★ MSN (#mเอสn) ★ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★ MSN (#mเอสn) ★ THE END  (อ่าน 410526 ครั้ง)

ออฟไลน์ por_pla4u

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #810 เมื่อ13-06-2018 11:25:59 »

ดูเหมือนกำลังจะเคลียร์กันได้ แต่ดันมีดราม่าใหม่เข้ามาอีก เวรกรรมของนายชยิน  :mew2:

ออฟไลน์ kredkaew26

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #811 เมื่อ13-06-2018 11:40:57 »

 :impress3: :impress3: :impress3:  TTTTT TTTTT 

ออฟไลน์ LifePo-YuGu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #812 เมื่อ13-06-2018 12:07:41 »

เกลียดดดดดด
โอเคร ชยิน ถ้ายุคกลับไปกินของเก่าก็ปล่อยมันไปปปป  :fire: :fire:
คือเราเป็นคนที่มีความเจ็บซ้ำกับคำว่าแฟนเก่า  :o12: :o12:

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #813 เมื่อ13-06-2018 16:27:07 »

อ้าว..คดีพลิก ถามจริง..ถ้าชยินอยู่กะแฟนเก่าในห้องสองต่อสอง แล้วยุคมาเจอ
ยุคจะคิดอย่างไร ถามใจเธอดู

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #814 เมื่อ13-06-2018 22:41:30 »

เอ้าชยินทุ่มสุดตัวขนาดนี้ ดันมีเซอไพรส์อีก จะยังไงล่ะนี่ แต่การที่ชยินยอมทุกอย่างแบบที่พูดออกมาก็เกินไปนะ มันดูไม่เหลือค่าอะไรในตัวเองเลย แต่ยังไงก็สู้ๆนะชยิน

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #815 เมื่อ14-06-2018 01:44:45 »

อีหนูชยินนนน แงงงงงง :ling1:

ออฟไลน์ petrichor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #816 เมื่อ14-06-2018 17:54:06 »

 :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #817 เมื่อ14-06-2018 20:39:24 »

ค.คนไหมรึค.ควาย  มีปากไม่ถามอ่ะ  ตีโพยตีพายเองอยู่ได้

ออฟไลน์ Hapmar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #818 เมื่อ15-06-2018 08:01:29 »

กลัวดราม่าของจิตติ  :ling3:แค่ตอนนี้ยังหน่วงขนาดนี้ ไม่เอาดราม่าน้าาาา

ออฟไลน์ Nighttime

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #819 เมื่อ15-06-2018 14:48:53 »

 :o12:กรี้้ดดดด ทำแบบนี้กับน้องได้ไง
น้องงอลนานๆๆไปเลย เป็นกำลังใจค่าา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
« ตอบ #819 เมื่อ: 15-06-2018 14:48:53 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #820 เมื่อ19-06-2018 01:48:04 »

สงสารชยิน....เราว่าหลายวันที่ผ่านมาที่ขาดการติดต่อกับยุคทำให้ชยินรู้ใจตัวเองและรู้ว่าตัวเองผิดแล้วอ่ะ ชยินไม่ควรต้องมาเจอแฟนเก่าในห้องยุคอ่ะ ถึงแม้เราค่อนข้างจะมั่นใจว่ามันคงไม่มีอะไรหรอก แต่ก็ไม่อยากให้ชยินเสียใจไปกว่านี้อ่ะ ลูกแม่ :sad4: กอดปลอบพร้อมหอมหัว

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #821 เมื่อ19-06-2018 12:41:18 »

คุณ จิตติ.. รีบมาต่อนะคะ  :katai4:
เข้ามาดูทุกวันเบยย..  :hao5:

ออฟไลน์ 14th-friedegg

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #822 เมื่อ19-06-2018 21:31:48 »

โหเจ็บมาก เจ็บสุดๆ ถ้าเราเป็นชยินความรู้สึกคงแหลกไม่เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ยุคอธิบายมา!!!!

ออฟไลน์ Forbiddenlove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #823 เมื่อ20-06-2018 14:16:44 »

ไหนบอกไม่ดราม่าไง ฮืออออออออออ
สงสารชยิน ร้องไห้เลย

ออฟไลน์ por_pla4u

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #824 เมื่อ21-06-2018 23:24:17 »

เธอหายไปเลย หายไปในอากาศ ลอยไปกับสายลม.....

ออฟไลน์ ืNtop

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #825 เมื่อ27-06-2018 12:09:37 »

คิดถึงชยิน  :sad4:

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่12 [11/06/61] *หน้า26
«ตอบ #826 เมื่อ27-06-2018 18:08:35 »

:กอด1: :3123: :pig4:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #827 เมื่อ27-06-2018 23:34:11 »



ตอนที่ 13
ความเหงากลับมาทักทาย



   ผมรู้แล้วว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่มนุษย์เราต้องเผชิญอีกเยอะ

   ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นเราจะต้องเก่งกล้ามาก ต่อให้มีสิ่งที่น่ากลัวแค่ไหนเข้ามาสุดท้ายก็คงผ่านมันไปได้ในที่สุด แต่ใครจะคิด สิ่งที่คาดหวังกับความเป็นจริงมันต่างกัน

   บางอย่างเราควบคุมมันไม่ได้ น้ำ ลม ฝนฟ้าอากาศ โชคชะตา หรือแม้แต่ความรู้สึกของคน

   “ชยิน อย่าคิดไปเอง ตอนนี้คุณต้องตั้งสติก่อน” คำพูดของคนตัวสูงทำให้ผมชะงักนิ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ด้วยซ้ำ

   “ผมขอโทษ ผมงี่เง่าเอง”

   “มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ตอนนี้คุณช่วยกลับไปก่อนได้มั้ย”

   “...”

   “แล้วผมจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง”

   “ก็คง...ต้องเป็นอย่างนั้น”

   ผมไม่ใช่ผู้ฟังที่ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็อยากให้โอกาสตัวเองได้ฟังคำอธิบายอะไรสักอย่างจากปากของเขา เพื่อที่บางทีจะได้เข้าใจว่าสถานะที่เราเป็นอยู่นี้มันควรหยุดลงหรือดำเนินต่อ

   “เดี๋ยวผมลงไปส่ง”

   “ยุค” ยังไม่ทันหมุนตัว เสียงหนึ่งก็หยุดความมีน้ำใจของคนตัวสูงเอาไว้ ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ

   หลายอย่างไม่จำเป็นต้องพูดตอนนี้ ต่อให้อยากรู้หรือไม่เข้าใจกับมันมากแค่ไหนก็ควรเก็บเอาไว้ในใจ ผมไม่ได้อยากดูแย่ในสายตาของใครหลายๆ คน ทว่ากว่าจะอดกลั้นให้สงบนิ่งได้ขนาดนี้มันไม่ง่ายเลยสักนิด

   สองเท้าติดสั่นก้าวออกมานอกห้อง เดินไปตามทางอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกสับสน ในใจกำลังหวังอะไรบางอย่างที่ดูเป็นไปได้ยากแต่ผมก็ยังคิด ช่วยตามออกมาได้มั้ย หรือบอกอะไรก็ได้ให้รู้สึกใจชื้นกว่านี้หน่อย ช่วยบอกว่าผมเข้าใจผิด บอกว่าผมคิดไปเอง อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การกลับไปรอความหวังลมๆ แล้งๆ เหมือนที่กำลังทำอยู่

   ทำไมถึงพูดตอนนี้ไม่ได้ เพราะแคร์เธอมาก กลัวว่าเธอจะเสียใจเหรอ แล้วตัวผมล่ะ

   ตอนที่ตัดสินใจจะรักเขา ผมทิ้งความกลัวทั้งหมดออกไป

   โดยลืมนึกไปว่า ความผิดหวังก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวเหมือนกัน

   ผมสะกดจิตตัวเองไม่ให้หันไปมองด้านหลัง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความรู้สึกของตัวเอง เพราะเมื่อหันไปความหวังที่สร้างมาก็พังทลายไม่เป็นท่า ยุคไม่ได้ตามออกมา ประตูห้องยังคงปิดสนิท ต่อให้ยืนรอนานกว่านี้อีกเป็นชั่วโมงมันก็ยังเหมือนเดิม

   การกลับมารอที่ห้องอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมรู้ดีว่าคงไม่สามารถทำอะไรต่อได้อีกแล้วนอกจากทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เฝ้ารอเวลาให้ผันผ่านไปแต่ละวินาทีอย่างมีความหวัง

   หนึ่งวินาที...สองวินาที...สามวินาที...

   ผมเกลียดการเฝ้ารอ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของยุคในวันนั้น ผมปล่อยให้เขาจมจ่อมอยู่หน้าห้องนานนับชั่วโมง นี่หรือเปล่าที่ทำให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อผมเริ่มเปลี่ยนไป

   ผมผิดเอง ขอโทษ ผมผิดเอง...

   อยากบอกแบบนี้มาตลอดแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ อีกนานแค่ไหนกว่าเวลาจะผ่านพ้น เพราะผมคงทนไม่ได้ที่ตัวเองรู้สึกอ่อนแอลงทุกที ผมไม่ใช่ชยินคนเดิมที่ยอมรับกับเรื่องเลวร้ายทุกอย่างในชีวิตได้อีกแล้ว นั่นเป็นเพราะเขาได้เปลี่ยนทุกอย่างของผมไป

   นาฬิกายังคงเดินของมันตามปกติ มีแต่ผมที่คิดว่าแม่งโคตรช้า นอนก็ไม่หลับ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่งเพลงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำได้แค่พลิกตัวไปมา มองดูแสงสว่างที่ลอดผ่านหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนสี ตอนนี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว

   แสงในช่วง Afterglow ผลักความรู้สึกหดหู่นั้นให้ยิ่งหนักเข้าไปอีก

   หนึ่งทุ่มผมลุกเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาก่อนกลับมากดมือถือ เลื่อนไปยังหน้าคอนแท็กซึ่งมีชื่อของคนที่เฝ้ารออยู่หลายครั้ง ผมอยากโทรไปหาเขา แต่ก็รู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางรับ ทำได้อย่างเดียวคือรอต่อไป เขาบอกให้รอก็ต้องรอ ต่อให้ไม่รู้ว่ารอไป...สุดท้ายเขาจะมาหรือเปล่าก็ตาม

   Rrrr...!

   เสียงเรียกเข้าดังขึ้นในเวลาสามทุ่มกว่า ผมรีบคว้าโทรศัพท์อย่างเร็วรี่ แต่ก็ต้องใจเสียอีกครั้งเพราะคนที่โทรมาไม่ใช่ยุค และคนเดิมที่ตามติดสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วงก็มีเพียงไอ้เบิร์ดแค่คนเดียว ผมกดรับสายอย่างไม่รีรอก่อนกรอกเสียงอ่อยๆ ลงไป

   “ว่าไง”

   [มึงนั่นแหละว่าไง เป็นไงบ้างวะ เคลียร์กันยัง] อีกฝ่ายรัวคำถามเป็นน้ำไหลไฟดับ ส่วนคนฟังน่ะเหรอ พอมีคนสะกิดหน่อยล่ะใจเหลวขึ้นมาทันที

   “ยัง”

   [มึงโอเคหรือเปล่า เสียงแม่งโคตรแย่เลยว่ะ]

   “วันนี้กูไปหายุคแล้วนะ” บางทีผมก็แค่ต้องการใครสักคนที่รับฟัง ไม่ต้องปลอบก็ได้ แค่อยู่ด้วยกันตอนที่ไม่มีใครแบบนี้ก็พอ

   [อืม เจอมั้ย มันว่าไงบ้างล่ะ คือถ้าไม่โอเคกูโทรไปเคลียร์ให้ได้]

   “มันไม่มีประโยชน์หรอก ยุคบอกให้กูกลับมารอที่ห้องก่อน คิดว่าอีกไม่นานคงได้คุยกัน”

   [แล้วทำไมมึงไม่คุยกันตั้งแต่ตอนนั้นวะ]

   “ยุคไม่สะดวกคุยน่ะ” ผมไม่ได้เล่าทั้งหมดให้ไอ้เบิร์ดฟัง อาจเพราะกลัวว่าตัวเองจะคิดไปเอง ประกอบกับไม่อยากให้ใครมองยุคไม่ดีเลยเลือกพูดแค่บางอย่างที่พูดได้เท่านั้น

   [เอาเถอะ พอเข้าใจ เดี๋ยวก็ได้เคลียร์กันแล้ว ว่าแต่มึงเถอะกินอะไรหรือยัง]

   “กูไม่หิว” เสียงพรูลมหายใจดังเข้ามาในสาย ซูปเปอร์เนิร์ดเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนกรอกเสียงตอบกลับมา

   [ถ้ากูยังอยู่ไทย แม่งจะขับรถไปตีก้นมึงให้หนักเลยจริงๆ ไปหาอะไรกินซะ]

   “เบิร์ด...” ผมแทบไม่สนใจคำขู่ของมันด้วยซ้ำ นอกจากถามสิ่งที่คิดอยู่ในหัวตลอดทั้งวันออกไป

   [ว่าไง]

   “ถ้าสมมติกูกับยุคไปด้วยกันไม่รอด มึงว่ากูควรทำยังไงต่อไปวะ”

   [ทำเหมือนที่มึงเคยจบกับแฟนเก่ามึงไง]

   “ไม่เหมือนกัน อันนั้นเราต่างหมดรักกันไปแล้ว แต่ตอนนี้กู...กูยังรักมันอยู่”

   ตอนแรกที่เจอกันผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ครั้งที่สองและสามก็เหมือนกัน

   ขนาดตอนที่ได้ยินคำสารภาพรักครั้งแรกผมยังรู้สึกเฉยๆ ยังถามตัวเองอยู่เลยว่าตายด้านหรือเปล่า ครั้งแรกไม่ได้ชอบก็จริง ทว่าวันนี้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าตัวเองได้รักเขาจนไม่เผื่อใจสำหรับความเจ็บปวดไปหมดแล้ว

   [ชยิน ทุกความสัมพันธ์ไม่ได้จบแค่คำว่าแฟนนะเว้ย มึงสองคนยังเป็นเพื่อนกันได้] ผมส่ายหัวทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว

   “กูไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับยุค”

   […]

   “ถึงใครจะเป็นได้ แต่สำหรับกูมันไม่มีวันเป็นแบบนั้นแล้ว”

   ผมไม่เคยเตรียมใจไว้ว่าต้องผิดหวัง ในจินตนาการมันมีแต่เรื่องที่เราคบกันและจะใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันยังไงมากกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นผมควรทำยังไง

   เป็นเพื่อนก็ไม่ได้ จะรักก็ไม่ได้ บางทีคงเป็นได้แค่...ความทรงจำ
   









   ผมวางสายจากเพื่อนสนิทที่อยู่ไกลคนละซีกโลกในเวลาเกือบสี่ทุ่ม ก่อนจะกลับมาเฝ้ารอใครบางคนอย่างมีความหวัง เกือบสิบชั่วโมงแล้วที่ยังอยู่ที่เดิม ยึดเตียงเป็นที่พักพิงใจแล้วสะกดจิตตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่มีอะไร ทุกอย่างจะดีขึ้น เดี๋ยวเขาก็มา เดี๋ยวเสียงประตูห้องก็ดังอย่างใจหวัง

   เที่ยงคืน จิตใจที่เคยสงบเริ่มกลับมากระวนกระวายอีกครั้ง ผมเดินไปทั่วห้อง หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดและตัดสินใจต่อสายหาคนตัวสูงโดยไม่กลัวว่าจะถูกมองแย่ยังไง

   หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...

   จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา ผมไม่ควรเป็นแบบนี้ ไม่ควรต้องเจ็บปวดกับการมีความรัก ทั้งที่เคยบอกตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่เริ่มต้นกับใครง่ายๆ อีก สุดท้ายผมก็กลืนน้ำลายตัวเอง

   หากจะโทษใครที่ทำให้เจ็บ คงเป็นตัวผมเองที่ก้าวออกมาจากกำแพงทั้งที่รู้ดีว่าอยู่ในนั้นแม่งก็ดีอยู่แล้ว

   ตีหนึ่ง...

   ยังคงพลิกตัวไปมาบนเตียง ร่างกายไม่รู้สึกถึงความหิวแม้ลำคอจะแห้งผากไปแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันความกระวนกระวายที่เกาะกุมจิตใจก็ยังไม่หายไปไหน ได้แต่ข่มตานอนซึ่งรู้ดีว่ามันคงไม่ต่างอะไรกับการนอนนิ่งๆ เหมือนในคราแรก

   ตีสอง...

   ผมตัดสินใจเดินออกมานั่งรออยู่ตรงโซฟา เผื่อเสียงเคาะห้องดังขึ้น ผมจะได้รีบเดินไปเปิดโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายรอนาน ระหว่างนี้ก็พยายามลดความฟุ้งซ่านของตัวเองลงด้วยการหยิบกีตาร์มาเล่นไปพลางๆ

   การเพ่งสมาธิไปที่จุดใดจุดหนึ่งช่วยได้มาก ทว่ามันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นแหละ

   ตีสาม...

   ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง การเปิดโอกาสเป็นเรื่องที่ดีแล้วเหรอ ถ้าให้เลือกย้อนเวลากลับไปได้ผมยังอยากสานสัมพันธ์กับยุคอยู่มั้ย คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ

   เวลาตีห้า ผมรอข้ามคืนด้วยความหวัง แต่ผลตอบแทนกลับมานั้นมันโคตรว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่เฝ้ารอ ไม่มีเสียงเคาะประตู ไม่มีคำอธิบายใดๆ ที่ทำให้รู้สึกใจชื้นเลยสักนิด ผมไม่อยากคิดไปไกลแต่มันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี

   การมีแฟนเก่าอยู่ในห้องว่าเจ็บแล้ว แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือสภาพของผู้หญิงคนนั้น มันอดเชื่อได้ยากว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ยุคกับดรีมเคยคบกัน เขาเคยรักกันมาก่อน

   พอคิดว่าทุกอย่างที่เขาเคยทำดีกับผม ครั้งหนึ่งเขาก็เคยทำให้เธอ แม่งก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที ไม่มีหรอก คนที่ทำดีกับเราแค่คนเดียวในโลก มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่ต้องมารับผิดชอบความรู้สึกไม่พอใจของผมสักหน่อย เป็นผมเองต่างหากที่ต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้

   หกโมงเช้าผมอาบน้ำแปรงฟัน หาของกินง่ายๆ รองท้องแม้จะไม่รู้สึกอยากเท่าไหร่นัก เมื่อจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จจึงย่างเท้าเข้ามายังห้องนอน เก็บเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋า ในหัวผมไม่รู้หรอกว่าควรทำอะไรหรือตัดสินใจจะไปที่ไหน รู้แค่ว่าไม่ควรอยู่ตรงนี้นานนัก

   ผมเป็นคนไม่มีเพื่อนมาก จะหวังพึ่งใครก็กลัวว่าเขาจะอึดอัดเลยเลือกแบกทุกอย่างไว้กับตัวเอง

   ในบัญชีมีเงินอยู่เล็กน้อย มันพอสำหรับค่าเดินทาง ค่าที่พัก รวมถึงค่าอาหารในระยะเวลาหนึ่ง แย่หน่อยที่ผมเลือกหนีปัญหา แต่เชื่อเถอะว่ามันดีสำหรับตอนนี้ที่สุดแล้ว

   ผมให้เวลา ผมเฝ้ารอ ทว่าความอดทนของคนเรามีวันสิ้นสุดเสมอ

   ถ้ายุคแคร์ผมจริงเขาคงวิ่งมาอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมถึงปล่อยให้ผมรอนานขนาดนี้ อย่างน้อย...โทรมาบอกสักนิดก็ได้ว่าคืนนี้คงไม่มา ว่างวันไหนค่อยคุยกันมันก็อาจจะดีกว่า

   ผมส่งข้อความไปหาที่บ้าน บอกกับเขาด้วยประโยคสั้นๆ ว่าขอหนีเที่ยวสักสัปดาห์ จากนั้นช่องทางการติดต่อทุกอย่างก็ถูกปิด หวังว่ามันคงเพียงพอสำหรับการทบทวนสิ่งต่างๆ เพียงลำพัง

   โชคดีที่เมื่อสองเดือนก่อนผมได้รับอีเมลชวนให้ไปคอนเสิร์ตต่างจังหวัด ตอนแรกคิดว่าคงไม่มีเวลาว่างพอจะไป ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ชีวิตก็อยากหาอะไรทำขึ้นมาซะงั้น


   ‘ยุค’
   ‘ว่า...’
   ‘คุณชอบผมเพราะอะไร จะบอกว่าผมหล่อก็คงไม่ใช่มั้ง เงินก็ไม่มีด้วย แถมคอนโดยังผ่อนอยู่เลย ผมไม่เคยทำดีเพื่อคุณสักอย่างแต่ทำไมคุณถึงชอบผม’
   ‘เพราะคุณทำให้ผมเติบโต และเพราะคุณอีกเหมือนกันที่ทำให้ผมกลายเป็นเด็ก’
   ‘…’
   ‘ผมเกลียดการเป็นผู้ใหญ่เพราะต้องแบกรับหน้าที่อะไรหลายๆ อย่าง ผมอยากเป็นเด็กที่ไม่ต้องคิดอะไรนอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ แต่กาลเวลาเอาความเป็นเด็กกลับมาไม่ได้’
   ‘…’
   ‘ตอนที่ผมได้เจอคุณครั้งแรก มันทำให้ผมคิดว่าผมอยากเป็นผู้ใหญ่ อยากดูแลคุณ อยากแบกรับภาระทุกอย่างที่มีคุณอยู่ ขณะเดียวกันความสดใสของคุณ ความคิดเด็กๆ ของคุณมันทำให้ผมได้รับช่วงเวลาวัยเด็กกลับมาพร้อมๆ กัน คุณเป็นมันทุกอย่าง’



   ยังจำได้ดี

   ประโยคสารภาพรักในคืนนั้น เขาบอกชอบผม ชอบทุกอย่างที่เป็นตัวตนของคนชื่อชยิน นี่อาจเป็นคำปลอบใจที่ดีที่สุดที่สามารถบอกกับตัวเองได้

   สิบโมงเช้าผมแบกกระเป๋าออกจากห้องหลังสำรวจความเรียบร้อยเสร็จสรรพ แต่ก็ยังไม่หมดความพยายามต่อสายหายุคไปพลางๆ แน่นอนว่าคำตอบก็เป็นอย่างที่รู้กันดี เขาปิดเครื่องไปแล้ว เหมือนกับความสัมพันธ์ของเราที่คงต้องจบลงไปพร้อมกันด้วย

   ถ้ารู้ว่าแพ้ผมก็จะถอย คงไม่ดันทุรังให้ใครต้องรู้สึกอึดอัดอีก

   “มึงอยู่คนเดียวได้เว้ยชยิน มึงอยู่กับความทรงจำได้” ผมพูดปลอบใจตัวเองขณะเดินแบกกระเป๋าเป้ไปตามทาง

   ก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิมคงไม่มีอะไรยาก เมื่อก่อนเหงาแค่ไหน โดดเดี่ยวแค่ไหนทำไมถึงอยู่ได้ ผมดูหนังคนเดียวเป็นประจำ กินข้าว ปั่นเรือเป็ด หรือแม้กระทั่งไปดูคอนเสิร์ต ทุกอย่างที่ทำผมมีความสุขดี คราวนี้ก็คงไม่ต่าง...

   ชีวิตเคยมีเขาเข้ามา วันหนึ่งเขาไม่อยู่แล้ว มองในแง่ดีครั้งหนึ่งเราก็เคยอยู่ด้วยกัน ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็เรียกร้องอะไรกลับมาไม่ได้หรอก

   ทำได้แค่พาคำว่ารักของเขาเดินทางไป ทั้งที่ตอนนี้อาจไม่เหลือความรักอยู่แล้วก็ตาม

   “ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...”

   “...”

   “เก่งแล้วชยิน เก่งมาก”

   วันแรกของการเดินทางมาต่างจังหวัดในรอบหลายเดือน ผมไม่ได้ติดตามข่าวสารทางโซเชียลใดๆ เพราะปิดมือถือและไม่ได้พกแล็ปท็อปติดตัวมาด้วย ช่วงเวลานี้จึงเป็นการแค่พักผ่อนโดยไม่มีอะไรมารบกวนอย่างแท้จริง

   การอยู่ในกำแพงเหงาก็จริง แต่ถ้าแลกกับการไม่เจ็บปวดอีกมันก็คุ้มค่า

   โฮมสเตย์ที่เข้าพักค่อนข้างสะอาด และราคามิตรภาพเหมาะสำหรับคนกินแกลบประจำอย่างผม อาหารอร่อย บรรยากาศก็ดี ผมพกหนังสือของมูราคามิเล่มที่ยังไม่ได้อ่านติดตัวมาด้วย เลยไม่มีเวลาว่างแบ่งไปคิดถึงเรื่องอื่น แค่ถ่ายรูปกับอ่านหนังสือหนึ่งวันก็ผ่านไปแล้ว

   วันที่สองผมยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม มีแค่หนังสือที่ไม่ได้หยิบมาด้วยเนื่องจากตะบี้ตะบันอ่านแก้อาการนอนไม่หลับจนจบเล่มภายในคืนเดียว เลยเปลี่ยนไปใช้เวลาเที่ยวละแวกนั้น หาไอเดียแต่งเพลงเลี้ยงปากท้องเหมือนที่ชอบทำแบบเมื่อก่อน

   ใกล้ค่ำหน่อยก็กลับมาหาข้าวกิน เวลาดึกผมนอนดูดาวอยู่ตรงระเบียงห้อง ที่ตรงนี้เห็นดาวชัดแจ๋ว สวยไม่ต่างจากดาดฟ้าคอนโดที่กรุงเทพฯ เลยสักนิด

   ผมไม่ได้มีกำหนดว่าจะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่ คิดว่าเงินหมดก็คงต้องกลับ ซึ่งข่าวร้ายก็คือมันคงพอให้ผมได้ดูคอนเสิร์ตในวันสุดท้ายเท่านั้นแหละ เกิดมาจนจะแย่ ทำตามความฝันบางทีก็แดกไม่ได้ แถมมีความรักกับเขาทั้งทีก็ต้องมาเจ็บปวดเพราะไม่สมหวังอีก

   ผมเลยพยายามตัดใจ

   แต่มันไม่ง่ายเท่าไหร่เพราะยังคิดถึงเขาอยู่ ยุคจะคิดเหมือนกันบ้างมั้ย ผมตั้งคำถามแบบนี้ซ้ำๆ ทว่าก็ไม่เคยรู้คำตอบอยู่ดี

   บรรยากาศในวันคอนเสิร์ตพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ผมยื่นนิ่งๆ กวาดตามองบรรยากาศโดยรอบ บางคนมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ บางคนมากับคนรัก บางคนมากับเพื่อนสนิท หรืออีกหลายๆ คนก็ฉายเดี่ยวด้วยความแกร่งกล้า ผมคือหนึ่งในนั้น

   ความรู้สึกเดิมๆ ตีวนเข้ามาในความคิด เมื่อก่อนผมอยู่กับความเหงายังไงวะ โคตรเก่งเลย ตอนนี้ก็ไม่ยากนักหรอก เปิดใจ ยอมรับความจริง อีกไม่นานก็ผ่านมันไปจนได้นั่นแหละ

   “ขอเสียงคนรักในเสียงเพลงดังๆ ได้มั้ยคร้าบบบ”

   “โว้วววววววว” เสียงลากยาวจากหน้าเวทีทำให้ทุกคนวิ่งกรูกันเข้าไป

   วันนี้มีวงดนตรีหลายวงมาเล่นที่นี่ มั่นใจว่ายังไงก็ต้องได้ฟังเพลงที่ตัวเองแต่งแน่ๆ เลยเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมตัดสินใจมาดูคอนเสิร์ตไกลถึงต่างจังหวัด ทั้งที่ตัวเองเป็นคนติดห้องจนใครก็ลากออกมาไม่ได้

   งานเริ่มตั้งแต่ห้าโมงเย็นยาวนานจนถึงเที่ยงคืน ผมเดินไปซื้อเบียร์กระป๋อง จากนั้นก็เดินเข้าไปบริเวณเวทีใหญ่และโยกไปตามจังหวะเพลงที่ศิลปินกำลังเล่น

   รักที่เธอเคยมีถูกร้องในเวลาเกือบสี่ทุ่ม เนื่องจาก A little bliss เล่นเป็นวงที่ห้า ทุกคนดูอินกับการร้องคร่ำครวญราวกับเพิ่งอกหักมาหยกๆ ขณะที่อีกหลายคนก็กอดคอเพื่อนเพื่อปลอบใจอยู่ไม่ห่าง

   ไม่มีใครจำผมได้ อาจเพราะทุกคนกำลังโฟกัสไปที่ความสนุกบนเวทีเลยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ซึ่งมันดีแล้ว

   จากเพลงเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นเพลงสนุกสนานในเวลาต่อมา เรากระโดดโลดเต้น แหกปากร้องจนเหน็ดเหนื่อย เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มกรอบหน้าและแผ่นหลัง ผมเดินไปซื้อเบียร์มาอีกกระป๋อง กระดกดื่มจนหมดเนื่องจากแอลกอฮอล์ช่วยให้รู้สึกสนุกขึ้นเป็นเท่าตัว

   สี่ทุ่มครึ่ง Moving and cut วงดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟอีกวงที่ผมชื่นชอบก็เอ่ยทักทาย ท่ามกลางเสียงกรี๊ดต้อนรับของคนด้านล่าง

   เพลงส่วนใหญ่ของวงมักเป็นเพลงเศร้า ดังนั้นหลายคนจึงเตรียมตัวอย่างดีว่าจะมาน้ำตาหลากกันที่นี่ ก่อนหน้าก็ A little bliss ไปแล้ว ตอนนี้หัวใจคนฟังคงอินไปอีกพักใหญ่

   “นี่เป็นเพลงใหม่ของพวกเรา อาจจะแปลกหน่อยที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยเพลงเร็ว เพียงแต่เราคิดว่าคงมีใครในนี้อีกหลายคนที่มาคนเดียว”

   “วู้วววๆๆๆ”

   “ใครอีกหลายคนที่เพิ่งอกหัก”

   “ช่ายยยยยยยย”

   “ใครหลายคนที่กำลังหนีความจริง และใช่...บางคนเลือกหนีเพื่อที่จะได้รู้สึกดีขึ้น หนี...เพื่อลืมความรักที่จากเราไป เพราะงั้นขอเสียงคนที่กำลังหนีหน่อยได้มั้ยครับ”

   “กรี๊ดดดดดดดดดด”

   เสียงตอบกลับดังไปทั่วพื้นที่ ผมยังคงยืนนิ่ง จ้องมองไปตรงเวที รอคอยจนกระทั่งดนตรีในจังหวะแสนคุ้นเคยดังขึ้นมา

   คืนนี้ผมมาเที่ยวกับความเหงา เราแบกเป้กันมาไกลด้วยความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างในร่างกายที่แหลกสลาย ผมพยายามที่จะรักษาด้วยการหยุดเฝ้ารอ และเลือกเยียวยามันด้วยการทำทุกๆ อย่างเหมือนในอดีต

   ก่อนมีความรักผมทำอะไรบ้าง รู้สึกยังไง มีความสุขแค่ไหน

   ผมไม่ได้โดดเดี่ยว ในวันที่ความเหงาเข้ามาทักทาย ก็แค่ยอมรับความจริงและอยู่ให้ได้เท่านั้น

   “มาช่วยร้องไปพร้อมๆ กันนะครับ Escape…”


   “ฉันเพียงแค่อยากหนีไป ยังฝืนความรู้สึกไม่ไหว
   เพราะว่าในความหลัง ไม่ได้ทำให้มีความหวัง
   ให้เดินต่อไป...


   แต่สุดท้ายฉันยังคงอยู่ที่เดิม
   มีชีวิตเหมือนวันเก่าๆ เสมอ
   ได้แค่ยิ้มให้ความผิดหวัง และคงทำได้เพียงแค่นั้น
   มานานเหลือเกิน”



   เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมคนอกหักถึงชอบฟังเพลงเศร้า ทั้งที่มันไม่ได้ปลอบประโลมอะไรเรา ตรงกันข้ามกลับทำให้เรายิ่งเจ็บเข้าไปอีก

   จริงๆ แล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยึดติดกับความเจ็บปวดต่างหาก การตอกย้ำว่าเราทรมานแค่ไหนเป็นเหมือนการระบายความอัดอั้นทุกอย่างออกมา หลายครั้งที่คนฟังเพลงเศร้าแล้วร้องไห้ หลายครั้งที่ไม่อาจฝืนยิ้มได้อีกต่อไป และหลายครั้งเหมือนกันที่เราตะโกนแหกปากร้องเพลงฟูมฟายจนแทบเสียสติ

   ถามว่าเจ็บมั้ย ก็ไม่ได้บรรเทาอะไรมาก แต่ในทางความรู้สึกผมคิดว่ามันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เจ็บปวดเข้าไปอีก แต่ต่อให้เจ็บแค่ไหน เราก็ยังมีความหวังว่าทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม


   “ฉันเพียงอยากขอช่วยทำให้ฉันหายไป
   หายไปในความฝันที่ไม่มีใครสนใจ
   อยู่ตรงนั้นคงงดงาม ฟ้าที่สีคราม ลมที่พัดผ่านไป
   ได้แต่หวังว่ามันคงสวยงาม”



   น้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ความอดทนที่พยายามมาตลอดพังทลายลงไม่เป็นท่า ท่ามกลางผู้คนมากมาย ผมรับรู้ได้แต่เสียงร้องไห้ของตัวเอง มันดังก้องในใจและยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด
   

   ‘ชยิน’
   ‘หืม’
   ‘จากวันแรกที่เจอคุณจนวันนี้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่...’
   ‘...’
   ‘ผมชอบคุณมากขึ้นทุกวันเลยว่ะ’



   เขาคงลืมมันไปหมดแล้ว มีเพียงผมที่ยังคงจดจำได้ขึ้นใจ

   ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลราวกับสายน้ำ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวลงทุกขณะจนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องทรุดตัวนั่งลงกับพื้น

   เกลียดตัวเองฉิบหายที่ต้องมาอกหักทั้งที่ยังไม่ได้คบ

   “คุณ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ใครสักคนย่อเข่าลงตาม มือข้างหนึ่งแตะลงบนไหล่ของผมเบาๆ ราวกับกำลังเป็นห่วง

   “เปล่าครับ ผม...ไม่เป็นไร”

   “มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะคะ”

   “ขอบคุณมากครับ แต่ไม่เป็นไรจริงๆ” ผมกะพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำตาร้อนๆ พลางยกแขนขึ้นเช็ดอีกที จากนั้นจึงยืนขึ้นเต็มความสูง ก้มหัวขอบคุณกลุ่มคนตรงหน้าก่อนเบียดเสียดผู้คนเดินออกไปด้านนอก

   ความพยายามที่ทำมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ล้มเหลวไม่เป็นท่า

   วันนี้...ผมคิดถึงเขาอีกแล้ว

   ถึงผมกับยุคจะได้เจอกันในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้ยาวนานนับปีเหมือนใครหลายคน แต่แปลกเหลือเกิน...ตอนที่ความสัมพันธ์จบลงในวันนั้น ความทรงจำทุกอย่างกลับยังคงดำเนินต่อ

   ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ อาจจะหนึ่งเดือน สองเดือน หนึ่งปี ตอนที่มีความรักครั้งใหม่เข้ามาทักทาย หรือบางที...

   มันอาจเป็นตลอดไป

   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #828 เมื่อ27-06-2018 23:35:05 »


   กงล้อของความจริงมักหมุนวนกลับมาเร็วเสมอ เพราะต่อให้เราอยากหนีไปนานแค่ไหนท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับทุกอย่างอยู่ดี

   ผมแบกกระเป๋าเสื้อผ้าเน่าๆ กับเงินที่มีติดตัวโคตรน้อยนิดกลับมายังห้อง ก่อนจะเปิดอีเมลเพื่อเช็กความเคลื่อนไหวของงานผ่านแล็ปท็อปโดยไม่คิดแตะต้องมือถือ ก่อนจะเห็นว่ามีข้อความทวงงานจากพี่โปรดิวเซอร์สนิทเด่นหราอยู่ตรงหน้า

   เราเคยคุยกันเรื่องเพลงที่ตกลงไว้ในตอนแรก แม้ไม่เร่งร้อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสบายใจถึงขั้นอยากส่งเมื่อไหร่ก็ได้ เพลงคือธุรกิจ งานของผมก็ต้องการเงิน ดังนั้นเลยหลีกเลี่ยงกฎข้อนี้ไม่ได้เลย

   ผมกดเปิดโทรศัพท์มือถือครั้งแรกในรอบหนึ่งสัปดาห์ ข้อความและ missed call มหาศาลถูกส่งเข้ามานับไม่ถ้วน แต่ผมก็ไม่ได้สนใจนอกจากต่อสายหารุ่นพี่ที่ทำงานเป็นอันดับแรก ซึ่งแกก็กดรับอย่างเร็วโดยไม่ปล่อยให้รอนาน

   [ไอ้ชยิน มึงหายไปไหน!] น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูโมโหไม่น้อย ส่วนผมก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจากตอบอ้อมแอ้มยอมรับความจริง

   “ขอโทษครับ พอดีผมไปต่างจังหวัดมา”

   [เออดี ชีวิตแฮปปี้แต่คนที่นี่กำลังจะตาย]

   “ก่อนหน้านั้นผม...มีปัญหานิดหน่อย”

   [อกหัก?]

   “...” คราวนี้ผมเงียบไป

   [ก็ไม่ได้บอกหรอกว่าจะให้เคลียร์เรื่องอกหักแล้วมาแต่งเพลง เข้าใจว่าทำได้ยาก แต่ก่อนจะตัดสินใจหายหัวน่ะช่วยเมลหรือโทรมาบอกก่อนได้มั้ย กูจะได้รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป]

   “งั้นผมขอแก้ตัวใหม่ได้มั้ยพี่เกม”

   [โทษทีว่ะ งานมึงกูยกให้คนอื่นทำไปแล้ว] อาการช็อก แล้วก็อาฟเตอร์ช็อกแบบไม่รู้จบมันเป็นแบบนี้นี่เอง

   “ได้ไง!”

   [ก็มึงไม่อยู่ ติดต่อก็ไม่ได้ งานของค่ายมันก็ต้องเดินหน้าป่ะวะ ถ้าจะให้รอมึงคนเดียวก็ฉิบหายตายห่ากันพอดี]

   “ผมรู้ แค่อยากจะขอโอกาสอีกครั้งได้มั้ยครับ” เงินหมดแล้ว พูดง่ายๆ ว่าไม่มีจะแดก สภาพจิตใจย่ำแย่ สภาพกระเป๋าสตางค์ก็ไม่ต่างกัน

   [ช่วงนี้ไม่มีโปรเจ็กต์อะไรให้มึงทำหรอก]

   “เข้าใจครับ”

   [แต่ถ้าอยากมีงาน มึงเขียนเพลงใหม่ขึ้นมาเลย ทำเองแม่งให้หมด แล้วลองเอามาเสนอดู ได้ไม่ได้เดี๋ยวกูเคาะกับที่ประชุมอีกที] ในข่าวร้ายยังมีข่าวดีแทรกอยู่ ผมยิ้มออกมา ดีใจจนนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้

   “ไม่มีปัญหาครับ จะให้ส่งวันไหนบอกมาได้เลย”

   [สิ้นเดือนนี้ทันมั้ย]

   “ทันครับ” ผมตอบโดยไม่คิด

   [แล้วเรื่องปัญหาหัวใจอะไรของมึงล่ะ แยกออกจากงานได้เหรอ]

   “ได้ครับ พี่เกมไม่ต้องห่วงเลย ผมทำได้”

   [เออ แล้วอย่าโหมงานจนตายล่ะ อยู่คนเดียวแบบนั้นไม่มีใครไปช่วยหรอกนะ แค่นี้แหละมีงานแทรก ถ้าสงสัยอะไรเพิ่มเติมก็ส่งเมลมาคุยแล้วกัน]

   หลังวางสาย ผมตัดสินใจกดปิดเครื่องมือสื่อสารอีกครั้งก่อนรวบรวมกำลังใจให้ตัวเอง ความจริงแล้วเรื่องงานกับความรู้สึกมันแยกกันได้เว้ย และผมก็คือคนนั้น...

   การอุดอู้อยู่ที่ห้องไม่ได้ช่วยให้งานคืบหน้า เพราะงั้นผมจึงคว้าเอาแล็ปท็อป สมุดจดเพลงพร้อมกับกีตาร์ออกไปหาแรงบันดาลใจข้างนอก ผมมีร้านประจำที่มักมาเสมอจนจำหน้าค่าตาคนในร้านได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือมันมีห้องส่วนตัวพอที่จะให้ผมได้แต่งเพลงนอกสถานที่แบบไม่ต้องรบกวนใคร

   ช่วงบ่ายแก่ๆ ผมมาถึงร้าน สั่งกาแฟและของกินเล่นที่ถูกที่สุดมาประทังความหิว ก่อนเริ่มต้นแต่งเพลง

   “กาแฟครับ” เจ้าของร้านเดินเข้ามาเสิร์ฟด้วยตัวเอง

   “ขอบคุณครับพี่”

   “หายไปหลายวันเลยนะ ช่วงนี้เป็นไงบ้าง”

   “ก็...แย่นิดหน่อย”

   “ชีวิตมันก็มีทั้งดีและแย่นั่นแหละ ว่าแต่คนนั้นไม่มาด้วยเหรอ” คนนั้นคงหมายถึงยุค เราเคยมาที่นี่ด้วยกัน แลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจด้วยกัน ซึ่งมันจะไม่มีอีกแล้ว

   “คงไม่มาแล้วครับ”

   สีหน้ายิ้มแย้มนั่นดูสลดลงเล็กน้อย

   “วันนี้ว่าจะเปิดเพลย์สิสต์ที่มีคนแต่งชื่อชยินทุกเพลงเลย”

   “ปลอบใจกันได้ดีมาก ขอบคุณครับ”

   “รอฟังเพลงใหม่อยู่นะ”

   “อีกนานเลยกว่าจะได้ฟัง”

   “การรอคอยไม่ได้แย่สักหน่อย มองดีๆ มันก็คุ้มที่จะรอเหมือนกัน” มือหนาเลื่อนปิดประตูกระจกให้ ปล่อยให้ผมได้อยู่ตัวเองอีกครั้ง ไม่ถึงสามนาทีเพลย์สิสต์เพลงทุกเพลงที่ผมเคยแต่งก็ดังลอดเข้ามา ซึ่งก็ดีแล้วที่ไม่ต้องอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง

   ก่อนหน้านั้นผมทำตัวโง่ คาดหวังถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และบางครั้งก็ค้นพบว่าตัวเองแม่งไร้เหตุผลสิ้นดี ความรักทำให้คนเปลี่ยนไปแต่ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง จากความคิดที่ว่าจะแต่งเพลงรักหวานแหวว เลยกลายเป็นต้องเบนเข็มมาเขียนเพลงเศร้าอีกตามเคย

   แถมคราวนี้ก็ดูจะอินกว่าทุกครั้ง ‘ลืมเลือน...’ เพลงที่มีชื่อก่อนเนื้อหาและเมโลดี้

   เพลงที่มีภาพความทรงจำของผมกับใครบางคนก่อนจะจางหายไป










   “กลับแล้วเหรอ” รุ่นพี่เจ้าของร้านเอ่ยถามเหมือนทุกครั้ง

   “ครับ”

   “ได้งานมั้ยวันนี้”

   “ไม่ได้อะไรเลยครับ” หลายคนพูดถูก เราไม่สามารถแยกความรู้สึกส่วนตัวกับงานได้จริงๆ

   “ไอเดียดีๆ มันไม่ได้มาทุกวันหรอก อย่ากดดันตัวเอง”

   “ขอบคุณครับ แล้วค่ากาแฟกับขนมเท่าไหร่ครับ”

   “ร้อยห้าสิบ”

   ผมควักเงินออกจากกระเป๋าสตางค์พลางยื่นให้คนตรงหน้า ใช้เวลาอยู่ตรงเคาน์เตอร์ไม่นานก็หอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเดินออกจากร้าน ไม่คิดเลยว่าภาพที่เห็นจะทำให้หัวใจที่เริ่มแข็งแรงกลับมาอยู่ในสภาพย่ำแย่อีกครั้ง

   “ชยิน” นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่เจอยุค แปดวัน...ทว่าในความรู้สึกกลับเหมือนยาวนานนับปี

   “มาทำงานเหมือนกันเหรอ”

   ผมคงทำได้แค่ทักแล้วส่งยิ้มให้ เวลาของเรามันจบลงแล้ว จบลงในวันที่เขาไม่มาตามนัดและปล่อยให้ผมรอข้ามคืนอย่างมีความหวัง

   แถมวันนี้เจ้าตัวก็ไม่ได้มาคนเดียวเสียด้วย ข้างกายเขายังมีใครอีกคน เป็นแฟนเก่าที่ตอนนี้อาจจะเลื่อนความสัมพันธ์มาเป็นแฟนคนปัจจุบัน ผมไม่อยากคิดไปเองหรอก แต่เห็นท่าทางการจับมือแล้วมันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี

   คงมีแต่ผมที่ร้องไห้ ความคิดเข้าข้างตัวเองมากมายสลายหายไปในพริบตา ตรงหน้านี้ต่างหากที่เป็นความจริง
   “ดรีมเข้าไปรอในร้านก่อนได้มั้ย” คนตัวสูงหันไปบอกผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ก่อนเธอจะพยักหน้าเข้าใจ

   “คือขอโทษนะ แต่ตอนนี้ผมไม่สะดวก ต้องกลับแล้ว” เวลานี้คงไม่มีใจอยากฟังคำพูดแก้ตัวอะไรหรอก ผมเอ่ยลาสั้นๆ จากนั้นก็ย่ำเท้าไปข้างหน้า แต่ยุคไวกว่านั้น เขาคว้าข้อมือของผมเอาไว้และยึดให้หยุดอยู่กับที่

   “เราต้องคุยกัน”

   “ไม่มีอะไรต้องคุยกัน”

   “คุณหายไป ผมติดต่อคุณไม่ได้ รู้หรือเปล่าว่าทุกคนเป็นห่วง”

   “รู้ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ผมจะโทรไปขอโทษเพื่อนๆ เอง แค่นี้ใช่มั้ย”

   “ชยิน”

   “ผม...อยากกลับแล้ว เพราะงั้นคุณช่วยปล่อยมือผมได้มั้ย” ก่อนที่ผมจะทำตัวงี่เง่ามากกว่านี้ ก่อนที่ผมจะร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ

   “เรายังไม่เข้าใจกัน”

   “ใช่ แล้วก็ไม่มีวันเข้าใจด้วย ตอนที่ผมรอคุณเป็นนาที เป็นชั่วโมง รอจนข้ามวันคุณหายไปไหน”

   “...”

   “ผมเจ็บ ฮือออออ พอแล้วได้มั้ย พอเถอะ”

   สุดท้ายก็พ่ายแพ้ ผมร้องไห้อีกจนได้ คิดถึงชยินที่เคยเข้มแข็งในอดีตจริงๆ ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่เคยร้องออกมา

   “ปล่อยเถอะ ปล่อยได้แล้ว” ไม่นานข้อมือก็ถูกปล่อยเป็นอิสระ

   ในเวลานี้ผมไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าเขา เลยได้แต่หมุนตัวเดินผละออกไป ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิด ยุคไม่ได้ตามผมมาแต่กลับเลือกเดินเข้าไปในร้านเพราะผู้หญิงคนนั้น

   ความรักที่ยังไม่ได้เริ่มต้นตอนนี้จบลงแล้ว...

   เมื่อกลับถึงห้องผมทิ้งข้าวของทุกอย่างไว้กับพื้น ก่อนโถมตัวลงบนโซฟา ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเพื่อหวังว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะร้องไห้ให้เขาอีก

   นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่จมอยู่กับสภาพน่าสมเพช ในหัวจินตนาการไปสารพัดกระทั่งคิดหาทางออกด้วยตัวเองได้อย่างหนึ่ง เลยย่างเท้าไปยังตู้เย็น หยิบกระป๋องเบียร์ทั้งหมดที่มีออกมากระดกดื่ม คิดเสมอว่าแอลกอฮอล์ช่วยคลายความเศร้าได้ และผมอยากหลับไป

   ทุกคืนผมมักจะฝันถึงเขา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เมาผมจะไม่ฝันอะไรอีกเลย ไม่ต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดทั้งในความจริงและความฝัน แม้จะเป็นเวลาชั่วครู่แต่ก็ดีกว่าต้องเจ็บอยู่ตลอดเวลา

   กระป๋องเปล่าถูกทิ้งลงบนพื้น ของเหลวที่ดื่มเข้าไปแผ่ซ่านไปตามกระแสเลือด กว่าจะรู้สึกร้อนก็ตอนที่เบียร์กระป๋องที่สามถูกดื่มจนหมด การดื่มรวดเดียวแบบไม่มีพักนี้ทำให้รู้สึกเมาเร็วขึ้นหลายเท่า ทว่าผมก็ยังคิดว่ามันไม่พอ

   กระป๋องที่สี่และห้าตามมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่มองเห็นชัดเจนเริ่มพล่ามัว ร่างกายคล้ายกำลังโงนเงนแทบยืนไม่มั่นคง ผมแกะเบียร์กระป๋องสุดท้ายที่เหลืออยู่แล้วยกขึ้นดื่ม แต่ยังไม่ทันหมดกระเพาะก็เหมือนจะไม่ยอมรับ เลยเดินโซซัดโซเซกลับไปที่โซฟา

   “หลับได้แล้ว...หลับเถอะ” ทิ้งตัวลงนอนและกล่อมตัวเอง ขณะน้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย

   อยากผ่านไป แต่เมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง

   ผมข่มตาหลับเนิ่นนาน ซึ่งไม่รู้ว่าผ่านไปในเท่าไหร่ที่อยู่ในสภาพนี้กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ที่มีแต่ความสับสน

   ก๊อกๆๆ

   ผมยังคงไม่สนใจนอกจากนอนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ทว่าคนด้านนอกก็ยังไม่หยุดเคาะ ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่อยู่ตรงนั้น แต่ในช่วงเวลาที่สมองประมวลผลเชื่องช้าขนาดนี้ ผมก็คิดอะไรไม่ออกนอกจากสะบัดหัวไล่ความมึนเมาออกไปเล็กน้อย ก่อนลากสังขารไปยังหน้าประตู

   ไม่คิดเลยว่าร่างกายจะถูกจู่โจมด้วยแรงกอดที่รัดแน่นจากคนตัวสูงกว่าในเสี้ยววินาที

   “อืออออออ” ผมร้องอย่างไม่พอใจ พยายามสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ

   “ชยิน” เจ้าตัวเรียกชื่อผม

   “ใคร เป็นใคร”

   “คุณเมาเหรอ” วงแขนอบอุ่นกับกลิ่นกายที่คุ้นเคย คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ชายที่ชื่อศตวรรษ

   “ยุค คุณมา...ที่นี่อีกทำไม” พูดไปก็สะอึกไปจนน่ารำคาญ   

   “...”

   “เราจบกันแล้ว...ไม่...ใช่เหรอ”

   เขาไม่ยอมตอบ แต่กลับยึดหน้าของผมไว้ จากนั้นก็ประกบจูบอย่างเอาแต่ใจ เรียวลิ้นร้อนชื้นแทรกผ่านริมฝีปากเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว เกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกับทุกอย่างที่อยู่ภายในโพรงปากจนทำให้ผมแทบหมดเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน

   ใจหนึ่งอยากผลัก แต่เมื่อถูกกอดกลับอยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมเกลียดความย้อนแย้งในใจของตัวเอง   

   จูบครั้งนี้ไม่ได้หอมหวาน สิ่งที่รับรู้ได้เต็มไปด้วยความขื่นขม ทว่าเขาก็ยังเก่งที่ยังคงทำให้ผมคล้อยตามจนเหมือนถูกสูบวิญญาณออกจากร่าง กว่าจะยอมผละออก สองขาก็แทบทรุดลงกับพื้น หากไม่ได้คนตัวสูงพยุงไว้ตอนนี้ผมคงล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว

   “คุณทำไปเพื่ออะไร” ผมก้มหน้าไม่ยอมสบตา

   “...”

   ไม่อายหรอกที่ต้องร้องไห้ต่อหน้าเขาซ้ำซาก ก็แค่ไม่เข้าใจว่าหากไม่รักกันแล้วทำไมถึงไม่ยอมพูดตรงๆ ต่างหาก

   “ทำไมต้อง...เป็นผมคนเดียวที่เจ็บ ทำไมผม...ต้องรักคุณในวันที่คุณไม่รู้สึกอะไรแล้วด้วย”

   “เมาแล้วเด็กน้อย รอให้คุณโอเคกว่านี้เรามาคุยกันเถอะ” ตัวของผมถูกรวบไปกอดอีกรอบ คราวนี้วงแขนหนาหนักออกแรงรัดแน่นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แต่ผมส่ายหัว

   “ผมไม่อยากฟัง...ไม่อยากเสียใจที่ต้องรับรู้...ว่าคุณไม่รักกันแล้ว”

   ผมยังคงพึมพำไม่หยุด ไม่นานร่างกายก็ถูกอุ้มขึ้นมา ร่างสูงใช้เท้าเปิดประตูเข้าไปยังห้องนอน ก่อนวางผมไว้บนเตียงอย่างละมุนละม่อมและตั้งท่าจะผละออกไป ความกลัวผลักดันให้ผมรีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยขอร้องราวกับคนไม่มีศักดิ์ศรี

   “อย่าไป อย่าเลือกเขาได้มั้ย”

   “ผมไม่ได้ไปไหน แค่คุณเมามาก ต้องเช็ดตัวนะ”

   “ผมไม่เมา ยังรู้สึกตัว” แถมรู้ดีด้วยว่าในเวลาที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เข้าใจดีว่าต้องเจ็บที่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ แต่ช่างแม่งเถอะ ผมฝืนความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

   ความรู้สึกเบื้องลึกผลักดันให้ผมมีความกล้าพอจะทำอะไรบางอย่าง ยางอายถูกสลัดออกไปทันทีที่มือติดสั่นของตัวเองกำลังดึงทึ้งเสื้อยืดที่สวมใส่ออกไปจากตัว

   “ชยินจะทำอะไร”

   “มีเซ็กซ์”

   “ตั้งสติก่อน ชยินตอนนี้คุณไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”

   “ผมรู้”

   ในเมื่อไม่สามารถถอดเสื้อผ้าของตัวเองเพราะถูกรั้งเอาไว้ ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายด้วยการพุ่งไปรูดซิบกางเกงของคนตรงหน้า จากนั้นก็ก้มลงใช้ริมฝีปากครอบครองส่วนกลางกายอย่างรวดเร็ว

   ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระตุกเกร็งของร่างสูง มือหนาพยายามผลักออกแต่ความดื้อรั้นนี้ก็ทำให้เจ้าตัวถอนหายใจพร้อมกับพูดออกมาเสียงแผ่ว

   “ชยิน”

   “...” เขารู้ดีว่าผมไม่คิดจะหยุด นอกจากทำไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้า

   “พอได้แล้ว” คำพูดของยุคเหมือนกำลังสวนทางกับร่างกาย เพราะปฏิกิริยาที่ตอบสนองนั้นค่อยๆ ร้อนแรงขึ้นทุกที ไม่นานเขาก็ล้มเลิกความพยายามที่จะผลักผมออก แต่เปลี่ยนเป็นการลูบหัวปลอบประโลมราวกับเด็กๆ แทน

   แกนกายของคนตรงหน้าเริ่มแข็งขึง มันขยายจนเต็มโพรงปากส่งผลให้ผมรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาดื้อๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เพราะถ้าหยุดยุคอาจจะหนีไป ผมรู้ว่าเขาไม่พอใจ รู้ว่าที่ทำไปมันแย่และไร้ศักดิ์ศรีเพียงแต่...

   “อย่าเกร็ง คุณปล่อยปากก่อน”

   “...”

   “ชยินผมไม่ได้จะไปไหน เด็กดีฟังผม อยู่แบบนี้คุณจะทรมาน” สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ให้กับคำพูดของเขา มือหนาผลักให้ผมล้มตัวลงนอนกับเตียงอีกครั้ง ความมึนเมาของแอลกอฮอล์ยังคงเหลืออยู่ในกระแสเลือด ภาพตรงหน้าพร่าจนต้องยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาออกลวกๆ

   “คุณช่วย...ช่วยนอนกับผมได้มั้ย”

   “ผมจะนอนเป็นเพื่อนคุณ”

   “ไม่ใช่...ไม่ใช่แบบนั้น”

   ผมยังไม่หมดความพยายามที่จะถอดเสื้อผ้าบนร่างกายของตัวเองออก ในเวลาเดียวกันนั้นสองหูกลับได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นั่นยิ่งทำให้รู้สึกใจแป้วขึ้นมาทันที

   กว่าจะทำสำเร็จก็ใช้เวลาอยู่นาน คนตัวสูงหมดความพยายามจะห้ามปรามแล้วเลยได้แต่ยืนมองอยู่เงียบๆ ผมกัดฟันถอดปราการด่านสุดท้ายออกจากขา ข่มความอายและร่างกายที่แล่นพล่านด้วยความร้อนเอาไว้ด้วยการนอนหงาย อ้าขาสองข้างให้กว้างที่สุด จากนั้นก็ใช้มือที่ว่างอยู่นั้นแหวกแก้มก้นจนเห็นช่องทางด้านหลังอย่างชัดเจน

   “ขะ...เข้ามา...ในตัวผมเถอะ”

   “ชยินคุณยังไม่พร้อม”

   “เข้ามา”

   “เด็กดื้อ ถ้าคุณตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คุณจะเสียใจที่ทำแบบนี้”

   “ไม่เสียใจ ผมรักคุณ ผมยินดียกทุกอย่างให้คุณ”

   “...”

   “ยุค” พอเห็นเขาไม่ตอบน้ำตาก็เริ่มเอ่อคลออีกรอบ อาการวิงเวียนยังคงอยู่ แต่ที่รู้สึกกว่านั้นคือความร้อนรุ่มที่แล่นพล่านไปทั่วกายจนทำให้ผิวหนังขึ้นริ้วแดงไปทั้งตัว

   คนตรงหน้านิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนเขาจะโน้มตัวลงมาประกบจูบที่ริมฝีปากอีกรอบด้วยความอ่อนโยน กายสูงโถมตัวลงบนเตียง สองมือกอดผมเอาไว้ขณะริมฝีปากยังคงสัมผัสกันอยู่ ลิ้นร้อนไล้ไปตามสบฟันอย่างหยอกล้อ ก่อนล่วงล้ำเข้าไปภายใน ดูดดึงแลกเปลี่ยนความหวานจนน้ำลายชุ่ม

   แต่ถึงจะได้รับมากมายขนาดนี้กลับยังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ สองมือกอดเกี่ยวอีกฝ่ายเอาไว้ เงยหน้ารับจูบอย่างเต็มใจ ไม่ว่าเขาต้องการอะไรผมก็จะให้ความร่วมมือทุกอย่าง

   เมื่อต่างคนต่างบดจูบกันจนพอใจแล้ว คนตัวสูงก็ผละออก เขาสาละวนกับการถอดเสื้อผ้า ไม่นานเราต่างก็เปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ ร่างของผมถูกช้อนตัวขึ้นมาจากเตียง ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

   ภายใต้น้ำอุ่นจากฝักบัว ผมถูกทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม ร่างกายสิ้นเรี่ยวแรงไม่แม้แต่จะกระดิกตัวได้ ยิ่งตอนที่ถูกมือหนาถูสบู่และปัดป่ายไปตามส่วนต่างๆ ผมก็เผลอกระตุกเกร็งเป็นระยะก่อนจะล้มลงในสภาพเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกจนแทบหมดฤทธิ์

   “เด็กน้อย ผมอดทนไปตลอดไม่ไหวหรอกนะ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู จากนั้นเขาก็อุ้มผมออกมาวางลงบนเตียงเพื่อเช็ดตัวก่อนคืบคลานตามขึ้นมา ผมสังเกตเห็นแกนกายของเขาขยายขนาดจากเดิมค่อนข้างมาก ความแข็งขึงของมันทำให้ขนอ่อนทุกส่วนลุกชัน จากที่ปากเก่งในตอนแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นอย่างห้ามไม่อยู่

   “เราไม่มีถุงยาง ไม่มีเจลหล่อลื่น คุณยังอยากให้ผมทำอีกมั้ย”

   คราวนี้ผมพยักหน้า มาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงจะเสียใจแต่ก็ไม่เสียดายที่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น

   “คุณจะไม่เสียใจ”

   “อื้อ”

   “คุณจะฟังคำอธิบายที่ผมต้องการบอกกับคุณ”

   “ครับ”

   “เก่งให้ได้เหมือนที่คุณพยายามล่ะ” พูดแค่นั้นยุคก็กดข้อมือของผมฝังไว้กับเตียง ก่อนโน้มตัวลงมาพรมจูบตั้งแต่หน้าผาก จากนั้นจึงเลื่อนลงไปยังจมูก ริมฝีปาก รวมถึงซอกคอ

   “อา...” ผมเผลอครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อถูกคมฟันกัดเข้าเนื้อบริเวณข้างใบหูรวมถึงซอกคอ และเขาก็ยังคงทำแบบนั้นอย่างต่อเนื่องทิ้งความเจ็บซ่านน้อยๆ ไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกระดูกไหปลาร้า หน้าอก หน้าท้อง หรือแม้แต่ส่วนล่างที่เป็นจุดสงวน

   “ยุค ผม...ผม...” จู่ๆ ดันพูดไม่ออกซะอย่างนั้น

   เพราะไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้เลยเอาแต่ร้องครางไม่หยุด เจ็บ เสียวซ่าน หรือรู้สึกดี ทุกอย่างผสมปนเปจนแยกไม่ออก ได้แย่จิกเล็บไปบนฝ่ามือของตัวเองและบิดกายไปมาเป็นการหลีกหนีสัมผัสคุกคาม

   ยิ่งตอนที่ถูกริมฝีปากร้อนฝังลงไปบนซอกขาด้านใน ก่อนถูกเรียวลิ้นตวัดเลียเป็นการปลอบประโลมด้วยแล้ว ร่างกายก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ผมพยายามจะเอื้อมมือดันหน้าของอีกฝ่ายออกแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อข้อมือยังถูกเขายึดไว้กับที่ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรอีกในเมื่อเสนอตัวอยากให้เองตั้งแต่แรก
   

อ่านต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #829 เมื่อ27-06-2018 23:35:56 »


   การเล้าโลมยังคงดำเนินไปอย่างยาวนาน ผมหอบหายใจถี่ระรัว พยายามกอบโกยเอาออกซิเจนเข้าสู่ปอดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การอาบน้ำในตอนแรกไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยเมื่อเหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดซึมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย อุณหภูมิรอบข้างคล้ายกับกำลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีหยุดยั้ง

   ผมกระตุกเกร็งครั้งแล้วครั้งเล่า ขนาดไม่ถูกสัมผัสแกนกายตรงๆ ทำไมร่างกายถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองมากมายขนาดนี้ น้ำใสๆ บริเวณนั้นเริ่มไหลปริ่มพาเอาความอึดอัดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี

   “ยุค...ผมขอ...ขอช่วยตัวเองได้มั้ย ไม่ไหว...ไม่ไหว” ผมรัวคำพูดไม่ได้ศัพท์ออกมาเรื่อยๆ แต่คนเหนือร่างกลับไม่ยอมปล่อยมือของผมให้เป็นอิสระเสียที

   “รอก่อนได้มั้ยเด็กน้อย มันยังไม่ถึงเวลา”

   “แต่ผมอึดอัด”

   “อดทนอีกหน่อย”

   “เมื่อไหร่” ถามทั้งที่น้ำตายังเอ่อคลออยู่เต็มขอบ

   คราวนี้เขาเลือกที่จะไม่ตอบ แต่เลื่อนใบหน้าขึ้นมาประกบจูบผมอีกรอบ คล้ายกับกำลังเริ่มต้นเล้าโลมทุกอย่างใหม่ตั้งแต่แรก และอ้อยอิ่งกว่าเดิมตอนที่ลิ้นร้อนสัมผัสกับหน้าอกของผมตรงๆ

   “อ๊า...”

   “รู้สึกดีมั้ย”

   “ดี...ฮึก!”

   “อ้าปากหน่อย” ผมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ก่อนยุคจะยื่นนิ้วมาจ่อบริเวณฝีปากแล้วให้ผมตวัดลิ้นเลียจนเปียกชุ่ม น้ำลายเม็ดใสไหลไปตามขอบปากและนิ้วมือ เร้าอารมณ์และความรู้สึกของผมจนลมหายใจเริ่มติดขัดอีกรอบ แต่คราวนี้ยุคไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้น เขาดึงนิ้วออกมาก่อนออกคำสั่งเสียงเรียบ

   “อ้าขาหน่อย” ร่างกายที่ร้อนรุ่มคล้ายกับตกลงไปในธารน้ำแข็งหนาวยะเยือก ความกลัวบางอย่างกลับมาเยือนจิตใจอีกครั้ง

   ความกล้ากับความกลัวตีกันอยู่ในหัวไม่หยุด จนไม่รู้ต้องทำยังไงนอกจากนอนนิ่ง

   “ชยินเชื่อใจผม อ้าขาหน่อย” ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่มือที่ยังว่างอีกข้างก็จัดการแยกขาทั้งสองข้างของผมออกจากกันเรียบร้อยแล้ว

   ไม่นานหมอนใบเล็กก็ถูกวางรองไว้ตรงสะโพก ผมปิดตาแน่น รู้สึกอับอายขึ้นมาเป็นเท่าตัว

   ยุคเห็นทุกส่วนในร่างกายของผมหมดแล้ว แค่คิดก็ไม่รู้จัดมุดหน้าไว้ตรงไหนนอกจากฝังมันให้จมลงไปกับหมอน ไม่คิดเลยว่าจะถูกเชยคางให้กลับมาเผชิญหน้ากันในที่สุด

   “ลืมตาหน่อยเด็กน้อย ยิ่งหลับตาคุณจะยิ่งกลัว”

   “ผมขอโทษที่ปากดี ฮือ”

   “เราจะหยุดกันแค่นี้ก็ได้นะ”

   “ไม่ ไม่หยุด”

   เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาอีกระรอก ผมมองลึกไปยังดวงตาคู่คม แล้วตัดสินใจยกทุกอย่างให้กับเขา

   “ผมเชื่อใจคุณ” เปลือกตาทั้งสองข้างถูกจูบปลอบประโลม ก่อนคนเหนือร่างจะอธิบายสิ่งที่กำลังทำให้ผมเข้าใจและหายตื่นกลัว

   “เราต้องขยายช่องทาง คุณไม่เคยมาก่อนเพราะอย่างนั้นอาจต้องใช้เวลา น้ำลายกับโลชั่นจะช่วยทำให้นิ้วของผมเข้าไปในตัวคุณได้ง่ายขึ้นเพราะงั้นอย่าเกร็ง”

   ผมพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าปอดลึกพลางเหลือบตามองกายสูงที่เคลื่อนตัวไปอยู่กึ่งกลางหว่างขา

   นิ้วชี้วนไปรอบบริเวณช่องทางด้านหลัง ความเย็นเยียบที่สัมผัสส่งผลให้ผมเผลอหุบขาโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ทันไรก็ถูกแยกให้กางออกอีกครั้ง พร้อมกับนิ้วมือนิ้วหนึ่งที่กำลังล่วงล้ำเข้ามาภายใน

   “ผ่อนคลายเด็กน้อย”

   “ฮืออออ ยุค ผม...ผม...รู้สึกแปลกๆ” ผมรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนตัวของสิ่งแปลกปลอมที่ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาภายในร่างกายอย่างเชื่องช้า ทว่ากลับสร้างความอึดอัดอย่างมหาศาลจนต้องแผดเสียงร้องออกมา

   “คุณเก่งแล้วชยินผ่อนคลายอีกหน่อย ผมขยับเข้าไปไม่ได้” มือหนาอีกข้างลูบไล้สะโพกของผมไปมาเหมือนเป็นการสร้างความผ่อนคลาย แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงถึงเรียกว่าผ่อนคลาย ทุกอย่างในหัวมันตื้อไปหมด

   “ผมทำไม่ได้”

   “ทำได้สิ ปล่อยขาให้สบาย” ขาสองข้างเป็นยังไงไม่รู้หรอก แต่นิ้วมือที่จิกลงไปบนผ้าปูจนยับยู่ตอนนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผมทำไม่ได้

   “ผมแย่มากที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี”

   “เด็กน้อยงั้นจับมือกัน” มือหนาเลื่อนจากสะโพกมาคว้ามือของผมเอาไว้ ก่อนจะวางไว้ตรงหน้าท้องที่เกร็งเครียดจนรู้สึกได้ “แล้วมองหน้าผม” เขาบอกอีกครั้ง

   ผมจ้องลึกเข้าไปยังดวงตาเบื้องหน้า มองเห็นทั้งความห่วงใยและแสนอบอุ่น เลยทำให้ความกลัวที่สั่งสมมาค่อยๆ จางหายลงไปค่อนข้างมาก

   “นั่นแหละดีแล้ว”

   “อ๊าาาาา” เผลอร้องครางออกมาทันทีที่นิ้วนั้นชำแรกเข้ามาภายในจนสุด จากนั้นก็รอให้ร่างกายปรับตัวกับสิ่งแปลกปลอมได้สักพักเขาก็เริ่มเคลื่อนมือเข้าออกอย่างช้าๆ มันไม่ได้เจ็บ แต่นำพาเอาความเสียวซ่านมาให้จนต้องกัดปากระบายความรู้สึก

   “เก่งมากเด็กดี ตอนนี้ผมจะใส่นิ้วที่สองเข้าไป ผ่อนคลายเหมือนเดิมนะ”

   คำพูดนั้นเป็นสัญญาณเตือนให้ผมปรับตัว ในเสี้ยววินาทีที่คนตัวสูงพูดจบความคับแน่นก็มาเยือนช่องทางด้านหลังอีกครั้ง แถมคราวนี้เจ้าตัวยังงอนิ้วทั้งคู่ ปล่อยให้มันขูดผนังภายในจนผมแหกปากร้องเสียงหลง

   “ยุค โอ๊ยยยย”

   เขาควานนิ้วไปทั่วบริเวณ คล้ายกับกำลังตามหาอะไรสักอย่าง ผมกัดปากให้ความร่วมมือไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ไม่นานนิ้วมือแกร่งก็สัมผัสโดนจุดบางอย่างในร่างกาย นั่นทำให้ผมสะดุ้งเฮือกด้วยความเสียวซ่านโดยอัตโนมัติ

    “อะ...อ๊า!”

   และเหมือนเขาจะรู้ว่าผมมักตอบสนองกับการสัมผัสตรงจุดนั้น เจ้าตัวเลยสะกิดบริเวณที่เสียวซ่านทุกครั้งที่เคลื่อนที่เข้าและออกช่องทางด้านหลัง

   ผมหายใจหอบฮัก เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มแผ่นหลังจนรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นของผ้าปูที่นอน ยุคดึงนิ้วทั้งสองออกมาแต่ไม่นานก็ถูกใส่กลับเข้าที่เดิมพร้อมกับจำนวนนิ้วที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง

   นิ้วเท้าทั้งสิบจิกลงบนเตียง มือที่วางอยู่ตรงหน้าท้องกำแน่นจนคิดว่ากระดูกนิ้วของคนตัวสูงอาจจะหักได้ แต่ผมทนไม่ไหวจริงๆ เพราะนอกจากความเสียวซ่านแล้วผมก็ยังรู้สึกเจ็บปนอึดอัดไปด้วย

   “อื้อออออ เจ็บ เอาออกไปได้มั้ย ผม...ไม่ไหว”

   “คุณทำได้เด็กดี หายใจเข้าลึกๆ อีกนิดเดียวก็เข้าไปจนสุดแล้ว”

   “มันเจ็บมากเลย”

   “อ้าขากว้างอีกหน่อย” ตอนนี้เหน็บชาได้เกาะกุมบริเวณช่วงล่างทั้งหมด เลยยากแก่การทำตามคำสั่งเหมือนในคราแรก ซึ่งเหมือนยุคจะเข้าใจเลยเป็นฝ่ายรั้งขาของผมให้อ้ากว้างด้วยตัวเอง

   เขากระชับมือที่จับผมไว้ให้แน่นขึ้น ดวงตาคมที่กำลังจ้องมอเต็มไปด้วยความอาทร ผมรับรู้ความรู้สึกของเขาเหมือนที่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นความรักจากผมเช่นกัน

   “อา~~~” นิ้วมือทั้งสามเคลื่อนเข้าไปจนสุด ผมหลุบตามองเบื้องล่างครู่หนึ่งพลางพรูลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

   “มองหน้าผมหน่อย”

   “ฮือ”

   “นั่นแหละดีแล้ว เก่งมาก อดทนไว้นะ อีกไม่นานคุณก็จะรู้สึกดี”

   ถ้าบอกว่าเชื่อใจแล้วก็ต้องเชื่อให้ถึงที่สุด ผมพยักหน้า ก่อนแหงนขึ้นจนสุดหลังจากนิ้วมือเคลื่อนตัวเข้าออกอย่างช้าๆ การงอนิ้วของอีกฝ่ายสร้างอาการกระตุกเกร็งให้กับร่างกายเป็นระยะ ยิ่งเมื่อสัมผัสถูกจุดที่ไวต่อความรู้สึกนั่นด้วยแล้ว ความอดกลั้นที่พยายามสร้างมาตลอดก็พังทลายลง

   “ยุค อะ...อ๊ะ...ขอร้อง”

   “...”

   ช่องทางด้านหลังถูกรุกล้ำเร็วและแรงขึ้นเป็นเท่าตัว ร่างกายของผมสั่นคลอนตามแรงส่ง ทุกส่วนบิดเร่าเกินควบคุม ความเสียวซ่านปนทรมานพุ่งทะลุจนขีดสุด น้ำใส่ๆ ที่เอ่อปริ่มอยู่ตรงแกนกายมีปริมาณมากขึ้น ผมอยากช่วยตัวเองใจแทบขาดเลยเอ่ยขอความเห็นใจอีกรอบ

   “ขอร้องให้ผม...ให้ผมทำ”

   “ไม่เป็นไรเด็กดี เดี๋ยวผมจัดการเอง”

   เขาปล่อยมือเป็นอิสระ จากนั้นก็กอบกุมแกนกายที่ขยายจนเกือบเต็มที่ของผมเอาไว้ ด้านหน้าออกแรงรูดรั้งขึ้นลง ขณะด้านหลังก็ยังไม่หยุดเคลื่อนนิ้วเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ทุกส่วนสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาด

   ผมอ้าปาก กอบโกยอากาศเข้าไปทุกช่องทางพลางร้องระงมออกมาลั่นห้อง

   “ผมจะ...จะเสร็จแล้ว อ๊ะ!”

   “ปล่อยออกมาเถอะ” คำพูดลื่นหูเหมือนแสงสว่างที่ส่องอยู่ตรงหน้า ผมเดินทางไปตามแสงนั้นอย่างมุ่งมั่น กระทั่งมองเห็นสีขาวที่สว่างวาบเข้ามาในสมอง ทุกอย่างขาวโพลนไปหมดจนแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนคือความจริงหรือความฝัน รู้แค่ว่ามันรู้สึกดี

   กว่าจะเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ตอนที่หน้าท้องและซอกขาด้านในเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำรัก กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วห้อง แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจ นอกจากใช้นิ้วกวาดเอาของเหลวสีขาวขุ่นออกมา จากนั้นป้ายไปยังช่องทางด้านหลังของผมอย่างใจเย็น

   คราแรกได้แต่คิดว่าเขาอาจจะตายด้านไม่มากกว่าน้อยเพราะไม่ยอมแสดงท่าทีใดๆ ออกมา แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ เมื่อผมบังเอิญสังเกตเห็นแกนกายของอีกฝ่ายที่ขยายขนาดจนสุด และตอนนี้ส่วนนั้นก็แข็งขึงตั้งตรงจนผมอดหวั่นใจไม่ได้

   “ชยิน ผมขอลิ้นหน่อย”

   เสียงนั้นดึงผมออกจากภวังค์กลับมาที่ใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง

   ผมที่อยู่ในสภาพมึนงงเลยทำทุกอย่างช้าลงเป็นเท่าตัว กว่าจะรู้ว่าควรทำอะไรริมฝีปากก็ถูกประกบจูบอย่างรุนแรงเข้าแล้ว ด้วยไม่รู้จะตอบสนองยังไงจึงปล่อยให้อีกฝ่ายกอบโกยทุกอย่างไปจนหมด

   เนิ่นนานราวกับเวลาได้หยุดเดิน ผมล่องลอยไปกับสัมผัสของเขาราวกับอยู่ในความฝัน แต่ก็ถูกปลุกให้ตื่นฉับพลันตอนที่ความอบอุ่นจางหาย เขายืดตัวขึ้น นั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางหว่างขา มือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดทำหน้าที่ยึดหัวเข่าทั้งสองข้างของผมอย่างมั่นคง

   “โลชั่นจะพอช่วยให้คุณไม่เจ็บมาก เพราะงั้นอย่ากลัว” พูดแค่นั้นยุคก็ขยับมาใกล้ ก่อนจ่อส่วนปลายของแกนกายไปตรงช่องทางด้านหลัง ปล่อยให้มันสัมผัสส่วนนั้นเนิ่นนานแต่ไม่ยอมเข้ามาสักที

   “เลิกแกล้ง...ผมได้แล้ว” กว่าจะข่มความอายพูดออกไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่คิดเลยว่าหลังจากนั้นผมจะเห็นรอยยิ้มจากใบหน้าของเขาแทนคำตอบ

   “ไม่ได้แกล้ง ก็แค่...ชอบหน้าตอนที่ทรมานแต่ก็ยังอดทนต่างหาก”

   นิ้วโป้งเอื้อมมาปาดไล้คราบน้ำตาออกจากแก้มอย่างแผ่วเบา ผมหลับตาพริ้มให้กับการกระทำของเขา ไม่นึกเลยว่าเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นพายุลูกใหญ่จะพัดโหมกระหน่ำยากแก่การสงบ

   ทันทีที่แกนกายแข็งแรงพยายามดุนดันเข้ามา ผมรีบผงกหัวมองสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงเพิ่มขึ้นเกือบถึงขีดสุด ร่างกายเจ็บร้าวคล้ายกับกำลังปริแตกแม้ส่วนนั้นจะแทรกเข้ามาได้ไม่มากนักก็ตาม

   “ฮือออ เจ็บ ผมเจ็บ”

   “ผ่อนคลายหน่อยเด็กดี ทำเหมือนที่ผมสอนคุณก่อนหน้านั้นสิ”

   “เข้าไม่ได้หรอก ไม่ได้...” ผมส่ายหัวไปมาบนหมอน ก่อนหน้านั้นเป็นนิ้วเลยคิดว่าคงรับมือไหว แต่เมื่อถูกแกนกายของเขาสอดใส่เข้ามาจริงๆ ผมก็แทบจะตายอยู่ตรงนี้ให้ได้

   “ชยินอย่าดิ้น ถ้าดิ้นเลือดคุณจะออก”

   “ฮือ เจ็บมากเลย”

   “ชู่ว~ อย่ามองข้างล่าง มองหน้าผม คุณจะไม่เป็นอะไร” แล้วผมก็ได้รับจูบเป็นการปลอบใจนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนเราจะตั้งสติและพยายามกันอีกครั้ง

   ยุคไม่ยอมถอนแกนกายออกมา แต่เลือกคามันไว้อย่างนั้นทั้งที่ยังเข้าได้ไม่ถึงครึ่ง เขาโน้มตัวมาข้างหน้า สอดมือไปยังด้านหลังแล้วโอบกอดผมไว้ทั้งตัว

   ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้สติที่กระเจิดกระเจิงในตอนแรกกลับสู่สภาวะปกติ ลมหายใจสงบขึ้น แม้ความเจ็บร้าวบริเวณช่วงล่างจะยังไม่หายไปก็ตาม

    เมื่อเราต่างอยู่ในท่าทางที่พร้อมกว่าเดิมแล้ว คนเหนือร่างก็กัดฟันกดส่วนแข็งแกร่งเข้าไปภายในทีละนิด...ทีละนิด พร้อมกับไล่อากาศที่อยู่ภายในออกไป ทุกอย่างคับแน่นไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถแทรกเข้าไปได้จนสุดสักที

   “ครึ่งนึงแล้วเด็กน้อยเก่งมาก อดทนนะ” ตอนนี้เข้าใจแล้ว ไม่ได้มีแค่ผมหรอกที่ต้องอดทน ยุคเองก็คงไม่ต่าง เขาทำทุกขั้นตอนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งที่จะใส่เข้ามาทีเดียวก็ยังได้

   “ใส่...เข้ามาอีกเถอะ”

   ผมสงสารเขา อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังพอไหว

   อีกฝ่ายทำตามคำขอทันทีด้วยการดันส่วนปลายให้เข้ามาลึกขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกมิลลิเซนที่ร่างกายเราขยับแนบชิดนำพาเอาความปวดร้าวมาให้ไม่รู้จบ ผมแอ่นสะโพกโดยอัตโนมัติ ออกแรงกอดคนตัวโตให้แน่นขึ้นกระทั่งส่วนนั้นจมดิ่งเข้ามาจนสุด

   น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลซึมรวมกับเหงื่อ ได้แต่เผยอปากกอบโกยเอาอากาศเข้ามาภายใน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ยุคผละจากอ้อมกอด จากนั้นก็ยกขาทั้งสองข้างของผมขึ้นมาพาดไหล่แกร่ง เผยให้เห็นส่วนสงวนอย่างเด่นชัดกว่าเดิมจนรู้สึกอาย

   ผมยกมือปิดหน้า แต่ไม่ทันไรก็ถูกดึงออกแล้วป้อนจูบให้อีกยกหนึ่ง

   “อ๊ะ...อาาาาาา”

   เสียงร้องแหบพร่าดังไปทั่วห้อง ผมไม่สามารถกลั้นเสียงครางเอาไว้ได้อีก ยิ่งตอนที่เขาเริ่มขยับกาย แม้จะไม่หนักหน่วงทว่าก็ส่งผลให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่ดี ร่างกายของผมเกร็งเครียดอีกรอบ รู้สึกเจ็บบริเวณหน้าท้องเนื่องจากแกนกายนั้นแทรกตัวเข้าไปจนสุด

   “เด็กดีคุณรัดแน่นเกินไปแล้ว ผมขยับไม่ได้” คนตัวสูงเอ่ยเสียงนุ่ม

   “ขอ...ขอโทษ”

   “ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ข้างในตัวคุณผม...รู้สึกดีมาก” คำพูดประโยคนั้นสร้างกำลังใจให้ผมค่อนข้างมาก ก่อนจะนึกได้ว่าควรตอบแทนเขาเหมือนกัน

   “ผมเจ็บ แต่...รู้สึกดีเหมือนกัน”

   รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา ยามร่างกายค่อยๆ ปรับตัวจนถึงจุดหนึ่งยุคก็สามารถขยับร่างกายได้ง่ายดายกว่าเดิม เริ่มจากเชื่องช้า จากนั้นก็เพิ่มความเร็วขึ้น

   ความปวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ผมกัดฟัน ทนต่อความทรมานในช่วงแรกจนกระทั่งความรู้สึกแย่ๆ นั้นจางหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านที่ทำให้เผลอร้องครางออกมาจนสุดเสียง เบียดเสียดร่างกายบิดเร่าไปบนเตียงอย่างร้อนรุ่ม

   “อื้อ...อ๊ะ...อา” เลือดในกายพุ่งพล่านจนถึงจุดเดือด ยามส่วนแข็งขึงแทรกเข้ามาจนสุดก่อนถอนตัวออก จากนั้นก็ใส่เข้ามาใหม่อีกรอบให้แรงกว่าเดิม ผมดิ้นทุรนทุราย ยิ่งเมื่อถูกกระตุ้นตรงจุดที่ไวต่อการสัมผัส ภายในหัวใจก็รัวกระหน่ำไม่หยุดราวกับกำลังทำสงคราม

   ผมจมดิ่งไปกับการร่วมรักที่คราแรกอ่อนหวาน แต่ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงและดุดัน แม้จะเป็นครั้งแรก ทว่ากลับรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด

   “ยุคระ...แรงไป อื้ออออ...ฮือออ” ผมร้องแทบไม่เป็นภาษา ตอนที่ก้มมองส่วนที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกำลังเคลื่อนไหว ต้นขาด้านในแดงเผือดจากการถูกเสียดสี ความหนักเบาและจังหวะที่สอดใส่ผลักให้อารมณ์ของผมพุ่งสูง ก่อนจะถูกผลักลงมายังจุดต่ำสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   มือหนายกขาของผมลง จากนั้นก็พลิกให้อยู่ในท่านอนตะแคง

   “อะ...อื้ออออ” เขาสอดใส่เข้ามาอีกรอบ แล้วจดจ่อกับการเคลื่อนไหวอย่างเอาเป็นเอาตาย

   เสียงเปียกแฉะหยาบโลนดังไปทั่วห้อง ผิวเนื้อของเรากระทบกันจนเกิดเสียงเร้าอารมณ์ให้พุ่งไปจนสุด

   “ยุค ผมไม่ไหวแล้ว ไม่ไหว...”

   “อดทนหน่อยนะเด็กดี ยังไม่ถึงเวลา รอก่อน” ดวงตาสองข้างพร่ามัว ก่อนถูกพลิกตัวในกลับมานอนหงายอีกครั้ง แกนกายนั้นใส่เข้ามาจนสุดทั้งเร็ว แรง และลึก ความรู้สึกเสียวซ่านแผ่ขยายไปทุกจุดของความรู้สึก ยามผนังถูกครูดสัมผัสอย่างแรง ยิ่งผลักดันให้ความอดทนอดกลั้นที่มีอยู่ลดน้อยลงทุกที

   แกนกายส่วนหน้าของผมแข็งขึงจนตั้งตรง หยดน้ำใสๆ เริ่มเอ่อคลอตรงส่วนปลาย ผมเอื้อมมือหมายจะสัมผัสเพื่อปลดปล่อยแต่ยุคก็รั้งข้อมือของผมไว้

   “เด็กดีไปพร้อมกัน จับมือผมไว้ ไม่ต้องกลัว” นิ้วมือของเราสอดประสานแทบไม่เหลือช่องว่าง เอวหนาเคลื่อนตัวชักเข้าออกอย่างรวดเร็วและมันทำให้ผมดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง

   “ยุค ผมไม่ไหวแล้ว”

   “ปล่อยออกมาเถอะ”

   “อ๊ะ...อ๊าาาาาาา” สิ้นสุดประโยคนั้น น้ำสีขาวขุ่นก็พุ่งออกมาจนเลอะหน้าท้อง ซอกขาด้านใน ร่วมถึงผ้าปูที่นอน ร่างกายกระตุกเกร็งอยู่หลายครั้งให้กับความรู้สึกสุขสม ก่อนความรู้สึกซาบซ่านจะจางหาย รับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนที่อยู่ภายในร่างกายโดยฝีมือของอีกฝ่าย

   เขาทำให้ผมถึงจุดสูงสุดได้ทั้งที่ไม่ต้องใช้มือช่วยด้วยซ้ำ แถมเจ้าตัวก็ยังทิ้งความรู้สึกกระดากอายเอาไว้ในช่องทางด้านหลังอีกต่างหาก

   “รอบที่สองไหวมั้ย”

   หลังหอบหายใจอยู่บนเตียงนับสิบนาที เสียงทุ้มก็เอ่ยถามขึ้นอีก ด้วยไม่รู้จะตอบยังไงเลยได้แต่ก้มหน้า กะพริบตาช้าๆ แทนคำตอบไปในที่สุด

   Rrrr...!

   ทว่ายังไม่ทันได้เริ่มต้น เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของร่างสูงก็แผดเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน

   เราหันไปมองยังปลายเตียง ใบหน้าคมจ้องมองอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งก่อนตั้งท่าจะเดินไปคว้ามันเพื่อรับสาย แต่ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ไม่อยากให้ใครเข้ามาแทรกช่วงเวลาที่เป็นของเรา

   “ยุค”

   “ชยินเดี๋ยว อาจจะมีเรื่องสำคัญ”

   “อย่าเพิ่งรับเลย ผมขอร้อง”

   “...” และเพราะไม่รู้จะทำยังไงเพื่อรั้งเขาไว้ ผมจึงตัดสินใจฝืนความเจ็บที่เกาะกุมทุกตารางผิวด้วยการพลิกตัว จัดร่างกายให้อยู่ในท่าคลานเข่า คว่ำหน้าลงกับหมอน ยกสะโพกขึ้นสูงพร้อมกับอ้าขากว้าง

   สองมือแหวกกล้ามเนื้อสะโพกออกจากกันจนเผยให้เห็นส่วนลับที่บวมช้ำจากการร่วมรักในรอบแรก แม้จะรู้สึกโหวงหวิว แต่ก็ยังคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะอยากช่วยเติมเต็ม

   “เข้ามาในตัวผมเถอะ ขอร้อง...เข้ามาเถอะ”

   “...”

   “ผมรักคุณ ช่วย...เข้ามาในตัวผมได้มั้ยครับ”

   แน่นอนว่าวิธีการไร้ยางอายนี้ได้ผล เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นครู่หนึ่งแล้วก็ดับไป แม้มันจะดังขึ้นมาอีกสองหรือสามครั้งแต่ก็ไม่ทำให้เราหยุดกิจกรรมที่ทำร่วมกันลง ปล่อยให้พายุโหมกระหน่ำและสาดซัดทุกหยาดอารมณ์ไปอีกสองรอบ ก่อนทุกอย่างจะสงบลงและผมไม่เหลือแรงแม้แต่จะกระดิกตัว

   นาฬิกาฝาผนังบ่งบอกว่านี่เป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว ผมอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวสูง มันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย และอยากให้เป็นแบบนี้ไปอีกนานๆ

   Rrrr..!

   ไม่คิดเลยว่าโทรศัพท์ของเขาจะดังขึ้นอีกครั้ง ผมแสร้งปิดเปลือกตา แต่กลับรับรู้ทุกอย่างผ่านทางเสียงและสัมผัส ไม่คิดเลยว่าการกระทำของอีกฝ่ายจะทำให้ความหวังที่พยายามหลอกตัวเองมาตลอดพังทลายในพริบตา

   เขาผละออกจากอ้อมกอด ตะเกียกตะกายลงจากเตียงพร้อมกับกดรับโทรศัพท์

   ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องที่กำลังคุยกันนั้นสำคัญแค่ไหน แต่ก็คงสำคัญกว่าผมในตอนนี้

   ยุคผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างลวกๆ เขาใช้เวลากลัดกระดุมเสื้อผ้ารวมถึงสวมกางเกงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับมาที่เตียง คว้าเอาอะไรบางอย่างและเปิดประตูออกไป

   แกร๊ก!

   เสียงลูกบิดถูกกดล็อก รอบกายของผมว่างเปล่า ความอบอุ่นที่สัมผัสได้ในคราแรกไม่หลงเหลืออีกต่อไป ผมนอนกอดตัวเอง รู้สึกหนาวยะเยือกราวกับนอนอยู่ในธารน้ำแข็ง ได้แต่สะกดกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อคลออยู่ไม่ให้ไหลลงมาเหมือนทุกที

   ขนาดจะไปยังไม่บอกกันเลยด้วยซ้ำ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่พยายามทำมันโคตรเปล่าประโยชน์

   เขาหยิบกระเป๋าสตางค์บนหัวเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือ เอาทุกอย่างของเขาไปจนหมดแล้วแต่กลับทิ้งผมไว้ในห้องเพียงลำพัง

   จบแล้วใช่มั้ย

   เคยถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งจนกระทั่งได้คำตอบในที่สุด

   ผมรู้แล้ว เจ็บกว่าการอยู่คนเดียว

   คือการที่มีใครบางคนเดินเข้ามา แล้วจากไป...




คลับฟรายเดย์วันนี้เสนอตอน “รักแท้แพ้ไม่คุย”
แง้ๆๆๆ ขอโทษที่มาช้ามากๆ ค่ะ เป็นบ้ากับการเขียน NC อยู่
คือจะบอกว่าไม่ได้เขียน NC ที่ถูกเล่าจากฝั่งนายเอกมาหลายปีแล้ว นับดูดีๆ ก็สามปี
ไม่ชินมากค่ะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนขอโทษไว้ด้วยนะคะ
ป.ล.ด่าได้แต่อย่าแรง ใจบางค่ะ แง้งงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
« ตอบ #829 เมื่อ: 27-06-2018 23:35:56 »





ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #830 เมื่อ28-06-2018 00:04:26 »

ทิ้งยุคมันเลยลูกกกกกกก อย่าไปแคร์ค่ะ หนูแต่งเพลงให้มันเลยลูกกกก

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #831 เมื่อ28-06-2018 00:04:57 »

เอ่อมมม เป็น NC ที่เศร้าจัง

ออฟไลน์ awfsp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #832 เมื่อ28-06-2018 00:07:00 »

หน่วงมากสุด

ออฟไลน์ ืNtop

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #833 เมื่อ28-06-2018 00:11:01 »

ไม่รู้ว่ายุคคิดยังไงอยู่นะ แต่สงสารชยินมาก ชยินสู้ๆระลูก

ออฟไลน์ fronkdefroy

  • ... CAN WE JUST GO BACK TO THE WAY WE USES TO BE ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #834 เมื่อ28-06-2018 00:19:28 »

เฮ้ออ คือบั่บ ไม่รุ้ว่ายุคมีอะไรติดค้างหรืออะไรยังไง รีบคุยรีบเคลียร์ได้มะ สงสารชยินอ่ะ
อารมณ์บั่บยอมเสียเพื่อรั้งอีกคนไว้ แต่อีกคนแม่มก็ไม่คุยไม่ไรเลย

หน่วงนะ แต่เท่าที่อ่านนิยายคุณจิตตมา แค่นี้จิบๆ 55555
เอาใจช่วยทั้ง 2 ค่ะ

เหมือนจะเป็นไบโพล่า แงงง

ออฟไลน์ fronkdefroy

  • ... CAN WE JUST GO BACK TO THE WAY WE USES TO BE ...
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #835 เมื่อ28-06-2018 00:21:25 »

แอบอยากให้ชยินแข้มแข็งแล้วเอาคืนบ้าง นังยุคคงกระอักเลือดตายยย

ฮือออ ไบโพล่าแน่ๆ

ออฟไลน์ wildride

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #836 เมื่อ28-06-2018 00:31:38 »

  :pig4:

 writer เก่ง
 มีแค่ตัวอักษรยังทำให้รู้สึกหน่วงได้โดยไม่ต้องมีภาพประกอบ

 รึเป็นเพราะสถานการณ์บ้านเมืองเราตอนนี้ด้วยที่ทำให้อะไรๆมันอินนนนนนนนนนนนนนขนาดเน๊

ออฟไลน์ Plavann

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #837 เมื่อ28-06-2018 00:46:25 »

เข้มแข็งนะชยิน พูดได้แค่นี้จริงๆ จากใจคนที่ผ่านอะไรคล้ายๆแบบนี้ มีแค่ตัวเราเองที่จะทำให้มันดีขึ้น

แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #838 เมื่อ28-06-2018 00:48:41 »

สงสารชยิน
พยายามเต็มที่แล้วใช่มั้ย หวังว่าจะถึงเวลาพอได้แล้วนะ
ส่วนยุคก็ไปเถอะ ไม่คุยไม่พูดก็ปล่อยไว้แบบนี้แหละ
ไปหาคนที่สำคัญกว่า ทำได้ดีจริงๆ
ถ้าการที่ชยินปฏิเสธคนไม่เก่งแล้วผลที่ได้กลับมาเป็นแบบนี้ก็พอที
กระจอกมากจริงๆศตวรรษ

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ★ MSN ★ (#mเอสn) ตอนที่13 [27/06/61] *หน้า28
«ตอบ #839 เมื่อ28-06-2018 00:51:24 »

ทำไมไม่คุยล่ะยุค!!
เกิดอะไรขึ้น ปวดตับมาก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด