้มีความเยอะแฝงอยู่ เอาจริงๆ ผมก็เป็นคนเลือกเยอะคนหนึ่งแหละ”
“ที่พูดนี่หมายถึงความรักใช่หรือเปล่า” ไอ้ท็อปถามนอกประเด็น ซึ่งแน่นอนว่ามันมีความเชื่อมโยงกับคำตอบของไอ้คุณยุคค่อนข้างมาก
เออ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าแฟนมึงเป็นคนแบบไหน กูจะได้ไว้อาลัยให้ล่วงหน้า
เกิดมามีกรรมนะเราอ่ะ
“ก็ประมาณนั้นมั้งครับ”
“คุณยังไม่มีแฟนเหรอ”
“ใช่ครับ”
“แล้วเคยคิดมั้ยว่าอยากหาใครสักคนมาเป็นเพื่อนคู่คิด หรือมองหาความสัมพันธ์เรียบง่ายแทนการอยู่คนเดียว” ถ้าคำถามนี้เป็นของผม ผมคงรีบตอบว่าคิดครับ
กูอยากมีเมีย เพราะความเหงามันไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ ผมคิดว่าคนหลายคนที่ก้าวเข้าสู่วัยทำงานล้วนคิดคล้ายกัน แต่เชื่อมั้ย คำตอบที่ได้จากไอ้ศตวรรษกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“ผมไม่เคยคิด ไม่เคยกังวลว่าจะต้องหาแฟนหรือแต่งงาน ไม่ต้องวางแผนว่าวันนี้จะออกไปหาแฟนที่ไหน หรือเวลาเจอคนน่ารักสักคนแล้วต้องเดินเข้าไปจีบเพื่อให้ตัวเองหายเหงา ผมไม่ชอบแบบนั้น มันเหมือนกับว่าเรากำลังฝืนตัวเอง”
คำตอบนั้นเสียดแทงเข้ามาที่ใจผมอย่างจัง
“ผมชอบความสัมพันธ์ที่ว่า ถ้าวันหนึ่งเราเจอคนที่ใช่เราก็จะรู้เอง ไม่ต้องไปเร่งมัน ไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ต้องเป็นแค่คนนี้”
เชี่ยยยย รู้สึกเท่ว่ะ
ขอจดมุกนี้ไปแต่งเพลงหน่อยซิ
“แล้วคุณเคยมีความคิดจะเขียนนิยายเกี่ยวกับความรักบ้างมั้ย” ไอ้ท็อปยังคงถามต่อ
“ไม่ครับ มันดูเวิ่นเว้อ นิยายรักอย่างน้อยก็ต้องมีความโรแมนติกอยู่บ้าง ซึ่งผมไม่ใช่คนโรแมนติก”
ใช่! มึงเป็นคนเหี้ย
“แล้วจริงๆ ความรักของคุณยุคหน้าตาเป็นแบบไหน”
“มันไม่มีอะไรตายตัว บางครั้งอาจจะดูงงๆ เป็นสิ่งที่แปลกประหลาด อธิบายรูปร่างไม่ได้แต่อาจรับรู้ด้วยความรู้สึก”
“แปลกประหลาดนี่เหมือนชยินมั้ย”
พรวด! ผมพ่นน้ำใส่กระดาษของไอ้ท็อปทันที ไอ้ยุคเลยรีบหยิบทิชชูมาให้พร้อมกับแก้ต่างอย่างรวดเร็ว
“สเป็กผมเป็นคนนะ”
“...”
“แต่เขา...ไม่เหมือนคน”
กูร้องไห้ในใจหนักมาก ไอ้เหี้ย! ลากกูไปฆ่าเหอะว่ะ
“แหม คุณยุคคิดว่าผมเป็นเทพบุตรสินะครับ” เงียบอยู่นานสุดท้ายก็ต้องยอมเปิดปากโต้เถียงกลับไป มึงมีสิทธิ์อะไรมาว่ากูไม่เหมือนคนวะ!
“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็แล้วแต่นะ”
กูทำหน้างอใส่แม่งเลยสัด
“ผมล้อเล่นน่า” โหยที่พูดมานี่มึงใช้คำว่าล้อเล่นเหรอ ขี้ตีนกูนี่ แต่สิ่งที่ตอบกลับไปได้ก็มีแค่...
“ขี้เล่นนะเราอ่ะ”
“เราก็ขี้เหร่เหมือนกันนะเนี่ย”
“ต่อยกันเถอะจะได้จบๆ”
“ไม่ต่อยครับ เสียมือ”
“อ่ะเอ่อ...เดี๋ยวก่อนนะทั้งคู่ อย่าเพิ่งตบมุกก๊านนนน ฮ่าๆ” ไอ้ท็อปรีบเบรกเราเอาไว้ แม้จะหัวเราะแกนๆ แต่ในแววตาของมันนั้นผมสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้า มึงกำลังร้องไห้ในใจอยู่สินะ กูเองก็ไม่ต่างจากมึงนักหรอก ฮือ
แล้วดูคนก่อเรื่องซะก่อน เล่นนั่งดูดน้ำสตรอเบอร์รี่สบายใจเฉิบ ไอ้คนจิตใจหยาบช้า
หลังเพื่อนท็อปนั่งลูบน้ำลายของผมที่พ่นลงบนกระดาษให้อยู่ในสภาพที่พอใช้งานได้ มันจึงกระแอ่มไอสองครั้งเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มใหม่
“เอาใหม่นะครับ สรุปสเป็กคุณยุคเป็นแบบไหน”
“สำหรับผมมันไม่มีอะไรตายตัว เชื่อสิ พอถึงเวลาคุณจะลืมสเป็กทุกอย่างที่เคยคิดไว้ แล้วใช้ความรู้สึกของคุณแทน”
เช่นความรู้สึกที่อยากกระโดดกัดหูมึงในตอนนี้สินะ
จากนั้นการสัมภาษณ์ก็เป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา แม้ผมจะถูกแซะและพูดถึงอยู่บ้างแต่ก็พอข่มใจยอมรับได้ ไอ้ท็อปจัดการบันทึกเสียงและจดบทสัมภาษณ์บางอย่างใส่สมุดจนครบ กระทั่งมันเบี่ยงตัวมาหาผมเล็กน้อยพร้อมกับเริ่มบันทึกเสียงใหม่
“คราวนี้ตามึงแล้วชยิน”
“โอเค” ผมนั่งตัวตรง จัดคอเสื้อให้เป็นระเบียบ
“มึงจัดเสื้อทำไม กูอัดเสียง ไม่ได้จะอัดวิดีโอ”
“ก็แล้วทำไม” อย่างน้อยก็ขอมีภาพลักษณ์ดีๆ ต่อหน้าไอ้ศตวรรษไม่ได้หรือไง แค่นี้มันก็เกทับผมจนไม่เหลืออะไรให้สู้แล้วเนี่ย
บทสัมภาษณ์ตอนเริ่มต้นนั้นไม่รู้ว่าเหมือนไอ้นักเขียนกวนตีนนี่มั้ยเพราะตอนเริ่มผมไม่ได้ฟัง แต่ก็ตอบทุกอย่างที่พอจะตอบได้ทั้งหมด กระทั่งเนื้อหาเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงเป็นจังขึ้น
“ตอนนี้คุณชยินเป็นนักแต่งเพลงสังกัดค่ายไหนครับ”
“ผมเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ได้สังกัดใครครับ” และตอนนี้กำลังว่างงานอยู่ด้วย แต่กูไม่บอกหรอก เดี๋ยวแพ้!
“เพราะเพลงที่คุณแต่งดังมากหลายเพลง และได้รับการยอมรับในวงการ รู้สึกกดดันบ้างมั้ยกับการแต่งเพลงใหม่ๆ ในตอนนี้รวมถึงอนาคต”
“เรื่องกดดันมันก็มีอยู่นิดหน่อย เพราะเราเคยทำไว้ดีมาก หลายคนคาดหวังว่ามันต้องดีแต่บางครั้งผมก็ไม่อยากโฟกัสมัน ผมสนแค่ว่าตอนนั้นผมมีความสุขกับการแต่งอะไรมากกว่า”
จริงๆ สนแค่ตังค์และปากท้อง แต่กูไม่พูดหรอกเดี๋ยวไม่หล่อ
“มีคนในวงการบอกว่า คุณคือนักแต่งเพลงสายติสต์ ประโยคนี้คือความจริงของคุณมั้ย”
“ผมไม่ได้ติสต์ครับ ก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป” แค่เป็นคนขี้เหงา
“ระหว่าง Passion กับความรับผิดชอบ คุณคิดว่าคนทำงานสายนี้ควรมีอะไรมากกว่ากัน” ผมหันไปมองคนตัวสูงที่นั่งไขว่ห้าง แกว่งตีนไปมาอย่างยียวน
พยายามเดาคำตอบว่าถ้าเป็นคนถามของมัน แม่งจะตอบว่ายังไง
“สำหรับผมความรับผิดชอบควรมาเป็นอันดับหนึ่งครับ การที่คนเราจะทำงานอะไรสักอย่างให้สำเร็จลุล่วงก็ควรมีความรับผิดชอบในงานชิ้นนั้นก่อนเสมอ”
และนี่คือคำตอบของผม ซึ่งไอ้นักเขียนข้างๆ ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรนอกจากเอื้อมหลอดยาวๆ ของมันมาตักวิปครีมตรงแก้วผมไปแดกแบบไร้ยางอาย ซึ่งผมก็ทำได้แค่ตวัดสายตามองเท่านั้น
“เพลงที่คุณแต่งส่วนใหญ่มักเป็นเพลงรัก คุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหน หรือจริงๆ แล้วแต่งมาจากชีวิตของตัวเอง” ดูสคริปต์ไอ้ท็อปเข้า กล้าถามมาได้ยังไงว่ามาจากชีวิตกู โสดจนเหี่ยวขนาดนี้ไม่น่าจะเดายากนะ
“ผมก็ได้ไอเดียมาจากคนรอบตัว เพลงต่างๆ ที่ได้ฟัง หนังที่ได้ดู หรือหนังสือที่เคยอ่าน หลายอย่างเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการแต่งเพลงครับ”
“ตอบแบบนี้แสดงว่าคุณชยินยังไม่มีแฟนใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ”
“แล้วเคยมีความคิดว่าถ้าเกิดวันนึงคุณมีความรักกับใครสักคนขึ้นมาจริงๆ คุณอยากแต่งเพลงให้คนที่รักมั้ย”
“แน่นอนครับว่าผมต้องทำแบบนั้น”
“คุณเป็นคนมีพรสวรรค์ ถ้าหากได้รับงานแต่งเพลงเกี่ยวกับคนคนหนึ่งที่คุณไม่รู้จัก คุณจะแต่งได้มั้ย” ผมหันไปมองไอ้ศตวรรษ ก่อนคลี่ยิ้มอย่างคนเหนือกว่า
ตั้งแต่ได้รู้จักมัน กูเกทับชาวบ้านเขาเก่งขึ้นมากเลย
“ได้สิครับ อย่างเช่นคุณยุคนี่ผมก็แต่งให้ได้นะ เอาเป็นเพลงอกหักโดนทิ้งดีมั้ย” ใบหน้าคมเลิกคิ้วสูง ก่อนสวนกลับมาทันควัน
“งั้นผมจะตอบแทนด้วยการเขียนเรื่องฆาตกรรมให้คุณเรื่องนึง คุณอยากตายศพแบบไหนขอมาได้เลย”
“คุณเก็บความหวังดีเอาไว้ใช้กับตัวเองเถอะครับ”
“ศพที่แล้วก็เคยพูดแบบนี้”
“...”
“ผมหมายถึงในหนังสือน่ะ”
“เพลงก่อนหน้าที่ผมเคยแต่งพระเอกก็อกหักจนฆ่าตัวตายเหมือนกัน แย่เลย” จะไม่ยอมแพ้ ยังไงก็ต้องมีสักเรื่องหนึ่งแหละที่ผมชนะ “แต่ถ้าเป็นเคสอย่างคุณผมอาจจะแต่งให้ตายง่ายๆ เช่น สำลักนมสตรอเบอร์รี่ตาย”
“เสียใจว่ะ”
“ไม่อยากตายใช่ม้า”
“ไม่น่ามาเจอคนติงต๊องอย่างคุณเลย มีที่ไหนพระเอกสำลักนมตาย” ก็มึงไงไอ้ฟายยยยยยย กูแช่งอยู่เนี่ยรีบตายๆ ซะ
“ผมสมมติมั้ยล่ะ”
“เคๆ สมมติก็ได้”
“...”
“แต่ทำไมถึงทำหน้างออย่างนั้นอ่ะเรา”
“ผมไม่ได้หน้างอ”
“เถียงไม่ออกแล้วเหรอ”
“เออ”
“แพ้ซะละ”
“เออยอม”
“ขอโทษครับ”
เจ้าตัวพูดแค่นั้นก่อนจะวางฝ่ามือไว้บนหัวของผมพร้อมกับขยี้ไปมา แต่จะมีใครรู้บ้างว่าการกระทำแบบนี้มันทำให้ผมแพ้อย่างจริงจัง แพ้ราบคาบเหมือนทุกที...
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 5
ความจริงเป็นสิ่งวุ่นวาย
ผมถือสายค้าง มัวแต่อึ้งกับประโยคก่อนหน้าอยู่นาน...
ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่ไอ้ยุคหลอกผมคืออะไร ดูยังไงก็ไม่น่ามีเหตุผลที่เป็นไปได้ จะบอกว่าอยากมีเพื่อนแก้เหงาที่ผ่านมาแม่งก็อยู่ได้นี่หว่า
ถ้าอยากแชร์หนังสือทำไมต้องลงทุนซื้อมาให้เยอะขนาดนี้ หรือหากจะบอกว่าอยากหาคนหารค่าข้าวสุดท้ายมันก็เป็นคนจ่ายในตอนสุดท้ายอยู่ดี มีเหตุผลอะไรที่ต้องดึงคนหน้าตาดีแถมสุดจะเพอร์เฟ็กต์คนนี้เข้าไปในชีวิตด้วย
เบื่อครับ เบื่อความหล่อของตัวเอง
[ชยิน ตายยัง] กว่าจะได้สติก็ตอนที่เสียงเข้มจากปลายทางส่งมาให้เนี่ยแหละ
“ตายบ้านมึงสิ”
[ก็เห็นเงียบไปนาน สรุปตอนนี้คัลลิสโตจีบมึงอยู่เหรอ]
“จีบห่าไร ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”
[ก็ฟังจากที่มึงเล่ามันดูชอบวอแวมึงฉิบหาย เชื่อเถอะอีกไม่นานมึงติดเบ็ดชัวร์ๆ]
“คิดเองเออเองเก่งนะมึง” ผมเถียงกลับไปเสียงสั่น รู้สึกกลัวอะไรบางอย่างขึ้นมาครามครัน
[กูจะบอกอะไรให้นะ ในวงการนักเขียนใครก็รู้จักมัน แล้วรู้อะไรมั้ย คัลลิสโตไม่เคยพูดถึงผู้หญิงคนไหนหรือบอกว่าคบหากับใครมาก่อนเลย มึงว่ามันแปลกมั้ย]
ไอ้ท็อปทำงานในวงการหนังสือ เพราะฉะนั้นมันจึงค่อนข้างกว้างขวางในเรื่องคอนเนคชั่นรวมถึงรู้จักนิสัยใจคอของนักเขียนบ้าง แน่นอนว่าไอ้ยุคคือหนึ่งในนั้น แถมนับวันก็ดูจะสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
“มันเป็นคนสันโดษ จะป่าวประกาศให้คนอื่นเสือกทำไม”
[มึงไม่รู้อะไรซะแล้ว ที่มันไม่บอกใครเพราะกำลังปกปิดตัวตนที่ชอบผู้ชายต่างหาก]
“ฮะ!” ประโยคนี้แหกอกกูรุนแรงมาก
เหตุการณ์ที่ผ่านมาเริ่มประเดประดังเข้ามาไม่หยุด ตลอดหลายวันที่มีโอกาสได้เจอกับอีกฝ่ายผมก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้าง พฤติกรรมบางอย่างของไอ้ยุคค่อนข้างแปลก และคำพูดคำจาของมันก็ค่อนข้างส่อแววว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เหยดเข้! อย่ายุ่งกับกู กูอยากมีเมีย
“อะ...ไอ้ท็อป” ถึงกับเสียงสั่นเลยครับ ต้องรวบรวมสติอยู่พักหนึ่งก่อนจะกรอกเสียงพูดต่อ “แค่นี้ก่อนนะมึง พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปั่นผ้าทิ้งไว้”
[เออๆ มีอะไรให้ช่วยก็บอก ส่วนนิตยสารก็รอรับได้เลย อีกสองสามวันคงถึง]
“ขอบใจมาก”
หลังวางสายจากไอ้ท็อป ผมรีบอันล็อกความเครียดด้วยการนั่งจกมาม่าดิบกินอยู่ตรงโซฟา พลันนึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาครามครัน
ไม่รู้ตอนนี้มันตื่นหรือยัง เชี่ยนี่ยิ่งขี้เซาอยู่ด้วย แต่เพราะความสงสัยที่ค่อยๆ พอกพูนขึ้นไม่สามารถทำให้ผมนั่งนิ่งนอนใจได้ จึงต้องรีบกดโทรศัพท์ต่อสายหาเพื่อนรักที่พำนักในไทยอีกนับเดือน ซูปเปอร์เนิร์ดของห้อง...เมพเบิร์ด
[มีไร] เสียงตอบกลับดูงัวเงียเต็มแก่ บ่ายโมงกว่าแล้วไม่น่าเชื่อว่ามันจะยังทำตัวเหี่ยวอยู่บนเตียงอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“เกือบบ่ายสองละ นอนกินบ้านกินเมืองจังวะ” ผมพูดค่อนแขวะออกไป ซึ่งก็ได้รับการตอกกลับอย่างเจ็บแสบเช่นกัน
[ทีมึงตื่นหกโมงเย็นกูยังไม่เคยว่าเลย]
“กูนอนเช้าเหอะ”
[ส่วนกูก็เมา] ได้ข่าวว่าตั้งแต่มันไปเรียนอเมริกาก็เริ่มติดดื่ม ติดปาร์ตี้ หลังๆ คิดว่าน่าจะหนักกว่าผมไปไกลโข
“แฮงก์เหรอมึง”
[จะเหลือเหรอ เมื่อคืนกลับตีสามอ่ะ]
“งั้นรีบลุกขึ้นมาตอบคำถามกูก่อนเดี๋ยวค่อยแฮงก์ต่อ”
[ประสาท เป็นเหี้ยอะไรของมึงอีกเนี่ย เหงาเหรอ] ปลายสายตอบอย่างแดกดัน ถ้าไม่ติดคบกันมานาน แถมสมัยเรียนให้ลอกการบ้านส่งครูตลอดกูจะตัดเพื่อนจริงๆ ด้วย
“กูเปล่า แค่อยากหาไอเดียเขียนเพลง”
[อ่าๆ ว่ามากูจะได้นอนต่อ]
“สมัยมึงเรียนยู พอจะมีเพื่อนที่เป็น...เกย์มั้ย” ไม่รู้ทำไมคำนี้มันถึงพูดยากลำบากนัก เพราะกำลังกลัวหรือเปล่าว่าถ้าไอ้ยุคเป็นเกย์จริงๆ ผมจะสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นเป้าหมายให้มันล่อมาเชือด
แล้วยิ่งเขียนนิยายแนวสืบสวนสอบสวนพ่วงฆาตกรรมเอาไว้ด้วย ไม่รู้ว่าวันไหนจะโดนหลอกไปฆ่าหมกห้องโดยไม่รู้ตัว
[เพียบเลยว่ะ ถามทำไม]
“แล้วคนเป็นเกย์นี่มักมีพฤติกรรมแบบไหนวะ”
[ก็ชอบผู้ชายด้วยกันไง มึงโง่เหรอชยิน ถามอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้วะ]
“เอารายละเอียดปลีกย่อยอย่างอื่นสิ”
[มันก็แล้วแต่คนไป บางคนก็ไม่ได้มีพฤติกรรมแตกต่างจากคนที่ชอบผู้หญิงเลย เรื่องนี้...มันอธิบายยากจริงๆ ว่ะ] หมดสิ้นแล้วหนทาง คำตอบไม่ได้ช่วยขยายความเข้าใจให้ผมเลยสักนิด
“แล้วถ้าสมมตินะ อันนี้กูสมมติจริงๆ วันนึงมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตมึง ชวนมึงออกไปกินข้าว ดื่มกาแฟ เอาหนังสือมาให้ที่ห้องทุกวัน พูดจาสองแง่สามง่าม แบบนี้เข้าข่ายเกย์มั้ยวะ”
[นี่เรื่องของมึงหรือของใคร กูว่าไม่ใช่เรื่องสมมติละ] ฉลาดฉิบหายยยยยยยย
ไอ้เบิร์ดกำลังทำให้ผมจนมุม แต่เพราะไม่อยากให้ใครรู้ถึงความกังวลใจของตัวเอง จึงทำได้แค่โบ้ยเรื่องทั้งหมดไปให้คนอื่น
“เพื่อน” ตอบออกเสียงเข้ม เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่ากำลังโกหกอยู่
[มึงไม่มีเพื่อนสนิทที่จะเล่าเรื่องเหี้ยๆ ขนาดนั้นให้กันฟัง เพื่อนมหา’ลัยก็เทมึง สรุปมึงมีแค่กู] นอกจากเรียกเก่งแล้ว เรื่องเสือกและจับผิดชาวบ้านนี่ก็ใช่ย่อยเหมือนกัน
“เชี่ยโอไง อ้ออีก ไอ้ชลก็ด้วย”
[ไม่ พวกมันไม่มีทางปรึกษามึง ไม่งั้นแม่งจะเหงามาเป็นปีขนาดนี้เหรอ บอกมาว่าใครที่ทำแบบนี้กับมึง]
“ไอ้เบิร์ดแค่นี้ก่อนนะ พอดียุ่งว่ะ” ผมทำท่าจะวางสาย แต่แล้วเสียงเข้มก็ดังแทรกเข้ามาจนขี้หูแทบเต้นระบำ
[ห้ามวาง! มึงยอมรับแล้วสินะว่ามีคนมาติดพันมึง]
“กูไม่ได้พูดสักคำ”
[ขอโทษนะไอ้ชยิน มึงยอมรับตั้งแต่พยายามกดวางสายกูละ ให้กูเจอเขา]
“ไม่”
[จะได้วิเคราะห์ให้ไงว่าคนคนนี้เป็นเกย์จริงมั้ย ไม่อยากรู้เหรอ] แพ้ทันทีเลยกู เอาเรื่องนี้เข้ามาล่อมีเหรอชยินจะปฏิเสธได้
ผมไม่ชอบให้เรื่องอะไรติดค้างอยู่ในหัวนานๆ สงสัยก็ต้องหาคำตอบให้ได้ เหมือนที่พยายามสืบเรื่องของไอ้ 0832/676 อยู่ทุกวี่วันแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลยเนี่ยแหละ ดังนั้นปวดหัวเรื่องเดียวก็มากพอแล้ว อย่าให้ผมต้องค้างคากับเรื่องอะไรอีกเลย
“เออๆ ไว้วันไหนว่างจะให้มาเจอแล้วกัน” แค่ไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ ขอเวลาทำใจก่อน
[แต่วันนี้กูไปหามึงที่ห้องนะ พอดีว่างมาก]
“งั้นรีบอาบน้ำล้างหน้า กูจะพาไปเลี้ยงกาแฟดำ”
[โถะ! โทษนะเพื่อน หน้าอย่างมึงตอนนี้มีเงินด้วยเหรอ]
“สัดนี่”
[ถึงเมื่อไหร่เดี๋ยวโทรหา ขอนอนต่ออีกสิบห้านาทีแล้วกัน]
ไม่ปล่อยให้พูดอะไรเพิ่มเติมเพื่อนรักก็รีบตัดสายฉับพลัน ทิ้งให้ผมก่นด่าในใจพร้อมบดมาม่าในมือจนเละ
สองชั่วโมงให้หลังเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ดูเหมือนไอ้เบิร์ดจะกระตือรือร้นกับการมาที่ห้องของผมค่อนข้างมาก ทั้งที่ปกติเรียกให้มาทีไรก็มักจะอ้างโน่นอ้างนี่ตลอด
“ทีแบบนี้มาล่ะเสนอหน้ามาได้” ผมแซะมันกรายๆ
“ถ้าเรื่องงานกูไม่ค่อยว่าง แต่ถ้าคุยเรื่องชาวบ้านกูพร้อมเสมอ” โคตรเหี้ยเลย แถมมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วบ่นออกมาราวกับเป็นแม่ ถามว่าทำความสะอาดห้องครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่บ้างล่ะ จนขนาดไม่มีน้ำอัดลมในตู้ให้กินบ้างล่ะ แทะผนังห้องแทนข้าวบ้างล่ะ
แหม...พ่อคนรวย วันไหนไม่มีงานอย่างกูมึงจะเข้าใจ
พอรื้อค้นหาอะไรกินไม่ได้นอกจากน้ำเปล่าและมาม่าแห้งแล้ว เราก็เปิดหนังดูกันไปเพลินๆ แม้จุดสนใจในตอนนี้จะไม่ใช่จอโทรทัศน์ตรงหน้าก็ตาม
“โปรแกรมกูเป็นไงบ้าง มีปัญหาอะไรมั้ย ฟังก์ชั่นโอเคหรือเปล่า กูใส่โค้ดเสริมเข้าไปให้มันสามารถแทรกเพลงลงไประหว่างเล่นได้ด้วย”
“เหรอ ไม่ยักรู้ เดี๋ยวจะลองไปเล่นดู แต่ตัวโปรแกรมไม่มีปัญหานะ” คนข้างๆ พยักหน้าเหมือนพอใจกับผลงานของตัวเองพอสมควร
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครวะ ใช่ 0832/676 มั้ย” นั่นไง มันเริ่มประเด็นจนได้
“ใช่ที่ไหนล่ะ เก่งจังนะเรื่องคาดเดาเรื่องชาวบ้านเนี่ย”
“มึงไม่ใช่ชาวบ้าน มึงเป็นเพื่อนกู” โอ้โหซึ้ง...
แต่จุดประสงค์แม่งคือเสือกไง ตื้นตันใจได้แป๊บเดียวก็กลับมาหมั่นไส้ เพราะมองทะลุสันดานออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“เลิกหัวหมอพูดเอาใจกูเถอะ ไอ้คนนั้นมันเป็นนักเขียน เจอกันตอนไปสัมภาษณ์งานกับไอ้ท็อป แต่มันไม่ได้จบไงเพราะหลังจากนั้นแม่งเล่นเสือกตามกูแจเลย”
“ไม่ดีเหรอ มึงจะได้ไม่เหงาไง”
“ถ้ามันอยู่เป็นเพื่อนก็ดีดิ แต่ถ้ามันเป็นเกย์...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากมองหน้าเพื่อนสนิทเพื่อเติมประโยคที่เหลือในใจ
“ชยิน มึงไม่ใช่คนแบบนี้” ประโยคเดียวที่ออกจากปากซูปเปอร์เนิร์ดของห้องทำเอาผมอึ้ง สายตามันเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและผิดหวังอยู่กรายๆ
“อะไรวะ กูทำอะไรผิด”
“ปกติมึงไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยนี่หว่า เวลาคบใครมึงเลือกคบเพราะนิสัย อย่างกูเนี่ยโคตรเนิร์ด ตัวมืดมนของห้อง หน้าตาก็แย่ ไม่เห็นมึงจะเอาภาพลักษณ์มาเป็นตัวตั้งในการคัดเลือกคนเลย”
“...”
“เพศสภาพบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีเหรอวะ” ทำเอากูดูเลวไปเลย
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น แต่จะว่าไงดีวะ กูก็แค่อยากรู้ว่าไอ้คนนั้นมันเป็นยังไง จะได้ทำตัวถูกเวลาอยู่ด้วยกัน ไม่ได้ตั้งใจดูถูกห่าอะไรทั้งนั้นแหละ”
“ถ้าเขาชอบมึงนี่จะยอมรับได้มั้ย”
“คนอื่นอาจจะได้ แต่ถ้าให้คบกับมันกูขอครองตัวเป็นโสดจนถึงวัยชราภาพเลยเถอะ”
“มึงไม่ยอมรับความจริง”
“กูยอมรับความจริง แต่นิสัยกวนตีนของมันกูรับไม่ได้จริงๆ”
“เจอคนปราบพยศได้หน่อยแล้วดิ้นหนักเลยนะมึง”
“ดูปากกูนะ กู...ไม่...ได้...ดิ้น” ผมทำหน้าจริงจัง ไอ้เบิร์ดเลยพยักหน้าเข้าใจ นั่งจกมาม่าดิบแดกฆ่าเวลากันเพลินๆ กระทั่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมสะดุ้งโหยง ขนแขนลุกชันโดยอัตโนมัติ
ไม่คิดไม่ฝัน...
“ใครมาวะ” ไอ้เนิร์ดเอ่ยถาม แต่สายตาเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าคนด้านนอกเป็นใคร
ที่มึงมาหากูถึงห้องนี่คือวางแผนมาแล้วใช่มั้ย เพื่อนสารเลว!
“มึงนั่งอยู่ตรงนี้เลยนะ ไม่ต้องเสนอหน้าเดินตามกูมา” สั่งเอาไว้แบบนั้นพลางเดินไปยังประตู สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วผ่อนออกมา ก่อนตัดสินใจหมุนลูกบิดเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ
“หวัดดีคุณ”
และไม่ผิด ไอ้ศตวรรษยืนอยู่ตรงนี้กับเสื้อผ้าสีโทนเดิมๆ หมวกใบใหม่ที่ไม่เคยใส่ซ้ำ รองเท้าแตะอดิดาสคู่คุ้นตา และหนังสือของมูราคามิฉบับภาษาอังกฤษหนึ่งเล่มที่ถือติดมือมาด้วย
“จะมาทำไมไม่โทรบอกก่อน ผม...ผมจะได้เตรียมตัว”
“เตรียมทำไม ต่อไปคุณจะเดินแก้ผ้ามาเปิดให้เหรอ” สมองก็คิดแต่เรื่องแบบนี้อ่ะ จังไรไม่มีที่สิ้นสุด
“รำคาญ เอาหนังสือมาให้ใช่มั้ย ขอบคุณครับ” ผมรีบยื่นมือไปคว้าหนังสือจากมือหนา กะว่ารับแล้วอีกฝ่ายจะได้รีบกลับไปเหมือนทุกๆ วัน แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
“ใครมาเหรอชยินนนนนนนนน”
ตายโหง! ไอ้เพื่อนเหี้ยเริ่มก่อเรื่องแล้ว ไม่พอมันยังสลอนหน้าออกมาทักทายไอ้ยุคถึงหน้าห้องด้วย กูล่ะเกลียดใบหน้ายิ้มแย้มแสนตอแหลของมันเต็มแก่
บอกสิว่ามึงเก่งแต่เรื่องเรียน ที่เปลี่ยนไปนี่คือติดนิสัยมาจากเพื่อนมหา’ลัยเหรอ
“เพื่อนมาเหรอคุณ” ร่างสูงถามอย่างสงสัย
“สวัสดีครับ ผมชื่อเบิร์ด เป็นเพื่อนสนิทชยิน”
“ผมชื่อยุค ไม่คิดว่าชยินจะมีเพื่อน”
“ใช่มั้ย ปกติก็ไม่มีใครเอามันหรอกนอกจากผม เข้ามาข้างในก่อนมั้ยครับ แต่รกหน่อยนะ ไอ้นี่มันสกปรกที่สุดในรุ่นแล้ว” เวรเอ๊ย วางอำนาจเป็นเจ้าของห้องไม่พอยังมีหน้าเชื้อเชิญคนนอกเข้ามาอีก
“ไม่เป็นไร ผมรับได้”
“ง่อวววววววววว damn good”
สัดเบิร์ด...
“แล้วปกติมาหาชยินบ่อยๆ เหรอครับ เป็นเพื่อนกันหรือว่ายังไง” ไอ้เบิร์ดเริ่มต้นคำถามพลางดันตัวไอ้ยุคให้เดินไปนั่งตรงโซฟา ด้านหน้ามีซากมาม่าแห้งวางแบอย่างหมดสภาพอยู่
“ไม่เชิงเพื่อนหรอก ผมเป็นเจ้ากรรมนายเวรมากกว่า”
“ฮ่าๆ ดีเลย ว่าแต่วันนี้คุณว่างมั้ย ผมกับไอ้ชยินจะชวนกันไปกินบุฟเฟ่ต์อาหารทะเล มีคุณไปด้วยคงจะดี”
มึงว่าไงนะ กูไปตกลงกับมึงตอนไหนไม่ทราบ!
ผมพยายามกระตุกมือไอ้เบิร์ดอยู่หลายครั้งให้มันหุบปาก แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใยทุกครั้งไป งานก็ไม่มี เงินก็หมด ยังมีหน้าสร้างภาระด้วยการชวนคนแปลกหน้าไปกินบุฟเฟ่ต์อีก นี่มันวันซวยอะไรของผมวะเนี่ย
“ชยินไม่ชอบอะไรที่ต้องแกะไม่ใช่เหรอ คุณสองคนไปกินอาหารทะเลกันจริงดิ”
“โอ้โห รู้กันถึงขนาดนี้ ผมไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยยยยยยย” จะลากเสียงยาวทำสันหอกอะไรวะ ผมทนไม่ได้เลยต้องเอ่ยปรามมันซะหน่อย
“หุบปากไปเลยมึงอ่ะ”
“ก็กูตื่นเต้นที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่อ่ะ คุณยุคที่นั่นไม่เชิงมีอาหารทะเลอย่างเดียวหรอก ยังมีหมูและเนื้อด้วย ยังไงก็ไปด้วยกันนะครับ”
“อืม วันนี้ก็ว่างพอดี ถ้าไม่รบกวนพวกคุณอ่ะนะ”
“ไม่เลยครับ ไอ้ชยินได้ยินแล้วก็ไปแต่งตัวเลยเพื่อน กูหิวมากจริงๆ” พูดจบ เชี่ยเบิร์ดก็ดันหลังผมเข้าไปในห้องนอน ตอนนี้แหละที่กูโมโหจนแทบจะชกหน้ามัน แต่เพราะเห็นเป็นเพื่อนจึงทำได้แค่ยื้อคอเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้จนยับยู่
“เล่นอะไรของมึงวะ”
“มึงใจเย็น ที่กูทำไปก็เพื่อมึงเลยนะ” ดูข้อแก้ตัวขุ่นๆ ของมันครับ คิดเหรอว่ากูจะเชื่อ
“เพื่อกูห่าไร มึงกำลังทำกูประสาทเสีย”
“มึงฟังกูก่อนนะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบดึงมือผมออกจากคอเสื้อของมัน แล้วจัดการอธิบายต่อ “มึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นเกย์หรือเปล่า อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาชอบมึงหรือเพราะนิสัยจริงๆ เป็นแบบนี้ ถ้าอยากรู้มึงก็ควรทำตามที่กูบอก” สุดท้ายผมก็หลงกลกับคำแก้ตัวของไอ้เบิร์ดอีกจนได้
“เออๆ กูจะยอมมึงแค่วันเดียว สรุปกูต้องทำอะไรบ้าง”
“สังเกตและทดสอบ เช่น การกิน การจับช้อนและแก้วน้ำ รสนิยมส่วนตัว เดี๋ยวเราจะค่อยๆ ทดสอบกันไป มึงแค่ไหลไปตามน้ำ”
“โอเค”
“หลังจากแดกบุฟเฟ่ต์กูจะชวนเขาไปนั่งจิบเบียร์ด้วย”
“มึงจะบ้าเหรอ”
“อย่าโง่น่า แอลกอฮอล์ทำให้คนพูดความจริง มึงต้องเชื่อในตัวกูนะ” ก็จะไม่เชื่อเพราะเป็นมึงเนี่ยแหละ
ผมไม่ได้เถียงอะไรกลับไป ได้แต่มองดูใบหน้ายิ้มแฉ่งของเพื่อนสายเนิร์ดอย่างคลางแคลงใจ จัดการหาเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนให้เรียบร้อย เพราะไอ้เบิร์ดชวนไปนั่งจิบเบียร์ต่อเลยคาดการณ์ว่าคืนนี้คงอีกยาวไกล ฉะนั้นก่อนออกห้องจึงไม่ลืมล็อกอินเข้าไปที่โปรแกรมเดิมที่มักเข้าประจำ
ใน MSN มีหมาตัวหนึ่งรอคุยอยู่ทุกคืน หากแต่คืนนี้...
Chayin says… คืนนี้ไม่ได้อยู่คุยด้วย ทำตัวดีๆ นะหมีใหญ่
ทำได้เพียงทิ้งข้อความไว้เท่านั้น
ผมติดรถมากับไอ้เบิร์ด ส่วนไอ้ศตวรรษขับรถส่วนตัวตามมาไม่ห่าง ระหว่างทางเราก็พูดคุยเกี่ยวกับเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันไปด้วย
“มีอะไรของคุณยุคที่แตกต่างไปจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดมั้ย” คำถามของไอ้เบิร์ดทำให้ผมต้องใช้เวลาในการกรอกตาไปมา
“การแต่งตัวมั้ง แม่งไม่เคยใส่เสื้อผ้ามีสีสันเลย ปกติเห็นใส่แต่สีดำทึมๆ บางวันมาในธีมนักฆ่าเลยก็มี”
“นั่นไง!” ซูปเปอร์เนิร์ดตบพวงมาลัยฉาดใหญ่ “พวกที่ชอบปกปิดตัวเองจะยิ่งพยายามกลบเกลื่อนเกินพอดี จริงๆไอ้คุณยุคอาจจะชอบสีชมพูก็ได้”
“มันแดกนมสตรอเบอรี่”
“เข้าทาง! ของกินเท่านั้นที่บังคับกันไม่ได้”
เออจริง กูนี่หิวยำงูเห่าทันที…
“มึงต้องถามเหตุผลเขาแล้วล่ะ ทำไมถึงชอบใส่เสื้อผ้าแบบนี้ จากนั้นกูจะลองประมวลผลด้วยสมองอันชาญฉลาดของกูเอง” คือพูดกับกูไม่พอมึงยังมีเวลามาอวยตัวเองนะสัด รำคาญ
“เออๆ มีอะไรอีกมั้ย”
“การมานั่งกับคนไม่สนิทอย่างกูอาจทำให้เขาลำบากใจ มึงต้องชวนเขาคุยตลอดบรรยากาศจะได้ไม่กร่อย ทางที่ดีโทรตามไอ้ท็อปมากินเบียร์ด้วยกันก็ได้ จะได้เป็นการคลายความตึงเครียดให้เหยื่อไปในตัว”
ฟังดูเข้าท่า เพราะจากที่คุยกับไอ้ยุคมาเหมือนมันจะสนิทใจกับไอ้ท็อปพอสมควร
“งั้นเดี๋ยวกูโทรเอง มึงขับรถไป”
เราดำเนินการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว กระทั่งมาถึงร้าน ไอ้เบิร์ดก็ตรงดิ่งไปยังโต๊ะมุมสุด ทิ้งตัวลงนั่ง พร้อมกับวางกระเป๋าเป้ของมันไว้ตรงเก้าอี้ด้านข้าง ส่งผลให้ผมกับไอ้ยุคต้องนั่งฝั่งเดียวกันไปโดยปริยาย
สิบห้านาทีหลังแยกย้ายกันไปตักอาหารทุกคนก็พร้อมประจำที่ ไอ้เบิร์ดเตะเท้าผมเป็นการให้สัญญาณก่อนเริ่มกิน
“อร่อยมั้ยคุณ” ก่อนอื่น ต้องสร้างความคุ้นเคยซะก่อน เพราะสังเกตมาสักพักว่าคนข้างๆ พูดน้อยกว่าปกติ บางทีอาจเป็นเพราะมีไอ้เบิร์ดอยู่ด้วยก็ได้
“ก็โอนะ” เสียงทุ้มตอบกลับ
เจ้าตัวคีบเนื้อย่างใส่ปาก ก่อนจะย่างส่วนหนึ่งที่สุกพอดีใส่จานของผมโดยไม่คิดมองหน้า
“ไม่เอาแบบนี้ ชอบแบบติดมัน”
“แค่นี้ตัวก็ตัวบวมตายห่าละคุณ กินอะไรติดมันเยอะแยะ” สัด! ด่าแรงจนหน้าสั่น ไอ้เบิร์ดนี่ถึงกับหลุดขำจนต้องยกมืออุดปากแทบไม่ทัน
“คุณยุคชอบสีดำเหรอครับ” เพื่อไม่ให้เสียเวลา ไอ้เบิร์ดเลยเนียนถามเข้าประเด็น
คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมามอง หากแต่มือที่ถือตะเกียบก็พลิกเนื้อบนเตาไปด้วย
“ครับ เหมือนเป็นสีเดียวที่เข้ากับผม”
“แต่คุณดูดีมากนะ ใส่สีอะไรก็เหมาะ”
“ทำไมชอบใส่ชุดเหมือนนักฆ่า” ผมพูดเสริมทันที ไอ้คนข้างๆ เลยหันมามองแล้วตอบกลับอย่างเจ็บลึกตัดขั้วหัวใจ
“ชุดของผมมันติดอยู่ตรงง่ามขาคุณเหรอถึงใส่ไม่ได้”
“แค่สงสัยมั้ยล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“...”
“ถ้าผมเป็นนักฆ่าจริง ศพแรกที่ลอยอยู่ในน้ำคงเป็นคุณไปนานแล้ว”
เขร้!!
ไอ้เบิร์ดถึงกับสะดุ้งโหยง จนเผลอทำเนื้อที่คีบขึ้นมาหล่นแบะอยู่กลางโต๊ะ เราต่างกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก กระทั่งคนตัวสูงทำลายความเงียบลงอีกครั้ง
“ผมเป็นคนชอบอะไรก็จะชอบอยู่อย่างนั้น หมกมุ่นอยู่กับมัน เปลี่ยนใจอะไรก็ยาก เพราะงั้นผมเลยชอบสีเดิมๆ เสื้อผ้าสไตล์เดิม หมวกทรงเดิม และคนเดิมๆ”
“ล้ำลึกคมคาย” เสียงเปรยจากคนตรงข้ามดังขึ้น
เมพเบิร์ดดูจะศรัทธาไอ้ยุคมากนะครับ ดูจากสายตาที่มันมองมา ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนสนิทและมีเมียนอนรออยู่ที่อเมริกา ผมคิดว่ามันคงชอบไอ้ยุคไปแล้วแน่ๆ
“งั้นคุณก็ชอบนมสตรอเบอร์รี่อ่ะดิ” ผมถามอีก
“ผมไม่ได้ชอบ แค่วันนั้นที่เจอคุณทางร้านมีโปรโมชั่นเฉยๆ”
“เอ้าเหรอ”
เพราะงั้น...รสนิยมชอบกินนมสตรอเบอร์รี่ก็ถูกตัดออกไป
“คือวันนี้หลังจากกินบุฟเฟ่ต์เสร็จ ไอ้เบิร์ดจะชวนไปนั่งจิบเบียร์ คุณสนใจไปด้วยกันมั้ย” ต้องเข้าประเด็นก่อนเดี๋ยวจะลืมเอา
“ขอคิดดูก่อน”
“จริงๆ ก็ควรจะไปนะ เพราะถ้าคุณไม่ไป...”
“ทำไม”
“ถ้าไม่ไปผม...”
“จะทำอะไรครับ”
“จะโกรธ”
“กลัวตายเลย”
ก็มันไม่มีอะไรมาต่อรองแล้วนี่หว่า สัดเอ๊ย
“ไปเถอะ สนุกนะบอกเลย”
“ก็คงต้องตามคุณแล้วมั้ง ไม่อยากให้โกรธจนเหนื่อย”
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 7
จีบไม่กลัว กลัวแพ้
ไอ้ยุคขับรถมาส่งผมถึงหน้าคอนโด ระหว่างทางเราก็คุยเรื่อยเปื่อยกันไปตลอดทาง ซึ่งมันควรเป็นเรื่องปกติของคนเป็นเพื่อนแถมยังเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แต่สำหรับผมมันไม่ปกติเอาซะเลย ขากลับมานอกจากจะนั่งใจสั่นเป็นกลองชุดแล้ว แต่ละประโยคที่เปล่งออกมาก็ยังติดสั่นไปด้วย
ผมไม่อยากบอกว่าตัวเองกำลังหวั่นไหวกับคนที่มาบอกรัก เพราะสมัยเรียนมหา’ลัยผมก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับทุกคนที่มาบอกชอบ หรือเพราะตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับความเหงาอยู่กันแน่ ถึงทำให้ความรู้สึกตอนอยู่กับไอ้ยุคเปลี่ยนไป
ด้วยมั่นใจว่ารสนิยมของตัวเองไม่เคยเปลี่ยน หลังจากแยกกับอีกฝ่ายผมก็รีบวิ่งขึ้นห้อง รื้อค้นเอาปฏิทินปลุกใจเสือป่าและแม็กกาซีนรวมภาพวาบหวิวออกมาเพื่อกระตุ้นตัวเอง
ผู้หญิงพวกนี้สิที่เป็นไทป์ของผม เธอดึงดูด ไม่ว่าจะเป็นหน้าอกหน้าใจหรือตูดงอนๆ ให้ตายเถอะ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ ที่รู้สึกแปลกคงเป็นเพราะบรรยากาศพาไปเองมากกว่า
คิดได้เท่านั้นก็จัดการเก็บภาพเสียวตรงหน้าเข้ากรุดังเดิม แล้วเดินผิวปากไปยังห้องนอน
“ฮู้วฮูวววววววว” มีความสุขละ
เริ่มต้นทำงานได้อย่างมีสมาธิซะที ก่อนอื่นเลยตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแค่ไม่กี่บาท มาม่าก็ใกล้จะหมด ถ้าขืนขี้เกียจอีกก็ไม่แน่ว่าจะอดตายในเร็ววัน ถ้าให้บากหน้าไปขอที่บ้านก็กลัวจะเสียศักดิ์ศรีเพราะบอกไว้แต่แรกแล้วว่าอาชีพนี้ยังไงก็อยู่ได้ สักวันผมจะยิ่งใหญ่
เป็นไงล่ะกู...จนใหญ่เลย
ผมเป็นลูกคนกลางจากบรรดาพี่น้องสามคน และก็นับว่าเป็นคนเดียวที่นอกคอกและแปลกแยกไปจากคนอื่น พ่อผมเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน แม่เป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ ม.ต้น พี่สาวจบมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ส่วนน้องชายตอนนี้เรียนครูอยู่ปีสาม
คิดดู แล้วไอ้เหี้ยนักแต่งเพลงนี่ใคร ลูกคนข้างบ้านเหรอ
ที่บ้านอยากให้ผมเป็นข้าราชการ หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็อยากให้เรียนในคณะที่จบมามีงานทำมั่นคง ซึ่งบอกเลยว่าผมไม่เข้าใจ จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ
สุดท้ายผมตัดสินใจเลือกสิ่งที่ตัวเองรักและเริ่มเดินทางตามความฝัน เมื่อมาไกลขนาดนี้แล้วก็ยากเกินกว่าจะบากหน้าไปขอเงินที่บ้านอีก ศักดิ์ศรีมันค้ำคอเกินไป
วิธีเดียวที่ประทังชีวิตตัวเองให้อยู่รอดได้และไม่ลำบากคนอื่นคือขุดงานเก่าๆ ที่เคยทำออกมา ปรับเมโลดี้และแก้เนื้อเพลงใหม่ทั้งหมดเพื่อลองเอาไปเสนอทางค่ายดู ผลงานพวกนี้ผมเริ่มทำตั้งแต่สมัยเรียนเลยไม่เคยเอาไปเสนอให้ใครเพราะคิดว่ามันไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร แต่ตอนนี้กูไม่สนคุณภาพละ ปากท้องกูต้องมาก่อนเสมอ
ผมใช้เวลาทั้งคืนในการคิดเนื้อร้องใหม่ ไม่กินข้าวกินน้ำ ไม่พาตัวเองไปนั่งใกล้เตียงเพราะกลัวจะเผลอหลับซะก่อน สุดท้ายเพลงที่ทำการเผามาตลอดทั้งคืนก็เสร็จตอนเที่ยงของอีกวันพอดี
ผมรวบรวมไฟล์ที่ทำการอัดเสียงแบบง่อยๆ พร้อมเนื้อเพลงไปให้กับโปรดิวเซอร์ที่รู้จักผ่านทางอีเมล จากนั้นก็ได้เวลานอนสักที
“เห้ออออออออ~”
ก๊อกๆๆ
ว็อท เดอะ ฟัคคคคคคคคคค
ล้มตัวลงไม่ถึงสิบวิเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ผมดึงทึ้งหัวตัวเองอยู่บนเตียงด้วยความโมโหก่อนจะกระทืบเท้ามาเปิดประตูด้วยความไม่พอใจ พอเปิดมาเจอไอ้ยุคที่ถือของพะรุงพะรังตรงหน้ากูก็หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอีก
“มาทำไมตอนนี้ ผมง่วง อยากนอนนนนนน” ผมพูดเสียงยานคางเป็นการเริ่มต้นบทสนทนา
คนตรงหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอดหมวกแก๊ปออกจากหัวแล้วมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ใส่ชุดเดิมเลย ไม่ได้อาบน้ำเหรอคุณ”
“อือ ไม่ได้นอนด้วย มีอะไรรีบๆ พูดมา ง่วงจนหนังตากระพือแล้วเนี่ยเห็นมั้ย” มันหัวเราะเบาๆ ก่อนแทรกตัวเข้ามาภายในห้องอย่างถือวิสาสะ มือหนาดึงลูกบิดล็อกประตูเช่นเดิมแล้วสาวเท้าไปยังห้องครัว
“กินข้าวยัง” เจ้าตัวถาม ซึ่งผมก็เลือกส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ผมซื้อข้าวกล่องมาให้ กินก่อนแล้วค่อยนอนสิ”
“ไม่เอาจะนอน”
“ชยิน”
“ง่วง ตอนนี้ง่วงกว่าหิวอีก”
“ชยินอย่างอแง”
กูนี่อยากลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อเห็นสายตาเอาจริงเลยจำต้องทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ แล้วเท้าคางลงกับโต๊ะ สายตาจ้องมองการกระทำของคนตัวสูงที่กำลังหยิบกล่องข้าวออกมาจากถุงแล้วยื่นให้ตรงหน้า
“อะไรอ่ะ”
“ข้าวผัดกุ้ง”
“บอกแล้วว่าขี้เกียจแกะ ถึงจะเหลือแค่หางก็ไม่อยากแกะ” ผมพูดเสียงขุ่น
“สั่งให้เขาเอาออกให้หมดแล้ว แค่ตักกินน่ะคุณ รีบกินรีบนอน”
“แล้ววันนี้ว่างเหรอถึงมาหาผมได้” ปากถามแต่มือก็จับช้อนจ้วงข้าวใส่ปากอย่างเชื่องช้า เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะกินหรือจะนอนดี
“ผมว่างทุกวันแหละ วันนี้ออกไปซื้อของข้างนอกเลยแวะมาหา นั่งตัวตรงๆ นอนกินเป็นงูเลย”
“สั่งๆๆ”
เป็นแค่เพื่อนทำมาเป็นวางอำนาจ ถึงจะมาบอกชอบแต่ก็อย่าหวังจะได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นนะเว้ย ในหัวคิดแบบนั้นแต่การกระทำตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง กูลุกขึ้นมานั่งตัวตรงทำไมวะเนี่ยยยยยยยย
“น้ำมั้ย”
“เอาน้ำเย็นๆ มาแก้วนึง”
อีกฝ่ายพยักหน้า เดินตรงไปยังตู้เย็นพร้อมกับหยิบขวดน้ำเปล่าออกมา สรุปนี่ห้องกูหรือห้องมันวะเนี่ย รู้ดีอย่างกับเป็นเจ้าของ
“แล้วทำไมถึงนอนดึก” น้ำที่ถูกรินใส่แก้วถูกวางไว้ด้านขวามือ ผมเงยหน้ามองคนตัวสูงพลางตอบเสียงเรียบ
“หาเงิน”
“หมดตัวอ่ะดิ มีอะไรก็บอกผม เดี๋ยวให้ยืมเงินใช้ก่อน”
“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากรบกวนคนอื่น” ท้ายประโยคผมเน้นเสียงหนัก เพื่อให้ไอ้ยุคมันเข้าใจว่าสำหรับผมแล้วมันก็ยังไม่ใช่เพื่อนสนิทของผมอยู่ดี ทิ้งระยะห่างแบบนี้อ่ะดีแล้ว
“แต่งเพลงออกแล้วเหรอ”
“เอาเพลงเก่าที่เคยแต่งแล้วมาปรับใหม่ ช่วงนี้ต้องหาเงิน มีอะไรก็ทำๆ ไปก่อน นี่ก็เพิ่งส่งงานไป” พูดไปก็ตักข้าวใส่ปากไปด้วย เออ เจ้านี้อร่อยว่ะ แถมไม่เสียเวลาแกะกุ้งให้มือเปื้อนด้วย
“เร่งทำขนาดนี้ไม่ดีหรอก คุณไม่ได้ทำมันด้วยแพชชั่น”
“แพชชั่นอ่ะเคยมี ตอนนี้ไม่อยู่แล้วเพราะกินไม่ได้”
“อ้าวงี้ถ้าคุณชอบใครสักคนก็ชอบที่เขาทำให้คุณมีกินมากกว่าตัวของเขาอ่ะดิ”
“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น...”
เปรียบเทียบซะกูดูเลวเลย
“บางอย่างถ้ารู้ว่าเถียงไม่ชนะก็อย่าทำ” มันยิ้มอย่างเป็นต่อ ผมเลยส่งนิ้วกลางไปให้เป็นคำตอบ คราวนี้แม่งฉีกปากยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกสัด
“ชนะไม่ได้ตลอดหรอกคุณ”
“เด็กน้อย”
“เลิกเรียกแบบนี้ซะทีน่า ปีนี้ยี่สิบห้าแล้ว”
“ก็เด็กจริงอ่ะ”
ผมจิ๊ปากเสียงดัง แล้วหันมาก้มหน้าก้มตากินข้าวเพื่อจะได้ขอตัวไปนอนอย่างเต็มที่ และเหมือนไอ้ศตวรรษมันจะรู้เลยพูดดักทางไว้ก่อน
“ค่อยๆ กินก็ได้ ถ้าข้าวติดคอผมไม่พาคุณไปโรง’บาลนะ”
“หมดแล้ว ไม่ติดคอด้วย” ผมยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมากระดกจนหมด ก่อนจะเอ่ยปากไล่อย่างไม่รักษาน้ำใจ “คุณกลับไปเลย ผมจะนอน”
“งั้นผมไม่รบกวนแล้ว คุณเองก็อย่าลืมแปรงฟันก่อนนอน”
“รู้แล้วน่า” สั่งเป็นพ่อเลย
เจ้าตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินตรงดิ่งไปหน้าประตูเพื่อสวมรองเท้าและตั้งท่าหมุนลูกบิดออกไป แต่ผมไวกว่านั้นรีบเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ทัน
“คุณ! ลืมของอ่ะ” ไม่พูดเปล่า ยังชี้ไปที่ถุงซูปเปอร์มาเก็ตสองสามถุงที่วางอยู่บนโต๊ะด้วย
“อันนั้นของคุณ ผมซื้อมาให้”
“ได้ไง”
“ซื้อมาแล้วขี้เกียจถือกลับ คุณเก็บไว้เถอะ”
“เดี๋ยว!” ใบหน้าหล่อเหลาหันขวับ ผมจึงเรียบเรียงคำพูดในหัวอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าควรพูดออกไปดีมั้ย แต่ตามธรรมเนียมแล้วมันก็ควรบอก...
“มีอะไร”
“ขอบคุณนะ ที่ซื้อข้าวมาให้” สุดท้ายก็พูดออกไป คนตรงหน้าคลี่ยิ้ม หยิบหมวกขึ้นมาสวม เอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบเหมือนทุกที
“ก็บอกแล้วไงว่าผ่านมาเฉยๆ ไปนอนได้แล้วเด็กน้อย”
“ไม่เด็กโว้ย”
“เด็กน้อย”
“โว้ยยยยยยยยยย”
ผมกระทืบเท้าด้วยความโมโห ก่อนอีกฝ่ายจะปิดประตูหนี ทิ้งให้ผมหงุดหงิดอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อสงบสติอารมณ์ได้สักพักก็รีบเดินมาแหวกถุงบนโต๊ะดู แล้วก็พบว่าในนี้เต็มไปด้วยของกินที่ดีต่อกระเพาะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล่องเวฟที่ง่ายต่อการกิน ขนมปัง นม น้ำผลไม้ ช็อกโกแลต เยลลี่กับมาร์ชเมลโล่มันก็ซื้อมา
ง่ายๆ เลยมึงยกซูปเปอร์ฯ มาไว้ที่ห้องกูเลยดีกว่า
แล้วนี่กูเป็นอะไรเนี่ย จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนหน้าขึ้นมา มึงดีใจเหรอชยิน ใครก็ไม่รู้ซื้อของกินให้เนี่ย เอาของกินมาล่อเหมือนเด็กเนี่ย ผมถามตัวเองในใจก่อนจะตอบตัวเองเบาๆ
อือ...ดีใจ อย่างน้อยก็ได้กินฟรี
ผมนอนไม่หลับ จากที่ง่วงมากๆ ตอนนี้ตาสว่างเฉยเลย
ได้แต่นอนพลิกตัวไปมาอยู่เกือบชั่วโมง จนต้องยกธงขาวยอมแพ้ จิตใจมันกำลังว้าวุ่นเพราะใครบางคน
จะบอกว่าไอ้ยุคเป็นผู้ชายคนแรกที่เข้ามาสารภาพรักผมมั้ย ตอบเลยว่าไม่ ตอนอยู่มหา’ลัยนอกจากสาวๆ แล้วก็ดันมีผู้ชายหน้ามืดบางคนเข้ามาหาผมเหมือนกัน ไม่รู้แม่งใช้อะไรมอง แต่ทุกครั้งที่ปัดปฏิเสธผมไม่เคยรู้สึกตกค้างหรือรู้สึกผิดอยู่ในใจเลย แล้วทำไมตอนนี้มันดันตรงกันข้ามไปซะหมด
ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย มั่นใจว่าอย่างนั้น
ความคลางแคลงใจส่งผลให้ข่มตาหลับไม่ได้ ดังนั้นผมจึงทำใจกล้าอีกครั้ง เพื่อจะได้นอนหลับสบายสักที
คิดแล้วก็พุ่งลงไปรื้อค้นกรุเก็บของสะสม จัดมาให้หมดครับทั้งหนัง AV ที่เคยซื้อ การ์ตูนปลุกใจชายโฉด 20+ แล้วหอบทั้งหมดขึ้นเตียงพร้อมกับแมคบุ๊กลูกรัก
เอาวะ! ในเมื่อนอนไม่หลับก็ต้องทำกิจกรรมสโตรกกันยาวๆ แม่งเลย
เมื่อวานดูภาพพวกนี้ก็ยังรู้สึกเร้าอารมณ์อยู่ วันนี้หวังว่ามันคงจะได้ผลเหมือนทุกครั้ง ผมหยิบแผ่นหนังใส่เข้าไปในเครื่อง ตั้งหน้าตั้งตาดูอย่างจดจ่อ
หน้าอกหน้าใจเธอนั้นหนอ...
ตูดที่ดูอวบอิ่มชวนน้ำลายสอนั้นหนอ...
ไม่ช่วยอะไรเลย
เหมือนตอนนี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อย่างว่าเลยว่ะ ดูหนังจนหมดแผ่น เปิดการ์ตูนปลุกเร้าอีกเป็นชั่วโมงก็ไม่ช่วยอะไร สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปเพราะเหนื่อยกับความพยายามที่มากเกินไปจนได้
“ชยิน...”
“อือ อย่ายุ่ง ง่วง”
“ชยินตื่นได้แล้ว”
เสียงของใครบางคนลอยวนอยู่ใกล้หู ด้วยความรำคาญเลยดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดเพื่อหลีกหนีเสียงนั้น ซึ่งก็ไม่เคยได้ผลเมื่ออีกฝ่ายดึงมันออกแล้วตรึงไหล่ของผมไว้กับเตียงจนไม่สามารถขยับตัวได้
“ปล่อยเลย ใครเนี่ย”
ผมค่อยๆ ปรือตาขึ้น รู้สึกหงุดหงิดที่ถูกรบกวน แต่เมื่อสายตาปรับโฟกัสได้แล้วร่างกายก็กระตุกด้วยความตกใจ เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นไอ้ยุค
“คะ...คุณเข้ามาในห้องผมได้ยังไง เป็นโจรเหรอ”
“เข้ามาปลุกคุณไง”
“ปลุกแล้วก็ปล่อยสิ”
ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุเพราะนอกจากมันจะไม่ปล่อยแล้วยังมีหน้ามาปั้นยิ้มกวนตีนใส่อีก เชี่ยแล้วชยิน ได้แต่ดิ้นขลุกขลักในการควบคุมของร่างหนาเท่านั้น
“เด็กน้อย”
“เลิกเรียกเด็กน้อยสักที ลุกออกไปจากเตียงผมเลย”
“เด็กน้อยชอบเอาแต่ใจ”
จมูกสันโด่งโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมเรื่อยๆ จนต้องเผลอกลั้นหายใจ แต่แทนที่จะหยุดเพียงเท่านั้นอีกฝ่ายกลับเคลื่อนลงมาจนปลายจมูกสัมผัสกัน เขาเอียงหน้า ใช้ริมฝีปากแตะประกบกับริมฝีปากของผมจนไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้
รู้แค่ว่าการกระทำอุกอาจทำให้ผมตั้งตัวไม่ทัน ร่างกายไม่แม้แต่จะดิ้นเพื่อขัดขืน รับรู้เพียงความนุ่มจากริมฝีปากที่สัมผัสลงมาเริ่มอ่อนโยน ละมุนละม่อม ปลายลิ้นร้อนค่อยๆ แทรกเข้ามาในโพรงปากของผม เกี่ยวกระหวัดหยอกล้อจนขนลุกซู่
มือหนาที่กดอยู่บนไหล่เริ่มเคลื่อนต่ำลง ปัดป่ายไปตามร่างกายจนถึงพื้นผิวใต้กางเกง
“อะ...” ผมเผลอคลางออกมาเมื่อฝ่ามือหนาลูบวนอยู่บริเวณที่อ่อนไหวต่อความรู้สึก ขณะริมฝีปากของเราทั้งคู่ยังสัมผัสกันอยู่
ความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ประเดประดังเข้ามาไม่หยุด ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้แม้ตอนฝ่ามือของอีกฝ่ายกำส่วนนั้นของผมเอาไว้ด้วยความหนักเบาสลับกันไป
“ยุค...ยุค...”
Rrrr..!
“ยุค...อือออออ”
Rrrr..!
เฮือก!!
ผมกระเด้งตัวขึ้นมาจากเตียง มองตามเสียงที่ดังกังวานจนแสบแก้วหูก่อนจะพบว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่ากำลังสั่นครืดอยู่บนหัวเตียง
สายตามองไปโดยรอบเพื่อสำรวจ ไม่มีไอ้ยุค ไม่มีการจูบดูดดื่มอะไรเกิดขึ้น ผมแค่นอนอยู่บนเตียงคนเดียว และกำลังค้นพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมากลางดึกหลังจากหลับไปตั้งแต่ช่วงกลางวัน
มือติดสั่นรีบตลบผ้าห่มที่เกาะอยู่บนตัวออกไป ก้มหน้ามองช่วงล่างที่ยังสวมกางเกงนอนอยู่ด้วยใจสั่นสะท้าน
ดูหนังโป๊ไม่รู้สึก ฝันถึงไอ้ยุคกางเกงเปียกเลย...
“ไม่จริงอ่ะ”
สองเท้ารีบลุกเดินเข้าห้องน้ำ ไม่สนแม่งแล้วเสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ พอมองหน้าตัวเองในกระจกก็เห็นว่ามันกำลังซีดเป็นตีนไก่ หัวใจยังคงกระหน่ำรัวไม่หาย เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มกรอบหน้าและแผ่นหลังจนรู้สึกแสบ
“บ้าเอ๊ย!”
เอาจริงดิ ผมรู้สึกกับไอ้ยุคจริงดิ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ
ตลอดชีวิตยี่สิบห้าปี ผมไม่เคยฝันถึงผู้ชายถึงเรื่องอย่างว่าเลยสักครั้ง หรือเป็นเพราะหนังที่เปิดดูทำให้เกิดภาพหลอนติดตากันแน่ ใช่! อาจจะเป็นแบบนั้น ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับไอ้ยุคหรอก ร่างกายแค่มีกลไกตามปกติอย่างที่มันควรจะเป็นเท่านั้น
คิดเข้าข้างตัวเองจนสบายใจจบก็เปิดน้ำล้างหน้าให้สดชื่นและเปลี่ยนกางเกงซะใหม่ เปียกขนาดนี้เดี๋ยวจะรู้สึกผิดต่อตัวเอง มึงฝันได้ไงชยิน บ้าบอว่ะ
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ คว้ามือถือที่แผดเสียงดังหลายครั้งขึ้นมาก็เห็นว่ามิสคอลสี่ห้าสายที่ค้างอยู่เป็นของไอ้เบิร์ด โทรมาหาหอกทำไมตอนเที่ยงคืนวะ และพอต่อสายหาผมก็ได้รับการด่ากราดกลับมาทันที
[ควาย ทำไมไม่รับโทรศัพท์กู นึกว่าตายอยู่ที่ห้อง ทำอะไรอยู่วะ]
“ทำอะไร...กะ...กูไม่ได้ทำอะไร”
กูไม่ได้ฝันเปียกนะ...
[แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์]
“กูหลับ”
[มึงเคยนอนเวลานี้ด้วยเหรอ ตอแหลน่า] ถึงกับกรอกตาด้วยความเอือมระอา ขอโทษที่ปกตินอนเกือบเช้า วันนี้อยากนอนก่อนเพื่อนมันดันไม่เข้าใจอีก
“รีบเข้าประเด็นมาเลย เดี๋ยวกูจะหาอะไรกินแล้วกลับมานอนต่อ”
[เออใจร้อนฉิบหาย คืองี้ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดเพื่อนกู เห็นมึงเหงาเลยอยากชวนมาปาร์ตี้กัน]
“เพื่อนคนไหน”
[เพื่อนต่างโรงเรียนสมัย ม.ปลายอ่ะ มึงคงไม่เคยเจอ]
“นั่นสิ ไม่เคยเจอแล้วจะชวนไปทำไม อีกอย่างกูไม่มีตังค์ซื้อของขวัญให้เพื่อนมึงหรอกนะ”
[มึงห่วงเรื่องนี้เหรอวะชยิน มึงไม่ต้องซื้ออะไรมาเลย ไอ้เจ้าของวันเกิดมันไม่ว่าหรอก อีกอย่างถ้ามาเจอคนเยอะๆ มึงอาจได้ไอเดียใหม่ๆ ในการทำเพลง แถมไม่อุดอู้อยู่แค่ในห้องด้วยนะเว้ย]
“กูไม่รู้จักใครเลยทำไมต้องไปด้วยวะ”
[ไอ้ท็อปก็ไป]
“อ้าวเหรอ แล้วไอ้ยุคล่ะ”
[เห็นบอกว่าไม่ไปนะ]
“เดี๋ยวดูอีกที”
[ไม่ต้องดู สรุปมึงคอนเฟิร์มแล้วนะ แค่นี้แหละ ไปหาอะไรแดกได้เลย]
“ไอ้เบิร์ดกูยัง...”
พูดไม่ทันจบประโยคแม่งตัดสายใส่ละ นรกมีจริงๆ นะครับ มันเนี่ยแหละตัวดีเลย...
จะให้ผมไปงานวันเกิดของคนที่ไม่เคยเจอหน้า ไม่รู้จัก แถมยังเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที แค่คิดก็ประสาทจะแดกแล้วครับ และเกลียดมากเวลาคิดเยอะทีไรกระเพาะจะทำงานหนักกว่าปกติทุกที หิวขึ้นมาเฉยเลย...
ผมเดินไปยังครัวเล็กๆ เปิดตู้เย็นที่ใส่ของกินที่ไอ้ยุคซื้อมาให้จนเต็มตู้ออกมา มองแล้วน้ำตาจะไหล ชีวิตผมไม่เคยมีของกินเต็มตู้มานานเท่าไหร่แล้ว นี่ครั้งแรกในรอบหลายปีเลยนะเนี่ย ฮืออออ
ซาบซึ้งกับของกินตรงหน้าจบก็หยิบเอาอาหารกล่องง่ายๆ ออกมาเวฟ นั่งกินมันเงียบๆ จนอิ่ม จากนั้นก็ดึงขนมบางส่วนเข้าไปกินในห้อง
มือกดเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องที่มักใช้งานประจำออกมา แล้วล็อกอินเข้าไปในโปรแกรมเอ็มเอสเอ็น หลายวันมานี้ผมไม่ได้คุยกับไอ้หมีใหญ่เลย เพราะมันหายไป ไม่ตอบข้อความที่ค้างไว้แม้แต่น้อย วันนี้เลยจะวัดดวงอีกสักรอบ และผมก็เห็นว่าคนที่ตั้งหน้าตั้งตารออยู่ในสถานะ Available
แถมมันยังตอบข้อความที่ค้างทั้งหมดของผมได้เพียงประโยคเดียว
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… กูไม่ว่าง วันๆ จะให้เล่นด้วยตลอดเหรอ
มึงเคยคิดจะพูดดีกับกูสักครั้งมั้ยไอ้หมีใหญ่
Chayin says… แล้วทำไมตอนนี้มาได้ล่ะ กระแดะออนทำไม
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… ออนให้หมาถาม
Chayin says… สัด!!
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… ʕ→ᴥ←ʔ
Chayin says… มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องด้วยอีโมติคอนกากๆ
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… คิดถึงก็บอกสิ
Chayin says… ใครคิดถึงมึง ช่วงนี้กูมีเพื่อนเยอะ แทบไม่ว่างเปิดคอมแน่ะ
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… แล้ววันนี้เพื่อนไปไหน
Chayin says… อย่าย้อนได้ป่ะ พรุ่งนี้กูก็ไม่ว่างคุยกับมึงอีก
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… ไปตายเหรอ
กูไม่น่ารับแผ่นโปรแกรมจากไอ้เบิร์ดมาเลย ถ้ารู้ว่าต้องมาเจอคนเหี้ยๆ แบบนี้ในชีวิต พูดอะไรไปโดนย้อนตลอด นี่ขนาดไม่ได้คุยกันหลายวันแม่งก็ยังลากกูมาด่าได้นะ
ผมไม่รู้ว่าไอ้หมีใหญ่คนนี้เป็นใคร คุยกันมาก็หลายต่อหลายครั้งแต่ไม่เคยรู้อะไรมากกว่านั้นสักนิด ชื่อก็ไม่รู้ รู้แค่อายุกับคณะที่มันเรียน แถมที่บอกมาจริงหรือหลอกก็ไม่แน่ใจ
บางทีเด็กสิบขวบอาจจะขโมยแผ่นมานั่งเล่นกับกูก็ได้ใครจะไปรู้
Chayin says… มึงสิตาย กูจะไปปาร์ตี้วันเกิดเพื่อน
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… เหรอ กูก็มีเหมือนกัน
Chayin says… พูดจริงพูดเล่น
0 8 3 2 / 6 7 6 Say… จะหลอกมึงให้ได้อะไร แค่ที่โง่ทุกวันนี้ก็น่าสงสารแล้วนะ
สงครามด่ากราดเริ่มขึ้นหลังจากนั้น เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ทำให้รู้สึกเปลืองพลังงานชีวิตฉิบหาย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังรู้สึกว่ามันมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
หนึ่งคือผมมีเพื่อนคุยด้วย เพราะปกติเวลานี้หลายๆ คนก็คงหนีกันไปนอนหมดแล้ว สุดท้ายผมก็ต้องใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับตัวเอง
สอง ไอ้หมีใหญ่กวนตีนก็จริง แต่ตอนที่อยากจริงจังมันก็คุยเรื่องมีสาระกับเขาเป็นนะ
สาม นิสัยบางอย่างของมันเหมือนกับผม ไม่รู้ดิ เราอาจเป็นคนเหงาไทป์เดียวกันเลยเข้าใจกันมากขึ้น
หลายอย่างประกอบกันขึ้นมา นี่คือส่วนที่ดีอีกส่วนหนึ่งในชีวิตปีชงของผม และคงรู้สึกเสียใจน่าดูถ้าอีกไม่นานนี้ผมกับมันจะไม่ได้คุยกันอีก
คิดแล้วก็เศร้า จกขนมแดกแป๊บ
ผมไม่รู้จะหลอกถามชื่อหรือคอนแท็กอื่นๆ จากมันก่อนโปรแกรมหมดอายุได้มั้ย รู้แค่ว่าตอนมันอยู่ ผมรู้สึกว่าตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงมัธยมฯ อีกครั้ง
ตอนที่ยังเป็นเด็ก และมีเพื่อนอยู่ในวงโคจรของชีวิต
วันนี้เป็นวันดี
ต้องบอกว่าดีเกินคาดเพราะโปรดิวเซอร์แกบอกว่าเพลงที่ผมเผาเสร็จในหนึ่งคืนมันออกมาดีมาก ดังนั้นทางค่ายจึงตัดสินใจซื้อเพลง ‘จำจนลืม’ ไปก่อนในราคาไม่ถึงหมื่น เอาวะ! กำขี้ดีกว่ากำตด
แต่กว่าจะได้เงินก็อีกนาน ผมจึงใช้ความสนิทสนมกับโปรดิวเซอร์เพื่อขอเงินมาใช้ก่อน ความโชคดีต่อที่สองคือแกบอกว่าไม่มีปัญหา หลังจากนั้นสองชั่วโมงผมก็ได้กอดยอดเงินในบัญชีให้อุ่นใจจนน้ำตาแทบไหล
ความอารมณ์ดีส่งผลให้การแต่งตัวก่อนไปปาร์ตี้ของผมค่อนข้างจัดเต็ม ทั้งเซตผม หาเชิ้ตเหมาะๆ มาใส่ แถมไม่ลืมสวมแจ็กเก็ตหนังสีดำไปด้วย ง่อววววววว
พอไปถึง...
“เบิร์ด”
“อะไร”
“มึงว่า...กูลืมอะไรไปหรือเปล่าวะ”
“คิดว่านะ”
ผมกับไอ้เบิร์ดนั่งอยู่ตรงโซฟาภายในงาน ปาร์ตี้ฉลองวันเกิดจัดในคอนโดของเจ้าภาพ ไอ้เบิร์ดนัดผมมาเจอที่นี่เมื่อสิบห้านาทีก่อน แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปในงานถึงเพิ่งรู้
เขามาในธีมเสื้อยีนส์ ถึงแม้เมพเบิร์ดจะไม่รู้ว่าเขาระบุธีมไว้ก่อนแล้ว แต่กางเกงมันก็ยังมีความเป็นยีนส์อยู่ กูนี่สิ เชิ้ตสีแดง แจ็กเก็ตหนัง กางเกงสแลค นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนไอ้เบิร์ดเขาคงนึกว่ากูเป็นคิงส์แมน สาดดดดดดดดดด
“เอาน่า ไม่มีใครสนใจมึงหรอก” อีกฝ่ายเอ่ยปลอบเสียงอ่อย
“มึงก็พูดได้สิ กางเกงมึงไม่ได้ทรยศเหมือนกูหนิ”
“เด่นออก”
“เด่นพ่อง”
“อย่านอยด์ๆ เดี๋ยวกูพาไปเจอเจ้าของวันเกิด” จากนั้นเพื่อนรักมันก็ลากผมไปที่ระเบียงซึ่งมีคนสองคนยืนอยู่ การมาของผมทำให้ผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งหันมายิ้ม
“เฮ้ยเบิร์ด ดีใจเว้ยที่มึงมา” น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำ เค้าโครงหน้ารูปไข่ จมูกสันโด่ง ปากงี้เป็นรูปกระจับเลย ยิ่งมองยิ่งเห็นออร่ากระจายไปทั่วตัว ฉิบหาย ไอ้เบิร์ดแม่งรู้จักคนที่ดูดีขนาดนี้เลยเหรอวะ
“ดีใจเหมือนกันที่ชวนกู แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะ นี่ของขวัญ” มือขาวยื่นกล่องของขวัญให้ คนตรงหน้ารับไปพร้อมเอ่ยขอบคุณก่อนจะเบี่ยงสายตามามองผม
“แล้วนี่...”
“อ๋อเพื่อนสนิทที่โรงเรียนกูเอง ชื่อชยิน มันเป็นนักแต่งเพลงที่เก่งมากนะเว้ย เออชยินนี่เพื่อนกูชื่อริว เพื่อนแม่งชอบเรียกสหรัฐ อยากเรียกแบบไหนก็ตามสะดวกเลย” การแนะนำตัวโดยคร่าวจบลง ผมยื่นกล่องปากกาที่ซื้อเป็นของขวัญให้อีกฝ่าย พร้อมกับเอ่ยประโยคที่โคตรธรรมดา
“สุขสันต์วันเกิดครับ และยินดีที่ได้รู้จัก”
“ยินดีมากคุณ หิวกันมั้ย หาอะไรกินก่อนได้ ข้างในมีเพียบเลย เครื่องดื่มก็บริการตัวเองได้เต็มที่” ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนเดินตามเจ้าของวันเกิดเข้าไปภายใน
ความรู้สึกตอนนี้เหรอ อยากมุดหน้าลงดินแล้วหายไปฉิบหาย
เสียเซลฟ์มากเพราะเหมือนตัวเองแปลกแยก เขายีนส์ทั้งตัวเลยมึงเอ๊ย ดังนั้นหลังจากหาเบียร์จิบได้สักพักเลยหลีกเลี่ยงสายตาทุกคนไปอยู่ในห้องน้ำ ถอดเสื้อหนังออกแล้วจ้องมองตัวเองในกระจก
ปาร์ตี้ที่จัดแน่นอนว่าคนไม่ได้เยอะมาก นับคร่าวๆ ก็ประมาณยี่สิบคน แต่มั่นใจเลยว่าไอ้ยี่สิบคนนี้จะต้องมีคนที่หัวเราะกูบ้างล่ะ คิดแล้วก็อยากหนีกลับไปก่อน ถ้าไม่ติดว่าเชี่ยเมพมันขอให้อยู่เป่าเค้กก่อนนะ กูไม่อยู่แล้ว
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมได้สติอีกครั้งเลยเดินไปเปิดประตูเพราะกลัวว่าคนอื่นจะอยากทำธุระบ้าง แต่ไม่เลย ทันทีที่เปิดประตูออกไป คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับเป็นไอ้ยุค
“คุณ...มาได้ไง” ตอนที่เห็นมัน ผมทั้งตกใจและดีใจไปพร้อมๆ กัน
“มากับไอ้ท็อป อีกอย่างไอ้ริวเป็นเพื่อนผม”
“ฮะ!”
โลกแม่งจะกลมไปไหนวะ
“ไม่ต้องมาทำตาโตเด็กน้อย เข้าไปอยู่ในห้องน้ำทำไมตั้งนาน”
“ไม่มีอะไร แค่...”
ในหัวของผมกำลังคิดหาข้อแก้ตัวไปสารพัด แต่ในวินาทีนั้นมือหนาก็หยิบเสื้อยีนส์ตัวหนึ่งขึ้นมาคลุมไหล่ของผมให้ กลิ่นไอที่ได้รับจากเสื้อตัวนี้ทำให้ผมรู้ในทันทีว่าเป็นของคนตรงหน้า
“ดีขึ้นหรือยัง” มันถาม แต่ผมไม่รู้จะตอบอะไร นอกจากมองดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่คงเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมเห็นไอ้ศตวรรษสวมเสื้อสีอื่นที่ไม่ใช่ขาวกับดำ และดูเหมือนแจ็กเกตยีนส์จะเข้ากับมันค่อนข้างมาก
“แล้วรู้ได้ไงว่าผม...”
“เบิร์ดโทรหาไอ้ท็อป แต่ตอนนั้นผมอยู่กับมันเลยเอาเสื้อมาให้แทน”
“ขอบคุณ”
“ออกไปข้างนอกเถอะ อยู่ในส้วมไม่เหม็นหรือไง”
ผมถูกรั้งออกมาด้านนอกพร้อมความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า หลายคนกล้าเข้ามาทำความรู้จักผมมากขึ้น จากตอนแรกแม่งต่างคิดว่ากูหยิ่ง
กูไม่ได้หยิ่งงงงงงง กูแค่อาย
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 8
ผู้ประสบภัยความเหงา
หลังเดินออกจากคาเฟ่ด้วยความมึนงง ผมก็ไม่ได้แวะไปไหนกับไอ้ริวต่อนอกจากขอตัวกลับ ความจริงก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน เพราะหลังจากเจอไอ้ยุคแล้วความรู้สึกบางอย่างเล่นจู่โจมเข้ามาอย่างจัง มันเป็นความรู้สึกอึดอัดผสมความรู้สึกผิดไปด้วย เมื่อได้เห็นหน้าหงอยๆ ของมันที่ถามทำนองว่า ‘ไม่ยักรู้ว่าสนิทกับไอ้ริว’
จริงๆ มันก็สิทธิ์ของกูมั้ยว่าจะสนิทกับใคร แต่ทำไมถึงรู้สึกไม่สบายใจด้วย
แม่ง...แทนที่จะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกให้ชุ่มฉ่ำหัวใจ กลายเป็นตอนนี้ต้องกลับมาเหงาที่ห้องคนเดียวอีกแล้ว งานเอ๋ย โปรดติดต่อมาเถอะ เงินก้อนนี้หมดก็ไม่เหลืออะไรให้กินแล้วนะ
เหงาก็เหงา เพื่อนก็มีโลกส่วนตัวของตัวเอง ส่วนผมเหรอ มีเหงาเป็นเพื่อนไง นับจากพามันไปคอนเสิร์ตครั้งก่อนเหงาก็เรียกร้องกับผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกรำคาญ มันทักมาแทบตลอดเวลา ดีหน่อยที่ช่วงหลังมีไอ้ยุคเข้ามาในชีวิต ผมกับเหงาเลยเว้นระยะห่างให้กันอยู่บ้าง
ไอ้ยุค...
สุดท้ายผมก็นึกถึงมันอีกจนได้
“ไม่คิด ไม่คิด! เราต้องไม่คิดถึงมัน”
เวลาที่คนเราอยู่คนเดียวแม่งชอบคิดฟุ้งซ่านแบบนี้แหละ ผมเลยต้องสลัดเรื่องที่อยู่ในหัวทิ้งโดยการเดินไปหยิบแล็ปท็อปที่วางอยู่ตรงปลายเตียงขึ้นมา กดดูโน่นนี่นั่นไปเรื่อย เว็บที่เข้าอยู่เป็นประจำก็มีไม่กี่อย่าง
เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ เน็ตฟลิกซ์ เว็บหนังโป๊ขาประจำ
ผมใช้เวลาที่แสนเหลือเฟือของตัวเองไปค่อนข้างฟุ่มเฟือย ในหัวเองก็ตันจนคิดงานใหม่ไม่ออกเพราะไม่มีความหวังว่ามันจะขายได้อีก
หลังหายใจทิ้งไปกับโลกโซเชียลอยู่หลายชั่วโมง เทรนด์ทวิตเตอร์ชื่อหนึ่งที่คุ้นเคยก็ขึ้นมาติดเทรนด์อย่างไม่ทราบสาเหตุ ใจของผมเต้นตึกตัก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เดาได้คร่าวๆ ว่าอาจจะเป็นลางร้าย
เหยดเขร้! #YukYinCouple กลับมาหลอกหลอนกูอีกแล้ววววววววว
ด้วยไม่อยากจินตนาการไปคนเดียวจนเป็นบ้า ผมกดเข้าไปในแท็กดังกล่าวด้วยความเร็วเหนือแสง
ผ่าง! โอ้โหแม่เจ้าโว้ยยยยยยยยยยย มีหน้ากูกับไอ้ยุคถูกแปะเต็มไปหมดเลย น้ำตาผมไหลอีกครั้งเมื่อเห็นยอดรีทวิตมหาศาลที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ข้อความแต่ละอันก็โคตรจิรานันท์ มโนแจ่มซะเหลือเกิน
‘วันนี้คุณนักเขียนเป็นเด็กเสิร์ฟนะคะ แต่ดูท่าว่าจะงอนกับคุณนักแต่งเพลงอยู่ เขาเล่นมากับคุณหมอซะขนาดนั้น’
แต่ดูท่าแล้วจะแม่งจะงอนผมจริงว่ะ เพราะขนาดคนอื่นยังรับรู้ได้เลย
‘คิดว่าหลังไมค์คงเคลียร์กันแล้วค่ะ’
‘ถ้าเคลียร์กันบนเตียงก็คงจะดีไปอีกแบบนะ’
“เตียงอารายยยยยยยยยยยย”
ผมสบถออกมาเสียงดัง ก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนอนเล่นแล็ปท็อปอยู่บนเตียงจริงๆ เพียงแต่ว่าตรงนี้มีแค่ผมคนเดียวที่อยู่ในห้อง
นอกจากนั้นในแท็กยังเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคาเฟ่เป็นฉากๆ อย่างละเอียดยิบ บางฉากผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า แต่เหมือนทุกคนจะปักใจเชื่อ ที่สำคัญ พวกเขาดูจะชอบมากซะด้วย
ผมไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเสียใจอะไรหรอก แค่ตกใจในช่วงแรก และเมื่อลองอ่านไปสักพักผมก็ค้นพบว่ารูปที่ถูกถ่ายตอนเผลอนั้นก็ดูดีไปอีกแบบ เออว่ะ รู้สึกตัวเองแม่งก็หล่อไม่เบา แต่ถ้ารูปไหนมีไอ้ยุคอยู่ในเฟรมด้วยกูจะดูเหียกไปในทันที
‘Hey! My boss ตอนแรกอัพแล้วนะคะ ขอฝากเรื่องนี้ไว้กับสาวก #YukYinCouple ด้วยค่ะ’
เลื่อนๆ ไปสายตาก็ดันเจอเข้ากับนิยายเรื่องใหม่ที่แปะอยู่ในแท็ก ไม่อยากจะพูดเลยว่าเรื่องเก่าก็ทำเอาเข็ดขยาดไปพักใหญ่ นี่มีเรื่องใหม่มาอีกแล้วเหรอ
แต่เนื่องจากความเสือกที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์นั้น ผลักดันให้ผมต้องกดเข้าไปในลิงก์ที่แปะเอาไว้ และหน้าจอใหม่ก็แทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อะไรวะ” ผมพูดกับตัวเองเมื่อหน้าเว็บดังกล่าวปรากฏขึ้น
ไวอากร้าของแท้ ยาเร่งเสียว จิ๋มกระป๋องนำเข้า เดี๋ยวนะ! เดี๋ยวววววววววว
ตอนแรกนึกว่าเจอแจ็กพอตโดยสปายแวร์เข้า แต่พอเลื่อนไปๆ มาๆ ถึงรู้ว่ามันคือเว็บลงนิยาย โถ...ภาพลักษณ์ของไอ้ชยินที่ทุกคนพูดถึง
ตัดประเด็นนี้ไปก่อน มันไม่สำคัญเท่าไหร่แล้วเพราะสิ่งที่ควรจดจ่อจริงๆ มันคือนิยายเรื่องนี้ต่างหาก คนเขียนเพิ่งอัพตอนแรก ผมแค่อยากรู้ว่าตัวเองทำอาชีพอะไร เพราะเรื่องก่อนที่ท้องไปกูก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ผมกวาดตามองตัวหนังสือมากมายตรงหน้า ก่อนเริ่มต้นอ่านอย่างจดจ่อ
เหมือนเรื่องนี้จะเริ่มโดยที่คุณศตวรรษเป็นประธานบริษัทเพลงแห่งหนึ่ง หึ! ให้เดาผมคงเป็นนักแต่งเพลงเหมือนชีวิตจริงนั่นแหละ
“ฟู่~”
ผมถอนหายใจออกมาทันทีเมื่อเห็นชื่อของตัวเองในบรรทัดต่อมา และผม...เป็นนักแต่งเพลงอย่างที่คาดเอาไว้ ลาก่อนลูกในท้อง ลาก่อนการตั้งครรภ์อ่อนๆ ถุย!
‘โอ๊ย ผมเจ็บนะ คุณ...คุณผลักผมทำไม’
เนื้อเรื่องดูเข้มข้นราวกับละครหลังข่าว ผมถูกผลักลงกับพื้น จากนั้นไอ้ยุคก็ย่างสามขุมมาหาด้วยใบหน้าเหี้ยมโหด ก่อนใช้มือเชยคางของผมขึ้นมาอย่างแรง
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ จี้สัด!
ชีวิตจริงมีใครทำแบบนี้บ้างวะ แต่ไม่เป็นไร นิยายย่อมมีความไม่สมจริงอยู่ในนั้นเสมอ ผมตั้งหน้าตั้งตาอ่านต่ออย่างนึกสนุก
‘เพราะนายมันร่านไง!’
หืม เป็นนักแต่งเพลงที่ร่านด้วย ไม่เบาๆ
‘ผม...รักคุณ’
‘แต่ฉันไม่เคยรักนาย ออกไปซะ แล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก’
น้ำตากามเทพเหี้ยๆ ผมอ่านฉากเปิดตัวที่ออกจะดราม่าอย่างนึกขำ ในฉากเล่าอย่างละเอียดว่าตัวเองต้องคลานไปกับพื้น ยึดขาของประธานหนุ่มเอาไว้และอ้อนวอนเสียงสั่นเครือ
‘ได้โปรดให้ผมอยู่ต่อเถอะ’
‘…’
‘ถึงจะลำบากแค่ไหนผมก็จะไม่ปริปาก ขอแค่...คุณยังให้ผมเป็นทาสเซ็กซ์ของคุณต่อไป’
ว่าไงนะ...
เรื่องก่อนท้อง เรื่องนี้กูเป็นทาสเซ็กซ์
ว็อทเดอะฟ้าคคคคค ทำไมชีวิตไอ้ชยินถึงได้ต่ำตมถึงขนาดนี้ คิดแล้วเศร้า ขอพี่ปิดก่อนนะครับ ทำใจอ่านต่อไม่ได้จริงๆ เพราะแค่ตอนแรกก็อ้อนวอนขนาดนี้แล้ว ตอนหลังผมไม่ต้องโดนโซ่ แซ่ กุญแจมือเลยเหรอ
อิจฉาไอ้ยุค เรื่องก่อนเป็นนักเขียน เรื่องนี้เป็นท่านประธาน ที่สำคัญได้กดผมด้วย โฮร่ลลลลลล ผมอยากกดชาวบ้านเขาบ้างทำไมถึงทำไม่ได้ ใจร้าย คนพวกนี้ใจร้ายกับหัวใจผมมากเกินไป
ผมจะฟ้องแม่จ๋า แต่เพราะรู้ว่าแม่ต้องด่าสวนกลับมาว่าปัญญาอ่อนเลยระหกระเหินพาตัวเองไปนั่งเก้าอี้หน้าคอม ล็อกอินเข้าไปยัง MSN เพื่อจะเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้หมีใหญ่ฟัง
ผมคิดว่าไอ้ริวอาจให้คำปรึกษาที่ดีได้ แม้เรื่องราวในแท็ก #YukYinCouple ชื่อของมันจะกลายเป็นมือที่สามระหว่างผมกับไอ้ยุคก็ตาม
ก๊อกๆๆ
อาจเพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาเที่ยงคืนที่หมีใหญ่จะออน ผมจึงทำได้แค่ทิ้งข้อความมหาศาลเอาไว้ ซึ่งเป็นเวลาประจวบเหมาะกับที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมลากเท้าออกไปที่ประตู ตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูเพื่อเผชิญหน้ากับคนด้านนอก
แทนที่จะเห็นใครบางคนยืนอยู่ พื้นที่ตรงหน้ากลับว่างเปล่า มีเพียงถุงซูปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่เท่านั้นที่ถูกแขวนไว้ด้านนอก
ยุค...
มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำอะไรแบบนี้ ผมมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนตัวสูงแต่ก็ไร้วี่แวว เลยตัดสินใจปิดประตู เดินตรงไปยังครัวเล็กๆ เพื่อดูของที่บรรจุอยู่ในถุง
สิ่งแรกที่สะดุดตาเลยก็คือหนังสือของมูราคามิที่ห่างหายจากการได้รับมาค่อนข้างนาน ผมหยิบมันออกมา เปิดดูเนื้อความข้างในโดยคร่าว เผื่อว่าจะเจอข้อความที่แฝงเอาไว้ แต่ก็ไม่เจออย่างที่คิด
นี่กูหวังอะไรอยู่วะ
นอกจากนี้ในถุงยังมีนม น้ำผลไม้ ขนมปัง และของสดอีกสองสามอย่างที่พอประทังชีวิตเหี่ยวแห้งได้อีกหลายวัน ผมอยากถามเหตุผลจากไอ้ยุคว่าทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ ทั้งที่ผมไม่ใช่คนดีอะไร ที่สำคัญก็ยังไม่รับรักเจ้าตัวเลยด้วยซ้ำ จะบอกว่าทำดีเพื่อหวังว่าผมจะชอบมันก็เป็นไปไม่ได้อีก
ผมไม่ได้รักทุกคนที่ทำดีด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มานั่งเหงาเหมือนทุกวันนี้หรอก ความจริงจะเอ่ยตัดสัมพันธ์ไปเลยก็ได้ แต่มันยังมีบางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจ รู้แค่ว่า...ลึกๆ ก็ไม่ได้อยากตัดขาดอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก
งงตัวเองฉิบหาย ขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่เวลามาหาความกระจ่างเท่าไหร่ ผมสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว แล้วหันไปจัดของสดในถุงใส่ตู้เย็น ยอมรับเลยว่าตั้งแต่มีไอ้ยุค ผมก็ไม่เคยรู้จักคำว่าอดอยากอีกเลย
ติ๊ง!
มือถือดังขึ้น ผมหันไปสนใจมันประมาณ 0.3 วินาทีก่อนจะกลับมาจัดเรียงของต่อ แต่...
คือมึ๊งงงงงงงง เห็นแว๊บๆ ทางหางตาว่าจะมีข่าวดี กูรีบเตะปิดประตูตู้เย็นเสียงดังปังก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ามือถือที่วางอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวอย่างเร็วรี่
ก่อนเปิด ขอพี่สวดบริกรรมคาถาเพื่อชีวิตที่ร่ำรวยสักสามนาทีก่อนเถอะ หากสายตาไม่พร่ามัวหรือกำลังฝันอยู่ ข้อความที่เด้งเข้ามาใหม่ต้องมาจากอีเมลแน่นอน และส่วนใหญ่ร้อยละ 99.99% มักเกี่ยวข้องกับเรื่องงาน
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก กดมือแสนสั่นเทาลงไปที่หน้าจอมือถือแตกร้าว แล้วกวาดตาอ่านข้อความที่เพิ่งส่งถึงไม่นานด้วยใจเต้นรัวราวกับเต้นซุมบ้า
เกร้ดดดดดดดดดด แม่เจ้าโว้ยงานเข้า ไอ้ชยินมีงานแล้วววววววว
แทบจะวิ่งไปบอกคนทั้งคอนโด ดีใจจนต้องยืนเต้นโชว์หน้าเตาเพื่อบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่า นี่นะ...นักแต่งเพลงที่เฟื่องฟูแห่งยุคกำลังจะกลับมาแล้ว แถมคราวนี้งานงอกถึงสองงาน ด้วยเหตุผลที่พี่เขาได้อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ว่า
ชยินในทวิตเตอร์กำลังเป็นกระแส และผู้ใหญ่อยากให้ผมออกมาแต่งเพลงเพื่อดึงคนฟังกลุ่มหนึ่ง ถึงจะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เขาไม่มองที่ความสามารถ แต่ผมก็บ่หยั้น กับเงินเราจะไม่พูดเยอะจ้ะ
พี่โปรดิวเซอร์สุดที่รักของผมได้ส่งรายละเอียดของงานมาให้ งานแรกคือโปรเจ็กต์ของนักร้องในสังกัดคนหนึ่งที่มีแพลนจะทำอัลบั้ม โดยส่วนนี้จะมีทีมทำดนตรีอยู่แล้ว หน้าที่ของผมก็แค่แต่งเนื้อร้องใส่เข้าไป ซึ่งงานมันก็ไม่ได้ด่วนมาก สามารถทำไปอย่างชิลๆ ช่วยอาการแก้เหงาของมนุษย์ฟรีแลนซ์อย่างผมได้ดีทีเดียว
งานที่สองเป็นงานที่รอให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มต้น เป็นซิงเกิ้ลสำหรับนักร้องสายประกวดคนหนึ่งที่กำลังมีเพลงเป็นของตัวเอง แล้วเขารีเควสมาว่าอยากได้ผมเป็นคนแต่งเพลงให้ แต่ผมมีเวลาแค่ไม่กี่วันในการทำส่วนของดนตรี และต้องส่งเข้าให้ที่ประชุมเคาะอนุมัติ หากผ่านก็จะได้แต่งเนื้อร้องต่อไป
พี่โปรดิวเซอร์ถามว่าเวลากระชั้นแบบนี้จะรับมั้ย ตอบเลยว่ารับจ้า!
นี่วิ่งไปหยิบกีตาร์มาแล้วนะคะที่รัก
เข้าสู่ช่วงไม่เลือกงานไม่ยากจน
ยิ่งโจทย์ของเพลงที่ต้องเกี่ยวกับการตกหลุมรักใครสักคนด้วยแล้วนี่ยิ่งเป็นของถนัด พี่แถแด๊ดๆ มานักต่อนักแล้ว สุดท้ายขายดีเป็นเททิ้งเทขว้าง ขึ้นไปติดชาร์ตสูงๆ ตั้งหลายสัปดาห์
เพลงอกหักก็ยิ่งแต่งได้ดี แต่พอดีเขาไม่ได้ขอมาเลยอยากโม้ให้ฟังนิดหน่อย
“พี่กลับมาแล้วแฟนเพลงทั้งหลาย” สร้างกำลังใจให้ตัวเองเสร็จก็เดินกลับไปหยิบกาแฟกระป๋องออกมา จัดเตรียมของกินรองท้องเสร็จสรรพก่อนจะตั้งท่าเปิดสมุด และหยิบกีตาร์ขึ้นมาอย่างทะมักทะแมง
นักแต่งเพลงบางคนอาจจะถนัดใช้เปียโนในการทำเดโม่ แต่กับบางคนก็ถนัดใช้กีตาร์มากกว่า อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของใครของมัน
เคยมีคนบอกว่าผมเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ของนักแต่งเพลง บางครั้งไม่ต้องเค้นอะไรทุกอย่างก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวเต็มไปหมด เมื่อก่อนผมแต่งเพลงได้เร็วมาก งานเผาคืนเดียวที่เคยทำก็ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดยี่สิบกว่าปีหยิบมาเขียนอะไรได้เยอะแยะมากมาย
ดังนั้นมันจึงไม่ยากเลยที่จะแต่งเพลงสักเพลงหนึ่งขึ้นมา โดยมีเงินเป็นของหวานสำหรับความพยายาม
“เพลงเป็นเชิงโพสสิทีฟ” ผมก้มลงอ่านโน้ตที่เขียนแปะเอาไว้ ก่อนเริ่มเกากีตาร์ไปพลางๆ อยู่เกือบชั่วโมง ลองผิดลองถูกไปอย่างนั้น
เที่ยงคืนก็เปลี่ยนอิริยาบถไปนั่งอยู่ตรงโต๊ะคอม ล็อกอินเข้าไปคุยกับหมีใหม่และอวดโม้ถึงงานที่เพิ่งได้มาจนดึกดื่น เช้าวันต่อมาผมเริ่มลูปเดิมอีกครั้ง
ดีจริงที่เมโลดี้มันหลั่งไหลออกมาจากหัวราวกับน้ำไหล แค่หนึ่งคืนกับอีกครึ่งวันมันก็เสร็จจนสามารถส่งให้ที่ประชุมได้แล้ว ช่วงเย็นของวันเดียวกันผมได้รับข่าวดีทางอีเมล งานของผมผ่านครึ่งทางไปอย่างฉลุย เลยกะเขียนเนื้อเพลงต่อทันที
แต่...
บุญมีแต่กรรมบังจริงๆ เลยกู เพราะต่อให้เขียนยังไงก็ไม่ถูกใจสักที คำโดนๆ ที่อยากเอามาใส่ในท่อนฮุกก็ว่างเปล่าเหมือนกระเป๋าสตางค์แบนๆ ที่ถูกโยนอยู่มุมห้อง ทั้งที่เพลงของคนมีความรักมันโคตรเป็นอะไรที่เบสิค แต่ผมกลับคิดไม่ออกสักที
ตอนกลางคืนผมตัดสินใจปรึกษาปัญหานี้กับหมีใหญ่ ซึ่งมันก็พอแนะนำให้ว่าต้องใช้เวลาในการเข้าถึงอารมณ์อยู่บ้าง แต่คืองานมันกระชั้นเข้ามาแล้วไง เอาเวลาที่ไหนให้กูดื่มด่ำก่อนเสพงานเหรอ
สุดท้ายตัดประเด็นไป ผมยังคงดั้นเขียนเพลงต่อเหมือนคนหลงทาง ได้เนื้อเพลงมาในระดับที่พอถูไถเลยลองส่งให้ทางทีมดู ผลสรุปอีกวันเคาะเพลงไม่ผ่าน คือถ้าผ่านนี่ปาฏิหาริย์ในรอบพันปีเลยเถอะ
ผมได้งานกลับมาแก้ใหม่ แต่รอบนี้ไม่มีใครคอนเฟิร์มว่าถ้าหากไม่ผ่านรอบสองอีก งานอาจจะหลุดมือไปในที่สุด คิดแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา เจ็บกว่าอ่านนิยายที่ตัวเองท้องหรือเป็นทาสเซ็กซ์หลายเท่าก็คราวนี้แหละ
ไอ้ยุคหายไปสารบบของผมหลายวันโดยไม่โผล่หน้ามา ไอ้ริวโทรมาหาเป็นครั้งคราวพยายามชักชวนให้ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกเผื่อจะคิดอะไรออก แน่นอนว่าผมทำตามข้อเสนอนั้น โดยไม่คิดปริปากพูดความจริงที่ได้ล่วงรู้ว่ามันคือหมีใหญ่ และยังคงทำเนียนเป็นคนโง่ๆ ต่อไป
เราแยกย้ายกันเมื่อไอ้ริวต้องลงไปอยู่เวรที่ ER ส่วนผมก็ขอตัวกลับมานั่งแต่งเพลงต่อ นิดหน่อยก็พอถูไถไปได้ แต่ก็ยังคิดว่ามันไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก ความจริง...ผมอาจจะไม่อินกับความรักก็ได้ มันนานจนจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกของการเริ่มต้นความสัมพันธ์เป็นยังไง
นี่อาจเป็นเรื่องยากที่สุดในการแต่งเพลงนี้ออกมา
“เบื่อๆๆ” บ่นกับตัวเองจบก็ทำได้แค่เดินวนไปเวียนมาจนปวดหัว ผมไม่สามารถล้มตัวลงนอนและข่มตาหลับได้ เนื่องจากภาระที่หนักอึ้งนี้กำลังทับตัวจนหายใจไม่ออก
เที่ยงคืนผมแชทคุยกับไอ้ริวผ่านทาง MSN อีกรอบ มันเป็นผู้ฟังที่ดี เวลาผมบ่นอะไรมันก็จะนิ่ง ไม่พิมพ์ตอบกลับมา แค่รับรู้ว่าเจ้าตัวยังคงอ่านทุกข้อความที่พิมพ์ถึงอยู่ ผมก็รู้สึกอุ่นใจแปลกๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นผมลืมตาขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายเมื่อยขบ ลำคอแห้งผาก ตาสองข้างลืมแทบไม่ขึ้นแต่ก็ยังฝืน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเผลอหลับไปตอนไหน รู้แค่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้นอนอยู่บนเตียง แต่ฟุบหลับไปกับเศษกระดาษมหาศาลบนพื้นจนถึงเช้า
“โอ๊ยยยยยย ไอ้เหี้ยโอ๊ยยยยยยยย” ผมโวยวายทันที
ตะคริวแดกตูด เชี่ย โอยยยยยยยยยย
ต้องโก่งตูดเพื่อคลายเส้นอยู่นานกว่าจะหาย สัด! งานเร่งมันทรมานอย่างนี้นี่เอง
ผมไม่กินข้าวเช้า ดื่มแค่น้ำแล้วเดินไปล้างหน้าให้หายง่วง จากนั้นก็กลับมานั่งหาไอเดียในการแต่งเพลงต่อ จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเคลื่อนผ่านเป็นวัน ผมจมจ่อมกับความว่างเปล่าของกระดาษโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย
ในหัวเริ่มหนักอึ้ง ผมอยากหลับ แต่ก็พยายามส่ายหัวไปมาเพื่อให้ร่างกายยังคงตื่น นาฬิกาฝาผนังบ่งบอกว่ามันกำลังเวียนมาถึงเที่ยงคืนอีกครั้ง ผมเดินไปที่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ กดเปิดมันด้วยความรู้สึกตึงเครียดเพื่อหวังจะให้ตัวเองได้ระบายมันออกมา
เอ็มเอสเอ็นยังเป็นสิ่งเดียวที่ผมมีอยู่ หลังกดล็อกอินเข้าไปผมก็เห็นว่าไอ้หมีใหญ่ออนไลน์อยู่ก่อนแล้ว แปลกมาก แม่งโคตรผิดวิสัยของคนที่มักมาตอนเที่ยงคืนเป๊ะๆ แต่คืนนี้กลับมาก่อนถึงสิบนาที
ผมไม่รอช้า พิมพ์ข้อความทักทายมัน
Chayin says… ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแน่ๆ อะไรดลใจให้มึงออนก่อนเวลาวะ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… จะมาอยู่ปลอบใจมึง ได้ข่าวว่าเครียด ใกล้ตายยัง
Chayin says… มึงสิตาย!
ผมว่าผมเจอเรื่องเครียดกว่าการแต่งเพลงละ กวนตีนกูไม่ดูหน้าเลย
0 8 3 2 / 6 7 6 say… อ่ะ กูเอากำลังใจมาให้ ช่วยเปิดวิทยุไปที่คลื่น 102.789 หน่อย
Chayin says… มีอะไร ตื่นเต้นๆ >//<
0 8 3 2 / 6 7 6 say… กูโทรไปขอเพลงมึงกับทางสำรวยเรดิโอ มึงจะได้มีแรงแต่งเพลงต่อ
Chayin says… ตื้นตันใจฝุดๆ
ถุย สำรวยเรดิโอนี่ใช่วิทยุชุมชนมั้ยวะ ทำไมเกิดมากูไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วคือมีจัดอันดับเพลงฮิตติดชาร์ตมั้ย กลัวต้องไปแย่งตำแหน่งพี่ๆ นักร้องค่ายอื่นมาก
แต่สิ่งที่กลัวที่สุดของวิทยุชุมชนสำหรับผมเลยก็คือการขอเพลง แม่งไม่อยากเปิดมาเจอน้องกิ๊ฟหนองจอก ขอเพลงให้พี่ก้องบ้านใต้อะไรแบบนี้ คนจีบกันผ่านวิทยุไม่ผิด แต่ผิดที่กูไม่อินไง
สรุปผมก็ไม่ได้เปิดไปฟังเพลงตามที่ไอ้หมีใหญ่บอก แต่เลือกใช้เวลาทั้งหมดกับการพิมพ์เถียงมันแทน
Chayin says… กวนตีนกูเสร็จแล้วก็รีบออฟไลน์ไปเลย ตอนนี้งานล้นมือมาก แต่ที่คุยกับมึงได้
Chayin says… เพราะเจียดเวลามาคุยนะเนี่ย
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ชยิน มึงแม่งเพ้อเจ้อว่ะ
Chayin says… -_-
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ยังคิด lyrics ไม่ได้สินะ
Chayin says… รู้ดีอย่างกับเป็นเจ้ากรรมนายเวรกูเลย
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ขอบคุณที่ชม
ไอ้เหี้ย กูด่ามึงอยู่สัด
Chayin says… ที่กูมาคุยกับมึงก็เพราะหวังว่ามึงจะช่วยอะไรได้บ้าง
Chayin says… แต่แม่งสุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถามจริง มึงเกลียดอะไรกูวะ
ไม่มีข้อความอะไรตอบกลับมา ความรู้สึกผิดเริ่มจู่โจมฉับพลันหลังเกิดอารมณ์ชั่ววูบจนเผลอพิมพ์ข้อความก่อนหน้านั้นออกไป ยอมรับเลยว่าเครียดมาก แต่จะให้ทำไงวะ
คำว่า ‘ขอโทษ’ ถูกพิมพ์ค้างไว้ แต่ก็ยังไม่ได้กดส่ง
พลันข้อความจากอีกฝ่ายเด้งขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน ผมกวาดตามองตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้น ก่อนมือที่จับคีย์บอร์ดจะสั่นขึ้นมาดื้อๆ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… กูไม่ได้เกลียดมึง ชยิน จริงๆ แล้ว...
0 8 3 2 / 6 7 6 say… กูชอบมึงนะ
กูชอบมึงนะ
กูชอบมึงนะ
กูชอบมึงนะ!
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 9
ไม่ได้อ่อยแต่อร่อยกว่าทุกคน
ผมถูกไอ้เบิร์ดลากคอกลับมานั่งที่โต๊ะในสภาพมึนงงเต็มแก่ ก่อนหน้าก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ากูวิ่งไปหลังเวทีทำไม รู้แค่ว่าตอนนั้นผมไม่เป็นตัวของตัวเองที่สุด เลยพยายามหลีกหนีสถานการณ์ที่ไม่โอเคออกมาสงบสติอารมณ์เงียบๆ
แต่แล้วไง สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งเผชิญหน้ากับไอ้ยุคอยู่ดี
“ถามจริง มึงวิ่งไปหลังเวทีทำไมวะ” เชี่ยท็อปเป็นฝ่ายเริ่มประเด็น แม้ผมจะภาวนามาตลอดทางว่าขอให้ใครอย่าถามเรื่องนี้อีกก็เถอะ
“กู...กูไปช่วยเก็บ อึก...ของ” พูดไปก็สะอึกไปจนรู้สึกสงสารตัวเองฉิบหาย ต้องดับความลนลานที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นด้วยการคว้าเบียร์ขึ้นมาดื่มจนลดลงไปเกือบครึ่งแก้ว
“เก็บของห่าอะไร กูเจอนีน่า เขาบอกมึงเขินใครไม่รู้อยู่หลังเวที”คนถามหรี่ตามองราวกับไม่เชื่อ ผมเลยรีบแย้งออกไปทันที
“เขินไร นีน่านี่มองอาการคนไม่ออกเหรอ ตรงไหนที่เรียกว่าเขินไม่ทราบ”
“อย่ามาเนียน บอกมาใครเต๊าะมึง”
“ไม่มี เชื่ออ่อ เชื่อที่คนอื่นพูดมากกว่ากูอ่อ”
“เออกูเชื่อเขา แต่ไม่เชื่อมึง แม่ง...ตาลอยแล้วนั่น น้ำเปล่าหน่อยมั้ย” ผมยกมือปัดปฏิเสธ ก่อนยกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมากระดกจนหมดแก้วเพื่อแสดงความเก๋า
ทว่าถึงจะทำตัวแกร่งแค่ไหน เชื่อหรือเปล่าว่าผมก็ยังไม่กล้าที่จะมองหน้าไอ้ยุคอย่างเต็มตาสักที
แปลกดีเหมือนกัน ครั้งหนึ่งมันเคยบอกชอบผม บรรยากาศบนดาดฟ้าทั้งพิเศษและโรแมนติก แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความสับสนงุนงง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกกับไอ้ยุคแบบไหน แต่รู้แน่ชัดว่าจะปฏิเสธอีกฝ่ายยังไง
ไม่เหมือนคืนนี้ ทุกอย่างต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ที่นี่ไม่ได้เงียบสงบ พลุกพล่านไปด้วยผู้คน บรรยากาศก็ไม่ได้โรแมนติกอะไรเลย แต่ไม่รู้ทำไม...ใจมันกลับสั่นแปลกๆ
หรือนี่จะเป็นเพราะเวลาวะ เวลาที่เคลื่อนผ่านไปในแต่ละวัน บทสนทนาที่มากขึ้น กับความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้จากเดิม และตอนนี้ไอ้ยุคได้กลายเป็นเพื่อนที่ผมเลือกจะแคร์คนหนึ่ง ซึ่งมัน...
เริ่มมีอิทธิพลกับผมมากขึ้นจนน่าใจหาย
“มึง...กูขอน้ำแข็งเพิ่ม หิวเบียร์โว้ยยยยยยย” ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เพราะงั้นแดกต่อดีกว่า
ผมยื่นแก้วเปล่าให้ไอ้ท็อปจัดการ แต่กลับถูกมือหนาของใครอีกคนคว้าเอาไว้ซะก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้สบตากับคนที่พยายามหลบมาตลอดหลังกลับมานั่งตรงโต๊ะ
“พอแล้วคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยเตือน ผมเลยยิ้มเย้ยใส่
“ผมยังไม่เมา ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“ไม่ได้ห่วง มันเปลือง”
ไอ้เวร...
“ไม่กินก็ได้” สลดเลยสัด กูจะโทรไปฟ้องแม่ให้เอาก้านมะยมมาตีมึง
“คืนนี้คุณดื่มเยอะเกินไป กลับได้แล้ว”
“เพื่อนผมยังไม่กลับ เพราะงั้นผมก็จะอยู่ต่อ”
“เฮ้ยกูจะกลับแล้ว!” ซูปเปอร์เนิร์ดรีบแทรกทันควัน พากูหน้าแหกแบบหมอไม่รับเย็บไปอีกรอบ แถมไอ้ท็อปยังพยักหน้าคล้อยตามเป็นปี่เป็นขลุ่ยอีก มึงไปอยู่ด้วยกันเลยป่ะ รำคาญ
“ก็...ก็ถ้าไอ้เบิร์ดจะกลับผมก็ต้องกลับแหละ”
“เดี๋ยวผมไปส่งเอง เบิร์ดบ้านอยู่คนละทางกับคุณจะลำบากเพื่อนทำไม”
“เออใช่ๆ มึงกลับกับคุณยุคน่าจะดีกว่า” แหม...ทีอย่างนี้เร็วเลยนะมึงไอ้เมพพพพพพพพ
หลังเคลียร์กันเรียบร้อยก็ได้ฤกษ์งามยามดีให้พนักงานมาเช็กบิล ก่อนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดทั้งคู่จะเผ่นแน่บเข้าป่ากล้วยไปแบบไม่เห็นฝุ่น ทิ้งผมไว้กับนักฆ่าล่าแต้มเพียงลำพัง แถมตอนนี้ในหัวก็ตื้อไปหมดแล้วด้วย ถ้าโดนลากไปฆ่าตายคงขัดขืนอะไรไม่ได้แน่
“ไหวมั้ย” คนตัวสูงตบแก้มผมเบาๆ
“ไหวดิว้า”
มันยิ้ม พลางเอื้อมมือมายีหัวผมจนยุ่งเหยิง เกลียดว่ะ ทำมันทุกคนชอบยุ่งกับหัวกูจัง
“ลุกขึ้นมาได้แล้วเด็กน้อย” มือหนาจับแขนของผมเอาไว้แน่น พยายามรั้งให้ลุกขึ้นยืนแต่ผมเลือกที่จะไม่ขยับ
“เมื่อกี้เรียกผมว่าอะไรนะ”
“เด็กน้อย”
“ห้ามเรียกเด็กน้อยเข้าใจป้ะ”
“โอเคครับที่รัก”
สัด! วันแรกเคยเถียงไม่ชนะยังไง วันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไอ้ชยิน มึงแม่งไม่เคยพัฒนาเลยว่ะ
สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นยืนตามแรงรั้งของอีกฝ่าย แต่แทนที่จะก้าวเท้าไปข้างหน้าตามคนตัวสูง ผมกลับต้องหยุดนิ่งเมื่อใครคนหนึ่งรั้งไหล่เอาไว้เสียก่อน
“ริว ยังไม่กลับเหรอวะ” ใช่แล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คือไอ้ริว ตอนแรกเข้าใจว่ามันคุยกับเพื่อนหมอที่บังเอิญเจอกันแล้วก็แยกย้ายกลับไปก่อนหน้านั้น ไม่คิดว่าจะยังอยู่อีก
“ถ้ากลับแล้วจะเห็นมั้ย เออนี่ มึงลืมดอกไม้” คนตรงหน้ายื่นช่อกุหลาบมาให้ผมด้วยสีหน้านิ่งๆ
“เฮ้ยโทษที กูลืม ขอโทษจริงๆ นะเว้ย”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่มึงเถอะ กลับกับไอ้ยุคเหรอ”
“อืม” ผมพยักหน้า
“ให้กูไปส่งแทนมั้ย ทางเดียวกันพอดี”
“กูจะไปส่งชยินเอง” ยังไม่ทันได้ตอบอะไร คุณนักเขียนมันก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน พอๆ กับไอ้ริวที่สวนกลับทันควัน
“ถ้าไปกับกูคงดีกว่า”
“มีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้ไม่ทราบ!” ไอ้ยุคทุ้มขึ้นเสียง คล้ายกำลังโมโหอยู่นิดหน่อย
“ก็ทางการแพทย์เขาเรียกว่ามันคือความใส่ใจต่อผู้อื่น กูก็ควรทำป่ะวะ”
“แต่ทางวรรณกรรมเขาเรียกว่าเสือกว่ะ”
พวกมึง! อย่าตีก๊านนนนนนนนน
“สรุปมึงจะไปกับใครชยิน”
“เอ่อ...” ฉิบหาย ทำไมโชคชะตาต้องทำให้ชีวิตผมวุ่นวายขนาดนี้ด้วยวะ แทนที่จะได้กลับบ้านดีๆ กลับต้องมายืนเลือกฝั่ง แล้วคอนโดมีเป็นแสนเป็นล้าน แม่งยังเสือกอยู่ทางเดียวกันอีก
“ชยินกลับได้แล้ว” ไอ้ยุคกระตุกแขนผม แต่แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดกลับทำให้สมองเบลอจนหาคำพูดปฏิเสธไอ้ริวค่อนข้างช้า ผมเลยได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ก่อนจะรู้สึกได้ว่าความอบอุ่นที่กอบกุมแขนขวาจางหายไป และไอ้ยุคได้เดินผละออกไปไกลแล้ว
ใจของผมหล่นร่วงไปอยู่ตรงตาตุ่ม
ทุกอย่างในหัวที่เคยพร่าเลือนกระจ่างชัดขึ้นมาทันที
“ริว กูต้องกลับกับยุคว่ะ ขอโทษทีนะ ไว้คราวหน้าเจอกัน” ผมพูดรัวเป็นน้ำไหลไฟดับ แทบไม่รอให้เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยซ้ำ สองเท้าก็ก้าวตามร่างสูงของคนตรงหน้าไปอย่างไม่คิดชีวิต
แผ่นหลังที่ห่างออกไปในตอนแรกค่อยๆ ชัดขึ้น ไอ้ยุคกดรีโมทรถยนต์แล้วแทรกตัวเข้าไปในรถ ผมจึงลนลานเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น รีบเปิดประตูอีกฝั่งและเข้ามานั่งตรงเบาะข้างคนขับอย่างหน้าด้านๆ
หายเมาไปเลยกู
“ไม่ไปกับมันเหรอ” เจ้าของร่างสูงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ก็บอกแล้วว่าจะมากับคุณ แค่...แค่กำลังหาคำพูดปฏิเสธคุณก็เดินหนีมาก่อนแล้ว”
ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ ไม่รู้ว่าทำไมต้องกลัวถูกเข้าใจผิด หลายครั้งหลายหนที่ผมพยายามขยับห่างไอ้ยุคอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายกลับเป็นผมเองที่วิ่งกลับเข้ามาพุ่งชนใหม่ ทั้งย้อนแย้งและน่าปวดหัวสิ้นดี
“ก็คุณทำท่าเหมือนอยากไปกับมัน ก็ไม่ได้ว่าอะไร อยากไปก็ไปสิ”
อารมณ์มาเต็ม! มึงเป็นนางเอกนิยายเหรอศตวรรษ
“ผมไม่ไป ผมนั่งอยู่ในรถคุณแล้ว”
“เดี๋ยวช่วยโทรไปบอกไอ้ริวให้ขับรถมาจอดเทียบได้ ออดี้เลยนะคุณ”
“จะประชดผมทำไมเนี่ย มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า”
“ก็หวง ไม่อยากให้ไปกับไอ้ริว ไม่อยากให้คุณเลือกมัน ไม่อยากให้คุณลังเลเวลาอยู่กับผมด้วย จบยัง”
“จะ...จบ”
ไม่เห็นต้องบอกตรงๆ ขนาดนี้เลยนี่หว่า
รถยนต์ถูกขับออกจากลานจอด ท่ามกลางความเงียบงันที่เกาะกุมจนทำตัวไม่ถูก ผมนั่งกอดช่อดอกไม้บนตักอย่างเงียบเชียบ ไม่นานความอึดอัดก็ค่อยๆ คลายลงเมื่อเสียงเพลงจากวิทยุถูกเปิดโดยคนตัวสูง
ผมไม่ได้ใส่ใจจะฟังมันนัก เพราะกำลังเล่นสงความประสาทว่าใครจะเป็นผู้พ่ายแพ้แล้วเริ่มต้นพูดออกมาก่อน จากนาที เป็นสิบนาที ตอนนี้ใกล้จะถึงคอนโดแล้วไอ้ยุคก็ยังคงเงียบ
คนที่กังวลเลยตกเป็นผมทั้งที่ไม่ควรเป็น เบื่อว่ะ กูแพ้อีกแล้ว
“จอดข้างหน้าพอ” พูดก่อนก็ได้วะแม่ง อีกฝ่ายเลยตอบกลับแทบจะทันที
“อืม”
แค่เนี๊ยะ!
“จริงๆ เข้าไปอีกหน่อยก็ได้ ผมรู้สึกมึนหัวแปลกๆ” แพ้แล้วแพ้อีก แพ้จนต้องร้องขอชีวิต ไอ้สัด
“โอเค ผ่านตรงป้อมยามไปคุณเดินขึ้นไปเองได้มั้ย”
“ได้” ผมตอบเสียงแผ่ว ลอบมองเสี้ยวหน้าของคนเคียงข้างอยู่แว๊บหนึ่ง ก่อนอีกฝ่ายจะรู้ทันหันมามองกลับจนผมทำตัวแทบไม่ถูก
“ชยิน ขอโทษ”
อ้าว เกมส์พลิก
“เรื่องอะไร”
“ผมไม่มีสิทธิ์จะหวงคุณ ที่สั่งให้คุณเลือกผม”
“ก็...” ผมคิดหาคำพูดอยู่ในหัว ประมวลผลอยู่นานก็ได้แต่ครางอืออาในลำคอ กระทั่งรถยนต์จอดสนิทอยู่ตรงประตูทางเข้า
“ถึงแล้ว”
“อือ” สองเท้าก้าวลงจากรถพร้อมช่อกุหลาบในมือ แต่ก็ไม่ลืมเอ่ยประโยคซ้ำซากเฉกเช่นทุกที
“ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร”
ผมปิดประตูรถยนต์ และในเสี้ยววินาทีที่คนตัวสูงตั้งท่าจะขับออกไป ในหัวก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลยรีบตบกระจกรถเพื่อให้อีกฝ่ายชะลอความเร็วลง
บางที บางทีถ้าผมพูดมันอาจไม่อึดอัดใจขนาดนี้ก็ได้
“ยุค” ผมเรียกชื่อเขา หลังกระจกถูกลดลงมาครึ่งหนึ่งและเราได้สบตากันตรงๆ
“ว่าไง”
“ถ้าจะหวงก็ไม่ว่ากัน จริงๆ มันก็เป็นสิทธิ์ที่คุณควรทำล่ะนะ”
ผมเอ่ยเสียงแผ่ว รอคอยคำตอบจากอีกฝ่าย แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากริมฝีปากนั้นเลยนอกจาก…
บึ้ม!
รอยยิ้ม ที่ผมคิดว่าแม่งหล่อเหลาที่สุดเท่าที่เคยรู้จักกับมันมาเลย
ฮาร์ทแอทแทคซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนบางคนนี่มันเก่งจริงๆ เพราะไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากมาย ก็ชนะไปซะทุกอย่างแล้ว
สองวันให้หลังผมได้ฤกษ์งามยามดีหาเงินเข้ากระเป๋าก่อนภาวะอดอยากจะวนมาถึงอีกรอบ เนื่องจากไอ้ท็อปได้นัดแนะสัมภาษณ์คอลัมน์หนังสือล่วงหน้า ผมจึงตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวออกไปข้างนอกอย่างมีความสุข
จะแตกต่างกว่าทุกวันหน่อยก็ตรงที่วันนี้ผมเลือกหยิบหมวกแก๊ปใบหนึ่งออกมาปัดฝุ่น มันพอจะช่วยอำพรางสิวที่ผุดขึ้นตรงหน้าผากอยู่สองสามเม็ดได้
ผมเป็นแบบนี้เสมอตอนที่เครียด และจะเห่อขึ้นหนักมากตอนไม่มีเงิน
เรานัดกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในช่วงเวลาสิบเอ็ดโมงตรง กะกินไปสัมภาษณ์ไปตามประสาเพื่อน ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีการตระเตรียมคำพูดเหมือนครั้งแรก และก็ไม่ต้องลุ้นว่าคู่สัมภาษณ์จะเป็นใครอีก เพราะตอนนี้...
“ชยิน ตรงนี้เว้ย!” ไอ้ท็อปได้โบกมือเรียกผมหยอยๆ ขณะที่มีใครอีกคนนั่งรออยู่ตรงนั้นด้วยแล้ว
ใครบางคนที่ทำให้ใจเต้นรัวเหมือนกลองศึก และผมต้องออกรบกับแม่ทัพที่กวนตีนที่สุดในโลก
ไอ้เหี้ยศตวรรษ
ขนาดเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วก็ยังรู้สึกประหม่าแปลกๆ ผมสาวเท้าไปหาคนทั้งคู่ ส่งยิ้มวอนส้นไปให้ทีหนึ่งก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวสูงที่ยังคงคุมโทนด้วยเสื้อผ้าสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนเคย
“อะไรดลใจให้มึงใส่หมวกวะ รุ่นเดียวกับไอ้ยุคเลย” สิ้นสุดคำพูดของเพื่อนคอลัมนิสต์ คนเคียงข้างก็หยิบหมวกแก๊ปสีดำยี่ห้อ A Bathing Ape ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาสวมเป็นพร็อพประกอบฉาก
“เนื้อคู่” ดูแม่งพูดเข้า
“บังเอิญเหอะ ถ้าสิววัยรุ่นไม่ขึ้นผมก็ไม่หยิบมาใส่หรอก”
“อายุปูนนี้ยังเรียกว่าวัยรุ่นอีกเหรอ”
“โอ้โหหหหห คุณก็อายุเท่าผมมั้ย กล้าพูดได้ยังไง”
“เคๆ เด็กน้อย”
“ไม่ใช่เด็กน้อยโว้ย!”
“พวกมึงนี่เถียงกันสนุกจังเล้ย ให้กูกลับบ้านก่อนมั้ย พร้อมเมื่อไหร่ค่อยโทรมาตาม” ไอ้ท็อปเบรกทุกประเด็น ก่อนยื่นสมุดรายการอาหารมาให้ผมเป็นการตัดรำคาญ
ผมเลยจิ้มๆ สั่งอาหารหนักๆ มากิน ก่อนจะเริ่มต้นกินไปบ่นไปตามประสาเพื่อน เพราะวันนี้เราจะมากันในธีมสายชิลด์ และเมื่ออาหารพร้อมผมจึงถือโอกาสหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปอัพลงโซเชียลเพื่อเรียกกระแสตามสไตล์คนไม่มีอันจะกินเท่าไหร่นัก
แชะ!
“กล้องไม่ชัดเลย ใช้มะเขือเทศถ่ายเหรอ” นี่เป็นคำพูดจากปากหมาๆ ของไอ้ยุค และมันทำให้ผมโมโหจนอยากปามือถือใส่
มึงดูเงินในกระเป๋ากูก่อนไอ้ฟายยยยยยยยย
“ยุ่งน่า”
ผมทำท่าฮึดฮัด รีบสอดมือถือหน้าจอแตกยับของตัวเองใส่กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดังเดิม ก่อนไอ้ท็อปจะขึ้นประเด็นสัมภาษณ์ในเวลาต่อมา
“เดี๋ยวเชี่ยท็อป มึงไม่เอาสมุดมาจดด้วยหรือไง” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อัดเสียงพอ เดี๋ยวกูกลับไปแกะที่ห้องเอง” มันตอบหน้าตาย
“มึงนี่เป็นคอลัมนิสต์ที่ขยันมากเลยว่ะ”
“ขอบใจ”
“กูประชด”
“ไม่สนอ่ะ”
“ก่อนสัมภาษณ์กูต้องบอกชอบน้ำอัดลมยี่ห้อนี้มั้ย เผื่อเขาใจดีเป็นสปอนเซอร์ให้”
“หยุดเพ้อสักห้านาทีก่อนนะเพื่อน เราไม่มีสปอนเซอร์ ครั้งนี้เป็นสัมภาษณ์คู่ คำถามเดียวกันต่างคนต่างตอบตามมุมมองของตัวเอง เข้าใจตรงกันนะ” อดีตเพื่อนสมัยมัธยมฯ เลื่อนมือไปบนหน้าจอไอแพดซึ่งจดคำถามเอาไว้ยาวเหยียด ก่อนเอ่ยถามคำถามแรก
“แนะนำตัวก่อนเลย”
“ชื่อยุคเป็นนักเขียน” คนเคียงข้างเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมจึงตามน้ำไปติดๆ
“ส่วนผมชื่อชยิน”
“เป็นแฟนไอ้ยุค”
“ตบปาก!” ทายว่าไอ้ท็อปเนี่ยแหละที่ต้องตายก่อนศพแรก โทษฐานปากพล่อยเกินหน้าที่
“แค่ล้อเล่นนิดเดียวทำเป็นซีเรียส อ่ะคราวนี้กูจริงจังละ ชีวิตเป็นยังไงบ้างหลังกระแสคู่จิ้นมาแรง งานเยอะขึ้นหรือเปล่า”
จบคำถามนั้นผมกระทุ้งศอกใส่คนตัวสูง โดยให้มันเป็นฝ่ายตอบก่อน
“ไม่นะ งานไม่ได้เยอะขึ้น แต่มีนิยายให้อ่านเพิ่มขึ้น”
“แนวไหนที่ชอบอ่าน” ถามขยี้ใจกูไปอีกกกกกกกกก จนผมจะกระทุ้งศอกใส่ไอ้ยุคเป็นรอบที่สองให้มันตอบดีๆ
“แนว Mpreg มั้ย เขาเรียกแบบนั้นหรือเปล่า”
“ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อย”
“ก็ผู้ชายที่ท้องได้อ่ะ เคยอ่านเรื่องนึงชยินขี้อ่อยมาก เอะอะคือชวนขึ้นเตียง ผลิตลูกกันทั้งวัน”
“หยุดเลย หยุด!” ผมรีบยกมือปิดปากไอ้ยุคทันที แต่มันแม่งก็สะบัดหน้าออกเร็วมากก่อนจะจับข้อมือของผมเอาไว้
“ชื่อเรื่องว่ารักไม่ยุ่งมุ่งแต่เย ลองไปอ่านดู สนุกดี”
“ยุค! ผมโกรธคุณจริงๆ นะเว้ย”
“โอเค เขาอัพจบไปแล้ว ผมไม่อ่านแล้ว” พูดไปก็ยิ้มไปจนกูอยากจะเอามือไปจกตามึงให้แหก
เบื่อมากนิยายที่เขียนให้ผมท้องเนี่ย เรื่องไหนเรื่องไหนผมก็โดนกดหมด ทำไมไม่มีใครคิดว่าคนอย่างชยินจะกดคนอย่างไอ้ยุคได้วะ คนเดี๋ยวนี้มันตาไม่ถึงกันจริงๆ
“เลิกทำหน้างอได้แล้วน่า” ไม่พูดเปล่า ไอ้ศตวรรษก็ใช้ส้อมจิ้มมะเขือเทศมาไว้ในจานผม ซึ่งเผื่อมึงไม่รู้นะ กูไม่กินมะเขือเทศโว้ยยยยยยย
“เอาไปไกลๆ ผมไม่กิน” ว่าแล้วก็ใช้ส้อมจิ้มกลับไปใส่จานแม่งอีกรอบ
“พูดถึงนิยายเท่าที่ตามไปส่องๆ ดูมันก็เยอะอย่างที่ว่าจริงๆ นั่นแหละ ล่าสุดที่เผลอกดเข้าไปอ่าน เพิ่งเห็นว่ามึงเป็นกะหล่ำปลีด้วยว่ะชยิน” ไอ้ท็อปพูดหน้าตาย แต่คนฟังอย่างผมเนี่ยสิที่ตกใจจนแทบช็อก
“ฮะ?”
“มึงเกิดมาเป็นกะหล่ำปลีอ่ะ ไอ้ยุคเป็นคนสวน ฮ่าๆๆๆ”
“พูดให้กูเข้าใจอีกทีดิ”
“ตำนานรักกะหล่ำปลีไง นิยายสำหรับคู่จิ้น #YukYinCouple เอ้า! ไม่เคยอ่านเหรอ หวายยยยยยยไปอยู่ไหนมาเนี่ย”
เชี่ย! ใครมันกล้าเขียนเรื่องแบบนี้วะ ดูปลาบู่ทองเยอะเหรอ มีต้นมะเขือเป็นแรงบันดาลใจสินะ
โว้ยชีวิตกูนี่หนอ เป็นมันทุกอย่างทั้งคนท้อง ทาสเซ็กซ์ ล่าสุดกูเป็นกะหล่ำปลี ไอ้เหี้ย!
“มึงไม่ต้องเครียดหรอกชยิน คนอ่านไปแค่ล้านสองแสนเอง”
“ฮือออออ”
“ไม่ต้องร้อง ตอบคำถามกูก่อน มึงล่ะชีวิตเปลี่ยนไปมั้ย” และคราวนี้ไอ้ท็อปก็พาเรากลับเข้ามาในโหมดเป็นการเป็นงานอีกรอบ
“เปลี่ยนสิ เปลี่ยนมากเลย ทั้งงานและกระแสในโลกโซเชียล” โดยไอ้ยุคเนี่ยแหละที่เป็นตัวแปรสำคัญในชีวิตของผม แถมทำกูน้ำตาซึมในตอนนี้อีกต่างหาก
ทำใจไม่ได้อ่ะ ทำไมไม่มีนิยายที่ผมจะได้รับบทที่ดูดีและมีเสน่ห์บ้างวะ
“แล้วรู้สึกยังไงตอนที่มีคนเห็นหน้ามึงแล้วบอกว่าน่ารัก” ไอ้ท็อปถามต่อ
“มึงไปอ่านข้อความที่ไหนมาไม่ทราบ มีแต่คนชมกูว่าหน้าตาดี หน้าตาดีเว้ยไม่ใช่น่ารัก” ตอบไปก็จ้วงข้าวใส่ปากไป ขณะที่ไอ้ท็อปก็ยิงคำถามใส่ไม่หยุด
“โอเคเปลี่ยนเรื่อง ชอบประโยคไหนในเพลงที่ตัวเองแต่งมากที่สุด และทำไมถึงชอบ”
“คงเป็น...ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ธรรมดาขนาดนี้เลย นึกว่าจะมีประโยคคมๆ อะไรซะอีก”
“แม่งดีนะเว้ย ประโยคนี้มันเหมือนจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้รู้จักใครสักคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ถึงแม้ว่าตอนสุดท้ายความสัมพันธ์ของเรากับคนๆ นั้นจะดีหรือแย่ก็ตาม”
“...”
“เพราะถ้าดีก็รักษาไว้ แย่ก็แค่จดจำและเรียนรู้เท่านั้นเอง”
“ไอยะ คมแล้วสัด” ไอ้ท็อปพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนเบนสายตาไปยังอีกคน “มึงอ่ะยุค ชอบประโยคไหนในหนังสือของตัวเอง”
“จงซื่อสัตย์กับความรู้สึก”
“จริงดิ” ผมแทรกขึ้น กะแซวเล่นขำๆ แต่กลับได้สายตาสงบนิ่งของเจ้าของคำตอบกลับมาซะอย่างนั้น
“แล้วคุณว่าจริงมั้ย”
“ไม่รู้ ผมไม่ใช่คุณ”
“คุณรู้ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าคุณไม่ได้คิดอะไรกับผม”
“ไม่ใช่นะ!”
ฉิบหายละ หลุดปากพูด
“ต๋ายแล่ววววววว มึงไปเต๊าะกันไกลๆ เถอะ เหม็นความรัก”
“เชี่ยท็อปมึงอย่าเข้าใจผิด คุณก็ด้วย ที่พูดว่าไม่ใช่เพราะผมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกของผมซะหน่อย”
“พูดอะไรยืดยาว ขี้เกียจฟัง” แล้วไอ้ยุคก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อโดยไม่สนใจความร้อนตัวของผมอีกเลย โฮร่ลลลลล
กูจะร้องไห้แล้วววววว
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนโดนรุมรังแกอยู่ฝ่ายเดียวเลยวะ
“เป็นอะไร เบะปากจนเบี้ยวไปหมด” ยังมีหน้าหันมาถามอีก
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“สรุปผมผิดเหรอเนี่ย”
“ก็คุณกวนตีนไง”
“ไม่ดีเหรอ อย่างน้อยชีวิตคุณจะได้มีสีสัน”
“สีสันกับผีน่ะสิ”
หลังซุ่มเถียงกันอยู่พักใหญ่ จากสัมภาษณ์คู่ดูเหมือนว่าตอนนี้ไอ้ยุคจะให้สิทธิ์ผมในการตอบคำถามก่อนทั้งหมด ซึ่งกูต้องเผชิญกับสายตาล้อเลียนของไอ้คอลัมนิสต์ตัวดีไปอีกหลายสิบนาที แถมยังกินเวลานานจนอาหารในจานพร่องเกือบหมด
ก่อนเพื่อนท็อปจะเบี่ยงประเด็นไปยังคนตัวสูงซึ่งนั่งจิบน้ำรออย่างนิ่งๆ และจู่โจมอีกฝ่ายด้วยคำถามเดียวกัน
“ได้ข่าวว่าผ่านพ้นวันเกิดมาแล้ว ปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ มั้ย”
“อาจจะพิเศษล่ะมั้ง ปกติในวันเกิดกูจะได้ของขวัญสวัสดิการนักเขียนจากสำนักพิมพ์ แต่ปีนี้ดีกว่านั้นหน่อยตรงที่ได้อยู่กับคนที่อยากอยู่ด้วย”
“ดีว่ะ คนๆ นั้นเป็นยังไง”
“เป็นคนที่ปฏิเสธกู แถมยังนั่งหน้าสลอนอยู่ตรงนี้ไง”
เขร้!!
ทุกสายตาหันมามองผมเป็นจุดเดียว ด้วยไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยทำได้แค่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พยายามนึกย้อนกลับไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมา...
หรือจะเป็นที่ดาดฟ้าในคืนนั้น จำได้ว่าไอ้ยุคเคยบอกกับผมว่าเป็นวันเกิดของมัน แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่ออย่างจริงจัง มาวันนี้เพิ่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก
“ฮะ...แฮปปี้เบิร์ดเดย์ย้อนหลังนะคุณ” ผมยิ้มแหยส่งไปให้
“ตลกเด็กน้อย ขอบคุณครับ”
“ถ้าคุณบอกผมก่อน ผมก็จะ...”
“จะอะไร”
“ซื้อของขวัญให้”
“มีเงินเหรอ”
“ไม่ได้อดอยากขนาดนั้นมั้ย”
“ผมได้รับของขวัญแล้ว”
“ตอนไหน”
“ได้อยู่กับคุณไง”
“แต่ผมไม่ได้รับรักคุณนะ”
“ไม่เป็นไร อีกหน่อยจะรัก”
“ง่อววววววว กูขอตัวไปอ้วกก่อนนะเพื่อน ไม่ไหวละ ความรักกระแทกคอกูแรงไปหน่อย อ้วกกกกกกก” ไม่พูดเปล่า ไอ้ท็อปยังวิ่งปรี่ไปห้องน้ำอย่างที่ปากพูดจริงๆ
ทิ้งผมให้เผชิญหน้ากับไอ้นักฆ่าอยู่ตามลำพังในบรรยากาศที่ชวนวูบโหวงแปลกๆ
ดูเหมือนคนพูดมันจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรด้วยซ้ำ ตรงข้ามกับผมที่ได้แต่เกาท้ายทอยไปมา เพราะไม่รู้จะเอามือไปไว้ตรงไหนมากกว่า
มึงทำสำเร็จแล้วศตวรรษ สุดท้ายผมก็แพ้ให้กับความหน้าด้านของมันอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ขากลับผมไปส่งนะ” ต่างคนต่างเงียบอยู่นาน กระทั่งเสียงทุ้มดังขึ้นในโสตประสาท
“ไม่เป็นไร มาได้ก็ต้องกลับเองได้สิ”
“งั้นตามใจ”
ไม่นานไอ้ท็อปก็กลับมานั่งที่โต๊ะ เราพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อยจนทุกอย่างเสร็จสิ้น และทุกคนพร้อมจะแยกย้ายกลับทางใครทางมัน ทว่าจู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น
Rrrr..!
พอหยิบขึ้นมาดูก็เห็นชื่อของไอ้ริวปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมรู้ว่าริวเป็นแค่เพื่อน ถึงแม้ว่าเราจะคุยกันผ่าน MSN ด้วยความสนิทสนมแค่ไหนความสัมพันธ์ของเรามันก็เป็นได้แค่นั้น แต่ไอ้ยุคนี่ดิที่ไม่เข้าใจ ยิ่งเวลาต้องมารับโทรศัพท์แบบนี้ผมยิ่งเกรงใจมันแปลกๆ
แต่คิดแล้วก็เท่านั้น สุดท้ายผมก็กดรับอยู่ดี
“ว่าไง”
[ชยินอยู่ไหน พรุ่งนี้ว่างมั้ย] อีกฝ่ายเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ผมถาม
“ทำไมเหรอ”
[กูอยากแฮงก์เอาท์กับเพื่อน เลยอยากชวนมึงมาด้วยกัน]
“แถวไหนล่ะ”
[ผับแถวคอนโดกู สรุปมาได้มั้ย]
“เอ่อ...ขอดูก่อนนะ ยังไงเดี๋ยวจะให้คำตอบอีกที”
[ได้ แต่อยากให้มานะ กูโทรหาไอ้เบิร์ดแล้วมันบอกจะมาเหมือนกัน]
“โอเค ถ้าจะไปยังไงเดี๋ยวโทรบอก”
หลังวางสาย ผมก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนข้างๆ ทันที ไอ้ยุคไม่ได้มีท่าทีจะถามหรือสนใจอะไรนอกจากหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดเล่นเงียบๆ
ความจริงเราจะแยกย้ายกันตอนนี้ก็ได้ แต่ในใจกูเนี่ยดิที่มันว้าวุ่นจนน่ารำคาญ
“เอ่อ...ริวโทรมาน่ะ” พูดลอยๆ นะเว้ย ไม่ได้อยากให้ใครได้ยินหรอก
ผมคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่มีใครถามอะไรกลับมา ไอ้ท็อปง่วนอยู่กับการเช็กเงินในกระเป๋าของตัวเอง ส่วนคุณนักฆ่าที่อยากให้มันพูดอะไรออกมาสักคำก็ยังคงนิ่งเงียบ
ทำไมต้องให้กูพูดซ้ำด้วยวะ!!
“ริวชวนผมไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อนๆ คืนพรุ่งนี้ คุณจะไปด้วยกันมั้ย” รู้สึกได้เลยว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่วงท้ายอ่อนลงหลายเท่า
“มันไม่ได้ชวนผมสักหน่อย”
“ก็เดี๋ยวอาจจะชวน”
“คุณไปเถอะผมไม่อยากทำให้งานกร่อย”
“เพื่อนกันทั้งนั้น ไปดื่มเหล้า ผมก็..น่าจะเมานิดหน่อย”
“รู้ด้วยเหรอว่าตัวเองจะเมา”
“ผมเมาง่าย”
“ไอ้ริวดูแลคุณได้อยู่แล้วไม่ต้องห่วงหรอก”
“โอเค ยังไงมันก็ดูแลผมได้จริงๆ นั่นแหละ งั้นกลับก่อนนะ ไอ้ท็อปไว้เจอกันเว้ย” โบกมือให้สองสามทีก็รีบหมุนตัวเดินออกจากร้านโดยไม่คิดมองหน้าไอ้ศตวรรษแม้แต่เสี้ยว
ผมเกลียดความย้อนแย้งของตัวเอง อยากฟอร์มจัดแต่บางทีก็อดแคร์อีกฝ่ายไม่ได้ ผมไม่อยากให้ไอ้ยุครู้สึกไม่ดี ขณะเดียวกันผมก็ไม่อยากมานั่งอธิบายว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ในเมื่อความสัมพันธ์ของเราก็ยังเป็นแค่เพื่อน
เป็นความสัมพันธ์ที่ผมเป็นฝ่ายเลือกเอง...
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 10
ต่อให้เรือจมพี่ก็จะว่ายน้ำไป
เดี่ยวศตวรรษ...
ทันทีที่ประตูถูกไข ชยินก็รีบเดินดุ่มๆ เข้าไปข้างในแล้วจัดการสะบัดตีนถอดรองเท้าด้วยความหงุดหงิด ท่าทีฮึดฮัดแบบเด็กๆ นี้ทำให้ผมอดขำไม่ได้
หูสองข้างของเขาแดงเถือกลามไปจนถึงลำคอ ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือโกรธกันแน่ แต่คาดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังซะมากกว่า ผมรู้ว่าตัวเองผิด ก็แล้วจะให้ทำยังไงวะในเมื่ออีกฝ่ายน่ารักซะขนาดนี้ ใครอดทนได้ก็โคตรปรมาจารย์นักบวชแล้วเว้ย
กลิ่นตัวของเขา น้ำเสียงของเขา ริมฝีปาก ดวงตา รวมถึงท่าทางที่แสดงออก หากหยิบมาปั่นยัดใส่ปากได้ กูก็คงทำตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้าแล้วแม่งเอ๊ย
“จะไม่พูดอะไรหน่อยหรือไง” น้ำเสียงแสนแข็งกระด้างเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป ผมยิ้ม มองดูคนร่างบางโถมตัวนั่งบนโซฟาพร้อมกับกอดอกรอฟังคำตอบอย่างจดจ่อ
“ให้พูดอะไร”
“ก็ที่คุณจูบผมแล้วโบ้ยทุกอย่างว่าเป็นความผิดของผมไง”
“ตอนอยู่ในลิฟต์คุณทำตัวน่าแกล้งเอง” ชยินเบะปากคว่ำ เอาแต่กรอกตาไปมาคล้ายกำลังคิดหาสารพัดคำด่าเพื่อตอบโต้
“สรุปผมผิดงั้นเหรอ”
“อือ”
“คนปกติเขาไม่ทำหรอกนะมาจูบกันในลิฟต์น่ะ ที่สำคัญผมกับคุณก็ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย คอนโดนี้ก็ต้องอยู่อีกยาว เกิดวันนึงเจอเพื่อนบ้านในลิฟต์ผมจะทำยังไง”
“ก็บอกไปว่าอดใจไม่ไหว แฟนขี้เอา แค่นี้ก็จบแล้วคุณ”
“คุณเอาแต่ว่าผมเหมือนเด็ก ความจริงแล้วคุณก็ไม่ต่างกันมากหรอก”
และใช่ ผมเป็นผู้ใหญ่มาตลอด ผมเป็นแบบนั้นเสมอจนกระทั่งเจอคุณ...
“ชยิน เราดีกันเถอะ”
“กลับไปเลยรำคาญ”
โห คราวนี้หายใจถี่กว่าเดิมอีก จะตายมั้ยวะนั่น
ด้วยความสงสารจนไม่อยากแกล้งต่อ ผมจึงก้าวเท้าไปหาเจ้าตัว ย่อเข่าลงตรงหน้าเขาและตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ
“ขอโทษนะ”
ชยินเอาแต่มองนิ่งไม่ไหวติง ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายท้วมท้น จนผลักดันให้ผมตัดสินใจโน้มหน้าเข้าไปจูบหน้าผากขาวอย่างนึกเอ็นดู
ซึ่งเหมือนว่าเจ้าตัวจะอึ้งไปพักหนึ่ง ดวงตาสองข้างเบิกโพลงจนแทบถลน แต่ถึงอย่างนั้นมือบางก็ยังคงออกแรงดันผมให้ออกห่างจากตัวในที่สุด
“พูดขอโทษดีๆ ก็ได้”
“ก็คุณนิ่งอ่ะ”
“นิ่งแล้วต้องทำแบบนี้เหรอ”
“เวลาหมาที่บ้านงอน ผมจะใช้วิธีนี้ แล้วมันก็หายโกรธตลอดเลย”
“โว้ยยยยยยย ผมไม่ใช่หมานะ”
“แล้วคุณหายโกรธผมมั้ยอ่ะ”
“ไม่หาย”
“งั้นต้องจุ๊บเหม่งอีกรอบ”
แทนที่จะได้ทำอย่างปากพูด ผมกลับไม่มีโอกาสเข้าถึงตัวชยินอีกเลยเพราะถูกฝ่าเท้ายื่นออกมากันเอาไว้ซะก่อน จากตอนแรกที่คิดว่าคนเขาจะหายโกรธ สุดท้ายกลายเป็นว่าแม่งอาละวาดหนักกว่าเดิมอีกว่ะ สนุกจังเลย สนุกจังเล้ย!
“คุยกันดีๆ” ผมพูดไปกลั้นขำไป
“ไม่คุย กลับไปเลย แล้วไม่ต้องมาหาผมอีก”
“คุณจะเป็นฝ่ายไปหาผมที่ห้องแทนเหรอ ได้นะ เดี๋ยวจัดเตียงรอ”
“ไม่ใช่โว้ย เลิกกวนตีนผมสักนาทีได้มั้ย” และผมก็ทำตามคำขอจริงๆ ทุกอย่างเงียบลงถนัดตา เหลือแค่เราที่มองหยั่งเชิงกันอยู่อย่างนี้โดยไม่ขยับไปไหน
ผมไม่ได้อยากหน้าด้านอยู่ให้เขารำคาญ ทว่าลึกๆ ก็ไม่ได้อยากออกห่างเท่าไหร่นัก อาจเพราะมีความสุขที่จะอยู่ตรงนี้มากกว่า ในโลกของผมเต็มไปด้วยกำแพงที่เลือกว่าจะให้ใครปีนเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิต แต่กับชยิน...
เขาไม่จำเป็นต้องรอให้ผมเลือก ตัวผมต่างหากที่เป็นฝ่ายเลือกเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
“สามพันหกร้อยเก้าสิบบาท” ต่างคนต่างเงียบได้อึดใจหนึ่ง ชยินก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“อะไร”
“เป็นค่าหมวก ผมไม่ให้เป็นของขวัญแล้ว วันนี้คุณทำผมประสาทแดกมาก”
“งั้นคิดเป็นเลขกลมๆ เลยแล้วกัน สองหมื่นห้าพันบาท” คราวนี้คนฟังรีบเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาติดสงสัย
“สองหมื่นห้า?”
“เป็นค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ผมเคยออกให้คุณ อันนี้คือลดให้เยอะแล้วนะ ถ้าจะเอาค่าหมวกคุณก็จ่ายคืนผมให้ครบด้วย” ฟังจบ หน้านี่หดเหลือสองนิ้วแล้วมั้ง
“งั้นเอาเลขบัญชีมาเลย ผมจะโอนให้”
“ขอภายในวันนี้นะ”
“จะ...จะทันได้ยังไง ผมยังกินมาม่าอยู่เลย”
“ไม่สนอ่ะ ถ้าไม่อยากจ่ายก็ไม่ต้องขอหมวกคืน เพราะผมใช้แล้ว” เงียบดูสถานการณ์ไปพักหนึ่งจึงถือโอกาสเอ่ยต่อ “คุณคงง่วงแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวผมกลับก่อนนะ”
“อืม”
“และคงไม่ได้มาเจอคุณอีก ดูแลตัวเองด้วย”
แสร้งทำหน้าหงอยไปงั้นแหละ เผื่อเด็กน้อยจะตกหลุมพราง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นไปตามคาดเพราะชยินนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ไอ้เหี้ย! เห็นหน้าแล้วกูอยากกระชากตัวมาฟัดให้หายหมั่นเขี้ยว แต่ไม่ได้ครับ ต้องคีพลุคขรึมๆ เอาไว้จากนั้นก็ลากเท้าไปยังหน้าประตูตั้งท่าจะไปจริงๆ
ทว่ายังไม่ทันได้หยิบรองเท้า เสียงของเด็กน้อยชยินก็ดังแง้วๆ มาแต่ไกล
“ทำไมคุณไม่มาล่ะ”
“ก็คุณบอกว่าไม่ต้องมา”
“ตอนนั้น...ก็ตอนนั้นผมโมโหมาก” คนอายุ 25 จำเป็นต้องน่ารักขนาดนี้มั้ยไอ้สัด
“แล้วตอนนี้ล่ะ คุณยกโทษให้ผมแล้วหรือไง”
“ไม่”
“โอเคงั้นผมกลับละ”
“ดะ...เดี๋ยว คุณ...จะไปจริงๆ เหรอ ไม่กลับมาแล้วเหรอ”
“ใช่”
“ทำไมคุณต้องบังคับให้ผมพูดมันออกมาด้วยวะ”
“พูดอะไร ใครบังคับคุณไม่ทราบ”
“ก็คุณจะไม่มาหาผมแล้วอ่ะ”
“คุณเป็นคนบอกเอง”
“ผมไม่ได้อยากให้คุณหายไปจริงๆ สักหน่อย รู้จักคำว่าประชดมั้ย รู้จักคำว่าอารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่า แม่ง!!”
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ผมยืนมองชยินซ้อมหมอนตรงโซฟาจนเละคามืออยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูอีกครั้ง ร่างบางก็หันขวับกลับมามองพร้อมกับตะโกนลั่นห้อง
“ผมหงุดหงิดตัวเองอ่ะ”
เกรี้ยวกราดจังวะ
“ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมผมถึงต้องโมโหตอนที่คุณจูบ แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือผมไม่อยากให้คุณไป” พูดไปก็เบะปากไปจนหน้าสงสาร สองแก้มแดงซ่านจนต้องมุดหน้าลงกับหมอนแล้วพึมพำภาษามนุษย์ต่างดาวออกมาไม่หยุด
“ชยินใจเย็นๆ”
เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสองข้างเหมือนมีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ อ้าว! กูทำเด็กน้อยร้องไห้เฉย
“ผมไม่มีความรักมานานแล้วและผมก็ไม่ได้รู้สึกกับใครแบบนี้ คุณทำพังหมดเลย พังหมดเลย” จากเท้าที่ตั้งท่าจะเดินออกไปเป็นอันต้องหมุนกลับไปหาคนตัวเล็กกว่าราวกับถูกสะกด ผมทรุดตัวนั่งลงเคียงข้าง แล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้แนบแน่น
“อย่าเพิ่งโมโหนะ ผมขอโทษ”
“คุณทำให้ผมไม่มีเงินเพราะต้องซื้อหมวก ผมจน แต่ผมก็อยากซื้อของดีๆ ให้คุณ”
“...”
“ผมมารอคุณที่ร้านกาแฟทุกวัน เพราะไม่อยากให้คุณรู้ว่าผมอยากเจอคุณมากแค่ไหน ผมเคยปฏิเสธคุณ นั่นเท่ากับว่าผมกำลังกลืนน้ำลายตัวเองอยู่” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ขณะที่ใบหน้าขาวยังจมอยู่กับอกของผมโดยไม่คิดเงยหน้า
และชยินร้องไห้ออกมาจริงๆ
ไอ้เหี้ย! เขาร้องไห้แต่ผมกลับรู้สึกยินดีตอนได้ยินเจ้าตัวระบายความรู้สึกออกมา
“กลืนน้ำลายตัวเองแล้วยังไง มันก็ดีไม่ใช่เหรอที่คุณยอมรับในตัวเอง” พูดไปสองมือก็ลูบหลังอีกฝ่ายไป เข้าใจดีว่าบางครั้งคนเราก็มักสับสนในตัวเอง ยิ่งเป็นชยินที่เป็นศิลปินด้วยแล้วก็ยิ่งอ่อนไหวกว่าคนปกติเป็นเท่าตัว
“ผมไม่เข้าใจว่าความรู้สึกชอบที่มีให้คุณมันจริงหรือเปล่า บางทีผมอาจจะหลงไปกับความแสนดีของคุณเท่านั้น”
“ลองดูมั้ยล่ะ เปิดใจหน่อย คุณจะได้รู้ว่าชอบจริงหรือแค่อยากชอบ”
ชยินเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมตรงๆ ดวงตาของเขามุ่งมั่น ซึ่งมันทำให้ผมต้องจริงจังกับบทสนทนาครั้งนี้ไปด้วย
“แล้วถ้าเกิดผมชอบคุณจริงล่ะ”
“เราก็มาคบกัน”
“แต่ถ้าคำตอบออกมาว่าไม่ใช่ คุณจะทำยังไง”
“ไม่ทำไง”
“...”
“ก็แค่รักคุณข้างเดียวต่อไป”
เท่านั้นเอง...
ความงอแงของชยินทำให้ผมไม่อยากไปไหน นอกจากนั่งเป็นเพื่อนอีกฝ่ายจนเวลาล่วงเลยเกือบแปดโมงเช้า ซึ่งมันควรเป็นช่วงที่เราต้องนอนกันทั้งคู่
ดวงตาสองข้างของคนตรงหน้าเริ่มปิด เอาแต่นั่งสัปหงกอยู่ตรงโซฟา ขณะที่ผมก็เอาแต่เฝ้ามองอย่างไม่รู้สึกเบื่อ นานเหมือนกันกว่าจะรู้ตัวว่าควรปล่อยให้เขาได้พักผ่อนสักที
“ง่วงก็ไปนอนได้แล้ว” ชยินหันมามองผมนิ่งๆ เม้มริมฝีปากเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าผมนอนแล้วคุณล่ะ”
“กลับห้องไง”
“แล้วคุณยังจะมาเจอผมอีกใช่มั้ย” ผมหลุดหัวเราะทันควัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งสองครั้งที่เจ้าตัวเลือกถามย้ำประโยคนี้ แต่เป็นนับครั้งไม่ถ้วนต่างหาก
“มาสิ”
“ถ้าคุณอยากได้รับโอกาสจากผมคุณต้องมานะ”
เด็กน้อยเอ๊ย ขี้ยั่วฉิบหายเลยว่ะ
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ตอนเย็นว่างมั้ย” ผมสังเกตสีหน้าของชยินครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ผมนัดกับพี่ที่ร้านสักไว้ ว่าจะเข้าไปเติมลายนิดหน่อย คุณไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
“ในเมื่อคุณชวนผมก็จะไป”
“งั้นตอนห้าโมงเย็นผมออกมารับนะ”
“อืม” เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนผมจะอดใจไม่ไหวยกมือขึ้นยีหัวอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
เราพูดกันอีกเล็กน้อยจากนั้นก็แยกย้าย ต่างคนต่างใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพักผ่อน รอจนกระทั่งเวลานัดหมายมาถึงผมถึงได้เห็นชยินเดินลงมาจากคอนโด ก้มหน้าก้มตาเข้ามาภายในรถ ดูก็รู้แล้วว่าตาสองข้างบวมปูดเป็นลูกมะนาวขนาดไหน แต่ก็ไม่อยากทักเพราะกลัวเด็กน้อยจะงอนใส่อีกรอบ
“นอนพอมั้ย” ผมถามพลางสตาร์ทรถ
“พอดีนอนไม่ตรงเวลาตาเลยบวมนิดหน่อย” ผมนึกขำอยู่ในใจ ดูหาคำแก้ตัวเข้า ไม่ใช่เพราะร้องไห้หรอกเหรอตาถึงได้เป็นแบบนี้
“ใช่เหรอ”
“เลิกสนใจผมเถอะ สนใจตัวคุณเองดีกว่า จะสักเพิ่มอีกแล้วหรือไง” ในเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง ผมก็คงต้องตามน้ำโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
“ใช่”
“พูดตามตรงนะ ผมเห็นคนที่ได้สักครั้งแรกแล้วก็มักไม่มีใครหยุดแค่ครั้งเดียวอ่ะ เจอกันอีกทีรอยสักคุณอาจจะเต็มคอไปหมด”
“ทำไม หวงผิวผมเหรอ”
“จินตนาการเก่งสินะ ความจริงจะสักตรงไหนหรือมากเท่าไหร่มันก็เรื่องของคุณ เกี่ยวอะไรกับผม”
“นั่นสิ เจอกันเดือนหน้าผมอาจจะสักทั้งตัว อย่าตกใจล่ะ”
“ไม่กลัวว่าวันหนึ่งจะไม่ชอบมันหรือไง ถ้าเผลอเกลียดมันขึ้นมาก็ต้องลำบากลบอีก” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าคนข้างๆ แว๊บหนึ่งก่อนตอบ
“ผมตัดสินใจสักโดยไม่มีความคิดจะลบมัน ถ้าวันหนึ่งไม่ได้รักมันแล้ว ก็ยังดีที่อย่างน้อยเราเคยรัก”
“โคตรคำคมนักเขียน”
“เหมือนความรักไง ถ้าคุณได้ชอบใครจริงๆ ต่อให้เขาแย่แค่ไหนคุณก็จะมองมันเป็นเรื่องที่ดีเสมอ”
“ไม่จริงอ่ะ”
“จริง”
“อย่ามั่ว”
“ไม่มั่ว ขนาดคุณไม่มีเหี้ยอะไรดีเลยผมยังมองว่าคุณวิเศษ”
“ด่ากันขนาดนี้ก็ถีบผมตกรถไปเลยดีกว่า”
“อย่าท้านะ ทำจริง” พูดจบ ไหล่ซ้ายก็ถูกหมัดแน่นๆ พุ่งเข้าใส่อย่างจัง ชยินที่เวลาโมโหหรือเขินอะไรก็มักจะแสดงออกด้วยการทำร้ายร่างกายเนี่ยแหละ แต่อย่าให้กูได้พาขึ้นเตียงนะ พ่อจะทบต้นทบดอกที่เคยทำไว้ให้หมด
ระยะทางจากคอนโดไปร้านสักไม่ไกลมาก ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีผมก็มาถึงร้านของรุ่นพี่เรียบร้อย
“โห กว่าจะมานะมึง” หลังเดินลงจากรถได้ไม่นาน เสียงทุ้มต่ำที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นพี่เจ้าของร้านก็ดังขึ้น ผมเลยโบกมือให้แกเป็นการทักทาย ก่อนหันไปทางชยิน
“ไอ้ฝรั่งนั่นชื่อลี เป็นรุ่นพี่ที่คณะผม”
“อ๋อ”
ลีเป็นลูกครึ่งไทย - อเมริกัน รู้จักกันตั้งแต่ผมเข้าเรียนปีหนึ่ง ด้วยไลฟ์สไตล์และอะไรหลายๆ อย่างที่ตรงกัน ทำให้ผมค่อนข้างสนิทกับอีกฝ่ายพอสมควร
หลังเรียนจบ ลีก็ออกมาทำตามความฝันด้วยการเปิดร้านสักเป็นของตัวเองจนโด่งดังในกลุ่มวัยรุ่นและคนในวงการอาร์ตตัวพ่อ
“ไม่ต้องกลัว รุ่นพี่ผมใจหมาก็จริงแต่มันไม่ทำอะไรคุณหรอก”
ผมคว้ามือของชยินมาจับไว้ แล้วพาเขาเดินเข้าไปภายในร้านซึ่งถูกตกแต่งในสไตล์เรโทรหน่อยๆ ข้าวของหลายอย่างที่อยู่ในร้านเต็มไปด้วยของโบราณแต่ดูคลาสิก ซึ่งแม่งตรงข้ามกับการแต่งตัวของไอ้พี่ลีโดยสิ้นเชิง มันชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น ใช้สีทูโทนแบบน้อยแต่มาก ทว่าร้านกลับรกเหี้ยๆ
“ไงมึง ไม่เจอกันมาพักใหญ่ๆ พาเหยื่อมาเป็นลูกค้าเหรอ” สายตาคมจ้องตรงมายังชยิน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมกระชับฝ่ามือบางนั้นให้แน่นขึ้น
“สงสัยเหยื่อพี่ต้องเป็นคนอื่นละ คนนี้ของผม”
“โห ออกตัวขนาดนี้เลย”
“นี่เพื่อนผมชื่อชยิน” คนตัวเล็กกว่ายกมือไหว้ ก่อนรุ่นพี่ตรงหน้าจะยิ้มรับอย่างเจ้าเล่ห์
“เพื่อนเหรอ ก็นึกว่าแฟน เห็นจับมือถือแขน”
“กลัวเด็กหลงเถอะ”
“โอเคๆ ช่วงเย็นนี้กูมีลูกค้าจองคิวเพิ่มอีกคน เพราะงั้นรีบขึ้นเขียงครับ ส่วนน้องชยินเข้าไปนั่งข้างในด้วยกันนะ เกิดเปลี่ยนใจอยากสักก็บอกพี่ได้ รับรองว่าจะคิดราคาพิเศษแบบคนกันเองเลย”
“เดี๋ยวขอดูก่อนแล้วกันครับ”
ผมยังมีรอยสักที่ต้องเพิ่ม ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ตำแหน่งใหม่บนร่างกายอะไรหรอก แต่เป็นบริเวณข้อมือขวาที่เคยสักตัวเลขค้างไว้ในครั้งนั้น
“สักเลขต่อเลยมั้ย หรือขึ้นบาร์โค้ดให้ครบก่อน” พี่ลีถาม เขารู้อยู่แล้วว่าผมต้องการอย่างไหน และเพื่อจุดประสงค์อะไร
“บาร์โค้ดก่อน”
แถบบาร์โค้ดทุกตัวอักษรจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นเราอาจต้องใช้เวลากันค่อนข้างมากเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด
“แล้ววันนี้จะให้เติมตัวเลขให้ครบเลยมั้ย”
“ไม่”
“ยังไม่ชัวร์อีกเหรอ”
“รอก่อน”
ชยินเอาแต่นั่งมองตาแป๋ว สองคิ้วขมวดปมเล็กน้อยตอนที่ผมกับรุ่นพี่คุยกันในเรื่องที่เขาเองก็คงไม่เข้าใจ และคิดว่าชยินเองก็ไม่ได้อยากเสียมารยาทแทรกถามก่อน ผมจึงเป็นฝ่ายบอกเขาด้วยตัวเอง
“ผมจะสักรูปบาร์โค้ดตรงข้อมือ”
“ทำไมต้องเป็นบาร์โค้ด” เจ้าตัวถามกลับอย่างเร็วรี่
“เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นสินค้า เกิดมาก็เพื่อขายสิ่งที่มีให้กับคนอื่น ขายความภูมิใจให้ครอบครัว ขายความสามารถแลกเงิน ขายผลงานแลกชื่อเสียง ผมมันก็แค่สินค้าที่ทำเงินได้เท่านั้นแหละ”
ใบหน้าของคนฟังหงอลงเล็กน้อย ขณะพึมพำประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว
“คุณไม่ใช่สินค้า”
“...”
“คุณเป็นคนเหี้ย”
“วอนซะละ” หมดกันอารมณ์โรแมนติกที่คิดเอาไว้
“เออเหมาะกันดีว่ะ กวนตีนกันทั้งคู่” แล้วมันก็ต้องมีคนเสือกเข้ามามีส่วนร่วมอยู่ตลอดเวลา เช่นไอ้ช่างสักซึ่งกำลังหยิบแมสก์ปิดปากมาสวมอยู่ตรงหน้านี้
ผมนั่งอยู่ตรงเบาะรอเชือด ส่วนชยินนั่งอยู่ใกล้ๆ และให้ความสนใจกับอุปกรณ์หลายชิ้นที่ถูกทำความสะอาดอย่างดีแล้ว
ลีเริ่มลอกลายตามแบบที่ผมให้มาอย่างตั้งอกตั้งใจ ใช้เวลาไม่นานก่อนจะหยิบเข็มสักขึ้นมาและบรรจงกดลงไปบนข้อมืออย่างชำนาญ ระหว่างนี้ต่างคนก็ต่างชวนกันพูดคุยไปเรื่อยๆ คงมีแต่ชยินล่ะมั้งที่สีหน้าเริ่มซีดลงจนเห็นได้ชัด
“เป็นอะไร” เอ่ยถามอย่างนึกห่วง เดาว่าคงไม่ชินกับอะไรแบบนี้ แม้ครั้งหนึ่งจะปากดีบอกว่าอยากลองไปสักเขาบ้าง
“เลือดคุณออกอ่ะ แล้วคือผม...”
“กลัว?”
คราวนี้เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ทันไรก็ถูกแทรกจากรุ่นพี่ตรงหน้าด้วยความเร็วแสง
“อาการแบบนี้ลูกค้าเคยเป็น หน้าซีด เวียนหัว แล้วก็อ้วกแตกอ้วกแตน คือบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าอ้วกตรงนี้พี่เตะให้ร่วงเลยนะ แขยง!”
เชี่ยยยย หน้าว่าที่เมียเหลือแค่นิ้วครึ่งแล้วเนี่ย และดูเหมือนว่าลีจะรับรู้ด้วย
“โธ่…ขวัญเอ๊ยขวัญมา แค่ล้อเล่นน่า”
ขวัญมันคงไม่มาแล้ว แม่งหายไปเหมือนสติของพี่มึงตอนนี้ไง
“เล่นแรงนะเนี่ยพี่” ชยินยิ้มแหยส่งมาให้
“มีคนเรียกพี่แบบนี้ไม่ชินว่ะ ปกติเรียกแต่ไอ้เหี้ย”
“ก็เหี้ยจริง” ผมสำทับด้วยอีกคน
“ปากดีไอ้ยุค อยากเลือดสาดเหรอ” เก่งแต่ขู่แหละครับ ผมชินแล้วเลยไม่ได้แคร์อะไร จะมีก็แต่คนข้างๆ นี่แหละมั้งที่ดูเหมือนจะตื่นตระหนกไปซะทุกเรื่อง ยิ่งตอนที่เข็มสัมผัสไปบนผิวแล้วทิ้งรอยแดงเอาไว้ เขาก็ยิ่งสูดลมหายใจหนักหน่วงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ็บมั้ยล่ะนั่น” เห็นเงียบอยู่นาน สุดท้ายชยินก็ถามเสียงแผ่ว
“ขอจับมือหน่อย ตอนนี้เจ็บระดับสิบ เนี่ยน้ำตาจะไหลละ”
“ตอแหล” กับเรื่องบางเรื่องนี่เก่งจัง
“หน้ามืดมาก พร้อมเป็นลมได้ทุกเมื่อ”
“เดี๋ยวโทรเรียกหมอให้เตรียมห้องเก็บศพให้”
“ไม่ต้องเรียกหรอก แค่คุณก็พอ” ผมใช้จังหวะที่อีกฝ่ายยังคงอึ้งๆ อยู่ ด้วยการคว้ามือบางมาจับไว้แน่น
ฝ่ามือของชยินอบอุ่น ลื่นมือ พอจับทีไรก็รู้สึกว่าผมเป็นคนโชคดีคนหนึ่งที่บังเอิญได้เจอเขา ในวันที่โคตรจำเจกับชีวิตแสนราบเรียบตลอดหลายปี คนคนนี้เปลี่ยนทุกอย่างให้ดีขึ้น
ลีมองไปเบะปากไปเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้พูดขัด ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ชยินเองก็เช่นกัน เวลาที่ผมจ้องมองเขา ราวกับเห็นเด็กคนหนึ่งที่อายุน้อย เห็นเพื่อนที่อายุเท่ากัน เห็นผู้ใหญ่ที่กำลังมองหาความมั่นคงในชีวิต ทุกอย่างรวมอยู่ในคนที่ชื่อชยินเพียงคนเดียว
แค่นี้ก็พอจะเป็นเหตุผลได้แล้ว ว่าทำไมผมถึงชอบเขามากมายขนาดนี้
ฝ่ามือที่จับผมเริ่มชื้นเหงื่อ นานเข้าก็เลยรู้สึกสงสารกลัวเด็กจะร้อน เลยตั้งท่าจะปล่อยมือ ทว่ายังไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นชยินก็กระชับฝ่ามือของเขาให้แน่นขึ้น
“กลัวจะร้อน” ผมบอกไปยิ้มไป
“ไม่ร้อน ถ้าปล่อยมือผมคุณจะเจ็บนะ”
“ใช่ๆ เจ็บจริงๆ ด้วย” กะอีแค่เข็มสัก มีอะไรระคายผิววะ แต่ในเมื่อคิดจะทำการใหญ่แล้วใจก็ต้องเหี้ยพอสมควร รีบเปลี่ยนเรื่องถามต่อให้ว่อง “เบื่อมั้ย”
“ไม่นะ”
“อยากอ้วกมั้ย”
“ชินแล้ว”
เราอยู่กันแบบนี้อยู่เกือบสองชั่วโมงกว่าจะลงรายละเอียดสิ่งที่ต้องการสักจนเสร็จ ตอนนี้ข้อมือของผมมีบาร์โค้ดครบทุกแถบแล้ว ยังคงขาดเพียงตัวเลขที่ต้องการระบุเท่านั้น ครั้งแรกผมสักเลขหนึ่งทิ้งไว้ก่อน รอก็แต่เวลาว่าจะตัดสินใจมาเพิ่มตัวเลขที่เหลือกเมื่อไหร่เท่านั้น
ตอนอยู่ในห้องชยินนั่งหาวไปแล้วเกือบสิบรอบ ยิ่งเห็นตาปรอยๆ แบบนี้ในใจก็อยากพากลับไปนอนซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะงั้นหลังสักเสร็จผมจึงไม่รอช้าเอ่ยลากับรุ่นพี่แล้วพาชยินกลับทันที
“เดี๋ยวผมแวะซื้อข้าวกล่องให้คุณเก็บไว้กินที่ห้องนะ”
“ทำไมอ่า” เจ้าตัวถามเสียงยานคาง อะไรจะง่วงปานนั้น
“เผื่อกินเสร็จแล้วง่วงก็นอนเลยไง อยู่แบบนี้จะยิ่งฝืนตัวเองเปล่าๆ”
“ไม่นะ”
“อย่าเถียง”
“ไม่ได้เถียง ก็ข้าวกล่องมันไม่อร่อย” เจ้าตัวบ่นอุบอิบ ผมเลยอดไม่ได้รีบละมือจากพวงมาลัยข้างหน้าเพื่อลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มอย่างหมั่นเขี้ยว ชยินปัดออกอย่างไวว่องก่อนตวัดตาขวางใส่
“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ” อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คืออะไรกันแน่ เพราะต่อให้อยากได้อะไร ผมสาบานได้ว่าจะหามาให้ทุกอย่าง
“ผมอยากทำเอง พอดีของสดที่ซื้อมาครั้งก่อนยังเหลืออยู่เยอะมาก และมันก็ใกล้หมดอายุแล้วด้วย”
“อ๋อ แล้วแต่คุณเลย”
“แต่ว่า...แต่ว่าเพราะของสดเยอะ ผมเองก็น่าจะกินคนเดียวไม่หมด”
“อาฮะ” ขานรับไปก็นึกขำในใจไป
“คุณเองก็มากินด้วยกันสิ”
“นี่คือคำชวน?”
“อืม”
“นี่คือการเปิดใจด้วยมั้ย”
“แล้วแต่จะคิด”
“งั้นตกลง มือนี้ขอฝากท้องไว้ที่คุณแล้วกัน”
รถเคลื่อนตัวออกไป ท่ามกลางบรรยากาศเดิมๆ และความราบเรียบของชีวิต ผมมองเห็นความสุขเล็กๆ ที่ถูกจุดขึ้นภายในใจของตัวเอง และเชื่อเหลือเกินว่ามันไม่เพียงเกิดขึ้นกับผม ทว่าในใจของใครบางคนก็รับรู้ได้ถึงมันเช่นกัน
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 11
หัวใจมักวุ่นวาย (เป็นบางครั้ง)
บางครั้งโลกก็แสนวุ่นวาย
บางครั้งชีวิตแสนราบเรียบก็มีสีสันขึ้นมาเพราะใครคนหนึ่ง
และบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอทำอะไรลงไป แต่กลับทำให้คนบางคนยิ้มปากแทบฉีกถึงใบหูเหมือนในตอนนี้
“แต่งงานกัน! แต่งงานกัน! แต่งงานกัน!”
แต่งเชี่ยไรของเมิ๊งงงงงงงง
บอกตามตรงว่าเสียงเพลงที่อึกทึกครึกโครมภายในร้านตอนนี้ ยังไม่สามารถสู้กับเสียงโห่ร้องและเอ่ยแซวที่ดังมาจากโต๊ะของผมได้เลย คือกูไม่รู้ตัวไงว่าเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจไปจนหมดเปลือก แต่เวลาก็ย้อนกลับไปให้แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
เหงื่อเปียกๆ ไหลซึมเต็มฝ่ามือของผม ขณะถูกมือหนาของไอ้ยุคกอบกุมเอาไว้ ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของคนโดยรอบ
ง้างงงงงง ใครก็ได้สูบกูลงนรกที ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีก่อนผมจะหน้าบางไปมากกว่านี้
“กลับมั้ย คุณอาจจะเมาแล้ว” ซึ่งยุคแม่งก็ฉลาดในเรื่องนี้ทุกที เวลาที่ผมเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากอะไรก็ตาม มันจะเป็นคนแรกที่จับมือและพาผมออกไปเสมอ ครั้งนี้ก็ไม่ต่าง
“อือ” ผมพยักหน้าอย่างไม่รีรอ
“งั้นทุกคน คืนนี้ต้องขอพาชยินกลับก่อน” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ
“ง่อววววว ไปไหนกันต่อคร้าบ แอบไปกิ๊กกันสองต่อสองเหรอ”
“เสือกน่า”
“โว้วๆๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้ กลับก่อนเถอะไอ้ชยิน เดี๋ยวยังไงค่อยเจอกันใหม่” ไอ้เบิร์ดพูดพลางปัดมือเป็นเชิงไล่ คือหน้ากูตอนนี้ไม่รับมุกแล้วครับ แม่งอยากจะซุกหน้าเข้าไปในถุงปุ๋ยอย่างเดียว
หลังเอ่ยลาเพื่อนในโต๊ะอย่างลวกๆ ผมก็เดินจ้ำอ้าวตามหลังร่างสูงไปติดๆ ขามาไอ้ริวเป็นคนถ่อไปรับ ขากลับผมก็ยังติดสอยห้อยตามไปกับไอ้นักเขียนฆาตกรรมที่โหดสัดอีก
บรรยากาศในรถเต็มปกคลุมด้วยความเงียบงัน ผมเคาะมือไปบนเข่า พยายามทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ในหัว อะไรที่ผลักดันให้ผมคิดและพูดแบบนั้นออกไป อาจเป็นความสับสนชั่วขณะ หรือเพราะความกดดันที่กำลังเผชิญอยู่ หลายอย่างตีกันจนวุ่นวายและสุดท้ายผมไม่อยากปวดหัวกับมันอีก
หมีใหญ่จะเป็นใครไม่สำคัญแล้ว ก็แค่ความทรงจำช่วงหนึ่ง ผ่านมา จดจำ และก็ผ่านไป หากวันใดวันหนึ่งที่มีโอกาสเจอกันเราก็คงทำได้แค่ยิ้ม แล้วเอ่ยขอบคุณที่เข้ามาทำให้ชีวิตราบเรียบของผมไม่เหงาเหมือนที่ผ่านมา มันมีแค่นั้น
แต่เหตุผลที่ทำให้ผมวิตกกังวลกับเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน คงเป็นเพราะช่วงเวลาก่อน MSN จะหมดอายุ อีกฝ่ายดันบอกชอบผมขึ้นมาซะงั้น
เคยมั้ย...เวลาที่เจอหรือคุยกับใครคนหนึ่ง เราไม่ได้ชอบเขามากหรอก แต่พอเขาบอกว่าชอบเรา แม่งจะรู้สึกดีขึ้นมาทันที ผมเองก็คงไม่ต่างกันนัก
อาจจะหวั่นไหวง่าย อาจจะสับสนงุนงงจนบางทีก็นึกสงสัย...แล้วกับยุคล่ะเป็นความชอบจริงๆ ใช่มั้ย
หรือที่พูดออกไปแบบนั้นเพียงแค่เจ้าตัวเอ่ยชอบออกมา
คำถามนี้ค้างคาอยู่ในใจมาตลอด กระทั่งผมเลือกหาคำตอบด้วยการเปิดใจ อยากรู้เหมือนกันว่าเราจะไปกันได้ไกลแค่ไหน แต่ก่อนอื่นเลยช่วยหาอะไรก็ได้ที่พอจะลดความประหม่าในตอนนี้ให้กูที
แม่งเอ๊ย! คือไอ้ยุคเงียบผมก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วครับ บางทีในใจมันอาจจะล้ออยู่ เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาพักหนึ่งแล้ว
“เป็นอะไรคุณ” ยิ่งคนบ้าจี้อย่างผมด้วยแล้ว มันเลยอดถามออกไปไม่ได้
“เปล่า” ดูมันตอบเข้า
“ก็เห็นคุณยิ้ม”
“ดีใจต่างหาก คุณบอกชอบผม”
“ชะ...ใช่ที่ไหนเล่า มันเรียกว่าการเปิดใจต่างหาก เพราะถ้าเปิดใจแล้วผมก็จะไม่คุยกับคนอื่นอีก มันมีแค่นั้นจริงๆ” พูดออกมายืดยาวขนาดนี้หวังว่าจะเข้าใจนะ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ดีใจอยู่ดี คุณไม่รู้สึกแบบนั้นบ้างเหรอ” เสี้ยวหน้าคมหันมามองผมแว๊บหนึ่งก่อนกลับไปจดจ่อกับถนนตรงหน้า
“ไม่อ่ะ”
“สักวันอาจจะดีใจ”
“ไม่แน่ ต้องดูก่อนว่าเวิร์กหรือเปล่า อย่าลืมนะว่าผมไม่มีความรักมานานแล้ว อีกอย่างคุณก็เป็นผู้ชายด้วย มันยังมีอะไรอีกเยอะแยะที่ต้องเรียนรู้”
“ผมก็เหมือนกัน เหมือนคุณทุกอย่าง เพราะงั้นเรามาเรียนรู้ด้วยกันเถอะ”
เหมือนวิชาภาษาไทยที่ครูผ่องศรีเคยสอน เรามาเรียนรู้กันเถอะค่ะนักเรียน ถุย!
“อืม ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”
“ฝากตัวด้วยนะชยิน”
“เหมืนกัน”
อยากรู้เหลือเกินว่าชีวิตนักแต่งเพลงกากๆ กับนักเขียนในคราบนักฆ่าอย่างมันจะเป็นยังไง บางทีอาจจะดี หรือบางทีอาจจะพังพินาศ ผมขจัดความกลัวออกไปจากใจจนหมดแล้ว ไม่ว่าจะยังไง ดีหรือร้าย สมหวังหรือเจ็บปวด เราต่างก็ต้องยอมรับมันเมื่อได้รับคำตอบในที่สุด
ยุคมาส่งผมถึงหน้าห้อง จากนั้นมันก็กลับออกไป ปล่อยให้ผมทิ้งตัวลงนอนได้ไม่นานประตูห้องก็ถูกเคาะอีกรอบ คิ้วสองข้างขมวดปมอย่างสงสัย แม่งเสือกลืมอะไรอีกวะ คิดไปก็ลากเท้ากลับไปยังหน้าประตู ไม่นึกเลยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้จะไม่ใช่ไอ้ยุค แต่เป็นไอ้ริว
“มาได้ไงวะ” ไอ้ริวยืนนิ่ง ส่งยิ้มหล่อๆ ของมันมาให้ก่อนตอบ
“กูมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับมึงอ่ะ ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย”
ผมเกาหัวแกรกแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาภายใน ร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟา ขณะที่กูนั้นรีบกุลีกุจอเก็บเศษซากอารยธรรมเกลื่อนพื้นอยู่พักใหญ่
“โทษทีนะกูไม่ค่อยได้เก็บห้อง” ตอนมารับมันก็อยู่ข้างล่างรอไง ไม่ได้มาเห็นสภาพแบบนี้เหมือนไอ้ยุค
ซึ่ง...อีกฝ่ายก็คงชินกับภาพพวกนี้ไปแล้ว แต่กับไอ้ริวมันไม่ใช่ไง
“ไม่เป็นไรเลย”
“หิวน้ำมั้ย เดี๋ยวรอแป๊บนะ” ไม่รอฟังคำตอบผมรีบพุ่งตรงไปยังตู้เย็น เปิดเอาน้ำดื่มออกมาเสิร์ฟแขกของห้องอย่างเร็วรี่
“ชยินมึงไม่ต้องเกรงใจกูขนาดนั้น” เสียงของไอ้ริวทำให้ผมชะงักมือ ปล่อยขวดน้ำลงกลางโต๊ะและหันไปมองคนพูดครู่หนึ่ง
“ก็มึงมาห้องกูทั้งทีนี่”
“มาคุยกันหน่อย กูมีเรื่องสำคัญจะบอกกับมึง” คราวนี้มึนกว่าเก่าอีกสัด ด้วยความขี้เสือกประมาณนึงผมจึงสาวเท้าไปยังโซฟาตัวเก่ากลางใหม่ แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวสูงกว่าอย่างสงบเสงี่ยม
“มีอะไรหรือเปล่าวะ” ดึกดื่นป่านนี้ยังลากสังขารมาหากันได้ คิดว่าคงสำคัญไม่น้อย
“มึง...ชอบไอ้ยุคจริงๆ เหรอ”
เชี่ย! คำถามห่าอะไรวะเนี่ย
“มึงเป็นอะไรวะริว ทำไมถึงถามเรื่องนี้ได้”
“ตอบมาเถอะน่า”
“กูยังไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง อาจจะ...ลองดูกันไปเรื่อยๆ มั้ง”
“งั้นถามหน่อย มึงเข้าใจว่ากูเป็นคนที่มึงคุยด้วยใน MSN นี่เลยเป็นเหตุผลที่มึงออกมาเจอกูแล้วไปนั่นไปนี่ด้วยกันใช่มั้ย”
คำถามนี้เล่นเอาผมสตั๊นไปหลายวินาที รู้สึกผิดขึ้นมาเลยไอ้เหี้ย
“กูขอโทษว่ะริว แต่ส่วนหนึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ กูแย่มาก เข้าใจว่าเราสนิทกันมาก่อนแล้วก็เลย...” ผมพูดไม่ออก ขณะคนเคียงข้างเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ไม่ๆ กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น คือที่มาเนี่ยแค่อยากถามให้แน่ใจ แล้วก็มีเรื่องที่อยากบอกกับมึง”
“อือ”
“กูไม่ใช่หมีใหญ่อะไรนั่นของมึง แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่กูก็ชอบมึงไม่ต่างจากไอ้ยุคหรอก”
“ฮะ! มึงวะ...ว่าไงนะ”
บอกตามตรง หากมันยังคงเป็นหมีใหญ่ผมคงไม่ตกใจเท่านี้ เพราะที่ผ่านมาผมก็คิดเองเออเองไปหมดทุกอย่าง ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งไอ้ริวจะมาบอกชอบกันจริงๆ
ตอนแรกคิดว่าชีวิตผมจะมีผู้ชายเข้ามาป้วนเปี้ยนให้ปวดหัวเล่นแค่สองคน นั่นคือไอ้ยุคกับหมีใหญ่ แต่คราวนี้ดันพ่วงไอ้ริวเข้ามาในวงจรอุบาทว์ด้วยนี่สิ
ฮอตไม่ดูเวล่ำเวลาเลยไอ้ชยิน ไอ้เวร!
เงินในบัญชีทำไมไม่เข้ามาบ่อยเหมือนความรักบ้าง แถมโผล่มาทีก็เล่นเอาปวดหัวฉิบหาย
“กูชอบมึง”
“ล้อเล่นหรือเปล่าวะ คือถ้ามึงเข้าใจผิดจากการกระทำที่ผ่านมาของกู กูขอโทษจริงๆ”
“กูรู้ตัวเองดี และก็เข้าใจมึงด้วย หลายครั้งที่เหมือนมึงมีใจแต่สุดท้ายกูก็ได้คำตอบว่าไม่ใช่ เพราะงั้นกูเลยขอโอกาสกับมึงเหมือนที่ไอ้ยุคได้รับ” มนุษย์บนโลกที่ผมรู้จักต้องตรงเผงทุกคนเลยป่ะวะ
บางทีอ้อมค้อมบ้างก็ได้ กูไม่โกรธหรอก มาแบบนี้มันตั้งตัวไม่ทันไง ทุกสิ่งที่อยู่ในหัวพรั่งพรูออกมาไม่รู้จบ ทว่าผมก็คงพูดได้แค่...
“ริว ความจริงแล้วกูถามตัวเองหลายครั้งว่าคิดยังไงกับมึง ไม่ว่าจะตอนที่ปักใจเชื่อว่ามึงเป็นหมีใหญ่หรือไม่ได้เป็น สุดท้ายแล้วกูก็ได้คำตอบเหมือนเดิมคือเป็นเพื่อนกันน่ะดีที่สุดแล้ว”
“เรายังไม่มีเวลาศึกษากันเลย มึงแม่งก็ตัดสินกูซะละ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันไม่ถูกต้อง”
“ยังไงที่เรียกว่าไม่ถูกต้องวะ”
“กูไม่ชอบคุยกับใครหลายๆ คน คนปกติเขาไม่ทำกัน”
“ตราบใดที่มึงยังไม่คบใคร มึงก็มีสิทธิ์จะทำแบบนั้นเว้ยชยิน”
“แต่ว่า...”
“มึงทำได้ เดี๋ยวกูคุยกับไอ้ยุคเอง คนเราควรมีสิทธิ์เลือกป่ะวะ”
“มันไม่ปกติว่ะริว ทุกคนมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีหรือเหมาะสมที่สุดให้ตัวเองอันนี้กูรู้ดี แต่บางครั้งมันไม่ใช่ว่าเราจะเลือกโดยไม่แคร์อะไรเลย ไอ้ยุคมาขอโอกาสจากกูก่อน แล้วกูก็บอกแล้วว่าจะเปิดใจ ถ้าวันไหนที่ไปกันไม่รอดกูถึงจะเริ่มกับคนใหม่ ถึงตอนนั้น...”
ผมหยุดพูดไปอึดใจหนึ่ง จ้องมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้า “มึงรอได้มั้ยล่ะ”
“กูรอได้” คำตอบนั้นหนักแน่นจนผมเริ่มหนักใจ
ไม่ใช่ไอ้ริวไม่ดี แต่มันไม่ใช่จังหวะและเวลาของมัน
พูดเหมือนคนเลือกได้เนาะ แต่ถามหน่อยเถอะ ไม่มีผู้หญิงสักคนหลุดมาให้กูเลือกแบบนี้เลยเหรอวะ หรือจริงๆ แล้วโชคชะตาต้องการกำหนดให้ผมได้รักกับผู้ชายสักคนมากกว่า งงในงงเว่อร์
“บางทีมึงอาจจะต้องรอโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย”
“กูก็ยินดี”
“ไม่อยากให้มึงต้องเสียเวลาเลยว่ะ กับความรู้สึกกูตอนนี้มึงเป็นแค่เพื่อนจริงๆ”
“กูไม่ได้เสียเวลาเลยสักนิด ยังมีเวลาอีกเยอะเพื่อรอโอกาสจากมึง”
“...” เดดแอร์เลยครับ
“งั้นตามนี้นะ กูจะรอวันที่ได้รับโอกาสจากมึง แต่ถึงไม่ได้กูก็จะรอคำตอบในวันนั้นอยู่ดี”
เรื่องจบลงตรงที่ไอ้ริวมัดมือชกทุกอย่าง และปิดประเด็นด้วยการเดินออกห้องไป ทิ้งความหนักอึ้งเอาไว้ให้กับมนุษย์แกลบอย่างผม จนต้องเผลอเอาตีนก่ายหน้าผากหนักหน่วงกว่าทุกคืน
มันไม่ง่ายหรอกที่จะรักใครสักคน
แล้วมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันที่เราจะเลือกคนๆ หนึ่งโดยที่อีกคนไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ผมต้องส่งเพื่อนรักขึ้นเครื่องเพื่อกลับไปหาเมีย
ใจหายขึ้นมาเลยว่ะ ตอนมันไม่อยู่ทุกอย่างก็คงเงียบเหงากว่าเดิมเป็นเท่าตัว ยังจำวันแรกตอนที่แม่งแวะมาหาที่ห้องได้อยู่เลย กระเป๋าสตางค์ยี่ห้อ Coach กูยังใช้อยู่นะ แถม MSN ของมันก็คงเป็นเรื่องเล่าในชีวิตของผมไปอีกนาน
ซุปเปอร์เนิร์ดที่เป็นทุกอย่างของผม กำลังเดินทางไกลอีกแล้ว กว่าจะเจอกันอีกทีก็หนึ่งถึงสองปีข้างหน้าโน่น
เพื่อนที่ดีอย่างมันไม่ใช่จะหากันง่ายๆ ยิ่งคนขี้เหงาและเพื่อนไม่เอาอย่างผมยิ่งแล้วใหญ่ จะกลับไปหาเพื่อนมหา’ลัยเขาก็มีงานมีการทำเป็นเวลา หรือจะให้ติดต่อหาเพื่อนสมัยเด็กนี่ยิ่งหนัก ผมไม่ชอบขี้หน้าแม่งเลย ครั้งหนึ่งพวกมันเคยแย่งกล้วยบวชชีของผมไปกินตอนอยู่เนอสเซอรี่ บอกตามตรง กูฝังใจมาจนทุกวันนี้
“ฮือออออออ”
“ร้องไห้ทำเหี้ยไรเนี่ย” กูล่ะหมดมู้ดทันทีที่ไอ้เพื่อนเลวนี้พูดขึ้น
“มึงไม่อยู่กูก็เหงาดิวะ”
“มึงจะไม่เหงา ฝากชยินด้วยนะ” ท้ายประโยคมันหันไปหาคนตัวสูงอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และใช่! ไอ้ยุคมากับผมด้วย เรามาส่งเพื่อนรักด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศน้ำเน่าสัดๆ
“จะดูแลเป็นอย่างดี” แล้วดูคำตอบของไอ้ยุคครับ เล่นเอากูขนลุกขนชันขึ้นมาฉับพลัน
“เมื่อไหร่มึงจะกลับมาอีก”
“ปีหน้าอาจจะมา รอดูจังหวะก่อน”
“แล้วกลับมาอยู่ถาวรล่ะเมื่อไหร่”
“ตอนแก่โน่นจ้า” ดูจากสภาพหนังหน้าและกิริยามึงแล้ว ไม่ได้ตายแก่ชัวร์
“กูคงคิดถึงมึงมากว่ะเบิร์ด และคงเหงาฉิบหาย”
“เชื่อสิว่ามึงจะไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว แต่อาจจะเครียดเรื่องไม่มีเงินจนนอนไม่หลับแทน”
“แช่งกูไอ้สัด ยิ่งปีชงอยู่ด้วย”
“เออท่าจะจริง ชงเข้มซะขนาดนี้” พูดไปสายตาก็เหลือบมองไอ้ยุคไป เผื่อมึงยังไม่รู้นะเบิร์ด นอกจากไอ้ยุคแล้วไอ้ริวก็ยังตามเข้ามาผสมโรงชงจนวุ่นวายด้วยอีกคน
“เดี๋ยวกูว่าต้องเข้าเกตแล้วว่ะ” สิ้นสุดคำพูดของเพื่อนเมพ ผมก็โผเข้าไปกอดคอมันทันที
ใจหายโว้ยยยยยยยยย
“เป็นหมาเหรอชยิน ปล่อยกูไอ้สัด”
“กูไม่ให้มึงไป โทรบอกเมียมึงเลยว่าจะอยู่ที่นี่ ให้เมียมึงตามมา”
“ห่าอะไรของมึง กูคิดถึงเมีย”
“มึงไม่คิดถึงกูเหรอ”
“มึงไม่ได้สำคัญกับกูขนาดนั้น”
โฮร่ลลลลลลลล ร้องไห้น้ำตาเป็นสายไหม
“กูจะทำเรื่องขอให้ทรัมป์ส่งมึงกลับไทย ข้อหาลอกเลียนโปรแกรมของของไมโครซอฟท์”
“ยิ่งใหญ่จังเลยนะมึงเนี่ย” ไอ้เบิร์ดลากกระเป๋ามาตามทาง โดยมีผมเกาะหลังมันไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดปล่อย
เราอยู่ห่างจากเกตพอสมควร เลยใช้เวลาเดินไปบ่นไปไม่หยุดหย่อน คือกูจะงอแงใครก็ห้ามไม่ได้ ขนาดไอ้ยุคยังไม่กล้าปริปากเลย มีแต่ไอ้เบิร์ดเนี่ยแหละที่เอาแต่สาปแช่งผมทุกวินาที
“เดี๋ยวกูก็กลับมามั้ย แต่ถ้าคิดถึงก็ช่วยส่งลาบหมูไปให้ที่เมกาหน่อยดิ”
“ไม่!!”
“งั้นกูก็ไม่กลับมาแล้วจ้า”
“เออๆ กูจะส่งลาบหมูแช่แข็งไปให้เลย ถึงแล้วติดต่อหากูบ้างนะ”
“จะลืมได้ไง ไปละ” เราหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเกต จู่ๆ หัวใจก็วูบโหวงขึ้นมาดื้อๆ กระบอกตาร้อนผ่าว มือสั่นเทาราวกับกลัวว่าตัวเองจะสูญเสียอะไรบางอย่างไปซึ่งมันก็จริง...
เบิร์ดไม่อยู่แล้ว คนเหงาที่ไม่มีใครเข้าใจกำลังจะกลับมา
“โชคดีชยิน” เพื่อนรักโบกมือลา ผมกับไอ้ยุคก็โบกมือตามหยอยๆ
“โชคดี”
ทำได้แค่มองดูแผ่นหลังของมันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนสุดสายตา ผมไม่คิดว่าจะทำใจกับอะไรพวกนี้ได้มากนัก หากวันหนึ่งคนที่เคยอยู่กับเราเดินจากไป ผมจะเป็นยังไงวะ
“ร้องไห้ทำไม ไม่ร้อง โตๆ กันแล้ว” ไอ้ยุคเอ่ยปลอบผมก่อนดึงตัวเข้าไปกอดราวกับกูเป็นเด็ก และมันก็แปลกมากที่ผมยอมให้เจ้าตัวได้ทำตามใจโดยไม่นึกเถียง
ช่างเป็นซีนที่โลกนี้ต้องจารึก นักแต่งเพลงและนักเขียนกากๆ สองคนยืนกอดกันหน้าเกต ท่ามกลางสายตาของเจ้าหน้าที่ที่มองกลับมาเป็นเชิงถาม...
อะไรของมันวะ?
คล้อยหลังซุปเปอร์เนิร์ดได้ไม่นาน ผมกับไอ้ศตวรรษก็แวะหาร้านข้าวประทังกระเพาะแถวๆ สนามบิน เราสั่งฟาสต์ฟู้ดแดกง่ายๆ คนละอย่าง ใช้เวลากินไปคุยไปตามประสาจนกระทั่งสังเกตเห็นสายตาคมเข้มที่เพ่งมองไปยังอะไรสักอย่างซึ่งอยู่ด้านหลังของผมอยู่บ่อยครั้ง
ด้วยความอยากรู้จึงเห็นไปมองบ้าง เลยได้เห็นผู้ชายหน้าตาดีเหี้ยๆ คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่กับเพื่อน
“รู้จักกันเหรอ” ผมถาม น้ำเสียงแข็งกระด้างจนรู้สึกได้
“เปล่า”
“แล้วคุณมองทำไมอ่ะ หรือชอบ”
“เปล่า”
“ไม่เข้าใจอ่ะ ช่วยตอบให้กระจ่างหน่อย”
“แค่คิดว่าทรงผมนั้นน่ารักดี ถ้าคุณตัดมันคงเหมาะมาก”
“เหอะ! ผมไม่มีความคิดที่จะทำอะไรเหมือนคนอื่นหรอก” แม้ช่วงนี้ผมจะเริ่มยาวจนแทบปิดตาแล้วก็ตาม
“ก็ดีแล้ว คุณเป็นแบบไหนมันก็ดีทั้งนั้นแหละ”
อยากปาเบอร์เกอร์ทิ้งแล้ววิ่งเข้าส้วมเพื่อไปอ้วกเลยจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเสียดายเพราะความจนอ่ะนะ
“เดี๋ยวคุณไปไหนต่อ” ผมไม่เล่นไปตามเกมของอีกฝ่าย แต่พยายามเบี่ยงประเด็นเพื่อคุยเรื่องอื่นแทน
“ปั่นต้นฉบับ คุณล่ะอยากไปไหนมั้ย”
“ไม่ ผมเองก็ยังมีโปรเจ็กต์เพลงที่ต้องแต่งอีกเพลงนึง”
“งั้นกลับห้องมั้ย”
“อืม...” แม้ลึกๆ จะยังไม่อยากกลับเท่าไหร่ ไม่รู้สิ บางทีสิ่งที่ต้องการอาจไม่ใช่การออกไปข้างนอกหรือแช่อยู่ในห้อง แต่เป็นความรู้สึกที่ว่าเราอยากมีใครสักคนทำอะไรด้วยในตอนนั้นมากกว่า
“แล้วรีบหรือเปล่า” เสียงทุ้มปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ชั่วครู่
“หมายถึงอะไร”
“แต่งเพลง”
“ไม่เท่าไหร่ งานไม่เร่ง แต่งไปเรื่อยๆ”
“คืนนี้ไปนั่งแต่งเพลงที่ห้องผมมั้ย เดี๋ยวแวะไปรับ” หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาเฉย
“ไม่ต้อง”
“ไม่อยากมาเหรอ”
“ใช่ที่ไหนล่ะ แค่จะบอกว่าไม่ต้องมารับ”
“...”
“เดี๋ยวไปเอง”
นี่ไม่ได้เรียกว่าให้ความหวังหรอกนะ ก็แค่...ก็แค่...
ก่อนที่จะไปหาไอ้ศตวรรษ ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกระดิกเท้าฆ่าเวลาอยู่ที่ห้องหรอก แต่เปลี่ยนเป็นรีบติดต่อหาใครคนหนึ่งที่รู้จักกันพอสมควรแทน พอได้ยินคำว่า ‘ว่าง’ จากปลายสายผมก็ไม่รอช้านั่งรถไฟฟ้าไปอีกสองสถานีจนถึงหน้าร้าน
“น้องชยิน ไม่เจอกันนานเลย” รุ่นพี่สาวประเภทสองที่เป็นเจ้าของร้านเดินมาต้อนรับถึงที่
“ครับ ไม่ได้เจอกันนาน” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“แล้ววันนี้จะตัด สระ ไดร์ หรือทำสีผมเอ่ย”
“คือ...ตัดผมครับ”
“แบบไหนคะ เดี๋ยวนั่งโซฟาก่อน” เจ้าตัวผายมือไปยังโซฟาตัวหรูสีดำ ก่อนผมจะเดินเข้าไปนั่งพร้อมหยิบมือถือขึ้นมา
คือกูหืดจับมากครับกับการเซิร์ชหาทรงผมของผู้ชายที่อยู่ในสนามบิน จะให้อธิบายก็ยาก จะให้วาดออกมาฝีมือก็ง่อยอีกนั่นแหละ ดังนั้น Google จึงเหมือนเป็นทางออกสุดท้าย
‘ทรงผมผู้ชายน่ารักๆ” กูเกลียดคำนี้มาก แต่แม่งก็ต้องหา
แล้วเสือกเจอด้วยไง!
แถมเหมือนผู้ชายคนนั้นเป๊ะ
“เอาตามรูปนี้เลยครับ” ผมยื่นมือถือให้คนตรงหน้า
“โอ้วดีมากค่า อันนี้ก็ตัดผมหน้าขึ้นนิดหน่อยเนาะ ส่วนข้างหลังก็ซอยให้สั้นลง ทรงนี้วัยรุ่นตัดกันเยอะ น่ารักมากจริงๆ เข้ากับรูปหน้าชยินด้วย เกาหลีมั่กมากค่ะ”
นั่งฟังคำสาธยายอะไรต่อมิอะไรไปสักพัก ผมก็ถูกจับขึ้นเขียง ทั้งตัด ซอย แบตเตอร์เลี่ยนไถกรุยจนเส้นผมที่อยู่บนหัวหายไปเยอะโข ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
“เสร็จแล้วค่า หุยยยย หล่อน่ารักเลย”
ส่องตัวเองในกระจกมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไมเกิดมาหน้าตาดีขนาดนี้วะเนี่ย
“เท่าไหร่ครับ”
“หกร้อยค่า เดี๋ยวก่อนไปขอถ่ายรูปลงเพจร้านหน่อยได้มั้ยคะ”
“ครับ”
ผมยืนนิ่งปล่อยให้แกและเด็กในร้านจัดท่าจัดทางให้ พอถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลากลับไปต้มมาม่าแดกเพราะไม่มีตังค์ซื้อข้าวกิน ก่อนจะนอนมองดูนาฬิกาที่หมุนไปเรื่อยๆ เพื่อรอจนกว่าจะถึงเวลานัดหมาย
สองทุ่ม...เมื่อไหร่จะสองทุ่ม
ลืมสิ้นแล้วเรื่องไอ้เบิร์ด นึกเสียดายน้ำตาที่ร้องให้มันตอนกลางวันฉิบหายเลย
กริ๊งงงงงงง
เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นห้อง ผมดีดตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วคว้าถุงผ้าลงไปยังชั้นล่างทันที คาดว่าพอไปถึงห้องไอ้ยุคก็อาจจะเลทนิดหน่อย แต่มันดีแล้วเพราะจะได้ดูไม่จงใจเกินไปนัก แม้ในใจกูนั้นแทบจะพุ่งตัวถึงห้องมันตั้งแต่ตัดผมเสร็จแล้วก็ตาม
ผมนั่งรอคนตัวสูงอยู่ตรงล็อบบี้ ไม่นานคนที่รอคอยก็เดินลงมาพร้อมส่งยิ้มกว้างมาให้ ผมเกาท้ายทอยแก้เขิน ไม่รู้แม้กระทั่งจะวางมือไว้ตรงไหนอ่ะคิดดู
“ดูแปลกตาไปนะ” คำทักทายแรกที่หลุดออกมาจากปากของไอ้ยุค
“เหรอ”
“อืม”
“แบบ...อากาศมันร้อนน่ะ เลยตัดผมออกนิดหน่อย”
“น่ารักดี” เจ้าตัวเอ่ยชม จนกูนี่แทบบิดเป็นผ้าซักใหม่เลยสัด
“คือบังเอิญเดินผ่านหน้าร้านตัดผม ช่างก็แนะนำมา ไม่ได้ตัดตามใครเลยจริงๆ”
“คุณไม่ได้ตามใครหรอกชยิน คุณเป็นคุณ ถึงจะมีคนตัดทรงเดียวกับคุณเป็นร้อย คุณก็น่ารักที่สุดอยู่ดี”
บึ้ม!!
คำพูดมึงเหมือนมีดสับหัวใจกูได้ละเอียดลออมาก
“ขึ้นไปข้างบนเลยมั้ย”
“อือ” ผมพยักหน้าเดินตามร่างสูงไปต้อยๆ และทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดเข้าไป บรรยากาศเดิมๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้ง ในห้องที่เตียงนอนห้อมล้อมไปด้วยตู้หนังสือ โต๊ะทำงานแสนรกแต่กลับมองดูเพลินตาไปอีกแบบ แถมยังมีกลิ่นอบอวลแสดงถึงตัวตนของคนเป็นเจ้าของ ซึ่งคงหาไม่ได้จากที่ไหน เพราะมันมีแค่ที่เดียว
“ผมขอนั่งพื้นได้มั้ย ตอนแต่งเพลงผมชอบนั่งพื้น”
“ไปนั่งบนเตียงไป พื้นมันเย็นมากเดี๋ยวขาจะชาเอา”
ผมไม่ได้ปฏิเสธ เดินตรงดิ่งไปที่เตียงหลังใหญ่ก่อนเทกระจาดของทุกอย่างในถุงผ้าออกมา การมาห้องของไอ้ยุคหลายๆ ครั้งทำให้ผมรู้ว่ามันมีสมบัติล้ำค่าเก็บเอาไว้อีกชิ้นหนึ่ง นั่นคือกีตาร์ นี่เลยเป็นเหตุผลที่ผมไม่พกของตัวเองมาด้วย
“คุณ ผมขอยืมกีตาร์หน่อยสิ” เอ่ยออกไปครู่เดียว ใบหน้าหล่อเหลาก็ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหมุนเก้าอี้หันมองผมนิ่งๆ
“งั้นมานี่สิ”
“คุณวางไว้ตรงไหนเดี๋ยวผมไปหยิบเอง” ครั้งก่อนอยู่ข้างตู้หนังสือ ครั้งนี้ไม่รู้หายไปไหน
“มานี่ก่อน” เสียงทุ้มยังคงเปล่งประโยคเดิม
“ทำไมล่ะ”
“เดินมาใกล้ๆ ผม” ผมไม่สามารถแย้งคำพูดประโยคนั้นได้ นอกจากคลานลงจากเตียงแล้วเดินไปหาคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ในเสี้ยววินาทีนั้นร่างกายก็ถูกรวบไปกอดจนแน่น ใบหน้าคมและจมูกสันโด่งกดลงบนหน้าท้องของผมจนรู้สึกจั๊กจี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายมันเป็นบ้าอะไรของมัน
แต่ที่บ้ายิ่งกว่าคือผมไม่เคยปฏิเสธอะไรได้เลย
“ผมคิดถึงคุณ” เจ้าตัวพูดออกมาตรงๆ จนผมเองก็ได้แต่อึ้ง
“ก็มาเจอแล้วนี่ไง”
“อยากอยู่กับคุณไปตลอด” ความจริงแล้วการอยู่กับไอ้ศตวรรษมันก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน ผมไม่ได้รู้สึกแย่ กลับกัน เพิ่งรู้ว่าความสบายใจมันหาได้ง่ายขนาดนี้
“แต่จะกอดผมตลอดแบบนี้ไม่ได้นะ บอกมาว่ากีตาร์อยู่ไหน ส่วนคุณก็ทำงานต่อไป”
“ผมจะได้อะไรจากการตอบคำถามคุณครับ”
มันมากอีกแล้วววววววววว มาแบบนี้ทีไรแม่งต้องมีข้อแลกเปลี่ยนตลอด
“คะ...คุณก็จะได้เพื่อนนั่งทำงานด้วยไง”
“พูดแล้วนะ”
“โอเค กีตาร์อยู่ข้างทีวีที่ห้องนั่งเล่น” เมื่อได้คำตอบแล้วเจ้าตัวก็ยอมปล่อยมือจากผม ทว่าความอบอุ่นยังคงเกาะกุมร่างกายจนรู้สึกได้อยู่ นี่หรือเปล่าที่หลายคนคิดถึงและโหยหาอ้อมกอด มันเป็นแบบนี้นี่เอง
สองเท้าเดินออกไปด้านนอก จากนั้นก็คว้ากีตาร์กลับเข้ามาดังเดิม คงมีแต่เจ้าของห้องล่ะมั้งที่ดูจะไม่จดจ่อกับการทำงานแต่กำลังพุ่งเป้ามาที่ผมโดยตรง
“มองอะไร ทำไมไม่ปั่นงานครับ” ผมถามเสียงดุขึ้นเล็กน้อย
“ผมบอกว่ากีตาร์อยู่ไหนแล้ว เพราะงั้นผมขอข้อแลกเปลี่ยนที่คุณเสนอมาหน่อย”
“ผมก็ทำอยู่นี่ไง นั่งเป็นเพื่อนทำงานกับคุณ”
“ไม่ใช่แบบนี้”
“ไม่ใช่แบบนี้แล้วแบบไหน”
ไอ้ยุคไม่ตอบแต่อ้าขากว้าง เฮ้ย! เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะนั่น
ห้านาทีต่อมา...
“คุณ อย่าเอาคางมาวางไว้บนหัวผมได้มั้ย” เริ่มบ่นอุบอิบแล้วครับ
“ก็มันสบาย คุณก็ทำงานไปดิ”
อย่างนี้จะให้กูทำได้ยังง้ายยยยยยยยยยยย
นรกบนดินมีจริงนะเนี่ย และวิธีการตกนรกแบบนี้ก็ทำร้ายร่างกายกันสุดๆ ร่างกายของผมทำงานหนักขึ้นจนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าหัวใจอาจจะวายตายในสักวัน
ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวเดียวกับไอ้ยุค โดยมีคนตัวสูงนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง แล้วกูเบื่อมากเวลาที่แม่งเอื้อมมือไปจับแป้นพิมพ์ทำงาน ร่างกายของผมเลยเหมือนถูกล็อกไว้ในวงแขนแกร่งจนขยับไปไหนไม่ได้ แถมหัวกูยังทำหน้าที่เป็นหมอนวางคาให้มันอีกต่างหาก
ซวยของจริง เจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้ แต่งเพลงก็ไม่ได้ ไม่มีสมาธิโว้ยยยยยย
กว่าจะหลุดออกจากพันธนาการของไอ้นักฆ่าได้ ก็ทำเอานั่งง่อยอยู่เกือบชั่วโมงจนเผลอพิงอกแกร่งหลับคาเก้าอี้ไปโดยปริยาย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกอุ้มกลับมาที่เตียงเนี่ยแหละถึงได้ลืมตาขึ้นมา
“นอนได้แล้ว”
“ผมต้องกลับ” ผมบอกเสียงงัวเงีย ภาพตรงหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเพราะยังปรับโฟกัสได้ไม่เต็มที่
“ดึกแล้ว นอนที่นี่เถอะ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“คุณทำให้ผมไม่ได้งาน” เสียงหัวเราะดังตามหลังมาทันที
“คุณไม่ทำเองนะ ผมให้โอกาสคุณทำแล้ว”
“ใครทำได้ก็โคตรเก่งแล้วโว้ย”
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยตื่นขึ้นมาเถียงต่อ”
“อือ...”
จำไม่ได้เหมือนกันว่าประสาทการรับรู้ถูกปิดไปตอนไหน แต่ผมฝัน ฝันเห็นใครคนหนึ่งล้มตัวลงนอนเคียงข้าง กอดผมไว้ในอ้อมกอดของเขาแล้วหลับไปด้วยกัน
เสียงทุ้มนั้นพูดกล่อมอยู่ข้างหู มันวนเวียนแบบนั้นซ้ำๆ ไม่รู้จบ
‘ผมรักคุณชยิน รักคุณ...’
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 12
Find yourself and grow
ตอนนี้ยุคอาจจะโกรธมาก มันคงไม่อยากคุยกับผมหรือเจอหน้ากันอีกแล้ว
ใช่ ผมปากพล่อยเองที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะรู้สึกทนไม่ได้ตอนที่ได้ยินว่าเขาจะไม่ทำทุกอย่างเพื่อผมอีกแล้ว มันเหมือนตัวเรากำลังถูกลดความสำคัญ ผมโคตรจะเห็นแก่ตัว พอได้รับทุกอย่างจากอีกฝ่ายผมก็ยิ่งคาดหวังว่าจะยังได้รับมันเหมือนเดิมหรือมากกว่า
ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งหากเขาไม่หยิบยื่นทุกอย่างให้แล้วผมจะเป็นยังไง
ยุคเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับ ภาพที่แสนเลือนรางสุดท้ายก็จางหายไป เหลือตัวผมเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงประตู บางที...เราอาจต้องการเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะจบลงหรือไปต่อข้างหน้าผมก็พร้อมจะยอมรับ
ลูกบิดประตูถูกหมุน ผมก้าวเท้าเข้าไปภายในห้อง มองดูความจำเจของชีวิตด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ที่ผ่านมาผมก็ใช้ชีวิตแบบเดิมมาตลอด หากแต่วันนี้ในใจกลับว้าวุ่นจนไม่สามารถจัดการได้
“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม” เอ่ยบอกกับตัวเอง
โต๊ะกินข้าวตัวเดิม ตู้เย็นหลังเดิม ข้าวของทุกอย่างก็ไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไหน แต่ทำไม...ความรู้สึกของผมถึงได้เปลี่ยนไป
ผมทำลายความฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัวด้วยการอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตาเพื่อขจัดความรู้สึกแย่ๆ ออกให้หมด ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียง มือข้างหนึ่งคว้ามือถือเอาไว้ จากนั้นก็กดเลื่อนดูข้อความจากไลน์
มีแจ้งเตือนหนึ่งถูกส่งมาเมื่อสิบห้านาทีก่อน แล้วความมัวหมองที่เกาะกุมใจในคราแรกก็สลายหายไป เมื่อชื่อของผู้ส่งนั้นเป็นคนที่ผมคิดถึงมากที่สุด
‘ขอโทษที่ไม่ได้รับโทรศัพท์ แต่ลืมไว้ที่ห้องจริงๆ’
นี่เลยเป็นสาเหตุที่ผมไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้ ปกติยุคไม่ใช่คนขี้ลืม ผมไม่รู้เหตุผลสำหรับการลืมในครั้งนี้ แต่หวังเหลือเกินว่าเขาจะไม่รีบมาหาผมเกินไปจนลืมหมดทุกอย่าง ถ้าเป็นอย่างนั้น...
ผมจะทำยังไง
ทว่าสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวและพอจะทำได้ในตอนนี้ไม่ใช่การถามหาเหตุผลข้ออื่น แต่เป็นการส่งความรู้สึกของตัวเองออกไปตรงๆ
‘ยุค ที่พูดออกไป...ขอโทษนะ’
ผมมีอะไรอยากบอกกับเขาเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ก็ยังรอว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมายังไง ไม่คิดเลยว่าหลังส่งไปแล้ว นอกจากไม่ได้รับการตอบกลับ ยุคยังไม่แม้แต่จะเปิดอ่านมันด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าผมคงนอนไม่หลับแน่ถ้าทุกอย่างยังค้างคาอยู่แบบนี้ เอาแต่พลิกตัวไปมาบนเตียง หยิบมือถือขึ้นมาดูเป็นระยะจนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่เที่ยงคืน ผมยังรอคำตอบอย่างใจจดจ่อ
ไม่ใช่ว่าบล็อกกันไปแล้วหรอกนะ
ตีหนึ่ง...ตีสอง...ตีสาม...
ร่างกายไม่ได้รู้สึกง่วงเลยสักนิด ดวงตาสองข้างยังคงสว่างใสแจ๋ว เนื่องจากกำลังคาดหวังว่าจะได้อ่านข้อความจากใครอีกคน
แต่ไม่มี
ไม่รู้ว่าเผลอหลับคาเตียงไปตั้งแต่ตอนไหน กว่าจะสะดุ้งตื่นอีกทีเวลาก็ปาไปเกือบแปดโมงแล้ว ผมรู้สึกปวดขมับเล็กน้อย เลยเดินสืบเท้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนหาอะไรกิน จากนั้นก็กลับมาเช็กมือถืออีกครั้ง
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม คือไม่มีการเปิดอ่านหรือมีข้อความใดตอบกลับมา ผมทำใจกล้าด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนเลื่อนมือหาเบอร์โทรที่อยู่ในรายชื่อติดต่อ จากนั้นก็กดโทรออกออก
‘ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก...’
ปิดเครื่อง!
เออดี ปล่อยให้กูเป็นบ้าฟุ้งซ่านอยู่ทั้งคืน ในเมื่ออยากจบทุกอย่างไว้แค่นี้ก็เชิญเลย
คิดได้เท่านั้นก็รีบคว้าแล็ปท็อป สมุดเพลง และกีตาร์ขึ้นมา บางทีงานยุ่งก็อาจจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ผมยังเหลือโปรเจ็กต์ที่ไม่ได้เร่งทำจากทางค่ายอยู่ วันนี้ได้ฤกษ์ดีที่ไม่ต้องเอาคำว่าขี้เกียจมาอ้างแล้ว เลยขอใช้โอกาสนี้ทำงานให้เต็มที่
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้าย...ผมไม่ได้อะไรเลย
ไม่มีไอเดียที่จะเขียน ไม่มีแรงจูงใจที่จะทำมัน ผมพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะเขียนเพลงขึ้นมาแต่มันก็เปล่าประโยชน์ ทำได้แค่ทิ้งตัวลงนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น มองดูฝ้าเพดานสีขาวแล้วเอาแต่ถามตัวเองว่าควรทำยังไง อย่างไหนที่ต้องทำในตอนนี้
ซ้ำซาก จำเจ น่าเบื่อ บางครั้งก็หดหู่
กว่าจะลากตัวเองให้ผ่านเวลาแย่ๆ แบบนี้มาได้ก็เข้าสู่วันที่สามแล้ว
วันที่ไม่มีแม้แต่เสียงเคาะประตูหน้าห้อง วันที่ไม่มีคนตัวสูงยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับหนังสือมูราคามิที่โคตรหายาก วันที่ไม่มีโอกาสได้เห็นหมวกแก๊ปสีขาวกับดำยี่ห้อต่างๆ แม้แต่เสื้อผ้าสไตล์นักฆ่าที่ผมมักเบะปากใส่ตลอดเวลาก็ไม่หลงเหลือ
ไม่มี...
เหงา เหงาจนรู้สึกปั่นป่วนในอก ความรู้สึกผีเสื้อบินวนในท้องหายไป มีเพียงความว่างเปล่าและการอยู่คนเดียวเหมือนในอดีตเท่านั้นที่บอกเล่าชีวิตแสนหดหู่นี้เป็นอย่างดี หลายครั้งเหมือนกันที่ผมมักได้รับการติดต่อจากไอ้ริวมาเป็นระยะ แต่ผมก็ทำได้แค่หันไปมอง แล้วปล่อยให้โทรศัพท์สั่นครืดจนกว่าจะดับไป
ผมไม่อยากคุยกับใคร มีคนเดียวที่พอจะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็มีแค่ไอ้ยุคเท่านั้น
“ทำไงดี” ได้แต่ถามตัวเองเป็นรอบที่ล้าน
สุดท้ายผมก็ไม่เคยหาคำตอบได้เลย
ตึ่ง!!
แล้วข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมาในเวลาตีหนึ่ง ร่างกายมีปฏิกิริยาด้วยการชันตัวลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา เลื่อนจอไปยังแอพลิเคชั่นคุ้นตาอย่างตื่นเต้น
แต่ผมก็ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะคนที่หวังกลับกลายเป็นเพื่อนสนิทอย่างไอ้เบิร์ดแทน
‘กูรู้ว่ามึงยังไม่หลับ ตายหรือยัง หรือกำลังยุ่งกับการแต่งเพลงอยู่’
หลังอ่านประโยคตรงหน้าจบ ผมรีบส่งข้อความกลับไปทันที...
‘ขอโทรคุยด้วยได้มั้ย’
ในเสี้ยววินาทีหลังข้อความถูกส่ง เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น ผมกดรับโดยไม่รีรอก่อนกรอกเสียงอ่อยๆ เหมือนหมาโดนทิ้งลงไปจนเพื่อนสายเนิร์ดจับสังเกตได้
[เป็นห่าอะไรวะ] ถึงจะเป็นน้ำเสียงที่ดูแข็งกระด้าง แต่ผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความห่วงใยจากปลายสายอยู่
“กู...ทะเลาะกับยุคว่ะ” ผมไม่เคยมีความลับกับมันอยู่แล้ว มีอะไรก็พูดออกไปตรงๆ เวลามีความสุขก็แชร์กัน เวลาเศร้าผมโยนทุกอย่างให้มันช่วยแบกรับ เพื่อนแบบนี้ไม่มีอีกแล้วครับ
พูดแล้วกูจะร้อง
[โฮลี่ชิท! ทะเลาะอะไรกัน เรื่องที่มึงไม่ยอมครางชื่อมันหรือเปล่า]
“ไม่ตลก” กูแทบปามือถือทิ้ง นี่คิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ตัดสินใจบอกไอ้เบิร์ด
[เออรู้ละว่าเครียดจริง มีอะไรเล่าให้กูฟังได้ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้เลยอ่ะนะ] แค่เป็นผู้ฟังที่ดีก็รู้สึกตื้นตันใจฉิบหายแล้วครับ
“หลายวันก่อนเกิดเรื่องนิดหน่อย กูนัดกับยุคไว้ว่าจะมาเจอกันที่ห้องตอนเย็นๆ แต่ไอ้ริวก็ดันมาชวนกูไปดูหนัง ที่คิดไว้คือยังไงก็กลับมาทันนัดอยู่แล้วก็เลยตอบตกลงไป แต่มีบางอย่างผิดพลาด กูมาไม่ทัน” ท้ายเสียงเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ ตามความรู้สึกผิด
[ไม่ทันนี่ปล่อยให้รอนานมั้ย กูจะได้ประมาณถูก ถ้าไม่มากก็จะช่วยหาวิธีง้อให้]
“มันมารอกูที่ห้องตั้งแต่สี่โมง”
[อ่า แล้วมึงดูหนังกลับมากี่โมง]
“สามทุ่ม”
[สามทุ่ม! มึงบ้าป่ะชยิน] ปลายสายแหกปากลั่นจนผมต้องดึงมือถือออกห่างจากหู
“กูรู้ว่าตัวเองผิด เลยขอโทษและพยายามอธิบาย แต่ไอ้ยุคแม่งก็ไม่ฟังลูกเดียว กูเลยโมโหไล่ให้มันไปพ้นๆ หน้า แบบไม่ต้องมาเจอกันอีกยิ่งดี”
[ฉิบ-หาย-ละ] ไอ้เบิร์ดเน้นย้ำที่ละคำ
มันปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่แทนอยู่พักใหญ่ก่อนจะกระแอ่มไอออกมา ผมรอฟังคำแนะนำของมันอย่างจดจ่อ อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
[คืออย่างนี้นะชยิน ตอนที่ไอ้ริวนัดมึงทำไมถึงได้ตอบตกลงวะ]
“ริวบอกว่าจะมาส่งกูให้ทัน”
[แล้วตอนที่มึงรู้ว่ามันเลยเวลานัดแล้วทำไมมึงถึงยังอยู่ต่อ]
“กูไม่กล้าปฏิเสธมัน กู...”
[มึงไม่กล้าปฏิเสธอันนี้กูเข้าใจ นิสัยมึงอ่ะทำไมจะไม่รู้ มึงกลัวคนอื่นรู้สึกไม่ดีเวลาที่ถูกปฏิเสธใช่มั้ย แต่ถามหน่อยมึงไม่แคร์ไอ้ยุคเลยเหรอว่ามันต้องรอมึงนานแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามึงกำลังทำอะไร ใจคนรออ่ะมันคิดไปสารพัดแหละ] คำพูดของไอ้เบิร์ดทำผมอยากร้องไห้ออกมาอีกรอบ
“กูก็ไม่ได้มีความสุขที่ทำแบบนี้นะเว้ย”
[ใช่ไง ปฏิเสธคนไม่เป็นเองก็ต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองเลือกป่ะวะ แต่ผิดแล้วขอโทษอ่ะดีแล้ว กูรู้ว่ามึงไม่ได้เป็นคนฟอร์มจัดกับคนที่แคร์ขนาดนั้น แต่ที่ไม่เข้าใจคือมึงไล่เขาทำไม]
“มันพูดเหมือนกับว่าจะไม่ทำทุกอย่างเพื่อกูอีกแล้ว จะไม่มาหา จะไม่บอกชอบ จะไม่ชวนไปร้านกาแฟหรือกินข้าวด้วยกัน ซึ่งกูรู้สึกไม่ดี กูยังอยากให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม เลยเผลอพูดท้าทายว่าถ้าไม่อยากทำก็ไปเลย คิดอยู่ตลอดแหละว่ายังไงมันก็คงไม่ไปไหน แต่กูคิดผิดว่ะ”
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของคนทางไกล ก็ตอนนั้นกูควบคุมตัวเองไม่ได้นี่หว่า
[มันมีนะ คนที่รอจะรับทุกอย่างอยู่ตลอดแต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับไปเลย เพราะไม่เคยให้อะไรเขาตอบแทน]
“...” คำพูดนั้นทำผมสะอึก
[มึงเชื่อมั่นว่าเขาต้องรัก ต้องทำทุกอย่างเพื่อมึง ต้องแคร์มึงมาก ผิดแค่ไหนเขาก็ไม่ไปไหน แต่มึงลืมไปหรือเปล่าว่าคนทุกคนมีขีดจำกัดของตัวเองเหมือนกัน]
“กูรู้...กูรู้แต่ไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เบิร์ดกูชอบยุค กูชอบจริงๆ นะ” พูดไปน้ำตาก็ไหลไปจนต้องซบหน้าลงกับหมอน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมต้องเครียดกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เข้ามาในชีวิต เพราะมัวแต่ยึดบรรทัดฐานของสังคม ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง ที่ผ่านมาความรักของผมก็เป็นแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งใครคนหนึ่งเดินเข้ามา เราทำความรู้จักกัน พบปะ กินข้าว และแชร์เรื่องราวต่างๆ มากมาย แม้เป็นเวลาไม่นานนักแต่กลับรู้สึกผูกพัน
ผมถามตัวเองมาตลอด ความชอบคืออะไร ความรักคืออะไร ที่ผ่านมาผมปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อกลับไปเป็นคนที่สังคมคาดหวังอีกครั้ง แล้วอย่างไหนที่ตัวของผมคาดหวังล่ะ
การเข้ามาของผู้ชายแปลกประหลาดคนหนึ่งเปลี่ยนทุกอย่างในโลกของผม โลกที่ไม่ต้องเหงาและโดดเดี่ยว โลกที่มีสีสันและเรื่องราวที่ไม่เคยพบเจอ โลกที่ไม่ต้องเครียดว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเราแล้วปล่อยวางทุกอย่างลง
ผมยอมให้ผู้ชายคนหนึ่งกอดได้ทั้งที่ไม่เคยให้ใครมากอดนอกจากคนในครอบครัว ยอมให้เขาจูบแม้จะรู้สึกขัดๆ แต่กลับมีความรู้สึกซาบซ่านอยู่ในนั้น ยอมทุกอย่างหากอีกฝ่ายต้องการจนคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากให้เป็นและไม่ยอมสูญเสียไป
...ความรัก...
เราทุกคนต่างเรียกมันแบบนั้น
[กูโทรไปเคลียร์ให้มั้ย ทุกอย่างมันจะโอเคเว้ย] หลังต่างคนต่างเงียบไปนาน ไอ้เบิร์ดก็เสนอทางออกให้กับผม แต่นี่ไม่เวิร์กหรอก
“กูอยากจบทุกอย่างด้วยตัวเองมากกว่า แต่การได้คุยกับมึงก็ทำให้กูรู้ว่าตัวเองควรทำยังไง”
[งั้นกูเอาใจช่วย มันจะโอเคเว้ย]
“หวังอยากนั้น ขอบใจมึงมากนะเบิร์ด”
[มึงอย่าร้องไห้ดิสัด]
“ใครร้อง กูไม่ได้ร้อง...” แม้เสียงที่ตอบกลับจะเจือไปด้วยเสียงสะอื้นและน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย
ปล่อยให้ตัวเองได้สงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งถึงวางแผนว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรต่อไป ในเมื่อโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ไลน์ก็ไม่ได้กดอ่าน สิ่งที่ทำได้คงมีแค่การโผล่ไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ
ผมสลัดความกลัวออกไปจนหมด เพื่อพาตัวเองมายืนอยู่ตรงล็อบบี้คอนโดของคนตัวสูง มันแย่หน่อยก็ตรงที่ผมไม่สามารถเข้าไปข้างในได้นอกจากรอเขาลงมา หรือบอกกับพนักงานให้เปิดประตูให้หลังได้รับคำยืนยันจากเจ้าของห้อง
“เอ่อ...ตอนนี้คุณศตวรรษได้ตอบกลับมามั้ยครับ”
ผมเดินไปถามที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง หลังนั่งรอมาเกือบสองชั่วโมง และจิบน้ำดื่มหมดไปแล้วสามแก้วถ้วน
“ที่ห้องยังไม่มีคนรับสาย เดาว่าเจ้าของห้องอาจจะไม่อยู่ค่ะ”
“แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะอยู่ ยังไงรบกวนลองติดต่อกลับไปอีกครั้งนะครับ” รู้ดีว่าได้สร้างความลำบากให้กับคนอื่นแล้ว แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็เรียกผม เธอทำหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยก่อนตอบคำถามอย่างครบถ้วน
“ทางเราได้ติดต่อไปที่ห้อง 2108 แล้ว ทางคุณศตวรรษแจ้งมาว่าไม่สะดวกให้ใครเข้าพบ เพราะฉะนั้นต้องขออภัยด้วยนะคะ” เธอค้อมหัวเล็กน้อย ขณะที่ผมได้แต่ยืนตัวชาอยู่ที่เดิม
“ขะ...ขอบคุณมากครับ” กว่าจะเค้นแต่ละประโยคออกมาได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน ผมเดินออกจากคอนโดในสภาพใกล้เคียงกับคนไร้วิญญาณเต็มแก่ ทุกอย่างที่ผ่านมาจบลงแล้วเหรอ ได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
การรอคอยทรมานแค่ไหนตอนนี้ผมรู้แล้ว จิตใจมันทั้งกระวนกระวายและไม่เป็นสุข ยิ่งเวลาได้รับคำตอบในแบบที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็ยิ่งเจ็บปวดเป็นเท่าตัว ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทนได้ และคงผ่านมันไปไม่ได้ในเร็วๆ นี้แน่
ผมเดินคอตกกลับห้องขณะในหัวครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ความจริงแล้วผมมันก็แค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งเท่านั้นแหละ
แม้พยายามจัดการปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปทีละอย่าง แต่มันก็ยังล้มเหลว วันนี้ยังเคลียร์กับยุคไม่ได้ ส่วนริวผมก็ละอายใจเกินกว่าจะเจอหน้า คนเดียวที่เหลืออยู่เลยมีแค่เจเจ
แน่นอนว่าเราได้เห็นหน้าค่าตากันเพียงครั้งเดียว แต่บทสนทนาทาง MSN ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถึงจะบอกความรู้สึกของตัวเองกับอีกฝ่ายไปตรงๆ แต่เราก็ไม่ได้เคลียร์เรื่องค้างคาใจให้จบตั้งแต่คืนนั้น แถมยุคยังพาผมหนีกลับซะก่อน ความสัมพันธ์ของเราเลยคาราคาซังมาจนทุกวันนี้
ผมโทรหาไอ้เบิร์ดเพื่อขอเบอร์เจเจ จากนั้นก็นัดแนะอีกฝ่ายมาเจอในวันรุ่งขึ้น
“ชยิน” เสียงของใครคนหนึ่งร้องเรียก ผมหันขวับไปทางต้นเสียงนั้นก่อนทักทายกลับ
“หมีใหญ่”
ใช่ หมีใหญ่มาแล้ว แถมมาซะตรงเวลาเป๊ะ
“เรียกเจเถอะ ฟังชื่อหมีใหญ่แล้วมันเขินยังไงก็ไม่รู้” เจ้าตัวเอ่ยตอบ จากนั้นก็ย้ายก้นมานั่งยังฝั่งตรงข้ามของผมด้วยรอยยิ้ม
แปลกดี ขนาดคนที่รู้สึกดีเวลาที่เล่น MSN ด้วยกันครั้งนั้น ทำไมตอนนี้ถึงไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลยนอกจากดีใจที่ได้เจอกัน
“ไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่วันนั้น”
“เอ่อ...อืม นั่นสิ” พูดแล้วก็อายจนไม่รู้จะมุดหน้าไว้ตรงไหน
“ตอนมึงบอกรักไอ้ยุคกูอึ้งมาก”
“จริงๆ ลืมมันซะก็ได้”
“จะลืมได้ยังไง จริงใจออกขนาดนั้น”
“มึงไม่โกรธใช่มั้ย”
“โกรธทำไม คนไม่มีใจไม่ผิดเว้ย คิดซะว่าทุกอย่างผ่านไปแล้วกัน ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันได้”
“มึงคิดอย่างนี้เหรอ”
“แหงสิ ก็บอกว่าเป็นแค่เพื่อนก็ต้องเป็นเพื่อน กูจะพยายามเป็นอย่างอื่นไปทำไม ว่าแต่ที่นัดมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถาม ผมเลยตอบตามตรง
“ก็จะคุยเรื่องนี้แหละ เหมือนคืนนั้นเรายังพูดกันไม่เคลียร์เท่าไหร่ กลัวว่าต่อไปจะมีปัญหาเพิ่มขึ้น”
“ปัญหาอะไร กับไอ้ยุคเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก”
“สบายใจได้ เป็นเพื่อนกันแล้วกูก็ไม่คิดเกินเลยเป็นอย่างอื่นหรอก ฝากบอกไอ้ยุคด้วยนะว่าอย่าคิดมาก ได้ข่าวว่ามันเองก็ชอบมึงหนิ แม่งคงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่มีเรื่องของกูเข้าไปแทรก” ยิ่งพูดถึงบุคคลที่สามทีไรใจผมก็เหมือนดิ่งลงเหวทุกที
“กับยุคอาจจะไม่ได้บอกหรอก เรา...ทะเลาะกันนิดหน่อย”
“ไหงเป็นงั้นวะ” เจ้าตัวบ่นงุบงิบ ดวงตาสองข้างหรี่มองผมเหมือนกำลังพิจารณาอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ เราต่างคนต่างแสดงท่าทีอึกอักไปพักใหญ่ ก่อนผมจะเป็นฝ่ายถามออกไป
“ถามหน่อยสิ ทำไมวันนั้นก่อนโปรแกรมจะหมดอายุ มึงถึงบอกชอบกูวะ” เพราะดูจากตอนนี้แล้ว เราเหมือนคนที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ จะบอกว่าที่ห่างเพราะผมปฏิเสธไปเมื่อครั้งก่อนก็คงเป็นไปไม่ได้
“ก็เพราะชอบล่ะมั้ง” อีกฝ่ายตอบหน้าตาย
“งั้นถามต่อ ชอบกูที่ตรงไหนเหรอ”
“มันอาจจะบอกเป็นเหตุผลทั้งหมดไม่ได้ ความจริง...” เจหยุดพูดไปอึดใจหนึ่ง แล้วพรูหายใจออกมายาวเหยียด “ไม่เคยรู้สึกบ้างเหรอว่าไม่ใช่”
“ฮะ?”
“รู้สึกมั้ยว่ากูไม่ใช่หมีใหญ่ หรือปักใจเชื่อเลย”
คำพูดนั้นทำสมองผมหยุดทำงานไปชั่วขณะ อะไรคือใช่หรือไม่ใช่ ที่ผ่านมาเวลาผมถามเขาก็ไม่เคยปฏิเสธมันสักครั้งไม่ใช่เหรอ
“เจเจคือหมีใหญ่มาตลอด” ผมพึมพำเสียงแผ่ว
“กูมีแฟนแล้ว” คราวนี้กูเบิกตากว้างเลยจ้า
“แฟน?”
“ใช่ เป็นผู้หญิงด้วย”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“คืองี้นะ แผ่นโปรแกรม MSN กูได้มาจากไอ้เบิร์ด แถมสัญญากับมันไว้เสร็จสรรพว่าจะทดลองใช้เพื่อบอกผล แต่พอดีว่าช่วงนั้นกูไม่มีเวลาเลยยกแผ่นโปรแกรมให้กับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง มันอยู่คณะเดียวกัน มหา’ลัยเดียวกัน และก็เป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่เรียนมัธยม”
สมองผมเริ่มประมวลผล ปะติดปะต่อทุกเรื่องเข้าด้วยกันทีละน้อย
“หมีใหญ่เป็นชื่อกลุ่มดาว ในนั้นมีดาวดวงหนึ่งที่แปลกประหลาดมาก มันคือPC 0832/676 ซึ่งอยู่ห่างไกลที่สุดในระนาบดาราจักร”
“...” คนตรงหน้ายังคงพูดไม่หยุด ส่วนตัวผมเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี
“มันบอกว่าตัวมันเหมือนดาวดวงนี้ โดดเดี่ยว และน้อยครั้งมากที่ใครจะหาเจอ มันเป็นคนโลกส่วนตัวสูง งานของมันแทบไม่ต้องเจอกับใครเลย แม่งโคตรเหงา แต่ความเหงานี่แหละมั้งที่เป็นเสน่ห์ เผื่อวันนึงที่จักรวาลหมุนวนไปเรื่อยๆ ก็อาจจะได้เจอกับดวงดาวที่อยู่ห่างไกลเหมือนกัน”
ผมเริ่มมองเห็นเค้าลางบางอย่างที่ไม่เคยสังเกตเห็น
หมีใหญ่ PC 0832/676 ดาวที่อยู่ไกลที่สุดในระนาบดาราจักร
“จริงๆ กลุ่มดาวนี้มีอีกชื่อนะ รู้มั้ยว่าชื่ออะไร”
ต่างคนต่างเงียบ มองหน้าหยั่งเชิงกันพักหนึ่ง
“คัลลิสโต”
เราพูดออกมาพร้อมกัน ผมกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก ก้มมองดูฝ่ามือที่กำลังสั่นเทาพอๆ กับหัวใจที่รัวกระหน่ำไม่มีหยุด
ทำไมถึงได้มองข้ามทุกอย่างไปจนหมด ทำไมถึงไม่เอะใจสักนิดว่าแท้จริงแล้วเราไม่ได้อยู่ไกลกันเลย แต่สิ่งที่อยากถามมากที่สุดก็คือ ทำไมถึงไม่บอกกัน ทำไมถึงปล่อยให้ผมสับสนเนิ่นนานขนาดนี้
ผมไม่ได้โกรธ ตรงข้ามกลับดีใจด้วยซ้ำ
ตอนคุยกันผ่าน MSN เราเหมือนเพื่อน แชร์กันได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่พอได้คุยกันในชีวิตจริงเราเป็นยิ่งกว่านั้น ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่โล่งใจเป็นร้อยเท่า ขอบคุณที่ไม่ใช่คนอื่น ขอบคุณที่เป็นคุณ
“อาจจะแย่นิดหน่อยตรงที่ไอ้ยุคไม่ได้บอกเอง ขอโทษจริงๆ ว่ะ”
“...” ผมส่ายหัว
“อย่าโกรธมันเลย”
“ไม่สักนิด”
“ถ้าทะเลาะอะไรกันก็รีบคุยกันเถอะ”
“แน่นอน ต้องคุยอยู่แล้ว”
“พอได้พูดความจริงทั้งหมดแล้วกูโคตรโล่งใจเลยว่ะ”
“ขอบคุณที่บอกกูนะ”
“ไม่เป็นไร แต่ฝากบอกไอ้ยุคด้วยว่าอย่าโกรธกู กูแค่ทนความน่ารักของเด็กน้อยอย่างมึงไม่ได้ก็เท่านั้น” ผมส่งยิ้มให้คนตรงหน้า ก่อนนั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาพร้อมกับคิดอะไรเพลินๆ
ทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว แม้ไม่รู้ว่าผมมียุคในคอนแท็กเอ็มเอสเอ็นตั้งแต่ตอนไหน ทว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไป
หมีใหญ่ คัลลิสโต ศตวรรษ แท้จริงแล้วคือคนเดียวกัน
เป็นคนที่ผมรัก
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 13
ความเหงากลับมาทักทาย
ผมรู้แล้วว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่มนุษย์เราต้องเผชิญอีกเยอะ
ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นเราจะต้องเก่งกล้ามาก ต่อให้มีสิ่งที่น่ากลัวแค่ไหนเข้ามาสุดท้ายก็คงผ่านมันไปได้ในที่สุด แต่ใครจะคิด สิ่งที่คาดหวังกับความเป็นจริงมันต่างกัน
บางอย่างเราควบคุมมันไม่ได้ น้ำ ลม ฝนฟ้าอากาศ โชคชะตา หรือแม้แต่ความรู้สึกของคน
“ชยิน อย่าคิดไปเอง ตอนนี้คุณต้องตั้งสติก่อน” คำพูดของคนตัวสูงทำให้ผมชะงักนิ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ด้วยซ้ำ
“ผมขอโทษ ผมงี่เง่าเอง”
“มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ตอนนี้คุณช่วยกลับไปก่อนได้มั้ย”
“...”
“แล้วผมจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง”
“ก็คง...ต้องเป็นอย่างนั้น”
ผมไม่ใช่ผู้ฟังที่ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็อยากให้โอกาสตัวเองได้ฟังคำอธิบายอะไรสักอย่างจากปากของเขา เพื่อที่บางทีจะได้เข้าใจว่าสถานะที่เราเป็นอยู่นี้มันควรหยุดลงหรือดำเนินต่อ
“เดี๋ยวผมลงไปส่ง”
“ยุค” ยังไม่ทันหมุนตัว เสียงหนึ่งก็หยุดความมีน้ำใจของคนตัวสูงเอาไว้ ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ
หลายอย่างไม่จำเป็นต้องพูดตอนนี้ ต่อให้อยากรู้หรือไม่เข้าใจกับมันมากแค่ไหนก็ควรเก็บเอาไว้ในใจ ผมไม่ได้อยากดูแย่ในสายตาของใครหลายๆ คน ทว่ากว่าจะอดกลั้นให้สงบนิ่งได้ขนาดนี้มันไม่ง่ายเลยสักนิด
สองเท้าติดสั่นก้าวออกมานอกห้อง เดินไปตามทางอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกสับสน ในใจกำลังหวังอะไรบางอย่างที่ดูเป็นไปได้ยากแต่ผมก็ยังคิด ช่วยตามออกมาได้มั้ย หรือบอกอะไรก็ได้ให้รู้สึกใจชื้นกว่านี้หน่อย ช่วยบอกว่าผมเข้าใจผิด บอกว่าผมคิดไปเอง อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การกลับไปรอความหวังลมๆ แล้งๆ เหมือนที่กำลังทำอยู่
ทำไมถึงพูดตอนนี้ไม่ได้ เพราะแคร์เธอมาก กลัวว่าเธอจะเสียใจเหรอ แล้วตัวผมล่ะ
ตอนที่ตัดสินใจจะรักเขา ผมทิ้งความกลัวทั้งหมดออกไป
โดยลืมนึกไปว่า ความผิดหวังก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวเหมือนกัน
ผมสะกดจิตตัวเองไม่ให้หันไปมองด้านหลัง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความรู้สึกของตัวเอง เพราะเมื่อหันไปความหวังที่สร้างมาก็พังทลายไม่เป็นท่า ยุคไม่ได้ตามออกมา ประตูห้องยังคงปิดสนิท ต่อให้ยืนรอนานกว่านี้อีกเป็นชั่วโมงมันก็ยังเหมือนเดิม
การกลับมารอที่ห้องอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมรู้ดีว่าคงไม่สามารถทำอะไรต่อได้อีกแล้วนอกจากทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เฝ้ารอเวลาให้ผันผ่านไปแต่ละวินาทีอย่างมีความหวัง
หนึ่งวินาที...สองวินาที...สามวินาที...
ผมเกลียดการเฝ้ารอ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของยุคในวันนั้น ผมปล่อยให้เขาจมจ่อมอยู่หน้าห้องนานนับชั่วโมง นี่หรือเปล่าที่ทำให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อผมเริ่มเปลี่ยนไป
ผมผิดเอง ขอโทษ ผมผิดเอง...
อยากบอกแบบนี้มาตลอดแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ อีกนานแค่ไหนกว่าเวลาจะผ่านพ้น เพราะผมคงทนไม่ได้ที่ตัวเองรู้สึกอ่อนแอลงทุกที ผมไม่ใช่ชยินคนเดิมที่ยอมรับกับเรื่องเลวร้ายทุกอย่างในชีวิตได้อีกแล้ว นั่นเป็นเพราะเขาได้เปลี่ยนทุกอย่างของผมไป
นาฬิกายังคงเดินของมันตามปกติ มีแต่ผมที่คิดว่าแม่งโคตรช้า นอนก็ไม่หลับ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่งเพลงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำได้แค่พลิกตัวไปมา มองดูแสงสว่างที่ลอดผ่านหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนสี ตอนนี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว
แสงในช่วง Afterglow ผลักความรู้สึกหดหู่นั้นให้ยิ่งหนักเข้าไปอีก
หนึ่งทุ่มผมลุกเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาก่อนกลับมากดมือถือ เลื่อนไปยังหน้าคอนแท็กซึ่งมีชื่อของคนที่เฝ้ารออยู่หลายครั้ง ผมอยากโทรไปหาเขา แต่ก็รู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางรับ ทำได้อย่างเดียวคือรอต่อไป เขาบอกให้รอก็ต้องรอ ต่อให้ไม่รู้ว่ารอไป...สุดท้ายเขาจะมาหรือเปล่าก็ตาม
Rrrr...!
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นในเวลาสามทุ่มกว่า ผมรีบคว้าโทรศัพท์อย่างเร็วรี่ แต่ก็ต้องใจเสียอีกครั้งเพราะคนที่โทรมาไม่ใช่ยุค และคนเดิมที่ตามติดสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วงก็มีเพียงไอ้เบิร์ดแค่คนเดียว ผมกดรับสายอย่างไม่รีรอก่อนกรอกเสียงอ่อยๆ ลงไป
“ว่าไง”
[มึงนั่นแหละว่าไง เป็นไงบ้างวะ เคลียร์กันยัง] อีกฝ่ายรัวคำถามเป็นน้ำไหลไฟดับ ส่วนคนฟังน่ะเหรอ พอมีคนสะกิดหน่อยล่ะใจเหลวขึ้นมาทันที
“ยัง”
[มึงโอเคหรือเปล่า เสียงแม่งโคตรแย่เลยว่ะ]
“วันนี้กูไปหายุคแล้วนะ” บางทีผมก็แค่ต้องการใครสักคนที่รับฟัง ไม่ต้องปลอบก็ได้ แค่อยู่ด้วยกันตอนที่ไม่มีใครแบบนี้ก็พอ
[อืม เจอมั้ย มันว่าไงบ้างล่ะ คือถ้าไม่โอเคกูโทรไปเคลียร์ให้ได้]
“มันไม่มีประโยชน์หรอก ยุคบอกให้กูกลับมารอที่ห้องก่อน คิดว่าอีกไม่นานคงได้คุยกัน”
[แล้วทำไมมึงไม่คุยกันตั้งแต่ตอนนั้นวะ]
“ยุคไม่สะดวกคุยน่ะ” ผมไม่ได้เล่าทั้งหมดให้ไอ้เบิร์ดฟัง อาจเพราะกลัวว่าตัวเองจะคิดไปเอง ประกอบกับไม่อยากให้ใครมองยุคไม่ดีเลยเลือกพูดแค่บางอย่างที่พูดได้เท่านั้น
[เอาเถอะ พอเข้าใจ เดี๋ยวก็ได้เคลียร์กันแล้ว ว่าแต่มึงเถอะกินอะไรหรือยัง]
“กูไม่หิว” เสียงพรูลมหายใจดังเข้ามาในสาย ซูปเปอร์เนิร์ดเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนกรอกเสียงตอบกลับมา
[ถ้ากูยังอยู่ไทย แม่งจะขับรถไปตีก้นมึงให้หนักเลยจริงๆ ไปหาอะไรกินซะ]
“เบิร์ด...” ผมแทบไม่สนใจคำขู่ของมันด้วยซ้ำ นอกจากถามสิ่งที่คิดอยู่ในหัวตลอดทั้งวันออกไป
[ว่าไง]
“ถ้าสมมติกูกับยุคไปด้วยกันไม่รอด มึงว่ากูควรทำยังไงต่อไปวะ”
[ทำเหมือนที่มึงเคยจบกับแฟนเก่ามึงไง]
“ไม่เหมือนกัน อันนั้นเราต่างหมดรักกันไปแล้ว แต่ตอนนี้กู...กูยังรักมันอยู่”
ตอนแรกที่เจอกันผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ครั้งที่สองและสามก็เหมือนกัน
ขนาดตอนที่ได้ยินคำสารภาพรักครั้งแรกผมยังรู้สึกเฉยๆ ยังถามตัวเองอยู่เลยว่าตายด้านหรือเปล่า ครั้งแรกไม่ได้ชอบก็จริง ทว่าวันนี้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าตัวเองได้รักเขาจนไม่เผื่อใจสำหรับความเจ็บปวดไปหมดแล้ว
[ชยิน ทุกความสัมพันธ์ไม่ได้จบแค่คำว่าแฟนนะเว้ย มึงสองคนยังเป็นเพื่อนกันได้] ผมส่ายหัวทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว
“กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับยุค”
[…]
“ถึงใครจะเป็นได้ แต่สำหรับกูมันไม่มีวันเป็นแบบนั้นแล้ว”
ผมไม่เคยเตรียมใจไว้ว่าต้องผิดหวัง ในจินตนาการมันมีแต่เรื่องที่เราคบกันและจะใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันยังไงมากกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นผมควรทำยังไง
เป็นเพื่อนก็ไม่ได้ จะรักก็ไม่ได้ บางทีคงเป็นได้แค่...ความทรงจำ
ผมวางสายจากเพื่อนสนิทที่อยู่ไกลคนละซีกโลกในเวลาเกือบสี่ทุ่ม ก่อนจะกลับมาเฝ้ารอใครบางคนอย่างมีความหวัง เกือบสิบชั่วโมงแล้วที่ยังอยู่ที่เดิม ยึดเตียงเป็นที่พักพิงใจแล้วสะกดจิตตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่มีอะไร ทุกอย่างจะดีขึ้น เดี๋ยวเขาก็มา เดี๋ยวเสียงประตูห้องก็ดังอย่างใจหวัง
เที่ยงคืน จิตใจที่เคยสงบเริ่มกลับมากระวนกระวายอีกครั้ง ผมเดินไปทั่วห้อง หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดและตัดสินใจต่อสายหาคนตัวสูงโดยไม่กลัวว่าจะถูกมองแย่ยังไง
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...
จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา ผมไม่ควรเป็นแบบนี้ ไม่ควรต้องเจ็บปวดกับการมีความรัก ทั้งที่เคยบอกตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่เริ่มต้นกับใครง่ายๆ อีก สุดท้ายผมก็กลืนน้ำลายตัวเอง
หากจะโทษใครที่ทำให้เจ็บ คงเป็นตัวผมเองที่ก้าวออกมาจากกำแพงทั้งที่รู้ดีว่าอยู่ในนั้นแม่งก็ดีอยู่แล้ว
ตีหนึ่ง...
ยังคงพลิกตัวไปมาบนเตียง ร่างกายไม่รู้สึกถึงความหิวแม้ลำคอจะแห้งผากไปแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันความกระวนกระวายที่เกาะกุมจิตใจก็ยังไม่หายไปไหน ได้แต่ข่มตานอนซึ่งรู้ดีว่ามันคงไม่ต่างอะไรกับการนอนนิ่งๆ เหมือนในคราแรก
ตีสอง...
ผมตัดสินใจเดินออกมานั่งรออยู่ตรงโซฟา เผื่อเสียงเคาะห้องดังขึ้น ผมจะได้รีบเดินไปเปิดโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายรอนาน ระหว่างนี้ก็พยายามลดความฟุ้งซ่านของตัวเองลงด้วยการหยิบกีตาร์มาเล่นไปพลางๆ
การเพ่งสมาธิไปที่จุดใดจุดหนึ่งช่วยได้มาก ทว่ามันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นแหละ
ตีสาม...
ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง การเปิดโอกาสเป็นเรื่องที่ดีแล้วเหรอ ถ้าให้เลือกย้อนเวลากลับไปได้ผมยังอยากสานสัมพันธ์กับยุคอยู่มั้ย คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ
เวลาตีห้า ผมรอข้ามคืนด้วยความหวัง แต่ผลตอบแทนกลับมานั้นมันโคตรว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เฝ้ารอ ไม่มีเสียงเคาะประตู ไม่มีคำอธิบายใดๆ ที่ทำให้รู้สึกใจชื้นเลยสักนิด ผมไม่อยากคิดไปไกลแต่มันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี
การมีแฟนเก่าอยู่ในห้องว่าเจ็บแล้ว แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือสภาพของผู้หญิงคนนั้น มันอดเชื่อได้ยากว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยุคกับดรีมเคยคบกัน เขาเคยรักกันมาก่อน
พอคิดว่าทุกอย่างที่เขาเคยทำดีกับผม ครั้งหนึ่งเขาก็เคยทำให้เธอ แม่งก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที ไม่มีหรอก คนที่ทำดีกับเราแค่คนเดียวในโลก มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องมารับผิดชอบความรู้สึกไม่พอใจของผมสักหน่อย เป็นผมเองต่างหากที่ต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้
หกโมงเช้าผมอาบน้ำแปรงฟัน หาของกินง่ายๆ รองท้องแม้จะไม่รู้สึกอยากเท่าไหร่นัก เมื่อจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จจึงย่างเท้าเข้ามายังห้องนอน เก็บเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋า ในหัวผมไม่รู้หรอกว่าควรทำอะไรหรือตัดสินใจจะไปที่ไหน รู้แค่ว่าไม่ควรอยู่ตรงนี้นานนัก
ผมเป็นคนไม่มีเพื่อนมาก จะหวังพึ่งใครก็กลัวว่าเขาจะอึดอัดเลยเลือกแบกทุกอย่างไว้กับตัวเอง
ในบัญชีมีเงินอยู่เล็กน้อย มันพอสำหรับค่าเดินทาง ค่าที่พัก รวมถึงค่าอาหารในระยะเวลาหนึ่ง แย่หน่อยที่ผมเลือกหนีปัญหา แต่เชื่อเถอะว่ามันดีสำหรับตอนนี้ที่สุดแล้ว
ผมให้เวลา ผมเฝ้ารอ ทว่าความอดทนของคนเรามีวันสิ้นสุดเสมอ
ถ้ายุคแคร์ผมจริงเขาคงวิ่งมาอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมถึงปล่อยให้ผมรอนานขนาดนี้ อย่างน้อย...โทรมาบอกสักนิดก็ได้ว่าคืนนี้คงไม่มา ว่างวันไหนค่อยคุยกันมันก็อาจจะดีกว่า
ผมส่งข้อความไปหาที่บ้าน บอกกับเขาด้วยประโยคสั้นๆ ว่าขอหนีเที่ยวสักสัปดาห์ จากนั้นช่องทางการติดต่อทุกอย่างก็ถูกปิด หวังว่ามันคงเพียงพอสำหรับการทบทวนสิ่งต่างๆ เพียงลำพัง
โชคดีที่เมื่อสองเดือนก่อนผมได้รับอีเมลชวนให้ไปคอนเสิร์ตต่างจังหวัด ตอนแรกคิดว่าคงไม่มีเวลาว่างพอจะไป ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ชีวิตก็อยากหาอะไรทำขึ้นมาซะงั้น
‘ยุค’
‘ว่า...’
‘คุณชอบผมเพราะอะไร จะบอกว่าผมหล่อก็คงไม่ใช่มั้ง เงินก็ไม่มีด้วย แถมคอนโดยังผ่อนอยู่เลย ผมไม่เคยทำดีเพื่อคุณสักอย่างแต่ทำไมคุณถึงชอบผม’
‘เพราะคุณทำให้ผมเติบโต และเพราะคุณอีกเหมือนกันที่ทำให้ผมกลายเป็นเด็ก’
‘…’
‘ผมเกลียดการเป็นผู้ใหญ่เพราะต้องแบกรับหน้าที่อะไรหลายๆ อย่าง ผมอยากเป็นเด็กที่ไม่ต้องคิดอะไรนอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ แต่กาลเวลาเอาความเป็นเด็กกลับมาไม่ได้’
‘…’
‘ตอนที่ผมได้เจอคุณครั้งแรก มันทำให้ผมคิดว่าผมอยากเป็นผู้ใหญ่ อยากดูแลคุณ อยากแบกรับภาระทุกอย่างที่มีคุณอยู่ ขณะเดียวกันความสดใสของคุณ ความคิดเด็กๆ ของคุณมันทำให้ผมได้รับช่วงเวลาวัยเด็กกลับมาพร้อมๆ กัน คุณเป็นมันทุกอย่าง’
ยังจำได้ดี
ประโยคสารภาพรักในคืนนั้น เขาบอกชอบผม ชอบทุกอย่างที่เป็นตัวตนของคนชื่อชยิน นี่อาจเป็นคำปลอบใจที่ดีที่สุดที่สามารถบอกกับตัวเองได้
สิบโมงเช้าผมแบกกระเป๋าออกจากห้องหลังสำรวจความเรียบร้อยเสร็จสรรพ แต่ก็ยังไม่หมดความพยายามต่อสายหายุคไปพลางๆ แน่นอนว่าคำตอบก็เป็นอย่างที่รู้กันดี เขาปิดเครื่องไปแล้ว เหมือนกับความสัมพันธ์ของเราที่คงต้องจบลงไปพร้อมกันด้วย
ถ้ารู้ว่าแพ้ผมก็จะถอย คงไม่ดันทุรังให้ใครต้องรู้สึกอึดอัดอีก
“มึงอยู่คนเดียวได้เว้ยชยิน มึงอยู่กับความทรงจำได้” ผมพูดปลอบใจตัวเองขณะเดินแบกกระเป๋าเป้ไปตามทาง
ก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิมคงไม่มีอะไรยาก เมื่อก่อนเหงาแค่ไหน โดดเดี่ยวแค่ไหนทำไมถึงอยู่ได้ ผมดูหนังคนเดียวเป็นประจำ กินข้าว ปั่นเรือเป็ด หรือแม้กระทั่งไปดูคอนเสิร์ต ทุกอย่างที่ทำผมมีความสุขดี คราวนี้ก็คงไม่ต่าง...
ชีวิตเคยมีเขาเข้ามา วันหนึ่งเขาไม่อยู่แล้ว มองในแง่ดีครั้งหนึ่งเราก็เคยอยู่ด้วยกัน ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็เรียกร้องอะไรกลับมาไม่ได้หรอก
ทำได้แค่พาคำว่ารักของเขาเดินทางไป ทั้งที่ตอนนี้อาจไม่เหลือความรักอยู่แล้วก็ตาม
“ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...”
“...”
“เก่งแล้วชยิน เก่งมาก”
วันแรกของการเดินทางมาต่างจังหวัดในรอบหลายเดือน ผมไม่ได้ติดตามข่าวสารทางโซเชียลใดๆ เพราะปิดมือถือและไม่ได้พกแล็ปท็อปติดตัวมาด้วย ช่วงเวลานี้จึงเป็นการแค่พักผ่อนโดยไม่มีอะไรมารบกวนอย่างแท้จริง
การอยู่ในกำแพงเหงาก็จริง แต่ถ้าแลกกับการไม่เจ็บปวดอีกมันก็คุ้มค่า
โฮมสเตย์ที่เข้าพักค่อนข้างสะอาด และราคามิตรภาพเหมาะสำหรับคนกินแกลบประจำอย่างผม อาหารอร่อย บรรยากาศก็ดี ผมพกหนังสือของมูราคามิเล่มที่ยังไม่ได้อ่านติดตัวมาด้วย เลยไม่มีเวลาว่างแบ่งไปคิดถึงเรื่องอื่น แค่ถ่ายรูปกับอ่านหนังสือหนึ่งวันก็ผ่านไปแล้ว
วันที่สองผมยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม มีแค่หนังสือที่ไม่ได้หยิบมาด้วยเนื่องจากตะบี้ตะบันอ่านแก้อาการนอนไม่หลับจนจบเล่มภายในคืนเดียว เลยเปลี่ยนไปใช้เวลาเที่ยวละแวกนั้น หาไอเดียแต่งเพลงเลี้ยงปากท้องเหมือนที่ชอบทำแบบเมื่อก่อน
ใกล้ค่ำหน่อยก็กลับมาหาข้าวกิน เวลาดึกผมนอนดูดาวอยู่ตรงระเบียงห้อง ที่ตรงนี้เห็นดาวชัดแจ๋ว สวยไม่ต่างจากดาดฟ้าคอนโดที่กรุงเทพฯ เลยสักนิด
ผมไม่ได้มีกำหนดว่าจะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่ คิดว่าเงินหมดก็คงต้องกลับ ซึ่งข่าวร้ายก็คือมันคงพอให้ผมได้ดูคอนเสิร์ตในวันสุดท้ายเท่านั้นแหละ เกิดมาจนจะแย่ ทำตามความฝันบางทีก็แดกไม่ได้ แถมมีความรักกับเขาทั้งทีก็ต้องมาเจ็บปวดเพราะไม่สมหวังอีก
ผมเลยพยายามตัดใจ
แต่มันไม่ง่ายเท่าไหร่เพราะยังคิดถึงเขาอยู่ ยุคจะคิดเหมือนกันบ้างมั้ย ผมตั้งคำถามแบบนี้ซ้ำๆ ทว่าก็ไม่เคยรู้คำตอบอยู่ดี
บรรยากาศในวันคอนเสิร์ตพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ผมยื่นนิ่งๆ กวาดตามองบรรยากาศโดยรอบ บางคนมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ บางคนมากับคนรัก บางคนมากับเพื่อนสนิท หรืออีกหลายๆ คนก็ฉายเดี่ยวด้วยความแกร่งกล้า ผมคือหนึ่งในนั้น
ความรู้สึกเดิมๆ ตีวนเข้ามาในความคิด เมื่อก่อนผมอยู่กับความเหงายังไงวะ โคตรเก่งเลย ตอนนี้ก็ไม่ยากนักหรอก เปิดใจ ยอมรับความจริง อีกไม่นานก็ผ่านมันไปจนได้นั่นแหละ
“ขอเสียงคนรักในเสียงเพลงดังๆ ได้มั้ยคร้าบบบ”
“โว้วววววววว” เสียงลากยาวจากหน้าเวทีทำให้ทุกคนวิ่งกรูกันเข้าไป
วันนี้มีวงดนตรีหลายวงมาเล่นที่นี่ มั่นใจว่ายังไงก็ต้องได้ฟังเพลงที่ตัวเองแต่งแน่ๆ เลยเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมตัดสินใจมาดูคอนเสิร์ตไกลถึงต่างจังหวัด ทั้งที่ตัวเองเป็นคนติดห้องจนใครก็ลากออกมาไม่ได้
งานเริ่มตั้งแต่ห้าโมงเย็นยาวนานจนถึงเที่ยงคืน ผมเดินไปซื้อเบียร์กระป๋อง จากนั้นก็เดินเข้าไปบริเวณเวทีใหญ่และโยกไปตามจังหวะเพลงที่ศิลปินกำลังเล่น
รักที่เธอเคยมีถูกร้องในเวลาเกือบสี่ทุ่ม เนื่องจาก A little bliss เล่นเป็นวงที่ห้า ทุกคนดูอินกับการร้องคร่ำครวญราวกับเพิ่งอกหักมาหยกๆ ขณะที่อีกหลายคนก็กอดคอเพื่อนเพื่อปลอบใจอยู่ไม่ห่าง
ไม่มีใครจำผมได้ อาจเพราะทุกคนกำลังโฟกัสไปที่ความสนุกบนเวทีเลยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ซึ่งมันดีแล้ว
จากเพลงเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นเพลงสนุกสนานในเวลาต่อมา เรากระโดดโลดเต้น แหกปากร้องจนเหน็ดเหนื่อย เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มกรอบหน้าและแผ่นหลัง ผมเดินไปซื้อเบียร์มาอีกกระป๋อง กระดกดื่มจนหมดเนื่องจากแอลกอฮอล์ช่วยให้รู้สึกสนุกขึ้นเป็นเท่าตัว
สี่ทุ่มครึ่ง Moving and cut วงดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟอีกวงที่ผมชื่นชอบก็เอ่ยทักทาย ท่ามกลางเสียงกรี๊ดต้อนรับของคนด้านล่าง
เพลงส่วนใหญ่ของวงมักเป็นเพลงเศร้า ดังนั้นหลายคนจึงเตรียมตัวอย่างดีว่าจะมาน้ำตาหลากกันที่นี่ ก่อนหน้าก็ A little bliss ไปแล้ว ตอนนี้หัวใจคนฟังคงอินไปอีกพักใหญ่
“นี่เป็นเพลงใหม่ของพวกเรา อาจจะแปลกหน่อยที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยเพลงเร็ว เพียงแต่เราคิดว่าคงมีใครในนี้อีกหลายคนที่มาคนเดียว”
“วู้วววๆๆๆ”
“ใครอีกหลายคนที่เพิ่งอกหัก”
“ช่ายยยยยยยย”
“ใครหลายคนที่กำลังหนีความจริง และใช่...บางคนเลือกหนีเพื่อที่จะได้รู้สึกดีขึ้น หนี...เพื่อลืมความรักที่จากเราไป เพราะงั้นขอเสียงคนที่กำลังหนีหน่อยได้มั้ยครับ”
“กรี๊ดดดดดดดดดด”
เสียงตอบกลับดังไปทั่วพื้นที่ ผมยังคงยืนนิ่ง จ้องมองไปตรงเวที รอคอยจนกระทั่งดนตรีในจังหวะแสนคุ้นเคยดังขึ้นมา
คืนนี้ผมมาเที่ยวกับความเหงา เราแบกเป้กันมาไกลด้วยความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างในร่างกายที่แหลกสลาย ผมพยายามที่จะรักษาด้วยการหยุดเฝ้ารอ และเลือกเยียวยามันด้วยการทำทุกๆ อย่างเหมือนในอดีต
ก่อนมีความรักผมทำอะไรบ้าง รู้สึกยังไง มีความสุขแค่ไหน
ผมไม่ได้โดดเดี่ยว ในวันที่ความเหงาเข้ามาทักทาย ก็แค่ยอมรับความจริงและอยู่ให้ได้เท่านั้น
“มาช่วยร้องไปพร้อมๆ กันนะครับ Escape…”
“ฉันเพียงแค่อยากหนีไป ยังฝืนความรู้สึกไม่ไหว
เพราะว่าในความหลัง ไม่ได้ทำให้มีความหวัง
ให้เดินต่อไป...
แต่สุดท้ายฉันยังคงอยู่ที่เดิม
มีชีวิตเหมือนวันเก่าๆ เสมอ
ได้แค่ยิ้มให้ความผิดหวัง และคงทำได้เพียงแค่นั้น
มานานเหลือเกิน”
เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมคนอกหักถึงชอบฟังเพลงเศร้า ทั้งที่มันไม่ได้ปลอบประโลมอะไรเรา ตรงกันข้ามกลับทำให้เรายิ่งเจ็บเข้าไปอีก
จริงๆ แล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยึดติดกับความเจ็บปวดต่างหาก การตอกย้ำว่าเราทรมานแค่ไหนเป็นเหมือนการระบายความอัดอั้นทุกอย่างออกมา หลายครั้งที่คนฟังเพลงเศร้าแล้วร้องไห้ หลายครั้งที่ไม่อาจฝืนยิ้มได้อีกต่อไป และหลายครั้งเหมือนกันที่เราตะโกนแหกปากร้องเพลงฟูมฟายจนแทบเสียสติ
ถามว่าเจ็บมั้ย ก็ไม่ได้บรรเทาอะไรมาก แต่ในทางความรู้สึกผมคิดว่ามันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เจ็บปวดเข้าไปอีก แต่ต่อให้เจ็บแค่ไหน เราก็ยังมีความหวังว่าทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม
“ฉันเพียงอยากขอช่วยทำให้ฉันหายไป
หายไปในความฝันที่ไม่มีใครสนใจ
อยู่ตรงนั้นคงงดงาม ฟ้าที่สีคราม ลมที่พัดผ่านไป
ได้แต่หวังว่ามันคงสวยงาม”
น้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ความอดทนที่พยายามมาตลอดพังทลายลงไม่เป็นท่า ท่ามกลางผู้คนมากมาย ผมรับรู้ได้แต่เสียงร้องไห้ของตัวเอง มันดังก้องในใจและยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด
‘ชยิน’
‘หืม’
‘จากวันแรกที่เจอคุณจนวันนี้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่...’
‘...’
‘ผมชอบคุณมากขึ้นทุกวันเลยว่ะ’
เขาคงลืมมันไปหมดแล้ว มีเพียงผมที่ยังคงจดจำได้ขึ้นใจ
ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลราวกับสายน้ำ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวลงทุกขณะจนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
เกลียดตัวเองฉิบหายที่ต้องมาอกหักทั้งที่ยังไม่ได้คบ
“คุณ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ใครสักคนย่อเข่าลงตาม มือข้างหนึ่งแตะลงบนไหล่ของผมเบาๆ ราวกับกำลังเป็นห่วง
“เปล่าครับ ผม...ไม่เป็นไร”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะคะ”
“ขอบคุณมากครับ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ” ผมกะพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำตาร้อนๆ พลางยกแขนขึ้นเช็ดอีกที จากนั้นจึงยืนขึ้นเต็มความสูง ก้มหัวขอบคุณกลุ่มคนตรงหน้าก่อนเบียดเสียดผู้คนเดินออกไปด้านนอก
ความพยายามที่ทำมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ล้มเหลวไม่เป็นท่า
วันนี้...ผมคิดถึงเขาอีกแล้ว
ถึงผมกับยุคจะได้เจอกันในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้ยาวนานนับปีเหมือนใครหลายคน แต่แปลกเหลือเกิน...ตอนที่ความสัมพันธ์จบลงในวันนั้น ความทรงจำทุกอย่างกลับยังคงดำเนินต่อ
ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ อาจจะหนึ่งเดือน สองเดือน หนึ่งปี ตอนที่มีความรักครั้งใหม่เข้ามาทักทาย หรือบางที...
มันอาจเป็นตลอดไป
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 14
ความหมายของอะไรบางอย่าง
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมเอาแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงเพื่อเฝ้ารอการกลับมาของใครบางคน
ทว่าความหวังกับความจริงมักสวนทางกันเสมอ เลยได้แต่กัดฟันลุกขึ้นนั่งในสภาพปวดร้าวไปทั้งร่าง กระดูกทุกชิ้นคล้ายกับกำลังปริแตกได้ทุกเมื่อ ความเจ็บครอบงำร่างกายไปทุกส่วนจนอยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าที่ทรมานอยู่นี้มาจากร่างกายหรือหัวใจกันแน่
ทุกอย่างกำลังแตกสลาย ชยินคนเดิมจางหายไป เหลือแต่คนโง่ที่อ่อนแออยู่บนเตียง
ผมไม่ได้เสียใจกับสิ่งทำลงไป ก็แค่...ต้องเข้าใจสักทีว่าการตัดสินใจทำบางอย่างอาจได้รับความว่างเปล่ากลับคืนมา
ตอนนี้ผมไม่อยากคิดถึงอนาคตที่กำลังมาถึง หรือคาดเดาว่าตัวเองจะเป็นยังไงหลังต้องกลับมาใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวอีกครั้ง ไม่มีความรัก ไม่มีความหวังและสีสันในชีวิต คงเหลือแต่งานที่ขับเคลื่อนให้ก้าวเดินต่อไปแล้วรอคอยว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะกลับไปเป็นชยินคนเดิมสักที
ผมรวบรวมแรงที่เหลืออันน้อยนิดค่อยๆ พาร่างระโหยโรยแรงลงจากเตียงอย่างยากลำบาก สองขาที่ติดสั่นทำให้ไม่สามารถทรงตัวได้ดีนัก เลยต้องอาศัยเกาะเกี่ยวสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อยกระทั่งเข้ามาในห้องน้ำได้สำเร็จ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปเปิดฝักบัว ปล่อยให้น้ำเย็นไหลชโลมลงมาบนร่างกายเพื่อเรียกสติ
ถ้าเปิดเพลงเศร้าๆ ที่เคยแต่งเข้าไป ฉากนี้ก็คงกลายเป็นเอ็มวีน้ำเน่าดีๆ นี่เอง
ความเย็นของน้ำช่วยให้รู้สึกดีขึ้นในตอนแรก แต่ต่อมามันก็พาเอาความเหน็บหนาวมาให้ ผมกอดตัวเอง จมดิ่งไปกับสารพัดเรื่องราวซึ่งกำลังตีวนอยู่ในหัว ทั้งสับสนและเจ็บปวด บางครั้งก็นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาดื้อๆ ที่ทำไมถึงเข้มแข็งไม่ได้เท่าเดิม ทำไมถึงยังคาดหวังว่าเขาจะกลับมา ทำไม...
เราไม่ได้พูดเรื่องที่ควรเคลียร์
ผมเป็นศิลปินที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย เขาเป็นศิลปินที่บางครั้งก็ดูเข้าใจยาก
‘ผมไม่เข้าใจว่าความรู้สึกชอบที่มีให้คุณมันจริงหรือเปล่า บางทีผมอาจจะหลงไปกับความแสนดีของคุณเท่านั้น’
‘ลองดูมั้ยล่ะ เปิดใจหน่อย คุณจะได้รู้ว่าชอบจริงหรือแค่อยากชอบ’
‘แล้วถ้าเกิดผมชอบคุณจริงล่ะ’
‘เราก็มาคบกัน’
‘แต่ถ้าคำตอบออกมาว่าไม่ใช่ คุณจะทำยังไง’
‘ไม่ทำไง’
‘...’
‘ก็แค่รักคุณข้างเดียวต่อไป’
ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลราวกับสายน้ำ
ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นผมอยากให้มันเป็นเรื่องจริง อยากให้สิ่งที่เขาเคยบอกในวันนั้นไม่ใช่คำโกหกหลอกลวง ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะไม่เหลือความรักอยู่ในใจของเขาแล้วก็ตาม
สายน้ำยังคงตกกระทบบนร่างกายไม่หยุด ความเย็นของมันผลักให้ขนอ่อนตามร่างกายลุกซู่ ผมกอดตัวเองอยู่อย่างนั้น ก้มมองทุกตารางผิวบนร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการร่วมรัก มันยังคงติดตรึงไม่จางหาย แถมของเหลวที่คั่งค้างอยู่ในร่างกายยังเป็นตัวบ่งบอกชั้นดีว่าทุกอย่างเคยเกิดขึ้นจริง
ผมกัดปากแน่น ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างจนสนิท จากนั้นจึงตัดสินใจเอื้อมมือติดสั่นของตัวเองไปยังช่องทางด้านหลัง พยายามอย่างมากเพื่อเอาน้ำรักสีขาวขุ่นออกมาแม้จะไม่เคยทำมาก่อน
ผมอยากให้เขาอยู่ตรงนี้ ปลอบใจหรือพูดอะไรก็ได้ให้คลายความโดดเดี่ยว แต่ยุคไม่เคยมา
และคงไม่มา...
เดี่ยวศตวรรษ…
ผมไม่คิดว่าจะมีช่วงเวลาที่ตัวเองต้องย่ำเท้าออกมาจากห้องในตอนกลางดึก จากที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะอยู่กับชยินไปจนถึงเช้า ทว่าก็ยังมีเรื่องเข้ามาแทรกจนอยู่นิ่งไม่ไหว สายแล้วสายเล่าโทรเข้ามาที่เบอร์ของผม มันเป็นชื่อของคนคุ้นเคยและผมรู้ว่าเธอกำลังเผชิญอยู่กับอะไร
แฟนเก่า
คำนี้มันควรตัดขาดไปนานแล้วแต่สุดท้ายก็ยังคงวนเวียนในชีวิต ผมใช้จังหวะที่ชยินกำลังหลับด้วยความเหนื่อยอ่อนเดินลงมาด้านล่างอย่างเงียบๆ เพราะไม่อยากปลุกให้เขาตื่นเพื่อฟังเรื่องไม่สบายใจตอนนี้
“ยุค” ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรออยู่ตรงล็อบบี้ เธอเรียกชื่อผม สีหน้าดูไม่ดีเท่าที่ควรจนต้องสืบเท้าเข้าไปหา แต่ก็ยังเว้นระยะห่างเอาไว้ไม่ให้ใกล้เกินพอดี
“ดรีมมีอะไรหรือเปล่า แล้วรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่” ผมไม่เคยบอกว่าอยู่ที่ไหน และมั่นใจว่าไม่เคยหลุดปากพูดออกไปด้วยซ้ำว่าชยินอยู่ที่นี่ เนื่องจากไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายต้องเป็นกังวล
“เราถามท็อป ตอนนี้เรารู้สึกไม่โอเค” เธอพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“แล้วกินยาหรือยัง”
“กินแล้ว แต่มันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยยุค...” ดรีมพูดเหมือนจะร้องไห้ ผมเข้าใจดีว่าไม่มีใครผ่านเรื่องร้ายๆ ได้เพียงลำพัง แต่บางครั้งผมก็ไม่ได้เก่งหรือฉลาดที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างให้จบเพียงวันเดียว
“ตอนนี้อยู่กับใคร”
“เราอยู่คนเดียว มันเคว้งมาก ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ยุคช่วยอยู่เป็นเพื่อนเราได้มั้ย อย่างน้อยก็จนกว่าจะเช้า” ประโยคนั้นเหมือนกับก้อนหินหนักหลายร้อยตันร่วงมาทับบนร่างกายของผมอย่างจัง
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่ได้อยู่กับชยิน และเขากำลังนอนหลับไปทั้งน้ำตาอยู่ข้างบน
“ดรีมมีเพื่อนคนอื่นที่พอจะอยู่เป็นเพื่อนมั้ย”
คราวนี้คนตรงหน้าส่ายหัว ผมถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนทิ้งตัวลงเบาะตรงข้ามกับอีกฝ่าย
“ไม่ใช่เพราะดรีมไม่สำคัญ แต่ตอนนี้คนที่เราชอบเขาก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่” ดรีมรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของผมกับชยินเป็นยังไง เธอบอกว่าเข้าใจทั้งที่รู้ว่ามันไม่จริง
“เราไม่ได้อยากเรียกร้อง แค่บางครั้ง...” เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกนอกจากก้มหน้า เหมือนพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลอย่างสุดความสามารถ
ที่ผ่านมาผมคิดว่าตัวเองฉลาดมาตลอด รู้ว่าควรหรือไม่ควรทำยังไง รู้ว่าต้องแก้ปัญหาแบบไหนถึงจะดีต่อทุกฝ่าย แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าแฟนเก่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและเธอไม่เหลือใครเลย ส่วนชยินเราก็ยังไม่ได้เคลียร์ปัญหากันจนกลัวว่าสุดท้ายทุกอย่างจะสายเกินแก้
ผมอยากใช้เวลาอยู่กับชยิน แต่ดรีมที่ไม่เหลือใครมันก็ทำใจยากเกินกว่าจะปล่อยปละละเลย
“เดี๋ยวเราจะโทรหาไอ้ท็อป มันมีเพื่อนหลายคน บางทีอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
“เป็นยุคไม่ได้เหรอที่อยู่กับเรา”
“ดรีม ไม่ได้หมายความว่าเป็นเราไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเธอไม่สำคัญแต่บางครั้งเราก็ต้องเลือก” ที่ผ่านมาผมเลือกแคร์ดรีมมาตลอด แคร์จนหลงลืมใครอีกคนไป ซึ่งมันถึงเวลาแล้วที่ควรหนักแน่นกับตัวเองสักที
“เราเข้าใจ”
“ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ไม่ใช่เพราะอยากปลอบใจให้พ้นๆ แต่มันจะมีวันที่ดรีมดีขึ้น” ผมพูดจากใจ ซึ่งดูเหมือนว่าคนฟังจะยอมรับด้วยการพยักหน้าหงึกหงัก
ผมไม่รอช้าหยิบมือถือต่อสายหาไอ้ท็อป ช่วงหลังมานี้มันค่อนข้างตื่นตัวอยู่ตลอดหลังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของผมบ้าง ท็อปเป็นเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษาได้ดี แม้บางครั้งปัญหาที่ถาโถมเข้ามาจะไม่ได้คลี่คลายเท่าไหร่นัก
เราพูดคุยกันพักหนึ่งก่อนวางสาย ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดปลอบใจอะไรเลยได้แต่นั่งนิ่ง คิดทบทวนเรื่องต่างๆ อยู่ในหัว
ความสัมพันธ์ของผมกับดรีมจบลงเมื่อหลายปีก่อน เราคบกันตอนเรียนอยู่มหา’ลัย แต่ความต่างของนิสัยรวมถึงอะไรหลายๆ อย่างทำให้เราสองคนต้องยุติมันด้วยการเลิกราเหมือนกับหลายๆ คู่ ทว่าเราก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
อาจไม่ได้พูดคุยกันบ่อยอย่างสนิทสนม แต่เมื่อมีปัญหาก็พร้อมจะรับฟังเสมอ นานมาแล้วที่ผมไม่ได้เจอกับดรีมเพราะรู้ว่าเขาเริ่มต้นใหม่กับใครอีกคนไปแล้ว ส่วนผมก็ง่วนอยู่กับการทำงานก่อนจะได้เจอกับชยิน นั่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เกิดความรู้สึกว่าอยากมีความรักอีกครั้ง
เป็นความรักที่ไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ เพราะมันไม่ได้เกิดจากความเลือดร้อนตามประสาวัยรุ่น แต่เกิดจากความรู้สึกที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว ผมคาดหวังให้มันเป็นความรักที่ยาวนาน จนตอนนี้ก็ยังคงคิดอยู่
“เขาเป็นยังไงบ้าง” หลังต่างคนต่างเงียบอยู่นาน ดรีมก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็น
ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางยิ้ม
“ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ชยินค่อนข้างอ่อนไหวน่ะ”
“ฝากขอโทษด้วยนะ เราผิดเอง”
“มันไม่ใช่ความผิดของดรีม บางครั้งคนเราก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครตอนที่ตัวเองกำลังลำบาก”
“เราอยากดีขึ้น”
“ดรีมจะดีขึ้น”
“แต่เรายังคิดถึงเขาอยู่เลย”
“เข้าใจ” แม้รู้ดีว่าคนๆ นั้นอาจไม่กลับมาแล้ว “วันนึงอาจจะคิดถึงน้อยลง”
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า รู้ตัวอีกทีมันก็ผันผ่านไปเกือบชั่วโมง ความกังวลใจที่สุมอยู่ในอกค่อยๆ ทวีขึ้นเรื่อยๆ ผมกลัวว่าชยินจะเผลอสะดุ้งตื่นแล้วพบว่าข้างกายไม่มีใครอยู่ กลัวว่าเขาจะร้องไห้เสียใจที่ผมไม่อยู่ตรงนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น จนกระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท
ปลดทุกพันธนาการที่รั้งให้ผมต้องอยู่ตรงนี้ออกไปในพริบตา
“ขอโทษที่ทำให้รอนาน คือกูแวะไปรับขวัญมาก่อนเลยช้านิดหน่อย ดรีมเป็นไงบ้าง” ไอ้ท็อปเดินเข้ามาประชิด พลางเอ่ยถามเจ้าของชื่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่โอเคเท่าไหร่ เรา...อยู่คนเดียวไม่ได้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน ส่วนนี่ชื่อขวัญนะ ขวัญจะมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยอีกคน”
“รบกวนด้วยนะ”
“เฮ้ยไม่เป็นไรเพื่อนกัน ว่าแต่เรากลับกันเลยมั้ย” ดรีมพยักหน้าอย่างจำยอม ก่อนจะถูกเพื่อนผู้หญิงอีกคนจูงมือเดินออกไป หลงเหลือแต่ผมกับไอ้ท็อปที่มองหน้ากันนิ่งๆ
“เพื่อนกูเป็นนักจิตวิทยา มันพอช่วยดรีมได้”
“ขอบใจมาก” ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนอกเหนือจากคำนี้ ทุกอย่างในหัวแม่งตื้อไปหมด
“เคลียร์กับชยินยัง” ไอ้ท็อปถามต่อ
“ยัง”
“ทำไมยังช้าอีก นี่ก็หลายวันแล้วนะเว้ย มึงจะให้มันอกแตกตายเหรอ”
“แค่กำลังหาโอกาส แต่ก็เกิดเรื่องก่อนตลอด มึงก็รู้ว่าดรีมกำลังป่วย มันยากที่จะทิ้งเขาให้เผชิญปัญหาตามลำพังจริงๆ” ไม่ใช่ว่าไม่พยายาม แต่คนหนึ่งก็รัก อีกคนก็ต้องดูแล เพราะไม่รู้ว่าวันไหนอีกฝ่ายจะเกิดคิดสั้นอีก
“มันไม่ใช่สิ่งที่มึงต้องรับผิดชอบขนาดนั้นเว้ยยุค เพราะป่วยเหรอถึงต้องรับผิดชอบ”
“ดรีมไม่เหลือใคร”
“เขามีคนที่คอยดูแลอยู่แล้ว แต่ที่เขาไม่ไปเพราะนึกถึงมึงเป็นคนแรกต่างหาก”
“...”
“ไอ้ยุค มึงแคร์คนที่มึงรักน้อยไปจริงๆ”
“กูรู้ว่าตัวเองแย่” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าจนรู้สึกได้ ขณะที่คนตรงหน้าก็เอาแต่ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกอีกอย่างนึกปลง
“เอาเถอะแม่งไม่ใช่เวลามาตัดพ้อป่ะวะ รีบขึ้นไปดูชยินเร็ว มันหลับอยู่ป่ะ”
“อาจจะ”
“ยังไงคืออาจจะ มึงไม่ได้ทำอะไรมันใช่มั้ย”
คราวนี้ผมไม่ตอบแต่เปลี่ยนเป็นปัดมือไล่เพื่อนสนิทให้รีบกลับ ซึ่งเหมือนมันจะเข้าใจความหมายเลยรีบผละไปอีกทาง ส่วนผมก็แวะไปที่มินิมาร์ทใต้คอนโดเพื่อซื้อของจำเป็นบางอย่างก่อนกลับขึ้นห้อง
ทุกก้าวที่ย่ำไปข้างหน้าเหมือนพาเอาความทรงจำที่ผ่านมาให้หวนนึกถึงอีกครั้ง ตอนที่ความสัมพันธ์ของผมกับชยินกำลังเป็นไปด้วยดี วันหนึ่งมันกลับสะดุดลงเพราะเรื่องเล็กน้อยที่ค่อยๆ บานปลาย
ถ้าวันนั้นเราคุยกัน มันอาจไม่เป็นแบบนี้...
‘มาทำไมเนี่ย ว่างนักเหรอมึง’
ผมโพล่งประโยคแรกที่เป็นเหมือนคำทักทายกับคนตรงหน้า ไอ้ท็อปยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงประตู ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินเข้ามาในห้องพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี
‘ไหนบอกเลิกบุหรี่แล้ว’
‘ก็ไม่ได้สูบ แค่พกไว้ให้อุ่นใจ’
คนฟังเบะปากรับ ขณะทิ้งตัวลงบนโซฟาราวกับเป็นเจ้าของห้อง
‘จีบไอ้ชยินเป็นไงบ้าง คืองี้กูคิดแผนได้อย่างนึง เผื่อมึงเอาไปใช้รับรองว่าได้ผลชัวร์’ ไอ้นี่ก็อย่างนี้แหละ พอเห็นความสัมพันธ์ของผมกับชยินไม่ค่อยคืบหน้า แม่งจะรีบคิดอะไรแผลงๆ มาเสนอทันที
แต่คราวนี้ผมไม่อยากรับฟังเท่าไหร่นัก
‘มึงไม่ต้องเสนอแล้ว พรุ่งนี้กูจะไปบอกความจริงกับชยิน’
‘ความจริงอะไรวะ เรื่องที่มึงคือหมีใหญ่อ่ะเหรอ’
‘อืม’
คิดเอาไว้นานแล้ว บางทีมันควรถึงเวลาสักที ที่ผ่านมาผมยื้อให้ชยินรู้สึกสับสนมานานจนบางครั้งก็อดสงสารไม่ได้ เขาไม่ควรต้องเสียเวลาหรือปวดหัวกับเรื่องนี้อีก
‘กูล่ะอยากเห็นหน้ามันจริงๆ ว่าจะตกใจแค่ไหน แต่บางทีเตรียมใจไว้ก็ดีมึงอาจจะเจอแม่งอาละวาดใส่’
‘ทำใจไว้แล้ว’ ผมเอ่ยสั้นๆ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบหนังสือชื่อ Hear the wind sing ของมูราคามิขึ้นมา เพราะมันคือหนังสือเล่มสุดท้ายที่อยากมอบให้เขา
‘เออ แล้วไอ้ริวนี่ยังไง มันยอมถอยยัง’
‘ไม่ถอยก็เรื่องของมัน’
‘จริง ยังไงความหื่นของมึงที่มีให้ชยินก็เยอะกว่าไอ้ริวแน่นอน’
ผมหันไปมองคนพูด ก่อนยกนิ้วกลางส่งไปให้เป็นการตัดรำคาญ แต่ดูเหมือนว่าไอ้ท็อปจะชอบใจพล่ามต่อไม่หยุด
‘เชื่อเถอะ ฮอนด้าซิตี้ยังไงก็สู้ออดี้ได้แน่นอน’
‘มึงยังไม่หยุดอีกเหรอ’
‘โอเคกูหยุดก็ได้’
‘...’
‘แต่ถ้าได้คบกันเมื่อไหร่มึงช่วยเลี้ยงข้าวกูมื้อใหญ่ๆ ด้วยนะ’
‘พบๆ ไสหัวไปเลยมึงอ่ะ’
‘กูไปแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ มีปัญหาอะไรอย่ามาง้อกูแล้วกัน’
ผมจำไม่ได้แล้วว่าเราพูดถึงเรื่องชยินกันไปเท่าไหร่ แต่มันคงยาวนานพอสมควรเพราะแทบไม่มีเวลาโน้มตัวลงหลับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะตื่นเต้นด้วยล่ะมั้ง แค่คิดว่าจะได้เจอหน้าคนที่ชอบ ความสุขก็พุ่งจู่โจมเข้ามาทันที ดังนั้นผมเลยไม่รอช้าตื่นขึ้นมาแต่เช้า
เคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เลือกเสื้อผ้าที่คิดว่าดูดีที่สุดแม้ในตู้จะมีแค่สีดำกับขาวก็ตามที ที่ขาดไม่ได้เลยเห็นจะเป็นหมวกแก๊ปยี่ห้อ Moncler ที่ชยินเคยซื้อให้ มันกลายเป็นหมวกใบโปรดที่ผมมักหยิบมาใส่เป็นประจำ และวันนี้มันก็เป็นวันสำคัญที่คงลืมใส่ไม่ได้
ผมขับรถมุ่งหน้าไปยังคอนโดของชยินในเวลาบ่ายสามกว่าๆ ใช้จังหวะที่คนเดินลงมาข้างล่างกดลิฟต์ขึ้นไปด้านบนอย่างที่มักทำ จนกระทั่งมาหยุดยืนหน้าประตูหมายเลขเดิมที่แสนคุ้นตา
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังอยู่สามครั้ง ผมแทบไม่อยากรอเวลาให้ผ่านไปเลยด้วยซ้ำเพราะอยากเจออีกฝ่ายให้เร็วขึ้น จะเป็นหน้าบูดบึ้งเหมือนทุกครั้ง หรือรอยยิ้มน้อยๆ เหมือนคนเขินอายมันก็ดีต่อความรู้สึกของคนมองไม่ต่างกัน
แต่ทว่าหลังจากเคาะประตูห้องไปได้พักหนึ่งด้านในก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ ผมจึงลองเคาะใหม่อีกรอบซึ่งก็ได้ผลเหมือนเดิม วินาทีนั้นสิ่งเดียวที่คิดได้เลยก็คือโทรศัพท์มือถือ แต่มันแย่ตรงที่ผมรีบมาหาเขาเกินไปเลยลืมเอาไว้ในห้อง
เหี้ยฉิบหายเลย
ผมใช้เวลายืนอยู่ตรงนั้นเพื่อเรียกคนด้านในครู่หนึ่ง กระทั่งมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่อยู่ถึงได้ทรุดตัวลงนั่ง และเฝ้ารอว่าคนตัวเล็กกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เรานัดกันไว้เมื่อวาน แต่แย่หน่อยที่ไม่ได้กำหนดเวลาให้ตายตัว ชยินเลยยังไม่รู้ว่าผมมารออยู่ก่อนแล้ว
ตอนที่คนเรากำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างด้วยใจจดจ่อ โลกก็เหมือนจะกลั่นแกล้งเราอยู่เสมอ ผมรู้สึกว่าเวลาเดินช้าลงเรื่อยๆ ราวกับหยุดชะงัก กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวินาทีก็ทำเอากระวนกระวายได้เหมือนกัน
ช่วงเวลาสี่โมงเย็นเป็นช่วงที่รู้สึกอึดอัดน้อยที่สุด ผมบอกตัวเองว่าเขาอาจออกไปซื้อของข้างนอกเลยยังไม่กลับมา ทว่าความคิดนี้ก็หายไปเมื่อเข็มนาฬิกาข้อมือหมุนเวียนมาที่เลขหก
ชยินยังไม่กลับมา ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ลองเคาะประตูห้องอีกครั้งเพื่อความมั่นใจแต่ก็ได้คำตอบดังเดิมคือความเงียบ จึงตัดสินใจนั่งลงและรอต่ออย่างใจจดจ่อ
ผมอ่านหนังสือทุกเล่มของมูราคามิหมดแล้ว ดังนั้นเลยไม่มีอะไรให้อ่านฆ่าเวลา มือถือก็ลืมไว้ในห้อง คนที่รอก็ยังไม่กลับ รอบตัวมีแต่ความว่างเปล่าที่เหมือนไม่รู้จะขจัดออกยังไงนอกจากหายใจทิ้งไปเฉยๆ
หนึ่งทุ่ม...
เสียงประตูลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของคนไม่คุ้นเคย ความจริงก็คือเพื่อนบ้านของชยินนั่นแหละ เขาเดินออกมา จากนั้นก็ลากเท้าไปยังมุมห้องอย่างเงียบเชียบโดยไม่ได้เอ่ยทักทายหรือพูดประโยคใดๆ กับผม
สองทุ่ม...
จิตใจเริ่มกระวนกระวายเป็นเท่าตัว ผมไม่คิดว่าเขาจะลืมหรือผิดนัด แต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตรายมากกว่า ความห่วงที่เอ่ออยู่ในอกกำลังบอกให้ผมรีบกลับไปที่ห้องเพื่อกดมือถือไปหาเขา ทว่าทุกอย่างก็เป็นแค่ความคิด ผมยังอยู่ที่เดิม และตั้งหน้าตั้งตารอต่อไปอย่างเงียบๆ
สามทุ่ม...
สิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกเขาในวันนี้ไม่ได้มีแค่คำสารภาพหรือบอกความจริงว่าผมเป็นใคร เพราะมันคงไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้น แต่สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุด...คือการนอนหนุนตักเขาต่างหาก
เราพูดเรื่องความฝัน มีเขาคอยกล่อมและลูบหัวเหมือนเด็กๆ ครั้งหนึ่งเราเคยแชร์กันทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลกขบขันหรือวันเศร้าหมองของตัวละครในหนังสือ บทเพลงที่เขาแต่ง ความตรากตรำตอนที่ได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงลำพังในห้อง ผมอยากพูดและฟังมันทั้งหมด
ก็ได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับมาให้ผมได้มีโอกาสทำอย่างนั้นสักที
ชยินเป็นเหมือนโลกทั้งใบของผม
ตอนเจอเขาครั้งแรก ผมอดทึ่งในความเป็นธรรมชาติของเขาไม่ได้ ทั้งกวนตีนและดูหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาแม้เจ้าตัวจะพยายามตีหน้ายิ้มเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อ แต่เขาคงลืมไป ทุกสิ่งที่คิดล้วนแสดงออกมาทางแววตาซะหมด
ชยินไม่เคยปกปิดอะไรใครได้ เขาดูใสซื่อ เป็นกันเอง ไม่มีพิษมีภัย เป็นคนมีความฝันและความคิดที่แปลกประหลาดพอกัน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหงา แต่เป็นความเหงาที่ไม่ได้โหยหาเพื่อจะมีใครเหมือนคนอื่นๆ ผมชอบดวงตาคู่นั้นที่บ่งบอกทุกอย่าง
ความรู้สึกอยากทำความรู้จักวนเวียนอยู่ในใจ ผมเลยไม่รีรอที่จะขอเบอร์หรือทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เวลาเคลื่อนผ่านจากวันเป็นเดือน...ผมมองเห็นด้านดีและแย่ของเขา แต่นั่นยิ่งผลักดันให้ผมหลงรักคนคนนี้มากขึ้นไปอีก
แล้ววันนี้มันก็คงถึงเวลาสักทีที่เราจะได้เปิดอกคุยกันตรงๆ
ไม่มีความลับสำหรับเรา จะมีแค่ผมกับเขา
แต่...
เสียงลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง ผมมองไปยังต้นเสียงก่อนจะเห็นร่างบางของคนคุ้นเคยอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ขณะที่ข้างกายยังมีใครอีกคนยืนอยู่ด้วย
‘ยุค...’
เจ้าของเสียงน่าฟังเรียกชื่อผม นัยน์ตาสีดำอมเศร้าจ้องมองไม่กะพริบพลางสาวเท้ามาข้างหน้าอย่างไม่ลดละ
ผมชันตัวลุกขึ้นยืน ส่วนไอ้ริวเดินกลับเข้าไปในลิฟต์โดยไม่เอ่ยทักทายผมแม้แต่ประโยคเดียว ดังนั้นเลยเหลือแค่ชยินที่ยืนอยู่ตรงนี้พร้อมกับคำถามที่ทำเอายิ้มขื่นเมื่อได้ยิน
‘รอนานมั้ย’
‘ไม่นาน’ ผมตอบสั้นๆ ไม่ได้หวังให้เขารู้สึกแย่
แม้ลึกๆ จะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมเขาถึงไปกับไอ้ริว ทำไมถึงเลือกลืมนัดของผมอย่างง่ายดาย ทุกอย่างตีรวนยุ่งเหยิงอยู่ในหัว หรือความจริงแล้วผมไม่ได้สำคัญกับเขาขนาดนั้นกันแน่
‘กี่โมง’ คนตรงหน้ายังคงถามต่อ
‘ทำไม’
‘กี่โมง’
‘สี่’
‘ผม...ผมโทรหาคุณแล้วแต่ก็ไม่ติด ส่งข้อความหาก็ไม่อ่าน วันนี้ริวมันบังเอิญชวนออกไปดูหนังกับเพื่อนๆ แล้วคือ...’ สิ่งที่ได้ยินคงเป็นเพียงคำแก้ตัว
ชยินไม่ได้ผิดอะไรที่จะทำแบบนี้ ผมต่างหากที่สำคัญตัวเองผิดไป
และเพิ่งรู้คำตอบตอนนี้เองว่าเขาเลือกอีกฝ่ายไม่ใช่ผม
‘ผมบอกว่าชอบทุกอย่างที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะข้อเสียอะไรก็ช่างผมมองมันเป็นเรื่องดีเสมอ แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ ทำไมวะชยิน แค่บอกว่าไม่ชอบก็จบเรื่อง ผมไม่ได้ขอให้คุณรับผิดชอบความรู้สึกของผมสักนิดเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างที่คุณอยากได้ แค่บอกมาผมก็ให้ได้ทุกอย่าง แต่ถ้าอย่างไหนที่ให้ไปแล้วคุณไม่ต้องการก็แค่พูดออกมาตรงๆ มันไม่มีอะไรที่เข้าใจยากหรอก’
‘หมายความว่าไง’
‘คุณคุยกับไอ้ริว คุณไม่ผิด คุณไม่ผิดที่จะคุยกับใครหลายคนแต่ควรจะบอกผมด้วย’
‘เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว’
‘ผิดยังไง สิ่งที่ผมเห็นอยู่มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ’
‘คุณกำลังคิดเองเออเองอยู่นะ ช่วยฟังผมอธิบายก่อน’
ชยินพูดเหมือนจะร้องไห้ แต่ผมก็ยังควบคุมตัวเองอย่างหนักเพื่อไม่ให้ถลาเข้าไปกอดเขา
‘งั้นบอกผมสิ ทำไมคุณถึงไปกับมัน’
‘ริวแค่อยากฉลองเพราะหัวข้อวิจัยผ่าน’
‘คุณก็เลยไป’
‘ใช่’
‘คุณไปทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าผมจะมาหาคุณ คุณรู้อยู่แล้วแต่ไม่ยอมปฏิเสธมันไปตรงๆ ผมไม่ได้อยากแข่งกับใคร คุณเองก็คงอึดอัดเหมือนกันใช่มั้ย คุณสับสนผมรู้ หลายครั้งที่ผมโยนความไม่สบายใจมาให้ โยนคำว่าชอบมาให้ บางทีคุณอาจไม่ต้องเหนื่อยถ้าผมไม่พยายามยัดเยียดอะไรก็ตามให้คุณอีก’
‘หมายความว่าไง คุณจะทิ้งผมเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย คุณจะล้มเลิกความตั้งใจทุกอย่างทั้งหมดเลยใช่มั้ย’
‘...’
‘ถ้าใช่ก็ไปเลย ในเมื่อคุณไม่ฟังก็ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก’
ประโยคนั้นเหมือนค้อนหนักๆ ตีแสกเข้ามาที่หน้าอย่างจัง มันไม่ใช่เพราะผมอยากทิ้งเขา แต่เป็นเพราะชยินไม่ได้เลือกผมแล้วต่างหาก
เสื้อผ้าที่เลือกใส่มาอย่างดี หมวก Moncler ที่เขาซื้อให้ หนังสือของมูราคามิเล่มสุดท้ายที่ถือติดมา รวมไปถึงความจริงบางอย่างที่อยากพูดออกไปตรงๆ วันนี้มันคงเปล่าประโยชน์เมื่อเขาไม่ต้องการ
และผมไม่อยากให้เขาต้องเหนื่อยหรือฝืนที่ต้องรับสิ่งที่ผมยัดเยียดให้อีก
‘ความจริงแล้วรักมันก็ไม่มีอะไรยากหรอก แต่เรื่องระหว่างคุณกับผมมันคงเป็นไปได้ยากจริงๆ’
‘...’
‘อือ ผมจะไป’
ที่ถอยไม่ใช่เพราะยอมแพ้ แต่เพราะแพ้แล้วจริงๆ ต่างหาก
ผมเดินคอตกลงมาข้างล่าง สิ่งเดียวที่อยากทำตอนนี้เลยคือนอน นอนไปจนถึงบ่ายเพราะไม่รู้ว่าจะมีวิธีไหนที่ดีกว่านี้อีก ไม่คิดเลยว่าเมื่อลงมาถึงใครบางคนจะนั่งรอตรงล็อบบี้อยู่ก่อนแล้ว
‘ขอคุยด้วยหน่อยสิ’
‘ไว้วันอื่น’ ผมปัดปฏิเสธตรงๆ
‘ถ้าเรื่องที่กูอยากคุยมันเกี่ยวกับชยินล่ะ มึงจะหยุดคุยกับกูสักสามนาทีได้มั้ย’ ผมถอนหายใจ ก้าวขาไปหาไอ้ริวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าที่ควร
‘มีอะไร’
‘วันนี้กูไปดูหนังกับชยิน’
‘กูรู้’ ผมแข่งขันกันไอ้ริวมาตั้งแต่มัธยม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแข่งกับมันเรื่องความรักด้วย
‘กูเองก็รู้ว่าเขามีนัดกับมึง แต่มันคงไม่ผิดใช่มั้ยที่เขาเลือกมากับกู’
‘หึ!’ ผมแค่นยิ้ม ทั้งที่ในใจรู้สึกเหมือนกับถูกเท้าของคนตรงหน้าบดขยี้จนแหลก
‘กูไม่เคยคิดจะแข่งกับมึงเว้ยยุค แต่กับชยินกูชอบเขาจริงๆ ว่ะ’
‘...’ ผมเงียบ ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ กลับไป
‘จะต่อยกูก็ได้นะ เต็มที่จนกว่ามึงจะพอใจเลย’ สิ้นสุดคำพูดนั้นผมถลาเข้าไปหาอีกฝ่าย กระชากคอเสื้อของมันเอาไว้ ขณะมืออีกข้างเงื้อขึ้นสูงพร้อมจะฟาดลงบนหน้าหล่อเหลาเต็มแรง
‘ต่อยเลยยุค’
‘…’
‘แล้วมึงเลิกยุ่งกับชยินซะ ถือว่ากูขอล่ะ’
ร่างกายคล้ายกับหมดเรี่ยวแรงไปดื้อๆ นอกจากไม่ต่อยแล้ว ผมยังทำได้แค่ก้มหน้ารับฟังอย่างพวกขี้แพ้ ก่อนจะตระหนักได้ว่า...
ต่อให้รักแค่ไหน ก็เอามาเป็นของตัวเองไม่ได้อยู่ดี
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 15
ไม่เคย ‘ลืมเลือน’
ชีวิตของไอ้ชยินกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ไม่มีซีนดราม่าตัดพ้อหรือหนีปัญหาไปกระโดดโลดเต้นกลางคอนเสิร์ตในสภาพกระเป๋าตังค์แบนเหมือนที่ผ่านมาอีก
ผมเริ่มใช้เวลาทำงานอยู่ที่ห้อง แต่ในทุกๆ วันไอ้คุณยุคก็มักจะแวะเวียนมาหาเสมอ บางวันซื้อของติดมือมาบ้าง บางวันก็หอบผ้าหอบผ่อนมานอนด้วยแบบงงๆ ความเก้อเขินที่มีในตอนแรกเลยลดน้อยลงกลายเป็นความเคยชินไปทีละนิด
ถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ก็คงบอกได้แค่ว่าไม่คืบหน้า แบบ...ได้กันแล้ว เออได้กันจริงแต่ก็ไม่เคยได้ยินคำขอเป็นแฟนหลุดออกมาจากปากของมันสักคำ พาลให้เครียดอยู่หลายวันจนกระทั่งได้คุยกับไอ้เบิร์ด คำปลอบใจของมันทำให้จิตใจผมเริ่มสงบ มองในแง่ดีไม่ขอก็ช่างแม่ง ใช้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด
อีกอย่างผมก็เป็นผู้ชายด้วย ไม่มีอะไรให้ต้องรับผิดชอบหรอก
ที่สำคัญเลยก็คือ...ผมดันไปเสนอตัวให้เขาเองยังจะเรียกร้องอะไรอีก อยู่เงียบๆ อย่างมีศักดิ์ศรีบ้างก็คงจะดี
แม่ง แล้วนี่นอยด์อะไรอีกวะเนี่ย คิดถึงเรื่องนี้ทีไรใจมันอ่อนเหลวทุกที ชอบท่อนนี้ว่ะ! จดไว้เผื่อเอาไปแต่งเพลงแล้วกัน
ก๊อกๆๆ
ผมหันขวับไปยังต้นเสียงทันที มีไม่กี่คนหรอกที่จะโผล่มาเคาะถึงหน้าห้องโดยไม่มีคีย์การ์ดแต่กลับเดินตัวปลิวมาหาได้ทุกวี่ทุกวัน ผมชันตัวขึ้น เดินไปเปิดประตูก่อนจะพบรอยยิ้มที่ทำเอาเข่าอ่อนทักทายอยู่ตรงหน้า
วันนี้ยุคยังคงสวมฮู้ดสีดำ กางเกงยีนส์ขาดเข่า กับหมวกแก๊ป A.P.C. ซึ่งขับเน้นลุคนักฆ่าได้เป็นอย่างดี ในมือของเขาไม่มีของอย่างอื่นติดมาด้วย จะมีก็แต่เป้สีดำสนิทหนึ่งใบที่สะพายอยู่ด้านหลังเท่านั้น
“ว่างนักเหรอคุณถึงได้ถ่อมาทุกวี่ทุกวัน”
“ไม่ว่าง โดนเดดไลน์งานอีกแล้วแต่ก็ต้องมาหาคุณ”
“ไม่เห็นต้องเหนื่อยขนาดนั้น”
พูดไปก็เหมือนจะไม่ฟังเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามาภายในห้อง จุดแรกที่ตรงไปเลยก็คือตู้เสื้อผ้า เขาหยิบเอาข้าวของในนั้นใส่กระเป๋าเป้อย่างถือวิสาสะ
“เฮ้ยๆ ทำอะไรของคุณเนี่ย” ผมแหวขึ้นมาทันที ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
“วันนี้ไปอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อย”
“งานเร่งไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงต้องให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย โตแล้วนะคุณ”
“คิดอะไรไม่ออก ไม่มีกำลังใจ”
“ออกไปเที่ยวกับเพื่อนได้”
“เดี๋ยวงานเสร็จไม่ทัน”
“ทำอย่างกับมาหาผมแล้วจะเสร็จทันอย่างนั้นแหละ”
คราวนี้คนตัวสูงไม่ตอบ แต่เร่งฝีเท้าเข้าไปยังห้องน้ำ คว้าเอาของใช้ส่วนตัวบางอย่างที่ผมต้องใช้ใส่กระเป๋า จากนั้นก็เดินหน้าตายมาถามอย่างเนียนๆ
“พร้อมยัง”
“อะ...อะไรของคุณเนี่ย”
“แต่งเพลงอยู่ใช่มั้ย โอเคไปหยิบกีตาร์กับสมุดจดเพลงมา เดี๋ยวเราต้องรีบไปกันแล้ว”
“ไปไหน”
“ห้องผม” พอเห็นว่าผมยังคงนิ่ง สองเท้าก็เดินไปหยิบกีตาร์แล้วกลับมาคว้าข้อมือของผมเอาไว้อย่างแนบแน่น ขณะกูนั้นยังขืนตัวไม่ยอมขยับเขยื้อนเพราะยังมึนอยู่
“ชยินผมทำงานไม่ได้ถ้าคุณไม่อยู่ มันไม่มีสมาธิ”
“แล้ว...แล้วทำไมคุณไม่หอบข้าวของมาที่ห้องผมเองเล่า” ดวงตาคู่คมจ้องมองกลับ ก่อนริมฝีปากได้รูปจะเอ่ยบอกเสียงเรียบ
“ที่ห้องผมมีของกินเพียบเลย”
“แล้วไง”
“คุณจะกินอิ่มกว่า ที่โน่นมีน้ำผลไม้ ไก่บอนชอนก็มีนะผมสั่งเอาไว้ ขนมก็มีอีกเยอะแยะรับรองว่าไม่อดตายแน่นอน” นึกว่ากูเป็นเด็กเหรอวะถึงได้เอาของกินมาล่อ แต่พอเห็นผมเงียบไปเจ้าตัวก็พูดต่อ “ดีกว่ากินมาม่าเยอะน้า อร่อยด้วยน้า...”
“ไม่ต้องมาพูดกรอกหูผมเลย ไปก็ไปสิ”
ว่าแล้วคนตรงหน้าก็ฉีกยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่สดใสและหล่อฉิบหาย ทำไมกูถึงไม่ยิ้มแล้วหล่ออย่างนี้บ้างวะ
ผมติดรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นคันเดิมไปยังคอนโดห้องเดิมที่แสนคุ้นตา บรรยากาศโดยรอบยังคงอบอุ่นเฉกเช่นทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในโลกของเขา ผมชอบเตียงที่รายล้อมไปด้วยตู้หนังสือที่สุด ดังนั้นเลยไม่รอช้าโถมตัวลงกลิ้งไปมา ก่อนจะหยิบสมุดแต่งเพลงออกมาเขียนทั้งที่ยังนอนเลื้อยอยู่
“อยากกินอะไร เดี๋ยวเอามาให้” เสียงทุ้มถามอย่างใส่ใจ ผมหันไปมองเขาก่อนจะตอบสั้นๆ
“ไก่”
“โอเค”
“แต่ผมกินบนเตียงได้เหรอ”
“ไม่ได้”
“อ้าว” สรุปไม่ได้กินบนเตียงแต่แดกบนพื้นครับ คือจะบอกว่าเป็นเตียงก็คงไม่ถูกซะทีเดียวเพราะห้องไอ้ศตวรรษมันมีแค่ฟูก เพราะงั้นความสูงจากพื้นเลยไม่มากนัก ผมจึงสามารถนอนกลิ้งบนฟูกขณะที่จานไก่และโคล่ายังอยู่บนพื้น โดยสองมือสามารถเอื้อมหยิบของกินได้ทุกเมื่อ
“ขี้เกียจอะไรขนาดนั้น” ผมเบะปากทันทีที่ถูกแขวะ
“มีงานให้เร่งทำก็ทำไปสิ สนใจผมทำไม”
“เดี๋ยวนี้เป็นเด็กกวนตีนแล้วเหรอ”
“ใครเด็ก ช่วยพูดให้มันดีๆ หน่อยนะครับ”
“โอเคคุณไม่ได้เป็นเด็ก คุณเป็นเมียผม”
กูแทบจะปาไก่ใส่หน้าเพื่อระบายความหงุดหงิด แต่ยิ่งแสดงอาการเท่าไหร่ก็เหมือนอีกฝ่ายจะมีความสุขมากเท่านั้น เลยเลือกปิดปากเงียบ ไม่คิดต่อปากต่อคำนอกจากแดกให้เสร็จแล้วกลับมาแต่งเพลงยาวๆ
“เงียบไปเลยอ่ะ โกรธเหรอ”
“...”
“ชยิน”
พอทำเป็นไม่สนใจไปสักพัก เสียงทุ้มที่คอยก่อกวนก็เงียบไป ผมเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาไม่ได้หันมามองผมแล้วแต่เปลี่ยนเป็นจดจ้องที่หน้าจอซึ่งเต็มไปด้วยตัวหนังสือแทน
โกรธกูป่ะวะ...
ไม่น่าเล่นตัวเลยไง จะง้อก็กลัวเสียฟอร์มเลยใช้ความเงียบเข้าสู้บ้าง
ผมเก็บจานไก่ที่เพิ่งกินใส่ไว้ตรงเคาน์เตอร์ครัว ทำความสะอาดพื้นจนเรียบร้อยไอ้ยุคก็ยังไม่ยอมหันมา ผมเลยทำเป็นไม่สนใจบ้างด้วยการหยิบกีตาร์และสมุดเพลงขึ้นมาทำงาน ทั้งที่รู้ดีว่าต่อให้พยายามยังไงก็คงเขียนไม่ออก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปยังไร้ซึ่งสุ้มเสียง ความกระวนกระวายเริ่มเกาะกุมในความรู้สึก ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ส่งเสียงเล็กน้อยเพื่อเรียกร้องความสนใจแต่ก็ไม่เกิดผล
เราสองคนเล่นสงครามประสาทกันอย่างเงียบๆ จนกระทั่งผมหมดความอดทนเป็นฝ่ายทักขึ้นมาซะก่อน
“ทำงานอยู่เหรอ” ลากเสียงยาวเข้าไว้ เผื่ออีกฝ่ายจะได้เห็นใจ
“อืม” ทว่าคำตอบที่ได้กลับสั้นจุ๊ดจู๋ แถมเจ้าตัวยังไม่ยอมหันหน้ามาสบตาด้วยอีก ใจแหว่งไปแล้วกู ทำไมต้องถูกงอนแบบนี้ด้วยวะ
“ละ...แล้วใกล้เสร็จยังอ่ะ”
“ยัง” ถามคำตอบคำจริงๆ เลยมึง
“ผมง่วง”
“นอนไปสิ” จะร้องไห้แล้ววววววววววววววว
ถามว่าเรียกร้องอะไรได้มั้ยก็คงตอบได้ว่าไม่ ยุคอาจจะยุ่งเรื่องงานประกอบกับงอนผีบ้าผีบอใส่ผมอยู่เลยประหยัดคำพูดจนน่าใจหาย ผมเองก็จนปัญญาไม่อยากต่อสู้กับสงครามที่ไม่มีทางชนะเลยขอยกธงขาวยอมแพ้ ก้มหน้าก้มตาเค้นไอเดียอันน้อยนิดกลับมาเขียนเพลงต่อ
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เราเงียบใส่กัน ผมได้ยินเสียงขยับเขยื้อนแต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง จนกระทั่งรับรู้ได้ถึงความอ่อนยวบของฟูกและผมถูกดึงเข้าไปกอดโดยไม่ถามความเห็นกันสักคำ
“อะไรเนี่ย ก่อนหน้ายังเงียบใส่ผมอยู่เลย”
“ผมทำงาน”
“แล้วทำไมเวลาผมพูดคุณไม่ตอบยาวๆ ล่ะ”
“ต้องตอบยาวด้วยเหรอในเมื่อตอบสั้นๆ ก็ได้” มือซุกซนวนเวียนกับการลูบพุงผมไปมา ถึงจะพยายามเบี่ยงตัวออกแต่ก็เหมือนว่าจะไม่ได้ผล เลยต้องยอมนั่งนิ่งให้แม่งซุกหน้าลงซอกคอเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“ทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำถามผะแผ่ว
“แต่งเพลงไง”
“เพลงอะไร” ผมยื่นกระดาษที่เขียนคำว่า ‘ลืมเลือน’ ไปให้เขาดู ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยเสียงหม่นลง “เพลงเศร้าอีกแล้วเหรอ ไม่เหมาะกับคุณเลย”
“แบบนี้แหละที่เหมาะกับผม” เพลงนี้ตั้งใจเขียนขึ้นในวันที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอีกครั้ง ใครจะคิดว่าสุดท้ายผมก็ทำได้ไม่นานเพราะใครบางคนกลับเข้ามา แถมยังเริ่มผูกพันมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“คุณเขียนเพลงรักสิ” จมูกสันโด่งยังคงคลอเคลียร์อยู่ข้างแก้มจนรู้สึกจักจี้ แม่งรู้สึกอยากให้มันกลับไปนั่งปั่นงานเงียบๆ เหมือนเดิมฉิบหายเลย
“ผมคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับเพลงรักเท่าไหร่ อีกอย่างผมก็คิด MV เพลงนี้เสร็จหมดแล้วด้วย” ร่างสูงผละออกเล็กน้อยก่อนขมวดคิ้วมุ่น
“เดี๋ยวนะ ยังแต่งเพลงไม่จบรีบคิดเอ็มวีแล้วเหรอ”
“แน่นอนสิ อะไรคิดได้ก่อนก็คิด คุณอยากฟังมั้ย” เขาพยักหน้า ผมเลยฉีกยิ้มกว้างกระแอ่มไอสองทีแล้วเริ่มต้นเล่ารายละเอียดอย่างตื่นเต้น “ก็...พระเอกกับนางเอกคบกันตั้งแต่มัธยม เป็นความรักที่ยาวนานนับสิบปีเลย”
“อืม แล้วไงต่อ” สีหน้าดูไร้อารมณ์สัดๆ
“ช่วยทำหน้าให้ตื่นเต้นหน่อยได้มั้ย”
“คุณเล่ามาแค่นี้จะเอาอะไรมาตื่นเต้น”
“งั้นก็ฟังก่อนดิ เรื่องมันเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่ประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤต มีสงครามระหว่างประเทศเกิดขึ้น พระเอกเลยอยากไปช่วยขณะที่นางเอกไม่ยอมจะรั้งให้อยู่ด้วยกัน”
“อ่าฮะ”
“สุดท้ายพระเอกก็ไปอยู่ดี นางเอกเลยใช้ชีวิตทุกวันเพื่อให้ลืมคนที่เคยอยู่ด้วยการทำอะไรแปลกใหม่ คบเพื่อนใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่แต่ก็ไม่เคยลืมจนกระทั่งผ่านไปหลายปีพระเอกกลับมา ถึงตอนนั้นนางเอกก็ลืมพระเอกไปแล้ว”
“นางเอกไม่มีแฟนใหม่เหรอ”
“ต้องไม่มี ไม่งั้นมันจะไม่อิมแพค คุณคิดเหมือนกันป่ะ”
“ไม่อ่ะ”
เกลียดคนชื่อศตวรรษนี่ผิดมั้ยวะ
“ผมโคตรชอบ”
“เหรอ แต่พล็อตแม่งคลีเช่มากเลยนะ”
“ผมยังไม่เห็นเอ็มวีไหนทำเลย”
“โห พูดจริงดิ ไปเปิดยูทูบนี่บานเลยคุณ”
นอกจากจะไม่ให้กำลังใจแล้วยังตัดความหวังกันอีกต่างหาก ด้วยไม่รู้จะโต้เถียงกลับยังไงผมเลยทำหน้างอใส่ ริมฝีปากได้รูปฉีกยิ้มกว้างจากนั้นจึงหยิบสมุดจดเพลงขึ้นมาขีดเขียนอะไรบางอย่าง
“ลองแต่งเพลงรักดูสิ ผมว่ามันเหมาะกับคุณ อยากให้คุณลองเขียนมันดู ถ้าไม่เวิร์กก็ค่อยเลิก” สมุดจดเพลงถูกยื่นมาไว้ตรงหน้า ผมมองไปยังตัวหนังสือของตัวเอง ตอนนี้มันมีลายมือของใครอีกคนเพิ่มเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาดในช่องท้อง
มันคือความรู้สึกดีๆ เวลาที่ได้เห็น
ไม่เคย ‘ลืมเลือน’
คำว่าไม่เคยเปลี่ยนอารมณ์ของเพลงไปจนหมด จากเศร้ากลายเป็นรัก จากเหงากลายเป็นคิดถึง
“คุณคิดว่าผมจะทำได้เหรอ”
“ได้สิ เด็กน้อยเป็นคนเก่ง” เด็กน้อยอีกแล้ว!
“ให้ผมจ่ายเท่าไหร่คุณถึงจะเลิกเรียกผมแบบนี้สักที”
“อยากจ่ายเหรอ”
“อะ...เอ่อ” ดูจากสายตาเจ้าเล่ห์ตอนนี้แล้ว ผมล่ะอยากตบปากตัวเองหลายๆ ที ไม่น่าเผลอพูดออกมาเลยเพราะกลัวว่ามันจะไม่ได้จบแค่ตรงนี้ ใครๆ ก็รู้ว่ายุคมันเป็นคนทะลึ่งตึงตัง แล้วตอนนี้... “จะทำอะไรอ่ะ” ผมร้องเสียงหลงทันทีที่ร่างสูงใหญ่รวบตัวของผมเข้าไปกอด
ใบหน้าหล่อเหลาคลอเคลียร์อยู่ตรงหน้า พรมจูบไปทุกที่จนผมต้องหลับตาปี๋
“อืออ คุณอย่า...แกล้งผม”
“ไม่ได้แกล้งซะหน่อย แค่หมั่นเขี้ยว” แล้วแม่งก็กัดคอกูจนเจ็บจี๊ด ผมตีแขนอีกฝ่ายเป็นการเอาคืนแต่ดูเหมือนมันจะเป็นการเพิ่มเชื้อไฟให้อีกฝ่าย
ผมถูกผลักให้ล้มตัวลงนอน หัวใจที่เต้นระส่ำคล้ายกับกำลังลงร่วงลงไปกองอยู่ตรงตาตุ่มจนต้องยกมือขึ้นดันอกแกร่งเอาไว้ ทว่าผมก็ยังแพ้ให้กับความเหนือชั้นของคนเหนือร่างอยู่ดี
“ยุค”
“ขอหอมแก้มหน่อย”
“ผมจะแต่งเพล...” พูดไม่ทันจบประโยคจมูกสันโด่งก็โน้มลงมาบดแก้มผมจนร้าวตึงไปทั้งหน้า นี่ฟังกูบ้างมั้ยเนี่ย แถมตอนผละออกแม่งยังมีหน้ามาถามต่ออีก
“ขอจูบได้มั้ย”
“ไม่ได้”
“ขอกัดแรงๆ ได้หรือเปล่า”
“ไม่”
“โอเค ได้รับอนุญาตแล้ว” พ่องดิ!
ยังไม่ทันได้ตอบโต้ผมก็ถูกตะครุบเป็นเหยื่อให้ไอ้หมีควายจนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง เก่งจริงเรื่องทำให้คนอื่นแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเนี่ย
“อะ...เจ็บ ฮืออออ” กัดปากกูเหรอ กูจะกัดตอบแต่ไม่ทันเพราะลิ้นร้อนดันแทรกเข้ามาซะก่อน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ลมหายใจเริ่มติดขัด กว่าจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระผมก็ถูกจูบ ถูกกัด ถูกฟัดจนนอนหมดสภาพเกิดกว่าจะขยับเขยื้อน
Rrr...!
เสียงโทรศัพท์เหมือนระฆังช่วยชีวิต มันแผดเสียงร้องครู่หนึ่งแต่ยุคก็ยังไม่สนใจจนกระทั่งดับไป แล้วดังขึ้นใหม่ในครั้งที่สองและสามราวกับคนโทรมีเรื่องด่วนเกี่ยวกับความเป็นความตาย
“ยุครับโทรศัพท์ก่อน” ขืนเป็นแบบนี้กูตายก่อนแน่
คนตัวสูงทำท่าฮึดฮัดขัดใจ เดินกลับไปยังโต๊ะทำงานก่อนกระแทกเสียงลงกับโทรศัพท์ ผมไม่รู้ว่าเขาคุยเรื่องอะไรแต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำมือเหมือนจะเดินลงไปข้างล่างผมก็พยักหน้ารับรู้ ไม่นานเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ผมเลยรู้ได้ในทันทีว่า...ชีวิตกูฉิบหายแล้ว!
“ไหนไอ้ชยิน วันนี้มานอนนี่เหรอวะ ชยิน! ชยิน!” ไอ้ท็อปแหกปากอยู่ด้านนอก ส่วนผมก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นนั่ง จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูเป็นปกติที่สุด เพราะรู้ดีว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ไอ้เบิร์ดกับผมที่เสือกเก่ง แต่คอลัมนิสต์ระดับตำนานอย่างมันก็ใช่ย่อย
“มะ...มีอะไร แหกปากเสียงดังเลย น่ามคาญ” ไอ้ท็อปย่างเท้าเข้ามาในห้องนอน มันมองดูผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถามขึ้น
“ทำอะไรอ่ะ”
“ทะ...ทำห่าอะไร กูไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมปฏิเสธทันที
“กูหมายถึงแต่งเพลงอยู่หรือเปล่า ไม่ทำอะไรเลยของมึงนี่คือนั่งกรรมฐานเหรอ”
“ก็แต่งเพลง ส่วนยุคเขียนนิยาย”
“กูไม่ได้ถามถึงไอ้ยุคมัน มึงเป็นอะไรเนี่ยดูรนๆ นะ”
“มึงจับผิดกูเกินไปละ สรุปมึงมาทำอะไรที่นี่” จะมาก็โผล่มาเลย ตั้งตัวไม่ทันครับ ต้องใช้สกิลขั้นสองของตัวเองเร่งเปลี่ยนประเด็นไป
“แวะมาหาไอ้ยุค กูมาหามันเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่คิดว่าวันนี้มึงจะอยู่ด้วย” ถ้าไม่ติดว่าสนิทกันผมนึกว่าไอ้ท็อปจะเป็นเมียไอ้ยุคอีกคน ตัวติดกันจริงนะ มีอะไรออกหน้าแทนกันหมด
“ก็ยุคพามาอ่ะ ความจริงก็ไม่อยากมาหรอก กูว่าตอนนี้เราออกไปข้างนอกมั้ย ดูหนังกัน” ผมรีบลุกพรวดจากเตียง ดันหลังคนตัวสูงกว่าออกไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าของห้องรื้อค้นของกินในตู้เย็นเสร็จพอดี
ไอ้ท็อปหย่อนก้นบนโซฟาตัวนุ่ม ส่วนผมก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยการค้นหาแผ่นหนังมากมายมหาศาลในลิ้นชักก่อนจะหยิบออกมาเรื่องหนึ่ง
“กูอยากดู Prisoner อ่ะ” ไอ้คอลัมนิสต์โพล่งขึ้น
“ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่านะ”
“มี”
“รู้ได้ไง”
“ในกองนั้นกูดูหมดละ”
“มาบ่อยขนาดนั้นเลย”
“กูจำใจนั่งดูเป็นเพื่อนไอ้ยุค ตอนมึงหนีไปเมื่อหลายวันก่อนอ่ะ” หลังได้ยินประโยคนั้นจบ ใจของผมก็อ่อนยวบลงทันที ยิ่งเมื่อหันไปมองคนที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้วยแล้ว ความรู้สึกในอกยิ่งตีตื้นให้อยากร้องไห้ขึ้นมาเฉยเลย
“อย่าไปฟังไอ้ท็อปมัน ตอนนี้คุณก็กลับมาแล้วแถมยังกินจุอีกต่างหาก” คำพูดของยุคผลักให้ผมโต้เถียงต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“ผมก็กินปกติอ่ะ มีแต่คุณที่ชอบเอาของกินมาล่อ”
“ก็คุณเป็นเด็กอ่ะ”
“ผมไม่เด็ก!”
“ถามจริงมึงสองคนเถียงกันด้วยเรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้เหรอวะ กูเพลีย...” ว่าแล้วไอ้ท็อปก็ล้มตัวลงนอนเหยียดตรง พลางหยิบมือถือขึ้นมากดเป็นการตัดรำคาญ
หนัง Prisoner ถูกเปิดขณะคนตัวสูงเดินเอาน้ำดื่มและของกินเล่นสองสามอย่างมาวางไว้ตรงโต๊ะรับแขก ก่อนปลีกตัวไปนั่งหน้าคอมพ์ ทิ้งผมไว้กับอดีตเพื่อนสมัยมัธยมเพียงลำพัง
ไอ้ท็อปแม่งโรคจิตครับ มันมองผมไม่วางตาแต่ไม่ยอมพูดอะไรจนรู้สึกอึดอัด สุดท้ายความอดทนก็หมดลงเลยถามออกไปตรงๆ
“มองกูทำไม มีอะไรก็พูดมาสิวะ”
“ชยิน ก่อนหน้าที่กูจะมามึงทำอะไร”
“ไม่ได้ทำอะไร ก็ไปนั่งแต่งเพลงคนเดียว”
“คนเดียวจริงดิ”
“ก็เออสิวะ มึงสงสัยอะไร”
คนตรงหน้าชี้นิ้วไปที่คอของตัวเอง ผมเลยขมวดคิ้วก่อนจะเห็นมันส่ายหัวแล้วเปลี่ยนมาชี้ที่ผม
“คอมึงแดงเถือกเลย”
จริงดิ! ได้ยินอย่างนั้นก็รีบยกมือขึ้นลูบลำคอของตัวเองทันที ว้อทเดอะฟ้าคคคคคค ในหัวพยายามคิดหาข้อแก้ตัวสารพัด ทว่าสิ่งที่พอคิดออกก็มีแค่เพียง...
“สงสัยยุงกัดน่ะ”
“เหรอ ในห้องมียุงด้วย”
“ที่ไหนก็มียุงป่ะวะ นี่แน่ะมาอีกละ มึงเองก็ระวังด้วยนะ”
“ระวังตัวเองเถอะ ผิวมึงแม่งแดงจนเหมือนคนโดนดูดมาเลยว่ะ เห้อออออ”
ไอ้เพื่อนเหี้ย ไอ้บ้าเอ๊ยยยยยยยยยยย
ผมเหมือนเป็นบ้าอยู่คนเดียวเมื่อถูกจับผิด แถมประเด็นนี้ยังจบลงด้วยเสียงหัวเราะและใบหน้ากรุ้มกริ้มของไอ้ท็อปที่ทำเอาอยากร้องไห้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
กูไม่ได้โดนดูดโว้ย กูแค่โดนหมีควายกัด โอเค๊ อย่าถามอีกรำคาญ!
ชีวิตของผมกับยุควุ่นวายเล็กน้อยเรื่องที่หลับนอน บางวันเขาก็จะขนเสื้อผ้าไปนอนที่ห้องผม แต่บางวันก็พาผมมานอนที่ห้อง เป็นอย่างนี้เกือบสัปดาห์จนข้าวของเครื่องใช้บางส่วนของเราเริ่มกระจัดกระจายจนต้องหาซื้อของใหม่อย่างละสองชุด
ที่ห้องผมชุดหนึ่ง ที่ห้องคนตัวสูงอีกหนึ่ง หลังจากนั้นความวุ่นวายก็กลับกลายเป็นความเคยชิน
“อรุณสวัสดิ์เด็กน้อย” เช้าวันใหม่เริ่มต้น ผมได้ยินเสียงทุ้มที่เป็นเอกลักษณ์ดังก้องในหู เขาไม่ได้นอน แต่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ ในมือถือแก้วน้ำอุ่นเอาไว้เหมือนทุกๆ เช้า
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“กินน้ำก่อน” เขาบอกว่าเพื่อสุขภาพ ไม่รู้ว่าจริงมั้ยแต่ผมก็ไม่เคยปฏิเสธคว้าเอาแก้วน้ำขึ้นมากระดกดื่มจนหมดแก้ว
เราไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น มีบ้างที่ถูกดึงเข้าไปกอดหรือจูบแรงๆ แต่ก็ไม่เคยเกินเลย สถานะที่เป็นอยู่ก็ยังคงคลุมเครือ เขาไม่เคยขอคบผม ขณะที่ผมก็ปากหนักเกินกว่าจะถามเลยปล่อยให้มันเป็นไปโดยไม่เร่งเร้า
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว” ผมเอ่ยถามคนเคียงข้าง
“จะสิบโมงแล้วคุณ”
“ฮะ! ทำไมไม่ปลุกผมอ่ะ”
“เมื่อคืนคุณนอนเกือบเช้า ขืนนอนไม่เต็มอิ่มเดี๋ยวก็อาละวาดอีก” คนครับไม่ใช่หมาจะได้อาละวาดไปทั่ว
“ก็ผมคิดงานไม่ออกอ่ะ หาอะไรอ่านไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบเช้าแล้ว”
“อ่านอะไร”
“ยะ...อยากรู้ไปทำไม”
“ไม่ใช่ว่าคุณเข้าไปอ่านนิยายในแท็ก YukYinCouple เหรอ”
“อย่ามามั่วนะ” ถึงผมจะอ่านไปบ้างก็ตาม ช่วงนี้สมองตื้อจริงครับเลยต้องเรียกหาแรงบันดาลใจสักหน่อย ซึ่งผมก็กรองมาก่อนแล้ว เลยไม่ค่อยเจอเรื่องที่ตัวเองท้องหรือเกิดเป็นกะหล่ำปลีให้พระเอกย่ำยีอีก โว้ย!
“มั่วตรงไหน ผมแอบเห็นคุณเปิดอยู่”
“ผมแค่อ่านเรื่องที่ตัวเองเท่มากๆ ต่างหาก แล้วก็โมโหด้วยที่คนเขียนไม่มาต่อสักที” ผ่านไปเป็นเดือนแล้วไม่รู้ตายหรือยัง ปล่อยให้ค้างคาอ่านตอนเก่าอยู่นานเชียว
“เรื่องที่คุณท้องได้อ่ะนะ รอคอยอะไรขนาดนั้น”
“ไม่ใช่โว้ย เรื่องที่ผมคือ AC118 ต่างหาก”
“อ๋อ...” คนตัวสูงพยักหน้า แต่เหมือนจะไม่อินกับผมเท่าไหร่ แหงล่ะ เขาแค่เคยแนะนำนิยายเรื่องนี้ให้อ่าน ไม่ได้หมายความว่าจะตามต่อแล้วติดเป็นบ้าเป็นบอเหมือนผมตอนนี้
“เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนนะ จะรีบกลับมาเขียนเพลง”
“แต่งตัวหล่อๆ ล่ะ วันนี้ไปทำงานที่คาเฟ่พี่สาวผมกัน” ผมกะพริบตาปริบ ถามย้ำอีกฝ่ายให้แน่ใจ
“คาเฟ่พี่แยมเหรอ”
“อืม เห็นบ่นว่าคิดถึงคุณ อยากให้ไปกินเมนูใหม่ของร้าน”
“ก็ถ้าพี่สาวคุณชวนผมก็คงต้องไป”
“คุณเป็นน้องสะใภ้ ยังไงแยมก็ต้องชวนอยู่แล้ว”
“โคตรมั่ว”
“โอเคมั่วก็มั่ว” ผมส่งนิ้วกลางไปให้เป็นการปิดประเด็น ก่อนลากสังขารคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ
แม้ร้านกาแฟจะวุ่นวายไปด้วยนักศึกษาจนบางครั้งก็ทำให้ปวดหัวอยู่บ้าง แต่มันคงดีกว่าอยู่เงียบๆ ในห้องแล้วปล่อยให้ยุคหาโอกาสลวนลามเหมือนทุกที คิดแล้วทำไมหน้าแดงขึ้นมาเฉยเลยวะ นับวันยิ่งทะลึ่งตามมันไปทุกที งงตัวเองฉิบหาย
“น้องสะใภ้~~” เสียงแหลมเล็กของผู้หญิงผิวขาวดังขึ้นทันทีที่ผมกับยุคก้าวเข้ามาในร้าน บรรยากาศยังคงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน และผมไม่เคยชินสักครั้งตอนที่ถูกจ้องมองเป็นตาเดียว
“สวัสดีครับพี่แยม” ว่าแล้วก็ไม่ลืมยกมือไหว้เป็นการทักทาย
“ใครแยม ยุนอาจ้ะ”
“ครับ ยุนอา” โทษๆ กูลืมว่าพี่เขาเป็นไอดอล โว๊ะ!
“ไปนั่งตรงโน้นก่อน เดี๋ยวผมเอาขนมกับเครื่องดื่มไปให้” คนตัวสูงบอกหน้าตาย จากนั้นก็ดันหลังผมให้เดินไปยังโต๊ะมุมร้านที่ยังคงว่างอยู่ ท่ามกลางเสียงบ่นงึมงำของคนเป็นพี่สาว
“อะไรกัน มาร้านพี่แต่ไม่ทักกันสักคำ นี่ก็ไล่น้องสะใภ้ไปนั่งตรงโน้นอีกแล้ว”
“ผมไม่อยากให้พี่ยุ่งกับชยิน”
“ว่าไงนะ แกกลัวอะไรไม่ทราบ”
“กลัวพี่จะบังคับชยินให้ไปทำสีผมตามผู้ชายที่พี่ชอบไง”
ปล่อยให้สองพี่น้องเถียงกันไปพักใหญ่ๆ คุณชายศตวรรษก็กลับมาพร้อมเมนูใหม่ของทางร้านและขนมอีกหลายอย่างที่วางจนล้นจาน คือต่อให้มีชยินสิบร่างกูก็แดกไม่หมด
“เยอะขนาดนี้คุณต้องช่วยผมกินนะ”
“ผมไม่กินของหวาน”
“ได้ไงอ่ะ เมื่อก่อนยังกินน้ำสตรอเบอร์รี่ได้เลย อย่ามาเอาเปรียบกันดิ นั่งลงแล้วกินเป็นเพื่อนผมเดี๋ยวนี้เลย” ดูเหมือนคำขู่จะได้ผล เจ้าตัวเลยยอมนั่งกินขนมที่อยู่ตรงหน้าอย่างว่าง่าย
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ตอนที่ 16
Musician . Solitude . Novelist
“หงุดหงิดอะไร”
“คนเขียน No name ไม่ยอมมาต่อนิยายอ่ะ”
“แล้วต้องทำหน้ายุ่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
“บทกำลังจะพีคน่ะ คุณไม่เข้าใจหรอก” ผมบ่นกระปอดกระแปด นั่งเลื่อนจอมือถือเพื่อเช็กความเคลื่อนไหว สุดท้ายก็พบว่าคนเขียนคนนั้นไม่เคยมาต่อนิยายอีกเลย
“ผมก็เป็นคนเขียนนิยายทำไมจะไม่เข้าใจ แต่ช่วยกินข้าวให้หมดก่อนได้มั้ยค่อยทำอย่างอื่น” บ่นเป็นพ่อกูเลยครับ ถามว่ากล้าท้าทายมั้ย พูดได้เต็มปากเลยว่า...ไม่!
วางมือถือลงแล้วจ้วงข้าวใส่ปากนี่งานถนัด จะไม่เถียงให้เสียเวลา นึกถึงตอนทะเลาะกันทีไรมันเจ็บหัวใจทุกที เพราะไม่ง่ายเลยที่ผมจะผ่านแต่ละวันมาได้ ดังนั้นจึงต้องยอมหักยอมงอบ้างเพื่อชีวิตจะได้ดีขึ้น เห้อม
“วันนี้ออกไปทำงานข้างนอกด้วยกันมั้ย” คนตรงหน้าเอ่ยถาม
“อ่า...ผมคิดว่าไม่ พอดีเพลงเสร็จแล้วน่ะเลยอยากเอาไปอัดที่สตู”
“ไม่เห็นคุณเคยบอกเลยว่าแต่งเสร็จแล้ว”
“ก็บอกนี่ไง”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง”
“นั่งรถไฟฟ้าไปได้น่า”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“มันจะรบกวนคุณเปล่าๆ”
“เดี๋ยวผมไปส่ง” จบกัน เถียงสู้ไม่ได้ก็จำเป็นต้องล่าถอย
เรากินอาหารเช้าตัวด้วยเสร็จ ยุคล้างจาน ผมเช็ดโต๊ะ สายๆ หน่อยเขายัดแล็ปท็อปใส่กระเป๋า จากนั้นก็พาผมไปส่งถึงค่ายเพลง ส่วนตัวเองก็ปลีกวิเวกไปทำงานที่คาเฟ่สักแห่งเหมือนที่มักทำประจำ
“ลมอะไรหอบมาวะเนี่ย จริงๆ ส่งงานทางเมลก็ได้มึงจะได้ไม่เหนื่อย” โปรดิวเซอร์หน้าประจำที่ร่วมงานมาตั้งแต่ยังแบเบาะอย่างพี่เกมทักขึ้น ผมยิ้มให้เขา วางกระเป๋าลงแล้วถามหน้าอ้อนนิดหน่อยเผื่อแกจะได้เห็นใจ
“คือพอดีจะมาขอใช้ห้องอัดหน่อยอ่ะครับ”
“ห้องอัด? เดี๋ยวนะ มึงจะเอาดีทางด้านนักร้องแล้วเหรอ เฮ้ยดีเลยแม่งปั้นง่าย หน้าอย่างมึงนี่ไม่นานก็ดัง แฟนคลับตรึมจนซื้อบ้านซื้อรถได้ตั้งแต่ปีแรกแน่” เอ่อ...พูดไปนิดเดียวแกรัวมาเป็นกลองยาวเลยครับ
“ผมไม่ได้จะเป็นนักร้อง แค่เอาเดโม่มาให้พี่ฟังแล้วขออัดเสียงให้มันดีขึ้นนิดหน่อย”
“อ้าว อะไรยังไงกูงงไปหมด”
“คือเพลงนี้ผมไม่ได้กะขายให้ค่ายน่ะ”
“ไอ้น้องเวร มึงจะเอาไปให้ค่ายอื่นเหรอวะ”
“ไม่ใช่นะพี่ คือ...ผมแต่งเพลงให้คนๆ นึง เลยอยากให้เป็นของขวัญน่ะ”
“อ๋อ เก็ตละ งั้นมึงเอาเดโม่มาให้กูฟังหน่อย อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง” ผมยื่นแผ่นซีดีที่อัดเสียงเอาไว้คร่าวๆ ให้กับเขา พี่เกมรับไปเปิดฟังเงียบๆ ก่อนจะเงยหน้ามองผมด้วยท่าทางที่ดูแปลกไปเล็กน้อย
“โคตรเพราะเลยชยิน กูว่าเพลงนี้ดังชัวร์ ขายให้ค่ายเถอะ สาบานได้ว่าผู้บริหารเคาะแน่ๆ บางทีอาจได้เรทที่มากกว่าค่าตัวปกติของมึงก็ได้” เจ้าตัวพูดตาเป็นประกาย แต่ใจผมนี่สิที่เริ่มห่อเหี่ยวลงเรื่อยๆ
เป็นคนขี้ใจอ่อนด้วยไง โดนใครยุหน่อยล่ะใจเหลวทันที ยิ่งเอาเงินมาล่อยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปกติติดสปีดสี่คูณร้อยตอบตกลงไปทันที ทว่าคราวนี้ไม่เหมือนกัน...
“ผมคิดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ขายครับ”
“เหอะน่า มึงก็ขายให้ด้วย แล้วก็ส่งไปเป็นของขวัญให้คนพิเศษของมึงด้วยไง”
“ผมไม่อยากได้เงินครับ” ถึงช่วงนี้จะอดอยากปากแห้งไปบ้าง เชื่อว่าในอนาคตผมจะสามารถเขียนเพลงได้อีกเป็นสิบเป็นร้อยเพลงเพื่อหาเงินประทังชีวิต แต่เพลงๆ นี้มันจะเขียนอีกเป็นครั้งที่สองหรือสามไม่ได้แล้ว ต่อให้หาเพลงใหม่ที่ตั้งใจยังไงมันก็แทนกันไม่ได้อยู่ดี
มันอยู่ที่ความรู้สึก ณ ขณะนั้นมากกว่า
“โคตรดื้อเลยมึงอ่ะ ปกติไม่เป็นแบบนี้ ถามหน่อยมึงแต่งให้ใคร” พี่เกมถามอย่างสงสัย ผมเองก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับอะไรเลยบอกไปตรงๆ
“ให้คนรักครับ”
“อ่า ใช่คนที่ทำมึงอกหักจนหนีงานหนีการป่ะ หรือว่านี่คนใหม่”
“เปล่าครับ เป็นคนเดียวกัน พอดีว่าเข้าใจผิดนิดหน่อยเรื่องมันเลยบานปลาย”
“แฟนมึงคงจะดีใจเนาะ เอาเถอะในเมื่อไม่อยากขายก็เรื่องของมึง” เขาลุกจากเก้าอี้ทำงาน เดินไปหยิบกุญแจห้องอัดเสียงแล้วโยนมาให้อย่างไม่ถนอมนัก “รีบอัดรีบไป”
“ผมต้องจ่ายค่าห้องเท่าไหร่”
“ประสาทน่า งานนี้ไม่มีเก็บตังค์ ถือว่ากูช่วยเป็นค่าพยานรักให้มึงทั้งสองคนแล้วกัน”
“หูยยยยยย โคตรใจว่ะ”
“ใจขนาดนี้ก็ขายเพลงให้ค่ายเถอะ”
“เอ่อะ!” กูไม่น่าพูดเลย ผมรีบเดินดุ่มๆ โดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง ไม่คิดเลยว่าจะถูกเรียกเอาไว้ซะก่อน
“ชยิน”
“คะ...ครับ” บอกตามตรงว่ากลัวโดยตื๊อให้ลำบากใจฉิบหาย
“กูอยากให้มึงอัพโหลดเพลงนี้ลง Youtube ดู อย่างน้อยคนจะได้ฟังในสิ่งที่กูได้ยิน มันไม่ใช่ธุรกิจแต่เพลงดีๆ ก็สมควรให้คนอื่นได้ฟังบ้าง”
“จะลองกลับไปคิดดูครับ”
ผมใช้เวลาทั้งวันในการอัดเสียง เริ่มตั้งแต่เล่นกีตาร์ จากนั้นก็มาร้องซ้ำซากวนเวียนอยู่ในท่อนเดิมๆ จนกว่าจะพอใจ สุดท้ายเพลง ‘ไม่เคยลืมเลือน’ ก็จบลง
ไม่มีมิวสิกวิดีโอ ไม่มีการเผยแพร่โฆษณาหรือโปรโมท มีแต่เสียงของผมและกีตาร์ที่อยากสื่อให้ใครคนหนึ่งได้ฟังเท่านั้น โรแมนติกป่ะ ชีวิตไม่เคยทำอย่างนี้ให้ใครเลยนะเว้ย
นายศตวรรษควรภูมิในตัวผม
ช่วงเย็นคนตัวสูงถ่อมารับที่หน้าตึก ผมขอบคุณพี่เกมเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่แกก็ยังหาเรื่องมาส่งผมถึงรถเพื่อจะได้ดูหน้าสารถีที่ขับรถมารับอย่างเต็มตา
“ฮั่นแน่! ฮั่นแน่! กิ๊กกับนักเขียนทำไมไม่บอกกู” แม่งรู้จักไอ้ยุคด้วย จะบ้าตาย
“พี่เลิกล้อเถอะน่า ผมกลับแล้วนะ”
“ฮั่นแน่ เขินเหรอ”
“โว้ย ไม่เถียงกับพี่แล้ว กลับล่ะ!” ว่าแล้วก็โบกมือหยอยๆ แล้วสับเท้าเข้าไปในรถซึ่งมีกลิ่นอายเดิมๆ ที่แสนคุ้นเคย ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองเสี้ยวหนึ่ง เขายื่นถุงขนมมาให้แล้วบอกอย่างใส่ใจ
“กินซะ ดูเหมือนจะไม่ได้กินอะไรทั้งวัน”
“คุณรู้ได้ไง” แม่งนั่งทางในมาเสือกกูแน่ๆ
“มองตาก็รู้แล้วคุณ ไม่เคยจะดูแลตัวเองอ่ะ”
“คุณกลับไปทำของกินอร่อยๆ ให้ผมกินที่ห้องหน่อยสิ” ผมพูดเป็นเสียงอ้อนๆ
“เด็กน้อยนี่มันเด็กน้อยจริงๆ แต่ก่อนกลับห้องผมต้องแวะไปที่นึงก่อน”
“ที่ไหนอ่ะ”
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง”
แล้วผมก็ได้คำตอบในที่สุดเมื่อเราทั้งคู่กำลังเดินเข้ามาในร้านหนังสือมือสอง เป็นร้านเก่าๆ ที่ไม่มีคนเลยนอกจากเจ้าของร้านที่ดูจะสูงอายุมากแล้ว หนังสือมากมายมหาศาลกองทับกันเป็นตั้งๆ ไปจนถึงเพดาน ผมอดทึ่งกับภาพที่เห็นไม่ได้เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะก้าวเข้ามาในร้านหนังสือมือสองแบบนี้
“คุณอยากได้อะไร” ผมตั้งคำถาม
“หนังสือ”
จ้า ใช่แล้วจ้า มาร้านหนังสือมึงคงมาถามซื้อลาบหมูไปแดกอยู่หรอก
“หนังสืออะไร”
“ของมูราคามิ” ถึงกับต้องชะงักเท้า คว้ามือคนตรงหน้าเอาไว้จนเจ้าตัวต้องหันกลับมามอง
“ที่ห้องเรามีแล้ว”
“ยังไม่มี Hear the wind sing นั่นเป็นเล่มแรกของเขา และเป็นเล่มสุดท้ายของคุณในปีนี้” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยออกมา พาเอาความรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาเนิ่นนานให้หวนกลับมาอีกครั้ง
ความจริงผมแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่ายังขาดหนังสือเล่มสุดท้ายของมูราคามิ นับตั้งแต่วันที่บากหน้าไร้ยางอายไปขอเขาถึงหน้าห้องจนได้รับการปฏิเสธ ผมก็ไม่นึกถึงมันอีกเลยจนกระทั่งวันนี้
“ความจริงถ้ามันหายากคุณไม่ต้องเหนื่อยหามาให้ผมก็ได้”
เขาเดินไปตามกองหนังสือมากมายมหาศาล เอื้อมมือแตะไปตามสันเหล่านั้นพร้อมกับตอบเสียงเอื่อย
“ทุกครั้งก่อนผมแวะไปที่ห้องคุณ ผมจะตามหาหนังสือเล่มที่อยากได้มาเก็บไว้ก่อน เคยคิดเหมือนกันว่าคุณจะชอบมั้ย แต่มันคงดีถ้าเราได้มาเลือกด้วยกันสักครั้ง”
“ผมชอบหนังสือทุกเล่มที่คุณให้”
“ทั้งที่บางเล่มยังอ่านไม่จบอ่ะนะ” คำพูดที่เจือไปด้วยเสียงหัวเราะผลักให้ผมเกาหัวแกรก
“ก็อ่านจบเดี๋ยวคงชอบเอง”
อีกฝ่ายคว้าข้อมือให้เดินตามไปในซอกหลืบของหนังสือนับพันเล่ม ดูเหมือนเขาจะรู้ว่างานเขียนของใครอยู่มุมไหน จากนั้นก็ดึงเอาหนังสือหน้าปกสีดำ abstract เล่มหนึ่งออกมา
มันเขียนว่า ‘Hear the wind sing : Haruki Murakami’
“ได้แล้วเด็กน้อย มันเป็นของคุณ” เขายื่นให้กับมือ ผมถือไว้ก่อนเดินซอกแซกออกไปยังชั้นหนังสือโดยที่เรายังจับมือกันอยู่
“ทำไมคุณถึงต้องเลือกงานของมูราคามิให้ผม” ครั้งหนึ่งเราเคยคุยกันนานแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะความเหงาที่ทำให้เราตกหลุมรักในงานของใครสักคน
“ความจริงคุณอาจจะรู้คำตอบดี”
“ผมแค่อยากฟังความคิดเห็นจากคุณ”
“งานของเขาแปลกประหลาด ใช้คำนี้น่าจะถูก แต่มันก็คืออัตลักษณ์ที่ใครคงไม่เหมือน ตัวเอกในเรื่องส่วนใหญ่จะเหงา ไม่เหงาก็โดดเดี่ยว เป็นคนธรรมดาที่อยู่ในโลกวุ่นวาย ส่วนนางเอกของทุกเรื่องก็ไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์ ทุกคนต่างมีข้อบกพร่อง จริงๆ มันเหมือนกับคุณ”
“แน่นอนสิ ผมนี่ไกลจากคำนี้มากเลย จนมากด้วย”
“แต่ในความไม่เฟอร์เฟ็กต์ของทุกคนบนโลก ผมชอบคุณที่สุด”
“...”
“วันที่เจอกัน เราต่างเคยชินกันความเหงาด้วยกันทั้งคู่เลยไม่อยากหนีจากมันเหมือนคนอื่นๆ คุณมีความสุขในโลกของตัวเอง ผมก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าวันนั้นคุณแค่ทำให้ผมอยากหนีออกมาจากโลกที่เป็นอยู่แค่นั้นเอง”
“นี่เป็นคำบอกรักป่ะ” ทำไมถึงรู้สึกว่ามันหวานเกินกว่าจะเป็นคำอธิบายเหตุผล
“ถ้านี่เป็นคำบอกรัก คุณคงนับมันไม่ได้แล้วเพราะผมบอกคุณไปเยอะมาก”
“...”
“หน้าแดง”
“เปล่า”
“หิวหรือยัง กลับไปกินข้าวเถอะ”
หนังสือถูกวางลงบนเคาน์เตอร์สีขาวเก่ากลางใหม่ ธนบัตรแบงค์ร้อยสองใบถูกวางลงบนโต๊ะ เรากลับเข้ามาในรถ ผมกอดหนังสือเล่มสุดท้ายที่ได้รับจากเขาเอาไว้แนบแน่น
ขณะรถเคลื่อนตัวออกไป ผมจดจำทุกคำพูดของเขาจนสลักเอาไว้ในความรู้สึก
เพราะเขา...ผมถึงทิ้งความกลัวทุกอย่างแล้ววิ่งออกมาจากโลกของตัวเอง เพื่อลองใช้ชีวิตในโลกของเขา ไม่ว่าสุขหรือเศร้า ผมในตอนนี้ก็ผูกพันกับโลกใบใหม่
จนไม่อยากกลับไปในโลกเดิมๆ ที่เคยอยู่อีกแล้ว...
ข่าวดีแรกของวันนี้คือผมสามารถอัดเพลงที่แต่งได้จนเสร็จภายในวันเดียว
ข่าวดีที่สองคือการที่ยุคพาผมไปซื้อหนังสือเล่มสุดท้ายของมูราคามิที่ยังขาดไป
และข่าวดีที่สาม...นิยายเรื่อง No name ที่เขียนโดย No name กลับมาอัพเดตอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานจนรู้สึกหงุดหงิด
ใครบอกว่า 25 คือปีชงกัน ตอนนี้ผมมองเห็นความโชคดีหลังผ่านเรื่องแย่ๆ มาทั้งหมดแล้ว
“ยิ้มอะไร” คนตัวสูงถามขึ้น เขายืนอยู่ตรงปลายเตียง มือข้างหนึ่งถือผ้าขนหนูพยายามเช็ดหัวตัวเองไปมา ขณะที่ผมอยู่ในชุดนอนและพร้อมหลับได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ติดว่าคนเขียนคนนั้นไม่โผล่มาซะก่อน
“No name มาต่อแล้ว เนี่ยเพิ่งเห็น เพราะอัพไปเมื่อชั่วโมงก่อน”
“เดี๋ยวนี้ต้องจริงจังขนาดนั้น”
“คนกำลังติดน่าคุณ เห็นเขาบอกว่าอีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว ใจหายเลย”
“มีเรื่องใหม่มาแนะนำ คุณกระต่ายน้อย Lovely Bunny เห็นคร่าวๆ ว่าคุณใส่ชุดเมด โคตรน่าหยิกก้นเลย”
“แม่ม...”
คนกำลังอารมณ์ดียังมาหลอกให้กูโมโหอีกนะ ผมไม่ชอบที่ตัวเองทำอะไรน่าอายแบบนั้น ไม่ว่าจะท้องได้ เป็นกะหล่ำปลี ใส่ชุดเมด หรือทาสเซ็กซ์สุดสยิว อีกอย่างก็กลัวว่าคนอื่นจะติดภาพนั้นจนพาลให้ไม่อยากฟังเพลงที่ผมแต่งเข้าไปอีก
“โอเคไม่กวนละ คุณอ่านนิยายให้มีความสุขเถอะ”
“ยุค มานี่” เขาหันมามองผมแบบงงๆ “จะเช็ดผมให้ เดี๋ยวคุณไม่สบาย”
“รู้สึกดีเลยที่คุณเห็นผมสำคัญกว่านิยายที่กำลังรออ่าน” กูล่ะอยากเบะปากใส่ ตัวละครในจินตนาการมันจะสู้ตัวจริงได้ไง ถึงแม้ไอ้ตัวจริงมันจะกวนตีนฉิบหายก็ตาม
“มันสนุกมากเหรอโนเนมเนี่ย” กายสูงคลานขึ้นมาบนเตียง ผมเอื้อมมือไปรับผ้าขนหนูสีขาวพร้อมกับเริ่มต้นเช็ดผมอีกฝ่ายอย่างเบามือพลางตอบคำถาม
“สนุกนะ เท่มากๆ ด้วย ไม่มีฉากเซ็กซ์เลย”
“เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“รอจบก่อนผมถึงค่อยเล่า”
“แล้วถ้าเขาไม่มาต่อจนจบล่ะ”
“คุณก็อย่าพูดสิ เดี๋ยวแม่งก็เป็นจริงหรอก” ยิ่งกลัวๆ อยู่ด้วย “แถมคนในแท็กยุคยินก็ยังติดกันงอมแงม ถ้าคนเขียนหายไป รับรองว่าต้องมีการสืบหาตัวเพื่อจะไปบึ้มระเบิดถึงหน้าบ้านแน่”
“หวังว่าเขาจะมาต่อจนจบแล้วกัน”
“ยุค”
“หืม...”
“คืนนี้...คืนนี้ถ้ารู้สึกไม่ดีบอกผมนะ” มีเรื่องหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวมาหลายวันและไม่เคยสลัดออกได้สักที ผมครุ่นคิดจนแทบเอาตีนก่ายหน้าผาก บางคืนหรือตอนเช้าเวลาที่ต้องเห็นเขาทรมานแล้วมันก็เลยรู้สึกไม่ดีไปด้วย
ไอ้นี่มันหื่นกามครับ แค่เห็นหน้าผมแม่งก็บอกว่าเกิดอารมณ์ละ บ้าบอคอแตก
และทุกคืนเราก็ผ่านไปแบบทุลักทุเล ไม่เขาหนีเข้าห้องน้ำ ก็กอดผมไว้แน่นจนกว่าจะหลับไป ผมไม่เคยช่วยเขาเลยสักครั้ง อาจเพราะเจ้าตัวเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมท่าเดียวเรื่องถึงได้จบลงแค่นั้น
“ยังไง” เขาเงยหน้าถาม ไม่นานก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักอย่างเนียนๆ
“คือว่า...ผะ...ผมใช้มือเก่งมาก”
“รู้ได้ไงว่าตัวเองเก่ง”
“ไม่รู้ล่ะ บางทีอาจทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น”
“แค่ได้นอนกอดคุณมันก็รู้สึกดีแล้ว” ไม่ใช่ของขึ้นหนักกว่าเดิมเหรอวะ
“ตอนนั้นที่เราปล่อยให้มันเกิดขึ้น มันไม่ได้แย่ซะทีเดียว ผม...ผมไม่ได้เจ็บขนาดนั้น แล้วคือจริงๆ ก็รู้สึกดีด้วย” จู่ๆ หน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่พูดประโยคแสนทะลึ่งตึงตัง อาจเพราะอยู่ด้วยกันสองคนด้วยล่ะมั้งถึงได้เอาความกล้าทั้งหมดที่มีออกมาใช้
“เด็กน้อย คุณอาจต้องใช้เวลา”
“ผมไม่เข้าใจ”
“เราต่างยินยอมให้มันเกิดขึ้นก็จริง แต่ความรู้สึกของคุณตอนนั้นมันไม่ดีเท่าไหร่ แถมผมก็เป็นฝ่ายเอาเปรียบคุณ ผมอยากให้เซ็กซ์ของเราเกิดจากความรักและความพร้อมของคุณจริงๆ ไม่อยากให้คุณฝังใจและเจ็บกับความรู้สึกในวันนั้นอีก”
“ผมไม่เป็นไร”
“แน่นอนคุณจะไม่เป็นไร แต่วันนี้ผมขอนอนหนุนตักคุณสักชั่วโมงได้มั้ย”
“อือ”
“คุณอ่านนิยายต่อได้” เขาบอกอีก
“ได้เหรอ กลัวทำมือถือตกใส่ดั้งคุณ ครั้งก่อนก็เขียวเลย”
“อ่านไปเถอะ ตกอีกเดี๋ยวด่าเอง” เป็นแบบนี้ประจำแหละครับ รอยถูกต่อยจากไอ้ริวหายไป รอยใหม่จากผมก็เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อยๆ
พูดถึงริวช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เจอมันเท่าไหร่ เห็นบอกว่าเรียนหนัก คนไข้เยอะ ความจริงแล้วอาจเป็นข้ออ้างเพื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากัน ผมยังอยากเก็บความสัมพันธ์แบบเพื่อนของเราเอาไว้ ทิ้งระยะห่างที่พอเหมาะแต่ก็ไม่เคยหายไปไหน ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็คงจะดี
ทว่าตอนนี้คงอยู่ในช่วงทำใจ คิดว่าอีกหน่อยอะไรๆ ก็คงจะดีขึ้น
ถึงแม้เขาจะพยายามหลบหน้าผม แต่แปลกดีที่ยุคกลับได้เคลียร์ปัญหากับริวจนหมด แถมจบลงอย่างสวยงามตามประสาลูกผู้ชายใจนักเลง แต่ทำไมกูถึงเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เคลียร์วะ
“คุณ พรุ่งนี้ผมกลับไปที่ห้องได้มั้ย” ไม่ได้กลับมาเป็นอาทิตย์ กลัวว่าจะมีโจรบุกปล้น แม้รู้ดีว่าในนั้นจะไม่มีของมีค่าอะไรเลยก็ตาม
“ได้ เดี๋ยวไปส่ง ตอนเย็นจะกลับมานอนนี่หรือให้ผมไปนอนที่โน่น”
แหมมมมมม ไม่มีชอยส์ให้กูเลือกอยู่คนเดียวเลยนะ
“ถ้าคุณไม่ขี้เกียจเก็บของก็ไปนอนห้องผมได้”
“โอเคตกลงตามนั้น แต่ช่วงกลางวันผมเข้าออฟฟิศแป๊บนึง มีเรื่องคุยกับ บ.ก.”
“ผมก็มีเรื่องต้องจัดการเหมือนกัน”
ช่วงเช้าไอ้คุณยุคยังทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านที่แสนดีด้วยการทำกับข้าว ส่วนผมมีหน้าที่หนักหนาสาหัสที่มักได้รับมอบหมายในทุกเช้านั่นคือการเทนมใส่แก้ว คิดแล้วก็จะร้อง มึงเห็นกูอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอวะ
เขาขับรถมาส่งผมที่คอนโดก่อนจะแยกไปทำงาน ส่วนกูนั้นรีบวิ่งจ้ำเอ้าขึ้นห้อง เปิดคอมด้วยความไวแสง แล้วจัดการอัพโหลดไฟล์ที่อัดเสียงเรียบร้อยลงบนเครื่อง
ใช้เวลาคิดมานานพอสมควรระหว่างที่แต่งเพลง ‘ไม่เคยลืมเลือน’ ว่าจะตัดสินใจมอบเพลงนี้ให้อีกฝ่ายตอนไหน และยิ่งปวดหัวหนักขึ้นเป็นเท่าตัวตอนถูกพี่เกมโปรดิวเซอร์สปอยด์ให้อัพโหลดเพลงลงยูทูบ
เมื่อคืนนี้เลยนอนพลิกไปพลิกมาและใช้ความคิดอยู่นาน สุดท้ายผมตัดสินใจจะลงเพลงให้คนได้ฟัง แล้วทิ้งลิงก์เพลงเอาไว้ให้คุณชายศตวรรษตามไปร้องไห้น้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งทีหลัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะซึ้งหรือเปล่านะ เกิดทำหน้าตายกลับมาก็จบเห่กันพอดี
เนื่องจากเป็นห้องของฟรีแลนซ์จนๆ สายแลนทุกตัดขาด ไวไฟก็กากเป็นชีวิตจิตใจ เพราะฉะนั้นเพลงเดียวที่อัพโหลดลงไปจึงใช้เวลาปาไปเกือบห้าชั่วโมงทั้งที่ไม่มีวิดีโอหรือขนาดไฟล์ที่กินพื้นที่อะไรขนาดนั้นเลย ผมใช้ยูสเซอร์ ‘ChayinOfficial’ เป็นตัวกลางในการสื่อสาร
ตั้งแต่สมัครและล็อกอินเข้ามาใช้ ผมก็ไม่ได้ลงไฟล์เพลงเป็นจริงเป็นจังสักครั้ง อาจเพราะแต่งเพลงให้คนอื่นเป็นซะส่วนใหญ่ เพลงเดี่ยวก็ไม่เคยมีมันจึงมีคนติดตามไม่มากนักถ้าเทียบกับแฟนเพจในเฟซบุ๊ก
ผมมองดูคำบรรยายข้างใต้วิดีโออยู่เนิ่นนาน
ChayinOfficial
Song : ไม่เคยลืมเลือน
Artist : Chayin (ชยิน)
To : คนที่ทำให้โลกของผมไม่เหงาอีกต่อไป (0832/676)
ยี่สิบนาทีหลังเพลงอัพโหลดเป็นสาธารณะ ผมก็ไม่ได้โปรโมทหรือวางลิงก์เพลงไว้ในแฟนเพจให้ใครตามไปดู เพราะหวังให้คนเข้ามาฟังให้น้อยที่สุดก่อนที่ใครคนนั้นจะเปิดเข้ามา
ทว่าแผนการกลับคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ตรงที่คน Subscribe ชาแนลของผมเป็นฝ่ายนำเพลงไปแชร์ซะเอง รู้ตัวอีกทีคนก็เข้ามาฟังเป็นพันแล้ว แถมคอมเมนต์ยังหลั่งไหลเข้ามาแบบล้นหลาม
‘โคตรชอบ’
‘เจ๋งฉิบหาย รู้สึกว่าไม่ได้ฟังเพลงที่โดนขนาดนี้มานานแล้ว’
‘พี่ชยินที่แต่งเพลงรักที่เธอเคยมีหรือเปล่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่แต่งเพลงรักได้ซึ้งขนาดนี้’
‘เดอะนิวชยิน’
‘มีใครคนหนึ่งเคยบอกว่า เราไม่มีทางลืมคนที่รักเราไปได้แม้สุดท้ายเราจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม’
‘โมโลดี้โคตรสวย ฟังแล้วอิน’
‘A little bliss แม่งหนาวแล้ว เจอคนจริง’
และอีกหลากหลายข้อความที่ปรากฏขึ้นเป็นวินาที ผมยิ้มจนแก้มแทบแตก ลืมหมดแล้วว่าอยากเซอร์ไพรส์ใครแถมตอนนี้ยังตอบคอมเมนต์ขอบคุณจนตัวแทบลอย
หรือผมคิดผิดที่ไม่ขายเพลงนี้ให้ค่ายวะเนี่ย
ไม่ดิ! ถ้าไอ้ยุครู้ว่าผมคิดแบบนี้กูโดนตีตายแน่เลย
ข้อความที่ตอบกลับส่วนใหญ่ก็จะเป็นอะไรที่สั้นๆ กระชับเช่นประโยค ‘ขอบคุณมากครับ’ หรือ ‘ดีใจที่ชอบนะ’ อะไรประมาณนี้ แต่ถ้าข้อความไหนโดนใจหน่อยก็กดถูกใจเพิ่มเข้าไป จนตอนนี้ระบบยูทูบก็ค่อยๆ คัดคอมเมนต์ที่มีคนกดถูกใจมากที่สุดขึ้นมาเป็นความเห็นด้านบนสุด
สองชั่วโมงให้หลัง Top comment กลายเป็นของวง A little bliss ที่เข้ามาแสดงความยินดี
‘ชยิน แต่งเพลงแบบนี้ให้วงบ้าง ดีที่สุดในโลก
ป.ล. แอบอิจฉาใครคนนั้นนะ เขาได้ฟังเพลงหรือยัง’
ผมตอบกลับสั้นๆ
‘ยังเลย เขาคงกำลังทำงานอยู่’
ห้าชั่วโมงแรกยอดคนดูมากกว่าหนึ่งหมื่นซึ่งเกินความคาดหมายไปเยอะมาก จากที่คิดว่าอาจจะมีคนหลงมาฟังสักร้อยหรือสองร้อยคน แต่การแชร์และกระจายข่าวสารมันโหดกว่านั้น
ด้วยจมอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ค่อนข้างนานทำให้กระเพาะเริ่มส่งเสียงร้อง ผมพักสายตาครู่หนึ่ง เดินไปยังตู้เย็นเพื่อหาอะไรง่ายๆ มากิน พร้อมกับอ่านข้อความที่ยังคงฝุดขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งข้อความของใครคนหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า
หัวใจที่เต้นรัวด้วยความสุขมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ผมมองอยู่นาน ขยี้ตาหลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความฝัน
0 8 3 2 / 6 7 6
ตั้งแต่มีคุณผมก็ไม่เคยเหงาเหมือนกัน
เป็นข้อความสั้นๆ ที่ไม่ได้หวาน ไม่โรแมนติก แต่รับรู้ได้ถึงความเรียบง่ายและจริงใจของเขา เป็นศตวรรษคนเดิมที่ตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ภาพจำของเขาสำหรับผม ‘ไม่เคยลืมเลือน’ …
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน คนเขียนนิยายเรื่อง No name หายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทิ้งความสงสัยให้คนอ่านเอาไว้เพราะไม่ยอมมาต่อตอนสุดท้ายที่เป็นบทสรุปของตัวละครสักที
ส่วนงานของผมตอนนี้มีคนกดเข้าไปฟังเพลงในยูทูบเกินสิบล้านแบบงงๆ ท็อปคอมเมนต์ที่มีคนกดถูกใจและแสดงความเห็นเพิ่มเติมมากที่สุดก็ยังคงเป็นของนาย 0832/676 ที่โผล่มาทีเล่นเอาแจ้งเตือนผมแทบแตก
หลายค่ายยังพยายามติดต่อขอซื้อเพลงจนต้องปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม
บอกเลยว่าเงินซื้อผมไม่ได้หรอกถ้าไม่มากพอ นี่คิดว่าค่ายต่อไปถ้าจ่ายหนักหน่อยผมก็ขายแล้วนะ
อ่ะล้อเล่น!
ที่พีคสุดคือไม่เคยลืมเลือนดันขึ้นไปติดชาร์ตอันดับหนึ่งแฟตเรดิโอติดต่อกันถึงสองสัปดาห์แล้ว ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมายกับเพลงหนึ่งเพลงที่ตั้งใจแต่งให้คนที่รักที่สุด แถมประเด็นใหญ่ยังตกไปอยู่ที่ ‘ผมแต่งเพลงให้ใคร’ ซะนี่
ทุกข้อความที่ถามเข้ามาในแฟนเพจล้วนเป็นคำถามซ้ำๆ เดิมๆ จนขี้เกียจตอบ ความจริงก็ไม่ได้อยากเล่นตัวอะไรหรอก แต่ผมกับยุคตกลงกันไว้แล้วว่าอยากใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องรู้จักตัวตนของเราให้มาก ซึ่งผมเห็นด้วยเพราะใช่ว่าชื่อเสียงจะทำให้เรารักกันยาวนาน
Rrr..!
ช่วงนี้มีสายเข้ามาบ่อยจนแทบไหม้ ส่วนใหญ่ก็มาจากโปรดิวเซอร์และพี่ๆ ที่เคยร่วมงานกัน ไอ้ชยินช่วงนี้เนื้อหอมมากครับ ใครๆ ก็อยากจีบ ผมก็เลยคอนเฟิร์มรับงานแม่งให้หมดเนื่องจากกระเป๋าสตางค์แบนมาหลายเดือนแล้ว
ทว่าคราวนี้ไม่ได้มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนทุกครา เพราะชื่อที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอเป็นชื่อเพื่อนสนิทซึ่งอยู่ไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่ง ซูปเปอร์เนิร์ด…เมพเบิร์ดของชยิน
“ว่าไง”
[ช่วงนี้ดังแล้วลืมเพื่อนเลยนะมึง] ดูมันพูดเข้า ได้ข่าวว่าเพิ่งคุยกันไปเมื่อสามวันก่อน
“ต่อไปมึงให้กูทำไวนิลเป็นหน้ามึงติดไว้ตรงประตูเลยมั้ย ถ้าไม่อยากให้ลืมขนาดนั้น” ผมพูดเป็นเชิงประชดประชัน กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะขบขันตอบกลับมา
[ตั้งแต่มีผัวนี่ขี้ประชดจังนะ]
“มึงนั่งเครื่องมาเลย กูจะไปต่อยมึงถึงสุวรรณภูมิเดี๋ยวนี้แหละ”
[โถ...คิดถึงกันก็บอก อยากให้กูกลับมาล่ะสิ] นอกจากขี้เสือกแล้วมันยังหลงตัวเองอีกครับ
“เอาที่สบายใจนะ สรุปแล้วโทรมามีไร หรือจะแค่หาเรื่อง”
[ก็ที่เคยบอกมึงไปเมื่ออาทิตย์ก่อนไง กูส่งแผ่นโปรแกรม MSN ฉบับปรับปรุงมาให้ สรุปมึงได้ยัง] ผมหันไปมองกองพัสดุมากมายมหาศาลที่วางอยู่บนเตียงพลางถอนหายใจ
“คิดว่าน่าจะถึงแล้วล่ะ แต่ช่วงนี้กูแค่ไม่ได้ทยอยเอามาเช็ก”
[ฮอตอะไรปานนั้น]
“ชีวิตดีก็เงี้ยะ”
ตั้งแต่เพลงไม่เคยลืมเลือนเริ่มเป็นกระแส ผมก็ได้รับพัสดุจากแฟนเพลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นของที่มาเป็นคู่ เช่นเสื้อคู่ บัตรแดกหมูกระทะฟรี หรือแม้กระทั่งเซ็กซ์ทอยแม่งก็ยังส่งมาให้ ถามจริ๊ง! คิดว่ากูจะใช้เหรอ แม่ม!
[ลืมบอกไปอย่าง โปรแกรมนี้หลังจากลงแล้วจะอยู่ได้แค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้นนะ]
“ทำไมมันสั้นจังหวะ นี่เหรอฉบับปรับปรุงของมึง”
[เออน่ะ มันสร้างมาเพื่อมึงก็แล้วกัน แล้วตอนนี้อยู่ไหนเนี่ย] ปลายสายถามกลับ
“ห้อง”
[ห้องใคร]
“ห้องตัวเอง”
[อ้าวแล้วไอ้คุณยุคอ่ะ ไม่อยู่ด้วยเหรอ แปลกว่ะ] คำว่าแปลกที่ไอ้เบิร์ดพูดถึงมันก็จริง คือปกติแล้วเวลาเกือบเที่ยงคืนอย่างนี้เราจะอยู่ด้วยกันตลอด หากแต่วันนี้แตกต่างออกไปตรงที่ยุคขอตัวไปนอนออฟฟิศในรอบหลายปี เห็นบอกว่ามีงานเร่งจากโรงพิมพ์นิดหน่อยเลยต้องอยู่เฝ้า
ผมก็เลยเออออห่อหมกรับฟังแล้วกลับมานอนที่ห้องนี่แหละ
“ยุคไม่อยู่ ติดงาน”
[อ๋อ นึกว่าทะเลาะกัน จะได้เปิดแชมเปญฉลอง]
“ตบปากตามอายุตัวเองเดี๋ยวนี้เลย”
[กลัวอะไรขนาดนั้น ฮ่าๆ หลงเขามากนะมึง]
“มันต่างหากที่หลงกู โด่...” วันไหนไม่ได้กอด ไม่ได้จูบ ไม่ได้กัดคอเป็นหมาบ้าคงนอนไม่หลับ ไม่รู้วันนี้จะเป็นยังไงบ้าง แอบห่วงเหมือนกันกลัวว่ามันจะนอนไม่สบาย
[เอาล่ะ กูไม่อยากเถียงมึง เมียแม่งตามไปกินข้าวเที่ยงแล้วเนี่ย ยังไงอย่าลืมค้นโปรแกรมกูมาใช้ด้วยนะ รับรองว่ามึงจะชอบฉบับปรับปรุงอันนี้แน่]
“เออๆ กินข้าวให้อิ่ม”
[มึงก็ฝันดีนะเว้ย ไว้คุยกันใหม่]
เวลาและความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรคสำหรับผมกับเบิร์ด เราคุยกันแบบนี้ประจำ แล้ววันนี้หลังวางสายผมก็มีภารกิจอันยิ่งใหญ่นั่นคือการควานหากล่องพัสดุที่ส่งตรงจากอเมริกา ท่ามกลางกล่องพัสดุนับสิบที่กองอยู่บนเตียง
แน่นอนว่านั่งเขี่ยไปเขี่ยมาไม่ถึงห้านาทีผมก็เจอจนได้
ในกล่องไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าแผ่นโปรแกรมในตลับใส่หนึ่งแผ่น กับข้อความที่แปะผ่านโพสต์อิทสั้นๆ
To…Ma best friend, Chayin
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
ผมหยิบกระดาษแผ่นสีเหลืองไปแปะตรงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงแผ่นโปรแกรมออกมาใส่ตรงช่องของ CPU ก่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์จะปรากฏข้อความเดิมๆ ที่ทำให้ผมหวนนึกถึงอีกครั้ง
Welcome back to Windows live messenger.
โปรแกรมฉบับปรับปรุงนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนัก นอกจากพื้นหลังที่เปลี่ยนสีไปมา กับเพลง Will you marry me? ซึ่งถูกเล่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
อะไรของเมิ๊งงงงงงงงง ให้กูเล่นกับใคร พูด!
คอนแท็กที่ผมมีในตอนนี้ล้วนออฟไลน์ไปแล้วทั้งสิ้น แหงล่ะ...ไม่มีใครเล่น MSN อีกแล้ว ที่สำคัญผมก็ไม่รู้ด้วยว่าไอ้เบิร์ดได้ส่งโปรแกรมนี้ไปให้ใครอีกบ้าง
แต่ในเมื่อเปิดขึ้นมาแล้วเลยอดอ่านข้อความเดิมๆ ที่เคยพูดคุยกับคนในอดีตไม่ได้ ทุกข้อความที่อ่านพาผมย้อนกลับไปในความทรงจำอีกครั้ง ตั้งแต่สมัย ม.ต้น หลังเลิกเรียนต้องวิ่งกลับมาเปิดคอมพ์พร้อมกับแชตไปหาเพื่อนสนิททั้งที่เราเพิ่งแยกจากกันไม่ถึงชั่วโมง
ช่วงเวลาที่ผมได้จีบสาวและมีแฟนคนแรก ผมจำหน้าโมเมไม่ได้แล้ว แต่ยังจำความรู้สึกตอนอกหักได้เป็นอย่างดี เธอเลิกกับผมเพราะหนีไปคบกับเดือนดาวองก์ ฮ่าๆ
เดี๋ยวนะ!
คุ้นๆ เหมือนมีอะไรทะแม่งๆ เกิดขึ้น
ผมใช้เวลาอ่านข้อความที่เคยสนทนากับแฟนเก่าอีกครั้ง กวาดตามองย้ำๆ อยู่อย่างนั้นหลายตลบก่อนจะกดเข้าไปยังยูสเซอร์หนึ่งซึ่งกำลังออฟไลน์อยู่
0 8 3 2 / 6 7 6
หมีใหญ่...
มันเป็นไปได้ยากมากที่คนไม่รู้จักกันจะมีอีเมลของกันและกัน หมายความว่าผมต้องได้คอนแท็กของเขาจากใครคนหนึ่งเพื่อสืบหาคนที่เป็นมารหัวใจระหว่างผมกับโมเม ไม่ผิดแน่!
สมมติถ้าเป็นจริงขึ้นมากูควรรู้สึกยังไง อดีตแฟนเก่าดันเคยคบหากับแฟนคนปัจจุบันของผมมาก่อน
กูร้องไห้แล้ววววววว ขอให้ไม่จริงนะ
เดือนดาวองก์มีตั้งหลายปี อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนอื่น ยุบหนอ พองหนอ ใจเย็นๆ นะชยิน
ผมนั่งปลอบใจตัวเองอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์
เนิ่นนานที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นเลยหนีไปหาของกินมื้อดึกเพื่อบำรุงกระเพาะ ก่อนแว๊บไปอาบน้ำให้สดชื่น กลับมาอีกทีหน้าจอที่เปิดโปรแกรมเอ็มเอสเอ็นเอาไว้ก็มีผู้ใช้รายหนึ่งกำลังขึ้นสถานะ Available อยู่
Mr.galaxy676@xxxmail.com
ผมยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นชื่ออีเมลนี้อีกครั้ง นานมาแล้วที่บทสนทนาของเรายังต่อไม่จบ หลังได้อ่านประโยคบอกรักแล้วโปรแกรมก็หมดอายุไป คราวนี้มันอยู่ได้แค่ 24 ชั่วโมง แต่ผมดีใจจริงๆ ที่เขาคือหนึ่งในนั้นที่กลับมาออนไลน์
0832/676 หมีใหญ่ คัลลิสโต ศตวรรษ
ไม่ว่าจะชื่ออะไรผมก็ยังตกหลุมรักแค่เขา ตกหลุมรักตัวตนของคนเพียงคนเดียว
Chayin says… ไหนบอกว่าทำงานไง ทำไมถึงมาเล่นเอ็มได้
สองมือพิมพ์ข้อความเริ่มต้นทักทาย ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเมื่อเขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว
0 8 3 2 / 6 7 6 say… เบิร์ดบอกให้เล่น
Chayin says… แล้วคุณก็เชื่อมัน
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ทีคุณยังเชื่อเลย ว่าผมได้เหรอ
กวนตีนละพ่อ ถ้าอยู่ด้วยกันตรงนี้กูจะถีบเปรี้ยงให้ตกเก้าอี้
Chayin says… หมีใหญ่ ถามอะไรหน่อยสิ ทำไมผมถึงมีคอนแท็กคุณใน MSN
0 8 3 2 / 6 7 6 say… จะไปรู้เหรอ
Chayin says… เดี๋ยวถามก่อน ที่คุณเคยบอกว่าเคยมีแฟนตอนมัธยมคนนึง คนนั้นชื่ออะไรนะ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ถามทำไม
Chayin says… ถามก็ตอบสิ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ชื่อโมเม
เหยดดดดดดดดดดเข้!!!
Chayin says… นั่นแฟนผม คุณแย่งแฟนผม!
0 8 3 2 / 6 7 6 say… เดี๋ยวนะชยินใจเย็นๆ
Chayin says… คุณเป็นเดือนดาวองก์ที่แย่งโมเมไปจากผม คุณทำให้ผมอกหัก
Chayin says… ต้องใช่แน่ๆ ที่ผมมีเมลคุณเพราะต้องการจะสืบว่าใครมาแย่งโมเมไป
Chayin says… หมีใหญ่คุณมันคนนิสัยไม่ดี กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ผมจะต่อยให้ตายคามือ
ข้อความมากมายมหาศาลถูกพิมพ์ระรัวจนแป้นพิมพ์แทบหัก ความรู้สึกเดิมๆ ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ไม่ใช่เพราะโกรธหรือเสียใจ แต่มันอึ้งจนเสียสติไปแล้วต่างหาก
ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่เงียบไปนาน ปล่อยให้ผมได้โวยวายจนพอใจเขาถึงตอบกลับมา
0 8 3 2 / 6 7 6 say… เหนื่อยหรือยังเด็กน้อย
Chayin says… อยากด่าอีก อย่าด่าเยอะๆ คุณทำให้ผมป่วยเพราะมัวแต่ร้องไห้แล้วตากฝน
Chayin says… แม่ตีผมแรงมากก็เพราะคุณ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ผมไม่รู้ว่าทำให้คุณเสียใจ ขอโทษนะ
Chayin says… ไม่ต้องมาทำเป็นคนดี โกรธอ่ะ โกรธ!!
0 8 3 2 / 6 7 6 say… มองอีกแง่นึงมันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… คุณเคยเจ็บปวดเพราะความรัก ผมเองก็เคยผิดหวังไม่ต่างกัน
0 8 3 2 / 6 7 6 say… เราผ่านอะไรมาเยอะกว่าจะได้รักกัน จริงๆ คุณควรขอบคุณอดีตที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
นั่งเอนตัวไปบนพนักเก้าอี้ จ้องมองตัวอักษรยาวพรืดที่พิมพ์กลับมาไม่นาน
ในใจเริ่มสงบลงทีละน้อย หัวสมองเริ่มคิดถึงสิ่งต่างๆ ตามความคิดของเขา พอนึกย้อนไปตอนสมัยเด็กแล้วอดขำไม่ได้ ผมในตอนนั้นมีความรักเพราะอิจฉาที่คนอื่นเขามีเลยอยากมีตามบ้าง นั่นจึงเป็นความรักที่เกิดขึ้นเพียงผิวเผิน
ต่อให้ร้องไห้เสียใจและเจ็บปวดแค่ไหน ตอนนี้ได้มองย้อนกลับไปมันช่างเล็กน้อยจนไม่ต้องเก็บมาใส่ใจด้วยซ้ำ เวลานี้ผมโตขึ้น เป็นชยินที่ไม่เหมือนวันก่อน มีความรัก ได้เริ่มต้นกับใครสักคนอย่างที่อยากเริ่มจริงๆ โดยไม่มีสังคมหรือปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ผมไม่ควรคิดโมโหกับอดีตที่ผ่านมาแล้วด้วยซ้ำนอกจากเรียนรู้ ปัจจุบันต่างหากที่สำคัญ
Chayin says… โอเคผมโง่เองที่ด่าคุณ
0 8 3 2 / 6 7 6 say… ปกติคุณก็โง่อยู่แล้วหนิเด็กน้อย
สัด!
Chayin says… ออกจากโรงพิมพ์เดี๋ยวนี้เลย จะเตรียมไม้หน้าสามรอฟาดอยู่ที่ห้อง
0 8 3 2 / 6 7 6 say… (ΘεΘ;)
วอนตีนเก่ง
หลังจากนั้นผมก็พิมพ์ข้อความกับเขาไปอีกยืดยาว ไม่คิดเลยว่าจะเจอเซอร์ไพรส์จากไอ้เบิร์ดที่เสือกฝังโค้ดส้นตีนอะไรไม่รู้มากับแผ่น
หน้าต่างใหม่เปิดขึ้นมา มันเป็นวิดีโอหนังโป๊เกย์จาก Pornhub นับสิบเรื่อง ผมช็อกจนแทบตกเก้าอี้ แต่ที่น่าโมโหกว่าคือไอ้หมีใหญ่ดันกดเปิดแล้วส่งลิงก์มาให้กูดูด้วยนี่แหละ
ผมอาละวาดไปเกือบชั่วโมง โทรไปด่าไอ้เบิร์ดอีกยาวเหยียดจนมันต้องยื่นมือถือให้เมียช่วยพูดแทนเรื่องถึงได้จบ ข้อดีอย่างเดียวที่ได้จากแผ่น MSN ในครั้งนี้ คงมีแค่การเติมเต็มความค้างคาใจในอดีตจนหมด ก่อนที่โปรแกรมจะหมดอายุลงในวันพรุ่งนี้
ไม่มีคำถาม ไม่มีข้อสงสัย แม้แต่คำบอกรักในอดีตวันนั้นก็กระจ่างจนหมดแล้ว
ผมปิดคอมพิวเตอร์ กระโดดขึ้นเตียงแล้วกอดหมอนข้างหลับไปด้วยความรู้สึกคิดถึงคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ผมไม่สามารถฝืนความง่วงงุนได้จริงๆ
ใครจะคิดว่าหลังจากตื่นขึ้นมา ผมจะเห็นคนตัวสูงทำอาหารเช้ารอไว้ก่อนแล้ว
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ความสงสัยจู่โจมฉับพลัน ดูเหมือนว่ายุคจะยังอยู่ในเสื้อผ้าตัวเดิมกับที่เจอเมื่อวาน เดาได้ว่านอกจากจะไม่ได้นอนแล้วคงไม่ได้อาบน้ำด้วย
“ก่อนหน้าคุณตื่นชั่วโมงกว่าๆ”
“ยังไม่ได้นอนใช่มั้ย เดี๋ยวกินข้าวแล้วค่อยอาบน้ำนอนนะ”
“งั้นเราอาบน้ำก่อนเถอะ แล้วค่อยออกมากินข้าว” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ไม่ได้คิดเลยว่าอาบน้ำของเขาจะหมายถึงการอาบพร้อมกัน ไอ้บ้า!
หายทะลึ่งไปนานแม่งกลับมาหื่นอีกแล้ว
กว่าจะพาสังขารระโหยแรงแรงออกมากินข้าวได้ตัวผมก็เกือบเปื่อยไปหมดเพราะแช่น้ำอยู่นาน ไม่รู้จะขัดอะไรนักหนา ดังนั้นหลังกลับมานั่งประจำที่โต๊ะกินข้าวผมเลยทำหน้างอคอหักตลอดเวลา
“กินข้าว ทำหน้างอแบบนี้ไม่น่ารักเลย” เขาพูดไปตักข้าวใส่ปากไป
“ใครอยากน่ารักกัน”
“นี่ผมไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ แค่ช่วยอาบน้ำ”
“ต่อไปไม่ต้อง!”
เราไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งก็จริง แต่ไอ้เรื่องถึงเนื้อถึงตัวภายนอกนี่ไม่เหลือ ผิวหนังไม่มีส่วนไหนไม่แดงเถือกจากการสัมผัส ถ้าไอ้ท็อปมาเห็นอีกคงโดนมันล้อไปทั้งวัน
“หรือคุณอยากให้ทำอย่างอื่น”
“คุณไม่ทำหรอก” พูดออกไปด้วยความมั่นใจ
“บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่ผมกล้าทำอะไรบางอย่างแล้วก็ได้”
“อืมๆ”
รับฟังไปงั้นแหละ ไม่ใส่ใจหรอกว่าเขาหมายถึงอะไรเพราะโง่เกินกว่าจะเข้าใจ เราต่างกินข้าวกันเงียบๆ ก่อนคนตัวสูงจะเอ่ยถามในเรื่องที่ไม่คาดว่าจะได้ยิน
“คุณยังรอนิยายเรื่องนั้นจบอยู่มั้ย”
“หมายถึงเรื่องไหน”
“เห็นอ่านอยู่เรื่องเดียว”
“อืม เขาไม่มาต่อ และผมคิดว่าเขาคงไม่มาแล้วล่ะ”
หนังสือเล่มหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะ ก่อนมือหนาจะออกแรงดันมันมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม หัวใจที่เคยเต้นอย่างสงบรัวกระหน่ำ เอาแต่จดจ้องมองใบหน้าหล่อเหลากับหนังสือที่มีชื่อ No name ปรากฏอยู่ไปมา
“คุณ...”
“อยากให้คุณได้อ่านตอนจบก่อนใคร”
“คุณเขียนเหรอ”
คราวนี้เจ้าตัวไม่ยอมตอบนอกจากเบี่ยงประเด็น
“ลองอ่านดูสิ บทสุดท้ายที่คุณยังไม่ได้อ่าน” ด้วยความที่วันนี้เขาสวมเสื้อแขนยาวเลยไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งวินาทีที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมา ผมถึงได้เห็นรอยสักบาร์โค้ดที่เคยสักไว้ก่อนหน้ามีตัวเลขและตัวอักษรสมบูรณ์แล้ว
มันคือข้อความ A C 1 1 8
รหัสเดียวกับนักล่าค่าหัว ซึ่งก็คือผมที่เป็นตัวละครในเรื่อง
“ยุค”
“ลองอ่านก่อน” ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร้องไห้ เปิดหนังสือไปยังบทสุดท้ายทั้งที่สายตาเต็มไปด้วยม่านน้ำจนมองไม่ชัด มือหนาเอื้อมมาเกลี่ยน้ำตาให้พร้อมกับปลอบอย่างอ่อนโยน
“ทำไมเด็กน้อยขี้แย”
“ผมเปล่านะ”
No name ที่เขียนโดย No name จริงๆ แล้วไม่ใช่คนห่างไกลที่ไหน แต่กลับเป็นคนที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงและบอกฝันดีทุกคืน เขาเก็บเรื่องนี้เอาไว้โดยไม่บอก กว่าจะรู้ความจริงนิยายก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้ว
No name เล่าเรื่องราวของผู้ชายสองคนที่บังเอิญมาเจอกันในคุก เรื่องเริ่มต้นขึ้นในโลกดิสโทเปียแห่งหนึ่งที่ประชากรมีจำนวนล้นโลก รัฐบาลก่อตั้งองค์กรลับแห่งหนึ่งขึ้นมาเพื่อกำจัดคนชั่ว โดยมีนักล่าค่าหัวซึ่งทำงานใต้ดินมารับหน้าที่ร่วมกับรัฐบาล
ประชาชนไม่เคยรับรู้ว่ามีเรื่องเลวทรามนี้เกิดขึ้น ทว่าในทุกวันจะมีคนชั่วที่เคยก่อคดีหนักๆ ตายลงวันละหลายพันคน ผมคือหนึ่งในคนที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านั้น
AC118 เป็นรหัสที่ใช้เรียกผม เนื่องจากมีกฏเหล็กอย่างหนึ่งคือคนในองค์กรจะไม่ทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้ง เราไม่รู้ข้อมูลของกันและกันแม้กระทั่งชื่อจริง สิ่งที่ใช้เรียกแทนได้เลยมีแค่รหัสที่ถูกสักเอาไว้บนบนหลังคอและสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา
ผมฆ่าคนเลวมาแล้วนับร้อยนับพันชีวิต แต่วันหนึ่งดันพลาดท่าเผลอฆ่าคนที่ไม่มีความผิดเข้าเลยถูกขับออกจากองค์กร และพาไปขังในคุกใต้ดิน ที่นี่ไม่มีกฎหมายรองรับ มันเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน ผมใช้ชีวิตในทุกๆ วันเพื่อหวังว่าจะได้ออกไปแก้ตัวเมื่อพ้นโทษ แต่โชคชะตาไม่เคยปรานี
เมื่อได้รับรู้กฎเหล็กข้อหนึ่งที่ไม่เคยเปิดเผยให้นักล่าค่าหัวคนไหนได้ยิน นั่นคือถ้าพลาด เราจะเจอบทลงโทษที่แสนเจ็บปวดนั่นคือการลบความทรงจำแล้วถูกส่งกลับไปยังพื้นที่สีแดง ทำหน้าที่เป็นคนงานเหมืองจนกระทั่งตายไปในที่สุด
ความจริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลยก็แค่เรื่องลบความทรงจำ
ชีวิตซึ่งเกิดมาจนถึงวันที่ได้รหัส AC118 ผมไม่เคยผูกพันกับใคร พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก ครอบครัวก็ไม่มี เติบโตและอาศัยอยู่กับหัวหน้ากองโจรจนกระทั่งเติบใหญ่ถึงได้เข้ามาทำงานลับให้กับรัฐบาล ผมไม่เคยมีความรัก จิตใจโหดเหี้ยม ไม่เคยอ่อนข้อหรืออ่อนโยนต่อใคร
AC118 ไม่เคยอ่อนไหว ทว่าหัวใจกลับเย็นเยียบและโดดเดี่ยว
ในวันที่ 20 เดือน 12 นักล่าค่าหัวคนหนึ่งถูกส่งเข้ามาในคุก
ที่หลังคอของเขามีรหัส แต่กลับถูกเสื้อคลุมปิดเอาไว้ตลอดเวลาจนไม่สามารถรู้ได้ว่าควรเรียกเขาว่าอย่างไร ผมจึงแทนชื่ออีกฝ่ายด้วยคำว่า ‘No name’
เขาสวมเสื้อฮู้ดสีดำสนิท คาดแมสก์สีเดียวกัน แล้วก็รู้ในวินาทีนั้นว่าชะตากรรมของตัวเองจะเป็นอย่างไรจึงยอมจำนนโดยไม่ขัดขืน ไม่คิดเลยว่าสุดท้าย No name จะพาผมหนีออกมา
นั่นเป็นเรื่องราวตลอด 19 ตอนที่ผมได้อ่านผ่านเว็บ ช่วงเวลาที่คนสองคนทำเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกแม้ตัวเขาจะเล็กกระจ้อยร่อยแค่ไหนก็ตาม หนึ่งวันผ่านไปอย่างยากลำบาก AC118 และ No name ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา นอนไม่เคยเต็มอิ่ม กินไม่เคยอิ่มท้อง แต่นับวันความสุขกลับยิ่งเพิ่มพูน
ความสุขที่เกิดขึ้นจากความผูกพัน
คนที่ไม่เคยมีความรักมาตลอดชีวิตรู้สึกมีค่าขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งเดินเข้ามา No name ไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนที่เข้าใจเขาที่สุด ตอนที่ 19 จบลงเมื่อเดือนก่อน ผมอ่านถึงบรรทัดสุดท้าย เขาสองคนตัดสินใจที่จะเดินทางหนีไปสุดขอบฟ้าเพราะรัฐบาลส่งคนมาตามล่าตัวและคนทั้งคู่กำลังจนมุม
ผมเปิดกระดาษพลิกไปยังบทที่ 20 เริ่มอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกอย่างตั้งใจ
บรรยากาศของเรื่องยังเต็มไปด้วยความตึงเครียด No name ถูกยิงที่ต้นแขน แต่เขาก็ยังปกป้องผม เราหลบเข้าไปอยู่ในซากรถเก่าๆ คันหนึ่งที่อยู่ใกล้กับปากเหว เสื้อผ้าสีดำขาดหวิ่นจากการเกาะเกี่ยวทุกสรรพสิ่ง ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นหลังคอซึ่งไม่มีสิ่งใดพันธนาการจนเต็มตา
ไม่มีรหัสหรือรอยสักใดๆ ปรากฏอยู่บนนั้น ผิวของเขาสะอาด ไร้ซึ่งร่อยรอยขีดข่วน
ผมสับสนไปหมด ตะโกนถามเขาด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะรู้ความจริงว่า No name ไม่ใช่นักล่าค่าหัว แต่เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่อยากช่วยเหลือผมโดยไม่บอกเหตุผลอื่นใด
เขาบอกแค่ว่าอยากช่วย ทั้งที่รู้ดีว่าจุดจบต้องเป็นเช่นไร
ถ้าถูกจับได้ ผมจะถูกลบความจำ ขณะที่ No name จะต้องถูกฆ่าทิ้งเพราะทำความผิดโทษฐานพานักโทษหลบหนี เรามีจุดจบที่ต่างกันแต่เจ็บปวดเท่าๆ กัน
ในหน้าสุดท้ายที่ผมเปิดอ่าน ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังเข้ามา ความเจ็บปวด หวาดกลัว ความขลาดเขลา ผมพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเรื่องทั้งหมด หากเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงมันจะเป็นยังไงกัน จะตัดสินใจเหมือนกับตัวละครในเรื่องมั้ย
ตัวหนังสือมากมายหลั่งไหลเข้ามาในความรู้สึก ผมสะกดกลั้นอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้และตั้งใจอ่านทุกตัวอักษร
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย การจากลาขยับเคลื่อนเข้ามาเฉียดลมหายใจของคนทั้งคู่
“ด้านนอกมีคนของรัฐบาลล้อมไว้หมดแล้ว เรามีแค่สองทางให้เลือก” นั่นคือคำพูดของโนเนม
“มีอะไรที่เราพอเลือกได้บ้าง” AC118 ถามกลับ
หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนนั่งแทบไม่ติดเบาะ เขามองตามสายตาคมเข้มไปยังประตูฟากหนึ่งของรถ หากเปิดออกไปพวกเขาทั้งคู่จะตกลงไปยังก้นเหวลึก ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
AC118 รู้ทางเลือกในข้อแรก เขาส่ายหัวแล้วถามย้ำอีกครา
“ทางเลือกที่สองล่ะ”
ชายในชุดดำคลี่ยิ้มก่อนตอบด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
“ยอมให้พวกเขาจับเราไป”
“ไม่นะ”
“นี่คือทางออกที่ดีที่สุด 118 คุณเป็นคนฉลาด ถึงจะถูกลบความจำแต่ผมก็เชื่อว่าคุณจะสามารถหลบหนีและมีชีวิตรอดจากเหมืองนั่นไปได้ เพราะงั้นจงมีชีวิตอยู่”
“แล้วคุณล่ะ”
“ผมเลือกแล้ว เลือกตั้งแต่แรกที่จะมาเจอคุณ” เขาขยับตัวเล็กน้อยเพื่อชิดกับประตูรถยนต์ ที่ซึ่งเป็นประตูเบิกทางสู่นรกโดยแท้จริง
“ไม่ ผมไม่ปล่อยให้คุณไป โนเนมมันต้องมีทางออกสิ”
“ความตายสำหรับผมไม่ได้น่ากลัว”
“ผมก็เหมือนกัน”
“ไม่เหมือน”
“มันจะต่างอะไรกันหากต้องมีชีวิตอยู่โดยไร้ซึ่งความทรงจำ ในอดีตผมเกิดมามีชีวิตเหมือนหุ่นยนต์คอยทำตามคำสั่งเจ้านาย ไม่เคยหัวเราะ รักใครไม่เป็น” เขาพูดอย่างตัดพอ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาไม่ขาดสาย ขณะริมฝีปากแตกระแหงยังคงเอื้อนเอ่ยไม่หยุด
“ผมมีช่วงเวลาที่ได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ มีความสุขและความเศร้า ได้เป็นมนุษย์ที่เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มันจะดีเหรอหากลืมทุกอย่างไปแล้วผมไร้ความรู้สึกเหมือนในอดีตอีก ไม่เลย...”
ถึงตอนนี้เขาต้องเลือก ระหว่างจากไปทั้งที่ยังรู้สึก หรือมีชีวิตอยู่เพื่อหลงลืมทุกสิ่งอย่าง
No name เปิดประตูเพื่อบ่งบอกการตัดสินใจที่แน่วแน่ของตัวเอง ภาพข้างล่างเต็มไปด้วยความน่ากลัว หุบเขาและน้ำลึกผลักดันให้ร่างกายของคนทั้งคู่สั่นเทาราวกับลูกนก
“ผมต้องไปแล้ว คุณอยู่ต่อเถอะนะ” เจ้าของเสื้อคลุมสีดำเอ่ยย้ำ
จากที่เกิดมาไม่เคยกลัว กลับหวาดหวั่นที่สุดเมื่อต้องจากคนที่รักไป
“โนเนม” AC118 ร้องเรียก สองมือคว้าแขนอีกฝ่ายเอาไว้ในสภาพน้ำตานองหน้า เขาเค้นเสียงจากลำคออย่างยากลำบาก ทว่าในที่สุดก็เอ่ยถามออกมาด้วยเสียงสะอื้น “คุณชื่ออะไร”
คนที่กำลังตกลงไปเบื้องล่างถูกร่างบอบบางกว่ายื้อไว้ ใบหน้าที่เปราะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดฉีกยิ้ม เขาตอบสั้นๆ สะท้านหัวใจทั้งดวงของคนฟัง
“ผมรักคุณ”
“No name ช่วยบอกชื่อคุณกับผมได้มั้ย”
“ผมรักคุณ”
จวบจนร่างสูงร่วงลงลงไปยังด้านล่าง เขาก็ไม่เคยได้คำตอบนอกจากประโยคบอกรักเพียงประโยคเดียว
ชื่อไม่เคยสำคัญ ความรู้สึกต่างหากที่ยังคงอยู่
น้ำตามากมายหยดลงบนกระดาษ
ผมเงยหน้ามองไปยังคนตัวสูงที่กำลังจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยน
“จะ...จบแล้วเหรอ” คราวนี้ยุคส่ายหัว ก่อนจะอธิบายอย่างกระจ่างอีกครั้ง
“คุณเลือกตอนจบได้ เป็นฉากสุดท้ายที่ผมไม่ได้เขียน”
“ทำไม”
“เพราะมันคือการตัดสินใจของคุณ”
ผมนั่งนิ่ง มองกระดาษเลอะน้ำตาพร้อมกับใช้ความคิด No name จากไปแล้ว ผมเหลือเพียงสองทางเลือกคือยอมให้เขาลบความทรงจำแล้วกลับไปเป็นคนเดิม กับสอง...
“ยุค ผมเลือกตอนจบของเรื่องนี้ได้แล้ว”
“อืม...”
“ให้ AC118 ตามเขาไปได้มั้ย ไกลแค่ไหนก็ให้ตามไป”
“ทำไมถึงเลือกแบบนั้น”
“คนเราไม่ได้อยู่เพื่อหายใจไปวันๆ เราอยู่เพื่อเก็บความทรงจำและความหวังต่างหาก ผมคิดว่า 118 ได้รับมันทั้งหมดแล้ว เพราะงั้น...พอแล้วล่ะ ให้เขาได้อยู่กับคนที่รักเถอะ”
“โอเค ผมจะเขียนตอนจบแบบนั้น”
เป็นตอนจบที่สมบูรณ์และเรียกน้ำตาได้มากมายมหาศาล
มันเหมือนกับชีวิตจริงที่ผมได้เลือกแล้วว่าจะอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย
ไม่รู้ว่าคนตัวสูงลุกจากเก้าอี้อีกฝั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกกอดจากด้านหลังอย่างแนบแน่นแล้ว
ริมฝีปากร้อนพรมจูบไปบนซอกคอก่อนจะเลื่อนคนมาบนใบหน้า เสียงทุ้มนุ่มของเขากระซิบปลอบใจตรงข้างใบหูจนกว่าจะคลายจากอาการสะอื้น เขาเอ่ยประโยคเดิมๆ ที่แสนธรรมดาแต่กลับมีค่ากับคนฟังอย่างประเมินค่าไม่ได้
“ผมรักคุณ”
“...”
“รักคุณ”
“ครับ ผมก็รักคุณ อย่า...อย่าไปไหนเลยนะ”
“ไม่ไปหรอก ผมจะทิ้งเด็กน้อยได้ไง”
ในบรรทัดหนึ่งของมูราคามิระบุเอาไว้ว่า เราต่างก็อยากเป็นคนที่มีความหมายจริงๆ ในชีวิตของใครบางคน และขณะเดียวกันก็อยากมีคนที่มีความหมายจริงๆ ในชีวิตของเราเช่นกัน
ผมเจอแล้ว เจอเขาในวันนั้น ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
เขาสวมแมสก์สีดำ เสื้อผ้าและกางเกงคุมโทนในสไตล์นักฆ่า ผมได้คุยกับเขา มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาในระยะประชิด ผมไม่เคยใจเต้นแรงแบบนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว แต่นั่นแหละความทรงจำ...
ยุคอุ้มผมมานั่งตรงโซฟา สองแขนอบอุ่นโอบกอดผมไว้ทั้งตัว เราต่างปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่าเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกเบื่อ
“ทำไมคุณถึงสักชื่อ AC118” ผมถามเสียงอู้อี้ ทั้งที่ในเรื่องมันหมายถึงผม
“เพราะอยากสลักคุณเอาไว้ในร่างกายล่ะมั้ง”
“แต่ผมไม่ได้ชื่อนี้สักหน่อย”
“อยากรู้เหตุผลของมันมั้ย” เสี้ยววินาทีที่คำถามนั้นจบลง ผมพยักหน้าอย่างอยากรู้ “PC 0832/676 เป็นดวงดาวที่ห่างไกลที่สุดในระนาบดาราจักร และเพราะมันไกลจากโลกดังนั้นจึงห่างไกลจากผู้คน”
“...”
“ผมชอบความสันโดษ ที่ผ่านมาเลยอยู่ห่างจากคนบนโลกค่อนข้างมากเหมือนดาวดวงนี้ แต่ก็หวังว่าวันหนึ่งจะได้เจอดวงดาวที่คล้ายๆ กัน อยู่ห่างไกล โดดเดี่ยว แล้วรอวันที่เราจะได้โคจรมาเจอกันสักครั้ง”
ผมรับฟังอย่างเงียบๆ ตื่นเต้นที่จะได้ยินสิ่งที่อยู่ในใจของเขา
“ส่วน AC118 เป็นดาวฤกษ์ดวงเดี่ยวที่ห่างไกลที่สุดเท่าที่คนบนโลกได้ค้นพบ มันเหมือนความรักในใจผม หาได้ยาก และไม่แน่ใจว่าชั่วชีวิตนี้จะได้เจอหรือเปล่า แต่โชคดีจริงๆ ตอนนี้...ผมค้นพบแล้ว”
“...”
“นั่นคือคุณ”
“...”
“ชยิน”
“หืม...” เกลียดตัวเองที่ร้องไห้อีกจนได้
“เรา...คบกันเถอะนะ”
“ครับ ผมจะคบกันคุณ”
ความจริงเราคบกันนานแล้วแค่ไม่มีใครเอ่ยปากออกมาก่อน ทว่าในช่วงเวลาที่ดวงดาวโดดเดี่ยวสองดวงได้โคจรมาพบกัน เราก็ได้เอ่ยทักทายอีกครั้งด้วยการ...ขอเป็นแฟน
- END -
เรามักจะจดบันทึกวันเวลาเอาไว้ตอนที่เริ่มลงนิยายเรื่องใหม่
สำหรับ MSN มันถูกเขียนและเผยแพร่ในวันที่ 18 กันยายน 2560
นับดูแล้วก็เป็นเวลาเกือบปีเลยทีเดียว เนื้อเรื่องไม่ยาวมากแต่ทำไมเขียนนานหว่า สงสัยตัวเองมากๆ
คนอ่านหลายคนอาจจะยังไม่รู้ MSN ย่อมาจากคำว่า Musician, Solitude และ Novelist
ความหมายก็ตรงตัวคือคนสองอาชีพที่รักในความสันโดษแต่บังเอิญได้มาเจอกัน
จุดเริ่มต้นของเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อนนัก เพราะมันมาจากคำว่า ‘เหงา’ ตัวโตๆ
เรียนจบใหม่ กลับมาอยู่บ้าน เพื่อนทุกคนแยกย้าย เราก้าวสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัว
ถึงแม้ที่ผ่านมาจะแฮปปี้และใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้อย่างไม่มีปัญหา แต่มันไม่เหมือนกัน
นี่คงเป็นความรู้สึกของคนที่กำลังก้าวสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัว
เราเลยเขียนมันขึ้นมา เป็นนิยายธรรมดาที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เคยเขียน
อย่างน้อยก็เพื่อจดบันทึกและแชร์ความทรงจำระหว่างเรา
หวังอย่างยิ่งว่านิยายเรื่องนี้จะเป็นเพื่อนคลายเหงาให้กับคนอ่านในบางครั้ง
ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้สลัดความรู้สึกเหงาออกไปได้จริงๆ สักที
หรือไม่...ต่อให้สลัดมันออกไปไม่ได้ ก็ขอให้ทุกคนอยู่กับความเหงาอย่างมีความสุขที่สุดก็พอ
รักเสมอ...จิตติ
เพิ่มเติม : นิยายเรื่องนี้จะมีการตีพิมพ์เป็นหนังสือด้วยนะคะ แต่จะออกเมื่อไหร่หรือยังไงนั้นเราจะตามมาอัพเดตให้ทราบเรื่อยๆ ค่ะ
รายละเอียดในเล่ม
1. เนื้อหานิยายบทนำ – ตอนที่ 16 (ตอนจบ)
2. ตอนพิเศษ 3 ตอน
1. Lovely Bunny
(ยุคยินฟิคชั่น) นิยายจากแฮชแท็ก #YukYinCouple เรื่องราวของพี่ยุควิศวะที่บังเอิญมาเจอน้องกระต่ายตัวน้อยในร้านนม นั่นทำให้คนหน้านิ่งที่ไม่เคยรักใครเกิดอาการตกหลุมรักจนหัวใจแทบระเบิด
2. ความพยายามของสามีและคุณภรรยา
เบิร์ดบินกลับมาหาชยินอีกครั้ง แถมคราวนี้ยังทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชักแนะนำให้เพื่อนเริ่มต้นอ่อยแฟนตัวเองเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น (18+)
3. Cover by คนของชยิน
วันเกิดปีที่ 27 ของชยินเต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์ หนึ่งในนั้นคือการที่ยุคติดงานจนไม่สามารถอยู่ฉลองด้วยได้ แง้