บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’
เพียงชื่อของสมุนไพรก็ทำให้ใจของเทียนอี้อยู่ไม่สุข หาใช่ว่ามันเป็นยาพิษ แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่โอสถที่จะกินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งผู้ที่รับโอสถนั้นเข้าไปในร่างกายคือซิ่นเฉิงด้วยแล้ว เทียนอี้ก็อดคิดไม่ได้เลยว่าจวนเขาจะอลหม่านเพียงใดหากยานั้นเริ่มออกฤทธิ์
แต่ก็นับว่ายังดีที่ซิ่นเฉิงกินสมุนไพรแห้งนั้นเข้าไปโดยไม่ได้ต้มน้ำ หากเป็นการต้มดื่มอย่างที่ควรกระทำ ฤทธิ์ของมันจะสำแดงให้เห็นไวสักหน่อย แต่จับใส่เข้าปากแล้วกลืนลงคอ ฤทธิ์จึงออกช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทว่านั่นก็ทำให้เทียนอี้ต้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์เป็นระยะ เมื่อฤทธิ์โอสถเผยออกมาให้เห็นเมื่อไร เขาคงต้องรีบจับซิ่นเฉิงแยกมาอยู่อีกเรือนนอน หาไม่แล้ว เรือนนอนคนรับใช้คงได้เกิดสงครามอย่างแน่แท้
ราตรีแรกผ่านไป โอสถยังไม่ออกฤทธิ์ เทียนอี้พอจะเบาใจไปได้บ้าง อย่างน้อยก็ให้ซิ่นเฉิงได้พักผ่อนเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บก่อน จากนั้นค่อยเผชิญหน้ากับอาการชวนให้น่ารำคาญใจอีกครา
เมื่อเข้าสู่ราตรีที่สอง ฤทธิ์โอสถถึงได้เริ่มสำแดงให้เห็น ซิ่นเฉิงเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาอย่างประหลาด คราแรกก็คิดว่าร่างกายอาจต้องพิษไข้เพราะบาดเจ็บและเสียโลหิตไปมากพอควร จึงได้แต่นอนพักผ่อนด้วยหวังว่าอาการจะทุเลาลง ทว่าเขาคิดผิด นอกจากอาการจะไม่ทุเลาลงแล้ว ร่างกายยังจะร้อนรุ่มดั่งเปลวไฟกว่าเดิมเสียด้วย
หรือเขาจะป่วยหนักกัน?
ซิ่นเฉิงหวั่นใจไม่น้อยกับความผิดปกติทางร่างกาย ถึงเขาจะไม่ค่อยเกรงกลัวผู้ใดในใต้หล้า แต่เขากลับกลัวความตายหากจะต้องเผชิญ
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อยากมาสิ้นชีพในแคว้นที่หาใช่บ้านเกิดของเขา ถ้าจะต้องตาย ก็ขอไปตายในทะเลทรายดีกว่า!
คิดเช่นนั้น ซิ่นเฉิงจึงเริ่มคิดหาหนทางหนีออกจากจวน กลับไปตายเอาดาบหน้าในทะเลทรายกว้าง โดยหารู้ไม่ว่าเทียนอี้ได้ให้คนรับใช้ในเรือนนอนเดียวกับเขาคอยเฝ้าสังเกตอาการตั้งแต่ชั่วยามแรกที่เทียนอี้รู้ว่าเจ้าแมวป่าขโมยกินสมุนไพรที่สั่งห้ามใครแตะต้องถ้าไม่ได้รับอนุญาตเข้าไป
เมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงมีอาการแปลกๆ คนรับใช้ก็รีบไปรายงานให้เทียนอี้รับรู้ กระนั้นเจ้าของจวนก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ด้วยหมายใจจะรอให้อาการของซิ่นเฉิงหนักหนากว่านี้ก่อน อีกนัยก็คือ เทียนอี้ต้องการจะสั่งสอนให้ซิ่นเฉิงรับรู้ว่าสิ่งใดที่เขาห้ามนั้น ก็ไม่ควรกระทำ ไม่เช่นนั้นก็ต้องยินยอมรับผลร้ายที่จะเกิดขึ้นด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็คิดว่าต่อให้สมุนไพรนั่นออกฤทธิ์ ซิ่นเฉิงก็น่าจะรู้ว่าควรจะบรรเทาอาการตนเองด้วยการกระทำใด จึงไม่ได้เข้าไปวุ่นวายในทันที
และผลร้ายจากการดื้อดึงไม่เชื่อฟังนั้นก็ได้บังเกิดขึ้นแล้ว แต่คงจะยากต่อการยินยอมรับผลร้ายนั้นสำหรับซิ่นเฉิงเสียหน่อย เขาออกอาการฉุนเฉียวเมื่อร่างกายไม่เป็นไปดั่งใจนึก ทั้งที่พยายามจะควบคุมอารมณ์ที่พวยพุ่งอยู่ภายในให้สงบแล้ว ทว่าความร้อนรุ่มที่แผ่กำจายไปทั่วร่างกลับทำให้เขากระสับกระส่ายจนอยู่ไม่สุข อาการนี้ช่างน่ารำคาญใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนที่ดูเหมือนจะแผดเผา ‘จุดนั้น’ ให้มอดไหม้เป็นจุณถ้าหากเขาไม่จัดการทำอะไรสักอย่างเสียที
จุดนั้น... ใช่แล้ว บริเวณอวัยวะกลางลำตัวของเขานั่นเอง
ซิ่นเฉิงอึดอัดถึงกับทนไม่ไหว ต้องปลดเชือกรัดกางเกงออก ดูสิ่งที่อยู่ด้านในอย่างหัวเสียเมื่อมันไม่ยอมสงบลงเสียทีตั้งแต่เมื่อชั่วยามก่อน ครั้นเห็นอวัยวะแห่งความเป็นบุรุษเพศชูชัน ซิ่นเฉิงก็สบถหยาบ
“บัดซบ...”
เขาเกิดกำหนัดมาพักใหญ่แล้ว อยากจะปลดเปลื้องอยู่หรอกเพราะดูท่าจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เขาและเจ้า ‘มังกรน้อย’ สงบลงได้ แต่ทว่าพอคิดว่าจะต้องกระทำสิ่งนั้นภายในจวนของอมนุษย์ตนนั้น เขาก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีขึ้นมา ต่อให้เขาต้องตายเพราะกำหนัดตนเอง เขาก็จะไม่ยอมกระทำสิ่งใดให้เป็นที่น่าอับอายจนเทียนอี้เอามาพูดถึงชั่วลูกชั่วหลานได้เป็นอันขาด
เพราะหยิ่งผยองด้วยเหตุผลนั้น ซิ่นเฉิงจึงไม่แตะต้องแก่นกายกลางลำตัวเลยแม้แต่น้อย หากแต่เจ้าสมุนไพรช่างมีฤทธิ์เหลือร้าย เมื่อไม่ได้รับการปลดเปลื้อง ความร้อนในร่างกายก็แทรกซึมเข้าทุกอณูผิวหนัง ส่งผลให้ร่างกายร้อนผ่าวดุจเปลวไฟ คราวนี้เองที่ซิ่นเฉิงได้ล้มหมอนนอนเสื่อจริงๆ
ซิ่นเฉิงที่จู่ๆ ก็ล้มฟุบลงไปขณะที่เข้าร่วมมื้อเย็นกับคนรับใช้คนอื่นๆ ถูกพาตัวเข้าไปพักผ่อนในเรือนนอน พ่อบ้านเหลียงรีบมาดูอาการ เมื่อเห็นว่ามนุษย์หนุ่มมีเหงื่อกาฬอาบท่วมร่าง อีกทั้งยังตัวร้อนดุจเพลิง เขาก็สั่งให้คนรับใช้ไปต้มโอสถมาให้ดื่ม ทว่าก็หาได้ช่วยให้อาการดีขึ้นแม้แต่น้อย รังแต่จะทรุดลงไปอีก คราวนี้สติของซิ่นเฉิงชักไม่สมประดี เรียกก็ไม่ขานตอบ ได้แต่ปรือตาเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ทำเอาพ่อบ้านเหลียงอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไรนักก็ตาม พลันคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าป่วยหนักถึงเพียงนี้ก็ต้องตามท่านหมอมา แต่การให้ท่านหมอมารักษานั้น จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนั้นก็คือเขา แต่เขาไม่มีสิทธิจะใช้จ่ายได้ตามใจ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากท่านแม่ทัพใหญ่เสียก่อน
ดังนั้น พ่อบ้านเหลียงจึงไม่รอช้าที่จะนำความไปบอก ทันทีที่แม่ทัพเทพอสูรได้ยินความ เขาก็ว่าออกมาเสียงเรียบ
“ไม่ต้องตามท่านหมอ แต่ให้นำตัวมนุษย์นั่นไปที่เรือนของข้า”
“ท่านแม่ทัพหมายถึง...”
“ที่เรือนของข้ามีห้องรับรองแขกอยู่ ให้พาเขาแยกไปนอนที่นั่น ส่วนอาการของเขานั้น ข้าจะเป็นผู้ดูแลเอง”
พ่อบ้านเหลียงอดประหลาดใจไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเทียนอี้พอจะมีความรู้เรื่องโอสถอยู่ แต่ก็หาได้มากพอจะรักษาอาการป่วยหนักๆ ได้เฉกเช่นท่านหมอ ทว่าพอจะถาม เทียนอี้ก็ตอบออกมาก่อนราวกับรู้ทันว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร
“ซิ่นเฉิงไม่ได้ป่วยไข้อย่างที่เจ้าคิดหรอก พ่อบ้านเหลียง”
“ถ้าไม่ได้ป่วยไข้ แล้วเจ้านั่นเป็นอะไรหรือขอรับ?”
เทียนอี้เหลือบมอง ตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“กินโอสถเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีเข้าไป”
“หา?”
“เจ้าได้ยินไม่ผิด”
หากไม่เคยเห็นจระเข้อ้าปากก็คงจะได้เห็นกันในครานี้ พ่อบ้านเหลียงแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินเช่นนั้น แต่เมื่อผู้เป็นนายย้ำคำหนักแน่น ก็อดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงช่างเป็นตัวปัญหาเสียจริง เพราะเขารู้ดีว่าสมุนไพรที่ชื่อเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีนั้นเป็นสมุนไพรชนิดใด
...เป็นยาปลุกกำหนัดสำหรับคู่บ่าวสาวในคืนวิวาห์
ถูกต้อง... มันถูกใช้ต้มให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวดื่มในคืนเข้าหอ ทั้งหมดก็เพื่อการกระตุ้นเร้าให้ในการมีทายาทสืบสกุล เหตุที่ต้องใช้ก็เป็นเพราะเทพอสูรมีรูปลักษณ์กึ่งมนุษย์ กึ่งสัตว์ สตรีมนุษย์ที่ตบแต่งเจ้าเรือนมักหวาดกลัวสามีที่มีรูปร่างอัปลักษณ์ ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า ดังนั้นเรื่องความสิเน่หาหรือความใคร่ใดๆ ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึง พวกนางเอาแต่ร่ำไห้ไม่หยุดตั้งแต่รู้ว่าจะต้องตบแต่งกับเทพอสูรเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาโอสถนี้ ไม่เช่นนั้น คืนเข้าหอคงจะล่มไม่เป็นท่า
และไม่แปลกถ้าหากเทียนอี้จะมีสมุนไพรนี้ติดห้องโอสถของจวนไว้ ต่อให้เขายังไม่ได้ตบแต่งสตรีนางใดเป็นฮูหยิน แต่สหายของเขาตบแต่งกับมนุษย์สตรีมาหลายต่อหลายครั้ง เมื่อฮูหยินคนเก่าสิ้นใจ ฮูหยินคนใหม่ก็เข้าพิธีไหว้ฟ้าดิน เป็นเช่นนี้มานานนับร้อยปีแล้ว จึงเกิดเป็นธรรมเนียมที่ว่าสหายตนใดมีงานมงคลสมรส สหายที่ไปร่วมงานจะต้องมีโอสถชนิดนี้ติดไม้ติดมือไปเป็นของขวัญร่วมแสดงความยินดีเสมอ
เทียนอี้มีติดไว้ในจวนก็เพื่อการนี้นั่นเอง...
“แล้ว...ท่านแม่ทัพจะเป็นผู้ดูแลจริงๆ น่ะหรือ? ข้าว่ามอบหมายให้เป็นหน้าที่ของข้ากับคนรับใช้อื่นน่าจะดีกว่าไม่น้อย” ได้ยินว่าเทียนอี้จะดูแลเจ้ามนุษย์ชอบสร้างปัญหาผู้นั้น พ่อบ้านเหลียงก็อดเสนออย่างเป็นห่วงไม่ได้
เทียนอี้ระบายลมหายใจ
“ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง จะได้ถือโอกาสนี้ขัดเกลานิสัยดื้อด้านของซิ่นเฉิงด้วย”
พูดมาอย่างนั้น พ่อบ้านเหลียงจะไปทำอะไรได้กันเล่า แต่ก็คิดว่าดีอยู่ไม่น้อยที่เทียนอี้ลดความใจดีลงเสียที จะเข้าขั้นโหดร้ายเลย เขาก็ไม่ทัดทานใดๆ ทั้งนั้น เพราะขนาดซิ่นเฉิงถูกตีเข้าเต็มแรงเมื่อครั้งที่ประลองกันอย่างนั้น ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีท่าทีอ่อนน้อมลงเลยแม้แต่น้อย เห็นทีจะต้องจัดการกำราบให้เด็ดขาด
“หากท่านแม่ทัพต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก็ได้โปรดบอก”
“ขอบใจเจ้ามาก”
เทียนอี้ตอบรับเสียงเรียบ จากนั้นก็ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ ระหว่างอมนุษย์ทั้งสอง มีเพียงความเงียบงัน ก่อนทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามกิจวัตรของใครของมันโดยไม่สนใจเรื่องของซิ่นเฉิงอีก
ซิ่นเฉิงถูกนำมาพักในเรือนใหญ่ แม้คราแรกจะดื้อแพ่ง ไม่ยอมมา แต่สุดท้ายก็ต้องยินยอมด้วยร่างกายร้อนรุ่มเสียจนอ่อนล้า อีกทั้งอวัยวะบุรุษเพศกลางลำตัวก็เอาแต่ชูชันไม่มีท่าทีสงบ การแยกออกจากเรือนนอนของคนรับใช้มาอยู่อย่างส่วนตัวเห็นทีจะเป็นการดีกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นประสงค์ของเทียนอี้ที่หมายจะให้ซิ่นเฉิงได้ปลดปล่อยตนเองเป็นการส่วนตัว
ทว่า... ความหยิ่งผยองอันโง่เขลาของซิ่นเฉิงที่เกรงว่าจะเป็นที่หมิ่นศักดิ์ศรีให้เทียนอี้ได้พูดถึงชั่วลูกชั่วหลานว่าปราบพยศเขาได้เพราะกำหนัดที่ก่อเกิดอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ซิ่นเฉิงจึงไม่แม้แต่จะแตะต้องกลางลำตัว ทำเพียงนอนนิ่งๆ ปล่อยให้ความร้อนในกายเผาผลาญเสียจนเหงื่อกาฬไหลพรากตลอดทั้งวัน
อาการมาแย่ลงในตอนตะวันลาลับ ช่วงหัวค่ำก็พอจะกัดฟันทนได้ แต่เมื่อคล้อยเข้าสู่กลางดึก ซิ่นเฉิงก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป หายใจหอบหนัก จังหวะการหายใจขาดช่วง คล้ายกับทุรนทุรายจะขาดใจตายให้จงได้ เขาเกือบจะเผลอใช้มือปลดเปลื้องตนเองอยู่แล้ว หากแต่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น เพราะมือกำผ้าห่มไว้เสียแน่น
ไม่มีวัน...อย่างไรก็ไม่มีวันจะทำเรื่องอย่างนั้นในจวนของเทียนอี้เป็นอันขาด!
เสียงร้องดังอือๆ ลอยมาให้เจ้าของจวนซึ่งนั่งอยู่ในห้องหนังสืออย่างเช่นทุกวันรำคาญอยู่ไม่น้อย แม้ห้องที่ให้ซิ่นเฉิงพัก กับห้องหนังสือจะไกลกันพอควร แต่ด้วยความที่ประสาทสัมผัสไว เทียนอี้จึงได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน อีกทั้งกลิ่นกายของซิ่นเฉิงซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวก็ลอยคละคลุ้งปะปนมาในอากาศอีก ทำเอาเทพอสูรจำต้องปิดตำราลง แล้วก้าวออกจากห้องนั้น เดินไปตามทางกระทั่งถึงยังห้องของมนุษย์หนุ่ม
มือหนาผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่ร้องขออนุญาต ครั้นประตูเปิดก็เห็นซิ่นเฉิงนอนพลิกตัวไปมาอย่างทรมาน เทียนอี้พ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังจะดื้อรั้นอีก...
บ่นในใจขึ้นมาด้วยระอา ก่อนจะหันไปปิดประตูลงดาล จากนั้นก็ก้าวเข้ามาทรุดนั่งที่ปลายเตียงด้วยความเงียบเชียบ มองซิ่นเฉิงที่ซุกใบหน้าลงกับผ้าห่มผืนบางครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้น
“เจ้าต่อต้านฤทธิ์ของสมุนไพรนี่ไม่ได้หรอก วางทิฐิลงแล้วทำสิ่งที่ควรทำเถิด”
ซิ่นเฉิงละใบหน้าจากผ้าห่ม หันไปมองก็เห็นมนุษย์ครึ่งสุนัขป่าทอดสายตามองเขาอยู่ เขาไม่ตอบรับคำพูดเมื่อครู่ นอกจากย่นคิ้วแล้วปั้นสีหน้าหงุดหงิดใส่เท่านั้น
“เจ้าเข้ามาทำไม”
“มาดูอาการของเจ้า” เทียนอี้ตอบรับตามตรง
“ข้าไม่ต้องการ!” ซิ่นเฉิงก็ปฏิเสธตามตรงเช่นกัน
ทว่าก็ไม่สามารถไล่เทียนอี้ออกไปได้ เทพอสูรจ้องมองอยู่อีกครู่ เมื่อหลุบสายตาลงต่ำและเห็นว่าระหว่างขาของมนุษย์หนุ่มตรงหน้ามีอาการตอบสนองต่อฤทธิ์ของสมุนไพรนั้น เขาก็เอ่ยขึ้น
“สิ่งที่เจ้าลักลอบกินเข้าไป มันคือว่านที่มีชื่อว่า ‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’ เป็นยาปลุกกำหนัดชั้นดีที่จะทำให้เจ้ามีอาการเช่นนี้ไปจวบจนครบเจ็ดวัน”
คราวนี้ซิ่นเฉิงประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงได้ร้อนรุ่มกายและหว่างขามากเป็นพิเศษอย่างนี้ ก่อนที่เขาจะปั้นใบหน้าขมึงทึงออกมา
“เจ้าหลอกให้ข้ากินมัน”
“เจ้าหยิบไปกินเอง”
“หากเจ้าไม่บอกว่าห้ามเปิด ข้าก็ไม่เปิดไปฉกชิงมันเข้าปากหรอก!”
โทษว่าเป็นความผิดของเทียนอี้อีก แต่ก็นั่นแหละ หากเทียนอี้บอกให้ไปซ้าย ซิ่นเฉิงก็จะไปขวา ถ้าสั่งห้ามก็จะทำ เป็นอย่างนี้แล้วจะโทษว่าความผิดใครดีล่ะ?
“เพราะเจ้าโง่เขลา” เทียนอี้ว่าเนิบๆ ให้คนฟังได้กัดฟันกรอด
“เจ้า…!”
“หากเจ้าจะมาต่อล้อต่อเถียงกับข้า เจ้าเอาเวลาไปคิดใคร่ครวญจะดีกว่าว่าควรทำอย่างไรกับร่างกายเจ้าดี” เทียนอี้ขัดขึ้นเสียก่อน อีกทั้งยังพูดพลางปรายตาลองไล่ลงต่ำไปยังเนินนูนใต้ร่มผ้าของคนตรงหน้า
ซิ่นเฉิงมองตามก็รู้ดีว่าสายตาของเทียนอี้จับจ้องอยู่ที่ใด เท่านั้นก็พลิกตัวตะแคง หนีบขาแน่นด้วยไม่ต้องการให้อีกฝ่ายจ้องมอง
“ออกไปประเดี๋ยวนี้!”
“ข้าจะออกก็ต่อเมื่อเจ้าปลดเปลื้องตนเองเสร็จสิ้นแล้วครั้งหนึ่ง”
คำพูดนั้นทำเอาซิ่นเฉิงย่นหน้ายู่ทันที ก็ใช่ว่าเทียนอี้อยากจะดูอีกฝ่ายกระทำเรื่องส่วนตัวระบายกำหนดอะไรอย่างนั้นหรอก แต่เพื่อความแน่ใจว่าซิ่นเฉิงทำจริงๆ เขาจะต้องอยู่ดูจนกว่าจะเริ่มและสิ้นสุดลง ก่อนจะให้เหตุผลเพิ่มเติมเมื่อเห็นสายตาทิ่มแทงของซิ่นเฉิงมองมา
“เจ้าจะต้องระบายความร้อนในกายออกมา ไม่เช่นนั้นธาตุหยินหยางของเจ้าจะไม่สมดุล ถึงคราวนั้น เจ้าจะป่วยไข้จริงๆ ได้”
“ถ้าจะป่วยก็ปล่อยให้มันเป็นไป ข้าไม่ทำเรื่องนั้นในจวนของเจ้าเป็นอันขาด”
ก็พอจะรู้ว่าซิ่นเฉิงจะต้องดื้อแพ่ง แต่เทียนอี้มีวิธีรับมือในใจอยู่แล้ว
“หากเจ้าพร้อมจะเสียวรยุทธไปก็ตามแต่ใจเจ้า เพราะเมื่อธาตุหยินหยางของเจ้าไม่สมดุล ร่างกายของเจ้าก็จะเสื่อมถอย สมุนไพรนี้แม้จะเป็นโอสถปลุกกำหนัด แต่ก็มีโทษอยู่ไม่น้อย ข้าคงจะเตือนเจ้าได้เพียงเท่านี้”
โกหก... หากยังเป็นเทพอยู่ เทียนอี้คงได้ถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษในฐานพูดเท็จอย่างแน่นอน แต่มันกลับได้ผลเมื่อคำว่า ‘เสียวรยุทธ’ ดังเข้าหูของซิ่นเฉิง เขาเบิกตากว้างทันใด
“เจ้ามัน...”
“จะทำหรือไม่?”
ก่อนจะถูกบริภาษ เทียนอี้ก็ถามสวนมาแล้ว
ซิ่นเฉิงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงจะต้องยอมเสียศักดิ์ศรีดีกว่าเสียวรยุทธ เพราะถ้าเสียวรยุทธไป เขาคงจะหนีกลับทะเลทรายที่เขารักไม่ได้ ที่ผ่านมาเคยคิดไว้ว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอมทำเรื่องน่าอายอะไรนั่น ตอนนี้ซิ่นเฉิงลืมไปสิ้นแล้ว
“เจ้ามันบัดซบ...”
ก็ยังจะบริภาษอมนุษย์ตรงหน้าอยู่ดี แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะทำตามที่เทียนอี้บอก เขาพลิกตัวกลับมานอนหงาย มือข้างหนึ่งเอื้อมไปตรงช่วงล่างของลำตัว หมายจะปลดสายเชือกรัด ทว่าเรี่ยวแรงที่สูญหายไประหว่างวันทำให้มือของเขาสั่นเทาเสียจนแทบควบคุมไม่ได้ ขยับไปทางใดก็ไม่เป็นไปดั่งใจนึก จนซิ่นเฉิงต้องผรุสวาทออกมาอีก
“บัดซบเอ๊ย”
เทียนอี้เห็นความทุลักทุเลนั้นแล้วก็หน่ายใจ ถอนหายใจออกมา ก่อนจะขยับเข้าช่วยเหลือ
“ให้ข้าช่วย”
“ไม่ต้อง...”
ไม่ทันแล้ว... แค่สิ้นเสียงของตนเอง เทียนอี้ก็เอื้อมมือไปกระตุกกางเกงของอีกฝ่ายออกจากลำตัว เมื่ออาภรณ์เผยเรือนกาย ความเป็นบุรุษเพศก็ชูชันให้เห็น
เทพอสูรมองอีกฝ่ายที่หน้าม้านด้วยความอับอายเล็กน้อย เห็นว่ายังไม่ทำอะไรสักทีจึงเอ่ยปากถาม
“จะต้องให้ข้าช่วยเจ้าปลดเปลื้องด้วยไหม”
ถามออกไปอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะพูดเล่นหรอกนะ เขาพูดจริง เพราะอันที่จริง เขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมนุษย์หนุ่มตรงหน้า แต่ก็หาได้เอ็นดูเป็นพิเศษ เพียงแต่ตั้งใจจะปราบพยศอย่างใจเย็นเท่านั้น
ทว่าซิ่นเฉิงก็ตอบด้วยคำตอบเดิมอีก... “ไม่...”
“ข้าช่วย”
ไม่ได้ฟังกันเลย...
ใช่ว่าเทียนอี้จะไม่รู้ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ แต่เขาพินิจดูแล้ว ซิ่นเฉิงไม่น่าจะปลดเปลื้องตัวเองด้วยมือไม่ไหว ดังนั้นเทียนอี้จึงไม่รีรอที่จะเอื้อมมือไปกอบกุมท่อนเนื้อแข็งขึงตรงหน้า
ซิ่นเฉิงเบิกตาโตด้วยความตกใจ จะอ้าปากก่นด่าอยู่แล้ว ทว่าความเสียวกระสันก็พร่างพรายไปทั่วร่างเสียก่อนเมื่อไอร้อนจากฝ่ามือของคนตรงหน้าแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“เจ้าอดกลั้นมาหลายชั่วยาม ข้าคิดว่าคงจะใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา” เทียนอี้ว่าเสียงเรียบให้ซิ่นเฉิงได้ปั้นสีหน้าน่ากลัวใส่
ยังจะมีหน้ามาพูดอีก!
แล้วสีหน้านั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อเทียนอี้เริ่มขยับมือ ความหวามไหวแล่นพล่านไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ซิ่นเฉิงกำผ้าห่มแน่น ปลายเท้าจิกเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จังหวะการหายใจจะเริ่มแรงขึ้นทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งริมฝีปากหนาก็ยังมีเสียงอือออเล็ดลอดออกมาอย่างสุดจะกลั้น
ช่างเป็นสถานการณ์ที่ชวนให้ซิ่นเฉิงกระอักกระอ่วนเสียจริง...
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถึงจุดสุขสมเมื่อความอดกลั้นตลอดทั้งวันทะลักออกมาเป็นสาย ซิ่นเฉิงรู้สึกราวกับร่วงหล่นจากผืนฟ้า บั้นเอวกระตุกลอยขึ้นเหนือฟูกนอนเล็กน้อย ก่อนที่จะหายใจหอบโยนเมื่อไอร้อนในร่างกายพอจะทุเลาลงได้บ้าง
เทียนอี้มองคราบแห่งความอภิรมย์ที่เปรอะเปื้อนมือและเส้นขนของเขาเล็กน้อย ก่อนจะกวาดมองหาผ้ามาเช็ด ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อกลิ่นของความสุขสมจากซิ่นเฉิงทำให้ร่างกายของเขาปั่นป่วนขึ้นมาบ้าง อย่างที่รู้กันว่าเขามีประสาทสัมผัสที่ไวทั้งการฟังและการได้กลิ่น เมื่อจมูกสัมผัสกับกลิ่นเย้ายวนทางกามารมณ์ เขาก็ร้อนรุ่มในกายขึ้นมา พลันในหัวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่เขาเผชิญอยู่นั้น มันคือ... อาการติดสัด
เป็นที่น่าสังเวชนักสำหรับเหล่าเทพอสูรที่มีปฏิกิริยาไวต่อกลิ่นเย้ายวนทางเพศ ต่างจากตอนเป็นเทพที่ไร้ซึ่งความต้องการใดๆ ด้วยมีตบะแก่กล้าจนสามารถละทิ้งเรื่องทางโลกได้ แม้จะไม่ได้ดื่มกินสมุนไพรเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีเข้าไปแท้ๆ แต่พอได้กลิ่นของซิ่นเฉิงแล้วมันก็...
อดใจไม่ไหวจนเผลอแลบลิ้นออกมาเลียปลายนิ้วซึ่งมีของเหลวสีขาวขุ่นเล็กน้อย ซิ่นเฉิงเห็นก็ขมวดคิ้วเป็นปม
“ทำอะไรของเจ้า”
เทียนอี้เหลือบมอง เห็นสายตาข้องใจก็ตอบเสียงเรียบ
“ชิมรสชาติของเจ้า”
เรียวคิ้วของซิ่นเฉิงแทบจะหลอมรวมเป็นแนวเดียวกันอยู่แล้ว
“เจ้า...เจ้าว่าเจ้าทำอะไรนะ”
เทียนอี้หยุดเลียปลายนิ้ว ขยับกายเข้าใกล้และโน้มใบหน้าลงต่ำไปสูดคมซอกคอของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ ไออุ่นจากลมหายใจที่คลอเคลียอยู่ข้างๆ ลำคอชนิดไม่ทันตั้งตัวทำเอาซิ่นเฉิงพรึงเพริดกับสิ่งที่เกิดอยู่มากทีเดียว ก่อนที่จะโวยวายออกมาเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนจมูกเปียกชื้นมาสูดดมที่หูของเขา
“เจ้าทำอะไร!”
“ข้ากำลังครุ่นคิดว่ากลิ่นหอมหวานนี้มาจากส่วนไหนของร่างกายเจ้ากัน”
เป็นการตอบที่ราบเรียบมาก แต่หารู้ไม่ว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเทียนอี้เต้นรัวเร็วเสียเหลือเกิน เขาไม่เคยมีอาการนี้กับสตรีคนใด ไม่เว้นแม้แต่บุรุษใดด้วย แม้จะเคยได้กลิ่นคาวกามาจากมนุษย์เพศชายอยู่บ้าง แต่ก็หาได้มีกำหนัด อยากลิ้มชิมรสอะไรอย่างนี้ ทว่ากับซิ่นเฉิงแล้วช่างน่าแปลกนัก เขาเกิดอยากจะสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้
“จะส่วนไหนก็หาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องสนใจไม่ ออกไปได้แล้ว อึ้ก...”
ซิ่นเฉิงโวยวาย แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเทียนอี้ไม่ได้ฟัง อีกทั้งยังแลบลิ้นเลียที่ปลายหูของเขาอย่างแผ่วเบา ความกำหนัดที่ทุเลาลงไปเมื่อครู่รวมตัวกันอีกครั้งคล้ายพายุฝนที่กำลังตั้งเค้า อวัยวะความเป็นชายที่อ่อนนุ่มลงไปแล้วแข็งขืนขึ้นมาอีกระลอก คราวนี้เองที่กลิ่นหอมเย้ายวนพวยพุ่งมาแตะจมูกของเทียนอี้
กลิ่นนั้น...มาจากอารมณ์กำหนัดของซิ่นเฉิงนั่นเอง
แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องไม่สมควร อดีตเขาเคยเป็นเทพ ไม่ควรสนใจเรื่องกิเลสตัณหา แต่ด้วยความที่กลายมาเป็นเทพอสูร ถ้าไม่นับเรื่องรูปร่างอัปลักษณ์ เขาก็มีกิเลสเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ ดังนั้นการจะให้อดทนต่อสิ่งยั่วยวนตรงหน้านั้นช่างเป็นไปได้ยาก
สักครั้งคงไม่เป็นไร...
เทียนอี้บอกกับตัวเองที่หน้ามืดเช่นนั้น ก่อนจะตวัดปลายลิ้นลากไล้ไปตามผิวหนังอุ่นร้อนของคนใต้ร่างตั้งแต่ใบหู ซอกคอ และแนวกระดูกไหปลาร้า
ซิ่นเฉิงที่ต่อต้านเมื่อครู่เกร็งตัวแข็ง เขาพยายามที่จะเอ่ยห้าม
“ยะ...หยุด...”
แต่เมื่อเทียนอี้เลื่อนตัวต่ำลงไปยังแผ่นอก และแลบลิ้นเลียไปยังตุ่มไตเม็ดเล็ก คำพูดที่หลุดออกจากปากเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงครางกระเส่าอย่างพึงใจ
ความเสียวซ่านช่างเป็นน้ำเมาที่ทำให้เขาลุ่มหลงได้ง่ายดายนัก...
ตกเป็นท่อนไม้ให้เทียนอี้ได้ลูบคลำตามใจ เทพอสูรเห็นว่าแค่ชิมรสด้วยปลายลิ้นคงยังไม่พอ เขาจึงขบเม้มยอดอกเข้าไปด้วยอีก เท่านั้นร่างของซิ่นเฉิงก็กระตุกเฮือก เมล็ดพันธุ์เล็กๆ สีชมพูอมน้ำตาลตามสีผิวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ดูเหมือนเทียนอี้จะชื่นชอบส่วนนี้มากเป็นพิเศษ วุ่นวายชิมรสอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะเคลื่อนกายลงต่ำ จูบไล่ไปตามหน้าท้องแกร่งกระทั่งถึงยังส่วนกลางของลำตัว
บัดนี้มันแข็งขึงเต็มที่... เทียนอี้ใช้มือรูดรั้ง หยาดน้ำสีขาวใสเอ่อปริ่มยังส่วนยอด ก่อนปลายลิ้นอุ่นร้อนจะตวัดเลีย ไอร้อนจากลมหายใจและปากของเทพอสูรทำเอาซิ่นเฉิงปั่นป่วนสับสนไปหมด ในหัวของเขามีแต่การต่อต้าน ในขณะที่ร่างกายกลับตอบรับสัมผัสนั้นอย่างยินดี ครั้นถูกเทียนอี้ขบเม้ม เขาก็แอ่นสะโพกรับเสียอย่างนั้น
ทุกอย่างช่างไม่เป็นไปอย่างที่เขานึกคิดไว้เสียเลย...
เทียนอี้เองก็เช่นกัน หลายครั้งหลายคราทีเดียวที่สมองสั่งการให้เขาหยุดด้วยคำนึงได้ถึงความผิดชอบชั่วดี กระนั้นก็ไม่อาจละใบหน้าออกจากการชิมรสโอชาของมนุษย์หนุ่มได้ ยังคงเลียไล้จนแก่นกายของซิ่นเฉิงชุ่มฉ่ำ มอบความหวามไหวชวนอภิรมย์ให้อีกฝ่ายราวกับรักใคร่เสียเต็มประดา ทั้งที่จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากอารมณ์กำหนัดอย่างเดียวเท่านั้น
ถูกปรนเปรอไม่หยุดยั้ง ซิ่นเฉิงก็ถึงฝั่งฝันอีกระลอก ธาราแห่งความสุขสมไหลทะลัก เทียนอี้กลืนกินเสียสิ้น ในใจก็คิดไปว่ารสชาติของคนทะเลทรายผู้นี้ช่างหวานหอมเสียจริง ก่อนจะผละออกมามองหน้าของซิ่นเฉิงที่แดงก่ำ หายใจกระหืดหอบ มองเขาด้วยสายตายั่วยวนอยู่
สายตายั่วยวน... จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดนัก ดวงตาสีนิลดูลึกลับนั่นช่างฉ่ำหวาน ยิ่งอีกฝ่ายปรือตาด้วยแล้ว ก็ทำให้คนมองหลงเอ็นดูไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็ได้สติเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะได้กระทำการไม่คาดฝันอีกครั้งเป็นแน่
“พักผ่อนเสีย ได้ปลดเปลื้องถึงสองครั้ง ราตรีนี้เจ้าคงจะหลับสบายขึ้น” เทียนอี้ว่า ผุดลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปยังประตู ก่อนจะชะงักฝีเท้า หันมามองเล็กน้อย “พรุ่งนี้เจ้าก็ไม่ต้องไปช่วยงานใดๆ พักผ่อนจนกว่าจะครบเจ็ดราตรี ฤทธิ์ของสมุนไพรจางหายไปเมื่อไร เจ้าค่อยออกจากห้องนี้ ข้าจะให้พ่อบ้านเหลียงส่งคนมาดูแล”
พูดเสร็จก็ผลักบานประตูออกไป ปล่อยให้ซิ่นเฉิงมองด้วยความเจ็บแค้นแทบสิ้นสติเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนหลงเผลอไผลไปกับสิ่งใด
เจ้าอมนุษย์! หยามเกียรติข้าเช่นนี้ เห็นทีเจ้ากับข้าจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เสียแล้ว!
*******************
ท่านเทพนี่เนียนเชียวนะเจ้าคะ
ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นไซบีเรียนฮัสกี้มั้ยเนี่ย 55
ตอนนี้ว่าเด็ดแล้ว ตอนหน้ายิ่งเด็ดค่ะ
ขอกำลังใจให้นายน์ด้วยนะ ไปกดไลก์ที่เพจได้
ไว้ไปพูดคุยกันค่ะ
https://goo.gl/GAWFoz