[ตัวอย่าง] บทที่ 12: เจ้าปุกปุย
ขอตอนที่มีหมาออกมาหน่อยค่าาา ตอนหน้านี่แหละ 555
พี่หมาจะมาตีตื้นนะคะ ตีไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ เคว้งคว้างกลางมหาสมุทร
เรือพี่งูโน่นนนน ไปลิ่วโน่นแล้ว ไกลลิบๆ นั่นมีคนวิ่งบนน้ำ 555
ตอนเต็มมาพรุ่งนี้นะคะ คืนนี้หนูแดงเขียนต่อไม่ไหว ง่วงมาก
ทีมพี่หมารอก่อยยย จะเอาความปุกปุยเข้าสู้ อิอิ
----------------------------
“ข้าน่ะหรือที่ดื้อดึง ฮึ! แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเคยย้อนมองดูตนหรือไม่ว่าที่ข้าเป็นเช่นนี้นั้นสาเหตุมาจากผู้ใด หากไม่เป็นเพราะเจ้าที่กักขังข้าไว้โดยไม่ยินยอม มีหรือที่ข้าจะไปข้องเกี่ยวกับเจ้างูนั่น!”
ซิ่นเฉิงตะเบ็งเสียงออกมาด้วยสุดจะกลั้น การที่เขาไม่เชื่อฟังเทียนอี้ก็เป็นความผิดของเขา การที่เขาหนีออกจากจวนไปพบเจี้ยนสือที่เป็นผู้พาเขากลับทะเลทราย นั่นก็เป็นความผิดของเขาอีก แล้วเทียนอี้ล่ะ ความผิดของเขาคือสิ่งใด
มนุษย์หนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความแค้นใจ เนื้อตัวเปียกม่อล่อม่อแล่กนั่นสั่นเทาเล็กน้อยด้วยเหน็บหนาว เทียนอี้มองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาใกล้ด้วยเกรงว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายแช่น้ำในอ่างอยู่เช่นนี้ ประเดี๋ยวจะป่วยไข้เอา ทว่าเมื่อยื่นมือไป ซิ่นเฉิงก็ปัดมือออกเต็มแรง
“อย่าแตะต้องข้า!”
กลายร่างเป็นเจ้าแมวป่าแสนร้ายกาจ พองขนขู่ฟ่อ พร้อมจะวาดกรงเล็บใส่คนตรงหน้าได้ทุกเสี้ยวนาทีไปเสียแล้ว
เทียนอี้ตระหนักได้ว่าเขาต้องสงบใจให้เย็นลง การใช้อารมณ์กับคนที่เดือดดาลกว่าไม่ใช่ผลดีนัก ดังนั้นจึงระบายลมหายใจออกมา จ้องมองอีกฝ่ายนิ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“เฉิงเฉิง... เจ้าจะก่นด่าข้าเช่นใดก็ได้ แต่เจ้าขึ้นจากน้ำก่อนเถิด สายลมในราตรีนี้เย็นเยียบนัก ประเดี๋ยวธาตุในร่างกายของเจ้าจะไม่สมดุล”
ไม่ใช่แค่ใจเย็นลงเท่านั้น น้ำเสียงก็เย็นลงอีกด้วย เขาหาได้เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับซิ่นเฉิงมาก่อน ทว่ามนุษย์หนุ่มหาได้ตระหนักเรื่องนี้ไม่ แค่นเสียงหัวเราะดังหึออกมา มองอีกฝ่ายตาเขียว พลันยกมือขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำปรกหน้าขึ้น
“เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่จับข้าโยนลงมาเช่นนี้!”
สิ้นเสียงก็ใช้มือตีลงไปยังผิวน้ำ หยดน้ำสาดกระเซ็นใส่ใบหน้าของเทียนอี้จนขนเปียก หากแต่ก็ไม่หลบหนี
“นั่น...เป็นความผิดของข้า ข้าจะชดใช้ให้ แต่ตอนนี้เจ้าขึ้นมาก่อน”
คล้ายกับจะแฝงไปด้วยคำสั่งกลายๆ ทำเอาซิ่นเฉิงที่ไม่ได้ใจเย็นลงเลยกดเสียงต่ำ
“ข้าอยากจะกัดลิ้นให้ตายไปต่อหน้าเจ้านัก”
แค้นใจ...แค้นจนไม่รู้จะหาหนทางใดมาบรรเทาความขุ่นเคืองในใจนี้ ขณะที่เทียนอี้ได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแล้วก็ไม่สบอารมณ์สักเท่าไร
ตายไปต่อหน้าเขาอย่างนั้นหรือ? กล้ามาทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบได้อย่างไรกัน!
แม้จะไม่พอใจ หากแต่เทียนอี้ก็หาได้แสดงท่าทีรุ่มร้อนใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะมองซิ่นเฉิงที่ยังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ แล้วจึงเอ่ยออกมา
“เจ้าตายไม่ได้หรอก เพราะเจ้าจะต้องอยู่กับข้า”
“ข้าไม่อยู่กับเจ้า!” อีกฝ่ายตะเบ็งเสียงสวนทันใด
“อยู่กับข้า”
“ข้าไม่!”
หากยังต่อล้อต่อเถียงกันเช่นนี้ มีหวังคงได้เถียงกันจนถึงรุ่งสางแน่ และเทียนอี้ก็หาใช่คนชอบต่อปากต่อคำกับผู้ใดด้วย แต่สำหรับซิ่นเฉิงในยามนี้ที่แสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจเดียดฉันท์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เทียนอี้ต้องฝืนอุปนิสัยตน แสร้งดื้อด้านเพื่อให้อีกฝ่ายยอมจำนนให้
“เจ้าต้องอยู่กับข้า”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่!”
“ได้โปรด...อยู่กับข้า”
ในเมื่อสั่งแล้วไม่ได้ผลจึงกลายเป็นคำขอร้อง
ซิ่นเฉิงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาสีทองอำพันประกายเว้าวอน คราแรกก็คิดว่าตาฝาด หากแต่เมื่อตะคอกกลับไปอีกคราก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ความเข้าใจผิด
“ข้าไม่ใคร่อยู่กับเจ้า!”
“เฉิงเฉิง...” ไม่เพียงแววตาเว้าวอน หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าใบหูที่ตั้งชันของเทียนอี้ลู่ลงไปทางด้านหลังเล็กน้อย “เจ้าจะก่นด่า จะทุบตีข้าเช่นไรก็ได้ แต่จงอยู่กับข้า”
ซิ่นเฉิงนิ่งชะงัก... ท่าทางนั้น... เสมือนดั่งสุนัขอ้อนผู้เป็นนาย
เมื่อเงียบไป เอาแต่จ้องเทียนอี้ ใบหูของอีกฝ่ายก็ราวกับว่าจะลู่ลงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย สีหน้าของเทียนอี้ในยามนี้ยังคงนิ่งเรียบ ทว่า...ซิ่นเฉิงกลับรู้สึกประหนึ่งคนตรงหน้ากำลังส่งเสียง ‘หงิงๆ’ ออกมาให้ได้ยิน
นี่เจ้าหมาคิดจะใช้ใบหน้าเต็มไปด้วยขนปุกปุยนั่นช่วยให้ข้าใจอ่อนอย่างนั้นหรือ!?