ตอนที่ 14
ความหมายของอะไรบางอย่าง
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมเอาแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงเพื่อเฝ้ารอการกลับมาของใครบางคน
ทว่าความหวังกับความจริงมักสวนทางกันเสมอ เลยได้แต่กัดฟันลุกขึ้นนั่งในสภาพปวดร้าวไปทั้งร่าง กระดูกทุกชิ้นคล้ายกับกำลังปริแตกได้ทุกเมื่อ ความเจ็บครอบงำร่างกายไปทุกส่วนจนอยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าที่ทรมานอยู่นี้มาจากร่างกายหรือหัวใจกันแน่
ทุกอย่างกำลังแตกสลาย ชยินคนเดิมจางหายไป เหลือแต่คนโง่ที่อ่อนแออยู่บนเตียง
ผมไม่ได้เสียใจกับสิ่งทำลงไป ก็แค่...ต้องเข้าใจสักทีว่าการตัดสินใจทำบางอย่างอาจได้รับความว่างเปล่ากลับคืนมา
ตอนนี้ผมไม่อยากคิดถึงอนาคตที่กำลังมาถึง หรือคาดเดาว่าตัวเองจะเป็นยังไงหลังต้องกลับมาใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวอีกครั้ง ไม่มีความรัก ไม่มีความหวังและสีสันในชีวิต คงเหลือแต่งานที่ขับเคลื่อนให้ก้าวเดินต่อไปแล้วรอคอยว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะกลับไปเป็นชยินคนเดิมสักที
ผมรวบรวมแรงที่เหลืออันน้อยนิดค่อยๆ พาร่างระโหยโรยแรงลงจากเตียงอย่างยากลำบาก สองขาที่ติดสั่นทำให้ไม่สามารถทรงตัวได้ดีนัก เลยต้องอาศัยเกาะเกี่ยวสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อยกระทั่งเข้ามาในห้องน้ำได้สำเร็จ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปเปิดฝักบัว ปล่อยให้น้ำเย็นไหลชโลมลงมาบนร่างกายเพื่อเรียกสติ
ถ้าเปิดเพลงเศร้าๆ ที่เคยแต่งเข้าไป ฉากนี้ก็คงกลายเป็นเอ็มวีน้ำเน่าดีๆ นี่เอง
ความเย็นของน้ำช่วยให้รู้สึกดีขึ้นในตอนแรก แต่ต่อมามันก็พาเอาความเหน็บหนาวมาให้ ผมกอดตัวเอง จมดิ่งไปกับสารพัดเรื่องราวซึ่งกำลังตีวนอยู่ในหัว ทั้งสับสนและเจ็บปวด บางครั้งก็นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาดื้อๆ ที่ทำไมถึงเข้มแข็งไม่ได้เท่าเดิม ทำไมถึงยังคาดหวังว่าเขาจะกลับมา ทำไม...
เราไม่ได้พูดเรื่องที่ควรเคลียร์
ผมเป็นศิลปินที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย เขาเป็นศิลปินที่บางครั้งก็ดูเข้าใจยาก
‘ผมไม่เข้าใจว่าความรู้สึกชอบที่มีให้คุณมันจริงหรือเปล่า บางทีผมอาจจะหลงไปกับความแสนดีของคุณเท่านั้น’
‘ลองดูมั้ยล่ะ เปิดใจหน่อย คุณจะได้รู้ว่าชอบจริงหรือแค่อยากชอบ’
‘แล้วถ้าเกิดผมชอบคุณจริงล่ะ’
‘เราก็มาคบกัน’
‘แต่ถ้าคำตอบออกมาว่าไม่ใช่ คุณจะทำยังไง’
‘ไม่ทำไง’
‘...’
‘ก็แค่รักคุณข้างเดียวต่อไป’ ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลราวกับสายน้ำ
ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นผมอยากให้มันเป็นเรื่องจริง อยากให้สิ่งที่เขาเคยบอกในวันนั้นไม่ใช่คำโกหกหลอกลวง ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะไม่เหลือความรักอยู่ในใจของเขาแล้วก็ตาม
สายน้ำยังคงตกกระทบบนร่างกายไม่หยุด ความเย็นของมันผลักให้ขนอ่อนตามร่างกายลุกซู่ ผมกอดตัวเองอยู่อย่างนั้น ก้มมองทุกตารางผิวบนร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการร่วมรัก มันยังคงติดตรึงไม่จางหาย แถมของเหลวที่คั่งค้างอยู่ในร่างกายยังเป็นตัวบ่งบอกชั้นดีว่าทุกอย่างเคยเกิดขึ้นจริง
ผมกัดปากแน่น ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างจนสนิท จากนั้นจึงตัดสินใจเอื้อมมือติดสั่นของตัวเองไปยังช่องทางด้านหลัง พยายามอย่างมากเพื่อเอาน้ำรักสีขาวขุ่นออกมาแม้จะไม่เคยทำมาก่อน
ผมอยากให้เขาอยู่ตรงนี้ ปลอบใจหรือพูดอะไรก็ได้ให้คลายความโดดเดี่ยว แต่ยุคไม่เคยมา
และคงไม่มา...
เดี่ยวศตวรรษ… ผมไม่คิดว่าจะมีช่วงเวลาที่ตัวเองต้องย่ำเท้าออกมาจากห้องในตอนกลางดึก จากที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะอยู่กับชยินไปจนถึงเช้า ทว่าก็ยังมีเรื่องเข้ามาแทรกจนอยู่นิ่งไม่ไหว สายแล้วสายเล่าโทรเข้ามาที่เบอร์ของผม มันเป็นชื่อของคนคุ้นเคยและผมรู้ว่าเธอกำลังเผชิญอยู่กับอะไร
แฟนเก่า
คำนี้มันควรตัดขาดไปนานแล้วแต่สุดท้ายก็ยังคงวนเวียนในชีวิต ผมใช้จังหวะที่ชยินกำลังหลับด้วยความเหนื่อยอ่อนเดินลงมาด้านล่างอย่างเงียบๆ เพราะไม่อยากปลุกให้เขาตื่นเพื่อฟังเรื่องไม่สบายใจตอนนี้
“ยุค” ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งรออยู่ตรงล็อบบี้ เธอเรียกชื่อผม สีหน้าดูไม่ดีเท่าที่ควรจนต้องสืบเท้าเข้าไปหา แต่ก็ยังเว้นระยะห่างเอาไว้ไม่ให้ใกล้เกินพอดี
“ดรีมมีอะไรหรือเปล่า แล้วรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่” ผมไม่เคยบอกว่าอยู่ที่ไหน และมั่นใจว่าไม่เคยหลุดปากพูดออกไปด้วยซ้ำว่าชยินอยู่ที่นี่ เนื่องจากไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายต้องเป็นกังวล
“เราถามท็อป ตอนนี้เรารู้สึกไม่โอเค” เธอพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“แล้วกินยาหรือยัง”
“กินแล้ว แต่มันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยยุค...” ดรีมพูดเหมือนจะร้องไห้ ผมเข้าใจดีว่าไม่มีใครผ่านเรื่องร้ายๆ ได้เพียงลำพัง แต่บางครั้งผมก็ไม่ได้เก่งหรือฉลาดที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างให้จบเพียงวันเดียว
“ตอนนี้อยู่กับใคร”
“เราอยู่คนเดียว มันเคว้งมาก ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ยุคช่วยอยู่เป็นเพื่อนเราได้มั้ย อย่างน้อยก็จนกว่าจะเช้า” ประโยคนั้นเหมือนกับก้อนหินหนักหลายร้อยตันร่วงมาทับบนร่างกายของผมอย่างจัง
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่ได้อยู่กับชยิน และเขากำลังนอนหลับไปทั้งน้ำตาอยู่ข้างบน
“ดรีมมีเพื่อนคนอื่นที่พอจะอยู่เป็นเพื่อนมั้ย”
คราวนี้คนตรงหน้าส่ายหัว ผมถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนทิ้งตัวลงเบาะตรงข้ามกับอีกฝ่าย
“ไม่ใช่เพราะดรีมไม่สำคัญ แต่ตอนนี้คนที่เราชอบเขาก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่” ดรีมรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของผมกับชยินเป็นยังไง เธอบอกว่าเข้าใจทั้งที่รู้ว่ามันไม่จริง
“เราไม่ได้อยากเรียกร้อง แค่บางครั้ง...” เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกนอกจากก้มหน้า เหมือนพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลอย่างสุดความสามารถ
ที่ผ่านมาผมคิดว่าตัวเองฉลาดมาตลอด รู้ว่าควรหรือไม่ควรทำยังไง รู้ว่าต้องแก้ปัญหาแบบไหนถึงจะดีต่อทุกฝ่าย แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าแฟนเก่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและเธอไม่เหลือใครเลย ส่วนชยินเราก็ยังไม่ได้เคลียร์ปัญหากันจนกลัวว่าสุดท้ายทุกอย่างจะสายเกินแก้
ผมอยากใช้เวลาอยู่กับชยิน แต่ดรีมที่ไม่เหลือใครมันก็ทำใจยากเกินกว่าจะปล่อยปละละเลย
“เดี๋ยวเราจะโทรหาไอ้ท็อป มันมีเพื่อนหลายคน บางทีอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
“เป็นยุคไม่ได้เหรอที่อยู่กับเรา”
“ดรีม ไม่ได้หมายความว่าเป็นเราไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเธอไม่สำคัญแต่บางครั้งเราก็ต้องเลือก” ที่ผ่านมาผมเลือกแคร์ดรีมมาตลอด แคร์จนหลงลืมใครอีกคนไป ซึ่งมันถึงเวลาแล้วที่ควรหนักแน่นกับตัวเองสักที
“เราเข้าใจ”
“ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ไม่ใช่เพราะอยากปลอบใจให้พ้นๆ แต่มันจะมีวันที่ดรีมดีขึ้น” ผมพูดจากใจ ซึ่งดูเหมือนว่าคนฟังจะยอมรับด้วยการพยักหน้าหงึกหงัก
ผมไม่รอช้าหยิบมือถือต่อสายหาไอ้ท็อป ช่วงหลังมานี้มันค่อนข้างตื่นตัวอยู่ตลอดหลังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของผมบ้าง ท็อปเป็นเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษาได้ดี แม้บางครั้งปัญหาที่ถาโถมเข้ามาจะไม่ได้คลี่คลายเท่าไหร่นัก
เราพูดคุยกันพักหนึ่งก่อนวางสาย ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดปลอบใจอะไรเลยได้แต่นั่งนิ่ง คิดทบทวนเรื่องต่างๆ อยู่ในหัว
ความสัมพันธ์ของผมกับดรีมจบลงเมื่อหลายปีก่อน เราคบกันตอนเรียนอยู่มหา’ลัย แต่ความต่างของนิสัยรวมถึงอะไรหลายๆ อย่างทำให้เราสองคนต้องยุติมันด้วยการเลิกราเหมือนกับหลายๆ คู่ ทว่าเราก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
อาจไม่ได้พูดคุยกันบ่อยอย่างสนิทสนม แต่เมื่อมีปัญหาก็พร้อมจะรับฟังเสมอ นานมาแล้วที่ผมไม่ได้เจอกับดรีมเพราะรู้ว่าเขาเริ่มต้นใหม่กับใครอีกคนไปแล้ว ส่วนผมก็ง่วนอยู่กับการทำงานก่อนจะได้เจอกับชยิน นั่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เกิดความรู้สึกว่าอยากมีความรักอีกครั้ง
เป็นความรักที่ไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ เพราะมันไม่ได้เกิดจากความเลือดร้อนตามประสาวัยรุ่น แต่เกิดจากความรู้สึกที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว ผมคาดหวังให้มันเป็นความรักที่ยาวนาน จนตอนนี้ก็ยังคงคิดอยู่
“เขาเป็นยังไงบ้าง” หลังต่างคนต่างเงียบอยู่นาน ดรีมก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็น
ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางยิ้ม
“ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ชยินค่อนข้างอ่อนไหวน่ะ”
“ฝากขอโทษด้วยนะ เราผิดเอง”
“มันไม่ใช่ความผิดของดรีม บางครั้งคนเราก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครตอนที่ตัวเองกำลังลำบาก”
“เราอยากดีขึ้น”
“ดรีมจะดีขึ้น”
“แต่เรายังคิดถึงเขาอยู่เลย”
“เข้าใจ” แม้รู้ดีว่าคนๆ นั้นอาจไม่กลับมาแล้ว “วันนึงอาจจะคิดถึงน้อยลง”
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า รู้ตัวอีกทีมันก็ผันผ่านไปเกือบชั่วโมง ความกังวลใจที่สุมอยู่ในอกค่อยๆ ทวีขึ้นเรื่อยๆ ผมกลัวว่าชยินจะเผลอสะดุ้งตื่นแล้วพบว่าข้างกายไม่มีใครอยู่ กลัวว่าเขาจะร้องไห้เสียใจที่ผมไม่อยู่ตรงนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น จนกระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท
ปลดทุกพันธนาการที่รั้งให้ผมต้องอยู่ตรงนี้ออกไปในพริบตา
“ขอโทษที่ทำให้รอนาน คือกูแวะไปรับขวัญมาก่อนเลยช้านิดหน่อย ดรีมเป็นไงบ้าง” ไอ้ท็อปเดินเข้ามาประชิด พลางเอ่ยถามเจ้าของชื่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่โอเคเท่าไหร่ เรา...อยู่คนเดียวไม่ได้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน ส่วนนี่ชื่อขวัญนะ ขวัญจะมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยอีกคน”
“รบกวนด้วยนะ”
“เฮ้ยไม่เป็นไรเพื่อนกัน ว่าแต่เรากลับกันเลยมั้ย” ดรีมพยักหน้าอย่างจำยอม ก่อนจะถูกเพื่อนผู้หญิงอีกคนจูงมือเดินออกไป หลงเหลือแต่ผมกับไอ้ท็อปที่มองหน้ากันนิ่งๆ
“เพื่อนกูเป็นนักจิตวิทยา มันพอช่วยดรีมได้”
“ขอบใจมาก” ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนอกเหนือจากคำนี้ ทุกอย่างในหัวแม่งตื้อไปหมด
“เคลียร์กับชยินยัง” ไอ้ท็อปถามต่อ
“ยัง”
“ทำไมยังช้าอีก นี่ก็หลายวันแล้วนะเว้ย มึงจะให้มันอกแตกตายเหรอ”
“แค่กำลังหาโอกาส แต่ก็เกิดเรื่องก่อนตลอด มึงก็รู้ว่าดรีมกำลังป่วย มันยากที่จะทิ้งเขาให้เผชิญปัญหาตามลำพังจริงๆ” ไม่ใช่ว่าไม่พยายาม แต่คนหนึ่งก็รัก อีกคนก็ต้องดูแล เพราะไม่รู้ว่าวันไหนอีกฝ่ายจะเกิดคิดสั้นอีก
“มันไม่ใช่สิ่งที่มึงต้องรับผิดชอบขนาดนั้นเว้ยยุค เพราะป่วยเหรอถึงต้องรับผิดชอบ”
“ดรีมไม่เหลือใคร”
“เขามีคนที่คอยดูแลอยู่แล้ว แต่ที่เขาไม่ไปเพราะนึกถึงมึงเป็นคนแรกต่างหาก”
“...”
“ไอ้ยุค มึงแคร์คนที่มึงรักน้อยไปจริงๆ”
“กูรู้ว่าตัวเองแย่” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าจนรู้สึกได้ ขณะที่คนตรงหน้าก็เอาแต่ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกอีกอย่างนึกปลง
“เอาเถอะแม่งไม่ใช่เวลามาตัดพ้อป่ะวะ รีบขึ้นไปดูชยินเร็ว มันหลับอยู่ป่ะ”
“อาจจะ”
“ยังไงคืออาจจะ มึงไม่ได้ทำอะไรมันใช่มั้ย”
คราวนี้ผมไม่ตอบแต่เปลี่ยนเป็นปัดมือไล่เพื่อนสนิทให้รีบกลับ ซึ่งเหมือนมันจะเข้าใจความหมายเลยรีบผละไปอีกทาง ส่วนผมก็แวะไปที่มินิมาร์ทใต้คอนโดเพื่อซื้อของจำเป็นบางอย่างก่อนกลับขึ้นห้อง
ทุกก้าวที่ย่ำไปข้างหน้าเหมือนพาเอาความทรงจำที่ผ่านมาให้หวนนึกถึงอีกครั้ง ตอนที่ความสัมพันธ์ของผมกับชยินกำลังเป็นไปด้วยดี วันหนึ่งมันกลับสะดุดลงเพราะเรื่องเล็กน้อยที่ค่อยๆ บานปลาย
ถ้าวันนั้นเราคุยกัน มันอาจไม่เป็นแบบนี้...
‘มาทำไมเนี่ย ว่างนักเหรอมึง’
ผมโพล่งประโยคแรกที่เป็นเหมือนคำทักทายกับคนตรงหน้า ไอ้ท็อปยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงประตู ก่อนจะเบี่ยงตัวเดินเข้ามาในห้องพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี
‘ไหนบอกเลิกบุหรี่แล้ว’
‘ก็ไม่ได้สูบ แค่พกไว้ให้อุ่นใจ’
คนฟังเบะปากรับ ขณะทิ้งตัวลงบนโซฟาราวกับเป็นเจ้าของห้อง
‘จีบไอ้ชยินเป็นไงบ้าง คืองี้กูคิดแผนได้อย่างนึง เผื่อมึงเอาไปใช้รับรองว่าได้ผลชัวร์’ ไอ้นี่ก็อย่างนี้แหละ พอเห็นความสัมพันธ์ของผมกับชยินไม่ค่อยคืบหน้า แม่งจะรีบคิดอะไรแผลงๆ มาเสนอทันที
แต่คราวนี้ผมไม่อยากรับฟังเท่าไหร่นัก
‘มึงไม่ต้องเสนอแล้ว พรุ่งนี้กูจะไปบอกความจริงกับชยิน’
‘ความจริงอะไรวะ เรื่องที่มึงคือหมีใหญ่อ่ะเหรอ’
‘อืม’
คิดเอาไว้นานแล้ว บางทีมันควรถึงเวลาสักที ที่ผ่านมาผมยื้อให้ชยินรู้สึกสับสนมานานจนบางครั้งก็อดสงสารไม่ได้ เขาไม่ควรต้องเสียเวลาหรือปวดหัวกับเรื่องนี้อีก
‘กูล่ะอยากเห็นหน้ามันจริงๆ ว่าจะตกใจแค่ไหน แต่บางทีเตรียมใจไว้ก็ดีมึงอาจจะเจอแม่งอาละวาดใส่’
‘ทำใจไว้แล้ว’ ผมเอ่ยสั้นๆ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบหนังสือชื่อ Hear the wind sing ของมูราคามิขึ้นมา เพราะมันคือหนังสือเล่มสุดท้ายที่อยากมอบให้เขา
‘เออ แล้วไอ้ริวนี่ยังไง มันยอมถอยยัง’
‘ไม่ถอยก็เรื่องของมัน’
‘จริง ยังไงความหื่นของมึงที่มีให้ชยินก็เยอะกว่าไอ้ริวแน่นอน’
ผมหันไปมองคนพูด ก่อนยกนิ้วกลางส่งไปให้เป็นการตัดรำคาญ แต่ดูเหมือนว่าไอ้ท็อปจะชอบใจพล่ามต่อไม่หยุด
‘เชื่อเถอะ ฮอนด้าซิตี้ยังไงก็สู้ออดี้ได้แน่นอน’
‘มึงยังไม่หยุดอีกเหรอ’
‘โอเคกูหยุดก็ได้’
‘...’
‘แต่ถ้าได้คบกันเมื่อไหร่มึงช่วยเลี้ยงข้าวกูมื้อใหญ่ๆ ด้วยนะ’
‘พบๆ ไสหัวไปเลยมึงอ่ะ’
‘กูไปแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ มีปัญหาอะไรอย่ามาง้อกูแล้วกัน’
ผมจำไม่ได้แล้วว่าเราพูดถึงเรื่องชยินกันไปเท่าไหร่ แต่มันคงยาวนานพอสมควรเพราะแทบไม่มีเวลาโน้มตัวลงหลับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะตื่นเต้นด้วยล่ะมั้ง แค่คิดว่าจะได้เจอหน้าคนที่ชอบ ความสุขก็พุ่งจู่โจมเข้ามาทันที ดังนั้นผมเลยไม่รอช้าตื่นขึ้นมาแต่เช้า
เคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เลือกเสื้อผ้าที่คิดว่าดูดีที่สุดแม้ในตู้จะมีแค่สีดำกับขาวก็ตามที ที่ขาดไม่ได้เลยเห็นจะเป็นหมวกแก๊ปยี่ห้อ Moncler ที่ชยินเคยซื้อให้ มันกลายเป็นหมวกใบโปรดที่ผมมักหยิบมาใส่เป็นประจำ และวันนี้มันก็เป็นวันสำคัญที่คงลืมใส่ไม่ได้
ผมขับรถมุ่งหน้าไปยังคอนโดของชยินในเวลาบ่ายสามกว่าๆ ใช้จังหวะที่คนเดินลงมาข้างล่างกดลิฟต์ขึ้นไปด้านบนอย่างที่มักทำ จนกระทั่งมาหยุดยืนหน้าประตูหมายเลขเดิมที่แสนคุ้นตา
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังอยู่สามครั้ง ผมแทบไม่อยากรอเวลาให้ผ่านไปเลยด้วยซ้ำเพราะอยากเจออีกฝ่ายให้เร็วขึ้น จะเป็นหน้าบูดบึ้งเหมือนทุกครั้ง หรือรอยยิ้มน้อยๆ เหมือนคนเขินอายมันก็ดีต่อความรู้สึกของคนมองไม่ต่างกัน
แต่ทว่าหลังจากเคาะประตูห้องไปได้พักหนึ่งด้านในก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ ผมจึงลองเคาะใหม่อีกรอบซึ่งก็ได้ผลเหมือนเดิม วินาทีนั้นสิ่งเดียวที่คิดได้เลยก็คือโทรศัพท์มือถือ แต่มันแย่ตรงที่ผมรีบมาหาเขาเกินไปเลยลืมเอาไว้ในห้อง
เหี้ยฉิบหายเลย
ผมใช้เวลายืนอยู่ตรงนั้นเพื่อเรียกคนด้านในครู่หนึ่ง กระทั่งมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่อยู่ถึงได้ทรุดตัวลงนั่ง และเฝ้ารอว่าคนตัวเล็กกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เรานัดกันไว้เมื่อวาน แต่แย่หน่อยที่ไม่ได้กำหนดเวลาให้ตายตัว ชยินเลยยังไม่รู้ว่าผมมารออยู่ก่อนแล้ว
ตอนที่คนเรากำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างด้วยใจจดจ่อ โลกก็เหมือนจะกลั่นแกล้งเราอยู่เสมอ ผมรู้สึกว่าเวลาเดินช้าลงเรื่อยๆ ราวกับหยุดชะงัก กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวินาทีก็ทำเอากระวนกระวายได้เหมือนกัน
ช่วงเวลาสี่โมงเย็นเป็นช่วงที่รู้สึกอึดอัดน้อยที่สุด ผมบอกตัวเองว่าเขาอาจออกไปซื้อของข้างนอกเลยยังไม่กลับมา ทว่าความคิดนี้ก็หายไปเมื่อเข็มนาฬิกาข้อมือหมุนเวียนมาที่เลขหก
ชยินยังไม่กลับมา ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ลองเคาะประตูห้องอีกครั้งเพื่อความมั่นใจแต่ก็ได้คำตอบดังเดิมคือความเงียบ จึงตัดสินใจนั่งลงและรอต่ออย่างใจจดจ่อ
ผมอ่านหนังสือทุกเล่มของมูราคามิหมดแล้ว ดังนั้นเลยไม่มีอะไรให้อ่านฆ่าเวลา มือถือก็ลืมไว้ในห้อง คนที่รอก็ยังไม่กลับ รอบตัวมีแต่ความว่างเปล่าที่เหมือนไม่รู้จะขจัดออกยังไงนอกจากหายใจทิ้งไปเฉยๆ
หนึ่งทุ่ม...
เสียงประตูลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของคนไม่คุ้นเคย ความจริงก็คือเพื่อนบ้านของชยินนั่นแหละ เขาเดินออกมา จากนั้นก็ลากเท้าไปยังมุมห้องอย่างเงียบเชียบโดยไม่ได้เอ่ยทักทายหรือพูดประโยคใดๆ กับผม
สองทุ่ม...
จิตใจเริ่มกระวนกระวายเป็นเท่าตัว ผมไม่คิดว่าเขาจะลืมหรือผิดนัด แต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตรายมากกว่า ความห่วงที่เอ่ออยู่ในอกกำลังบอกให้ผมรีบกลับไปที่ห้องเพื่อกดมือถือไปหาเขา ทว่าทุกอย่างก็เป็นแค่ความคิด ผมยังอยู่ที่เดิม และตั้งหน้าตั้งตารอต่อไปอย่างเงียบๆ
สามทุ่ม...
สิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกเขาในวันนี้ไม่ได้มีแค่คำสารภาพหรือบอกความจริงว่าผมเป็นใคร เพราะมันคงไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้น แต่สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุด...คือการนอนหนุนตักเขาต่างหาก
เราพูดเรื่องความฝัน มีเขาคอยกล่อมและลูบหัวเหมือนเด็กๆ ครั้งหนึ่งเราเคยแชร์กันทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลกขบขันหรือวันเศร้าหมองของตัวละครในหนังสือ บทเพลงที่เขาแต่ง ความตรากตรำตอนที่ได้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงลำพังในห้อง ผมอยากพูดและฟังมันทั้งหมด
ก็ได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับมาให้ผมได้มีโอกาสทำอย่างนั้นสักที
ชยินเป็นเหมือนโลกทั้งใบของผม
ตอนเจอเขาครั้งแรก ผมอดทึ่งในความเป็นธรรมชาติของเขาไม่ได้ ทั้งกวนตีนและดูหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาแม้เจ้าตัวจะพยายามตีหน้ายิ้มเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อ แต่เขาคงลืมไป ทุกสิ่งที่คิดล้วนแสดงออกมาทางแววตาซะหมด
ชยินไม่เคยปกปิดอะไรใครได้ เขาดูใสซื่อ เป็นกันเอง ไม่มีพิษมีภัย เป็นคนมีความฝันและความคิดที่แปลกประหลาดพอกัน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเหงา แต่เป็นความเหงาที่ไม่ได้โหยหาเพื่อจะมีใครเหมือนคนอื่นๆ ผมชอบดวงตาคู่นั้นที่บ่งบอกทุกอย่าง
ความรู้สึกอยากทำความรู้จักวนเวียนอยู่ในใจ ผมเลยไม่รีรอที่จะขอเบอร์หรือทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เวลาเคลื่อนผ่านจากวันเป็นเดือน...ผมมองเห็นด้านดีและแย่ของเขา แต่นั่นยิ่งผลักดันให้ผมหลงรักคนคนนี้มากขึ้นไปอีก
แล้ววันนี้มันก็คงถึงเวลาสักทีที่เราจะได้เปิดอกคุยกันตรงๆ
ไม่มีความลับสำหรับเรา จะมีแค่ผมกับเขา
แต่...
เสียงลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง ผมมองไปยังต้นเสียงก่อนจะเห็นร่างบางของคนคุ้นเคยอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ขณะที่ข้างกายยังมีใครอีกคนยืนอยู่ด้วย
‘ยุค...’
เจ้าของเสียงน่าฟังเรียกชื่อผม นัยน์ตาสีดำอมเศร้าจ้องมองไม่กะพริบพลางสาวเท้ามาข้างหน้าอย่างไม่ลดละ
ผมชันตัวลุกขึ้นยืน ส่วนไอ้ริวเดินกลับเข้าไปในลิฟต์โดยไม่เอ่ยทักทายผมแม้แต่ประโยคเดียว ดังนั้นเลยเหลือแค่ชยินที่ยืนอยู่ตรงนี้พร้อมกับคำถามที่ทำเอายิ้มขื่นเมื่อได้ยิน
‘รอนานมั้ย’
‘ไม่นาน’ ผมตอบสั้นๆ ไม่ได้หวังให้เขารู้สึกแย่
แม้ลึกๆ จะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมเขาถึงไปกับไอ้ริว ทำไมถึงเลือกลืมนัดของผมอย่างง่ายดาย ทุกอย่างตีรวนยุ่งเหยิงอยู่ในหัว หรือความจริงแล้วผมไม่ได้สำคัญกับเขาขนาดนั้นกันแน่
‘กี่โมง’ คนตรงหน้ายังคงถามต่อ
‘ทำไม’
‘กี่โมง’
‘สี่’
‘ผม...ผมโทรหาคุณแล้วแต่ก็ไม่ติด ส่งข้อความหาก็ไม่อ่าน วันนี้ริวมันบังเอิญชวนออกไปดูหนังกับเพื่อนๆ แล้วคือ...’ สิ่งที่ได้ยินคงเป็นเพียงคำแก้ตัว
ชยินไม่ได้ผิดอะไรที่จะทำแบบนี้ ผมต่างหากที่สำคัญตัวเองผิดไป
และเพิ่งรู้คำตอบตอนนี้เองว่าเขาเลือกอีกฝ่ายไม่ใช่ผม
‘ผมบอกว่าชอบทุกอย่างที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะข้อเสียอะไรก็ช่างผมมองมันเป็นเรื่องดีเสมอ แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ ทำไมวะชยิน แค่บอกว่าไม่ชอบก็จบเรื่อง ผมไม่ได้ขอให้คุณรับผิดชอบความรู้สึกของผมสักนิดเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างที่คุณอยากได้ แค่บอกมาผมก็ให้ได้ทุกอย่าง แต่ถ้าอย่างไหนที่ให้ไปแล้วคุณไม่ต้องการก็แค่พูดออกมาตรงๆ มันไม่มีอะไรที่เข้าใจยากหรอก’
‘หมายความว่าไง’
‘คุณคุยกับไอ้ริว คุณไม่ผิด คุณไม่ผิดที่จะคุยกับใครหลายคนแต่ควรจะบอกผมด้วย’
‘เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว’
‘ผิดยังไง สิ่งที่ผมเห็นอยู่มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ’
‘คุณกำลังคิดเองเออเองอยู่นะ ช่วยฟังผมอธิบายก่อน’
ชยินพูดเหมือนจะร้องไห้ แต่ผมก็ยังควบคุมตัวเองอย่างหนักเพื่อไม่ให้ถลาเข้าไปกอดเขา
‘งั้นบอกผมสิ ทำไมคุณถึงไปกับมัน’
‘ริวแค่อยากฉลองเพราะหัวข้อวิจัยผ่าน’
‘คุณก็เลยไป’
‘ใช่’
‘คุณไปทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าผมจะมาหาคุณ คุณรู้อยู่แล้วแต่ไม่ยอมปฏิเสธมันไปตรงๆ ผมไม่ได้อยากแข่งกับใคร คุณเองก็คงอึดอัดเหมือนกันใช่มั้ย คุณสับสนผมรู้ หลายครั้งที่ผมโยนความไม่สบายใจมาให้ โยนคำว่าชอบมาให้ บางทีคุณอาจไม่ต้องเหนื่อยถ้าผมไม่พยายามยัดเยียดอะไรก็ตามให้คุณอีก’
‘หมายความว่าไง คุณจะทิ้งผมเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย คุณจะล้มเลิกความตั้งใจทุกอย่างทั้งหมดเลยใช่มั้ย’
‘...’
‘ถ้าใช่ก็ไปเลย ในเมื่อคุณไม่ฟังก็ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก’
ประโยคนั้นเหมือนค้อนหนักๆ ตีแสกเข้ามาที่หน้าอย่างจัง มันไม่ใช่เพราะผมอยากทิ้งเขา แต่เป็นเพราะชยินไม่ได้เลือกผมแล้วต่างหาก
เสื้อผ้าที่เลือกใส่มาอย่างดี หมวก Moncler ที่เขาซื้อให้ หนังสือของมูราคามิเล่มสุดท้ายที่ถือติดมา รวมไปถึงความจริงบางอย่างที่อยากพูดออกไปตรงๆ วันนี้มันคงเปล่าประโยชน์เมื่อเขาไม่ต้องการ
และผมไม่อยากให้เขาต้องเหนื่อยหรือฝืนที่ต้องรับสิ่งที่ผมยัดเยียดให้อีก
‘ความจริงแล้วรักมันก็ไม่มีอะไรยากหรอก แต่เรื่องระหว่างคุณกับผมมันคงเป็นไปได้ยากจริงๆ’
‘...’
‘อือ ผมจะไป’
ที่ถอยไม่ใช่เพราะยอมแพ้ แต่เพราะแพ้แล้วจริงๆ ต่างหาก ผมเดินคอตกลงมาข้างล่าง สิ่งเดียวที่อยากทำตอนนี้เลยคือนอน นอนไปจนถึงบ่ายเพราะไม่รู้ว่าจะมีวิธีไหนที่ดีกว่านี้อีก ไม่คิดเลยว่าเมื่อลงมาถึงใครบางคนจะนั่งรอตรงล็อบบี้อยู่ก่อนแล้ว
‘ขอคุยด้วยหน่อยสิ’
‘ไว้วันอื่น’ ผมปัดปฏิเสธตรงๆ
‘ถ้าเรื่องที่กูอยากคุยมันเกี่ยวกับชยินล่ะ มึงจะหยุดคุยกับกูสักสามนาทีได้มั้ย’ ผมถอนหายใจ ก้าวขาไปหาไอ้ริวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าที่ควร
‘มีอะไร’
‘วันนี้กูไปดูหนังกับชยิน’
‘กูรู้’ ผมแข่งขันกันไอ้ริวมาตั้งแต่มัธยม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแข่งกับมันเรื่องความรักด้วย
‘กูเองก็รู้ว่าเขามีนัดกับมึง แต่มันคงไม่ผิดใช่มั้ยที่เขาเลือกมากับกู’
‘หึ!’ ผมแค่นยิ้ม ทั้งที่ในใจรู้สึกเหมือนกับถูกเท้าของคนตรงหน้าบดขยี้จนแหลก
‘กูไม่เคยคิดจะแข่งกับมึงเว้ยยุค แต่กับชยินกูชอบเขาจริงๆ ว่ะ’
‘...’ ผมเงียบ ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ กลับไป
‘จะต่อยกูก็ได้นะ เต็มที่จนกว่ามึงจะพอใจเลย’ สิ้นสุดคำพูดนั้นผมถลาเข้าไปหาอีกฝ่าย กระชากคอเสื้อของมันเอาไว้ ขณะมืออีกข้างเงื้อขึ้นสูงพร้อมจะฟาดลงบนหน้าหล่อเหลาเต็มแรง
‘ต่อยเลยยุค’
‘…’
‘แล้วมึงเลิกยุ่งกับชยินซะ ถือว่ากูขอล่ะ’
ร่างกายคล้ายกับหมดเรี่ยวแรงไปดื้อๆ นอกจากไม่ต่อยแล้ว ผมยังทำได้แค่ก้มหน้ารับฟังอย่างพวกขี้แพ้ ก่อนจะตระหนักได้ว่า...
ต่อให้รักแค่ไหน ก็เอามาเป็นของตัวเองไม่ได้อยู่ดี อ่านต่อด้านล่างค่ะ