►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►เสี้ยวอสูร◄☾[จีนโบราณ]-บทส่งท้าย[28/03/61]-END!!!  (อ่าน 94727 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
คุณหนูแดงเองหรอคะ เปลี่ยนแนวมาแบบนี้เราจำไม่ได้เลยค่ะ  :a5:
แต่เฉิงเฉิงก็เริ่มเชื่องขึ้นเรื่อยๆแล้วนี่นาา


555 หนูแดงเองค่า XD

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
แมวป่าเชื่องเป็นบางเวลา
ต้องมีวิธีแก้คำสาปดิ?

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[1]

ถึงจะไม่ได้กลับออกไปสู่ดินแดนทะเลทราย แต่การได้ออกนอกจวนอันแสนอุดอู้นั่นก็เป็นสิ่งชวนบันเทิงเริงใจให้กับซิ่นเฉิงเป็นอย่างดี เขาชะเง้อชะแง้มองร้านรวงข้างทางตามแนวตลาดอย่างสนใจ ไม่ใช่ว่าเพราะอยากจะอยากได้สินค้าเหล่านั้น ทว่าเขาแค่รู้สึกว่ารอบข้างมีสิ่งแปลกใหม่ให้สนใจเฉยๆ

เทียนอี้ก็ราวกับรู้ดีว่าซิ่นเฉิงคิดอะไรอยู่จึงไม่ให้ทหารนายใดติดตามไปด้วย การไปกับซิ่นเฉิงเพียงสองคนสร้างความกังวลใจให้กับพ่อบ้านเหลียงอยู่ไม่น้อย ทว่าเพราะรู้ว่าไม่ว่าอย่างไร มนุษย์แสนพยศคนนั้นก็ไม่อาจสู้พละกำลังและไหวพริบของผู้เป็นนายได้ เขาจึงเก็บความกังวลใจลงไปและปล่อยให้แม่ทัพใหญ่ได้ทำตามประสงค์

ที่หมายของเทียนอี้คือจวนของรองแม่ทัพหมิงจู ห่างจากตลาดไปไม่ไกลนักก็จะถึงยังที่หมาย เทียนอี้ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ครั้นมาถึงหน้าจวนของสหาย ซิ่นเฉิงที่ดูเหมือนจะสนใจสิ่งรอบข้างในตอนแรกก็มีอาการสงบลง เพ่งมองไปตรงหน้าแล้วย่นคิ้วยู่เมื่อเห็นว่าหน้าจวนนั้นมีเหล่าทหารเทพอสูรยืนรายล้อมอยู่

“มากับข้า เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ ข้าคุยธุระไม่นาน ประเดี๋ยวก็กลับ”
เทียนอี้พูดราวกับจะปลอบโยน ทำเอาคนที่ยืนอยู่เยื้องๆ ถึงกับนิ่วหน้า
“ข้ารึจะเป็นกังวลเพราะอมนุษย์เช่นเจ้า อย่ามาทำประหนึ่งว่าข้าเป็นเด็กเล็กๆ!”

ซิ่นเฉิงขึ้นเสียง ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นกังวลอย่างที่ปากว่าหรอก นอกจากเหล่าเทพอสูรในจวนของเทียนอี้แล้ว เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับเทพอสูรอื่นเสียที ด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกรงขาม ชวนให้หวาดกลัวนั่นแหละที่ทำให้ซิ่นเฉิงทำใจให้มองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ยามนึกถึงแม่ทัพใหญ่เจี้ยนสือที่มีรูปโฉมเป็นงูจงอาง แค่นึกถึงก็ทำเขาขนลุกชันไปทั้งร่างแล้ว

เทียนอี้กลับหัวเราะออกมา ทำไมเขาจะดูอีกฝ่ายไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากจะก้าวเข้าไปในจวนของสหายเท่านั้น

พ่อบ้านของจวนรองแม่ทัพเป็นผู้นำทางทั้งสองมายังห้องรับรองที่เรือนใหญ่ เทียนอี้เป็นผู้เดียวที่เข้าไปนั่งรอสหายทางด้านใน ขณะที่ซิ่นเฉิงได้รับอนุญาตให้ยืนรออยู่ภายนอกเท่านั้น น่ารำคาญใจเสียหน่อย แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสหายอมนุษย์ของเทียนอี้ เขาไม่อยากจะขนลุกขนชันเพราะเกล็ดสีดำมะเมื่อมนั่นอีกระลอกหรอก

ทว่า...สิ่งที่ซิ่นเฉิงคิดนั้นออกจะผิดไปจากที่คาดหมายเสียหน่อยด้วยสหายที่เทียนอี้มาเยือนหาใช่เจี้ยนสือ แต่กลับเป็นเจ้าสุนัขจิ้งจอกขนสีน้ำตาลแดงตัวนั้น

รูปร่างหน้าตาของเจ้าสุนัขจิ้งจอกค่อนจะออกไปทางน่าเอ็นดู เทียบกับสุนัขป่าอย่างเทียนอี้แล้ว ดูน่าทะนุถนอมกว่ากันมากโข แต่ด้วยตำแหน่งรองแม่ทัพที่รั้งชื่อไว้ ดูแล้วคงจะร้ายกาจอยู่ไม่ใช่น้อยถึงได้รับแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่โตถึงเพียงนี้
กระนั้นก็หาใช่สิ่งที่ซิ่นเฉิงจะสนใจ ในยามนี้เขาอยากกลับจวนของเทียนอี้มากกว่า แม้จวนนั้นจะไม่ได้น่าอยู่ แต่ก็ดีกว่าการมายืนอยู่ในจวนของเทพอสูรตนอื่นที่เขาไม่คุ้นเคยนัก

“ขอบน้ำใจเจ้ามากสำหรับคำแนะนำ ปีนี้เพิ่งจะเป็นปีแรกของข้าที่ได้รับมอบหมายให้จัดงานพิธีไหว้พระจันทร์ หากไม่ได้คำชี้แนะจากเจ้า ข้าคงแย่”

น้ำเสียงนุ่มทุ้มดังมาเข้าหูของซิ่นเฉิง หันไปมองก็พบว่ามันเป็นเสียงของเจ้าจิ้งจอกตัวนั้น

“หามิได้ ข้าก็ว่าไปตามที่เคยทำมาก่อน เรื่องงานพิธีคงได้เหนือบ่ากว่าแรงของเจ้าหรอก” เทียนอี้ตอบรับ ในน้ำเสียงผ่อนคลายนั้นเคลือบแฝงไปด้วยความอ่อนน้อม ทำเอาคนฟังยิ้มสัพยอกออกมา

“ข้าเป็นสหายของเจ้าแท้ๆ อยู่ข้างเจ้ามาก็จนป่านนี้ ไยเจ้าถึงได้พินอบพิเทานัก ข้าเป็นเพียงเทพชั้นผู้น้อย...”
“จะเป็นเทพชั้นสูงหรือชั้นผู้น้อย ข้าก็ให้เกียรติทั้งสิ้น รวมถึงเจ้าด้วยหมิงจู”

ได้ยินอย่างนั้น เทพอสูรผู้มีเรือนกายครึ่งหนึ่งเป็นสุนัขจิ้งจอกก็แย้มยิ้มพึงใจ พลันสายตาก็เหลือบมาเห็น ‘สิ่งมีชีวิตแปลกปลอม’ ยืนอยู่ตรงหน้า แม้จะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่กลิ่นสาบทะเลทรายที่คุ้นจมูกด้วยเคยได้กลิ่นมาก่อนในจวนของเทียนอี้ก็ทำให้เขารู้ว่าบุรุษในชุดชนเผ่าเร่ร่อนผู้นี้คือใคร

“นี่น่ะหรือสัตว์เลี้ยงของเจ้า ต่างจากที่ข้าคาดการณ์ไว้นัก”

คำถามของหมิงจูทำเอาซิ่นเฉิงหันขวับไปมองอย่างไม่พอใจ ครั้นเห็นสายตาเยาะเย้ยของเทพอสูรสุนัขจิ้งจอก ใจของชายหนุ่มก็นึกอยากจะถลกหนังอีกฝ่ายมาทำเสื้อคลุมนัก

สัตว์เลี้ยงหรือ? เจ้าต่างหากที่เหมาะจะเป็นสัตว์เลี้ยง เจ้าพวกหน้าขน!

บริภาษในใจเป็นที่เรียบร้อย ไม่อยากจะเสวนาด้วยจึงแสร้งทำเป็นหูทวนลม หากแต่หมิงจูรู้ดีว่าซิ่นเฉิงได้ยินเต็มสองหู พลันพูดขึ้นมาอีก

“แล้วเมื่อไรเจ้าถึงจะฝึกให้เชื่องได้กัน ได้ยินพ่อบ้านเหลียงบอกว่าเขาหนักใจกับความพยศของเจ้านี่มากเลยไม่ใช่หรือ?”

เลิกพูดอย่างกับว่าเขาเป็นสัตว์หน้าขนเสียทีเถอะ!

ซิ่นเฉิงเกือบทนไม่ได้อยู่แล้ว ดีที่เทียนอี้ซึ่งยืนฟังอยู่นานแทรกขึ้นมาก่อน
“ธรรมชาติเป็นมาอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต่อให้ข้าโบยตีก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงถอดเขี้ยวเล็บได้หรอก นอกจากจะเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้ข้าเอง”

พูดถูกต้อง ต่อให้ข่มเหงรังแกเพียงใด เขาก็จะไม่มีวันยอมศิโรราบโดยง่ายอย่างเด็ดขาด!

นึกชมเทียนอี้ขึ้นมาในตอนนี้ที่รู้จักพูด ขณะเดียวกัน ซิ่นเฉิงก็ไม่ชอบหน้าหมิงจูขึ้นมาในทันควัน

คำก็สัตว์เลี้ยง สองคำก็สัตว์เลี้ยง มันน่าโมโหนัก!

เทียนอี้รับรู้ได้ถึงความคิดของซิ่นเฉิง อันที่จริงแค่เห็นสีหน้าก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเดือดดาลเพียงใด ก่อนจะหันไปบอกลาหมิงจูอีกครั้งด้วยคิดว่าหากอยู่ที่นี่นานกว่านี้ มีหวังอารมณ์ดีๆ ของซิ่นเฉิงคงจะได้พังทลายไปแน่

“หมดธุระแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน” บอกลาสหายเสร็จก็หันไปมองยังคนที่ติดตามตนมา “กลับกันเถิด”

ไม่ต้องบอก ซิ่นเฉิงก็ไม่ทนอยู่ต่อหรอก ทว่าในจังหวะที่ชายหนุ่มหันหลังกลับไปยังประตูทางเข้าจวน สายตาคมของหมิงจูก็เหลือบไปเห็นเครื่องประดับที่ติดอยู่บนผมเปียของคนตรงหน้า หากเป็นเครื่องประดับชนเผ่าธรรมดา เขาคงจะไม่ได้สนใจ แต่การที่ส่วนปลายของเครื่องประดับมีเขี้ยวของสุนัขป่าห้อยระย้าอยู่นั่น มันทำให้เขาชะงักงันไปครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“นั่นมัน... เจ้าเป็นผู้มอบให้เช่นนั้นหรือ?”
ประโยคแรกคือการอุทาน ประโยคต่อมาคือคำถามที่ถามกับเทียนอี้

แม่ทัพใหญ่ที่เกือบจะเดินจากไปอยู่แล้วเหลือบมามอง พอเห็นสายตาคาดคั้นขอคำตอบจากสหายเก่า เขาก็พยักหน้า
“ใช่ ข้าเป็นผู้มอบให้”

ได้ยินดังนั้น ดวงตาของหมิงจูก็หรี่เล็กลงฉับพลัน พร้อมกันนั้นก็ปรากฏรอยย่นเล็กน้อยระหว่างคิ้ว
“เจ้ายังไม่เข็ดอีกหรือไร”

ไม่เข็ดเรื่องอะไรนั้น มีเพียงแค่หมิงจูกับเทียนอี้ที่รู้ เว้นเสียแต่ซิ่นเฉิงที่หาได้เข้าใจไม่ กระนั้นก็ไม่คิดจะถาม เทียนอี้เองก็ไม่ใคร่จะตอบหรืออธิบายใดๆ เช่นกัน มีก็แต่หมิงจูเท่านั้นที่ว่าเสียงเครียดออกมา

“ข้าว่าข้าเตือนเจ้าแล้วนะว่าอย่า...”
“หมิงจู”
ยังพูดไม่ทันจบ เทียนอี้ก็แทรกขึ้นมาเสียแล้ว ท่าทางนั้นดูก็รู้ว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายพูดถึง หมิงจูจึงเงียบปากทันควัน
“วันนี้ข้าอยู่ที่จวนเจ้านานแล้ว มีธุระอื่นที่ต้องทำที่จวนของข้า ข้าคงต้องไปก่อน”

แล้วเทียนอี้ก็ตัดบท พยักหน้าเรียกให้ซิ่นเฉิงเดินตามมา แต่หมิงจูก็ไม่วายปริปากเอ่ยตบท้ายจนได้

“ไม่ว่าเมื่อไร เจ้าก็ใจดีกับ ‘เจ้านั่น’ เสมอ”

เป็นซิ่นเฉิงบ้างแล้วที่ย่นหัวคิ้ว หมิงจูกำลังพูดถึงบุคคลที่เขาไม่รู้จักอยู่เป็นแน่ คำว่า ‘เจ้านั่น’ คงไม่ได้หมายถึงเขาหรอก ครั้นพอหันไปหาเทียนอี้ เขาก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ อีกเช่นเคย นอกจากจะเอ่ยปากเรียก

“กลับกันเถิดซิ่นเฉิง ส่วนเจ้า... ทำหน้าที่ของตนให้ดี ข้าจะเฝ้ารอดูผลงาน”

สิ้นเสียงก็เดินจากไปทันที โดยมีซิ่นเฉิงเดินตามหลังไปติดๆ แม้จะอยากรู้เพียงใด แต่ก็ต้องสะกดกลั้นเอาไว้ ถึงจวนเมื่อไรค่อยถามก็ยังไม่สาย

หมิงจูทอดสายตามองร่างใหญ่กับมนุษย์หนุ่มเดินจากไปด้วยความรู้สึกยากจะพรรณนา

เจ้านั่นหรือ? ไม่หรอก มนุษย์ผู้นั้นหาได้มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับเจ้านั่นเลยแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพียงความเอ็นดูที่เทียนอี้มีให้กับสัตว์เลี้ยงก็ได้

แต่ว่า... การมอบเขี้ยวสุนัขป่าให้นั้นมัน...

หมิงจูไม่อยากจะคิดต่อด้วยมันทำให้เขาว้าวุ่น พลันส่ายศีรษะ สลัดความคิดนั้นออกไปแล้วเดินกลับเข้าจวน ครุ่นคิดถึงเรื่องภาระหน้าที่ในฐานะเทพอสูรผู้จัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ประจำปีนี้แทน




 
หลังจากกลับออกจากจวนของรองแม่ทัพสุนัขจิ้งจอก เทียนอี้ก็ไม่ปริปากพูดถึงเรื่องคำพูดของหมิงจูอีกเลย แม้ซิ่นเฉิงจะเอ่ยปากถาม แต่ก็ได้ยินแค่ว่า ‘หาใช่เรื่องสำคัญอันใด เจ้าไปพักผ่อนเถิด’ นับครั้งไม่ถ้วนแทน

น่ารำคาญ!

แต่มันก็หาได้สลักสำคัญกับเขาจริงๆ ด้วยเรื่องนั้นหาใช่เรื่องของเขา ต่อให้เทียนอี้บอกแต่โดยดีว่า ‘เจ้านั่น’ ที่หมิงจูว่าคือใคร ก็ใช่ว่าเขาจะรู้จักคนผู้นั้นเสียหน่อย ดังนั้นการที่ไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

นับจากวันที่ไปเยือนจวนของหมิงจู ยามที่รองแม่ทัพสุนัขจิ้งจอกมาเยี่ยมเยือนยังจวนของเทียนอี้ เขาก็มักจะส่งสายตาขุ่นข้องหมองใจให้ซิ่นเฉิงตลอด แม้จะไม่เอื้อนเอ่ยสนทนากันแม้แต่คำเดียวก็ทำให้ซิ่นเฉิงทวีความไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายมากกว่าเดิมได้อีกเป็นเท่าตัว

อย่างกับว่ากำลังจับผิดเขาอย่างไรอย่างนั้นแหละ!

เป็นสิ่งที่ซิ่นเฉิงเกลียดที่สุด แค่ถูกลิดรอนอิสระไปโดยเทียนอี้ก็ว่าแย่แล้ว ยังจะถูกสายตาจ้องจับผิดของหมิงจูจ้องมองอีก มันชวนให้หัวเสียอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ทว่าความหัวเสียนั้นก็ทุเลาลงเมื่อวันกำหนดจัดเทศกาลไหว้พระจันทร์มาถึง เหล่าเทพอสูรในจวนของแม่ทัพเทียนอี้ดูจะคึกคักกันมากเป็นพิเศษ พานให้บรรดาคนรับใช้มนุยษย์ครึกครื้นตามไปด้วย จะมีก็แต่ซิ่นเฉิงที่ปีนขึ้นไปนั่งจับจองบนกิ่งท้อเท่านั้นที่ไม่หือไม่อือกับผู้ใด เอาแต่เอนกายพิงลำต้น มองดูคนในจวนที่พากันไปไหว้เจ้าในช่วงเช้า จากนั้นก็มีการไหว้บรรพบุรุษ แล้วก็รอเวลาให้ล่วงเลยไปจนถึงช่วงหัวค่ำซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะต้องทำพิธีไหว้เทพธิดาฉางเอ๋อ[1] ผู้ดูแลดวงจันทร์ เพื่อให้นางได้มีอิทธิฤทธ์ในการทอแสงจันทร์ลงมายังพื้นโลกมนุษย์

การที่ซิ่นเฉิงไม่เข้าร่วมพิธีกรรมใดๆ เลยนั้น ทำให้พ่อบ้านเหลียงต้องมาตามตัวด้วยแม่ทัพเทียนอี้มีคำสั่งว่าทุกคนในจวนของเขาจะต้องมากินขนมไหว้พระจันทร์ร่วมกันตามธรรมเนียม จึงไม่แปลกเมื่อทุกคนจะเห็นพ่อบ้านผู้นี้เดินตามหาตัวเจ้าแมวป่าไปทั่วทั้งจวน

ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนมืดมิด เมื่อนั้น...แสงจันทร์เริ่มทอนภา เกิดประกายลำแสงสีขาวนวลสาดส่องลงมาบนผืนดิน ครั้นยามแสงจันทร์อาบไล้ไปยังร่างของเทพอสูร เรือนร่างอัปลักษณ์ก็แปรเปลี่ยนให้เทพอสูรเหล่านั้นกลับกลายเป็นมนุษย์

ไม่สิ...ไม่ใช่ เป็นร่างเดิมของตนเมื่อครั้งที่ยามเป็นเทพสวรรค์ต่างหาก

หากนั่นเป็นการกลายร่างของเทพอสูรชั้นสูงอย่างเทียนอี้หรือบรรดาแม่ทัพกุนซืออย่างที่ซิ่นเฉิงเคยเห็น เขาก็คงจะไม่ประหลาดใจอะไรนัก แต่นี่กลับเป็นเทพอสูรทั้งแคว้นเฟิงฝู

หรือว่าที่พวกเทพอสูรคึกคักกันนักเป็นเพราะราตรีนี้คือราตรีเดียวในหนึ่งปีที่จะได้กลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงของตนเองกัน?

เป็นอย่างที่ซิ่นเฉิงคิดไว้ จากที่นั่งทอดถอนหายใจอยู่บนกิ่งต้นท้อ บัดนี้เขาทิ้งตัวลงมายืนบนพื้น จ้องมองใบหน้าของนายทหารเวรยามของจวนนายหนึ่งซึ่งบัดนี้มีใบหน้าเสมือนมนุษย์ด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย เขาควรรู้สึกอย่างไรกับปรากฎการณ์ที่ได้เห็นโดยคาดไม่ถึงนี้ดี?

แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบ เสียงคุ้นหูของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ข้าตามหาตัวเจ้าทั้งวัน ไปหลบอยู่ที่ใดมาเจ้าคนเลี้ยงไม่เชื่อง”

ใคร?

หัวคิ้วของซิ่นเฉิงขมวดมุ่นทันทีที่เห็นชายหนุ่มในชุดเรียบง่าย ใบหน้าคร้ามคม ทว่าเรียบเฉยสร้างความคุ้นเคยให้เขาอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งรูปหน้าสมมาตรนั่นยังทำให้ซิ่นเฉิงอดคิดไปไม่ได้อีกว่าคนตรงหน้าช่างหล่อเหลานัก แม้จะไม่อาจเทียบเท่าได้กับเทียนอี้ แต่ก็นับว่าเป็นบุรุษที่เป็นที่หมายปองของสตรีอยู่ไม่น้อย

เห็นสายตาสงสัยของคนทะเลทราย อีกฝ่ายก็ถอนหายใจออกมา พลางว่าเสียงเรียบ
“ข้าคือพ่อบ้านเหลียง เลิกทำหน้าเหมือนเห็นผีเสียที”
“เจ้า...จระเข้เฒ่า!?”

ตกใจของจริงก็คราวนี้ ซิ่นเฉิงคิดมาโดยตลอดว่าเทพอสูรที่มีศีรษะเป็นจระเข้ผู้นั้นคือชายชรา ไม่คิดว่าจะยังหนุ่มแน่น อายุอานามดูห่างจากเขาไม่ถึงสิบปีขนาดนี้

“ใช่ ข้าเอง ต้องขออภัยที่ทำให้เจ้าผิดหวัง ข้าหาได้มีรูปลักษณ์แก่เฒ่าดั่งที่เจ้าเคยปรามาสไว้”

ฟังดูก็รู้ว่าพ่อบ้านเหลียงเหน็บแนม ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้าทันควัน

“ผู้ใดจะไปรู้ เจ้าขี้บ่น จู้จี้เฉกเช่นคนแก่ ข้าก็คิดว่าเจ้าแก่น่ะสิ”

“หากนับอายุก็อาจจะเรียกเช่นนั้นได้ ข้ามีอายุมากกว่าเจ้าเป็นร้อยปี” พ่อบ้านเหลียงว่าด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะพูดต่อ “มาเถิด ท่านแม่ทัพให้ข้ามาตามเจ้าเข้าร่วมพิธีไหว้เทพธิดาฉางเอ๋อ อย่ามัวชักช้า”

สิ้นเสียงก็หมุนตัวเดินไปยังหน้าเรือนใหญ่ ซิ่นเฉิงที่พอจะได้สติขึ้นมาเดินตามไปอย่างว่าง่าย เมื่อถึงหน้าเรือนใหญ่ก็เห็นว่าคนรับใช้และทหารในสังกัดจวนของเทียนอี้มายืนรอพิธีเริ่มกันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว จะมีก็แต่เทียนอี้เท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้ด้วย ครั้นจะถามว่าเขาไปไหน พ่อบ้านเหลียงก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“เริ่มพิธีได้เลย”

หลังจากนั้นก็มีหญิงรับใช้มนุษย์ของจวนมาเป็นผู้ทำพิธีไหว้พระจันทร์ ซิ่นเฉิงไม่ถามว่าเพราะเหตุใดพ่อบ้านเหลียงถึงไม่ใช่ผู้ไหว้ ด้วยรู้ว่าพระจันทร์มีธาตุเป็นหยินเช่นเดียวกันกับสตรีเพศ ในขณะที่พระอาทิตย์มีธาตุเป็นหยางเฉกเช่นกับบุรุษเพศ ดังนั้นการไหว้พระจันทร์นั้น ผู้หญิงจึงต้องเป็นคนไหว้

พิธีดำเนินไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนย่างเข้าสู่กลางดึก มันออกจะเป็นงานพิธีที่น่าเบื่อสักหน่อยสำหรับซิ่นเฉิง คนทะเลทรายอย่างเขาไม่เคยมีพิธีรีตองใดๆ ถึงจะมีก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น อันที่จริงแล้ว พิธีนี้ก็หาได้บังคับให้ผู้ใดเข้าร่วมพิธีตลอดเวลา เมื่อไหว้เป็นที่เรียบร้อยในเบื้องต้น และแบ่งขนมไหว้พระจันทร์ก้อนใหญ่กินกันถ้วนหน้า พ่อบ้านเหลียงก็อนุญาตให้คนรับใช้ไปเที่ยวในเมืองกันได้ตามคำสั่งของเทียนอี้ ด้วยในเมืองนั้นมีการละเล่นมากมายให้เลือกชม นับว่านี่เป็นเทศกาลที่สร้างความรื่นเริงให้กับทุกชีวิตในแคว้นเฟิงฝูอย่างแท้จริง

คนรับใช้และทหารในจวนเทียนอี้ไปดูการละเล่น บ้างก็พากันจับกลุ่มกันร้องรำร่ำสุราตามร้านรวงด้วยความยินดีที่ได้หวนกลับคืนร่างเดิมแม้จะเป็นเพียงราตรีเดียวก็ตาม จะมีก็แต่ซิ่นเฉิงเท่านั้นที่ไม่ได้ไปไหน เพราะเขารู้ดีว่าต่อให้ออกไป เขาก็มีสิทธิเดินเหินไปมาได้แค่ในแคว้นเท่านั้น หาได้มีสิทธิออกนอกแคว้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเช่นนั้น

ชายหนุ่มกลับขึ้นไปนั่งบนต้นท้ออีกครา ดูเหมือนเขาจะชื่นชอบต้นท้อนี้ แต่เปล่าหรอก เขาแค่อยากหามุมสงบที่ไม่มีพ่อบ้านเหลียงมาคอยคะยั้นคะยอให้กินขนมไหว้พระจันทร์ต่างหาก

เจ้าจระเข้เฒ่านั่นก็ไม่รู้เป็นอะไร บังคับให้กินขนมอยู่ได้ คิดจะวางยาข้าล่ะสิ

คิดในแง่ร้ายเป็นที่เรียบร้อย พลางทอดสายตามองไปยังดวงจันทร์เหลืองอร่ามบนท้องฟ้ามืด ดวงจันทร์ในคืนนี้สว่างไสวมากกว่าทุกคืน มองแล้วก็พานให้คิดถึงครอบครัวที่อยู่ด้านนอกกำแพงแคว้นนั่น

ป่านนี้แล้วซิ่นจินจะเป็นเช่นไร แล้วท่านพ่อกับคนอื่นๆ จะสุขสบายดีหรือไม่?

ฉับพลันในใจของซิ่นเฉิงก็รู้สึกอ้างว้าง ความจริงแล้วในคืนที่ดวงจันทร์สว่างสดใสที่สุด เผ่าของเขาก็มีการเฉลิมฉลองเช่นกัน แต่ไม่ได้มีพิธีเช่นนี้ เป็นเพียงการจับกลุ่มร้องระบำกันตามประสาคนเผ่าทะเลทรายเท่านั้น


ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 9: เทศกาลไหว้พระจันทร์[2]

เหม่อลอยได้ไม่นานนัก ซิ่นเฉิงก็ต้องเรียกสติและดึงสายตาของตนกลับมามองยังพื้นเบื้องล่างเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนร้องเรียก

“มาหลบอยู่ที่นี่เองหรือเฉิงเฉิง”
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ซิ่นเฉิงปรายตามองเทียนอี้ในร่างของเทพสวรรค์นิ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าเรียก
“ลงมาสิ” ซิ่นเฉิงนิ่งไปครู่ แต่ก็ยอมทิ้งตัวลงจากต้นท้อโดยดี “เจ้าไปไหนมา” จากนั้นก็ถามทันควัน

ที่ถาม ก็หาใช่ว่าเป็นห่วง ทว่าเพียงสงสัยว่าเทียนอี้หายไปไหนมาทั้งวันต่างหาก

“ที่จวนศักดิ์สิทธิ์มีพิธีกรรม ข้าในฐานะหนึ่งในแม่ทัพใหญ่จึงต้องไปเข้าร่วม เพิ่งจะเสร็จสิ้นเมื่อครู่ พิธีกรรมเป็นไปอย่างราบรื่น ต้องยกความดีความชอบให้หมิงจูเลยทีเดียวที่ข้ากลับจวนได้เร็วกว่าปกติ”

ซิ่นเฉิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาได้ยินพ่อบ้านเหลียงพูดไว้เหมือนกันว่าที่จวนศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมีเฉพาะเทพอสูรชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าร่วมพิธีกรรมได้ จึงไม่แปลกหากจะเห็นเทียนอี้หายหน้าหายตาไปทั้งวัน

“แล้วเจ้ามีธุระใดกับข้า”
เมื่อได้รับคำตอบของการหายตัวไปของคนตรงหน้า ซิ่นเฉิงก็ถามเสียงแข็งทั้งๆ ที่สายตาจับจ้องยังดวงหน้าผุดผาดของเทียนอี้ไม่หยุด

ไม่ว่าจะเห็นคราใด ก็งดงามจนน่าหลงใหลเสียจริง...

จิตใต้สำนึกบอกอย่างนั้น แต่การแสดงออกช่างสวนทางยิ่งนัก

เทียนอี้ยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยกจานเล็กๆ ที่ถืออยู่ในมือยื่นออกไปตรงหน้า
“ข้าได้ยินพ่อบ้านเหลียงบอกว่าเจ้าไม่ยอมกินขนมไหว้พระจันทร์ ข้าจึงนำมาให้”

ซิ่นเฉิงปรายตามองเสี้ยวขนมในจานแล้วก็ย่นจมูก

เจ้าจระเข้ขี้ฟ้อง!

“กินเสียสิ” เทียนอี้ว่าพลางใช้มือข้างหนึ่งหยิบขนมไหว้พระจันทร์ส่งให้
ซิ่นเฉิงมองของในมืออีกฝ่ายนิ่ง ไม่ตอบอะไร จนเทียนอี้ต้องย้ำคำอีกครั้ง

“คนในครอบครัวล้วนต้องร่วมกินขนมไหว้พระจันทร์กันหลังเสร็จพิธี มันเป็นการร่วมสัตย์ว่าจะสามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกัน เจ้าเป็นคนในจวนของข้า ก็นับว่าเป็นครอบครัวข้า เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องกิน”
“นี่เจ้าบังคับข้าหรือ?” ซิ่นเฉิงถามด้วยน้ำเสียงระคนไม่พอใจ

เทียนอี้ยิ้มรับเล็กน้อย “เปล่า ข้าเพียงอยากให้เจ้าได้ลิ้มลองรสชาติของขนมนี้ดู เจ้าอยู่แต่ในทะเลทราย คงจะหาได้เคยลิ้มรสขนมไหว้พระจันทร์มาก่อนใช่หรือไม่?”

จริงอย่างที่เทียนอี้ถาม ตั้งแต่เกิดมา ซิ่นเฉิงหาได้เคยกินขนมไหว้พระจันทร์มาก่อน อย่าว่าแต่ขนมไหว้พระจันทร์ที่อยู่ในมือของคนตรงหน้าเลย แค่อาหารที่จะกินประทังชีวิตในแต่ละวันยังหาได้ยากยิ่ง นับประสาอะไรกับของกินเล่นเช่นนี้

“ลองกินดูสิ ข้ารับรองว่าไม่ได้วางยาพิษเจ้า สมุนไพรปลุกกำหนัดใดๆ ก็หาได้ใส่เป็นส่วนผสม” แม่ทัพเทพอสูรว่าสัพยอก
ซิ่นเฉิงมุ่ยหน้าใส่ทันควัน “หากเจ้าทำเช่นนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ” แต่ก็ยอมหยิบชิ้นขนมจากมือของเทียนอี้มาโดยดี

ชายหนุ่มดมกลิ่นหอมของขนมนั้นเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากกัดด้วยท่าทางหวาดระแวง ดูแล้วก็คล้ายกับแมวไม่มีผิดในสายตาของเทียนอี้ จากนั้นเขาก็ทำตาโตเมื่อรสหวานละมุนพร่างพรายไปทั่วลิ้น

ตั้งแต่เกิดมาหาได้เคยกินของอร่อยเช่นนี้มาก่อน!

“อร่อยหรือไม่?” เทียนอี้ถามเมื่อเห็นซิ่นเฉิงมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป
คนถูกถามรีบเก็บอาการปลื้มปีติในรสชาติขนม ก่อนกระแอมไอสองสามครั้ง
“ก็...ไม่เลว”

ดูก็รู้ว่าซิ่นเฉิงประทับใจกับรสชาติของขนมไหว้พระจันทร์เพียงใด ก่อนเทียนอี้จะว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ในโรงครัวยังมีขนมอื่นๆ อีกมาก ข้าได้สั่งพ่อบ้านเหลียงให้จัดสรรแบ่งส่วนเผื่อแผ่ทุกคนในจวนอย่างถ้วนหน้าแล้ว หากเจ้าต้องการลิ้มรสขนมอื่น ก็จงไปแจ้งแก่พ่อบ้านเหลียงได้”

เห็นเขาเป็นคนเห็นแก่กินหรือไร!

...ใช่ คิดถูกต้อง ตอนนี้ซิ่นเฉิงอยากจะกระโจนเข้าโรงครัวไปดูว่ามีสิ่งใดให้เขาได้กินบ้างเสียเหลือเกิน หากแต่ก็ต้องระงับความตะกละนั้นไปเมื่อเทียนอี้ซึ่งมองอีกฝ่ายเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่หัวเราะในลำคอขึ้นมา

“มีอะไรให้น่าขันนัก” ซิ่นเฉิงถามเสียงเขียว เรียวคิ้วกระบี่ย่นยู่เป็นแนวเดียวกัน
เทียนอี้ไม่ได้ตอบในทันที ยื่นมือมาตรงหน้าแล้วถือวิสาสะใช้ปลายนิ้วแม่มือแตะลงไปที่มุมปากของซิ่นเฉิง

“ปากของเจ้าเลอะ”
จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วนั้นเช็ดเศษขนมออกให้

ซิ่นเฉิงนิ่งแข็งเป็นหิน ตกใจกับการกระทำของเทียนอี้ก็เรื่องหนึ่ง อีกหนึ่งคือการที่เขาเห็นใบหน้าของเทียนอี้ใกล้เพียงฝ่ามือนั้น มันทำให้เขาลืมหายใจไปชั่วขณะ

ไม่ว่ายามใด ใบหน้าของเทียนอี้ยามเป็นเทพนั้นก็ช่างงดงาม...

เพ้อพกตกในภวังค์ขึ้นมาอีกครา จะว่าหลงใหลรูปโฉมนั้นเป็นอย่างมาก ซิ่นเฉิงก็ไม่ปฏิเสธ ยิ่งได้สัมผัสกับลมหายใจอุ่นๆ ที่โลมเลียผิวหน้าด้วยแล้ว เขาก็แทบจะหลอมเป็นขี้ผึ้งต้องเปลวไฟเลยทีเดียว

“มองข้าเช่นนี้ เจ้าปรารถนาสิ่งใด”
เห็นมนุษย์หนุ่มจ้องตาไม่กะพริบ เทียนอี้ก็หยอกถาม

ซิ่นเฉิงเม้มริมฝีปากแน่น สายตาหลุบลงต่ำเล็กน้อยเมื่อถูกนัยน์ตาสีทองอำพันจับจ้อง ขณะเดียวกัน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นระส่ำขึ้นมา

ริมฝีปากหนาที่เอื้อนเอ่ยนั้น...เขาอยากจะลองลิ้มรสมันดูสักครั้ง

ซิ่นเฉิงรู้สึกเช่นนี้แต่ไม่พูดออกไป กระทั่งเทียนอี้ถามขึ้นมาอีก
“ว่าอย่างไร เจ้าต้องการสิ่งใด เฉิงเฉิง”

คนถูกเรียกว่า ‘เฉิงเฉิง’ เบนสายตากลับมาจับจ้องดวงหน้างามอีกรอบ ยิ่งพินิจก็ยิ่งหลงใหลรูปโฉมนี้ จนสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะปริปากออกไป

“ข้า...ใคร่อยากจะจุมพิตเจ้า”

เป็นเทียนอี้บ้างแล้วที่ชะงัก เขาว่าเมื่อครู่นี้ตนได้ยินไม่ผิดหรือหูฝาดไปชั่วขณะอย่างแน่นอน กระนั้นก็ทวนคำพูดด้วยไม่มั่นใจนัก

“จุมพิตข้า?”

ซิ่นเฉิงเม้มริมฝีปากอีกครั้งเป็นคำตอบ เท่านั้นเทพอสูรก็ประจักษ์ทันใด

มนุษย์ผู้นี้ลุ่มหลงในรูปกายเดิมของเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว...

เป็นเรื่องที่น่าอดสูอยู่สักหน่อย แต่นั่นก็คือธรรมชาติของมนุษย์ที่นิยมชมชอบในรูปกาย และเทียนอี้ก็ไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าตัดพ้อใดๆ ด้วย คิดเสียอีกว่านี่เป็นโอกาสทองที่จะได้รำลึกถึงสัมผัสของเรือนร่างคนตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ทีละน้อย จนปลายจมูกของเขาแตะเข้ากับปลายจมูกของซิ่นเฉิงแผ่วเบา

“ถ้าเจ้าปรารถนาเช่นนั้น... ข้าก็จะให้เจ้าสมประสงค์”

สิ้นเสียงก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่าย ซิ่นเฉิงตอบรับอย่างไม่รังเกียจ ออกจะหงุดหงิดเสียด้วยซ้ำที่เทียนอี้แค่ประทับริมฝีปากลงมาแล้วก็ถอนออกไป

“เท่านี้?”
เมื่อเสียงดุดันคล้ายจะต่อว่าหลุดออกจากปากของเจ้าแมว เทียนอี้ก็ยิ้มขึ้น
“เจ้าต้องการอีกเท่าใด”
“จนกว่าข้าจะพอใจ”

แม้ว่าซิ่นเฉิงจะเป็นคนดื้อด้าน แต่ก็หาใช่คนที่จะโกหกความรู้สึกตนเอง และนั่นทำให้เทียนอี้พอใจเป็นอย่างมาก วันนี้เขาออกไปทำธุระมาทั้งวัน ได้ผ่อนคลายด้วยการหยอกล้อกับเจ้าเหมียวของจวนหน่อยก็คงดี

“ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็คงจะปฏิเสธไม่ได้”

เทียนอี้เข้าครอบครองริมฝีปากของซิ่นเฉิงอีกครั้ง ดูดกลืนความหอมหวานกรุ่นกลิ่นขนมในโพรงปากของอีกฝ่ายทีละน้อย เมื่อซิ่นเฉิงเผยอริมฝีปากตอบรับ ปลายลิ้นอุ่นร้อนก็แทรกเข้ามาด้านใน เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นนุ่มๆ ของซิ่นเฉิง จากจุมพิตแผ่วเบาก็เริ่มดุดันมากขึ้น สัญชาตญาณพุ่งพล่านภายในก่อเกิดความโหยหา ต่างฝ่ายต่างตักตวงความหวานล้ำของกันและกันราวกับผึ้งภมรแย่งน้ำหวาน

ซิ่นเฉิงคงจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้เมื่อเขาเริ่มหายใจถี่กระชั้นเพราะถูกรุกรานหนักจนเกินไป เทียนอี้ละริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ถามเสียงแผ่ว

“พอใจหรือไม่?”

ยัง...

ซิ่นเฉิงอยากจะตอบเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นดวงตาประกายระยับคู่นั้นของคนตรงหน้าแล้ว เขาก็เริ่มร้อนวูบวาบที่ใบหน้าขึ้นมา
“พอแล้ว”

ถึงตอนนี้ เทียนอี้หลุดหัวเราะในลำคอเบาๆ

“เจ้าช่างปากไม่ตรงกับใจ” ก่อนจะยื่นมือไปแตะเข้าที่กลางลำตัวของอีกฝ่าย สัมผัสส่วนแข็งขืนที่เป็นเนินนูนออกมาจากเนื้อผ้าอย่างเบามือ “แต่ร่างกายของเจ้าช่างสัตย์ซื่อยิ่งนัก”

เจ้าหมานี่... เจ้าเล่ห์นักนะ!

นึกขุ่นใจขึ้นมา แต่ซิ่นเฉิงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้สัมผัสเรือนร่างของเทียนอี้ในยามที่เขาคงร่างเทพเช่นนี้ มันทำให้เขาไม่อาจควบคุมความต้องการของตนเองได้ดีนัก อีกทั้งยังประคองสติสัมปชัญญะได้ไม่ดีเท่าที่ควรอีกด้วย เพราะเมื่อเทียนอี้พูดจบ เขาก็ถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปนั่งลงบนพื้นหญ้าหลังพุ่มไม้ในสวน

“หากเจ้าอยากจะร่วมอภิรมย์กับร่างนี้ของข้า ข้าก็จะไม่ขัด”

ได้ยินเช่นนี้ แล้วซิ่นเฉิงจะขัดหรือ? เทียนอี้ก็น่ารำคาญใจนัก เป็นเพียงแค่เทพอสูรแท้ๆ แต่กลับอ่านใจเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ทว่าซิ่นเฉิงก็หาได้มีโอกาสบริภาษใดๆ เมื่ออีกฝ่ายประทับจูบลงมาอีกครา ขณะที่มือข้างหนึ่งคลายเชือกรัดกางเกงของซิ่นเฉิงออก สอดมือเข้าไปกอบกุมแก่นกาย รูดรั้งจนส่วนปลายมีของเหลวเอ่อปริ่ม

มนุษย์หนุ่มหายใจกระหืดหอบในทันใด พลันแอ่นสะท้านเมื่อถูกเทียนอี้ที่ละจุมพิตจากริมฝีปากไล้เลียไปตามลำคอและใบหู ความวาบหวามอันน่าอภิรมย์ทำให้ซิ่นเฉิงหลงมัวเมา ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเทียนอี้ด้วยแล้ว ความกำหนัดก็เหมือนจะพวยพุ่งไปทั่วร่างมากกว่าเดิม

เมื่อครั้งที่ถูกเทียนอี้ในร่างเทพอสูรกระทำเช่นนี้ เขาหาได้ยินดีแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นก็ไม่ได้รังเกียจใดๆ ทว่าในตอนนี้ กลับเป็นเขาที่ยินดีกับการสัมผัส อีกทั้งยังตอบสนองได้รวดเร็ว เพราะไม่นานนัก ความอัดอั้นที่กักเก็บไว้ชั่วครู่ก็ปะทุออกมาสาดกระเซ็นเป็นสาย

เป็นเทียนอี้ที่เก็บกวาดความเปรอะเปื้อนนั้นให้ด้วยปลายลิ้นที่ปราดเลียไปทั่วส่วนกลางของร่างกายคนตรงหน้า รสชาติของซิ่นเฉิงช่างรัญจวนใจ อุปนิสัยนี้เขาไม่เคยทำให้แก่ผู้ใดมาก่อน นอกเสียจาก...

“ให้ข้าแตะต้องเจ้า”

ทันทีที่เทียนอี้เงยหน้าขึ้นมา เสียงของซิ่นเฉิงก็ดังขึ้นทันที ก่อนความประหลาดใจจะผุดพรายขึ้นยังใบหน้าคร้ามของท่านแม่ทัพใหญ่

“เจ้าหมายถึง...”
“หมายถึงสิ่งใด เจ้าเป็นบุรุษก็น่าจะรู้ ตัวเจ้าเองก็เป็นเสียขนาดนั้น จะทนให้ได้อะไรขึ้นมา”

ไม่ว่าอย่างไร ซิ่นเฉิงก็เป็นคนซื่อตรง

เทียนอี้ถึงกับหัวเราะในลำคอ จริงอย่างที่เจ้าแมวป่านี่ว่า เขาเองก็เกิดกำหนัด อวัยวะความเป็นชายดุนดันเนื้อผ้าเสียจนอึดอัดไปหมดแล้วเช่นกัน แต่ที่ไม่ทำอะไรเกินเลยนอกจากการปรนเปรอให้ฝ่ายเดียวก็เป็นเพราะเขาไม่ต้องการข่มเหงน้ำใจของซิ่นเฉิง ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายเสนอมาเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ

“ทำตามที่เจ้าประสงค์เถิด”

เมื่อได้รับอนุญาต ซิ่นเฉิงก็ไม่รอช้า เป็นฝ่ายดันตัวขึ้นนั่งคุกเข่า แล้วบรรจงจูบริมฝีปากของคนตรงหน้าที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการกลืนกินทุกหยาดหยดของเขาไปเมื่อครู่

จุมพิตนั้น...เนิ่นนาน แม้จะบรรจงเพียงใด แต่ก็เต็มไปด้วยความดุดันและจาบจ้วงหยาบโลน ...ตามประสาคนทะเลทราย

เทียนอี้ตอบรับอย่างยินดี ขณะที่ซิ่นเฉิงซุกซนอยู่ไม่สุข สอดมือเข้าไปในกางเกงของคนที่ปรนเปรอให้ตนก่อนหน้าบ้าง ฝ่ามือสัมผัสเข้ากับความแข็งขืนอุ่นร้อนของแก่นกาย เขาไม่ควรหลงใหลในตัวบุรุษ แต่กับเทียนอี้แล้วก็เหมือนจะยับยั้งตนเองไว้ไม่ได้
มือรูดรั้งเป็นจังหวะ เสียงหายใจหอบน้อยๆ หลุดออกมาจากเทียนอี้ เมื่อซิ่นเฉิงถอนริมฝีปากออกมาก็พบว่าเทพอสูรตนนั้นหยักยิ้มให้อยู่

ยิ่งมองก็ยิ่งลุ่มหลง จนชวนให้ซิ่นเฉิงทำสิ่งที่ไม่คิดมาก่อนว่าในชีวิตนี้จะกระทำ...

เขาเลื่อนตัวลงต่ำ อ้าปากเข้าครอบครองความเป็นบุรุษเพศของเทียนอี้ ปรนเปรอด้วยปากและลิ้นอย่างที่อีกฝ่ายได้กระทำให้เขา เทียนอี้เองก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าเจ้าเหมียวแสนร้ายกาจตัวนี้จะต้องการทำอะไรที่คาดไม่ถึง แต่นั่นแหละคือนิสัยของแมว... คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ บางครั้งก็โมโหฉุนเฉียว บางครั้งก็ออดอ้อนเสียจนน่าเอ็นดู

ปลายลิ้นตวัดไล้กลืนกินแก่นกายอย่างไม่ประสา บ่งบอกให้รู้ว่าซิ่นเฉิงหาได้เชี่ยวชาญเรื่องอย่างนี้นัก ก็อย่างว่า เขาหาได้เคยร่วมรักกับบุรุษใดมาก่อน ถ้าจะไม่ชำนาญก็ไม่แปลก จึงได้แต่เลียนแบบที่เทียนอี้เคยกระทำให้เท่านั้น และนั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งของเทียนอี้ เพราะมันหมายความว่า...เขาเป็นบุรุษคนแรกที่ได้แตะต้องเรือนกายของซิ่นเฉิง

แค่คิด... ความยินดีก็ยุ่งทวีมากขึ้น พร้อมๆ กับความอัดอั้นที่ดูเหมือนอีกไม่นานก็จะสิ้นสุดลง

ปลายลิ้นของซิ่นเฉิงสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่พวยพุ่งอบอวลไปทั่วโพรงปาก เขาออกจะตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ยอมถอนริมฝีปากออกมา กลืนกินน้ำมธุรสจากบุรุษตรงหน้าทุกหยาดหยด ทำเอาเทียนอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออก ก่อนวางฝ่ามือใหญ่ลงบนกระหม่อมของซิ่นเฉิงแล้วลูบเบาๆ

“เด็กดี...”

ซิ่นเฉิงที่ได้รับคำชมเช่นนี้เหลือบตาขึ้นมอง พอเห็นสีหน้าพึงพอใจของเทียนอี้แล้ว ในใจก็อุ่นวาบขึ้นมาเช่นกัน

“ที่ข้าทำให้เจ้า หาใช่ว่าข้าเอ็นดูเจ้า แต่เป็นการตอบแทนที่เจ้าดูแลข้าเป็นอย่างดี”
พอกลับสู่ปกติ ฝีปากก็เริ่มทำงาน

เทียนอี้ไม่เถียงใดๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงอีกฝ่ายให้เข้าหา จับพลิกตัวให้นั่งพิงกับแผ่นอกของตนแล้วสวมกอดเอวสอบเอาไว้หลวมๆ

ซิ่นเฉิงที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่โวยวาย
“เจ้า!”

จากนั้นก็ชะงักไปเมื่อเทียนอี้เกยปลายคางไว้บนไหล่แกร่งของตน

“น่ายินดียิ่งนักที่ราตรีนี้ได้ชมจันทร์ร่วมกับเจ้า”

น่ายินดีหรือ? ซิ่นเฉิงก็ไม่แน่ใจตัวเองนักว่ายินดีหรือไม่ แต่ก็ยอมรับว่ารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย จึงนั่งเฉยๆ ให้เทียนอี้ได้สวมกอดอย่างเงียบงัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่เทียนอี้ฝังปลายจมูกลงบนซอกคอของคนในอ้อมแขน สูดกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของซิ่นเฉิงเข้าปอด พลันคิดคะนึงถึงใครบางคนขึ้นมา

...ยอดดวงใจของข้า





[1] เทพธิดาฉางเอ๋อ เป็นเทพธิดาที่ดูแลดวงจันทร์ มีตำนานเล่าว่าฉางเอ๋อเป็นหญิงคนรักของโฮวอี้ นักยิงธนูแห่งสวรรค์ เมื่อเขากระทำผิด ใช้ธนูยิงดวงอาทิตย์ที่เผาผลาญโลกมนุษย์ตกลงไปถึงเก้าดวงจากสิบดวง เขาจึงถูกลงทัณฑ์ด้วยการให้ลงไปใช้ชีวิตธรรมดาเช่นมนุษย์เนื่องจากละเมิดบัญชาสวรรค์ ฉางเอ๋อจึงตามเขาไปด้วย แต่แล้วโฮวอี้ก็ถูกคนสนิทสังหาร ส่วนฉางเอ๋อก็ดื่มน้ำอมฤตเพื่อที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ แล้วเหาะกลับไปที่ดวงจันทร์เพียงลำพังด้วยความเศร้าสร้อย





เจ้าเหมียวววว ร้ายกาจไม่เบาเหมือนกันนะ เริ่มมีใจให้แม่ทัพหมาแล้วล่ะสิ 555

ฝากกำลังใจไว้ให้ด้วยนะคะ เดี๋ยวไว้หนูแดงมาต่อให้ค่า


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นึกถึงใครกันนะ ยอดดวงใจที่ว่านั่น

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ถถถ ท่านเทพมีคนรักอยู่แล้วนี่เอง สงสัยจะอยู่บนสวรรค์แบบนี้ก็รักสามเศร้าหน่ะซิ เฉิงเฉิงจะถอนตัวทันไหมหว่า 555+ แต่เจ้าแมวจอมดื้อปากไม่ตรงกับใจต่อให้รักก็คงไม่มีทางพูดออกมา ปากแข็งซะขนาดนี้

ออฟไลน์ Altasia

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ทั่นเทพ! ถ้าทำให้เฉิงเฉิงเสียใจล่ะก็น่าดู!

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
ท่านแม่ทัพมีใคร?ในใจแล้วอ่าาา

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เฉิงเฉิง น่ารักขึ้นทุกวันเนอะท่านแม่ทัพ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ไม่คิดว่าเฉิงเฉิงจะกระโจนใส่ขนาดนี้ โอ้ยย  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
[ตัวอย่าง] บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่

 เอาตัวอย่างมาก่อน ถามว่าดราม่ามั้ย มันก็ไม่นะคะ (หัวเราะแบบเชื่อไม่ได้)
เออ ไม่ดราม่าจริงๆ ใจร่มๆ รออ่านก่อนนะจ๊ะ
--------------------------------

“นางมาจากสกุลหลิว มีนามว่าหลิวซู”
ได้ยินพ่อบ้านเหลียงพูดเช่นนั้น จากที่แสร้งไม่สนใจอยู่ เทียนอี้ก็วางตำราในมือลงทันควัน หันไปมองหน้าคนสนิทอย่างไม่เชื่อหู
“เมื่อครู่นี้ เจ้าว่านางมีชื่อว่าอะไรนะ”
“หลิวซู” พ่อบ้านเหลียงย้ำคำอีกครั้งช้าๆ และชัดเจน

พลันเทียนอี้ก็นิ่งอึ้งไปอีกครา เมื่อได้สติก็ออกคำสั่ง
“ข้าอยากพบนาง”
“นางเพิ่งมาถึง ยังอยู่ที่หน้าจวนขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้น เทียนอี้ก็ไม่รีรออีกต่อไป ตรงออกจากห้องหนังสือ มุ่งหน้าไปยังที่หมายที่พ่อบ้านเหลียงบอกทันที

ร่างใหญ่ก้าวผ่านสวน ซิ่นเฉิงที่นอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งท้อมองเห็นก็ปรายตามอง พอเห็นว่าท่าทางของเทียนอี้ช่างดูรีบร้อนนัก เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเหตุอันใดกัน อมนุษย์ตรงหน้าถึงได้ร้อนรนเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องของตนก็แอบลอบตามไปดู กระทั่งมาถึงยังหน้าจวนก็พบว่าบริเวณนั้นมีขบวนเกี้ยวของสกุลใดสักสกุลมาตั้งขบวนอยู่

ส่วนเทียนอี้ ครั้นไปถึงก็หยุดยืนนิ่ง ขณะที่พ่อบ้านเหลียงบอกจุดประสงค์กับคนรับใช้ของเจ้าของขบวนเกี้ยวนั้น
“ท่านแม่ทัพอยากพบนาง”

หญิงรับใช้พยักหน้ารับ เดินไปเปิดม่านที่เกี้ยวแล้วกระซิบบอกผู้เป็นนาย อึดใจเดียว ม่านที่บดบังเกี้ยวอยู่ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างแน่งน้อยของสตรีนางหนึ่งที่ก้าวลงมา

ทันทีที่สายตาของเทียนอี้ประสบกับดวงหน้านวล เขาก็นิ่งค้างไปราวกับเห็นผี ฉับพลันความตะลึงงันก็ปรากฏอยู่บนสีหน้า ก่อนที่ปากจะเอื้อนเอ่ย
“ซูซู...”
ในใจก็พลันคิด... เหมือนมาก...เหมือนจริงๆ

ซิ่นเฉิงที่แอบดูอยู่จากหลังเสาไม่ไกลนักถึงกับย่นคิ้วยู่ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

ใครกัน?

จากนั้นก็ต้องหยุดคิดสงสัยเมื่อเสียงหวานของสตรีนางนั้นดังขึ้น
“ข้าน้อยหลิวซู ขอคำนับท่านแม่ทัพเทียนอี้เจ้าค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสุนัขป่าเล็กน้อย ก่อนเทียนอี้จะตอบรับ
“แค่ได้เห็นเจ้าอีกครั้ง ข้าก็ยินดียิ่งแล้ว”
“หามิได้เจ้าค่ะ ข้าต่างหากที่ยินดี ท่านแม่ทัพเมตตาให้ข้าได้เข้าพบเช่นนี้ ถือเป็นวาสนาของหลิวซูแล้ว”
“นั่นก็เพราะข้าอยากพบเจ้า”

สิ้นเสียงก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ซิ่นเฉิงเห็นเป็นประจำ ทว่าดวงตาที่กำลังทอประกายราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่ารักใคร่ยิ่งนักนั้น ซิ่นเฉิงหาได้เคยเห็นมาก่อน ถึงตอนนี้ ซิ่นเฉิงก็ขมวดคิ้วหนัก อะไรไม่ว่า เขายังหายใจได้ยากลำบากเมื่อหน้าอกข้างซ้ายจุกเสียดขึ้นมากะทันหันอีก

อาการนี้มัน...

คิดพลางยกมือขึ้นทาบหน้าอก มันปวดอยู่ข้างในลึกๆ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นถี่ ทำให้ปวดแปลบมากขึ้นไปอีก

หรือว่าข้าจะป่วยกัน?

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
งานมาม่ากำลังจะมา ขอแค่รสหมูสับพอนะค๊ะ อ่อนๆ

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8

ออฟไลน์ ice.sp0211

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
มาม่าครั้งนี้ซดทีเดียวหมด หรือค่อยๆซดยาวไปคะ  :sad4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ TiwAmp_90

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เทียนอี้สุดยอดมาก โดนน้องแมว เอ๊ย ซิ่นเฉิงพยศขนาดนั้นยังทนได้แล้วไหนจะใจดีทำแผลนู่นนี่นั่นให้ตลอดอีก เฉิงเฉิงก็เชื่อฟังท่านแม่ทัพกับพ่อบ้านเหลียงบ้างซี ตอนหน้าคงมีแมวได้เรียนรู้ใจตัวเองกันบ้างล่ะ แต่ท่านแม่ทัพก็ห้ามเอาซิ่นเฉิงเป็นตัวแทนใครนะ ปล.หลิวซูจะใช่ซูซูคนรักของเทียนอี้จริงๆเหรอ ไม่ได้ปลอมตัวหรือหลอกอะไรใช่มั้ยคะ

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
แมวน้อยเอ้ยยย
รู้ใจตัวเองสักที

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
มาม่าครั้งนี้ซดทีเดียวหมด หรือค่อยๆซดยาวไปคะ  :sad4:

ม่าเบาๆ ค่อยๆ ซดไปค่า

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เทียนอี้สุดยอดมาก โดนน้องแมว เอ๊ย ซิ่นเฉิงพยศขนาดนั้นยังทนได้แล้วไหนจะใจดีทำแผลนู่นนี่นั่นให้ตลอดอีก เฉิงเฉิงก็เชื่อฟังท่านแม่ทัพกับพ่อบ้านเหลียงบ้างซี ตอนหน้าคงมีแมวได้เรียนรู้ใจตัวเองกันบ้างล่ะ แต่ท่านแม่ทัพก็ห้ามเอาซิ่นเฉิงเป็นตัวแทนใครนะ ปล.หลิวซูจะใช่ซูซูคนรักของเทียนอี้จริงๆเหรอ ไม่ได้ปลอมตัวหรือหลอกอะไรใช่มั้ยคะ

เดี๋ยวรออ่านน้า จะค่อยๆ เฉลยมาค่ะ ^^

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[1]

จากการได้มีปฏิสัมพันธ์ทางกายกับเทียนอี้ในร่างเดิมเมื่อครั้งยังเป็นเทพ ทำให้ซิ่นเฉิงอ่อนพยศลงอย่างเห็นได้ชัด ใช่ว่าเขาจะยอมศิโรราบแต่โดยดี หากแต่เป็นเพราะยามได้เห็นหน้าของเทียนอี้ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้ายามเป็นเทพอสูรหรืออดีตเทพสวรรค์ ก็ล้วนแล้วแต่สร้างความร้อนรุ่มไปทั้งกายให้กับชายหนุ่มจากทะเลทรายผู้นี้ได้ชะงัด เมื่อทุกครั้งที่เห็นหน้าของแม่ทัพใหญ่ เขาก็เอาแต่คิดถึงภาพในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์

มันช่างสุขล้ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่ที่มาอยู่ที่จวนแห่งนี้...

ซึ่งนั่นก็ดีกับพ่อบ้านเหลียงที่ไม่ต้องปวดหัวกับความดื้อรั้นของชายหนุ่มคนนี้ ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการดีสักนิดเดียวหากเทียนอี้ถลำลึกลงไปมากกว่าเดิม ตั้งแต่คืนนั้นแล้วที่เขาได้กลิ่นสาบทะเลทรายจากผู้เป็นนายอย่างชัดเจน ยิ่งวันใหม่มาถึง เขาได้กลิ่นของเทียนอี้จากกายของซิ่นเฉิงด้วย มันจึงทำให้เขาอดพูดไม่ได้

“ท่านแม่ทัพ ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับท่านเป็นการส่วนตัว”

เปิดฉากมาเช่นนี้ เทียนอี้ที่นั่งจิบชาอยู่ในศาลากลางสวนก็เหลือบมองคนสนิทอย่างรู้ทัน กระนั้นก็ยอมให้อีกฝ่ายได้พูด
“ว่ามาสิ”
“เรื่องของซิ่นเฉิง ข้าว่าท่านจะถลำตัวมากเกินไปแล้ว”

คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้ ครั้นเทียนอี้จับจ้องไปยังใบหน้าจระเข้ของพ่อบ้านเหลียง อีกฝ่ายก็ว่าต่อ
“ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของท่านแม่ทัพ แต่การที่ท่านเอ็นดูชายผู้นั้นมากเกินไป อีกไม่นานก็จะถลำลึก”
“ข้าไม่ถลำลึกหรอกพ่อบ้านเหลียง”
“การที่ท่านร่วมอภิรมย์กับซิ่นเฉิง นั่นเรียกว่าถลำลึก” พ่อบ้านเหลียงเถียง

เทียนอี้ได้แต่ถอนหายใจ “ข้าไม่ได้ร่วมอภิรมย์ นั่นก็แค่ภายนอก”
“จะภายนอกหรือลึกซึ้งเพียงใด ข้าก็เห็นว่าเป็นการถลำลึกทั้งสิ้น ในฐานะที่ข้ารับใช้ท่านแม่ทัพมานาน ข้าขอเตือนว่าท่านต้องหยุดเล่นสนุกได้แล้ว”

เทียนอี้วางถ้วยชาลง ตอบอีกฝ่ายช้าๆ “ข้าไม่ได้เล่นสนุก”
“ถ้าหากท่านแม่ทัพจริงจัง ข้าก็จะขอเตือนให้ท่านหยุดเช่นกัน ท่านจำได้ใช่หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว เราต้องการกองทัพ ท่านจึงจำเป็นต้องมีฮูหยิน หาใช่ชายชู้ที่ทำได้เพียงปรนเปรอเท่านั้น”
“พ่อบ้านเหลียง”

เห็นว่าคนสนิทพูดเกินไป เทียนอี้ก็เรียกเสียงดุเล็กน้อยเป็นการเตือน พ่อบ้านเหลียงชะงัก ยกมือขึ้นคำนับเมื่อตระหนักได้ว่าลืมตัว
“ข้าขออภัยที่ล่วงเกิน”

เทียนอี้พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ถือสา แต่นั่นกลับเป็นการทำให้พ่อบ้านเหลียงได้พูดขึ้นมาอีก

“แต่ถึงจะล่วงเกิน ข้าก็ต้องขอเตือนท่านแม่ทัพไว้ว่าอย่าเอ็นดูเจ้าคนดื้อด้านนั่นให้มากไปกว่านี้ ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีใจปฏิพัทธ์กับมนุษย์ ข้าหวังว่าท่านคงจะจดจำได้ดีว่าเคยพลาดพลั้งเพียงใด”

ได้ยินดังนี้ เทียนอี้ก็ปรายตามองไปยังคนพูด ความเงียบงันครอบงำบรรยากาศรอบข้างเพียงครู่ ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา
“หากเจ้าหมดธุระแล้วก็ไปจัดการงานอื่นเถิด ข้าอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง”
ฟังดูก็รู้ว่ากำลังถูกไล่ ขณะเดียวกันก็เป็นการบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึงเรื่อง ‘ในอดีต’ เช่นกัน

พ่อบ้านเหลียงได้แต่ถอนหายใจ ในเมื่อผู้เป็นนายไม่อยากพูดถึง เขาก็คงจะทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้
“ข้าหวังว่าอดีตจะเป็นบทเรียนให้กับท่าน”

สิ้นเสียงก็จากไป ปล่อยให้เทียนอี้ได้ทอดสายตาเหม่อมองไปยังสระบัวเบื้องหน้า

ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีใจปฏิพัทธ์กับมนุษย์เช่นนั้นหรือ? แต่เจ้าก็คะยั้นคะยอให้ข้าตบแต่งฮูหยินซึ่งเป็นมนุษย์เข้าจวนอยู่ไม่ใช่หรือไร?

ถึงจะรู้ว่าการตบแต่งฮูหยินเข้าจวนจะเป็นไปเพื่อการสร้างทายาทของเหล่าเทพอสูรก็เถอะ แต่การกระทำและคำพูดของพ่อบ้านเหลียงก็ช่างย้อนแย้งนัก

เทียนอี้ถอนหายใจออกมา ครุ่นคิดไปเล็กน้อย

กับซิ่นเฉิง... เขาก็ไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์เสียหน่อย เพียงแค่เอ็นดูก็เท่านั้น

เอ็นดู...มาก

คิดถึงใบหน้าดื้อดึงของมนุษย์หนุ่มขึ้นมา รอยยิ้มก็ผุดพรายที่มุมปาก นึกในใจว่าวันนี้ยังไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายเลย แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อซิ่นเฉิงเป็นแมว... แมวย่อมรักสันโดษ หาตัวได้ยากยิ่ง จะมาหาก็ต่อเมื่ออยากมาเท่านั้น กระนั้นก็อดคิดไม่ได้...

เฉิงเฉิง... หากเจ้าเป็นคนเดียวกับยอดดวงใจของข้า ข้าคงยินดียิ่ง...

 




ไม่เพียงแต่เตือนท่านแม่ทัพเรื่องการเอ็นดูเจ้าคนทะเลทรายนั่น พ่อบ้านเหลียงยังรีบร้อนหาฮูหยินให้ตบแต่งกับเทียนอี้อีก ด้วยแลเห็นว่าการเตือนของเขาเป็นเพียงเศษฝุ่นธุลีที่ปลิวผ่านหน้าและหายไปกับสายลมสำหรับผู้เป็นนาย ดังนั้นเขาซึ่งรอคอยให้อีกฝ่ายได้ทำตามหน้าที่ซึ่งได้ตกลงกันไว้กับบรรดาแม่ทัพและกุนซือเทพอสูรเมื่อครั้งมาเยือนดินแดนมนุษย์เมื่อหลายร้อยปีก่อนไม่ไหว จำต้องจัดการธุระให้โดยไม่ถามความเห็นชอบของผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย

ในใจของเทียนอี้นั้นยังคงมี ‘ใครบางคน’ ฝังลึกอยู่ สิ่งนั้นพ่อบ้านเหลียงรู้ดี และก็รู้อีกด้วยว่าที่เทียนอี้ไม่ยอมตบแต่งกับสตรีมนุษย์นางใดก็เป็นเพราะกำลังรอให้ใครคนนั้นกลับมา ซึ่งเขาเป็นห่วงเหลือเกินว่าคนผู้นั้นจะเป็นซิ่นเฉิง แต่เมื่อพินิจใบหน้าแล้วไร้ซึ่งเค้าโครงเดิม ก็ชักมั่นใจได้ว่าซิ่นเฉิงคงจะไม่มีส่วนเกี่ยวพันใดกับคนผู้นั้นเป็นแน่ น่าเสียดายอยู่สักหน่อยที่ซิ่นเฉิงเป็นบุรุษ หากเป็นสตรีแล้วล่ะก็ พ่อบ้านเหลียงคงจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และเห็นดีด้วยแน่ถ้าหากเทียนอี้ใคร่จะตบแต่งมนุษย์ผู้นั้นเข้าจวนเป็นฮูหยิน

แต่ซิ่นเฉิงดันเป็นบุรุษ...

เพราะอย่างนั้น การส่งสาส์นไปยังสกุลหลิวจึงต้องรีบเร่งดำเนินการ ผ่านไปไม่กี่ชั่ววันก็ได้รับสาส์นตอบกลับมาว่าจะส่งตัวบุตรสาวหนึ่งเดียวมาเยี่ยมเยือนถึงจวนแม่ทัพใหญ่ พ่อบ้านเหลียงเก็บงำเรื่องนี้ไว้กระทั่งถึงวันที่ธิดาจากสกุลหลิวเดินทางข้ามทะเลทรายมาถึงแคว้นเฟิงฝู ตอนนั้นเองที่เขามุ่งหน้าไปรายงานเทียนอี้ที่พักผ่อนอยู่ในห้องหนังสือ

ครั้นเข้าไปถึงก็รายงานทันควัน

“ท่านแม่ทัพขอรับ วันนี้จะมีการดูตัวว่าที่ฮูหยิน”

เทียนอี้ไม่ประหลาดใจนักเมื่อได้ยินคนสนิทพูดเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาได้กลิ่นผิดแผกลอยโชยมาจากทางด้านหน้าของจวน ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าการที่คนแปลกหน้ามาเยือนยังจวนนั้นเป็นเพราะสาเหตุอันใด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อบ้านเหลียงกระทำการโดยไม่ปรึกษาหารือ จนตอนนี้น่ะหรือ... เขาชินแล้วล่ะ

“ข้าไม่ว่าง” เทียนอี้ตอบรับเช่นนั้น สายตาจับจ้องยังตัวอักษรบนหน้ากระดาษดังเดิม

พ่อบ้านเหลียงกะอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ จึงเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ

“นางเป็นธิดาคนเดียวของสกุลหลิว”

สกุลหลิว...

ได้ยินชื่อคุ้นหู เทียนอี้ก็รู้สึกวูบวาบในใจ กระนั้นก็ยังทำนิ่งเฉย จนกระทั่งพ่อบ้านเหลียงพูดออกมาอีก
“...มีนามว่าหลิวซู”

จากที่แสร้งไม่สนใจอยู่ เทียนอี้ก็วางตำราในมือลงทันควัน หันไปมองหน้าคนสนิทอย่างไม่เชื่อหู

“เมื่อครู่นี้ เจ้าว่านางมีชื่อว่าอะไรนะ”
“หลิวซู” พ่อบ้านเหลียงย้ำคำอีกครั้งช้าๆ และชัดเจน
พลันเทียนอี้ก็นิ่งอึ้งไปอีกครา

หรือว่า...จะเป็นคนผู้นั้น?

ยิ่งคิด ความยินดีก็พร่างพราย เขาเฝ้ารอที่จะได้พบเจอ ‘หลิวซู’ มานานแล้ว นานมาก นานจนเขาลืมเลือนไปแล้วด้วยซ้ำว่าตั้งแต่ที่พลัดพรากจากกันคราวนั้น เวลาผันผ่านมากี่ปีแล้ว

“ข้าอยากพบนาง” เมื่อได้สติก็ออกคำสั่ง
“นางเพิ่งมาถึง ยังอยู่ที่หน้าจวนขอรับ”

เทียนอี้ไม่รีรออีกต่อไป ตรงออกจากห้องหนังสือ มุ่งหน้าไปยังที่หมายที่พ่อบ้านเหลียงบอกทันที

ร่างใหญ่ก้าวผ่านสวน ซิ่นเฉิงที่นอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งท้อมองเห็นก็ปรายตามอง พอเห็นว่าท่าทางของเทียนอี้ช่างดูรีบร้อนนัก เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเหตุอันใดกัน อมนุษย์ตรงหน้าถึงได้ร้อนรนเช่นนี้ วันนี้ยังไม่ได้พบหน้าอีกฝ่ายด้วยไม่มีเรื่องสลักสำคัญใด แต่เมื่อเห็นท่าทางนั้นก็อดใคร่รู้ไม่ได้ แม้จะไม่ใช่เรื่องของตนก็แอบลอบตามไปดู กระทั่งมาถึงยังหน้าจวนก็พบว่าบริเวณนั้นมีขบวนเกี้ยวของสกุลใดสักสกุลมาตั้งขบวนอยู่

ส่วนเทียนอี้ ครั้นไปถึงก็หยุดยืนนิ่ง ขณะที่พ่อบ้านเหลียงบอกจุดประสงค์กับคนรับใช้ของเจ้าของขบวนเกี้ยวนั้น

“ท่านแม่ทัพอยากพบนาง”
หญิงรับใช้พยักหน้ารับ เดินไปเปิดม่านที่เกี้ยวแล้วกระซิบบอกผู้เป็นนาย อึดใจเดียว ม่านที่บดบังเกี้ยวอยู่ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างแน่งน้อยของสตรีนางหนึ่งที่ก้าวลงมา

ทันทีที่สายตาของเทียนอี้ประสบกับดวงหน้านวล เขาก็นิ่งค้างไปราวกับเห็นผี ฉับพลันความตะลึงงันก็ปรากฏอยู่บนสีหน้า ก่อนที่ปากจะเอื้อนเอ่ย
“ซูซู...”

ในใจก็พลันคิด... เหมือนมาก...เหมือนจริงๆ

เหมือนกับหลิวซูไม่มีผิด!

ทั้งดวงหน้า ทั้งชื่อแซ่ ล้วนแล้วแต่เป็นคนผู้นั้น ทำเอาเทียนอี้ยืนนิ่งค้างไปนานทีเดียว ส่วนซิ่นเฉิงที่แอบดูอยู่จากหลังเสาไม่ไกลนักถึงกับย่นคิ้วยู่ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น

ใครกัน?

จากนั้นก็ต้องหยุดคิดสงสัยเมื่อเสียงหวานของสตรีนางนั้นดังขึ้น
“ข้าน้อยหลิวซู ขอคำนับท่านแม่ทัพเทียนอี้เจ้าค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสุนัขป่าเล็กน้อย ก่อนเทียนอี้จะตอบรับ
“แค่ได้เห็นเจ้าอีกครั้ง ข้าก็ยินดียิ่งแล้ว”

หลิวซูชะงักงันไปเล็กน้อย นางมั่นใจว่าตั้งแต่เกิดมาหาได้เคยเจอหน้าแม่ทัพเทพอสูรตนนี้มาก่อน แต่ก็ได้ยินความจากพ่อบ้านเหลียงแล้วว่าหากเทียนอี้จะทักเช่นนี้ก็อย่าได้แปลกใจ เพราะสาเหตุนั้นเนื่องมาจากนางมีใบหน้าคล้ายคลึงกับใครบางคนราวกับถอดแบบกันมา ครั้นได้สติ ก็ตอบรับอย่างนอบน้อม

“หามิได้เจ้าค่ะ ข้าต่างหากที่ยินดี ท่านแม่ทัพเมตตาให้ข้าได้เข้าพบเช่นนี้ ถือเป็นวาสนาของหลิวซูแล้ว”
“นั่นก็เพราะข้าอยากพบเจ้า”

สิ้นเสียงก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ซิ่นเฉิงเห็นเป็นประจำ ทว่าดวงตาที่กำลังทอประกายราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่ารักใคร่ยิ่งนักนั้น ซิ่นเฉิงหาได้เคยเห็นมาก่อน ถึงตอนนี้ ซิ่นเฉิงก็ขมวดคิ้วหนัก อะไรไม่ว่า เขายังหายใจได้ยากลำบากเมื่อหน้าอกข้างซ้ายจุกเสียดขึ้นมากะทันหันอีก

อาการนี้มัน...

คิดพลางยกมือขึ้นทาบหน้าอก มันปวดอยู่ข้างในลึกๆ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นถี่ ทำให้ปวดแปลบมากขึ้นไปอีก
หรือว่าข้าจะป่วยกัน?

ไม่ใช่อาการป่วยอย่างแน่นอน ซิ่นเฉิงรู้ตัวดี หากแต่นั่นเป็นความไม่พอใจที่เห็นเทียนอี้มีไมตรีกับสตรีนางนั้น มันเป็นความรู้สึกชวนให้หัวเสียอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดความรู้สึกนั้นได้เลย กระทั่งได้ยินเสียงเทียนอี้ขึ้นอีกครา

“เชิญเจ้าเข้าไปที่ห้องรับรองก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้าสักหน่อย”

พูดเพียงเท่านี้ ก็เดินนำอีกฝ่ายเข้าไปในเรือนใหญ่ โดยมีพ่อบ้านเหลียงคอยดูแลความเรียบร้อยต่างๆ อยู่ด้านนอก เทียนอี้คงต้องการความเป็นส่วนตัว พ่อบ้านเหลียงจึงสั่งห้ามผู้ใดเข้าไป ก่อนจะรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง พลันรีบปราดสายตามองไปยังบริเวณเสาหน้าเรือนใหญ่ เท่านั้นก็เห็นร่างของใครบางคนที่กำลังจะเคลื่อนไหวไปจากจุดเดิม

คงจะเป็นซิ่นเฉิงที่มาลอบแอบฟัง...

แม้จะรู้เช่นนั้น แต่พ่อบ้านเหลียงก็หาได้สนใจอะไร แสร้งเมินเฉยราวกับจงใจให้อีกฝ่ายรับรู้ เพราะนั่นจะเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองเลือนรางลงทีละน้อย

เป็นสิ่งที่พ่อบ้านเหลียงวางแผนมาอย่างแยบยลแล้ว...



 
สตรีนางนั้นมีชื่อว่าหลิวซู เป็นหญิงสาวที่พ่อบ้านเหลียงหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เทียนอี้ได้ตบแต่งเป็นฮูหยินเข้าจวน...
ซิ่นเฉิงได้รับรู้ความมาเช่นนี้ เขาไม่เข้าใจตัวเองเท่าไร เหตุใดต้องร้อนใจเมื่อเห็นแม่ทัพเทพอสูรสนใจสตรีนางนั้นนัก ร้อนใจไม่พอ ยังจะหงุดหงิดงุ่นง่านอีกด้วย

รู้สึกราวกับถูกแย่งของรักไป...

ความรู้สึกนั้นประกายวาบขึ้นมาในใจ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นเมื่อเขาตระหนักขึ้นมาได้ว่าที่เทียนอี้เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? การที่แม่ทัพผู้นั้นลดความสนใจจากตนลง มันเป็นโอกาสที่ทำให้เขาหนีออกจากจวนได้นี่ ต้องเรียกว่าเป็นโอกาสทองที่น่าพิสมัยจะดีกว่า

ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงไม่ใคร่จะสนใจว่าเทียนอี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร จะตบแต่งนางผู้นั้นเข้าจวนหรือไม่ก็หาใช่เรื่องของเขา หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ซิ่นเฉิงแสร้งทำเป็นไม่สนใจจะดีกว่า ทั้งที่ในใจนั้นอยากจะเอากระบี่บั่นคอเทพอสูรตนนั้นให้รู้แล้วรู้รอด

เจ้าคนมักมาก!

เผลอบริภาษในใจไปแล้วด้วย จะว่าซิ่นเฉิงไม่รู้คำตอบของความข้องใจนั้นก็ไม่ถูก เขารู้ เพียงแต่ไม่อยากจะยอมรับ อีกทั้งยังไม่ทำการใดนอกจากคิดจะหลบหนีออกจากจวนเท่านั้น

เป็นโอกาสงามที่จะได้พบบิดา ซิ่นจิน และพี่น้องร่วมสาบานอีกครา...

ดังนั้นซิ่นเฉิงจึงสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป หมายใจแต่จะหลบหนีเท่านั้น ขอบรั้วจวนตำแหน่งเดิมที่เคยใช้หลบหนีถูกใช้อีกครา ทว่ายังไม่ทันจะได้ปีนป่ายไปไหน สายตาของพ่อบ้านเหลียงก็ดันเห็นเสียก่อน ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังจะปีนออกจากรั้วชะงักงัน

“คิดว่าเจ้าจะไปไหนกัน เจ้าคนดื้อด้าน”
ซิ่นเฉิงหันไปมองก็เห็นว่าพ่อบ้านเหลียงยืนกอดอกทอดสายตามองอย่างดุดันอยู่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกคำสั่ง
“ลงมา”
ก็จำต้องลงแหละนะ ชายหนุ่มปล่อยร่างลงสู่พื้น สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจ ปากพึมพำออกมา
“ยุ่งนักนะ เจ้าจระเข้”

พ่อบ้านเหลียงไม่ชอบถูกเรียกเช่นนี้เท่าไร แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับพฤติกรรมของอีกฝ่าย เห็นแล้วก็จำต้องตำหนิออกมา

“เจ้านี่มันช่างได้ใจนัก การที่ท่านแม่ทัพเมตตาเจ้า ก็หาใช่ว่าเจ้าจะกระทำการใดๆ ตามใจโดยง่าย อย่าประมาณตัวว่าสำคัญนัก”

ช่างไม่เข้าหูซิ่นเฉิงเอาเสียเลย อย่าประมาณตัวว่าสำคัญเช่นนั้นหรือ? เขาก็หาได้คิดอย่างนั้นเสียหน่อย หากสำคัญจริง แล้วไยเทียนอี้ถึง...

ช่างเถิด! การที่เทพอสูรตนนั้นจะใส่ใจผู้ใดก็หาใช่เรื่องของเขา พลันซิ่นเฉิงก็สลัดความคิดประชดประชันนั้นทิ้งแล้วเถียงคนตรงหน้า

“เจ้ายุ่งอันใดด้วย”
“เหตุใดจะยุ่งไม่ได้ ในเมื่อเจ้าอยู่ใต้การดูแลของข้าซึ่งได้รับมอบหมายคำสั่งจากท่านแม่ทัพ เห็นเจ้าจะออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต ไยข้าไม่มีสิทธิห้ามปราม”

นี่ก็ไม่เข้าหูเช่นกัน คิดว่าตนเองเป็นเจ้าชีวิตเขาหรือไร!?

“แล้วเจ้าจะให้ข้าอุดอู้อยู่แต่ในจวนอย่างนี้หรือไร!” ซิ่นเฉิงตะคอกออกมา
การกระทำนั้นช่างชวนให้น่าโมโหเสียจริง ทว่าพ่อบ้านเหลียงก็เก็บอารมณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี ก่อนจะว่าเสียงเรียบ
“เมื่อคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ท่านแม่ทัพได้อนุญาตให้ออกไปเที่ยวชมในเมืองแล้ว เจ้าไม่ไปเอง ที่ไม่ไป...เป็นเพราะทำอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ?”

ถูกยอกย้อนเช่น ซิ่นเฉิงก็พูดต่อไม่ออก ทำอะไรในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ เขารู้ดีอยู่แก่ใจ พ่อบ้านเหลียงเองก็ด้วย ก่อนที่จะหรี่ตาลง ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อย่าคิดว่าการที่เจ้าเป็นคนโปรดของท่านแม่ทัพ เจ้าจะทำสิ่งใดก็ได้ แค่การที่เจ้ากับท่านแม่ทัพมีสัมพันธ์กันก็เป็นเรื่องที่แย่พออยู่แล้ว อย่าทำให้ข้าต้องปวดหัวไปมากกว่านี้”

คนฟังสะดุดกึกด้วยไม่คิดว่าพ่อบ้านเหลียงจะรับรู้เรื่องนี้ด้วย แต่ที่ทำให้สะดุดใจยิ่งกว่ากลับเป็นประโยคที่พรั่งพรูออกมาในตอนท้าย

...เป็นเรื่องที่แย่อย่างนั้นหรือ? เจ้าจระเข้นี่จะปากมากเกินไปเสียแล้ว!

“ข้าหาได้มีสัมพันธ์ใดกับเจ้าหมานั่น!” คนถูกต่อว่าขึ้นเสียงใส่ ปฏิเสธความจริงราวกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นเพียงการผายลม
 “เจ้าแน่ใจเช่นนั้นหรือ?” พ่อบ้านเหลียงจ้องอีกฝ่ายนิ่ง
ซิ่นเฉิงไม่ตอบ
“ถึงข้าจะมีกายครึ่งหนึ่งเป็นจระเข้ แต่จมูกข้าก็รับกลิ่นได้รวดเร็วไม่แพ้ท่านแม่ทัพ เหตุใดจะไม่รู้ว่ากลิ่นกายของเจ้าติดตัวนายของข้ามา แม้แต่ตัวของเจ้าเอง...ก็มีกลิ่นกายของนายข้า”

คราวนี้มนุษย์หนุ่มหน้าม้าน คงเป็นเพราะกลืนกินหยาดหยดแห่งความอภิรมย์ของกันและกันไปนั่นแหละถึงได้มีกลิ่นติดตัวเช่นนี้ พลันก็ตอกกลับเสียงแข็งไป

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“ไม่ใช่เรื่องของข้า?” พ่อบ้านเหลียงดูจะไม่พอใจเท่าไรที่เห็นอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เมื่อสบตาของซิ่นเฉิงแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดต่อ หากไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย เห็นทีคนตรงหน้าคงจะได้ใจเป็นแน่ “ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงต้องเตือนให้เจ้าตระหนักรู้ในฐานะตนเองเสียหน่อยว่าเป็นผู้ใด เจ้าเข้ามาที่จวนแห่งนี้ในฐานะทาส ท่านแม่ทัพเมตตาเจ้าก็นับว่าเป็นโชคดี แต่เจ้าก็เห็นมิใช่หรือว่าตั้งแต่นี้ต่อไป คนที่ท่านแม่ทัพจะเอ็นดูหาใช่เจ้าอีก แต่เป็น ‘นาง’ ซึ่งจะเป็นฮูหยินของจวน จงเจียมตัวเอาไว้ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

‘นาง’ ที่พ่อบ้านเหลียงพูดถึงคือหญิงสาวคนที่เห็นเมื่อตอนช่วงเช้า ใบหน้าของดรุณีน้อยนางนั้นผุดพรายขึ้นมา พลันก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของซิ่นเฉิงก็ปวดแปลบ ก่อนที่มันจะหายไปในพริบตาเมื่อพ่อบ้านเหลียงพูดขึ้นมาอีก

“เจ้าเป็นบุรุษ การที่ท่านแม่ทัพเอ็นดูก็เป็นเพียงการเล่นสนุกชั่วครั้งชั่วคราว หากเจ้าเป็นหญิง ข้าจะไม่ขัดเลยถ้าท่านแม่ทัพจะดูแลเจ้าดีถึงเพียงนี้ แต่นี้เจ้าเป็นชาย ให้กำเนิดบุตรหรือธิดาไม่ได้ ไม่มีประโยชน์อันใดที่ท่านแม่ทัพจะต้องเอาใจเจ้า”

“ข้าไม่ได้สนใจว่านายของเจ้าจะเอ็นดูข้าหรือผู้ใด มันไม่เกี่ยวกับข้า”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้เบาใจว่างานมงคลสมรสของท่านแม่ทัพจะเป็นไปอย่างราบรื่น”

ยิ่งฟังเจ้าจระเข้พูดลอยหน้าลอยตา ซิ่นเฉิงก็ยิ่งหงุดหงิดเป็นทบทวี เขาหัวเสียอย่างสุดจะกลั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกำมือแน่น ขณะที่พ่อบ้านเหลียงมองท่าทางนั้นแล้วก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมา

เขาเกลียดชังการทำตัวร้ายกาจเช่นนี้ แต่มันจำเป็น ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำรอย...

“หมดธุระกับเจ้าแล้ว ข้าจะไปจัดการงานในโรงครัวต่อ ส่วนเจ้า... หากว่างมากนักก็ไปช่วยงานคนรับใช้คนอื่นเสีย ไม่ใช่มานอนเอกเขนกเป็นแมวเซา”

สิ้นเสียงก็ผละจากไป ทิ้งให้ซิ่นเฉิงจมอยู่กับความขุ่นใจ

ไม่ใช่ขุ่นใจเพราะถูกพ่อบ้านเหลียงต่อว่า แต่ขุ่นใจใครอีกคนที่ยังคงอยู่ในห้องรับรอง พูดคุยกับว่าที่ฮูหยินอย่างออกรสต่างหาก

เห็นสตรีแล้วก็เกิดกำหนัดหรือไร เจ้าหมาน่าสังเวช...

ออฟไลน์ Nov9th

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ 10: ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่[2]
 
คำสั่งห้ามใดๆ ไม่อาจใช้ได้ผลกับซิ่นเฉิง เมื่อถูกสั่งห้ามออกนอกจวนในช่วงสาย เขาก็หลบหนีออกไปในช่วงกลางดึก ราตรีนี้เทียนอี้มีแขกมาหา คนผู้นั้นก็คือหมิงจูที่ได้ยินข่าวว่าสหายตนมีการดูตัวฮูหยิน จึงรีบมายลโฉมหน้านางด้วยตนเองเพราะใคร่อยากจะรู้นักว่าใบหน้าของนางคล้ายคลึงกับใครคนนั้นเพียงใด

ใครคนนั้น... เป็นปริศนาที่คั่งค้างในใจของซิ่นเฉิงอย่างยิ่ง เขาอยากรู้เสียจนแทบทนไม่ไหวว่าคือผู้ใดกันแน่ ทว่า...กลับเลือกที่จะหลบหนีออกจากจวนมากกว่าการไต่ถาม

ชายหนุ่มใช้วิชาเหาะเหินเดินอากาศไต่ไปตามหลังคาบ้าน ครั้นเมื่อเกือบถึงยังประตูแคว้นก็ชะงักไม่ไปต่อ เกิดลังเลใจขึ้นมาว่าจะหนีออกไปดีหรือไม่

หากหนีออกไปและทำได้สำเร็จ... เขาก็อาจจะไม่ได้พบเทียนอี้อีก
แต่ถ้าหากไม่ไป... ก็อาจจะไม่ได้กลับออกไปสู่ทะเลทรายเช่นกัน

ความลังเลนั้นตีกันมั่วไปหมดจนซิ่นเฉิงหงุดหงิดตนเอง ทว่าความหงุดหงิดนั้นก็มลายสิ้นเมื่อหูได้ยินเสียงของใครบางคน

“เจ้าอีกแล้วรึ?”

มองลงต่ำไปยังพื้นเบื้องล่างก็เห็นว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ในคราบของงูจงอางที่มีนามว่าเจี้ยนสือ แม้จะได้พบเจอเป็นครั้งที่สอง แต่รูปโฉมนั้นก็สร้างความสะพรึงให้กับคนมองได้เป็นอย่างดี

“หนีออกมาจากจวนเช่นนี้ คงจะคิดกลับไปที่ทะเลทรายอีกล่ะสิ” เจี้ยนสือว่าอย่างรู้ทัน กอดอกมองอีกฝ่ายที่หันมามองตนด้วยสายตาตื่นๆ อย่างขบขัน
“เจ้าอย่ามารู้ดี!” ซิ่นเฉิงได้สติก็แผดเสียงใส่คนที่ยืนหลบอยู่ใต้เงาหลังคาบ้านหลังหนึ่ง

“ที่ว่ากันว่าเจ้าเป็นแมวเลี้ยงไม่เชื่อง ดูท่าทางคงจะจริงเสียกระมัง” เจี้ยนสือหัวเราะในลำคอ ไม่ใคร่สนใจการขู่ฟ่อของซิ่นเฉิงเลยแม้แต่น้อย “แล้วนี่...หนีออกมาเพราะอยากกลับไปทะเลทรายหรือเป็นเพราะเจ้าของเจ้าปล่อยปละละเลยกันล่ะ ข้าได้ยินว่าเทียนอี้ดูตัวฮูหยินไม่ใช่หรือ?”

พูดแทงใจดำออกมาหน้าตาเฉยเสียอย่างนั้น ทำเอาซิ่นเฉิงที่นั่งอยู่บนหลังคาเหยียดตัวขึ้นยืนแล้วว่าเสียงแข็ง

“ย่อมแน่อยู่แล้วว่าข้าต้องการกลับไปที่ทะเลทราย หาใช่เป็นเพราะเจ้าหมานั่นปล่อยปละละเลยข้า”

เจี้ยนสือพยักหน้า เขาไม่ใคร่ถามเซ้าซี้ต่อหรอกว่าจริงหรือไม่ เพราะนั่นมันไม่เกี่ยวกับเขา อีกอย่าง เขามีภาระหน้าที่ที่ต้องจัดการ ทว่าขณะเดียวกันก็อดนึกสนุกไม่ได้

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ข้าต้องออกไปตรวจตราเวรยามของทหารในสังกัดจวนข้าทางด้านนอกพอดี เผื่อการไปเยือนทะเลทรายจะทำให้เจ้าหายหัวเสียขึ้น”

ซิ่นเฉิงถึงกับย่นคิ้วยู่ มองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ
“ไปกับเจ้าเนี่ยนะ?”
“ใช่ ไปกับข้า...”

เจี้ยนสือว่า ก่อนก้าวออกจากใต้ร่มเงาหลังคา พลันแสงจันทร์ก็สาดส่องปะทะเรือนร่าง ร่างกายอัปลักษณ์ของงูจงอางก็แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าคร้ามคมที่รับกับเส้นผมสีดำสนิทที่รวบสูงส่องสะท้อนเข้ามาที่นัยน์ตาของซิ่นเฉิง ก่อนที่จะทำให้มนุษย์หนุ่มตะลึงงันไป

เจี้ยนสือหาได้มีรูปโฉมงดงามน้อยไปกว่าเทียนอี้เลย...

จะต่างก็ตรงที่เจี้ยนสือนั้นดูเจ้าเล่ห์กว่าเทียนอี้อยู่มากโข ทั้งดวงตาสีดำสนิทที่ประกายวาวราวกับเห็นเหยื่อ ทั้งรอยยิ้มร้ายกาจที่ผุดขึ้นยังมุมปากนั่น มองอย่างไรก็ไม่น่าไว้วางใจสักนิด ขณะเดียวกันก็ช่างทรงเสน่ห์เสียจนซิ่นเฉิงอดชื่นชมไม่ได้
“แต่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้ากลับไปยังที่ซึ่งจากมาหรอกนะ แค่จะพาเจ้าไปเหยียบย่างทะเลทรายบ้างก็เท่านั้น”

เจี้ยนสือว่าขึ้นมาอีก ซึ่งนั่นเป็นความรู้สึกในใจอีกเสี้ยวหนึ่งของซิ่นเฉิง ทำให้คนฟังจำต้องทิ้งตัวลงมาจากหลังคา ยืนประจันหน้ากับอีกฝ่าย

“หากเจ้าเสนอมาเช่นนั้น ข้าก็จะยอมรับคำของเจ้าแต่โดยดี”
เจี้ยนสือหัวเราะหึ หันหลังกลับไปปีนขึ้นยังหลังม้า ก่อนจะร้องเรียก
“ดี! เช่นนั้นก็ขึ้นมา ข้าจะพาเจ้าไป”

ก็น่าจะตามไปอยู่หรอก แต่ฉับพลันซิ่นเฉิงก็อดฉุกใจคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งพ่อบ้านเหลียงเคยบอกไว้ว่าเจี้ยนสือเป็นคนร้ายกาจ

“แต่ว่า...เจ้าพาข้าไป จะได้ประโยชน์อันใด”
เจี้ยนสือหันมามอง มือจับบังเหียนมั่น ก่อนจะยกยิ้มแล้วว่าออกมา

“เจ้าได้คลายคิดถึงบ้าน ส่วนข้า...ก็ได้มีเพื่อนตรวจตราเวรยาม นี่กระมังประโยชน์ที่เจ้าถามหา”
ภาพเบื้องหน้าที่ซิ่นเฉิงเห็นนั้นช่างงดงาม นี่น่ะหรืออสรพิษร้ายที่ใครต่อใครพูดถึงกัน
“มาสิ”

เมื่อถูกเรียกอีกครา ซิ่นเฉิงก็เดินตรงไปหา ทว่าพอจะปีนขึ้นหลังม้าซ้อนท้าย ก็กลับถูกเจี้ยนสือดึงให้ขึ้นมานั่งทางด้านหน้า ส่วนตัวเขาคร่อมเอาไว้ ครั้นซิ่นเฉิงหันไปด้วยหมายจะโวยวาย เจี้ยนสือก็พูดออกมาก่อน

“หากเจ้านั่งข้างหลังข้า เจ้าก็สบโอกาสหนีไปได้น่ะสิ นั่งข้างหน้านี่ล่ะ ข้าจะได้จับตามองเจ้าไว้ หากเจ้าหนีไป ตามตัวกลับมาไม่ได้ เทียนอี้จะได้วิวาทกับข้าเอา”

พอจะเข้าใจความหมายของเจี้ยนสืออยู่ ทำให้ซิ่นเฉิงต้องนั่งนิ่ง ยอมให้อีกฝ่ายควบม้าออกไปแต่โดยดี

เมื่อผ่านพ้นประตูแคว้น ลมเย็นเยียบจากทะเลทรายอันคุ้นเคยก็พัดผ่านมาต้องผิวกาย ซิ่นเฉิงทิ้งตัวลงจากหลังม้าเมื่อเจี้ยนอี้อนุญาต ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสได้ถึงเม็ดทรายละเอียด ความคิดถึงบ้านเกิดก็แล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง เขาสูดหายใจเข้าปอด ดื่มด่ำกับกลิ่นทะเลทรายที่โหยหา ลืมสิ้นเรื่องราวของเทียนอี้เป็นปลิดทิ้ง

นี่ต่างหากคือความสุขที่แท้จริงของเขา...

เจี้ยนสือเห็นดังนั้นก็ยกยิ้ม ทิ้งตัวจากหลังม้า ก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอื้อเอ่ยออกมา
“แม้แมวจะรักสันโดษ แต่เมื่อเจ้าของหาได้ใส่ใจก็คงจะเหงาอยู่ไม่น้อย”

ซิ่นเฉิงย่นคิ้วยู่ อยากจะตอกกลับไปนักว่าหาได้เป็นเช่นนั้น ทว่าก็ต้องสงบปากสงบคำเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นอีก
“อุดอู้อยู่ในจวนเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากถูกกักขัง เจ้าคงจะโหยหาอิสรเสรีอยู่ไม่น้อย ทะเลทรายนี่คงเหมาะกับเจ้ามากกว่าสวนบุปผชาติ”

ซิ่นเฉิงหันไปมอง เจี้ยนสือในตอนนี้ยังคงอยู่ในร่างอดีตเทพ เขาก้มลงกอบเม็ดทรายเอาไว้ในมือ ก่อนจะยื่นออกไป แล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้ซิ่นเฉิงแบมือ ครั้นอีกฝ่ายทำตาม เจี้ยนสือก็ค่อยๆ ปล่อยเม็ดทรายให้ร่วงหล่นสู่ฝ่ามือหยาบกร้านของคนตรงหน้า

“ทะเลทราย...มันเป็นของเจ้า เช่นเดียวกับสวรรค์ที่เป็นบ้านของข้า หาใช่ดินแดนมนุษย์นี้”

น้ำเสียงของเจี้ยนสือบ่งบอกเป็นนัยว่าเขาเองก็ไม่ได้พิสมัยที่จะอยู่ในแคว้นเฟิงฝูนี้เช่นกัน ถึงซิ่นเฉิงจะไม่รู้เรื่องราวอันใด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าเจี้ยนสือก็อยากไปจากที่นี่... แต่ทำไม่ได้

ปล่อยให้เม็ดทรายร่วงหล่นกระทั่งหมดกำมือ ซิ่นเฉิงเงียบงันไปครู่ เจี้ยนสือก็เช่นกัน ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง

“ตลอดเจ็ดวันนี้เป็นเวรยามของทหารสังกัดจวนข้าดูแลความเรียบร้อย หากเจ้าเบื่อนักก็มาหาข้าที่บ้านหลังนั้น ข้าจะพาเจ้าออกมาหาทะเลทรายเอง ข้าก็เบื่อสวนบุปผชาติในจวนเช่นกัน”

ไม่รู้หรอกว่าเหตุใดเจี้ยนสือถึงได้เชื้อเชิญเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายแล้ว ซิ่นเฉิงก็สงบใจอย่างไม่อาจพรรณนา แม้จะเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ หากแต่ก็ไม่ได้อาบแฝงพิษร้ายใดๆ ไว้ รูปโฉมยามเป็นเทพอสูรอาจจะเป็นอสรพิษ แต่ในยามนี้ไม่ใช่แม้แต่น้อย

ไร้คำตอบจากซิ่นเฉิง แต่ความเงียบนั้นคือคำตอบแล้วว่าเขาตกลงกับข้อเสนอของงูจงอางผู้นี้

ลมเย็นพัดผ่าน เส้นผมของชายหนุ่มผู้มาจากทะเลทรายปลิวไสว

ทะเลทราย... ไม่ว่าอย่างไรก็เหมาะสมกับเขามากกว่าจวนของเทียนอี้จริงๆ
------------------------
ไม่ม่าาา เห็นมั้ย บอกแล้ว เพราะมันจะไม่ม่าตอนนี้ แต่ม่ายาวๆ ไปทีละนิด //โดนตบ
ไม่ค่อยม่าจริงๆ ค่ะ อันนี้แค่เปิดปมนิดๆ เฉยๆ  555
เปิดปมแล้ว แม่ทัพงูก็เริ่มเข้ามามีบทบาทแล้ว
คราวนี้แหละแม่ทัพหมาจะเริ่มอยู่ไม่สุขละ
ฝากฟีดแบ็กไว้ด้วยนะคะ เจอกันอีกทีมะรืนนี้ค่า

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ Altasia

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ตอนนี้ไม่ได้หมั่นไส้แม่ทัพหมาหรอกค่ะ แต่ดันไปหมั่นไส้พ่อบ้านเข้มากกว่า จุ้นจริงๆ อยากให้พ่อบ้านเข้มีคู่บ้าง เอาเป็นชายนะ จะได้รู้สึกถึงความอัดอั้นเสียบ้าง

ออฟไลน์ PAiPEiPEi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-3
ชอบเเม่ทัพงูจังเลยค่ะ  อิอิ  ถึงจะนึกร่างเทพอสูรที่เป็นงูจงอางไม่ค่อยออกก็เถอะ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เหอะ เห็นผู้หญิงดีกว่าแมวน้อยได้ไง

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กลัวมาม่ามาเต็มหม้อมาก ค่อยๆเอาออกมาที่น้อยนะคะ  :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด