ตอนที่ 10
รัก แท้ รักที่อะไร ตับไตไส้ พุง
หรือรัก กางเกงที่นุ่ง ว่าดูสวยดี ~
“มึงหยุดฟังเพลงนี้สักทีได้ไหมวะไอ้พี่ กูรำคาญหู” แรงตบปั้กลงมากลางหัวจนหน้าผมทิ่มเตียง แต่ก็ไม่ตาย ผมงัดหัวตัวเองขึ้นมาพิงขอบเตียง
“ไอ้แว่น”
“ไร”
“มึงรักกูไหม”
“ห๊ะ”
“รักแบบอยากจูบกูสักด๊วบไหม”
ไอ้แว่นหันมาทำหน้าสยองเหมือนเห็นหมากินขี้ตัวเองแล้วรีบกระเถิบตัวเองลงจากเตียงผมไปกอดไอ้ปอนด์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกล
“ไอ้เชี่ยพี่ มึงอยู่กับอีมงเยอะเกินไปป่ะเนี่ย”
“ไอ้ตี๋ มึงรักกูป่ะ”
“เชี่ยพี่ กูจะอ้วก...” ไอ้ตี๋รีบกระเถิบไปกอดไอ้ปอนด์ มันทำหน้าขยะแขยงประหนึ่งผมท้าให้มันไปเลียไข่แมวแถวบ้าน
“ไอ้ปอนด์มึงรักกูป่ะ”
“รัก”
“เชี่ย ขนลุกไอ้สัดปอนด์ ไอ้หน้าหูด รักพ่อมึง กูไม่รัก” เป็นผมที่รีบกระเถิบติดหัวเตียง แล้วแม่งทำหน้าเสียจริงจังเหมือนรักจริง ขนลุกโว้ย
“เป็นเชี่ยไรวะไอ้สัดพี่ นี่กูแปลกใจตั้งแต่รู้ว่ามึงโดนพักการเรียนแล้วนะ”
“เออ ปกติถึงมึงจะชอบไปแลกหมัดกับชาวบ้านแต่ก็ไม่เคยเห็นรุนแรงขนาดนี้นี่หว่า อะไรสิงมึงวะ กูได้ข่าวมาว่าไอ้เป้เข้าโรงพยาบาลเลยนะมึง” ไม่แปลกใจเพราะไม่ได้ยั้งมือเลย แอบหัวเราะในจินตนาการเพราะผมได้มาแค่แผลมุมปาก แผลมุมคิ้วกับเจ็บตามตัวเล็กน้อย ไอ้เป้ดูไม่ได้เป็นงานเรื่องชกต่อยมากนัก ซึ่ง... ก็ไม่แปลก เป็นแค่ไอ้ประธานนักเรียนหน้าโง่ประจำชมรมถั่วงอก
ผมถอนหายใจยาวเหยียดแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรพวกมันไปซึ่งพวกมันก็ไม่ได้ตื๊ออะไรต่อ สาเหตุที่ไอ้สามหน่อนี่มาปักหลักอยู่บ้านผมเป็นเพราะว่าผมโดนพักการเรียนสองอาทิตย์ พวกมันเลยต้องแบกการบ้านและหนังสือต่างๆมาสอนเนื้อหาที่ผมพลาดไป
“หญิงรักพี่”
“...”
“รักแบบที่คนๆหนึ่งจะรักใครสัก รักเหมือนพระเอกกับนางเอกในละครรักกัน รักเหมือนที่พ่อกับแม่รักกัน”
มันอะไรกันวะ...
ผมหันหลับไปแหวกผ้าม่านหัวเตียง มองไปที่หน้าต่างที่ปิดม่านสีชมพู ตั้งแต่วันนั้น หญิงก็ไม่ให้ผมเจอหน้าอีกเลย ไปนอนค้างบ้านเพื่อนที่ชื่อตั๋ง ไม่อ่านไลน์ที่ผมส่งสติ๊กเกอร์ไปแก้เก้อ เอาจริงๆคือผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรตอบน้องไปว่าอะไร ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตัวแบบไหนต่อไป
หญิงบอกชัดเจนว่าไม่อยากน้องข้างบ้านของผมแล้ว
หญิงบอกชัดเจนว่าการเป็นน้องข้างบ้านของผมมันทรมาณ
หญิงบอกชัดเจนแล้วว่าความรู้สึกไม่ใช่รักแบบน้องชายข้างบ้าน
ทั้งๆที่น้องชัดเจนทุกอย่าง
เป็นผมเองที่ไม่เห็นอะไรชัดเจนในความคิดและความรู้สึกเลย
ที่เลือกส่งสติ๊กเกอร์หมีโง่ๆหาน้องเพราะไม่รู้ว่าถ้าพิมพ์อะไรไป น้องจะรู้สึกแย่กว่าเดิมไหม น้องจะรู้สึกทรมาณกว่าเดิมไหม น้องจะเกลียดสถานะน้องข้างบ้านของผมมากกว่าเดิมไหม แล้วตอนนี้น้องจะร้องไห้อยู่หรือเปล่า
“ไอ้พี่ มึงทำหน้าเครียดจังวะ”
“แค่มีไอ้แว่นเป็นเพื่อนมึงไม่เห็นต้องเครียดขนาดนั้นเลย”
“อ้าว สัดปอนด์!!!” ผมส่ายหัวใส่ไอ้พวกเวรที่ตีกันเสียงดังลั่นห้องพร้อมกับกดส่งสติ๊กเกอร์หมีไปให้น้องอีกหนึ่งตัวแม้รู้ว่าอีกฝ่ายจะเห็นแล้วไม่ตอบก็ตาม
ใจร้ายจังวะหมวย
กูโง่จะตายมึงก็รู้ไม่ใช่หรอ
ในที่สุดพรุ่งนี้ก็จะได้ไปเรียนแล้ว...
สองอาทิตย์สำหรับการหยุดเรียนมันเคยเป็นสวรรค์สำหรับผม การที่ไม่ต้องไปเรียนได้ใช้เวลานอนถออดเสื้อตากแอร์แล้วม้วนกลิ้งอยู่บนเตียง เบื่อก็ไปลากไอ้พอร์ชมาม้วนกับผ้าห่มเป็นซูชิเด็กโง่แล้วเอาไปตั้งแทนกระสอบทราย รอเวลาให้หญิงขึ้นมาดุว่าผมแกล้งน้อง นอนกอดหญิงไปวันๆ ไม่ก็จูงมือมันออกไปหาอะไรกิน แต่พอเป็นสองอาทิตย์ที่ไม่มีหญิง สำหรับผมมันกลับกลายเป็นสองอาทิตย์ที่เหมือนไม่มีชีวิต
“พี่พี่~”
“ออกไปไอ้อ้วน” ผมตะโกนบอกผ่านหมอน ซึ่งก็ไร้ผล ไอ้ก้อนอ้วนๆ ปีนตุ้บตับมานอนทับหลังผม
“พี่พี่ พี่หญิงไปไหนอ่า พ็อจจิคิดถึงพี่หญิง”
“เออ กูก็คิดถึง คิดถึงมากกว่ามึงอีก” ไอ้พอร์ชลุกขึ้นกระโดดบนหลังผม ถ้าเป็นปกติคงดีดมันออกนอกห้องไปแล้ว แต่เพราะผมไร้เรี่ยวแรงและพลังชีวิตเลยปล่อยให้มันกระโดดอยู่อย่างนั้นจนมันหยุดไปเอง
“พี่พี่~”
“ลงไปเล่นกับพี่พามไปไอ้อ้วน กูไม่มีอารมณ์จะเล่นด้วย”
“ทาเลาะกับพี่หญิงหรอ”
“เออ”
ไอ้พอร์ชเงียบไปก่อนจะนอนแนบแก้มอ้วนของมันลงกับไหล่ผมเพราะผมใส่เสื้อกล้ามบาสเลยสัมผัสได้ถึงความเย็นของแก้มมันอย่างชัดเจน ว่าแต่อารมณ์ไหนของไอ้อ้วนวะ มานอนทับเอาแก้มบี้หลังชาวบ้าน
... หรือนี่มันอ้อนหรอ
“พี่พี่~”
“...”
“พ็อจจิแบ่งคิแคะให้คึ่งนึง” มืออ้วนๆยื่นคิทแคทหักครึ่งมาให้ผม
“...”
“ไม่เส้านะเดี๋ยวพ็อจโอ๋ๆ พี่พามบอกให้โอ๋ๆพี่พี่” มือเล็กๆของไอ้พอร์ชลูบหัวผมไปมาส่วนอีกข้างพยายามยัดคิทแคทเข้าปากผมซึ่งผมก็ต้องรีบอ้าปากรับ เดี๋ยวแม่งหกเลอะเตียง
“เออ ไม่เศร้า”
“แล้วอาทิ้ดไหม”
“มึงไม่ต้องไปฟังพี่พามทุกอย่างก็ได้นะ” จำยันมุกไม่ตลก ผมสะบัดหลังให้ไอ้ก้อนอ้วนตกลงมาแล้วกวาดแขนทับซึ่งมันก็โวยวายลั่นห้องเหมือนมาถูกรถทับ
“พี่พี่ แขนหนากกกกกกกกก”
“...” ไม่สน อึดอัดตายเพราะโดนแขนทับตายไปสะ ไอ้ก้อนอ้วน
“พี่พี่ๆๆๆ รีบๆคืนดีกับพี่หญิงนะ”
“...”
“พ็อจคิดถึงพี่หญิง”
“...”
“พ็อจจิไม่ชอบให้พี่พี่หน้าบูดด้วย”
“...”
บางครั้งมีน้องชายนี่มันก็ดีเหมือนกัน...
“เวลาหน้าบูดแล้วพี่พี่หน้าเหมือนตีนพ็อจเลย เหมือนเห็นตีนตัวเองใกล้ๆ พ็อจหยีๆ”
เห็นอีกทีก็คือไอ้ก้อนอ้วนร้องไห้ขี้มูกโป่งน้ำตาไหลพรากตะโกนฟ้องแม่ลั่นบ้านว่าตัวเองหัวขาดเพราะโดนผมตบหัว เดาว่าอีกประมาณห้านาทีเดี๋ยวแม่ก็คงขึ้นมาดุผม ผมซุกจมูกตัวเองลงกับหมอน
คิดถึงจังวะไอ้หมวยหัวยุ่ง
โคตรคิดถึงเลย...
.
.
.
การมาโรงเรียนไม่เคยเล่นใหญ่ขนาดนี้ เอาตั้งแต่ไอ้ตี๋กับไอ้แว่นมันหารเงินกันซื้อเสื่อมาปูรองทางเดินกับไอ้ปอนด์ผู้ใช้เส้นสายเปิดเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ระหว่างตอนที่ผมเดินเข้าโรงเรียน คือมึงเล่นใหญ่มาก นี่แค่เดินเข้าโรงเรียนเพราะโดนพักการเรียนสองอาทิตย์นะโว้ย กูไม่ได้เป็นเดบิวต์เป็นมาเฟีย อยากให้เพื่อนใจเย็น แล้วนั้นอาจารย์ฝ่ายปกครองจะมายืนทำท่าต้อนรับผมด้วยทำไมวะ โว้ยยยยยยย
“พวกมึงบ้าป่ะเนี่ย”
“ไอ้สัดพี่ มึงหายหัวไปสองอาทิตย์ พวกกูต้องทำการต้อนรับหน่อยสิวะ”
“เออ กูเนี่ยต้องเสียเวลาไปปั่นในทวิตว่ามึงเล่นลูกเจ้าพ่ออีก” เปลืองเวลาชีวิตไปขนาดนั้นเพื่ออะไรวะ ผมยักคิ้วงงใส่ไอ้แว่น
“เจ้าพ่อไหนอีกวะ”
“เป็นเจ้าพ่อที่เหนือกว่าใคร!!!”
“ทำไมวะแว่น!!!”
“เพราะพ่ออีสานจะเป็นเด้อพ่อ”
...อืม แล้วแต่พ่อมึงเถอะ
ผมเมินพวกมันไปแล้วสอดส่องสายตาไปที่อาคารเรียนหญิง จุดโฟกัสที่มองจนชิน ไม่จำเป็นต้องนับประตูห้องก็รู้ว่าห้องไหนคือห้องหญิง และนอกจากนั้นที่เด่นชัดอีกก็คือ เจ้าของหัวฟูที่ผมคิดถึงกำลังยืนมองมาจากระเบียงอาคาร ถึงจะไกลจนมองรายละเอียดหน้าน้องได้ไม่ชัดแต่ตาบวมตุ่ยนั่นชัดเจนจนใจผมกระตุก ใบหน้างอแงนั่นสบตาผมเพียงแค่สามวิก็หันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
... แต่มันก็ยังเเป็นสามวิที่ทำให้ผมยิ้มได้ในหลายวัน
“มึงยิ้มให้ตึกทำไมวะพี่”
“กูไม่ได้ยิ้มให้ตึก”
“แล้วมึงยิ้มให้อะไรวะ”
“เสือก”
“ใครวะเสือก ห้องไหนวะ” ผมยกตีนเตะตูดไอ้แว่นไอ้หนึ่งที ข้อหาแอ๊บโง่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ผมล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงเดินเข้าตึกเรียนตัวเองไปพร้อมกับเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เป็นเพลงประกอบพื้นหลัง
... ผมมีหลายเรื่องที่อยากคุยกับหญิง
แต่ทุกเรื่องที่อยากคุยไม่มีอะไรที่มีประโยชน์เลย
ผมแค่อยากคุยกับน้องเรื่องที่ไอ้พอร์ชปีนมาอ้อนบนหลังเมื่อวาน อยากคุยกับน้องเรื่องต้นเฟื่องฟ้าที่บ้านออกดอกมาเป็นสีม่วง อยากคุยกับน้องเรื่องไข่เจียวพี่พามเค็มเหมือนเลียแขนตัวเองหลังต่อยมวยเสร็จ แค่อยากคุยในเรื่องที่มันธรรมดา
...ที่น้องยังไม่อยากฟัง
และผมเองก็ไม่มีความกล้าพอที่จะพูดในสิ่งที่น้องอยากฟัง อะไรที่แก้ไขปมที่ขมวดอยู่ อะไรที่มันทำให้เราต้องห่างกัน อะไรที่ทำให้ ตาน้องต้องช้ำบวมขนาดนั้น
ไอ้พี่ที่มีเรื่องมานักต่อนัก ไอ้พี่ที่สูงร้อยแปดสิบห้าครองตำแหน่งเด็กสูงที่สุดในโรงเรียน ไอ้พี่ที่เป็นลูกเจ้าของค่ายมวยที่โรงเรียนลือกันว่าโหดเหมือนหมาบ้า ไอ้พี่ที่เดินเข้าโรงเรียนด้วยเพลงเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
... พอเป็นเรื่องของหญิง ผมแม่งเป็นได้แค่ไอ้พี่ตัวเล็กที่ยืนขาสั่นไม่กล้าแม้แต่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะรู้ว่าต้องทำอะไร
“ไงไอ้พี่ ไม่เจอกันหลายวัน หน้ามึงเหมือนจะโง่กว่าเดิมเลยนะ” ไอ้มงสะบัดตูดเดินมาตบหัวผม
“ไม่เจอหลายวัน อ้วนเท่าเดิมเลยวะมง”
“นี่ปากคนหรือตูดหมูตอนตด หยาบคายมากอีพี่ กูจะฉิ่งมึง”
“ฉาบ!!!”
“ขอบคุณที่ช่วยกูตบมุกนะจ๊ะแว่น กูมอบตำแหน่งเพื่อนพระเอกดีเด่นให้เลย” ไอ้แว่นหัวเราะพร้อมกับแทคมือไอ้มงไปหนึ่งที ผมส่ายหัวให้กับมุกฉิ่งฉาบ สามบาทสี่บาทก็ยังจะเล่น พอผมนั่งลงที่เก้าอี้ไอ้มงก็เดินมานั่งไขว่ห้างบนโต๊ะผมพร้อมกับจ้องผมนิ่งๆ
“ไงมึง”
“ไงพ่อมึงสิ เป็นเหี้ยอะไรถึงรุนแรงขนาดต้องพักการเรียน”
“... กูเผลอออกแรงไปนิดหน่อย สาบานเลยว่าไม่ได้ตั้งใจ”
“เขาลือกันทั้งโรงเรียนว่ามึงทำประธานนักเรียนเข้าโรงพยาบาล ถ้านั่นเรียกออกแรงไปนิดหน่อยเท่ากับพ่อมึงคือธอร์ โอดินสัน” “แล้วค่ายมวยกูต้องชื่อแอสการ์ดยิมด้วยป่ะ”
“ไม่หล่อเท่าธอร์ก็เป็นได้แค่ท่อนะคะคุณ อ่ะ อย่าเปลี่ยนเรื่องอีควายพี่ นี่ทำไมทุกครั้งหลังคุยกับกูมึงจะต้องมีปัญหาตามมาตลอด กูเริ่มคิดแล้วนะว่าจริงๆกูอาจจะไม่ใช่แค่กะเทยธรรมดาแต่เป็นกะเทยจิตสัมผัส” มงกรอกตาบนแบบเซ็งๆ
“ครั้งนี้ไม่เพราะมึงหรอก”
“...”
“เพราะตัวกูเอง” ผมยิ้มให้ไอ้มง
คำพูดของมงในวันนั้นทำให้ผมเดินไปหาหญิงนั้นถูกต้องแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ผมขาดสติไม่ใช่เพราะมัน เป็นเพราะความรู้สึกอะไรบางอย่างในตัวผมเอง ความรู้สึกบางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายมันออกเป็นรูปร่างให้ตัวเองเข้าใจได้
มันเหมือนจะเพราะหวงน้องเหมือนที่เคยเป็น แต่อะไรบางอย่างในตัวผมก็บอกว่ามันไม่ใช่แค่นั้น
อะไรบางอย่างที่ไม่น่าใช่คำว่ารัก ไม่ใช่คำว่ารักแบบที่หญิงพูด
เพราะผมไม่ใช่เกย์ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายและหญิงเป็นผู้ชาย
... ที่สำคัญที่สุดคือหญิงคือน้องชายที่ผมรักและเอ็นดูมันแบบน้องแท้ๆมาตลอดหลายปี
“น้องหญิงสำหรับมึงคืออะไรวะพี่” ไอ้มงกอดอกถามผม
“น้องชายข้างบ้าน” ผมตอบได้อย่างทันที
“ตอนที่มึงเห็นไอ้เป้จูบน้องหญิงมึงรู้สึกแค่โกรธฉิบหายหรอ”
“มึงรู้ได้ไงวะ” ผมขมวดคิ้ว นอกจากสงสัยที่มันรู้แล้วภาพยังย้อนกลับมาจนหงุดหงิดในใจอีกรอบ สัดเอ๊ย คันตีนไม่มีอะไรทำเลยได้แต่ระบายอารมณ์ด้วยการเตะเก้าอี้ไอ้แว่นที่นั่งหูผึ่งอยู่ด้านหน้าไปหนึ่งที
“คอนเนคชั่นกะเทยใช้งานได้ดีว่าสัญญาณมือถือบางค่ายอีกนะยะ อ่ะ ตอบกูมา มึงแค่โมโหหรอ จริงหรอ ไม่รู้สึกอย่างอื่นเลยหรอ"
“รู้สึกอย่างอื่น? เช่นอะไรวะ”
“เช่นทำไมคนคนนั้นไม่ใช่กู เช่นปวดใจฉิบหาย เช่นปากแดงๆนั่นเป็นของกูแค่คนเดียวอะไรแบบนี้ เออ มีเรื่องขนาดนี้ไม่ใช่ว่าน้องสารภาพอะไรกับมึงไปแล้วหล่ะ”
“...!!!”
… เออ แม่งมีจิตสัมผัสจริงๆด้วย!!!
ไอ้มงที่ห็นถลึงตาโตถึงกับถอนหายใจยาวเหยียดไปยันหน้าห้องด้วยสีหน้าแบบเบื่อโลกแบบสุดชีวิต
“เห้อ ไอ้พี่ พี่ชายข้างบ้านมันมีสิทธิ์แค่ไหน กูจะตอบให้นะว่ามึงไม่มีสิทธิ์อะไรเลย พี่ชายข้างบ้านก็แค่ไอ้พี่ชายข้างบ้าน มึงหึงไม่ได้ มึงหวงไม่ได้ มึงอยากสัมผัสไม่ได้ มึงอยากเป็นเจ้าของไม่ได้”
“...”
“เผื่อมึงไม่เกท ถ้ามึงเป็นอิทาจิพี่ชายซาสึเกะ มึงปกป้องน้องมึงได้แต่มึงจะหวงที่นารูโตะจูบกับซาสึเกะไม่ได้ เกทฟีลป่ะว่ามันไม่เหมือนกัน รวมไปถึงมึงจะอยากกอดอยากจูบปากแดงๆนั่นแค่ไหนก็ไม่ได้ เพราะนั่นคือน้องมึง นั่นคือความสัมพันธ์พี่น้องเว้ยไอ้พี่ ยิ่งพี่น้องข้างบ้านยิ่งคิดเกินเลยกว่านั้นไม่ได้หนักกว่าอีก เพราะแม่งแค่ข้างบ้านไม่ใช่สายเลือด นี้เกทไหมหรือกูต้องยกตัวอย่างเป็นเอสกับลูฟี่” ผมงอคิ้วนิดหน่อยเพราะทำไมแม่งยกตัวอย่างเป็นซาสึเกะจูบกับนารูโตะวะ ซากุระไปไหน เห็นแค่ต้นไม้ประกอบฉากการยกตัวอย่างมึงหรอ
ถึงจะฟังดูเป็นตัวอย่างที่โคตรเด็ก
... แต่ก็พอจะเห็นภาพเลย
“มึงจำคำกูไว้นะ ในฐานะคนที่เคยแอบชอบชะนีสมัยอยู่ประถมและปัจจุบันเปลี่ยนมาชอบผู้ชายแทนแล้ว” มันกอดอกจรดสายตามองหาผมอย่างจริงจัง
“ว่า..?”
“อ่ะ อย่างแรกกูนับถือน้องหญิง การจะสารภาพรักใครสักคนมันเหมือนดึงความกล้าทั้งชีวิตมาเลยนะ อีแค่คำว่ารักสั้นๆเนี่ยแหล่ะ”
“...”
“แล้วเวลาที่เราจะรักใครสักคนก็คือรัก ต่อให้คนนั้นเกิดเป็นผู้ชายก็คือรัก เกิดเป็นผู้หญิงก็คือรัก จะไปหาเหี้ยอะไรมากมายมาคิดวะ รักก็คือรัก”
“...”
“คำว่ารักอ่ะ ความรักมันมีแค่สมหวังกับไม่สมหวังอีพี่ น้องหญิงคงรู้ข้อนี้ดี แต่มึงหล่ะ... ”
“...”
“คำตอบมันอยู่ที่มึง ถ้ามึงยังกลัวที่จะตอบรับความรู้สึกมึงก็ต้องยอมรับสถานะที่มึงเป็นอยู่แบบนี้ เป็นไอ้พี่ข้างบ้านที่เป็นได้แค่พี่ชายข้างบ้าน มีลิมิตการดูแลน้องอยู่แค่ความเป็นพี่ชาย มึงหวงได้แค่สภาพพี่ชายจะหวงได้ มึงก็อยู่ไปแบบนี้จนกว่าน้องจะเลิกชอบมึงไปเอง จนกว่าน้องจะหาแฟนใหม่ได้ ไม่ต้องขมวดคิ้วไอ้พี่ หมาเจ็บยังเลียแผล การที่น้องมันทรมาณเพราะคิดว่ารักมึงข้างเดียวมาหลายปีเนี่ย มึงคิดว่าน้องจะไม่ทำตัวให้หายเจ็บโดยการเลิกคิดเรื่องมึงหรอ ซึ่งอยากเป็นนักไอ้สถานะพี่ชายข้างบ้านมึงก็รับกรรมดูน้องจูบกับคนอื่นอีกหลายคนไปเถอะ ”
“...”
“แต่ถ้ามึงยอมรับการเป็นแค่พี่ชายไม่ได้ มึงก็ต้องยอมรับความรู้สึกตัวเองให้ได้แล้วว่ามันเกินกว่านั้นไปแล้วอ่ะ”
“...”
“และสุดท้าย... มึงรักน้องหญิง ไอ้ควายพี่ เลิกโง่เถอะ กูเหนื่อย” จบท้ายด้วยด่าและมือที่ฟาดลงกลางหัวจังๆจนต้องร้องโอ๊ยออกมา ผมคลำหัวตัวเองพร้อมกับความรู้สึกโล่งในอก
สุดท้ายความหนักในใจของผมมันไม่ได้มีอะไรเลย แค้การไม่ยอมรับว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่ยอมรับว่าไม่ได้มองน้องในฐานะน้องชาย ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่ใช่แค่พี่น้องบ้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะแค่ปมที่เรียกว่าไม่กล้ายอมรับความจริง
ผมเด้งตัวออกจากเก้าอี้ทันทีที่รู้สึกเหมือนทุกอย่างมันเบาลง เท้าเหมือนก้าวไปตามสัญชาตญาณเหมือนรู้ปลายทางก่อนที่สมองผมจะประมวลผมอีกว่าจะก้าวไปไหน
“ขอบคุณนะมึง”
ผมหันไปยิ้มให้ไอ้มงก่อนจะรีบวิ่งออกจากประตูห้องเรียน
ก่อนที่ตัวผมจะพ้นกรอบประตูมาก็แอบได้ยินเสียงไอ้แว่นคุยกับไอ้มง แต่เพราะความรู้สึกที่แม่งล้นจนจุกอกจนทำให้รีบออกตัววิ่งออกไปจากห้อง บทสนทนานั้นจึงไม่ได้ลอยเข้ากระทบมาถึงหูผม
.
.
.
“เป็นไรวะมง มึงยิ้มกับตัวเองทำไม”
“ยินดีกับกูสิคะอีแว่น”
“เรื่อง?”
“... เรื่องที่กูเพิ่งใช้ความกล้าที่สุดในชีวิตไป”
-- มีต่อ