►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 94647 ครั้ง)

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
รอตอนต่อไปจ้า :L2:

ออฟไลน์ backforred

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao5: ค้างอ่า มาต่อไวๆนะ
 :katai1: :hao5: :katai1:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
จะหาวิธีไหนมาปราบน่ะ

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[1]

คำสั่งของเทียนอี้มีผลในอรุณรุ่ง ซิ่นเฉิงที่ถูกคนรับใช้คนหนึ่งมาปลุกให้ลุกจากฟูกนอนแต่เช้าออกอาการหัวเสียอย่างรุนแรง เขาอยากจะอาละวาดให้โรงนอนพังนัก คิดว่าเขาเพิ่งได้นอนเมื่อไรกัน ถึงได้กล้ามาปลุกทั้งที่เขายังหลับอุตุอย่างนี้!?

ทว่านั่นก็เป็นความผิดของเขาเอง เทียนอี้ได้บอกแล้วว่ารุ่งเช้าวันใหม่จะให้คนมาตามตัวไปพบที่ลานกว้างของจวน หากแต่ซิ่นเฉิงก็มัวแต่อารมณ์เสียด้วยเหตุที่สู้เทียนอี้ไม่ได้จนต้องระบายอารมณ์ลงกับสวนในจวนของเทียนอี้จวบจนรุ่งสาง กลับเข้ามานอนเมื่อร่างกายรู้สึกเหนื่อยอ่อน หลับไปเพียงครู่ก็ต้องตื่นด้วยถึงกำหนดการที่อีกฝ่ายได้บอกเอาไว้

กระนั้นซิ่นเฉิงก็หาได้รู้สึกว่านั่นเป็นความผิดของตน นอกเสียจากรำคาญใจที่ชีวิตของเขาถูกกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมา

ถ้าหากว่าไม่เป็นเพราะต้องแลกชีวิตของเขากับพี่น้องในเผ่า เขาก็ไม่มีวันที่ตกเป็นทาสของเทพอสูรอย่างแน่นอน!

เจ้าสุนัขป่านั่น... ชักจะได้ใจมากไปเสียแล้ว!

ประโยคนี้ควรเป็นเทียนอี้มากกว่า การรับซิ่นเฉิงมาอยู่ในจวนก็เท่ากับว่าหาเสี้ยนหนามมาตำนิ้วตนเอง มาอยู่ได้ไม่กี่ราตรีก็สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งจวน ไม่เพียงแต่พ่อบ้านเหลียงเท่านั้นที่ไปฟ้องเขาเรื่องความเกเรของคนทะเลทรายผู้นี้ ยังจะมีเหล่าทหารและคนรับใช้ซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกันอีกด้วย นั่นเป็นเพราะซิ่นเฉิงไม่สนใจฟังผู้ใดทั้งนั้น

ไม่ใช่เพราะว่าต่อต้านเทพอสูรหรอก แต่เป็นไปเพราะอุปนิสัยดื้อด้านที่ติดตัวของชายหนุ่มผู้นั้นเสียมากกว่า

สำหรับซิ่นเฉิงแล้ว ถึงจะรำคาญใจเพียงใดก็จำต้องมาที่ลานกว้างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะคราแรกที่ให้คนรับใช้ด้วยกันไปตาม เขาแผดเสียงใส่ ทำท่าคล้ายจะทำร้ายจนอีกฝ่ายหนีเตลิดเปิดเปิงเพื่อนอนต่อ ไม่นานนัก พ่อบ้านเหลียงก็จัดการพาทหารเทพอสูรมาลากตัวออกจากโรงนอนไปยังลานกว้างอย่างไม่สนใจเสียงโวยวายทัดทานใดๆ

หากท่านแม่ทัพเทียนอี้ไม่ใช้ไม้แข็ง พ่อบ้านเหลียงผู้นี้นี่แหละจะเป็นผู้ลงมือเอง!

สุดท้ายแล้ว ซิ่นเฉิงก็มายืนอยู่กลางลานกว้างของจวนจนได้ บริเวณกลางจวนนั้นมีโต๊ะและเก้าอี้ พร้อมเครื่องถ้วยชาตั้งอยู่ ใกล้กันนั้นปรากฏร่างอมนุษย์ของเทียนอี้ เขารินชาลงถ้วยใบเล็กก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่รออยู่มาหยุดยืนตรงหน้า

“มาแล้วหรือ?”
“เห็นข้าอยู่ตรงหน้า เหตุใดจึงต้องถาม” ซิ่นเฉิงสวนกลับทันควัน

พ่อบ้านเหลียงส่งสายตาดุดันให้ แต่ก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงระงับอารมณ์หงุดหงิดได้
“มองหน้าข้าเช่นนี้ จะฉีกเนื้อข้าเป็นชิ้นๆ หรืออย่างไรเจ้าจระเข้เฒ่า”
“หากทำได้ ข้าคงไม่รีรอ” พ่อบ้านเหลียงอดไม่ได้ที่จะสวนกลับ

เทียนอี้ย่นหน้าผากเล็กน้อยที่เห็นคนสนิทซึ่งปกติจะเป็นคนสุขุม ต่อล้อต่อเถียงกับมนุษย์หนุ่มผู้ซึ่งดูจะอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดเวลา ครั้นพ่อบ้านเหลียงเหลือบเห็นสายตาเชิงตำหนิ เขาก็ปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยใดๆ ปล่อยให้ซิ่นเฉิงเดินไปมาด้วยท่าทางโอหัง

“เรียกข้ามา หรือจะให้ข้ามาประลองกับเจ้า?”

ที่พูดเช่นนั้นเป็นเพราะซิ่นเฉิงเห็นว่าลานกว้างหน้าจวนนั้นหาใช่ลานกว้างธรรมดาอย่างเช่นจวนอื่นๆ แต่อย่างใด ทว่าเป็นลานสำหรับการประลองยุทธ รอบข้างมีอาวุธมากมายแขวนเรียงรายอยู่ อีกทั้งยังมีทหารเทพอสูรซึ่งดูแล้วน่าจะตำแหน่งสูงกว่าเหล่าทหารเวรยามอีกหลายนายยืนอยู่ไม่ห่าง

เทียนอี้พยักหน้ารับ ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ข้าเป็นว่าเจ้ามีเรี่ยวแรงมากมาย อีกทั้งยังมีวรยุทธ หากใช้ให้เจ้าทำงานเช่นคนรับใช้อื่นๆ ในจวน เจ้าคงจะทำลายจวนข้าอีกเป็นแน่ ข้าจึงให้เจ้ามาใช้กำลังที่นี่แทน”

เป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งที่ซิ่นเฉิงคิดไม่ได้ผิดคาดไป โดยปกติแล้ว ลานประลองแห่งนี้จะถูกใช้งานในทุกเช้าเพื่อให้เหล่าทหารได้ฝึกปรือฝีมือวรยุทธที่มีติดตัว ในวันหนึ่งๆ จะมีการจัดชุดทหารให้มาผลัดเปลี่ยนมาประลองกันเป็นเวลาสองชั่วยาม จากนั้นถึงจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ เมื่อถึงวันใหม่ ทหารชุดใหม่ก็จะเข้ามาฝึกปรือ ขณะที่เทียนอี้มีหน้าที่สังเกตการณ์และคอยชี้หาจุดบกพร่องให้ทหารแต่ละนาย เหตุที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะตั้งแต่ที่ถูกขับไล่ลงมาอยู่ยังโลกมนุษย์จนกลายเป็นเทพอสูร วรยุทธใดๆ ที่ติดตัวไว้เมื่อครั้งเป็นเทพก็เริ่มเสื่อมถอยด้วยไม่ได้ใช้งานเหมือนครั้งที่ยังอยู่ในกองทัพสวรรค์ การให้ทหารได้มาประลองกันในทุกเช้าก็เพื่อให้ไม่หลงลืมว่าเคยเป็นเทพที่โลดแล่นในสนามรบมาก่อน ไม่เช่นนั้น หากวรยุทธเสื่อมถอยก็จะกลายเป็นเพียงเทพอสูรที่กลายเป็นแค่พ่อค้าร้านตลาดอย่างเทพอสูรบางตนที่เห็นได้โดยทั่วไป ถึงแม้วรยุทธจะไม่ได้สูญหาย แต่ก็ไม่สามารถออกรบได้อย่างเต็มกำลังเฉกเช่นหลายร้อยปีก่อนแล้ว

ทว่าซิ่นเฉิงก็หาได้คิดสนใจใคร่ถาม ได้ยินเทียนอี้ตอบอย่างนั้นก็แสยะยิ้มพราย
“กลัวข้าทำลายจวนของเจ้า หรือกลัวข้าจะถอนขนของเจ้าจนหมดตัวกันแน่?”
ว่าพลางเหลือบมองไปยังลำคอของเทียนอี้ซึ่งขนหายไปกระจุกหนึ่ง พ่อบ้านเหลียงที่ทักผู้เป็นนายแต่เช้าเพราะสังเกตเห็นความผิดปกติตระหนักได้ตอนนี้เองว่าขนของเทียนอี้หายไปเพราะฝีมือของผู้ใด

เทียนอี้ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงนักหรอก ใช่ว่าเขาเกรงว่าจะถูกมนุษย์ผู้นี้ถอนขนด้วย เขาแค่ไม่อยากให้ซิ่นเฉิงก่อเรื่องวุ่นวายให้คนอื่นๆ ในจวนมากกว่า

“หากเจ้ามัวแต่จะพูดพร่ำ ก็จงเลือกอาวุธแล้วมาประลองกับทหารของข้าให้ข้าได้ชมเสียดีกว่า”

สิ้นเสียงของแม่ทัพเทพอสูร ทหารนายหนึ่งก็เดินไปหยิบอาวุธที่ราวมากระชับถือในมือ ซิ่นเฉิงมองปราดไปเห็นอีกฝ่ายซึ่งมีศรีษะเป็นเสือโคร่ง ก็เข้าใจได้ทันทีว่านั่นแหละคือคู่ประลองของเขาที่จะต้องปะมือด้วย เท่านั้นก็ปรายตาเลือกหาอาวุธของตนเองบ้าง หากแต่อาวุธใดๆ ก็ดูแล้วจะไม่ถนัดมือเขาทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าเขาจะใช้ดาบ กระบี่ ทวนหรือหอกไม่เป็น แต่มือเขาคุ้นเคยกับอาวุธชนิดหนึ่งมากกว่า

เทียนอี้เห็นมนุษย์หนุ่มใช้เวลาในงานเลือกค่อนข้างนานก็พอจะรับรู้ได้ ยกมือขึ้นไหวๆ เล็กน้อย ทหารนายหนึ่งก็นำห่อผ้ามาวางไว้บนโต๊ะให้ ครั้นคลี่ออกมาก็ปรากฏดาบวงพระจันทร์อยู่คู่หนึ่ง มันไม่ใช่ดาบประจำกายของซิ่นเฉิงที่ถูกริบไปเมื่อครั้งที่บุกจวนเข้ามา แต่ก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธที่เขาถนัดที่สุดแล้ว

“รับไปสิ เจ้าคงจะถนัดมือกับอาวุธนี้”

ได้ยินเทียนอี้พูด ซิ่นเฉิงก็ไม่อยากจะตอบรับหรอก แต่เขาไม่อยากจะเสียหน้าเพราะต้องแพ้เทพอสูรในการประลองมากกว่า ไม่ว่าเทพอสูรหน้าไหน เขาก็ไม่ต้องการพ่ายแพ้ทั้งนั้น พลันเดินเข้าไปคว้าดาบขึ้นมาไว้ในมือเล่มละข้างโดยไม่ได้รอให้เทียนอี้อนุญาตก่อน หรือขอบคุณแต่อย่างใด คว้าเสร็จก็เดินกลับไปยังจุดที่เดินมา ท่าทางกระด้างกระเดื่องนั้นสร้างความเวียนศีรษะให้กับพ่อบ้านเหลียงเสียเหลือเกิน

วิธีนี้จะปราบพยศได้จริงๆ น่ะหรือ?

“กฎของการประลองมีอยู่เพียงสามข้อ ข้อแรก...ห้ามให้ถึงตาย ข้อสอง...เมื่ออีกฝ่ายยอมแพ้ ต้องหยุดมือ และข้อสาม...ห้ามขุ่นเคืองกันไม่ว่าผลการประลองจะออกมาเป็นอย่างไร หากข้าได้ยินว่าผู้ใดหมางใจกันจนก่อเรื่องนอกลานประลอง ข้าจะลงโทษขั้นเด็ดขาด” เทียนอี้ว่า จากนั้นก็ทอดสายตามองมายังซิ่นเฉิงที่ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไร “เข้าใจใช่ไหม เจ้าแมวป่า”
“เข้าใจแล้ว เจ้าหมา” อีกฝ่ายตอบรับยอกย้อน น้ำเสียงฟังดูยียวนมากทีเดียว

พ่อบ้านเหลียงที่เห็นเหตุการณ์ ยิ่งมองก็ยิ่งขุ่นใจ เขาจะกัดลิ้นตายเพราะเห็นผู้เป็นนายเมตตาคนไม่รู้จักกาลเทศะให้ได้แล้ว!

อ้อ...ลืมไป เขาคงกัดลิ้นตายไม่ได้... จระเข้ไม่มีลิ้น

ถ้าอย่างนั้น เขาคงต้องปวดหัวกับความใจดีของเทียนอี้และความเกเรของซิ่นเฉิงไปอีกพักใหญ่เลยกระมัง...

เสียงสัญญาณดังขึ้นเป็นการบอกให้เริ่มการประลองได้ ซิ่นเฉิงแกว่งมีดในมือไปมาอย่างคล่องแคล่ว ย่อตัวลง ค่อยๆ ก้าวอย่างเชื่องช้า ท่าทางคล้ายกับแมวป่าเตรียมสู้ไม่มีผิด ในขณะที่เทพอสูรเสือโคร่งเองก็ตั้งท่ารับ สายตาจับจ้องไปยังมนุษย์หนุ่มเขม็ง
อาวุธของเทพอสูรตรงหน้าคือกระบี่ แสดงว่าเขาก็ต้องคล่องแคล่วไม่แพ้กันถึงได้ใช้อาวุธชนิดนี้ได้ อีกทั้งยังเป็นเสือโคร่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะว่องไวเพียงใด แต่นั่นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงหวั่นใจเท่ากับการตระหนักได้ถึงพละกำลังมหาศาลของเทพอสูรที่เขารู้ตัวดีว่าไม่อาจต่อกรได้หากใช้เวลานาน เขาจะต้องจบการประลองด้วยเวลาที่สั้นที่สุด ดังนั้นการโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายคือสิ่งที่ควรกระทำ

ซิ่นเฉิงตัดสินใจได้ก็หลอกล่อให้คู่ประลองพุ่งเข้าหาก่อน ในขณะที่ตนเองเป็นฝ่ายตั้งรับ นั่นก็เพื่อตรวจสอบดูว่าวรยุทธของเทพอสูรผู้นี้เป็นเช่นไร ครั้นมั่นใจแล้วว่าถึงจะว่องไวคล่องแคล่วเพียงใด แต่ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่พอๆ กับเทียนอี้ ก็ยังทำให้

เคลื่อนไหวได้ไม่ดีเท่าไรนัก จุดนี้เองที่ซิ่งเฉิงได้เปรียบ เริ่มปะมือกลับไปบ้าง

สองมือเหวี่ยงสะบัดดาบวงพระจันทร์ไปตรงหน้า ข้างหนึ่งตั้งรับคมกระบี่ อีกข้างกระหวัดฟาดฟันอีกฝ่าย ก่อนที่จะสบโอกาสเมื่อเทพอสูรเสือโคร่งพุ่งทะยานมาข้างหน้า หมายจะซัดเพลงกระบี่ใส่เขา เท่านั้นซิ่นเฉิงก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยขึ้นในอากาศ เท้าเหยียบเอาหัวไหล่แกร่งของอีกฝ่ายและพลิกตัวมานั่งคร่อมบนลำคอของคู่ประลองไว้ พลันดึงดาบในมือมาประสานไขว้บริเวณคอหอย คมดาบเย็นเยียบทำเอาเทพอสูรหยุดชะงัก ขณะที่ซิ่นเฉิงว่าอย่างกระหยิ่มใจ

“เจ้าแพ้แล้ว”

อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจำนน หากแต่การประลองยังไม่จบเท่านั้น หลังจากเทพอสูรที่มีเรือนกายครึ่งหนึ่งเป็นเสือโคร่งเดินออกจากลานประลองไป เทพอสูรตนใหม่ก็เข้ามาแทนที่ ดูท่าทางแล้ว เทียนอี้จะให้เขาได้ประลองเสียจนกว่าจะพ่ายแพ้และหมดแรงไปข้าง ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น เพราะการประลองในวันนี้เกินกว่าสองชั่วยามตามที่กำหนด ด้วยซิ่นเฉิงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อีกทั้งยังจับจุดอ่อนของเทพอสูรแต่ละตนและจัดการให้เสร็จสิ้นในเวลาชั่วพริบตา

เทียนอี้ชื่นชมเขาในไหวพริบนี้ ไม่แปลกใจนักว่าเหตุใดมนุษย์ที่มีอุปนิสัยอย่างซิ่นเฉิงถึงได้มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่น่าจะถูกสังหารตายไปตั้งนานแล้วเพราะความโอหัง นั่นเป็นเพราะเขาเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

ก็สมแล้วกับที่เป็นคนทะเลทราย

แม่ทัพเทพอสูรรำพึงในใจขณะที่สายตาจับจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มซึ่งบัดนี้หายใจกระหืดหอบหลังจากที่ต่อกรกับทหารเทพอสูรตนหนึ่งที่มีศีรษะเป็นหมี

ไม่เพียงแต่ศีรษะ รูปร่างเองก็ใหญ่โตดุจหมีเช่นเดียวกัน เทพอสูรตนนี้ค่อนข้างรับมือยากด้วยซิ่นเฉิงเริ่มอ่อนแรงแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายก็ใช้อาวุธหนักอย่างกระบองหนามเหล็ก หากแต่เพราะการเคลื่อนไหวค่อนข้างเชื่องช้า ในที่สุด ซิ่นเฉิงก็หาโอกาสปีนขึ้นไปนั่งคร่อมบนลำคอของอีกฝ่ายได้

ทุกครั้งที่เขาชนะ มักจะจบลงด้วยการปีนขึ้นไปนั่งขี่คอของคู่ต่อสู้อยู่ร่ำไป จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะจับเทพอสูรตัวเท่าภูเขาทุ่มลงพื้นได้นี่... ต้องใช้วิธีนั้นถึงจะถูกต้องแล้ว

เมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงจัดการคู่ต่อสู้รายล่าสุดได้ เทียนอี้ก็ไหวมือเป็นสัญญาณให้ทหารนายใหม่เข้าไป ซิ่นเฉิงเหลือบเห็นก็โพล่งขัด
“มัวแต่ให้สมุนของเจ้ามาประลองกับข้า แล้วเจ้าล่ะ ไยถึงไม่มาประลองกับข้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด หรือจะกลัวข้าถอนขนกัน ถึงได้ให้ผู้อื่นรับหน้าแทนเช่นนี้” ว่าพลางหายใจกระหืดหอบ

ทุกสายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่บัดนี้มีเหงื่อกาฬผุดพรายไปทั่วร่างทันที
“หึ กลัวจะกลายเป็นสุนัขป่าไร้ขนจริงๆ ล่ะสินะ”

เห็นเทียนอี้ไม่ตอบ ซิ่นเฉิงก็กลั้วหัวเราะ มือยกขึ้นเสยปอยผมตรงหน้าขึ้น เปิดให้เห็นหน้าผากกว้างและรูปหน้าเป็นสันคม เขาไม่รวบผม และไม่เคยรวบ ปล่อยให้เส้นผมที่ยาวถึงกลางหลังยุ่งเหยิงอย่างไม่ใส่ใจ จะว่าไปแล้วมันช่างดูขัดหูขัดตาพ่อบ้านเหลียงและเทพอสูรตนอื่นๆ เสียเหลือเกิน เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกว่ามนุษย์ผู้นี้ไร้ซึ่งอารยะ แต่สำหรับเทียนอี้แล้ว เขากลับมองว่านั่นเป็นความขบถที่ฝังแน่นอยู่ในสายเลือดของซิ่นเฉิง

“เจ้าจะมากเกินไปแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ชอบท่านแม่ทัพมากเพียงใด แต่เขาก็เป็นผู้ไว้ชีวิตพี่น้องของเจ้า!” พ่อบ้านเหลียงสุดจะทนกับท่าทางยโสของซิ่นเฉิง ครั้นคนถูกต่อว่าหันไปมองก็พูดขึ้นอีก “เจ้าคิดว่าตนเป็นใคร ถึงได้กล้าท้าทายท่านแม่ทัพเช่นนี้ มนุษย์เช่นเจ้าหาได้เกรงกลัวฟ้าดิน บุญคุณก็หาได้สำนึก คนอกตัญญูเช่นเจ้าช่างน่าตีให้ตายนัก”
“ก็ตีข้าสิ เจ้าจระเข้เฒ่า”

ไม่สำนึกจริงๆ เสียด้วย ยอกย้อนอย่างไม่ยี่หระ พ่อบ้านเหลียงเกือบจะพุ่งไปคว้ากระบองมาฟาดให้ตายดั่งคำท้าอยู่แล้ว เห็นเขาไม่ค่อยใช้กำลังแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นวรยุทธเสียหน่อย

ทว่า... ความคิดนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อผู้เป็นนายยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม จากนั้นก็ผุดลุกจากเก้าอี้ ก้าวมาตรงหน้าเล็กน้อย
“ในเมื่อเจ้าอยากจะประลองกับข้า ข้าก็จะให้เจ้าได้สมประสงค์”

ไม่คิดไม่ฝันว่าเทียนอี้จะตามใจมนุษย์เกเรได้ถึงเพียงนี้ พ่อบ้านเหลียงอยากจะทัดทานนัก แต่พอเห็นแม่ทัพเทพอสูรตรงไปหยิบไม้กระบองมากระชับถือในมือ เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาด้วยรู้ว่าการที่เทียนอี้เลือกอาวุธเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องการจะสั่งสอนซิ่นเฉิงด้วยตนเอง...ด้วยการโบยเยี่ยงเด็กเล็กๆ

“ถ้าข้าชนะเจ้า เจ้าต้องคลานสี่ขาให้ข้าดู เจ้าหมา!” ซิ่นเฉิงดูจะคึกคักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ร้องท้าทาย ควงดาบในมือไปมา
พ่อบ้านเหลียงได้แต่หัวเราะหึในใจ ...ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเองอีกว่าจะจบลงเช่นไร

กระนั้นก็ไม่ปริปากใดๆ ออกมา ยืนนิ่งรอดูเรื่องสนุกที่จะบังเกิดขึ้นในอีกชั่วพริบตาข้างหน้า

เทียนอี้ก้าวเข้ามากลางลานประลอง นัยน์ตาสีทองจับจ้องไปยังซิ่นเฉิงที่ตั้งท่าระวังภัย พอแสร้งวาดกระบองไม้ในมือเข้าหา ซิ่นเฉิงก็กระโดดหนีทันควัน ก่อนจะโต้กลับด้วยวิชายุทธที่ไม่ต่างจากการต่อสู้ในครั้งก่อนๆ สักเท่าไร

เทียนอี้มองออกทันทีว่าซิ่นเฉิงหมายจะทำการใด... คงจะหาช่องโหว่แล้วกระโดดขึ้นมาขี่คอเขาอย่างแน่นอน เขาชำนาญการศึก เชี่ยวชาญสนามรบมาตั้งหลายร้อยปี ต่อให้กลายเป็นเทพอสูร หลงลืมวรยุทธไปบางส่วน สูญสิ้นซึ่งตบะ แต่ก็หาใช่ว่าเขาจะอ่านท่าทางของซิ่นเฉิงไม่ออก

แม่ทัพเทพอสูรไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น เขาทำเพียงหลอกล่อให้ซิ่นเฉิงตายใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายคิดว่าตนสบโอกาส กระโดดเข้ามาใกล้หมายจะขึ้นขี่คอ เมื่อนั้นเอง เทียนอี้ก็สะบัดกระบองไม้ในมือฟาดเข้าไปที่สีข้างของอีกฝ่ายไม่แรงนัก

เป็นการตีที่ไม่แรง ทว่า...สำหรับพละกำลังของเทพอสูรแล้วก็ทำให้ซิ่นเฉิงกระเด็นกระแทกพื้น ใบหน้าเหยเกเพราะความจุกเสียดที่แล่นพล่านเข้าทั่วทั้งสรรพางก์กายได้เลยทีเดียว

“เจ้า!” ซิ่นเฉิงกัดฟันกรอด ส่งสายตากรุ่นโกรธไปยังเทียนอี้ที่มองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นพรวดพราด กระโดดเข้าใส่ด้วยโทสะ

เทียนอี้เบี่ยงตัวหลบ เมื่อพ้นทางก็เหวี่ยงกระบองฟาดเข้าไปที่ขาพับจนซิ่นเฉิงล้มลงไป ดาบวงพระจันทร์หลุดจากมือ ซิ่นเฉิงรีบตะกายไปข้างหน้า หมายจะคว้าดาบกลับคืนมา แต่ก็ถูกเทียนอี้ใช้กระบองปัดออกห่างเสียก่อน พอจะพลิกตัวไปต่อกร ก็ดันถูกตีเข้ามาที่แผ่นหลังทำให้ลุกไม่ขึ้น

“เจ้าแพ้แล้ว”
เทียนอี้ว่าเสียงเรียบหลังจากที่เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดของซิ่นเฉิงเงียบลง เป็นเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาจริงๆ ที่เขาปราบพยศ พร้อมกับสั่งสอนให้ซิ่นเฉิงได้รับรู้ว่ายังมีผู้ที่เหนือกว่า อีกนัยหนึ่งก็เป็นการทำให้ตระหนักด้วยว่าไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็ไม่อาจเทียบเคียงกับเทพ ไม่ว่าเทพผู้นั้นจะกลายเป็นเทพอสูรแล้วก็ตาม

“เนื้อตัวเจ้าอาจจะช้ำ ให้พ่อบ้านเหลียงประคบร้อนให้แล้วกัน”
เทียนอี้ว่าส่งท้าย ขณะที่ซิ่นเฉิงกัดฟันกรอดด้วยเจ็บแค้นใจ เมื่อคืนนี้ เขาก็เสียทีให้กับเทียนอี้ การกระชากขนหลุดมาเป็นกระจุกนั้นสร้างความสะใจให้มากพอตัวก็จริง แต่การต้องมาพ่ายแพ้หมดท่าเช่นนี้กลับทำให้เขาอับอายเสียจนลืมสิ้นไปหมดว่าความสะใจที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเป็นอย่างไร

ดวงตาสีนิลมองจ้องเทียนอี้เขม็ง สายตาที่ส่งออกมาเจ็บแค้นเสียจนเทียนอี้สัมผัสได้ หากแต่เขาไม่ใคร่สนใจ หันหลังหมายจะเดินกลับเข้าเรือนใหญ่เพื่อไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าทันทีที่หัน ซิ่นเฉิงก็ข่มความเจ็บปวด ลุกขึ้นไปคว้าดาบมาไว้ในมือ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปทางด้านหลังของเทียนอี้อย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะได้ร้องบอกเทียนอี้เสียอีก

คราวนี้ไม่ใช่การจู่โจมเช่นการประลอง ซิ่นเฉิงหมายจะเอาชีวิตเลยทีเดียว แต่ความว่องไวของมนุษย์หรือจะสู้ความไวของประสาทสัมผัสเทพอสูรสุนัขป่าตนนี้ แค่ได้ยินเสียงขยับกาย เขาก็รับรู้แล้วว่าซิ่นเฉิงคิดการใด ก่อนจะหันกลับมาตวัดกระบองฟาดเข้าที่ข้อมือของซิ่นเฉิงที่เหวี่ยงดาบหมายจะทำร้ายเขาเต็มแรง

ที่ออกแรงเสียเต็มแรง... นั่นเป็นการสั่งสอนว่าแพ้ให้รู้จักแพ้ หากแต่ดูเขาคงจะออกแรงมากไปหน่อย เพราะทันทีที่ข้อมือของซิ่นเฉิงถูกตี ดาบในมือก็ร่วงหล่นและบาดเข้ากับท่อนแขน

โลหิตสีแดงสดไหลออกจากแขนแกร่ง ซิ่นเฉิงร้องออกมาด้วยตกใจระคนเจ็บปวด แต่ก็แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เสียงนั้นก็เงียบไป เหลือเพียงสายตาเจ็บแค้นและร่างกายที่สั่นเทิ้มขึ้นมาเพราะความกรุ่นโกรธเท่านั้น

ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี เขาก็ไม่สามารถเอาชนะเทพอสูรได้เลยหรืออย่างไร!?

แต่ผู้ใดกันเล่าจะล่วงรู้ความคิดของซิ่นเฉิงได้ ถึงจะรู้ก็หาได้มีผู้ใดใส่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทียนอี้ที่ในตอนนี้ สายตาของเขามีแต่ตกใจเท่านั้นที่เห็นอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายให้ซิ่นเฉิงถึงขั้นเลือดตกยางออก เมื่อเห็นว่ามนุษย์หนุ่มได้รับบาดเจ็บ ก็รีบออกปากสั่งพ่อบ้านเหลียง

“รีบพาเขาไปที่ห้องโอสถ”
พ่อบ้านเหลียงพยักหน้ารับ สั่งให้คนรับใช้ซึ่งเป็นมนุษย์ไปพยุงชายหนุ่มขึ้น ซิ่นเฉิงสะบัดกายหนี ส่งเสียงดัง
“อย่ามาแตะตัวข้า เจ้าพวกคนไร้ศักดิ์ศรี!”

ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เจ็บแค้นกว่าที่เคยเป็น อันที่จริงแล้ว มนุษย์ควรจะรังเกียจเดียดฉันท์เทพอสูรที่มาพรากครอบครัวและแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ไปไม่ใช่หรือ? แล้วนี่...มายอมเป็นทาส หมายความว่าศักดิ์ศรีของพวกมนุษย์มันไร้ค่าแล้วหรือไร!?

เป็นคำถามที่ผุดพรายขึ้นในใจของชายหนุ่ม เขาอยากจะถาม แต่พูดไม่ออกสักคำ ยิ่งเทียนอี้ซึ่งเห็นเหตุการณ์ว่าขึ้นมาด้วย
“เจ้าจะดื้อรั้นไปถึงเมื่อไรกัน ข้าสั่งให้ไปที่ห้องโอสถก็จงทำตามเสีย”

เขาก็ยิ่งพูดไม่ออก... ถ้าจะต้องทำตามคำสั่ง เขายอมตายเสียดีกว่า!

เห็นซิ่นเฉิงเอาแต่จ้องมอง ไม่ขยับกายเสียที เทียนอี้ก็จำต้องพูดออกมาอีก
“อยากจะให้เลือดออกจนหมดตัวตาย กลายเป็นผีเฝ้าจวนข้า ไม่กลับไปทะเลทรายอีกก็ตามแต่ใจเจ้า”

เมื่อนั้นแหละที่ซิ่นเฉิงยอมละทิ้งความเย่อหยิ่ง เดินตามไปอย่างว่าง่ายโดยที่พ่อบ้านเหลียงไม่ต้องให้ทหารเทพอสูรตนใดมาลากหรืออุ้มไปอย่างเช่นหลายชั่วยามก่อนหน้า เป็นที่น่าแปลกใจยิ่งนัก ขณะที่ซิ่นเฉิงคิดแต่เพียงว่าเขาจะต้องรักษาชีวิตนี้ไว้

...รักษาไว้จนกว่าจะได้กลับไปยังบ้านเกิดอันเป็นที่รัก

ผืนทรายร้อนระอุใต้แผ่นฟ้ากว้าง... บ้านของเขา เขาจะต้องกลับไปให้ได้



 
 

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 4: สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน[2]


การที่ซิ่นเฉิงยอมเดินตามมาถึงห้องโอสถอย่างเชื่อฟังก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่การที่เขาเอาแต่ยืนนิ่ง พ่อบ้านเหลียงที่หมายจะทำแผลให้พูดอะไรก็ไม่ตอบสนอง นั่นทำให้เทียนอี้รำคาญใจขึ้นมาเล็กๆ ก่อนจะต้องออกปากให้พวกคนรับใช้คนอื่นๆ ออกไปรอทางด้านนอก ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียงเอง เพราะคิดว่าที่ซิ่นเฉิงยืนนิ่ง ไม่ไหวติงเป็นการต่อต้านอย่างอหิงสาอยู่นั้น เป็นเพราะรอบข้างมีผู้คนมากมายนั่นเอง หากยอมทำตามคำสั่งของเทียนอี้ คงคิดว่าจะเสียหน้าถึงได้แสดงท่าทางนั้น เทียนอี้จึงต้องรับหน้าที่ในการทำแผลให้ชายหนุ่มอย่างไร้ทางเลือก

ครั้นภายในห้องโอสถเหลือเพียงเขากับซิ่นเฉิง เทียนอี้ซึ่งนั่งอยู่บนตั่งไม้ก็เอ่ยปาก
“ไม่มีผู้ใดแล้ว เจ้าเลิกดื้อดึงแล้วมานั่งตรงนี้ ข้าจะทำแผลให้”

ซิ่นเฉิงยังคงยืนนิ่ง แสร้งทำหูทวนลม เห็นดังนั้น เทียนอี้ก็ระบายลมหายใจ ว่าออกมาอีกครา
“มานั่ง” พูดช้าๆ ชัดๆ แต่หนักแน่น

ซิ่นเฉิงยอมทำตามในที่สุด เมื่อทรุดตัวนั่งแล้ว เทียนอี้ก็ถือวิสาสะคว้าแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บไปพลิกดู เสียงร้องโอดโอยดังลอดออกจากริมฝีปากหนาเล็กน้อย แม่ทัพเทพอสูรเหลือบมองเล็กน้อยเพื่อพินิจว่าเจ็บปวดมากหรือไม่ แต่พอเห็นว่าคนตรงหน้าทนได้ก็พลิกดูอีกครา

“บาดแผลไม่ลึกนัก ไม่กี่วันก็คงหาย”
พูดพลางหันไปคว้าผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นบิดหมาดมาเช็ดคราบเลือดที่เริ่มแห้งเกรอะกรังให้ ซิ่นเฉิงมองฝ่ามือใหญ่ที่ห่างไกลจากคำว่าฝ่ามือมนุษย์นิ่ง

ฝ่ามือ...ที่ดูไม่ต่างจากเท้าของสุนัขป่า มันมีลักษณะคล้ายกับฝ่ามือของมนุษย์ หากแต่มีขนปกคลุมไปทั่วและมีเล็บงอกยาว ชวนให้ดูน่ากลัวมากกว่าที่จะน่าสัมผัส กระนั้นมือของเทียนอี้กลับเช็ดคราบเลือดให้เขาอย่างทะนุถนอมและระมัดระวัง จนขนสีเงินยางเปรอะเปื้อนคราบเลือดจางๆ ไปด้วย ทว่าเทียนอี้ก็หาได้สนใจ นอกจากจะตั้งหน้าตั้งตาทำแผลไปโดยไม่ปริปากพูดออกมา

ซิ่นเฉิงนั่งนิ่ง ก่อนจะสูดปาดด้วยความเจ็บแสบเมื่อผงสมุนไพรที่ถูกบดจนละเอียดถูกโปะลงมาบนปากแผล

“เจ็บรึ?” เทียนอี้เหลือบมองหน้า

ซิ่นเฉิงเก็บสีหน้านั้นทันที เหลือเพียงแต่ใบหน้าที่นิ่วเสียจนคล้ายคนท้องผูก เทียนอี้จึงไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ นอกจากพูดไปเรื่อยเปื่อย

“ฝีมือวรยุทธของเจ้าน่ะล้ำเลิศนัก ไม่ว่าศัตรูจากทิศใดก็หวาดกลัวความคลั่งของเจ้าได้ไม่ยาก”

จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน ซิ่นเฉิงอดแปลกใจไม่ได้ หัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมคลายออกเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดเข้าหากันอีกเมื่อเทียนอี้เอ่ยประโยคถัดไปออกมา

“แต่เจ้าใจร้อนเกินไป ต่อให้ไหวพริบดี หากแต่โง่เขลา ร้อนรนจะเอาชนะเช่นนั้น สุดท้ายก็มีแต่จะพ่ายแพ้” ว่าจบก็หันไปเอาผ้าสำหรับพันแผลขึ้นมาพันไปที่ท่อนแขนแกร่ง “เมื่อครู่ก็เช่นกัน ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ เจ้าก็ควรจะสงบจิตสงบใจเสียก่อน จากนั้นค่อยใช้สติคิดทบทวน ฝึกปรือจนวิชาแก่กล้ากว่านี้ แล้วค่อยมาเอาคืนก็ยังไม่สาย”

เขาหมายถึงการที่ซิ่นเฉิงหมายจะทำร้ายเขานั่นแหละ

ซิ่นเฉิงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
“ข้าไม่ต้องการให้สุนัขเช่นเจ้ามาสั่งสอนหรอกนะ”
“ข้าก็ไม่ต้องการให้แมวป่าเช่นเจ้ามาระรานปั่นป่วนในจวนข้าเช่นกัน” เทียนอี้สวน
“สุนัขกับแมวย่อมไม่ถูกกัน หากเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยข้ากลับไปสิ จะกักขังข้าไว้เพื่อการใด” ซิ่นเฉิงขึ้นเสียงเล็กน้อย
“เจ้าคงจะลืมไปว่าเจ้าเป็นทาสของข้าเพราะเหตุผลอะไร”

ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็พูดต่อไม่ออก ได้แต่ก่นด่าอีกฝ่ายในใจ แต่ก็เพียงครู่เดียวเมื่อเทียนอี้ถามขึ้นมาอีก
“เจ้าเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าทะเลทรายใช่หรือไม่”
“ถามทำไม”

ถึงซิ่นเฉิงจะไม่ตอบ เทียนอี้ก็รับรู้ได้

ซิ่นจินผู้เป็นน้องสาวเป็นธิดาของหัวหน้าเผ่า ซิ่นเฉิงก็ย่อมต้องเป็นบุตรอยู่แล้ว ...ก็แค่ถามเพื่อเริ่มการสนทนาเท่านั้น

“เจ้าเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่า ในภายภาคหน้าจะต้องสืบต่อปณิธานของบิดา แต่เจ้าใจร้อนเฉกเช่นพายุเพลิงเช่นนี้ เป็นการดีแล้วหรือที่ผู้อื่นในเผ่าจะฝากชีวิตไว้ในอุ้งมือของเจ้า...”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ได้ฟังก็นึกหงุดหงิดขึ้นมา จนต้องหันไปว่าเสียงเขียว

แต่ก็หาได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลย...

“หากเจ้ายังคงใจร้อนดั่งเปลวไฟ ทำการใดไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเช่นนี้ เจ้าคงจะดูแลคนของเจ้าได้ลำบาก ดูแล้ว เจ้าก็อายุอานามไม่น่าจะแรกรุ่น ...เจ้ามีอายุกี่ขวบปีกัน”
“ยี่สิบ”
“แล้วเหตุใดถึงได้ไร้ซึ่งสติปัญญา”
“เจ้าจะทำแผลให้ข้าหรือสั่งสอนข้ากันแน่!” ชักหมดความอดทนแล้ว เขาไม่ได้ต้องการให้ใครมาสั่งสอนเขาในเวลาอย่างนี้ คำพูดประมาณนี้ เขาได้ยินบิดาปรามาสมาบ่อยครั้งแล้ว เรียกว่าแทบจะนับครั้งไม่ถ้วนเลยก็ว่าได้ ซึ่งเขาไม่ต้องการฟัง!

และแทนที่เทียนอี้จะสงบปากสงบคำ เขากลับว่าออกมาหน้าตาเฉย
“ทั้งสองอย่าง”
“เจ้ามันช่าง...!”
“เสร็จแล้ว”

ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะได้บริภาษใดๆ เทียนอี้ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับปล่อยมือออกจากแขนที่พันผ้าเป็นที่เรียบร้อยของซิ่นเฉิงออก

ไร้ซึ่งคำขอบคุณจากชายหนุ่ม เขาทำเพียงมองแขนของตนนิ่ง ขณะที่เทียนอี้ลุกไปดูหม้อต้มยา
“เจ้าอาจจะรู้สึกปวดแสบที่แผล ดื่มยานี่เสีย จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้”
“คิดจะวางยาพิษข้าหรือไร” ซิ่นเฉิงว่าจับผิด

แม่ทัพเทพอสูรเหลือบมามองทันควัน
“หากคิดจะสังหารเจ้า ใช้เพียงมือข้างเดียวก็เสร็จสิ้นแล้ว หาต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากไม่”

ฟังแล้วก็ชวนเจ็บใจไม่น้อย เทียนอี้ตอกย้ำเสียเหลือเกินว่าเขาไม่อาจมีวันต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แต่นั่นก็คือความจริง เมื่อคืนนี้ก็เกือบตายเพราะมือของเจ้าสุนัขป่า เมื่อครู่ก็ได้รับบาดเจ็บเพราะมือนั้นเช่นกัน เป็นความจริงที่ชวนให้หัวเสียเหลือเกิน

“ข้าก็ลองถามดู เจ้าไม่ชอบหน้าข้า ข้าก็ต้องระวังตัว” เถียงไม่ได้ ซิ่นเฉิงก็พูดไปเรื่อย
 “เจ้าต่างหากกระมังที่ไม่ชอบหน้าข้า” เทียนอี้นึกขันในใจขณะเอ่ยส่วน “และห้องโอสถของข้าหาได้มียาพิษ เจ้าไม่ต้องห่วง” จากนั้นก็ออกปากเตือน “แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะหยิบโอสถใดมาใส่ปากโดยไม่ถามไถ่ข้าก่อนได้ โอสถทุกชนิดล้วนมีทั้งคุณและโทษ ต้องใช้ให้ถูกอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอสถที่อยู่ในชั้นข้างๆ เจ้า หากข้าไม่อนุญาต ผู้ใดก็หาได้มีสิทธิเปิด ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านเหลียง”

ฟังแล้ว ซิ่นเฉิงก็จึ๊ปาก

เป็นเพียงอมนุษย์แท้ๆ ริอ่านแสร้งวางตัวเป็นหมอเทวดา!

และด้วยความหมั่นไส้ ซิ่นเฉิงจึงหันไปยังข้างกาย ลอบเปิดตู้ยาออกมา ก่อนจะคว้าเอาสมุนไพรรูปร่างคล้ายดอกไม้ที่ตากจนแห้งขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จับใส่ปากด้วยอารามประชัดประชัน พลันรีบปิดตู้ดังเดิมเมื่อเห็นว่าเทียนอี้ยกถ้วยยากลิ่นฉุนมาให้

“ดื่มเสีย จะได้ไปพัก วันนี้เจ้าไม่ต้องอยู่ช่วยงานผู้ใด พักผ่อนให้เต็มที่เพราะร่างกายของเจ้าจะระบม”

ซิ่นเฉิงอยากจะสวนคืน แต่เพราะปากอมสมุนไพรแห้งอยู่จึงไม่พูดอะไร คว้าถ้วยยามากระดกดื่ม ขณะเดียวกันก็กลืนเอาสมุนไพรนั้นลงคอไปด้วย เมื่อดื่มจนหมดถ้วยก็วางถ้วยกระเบื้องกระแทกลงข้างกาย

ครานี้เทียนอี้จึงได้พูดขึ้น
“ถอดเสื้อผ้าเสียสิ ข้าจะประคบร้อนให้ ร่างกายของเจ้าบวมช้ำเพราะถูกข้าตีอยู่หลายแห่ง ไหนจะข้อมือที่ถูกข้าบิดเมื่อคืนอีก”

มันใช่เรื่องที่เขาจะต้องเปลื้องผ้าตามถ้อยคำของเจ้าสุนัขป่าตัวนี้หรือ!?

อีกทั้งเทียนอี้ไม่ได้พูดเปล่า เห็นซิ่นเฉิงนั่งนิ่งก็จะเข้ามาปลดเปลื้องอาภรณ์ให้อีก ทำเอาอีกฝ่ายต้องรีบปัดมือเต็มไปด้วยขนนุ่มทิ้ง

“หาได้จำเป็นไม่ ข้าจะไปพัก!”

พูดจบ ซิ่นเฉิงก็ผุดลุกพรวด ตรงไปยังประตูและผลักออก จากนั้นก็เดินเร็วๆ หายไปอีกทาง เทียนอี้ก็ไม่ได้คิดจะทักท้วงใดๆ เพราะต่อให้ไม่ประคบร้อน ยาที่ให้ซิ่นเฉิงดื่มเมื่อครู่ก็พอจะช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำอยู่

เทียนอี้จึงเก็บข้าวของเสียจนเสร็จสิ้น จะออกจากห้องโอสถอยู่แล้วเชียว ฉับพลันก็ฉุกใจขึ้นมาบางอย่าง เดินกลับมาที่ตั่ง เปิดชั้นโอสถที่เขาสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเปิดออก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเห็นรอยเว้าแหว่งของสมุนไพรอบแห้งที่หายไปเสี้ยวหนึ่ง

หรือว่าซิ่นเฉิงจะ...

ไม่ต้องคิดต่อก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะฝ่าฝืนคำสั่ง เขาบอกให้ไปซ้าย ซิ่นเฉิงจะไปขวา หากบอกให้ไปขวา ซิ่นเฉิงก็จะไปซ้าย นั่นเป็นการกระทำของชายหนุ่มผู้นั้น...

ถึงสมุนไพรที่ซิ่นเฉิงฉกชิงไปจะไม่ใช่โอสถอันตราย แต่ก็เห็นทีว่าหลังจากนี้คงจะมีเรื่องวุ่นวายตามมาอย่างแน่นอน เพราะนั่น...เป็นสมุนไพรที่เรียกว่า ‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’
*******************
พยศเหลือเกินนะเจ้าแมววว เดี๋ยวเชื่องเมื่อไหร่ จะโดนท่านเทพหมาจับน้วย 555

เมื่อวานนี้อยากจะอัปมากค่ะ
แต่นายเขียนไม่จบตอนก็เลยมาอัปตอนดึกๆ ของวันนี้แทน

นายมีเพจแล้วนะคะ เพิ่งเปิดใหม่สดๆ ร้อนๆ ไปตามกันได้ที่
https://goo.gl/GAWFoz
ชื่อเพจ Nov 9th_writer จะได้ไว้เม้าท์กันค่ะ

ทวิตเตอร์ นายสมัครแล้วแต่โดนล็อกค่ะ หาวิธีแก้ไขไม่ได้ก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน
ใครอยากจะหวีดก็ติดแท็ก #เสี้ยวอสูร นะ เดี๋ยวนายใช้อีกแอคเคาน์เข้าไปดูค่ะ
 
ใครอ่านตอนนี้แล้ว ฝากกำลังใจไว้ให้นายด้วยนะคะ
จะได้เป็นแรงกระตุ้นให้นายมาอัปตอนต่อไปเร็วๆ ^^


 
 

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
ยาอะไรน่ะ โอ๊ยๆแค่ชื่อก็คิดไปไกล

ออฟไลน์ ice.sp0211

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ้น้งแมวซนจนได้เรื่องไหมเนี่ย -.,-
ชอบมากๆ เลย รอนะคะ
สู้ๆ

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เทียนอี้ใจดี+ใจเย็นมากเลยย

ทำไมชื่อสมุนไพรทำเราคิดไปไกล 555555

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 
บทที่ 5: เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี

‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’

เพียงชื่อของสมุนไพรก็ทำให้ใจของเทียนอี้อยู่ไม่สุข หาใช่ว่ามันเป็นยาพิษ แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่โอสถที่จะกินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งผู้ที่รับโอสถนั้นเข้าไปในร่างกายคือซิ่นเฉิงด้วยแล้ว เทียนอี้ก็อดคิดไม่ได้เลยว่าจวนเขาจะอลหม่านเพียงใดหากยานั้นเริ่มออกฤทธิ์

แต่ก็นับว่ายังดีที่ซิ่นเฉิงกินสมุนไพรแห้งนั้นเข้าไปโดยไม่ได้ต้มน้ำ หากเป็นการต้มดื่มอย่างที่ควรกระทำ ฤทธิ์ของมันจะสำแดงให้เห็นไวสักหน่อย แต่จับใส่เข้าปากแล้วกลืนลงคอ ฤทธิ์จึงออกช้ากว่าที่ควรจะเป็น ทว่านั่นก็ทำให้เทียนอี้ต้องคอยเฝ้าสังเกตการณ์เป็นระยะ เมื่อฤทธิ์โอสถเผยออกมาให้เห็นเมื่อไร เขาคงต้องรีบจับซิ่นเฉิงแยกมาอยู่อีกเรือนนอน หาไม่แล้ว เรือนนอนคนรับใช้คงได้เกิดสงครามอย่างแน่แท้

ราตรีแรกผ่านไป โอสถยังไม่ออกฤทธิ์ เทียนอี้พอจะเบาใจไปได้บ้าง อย่างน้อยก็ให้ซิ่นเฉิงได้พักผ่อนเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บก่อน จากนั้นค่อยเผชิญหน้ากับอาการชวนให้น่ารำคาญใจอีกครา

เมื่อเข้าสู่ราตรีที่สอง ฤทธิ์โอสถถึงได้เริ่มสำแดงให้เห็น ซิ่นเฉิงเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาอย่างประหลาด คราแรกก็คิดว่าร่างกายอาจต้องพิษไข้เพราะบาดเจ็บและเสียโลหิตไปมากพอควร จึงได้แต่นอนพักผ่อนด้วยหวังว่าอาการจะทุเลาลง ทว่าเขาคิดผิด นอกจากอาการจะไม่ทุเลาลงแล้ว ร่างกายยังจะร้อนรุ่มดั่งเปลวไฟกว่าเดิมเสียด้วย

หรือเขาจะป่วยหนักกัน?

ซิ่นเฉิงหวั่นใจไม่น้อยกับความผิดปกติทางร่างกาย ถึงเขาจะไม่ค่อยเกรงกลัวผู้ใดในใต้หล้า แต่เขากลับกลัวความตายหากจะต้องเผชิญ

ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อยากมาสิ้นชีพในแคว้นที่หาใช่บ้านเกิดของเขา ถ้าจะต้องตาย ก็ขอไปตายในทะเลทรายดีกว่า!
คิดเช่นนั้น ซิ่นเฉิงจึงเริ่มคิดหาหนทางหนีออกจากจวน กลับไปตายเอาดาบหน้าในทะเลทรายกว้าง โดยหารู้ไม่ว่าเทียนอี้ได้ให้คนรับใช้ในเรือนนอนเดียวกับเขาคอยเฝ้าสังเกตอาการตั้งแต่ชั่วยามแรกที่เทียนอี้รู้ว่าเจ้าแมวป่าขโมยกินสมุนไพรที่สั่งห้ามใครแตะต้องถ้าไม่ได้รับอนุญาตเข้าไป

เมื่อเห็นว่าซิ่นเฉิงมีอาการแปลกๆ คนรับใช้ก็รีบไปรายงานให้เทียนอี้รับรู้ กระนั้นเจ้าของจวนก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ด้วยหมายใจจะรอให้อาการของซิ่นเฉิงหนักหนากว่านี้ก่อน อีกนัยก็คือ เทียนอี้ต้องการจะสั่งสอนให้ซิ่นเฉิงรับรู้ว่าสิ่งใดที่เขาห้ามนั้น ก็ไม่ควรกระทำ ไม่เช่นนั้นก็ต้องยินยอมรับผลร้ายที่จะเกิดขึ้นด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็คิดว่าต่อให้สมุนไพรนั่นออกฤทธิ์ ซิ่นเฉิงก็น่าจะรู้ว่าควรจะบรรเทาอาการตนเองด้วยการกระทำใด จึงไม่ได้เข้าไปวุ่นวายในทันที

และผลร้ายจากการดื้อดึงไม่เชื่อฟังนั้นก็ได้บังเกิดขึ้นแล้ว แต่คงจะยากต่อการยินยอมรับผลร้ายนั้นสำหรับซิ่นเฉิงเสียหน่อย เขาออกอาการฉุนเฉียวเมื่อร่างกายไม่เป็นไปดั่งใจนึก ทั้งที่พยายามจะควบคุมอารมณ์ที่พวยพุ่งอยู่ภายในให้สงบแล้ว ทว่าความร้อนรุ่มที่แผ่กำจายไปทั่วร่างกลับทำให้เขากระสับกระส่ายจนอยู่ไม่สุข อาการนี้ช่างน่ารำคาญใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร้อนที่ดูเหมือนจะแผดเผา ‘จุดนั้น’ ให้มอดไหม้เป็นจุณถ้าหากเขาไม่จัดการทำอะไรสักอย่างเสียที

จุดนั้น... ใช่แล้ว บริเวณอวัยวะกลางลำตัวของเขานั่นเอง

ซิ่นเฉิงอึดอัดถึงกับทนไม่ไหว ต้องปลดเชือกรัดกางเกงออก ดูสิ่งที่อยู่ด้านในอย่างหัวเสียเมื่อมันไม่ยอมสงบลงเสียทีตั้งแต่เมื่อชั่วยามก่อน ครั้นเห็นอวัยวะแห่งความเป็นบุรุษเพศชูชัน ซิ่นเฉิงก็สบถหยาบ
“บัดซบ...”

เขาเกิดกำหนัดมาพักใหญ่แล้ว อยากจะปลดเปลื้องอยู่หรอกเพราะดูท่าจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เขาและเจ้า ‘มังกรน้อย’ สงบลงได้ แต่ทว่าพอคิดว่าจะต้องกระทำสิ่งนั้นภายในจวนของอมนุษย์ตนนั้น เขาก็รู้สึกเสียศักดิ์ศรีขึ้นมา ต่อให้เขาต้องตายเพราะกำหนัดตนเอง เขาก็จะไม่ยอมกระทำสิ่งใดให้เป็นที่น่าอับอายจนเทียนอี้เอามาพูดถึงชั่วลูกชั่วหลานได้เป็นอันขาด

เพราะหยิ่งผยองด้วยเหตุผลนั้น ซิ่นเฉิงจึงไม่แตะต้องแก่นกายกลางลำตัวเลยแม้แต่น้อย หากแต่เจ้าสมุนไพรช่างมีฤทธิ์เหลือร้าย เมื่อไม่ได้รับการปลดเปลื้อง ความร้อนในร่างกายก็แทรกซึมเข้าทุกอณูผิวหนัง ส่งผลให้ร่างกายร้อนผ่าวดุจเปลวไฟ คราวนี้เองที่ซิ่นเฉิงได้ล้มหมอนนอนเสื่อจริงๆ

ซิ่นเฉิงที่จู่ๆ ก็ล้มฟุบลงไปขณะที่เข้าร่วมมื้อเย็นกับคนรับใช้คนอื่นๆ ถูกพาตัวเข้าไปพักผ่อนในเรือนนอน พ่อบ้านเหลียงรีบมาดูอาการ เมื่อเห็นว่ามนุษย์หนุ่มมีเหงื่อกาฬอาบท่วมร่าง อีกทั้งยังตัวร้อนดุจเพลิง เขาก็สั่งให้คนรับใช้ไปต้มโอสถมาให้ดื่ม ทว่าก็หาได้ช่วยให้อาการดีขึ้นแม้แต่น้อย รังแต่จะทรุดลงไปอีก คราวนี้สติของซิ่นเฉิงชักไม่สมประดี เรียกก็ไม่ขานตอบ ได้แต่ปรือตาเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย ทำเอาพ่อบ้านเหลียงอดเป็นห่วงไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไรนักก็ตาม พลันคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าป่วยหนักถึงเพียงนี้ก็ต้องตามท่านหมอมา แต่การให้ท่านหมอมารักษานั้น จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนั้นก็คือเขา แต่เขาไม่มีสิทธิจะใช้จ่ายได้ตามใจ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากท่านแม่ทัพใหญ่เสียก่อน

ดังนั้น พ่อบ้านเหลียงจึงไม่รอช้าที่จะนำความไปบอก ทันทีที่แม่ทัพเทพอสูรได้ยินความ เขาก็ว่าออกมาเสียงเรียบ
“ไม่ต้องตามท่านหมอ แต่ให้นำตัวมนุษย์นั่นไปที่เรือนของข้า”
“ท่านแม่ทัพหมายถึง...”
“ที่เรือนของข้ามีห้องรับรองแขกอยู่ ให้พาเขาแยกไปนอนที่นั่น ส่วนอาการของเขานั้น ข้าจะเป็นผู้ดูแลเอง”

พ่อบ้านเหลียงอดประหลาดใจไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเทียนอี้พอจะมีความรู้เรื่องโอสถอยู่ แต่ก็หาได้มากพอจะรักษาอาการป่วยหนักๆ ได้เฉกเช่นท่านหมอ ทว่าพอจะถาม เทียนอี้ก็ตอบออกมาก่อนราวกับรู้ทันว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร

“ซิ่นเฉิงไม่ได้ป่วยไข้อย่างที่เจ้าคิดหรอก พ่อบ้านเหลียง”
“ถ้าไม่ได้ป่วยไข้ แล้วเจ้านั่นเป็นอะไรหรือขอรับ?”
เทียนอี้เหลือบมอง ตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“กินโอสถเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีเข้าไป”
“หา?”
“เจ้าได้ยินไม่ผิด”

หากไม่เคยเห็นจระเข้อ้าปากก็คงจะได้เห็นกันในครานี้ พ่อบ้านเหลียงแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินเช่นนั้น แต่เมื่อผู้เป็นนายย้ำคำหนักแน่น ก็อดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงช่างเป็นตัวปัญหาเสียจริง เพราะเขารู้ดีว่าสมุนไพรที่ชื่อเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีนั้นเป็นสมุนไพรชนิดใด

...เป็นยาปลุกกำหนัดสำหรับคู่บ่าวสาวในคืนวิวาห์

ถูกต้อง... มันถูกใช้ต้มให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวดื่มในคืนเข้าหอ ทั้งหมดก็เพื่อการกระตุ้นเร้าให้ในการมีทายาทสืบสกุล เหตุที่ต้องใช้ก็เป็นเพราะเทพอสูรมีรูปลักษณ์กึ่งมนุษย์ กึ่งสัตว์ สตรีมนุษย์ที่ตบแต่งเจ้าเรือนมักหวาดกลัวสามีที่มีรูปร่างอัปลักษณ์ ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า ดังนั้นเรื่องความสิเน่หาหรือความใคร่ใดๆ ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึง พวกนางเอาแต่ร่ำไห้ไม่หยุดตั้งแต่รู้ว่าจะต้องตบแต่งกับเทพอสูรเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาโอสถนี้ ไม่เช่นนั้น คืนเข้าหอคงจะล่มไม่เป็นท่า
และไม่แปลกถ้าหากเทียนอี้จะมีสมุนไพรนี้ติดห้องโอสถของจวนไว้ ต่อให้เขายังไม่ได้ตบแต่งสตรีนางใดเป็นฮูหยิน แต่สหายของเขาตบแต่งกับมนุษย์สตรีมาหลายต่อหลายครั้ง เมื่อฮูหยินคนเก่าสิ้นใจ ฮูหยินคนใหม่ก็เข้าพิธีไหว้ฟ้าดิน เป็นเช่นนี้มานานนับร้อยปีแล้ว จึงเกิดเป็นธรรมเนียมที่ว่าสหายตนใดมีงานมงคลสมรส สหายที่ไปร่วมงานจะต้องมีโอสถชนิดนี้ติดไม้ติดมือไปเป็นของขวัญร่วมแสดงความยินดีเสมอ

เทียนอี้มีติดไว้ในจวนก็เพื่อการนี้นั่นเอง...

“แล้ว...ท่านแม่ทัพจะเป็นผู้ดูแลจริงๆ น่ะหรือ? ข้าว่ามอบหมายให้เป็นหน้าที่ของข้ากับคนรับใช้อื่นน่าจะดีกว่าไม่น้อย” ได้ยินว่าเทียนอี้จะดูแลเจ้ามนุษย์ชอบสร้างปัญหาผู้นั้น พ่อบ้านเหลียงก็อดเสนออย่างเป็นห่วงไม่ได้
เทียนอี้ระบายลมหายใจ
“ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง จะได้ถือโอกาสนี้ขัดเกลานิสัยดื้อด้านของซิ่นเฉิงด้วย”

พูดมาอย่างนั้น พ่อบ้านเหลียงจะไปทำอะไรได้กันเล่า แต่ก็คิดว่าดีอยู่ไม่น้อยที่เทียนอี้ลดความใจดีลงเสียที จะเข้าขั้นโหดร้ายเลย เขาก็ไม่ทัดทานใดๆ ทั้งนั้น เพราะขนาดซิ่นเฉิงถูกตีเข้าเต็มแรงเมื่อครั้งที่ประลองกันอย่างนั้น ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีท่าทีอ่อนน้อมลงเลยแม้แต่น้อย เห็นทีจะต้องจัดการกำราบให้เด็ดขาด

“หากท่านแม่ทัพต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก็ได้โปรดบอก”
“ขอบใจเจ้ามาก”

เทียนอี้ตอบรับเสียงเรียบ จากนั้นก็ไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ ระหว่างอมนุษย์ทั้งสอง มีเพียงความเงียบงัน ก่อนทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามกิจวัตรของใครของมันโดยไม่สนใจเรื่องของซิ่นเฉิงอีก



 
ซิ่นเฉิงถูกนำมาพักในเรือนใหญ่ แม้คราแรกจะดื้อแพ่ง ไม่ยอมมา แต่สุดท้ายก็ต้องยินยอมด้วยร่างกายร้อนรุ่มเสียจนอ่อนล้า อีกทั้งอวัยวะบุรุษเพศกลางลำตัวก็เอาแต่ชูชันไม่มีท่าทีสงบ การแยกออกจากเรือนนอนของคนรับใช้มาอยู่อย่างส่วนตัวเห็นทีจะเป็นการดีกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นประสงค์ของเทียนอี้ที่หมายจะให้ซิ่นเฉิงได้ปลดปล่อยตนเองเป็นการส่วนตัว

ทว่า... ความหยิ่งผยองอันโง่เขลาของซิ่นเฉิงที่เกรงว่าจะเป็นที่หมิ่นศักดิ์ศรีให้เทียนอี้ได้พูดถึงชั่วลูกชั่วหลานว่าปราบพยศเขาได้เพราะกำหนัดที่ก่อเกิดอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ซิ่นเฉิงจึงไม่แม้แต่จะแตะต้องกลางลำตัว ทำเพียงนอนนิ่งๆ ปล่อยให้ความร้อนในกายเผาผลาญเสียจนเหงื่อกาฬไหลพรากตลอดทั้งวัน

อาการมาแย่ลงในตอนตะวันลาลับ ช่วงหัวค่ำก็พอจะกัดฟันทนได้ แต่เมื่อคล้อยเข้าสู่กลางดึก ซิ่นเฉิงก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป หายใจหอบหนัก จังหวะการหายใจขาดช่วง คล้ายกับทุรนทุรายจะขาดใจตายให้จงได้ เขาเกือบจะเผลอใช้มือปลดเปลื้องตนเองอยู่แล้ว หากแต่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น เพราะมือกำผ้าห่มไว้เสียแน่น

ไม่มีวัน...อย่างไรก็ไม่มีวันจะทำเรื่องอย่างนั้นในจวนของเทียนอี้เป็นอันขาด!

เสียงร้องดังอือๆ ลอยมาให้เจ้าของจวนซึ่งนั่งอยู่ในห้องหนังสืออย่างเช่นทุกวันรำคาญอยู่ไม่น้อย แม้ห้องที่ให้ซิ่นเฉิงพัก กับห้องหนังสือจะไกลกันพอควร แต่ด้วยความที่ประสาทสัมผัสไว เทียนอี้จึงได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน อีกทั้งกลิ่นกายของซิ่นเฉิงซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวก็ลอยคละคลุ้งปะปนมาในอากาศอีก ทำเอาเทพอสูรจำต้องปิดตำราลง แล้วก้าวออกจากห้องนั้น เดินไปตามทางกระทั่งถึงยังห้องของมนุษย์หนุ่ม

มือหนาผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่ร้องขออนุญาต ครั้นประตูเปิดก็เห็นซิ่นเฉิงนอนพลิกตัวไปมาอย่างทรมาน เทียนอี้พ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย

ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังจะดื้อรั้นอีก...

บ่นในใจขึ้นมาด้วยระอา ก่อนจะหันไปปิดประตูลงดาล จากนั้นก็ก้าวเข้ามาทรุดนั่งที่ปลายเตียงด้วยความเงียบเชียบ มองซิ่นเฉิงที่ซุกใบหน้าลงกับผ้าห่มผืนบางครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้น

“เจ้าต่อต้านฤทธิ์ของสมุนไพรนี่ไม่ได้หรอก วางทิฐิลงแล้วทำสิ่งที่ควรทำเถิด”

ซิ่นเฉิงละใบหน้าจากผ้าห่ม หันไปมองก็เห็นมนุษย์ครึ่งสุนัขป่าทอดสายตามองเขาอยู่ เขาไม่ตอบรับคำพูดเมื่อครู่ นอกจากย่นคิ้วแล้วปั้นสีหน้าหงุดหงิดใส่เท่านั้น
“เจ้าเข้ามาทำไม”
“มาดูอาการของเจ้า” เทียนอี้ตอบรับตามตรง
“ข้าไม่ต้องการ!” ซิ่นเฉิงก็ปฏิเสธตามตรงเช่นกัน

ทว่าก็ไม่สามารถไล่เทียนอี้ออกไปได้ เทพอสูรจ้องมองอยู่อีกครู่ เมื่อหลุบสายตาลงต่ำและเห็นว่าระหว่างขาของมนุษย์หนุ่มตรงหน้ามีอาการตอบสนองต่อฤทธิ์ของสมุนไพรนั้น เขาก็เอ่ยขึ้น

“สิ่งที่เจ้าลักลอบกินเข้าไป มันคือว่านที่มีชื่อว่า ‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’ เป็นยาปลุกกำหนัดชั้นดีที่จะทำให้เจ้ามีอาการเช่นนี้ไปจวบจนครบเจ็ดวัน”

คราวนี้ซิ่นเฉิงประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงได้ร้อนรุ่มกายและหว่างขามากเป็นพิเศษอย่างนี้ ก่อนที่เขาจะปั้นใบหน้าขมึงทึงออกมา

“เจ้าหลอกให้ข้ากินมัน”
“เจ้าหยิบไปกินเอง”
“หากเจ้าไม่บอกว่าห้ามเปิด ข้าก็ไม่เปิดไปฉกชิงมันเข้าปากหรอก!”

โทษว่าเป็นความผิดของเทียนอี้อีก แต่ก็นั่นแหละ หากเทียนอี้บอกให้ไปซ้าย ซิ่นเฉิงก็จะไปขวา ถ้าสั่งห้ามก็จะทำ เป็นอย่างนี้แล้วจะโทษว่าความผิดใครดีล่ะ?

“เพราะเจ้าโง่เขลา” เทียนอี้ว่าเนิบๆ ให้คนฟังได้กัดฟันกรอด
“เจ้า…!”
“หากเจ้าจะมาต่อล้อต่อเถียงกับข้า เจ้าเอาเวลาไปคิดใคร่ครวญจะดีกว่าว่าควรทำอย่างไรกับร่างกายเจ้าดี” เทียนอี้ขัดขึ้นเสียก่อน อีกทั้งยังพูดพลางปรายตาลองไล่ลงต่ำไปยังเนินนูนใต้ร่มผ้าของคนตรงหน้า

ซิ่นเฉิงมองตามก็รู้ดีว่าสายตาของเทียนอี้จับจ้องอยู่ที่ใด เท่านั้นก็พลิกตัวตะแคง หนีบขาแน่นด้วยไม่ต้องการให้อีกฝ่ายจ้องมอง
“ออกไปประเดี๋ยวนี้!”
“ข้าจะออกก็ต่อเมื่อเจ้าปลดเปลื้องตนเองเสร็จสิ้นแล้วครั้งหนึ่ง”

คำพูดนั้นทำเอาซิ่นเฉิงย่นหน้ายู่ทันที ก็ใช่ว่าเทียนอี้อยากจะดูอีกฝ่ายกระทำเรื่องส่วนตัวระบายกำหนดอะไรอย่างนั้นหรอก แต่เพื่อความแน่ใจว่าซิ่นเฉิงทำจริงๆ เขาจะต้องอยู่ดูจนกว่าจะเริ่มและสิ้นสุดลง ก่อนจะให้เหตุผลเพิ่มเติมเมื่อเห็นสายตาทิ่มแทงของซิ่นเฉิงมองมา

“เจ้าจะต้องระบายความร้อนในกายออกมา ไม่เช่นนั้นธาตุหยินหยางของเจ้าจะไม่สมดุล ถึงคราวนั้น เจ้าจะป่วยไข้จริงๆ ได้”
“ถ้าจะป่วยก็ปล่อยให้มันเป็นไป ข้าไม่ทำเรื่องนั้นในจวนของเจ้าเป็นอันขาด”

ก็พอจะรู้ว่าซิ่นเฉิงจะต้องดื้อแพ่ง แต่เทียนอี้มีวิธีรับมือในใจอยู่แล้ว

“หากเจ้าพร้อมจะเสียวรยุทธไปก็ตามแต่ใจเจ้า เพราะเมื่อธาตุหยินหยางของเจ้าไม่สมดุล ร่างกายของเจ้าก็จะเสื่อมถอย สมุนไพรนี้แม้จะเป็นโอสถปลุกกำหนัด แต่ก็มีโทษอยู่ไม่น้อย ข้าคงจะเตือนเจ้าได้เพียงเท่านี้”
โกหก... หากยังเป็นเทพอยู่ เทียนอี้คงได้ถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษในฐานพูดเท็จอย่างแน่นอน แต่มันกลับได้ผลเมื่อคำว่า ‘เสียวรยุทธ’ ดังเข้าหูของซิ่นเฉิง เขาเบิกตากว้างทันใด
“เจ้ามัน...”
“จะทำหรือไม่?”
ก่อนจะถูกบริภาษ เทียนอี้ก็ถามสวนมาแล้ว

ซิ่นเฉิงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงจะต้องยอมเสียศักดิ์ศรีดีกว่าเสียวรยุทธ เพราะถ้าเสียวรยุทธไป เขาคงจะหนีกลับทะเลทรายที่เขารักไม่ได้ ที่ผ่านมาเคยคิดไว้ว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอมทำเรื่องน่าอายอะไรนั่น ตอนนี้ซิ่นเฉิงลืมไปสิ้นแล้ว

“เจ้ามันบัดซบ...”

ก็ยังจะบริภาษอมนุษย์ตรงหน้าอยู่ดี แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะทำตามที่เทียนอี้บอก เขาพลิกตัวกลับมานอนหงาย มือข้างหนึ่งเอื้อมไปตรงช่วงล่างของลำตัว หมายจะปลดสายเชือกรัด ทว่าเรี่ยวแรงที่สูญหายไประหว่างวันทำให้มือของเขาสั่นเทาเสียจนแทบควบคุมไม่ได้ ขยับไปทางใดก็ไม่เป็นไปดั่งใจนึก จนซิ่นเฉิงต้องผรุสวาทออกมาอีก

“บัดซบเอ๊ย”
เทียนอี้เห็นความทุลักทุเลนั้นแล้วก็หน่ายใจ ถอนหายใจออกมา ก่อนจะขยับเข้าช่วยเหลือ
“ให้ข้าช่วย”
“ไม่ต้อง...”

ไม่ทันแล้ว... แค่สิ้นเสียงของตนเอง เทียนอี้ก็เอื้อมมือไปกระตุกกางเกงของอีกฝ่ายออกจากลำตัว เมื่ออาภรณ์เผยเรือนกาย ความเป็นบุรุษเพศก็ชูชันให้เห็น

เทพอสูรมองอีกฝ่ายที่หน้าม้านด้วยความอับอายเล็กน้อย เห็นว่ายังไม่ทำอะไรสักทีจึงเอ่ยปากถาม
“จะต้องให้ข้าช่วยเจ้าปลดเปลื้องด้วยไหม”

ถามออกไปอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะพูดเล่นหรอกนะ เขาพูดจริง เพราะอันที่จริง เขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมนุษย์หนุ่มตรงหน้า แต่ก็หาได้เอ็นดูเป็นพิเศษ เพียงแต่ตั้งใจจะปราบพยศอย่างใจเย็นเท่านั้น

ทว่าซิ่นเฉิงก็ตอบด้วยคำตอบเดิมอีก... “ไม่...”
“ข้าช่วย”

ไม่ได้ฟังกันเลย...

ใช่ว่าเทียนอี้จะไม่รู้ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ แต่เขาพินิจดูแล้ว ซิ่นเฉิงไม่น่าจะปลดเปลื้องตัวเองด้วยมือไม่ไหว ดังนั้นเทียนอี้จึงไม่รีรอที่จะเอื้อมมือไปกอบกุมท่อนเนื้อแข็งขึงตรงหน้า

ซิ่นเฉิงเบิกตาโตด้วยความตกใจ จะอ้าปากก่นด่าอยู่แล้ว ทว่าความเสียวกระสันก็พร่างพรายไปทั่วร่างเสียก่อนเมื่อไอร้อนจากฝ่ามือของคนตรงหน้าแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

“เจ้าอดกลั้นมาหลายชั่วยาม ข้าคิดว่าคงจะใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา” เทียนอี้ว่าเสียงเรียบให้ซิ่นเฉิงได้ปั้นสีหน้าน่ากลัวใส่

ยังจะมีหน้ามาพูดอีก!

แล้วสีหน้านั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อเทียนอี้เริ่มขยับมือ ความหวามไหวแล่นพล่านไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ซิ่นเฉิงกำผ้าห่มแน่น ปลายเท้าจิกเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จังหวะการหายใจจะเริ่มแรงขึ้นทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งริมฝีปากหนาก็ยังมีเสียงอือออเล็ดลอดออกมาอย่างสุดจะกลั้น

ช่างเป็นสถานการณ์ที่ชวนให้ซิ่นเฉิงกระอักกระอ่วนเสียจริง...

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถึงจุดสุขสมเมื่อความอดกลั้นตลอดทั้งวันทะลักออกมาเป็นสาย ซิ่นเฉิงรู้สึกราวกับร่วงหล่นจากผืนฟ้า บั้นเอวกระตุกลอยขึ้นเหนือฟูกนอนเล็กน้อย ก่อนที่จะหายใจหอบโยนเมื่อไอร้อนในร่างกายพอจะทุเลาลงได้บ้าง

เทียนอี้มองคราบแห่งความอภิรมย์ที่เปรอะเปื้อนมือและเส้นขนของเขาเล็กน้อย ก่อนจะกวาดมองหาผ้ามาเช็ด ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อกลิ่นของความสุขสมจากซิ่นเฉิงทำให้ร่างกายของเขาปั่นป่วนขึ้นมาบ้าง อย่างที่รู้กันว่าเขามีประสาทสัมผัสที่ไวทั้งการฟังและการได้กลิ่น เมื่อจมูกสัมผัสกับกลิ่นเย้ายวนทางกามารมณ์ เขาก็ร้อนรุ่มในกายขึ้นมา พลันในหัวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่เขาเผชิญอยู่นั้น มันคือ... อาการติดสัด

เป็นที่น่าสังเวชนักสำหรับเหล่าเทพอสูรที่มีปฏิกิริยาไวต่อกลิ่นเย้ายวนทางเพศ ต่างจากตอนเป็นเทพที่ไร้ซึ่งความต้องการใดๆ ด้วยมีตบะแก่กล้าจนสามารถละทิ้งเรื่องทางโลกได้ แม้จะไม่ได้ดื่มกินสมุนไพรเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีเข้าไปแท้ๆ แต่พอได้กลิ่นของซิ่นเฉิงแล้วมันก็...

อดใจไม่ไหวจนเผลอแลบลิ้นออกมาเลียปลายนิ้วซึ่งมีของเหลวสีขาวขุ่นเล็กน้อย ซิ่นเฉิงเห็นก็ขมวดคิ้วเป็นปม
“ทำอะไรของเจ้า”
เทียนอี้เหลือบมอง เห็นสายตาข้องใจก็ตอบเสียงเรียบ
“ชิมรสชาติของเจ้า”

เรียวคิ้วของซิ่นเฉิงแทบจะหลอมรวมเป็นแนวเดียวกันอยู่แล้ว
“เจ้า...เจ้าว่าเจ้าทำอะไรนะ”

เทียนอี้หยุดเลียปลายนิ้ว ขยับกายเข้าใกล้และโน้มใบหน้าลงต่ำไปสูดคมซอกคอของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ ไออุ่นจากลมหายใจที่คลอเคลียอยู่ข้างๆ ลำคอชนิดไม่ทันตั้งตัวทำเอาซิ่นเฉิงพรึงเพริดกับสิ่งที่เกิดอยู่มากทีเดียว ก่อนที่จะโวยวายออกมาเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนจมูกเปียกชื้นมาสูดดมที่หูของเขา

“เจ้าทำอะไร!”
“ข้ากำลังครุ่นคิดว่ากลิ่นหอมหวานนี้มาจากส่วนไหนของร่างกายเจ้ากัน”

เป็นการตอบที่ราบเรียบมาก แต่หารู้ไม่ว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเทียนอี้เต้นรัวเร็วเสียเหลือเกิน เขาไม่เคยมีอาการนี้กับสตรีคนใด ไม่เว้นแม้แต่บุรุษใดด้วย แม้จะเคยได้กลิ่นคาวกามาจากมนุษย์เพศชายอยู่บ้าง แต่ก็หาได้มีกำหนัด อยากลิ้มชิมรสอะไรอย่างนี้ ทว่ากับซิ่นเฉิงแล้วช่างน่าแปลกนัก เขาเกิดอยากจะสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้

“จะส่วนไหนก็หาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องสนใจไม่ ออกไปได้แล้ว อึ้ก...”

ซิ่นเฉิงโวยวาย แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเทียนอี้ไม่ได้ฟัง อีกทั้งยังแลบลิ้นเลียที่ปลายหูของเขาอย่างแผ่วเบา ความกำหนัดที่ทุเลาลงไปเมื่อครู่รวมตัวกันอีกครั้งคล้ายพายุฝนที่กำลังตั้งเค้า อวัยวะความเป็นชายที่อ่อนนุ่มลงไปแล้วแข็งขืนขึ้นมาอีกระลอก คราวนี้เองที่กลิ่นหอมเย้ายวนพวยพุ่งมาแตะจมูกของเทียนอี้

กลิ่นนั้น...มาจากอารมณ์กำหนัดของซิ่นเฉิงนั่นเอง

แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องไม่สมควร อดีตเขาเคยเป็นเทพ ไม่ควรสนใจเรื่องกิเลสตัณหา แต่ด้วยความที่กลายมาเป็นเทพอสูร ถ้าไม่นับเรื่องรูปร่างอัปลักษณ์ เขาก็มีกิเลสเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ ดังนั้นการจะให้อดทนต่อสิ่งยั่วยวนตรงหน้านั้นช่างเป็นไปได้ยาก
สักครั้งคงไม่เป็นไร...

เทียนอี้บอกกับตัวเองที่หน้ามืดเช่นนั้น ก่อนจะตวัดปลายลิ้นลากไล้ไปตามผิวหนังอุ่นร้อนของคนใต้ร่างตั้งแต่ใบหู ซอกคอ และแนวกระดูกไหปลาร้า

ซิ่นเฉิงที่ต่อต้านเมื่อครู่เกร็งตัวแข็ง เขาพยายามที่จะเอ่ยห้าม
“ยะ...หยุด...”

แต่เมื่อเทียนอี้เลื่อนตัวต่ำลงไปยังแผ่นอก และแลบลิ้นเลียไปยังตุ่มไตเม็ดเล็ก คำพูดที่หลุดออกจากปากเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงครางกระเส่าอย่างพึงใจ

ความเสียวซ่านช่างเป็นน้ำเมาที่ทำให้เขาลุ่มหลงได้ง่ายดายนัก...

ตกเป็นท่อนไม้ให้เทียนอี้ได้ลูบคลำตามใจ เทพอสูรเห็นว่าแค่ชิมรสด้วยปลายลิ้นคงยังไม่พอ เขาจึงขบเม้มยอดอกเข้าไปด้วยอีก เท่านั้นร่างของซิ่นเฉิงก็กระตุกเฮือก เมล็ดพันธุ์เล็กๆ สีชมพูอมน้ำตาลตามสีผิวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ดูเหมือนเทียนอี้จะชื่นชอบส่วนนี้มากเป็นพิเศษ วุ่นวายชิมรสอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะเคลื่อนกายลงต่ำ จูบไล่ไปตามหน้าท้องแกร่งกระทั่งถึงยังส่วนกลางของลำตัว

บัดนี้มันแข็งขึงเต็มที่... เทียนอี้ใช้มือรูดรั้ง หยาดน้ำสีขาวใสเอ่อปริ่มยังส่วนยอด ก่อนปลายลิ้นอุ่นร้อนจะตวัดเลีย ไอร้อนจากลมหายใจและปากของเทพอสูรทำเอาซิ่นเฉิงปั่นป่วนสับสนไปหมด ในหัวของเขามีแต่การต่อต้าน ในขณะที่ร่างกายกลับตอบรับสัมผัสนั้นอย่างยินดี ครั้นถูกเทียนอี้ขบเม้ม เขาก็แอ่นสะโพกรับเสียอย่างนั้น

ทุกอย่างช่างไม่เป็นไปอย่างที่เขานึกคิดไว้เสียเลย...

เทียนอี้เองก็เช่นกัน หลายครั้งหลายคราทีเดียวที่สมองสั่งการให้เขาหยุดด้วยคำนึงได้ถึงความผิดชอบชั่วดี กระนั้นก็ไม่อาจละใบหน้าออกจากการชิมรสโอชาของมนุษย์หนุ่มได้ ยังคงเลียไล้จนแก่นกายของซิ่นเฉิงชุ่มฉ่ำ มอบความหวามไหวชวนอภิรมย์ให้อีกฝ่ายราวกับรักใคร่เสียเต็มประดา ทั้งที่จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากอารมณ์กำหนัดอย่างเดียวเท่านั้น

ถูกปรนเปรอไม่หยุดยั้ง ซิ่นเฉิงก็ถึงฝั่งฝันอีกระลอก ธาราแห่งความสุขสมไหลทะลัก เทียนอี้กลืนกินเสียสิ้น ในใจก็คิดไปว่ารสชาติของคนทะเลทรายผู้นี้ช่างหวานหอมเสียจริง ก่อนจะผละออกมามองหน้าของซิ่นเฉิงที่แดงก่ำ หายใจกระหืดหอบ มองเขาด้วยสายตายั่วยวนอยู่

สายตายั่วยวน... จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดนัก ดวงตาสีนิลดูลึกลับนั่นช่างฉ่ำหวาน ยิ่งอีกฝ่ายปรือตาด้วยแล้ว ก็ทำให้คนมองหลงเอ็นดูไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็ได้สติเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะได้กระทำการไม่คาดฝันอีกครั้งเป็นแน่

“พักผ่อนเสีย ได้ปลดเปลื้องถึงสองครั้ง ราตรีนี้เจ้าคงจะหลับสบายขึ้น” เทียนอี้ว่า ผุดลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปยังประตู ก่อนจะชะงักฝีเท้า หันมามองเล็กน้อย “พรุ่งนี้เจ้าก็ไม่ต้องไปช่วยงานใดๆ พักผ่อนจนกว่าจะครบเจ็ดราตรี ฤทธิ์ของสมุนไพรจางหายไปเมื่อไร เจ้าค่อยออกจากห้องนี้ ข้าจะให้พ่อบ้านเหลียงส่งคนมาดูแล”

พูดเสร็จก็ผลักบานประตูออกไป ปล่อยให้ซิ่นเฉิงมองด้วยความเจ็บแค้นแทบสิ้นสติเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนหลงเผลอไผลไปกับสิ่งใด

เจ้าอมนุษย์! หยามเกียรติข้าเช่นนี้ เห็นทีเจ้ากับข้าจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เสียแล้ว!
*******************
ท่านเทพนี่เนียนเชียวนะเจ้าคะ
ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นไซบีเรียนฮัสกี้มั้ยเนี่ย 55
ตอนนี้ว่าเด็ดแล้ว ตอนหน้ายิ่งเด็ดค่ะ
ขอกำลังใจให้นายน์ด้วยนะ ไปกดไลก์ที่เพจได้
ไว้ไปพูดคุยกันค่ะ
https://goo.gl/GAWFoz

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
รอตอนต่อไปจ้า  :L2:

ออฟไลน์ ice.sp0211

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
นึกว่าได้กัน 7 วัน 7 คืน -,,-

ออฟไลน์ tamako

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-6
ปูเสื่อรอตอนต่อไป

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
 :L1:อร๊ายตอนหน้าคง.. .

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ความดื้อด้านนี้ซิ่นเฉิงได้แต่ใดมา หนักใจแทนเทียนอี้เลยหรือจะเคยเจอเทพอสูรข่มเหงมาก่อน เลยเกลียดเทพอสูรทุกตัว

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
โทษใครไม่ได้เลยนะนั่น ต้องโทษตัวเองล้วนๆ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
สนุกดี จะคอยดูว่าเทียนอี้จะปราบแมวป่าจอมพยศนี่ได้ยังไง

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ดื้อหยิบกินเอง โทษใครไม่ได้จ้าาา  :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 6: ศิโรราบ

ถึงจะคิดว่าไม่ยอมให้แม่ทัพเทพอสูรผู้นั้นข่มเหงอีกต่อไป ทว่าเมื่อราตรีใหม่มาถึง ซิ่นเฉิงก็จำต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเจ้าของจวนอย่างไม่อาจเลี่ยง อาการที่บังเกิดจากฤทธิ์ของสมุนไพรปลุกกำหนัดสร้างความทรมานให้เขาตั้งแต่เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ครั้งนั้นเขาได้ปลดเปลื้องความอัดอั้นออกไปด้วยตนเองแล้ว ทว่า...ดูเหมือนจะยังไม่พอ ผ่านไปไม่ถึงชั่วยาม เขาก็เกิดร้อนรุ่มไปทั่วร่างอีก ครั้งนี้เหมือนจะไม่พอหากกระทำด้วยฝ่ามือตนเอง

เขาต้องการมากกว่านี้...
ต้องการถูกกระทำให้มากกว่านี้...

แท้จริงแล้ว ร่างกายของเขากำลังเรียกร้องไออุ่นจากสิ่งมีชีวิตต่างหาก ความทรมานส่งผลให้ซิ่นเฉิงครวญครางไม่หยุด เสียงที่ดังอึดอือลอยมาตามลมสร้างความรำคาญใจให้กับเทียนอี้ซึ่งนั่งประจำอยู่ในห้องหนังสืออีกเช่นเคย สุดท้ายเขาก็ต้องมาปรากฏกายที่ห้องพักส่วนตัวของมนุษย์หนุ่ม จัดการปรนเปรอด้วยมือ ปลายลิ้น และปากอย่างที่กระทำในราตรีแรก พลางถือโอกาสนี้สั่งสอนเจ้าแมวป่าดื้อด้านตัวนี้ไปด้วย

“สิ่งใดที่ข้าห้าม นั่นหมายถึงข้าได้ไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่แล้วว่าไม่เป็นผลดี เจ้าเป็นคนในจวนของข้า ข้าย่อมไม่ทำร้ายเจ้า ดังนั้นต่อจากนี้ขอให้เชื่อฟัง”
“มะ...ไม่มีวัน อา...”

แม้จะหอบหายใจกระเส่า ทว่าริมฝีปากหนานั้นก็ยังเปล่งประโยคต่อต้านออกมา

เทียนอี้ซึ่งกำลังเลียไล้ไปตามแผ่นอกเหลือบมองเล็กน้อย ครั้นเห็นใบหน้าของซิ่นเฉิงแดงก่ำด้วยไอร้อนที่พร่างพราวไปทั่วทั้งกาย เขาก็นึกอยากจะรังแกเจ้าคนดื้อด้านผู้นี้ขึ้นมา ตวัดปลายลิ้นดุนดันยอดอกสีเข้มอย่างรุนแรง มือข้างที่กอบกุมแก่นกายความเป็นชายของซิ่นเฉิงอยู่รูดรั้งด้วยจังหวะที่กระชั้นมากขึ้น เมื่อได้ยินซิ่นเฉิงหอบถี่ เขาก็ชะลอความเร็ว ทำเอาซิ่นเฉิงหรี่ตามองอย่างไม่พอใจ

“เจ้า...!”
ที่ไม่พอใจนั้นเป็นเพราะอีกเพียงหนึ่งถ้วยชา เขาก็จะสุขสมแล้ว หากแต่เทียนอี้กลับยับยั้งไว้คล้ายกลั่นแกล้งให้เขาได้ทรมาน ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดคิด เพราะเมื่อเอ่ยประท้วง เทียนอี้ก็ถามกลับ
“จะเชื่อฟังข้าหรือไม่?”
“ข้าไม่...อือ...”

พูดยังไม่ทันจบ เทียนอี้ก็เร่งจังหวะขึ้นอีก ความหวามไหวที่พวยพุ่งขึ้นมาอีกคราทำเอาซิ่นเฉิงพูดต่อไม่ออก ครั้นเทียนอี้หยุดมือก็ถูกถามอีกครั้ง

“ว่าเช่นไร ต่อจากนี้เจ้าจะเชื่อฟังที่ข้าพูดหรือเปล่า ซิ่นเฉิง”
เป็นการถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทว่าแฝงไปด้วยการแสดงอำนาจ

ซิ่นเฉิงอยากจะปฏิเสธนัก หากแต่เขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นต่อ จึงจำต้องตอบรับไป
“ข้า...ข้าจะเชื่อฟัง ได้โปรด...” ตบท้ายด้วยการขอร้องเพราะทนกับความอึดอัดนี้ไม่ไหว

มุมปากสุนัขป่าของเทียนอี้ยิ้มยกขึ้นคล้ายพอใจ จากนั้นก็มอบรางวัลของการเชื่อฟังให้มนุษย์ตรงหน้าด้วยการปล่อยให้เขาไปถึงจุดสุขสม

ซิ่นเฉิงแอ่นกายสะท้าน บั้นเอวยกสูงเมื่อตัวกระตุกเกร็ง ของเหลวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความอภิรมย์สาดกระเซ็น และเป็นเทียนอี้ที่เป็นผู้เก็บกวาดคราบนั้นด้วยปลายลิ้น

ดูเหมือนว่าเขาจะติดใจรสชาติโอชาจากร่างกายของซิ่นเฉิงเสียแล้ว...

และไม่ใช่เพียงราตรีที่สอง ราตรีที่สาม สี่ ห้า และราตรีถัดไปก็เป็นเทียนอี้ที่ให้การดูแลมนุษย์หนุ่มจอมเกเรผู้นี้เป็นอย่างดี หากแต่คราวนี้หาใช่แค่การใช้มือและปากที่ปรนเปรอเพียงอวัยวะความเป็นชายให้ซิ่นเฉิงได้บรรเทากำหนัดอย่างเดียว เทียนอี้เกิดละโมบอย่างไม่สมควร สบโอกาสก็ยกขาทั้งสองข้างของซิ่นเฉิงขึ้นสูง ตวัดปลายลิ้นชำแรกสำรวจไปตามรอยจีบเล็กๆ ที่อยู่ทางด้านหลังของชายหนุ่ม

ในคราแรก ซิ่นเฉิงเองก็ป่ายปัดอยู่เหมือนกัน ทว่าฤทธิ์ของสมุนไพรเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีนั้นร้ายแรงตรงที่มันจะปลุกกำหนัดให้ทวีมากขึ้นในแต่ละวัน ถึงจะได้รับการปลดปล่อย กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าอาการจะทุเลาลงและดีขึ้น มันเป็นเพียงอาการบรรเทาชั่วครั้งคราวเท่านั้น อย่างที่เทียนอี้บอก... จนกว่าจะครบเจ็ดทิวา เจ็ดราตรี อาการนั้นจะไม่หายไป

เป็นดั่งการลงโทษจากสวรรค์ ซิ่นเฉิงโทษใครไม่ได้นอกจากตนเอง เขาจำต้องยอมรับความอับอายที่เกิดขึ้น

สองมือกำผ้าห่มแน่น ฟันบนและล่างขบเข้าหากันกรอด พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เมื่อถูกเทียนอี้ปลุกเร้าขึ้น แต่ก็ไม่อาจทนไหว เพียงแค่ปลายลิ้นและฝ่ามือหาได้ทำให้เขาเพียงพอเลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียนอี้ละใบหน้าออกจากรอยแยกที่บั้นท้าย ซิ่นเฉิงก็ส่งเสียงกระเส่า
“อีก... มากกว่านี้อีก...”
“เจ้าหมายถึงสิ่งใด” คนฟังเอ่ยถาม ขณะที่ซิ่นเฉิงปรือดวงตาฉ่ำมอง
“สัมผัสข้าให้มากกว่านี้...”

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์สมุนไพรหรือเปล่าที่ทำให้ซิ่นเฉิงเอ่ยประโยคนี้ออกมา แต่ก็ทำให้เทียนอี้รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขาปรนเปรอให้อยู่นั้นหาได้เพียงพอ

แล้วเช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรงั้นหรือ?

เทพอสูรจ้องมองบุปผชาติที่แย้มออกเล็กน้อยคล้ายเชิญชวนให้เขาสัมผัส ก่อนจะมองสลับมาที่นิ้วมือของตนเอง

หรือจะต้องการให้เขาสำรวจลึกยังด้านใน?

ไม่ผิดแน่ ถึงจะเป็นเทพ ไม่เคยร่วมอภิรมย์ทางกายเฉกเช่นมนุษย์ แต่ก็หาใช่ว่าจะไม่รู้วิธีการ ก่อนเขาจะจับขาทั้งสองข้างของซิ่นเฉิงวางราบ ลุกขึ้นจากเตียงไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเอาของบางอย่างออกจากลิ้นชักเล็กๆ

“เจ้าทำอะไร” ซิ่นเฉิงถามด้วยอารามสงสัย
เทียนอี้ถืออะไรบางอย่างในมือ ก่อนที่จะมีเสียงดังแกรบๆ ตามมา
“ตัดเล็บ”

ใช่... ตัดเล็บ ในมือของเขาถือมีดไขว้อันเล็กอยู่ และบรรจงตัดปลายเล็บแหลมคมที่งอกยาวจากปลายนิ้วทีละนิ้ว ยกขึ้นสำรวจดูว่าไม่มีร่องรอยความคมเป็นที่เรียบร้อยจึงค่อยกลับมานั่งลงที่เดิม

“เจ้าเป็นเทพอย่างไรกัน กิเลสช่างหนานัก” ซิ่นเฉิงอดไม่ได้ที่จะบริภาษ
อีกฝ่ายแสร้งทำหูทวนลม คว้าขาทั้งสองข้างของคนตรงหน้ารั้งขึ้นสูงดังเดิม
“ข้าเป็นเทพอสูร หาใช่เทพบนสวรรค์ดังเก่า ไม่จำเป็นต้องละกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น”

จากนั้นก็ใช้ลิ้นเลียลงไปยังรอยแยกอีกครั้ง ดอกบุปผชาติตูมหุบเข้าหากันด้วยหวามไหว ซิ่นเฉิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วสรรพางก์กาย แก่นกายที่ได้รับการปลดปล่อยไปก่อนหน้าหลายครั้งหลายคราแข็งขืนขึ้นมาอีกระลอก ครั้นถูกปลายนิ้วสอดเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มก็บิดเร่าด้วยไม่คุ้นกับสัมผัสแปลกใหม่นี้

เทียนอี้ชะงักเล็กน้อย ลอบสังเกตอาการของซิ่นเฉิงว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่เห็นว่าแสดงอาการเจ็บปวดออกมา นอกจากสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยเพลิดเพลินกับความหฤหรรษ์ เขาจึงค่อยๆ ดุนดันปลายนิ้วนั้นเข้าไป

จากหนึ่ง...เป็นสอง

ช่องท้องของบุรุษทะเลทรายมวนไปหมดด้วยรู้สึกอึดอัด ฉับพลันก็กลายเป็นความยินดีเมื่อความเสียวซ่านแผ่กำจายไปทั่วเรือนร่าง เทียนอี้ขยับนิ้วทีละน้อย ก่อนจะสัมผัสถูกเข้ากับจุดชีพจรภายใน ขยับแรงกว่านี้อีกเล็กน้อย เสียงครางกระเส่าก็ดังลอดออกจากไรฟันของซิ่นเฉิง บริเวณนั้นช่างอ่อนไหวและไวต่อการสัมผัสเสียจนน่ารำคาญ ขณะเดียวกันก็เติมเต็มให้เขาได้มากกว่าเดิม
ซิ่นเฉิงแหงนหน้าขึ้นเมื่อถูกรุกเร้าเสียจนประคองสติไม่อยู่ เส้นผมสีนิลกระจายเต็มหมอน เหงื่อเม็ดโตผุดพรายทั่วกรอบหน้า อีกทั้งเรียวคิ้วกระบี่ก็ยังขมวดมุ่น สีหน้าและท่าทางดูทรมานนั้นก่อเกิดเป็นภาพงดงามในสายตาของเทียนอี้ เขาเองก็แทบไม่อาจทนต่อการยั่วเย้าของมนุษย์ผู้นี้ได้ไหว เกือบจะหลงมัวเมาไปด้วยอยู่แล้วเพราะร่างกายของเขาก็ร้อนรุ่มไม่ต่างกัน ธาตุหยินและหยางดูจะแปรปรวนน่าดู อวัยวะแห่งความเป็นชายถึงได้ดุนดันใต้ร่มผ้าถึงเพียงนี้ ทว่าก็ระงับความปรารถนานั้นได้ทันเมื่อซิ่นเฉิงถึงฝั่งฝันอีกระลอก คราวนี้เหมือนจะเร็วกว่าการถูกโลมเลียด้วยลิ้นและขบกัดด้วยปากเสียอีก

เป็นเทียนอี้ที่จัดการกลืนกินทุกหยาดหยด เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาพึงพอใจได้...แม้ว่าครั้งนี้จะไม่ได้พึงใจอย่างเต็มที่นัก ด้วยเขาประสงค์จะสัมผัสร่างกายของซิ่นเฉิงมากกว่าที่เป็นอยู่

แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับราตรีนี้...

เทียนอี้ถอนนิ้วออกมา จัดระเบียบร่างกายของซิ่นเฉิงให้เข้าที่ ก่อนจะคว้าเอาผ้าสะอาดที่เตรียมไว้มาชุบน้ำในอ่างและบิดหมาด จากนั้นจึงนำมาเช็ดทำความสะอาดอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำให้ในราตรีก่อนๆ

ซิ่นเฉิงที่หายใจหอบเบาๆ ชำเลืองมอง เขาไม่อยากจะใส่ใจนักด้วยเริ่มคุ้นชินกับสิ่งที่เทียนอี้ทำให้แล้ว ปิดเปลือกตาลง หมายจะพักผ่อน กระนั้นก็ต้องหัวเสียเมื่อเทียนอี้ว่าขึ้น

“เหลือพรุ่งนี้อีกวัน เจ้าก็จะกลับสู่ปกติ”
“ข้าก็จะรอดพ้นจากการหยามเกียรติของเจ้า”

ซิ่งเฉิงจงใจพูดให้รู้ว่าความจริงคือสิ่งนี้ต่างหาก
เทียนอี้พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย

“ข้าหาได้หยามเกียรติเจ้า”
“สิ่งที่เจ้าทำอยู่มันคือการหยามเกียรติ”
“ข้าก็แค่ทำความสะอาดให้ ดูแลเจ้าเฉกเช่นคนรับใช้อื่นๆ ในจวน ส่วนก่อนหน้านั้น เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่เรียกร้องให้ข้าทำเอง?”

ถูกยอกย้อนมาอย่างนี้ ซิ่นเฉิงก็พูดต่อไม่ออก

ก็จริงอยู่ที่เขาเรียกร้องให้เทียนอี้กระทำกับเขาให้มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่เดิมทีแล้ว มันใช่เขาหรือที่เริ่ม เป็นเทียนอี้ผู้นี้ต่างหากเล่า! หากราตรีแรกเขาไม่โผล่เข้ามา ไม่สัมผัสร่างกายเขาอย่างถือวิสาสะ มีหรือจะเลยเถิดมาถึงเพียงนี้!?

“เจ้ามัน...น่าไม่อาย”
“ส่วนเจ้าก็ดื้อด้าน”

ปกติแล้ว เทียนอี้ไม่ชื่นชอบการถกเถียงเท่าไรนัก แต่กับซิ่นเฉิงมันจำเป็นเพราะต้องสั่งสอน

“เจ้าจะข่มเหงข้าไปถึงเมื่อไรกัน”
“แล้วเจ้าล่ะ คิดจะพยศไปถึงเมื่อไร ไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”

ซิ่นเฉิงกลอกตา เหตุใดถึงมายอกย้อนเขาทุกคำพูดเยี่ยงนี้เล่า!?

“จะพยศหรือไม่ก็เป็นเรื่องของข้า หาได้เกี่ยวกับเจ้าไม่”
“พูดว่าไม่เกี่ยวกับข้าไม่ได้ เจ้าเป็นคนของจวนข้า ข้าคือผู้ปกครอง เรื่องของคนในจวนล้วนเป็นเรื่องของข้าทั้งสิ้น”

ได้ฟังดังนั้น ซิ่นเฉิงก็แค่นหัวเราะเย้ยออกมา
“คนของเจ้า... หึ ก็เพียงแค่ร่างกายของข้าเท่านั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของเจ้า แต่หัวใจของข้าหาได้ยอมศิโรราบไม่”

เทียนอี้ถึงกับชะงักมือ เหลือบมองใบหน้าหยิ่งทระนงของอีกฝ่าย ก่อนจะส่งเสียงถอนหายใจออกมาให้ได้ยิน
“ข้าได้พูดไปแล้ว สิ่งใดที่ข้าเตือนหรือสั่งห้าม มันหมายถึงข้าได้พิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดี เจ้าอยู่ใต้อาณัติข้า ก็ขอให้จงเชื่อฟังเถิด อย่าทำให้พ่อบ้านเหลียงหรือผู้อื่นในจวนต้องหนักใจไปมากกว่านี้”

หาได้ห่วงตนเองเลยแม้แต่น้อย หวั่นแต่เพียงว่าคนอื่นๆ จะพากันโลหิตในสมองแตกตายเพราะความดื้อรั้นของซิ่นเฉิงเสียมากกว่า

ซิ่นเฉิงก็ย่อมต้องเถียงกลับอยู่แล้ว ทว่าครานี้กลับชะงักเมื่อเทียนอี้พูดออกมาอีก
“หากเจ้าเชื่อฟังข้า ไม่แน่ภายภาคหน้าข้าอาจจะเอ็นดูเจ้ากว่านี้ก็เป็นได้ เจ้าอาจจะได้กลับไปยังทะเลทรายที่เจ้าจากมา”
เท่านั้นซิ่นเฉิงก็ลุกพรวด มองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู

“กลับ? เจ้าหมายถึง...จะปล่อยข้า?”
“หากเจ้าเชื่อฟัง” เทียนอี้จ้องใบหน้าคร้ามของมนุษย์หนุ่ม พูดออกมาช้าๆ

เข้าใจแล้ว... แค่เชื่อฟังเท่านั้นใช่ไหม

ซิ่นเฉิงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง น่าอึดอัดใจเสียหน่อยที่จะต้องยอมสิ้นพยศให้เพียงเพราะอยากกลับไปยังทะเลทราย แต่เขาก็ยอมทำตาม... แค่ในตอนนี้

“ได้ ข้าจะยอมเชื่อฟังเจ้า”

เทียนอี้ไม่เชื่อนักหรอกว่าคนตรงหน้าจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากแบมือไปตรงหน้า เมื่อซิ่นเฉิงมองมือนั้นอย่างสงสัย เขาถึงได้พูดออกมา

“ส่งแขนของเจ้ามา ข้าจะทำแผลให้ใหม่”

บาดแผลที่ถูกคมดาบบาดยังคงไม่หายดี นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ได้รับการดูแลจากเทียนอี้เป็นอย่างดีทุกวัน

ซิ่นเฉิงส่งแขนข้างที่มีผ้าพันแผลให้ ปล่อยให้เทียนอี้ได้ทำแผลให้ใหม่ ขณะที่ในใจก็คิดไปด้วย

ศิโรราบเช่นนั้นหรือ? หากเจ้าอยากได้ความภักดีจากข้ามากนัก ข้าก็จะมอบให้ เจ้าสุนัขป่า...



 
ราตรีที่เจ็ดเยื้องย่าง ซิ่นเฉิงได้รับการปรนเปรอจากเทียนอี้อีกเช่นเคย อาการในค่ำคืนนี้แลดูจะรุนแรงกว่าทุกวัน เทียนอี้ต้องใช้เวลาหลายชั่วยามทีเดียวในการหยอกเย้าทุกจุดชีพจรของอีกฝ่าย การสอดใส่ปลายนิ้วเกิดขึ้นอีกครั้ง ซิ่นเฉิงหาได้รังเกียจ แต่ก็ไม่ได้ยินดี ขณะเดียวกันก็ช่างสร้างความรื่นรมย์ให้เขาไม่ใช่น้อย

กว่าการเยียวยาอาการกำหนัดจากสมุนไพรเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีจะเสร็จสิ้นก็ย่ำรุ่งสาง เทียนอี้เป็นฝ่ายที่ออกมาจากห้องก่อนเช่นทุกครา ปล่อยให้ซิ่นเฉิงซึ่งเสียพลังกายไปกับการปลดเปลื้องพายุอารมณ์ได้พักผ่อน หากแต่การกลับออกมาในเกือบอรุณรุ่ง ทำให้เขาได้พบกับพ่อบ้านเหลียงซึ่งตื่นมาทำหน้าที่อย่างทุกวันโดยไม่ได้ตั้งใจ ครั้นจะเดินผ่านหน้าไปไม่ทักทายก็ดูจะเป็นพิรุธ

แต่ต่อให้เขาเอ่ยทัก... ก็เป็นพิรุธเช่นกันด้วยเทียนอี้แลดูจะนิ่งขรึมมากเป็นพิเศษ
“ท่านแม่ทัพมีเรื่องใดไม่สบายใจหรือไม่ สีหน้าของท่านแลดูตึงเครียด”

ด้วยใบหน้าสุนัขป่านี้ ยังจะดูออกอีกหรือ?

เทียนอี้ถึงกับขมวดคิ้ว พลันก็สำนึกขึ้นได้ว่าเขาอยู่กับพ่อบ้านเหลียงมานานนับหลายร้อยปี ไม่แปลกนักถ้าหากจะดูออกว่าเทียนอี้มีความผิดปกติไปจากเดิม

“ไม่ได้มีเรื่องใดไม่สบายใจหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะเจ้ามนุษย์นั่นกระมังที่ทำให้ท่านดูเหนื่อยอ่อนเช่นนี้”

พ่อบ้านเหลียงจับผิดในทันที ดวงตาสีเหลืองเข้มจ้องมองผู้เป็นนายอย่างขอคำตอบ ส่วนเทียนอี้ก็เหลือบมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนหลบสายตา

...ท่าทางค่อนข้างเป็นธรรมชาติ กระนั้นก็ยังออกพิรุธอยู่ดี

“ข้าเพียงแต่อ่านตำราจนไม่ได้นอน”
“แต่ข้าเห็นท่านออกมาจากห้องของซิ่นเฉิง หาได้ออกมาจากห้องหนังสือ” จับผิดไปอีกแล้ว

เทียนอี้ถึงกับย่นจมูก “เจ้าอยากจะถามสิ่งใดกับข้าก็ถามมาตรงๆ เถิด ไม่ต้องอ้อมค้อม”

โดนไล่ต้อนจนมุมแล้ว เทียนอี้จึงใช้การกล่าวตามตรงตามอุปนิสัยของตน ทำให้พ่อบ้านเหลียงได้เปิดปากถามไขข้อข้องใจ

“ท่านแม่ทัพบอกว่าจะเป็นผู้ดูแลซิ่นเฉิงเอง การที่ท่านเข้าไปในห้องของมนุษย์ผู้นั้นทุกวัน ท่านเข้าไปทำสิ่งใดหรือขอรับ?”

แสร้งถามไปเช่นนั้นแหละ มีหรือที่พ่อบ้านเหลียงจะไม่รู้ว่าเทียนอี้ไปกระทำสิ่งใด ถึงเขาจะเป็นเทพอสูรที่มีเรือนกายครึ่งหนึ่งเป็นจระเข้ แต่จมูกก็มีสัมผัสที่ไวเฉกเช่นกับเทียนอี้ ไยเลยเขาจะไม่ได้กลิ่นน้ำกามที่ติดตัวของผู้เป็นนายออกมา

“เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ไยถึงต้องถาม” เทียนอี้เลี่ยงที่จะไม่ตอบไปตามตรง เอ่ยถามกลับ
เท่านั้น พ่อบ้านเหลียงก็ทอดถอนหายใจ
“ท่านแม่ทัพ... ท่านจะเลยเถิดมากไปหน่อยกระมัง”

เทียนอี้ไม่เถียง สิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง

“แม้ท่านจะกลายเป็นเทพอสูร มีกิเลสตัณหาไม่ต่างจากมนุษย์ นับว่าเป็นเรื่องไม่ผิดแผก แต่หากท่านจะมีปฏิพัทธ์ทากายกับผู้ใด ขอให้ผู้นั้นเป็นสตรีจะได้หรือไม่ ท่านก็รู้ว่ากองทัพต้องการทหาร...”

“พ่อบ้านเหลียง” ก่อนที่พ่อบ้านเหลียงจะได้บ่นไปมากกว่านี้ เทียนอี้ก็ขัดขึ้นเสียก่อน เมื่ออีกฝ่ายหยุดพูด เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอีกครา “ข้ารู้ เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว”

“เข้าใจดี แต่ท่านก็ยังไม่สนใจตบแต่งฮูหยินเข้าจวน กลับไปร่วมอภิรมย์กับเจ้ามนุษย์นิสัยน่ารังเกียจผู้นั้นเสียได้” พ่อบ้านเหลียงคล้ายจะยอม แต่สุดท้ายก็อดค่อนแคะไม่ได้
“ข้าไม่ได้ร่วมอภิรมย์ ข้าเพียงให้ความช่วยเหลือเท่านั้น” เทียนอี้แก้ต่าง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่กระทำ “และข้าก็ถือโอกาสสั่งสอนชายผู้นั้นด้วย ต่อจากนี้คงจะยอมศิโรราบให้กับข้าและเจ้ามากขึ้น”

ได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านเหลียงก็ไม่เชื่อหู นึกว่าเป็นเรื่องขบขันไปเสียด้วย
“คนอย่างนั้นน่ะหรือจะยอมศิโรราบให้ท่านโดยง่าย ให้ดอกท้อผลิบานในฤดูเหมันต์[1]ยังจะเชื่อง่ายกว่าอีกขอรับ”

ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แม้แต่เทียนอี้ยังไม่เชื่อเลย

“คงต้องรอดู” แม่ทัพเทพอสูรว่าเสียงเรียบ ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้ามีอะไรจะพูดคุยอีกหรือไม่ หากไม่มี ข้าก็อยากจะกลับไปพักผ่อน”
“เชิญท่านแม่ทัพเถิด”

เห็นผู้เป็นนายแสดงท่าทีเหนื่อยอ่อน พ่อบ้านเหลียงก็ไม่อยากรั้งไว้ ก่อนที่เทียนอี้จะพาร่างใหญ่ผละจากไป ปล่อยให้อีกฝ่ายมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วได้แต่ทอดถอนหายใจ

ศิโรราบเช่นนั้นหรือ? ไม่อาจนึกภาพมนุษย์กระด้างผู้นั้นออกเลย...



 
เมื่อหายจากอาการกำหนัดเป็นปลิดทิ้ง ซิ่นเฉิงก็กลับมานอนยังเรือนนอนของคนรับใช้ดังเดิม ครั้นครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเทียนอี้ก็พลันให้เจ็บใจ อีกทั้งยังอยากจะมุดแผ่นดินหนี หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อล้างอายเสียเหลือเกิน

เจ้าสุนัขป่านั่น... กล้าดีเช่นไรถึงได้ลิ้มรสข้าไปทั่วทุกอณูอย่างนั้น!

ได้แต่เค้นถามคำถามนี้ในใจไปมา ความคิดที่ผุดพรายขึ้นมาในหัวมีแต่อยากจะสังหารเทพอสูรผู้นั้นให้สิ้นซากอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าก็ตระหนักได้ว่าเทียนอี้ได้พูดเอาไว้ว่าเช่นไร

‘หากเจ้าเชื่อฟังข้า ไม่แน่ภายภาคหน้าข้าอาจจะเอ็นดูเจ้ากว่านี้ก็เป็นได้ เจ้าอาจจะได้กลับไปยังทะเลทรายที่เจ้าจากมา’

เป็นความปรารถนาหนึ่งเดียวของเขาในยามนี้ ดังนั้น ซิ่นเฉิงจึงวางตัวดีเป็นพิเศษ การเชื่อฟังคำสั่งของพ่อบ้านเหลียง ให้ความร่วมมือกับทุกภาระหน้าที่ผิดหูผิดตาช่างสร้างความประหลาดให้ให้กับคนในจวนแม่ทัพเทียนอี้ไม่น้อย แต่ก็หาได้มีผู้ใดทักท้วงใดๆ ด้วยต่างเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า...นั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว

ไม่มีผู้ใดอยากจะตกแต่งสวนของท่านแม่ทัพใหม่เป็นครั้งที่สองหรอก การที่ซิ่นเฉิงไม่อาละวาด ถือเป็นวาสนาอันประเสริฐของพวกเขา

แต่...หารู้ไม่ว่าที่ซิ่นเฉิงแกล้งทำตัวดีนั้นเป็นเพราะเขามีแผนการในใจ

ชายหนุ่มที่แบกถังน้ำไปรดน้ำในสวนคอยลอบมองขอบกำแพงรั้วจวนทุกคราที่เดินผ่าน สายตากวาดมองหาช่องทางหลบหนีในยามวิกาล บริเวณนี้มีแมกไม้สูงอยู่มาก หากใช้ในการหลบหนีออกไปก็คงไม่ยากนัก เหลือก็เพียงหาโอกาสเหมาะๆ เพื่อหลบหนีเท่านั้น

คิดแล้วก็กระหยิ่มยิ้มในใจ เทพอสูรตนนั้นคิดหรือว่าจะเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้ อย่าลืมสิว่าเขาเองก็มีวรยุทธ การให้เขาได้เดินเหินอย่างอิสระในจวนแห่งนี้ นับว่าเป็นความประมาทเลินเล่อโดยแท้

ส่วนพวกเครื่องประดับของเขาที่เทียนอี้เก็บไว้น่ะหรือ?

ช่างมันเถิด การเอาชีวิตออกจากแคว้นเฟิงฝูสำคัญกว่าเป็นไหนๆ!

แสร้งทำตัวดีจนถึงเวลาอันเหมาะสม ซิ่นเฉิงที่วางแผนมาเป็นอย่างดีลอบออกจากเรือนนอนในยามดึก ราตรีนี้เทียนอี้ไม่อยู่จวน ได้ยินคนรับใช้คนอื่นพูดกันว่าเขามีเรื่องให้ต้องไปหารือกับเหล่าเทพอสูรชั้นสูงตนอื่นที่จวนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับใช้ในการประชุมของเทพอสูร หากเปรียบเทียบกับศักดินามนุษย์ จวนศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เปรียบเสมือนราชสำนัก หากแต่ไร้ซึ่งจักรพรรดิ มีเพียงผู้นำทัพทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นเท่านั้นเป็นผู้ปกครองแคว้น และเทียนอี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้น  ซิ่นเฉิงเองก็เพิ่งรู้ในคราวนี้ว่าตำแหน่งแม่ทัพสวรรค์นั้นต่างจากตำแหน่งแม่ทัพของมนุษย์เพียงใด

หากแต่นั่นหาใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ ทางสะดวกแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่รีบทำตามแผน

ซิ่นเฉิงวิ่งด้วยฝีเท้าแผ่วเบาราวแมวย่องไปยังขอบกำแพงที่มีแมกไม้สูงซึ่งได้มาดหมายให้เป็นช่องทางหนีเมื่อครั้งก่อน พลันดีดตัวขึ้นลอยในอากาศ คว้าเอาขอบกำแพงแล้วโจนทะยานข้ามฝั่งไป

ทางสะดวกยิ่งนัก... การที่เทียนอี้ออกไปเสวนาเช่นนี้ ย่อมนำทหารในจวนไปด้วยส่วนหนึ่ง หูตาในจวนแห่งนี้จึงลดน้อยลงเป็นเท่าตัว ท้องฟ้าไร้แสงจันทร์ เมฆปกคลุมจนค่ำคืนนี้มืดมิดกว่าทุกวัน สวรรค์ช่างเป็นใจให้กับเจ้าแมวป่าหลบหนีเสียเหลือเกิน

“คิดหรือว่าข้าจะยอมศิโรราบให้เจ้าจริงๆ เจ้าหมาโง่”

ซิ่นเฉิงพึมพำ ทันทีที่เท้าเหยียบย่างอยู่พื้นเบื้องล่าง เขาก็ไม่รอช้า ใช้วรยุทธที่มีเหาะเหินเดินอากาศ มุ่งหน้าไปยังประตูแคว้น
คืนนี้ทางสะดวกจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ในจวน ภายนอกก็มีทหารเฝ้าประจำการบางตา เห็นทีเขาคงจะหนีกลับไปยังผืนทรายบ้านเกิดได้ไม่ยาก

ทว่า...ขณะที่กำลังจะเคลื่อนตัวไปถึงประตูแคว้นนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างจากทางด้านหลัง ซิ่นเฉิงกระโดดหลบหลีกทันที ก่อนจะเห็นคมมีดสั้นที่ถูกปามาโดยใครบางคนที่ไม่รู้ว่ามาจากทิศทางใด

“เจ้าคิดจะออกนอกแคว้นโดยไม่บอกกล่าวผู้ใดเช่นนั้นหรือ?”
ฉับพลันเสียงแหบห้าวก็ดังขึ้น ซิ่นเฉิงทิ้งตัวลงสู่พื้นเบื้องล่างเพื่อตั้งหลัก กดเสียงต่ำถาม
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้าสิต้องถามเจ้าว่าเป็นใคร เหตุใดจึงได้ร้อนรน ท่าทางส่อพิรุธเช่นนี้ คงจะหนีผู้ใดมากระมัง”

ถูกต้องอย่างที่อีกฝ่ายพูด ทว่าก็หาใช่เรื่องที่ซิ่นเฉิงจะมาตอบ เขาต้องหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดต่างหาก

คิดได้ดังนั้นก็ตั้งท่าจะหนีอีก ให้สู้คงเป็นเรื่องยากด้วยเรื่องพละกำลัง อีกทั้งยังไร้ซึ่งอาวุธ เขาไม่มีทางสู้เทพอสูรได้อยู่แล้ว

หากแต่เมื่อหันหลังหนี มีดสั้นก็ถูกขว้างเข้าใส่ ถากไปที่ต้นแขนจนเลือดไหลนอง ซิ่นเฉิงเบ้หน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด และเมื่อทำท่าจะหลบหนีอีกครั้ง มีดสั้นอีกอันก็ถูกขว้างใส่ยังต้นขา แม้จะเพียงเฉียดๆ แต่ก็สร้างความปวดแปลบให้ชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี อะไรไม่ว่า เขากำลังรู้สึกว่า...มันชา

ชาจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ทรุดฮวบลงกับพื้น ใจเต้นระส่ำด้วยตระหนก สัญชาตญาณรับรู้ได้โดยพลันว่ามีดเล่มนั้น..อาบยาพิษ!

“เพียงยาทำให้เป็นเหน็บชาเท่านั้น หาใช่ยาพิษร้ายแรง” อีกฝ่ายราวกับรับรู้ได้ว่าซิ่นเฉิงตระหนกด้วยเรื่องอะไร

ได้ยินดังนั้นก็พอจะเบาใจได้บ้าง ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะถามเสียงแข็งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ปรากฏตัวให้เห็นเสียที
“แล้วเจ้าเป็นใคร ไยถึงได้ยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องของข้า!”

“ข้าน่ะหรือ?” น้ำเสียงห้าวถาม ก่อนที่จะค่อยๆ ปรากฏเงาตะคุ่มในความมืดตรงหน้า ไม่นานนัก ร่างสูงก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจน
เขาเป็นเทพอสูรที่มีรูปร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากเทียนอี้ สวมชุดเกราะอ่อนบ่งบอกถึงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ หากทว่าสิ่งใดก็ไม่ทำให้ซิ่นเฉิงตระหนกได้เท่ากับการเห็นหน้าของเทพอสูรผู้นั้น

...เกล็ดสีดำสลับเหลืองขึ้นเต็มตามเนื้อตัว ดวงตาสีเหลืองเข้ม กลางหน้าผากสีสัญลักษณ์รูปร่างแปลกตาประดับอยู่ เมื่ออ้าปากก็ปรากฏเขี้ยวยาวงองุ้มให้เห็นเด่นชัด อีกทั้งยังมีลิ้นสองแฉกสีนิลกาฬอีก

นั่นมัน...งูจงอาง!?

จากที่ตระหนกอยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายถึงกับสั่นเทา เทพอสูรผู้นี้เป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์เลือดเย็นเช่นเดียวกับพ่อบ้านเหลียง แต่ความน่าเกรงขามช่างต่างกันยิ่งนัก เขามีรัศมีชวนให้ยำเกรงไม่ต่างอะไรจากเทียนอี้เลยแม้แต่น้อย

ขณะที่อีกฝ่ายแค่นหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นสีหน้าพรึงเพริดของมนุษย์หนุ่ม ก่อนจะเอ่ยนามตนเองออกมา

“ข้าคือเจี้ยนสือ แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเฟิงฝู”




5 เหมันต์ คือ ฤดูหนาว

***************************

นายน์มาแล้วค่ะ มาพร้อมกับความวีดวิ้วของท่านแม่ทัพ

เสี่ยวเฉิงยังคงดื้อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโดนจัดไปหลายดอก (แต่ยังไม่ได้กัน 555)

ตัวละครใหม่เริ่มโผล่มาแล้วค่ะ ตอนหน้าคงจะมีมาเพิ่มอีก

ขอกำลังใจให้นายน์ด้วยนะคะ แล้วรออ่านกันนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2017 23:37:29 โดย Nov9th »

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
โอ๊ยๆโผล่มาอีกคน อร๊ายเลือกใครดี แต่ท่านแม่ทัพเทียนอี้ดีแล้วนะว่า

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
รอตอนต่อไปจ้า  :L2:

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
แม่ทัพใหญ่ น่ากลัวไปอีก

แหม นึกว่าจะไม่รอดจาก7วัน7คืนซะอีก

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
7วัน 7คืน นังจะมีแรงหนีอีกน่ะ อิอิ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
พยายามนึกถึงหน้าแม่ทัพจงอางให้ดูน่าเกรงขามอยู่ค่ะ :hao5:

ออฟไลน์ Kirimanjaro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ขนลุกอ่ะ  อยู่กับแม่ทัพหมาออกจะน่ารักกว่า  ทำไมต้องหาเรื่องใส่ด้วยนะเฉิงเฉิง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 7: ยามแสงจันทร์สาดส่อง

ความรีบร้อนของพ่อบ้านเหลียงที่มุ่งตรงมายังจวนศักดิ์สิทธิ์  อีกทั้งยังขอเข้าพบแม่ทัพใหญ่เทียนอี้เป็นการเร่งด่วน ทำให้เทียนอี้สังหรณ์ใจขึ้นมาไม่ได้ว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงเข้า และเรื่องนั้นคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของซิ่นเฉิง ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดการณ์ไว้ เมื่อเขารับรู้ว่ามนุษย์หนุ่มผู้นั้นหลบหนีออกจากจวน แม้มันจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ก็ทำให้เทียนอี้ขุ่นใจอยู่พอควร
ช่างเลี้ยงไม่เชื่อง จะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ล้วนแต่ไม่ทำให้เจ้าแมวป่าตัวนั้นเลิกพยศได้ทั้งนั้น

เป็นความจริงที่เทียนอี้ประจักษ์อย่างลึกซึ้ง ก่อนที่เขาจะขอตัวปลีกการประชุมเพื่อกลับจวนก่อน ด้วยเกรงว่าซิ่นเฉิงที่หนีไปจะไปก่อเรื่องวุ่นวายใดๆ ให้กับผู้อื่นแคว้นเฟิงฝู

แต่นั่น...ก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้าง แท้จริงแล้ว การหายตัวไปของบุรุษทะเลทรายผู้นั้นสร้างความวิตกให้กับเทียนอี้อยู่ไม่น้อย หากจะปฏิเสธว่าไม่เป็นห่วงก็คงเป็นการโกหก เทียนอี้เป็นห่วง แต่เขาเป็นห่วงเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนของจวนเขา

ซึ่ง...ก็เป็นข้ออ้างเช่นกัน

เทพอสูรเป็นห่วงเจ้าคนดื้อด้านนั่นเสียจนออกอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด แม้จะหงุดหงิดใจไม่น้อยที่มีอาการนี้ กระนั้นก็หาได้สนใจเค้นเอาคำตอบว่าเพราะเหตุใดถึงได้เป็นห่วงซิ่นเฉิงเสียขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเขายังคงหลงใหลในรสสัมผัสของร่างกายนั้นก็เป็นได้ ถึงทำให้ไม่อยากให้ซิ่นเฉิงจากไปถึงเพียงนี้

เทียนอี้เกณฑ์ไพร่พลและทหารสังกัดจวนของเขาออกตามหา ขณะที่เขาก็เตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายเพื่อไปตามตัวชายผู้นั้นกลับมาเช่นกัน หากทว่ายังไม่ทันจะได้ขึ้นหลังม้า พ่อบ้านเหลียงที่ได้รับคำสั่งให้กลับไปดูแลความเรียบร้อยที่จวนก็ส่งคนรับใช้มาแจ้งข่าวเสียก่อน

“ท่านแม่ทัพขอรับ พ่อบ้านเหลียงขอให้ท่านกลับจวนเร่งด่วน”
“มีเรื่องอันใด” เทพอสูรหันไปถาม ก่อนคนรับใช้มนุษย์คนนั้นจะตอบเร็วๆ
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือมาขอพบขอรับ”
“เจี้ยนสือหรือ?”

เทียนอี้อดสงสัยไม่ได้ ร้อยวันพันปี เจี้ยนสือหาได้มาเหยียบย่างจวนของเขาหลายปีแล้ว จะเจอหน้าและเสวนากันก็ต่อเมื่อได้พบพานกันภายนอกจวนเท่านั้น การที่อีกฝ่ายมาเยือนถึงที่ คงจะมีเรื่องสำคัญ

“พวกเจ้ารอข้าก่อน ข้าจะกลับจวนสักครู่” เทียนอี้หันไปสั่งทหาร ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้า ควบกลับไปยังจวนของตน
ไม่นานนักก็มาถึง ครั้นเห็นแม่ทัพใหญ่กลับมา พ่อบ้านเหลียงก็รีบเดินลงจากเรือนใหญ่ตรงไปหาทันที

“เจี้ยนสือมีธุระอันใด” เห็นหน้าพ่อบ้านเหลียงก็เอ่ยปากถามทันที
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือพาเจ้าคนทะเลทรายกลับมาส่งขอรับ”

เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เทียนอี้ก็ชะงักขากึก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ท่านแม่ทัพเจี้ยนสือพาซิ่นเฉิงกลับมาส่ง เขาบอกว่าเขาเจอ...”
“ราตรีนี้ ทหารสังกัดจวนของข้ารับหน้าที่ประจำเวรยาม เมื่อชั่วยามก่อน ข้าไปตรวจดูความเรียบร้อย แล้วก็เจอเจ้านี่กำลังจะหนีออกนอกแคว้นเข้า ท่าทางส่อพิรุธ ข้าเลยจับตัวไว้ เคยได้ยินคนรับใช้ของเจ้าพูดว่าที่จวนมีแมวป่าไม่เชื่องอยู่ตัวหนึ่ง จึงลองเอามาให้ดูว่าใช่แมวของเจ้าที่หนีหายไปหรือไม่”

พูดยังไม่ทันจบ เจี้ยนสือที่รออยู่ในห้องรับรองเมื่อครู่ก็โผล่หน้าออกมาตรงระเบียง เทียนอี้ปรายตามองแม่ทัพงูจงอางแล้วก็เดินตรงเข้าไปมา ทันทีที่เข้ามายังห้องรับรอง ก็เห็นซิ่นเฉิงในสภาพเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงถูกมัดและนั่งคุกเข่าอยู่ตรงพื้นเบื้องหน้า สีหน้าของชายหนุ่มดูกราดเกรี้ยวสุดทน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะได้เห็นสีหน้านี้จากเขา แต่ที่ทำให้เทียนอี้ย่นจมูกด้วยไม่พอใจ เป็นเพราะคราบโลหิตที่ไหลซึมออกมาจากต้นแขนและขาของซิ่นเฉิง

“บาดเจ็บรึ?” พูดพลางหันไปมองยังเจี้ยนสือ
คำถามนี้เหมือนจะถามกับซิ่นเฉิง แต่เปล่าเลย เขากำลังถามเจี้ยนสือต่างหากว่าเป็นฝีมือของอีกฝ่ายใช่หรือไม่

เจี้ยนสืออ่านแววตาของสหายออก
“ก็แค่สกัดไว้ ไม่ให้หนีไปได้”
“มันอาบยาพิษ” จมูกสุนัขป่าได้กลิ่นชวนผิดแผกทันควัน

เจี้ยนสือส่งเสียงดังฟ่อออกมาเล็กน้อย มันเป็นเสียงระบายลมหายใจ
“ยาชาน่ะ ไม่ถึงแก่ชีวิต”

เท่านั้น เทียนอี้ก็คลายความกังวลลง ก่อนจะสั่งกับพ่อบ้านเหลียง
“พาซิ่นเฉิงไปทำแผลที่ห้องโอสถก่อน”

พ่อบ้านเหลียงรับคำสั่ง ก่อนพยักหน้าเรียกคนรับใช้พยุงซิ่นเฉิงไป ขณะที่ซิ่นเฉิงเอาแต่ออกอาการกระฟัดกระเฟียด ไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องเนื้อตัว อีกทั้งยังโวยวายด่าทอบรรดาเทพอสูรที่อยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจว่าจะเป็นผู้ใด

การกระทำของเขาทำเอาเจี้ยนสือมองตามด้วยขัดใจ เหตุใดมนุษย์ถึงได้กล้ากระด้างกระเดื่องกับพวกเขาซึ่งเป็นเทพอสูรถึงเพียงนี้?

“แมวของเจ้าช่างไม่น่าเอ็นดูเอาเสียเลย ดูท่าทางเจ้านั่นจะไม่ชื่นชอบเทพอสูรสักเท่าไร”
“หมดธุระของเจ้าแล้วก็กลับไปเถิด นำตัวซิ่นเฉิงมาส่งคืน ข้าจะถือเอาว่าเป็นบุญคุณ มีโอกาสเมื่อใด ข้าจะตอบแทน ขอบใจเจ้ามาก”

ได้ยินเจี้ยนสือพูด เทียนอี้ก็ตัดบททันควัน ทำเอาอีกฝ่ายหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เจ้าไม่คิดจะชวนข้าดื่มชาก่อนหน่อยหรือ?”
“พ่อบ้านเหลียง... ฝากส่งแขกด้วย”

เทียนอี้ตัดบทอีกครา ท่าทางนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยากจะเสวนากับเจี้ยนสือสักนิด ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่ที่เรื่องนั้นเกิดขึ้น จนถึงวันนี้ก็หลายร้อยปีแล้ว หากไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ ดูท่าแม่ทัพใหญ่ทั้งสองคงจะไม่มีบทสนทนาดีๆ แม้แต่น้อย
พ่อบ้านเหลียงเข้าใจดี จึงไม่อยากจะคะยั้นคะยอใดๆ เมื่อได้รับคำสั่งก็ทำตามอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“เชิญท่านแม่ทัพเจี้ยนสือขอรับ...”
เจี้ยนสือเองก็ใช่จะเป็นพวกพูดไม่รู้เรื่อง เมื่อเจ้าของจวนไม่ต้อนรับอีกต่อไป เขาก็ก้าวออกจากจวนและหายออกไปในความมืด ปล่อยให้เทียนอี้ได้ระบายลมหายใจแล้วเดินตรงไปยังห้องโอสถ




 
เรื่องที่ซิ่นเฉิงไม่ชอบเทพอสูรนั้น แม้แต่เทียนอี้เองก็รับรู้ได้ ทั้งกิริยาและท่าทาง ซิ่นเฉิงล้วนแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารังเกียจเดียดฉันท์เพียงใด อีกทั้งยังพานมารังเกียจเหล่ามนุษย์ที่ทำงานรับใช้เทพอสูรเสียอีกด้วย คราแรกก็ว่าจะไม่คิดสนใจ ทว่าเมื่อเจี้ยนสือพูด เขาก็อดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงมีเหตุผลอะไร แต่ก็ไม่คิดจะถาม นอกจากไล่คนรับใช้คนอื่นออกไป แล้วลงมือทำแผลให้อีกฝ่ายด้วยตนเอง

“ต้องมีบาดแผลบนตัวมากอีกเท่าใด เจ้าถึงจะยอมเชื่อฟังข้ากัน”
ทำไปก็บ่นไป ซิ่นเฉิงที่นั่งนิ่งๆ ให้เทพอสูรสุนัขป่าชำระล้างบาดแผลให้ขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“เรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของข้า เจ้าเป็นคนของจวนข้า จำไม่ได้หรือ?”
“เหอะ!”
ถูกย้อนกลับอย่างนั้น ซิ่นเฉิงก็ส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ

คนของจวนเจ้างั้นหรือ? ได้ยินแล้วช่างแสลงหูยิ่งนัก!

เทียนอี้ชำเลืองมอง เห็นซิ่นเฉิงทำหน้าเหมือนท้องผูกก็พอจะเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่ จึงสบโอกาสถามเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจออกมา
“เจ้ามีอะไรไม่ชอบใจเทพอสูรหรือไร ไยถึงได้ไม่อยากเป็นมิตรกับพวกข้านัก?”
ซิ่นเฉิงจ้องหน้าคนพูดทันควัน “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”

พูดประโยคเดิมอีกแล้ว เทียนอี้เหนื่อยหน่ายขึ้นมา ก่อนจะแกล้งออกแรงบีบแผลที่ต้นแขนอีกฝ่ายเล็กน้อย ทำเอาซิ่นเฉิงถึงกับสะดุ้ง แผดเสียงใส่ตัวการทันควัน
“เจ้า! มันเจ็บนะ!”
“เจ้าก็หยุดดื้อด้านเสียที ข้าถามเจ้าดีๆ ก็จงตอบดีๆ”

เทียนอี้ดุขึ้นมาแล้ว แต่ก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงยอมเพลาความพยศได้เลย
“ข้าไม่มีเหตุผลใดจะต้องเสวนาดีๆ กับอมนุษย์ที่สังหารมารดาข้าอย่างเจ้า!”

อา... เข้าใจแล้วว่าทำไมซิ่นเฉิงถึงได้นึกรังเกียจเทพอสูรนัก ที่แท้ก็เคยมีความหลังกันมาก่อน

แต่กระนั้น เทียนอี้ก็หาได้เชื่อว่ามารดาของซิ่นเฉิงจะถูกสังหารโดยเทพอสูร ถึงจะไม่ได้เป็นเทพแล้ว แต่ในเหล่าเทพอสูรด้วยกันก็มีกฎเกณฑ์ที่ต่างต้องปฏิบัติตาม การสังหารมนุษย์ถือเป็นเรื่องต้องห้ามที่ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง และตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเทพอสูรตนใดทำร้ายมนุษย์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้มนุษย์มอบกายและใจเป็นทาส ทว่าพวกเขาก็ปกครองโดยชอบธรรมมาตลอด หาได้ข่มเหงรังแก นอกเสียจากมีการลงโทษบ้างเมื่อมนุษย์ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของแคว้นเฟิงฝู ส่วนเรื่องโทษถึงแก่ชีวิตนั้น...ก็แค่คำขู่ที่หาได้เคยเกิดขึ้นไม่

เพราะคิดอย่างนั้น จึงได้ถามออกไป
“แม่ของเจ้า... ถูกสังหารเช่นไร”

ซิ่นเฉิงมองหน้าคนถาม ดวงตาสีนิลประกายวาวด้วยความโกรธแค้น เขาไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าใดๆ ให้คนตรงหน้าฟังสักนิด
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรแส่”

ช่างหยาบคายนัก... เทียนอี้จ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

“ซิ่นเฉิง... บอกข้า”
เพียงประโยคสั้นๆ ก็ทำให้คู่สนทนาชะงักงัน เทียนอี้ไม่ได้ดุด่า ไม่ได้ออกคำสั่ง แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นทรงไปด้วยอำนาจ ทำเอาคนฟังถึงกับชั่งใจไปครู่ว่าจะพูดดีหรือไม่ หากทว่าสุดท้ายแล้วก็ทำในสิ่งตรงกันข้าม

“ข้าไม่เห็นว่ามีประโยชน์อันใดที่จะต้องเล่าให้อมนุษย์เช่นเจ้าฟัง!”
“เผื่อว่าข้าจะช่วยเยียวยาเจ้าได้”

น้ำเสียงทุ้มที่เปล่งออกไปนั้นแฝงไปด้วยความห่วงใย เทียนอี้ก็ไม่เข้าใจตัวเองนักหรอกว่าเหตุใดถึงได้เอ่ยไปเช่นนี้ ขณะเดียวกัน ซิ่นเฉิงก็รู้สึกอุ่นวาบในใจขึ้นมาอย่างประหลาด เป็นความรู้สึกที่หาได้เคยเกิดขึ้นกับผู้ใดมาก่อน นอกเสียจากยามได้ยินซิ่นจินพูดปลอบประโลม

หรือสิ่งที่คนตรงหน้าทำอยู่คือการปลอบประโลมเขากัน?

แต่...อีกฝ่ายเป็นอมนุษย์ซึ่งพรากชีวิตมารดาของเขาไป มีเหตุผลใดกันเล่าที่จะต้องเชื่อฟัง ความผิดพลาดจากการเชื่อฟังมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วไม่ใช่หรือ!?

ย้อนนึกถึงอดีต ซิ่นเฉิงก็กำมือแน่น ความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจทำให้เขาแค้นเคืองเทียนอี้จนร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาน้อยๆ

ภาพของมารดาที่สิ้นลมหายใจไปต่อหน้า...

เสียงร้องไห้ระงมของซิ่นจิน...

สีหน้าเศร้าสลดเมื่อสิ้นฮูหยินอันเป็นที่รักของบิดา...

ล้วนแล้วทำให้ซิ่นเฉิงแค้นใจเทพอสูรทั้งสิ้น!

“ไม่ต้องคิดมาปลอบประโลมข้า เจ้าไม่เคยต้องสูญเสียสิ่งล้ำค่า เจ้าจะไปเข้าใจสิ่งใด!”
ชายหนุ่มตะคอกใส่สุดเสียง เทียนอี้ถึงกับย่นคิ้ว
“ข้าไม่เคยสูญเสียเช่นนั้นหรือ?”

เมื่อถูกถามกลับ ซิ่นเฉิงก็ไม่ปริปากพูดใดๆ จ้องมองดวงตาของเทพอสูรตรงหน้านิ่ง ในแววตานั้นปรากฎความเจ็บปวดให้เห็นอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะมลายหายไปเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากพูด

“ซิ่นเฉิง... ข้ามีบางอย่างจะให้เจ้าดู”
พูดจบ เทียนอี้ก็เดินออกไปยังนอกระเบียง ซิ่นเฉิงเดินตามไปโดยดุษณี ทั้งที่จริงแล้ว เขาควรจะพยศมากกว่า ทว่าก็มีบางสิ่งดลใจให้เขาต้องตามไป อาจเป็นเพราะใคร่รู้ก็เป็นได้

เทียนอี้มาหยุดตรงหน้าสวนบุปผชาติ ก่อนเขาจะก้าวลงจากเรือนใหญ่ ตรงไปยังพื้นที่ปูด้วยแผ่นหินทีละก้าว

ครั้นฝ่าเท้าสัมผัสยังพื้นเย็นเยียบ รอบข้างก็เงียบงัน ซิ่นเฉิงได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองอย่างชัดเจน อีกทั้งเสียงหัวใจเต้นเมื่อเห็นว่าภาพร่างใหญ่เบื้องหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อต้องแสงสว่างของจันทราที่สาดส่องลงมาอาบร่างนั้น

ร่างกายครึ่งมนุษย์ ครึ่งสุนัขป่าเปลี่ยนผัน ความสูงใหญ่ดั่งอสุรกายหดย่อเหลือเพียงความสูงเทียบเท่ามนุษย์ กระนั้นก็ยังสูงอยู่ดีถ้าหากเทียบกับซิ่นเฉิงแล้ว แต่นั่นก็หาใช่สิ่งที่ทำให้ซิ่นเฉิงตกตะลึงไปมากกว่าภาพใบหน้าของชายหนุ่มที่มองปราดเดียวก็รับรู้ได้ว่างามงดปานล่มเมือง เส้นผมสีเงินยวงปลิวไสวเมื่อต้องลมเอื่อยๆ ที่พัดผ่าน ดวงตาสีทองอำพันคู่นั้น... ซิ่นเฉิงจำได้ดีว่ามันเป็นของผู้ใด

ทะ...เทียนอี้...คืนร่างเป็นมนุษย์!?

ไม่สิ ไม่ใช่ เป็นเทพต่างหาก นั่นคือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา!

ซิ่นเฉิงหยุดหายใจไปแล้ว ทั้งตะลึงงันกับอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ทั้งตกอยู่ในภวังค์มนตราเมื่อได้เห็นความงดงามองอาจของกายแท้เทพอสูร

“ภาพที่เจ้าเห็นตรงหน้า พอจะเรียกว่าเป็นสิ่งล้ำค่าของข้าได้ไหม”

ไร้ซึ่งคำตอบจากซิ่นเฉิง เขายังคงตะลึงงัน ยืนนิ่งราวกับหิน จนเทียนอี้ก้าวเข้ามาใกล้

“ว่าอย่างไร สิ่งที่เจ้าเห็น เข้าว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่าของข้าหรือเปล่า?”
“เจ้า...” เป็นคำแรกที่ซิ่นเฉิงเอ่ยออกมา สายตายังจับจ้องไปยังใบหน้าคร้ามได้รูป

เทียนอี้... อมนุษย์ที่มีรูปโฉมเป็นสุนัขป่าผู้นั้น เมื่อครั้งยังเป็นเทพ เหตุใดถึงได้งดงามปานล่มเมืองถึงเพียงนี้?

เผลอคิดไปอย่างนี้จนได้ ตั้งแต่เกิดมา ซิ่นเฉิงหาได้เคยประสบกับบุรุษใดที่งามสง่าเช่นนี้มาก่อน จะว่างามอย่างสตรีก็ไม่เชิงนัก ...งามองอาจ ...งามสมเป็นบุรุษ ...งามสะท้านแผ่นดิน ..งาม...

ช่างยากจะพรรณนานัก!

“นี่ร่างที่แท้จริงของเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ซิ่นเฉิงยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ยามร่างกายต้องแสงจันทร์ ร่างของข้าจะเปลี่ยนผัน ...ลองสัมผัสข้าดูสิ”

ไม่เพียงแค่พูด เทียนอี้ยังเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของชายหนุ่มตรงหน้าให้มาสัมผัสกับซีกหน้าข้างหนึ่งของตน ผิวกายอุ่นร้อนที่แล่นผ่านปลายนิ้วทำให้ซิ่นเฉิงตระหนักได้ว่าสิ่งที่เห็นคือของจริง เขาไล้ปลายนิ้วไปตามแนวสันกรามได้รูปของเทียนอี้ จากนั้นก็ลากแตะไปยังโหนกแก้ม สันจมูก ไล่ต่ำลงมายังริมฝีปาก

ทุกสิ่ง...ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น…

“เจ้า...งดงามมาก”
ตกอยู่ในภวังค์ดิ่งลึก ซิ่นเฉิงครางออกมาราวกับต้องมนตร์สะกด เทียนอี้ยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะดึงมือของอีกฝ่ายที่คลอเคลียอยู่บนใบหน้าตนเองออก

“ใช่ งดงาม แต่มันหาใช่รูปกายที่แท้จริงของข้าอีกต่อไป”

สิ้นเสียง เทียนอี้ก็เดินกลับเข้ามาที่ระเบียงของเรือนใหญ่ แสงจันทราสาดส่องไปไม่ถึง ฉับพลันเรือนร่างงามนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นอมนุษย์ดังเดิม

“นี่สิคือกายแท้ของข้า”

ซิ่นเฉิงมองอีกฝ่ายที่กลับคืนสู่ร่างของเทพอสูรด้วยความรู้สึกเบาโหวงในใจ ความเจ็บปวดของเทียนอี้นั้น แม้จะเป็นคนละอย่างกับเขา แต่ซิ่นเฉิงก็พอจะเดาได้ว่าสิ่งนั้นมันก็กัดกินจิตใจของเทียนอี้มาตลอดเช่นกัน

...นานนับหลายร้อยปี

“ข้ายังทำแผลให้เจ้าไม่เสร็จ กลับเข้าห้องโอสถเถิด”

ครั้งนี้ซิ่นเฉิงยอมเดินตามไปอย่างว่าง่าย สายตาจับจ้องยังแผ่นหลังกว้าง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงคล้ายขบคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่มือจะเอื้อมออกไปคว้าเอาปลายหางของคนตรงหน้าไว้โดยไม่ตั้งใจ ครั้นเทียนอี้หันกลับมามอง ซิ่นเฉิงก็รีบปล่อยมือออกด้วยอารามตกใจ

เขาเผลอไปจับหางของเทียนอี้ตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลยสักนิด!

แต่พอถูกสายตาของอีกฝ่ายคาดคั้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไรแล้ว ซิ่นเฉิงก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ขะ...ข้าแค่จะบอกว่ารูปกายเช่นนี้ก็หาได้เลวร้าย”

ได้ยินแล้ว เทียนอี้ก็เลิกคิ้วสูง ให้ซิ่นเฉิงได้พูดออกมาอีก

“มันก็...ปุกปุยดี”

ปุกปุย?

นี่เป็นการปลอบประโลมหลังจากที่ดื้อด้านใส่จนเขาระอาอย่างนั้นหรือ?

เทียนอี้หัวเราะในลำคอ นึกขันกับการกระทำของซิ่นเฉิงนัก ยิ่งในตอนนี้แสดงท่าทางประดักประเดิด หน้านิ่วคิ้วขมวด อีกทั้งเบนสายตาหนีแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ก็ยิ่งน่าขันเข้าไปใหญ่ จนซิ่นเฉิงที่ถูกจับจ้องอยู่นานชักอึดอัด เสียงดังใส่อีกจนได้

“มัวมองสิ่งใดอยู่ รีบพาข้าเข้าห้องโอสถเสียสิ!”

เทียนอี้พยักหน้า “เช่นนั้นก็ตามข้ามา...เฉิงเฉิง”

เฉิงเฉิง?

ซิ่นเฉิงขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตามกลับเข้าไปในห้องโอสถแต่โดยดี
***************
เฉิงเฉิงงงง ตั้งชื่อให้เจ้าเหมียวแล้วสินะ 555
ตอนนี้ก็จะมุ้งมิ้งนิดนึงค่ะ น่ารักกุ๊กกิ๊ก
เผลอไปจับหางท่านเทพเข้าแบบนี้แล้ว อีกหน่อยคงเผลอไปจับตรงอื่น //ยิ้มหื่น
ฝากกำลังใจให้นายน์ด้วยนะคะ มืดๆ อาจจะเอาตัวอย่างตอนหน้ามาให้อ่านกันค่ะ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด