[ตัวอย่าง] บทที่ 11: ของกำนัลจากอสรพิษ
วันนี้ไม่ได้อัปนะคะ แปะตัวอย่างไว้ก่อน ตัวเต็มมาพรุ่งนี้
เจิมรอกันไปก่อนนะคะ
-------------------
“พ่อบ้านเหลียงหรือ?” เบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมา “ก็ปากมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนยังอยู่บนสวรรค์ก็เป็นเทพที่จู้จี้เช่นนี้แหละ”
เจี้ยนสือดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร แต่ซิ่นเฉิงนั้นเบ้หน้าออกมาเมื่อนึกถึงเจ้าจระเข้ที่เอาแต่พูดจาตำหนิใส่เขา
“แล้วเจ้าล่ะ ไม่มีพ่อบ้านคอยดูแลจัดหาฮูหยินให้บ้างหรือ?”
เจี้ยนสือเหลือบมองหน้าคนถามเล็กน้อย
“ข้ามีแต่พ่อบ้านคอยดูแลความเรียบร้อยในจวนเท่านั้น หาได้มาจุกจิกเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้”
“เพราะเจ้าไม่ชอบ?”
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง ข้ารักสันโดษ อีกส่วนหนึ่งคือไม่มีสตรีนางใดกล้าเผชิญหน้ากับข้า”
จบประโยคนี้ ซิ่นเฉิงก็นิ่งงัน เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่เจี้ยนสือพูด ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นงูจงอางดำมะเมื่อม นอกจากจะอัปลักษณ์แล้ว ยังน่าหวาดกลัวเสียจนไม่อาจกล้ามองหน้า แต่หารู้ไม่ว่าเจี้ยนสือในร่างของอดีตเทพที่นั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ตรงหน้าเขานั้นช่างเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ เขามั่นใจมากทีเดียวว่าหากสตรีนางใดเห็นเจี้ยนสือในแบบที่เขาเห็น ไม่แคล้วจะต้องยอมพลีเรือนร่างเป็นฮูหยินให้อย่างแน่นอน
“เจ้าก็ไม่คิดจะหาเช่นนั้นสิ?”
“ข้าไม่เห็นประโยชน์อันใดในการตบแต่งฮูหยินเข้าจวนเพื่อสร้างทายาทเข้ากองทัพเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ทำกันอยู่มันเป็นเพียงความขลาดกลัวของพวกเบาปัญญาก็เท่านั้น”
ซิ่นเฉิงอยากจะถามว่าขลาดกลัวเรื่องใดกัน ทว่าก็ไม่ได้พูดไปเมื่อเจี้ยนสือเอ่ยขึ้นมาอีก
“ที่สำคัญ ข้าไม่คิดที่จะปักหลักอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงต้องเอาบ่วงมาคล้องคอ”
“เจ้าพูดราวกับว่าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเฟิงฝูอย่างไรอย่างนั้น” ซิ่นเฉิงเอ่ยสวน
เจี้ยนสือเหลือบมอง ใบหน้าคร้ามคมมีรอยยิ้มประดับบางๆ
“ใช่ ไม่อยากอยู่”
“เพราะเหตุใด”
จังหวะที่สิ้นเสียง ก้อนเมฆก็เคลื่อนคล้อยมาบดบังแสงจันทรา ส่งผลให้ท้องฟ้ามืดมิดฉับพลัน มีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงที่ปักอยู่บนผืนทรายเท่านั้นที่ส่องสว่าง ใบหน้าหล่อเหลาของเจี้ยนสือแปรเปลี่ยนเป็นดำทะมึน ศีรษะมนุษย์กลายเป็นศีรษะของงูจงอาง ไม่ว่าเห็นครั้งใด ก็ทำซิ่นเฉิงขนลุกได้ทุกคราจนต้องขยับถอยหลังไปด้วยตกใจ ซึ่งนั่นเป็นที่น่าอดสูสำหรับเจี้ยนสือเหลือเกิน
“อยู่ที่แดนมนุษย์ ข้าจะมีรูปลักษณ์เช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะอยากอยู่อย่างนั้นหรือ? อยู่กึ่งกลางระหว่างเทพและปีศาจ เจ้าคิดว่าข้าทรมานเพียงใด”
ซิ่นเฉิงได้สติกลับคืนมาในตอนนี้ พลันตระหนักได้ว่าอากัปกิริยาของตนช่างหยาบคายนัก ถึงใครต่อใครจะกล่าวว่าเจี้ยนสือเป็นอสรพิษร้าย แต่ในสายตาของเขา เจี้ยนสือกลับดูน่าสงสาร
เท่านั้น ซิ่นเฉิงก็รีบเก็บอาการให้เป็นปกติ ขยับเข้ามาใกล้ดังเดิม แล้วว่าออกมา
“เจ้าก็ไม่ได้อัปลักษณ์สักเท่าไร”
“แล้วเจ้าตกใจด้วยเหตุใด” เจี้ยนสือถามด้วยอารามขบขัน แต่ในดวงตาสีเหลืองอำพันกลับทอประกายความเจ็บปวด
ซิ่นเฉิงขมวดคิ้ว พลันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าเพียงแค่ตกใจที่จู่ๆ เจ้าก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แต่ข้ายังคงยืนยันว่าเจ้าไม่ได้อัปลักษณ์”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้ากล้าสัมผัสข้าหรือไม่?”
คล้ายกับเป็นการท้าทาย ซึ่งแท้จริงแล้ว เจี้ยนสือก็แค่พูดออกไปเท่านั้น ขณะที่ซิ่นเฉิงสูดหายใจเข้าปอด แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสที่ข้างซีกหน้าของเจี้ยนสือโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว
ฝ่ามือหยาบกร้านแตะลงบนเกล็ดสีดำ สัมผัสลื่นๆ นั้นทำเอาซิ่นเฉิงกลั้นหายใจไปเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่ละมือออก ครั้นเจี้ยนสือเหลือบมอง เขาก็พูดออกมา
“เหตุใดข้าจึงไม่กล้าสัมผัสเจ้ากัน”