@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 115117 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Pillow Talk ----




“ไหนว่าจะคุยกันไง ทำไมเงียบไปล่ะครับ?”

เจนยุทธเงยหัวขึ้นจากอกกว้างที่เขานอนหนุนซบอยู่ คนตัวโตของเขากำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดครุ่นคิดอะไรไปต่างๆ นานาเจหัวเราะเบาๆ

“เป็นอะไรของคุณ ทำหน้าเครียดยังกะจะไปทำสัญญาพันล้าน”

“ฉันกำลังนึกอยู่ว่าจะถามอะไรเจดี”

“อยากรู้อะไรก็ถามมาสิ ถ้าอันไหนตอบไม่ได้จริงๆ ก็จะบอก”

“เจรักฉันไหม?”

คนตัวเล็กเกาหัวแกร่ก

“เห้ย อะไรที่มันรู้อยู่แล้วจะถามทำไม?”

“ก็อยากได้ยินอีกนี่จ๊ะ”

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เจขยับลุกขึ้นนั่งและมองตาคนตัวโตที่นอนอยู่ตรงหน้า

“งั้นไม่รักละ”

“อ้าว เฮ้ย ไหงตอบงั้นล่ะ?”

คนตัวโตโอดครวญ เขารู้ว่าคนตัวเล็กแค่พูดเล่น แต่มันก็แอบสะเทือนใจเล็กๆ

“ไม่รักเฉยๆ แต่รักที่สุดต่างหากล่ะ รักแบบที่ไม่เคยรักใครมาก่อนนอกจากคนในครอบครัว พอใจหรือยัง?”

เจก้มลงจูบหน้าผากของคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เขายกนิ้วแตะริมฝีปากตัวเองเบาๆ แล้วประทับมันบนริมฝีปากเจนยุทธ เจทำแบบเดียวกันกลับคืนมา



“ผมถามบ้าง…คุณชอบดูหนังแนวไหน?”

ฆาเบียร์กระพริบตาปริบๆ เขากับเจไปดูหนังกันบ้างบางครั้ง แถมยังนั่งดูซีรีส์และหนังในเคเบิลทีวีด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้ว เจน่าจะรู้ความชอบของเขาดี

“ฉันก็ชอบพวกหนังแอ็คชั่น ไซไฟ สืบสวนสอบสวนอะไรพวกนี้แบบที่เราดูกันเป็นปกตินี่เจ อะไรก็ได้ที่ตื่นเต้นและทำให้อะดรีนาลีนหลั่ง”

“ผมก็นึกว่าคุณดูเพราะดูตามผม นึกว่าคุณจะชอบพวกหนังโรแมนติกหวานแหววอะไรพวกนั้น”

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาสารภาพว่าเขาเห็นฆาบี้เป็นเกย์ ก็น่าจะชอบอะไรหวานๆ อย่างพวกโรแมนติกคอมเมอดี้ หรือหนังรักแบบผู้หญิงจ๋าที่เจเรียกว่า chick flick ตัวอย่างหนังพวกนี้ก็อย่างเช่น The Notebook, The Holiday, 10 Things I Hate About You หรือกระทั่ง La La Land ก็ใช่

“เจ ความชอบในเรื่องต่างๆ ของฉันมันก็เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ นั่นแหละ การที่ฉันชอบผู้ชายไม่ได้ทำให้ฉันต้องมาทำตัวหวานแหวว หรือมีรสนิยมแบบสาวๆ ฉันก็เหมือนผู้ชายทั่วๆ ไป ชอบดูกีฬา ชอบรถหรือพวกเครื่องยนต์กลไก ดูหนังแอ็คชั่น แต่ต่างไปที่รสนิยมทางเพศแค่นั้นเอง”

ฆาเบียร์หัวเราะ เจคงยึดติดกับ stereotype หรือภาพฝังหัวเกี่ยวกับชาว LGBT แต่ที่จริงแล้วแต่ละคนก็มีบุคลิกและนิสัยแตกต่างกันไปไม่ต่างกับชายหญิงทั่วไป​

“ที่ฉันแต่งตัว ดูสำอางก็เป็นเพราะฉันชอบแต่งตัวและดูแลตัวเองอยู่แล้วอยู่แล้วตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น ไม่เกี่ยวกับว่าฉันเป็นเกย์หรือไม่ โอเค อาจมีส่วนนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ

“ฉะนั้น การที่นายมามีคนรักเป็นผู้ชาย มันก็ไม่จำเป็นว่าเจจะต้องเปลี่ยนตัวเอง เข้าใจไหม? นายก็ทำตัวเหมือนเดิม เป็นเจคนเดิม”

เจนยุทธพยักหน้า เขาเข้าใจสิ่งที่ฆาเบียร์ต้องการสื่อแล้ว

“แต่ผมว่าผมแต่งตัวดีขึ้น รู้จักกาละเทศะมากขึ้น แต่ก็อย่างว่าแหละ นั่นเป็นเพราะผมอยากทำตัวให้สมกับคุณ ผมอยากยืนเคียงข้างคุณโดยที่ไม่ทำให้คุณได้อาย”

“โธ่เอ๊ย เจ อย่าคิดมากเรื่องนี้อยู่อีกเลยน่า นายไม่เคยทำให้ฉันอายนะ”

คนตัวโตใช้หลังมือไล้แก้มแดงระเรื่อที่ป่องน้อยๆ ของคนรักด้วยความเอ็นดู



“งั้นผมถามต่ออีกนิดได้ป่าว?”

เจหัวเราะแหะๆ

“เอ้า ถามมา”

“คุณอยู่แถวซานฟรานฯ เคยไป Pride Parade กับเขาป่าว?”

คนตัวโตอึ้งเล็กน้อยเมื่อเจถามถึงงานพาเหรดของชาว LGBT ที่ซาน ฟรานซิสโก

“ผมเคยแปลสารคดี เขาว่ามันเป็นงานพาเหรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ​ ตอนแปล ผมดูๆ แล้วก็ว่ามันน่าสนุกดี”

จากที่เขาแปล เทศกาลที่เรียกชื่อว่า San Francisco Pride นี้จัดขึ้นมา 47 ครั้งแล้วและในปีนี้จะเป็นครั้งที่ 48 โดยจะจัดขึ้นในวันเสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน มีผู้เข้าร่วมเทศกาลนี้มากมาย โดยเฉพาะในเช้าถึงบ่ายวันอาทิตย์ซึ่งจะเป็นการเดินพาเหรดของกลุ่ม LGBT และผู้สนับสนุนหลายร้อยกลุ่ม มันดึงดูดผู้เข้าร่วมและผู้ชมนับแสนคนในแต่ละปี

“ว่าไง คุณเคยไปกับเขาหรือเปล่า?”

“ฉันก็ไปดูอยู่บ่อยๆ นะ”

คนตัวโตอ้อมแอ้มตอบ

“ไม่เอาน่า คุณก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร”

ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน เจหมายถึงเขาเคยไปเดินขบวนด้วยหรือไม่ เจยืมไอแพดของคนตัวโตมาเปิดๆ ดู ภาพงานไพรด์ปีที่แล้ว ฆาบี้มองนัยน์ตาแป๋วที่จ้องหน้าเขาเป๋ง เขาถอนหายใจ



“ก็ เคยไปเดินครั้งหนึ่งน่ะ”

โดยปกติแล้ว เหล่าบริษัทไอทีในซิลิคอน วัลเลย์มักจะส่งขบวนพาเหรดเข้าร่วมโดยมีเหล่าพนักงานซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศรวมทั้งผู้ที่สนับสนุนกลุ่ม LGBT เป็นผู้ร่วมขบวน บริษัทของเขาก็ส่งขบวนพาเหรดเข้าร่วมอยู่เนืองๆ ในปีนั้นเขาที่ยังอยู่ในฐานะโปรแกรมเมอร์ของบริษัทเกิดนึกสนุกและได้เข้าไปร่วมเดินขบวนกับเขาด้วย

“แล้วคุณแต่งตัวไงอ่ะ? แล้วขบวนของบริษัทคุณเป็นแบบไหน?”

เจถามอย่างตื่นเต้น

“อืมม์ ขบวนของบริษัทเราก็มีพวกพนักงานใส่เสื้อยืดบรฺิษัทที่ทำขึ้นพิเศษ มีติดธงสีรุ้ง ถือป้ายรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ หรือใครอยากแต่งอะไรหวือหวาก็ตามใจ เรามีรถแห่ด้วย ไม่ใหญ่หรอก แต่ทำเป็นเหมือนชายหาด มีต้นมะพร้าว มีเตียงชายหาด มีพนักงานพวกที่แต่งแดร็กไปเต้นฮูล่า หรือใส่บิกินี่นอนริมหาด อะไรแบบนั้นเพื่อสื่อถึงความเป็นบริษัทที่ทำเว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยว ด้านล่างเราก็มีพวกพนักงานพวกละตินหรือบราซิเลี่ยนแต่งตัวแบบคาร์นิวาล พวกนี้ก็เดินไปเต้นไป ก็แค่นี้แหละจ้ะ”

“ชิ ทำเป็นเลี่ยงไม่ตอบนะ แล้วตัวคุณล่ะ ฆาบี้ แต่งตัวยังไง? ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะใส่แค่เสื้อยืดธรรมดา แต่ถ้าคุณไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะ”

คนตัวโตถอนหายใจพรืด เขาตัดสินใจตอบไป

“ฉันก็ไปทั้งที่หัวกระเซิงใส่แว่นหนาเตอะเหมือนในรูปที่เจเคยเห็นนั่นแหละ”

ฆาเบียร์พูดถึงคราบของเขาในตอนที่ยังเป็น Tech guy

“ว้า จืดชืดแย่”

เจนยุทธมีทีท่าผิดหวัง ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ

“แต่เจจ๊ะ นอกจากแว่นตาแล้ว ของที่ติดตัวฉันวันนั้นมีแค่กระเป๋าแล็บท็อป รองเท้าผ้าใบ และกางเกงว่ายน้ำสปีโดสีฟ้าสดที่เป็นสีของบริษัทนะ”

เจทำตาโต ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขาในตอนนั้นเป็นช่วงที่มั่นใจในรูปร่างที่บ่มเพาะมาอย่างงดงามของตนเองที่สุดแล้ว เขาบอกเจว่าหุ่นเขาในตอนนั้นฟิตกว่าตอนนี้มาก อกของเขากว้างและมีกล้ามอกใหญ่สวยงาม ไหล่ที่ตั้งตรงผึ่งผาย กล้ามแขนเป็นลูกๆ

“กล้ามฉันตอนนั้นชัดกว่าตอนนี้อีกนะ ช่วงเอวก็หนากว่านี้ แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้เพาะมันขนาดนั้นแล้ว”

เจตาเหลือก ในตอนนี้เขาก็ว่าฆาเบียร์หุ่นงามกล้ามสวยมากแล้ว ในตอนนั้นเขาจะบึ้กขนาดไหนเชียว

“แต่ผมว่าหุ่นคุณขนาดตอนนี้กำลังสวยแล้วล่ะ ถ้าล่ำไปกว่านี้ก็อาร์โนลด์แล้วคุณ”

เจพูดถึงคนเหล็กอย่างอาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์

“โอ๊ย ไม่ๆ ยังอีกห่าง”

ฆาเบียร์เล่าต่อว่าเขายังใช้สีเขียนอกตัวเองว่า  Hunky Geek เจพยักหน้าหงึกหงัก

“มีช่างภาพถ่ายรูปฉันไปลงเว็บด้วยนะ จำไม่ได้ว่า Getty หรือเปล่า”



ฆาเบียร์เอาไอแพดของเขามาหารูปดู

“เอ้า เจอละ”

เจรับมาดู เขาหน้าแดงซ่านเมื่อเห็นฆาเบียร์ในวัยยี่สิบกลางๆ รูปร่างของเขาในตอนนั้นงามสมบูรณ์อย่างที่อวดไว้จริงๆ ผิวของเขาก็ดูมีสีแทนกว่าตอนนี้ แว่นกรอบดำที่ดูหนาเตอะ ผมยาวรุงรังไม่ค่อยเป็นทรงที่ถูกรวบเอาไว้หลวมๆ ที่ด้านหลังไม่อาจซ่อนความคมเข้มของหน้าตาของคนตัวโตไปได้ หนวดเคราที่ขึ้นเขียวครึ้มยิ่งเน้นสันกรามและโหนกแก้มให้หน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์ของเขานั้นดูสมชาย เจกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่เมื่อเห็นแนวรูปตัววีและไรขนสีน้ำตาลที่นำลงไปสู่กางเกงสปีโดตัวน้อยที่แทบจะซ่อนพัสดุของเขาไม่มิด

“แม่ง น่าฟัดชิบ”

เจเผลออุทานออกมาเป็นภาษาไทย คนตัวโตยิ้มกริ่ม เขาไม่เข้าใจความหมายของมัน แต่เสียงของมันคล้ายๆ คำในภาษาอังกฤษ เขาเดาเอาเองว่าความหมายก็คงใกล้ๆ กัน เขาเลื่อนๆ ภาพที่หน้าจอให้เจดูเพิ่ม

“มีหลายรูปเหมือนกันนะ”

เจดูอีกภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพด้านหลังของคนรัก แผ่นหลังใหญ่หนาเต็มไปด้วยกล้ามเป็นมัดๆ นั้นน่าอิงแอบแนบซบนัก หากก้นแน่นๆ ของเจ้าตัวถูกกระเป๋าคอมที่คนตัวโตสะพายอยู่บังไว้ เจ้าตัวเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าเป็นเป้าสายตาคน และภูมิใจในเรือนร่างของตัวเอง ในภาพนั้นเขากำลังยืนเท้าสะเอวเบ่งกล้ามเหมือนพวกนักกล้ามนิยมทำเพื่ออวดความงามของร่างกาย



“แล้วทำไมต้องสะพายกระเป๋าคอมด้วยอ่ะ?”

“ก็จะได้เน้นไง ว่าฉันเป็นพวกโปรแกรมเมอร์ แต่ในนั้นไม่ได้ใส่แล็ปท็อปไว้จริงๆ หรอกนะ”

“แต่มีถุงยางติดไว้เหมือนเดิม?”

เจถามยิ้มๆ คนตัวโตหน้าแดงก่ำ เจหัวเราะเบาๆ แล้วจุ๊บปากคนรัก

“เข้าใจน่า เตรียมพร้อมไว้ดีกว่า ใช่ไหม?”

เจถามต่อ

“แล้วคุณไปแค่ปีนั้นปีเดียวเหรอ?”

“ใช่จ้ะ คือมันร้อนมาก กว่าจะเดินครบฉันงี้แทบแย่ ก็เลยไปครั้งเดียวพอ อีกอย่าง ไม่นานหลังจากนั้นพ่อแม่ฉันก็เสีย ฉันเลยต้องขึ้นมารับตำแหน่ง แถมควบตำแหน่งประชาสัมพันธ์อีก มันเป็นตำแหน่งที่คนต้องรู้จักหน้าตาแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปอีก”

เจกุมมือคนรักบีบกระชับแน่นเมื่อเขาพูดถึงพ่อแม่ที่เสียไป ฆาเบียร์บีบตอบเพื่อเป็นการบอกว่าเขาไม่เป็นไร เขาบอกเจว่าบางทีเขาก็ยังคิดถึงวันเวลาสบายๆ ในฐานะพนักงานไอที



“เอ้า อยากรู้อะไรอีกเรื่องงานไพรด์”

“แล้วตอนคุณไปเป็นคนดู คุณต้องแต่งตัวอะไรไหมอ่ะ?”

ฆาเบียร์สั่นหัว เขาบอกว่าเขาก็แต่งตัวธรรมดา อาจจะแต่งจัดกว่าทุกทีหน่อยเพื่อให้เป็นสีสัน

“มีปีหนึ่งฉันรู้สึกพลาดมาก มาดูรูปที่เพื่อนๆ ที่ไปด้วยถ่ายไว้ทีไรฉันก็อายทุกที”

เขาบอกว่ามันเป็นช่วงปลายยุค 90 เขาก็จำไม่ได้แน่นอนว่าเมื่อไหร่ จำได้แค่ว่าปีนั้นเขาปิดเทอมและกลับมาที่พาโล อัลโตพร้อมมีเพื่อนๆ บางคนตามมาเที่ยวด้วย

“ถ้าจำไม่ผิด น่าจะช่วงปิดเทอมปีสองก่อนเจอนพ เพราะเหมือนว่าจอชจะมาด้วย แล้วก็มีเพื่อนที่เป็นเกย์เหมือนกันมาอีกสองสามคน พวกเขาแต่ละคนแต่งตัวจัดๆ กันทั้งนั้น ฉันก็ยอมแพ้ไม่ได้”

ในตอนนั้นเขาคิดว่าเขาแต่งตัวเท่สุดๆ แล้ว คือกางเกงทหารและรองเท้าบู้ท ส่วนเสื้อของเขานั้นเป็นเสื้อตาข่ายถี่ๆ แขนยาวสีดำ เสื้อซีทรูของเขานั้นแนบเนื้อไปทั้งตัวเน้นให้เห็นกล้ามเนื้อชัดเจน

“คือ ในตอนนั้นฉันก็ว่ามันโอเคเพราะใครๆ เขาก็ใส่กัน ส่วนจอช รายนั้นใส่กางเกงยีนส์สั้นแทบปิดก้นไม่มิดกับเสื้อยืดขาวบาง คนอื่นๆ ก็แรงไม่แพ้กัน ฉันก็เลยคิดว่าตัวเองไม่ได้แรงเกินไป แต่พอกลับมาดูรูปทีหลังแล้วก็คิดว่าใส่ไปได้ไงวะ?”

“โอ๊ย ผมอยากเห็นจัง”

“อย่าเลยเจ ฉันเองยังไม่อยากเห็นเลย”

คนตัวโตส่ายหัวให้กับความพลาดครั้งหนึ่งในชีวิต นั่นเป็นงานไพรด์ครั้งสุดท้ายในชีวิตวัยรุ่นของเขา ปีถัดมา เขาอกหักอย่างแรงจากนพและไม่มีกะจิตกะใจจะไปงาน อีกปีหนึ่ง เขาก็จบการศึกษาและเริ่มไปฝึกงานกับหลายๆ บริษัทที่พ่อเขาติดต่อไว้ให้ เมื่อถึงวัยทำงาน นอกจากครั้งที่ไปเดินขบวนครั้งนั้นแล้ว ครั้งอื่นๆ ที่เขาไปในฐานะคนดู เขาเน้นแต่งตัวเรียบๆ แต่ดูดีมีสไตล์ไปมากกว่า

“แต่ฉันก็ไม่ได้ไปมาหลายปีแล้วนะ งานยุ่งน่ะ แล้วเจอยากไปไหม? ถ้าอยากไป ปีนี้อาจจะไม่ทัน แต่ฉันพาไปปีหน้าได้นะ หรืออยากไปเดินกับพวกที่บริษัทก็ได้”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจครุ่นคิด

“อืมม์ ไม่เป็นไรคุณ ถ้าได้ไปเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ ยังมีเวลาคิดอีกหลายปี”

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์เองก็ยิ้มกลับคืนให้คนตัวเล็กของเขา

“ใช่จ้ะ เรายังมีเวลาคิดกันอีกหลายปีนะ”

ฆาเบียร์หอมแก้มของคนที่นอนร่วมหมอนกับเขา



“เอ้า ถึงตานายมั่ง ฉันอยากรู้ว่าทำไมนายถึงเลิกเรียนคอมแล้วหันไปเรียนด้านการโรงแรมแทน มันผิดกันลับเลยนะ”

“อืมม์ อย่างที่บอก ตอนแรกที่อยากเรียนคอมน่ะ เพราะผมคิดว่าผมก็ใช้คอมเยอะ เคยเรียนการใช้โปรแกรมต่างๆ มาก็เยอะ แม่ส่งเรียนพิเศษน่ะครับ แล้วช่วงนั้นกระแสวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ก็กำลังมาแรง แถมตอนที่โรงเรียนเขาจัดให้พวกรุ่นพี่มาแนะแนวเรียนต่อให้รุ่นน้อง พวกพี่ที่จบวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แต่ละคนก็ช่างดูเจ๋งและเงินเดือนสูงๆ กันทั้งนั้น ผมก็เลยสนใจ...”

คำว่าโปรแกรมเมอร์นั้นช่างฟังดูเท่สำหรับหนุ่มน้อยวัย 17 แต่ที่ไหนได้ เมื่อเข้าไปเรียนจริงๆ เจจึงรู้ว่ามันไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด

“ไอ้เรียนการใช้งานน่ะ มันก็อย่างหนึ่ง แต่พอมาเรียนแตะๆ เรื่องการเขียนโปรแกรม ภาษาซี เขียนโค้ด เขียนอัลกอริธึ่มเท่านั้นแหละ ผมรู้ทันทีเลยว่ามันไม่ใช่สำหรับผมเลยสักนิด ผมเหมาะกับเป็นยูสเซอร์มากกว่าโปรแกรมเมอร์ครับ”

เจตัดสินใจเลิกตั้งเมื่อจบปีหนึ่งเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจนเกินไป



“แล้วนายมาสนใจสาขาการโรงแรมได้ยังไงล่ะ?”

“คือตอนนั้นผมก็คิดว่าจะเบนสายมาบริหาร แต่จะเป็นบริหารธุรกิจเฉยๆ มันก็น่าจะมีคู่แข่งในการทำงานเยอะ ผมก็เลยอยากเรียนอะไรที่มันเฉพาะทางหน่อย แล้วตอนนั้นผมก็ได้คุยกับเพื่อนที่โรงเรียนที่เขาเข้าไปเรียนการโรงแรมที่ม.เอกชนนี่ก่อนแล้วปีนึง ผมก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจดี อย่างน้อยถ้าจบมาแล้วไม่ไปทำงานสาขานั้น มันก็ยังมีพื้นฐานด้านบริหารธุรกิจด้วยอยู่ดี ก็เลยสมัครเรียนไป...”

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

“...จะว่าไปจริงๆ ผมชอบนะ ตอนเรียนทฤษฎี คะแนนผมดีมากๆ เลย จะมีติดนิดหน่อยก็ตรงวิชาไฟแนนซ์ แต่นอกนั้นคะแนนออกมาโอเคหมด วิชาครัวหรือการจัดการบาร์ หรือวิชาเกี่ยวกับการจัดการการท่องเที่ยว สายการบินอะไรพวกนี้ก็คะแนนดี มาเสียแค่ตรงตอนฝึกงานนั่นแหละ”

เมื่อเริ่มฝึกงาน เจรู้ทันทีว่าเขามีความอดทนต่ำเกินไปสำหรับงานโรงแรม เขาชอบการบริการก็จริง แต่เขาทนได้แค่กับแขกที่ปฏิบัติต่อเขาดีเท่านั้น

“พอเจอแขกที่ทำกับเราเหมือนเราเป็นคนใช้หรือคนรองมือรองตีนปุ๊บ ผมจะปรี๊ดเลยทุกครั้ง สำหรับผม ผมถือว่าผมจะสุภาพและมีมารยาทกับคนที่ปฏิบัติตัวคู่ควรกับมันเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องสำหรับคนทำงานสายบริการเลย แต่ผมก็อดไม่ได้จริงๆ”

เจบอกว่าเขาพอเรียนจบ เขาเคยลองสมัครทำงานในโรงแรมห้าดาวในเชียงใหม่ แต่ทำได้อยู่ไม่นานก็ตัดสินใจลาออก

“คือนอกจากเรื่องแขกแล้ว มันยังมีเรื่องการเมืองภายในแบ่งพรรคแบ่งพวก ผมไปไม่เป็นเลยคุณเอ๊ย สุดท้ายก็เลยออกมาเคว้งจนได้พี่นพเขาป้อนงานแปลให้นี่แหละ”

เจบอกว่านี่คือสิ่งหนึ่งที่เขายังรู้สึกผิดต่อแม่อยู่ทุกวันนี้ มันเหมือนเขาเอาเงินไปละลายน้ำเปล่าๆ ตั้งหลายแสน



“แต่อย่างน้อยเจก็ได้ความรู้ติดตัวไม่ใช่เหรอ? ทั้งเรื่องการครัว เรื่องเครื่องดื่ม การจัดการนั่นนี่ และที่สำคัญนายได้มารยาทสังคมมา ฉันถึงบอกไงเจ ว่านายไม่เคยทำให้ฉันได้อายเลย ต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ นายทำตัวได้ดีไม่มีที่ติเลยนะ เจนยุทธ”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ บางทีเขายังรู้สึกว่าเจแม่นมารยาทมากกว่าเขาเสียอีก เจครุ่นคิดและพยักหน้า นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีใจที่ได้ร่ำเรียนสายนี้มา เขายังได้ใช้ความรู้เกี่ยวกับด้านอาหารที่ได้เรียนรู้มาในการเขียนเรื่องราวลงในบล็อกตามที่ได้รับมอบหมายมา

“แต่ที่ผมเสียดายคือ ผมเคยลงเรียนภาษาจีนกลางด้วย แต่มันยากจัดผมเลยดร็อปทิ้ง เสียดายว่าน่าจะตั้งใจเรียนอีกสักหน่อย ไม่น่าด่วนทิ้งเลย”

เขามารู้ซึ้งถึงความสำคัญของมันเอาตอนกองทัพคนจีนบุกเชียงใหม่กับตอนมาคบหากับคนตัวโตที่พูดจีนได้คล่องทั้งกวางตุ้งและแมนดารินคนนี้

“ผมไปหาเรียนที่เรียนภาษาจีนกวางตุ้งซะดีไหมเนี่ย?”

เจเปรยออกมาเบาๆ

“ไม่ต้องก็ได้มั้ง ที่ฮ่องกงคนพูดอังกฤษได้ แถมเวลาไปไหนมาไหนนายก็ไปกับฉันไม่ก็ริคกี้ ไม่ต้องเรียนก็ได้น่า”

“หึ ร้อนตัวกลัวผมฟังเวลาคุณงุบงิบพูดอะไรเป็นกวางตุ้งออกล่ะสิ”

เจหัวเราะหึๆ คนตัวโตยิ้มอายๆ เจคงยังไม่หายเจ็บใจเรื่องที่เขาขอน้องคอนเสียจบนคลับเลาจ์ที่โซฟิเทลช่วยหลอกเรื่องโรบุชง

“ไว้ฉันจะค่อยๆ สอนประโยคง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้แล้วกันนะ”

เจพยักหน้ารับคำ



“แล้วคุณล่ะ ฆาบี้ ผมรู้ว่าคุณเดินทางสายคอมมาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่คุณเคยคิดถึงอาชีพอื่นไหม? เคยคิดไหมว่าถ้าไม่เป็นโปรแกรมเมอร์กับทำงานบริหารแบบทุกวันนี้ คุณอยากเป็นอะไร?”

ฆาเบียร์ครุ่นคิดนิดหนึ่ง

“ฉันว่าความฝันของฉันก็คงเหมือนกับเด็กผู้ชายชาวละตินอเมริกาคนอื่นๆ น่ะ คือเป็นนักซอคเกอร์อาชีพ”

คนตัวโตเรียกฟุตบอลว่า soccer ตามความเคยชิน

“เออ จริงสิ คุณเคยเป็นนักฟุตบอล เอ่อ ซอคเกอร์ของโรงเรียนด้วยนี่นา”

“เจชินเรียกฟุตบอลก็เรียกฟุตบอลไปเถอะ ฉันเข้าใจ…”

คนตัวโตลูบหัวคนรักที่นอนจ้องหน้าเขาบนหมอนใบเดียวกัน

“แล้วก็ ใช่จ้ะ ฉันเคยเล่นทีมโรงเรียน อันที่จริงตอนช่วงก่อนเรียนจบก็มีพวกแมวมองจากทีมของม. S มาทาบทามฉันไว้แล้วด้วย คือถ้าไม่เกิดเรื่องอเล็กซ์ขึ้นเสียก่อน ฉันก็เดินเข้าม. S สบายๆ โดยมีทั้งทุนกีฬาและทุนของทางภาควิชา แล้วเผลอๆ ตอนแข่งซอคเกอร์ในระดับมหาวิทยาลัย แล้วถ้าเกิดฉันเล่นดีเตะตาพวกแมวมองทีมชาติหรือทีมอาชีพขึ้นมา ก็อาจมีสิทธิ์ได้เซ็นสัญญาก็ได้ ตอนนั้นเมเจอร์ลีกก็กำลังเริ่มตั้งด้วย เขากำลังหานักกีฬากัน แต่สุดท้ายก็ อย่างที่เห็นนั่นแหละ…”



ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขาพูดกับเจว่าเมื่อมานึกๆ ดู เรื่องของอเล็กซ์ส่งผลกับชีวิตของเขามากจริงๆ

“ใช่ ส่งผลกับชีวิตผมด้วย ฆาบี้”

เจนยุทธพูด เขาจับมือคนรักทั้งสองข้างขึ้นมาจูบ

“ถ้าคุณไม่ไปเจออเล็กซ์นอกใจในวันนั้น คณก็คงไม่หนีไปเรียนที่มินเนโซต้า ก็ไม่ได้เจอพี่นพ ไม่ได้รักและไปทำอะไรแก ไม่ได้รู้สึกผิดและอยากติดต่อกันใหม่ ไม่ได้หาแกเจอและติดต่อไป ผมเองก็คงจะไม่ได้โกรธคุณ ไม่ได้เจอและทำอะไรไปในวันนั้น เราก็คงกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันและกันและอาศัยอยู่คนละซีกโลกโดยไม่รู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายเลยสักนิด”

ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เจพูดถูก ความเจ็บช้ำน้ำใจเพราะการถูกคนรักหักหลังกลายมาเป็นสิ่งที่ผลักดันเขามาให้เจอคนที่เขาต้องการที่สุดในชีวิตคนนี้ ฆาเบียร์ประคองใบหน้าของสุดที่รักที่อยู่เบื้องหน้าและป้อนจุมพิตอันอ่อนหวานให้ เจจูบตอบ พวกเขาแลกจูบกันอย่างอ้อยอิ่งจนเจเป็นฝ่ายดันตัวออก

“พอก่อนๆ คุณ ยังเล่าไม่จบเลยนะ เรื่องฟุตบอลอ่ะ”

ฆาเบียร์ทำท่างอแงอยากพลอดรักต่อ แต่สุดท้ายก็ยอมเล่าเรื่องต่อไป



“พอฉันไปเข้าเรียนที่วิทยาลัยในมินเนโซต้า ฉันก็ไปลองคัดตัวเข้าทีมซอคเกอร์ของวิทยาลัย ฉันก็คัดผ่านนะ แต่ร่างกายฉันมันไม่เหมือนเดิมแล้ว คือ หลังจากเสเพลมาปีหนึ่ง ติดทั้งเหล้าทั้งยากล่อมประสาท มันส่งผลพอสมควร การเคลื่อนไหวของฉันมันไม่เหมือนเดิม ฉันเองก็หมดไฟด้วย แล้วระดับของทีมทางนั้นมันก็สู้ทีมทางแคลิฟอร์เนียที่เป็นชุมชนคนละตินไม่ได้ มันเลยทำให้ฉันไม่สนุกกับการแข่งอีก ก็เลยออกจากทีมตอนขึ้นปีสอง”

ฆาเบียร์จบเส้นทางการเป็นนักกีฬาของเขาไว้ที่ตรงนั้น เขาบอกเจว่าเขากับพวกหนุ่มละตินที่ไปเรียนที่รัฐอันหนาวเย็นนั้นจะรวมตัวไปเตะบอลกันบ่อยครั้ง แต่ก็เพื่อสันทนาการเท่านั้น

“ผมก็เหมือนกัน ตอนม.ปลาย ผมเตะบอลกับเพื่อนเอามันอย่างเดียว เล่นบอลโกลหนูตอนหลังเลิกเรียน คลุกฝุ่นกลับบ้านทุกวันน่ะคุณ”

เจพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงความสนุกของชีวิตสมัยมัธยมปลาย เขาบอกว่าพอเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เขาก็โดนลากให้ไปลงแข่งบอลของภาคบ้างของคณะบ้างด้วยความที่เขาคล่องตัวและวิ่งเร็ว

“คงเพราะผมเคยอ้วนมาก่อนอ่ะ ตอนไดเอ็ทผมก็วิ่งเยอะ ออกกำลังกายเยอะ มันก็เลยทำให้คล่องตัว ไอ้พวกเพื่อนสมัยมัธยมมันก็แซวเหมือนกันว่ามันเหมือนผมใส่ตุ้มน้ำหนักถ่วงมานาน พอสลัดน้ำหนักพวกนั้นทิ้งได้มันก็ทำให้ผมเคลื่อนที่ได้คล่องแคล่วกว่าคนอื่น ผมก็ว่าอาจจะจริงของพวกมัน”

ฆาเบียร์ก็ต้องส่ายหัวให้กับหลักอนาโตมั่วของเจอีกครั้ง



“แต่ไอ้คนที่เตะบอลเก่งน่ะคือไอ้ปรินซ์ครับ ซันซันเคยเล่าให้ผมฟังว่าไอ้นี่มันนักบอลโรงเรียน แถมติดตัวเขตด้วยมั้ง แต่เหมือนว่าช่วงม.ปลายมันจะเข่าพัง หรือเอ็นฉีกอะไรนี่แหละ ก็เลยจบกัน แต่ตอนอยู่ม. มันก็ลงเล่นก๊อกๆ แก๊กๆ ให้ทีมของคณะนะ”

“ปรินซ์เล่นตำแหน่งไหนเหรอ?”

คนตัวโตถามอย่างสนใจ

“กองหลังครับ สำหรับคนไทย หุ่นอย่างมันเอาไปเป็นกำแพงดีที่สุด”

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ ปรินซ์นั้นสูงไล่เลี่ยกับเขาคือประมาณ 180 เศษและตัวใหญ่หนาพอๆ กัน

“แล้วคุณล่ะ ฆาบี้ คุณเล่นตำแหน่งไหน?”

“ฉันเป็นสไตรเกอร์ ในตอนนั้นฉันเพรียวกว่านี้และคล่องตัว ฉันมาเพาะกล้ามเอาเมื่อตอนเลิกเล่นซอคเกอร์แล้วน่ะ”

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ เมื่อเจถามว่าเขาเล่นฟุตบอลเก่งขนาดไหน

“พูดไปก็จะหาว่าอวด เอาเป็นว่าฉันเป็นคนทำประตูสูงสุดประจำลีกที่ทีมโรงเรียนฉันเล่นอยู่สองปีซ้อนแล้วกัน”

“ขนาดนั้นเชียว?”

เจถามด้วยความทึ่ง

“งั้นกลับไปไทยคราวหน้า ผมลากคุณไปเตะบอลด้วยดีกว่า นานๆ ที ผมกับพวกเพื่อนสมัยเรียนก็นัดเตะกันที่สนามหญ้าเทียม ผมยังไม่เคยชวนคุณไปเลยใช่ไหม?”

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว

“แต่เจ ฉันไม่ได้ลงสนามมาจะยี่สิบปีแล้วนะ ตั้งแต่จบป.ตรีมาก็ไม่ได้แตะอีกเลย จะให้ไปเล่นเป็นเรื่องเป็นราวอีก ฉันก็คงไม่ไหวแล้ว”

“เห้ย มันไม่ใช่แข่งจริงจังอะไรขนาดนั้นนะคุณ เราแค่รวมตัวกันทีมละ 5-7 คนแล้วไปเช่าสนามหญ้าเทียมที่เปิดกันทั่วเชียงใหม่นี่แหละ ก็แล้วแต่จะกำหนดว่าเล่นกันนานเท่าไหร่ สนามก็เป็นสนามเล็กครับ เหมือนเล่นบอลโกลหนูแต่หน้าตาดูดีกว่าตอนสมัยเป็นเด็กนั่นแหละ”



เจหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปเขาตอนไปเตะบอลกับเพื่อนให้คนตัวโตดู ฆาเบียร์ดูอย่างสนใจ ถ้าสนามเล็กแบบนี้และไม่ได้เล่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาก็น่าจะยังพอไหว

“ดูไปดูมาเหมือนรวมตัวกันกินเหล้ามากกว่ามาเตะบอลนะเจ”

เจนยุทธหน้าแดงเมื่อถูกกระเซ้า จริงอย่างฆาเบียร์ว่า เพื่อนเขาบางคนที่มานั้น เน้นแวะกินเหล้าข้างสนามมากกว่าจะลงมาเตะบอล

“…อย่างไอ้ซันคนนึงล่ะ เป็นโกลประสาอะไร บางทีหันไป อ้าว โกลหาย หลบไปจิบเบียร์กับจ้วงกับแกล้มอยู่ข้างสนามนู่น แต่พอวันไหนมีสาวๆ มานั่งดูด้วยนะ โอ๊ย มันงี้ทำขยันขันแข็ง”

เจหัวเราะเมื่อนึกถึงเพื่อนรัก

“สาวๆ เหรอ?”

“โดยมากในสนามเค้ามีร้านกินดื่มข้างในด้วยไงคุณ บางทีก็มีพวกน้องๆ พริตตี้เชียร์เบียร์น่ารักๆ มาแวะทักทาย ไม่ก็เดินผ่านไปผ่านมา”

“งั้นคราวหน้าถ้านายจะไป ฉันขอตามไปด้วยนะ”

คนตัวโตทำหน้าเคร่งขรึมลงทันที เจหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นสีหน้าของคนรัก เขาจุ๊บแผ่วๆ ที่ปลายคางของฆาเบียร์

“เอาสิครับ ไว้คุณกลับมาคราวหน้าผมจะนัดพวกเพื่อนๆ สมัยเรียนไปเตะบอลกัน ผมจะได้แนะนำคุณให้พวกมันรู้จักด้วยเลย ดีไหม?”

“ถ้านายโอเค ฉันก็โอเคนะ ว่าแต่เพื่อนนายคนอื่นเขาจะรับได้ไหม?”

ฆาเบียร์พูดเสียงแผ่วเบา

“โอ๊ย คุณ ไม่ต้องห่วงหรอก พวกมันได้ยินจากปรินซ์กับซันซันแล้ว ยังถามมายิกๆ กันแล้วว่าเมื่อไหร่ผมจะพาเมียไปแนะนำให้พวกมันรู้จักซักที”

เมียตัวโตของเจหน้าร้อนผ่าว เจยิ้มกริ่ม ที่จริงพวกเพื่อนๆ เขาใช้คำว่าแฟน หากเขาอยากกระเซ้าคนตัวโตของเขาเล่นแค่นั้น



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Pillow Talk (ต่อ) ----



“นายนี่มันตัวแสบจริงๆ นะ เจนยุทธ”

ฆาเบียร์ดึงแก้มป่องๆ ของคนรักเมื่อเห็นแววตาซุกซนจากตากลมสดใสคู่นั้น

“ดึงอีกแล้ว ช้ำหมดแล้วโว้ย!”

เจโวยลั่นตามเคย เขาบ่นพึมพำเบาๆ เป็นภาษาไทย ก่อนที่จะชวนคนรักคุยต่อ

“งั้นคุณสัญญากับผมแล้วนะว่าคราวหน้าจะไปเตะบอลด้วยกัน”

หนุ่มละตินพยักหน้า กลับไปฮ่องกงคราวนี้เขาคงต้องไปหาลูกฟุตบอลมาฝึกซ้อมไว้บ้างแล้ว เขาไม่อยากทำขายหน้าต่อหน้าเพื่อนๆ เจเช่นกัน

“งั้นเราเล่นคนละทีมกันนะ ใครแพ้ต้องโดนอีกฝ่ายทำโทษ”

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ทำตาโต เจพูดคำว่าทำโทษทีไร มันมักต้องมีอะไรให้ตื่นเต้นทุกที

“มีเดิมพันแบบนี้ฉันไม่ยอมแพ้นายแน่ เจนยุทธ”

“ผมก็ไม่ยอมแพ้คุณแน่ๆ เหมือนกัน”

คนตัวเล็กยิ้มยั่ว ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากรูปกระจับนั้นไปอีกที



“ฆาบี้ครับ ไม่เอา อย่าซนสิ ไหนบอกผมว่าจะนอนคุยกันเฉยๆ ไง”

เจปัดป้องฝ่ามือร้อนๆ ที่ลูบไล้ตามเนื้อตัวของเขา

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เจจ๋า เราทำอย่างอื่นที่มันตื่นเต้นกว่านอนคุยกันดีกว่านะ"

คนตัวโตกระซิบเสียงแหบพร่า เจเกือบใจอ่อน แต่เขาก็ยังอยากคุยต่ออยู่ดี

"ผมอยากคุยกับคุณมากกว่า ไม่ได้เหรอครับ คนดีของผม?"

ฆาเบียร์กัดปากเบาๆ สายตาเว้าวอนของเจช่างมีอิทธิพลในใจเขาจริงๆ ฆาเบียร์ปล่อยคนตัวเล็กที่ถูกเขากอดรัดไว้ในอ้อมอกให้เป็นอิสระ เจจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากคนรัก จากนั้นกระซิบเบาๆ ที่หูของคนตัวโตของเขา ฆาเบียร์มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น

"สัญญาแล้วนะ เจ?"

"จ้าๆ สัญญา เอ้า มาๆ คุยกันต่อ เมื่อกี้ถึงไหนละนะ? ฟุตบอล?"

"ใช่ เราคุยกันเรื่องจะไปเตะบอลกัน แล้วเจจะต้องแพ้ฉันแน่ๆ"

"ชิๆ ไว้มาคอยดูกัน"

ทั้งสองคุยข่มกันไปมาอีกพักหนึ่งอย่างไม่ยอมกัน การแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ทำให้ชีวิตคู่ของพวกเขามีรสชาติ



"นี่ๆ พูดถึงฟุตบอล ตอนบอลโลกที่สหรัฐฯ ปี 94 นี่ คุณก็ได้ไปดูด้วยสิ สนุกไหมครับ?"

เจถาม เขาบอกว่าสำหรับเขาแล้ว เขาแทบไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับบอลโลกปีนั้นเลย เพราะเขาเพิ่งจะอายุได้ห้าขวบเท่านั้น

"เจพูดแบบนี้ฉันรู้สึกแก่เลยนะ"

ฆาเบียร์บ่นเบาๆ ตอนฟุตบอลโลกเขาอายุย่างเข้า 17 ปีแล้ว เจหัวเราะคิกออกมาเมื่อเห็นคนรักทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

"แล้วไปดูในสนามมันสนุกหรือเปล่าครับ?"

ฆาเบียร์นั่งนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้น เขาและพ่อตื่นเต้นกับฟุตบอลโลกครั้งแรกบนแผ่นดินสหรัฐฯ มาก พ่อของเขาและเพื่อนๆ ก๊วนละตินที่เรียนและทำงานด้วยกันพยายามหาตั๋วเข้าชมแมทช์ที่จัดในแคลิฟอร์เนียได้หลายแมทช์และพาเขาไปดูด้วยทุกครั้ง

"ที่พวกเราได้ดูก็เป็นแมทช์ที่จัดในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งใช้อยู่สองสนามคือสนามโรส โบว์ลในพาซาดีน่า ที่นี่เป็นสนามที่ใช้แข่งนัดชิงอีกด้วย อีกสนามก็ใกล้บ้านเลย คือสนามของม. S. เราไปดูที่นี่บ่อยที่สุด"

"โห ก็ดีสิคุณ ไม่ต้องเดินทางไปดูไกลๆ"

"อือ ตอนแรกฉันกับพ่อก็คิดงั้นเหมือนกัน"

ฆาเบียร์พูดอย่างเซ็งๆ

"แต่ปรากฎว่าสายที่แข่งในสองสนามนี้ไม่ได้มีทีมที่พวกเราอยากดูอย่างอาร์เจนติน่ากับอิตาลี ทั้งสองทีมนั้นแข่งที่สนามทางฝั่งตะวันออกของประเทศ แต่เราก็ได้ดูเกมมันๆ จากทีมอย่างโรมาเนีย โคลอมเบียและทีมชาติสหรัฐฯ เอง ฉันได้เห็นลูกที่อันเดรส เอสโกบาร์ของโคลอมเบียทำเข้าประตูตัวเองในแมทช์ที่แข่งกับสหรัฐฯ"

ประตูประวัติศาสตร์นั้นส่งผลทำให้โคลอมเบียตกรอบเมื่อการแข่งรอบแบ่งสายจบลง เช่นเดียวกับชีวิตของอันเดรส เอสโกบาร์ เขาถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านเกิดเพียงสิบวันหลังจากทำผิดพลาดไปในวันนั้น



"มันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ เหรอ คุณ?"

เจถามด้วยความตกใจ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เขาเคยได้ยินแต่เรื่องนักฟุตบอลเกาหลีใต้อย่าง อาห์น จุง วาน ถูกทีมสโมสรที่ตนสังกัดอยู่ในประเทศอิตาลีอัปเปหิให้กลับเกาหลีไป เนื่องจากเขายิงประตูชัยที่ทำให้อิตาลีแพ้เกาหลีใต้และตกรอบบอลโลกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นเจ้าภาพร่วม ในกรณีนั้นเจมองอย่างขบขันในความแค้นฝังหุ่นของชาวอิตาเลียน แต่ในกรณีของนักฟุตบอลผู้น่าสงสารจากโคลอมเบียนั้นเจมองเป็นเรื่องน่ากลัวและเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

"ว่ากันว่า คนยิงเป็นพวกคนของแกงค์ยาเสพติด แล้วคนๆ นั้นคงเสียพนันไปเยอะเพราะลูกนั้น แต่บางคนก็บอกว่าจริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกับเรื่องบอลเลย เป็นเรื่องอื่น แต่ฉันก็คิดว่ามันคงไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่าเพราะอะไร แต่มันก็เป็นเหตุการณ์ด่างพร้อยหนึ่งของวงการฟุตบอลโลกเลยนะ"

เจพยักหน้าเห็นด้วย ฆาเบียร์เล่าต่อถึงประสบการณ์บอลโลกของเขา อีกทีมหนึ่งที่เขาได้ดูบ่อยนอกเหนือจากทีมสหรัฐฯ ก็คือบราซิล

"ก็เล่นดีนะ เล่นสนุก พริ้ว ตัวเก่งๆ เจ๋งๆ ในยุคนั้นเขาเก่งกันจริงๆ เพราะมันเป็นยุคที่เกมพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะมากกว่าสมัยนี้"

นักเตะชื่อดังของบราซิลในยุคนั้นได้แก่โรมาริโอ ดุงก้าและเบเบโต้ ส่วนโรนัลโดหรือที่คนไทยเรียกกันว่าโด้อ้วนนั้น ยังเป็นแค่หนุ่มน้อยอายุ 17 และเป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น

"ในฐานะนักฟุตบอล ฉันชอบสไตล์การเล่นของนักฟุตบอลบราซิลมาก มันดูสวยไปหมด แต่ฐานะลูกครึ่งอาเจนไตน์แล้ว ฉันเซ็งทุกครั้งที่เห็นบราซิลชนะ"

บราซิลนั้นถือเป็นคู่ปรับตลอดกาลของทีมอาร์เจนติน่า ทุกแมทช์ที่ทั้งสองยอดทีมแห่งอเมริกาใต้ลงแข่งขันกันมักจะดุเดือดทุกครั้งแม้จะเป็นนัดกระชับมิตรก็ตาม



คนตัวโตเล่าให้คนรักฟังต่อว่าว่าฟุตบอลคือสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของชาวอาร์เจนไตน์อย่างแท้จริง ขนาดแม่ของเขาที่ปกติไม่ค่อยสนใจกีฬา แต่เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอล แม่ของเขานั้นเชียร์ขาดใจ คาตาลิน่ารอดูอยู่หน้าจอทีวีทุกนัดที่ทีมบ้านเกิดลงแข่ง ฆาเบียร์เองก็นั่งเฝ้าหน้าจอดูทุกนัดที่สามารถจะดูได้ พอรอบแบ่งกลุ่มจบลง ฆาเบียร์และแม่ต่างดีใจที่รู้ว่าอาร์เจนติน่ายังอยู่ในการแข่งขันและจะมาแข่งรอบตัดเชือกกับโรมาเนียที่พาซาดีน่า แม้จะเสียใจอยู่บ้างที่ได้รู้ว่านักฟุตบอลระดับตำนานอย่างมาราโดนาถูกส่งกลับบ้านไปเนื่องจากถูกตรวจพบสารกระตุ้น ถือเป็นการปิดฉากการเล่นฟุตบอลโลกอย่างไม่สวยนักของนักฟุตบอลเจ้าของหัตถ์พระเจ้าคนนี้

"แม่ฉันงี้ตั้งหน้าตั้งตารอไปดูทีมจากบ้านเกิดแข่งเลยนะ ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอไปดูคนโปรดของฉันอย่างกาเบรียล บาติสตูตา สุดท้ายพวกเราก็ได้ไปดูสมใจ พ่อหาตั๋วให้พวกเราทั้งสี่คนจนได้ ขนาดอาปาที่ไม่ค่อยสนซอคเกอร์ก็ยังพลอยตื่นเต้นตามพวกเราไปด้วย"

แต่ผลการแข่งขันวันนั้นไม่เป็นไปตามที่พวกเขาหวัง ทีมอาร์เจนติน่าโดนโรมาเนียเขี่ยตกรอบไปอย่างน่าเจ็บใจ จบจากทีมอาร์เจนติน่า อีกหนึ่งทีมที่เป็นความหวังของฆาเบียร์คืออิตาลี เขาดูตารางการแข่งขันด้วยใจที่ลุ้นระทึก อิตาลีจะไม่ได้มาแ่ข่งที่ฝั่งตะวันตกเลยจนกระทั่งรอบชิง หากทีมโปรดของเขาทีมนี้ก็รอดพ้นการตกรอบมาได้หลายครั้งด้วยฝีเท้าของนักฟุตบอลอันดับหนึ่งในดวงใจของฆาเบียร์อย่างโรแบร์โต บาจโจ้

"ในรอบชิง พ่อฉันใช้เส้นสายทุกวิถีทางจนได้ที่นั่งหลังประตูมาจนได้..."

ฆาเบียร์เชียร์ทีมอิตาลีและบาจโจ้อย่างสุดใจขาดดิ้น แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นดั่งหวังอีกครั้ง อิตาลีพลาดท่าแพ้บราซิลในการดวลจุดโทษ และคนสุดท้ายที่ยิงพลาดคือฮีโร่ของเขาอย่างโรแบร์โต บาจโจ้ ภาพบาจโจ้ที่ยืนคอตกหลังจากส่งบอลข้ามคานไปอย่างเหลือเชื่อนั้นยังฝังติดตรึงอยู่ในใจเขา

"ฉันร้องไห้เลยนะในตอนนั้น ทั้งผิดหวัง ทั้งสงสารบาจโจ้ ในฐานะนักบอลเหมือนกัน ฉันว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนั้นเลย"



คนตัวโตถอนหายใจ เขาลูบผมนิ่มของคนรักที่นอนหนุนอกเขาเบาๆ

“มันเป็นบอลโลกครั้งที่ฉันจำไม่ลืมเลยล่ะ”

“แล้วคุณเคยไปดูครั้งอื่นด้วยอีกไหม?”

เจนยุทธถาม

“ฉันได้ไปดูที่อาฟริกาใต้กับที่ริโอ เพราะว่าบริษัทเราเป็นพาร์ทเนอร์กับการแข่งขัน แต่ก็ไปแบบไม่ได้ดูต่อเนื่องมาก เพราะช่วงนั้นงานยุ่ง แถมตั๋วแบบวีไอพีไปนั่งเป็นบ๊อกซ์นั่นมันเชียร์ไม่มันเลย”

เจพยักหน้าเห็นด้วย ความสนุกของการเชียร์กีฬาคือการนั่งเชียร์ไปพร้อมคนดูนับพันหมื่น ได้ร้องตะโกนเชียร์ออกมาดังๆ ได้ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ได้สัมผัสถึงการสั่นสะเทือนในอากาศเมื่อมวลชนส่งเสียงเฮและโห่ร้อง การได้เล่นเวฟหรือโบกสะบัดธง นี่คือสิ่งที่คนที่นั่งห้องแอร์เย็นสบายในห้องวีไอพีไม่ได้สัมผัส

"แต่บอลโลกที่รัสเซียปีนี้ เว็บเราไม่ได้เป็นพาร์ทเนอร์ด้วยหรอกนะ ก็เลยไม่ได้มีตั๋ววีไอพีอะไรแล้ว แต่ถ้าเจอยากดู เดี๋ยวฉันหาตั๋วกับที่พักให้ได้นะ สนใจไหมจ๊ะ?"

คนตัวโตก้มลงถามคนในอ้อมอก เจหน้าบูดลงทันควัน

"เหอะ บอลล่ง บอลโลกอะไร ผมไม่สนใจหรอก ชิ!"

ฆาเบียร์งงไปวูบหนึ่ง เมื่อครู่เจยังทำท่าสนใจใคร่ฟังเรื่องประสบการณ์ฟุตบอลโลกของเขาอยู่เลย

"อ้าว ฉันนึกว่านายสนใจอยากไปดู"

"สำหรับผม บอลโลกมันจบลงตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกา ปีที่แล้วละคุณ"

เจพูดด้วยความเซ็ง คนตัวโตหัวเราะออกมาดังลั่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทำไมคนรักของเขาถึงไม่อยากพูดถึงบอลโลกครั้งนี้นัก



"เออๆ หัวเราะเข้าไป ใช่ซี้ พี่เลี่ยนของผมมันไม่ได้เก่งกล้าสามารถเท่ากับทีมฟ้าขาวของคุณนี่"

เจนยุทธพูดอย่างเจ็บใจ ทีมอัซซูรี่ของเขาตกรอบคัดเลือกบอลโลกครั้งแรกในรอบ 60 ปี เจบ่นทีมบอลที่รักของเขายืดยาวโดยเฉพาะเรื่องความห่วยแตกของโค้ช ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ และปล่อยให้เจบ่นไปจนพอใจ เขาตบไหล่คนรักเบาๆ

"เอาน่ะๆ ทีมชาติสหรัฐฯ ของฉันก็ตกรอบเหมือนกัน"

"แต่นี่อดีตแชมป์โลกสี่สมัยเลยนะคุณ ครั้งล่าสุดนี่ปี 2006 ด้วย เพิ่งจะ 12 ปีเอง"

เจบ่นฟ่อดๆ แฟ่ดๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และหอมแก้มคนรักอย่างเอ็นดู

"เจก็เชียร์อาร์เจนติน่ากับฉันสิ ปีนี้เราก็ยังเป็นหนึ่งในตัวเต็งอยู่นะ ถึงเมสซี่น่าจะเล่นบอลโลกเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว แต่ก็ยังไหวอยู่นะ"

"เสียใจ ถึงพี่เลี่ยนไม่อยู่ ผมก็ยังมีทีมสเปนไว้ให้เชียร์ รับรองว่าเราจะเตะก้นทีมอาร์เจนของคุณแน่ๆ เหมือนที่ราชันย์ชุดขาวของผมจะเตะก้นทีมบาร์ซ่าของคุณในปีนี้"

เจพูดใส่อารมณ์เต็มเหนี่ยว พร้อมซัดผัวะไปที่ต้นแขนของฆาเบียร์อีกที

"อ้าว เฮ้ย ไหงพาลมาถึงบาร์ซ่าได้ล่ะเจ"

คนตัวโตร้องลั่น สิ่งหนึ่งที่เขากับเจเห็นไม่เคยตรงกันคือเรื่องทีมฟุตบอล เจชอบเรอัล มาดริด ส่วนเขาเป็นแฟนเหนียวแน่นของบาร์เซโลน่า ส่วนในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษนั้น เจเชียร์ทีมอาร์เซนอล ส่วนเขาชอบทีมเชลซี มีเพียงทีมเดียวที่เขาและเจเชียร์ร่วมกันก็คือยูเวนตุสของอิตาลี

"ไม่รู้ล่ะ จะพาล มีอะไรไหม?"

เจแลบลิ้นยาวเฟื้อยให้คนรัก ฆาเบียร์ยีหัวไอ้ตัวแสบของเขาด้วยความมันเขี้ยว เจทำหน้าคว่ำ

"นี่ผมพูดจริงๆ นะ ปีนี้ช่วงบอลโลกคุณจะดูก็ดูไป ไปดูที่ห้องนั่งเล่นนู่น ห้ามมาดูในห้องนอน"

เจประกาศกร้าว เขายังรับไม่ได้กับการตกรอบของทีมรัก

"ใจร้ายจริงๆ นะเจ ฉันก็อยากนอนดูบนเตียงนิ่มๆ บ้าง แล้วนายจะไม่ดูจริงๆ เหรอ?"

“…ถ้าให้ดูในห้องนอน ช่วงพักครึ่งฉันก็จะได้ทำแบบนี้ได้”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาพลิกกายคร่อมร่างคนรัก เขาหอมแก้มแดงๆ ของเจฟอดใหญ่ก่อนจะจูบปากน้อยๆ ที่เม้มแน่น เจพยายามดันร่างคนตัวโตออก แต่สุดท้ายเขาก็ต้านทานรสจูบของคนรักไม่ได้

"ดูนิดนึงก็ได้"

เจพึมพำเบาๆ เขาดูดดึงริมฝีปากบางของคนตัวโตเบาๆ และกอดรัดร่างกำยำของคนรักไว้แน่น มือใหญ่ร้อนผ่าวที่ลูบไล้ร่างนั้นได้ปลุกเร้าไฟในกายเขาให้ลุกโชนขึ้น

"เจจ๋า ฉันขอทวงสัญญาเมื่อกี้แล้วได้ไหม?"

คนตัวโตกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู เจสะท้านกายขึ้นเมื่อริมฝีปากบางนั้นขบเม้มใบหูเขาเบาๆ ลมหายใจร้อนๆ นั้นทำให้เขาแทบขาดใจ

"ไม่คุยกันต่อแล้วเหรอครับ"

เจถามเสียงแหบพร่า

"ฉันไม่อยากคุยแล้ว เจอยากคุยอีกเหรอ?"

เจนยุทธส่ายหัว เขาปล่อยให้ร่างกายของเขาเป็นฝ่ายพูดแทน



"จะไม่ทำจริงๆ เหรอ ฆาบี้?"

เจนอนระทวยซบกายอยู่บนอกของคนรัก พวกเขาสัมผัสลูบไล้กายกันและใช้ปากให้ความสุขกับฝ่ายจนพึงใจกันทั้งสองคน หากฆาเบียร์หยุดอยู่แค่นั้นและไม่ยอมล่วงล้ำกายเขามากไปกว่านั้น

"ฉันพอใจแล้ว หรือว่าเจไม่พอ?"

เจนยุทธส่ายหน้า เขาพึงใจกับสิ่งที่ได้รับไปเมื่อสักครู่แล้ว

"ขอบคุณครับ ฆาบี้"

เจจูบแผ่วๆ ที่ปลายคางคนรัก คนตัวโตคงไม่อยากให้เขาที่ต้องนั่งเครื่องบินกลับในวันรุ่งขึ้นต้องฝืนใช้ร่างกายอีก ส่วนเขาเองก็ไม่อยากถือโอกาสล่วงล้ำคนรักเช่นกัน เจซบหน้าลงกับอกกว้าง

"นี่ พูดอะไรน้ำเน่าๆ เป็นภาษาสเปนให้ผมฟังหน่อยสิ"

เจไล้นิ้วไปตามไรขนบางๆ ที่ปกคลุมแผงอกสีแทนอ่อน เขาจูบแผ่วๆ ที่ตำแหน่งของหัวใจคนรัก


"Te amo hoy, mañana y siempre"

'ฉันรักนาย วันนี้ พรุ่งนี้และตลอดไป'



เจหลับตาพริ้มพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า

"เอาอีกๆ พูดมาเรื่อยๆ เลยครับ ไม่ต้องแปลก็ได้ ผมชอบเวลาคุณพูดภาษาสเปน"

คนตัวโตโคลงหัวน้อยๆ เขาจูบแผ่วๆ ที่หน้าผากนวลเนียน ​


"Esta vida es mía, pero este corazon es tuyo. Esta sonrisa es mia, pero la razon eres tú.”

"ชีวิตนี้เป็นของฉัน แต่หัวใจดวงนี้เป็นของนาย รอยยิ้มนี้เป็นของฉัน แต่มันเกิดขึ้นเพราะนาย"



​"หวานเว่อร์"

เจพูดพึมพำออกมาทั้งที่ยังหลับตา

"เอาอีกๆ"

เสียงของคนตัวเล็กง่วงงุน เขาหาวน้อยๆ เสียงทุ้มติดแหบของฆาบี้ขับกล่อมเขาจนเกือบหลับแล้ว


"Tu amor vale mas que millones de estrellas."

"รักของนายมีค่ากว่าดาวนับล้านดวง"



​เจนยุทธส่งเสียงตอบรับเบาๆ ในลำคอ เขากอดร่างกำยำแน่นขึ้น


"Eres dueño de mi corazón"

​"นายคือเจ้าของหัวใจฉัน"



ฆาเบียร์ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงกรนน้อยๆ จากคนรักที่นอนซบแทบอกเขา คนตัวโตจุมพิตแผ่วๆ ที่ริมฝีปากแดงระเรื่อของเจนยุทธ

"หลับฝันดีนะ ราชาในใจของฉัน"

เขากระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหูคนรัก เขาขยับจัดท่าทางให้เจนอนสบายก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟและนอนกกกอดร่างอุ่นของคนรักเป็นคืนสุดท้ายก่อนจะจากลา



ฆาเบียร์ปลุกเจนยุทธขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ เขาปลุกเร้าอารมณ์ของเจที่ยังงัวเงียอยู่จนตื่นเต็มที่ แต่แทนที่เขาจะเป็นฝ่ายรุกเร้า คนตัวโตปล่อยให้เจเป็นคนตักตวงความหวานจากกายเขาอย่างเต็มอิ่ม

“คุณไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะ ฆาบี้”

เจขมวดคิ้ว เขาทำท่าจะพูดต่อ แต่คนตัวโตที่นั่งคร่อมกลางกายเขาใช้ริมฝีปากบางอันร้อนผ่าวปิดปากเขาไว้ เจหมดคำพูดและเป็นฝ่ายพลิกกายขึ้นทาบทับร่างกำยำนั้นแทน ฆาเบียร์ปล่อยให้คนตัวเล็กชำแรกเข้ากายเขาด้วยความยินดี พวกเขาทั้งสองร่วมรักกันอย่างเนิบนาบและอ่อนโยน เจจูบพรมไปแทบทุกส่วนของคนรักประหนึ่งจะให้ร่างนั้นจดจำสัมผัสของเขาไว้ ฆาเบียร์เองก็เพียรกระซิบฝากคำรักไม่ขาด ทั้งสองกอดกันแน่นและแลกจูบอันหนักหน่วงยามความรู้สึกของพวกเขาพุ่งขึ้นจนถึงจุดสุดยอด พวกเขานอนอ้อยอิ่งกอดจูบลูบไล้กายกันต่ออีกพักใหญ่ก่อนที่เจจะหักใจลุกขึ้น

“เดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ คุณนอนพักเถอะ ผมจะไปซื้อทาร์ตไข่แป๊บเดียว เดี๋ยวกลับมา”

เจนยุทธนัดรถไว้ตอนก่อนเก้าโมงกว่าๆ เพื่อที่จะไปซื้อของที่เวเนเชียนและจัดการเรื่องตั๋วเรือให้คนตัวโต เขารีบเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวจากนั้นออกมาหาคนรักที่ยังไม่ยอมหลับพักผ่อน

“ไม่ต้องให้ฉันไปด้วยแน่นะ?”

คนตัวโตถาม เขาดึงมือเจที่ยืนข้างเตียงมาจูบแผ่วๆ เขารู้สึกใจหายน้อยๆ เมื่อนึกถึงว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงพวกเขาก็ต้องจากกันอีกครั้ง เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก้มลงจูบหน้าผากของคนตัวโตเบาๆ

“ไม่ต้องไปหรอกครับ พักเถอะ เดี๋ยวผมจะรีบไปรีบมา เลทเช็คเอาท์สองโมงใช่ไหมครับ?”

ฆาเบียร์พยักหน้า เจดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างคนรักและปิดไฟให้คนตัวโตได้นอนพักผ่อน เขาค่อยๆ ออกห้องโดยปิดประตูตามหลังอย่างแผ่วเบา



“อืมม์ มาแล้วเหรอ นี่กี่โมงแล้ว?

ฆาเบียร์ถามร่างอุ่นๆ ที่แทรกกายเข้ามาในผ้าห่ม เจกอดคนตัวโตของเขาไว้และจูบแผ่วๆ ที่แก้ม

“สิบเอ็ดโมงครับ คุณนอนต่อก็ได้นะ”

“ทำไมซื้อของเร็วจัง ได้อะไรมาบ้างล่ะ?”

ฆาเบียร์ขยับกายขึ้นนั่งพิงหัวเตียงและเอื้อมมือไปเปิดไฟ เจทำหน้ายุ่ง เขายังอยากนอนกอดรัดฟัดเหวี่ยงคนรักต่ออีกหน่อย

“ผมซื้อแต่ทาร์ตไข่ของลอร์ดสโตว์มาครับ ผมแบกอะไรอีกไม่ไหวแล้ว”

หลังจากไปรับตั๋วเรือแล้ว เจเข้าไปที่เวเนเชียนและพุ่งตรงไปยัง Lord Stow’s Bakery&Cafe ซึ่งอยู่ล็อคหมายเลขที่ 870 ในโซน Mask Street บนชั้นสามของห้าง หากเขาไม่ไปเสียเวลาต่อคิดยาวเฟื้อยที่ร้านนั่งกินดื่มนั้น เขาเดินเลยร้านและเดินเลียบคลองไปอีกนิดหน่อยก็เจอกับแผงขายทาร์ตไข่แบบกลับบ้าน เจยืนรอป้าคนขายแพ็คทาร์ตลงกล่องด้วยความเร็วสูง แม้คิวจะยาวแต่ก็ขยับเร็วกว่าที่ร้านนั่งกินมาก เขาจัดการซื้อทาร์ตไข่กล่องละหกชิ้นมาทั้งหมดแปดกล่อง ทาร์ตไข่ที่เวเนเชียนนี้จะราคาแพงกว่าข้างนอกคือชิ้นละ 10 ปาตากาส และไม่มีการลดราคาไม่ว่าจะซื้อมากชิ้นก็ตาม แต่มันก็สะดวกสำหรับคนที่ต้องการซื้อด่วนก่อนขึ้นเครื่องบิน

“ซื้อมาเยอะจังนะ ของฝากอีกล่ะสิ”

คนตัวโตดักคอคนรัก เจยิ้มอายๆ

“ของแม่กับพี่ๆ 2 กล่อง ของบ้านพี่นพ ปรินซ์ ซันซัน บ้านละกล่อง ของตัวผมเองกล่องนึง แล้วอีกสองกล่องเป็นของคุณกับริคกี้และเมลิน่าครับ”

เจยิ้มหวานให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์หอมแก้มแดงๆ นั้นแทนคำขอบใจ

"แล้วกินเองระหว่างทางไปกี่ชิ้นแล้วล่ะ เจ?"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ นอกจากแปดกล่องที่ซื้อมานั้น เขาซื้ออีกสามชิ้นและจัดการกินหมดไปตั้งแต่ยังออกไม่พ้นห้างแล้ว



“งั้นฉันลุกไปอาบน้ำแล้วดีกว่า เผื่อเราจะไปกินอะไรที่บนเลาจ์กันแทนมื้อเที่ยง หรือเจอยากกินอะไรข้างนอกไหม?”

เจนยุทธส่ายหัวปฏิเสธและพูดเสียงอ่อยๆ ว่าวันนี้เขายังไม่หิวนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะทาร์ตไข่ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะคนตัวโตของเขาด้วย ฆาเบียร์มองหน้าที่เจื่อนจ๋อยลงไปของคนรักแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจ เขาตบไหล่เจเบาๆ เพื่อปลอบใจ

ฆาเบียร์ลงจากเตียงและเข้าห้องน้ำไปเพื่อจัดการธุระส่วนตัวและอาบน้ำ

“คุณครับ เดี๋ยวผมอาบด้วย”

ฆาเบียร์ที่ยืนหลับตาปล่อยให้น้ำไหลผ่านกายสะดุ้งน้อยๆ เมื่ออ้อมแขนอบอุ่นโอบกายเขา เขาดึงเจให้เข้ามาอยู่ภายใต้สายน้ำ เจนยุทธช่วยคนรักขัดสีฉวีวรรณและสระผมให้อย่างอ่อนโยน จากนั้นเจจัดแจงเช็ดตัวและผมให้เมียตัวโตของเขา

“เป่าแห้งเฉยๆ นะ?”

เจใช้มือสางและจัดทรงผมสีน้ำตาลนุ่มสลวยของฆาเบียร์ สัมผัสอันอ่อนโยนนั้นทำให้คนตัวโตต้องกัดกรามแน่นเพื่อข่มความรู้สึกเศร้าที่เอ่อล้นขึ้นภายในใจ

“เงยหน้าขึ้นหน่อยครับ”

เจใช้ที่โกนหนวดไฟฟ้าโกนหนวดเคราของคนตัวโตที่ขึ้นรกเพราะความขี้เกียจออก ฆาเบียร์เทอาฟเตอร์เชฟใส่ฝ่ามือและตบเบาๆ ที่คางและแก้ม เขาส่องกระจกดูความเรียบร้อยแล้วหันมายิ้มกว้างให้เจ

“ชอบหน้าเกลี้ยงๆ แบบนี้มากกว่าล่ะสิ?”

เจพยักหน้าน้อยๆ เขาไล้นิ้วไปตามกรอบใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของฆาเบียร์ คนตัวโตจับปลายจมูกคนรักสั่นเบาๆ

“เจปรนนิบัติฉันดีแบบนี้เดี๋ยวฉันก็ไม่ปล่อยนายให้กลับหรอก ฉันจ้างนายเป็นช่างทำผมประจำตัวเลยดีไหม?”

ฆาเบียร์ตัดสินใจพูดกระเซ้าให้ฟังดูตลก แต่เจไม่ขำอย่างที่คิด เขาหยุดมือและทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้

“โธ่ เจ”

คนตัวโตดึงร่างเพรียวมากอดไว้ เขาลูบหลังเจเบาๆ เจกอดคนรักไว้แน่น พวกเขาปลอบประโลมกันโดยไม่ต้องพูดคำใดออกมา



“ผมไม่เป็นไรแล้วครับ”

เจพูดขึ้นทำลายความเงียบ เขาดันตัวออกจากอ้อมอกกว้างที่ตนอิงแอบอยู่

“มะ แต่งตัวกันดีกว่า เดี๋ยวกินอะไรไม่ทัน”

เจแอบปาดน้ำตาและรีบผละไปแต่งตัว จากนั้นเขากุลีกุจอไปหยิบเสื้อผ้าของคนรักออกมาให้จากในตู้ เขาส่งชั้นในและกางเกงผ้าไหมไทยสีเทาให้คนตัวโตใส่ จากนั้นเขาหยิบเสื้อเชิร์ตสีขาวสะอาดมาถือไว้และให้ฆาเบียร์ใส่แขนเข้าทีละข้าง คนตัวโตมองร่างเพรียวที่ติดกระดุมเสื้อให้เขาทีละเม็ดอย่างตั้งใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เจเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มอันอ่อนโยนให้คนรัก ตาเขายังคงแดงระเรื่อ แต่เขาพยายามจะไม่ทำให้ฆาบี้เป็นห่วง

“เข็มขัดครับ”

เจนยุทธส่งเข็มขัดให้คนรัก ฆาเบียร์รับมาคาดเอวและเอาชายเสื้อเชิร์ตใส่ในกางเกง เจถือเสื้อนอกไหมสีเทารอใส่ให้คนรักของเขา ฆาเบียร์ใส่แขนเข้าไปในเสื้อนอกตัวนั้น เจลูบไหล่และตัวเสื้อเพื่อจัดความเรียบร้อยให้

“หล่อแล้ว ป่ะ กินข้าวกัน ผมหิว”

คนตัวโตพยักหน้า พวกเขาทั้งสองขึ้นลิฟท์ไปที่คลับเลาจ์เพื่อกินมื้อเที่ยง



"เจ นายจะไม่ให้ฉันลงไปส่งจริงๆ เหรอ?"

คนตัวโตโอดครวญ พวกเขามาส่งเจที่สนามบินตอนบ่ายโมงครึ่งเพื่อที่คนตัวเล็กจะได้ทันขึ้นเครื่องตอนประมาณสี่โมงเย็น หากเจไม่ยอมให้เขาลงไปส่งถึงข้างในสนามบิน แต่ให้หย่อนเขาแค่ตรงประตูทางเข้า

"ครับ คุณไม่ต้องลงไปส่งผมหรอก แค่นี้พอแล้ว"

เจนยุทธพยายามทำใจแข็ง เขารู้ว่าถ้าฆาบี้ลงไปส่งและล่ำลาเขาถึงด้านในเขาต้องอดไม่ได้ต้องปล่อยโฮออกมาแน่ๆ ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะได้เจอกันอีก แต่หลังจากอยู่ร่วมกันมาเกือบสิบวัน มันก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ที่ต้องบอกลา ยิ่งเวลาผ่านไปนานวัน แม้จะผ่านการจากลากันหลายต่อหลายครั้ง แต่แทนที่จะเคยชิน พวกเขากลับรู้สึกต้องการกันมากขึ้นๆ และการบอกลานั้นก็กลับยากขึ้นๆ เรื่อยๆ

"ผมไปก่อนนะ ฆาบี้ ตั๋วเรือคุณเก็บดีแล้วนะ?"

เจกำชับเรื่องตั๋วเรือวีไอพีที่เขาไปเอามาให้หลังจากไปซื้อทาร์ตไข่ เขากำชับนั่นนี่หลายอย่าง ก่อนที่จะเตรียมลงรถ

"เดี๋ยว เจ รอก่อน"

ฆาเบียร์คว้าแขนคนตัวเล็กไว้

"นายลืมอะไรหรือเปล่า?"

เจหน้าแดงซ่าน เขาลงนั่งบนตักคนรักและจุมพิตบนริมฝีปากบางคู่นั้น ฆาเบียร์จูบตอบอย่างอ่อนโยน

"ผมไปแล้วนะครับ ที่รักของผม ไว้เจอกันที่บ้านนะ"

เจกระซิบแผ่วๆ ก่อนจะลงรถไป เขาข่มใจหันหลังให้คนรักและไม่หันกลับมามองอีก ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะบอกคนรถให้ปิดประตูและออกเดินทางต่อไปยังท่าเรือ




------------------------------------------


จบภาคมาเก๊าแล้ว ฮูเร้!!! คิดถึงเชียงใหม่แล้วค่ะ ตอนนี้ไม่มีอะไรมาก คนเขียนเวิ่นเว้อ+ป่วย เลยให้สองคนนี้เขานอนคุยกันจุ๋งๆ จิ๋งๆ ไปก่อนนะคะ คุยไปคุยมากลายเป็นเรื่องฟุตบอลไปซะงั้น ฮ่าๆๆ


แจกลิงค์เล็กๆ น้อยๆ ค่ะ

งาน San Francisco Pride ค่ะ อยากไปเห็นสักครั้งเหมือนกัน http://bit.ly/2F85gKz

เพจอย่างเป็นทางการของงานนี้ค่ะ http://www.sfpride.org/


เพจบอลโลก 2018 ที่รัสเซียค่ะ แต่ปีนี้บอลโลกมันเงียบๆ เหงาๆ ไงก็ไม่รู้ ไม่รู้เพราะประเด็นการเมืองอะไรด้วยหรือเปล่า จะแข่งอีกสองเดือนข้างหน้า ยังไม่เคยได้ยินเพลงบอลโลกเลย แปลกจริงๆ https://www.fifa.com/worldcup/




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
ชี้แจงก่อนนะคะ สองตอนพิเศษเรื่องของนพนี้ เป็นการสรุปและตัดต่อนิยายเรื่องแรกที่เคยเขียนมา คือ "Para Ti...คำรักนี้แด่เธอ" เรื่องของเรื่องคือ กำลังจะเอาเรื่อง The Taste of Love ไปลงใน ReadAWrite แต่ว่าขี้เกียจเอาเรื่องต้นก็คือ Para Ti ไปลงด้วย ก็เลยสรุปรวบเรื่องราวของนพออกมาเป็นตอน Prologue ซะเพื่อที่จะได้ไม่งงว่าไอ้นพนี่มันคือใคร มีการเพิ่มเรื่องของฆาเบียร์กับเจลงไปเล็กน้อยในมุมมองของนพ แต่ก็แค่สั้นๆ ค่ะ สำหรับคนที่อ่าน The Taste of Love แล้วแต่ยังไม่ได้อ่านเรื่องต้นนี้ ก็ เชิญอ่านเล่นๆ ไปก่อนได้นะคะ อาจจะไม่ค่อยสนุก เพราะเป็นเรื่องแรกที่เคยเขียนจริงๆ ค่ะ




---- [SP] เรื่องของนพ ----





สวัสดีครับ ผมชื่อนพ นภพนัส ผมเป็นเพื่อนของทั้งไอ้เจและไอ้ฆาบี้ที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้ทั้งสองคนนั่นแหละครับ เรื่องของเรื่องคือไอ้เจ้าสองคนนี้มันต้องมาเกี่ยวข้องกันก็เพราะผม แล้วทีนี้เจ๊คนเขียนแกขึ้เกียจเอาเรื่องของผมแบบยาวๆ มาเล่าให้พวกคุณฟัง เจ๊แกก็เลยใช้ผมให้มาสรุปเรื่องราวทั้งหมดให้แทน งานนี้ผมคงต้องขอค่าตัวเพิ่มด้วยนะเจ๊

เรื่องของผมที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจและฆาเบียร์เพียงน้อยนิด เพราะพวกคุณได้รู้จักพวกมันผ่านเรื่องราวของพวกมันเองอยู่แล้ว แต่วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องในส่วนของผมกับไอ้เด็กคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชีวิตผมมากว่า 20 ปี

ผมรู้จักชื่อไอ้เด็กคนนี้มาตั้งแต่ตอนผมอยู่ม.3 กำลังจะขึ้นม.4 ของโรงเรียนสาธิตในสังกัดของม.เชิงดอย เชียงใหม่ ก่อนหมดเทอม ทางโรงเรียนจะนำรายชื่อของเด็กที่สอบเข้าม.1 มาติดประกาศไว้ที่บอร์ดหน้าเสาธง พวกรุ่นพี่ก็จะไปห้อมล้อมคอยเล็งเด็กๆ ที่น่าสนใจโดยดูจากชื่อ สำหรับผม ผมสะดุดเข้ากับชื่อหนึ่ง

“แม่ม ชื่อยังกับนักบอล”

ผมอดคิดในใจไม่ได้เมื่อเห็นชื่อ "ราฟาเอล รุ่งโรจน์ ปาเรร่า" ในตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าชื่อนี้จะกลายเป็นชื่อที่ติดอยู่ในใจผมไปอีกแสนนาน



เมื่อเปิดเทอมใหม่ บรรดารุ่นพี่ก็จะไปแอบดูตัวพวกน้องๆ ที่เล็งๆ กันไว้ หนึ่งในนั้นคือไอ้ต้า เพื่อนรักของผม อย่างน้อยก็ตามที่มันคิดว่ามันเป็นนะครับ แต่มันนั้นไม่รู้หรอกว่าผมคิดกับมันเกินเพื่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ผมมันเป็นพวกไม่แสดงออกครับ และยิ่งในตอนนั้นยังเป็นช่วงยุค 90 การแสดงออกว่าชอบผู้ชายนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ คำว่าเกย์ไม่ใช่คำที่แพร่หลายหรือเห็นได้ทั่วไปในสังคม มีก็แค่ว่าเป็น “ตุ๊ด” หรือ กะเทย ซึ่งแปลว่าคุณต้องออกสาวไปเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น ผมไม่เคยคิดอยากเป็นผู้หญิง ผมแค่รู้ตัวว่าตัวเองชอบเพื่อนของตัวเองที่เป็นผู้ชาย แค่นั้น

กลับมาเรื่องไปเล็งดูตัวน้องๆ กันก่อน ไอ้ต้ามันไปติดใจรุ่นน้องสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นอย่างน้อง เรนะ อาโออิ มันถึงขั้นประกาศกับทุกคนในชมรมอนุรักษ์ฯ ว่าคนนี้มันจอง และมันกำลังจะหาทางให้น้องเขาเข้ามาอยู่ชมรมกับมันให้ได้ ผมก็ไม่ขัดหรอกครับ สำหรับผมในตอนนั้นแล้ว ผมพร้อมทำทุกอย่างให้ไอ้ต้ามันมีความสุข

พอเปิดเทอม พวกเราชมรมต่างๆ ก็เริ่มทำการชักชวนรุ่นน้องม.หนึ่งให้มาเข้าชมรม ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติของพวกเราก็เป็นหนึ่งในชมรมยอดฮิต จุดเด่นของพวกเราคือทริปดูนกที่จัดกันปีละสองสามครั้ง ผมกำลังประจำอยู่ที่จุดรับสมัครตอนที่น้องม.หนึ่งตัวผอมๆ ขาวๆ คนหนึ่งมายื่นใบสมัคร

‘ราฟาเอล รุ่งโรจน์ ปาเรร่า’

ผมเงยหน้าขึ้นมองเด็กที่ยืนตรงหน้าทันที เด็กม.หนึ่งคนนั้นสูงเกือบเท่าผมซึ่งสูง 160 เซ็นติเมตร หน้าตาของเด็กคนนั้นดูออกว่ามีเชื้อสายตะวันตก แต่หน้าตาของน้องคนนั้นไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรมาก เว้นแต่ตาสีน้ำตาลอ่อนคมวาวคู่หนึ่งที่ทอแววเจิดจ้าดึงดูดสายตาผม



“มีอะไรติดหน้าผมเหรอพี่?”

ไอ้เด็กนี่มันปากดีใส่ผมตั้งแต่แรกเจอ

“เปล่า แค่คิดว่าหน้าน้องไม่ค่อยฝรั่งเหมือนชื่อเลยนะ”

ผมจิกกลับไปอย่างลืมตัว

“โหย พี่พูดแบบนี้พ่อผมเสียใจแย่เลย”

ผมสะดุ้งเมื่อคิดว่าตัวเองอาจเผลอพูดแรงกับเด็กม.หนึ่งไป แต่เมื่อมองกลับไปผมกลับเห็นแววขบขันในดวงตาคมวาวคู่นั้น ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

“โทษทีๆ ว่าแต่เราจะให้พี่เรียกชื่อไหน? รุ่งโรจน์นี่เป็นชื่อหรือนามสกุล?”

“ราฟาเอลเป็นชื่อต้น รุ่งโรจน์เป็นชื่อรอง ปาเรร่าเป็นนามสกุลพ่อ และถ้าจะให้ถูกต้องตามธรรมเนียมสเปนต้องใส่นามสกุลแม่อย่างวงค์แก่นจันทร์ลงไปด้วยครับ”

เสียงสดใสของเด็กชายวัยสิบสองตอบผมมาแบบนั้น ผมเริ่มหัวหมุนกับความยุ่งยากของชื่อมันแล้ว

“เรียกผมว่าราฟาก็ได้ครับ”

เด็กชายฉีกยิ้มกว้างให้ผม และนั่นคือการพบกันครั้งแรกของผมกับราฟา ไอ้เด็กแสบ



ชีวิตม.ปลายของผมผ่านไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า ผมสูงขึ้นเป็นเกือบๆ 170 เซ็นติเมตร แต่ยังคงความอวบเหมือนตอน ม.ต้น ไอ้ต้ามันก็ยังคอยมาจกพุงผมมั่ง มาไล่กอดใช้ผมเป็นกระเป๋าน้ำร้อนตอนหน้าหนาวบ้างเหมือนเดิม มันยิ่งทำให้ผมหวั่นไหวขึ้นทุกวัน ใจผมเต้นกับสัมผัสของมัน ทำให้ผมยิ่งแน่ใจว่าผมคงเอนเอียงไป “ทางนั้น” แน่นอน แต่ผมยังคงไม่กล้าที่จะแสดงออกอะไรออกไป ตลอดเวลาหลายปีนี้ ผมคอยทำหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดี คอยช่วยเหลือและสนับสนุนมันในทุกทาง ไม่ว่าจะช่วยมันเรื่องกิจกรรมชมรม กิจกรรมสภานักเรียน และอื่นๆ รวมไปถึงช่วยมันจีบน้องเรนะ ทุกวันพฤหัสฯ ผมจะเอาลิลลี่หนึ่งดอกจากร้านดอกไม้ของแม่ผมไปส่งให้น้องเรนะตามที่มันขอ จนกระทั่งน้องเขายอมคบกันกับมันในที่สุด ถึงจะปวดใจบ้าง แต่ผมก็สุขใจที่เห็นมันมีความสุข

“พี่นพเหนื่อยไหม?”

ไอ้ราฟาเด็กแสบถามผมขึ้นในเย็นวันหนึ่งตอนที่เราสองคนนั่งคัดรูปจากการออกค่ายดูนกครั้งสุดท้ายของปี ผมกำลังจะจบ ม.ห้า ส่วนไอ้ราฟาก็กำลังจะขึ้นม.สาม

“หือ? เหนื่อยอะไร เพิ่งจะเริ่มคัดรูป ยังไม่ได้จัดบอร์ด จะเหนื่อยได้ไง?”

“ผมไม่ได้หมายความว่างั้น ผมหมายถึงว่าที่ต้องคอยไล่ตามพี่ต้าน่ะ เหนื่อยไหม?”

ในหัวผมขาวโพลน ผมเงยหน้าขึ้นแล้วก็เจอดวงตาวาววามที่จ้องมองมาอยู่

“มึงว่าอะไรนะ?”

“พี่ดูออกง่ายจะตายไป”

ไอ้เด็กแสบที่ตอนนี้ถือเป็นรุ่นน้องที่สนิทกับพวกผมมากที่สุดคนนึงก้มหน้ากลับลงไปคุ้ยๆ รูปจากกองต่อ

“อ่ะ เอาไป”

มันโยนรูปไอ้ต้าที่ยืนยิ้มกว้างโอบไหล่น้องเรนะมาให้ ผมอึ้งไป ถึงปากผมจะบอกว่าโอเค แต่ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเองแอบชอบอยู่กับคนอื่นจริงๆ หรอก ผมแกล้งทำเป็นโมโหสิ่งที่ราฟาพูดเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่อยู่ในใจ หากดวงตารู้ทันที่จ้องมองกลับมาทำให้ผมพูดไม่ออก พวกเราก้มหน้าก้มตาเลือกรูปกันต่ออย่างเงียบงัน

“พี่นพเป็นคนดี เดี๋ยวก็มีอะไรดีๆ เข้ามาหาเองน่า”

เด็กน้อยที่ก้มหน้าก้มตาเลือกรูปอยู่พูดขึ้นเบาๆ

“อือ”

ผมตอบรับเบาๆ และได้แต่หวังว่าสิ่งที่มันพูดจะเป็นจริง



ผมจบชีวิตม.ปลายด้วยการสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยเชิงดอยในคณะที่ผมหวังไว้อย่างคณะมนุษย์ฯ ภาษาอังกฤษ แต่ผมดร็อปเรียนปีแรกเพื่อเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนที่ประเทศนอร์เวย์ ผมอยู่ที่ประเทศอันหนาวเย็นแห่งนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีการศึกษา และกลับมาพร้อมประสบการณ์ชีวิตมากมาย ทั้งได้แนวคิดใหม่ๆ ได้เปิดหูเปิดตาเรียนรู้กับสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน แม้จะมีโฮสต์แฟมิลี่ ผมก็ได้ใช้ชีวิตแบบรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น ได้ทำงานบ้าน ได้ไปโรงเรียนเอง ไม่มีคนมาคอยประคบประหงมเหมือนตอนอยู่เมืองไทย เรียกได้ว่าผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก

ระหว่างอยู่ที่นอร์เวย์ ผมก็ยังติดต่อกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเหมือนเดิมผ่านทางจดหมาย ในยุคนั้นเรายังไม่มีอีเมล์ครับ ผมลุ้นทุกครั้งที่เปิดซองจดหมายว่าคราวนี้จะมีเรื่องราวของไอ้ต้ามันไหม ก่อนกลับ ผมก็ได้รู้ว่าพวกเพื่อนๆ ผมต่างก็สอบโควต้าเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไอ้ต้าเข้าทันตแพทย์ได้ตามที่หวัง แต่มันแลกมาพร้อมกับการอกหัก น้องเรนะของมันทิ้งมันไปควงหนุ่มนักบาสโรงเรียนแทน นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมได้รับรู้จากเพื่อนๆ ก่อนที่ผมจะกลับไทย



ผมกลับไทยมาและเข้าเรียนพร้อมกับเด็กปีหนึ่งใหม่อีกครั้งแม้ว่าเพื่อนรหัสเดียวกันจะขึ้นปีสองไปแล้วก็ตาม ผมเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่นเดือนหนึ่ง จึงต้องตั้งหน้าตั้งตาเรียนโดยเพื่อให้ทันคนอื่นๆ ผมต้องวิ่งทำเรื่องแอดดรอปเกินเวลาเพื่อให้ได้วิชาเรียน ในเวลานั้นแล้ว อะไรที่ลงได้ผมก็ต้องลงแล้วครับ ในวันหนึ่งผมไปหาอาจารย์ประจำวิชาหนึ่งที่ภาควิชาเพื่อขอลายเซ็น ระหว่างตามหาห้องอาจารย์อยู่นั้น ผมก็สะดุดเข้ากับป้ายชื่อหนึ่ง

“รศ.อ. สดศรี ปาเรร่า”

นามสกุลนั้นทำให้ผมนึกถึงไอ้เด็กแสบราฟาขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ผมไม่ได้ติดต่อมันเลยในระหว่างเวลาหนึ่งปีนั้น

“ไม่ได้ ต้องรีบหาอาจารย์ก่อน อย่ามัวแต่เสียเวลาคิดนั่นนี่”

ผมเดินตามหาห้องของอาจารย์ต่อ ผมตัดสินใจเข้าไปถามคุณป้าแต่งตัวเรียบๆ คนหนึ่งที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ที่ระเบียง ดูจากท่าทางแล้ว ผมมั่นใจว่าคุณป้าคนนี้คงเป็นเจ้าหน้าที่ภาคแน่นอน

“ขอโทษครับป้า ไม่ทราบว่าห้องอาจารย์... อยู่ที่ไหนเหรอครับ?”

คุณป้าท่าทางใจดีคนนั้นยิ้มน้อยๆ ให้ผมและบอกผมว่าผมต้องขึ้นไปที่ชั้นสาม ไม่ใช่ชั้นสองนี้

ผมเจอคุณป้าคนนั้นอีกครั้งในวันถัดมาที่ห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน

“สวัสดีค่ะ อาจารย์ชื่อสดศรี ปาเรร่านะคะ วันนี้อาจารย์จะมาสอนแทนอาจารย์...ที่ลาคลอดไปค่ะ”

สายตายิ้มๆ ที่ส่งมาให้ผมนั้นทำให้ผมอดนึกถึงไอ้เด็กแสบขึ้นมาไม่ได้เลยครับ



ในช่วงเทอมแรกของชีวิตนักศึกษา ผมแทบไม่มีเวลาไปหาเพื่อนๆ ที่ซุ้มโรงเรียน เด็กโรงเรียนเรายึดพื้นที่หน้าหอสมุดกลางเป็นแหล่งรวมพลมาหลายรุ่นแล้ว แต่ทุกครั้งที่แวะไป ผมจะต้องสอดส่ายสายตามองหาไอ้ต้า และจะดีใจทุกครั้งที่ได้เจอมัน จบเทอมแรกในมหาวิทยาลัย คะแนนของผมดีจนแม่ของผมโทรไปถามอาจารย์ว่ามีการลงเกรดผิดหรือสลับกับคนอื่นหรือเปล่า ผมเดาว่าคงเป็นเพราะการเรียนการสอนในโรงเรียนสาธิตฯ ได้เตรียมพวกเราให้พร้อมและคุ้นชินกับการเรียนในระดับอุดมศึกษาโดยที่ไม่ต้องปรับตัวมากนัก

พอขึ้นเทอมสอง มันก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้กลับมาเจอกับคนที่ห่างหายไปอีกครั้ง จำที่ผมบอกว่าผมเข้าเรียนช้า ทำให้ผมต้องเรียนวิชาอะไรก็ได้ที่ว่างได้ไหมครับ? หนึ่งในวิชานั้นคือธรณีวิทยาเบื้องต้น ซึ่งเป็นวิชาบังคับเลือกสายวิทยาศาสตร์เพียงวิชาเดียวที่เหลือที่ว่าง ผมเลยต้องเรียน ช่วงแรกผมเรียนไม่รู้เรื่องเลยและสอบมิดเทอมได้ที่โหล่ แต่พอผ่านครึ่งเทอมหลังไป ผมตั้งใจเรียนมากและทำให้ผมได้เกรดบีมาในที่สุด ด้วยความที่ตั้งใจเรียนทำให้ผมกลายเป็นคนโปรดของอ.สุทัศน์ผู้สอนวิชานี้

อ.สุทัศน์เรียกผมคุยหลังจากสอบไฟนอลเสร็จ อาจารย์ถามว่าผมอยากทำงานพิเศษช่วงการแข่งขันซีเกมส์ที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงปลายปีไหม ผมซึ่งอยากใช้ภาษาอยู่แล้วตอบตกลงทันควัน ปรากฏว่าอาจารย์สุทัศน์เป็นที่ปรึกษาของชมรมฟันดาบสากล และทางชมรมก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้ประสานงานระหว่างนักกีฬากับฝ่ายจัดการแข่งขัน แต่สมาคมฟันดาบของทางม.เรานั้นมีสมาชิกไม่มากนัก มีเพียงสิบกว่าคน และคนที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้แคล่วคล่องยิ่งน้อยลงไปกว่านั้น ทางอาจารย์จึงต้องหาคนนอกที่ได้ภาษามาทำงานร่วมกับคนในชมรม



ครั้งแรกที่ผมได้ก้าวเท้าเข้าไปในชมรมฟันดาบคือวันที่มีการชี้แจงรายละเอียดเรื่องการทำงานในช่วงต้นเทอมสอง ผมได้รับหน้าที่ให้ดูแลนักกีฬาทีมชาติสิงคโปร์ บัดดี้ของผมจากชมรมฟันดาบชื่อพี่เป้ หนุ่มใต้ผิวเข้ม หน้าเข้มแต่ตาหวานผู้มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ ผมหลงใจเต้นไปกับรอยยิ้มกับฟันขาวๆ จนแทบไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเอง

“พี่นพ พี่นพ พี่นพโว้ย!”

ใครมาโว้ยใส่กูวะ? ผมคิดอย่างหงุดหงิดใจ ผมหันขวับไปตามเสียงเรียกนั้น ก็เจอเข้ากับร่างสูงที่ยืนตะหง่านค้ำหัวผมที่นั่งอยู่บนพื้นห้องชมรม ร่างนั้นอยู่ในชุดนักเรียนกางเกงดำ สงสัยว่าจะเป็นเด็กที่อาจารย์สุทัศน์หามาช่วยงาน แต่ทำไมมันถึงรู้จักชื่อผมได้ ผมมองไล่เรื่อยขึ้นไป นี่มันชุดของโรงเรียนเก่าผม เด็กคนนั้นทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้าผม ผมเห็นชื่อมันที่ปักอยู่ใต้เข็มโรงเรียนก่อนที่จะทันดูหน้ามันด้วยซ้ำ

“ราฟาเอล รุ่งโรจน์ ปาเรร่า”

“เห้ย ไอ้ราฟา!”

ผมตะโกนลั่นห้องจนทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว ไอ้เด็กแสบที่ตอนนี้กลายเป็นเด็กเปรตไปแล้วหัวเราะคิกคัก สรุปว่าไอ้เจ้าราฟาซึ่งตอนนี้เป็นอยู่ม.สี่แล้วถูกคนในชมรมที่ไปตามหาเด็กหน่วยก้านดีมาฝึกจิกมา มันเพิ่งเริ่มหัดกีฬาชนิดนี้ได้ไม่กี่เดือน

ผมลอบสำรวจใบหน้ารุ่นน้องที่ไม่ได้เจอกันเกือบสองปี มันยังหน้าตาเหมือนเดิมแต่ดูเป็ผู้ใหญ่ขึ้น เบบี้แฟทเริ่มหาย หน้าตาเริ่มเห็นสันกรามและโหนกแก้มแบบชาวตะวันตกมากขึ้น แต่ที่ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนคือดวงตาคมวาวที่เหมือนจะมองทะลุถึงภายในใจผู้อื่น ดวงตาคู่นั้นทำให้ผมอดขยับปากแซวมันเหมือนวันเก่าๆ ไม่ได้

“นี่ไปกินอะไรมาวะถึงได้สูงเป็นเปรตขนาดนี้? สูงเท่าไหร่กันวะ?”

“สูง 188 แล้วพี่ ก็กินข้าวปกตินี่แหละ ว่าแต่พี่นพเหอะ ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาทั้งที ทำไมยังเตี้ยเป็นลูกหมาเหมือนเดิมล่ะพี่?”

ประโยคของมันตามมาด้วยเสียงหัวเราะเหมือนวันเก่าๆ และนี่คือการกลับมาพบกันเป็นครั้งที่สองของผมและไอ้เด็กเปรตคนนี้



ผมจะไม่ขอลงรายละเอียดช่วงซีเกมส์แล้วกันนะครับ เอาเป็นว่าการทำงานของผมเป็นไปอย่างสนุกสนาน ส่วนหนึ่งก็เพราะผมมีคนรู้จักอย่างไอ้เด็กราฟาอยู่ในคณะทำงานด้วยทำให้ผมไม่รู้สึกแปลกแยกจนเกินไป แต่อีกสาเหตุหนึ่งคือพี่เป้ที่เป็นบัดดี้ของผม ตลอดเวลาร่วมเดือนของการทำงานร่วมกัน ตั้งแต่ช่วงเตรียมงาน ตลอดจนถึงช่วงสองสัปดาห์ของการแข่งขัน รอยยิ้มของพี่เป้จับใจผมจนอยู่หมัด ตอนเช้าที่บ้านจะส่งผมที่ชมรม จากนั้นผมก็จะซ้อนรถพี่เป้ไป กลับสนามกีฬาเจ็ดร้อยปี ช่วงค่ำ ถ้าวันไหนเลิกงานไม่ดึก ผมก็จะอยู่กินข้าวกับพวกคนในชมรมฟันดาบ ผมเริ่มสนุกกับการอยู่กับคนในชมรมนี้ จนในที่สุด เมื่อการแข่งซีเกมส์จบลง ผมก็เผลอตัวสมัครเป็นสมาชิกชมรมจนได้

“นพ สนใจเข้าชมรมไหมวะ?”

เสียงห้าวๆ ของพี่เดียว ประธานชมรมถามผมกลางวงข้าว พวกเรากำลังนั่งล้อมวงกินข้าวในงานเลี้ยงขอบคุณคณะทำงานที่จัดขึ้นในชมรม ผมที่กำลังนั่งมองยิ้มสวยๆ ตาหวานๆ ของพี่เป้ก็เผลอตกลงไปอย่างลืมตัว รู้ตัวอีกทีผมก็กรอกใบสมัครไปเสียแล้ว

“จะไหวเหรอ พี่นพ เมื่อก่อนไปขึ้นดอยดูนกทีไร พี่ก็หอบแฮ่กๆ ทุกที”

นั่นสิ ผมจะไหวไหม? ตั้งแต่เกิดมาผมก็อยู่ในสภาวะอวบมาโดยตลอด วิชาพละนั้นถือเป็นยาขมสำหรับผม แล้วผมคิดยังไงถึงมาเช้าชมรมกีฬา แต่สุดท้ายผมก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าก็จะได้ออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้จะไปเอาเกรดที่ไหน เล่นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ใช่ไหม?



ผิดถนัดครับ

ปรากฏว่าชมรมน้อยๆ ที่มีคนสิบกว่าคนนี้เป็นหนึ่งในชมรมความหวังเหรียญทองสูงสุดของมหาวิทยาลัยในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย ชมรมนี้ผลิตนักกีฬาทีมชาติมาแล้วหลายคน หนึ่งในนั้นคือพี่เดียว ประธานชมรม สมาชิกทุกคนต้องได้รับการฝึกเพื่อทำหน้าที่เป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย

ชีวิตของผมในชมรมฟันดาบเริ่มขึ้น พร้อมๆ กับการค่อยๆ ปลีกตัวออกห่างชมรมของพี่เป้ซึ่งอยู่ปีสุดท้ายและไม่ว่างมาชมรมอีก แต่ผมเองก็ยังคงรั้งอยู่ที่ชมรมน้อยๆ นี้ต่อไป มิตรภาพที่ผมได้รับจากทุกคน ความสนุกสนานครึกครื้นของชมรมกีฬาแห่งนี้ทำให้ผมติดใจและกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับไอ้เด็กแสบราฟา

ที่ชมรมแห่งนี้ ผมกับมันสนิทกันมากขึ้นกว่าสมัยอยู่โรงเรียน คงเพราะความที่มันโตขึ้นทำให้ช่องว่างระหว่างรุ่นของเราลดลง  พวกเราเจอกันทุกเย็นหลังเลิกเรียน การฝึกที่เข้มข้นทำให้พวกเราเหมือนลงเรือลำเดียวกัน ผมดูแลมันตามที่อาจารย์สดศรีฝากฝังลูกชายคนเดียวไว้ พอๆ กับที่มันเองก็ช่วยดูแลผมเช่นกัน

“โอ๊ยยยย จะตายแล้ว ปวดต้นขา ปวดเข่าอ่ะ”

ผมนอนแผ่หราลงกับพื้นห้องทันทีที่เลิกซ้อม ราฟาที่สภาพสะบักสะบอมพอกันโยนเคาเตอร์เพนมาให้ผม

“อ่ะ เอาไป”

“แล้วมึงทาแล้วเหรอ?”

มันยักไหล่

“ทาก่อนเลย...แก่แล้ว”

ผมรีบกลืนคำขอบใจลงไปอย่างเร็ว ไอ้เด็กเปรตเอ๊ย ยิ่งโตมันยิ่งคอยกวนตีนผมครับ



“...กรกฎาแข่งชิงแชมป์ประเทศไทย เอ็งต้องไปด้วย”

จู่ๆ พี่เดียวก็พูดขึ้นวันหนึ่ง

“จะดีเหรอพี่?”

ผมพูดเสียงอ่อยๆ พร้อมส่งสายตาเว้าวอน

“เห้ย แค่ไปลองสนาม ไม่ต้องคิดมาก ถ้าไม่ลงแข่งเลยก็จะไม่ได้ประสบการณ์อะไรนะ...เอ็งด้วย ไอ้เปรตราฟา”

พี่เดียวหันไปชี้หน้าร่างโย่งที่เพิ่งแบกเป้เดินเข้าชมรมมา ไอ้ตัวแสบทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้าตอบรับเมื่อพี่เดียวขยายความต่อ

“ตายแหงเลยว่ะ ไปเป็นเป้าให้เค้าจิ้มชัวร์”

ผมโอดครวญกับน้องมัน

“อ้าว นึกว่าชอบ”

“ชอบอะไรวะ?”

“โดนจิ้มไง”

ร่างสูงรีบเผ่นแผล็วไปก่อนที่จะโดนผมถีบโครมเข้าให้ ผมวิ่งไล่เตะมันรอบห้อง มันกลายเป็นภาพที่ชินตาสำหรับสมาชิกคนอื่นไปแล้ว แต่ถามว่าผมเคยเตะโดนมันซักทีไหม ไม่ครับ ขามันยาวกว่าผมเยอะ

“ไอ้เด็กเปรตเอ๊ย!”

ผมยืนหน้าแดง หอบแฮ่กๆ ไป คราวนี้ผมเคืองจริงๆ นะ มันเองก็เหมือนจะรู้สึกได้เลยทำหน้าจ๋อย

“โทษทีพี่ เล่นแรงไปหน่อย อย่าโกรธผมนะ นะๆๆ”

มันลงนั่งนวดๆ ขาให้ผม ผมโกรธมันได้ไม่นานหรอกครับ รู้ๆ นิสัยกันอยู่ว่ามันปากหมาตามประสาเด็กไปงั้นแหละ แต่บางทีก็ต้องปรามๆ กันบ้าง

“มึงน่ะ เล่นอะไรดูที่ทางบ้าง คนเต็มห้องแบบนี้ ไว้หน้ากูมั่งเหอะ”

ผมบ่นมันเบาๆ ก็ผมยังไม่ได้เปิดตัวแกรนด์ โอเพนนิ่งให้คนในชมรมรู้...ที่จริงแล้ว นอกจากที่บ้านที่ผมเคยเกริ่นๆ ให้พ่อแม่ฟังและผ่านดราม่ามหาศาลมา ผมไม่เคยเปิดตัวให้ใครรู้เลยมีแต่ไอ้เด็กเซนส์ไวคนนี้แหละที่สัมผัสได้ ผมไม่เคยจีบ ไม่เคยรุกใคร กับไอ้ต้า ผมแค่เก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัวเอง



วันเวลาของผมในชมรมผ่านไป ผมเคยนึกท้ออยากเลิกหลายครั้ง แต่ก็ได้คำพูดของไอ้ตัวแสบช่วยดึงรั้งผมไว้อย่างเช่นวันนี้

“น่าๆ อย่าพึ่งท้อ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน พี่นพ อย่าพึ่งเลิกเลย เดี๋ยวก็ดีเอง”

นี่ผมต้องให้เด็กมันปลอบเป็นครั้งที่เท่าไหร่กันนะ ผมนึกย้อนไปถึงคำพูดมันตอนอยู่โรงเรียน

‘...พี่นพเป็นคนดี เดี๋ยวก็มีอะไรดีๆ มาหาเองน่า..."

มันจะรู้ไหมนะว่าคำพูดมันวันนั้นผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่ผมนึกท้อใจ

“เห็นแก่แม่มึงหรอกนะ ไอ้ราฟา กูจะอยู่ต่อเป็นเพื่อนก็ได้”

ไอ้ราฟายิ้มอย่างดีใจ ขี้เหงาเหมือนกันนะมึงอ่ะ

“เออ ลืมไป...เอ้า นี่”

ผมยื่นห่อแบนๆ ห่อนึงให้มัน

“สุขสันต์วันเกิดว่ะ”

“จำได้ด้วย?”

มันแกะห่อดู ข้างในเป็นหนังสือที่ผมรู้ว่ามันกำลังตามหาอยู่ ผมไปเจอเลยแอบซื้อไว้ หวังว่ามันจะไม่กลับไปซื้อไว้ก่อนนะ

“ขอบคุณพี่ แหม อุตส่าห์จำได้ว่าผมกำลังตามหาอยู่”

มันยิ้มกว้างอย่างดีใจทำให้ผมพลอยยิ้มออกมาด้วย



จากวันนั้นที่ผมบอกราฟาว่าจะอยู่ต่อก็ผ่านมาสองปีแล้วครับ ผมขลุกอยู่กับชมรมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง มันเหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผมไปแล้ว ผมแทบไม่ย่างกรายไปที่ซุ้มโรงเรียนอีก เงาของต้าที่เคยอยู่ในใจผมจางหายไปเกือบหมด กระทั่งข่าวที่ว่ามันคบกับน้องปี 1 ดาวคณะก็ไม่ได้ทำให้ผมปวดใจได้อีก แต่มันกลับมีเงาสูงๆ ของอีกคนมาแทน

คนๆ นั้นคือพี่เดียวครับ...

เวลา 2 ปีที่คลุกคลีกับชมรม ผมประทับใจความเก่งและความมุมานะของพี่เขามาก แม้จะเป็นนักดาบภูธรซึ่งแทบไม่ได้รับการสนับสนุน พี่เขาได้ไต่เต้าขึ้นไปเป็นนักฟันดาบระดับท็อปของประเทศและได้รับสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันกีฬาซีเกมส์ปลายปีนี้ในฐานะทีมชาติ

แต่ผมก็ยังเป็นผมครับ เป็นแค่ผู้เฝ้ามอง เป็นแค่ผู้ตาม แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็ดีใจแล้ว พี่เดียวเองก็มีแฟนสาวที่รักกันมากอยู่แล้ว ผมก็เป็นได้แค่น้องที่ดีครับ ในช่วงสองปีมานี้ ฝีมือดาบผมไม่ได้พัฒนาขึ้นเท่าไหร่ แต่ผมค้นพบความสามารถใหม่ในการเป็นคู่ซ้อมที่ดี พี่เดียวบอกว่าผมมีเซนส์ในด้านนี้ แกเรียกให้ผมมาเป็นคู่ลงเป้าทุกครั้งที่กลับมา ผมงี้ถวายหัวทำให้เลย ส่วนไอ้เด็กราฟาที่เทิดทูนพี่เดียวเป็นไอดอลขนาดเรียกตัวเองเป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งก็ทำผลงานได้ดีมาโดยตลอด หากแต่ในวันนี้มันกำลังเผชิญวิกฤติของช่วงชีวิตวัยรุ่น




"มานั่งทำอะไรมืดๆ วะ?"

ผมถามมันเมื่อเดินเข้ามาในชมรมแล้วเจอมันนั่งฟังซาวด์อะเบาท์อยู่ มันไม่ตอบหากส่งหูฟังมาให้ผมข้างหนึ่ง ผมรับมาแล้วก็ได้ยินเสียงหวานๆ ของริคกี้ มาร์ตินกำลังครวญเพลง Vuelve หรือ "กลับมาเถิด" ราฟาเป็นลูกครึ่งสเปนและมักชอบฟังเพลงภาษาสเปนและเอามาแบ่งให้ผมฟังอยู่เนืองๆ พร้อมกับแปลเนื้อเพลงให้ฟัง เพลงในวันนี้ของมันช่างเศร้าเหลือเกิน

“นี่มึงอกหักมาเหรอวะ?”

ผมถามเบาๆ มันพยักหน้าน้อยๆ

“ออยล์อ่ะ พี่”

มันพูดถึงสาวน้อยเพื่อนร่วมห้องที่มันแอบชอบมาตั้งแต่ม. ต้น ผมเห็นหยาดน้ำตาเกาะพราวบนขนตายาวเป็นแพของมัน

ผมกับมันเป็นพันธุ์เดียวกัน ภายนอกเราอาจดูร่าเริงเปิดเผยเข้ากับคนง่าย แต่จริงๆ พวกเราไม่ชอบแสดงความรู้สึกลึกๆ ให้คนรู้ โดยเฉพาะกับคนที่แอบรัก อย่างในกรณีนี้ มันแอบชอบเค้ามานานแต่ก็แค่คอยอยู่ใกล้ๆ เป็นเพื่อนที่ดีไปโดยไม่เคยบอกออกไปว่าจริงๆ แล้วรู้สึกยังไง อีกฝ่ายหนึ่งก็เหมือนจะแอบมีใจให้มัน แต่ด้วยความที่มันไม่เคยแสดงออกให้เค้าเห็น น้องเค้าเลยไม่รอแล้วหันไปคบกับรุ่นพี่ที่มาจีบ



 “ผมมันโง่ มัวแต่ปากหนัก ไม่ยอมพูดอะไร สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรให้คว้า”

มันพูดพลางเอามือปาดน้ำตาที่เอ่อตาคมวาวที่เคยมีประกายระยิบระยับ ผมอดไม่ได้ต้องเอามือไปโอบกระชับไหล่มันแล้วตบเบาๆ

“เอาน่ะ...เรื่องมันผ่านไปแล้ว ทำอะไรก็คงไม่ได้...”

มันส่งสายตาขุ่นมาให้ผม อ้าปากเตรียมด่า แต่ก็เปลี่ยนทีท่าเมื่อผมพูดต่อว่า

“...ไอ้ราฟา มึงเป็นคนดี เดี๋ยวก็มีอะไรดีๆ มาหาเองน่า”

“จำได้ด้วย?”

มันคลี่ยิ้มบางๆ ทั้งน้ำตา

“อื้อ กูจำได้ แล้วกูท่องมันทุกครั้งที่รู้สึกท้อใจ วันนี้ขอคืนมันให้มึงว่ะ จำไว้นะ มึงเป็นคนดี สิ่งดีๆ จะต้องมาหามึงสักวันแน่นอน”

ไม่รู้ผมคิดไปเองไหม แต่รู้สึกว่าใบหน้านั้นแช่มชื่นขึ้นเล็กน้อย ผมแอบมองหน้ามัน ปกติผมไม่ค่อยได้พิจารณาหน้ามันมากนัก เพราะ...แหม จะให้ไปจ้องหน้าเด็กรุ่นน้องที่เห็นกันมาตั้งแต่มันอยู่ ม. 1 ก็คงแปลกๆ แต่วันนี้ได้โอกาสดูหน้ามันเต็มๆ แก้มที่เคยป่องแบบเด็กๆ นั้นหายไปแล้ว แนวสันกรามและโหนกแก้มชัดขึ้น ทำให้หน้าตานั้นดูแกร่งสมชายรับกับจมูกโด่งได้รูปแบบชาวตะวันตก ริมฝีปากบาง แต่ที่เด่นชัดที่สุดก็คงเป็นตาคมสวยที่ทอเป็นประกายอยู่เป็นนิจ

(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- [SP] เรื่องของนพ (ต่อ)----



‘ตาวิบวับแบบหนุ่มละตินสินะ’

ผมนึกในใจ นอกจากรูปร่างที่ยังดูเก้งก้างเหมือนเด็กหนุ่ม หน้าตาคมสันนั้นดูเป็นชายเต็มตัวแล้ว ผมไม่เคยมองมันหน้าตาดีเลยจนกระทั่งวันนี้

‘เห้ย ไอ้นพๆ น้องมันกำลังเศร้า มึงก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปวะ’


เสียงในหัวผมเตือน

“อะไรติดหน้าผมเหรอพี่ จ้องอยู่ได้”

อ่ะ เดจาวูสิ ผมหน้าร้อนวูบ เผลอตัวไปจนได้

“ไม่มีไร้ แค่มองเด็กขี้แยเท่านั้นเอง”

ไอ้ตัวดีขยับปากจะด่าอีก อ๊ะ ด่าได้ก็แสดงว่ารู้สึกดีขึ้นแล้ว

"ไป เราไปกินขนมกันเถอะ เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง"

ผมตบไหล่มันและดึงให้ลุกขึ้นและพากันเดินออกไปหาอะไรกิน



ผมได้จากบ้านเกิดเมืองนอนมาอีกครั้งในช่วงก่อนปีสุดท้าย ผมยอมเสียเวลาดร็อปเรียนอีกครั้งเพื่อรับทุนของทางภาควิชาเพื่อไปแลกเปลี่ยนเป็นเวลาหนึ่งปีการศึกษาที่วิทยาลัยเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐมินเนโซต้า สหรัฐอเมริกา

หนี่งปีการศึกษาที่นี่ทำให้ผมได้อะไรหลายอย่าง ผมเลือกที่จะไม่เรียนวิชาของสายภาษาอังกฤษเหมือนที่ม. แต่เลือกที่จะลงวิชาอื่นที่สนใจ เพราะผมไม่เอาเกรดที่ได้จากที่นี่ไปเทียบโอนอยู่แล้ว ผมลงวิชาอย่างภาษาญี่ปุ่น ภาพยนตร์และวัฒนธรรมญี่ปุ่น การศึกษาเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกา นั่นนี่นู่น ขอบอกว่าเป็น 1 ปีที่คุ้มมาก ผมยังได้ใช้ชีวิตแบบเด็กหอเป็นครั้งแรก ตอนอยู่ม. เชิงดอยผมอยู่บ้านมาตลอด พอมาที่นี่ผมก็ได้เจออิสระแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน แต่ตอนนี้ผมกำลังหนักใจครับ...ผมจะยัดของลงกระเป๋าเดินทางหมดได้ไงในเมื่อมีเรือสองลำกินที่ไปครึ่งกระเป๋าแบบนี้

เรือสองลำที่ว่าคือรองเท้าเบอร์ 16 คู่นึงครับ...มันเป็นของอย่างเดียวที่ราฟาฝากผมซื้อจากที่นี่

“ถ้าหาได้ก็ดีอ่ะ พี่ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”

มันบอกผมทางอีเมล์ซึ่งเราส่งหากันนานๆ ที

อย่างที่บอกว่ามันเป็นคนสูง หลังจากสามปีในชมรมฟันดาบ ความสูงของมันขึ้นไปถึง 196 เซ็นต์ สิ่งที่เป็นปัญหาคือเท้าอันใหญ่โตของมัน โดยปกติพวกรองเท้าหนังที่ใส่ไปเรียนมันยังพอสั่งตัดได้บ้าง แต่สำหรับรองเท้ากีฬาโดยเฉพาะแบบที่ใส่ฟันดาบได้นั้นแทบจะเรียกว่าหาไม่ได้เลย ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผมได้เข้าเมือง ผมจะแวะไปตามร้านรองเท้าและเอาแผ่นกระดาษเอสี่ที่มันวาดเท้าของมันไปถามร้านว่ามีรองเท้าไซส์นี้ไหม แต่ก็หาไม่ได้จนผมแทบถอดใจ มาเจอเอาตอนก่อนกลับ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องพยายามหาให้มันขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ผมแค่บอกมันว่าหาไม่ได้ก็ได้ แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้มดีใจของมันก็ทำให้ผมตั้งใจหาให้มันต่อ



“...”

ผมสะดุ้งเมื่อมีแขนล่ำสันโอบเอวผมจากด้านหลัง และมีริมฝีปากอุ่นๆ ซุกไซร้อยู่ที่ต้นคอ

“ปล่อยก่อน ฆาเบียร์”

ผมดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมกอดนั้น ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มแบบคนละติโน่เจ้าของวงแขนล่ำที่มองหน้าผมแบบตัดพ้อน้อยๆ คือฆาเบียร์ รูมเมทของผม อย่างที่บอกว่าการอยู่หอได้ให้อิสรภาพผมแบบที่ไม่เคยได้มาก่อน อีกทั้งมันยังได้ให้ประสบการณ์บางอย่างที่ผมไม่เคยได้รับตอนอยู่เมืองไทย ผมมีเซ็กส์เป็นครั้งแรก มันไม่ได้สวยหรูงดงามซาบซึ้งอะไร มันเกิดขึ้นเมื่อสองคืนที่แล้วอันเป็นผลจากแอลกอฮอล์และความเผลอไผล ผมแทบจำมันไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างหนึ่งที่จำได้คือมันเกิดขึ้นเพราะดวงตาเป็นประกายแบบละตินของฆาเบียร์

“ไม่ได้จริงๆ เหรอ นพ?”

ฆาเบียร์ถามพร้อมส่งสายตาเว้าวอน

“No เราคุยกันแล้วนะว่านั่นเป็นแค่ one time thing ตอนนี้กูยังไม่พร้อม อีก 2 วันกูก็จะไปจากที่นี่แล้ว เราพอแค่นี้ดีกว่า”

ผมพูดเสียงเรียบๆ

“กูขอโทษจริงๆ นพ กูไม่รู้ว่านั่นเป็น first time ของมึง ถ้ารู้ กูคงไม่ทำขนาดนั้น”

ฆาเบียร์ซึ่งเป็นเกย์เปิดเผยพูดเสียงอ่อยๆ ผมซึ่งเมามากจากงานปาร์ตี้ฉลองเรียนจบไม่อาจปฏิเสธการรุกเร้าของรูมเมทคนนี้ได้ สายตาเว้าวอนของมันทำให้ผมร้อนไปทั้งตัว ผมคงจะเมามากจนเห็นตาคมวิบวับอีกคู่ที่อยู่ห่างไกลซ้อนทับดวงตานั้น มันทำให้ผมไม่ปัดป้องหรือชักมือหนี ในหัวผมขาวโพลนไปหมด สิ่งที่ผมรู้สึกคือริมฝีปากร้อนผ่าวของฆาเบียร์ที่ซุกซนไปทั่ว

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเหมือนเป็นความฝัน ผมจำไม่ได้ว่าเสื้อผ้าเราปลิวหายไปหมดตัวเมื่อไหร่ หรือเราขึ้นไปจูบกันอย่างเร่าร้อนบนเตียงได้อย่างไร ผมมารู้ตัวอีกทีเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าพร้อมกับความเจ็บปวดที่ตรงนั้น ฆาเบียร์มารู้ว่ามันเป็นคนแรกของผมเมื่อโดนผมต่อยหน้าและด่ามันอย่างหนัก มันซึ่งดูออกแต่แรกว่าผมเองก็ชอบผู้ชายนึกไปว่าผมเคยมีประสบการณ์มาแล้วจึงจัดหนักแบบไม่ยั้ง ที่ผมซัดมันนี่ก็เพราะความเจ็บนี่แหละครับ ไม่ใช่ว่าไปเสียดายครั้งแรกหรืออะไร แต่จะให้ผมมีอะไรกับมันอีก ก็คงไม่แล้วครับ สุดท้ายแล้ว ผมเลือกที่จะเดินหันหลังจากมันมาโดยตัดความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนกับมันโดยสิ้นเชิง



เมื่อกลับไทย ผมต้องเริ่มเทอมใหม่แทบทันที สิ่งแรกที่ทำตอนว่างในวันแรกของการเรียนคือไปชมรมครับ ผมอยากเจอ อยากพูดคุยกับใครบางคนแทบทนไม่ไหวแล้ว และผมก็ไม่ผิดหวัง ร่างสูงนั้นนอนเอกเขนกอ่านการ์ตูนฟังเพลงอยู่บนปิสต์อย่างสบายอารมณ์ ผมโยนกล่องรองเท้ายักษ์ใส่พุงมันดังตุ้บ และหัวเราะใส่เมื่อมันสะดุ้งเฮือก

“ไอ้พี่นพ กลับมาเมื่อไหร่?”

แม้...ไม่เจอกันเกือบปีขึ้นไอ้แล้วไอ้เด็กเปรต

“เกือบเดือนแล้ว มัวแต่ยุ่งทำเรื่องลงทะเบียน ไม่ได้เข้าชมรมเลย”

ผมกวาดตาสำรวจมัน ไม่เจอกันนาน มันล่ำสันขึ้น ไม่ได้เก้งก้างเหมือนเดิม ใบหน้าคมสันสมชายนั้นยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม ตาคมวาวคู่นั้นยังส่องประกาย อย่างเดียวที่เปลี่ยนไปคือผมสลวยที่ไว้ยาวจนปรกต้นคอ ราฟากลายเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยแล้วครับ หลังจากเคว้งไปปีหนึ่งเพราะพลาดจากการสอบโควต้า มันก็สอบเอ็นท์เข้าคณะที่ต้องการจนได้

“คราวนี้จะได้แข่งกีฬามหา’ลัยได้ซักที”

มันพูดอย่างดีใจ จากนั้นก็หันไปสนใจกับรองเท้าที่ผมอุตส่าห์หอบหิ้วมาให้

“ใส่ได้พอดีเลย! ขอบคุณมากนะพี่นพ อุตส่าห์หาให้จนเจอ”

รอยยิ้มกว้างนั้นทำให้ผมชื่นใจทีเดียว

“อุตส่งอุตส่าห์อะไร โชคดีหรอก เข้าไปร้านที่สองก็เจอแล้ว”

ผมปดไปอย่างนั้น

“สูงขึ้นอีกหรือเปล่า มึงน่ะ? แต่เหมือนจะบึกขึ้นนะ”

“สูงเท่าเดิมแหละ ว่าแต่พี่นพเหอะ ทำไมบวมขนาดนี้อ่ะ?”

มันเอื้อมมือมาจกพุงผมที่พลุ้ยขึ้นกว่าเดิม ก็คนทั้งกินของมัน ทั้งไม่ได้ออกกำลังกาย ผมงี้หุบยิ้มแทบทันที

“ไอ้นี่ เจอหน้ากันไม่กี่นาทีก็กัดกูอีกละ”

ผมก็บ่นไปงั้นแหละครับ แต่จริงๆ ในใจผมไม่ได้เคืองอะไรครับ พอไปอยู่นู่นผมถึงรู้ว่าผมโหยหาคำจิกกัดแบบนี้ขนาดไหน



และนี่คือการกลับมาพบกันครั้งที่ 3 ของผมกับราฟา



ในเทอมนี้ผมใช้เวลาอยู่ที่ชมรมนานขึ้นเพราะวิชาเรียนที่เหลือน้อยลง เช่นเดียวกับใช้เวลากับราฟาเด็กแสบมากขึ้นจากเดิมทีที่เจอกันแค่ช่วงเย็น เพราะมันเองก็มาขลุกอยู่ที่ชมรมยามว่างจากเรียน เย็นวันนี้ผมกับมันกำลังนอนดูอัลบั้มรูปถ่ายที่ผมถ่ายมาจากตอนไปเรียน

“อ๊ะๆ แล้วนี่รูปใคร? แอ่นแลนแล้”

มันแซว พร้อมตะครุบรูปใบนึงขึ้นมาก่อนที่ผมจะแย่งทัน ผมใจหายแว๊บ มันเป็นรูปฆาเบียร์กับผม เราถ่ายด้วยกันวันสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันจากหอ ภาพนั้นดูไม่มีอะไร แต่ผมกลับไม่อยากให้มันได้เห็น จริงๆ ผมเก็บรูปอื่นๆ ที่ถ่ายติดมันออกแต่รูปนี้คงหลงหูหลงตา ผมแอบเช็คปฏิกิริยามันด้วยใจระทึก

“อื้อหือ ไม่เจอกันแป๊บๆ หาหนุ่มได้แล้วเหรอ พี่?”

ไอ้ตัวดีเอารูปนั้นมาส่องดูใกล้ๆ

“หน้าตาใช้ได้นะเนี่ย แล้วถึงไหนกันแล้วอ่ะ ติดต่อกันอยู่ป่าว เราจะได้เขยชมรมเป็นฝรั่งละม้าง?”

มันยิ้มกริ่มทำหน้าพร้อมเสือกเต็มที่ ผมเงียบ ไม่ตอบ ผมคงหวังมากเกินไปใช่ไหมว่ามันจะมีปฏิกิริยาอย่างอื่นตอนเห็นรูปนั้น รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีทางคิดกับผมเกินเลยไปกว่าแค่เป็นพี่น้องร่วมชมรมกัน

“ไม่มีอะไรหรอก...แค่รูมเมทน่ะ”

ผมตอบด้วยเสียงเรียบๆ

“โหย รูมเมทนี่เค้าแนบชิดกันขนาดนี้เลยงิ?”

ผมดูรูปนั้น ผมไม่ได้สังเกตเลยว่าในรูปนั้นฆาเบียร์ยืนโอบเอวผมแน่น หน้างี้แทบจะฝังกับซอกคอผม

“มันเป็นนิสัยพวกละตินน่ะ ถือเนื้อถึงตัวแบบนี้แหละ”

ผมตอบส่งๆ ไป ใจนึกไปถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น

“แต่...”

“บอกว่าไม่มีอะไร ก็ไม่มีสิ!”

ผมเผลอตะคอกใส่ไอ้เด็กแสบ มันผงะไปเพราะต่อให้เคืองมันแค่ไหนผมไม่เคยขึ้นเสียงกับมันเลยสักครั้ง



“พี่นพ...พี่เป็นอะไร?”

ราฟาจับไหล่ผมแล้วถามด้วยเสียงจริงจัง

“...พี่ร้องไห้ทำไม?”

น้ำตาเจ้ากรรมผมมันเอ่อขึ้นมาท่วมตาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ครับ ที่ผมบอกว่าผมไม่คิดอะไรมากเรื่องคืนนั้นน่ะ จริงๆ มันไม่โอเคเลยครับ มันไม่โอเคเลยสักนิดที่จะมีครั้งแรกกับใครสักคนที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย น้ำตาผมไหลออกมาเรื่อยๆ ราฟาดึงผมมาซบที่ไหล่พลางตบหลังเบาๆ

“ร้องให้เต็มที่เลยพี่ มีอะไรไม่สบายใจ เล่ามันออกมาได้เลย ผมพร้อมรับฟัง”

เจ้าตัวแสบพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง นี่ผมต้องให้มันปลอบอีกแล้วสินะ ผมกลั้นสะอื้นเล่าเรื่องคืนนั้นให้มันฟัง เล่าเรื่องที่ผมเผลอไผลให้ฆาเบียร์กอดไปเพราะความเมา มันรับฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“มึงว่ากูน่ารังเกียจไหม? เมาเหมือนหมาจนไปเอากับใครทั้งที่ไม่รู้ตัว”

น้ำตาผมไหลลงมาอีก มันถอนหายใจยาว ตบไหล่ผม

“ไม่หรอกพี่ ของแบบนี้มันห้ามกันยาก มันเกิดขึ้นแล้ว พี่อย่าเก็บมาคิดเป็นกังวล”

ประโยคถัดไปของมันทำให้ผมปวดใจเหลือเกิน

“...ผมไม่รังเกียจอะไรพี่นพหรอก ไงๆ พี่ก็เป็นเหมือนพี่ผมอยู่ดีไม่ว่าพี่จะทำอะไร”

ผมยิ้มเหยียดให้ตัวเอง

‘ใช่สิ ไอ้นพ มึงเป็นพี่มัน อย่าลืมตัว อย่าสำคัญตัวผิดไปเลย’

ผมตัดสินใจข่มความรู้สึกที่กระจ่างชัดอยู่ในใจในช่วงกว่าสิบเดือนที่ผ่านมาลง และปั้นหน้าเป็นพี่ที่ดีของไอ้เด็กแสบคนนี้ต่อไป



นับจากวันนั้น ทุกอย่างระหว่างผมกับราฟาก็เป็นไปเหมือนปกติ เราอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น กินมื้อเที่ยงด้วยกันแทบทุกวันเพราะเด็กปีหนึ่งยังต้องมาเรียนที่อาคารเรียนรวมหน้าตึกชมรม หลังเปิดเทอมสองไม่นานกลุ่มของเราก็ขยายใหญ่ขึ้นเพราะราฟาไปเข้าชมรมดนตรีด้วย กลุ่มเม้ามื้อเที่ยงของเราจึงมีเหยี่ยว อดีตเด็กฟันดาบที่หันไปอยู่ชมรมดนตรีและน้องซอลสาวน้อยปี 1 ลูกสมุนของเหยี่ยว พวกคุณอาจจะคิดว่าผมจะอึดอัดกับการที่มีคนมาแทรกระหว่างพวกผม แต่ไม่ค่อยครับ เพราะตอนนี้ผมกำลังหลงระเริงกับบางสิ่งที่ผมเพิ่งค้นพบ

ผมติดอินเตอร์เน็ตครับ

ตอนผมกลับมาไทยอินเตอร์เน็ตกำลังกลายเป็นของที่เข้าถึงทุกบ้าน ผมซึ่งต้องใช้คอมพ์ในการทำตัวจบก็พาลติดเน็ตไปด้วย สมัยนั้นการเปิดเว็บยังไม่ใช่เรื่องสะดวกสบายเพราะเน็ตมันอืดเป็นเรือเกลือ สิ่งที่ผมติดคือโปรแกรมแชท IRC อย่าง pIRCh ผมนั่งเล่นแชทดึกๆ ดื่นๆ ทุกวัน นอกจากเล่นห้องบ้าๆ บอๆ ไปวันๆ ผมยังติดบ่วงเข้าไปในพวกห้องอย่างเกย์หาคู่ เกย์วอนท์เซ็กส์ อะไรพวกนั้น ก่อนช่วงหน้านี้ ผมมองชายหนุ่มทั้งหลายในชีวิตของผมด้วย “ความรัก” แบบปั๊บปี้ เลิฟโดยไม่ได้มีความใคร่มาเกี่ยวพัน ทั้งต้า พี่เป้ พี่เดียว ผมแค่พอในการได้อยู่เคียงข้าง ได้ทำนั่นทำนี่ให้ แต่หลังจากคืนนั้นกับฆาเบียร์ ผมได้เหมือนปลดล็อคตัวเอง ผมได้ลิ้มรสชาติของผู้ชาย ถึงปากผมจะบอกว่าจำไม่ได้ แต่ร่างกายผมกลับจำ การเข้าไปแชทในห้องสำหรับคนแบบผมยิ่งเป็นเหมือนการเปิดโลกทัศน์ทางเพศของและนำให้ผมมาพบพี่ภูมิ



พวกเราคุยกันมาได้สองสามเดือนแล้วครับ พี่ภูมิเป็นหนุ่มกทม.ที่แก่กว่าผม 11 ปี พี่ภูมิเป็นคนร่างใหญ่ จบนอก หน้าที่การงานดี พี่เขาคุยได้ทุกเรื่อง รอบรู้ ฉลาด ผมแพ้คนแบบนี้ราบคาบครับ เราคุยกันเรื่องเซ็กส์หลายครั้ง เคยกระทั่งโฟนเซ็กส์กัน ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ตอนแรกที่เราคุยกันก็เพราะเซ็กส์นี่แหละครับ และหลังจากคุยกันอย่างเดียวมานานในที่สุดผมก็นัดเจอกับพี่เขาที่กรุงเทพฯ ตอนลงไปแข่งฟันดาบครั้งสุดท้ายในชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย

ในวันแรกที่เจอกัน พวกเราก็ไปดูหนัง กินข้าวกันตามปกติของเดทครั้งแรก ตอนกลางคืนพี่ภูมิขับรถมาส่งผมที่บ้านพักที่ผมพักรวมกับพี่ๆ น้องๆ ชมรม เราแลกจูบแรกกันในรถ ใจผมเต้นระรัว มันคือจูบแรกที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจ ไม่ได้เกิดจากความเมามายเหมือนกับฆาเบียร์ ผมตัวอ่อนระทวยไปหมด แต่บางอย่างเริ่มแข็งขืน เช่นเดียวกับของพี่ภูมิ แต่ก่อนที่จะมีอะไรเกินเลยกว่านั้น ไฟชั้นล่างของบ้านก็สว่างขึ้น ผมรีบดันตัวพี่ภูมิออก

“พี่ภูมิครับ ผมว่าวันนี้ยังไม่ค่อยสะดวก...”

ผมพูดพลางหอบเบาๆ พี่ภูมิถอนหายใจอย่างขัดใจเล็กๆ

“ไม่เป็นไรครับ นพ แต่คราวหน้าพี่ไม่ปล่อยไปแล้วนะ”

ผมงี้ใจเต้นระรัว แล้วจูบเร็วๆ ที่ปากอิ่มนั้นก่อนรีบลงรถไป

เมื่อเข้าในตัวบ้าน ผมก็เจอร่างสูงยืนพิงกรอบประตูรออยู่

“อ้าว ราฟา ยังไม่นอนอีก”

“ผมเห็นรถมาจอดนานแล้ว เลยมาเปิดไฟเปิดประตูรอ”

เจ้าตัวแสบตอบเสียงเรียบๆ

“ไปอาบน้ำอาบท่านอนเถอะพี่ สภาพยังกะโดนหมาฟัดมา”

มันพูดเสร็จก็สะบัดตูดเดินเข้าห้องนอนไป ผมเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วก็ต้องชะงัก เออ มิน่ามันว่าสภาพเราเหมือนโดนหมาฟัดมา เสื้อผมยับยู่ยี่ กระดุมถูกปลดลงไปแล้วสองเม็ด ผมก็ยุ่งเพราะมือของพี่ภูมิ แก้มแดง ตาเยิ้ม ผมอดคิดไม่ได้ว่ามันต้องรู้แน่ๆ



คืนถัดไป พี่ภูมิไม่ปล่อยผมไปตามที่พูดไว้จริงๆ หากครั้งแรกของผมกับพี่ภูมิเกิดขึ้นในม่านรูดโทรมๆ แห่งหนึ่ง แทนที่จะเป็นห้องพักของพี่เขา แต่ผมก็ปล่อยเลยตามเลยไป

ผมมีครั้งแรกอันแสนสุขสมกับพี่ภูมิ พี่เขาอ่อนโยนกับผมมาก ไม่เร่งรีบ รอจนผมพร้อมถึงจะทำจนสุดทาง

“เป็นไงมั่งนพ เจ็บไหม?”

พี่ภูมิถาม พร้อมจูบเบาๆ ที่หน้าผาก

“นิดหน่อยครับ”

ผมซุกหน้าซบอกกว้างนั้น

“นพรักพี่ภูมิจัง”

ผมพูดออกมาเบาๆ แม้จะคุยกันไม่กี่เดือน ผมรู้สึกว่าคนนี้แหละที่ใช่ พี่ภูมิส่งเสียงตอบรับเบาๆ ในคอ ผมสุขสมเกินไปกว่าที่จะใส่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้บอกรักกลับมา

หลังจากนอนกอดก่ายกันสักพัก เราก็อาบน้ำและพี่ภูมิก็พาผมกลับมาส่งที่บ้านพัก วันนี้ไม่มีไฟเปิดรอไว้ ผมไขกุญแจแล้วย่องเข้าบ้านเบาๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงนอนข้างๆ ร่างสูง



“ดึกเลยนะ คืนนี้”

ร่างสูงซึ่งผมนึกว่าหลับไปแล้วกระซิบมาเบาๆ

“กลิ่นสบู่ก็ไม่คุ้นด้วย...เรียบร้อยกันแล้วเหรอ?”

“เสือก”

ผมจิกมันไปเบาๆ

“แน่ใจแล้วเหรอ พี่นพ?”

มันพลิกตัวหันมามองหน้าผม ตาคมที่สะท้อนแสงจันทร์นั้นจ้องหน้าผมนิ่ง

“เซ้นส์ผมมันบอกว่านายนั่นไว้ใจไม่ได้”

มันพูดด้วยเสียงจริงจัง ผมฉุนขึ้นมาทันที

“เรื่องของมึง!”

ผมเผลอทำเสียงดังไปนิด ราฟาทำท่าจะอ้าปากพูดอะไร แต่ก็หยุดเมื่อมีเสียงกระแอมจากคนอื่นสักคนที่นอนเรียงในห้องนี้ด้วย ผมพลิกตัวหันหลังให้มัน พร้อมจะเคลิ้มหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ก่อนเข้าสู่ภวังค์ผมเหมือนได้ยินเสียงพูดเบาๆ

“ผมไม่อยากให้พี่ต้องเจ็บอีก”



เกือบหนึ่งปีผ่านไปหลังจากเซ็กส์ครั้งแรกของผมกับพี่ภูมิ ผมติดบ่วงเสน่ห์ของพี่ภูมิอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ผมโทรคุยกับพี่ภูมิแทบทุกวัน โทรทีเป็นชั่วโมงๆ เสียเงินเสียทองไปมากมาย หลายครั้งจบลงที่โฟนเซ็กส์ ผมหลงกับประสบการณ์ใหม่นี้มากจนลืมนึกไปว่าทุกครั้งที่คุยกัน พี่ภูมิจะยิงมา แล้วผมก็ต้องรีบตาลีตาเหลือกโทรกลับไปทุกครั้ง

ในช่วงเกือบปีมานี้ ผมกับพี่ภูมิเจอกันอีกหลายครั้ง ทั้งที่เชียงใหม่และที่กทม. ถ้าลงกรุงเทพฯ พี่ภูมิจะมาหาผมที่โรงแรม ไม่มีสักครั้งที่ผมจะได้เคยไปที่บ้านพี่ภูมิ เรามีอะไรกันแทบทุกครั้งที่เจอกัน ผมเสพติดความสุขนั้นเสียแล้วครับ ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมไม่ได้เป็นคนเดียวของพี่ภูมิ เขายังมีคนรักอื่นอีก 2-3 คน หรือมากกว่านั้น หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงอีกด้วย แต่จะให้ผมทำยังไงล่ะครับ ผมรักของผมไปแล้วนี่ ผมรักพี่ภูมิมากขนาดที่ว่ายอมมีคู่นอนอีก 2-3 คนตามที่พี่ภูมิยุ แกบอกว่าเพื่อผมจะได้มีประสบการณ์มาสนองแกได้อย่างถึงใจ และเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้ชีวิตรักของเรา

“เล่าให้พี่ฟังทุกอย่างนะ ว่าไปทำอะไรมาบ้าง”

ถ้าเป็นสมัยนี้ แกคงให้ผมถ่ายคลิปมาให้ดูแล้วครับ

“วันนี้ไปเอากับใครมาล่ะ ร่านนักนะเรา”

พี่ภูมิกระเซ้าผมทางโทรศัพท์ หลังๆ มานี้พี่ภูมิใช้คำแรงๆ กับผมบ่อย ผมบอกชื่อหนึ่งในคู่นอนของผมออกไป พร้อมกับเล่าสิ่งที่ผมเพิ่งทำไปให้ฟัง พี่ภูมิครางต่ำๆ อย่างพึงใจ ผมรู้ว่าทางปลายสายกำลังแตะต้องตัวเองอยู่ซึ่งนั่นทำให้ผมร้อนไปทั้งตัว มือของผมก็เริ่มสัมผัสตัวเองตาม

“ตอนนี้ผมกำลังเริ่มคุยกับคนใหม่อยู่นะพี่”

ผมพูดขึ้นหลังเสร็จสมอารมณ์หมายกันทั้งสองฝ่าย

“เป็นน.ศ. ปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น เป็นเพื่อนในเพิร์ช รายนี้ยังซิง ไม่เคยกับทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แต่แกดูสนใจอยากลอง...”

“...แต่ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมคุย ผมเลิกคุยก็ได้นะ”

ผมพูดด้วยหวังให้ทางนั้นหยุดผม

“เอาสิ คุยเลย พวกซิงๆ นี่แหละ น่าสนใจ”

ปลายสายทำเสียงตื่นเต้นกลับมา ผมรู้สึกเหมือนเข็มเล็กๆ ทิ่มแทงใจ แต่อะไรที่พี่ภูมิว่าดี ผมก็ว่าดี

 “งั้น ได้ความยังไง ผมจะมาเล่าให้ฟังนะ”



ไม่นานหลังจากนั้น ชีวิตนักศึกษาของผมก็จบลง ผมจบการศึกษาด้วยคะแนนพ้น 3.00 มาเล็กน้อย ผมโต๋เต๋ว่างงานอยู่เกือบปีโดยสอนพิเศษและรับงานแปลที่บ้าน ผมเข้าชมรมบ้างในช่วงเย็น ระหว่างนั้นไอ้ราฟาก็ตามเหยี่ยวกับน้องซอลไปใช้เวลาที่ชมรมดนตรีมากขึ้นและอยู่ชมรมฟันดาบน้อยลง ไฟในการเล่นฟังดาบของทั้งมันและผมมอดลงไปพร้อมๆ กับการที่พี่เดียว ไอดอลของพวกผมเรียนจบและย้ายไปอยู่กทม. ราฟาไปทางดนตรีมากขึ้น ส่วนผมก็มัวแต่หลงระเริงอยู่กับประสบการณ์ใหม่จนทิ้งทุกอย่างไปหมด

“หายหัวไปนานเลยนะ พี่นพ”

ไอ้เด็กโข่งตะโกนทักผม ทำไมมันจะทักผมดีๆ สักครั้งไม่ได้เลยหรือไง

“ก็เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว จะให้มาขลุกอยู่นี่เหมือนเดิมตลอดได้ไงวะ?”

ผมโยนถุงชุดครุยลงบนปิสต์ วันนี้ผมนัดเด็กๆ ชมรมถ่ายรูปรับปริญญา

“จริงอ่ะ? ติดผู้ชายมากกว่ามั้ง?”

เสียงรุ่นน้องชมรมสักคนแซวขึ้น ผมหันไปแจกกล้วยพวกรุ่นน้องเบาๆ เมื่อหันกลับมาก็เจอตาคมวาวคู่นั้นจ้องมองอยู่



“ยังทำแบบเดิมอยู่เหรอ พี่นพ?”

ราฟากระซิบถามตอนคนอื่นไม่ได้สนใจฟัง ผมเล่าหลายๆ อย่างให้มันฟัง ถึงจะไม่ทุกอย่าง เพราะบางอย่างผมเองก็ไม่ค่อยอยากจำนัก แต่มันก็นับเป็นคนที่ผมเปิดใจด้วยที่สุดในตอนนี้

“อือ...ก็แบบเดิมแหละ”

ผมถอนหายใจ

“พี่ทนได้ไงวะ? ผมแม่งอยากชกหน้ามันชิบ”

ผมแตะมือใหญ่ที่กำหมัดเบาๆ

“กูก็ว้อนท์เองด้วยน่า มึงไม่ต้องห่วงหรอก”

ผมหัวเราะ พยายามทำเสียงร่าเริงที่สุด หลังๆ มานี่ผมก็เริ่มรับตัวเองไม่ได้เหมือนกันครับ ตอนแรกๆ มันก็สนุกดีหรอก แต่หลังๆ มันก็ชักแอบน้อยใจ

“มันรักพี่เท่าที่พี่รักมันมั่งหรือเปล่า?”

ไอ้ราฟายังฟึดฟัดไม่หาย ผมไม่ตอบ ในใจผมตอนนี้ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมชักไม่แน่ใจแล้วด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นจะเคยรู้สึก “รัก” ผมแม้แต่น้อย



หลังจากโต๋เต๋อยู่ปีหนึ่ง ผมก็เริ่มงานใหม่ ผมสมัครเข้าเป็นอาจารย์พิเศษที่ภาควิชาตามความประสงค์ของย่าที่เป็นผู้ส่งเสียผมให้เรียน ย่าของผมเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในจังหวัดเชียงใหม่และเป็นผู้นำของครอบครัวเรา หากย่าอยากให้ผมมาทางสายวิชาการมากกว่าสายธุรกิจ และผมก็ทำตามความประสงค์นั้น

อีกความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตของผมคือพี่วัฒน์ นักศึกษาปริญญาเอกที่ญี่ปุ่นที่ตอนแรกผมมองแกเป็นเพียงแค่หนึ่งในคู่ควงเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้ชีวิตเซ็กส์ของผม เราพูดคุยกันผ่านทางโปรแกรมแชทมาแล้วระยะหนึ่ง และในที่สุดเราก็ตัดสินใจนัดเจอกันที่เชียงใหม่ ผมบอกพี่ภูมิเรื่องพี่วัฒน์ หากสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความไม่ใส่ใจเหมือนเช่นเคย

เมื่อเดือนกรกฎาคมมาถึง พี่วัฒน์ก็มา เราไปดูหนัง กินข้าวกันเหมือนคู่รัก เมื่อยามค่ำคืนมาถึง ก็ถึงเวลาทำตามสัญญา ร่างเปลือยนั้นสั่นน้อยๆ ยามริมฝีปากผมสัมผัส จูบอันงุ่มง่ามสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้ผม ครั้งแรกของเราไม่ได้หวือหวาแต่ก็เติมเต็มความปรารถนาให้กันและกันได้ หลังพายุสงบ พี่วัฒน์กอดผมไว้แน่ในอ้อมแขนเหมือนกลัวผมจะหายไป

“พี่วัฒน์...ปล่อยก่อน ผมจะไปอาบน้ำ”

อ้อมแขนนั้นคลายออก ผมจูบแก้มสากที่มีหนวดเคราขึ้นน้อยๆ เบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

“นพ...”

พี่วัฒน์ดึงแขนผม พร้อมพูดอย่างจริงจัง

“พี่ไม่อยากให้มันเป็นแค่เซ็กส์”

ผมถอนหายใจ

“ไม่เอาน่ะ พี่ เราคุยกันแล้วนี่ ผมแค่ทำหน้าที่เป็นคนแรกให้พี่ แค่นั้น”

หน้านั้นสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“ครั้งแรกของพี่ ถ้าไม่ใช่นพพี่ก็ทำไม่ลงหรอกนะ...”

เสียงทุ้มนั้นพูดเบาๆ ไล่หลังผมที่กำลังเดินเข้าห้องน้ำ ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่ผมจะไม่ใจอ่อน แต่ผมยังมีพันธะอยู่ จะให้ผมทำยังไงได้



ไม่นานหลังจากพี่วัฒน์กลับญี่ปุ่นไป ผมก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับพี่ภูมิที่มาตีกอล์ฟกับก๊วนเพื่อนๆ เชียงใหม่ แกหาว่าผมไปเกาะแกะทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแกต่อหน้าเพื่อนๆ ผมก็แค่อยากทำตัวเป็นคนรักของแกบ้าง แต่เหมือนสิ่งที่ผมทำจะกลายเป็นความน่ารำคาญ มารู้เอาทีหลังว่าหนึ่งใน “เพื่อน” ที่แกว่านั้นเป็นอีกคนที่แกกำลังคั่วอยู่

“พี่นพเมื่อไหร่จะรู้ว่าอะไรเพชรอะไรกรวดวะ?”

ไอ้ราฟาด่าผมอีกแล้ว มันโยนผ้าเย็นให้เพราะทนสภาพผมที่หน้าโทรมเป็นศพ ตาโหลเพราะร้องไห้จนตาบวมมาหลายวันไม่ได้

“มึงก็ด่ากูตลอด”

ผมพูดเสียงอ่อย

“กูก็รักของกูไหมวะ?”

“รักหรือหลง คิดดีๆ นะพี่นพ”

ไอ้ตัวดีสอนผมอีกแล้ว

“คนรักกันทำแบบนี้จริงเหรอ? เขาเคยพูดว่ารักพี่สักคำไหม?”

มันใส่ต่อเป็นชุด ผมได้แต่เงียบ

“ถ้ารัก ก็ต้องพูดออกมา ไม่ใช่ทิ้งไว้แบบนี้”

ผมนิ่ง...เพราะรู้ว่ามันพูดถูก

“...กูตัดสินใจแล้ว...กูจะเลิกกับพี่ภูมิ”

ผมพูดเบาๆ คืนนั้นผมโทรไปหาพี่ภูมิ แต่ยังไม่ทันบอกเลิก แกก็ชิงเป็นฝ่ายเลิกกับผมก่อน ผมซึมไปหลายวันทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้ว ระหว่างนั้นผมก็ได้พี่วัฒน์กับไอ้ราฟาคอยคุยให้ผมสบายใจ


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- [SP] เรื่องของนพ (ต่อ) ----



วันเวลาผันผ่านไป ผมทำใจได้แล้วเรื่องพี่ภูมิและตัดสินใจสานสัมพันธ์ต่อกับพี่วัฒน์และเลิกใช้ชีวิตแบบมีคู่นอนหลายคน แต่ในใจผมนั้นตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ถลำลึกไปกับใครจนให้ตัวเองเจ็บอีกแล้ว แผลในใจผมที่พี่ภูมิทำไว้นั้นบาดลึกนักจนผมยังไม่กล้าเปิดใจให้ใคร​

การเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัยทำให้ผมใช้เวลาที่ชมรมมากขึ้น เมื่อว่างจากการสอน ผมก็มาขลุกอยู่ที่ชมรม​ ผมกับราฟากลับมาไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ อีกครั้ง วันที่ว่างตรงกันนานๆ  ผมจะรอรับมันไปกินข้าวเที่ยงถ้าไม่กินร้านเพียว ร้าน Tea Shop หน้าม. ก็ไปกินสเต๊กปลาในม. เราคุยกันในเรื่องที่หนักขึ้น เรื่องครอบครัว อนาคต ข่าวสารบ้านเมือง ปัญหาสังคม ปัญหาเรื่องเรียน ไม่ได้แค่คุยเล่นไปวันๆ เหมือนเมื่อก่อน ผมได้เห็นนิสัยอะไรหลายๆ อย่างของมันที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน มันชอบกาแฟไม่หวาน พอๆ กับที่ชอบโกโก้เย็นแบบหวานเจี๊ยบ มันสวดภาวนาทุกครั้งก่อนกินข้าว มันร้องเพลงด้วยเสียงบาริโทน มันชอบกรอกตาเวลาไม่พอใจ มันปากร้ายแต่ใจดี มันชอบอ่านหนังสือ และสายตาอันคมวาวของมันก็ทำให้ผมใจสั่นได้ทุกครั้ง

แต่ผมก็ต้องหักห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวไปกับสายตาคู่นั้น หากบางครั้งมันก็ทำได้ยากเหลือเกิน ความรู้สึกที่กระจ่างชัดในใจในตอนที่ผมไปแลกเปลี่ยนที่สหรัฐฯ หวนกลับมาในใจอีกครั้ง โดยเฉพาะในคืนนี้

พวกเราอยู่ที่บ้านไร่ของเหยี่ยวที่เชียงดาว ถึงแม้จะเรียนจบไปแล้ว เหยี่ยวยังวนเวียนอยู่กับชมรมฟันดาบและชมรมดนตรีในฐานะผู้เฒ่าเหมือนๆ กับผม และคราวนี้เหยี่ยวเปิดบ้านไร่ต้อนรับน้องๆ ชมรมให้มาพักผ่อนกันหลังการเก็บตัวซ้อมแข่งกีฬามหาวิทยาลัยอันแสนโหด


“พี่นพ พี่นพโว้ย...ตื่นๆๆ”

ผมตื่นจากภวังค์เมื่อไอ้ตัวดีผลักหัวผม เรากำลังนอนดูดาวรับลมหนาวอยู่ตรงชานบ้านของเหยี่ยวขณะที่คนอื่นกำลังตีไพ่กันอย่างเมามัน

“เอ้า พี่เหยี่ยวเอาผ้าห่มมาให้ ห่มซะ”

มันยกตัวขึ้นคลี่ชายผ้าห่มนวมห่มให้ผม ตั้งแต่เห็นสภาพผมที่โทรมเป็นศพเมื่อตอนเลิกกับพี่ภูมิเมื่อหลายเดือนก่อนดูมันจะใจดีกับผมขึ้นอีกหน่อย

“ฟังเพลงอะไรอยู่อ่ะ?”

ผมถือวิสาสะแย่งหูฟังเครื่องเล่นซีดีของมันมาฟังข้างนึง

“โหยยย เสียงหวานโคตร เพลงอะไรเนี่ย”

ผมเคลิ้มไปกับเสียงหวานๆ ที่ได้ยิน

Yo Te Amo

ใจผมกระตุกวูบเมื่อเสียงทุ้มกระซิบบอกคำนั้น

“...ของ Chayanne น่ะ”

อ๋อ...ชื่อเพลงสินะ แต่ทำไมใจผมเต้นรัวแบบนี้ล่ะ ไอ้ตัวดีแปลท่อนแรกของเพลงให้ผมฟังโดยไม่ต้องถาม ความโรแมนติกคงอยู่ในสายเลือดมันจริงๆ



“แล้ว...ชื่อเพลงนี้แปลว่าอะไรนะ?”

ผมเสถามถึงชื่อเพลงทั้งๆ ที่รู้ความหมายอยู่แล้วแต่แค่อยากได้ยินจากปากใครบางคน

“...ฉันรักเธอ...”

ผมหลับตา...ดื่มด่ำกับคำสั้นๆ นี้แม้มันจะไม่ใช่สำหรับผมก็ตาม

“เห้ยๆ หลับเฉยเลย”

ราฟาเอานิ้วจิ้มๆ แก้มผม ผมแกล้งทำเป็นงัวเงีย

“อือ ว่าไงนะ?”

“ก็ถามว่า te amo แปลว่าอะไร ก็ ฉันรักเธอ ไง เคยบอกแล้วนี่”

“อืม...แล้วมันต่างกับคำนี้ยังไง?”

 “คำไหน?”

ผมหันไปกระซิบแผ่วๆ ข้างหูมันด้วยอีกประโยคหนึ่งในภาษาสเปนที่ผมเคยได้ยินมาครั้งหนึ่ง


“Te quiero, mi amor”


ใบหน้าคมสันหันขวับมาแทบชนกับหน้าผม เสียงหริ่งเรไรรอบกายเหมือนจะเงียบเสียงลง ได้ยินแต่เสียงลมหายใจและหัวใจที่เต้นระรัว ตาของเราประสานกันนิ่ง ผมไม่แน่ใจนักแต่เหมือนเห็นแววหวั่นไหวในตาคมคู่นั้น

“เห้ย ตกใจหมด รีบหันมาอะไรเล่า วู้”

ผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายหลบตาแล้วหันหน้ากลับไปจ้องหมู่ดาวที่พราวเต็มฟ้า ผมยิ้มเยาะตัวเอง

‘ท่องไว้ นพ มันเป็นน้อง ท่องไว้’

ผมหลับตา

‘อย่าดึงมันลงมาเกลือกกลั้วกับมึงเลย’

เสียงในหัวผมเตือน

“เต กิเอโร่อ่ะ ต่างกับคำว่า เต อาโมยังไง เคยได้ยินทั้งสองคำ”

ผมแกล้งถาม มีเสียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะอธิบายยืดยาวให้ผมฟังว่า te quiero มีความหมายที่ไม่หนัก ไม่ลึกซึ้งเท่า te amo จะออกแนว ฉันต้องการเธอ มากกว่า ก่อนที่มันจะเปิดคอร์สสอนภาษาสเปนให้ผม น้องซอลก็ออกมาตามพวกผมไปกินมาม่าหม้อไฟ ผมรีบลุกขึ้นแล้วฉุดมือมันให้ลุกขึ้น

“ใครช้าอด!”

ผมพูดแล้วรีบวิ่งเข้าบ้านไป



หลังจากสอนได้ปีหนึ่ง แม่ของผมก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ในช่วงงานศพ น้องๆ ชมรมก็ผลัดกันมาช่วยงาน ไอ้เด็กเปรตก็มาช่วยยกน้ำยกท่าด้วยแทบทุกวันทั้งๆ ที่มันเป็นคริสเตียน

“พี่นพ ไม่เป็นไรนะ?”

มันถามหลังเสร็จพิธีช่วงค่ำวันสุดท้าย ผมขับรถมาส่งมันบ้าน ตอนแรกมันจะติดรถกลับกับคนอื่น แต่ผมว่าผมจะไปส่งมันเอง

“อือ...เหนื่อยนิดหน่อย เหลือแค่งานเผาพรุ่งนี้ก็เสร็จแล้ว”

ผมจอดรถหน้าบ้านมัน

“พี่รู้ใช่ไหมว่าคุยกับผมได้ทุกเรื่อง”

ก้อนสะอื้นจุกขึ้นมาที่คอ สำหรับญาติคนไข้โรคมะเร็งอย่างผม การที่คนไข้ตายไปถือเป็นการหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทรมานที่ประสบอยู่ บางครั้งผมก็คิดอยู่ในใจว่าดีแล้วที่แม่ไม่ต้องทรมานนานนักจนผมเองลืมเสียใจ

“พี่ยังไม่ได้บอกลาแม่เลย”

หยาดน้ำใสๆ ไหลออกตาผม แม่ผมนอนอยู่โรงพยาบาลหลายคืนก่อนที่จะเสีย ช่วงนั้นผมง่วนอยู่กับการตรวจข้อสอบ โดยหอบไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วย ตอนเช้าก็ไปคุมสอบวิชาอื่น ตอนที่แม่เริ่มเข้าโคม่า ผมก็ไม่ได้อยู่ด้วยและไม่ได้บอกลาแม่ตอนที่ยังรู้ตัว ผมนั่งร้องไห้ในรถอยู่ครู่ใหญ่โดยมีราฟานั่งคอยอยู่เงียบๆ สุดท้ายมือใหญ่นั้นปาดน้ำตาให้ผม แล้วบีบกระชับมือผมแน่นเพื่อให้กำลังใจ แต่ก่อนที่พูดอะไร เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมยกขึ้นมาดู

“พี่วัฒน์...”

นานๆ ทีพี่วัฒน์จะโทรทางไกลมาหาผมสักครั้ง ราฟาปล่อยมือผม โบกมือลาแล้วลงรถเดินเข้าบ้านไป ผมถอนหายใจ แล้วกดรับสาย

“ว่าไงครับ พี่?...”



หลังจากแม่ผมตาย ผมยังคงเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ ยังเข้าชมรมบ้าง ไปรับ ไปส่ง ไปกินข้าวกับราฟา แต่บางทีเราก็โดดซ้อมไปเดินห้างบ้าง นั่งร้านกาแฟ ร้านขนมบ้าง แต่ยังคงสถานะเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ราฟาเริ่มถอยห่างจากการฟันดาบและไปด้านดนตรีมากขึ้น ผมว่ามันไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงของพี่เดียวไปได้ ผลงานช่วงหลังๆ ของมันไม่ได้โดดเด่นมากเท่าไหร่และคงถึงจุดอิ่มตัวของมันแล้ว

ด้านความสัมพันธ์ ผมเริ่มคบหากับพี่วัฒน์เต็มตัว พี่เขามาหาผมทุกครั้งที่ได้กลับไทย ครั้งนี้ก็เช่นกัน พี่วัฒน์มาหาผมได้สองวันแล้ว ตอนกลางวันแกก็นั่งๆ นอนๆ อยู่โรงแรมแถวบ้านผม บางทีแกก็จะลงไปเดินเล่นในซอย นั่งร้านกาแฟที่เริ่มเปิดประปราย ตอนเย็นผมก็รับแกไปกินข้าว ดูหนัง เดินห้างตามเรื่องไป วันนี้ผมเลิกสอนเร็วก็เลยมาหาแกตั้งแต่บ่ายสาม ตอนแรกว่าจะพาไปเดินห้างแล้วก็กินข้าว แต่พอนัวเนียกันไป นัวเนียกันมา สุดท้ายก็ไม่ได้ออกไปไหน

“เออ พี่ เราไปแวะชมรมก่อนได้ป่าว”

ผมถาม

“ได้สิ พี่จะได้แวะทักอ. สุทัศน์ด้วย ไม่รู้วันนี้แกมาไหม”

พี่วัฒน์กับอ.สุทัศน์อยู่สายธรณีฯ เหมือนกัน คราวที่แล้วที่แกมาผมเลยพาแกมาแนะนำให้อ.รู้จักด้วย

ผมเดินจับมือกับพี่วัฒน์ลงบันไดมาถึงชมรม พวกรุ่นน้องก็วี้ดวิ้วแซวกันยกใหญ่

“มิน่าล่ะ หายหน้าหายตา แฟนมานี่หว่า”

เสียงใครสักคนแซว ผมแอบหน้าแดงนิดๆ กับคำว่าแฟน ผมยังไม่ค่อยคุ้นชินกับมันนักครับ กับพี่ภูมิ ผมเรียกแกว่าแฟนไม่ได้เต็มปากนัก แต่กับคนนี้ ผมว่าผมใช้คำนั้นได้ ผมหันไปเจอตาคมที่ฉายแววยิ้มๆ จากร่างสูง ผมรีบปล่อยมือพี่วัฒน์อย่างไม่รู้ตัว  ผมแนะนำรุ่นน้องชมรมให้พี่เขารู้จัก บางคนก็เจอกันแล้วจากตอนแกมาครั้งก่อน แต่บางคนยังไม่เคยเจอเพราะไปแข่งกีฬามหาวิทยาลัย



“นี่ไอ้เด็กเปรตราฟา...”

ร่างสูงเบ้หน้า

“ทำไมต้องติดยศให้ผมด้วยอ่ะ?”

“ก็มึงอ่ะ กวนตีนตลอด”

ผมจิกมันไปอย่างลืมตัว

“หิวน้ำหรือเปล่า? พี่ไปซื้อน้ำให้ เดี๋ยวมานะ”

พี่วัฒน์เดินขึ้นไปที่แคนทีน ผมมองตามอย่างชื่นใจ ที่แล้วมามีแต่ผมที่เป็นฝ่ายเอาใจคนอื่น ตอนนี้มีคนมาคอยดูแล ผมงี้ชอบมาก

“ว่าแต่มาทำไมอ่ะ พี่นพ ชมรมจะเลิกแล้ว”

“เอ๊า ก็พาพี่วัฒน์มาให้รู้จักไง”

“จะอวดแฟนว่างั้นเหอะ...”

ไอ้นี่ รู้ทันอีก

“เดี๋ยวจะพาพี่เค้าไปกินข้าว ก็เลยว่าจะมารับมึงกลับบ้านด้วย วันนี้เหยี่ยวไม่มานี่?”

ทุกวันที่มาชมรม ราฟาจะกลับบ้านกับผมไม่ก็เหยี่ยวแล้วแต่ว่าวันนั้นมันไปชมรมไหน ผมยังทำตามคำฝากฝังของอ. สดศรีอย่างเคร่งครัดครับ ไอ้ตัวดีทำหน้าเกรงใจ



"จะดีเหรอพี่ เกรงใจอ่ะ...งั้นไปกินข้าวด้วยได้ป่าว วันนี้แม่กับปะป๊าไม่อยู่บ้าน ไม่มีอะไรกิน”

ไอ้ตัวดีพูดหน้าตาเฉยพร้อมทำหน้าเกรงใจสุดชีวิต  ที่ร้านข้าว ผมนั่งยิ้มๆ มองไอ้ตัวแสบยิงคำถามสัมภาษณ์พี่วัฒน์ที่ดูงงๆ ว่าไอ้เด็กนี่มาด้วยได้ไง ช่วยไม่ได้ ผมทนสายตาอ้อนวอนมันไหวที่ไหน ตาคมคู่นั้นตอนนี้กำลังแอบเหล่ไปที่ปื้นแดงๆ ที่ซอกคอและแผงอกที่เห็นรำไรจากคอเสื้อ มันอาศัยจังหวะที่พี่วัฒน์ไปเข้าห้องน้ำหันขวับมาถามผม

“เห้ย ทำรุนแรงอะไรกันขนาดนั้น?”

“รุนแรงอะไร? ไม่เก็ตว่ะ”

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“เล่นซะคอลายเป็นดัลเมเชี่ยนเลยนะ พี่นพ...มิน่าล่ะมาชมรมช้า ที่แท้ก็มัวแต่...”

มันยิ้มกริ่ม

“เห้ยๆ พอๆ หยุดๆ ไอ้นี่ ลามปามๆ”

ผมหน้าร้อนวูบเมื่อโดนมันแซว

“แล้วคนนี้น่ะ ตัวจริงหรือยัง?”

มันซึ่งรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่ผ่านๆ มาของผมถาม สำหรับพี่วัฒน์ มันก็รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้น รู้ว่าเราเริ่มกันจากแค่เรื่องเซ็กส์

“ไม่รู้ว่ะ...”

ผมลังเลที่จะตอบ

“...ตอนนี้มันก็ยังหนักไปทางอย่างว่าอยู่ แต่คุยๆ กันกูก็ว่าเค้าเป็นคนดี ซื่อๆ จริงใจ แถมยังตามใจกูด้วย”

“พี่รักเขาไหมล่ะ?”

ราฟาถามอย่างจริงจัง

“คือ...ตอนนี้ถ้าจะให้บอกว่าคนนี้เป็นแฟนใช่ไหม? ใช่ พี่วัฒน์เป็นแฟนกู...แต่ถ้าจะให้บอกว่ารักไหม? ก็บอกไม่ได้ว่ะ กูก็ยังเข็ด ยังไม่พร้อมเปิดใจให้ใคร พี่ภูมิทำกูเจ็บเหลือเกิน ...”

ปลายเสียงของผมสั่นเครือ ราฟาถอนหายใจ แล้วพูดว่า

“ถ้าคิดอะไร พี่นพก็บอกเขาไปตรงๆ อย่ามัวแต่ปิดบังความรู้สึกตัวเอง ไม่งั้นอะไรๆ ก็อาจสายเกินไป เหมือนผมอ่ะ”

ผมรู้ว่ามันพูดถึงน้องออยล์ รักแรกตอนมัธยมของมัน ผมเข้าใจที่มันสื่อ แต่จะให้ผมบอกความจริงในใจผมเหรอ จะดีจริงๆ เหรอ ผมว่า ผมไม่พูดออกไปน่าจะดีกว่า



ชีวิตของผมเดินมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง คุณย่าของผมเสียชีวิตลงอย่างกระทันหันเมื่อผมสอนในมหาวิทยาลัยมาได้สองปี เมื่อย่าไม่อยู่แล้ว ผมตัดสินใจเลิกสอน ตัวผมนั้นไม่ได้ถนัดด้านการสอนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ต้องทำเพราะเป็นความประสงค์ของย่า หากสิ่งที่ทำให้ผมยังรู้สึกไม่สบายใจนั้น คือสิ่งอื่น ผมเข้ามาที่ชมรมในวันสุดท้ายของการเรียนการสอน ไอ้ราฟาก็นอนอ่านการ์ตูนอยู่ที่ชมรมเหมือนทุกครั้ง่ ผมนั่งลงข้างมัน มันส่งหูฟังซึ่งกำลังฟังอยู่ให้ผมข้างหนึ่งโดยไม่ต้องขอ ผมส่งคืนและตัดสินใจชวนมันคุย

“เรารู้จักกันมากี่ปีแล้วนะ?”

ผมถามขึ้น...

“เอ ไม่เคยนับว่ะ พี่นพ”

มันนับนิ้ว...

“11 ปีมั้ง? แต่ที่เจอกันบ่อยๆ นี่ก็ ตั้งแต่ผมอยู่ม. 4 ก็...จะแปดปีละมั้ง มีอะไรเหรอ?”

ผมนั่งนิ่ง

“มีอะไร? วันนี้พี่แปลกๆ ว่ะ”

น้ำเสียงนั้นฟังดูกังวล

“มึงรู้ใช่ไหมว่าย่ากูเสียแล้ว”

มันพยักหน้า

“รู้ใช่ไหมว่าที่กูมาสอนทุกวันนี้ เพราะตามใจเค้า...”

“กูก็ไม่ได้ชอบสอนอะไรนักหรอก ตอนนี้เลยคิดว่าจะเลิกแล้วล่ะ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายในม.ของกู”

ผมพูดเบาๆ

“แล้วถ้ากลับไปทำงานกับที่บ้าน ก็ไม่รู้จะได้ว่างเข้ามาที่นี่ มาเจอพวกมึงอีกไหม”

ผมหลบตามัน รู้สึกร้อนๆ ที่หางตา



เพี๊ยะ! ไอ้เด็กเวรมันตบหัวผมครับ

“เพี้ยนไปแล้ว ไอ้พี่นพ”

ครับ...มันลามปามครับ

“ผมก็ตกใจนึกว่ามีอะไร แค่ไม่ได้เข้ามาในม.แค่นี้ ทำเหมือนจะตาย”

มันโวยใส่ผม

“เบอร์โทรศัพท์ก็มี บ้านอยู่ไหนก็รู้ ชมรมก็ไม่ได้ล้อมรั้วห้ามคนนอกเข้า ก็มาสิ ไม่ใช่ว่าจะได้ห่างกันตลอดชีวิตหรือไปแล้วไปเลยที่ไหน”

มันบ่นผมเสียยืดยาว ก็ถูกของมัน แต่มันจะเหมือนเดิมไหม? เมื่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป ความรู้สึกของผมจะต่างจากเดิมหรือเปล่า ผมนึกไปถึงต้า พี่เป้ พี่เดียว หรือกระทั่งพี่ภูมิ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อคนเหล่านั้นไม่อยู่รอบกายผม พวกเขากลับเลือนหายไปจากใจผมได้เหลือแต่เพียงรอยเงาจางๆ แต่กับเจ้าเด็กคนนี้ ผมไม่อยากลืม ผมอยากจำ ผมอยากมีภาพมันอยู่ในใจไปตลอด ผมจ้องมองใบหน้าที่มีแววห่วงใยของมันแล้วส่งยิ้มให้

"เออๆ กูรู้แล้วน่า ไป งั้นเราไปกินหนมกัน เดี๋ยวกูเลี้ยงหนมมึงส่งท้าย"

ผมยื่นมือไปฉุดมันให้ลุกขึ้นและพากันออกชมรมไป



หลังจากเลิกสอน ผมเข้าทำงานกับออฟฟิศของที่บ้านที่เป็นธุรกิจกงสี มันไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นหวือหวา แต่ผมก็พอใจกับงานที่ทำอยู่

ช่วงแรกๆ หลังเลิกงานตอนห้าโมงเย็น ผมก็รีบฝ่าการจราจรแวะไปที่ชมรมอยู่บ้างหรอกครับ แต่หลังๆ ผมก็มักไปห้างมั่ง หาร้านกาแฟนั่งมั่ง ส่วนหนึ่งก็เพราะผมไม่มีความจำเป็นต้องไปที่นั่นอีก ในช่วงหลังผมแทบไม่เจอร่างสูงนั้นที่ชมรม ราฟาไปขลุกอยู่ชมรมดนตรีแทบจะเต็มตัว ผมเองก็ต้องรีบกลับบ้านเพราะพอแม่ไม่อยู่และน้องสาวคนกลางลงไปทำงานที่กทม. ก็เหลือแค่ผมกับน้องคนเล็กที่ต้องคอยดูพ่อ จะกลับค่ำกลับดึกก็ไม่สะดวกนัก ผมเลยได้เจอมันบ้างตอนชมรมดนตรีมีคอนเสิร์ตหรือจัดงาน

พอราฟาเรียนจบ ก็ประมาณปีกว่าหลังจากที่ผมเลิกสอนน่ะครับ พวกเราก็ยิ่งไม่ได้เจอกันไปใหญ่ มีนัดเจอกันข้างนอกบ้าง กินข้าวบ้าง กาแฟบ้างซึ่งบางทีก็มีเหยี่ยวและน้องซอลมาด้วย ผมโทรคุยกับมันนานๆ ที ซึ่งหลังๆ มานอกจากจะถามสารทุกข์สุขดิบ มันก็ยังต้องรับบทศิราณีให้ผมอีก อย่างวันนี้เป็นต้น



“...เออ แล้วพี่วัฒน์เป็นไงมั่งพี่? ได้ด๊อกยัง?”

“ไม่ต้องพูดถึงชื่อนั้นให้ได้ยินเลย”

ผมหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อพี่วัฒน์

“อะไร ตีกันอีกแล้ว?”

มันถามอย่างเอือมๆ

“เออ ดิ แม่ม กลับมาไทยรอบนี้ไม่ว่างมาหากูสักนิด”

ผมบ่นด้วยความเซ็ง

“...บอกว่าต้องไปออกฟีลด์ทั้งเดือน อะไรนักหนาวะ? ว่างสักนิดก็ไม่มีเลยรึไง?”

ผมพูดถึงการออกสำรวจพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลทางธรณีวิทยาประกอบการทำวิทยานิพนธ์ของแก

“พี่นพก็ไปกับเขาเลยสิ จะได้ไปดูเขาทำงานด้วย เค้าจะได้เห็นว่าพี่ใส่ใจงานของเขา”

“เออ เข้าท่าว่ะ งั้นเดี๋ยวพี่โทรถามก่อนว่าแกสะดวกพาพี่ไปด้วยไหม...”

ผมกำลังจะวางสายแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

“เออ...เกือบลืม...สุขสันต์วันเกิดว่ะ”

“แหม...นึกว่าจะลืมซะแล้ว”

ผมรู้สึกได้ว่าที่ปลายสายนั้นต้องยิ้มอยู่แน่ๆ ​



"อ้าว พี่นพ มาซะที​"

ราฟาในชุดครุยโบกมือให้ผม ผมโบกมือและส่งยิ้มกลับไป แต่รอยยิ้มของผมคงดูฝืนเต็มที วันนี้เป็นวันซ้อมรับปริญญาของมัน ผมเองก็มาหามันเพื่อแสดงความยินดีด้วย มันกำชับให้ผมต้องไปถ่ายรูปกับมันในวันซ้อมใหญ่ให้ได้ พอถึงเวลานัด ผมก็เดินจากบ้านไปหอประชุมที่อยู่ไม่ไกล พอเข้าไปถึงก็หาตัวมันได้ไม่ยากครับ สูงเป็นเปรตซะขนาดนั้น แต่พอเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปใกล้ หัวใจผมที่ลิงโลดกลับห่อเหี่ยวลง ข้างกายมันมีหญิงสาวร่างเล็กบอบบางยืนอิงแอบ มือของทั้งสองประสานกันแน่น

"แจง นี่พี่นพ พี่ชมรมที่ผมเคยเล่าให้ฟัง พี่นพ นี่แจง แฟนผม​"

แฟน...แฟน...แฟนอะไรวะ? มันไปทันมีแฟนเมื่อไหร่? สมองผมตื้อไปหมด

“สวัสดีค่ะ พี่นพ”

แจงยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย น้องแจงเป็นหญิงสาวร่างบางน่าทะนุถนอม หน้าตาจิ้มลิ้มนั้นดูสดใสแม้จะทาแค่แป้งและลิปสติกบางๆ

“ราฟาเค้าเล่าเรื่องพี่ให้ฟังเยอะเลย ขอบคุณจริงๆ นะคะ ที่คอยดูแลเค้ามาตลอดสิบกว่าปีนี้”

รอยยิ้มของแจงจริงใจจนผมต้องยิ้มตอบ ผมทำเป็นหัวเราะ แซวทั้งสองคนจนเขินม้วนกันไป หลังจากซักถามแล้วถึงรู้ว่าทั้งสองคบกันมาได้เกือบปีแล้วโดยการแนะนำของเพื่อนของทั้งสอง

“มาถ่ายรูปกันดีกว่าค่ะ พี่นพ เดี๋ยวแจงถ่ายให้”

น้องแจงจัดท่าให้ผมกับราฟายืนถ่ายรูปคู่กัน มันโอบไหล่ผม แต่ผมแอบขยับตัวห่างมันน้อยๆ หวังว่ามันคงไม่สังเกตว่ายิ้มของผมนั้นฝืนแค่ไหน...จากนั้นผมก็ช่วยถ่ายรูปให้มันกับแจง สายตาเปี่ยมรักที่มันมองแฟนสาวของมันนั้นทำให้ผมรู้ว่าผมไม่มีวันเป็นคนที่อยู่ในสายตาของมันได้อีก



พวกเราพบปะกันน้อยลงมากหลังอ. สดศรีเกษียณและย้ายออกจากม.ไป ต่อให้ย้ายไปไม่ไกล ก็ไม่ได้ใกล้บ้านผมเหมือนเดิม มันรับงานฟรีแลนซ์เป็นนักเขียนภาษาต่างประเทศประจำนิตยสารท้องถิ่นเล่มหนึ่งและยังรับงานแปลบ้าง ฉะนั้นงานของมันส่วนใหญ่ก็คือนั่งทำอยู่ที่บ้านก็เลยได้เจอกันน้อยลง ส่วนผมก็ใช้เวลาที่เหลือหลังเลิกงานมาช่วยน้องชายทำร้านกาแฟที่เปิดอยู่หน้าบ้าน แม้ราฟาและบางทีก็มีเหยี่ยวและซอลด้วยก็แวะเวียนมาหาผมที่ร้านบ้าง แต่เวลาของเราทั้งสองที่ใช้ร่วมกันก็น้อยลงทุกที มีแค่ได้ยินเสียงกันทางโทรศัพท์เหมือนเช่นวันนี้

“แฮ้ปปี้ เบิร์ธเดย์ว่ะ ไอ้เด็กเปรต”

ผมโทรไปสุขสันต์วันเกิดมันตอนเที่ยงคืนแบบที่ทำทุกปี

“ขอบคุณครับ...ว่าแต่พี่นพ ทำไมวันนี้เสียงแปลกๆ เป็นหวัดเหรอ?”

มันถามอย่างสงสัย... มันรู้จักผมดีเกินไปแล้ว

“ราฟา...มึง...ฮึกๆๆ”

ผมทนกลั้นสะอื้นต่อไปไม่ไหว จนปล่อยโฮมาในที่สุด

“เห้ย เป็นอะไร? มีอะไรพี่?”

“กูทนไม่ไหวแล้ว ทนพี่วัฒน์มันไม่ไหวแล้ว”

พี่วัฒน์กับผมเราคบกันทางไกลมาหลายปี ในที่สุดเมื่อเดือนพฤษภาที่ผ่านมาแกก็เรียนจบแล้วกลับมาไทยถาวรในที่สุด แต่เมื่อผมลองแย็ปๆ ถามแกว่าสนใจมาอยู่เชียงใหม่ไหม คำตอบที่ได้คือ



‘อือ ถ้าเกษียณแล้วพี่ก็อยากขึ้นมาอยู่เชียงใหม่เหมือนกัน’



“แบบนั้นแหละ...ฮึกๆ มันพูดออกมาได้ยังไง? กูอุตส่าห์ชวนแล้ว...”

ผมพูดทั้งน้ำตา ผมอุตส่าห์ลงทุนขออ.สุทัศน์ให้หาตำแหน่งให้แกมาใช้ทุนที่เชียงใหม่ แต่แกกลับปฏิเสธไปหน้าตาเฉย ราฟาที่ปลายสายฟังผมระบายออกมาอย่างเงียบๆ

“กูอุตส่าห์เปิดใจให้แล้ว พร้อมที่จะก้าวไปพร้อมๆ กัน แต่มาทำกับกูแบบนี้ ทุกวันนี้เหมือนมีแต่กูคนเดียวที่คิดถึงเรื่องอนาคต...ที่ผ่านมามีแต่กูคนเดียวใช่ไหมที่พยายาม? จะขึ้นมากูก็หาตั๋วรถไฟ ตั๋วเครื่องบินให้ โรงแรมกูก็จองให้ มันไม่เคยต้องทำอะไรสักนิด แค่จ่ายตังค์อย่างเดียว..."

ผมคร่ำครวญต่อ

“กูเลยบอกมันไปว่า งั้นต่อแต่นี้ ระหว่างเราสองคนจะมีแค่เรื่องทางกายเท่านั้น ถอยกลับไปเหมือนวันคบกันวันแรก ถ้ามันอยากนัก ก็หาทางมาหาเอง ทำกัน แล้วก็จบ”

“พี่นพคิดดีแล้วเหรอ?”

มันเปิดปากถามผม

“ตลอดเวลาที่คบกัน พี่นพเคยแสดงให้พี่เขาเห็นหรือเปล่าว่าพี่แคร์เขาหรือรักเขาขนาดไหน? เจอหน้ากัน ผมก็เห็นพี่เอาแต่ชวนทะเลาะ..."

นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมเฝ้าถามตัวเองทุกครั้ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่วัฒน์ สิ่งผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาทำดูกลายจะเป็นเรื่องใหญ่ ผมมักหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

"...เป็นผม ผมก็ไม่ขึ้นมาอยู่ด้วยหรอก ไม่รู้ว่าพี่นพจะจริงจังด้วยแค่ไหน"

มันเทศนาต่อ

“พี่เขาพูดไม่ค่อยเก่ง พี่นพก็รู้ เขาไม่เหมือนพี่ภูมิที่พูดอะไรออกมาก็ถูกใจพี่นพไปหมด พี่กำลังเอาเขาไปเทียบกับใครหรือเปล่า?”

ผมหน้าชา...ข้อนี้ผมก็รู้เช่นกัน พี่วัฒน์เป็นหนุ่มเนิร์ด จริงอยู่ที่ตอนแรกผมถูกใจความรอบรู้ของเขา แต่เมื่อคุยกันไปนานเข้า กลับกลายเป็นว่าแกเป็นคนพูดน้อย และไม่ค่อยมีปากมีเสียง บางครั้งที่เราทะเลาะกัน การที่แกเงียบหรือยอมผมยิ่งทำให้ผมโมโหหนักขึ้นไปอีก ที่บอกว่าอยากมาอยู่เชียงใหม่หลังเกษียณนั้นก็เป็นการพูดออกมาแบบซื่อๆ พี่วัฒน์ไม่ใช่คนมีคาริสม่าหรือเป็นคนเด่นเป็นผู้นำแบบที่ผมชอบ ราฟาพูดถูกว่าผมกำลังเอาแกไปเทียบกับคนอื่น แต่ผมบอกมันไม่ได้หรอกครับว่าคนที่ผมเอาพี่วัฒน์ไปเปรียบด้วยนั้นไม่ใช่พี่ภูมิ แต่เป็นเจ้าของเสียงทุ้มที่กำลังตำหนิผมอยู่นี่


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] เรื่องของนพ (ต่อ) ----





“กูก็ไม่รู้ว่ากูคิดยังไง...”

ผมพูดออกมาเบาๆ เมื่อถูกถามว่าที่ผ่านมาผมเคยรักพี่วัฒน์บ้างไหม

“พี่วัฒน์ยอมกูทุกอย่าง กูจะร้ายจะแรงใส่ยังไง แกก็ยอม แต่นั่นคือความรักแน่เหรอ? ถ้ารักแล้วต้องทน มันก็ไม่ต่างกับกูกับพี่ภูมิ”

ผมน้ำตาร่วงเมื่อนึกถึงวันเวลาอันแสนเลวร้ายนั้น

“กูไม่ได้อยากใจร้ายกับแก แต่ไม่รู้ทำไม มันอดไม่ได้ทุกที”

มันถอนหายใจ

“ไปคิดมาดีๆ อ่ะ พี่ สำรวจใจตัวเองซะ จริงใจกับความรู้สึกตัวเองหน่อย ชีวิตคนเรามันสั้น ถ้าเราไม่พูดความรู้สึกจริงๆ ตัวเองออกมา สักวันหนึ่งอาจต้องนึกเสียใจถ้าเราไม่มีโอกาสได้พูดอีก...”

ผมนิ่งฟังมันยกตัวอย่างตัวมันเองกับน้องแจง

“ไว้กูจะเก็บที่มึงพูดไปคิดแล้วกัน ขอโทษจริงๆ ที่มารบกวนเรื่องไม่เป็นเรื่องในคืนวันเกิดมึงแบบนี้ แต่ช่วยได้มากจริงๆ ว่ะ”

“...ถ้าไม่มีมึง กูจะอยู่ยังไงวะ?”

นี่คือความรู้สึกแท้จริงที่ผมพูดออกไปในวันนี้



ผมตัดสินใจหยุดงานไปแบ็คแพ็คที่ประเทศสเปนหนึ่งเดือนเพื่อใช้เวลากับตัวเองและหาคำตอบให้กับชีวิต ผมกลับมาและตัดสินใจถอยห่างความสัมพันธ์กับพี่วัฒน์ให้กลับไปเหมือนตอนเริ่มต้น ผมจะไม่เซ้าซี้ ไม่ขอให้แกมาอยู่กับผมอีก แม้เจ้าตัวจะยังรับไม่ได้กับการตัดสินใจของผม แต่พี่วัฒน์เลือกที่จะอยู่ต่อโดยรักษาระดับความห่างไว้ ดีกว่าที่จะตัดขาดกันไปเลย

นี่คือสิ่งที่ผมพูดกับพี่วัฒน์ในวันที่แกเดินทางมาที่เชียงใหม่เพื่อฟังการตัดสินใจของผม​

"ผมอยากให้พี่จำไว้ว่าตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ใช่แฟน ถ้าพี่วัฒน์มาเชียงใหม่ผมก็ต้อนรับตามปกติ ถ้าอยากขึ้นมาก็เรียกหากันได้ ผมไม่มีปัญหา แต่เราอย่าคิดผูกมัดหรือผูกพันกัน จำไว้ว่าเราทั้งคู่ไม่มีพันธะต่อกัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจอคนที่ถูกใจ อีกฝ่ายต้องปล่อยไป ถ้าผมหงุดหงิดใส่หรือทะเลาะด้วย ด่าได้ไม่ต้องมานั่งเกรงใจ และไม่จำเป็นต้องมาเอาใจมาก คิดว่าผมเป็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งก็พอ"

ผมร่ายยาวพลางรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในอก ที่ผมพูดนั้นแทบไม่ต่างกับที่พี่ภูมิเคยพูดกับผมและผมรู้ว่าคนฟังจะรู้สึกเจ็บแค่ไหน แต่ผมไม่อยากให้พี่วัฒน์มาหวังลมๆ แล้งๆ กับคนอย่างผม

'ใครโดนแบบนี้ก็คงทนอยู่ด้วยไม่ไหวแน่ อีกไม่นานพี่เค้าคงไป'

ผมคิดเข้าข้างตัวเอง พี่วัฒน์นั่งนิ่งไปพักใหญ่ จากนั้นเค้นเสียงออกมา

“พี่พร้อมทำตามเงื่อนไขของนพ แต่พี่แค่อยากบอกให้นพรู้ว่าพี่ไม่เต็มใจยอมรับสถานะเพื่อน...”

หยาดน้ำใสๆ ร่วงออกจากตาโศกนั้นอีกครั้ง

“...แต่ถ้ามันทำให้นพยอมพบหน้าพี่ต่อ พี่ก็ยอม”



ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนเลวมากเลยครับ ผมดูคนที่พยายามกลั้นสะอื้นอยู่ข้างหน้าด้วยหัวใจที่สับสน ใจหนึ่งผมอยากดึงตัวพี่วัฒน์มากอด มาปลอบให้หายเศร้า แต่ผมไม่อยากทำให้แกเขวอีก ผมอยากทำให้แกตัดผมออกจากชีวิตให้ได้เร็วที่สุด ผมรอดูจนพี่วัฒน์หยุดร้องให้ ส่งแกเข้านอนและกลับบ้าน คืนนั้นผมนอนไม่หลับ สุดท้ายผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาคนที่คอยรับฟังผมมาตลอด

"แม่ง กูมันเลวไม่ต่างกับไอ้พี่ภูมิเลยสักนิด​"

ผมตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้มันฟัง ยิ่งเล่าผมยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเองจนน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมา มันนิ่งฟังผมฟูมฟายผ่านทางโทรศัพท์ จากนั้นถอนหายใจดัง...

“เห้อ ตัวก็เคยเจอแบบนั้นมาแล้วจะทำแบบนั้นทำไม?”

“กูก็ไม่รู้ ก็แค่อยากให้เขาตัดใจ ไม่อยากให้เขามาเสียเวลางมอยู่นี่”

“แล้วเขาเคยพูดเหรอว่าเขาเสียเวลา?”

มันทำเสียงขรึม ผมส่ายหน้า ลืมไปว่าทางนั้นมองไม่เห็นหรอก

“กูแค่รู้สึกว่ากูไม่สามารถรักใครได้อีกอ่ะ อย่างน้อยไม่ใช่ในตอนนี้ กูยังไม่พร้อมที่จะเจ็บอีก แล้วกูไม่อยากให้เขามารอ”

ผมพึมพำ

“ก็เลยจะผลักไสเขาไปซะงั้น?”

มันถาม

“แล้วพี่คิดว่านั่นคือสิ่งที่ดีกับพี่เขา?”

มันทำเสียงเข้ม ผมนิ่ง...ไร้คำตอบ



“เอาเหอะ ไหนๆ พี่นพก็ทำไปแล้ว ผมพูดอะไรไปก็คงเท่านั้น แต่ผมขออะไรอย่างได้ไหม?...ผมอยากให้พี่ให้โอกาสพี่วัฒน์เขาบ้าง ถ้าพี่เขาไปเจอคนใหม่ตามที่พี่อยากให้เขาไป ก็ดีไป แต่ถ้าพี่เขาเกิดไม่ยอมไปไหน ผมอยากให้พี่ลองพิจารณาดูหน่อย บางทีคนๆ นี้อาจเป็นคนที่จะมาเติมเต็มพี่ก็ได้”

มันเทศนาผมเสียยาว

“...ผมไม่อยากให้พี่ปิดใจเพียงเพราะประสบการณ์แย่ๆ ในอดีต...ตอนนี้พี่จะคบพี่เขาด้วยสถานะไหนก็แล้วแต่ แต่ในอนาคต ถ้าพี่วัฒน์เปิดใจพี่ได้ ผมอยากให้พี่นพยอมรับมัน อยากให้แสดงมันออกมา อย่าเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวไว้”

มันพูดถึงความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้อีกแล้ว ผมยิ้มหยัน...บางครั้งมันไม่ง่ายหรอกนะที่จะพูดในสิ่งที่ตัวคิดออกมาได้

“ไว้กูจะเก็บไปคิดดูแล้วกัน...”

ผมตอบ

“ดื้อ!”

เออ ด่ากูอีก

“เห้อออ พูดออกไปแล้ว สบายใจแล้ว”

ผมทำเสียงแร่ด เอ๊ย ร่าเริง

“ไหนๆ ก็โทรมาคุยแล้ว มาเม้าเรื่องไปเที่ยวกันดีกว่า”

ผมพยายามปัดสิ่งที่อยู่ในหัวออก แล้วเล่าเรื่องราวที่พบเจอระหว่างการเดินทางให้มันฟัง



“มาดริดรถโคตรติดเลยว่ะ..”

“บาร์เซโลน่ามีแต่งานของเกาดี้เต็มไปหมด สวยแบบเข้าใจยากอ่ะ...”

“...เซวิย่านี่เจ๋งสุด ให้บรรยากาศสเป๊น สเปน...เดินเข้าออกร้านทาปาส จิบร้านละหน่อย แต่ก็เมาเละเลยมึง”

“หนุ่มสเปนหล๊อ หล่อ...”

ราฟาสวนมาทันควัน

“ขอบคุณที่ชมครับ!”

ผมอึ้งไปแว่บนึง ก่อนที่เราจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน การคุยกับมันทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะ

“หัวเราะได้แล้ว แปลว่าสบายใจแล้วสิ?”

มันถาม

“อือ สบายใจละ”

“ดีแล้ว งั้น ผมมีเรื่องดีๆ จะบอก ผมว่าจะบอกตั้งนานละ แต่พอดีพี่นพไม่อยู่”

“...ผมขอแจงแต่งงานแล้วอ่ะพี่”



ราฟาแต่งงานแล้วครับ พิธีจัดขึ้นที่โบสต์คริสต์แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ใบหน้าของร่างสูงในชุดทักซิโดสีฟ้าเบบี้ บลูฉายแววแห่งความสุขพร้อมเกาะกุมมือบอบบางของน้องแจงไว้แน่นตลอดงาน เมื่อบาทหลวงประกาศให้ทั้งคู่เป็นสามี ภรรยา เมื่อริมฝีปากทั้งคู่สัมผัสกัน ผมอดไม่ได้ที่จะกุมมือคนที่นั่งข้างตัว พี่วัฒน์บีบมือผมตอบเบาๆ ผมสะดุ้งเมื่อพี่วัฒน์ยกมือเช็ดหยาดน้ำใสๆ จากหางตาของผม ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามันไหลออกมาเมื่อไหร่

หลังพิธีทางศาสนา บ่าวสาวที่ยิ้มและหัวเราะให้กันอย่างมีความสุขเรียกบรรดาสาวโสดในงานมารวมตัวกันหน้าโบสถ์ สาวๆ พวกนั้นเบียดเสียดกันเพื่อรอรับช่อดอกไม้จากเจ้าสาว ผมเดินหลบออกไปอยู่หลังกลุ่มสาวๆ ผมเห็นราฟากระซิบเบาๆ ที่หูน้องแจง พร้อมหัวร่อต่อกระซิกกัน ผมมองภาพนั้นเพลินๆ เมื่อ...

ตุ้บ!!!

ผมตะครุบช่อกุหลาบงามที่มากระทบอกผมแทบไม่ทัน

“อุ๊ย โยนแรงไปหน่อย ขอโทษนะเพื่อนๆ”

สาวแจงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้หันไปขอโทษพวกสาวๆ  ผมหันไปมองไอ้ตัวแสบที่ปิดปากหัวเราะคิกคักอยู่ ฝีมือมันแน่ๆ

“เอ้า ได้ช่อดอกไม้แล้ว รีบๆ หาคนแต่งด้วยได้แล้วพี่นพ”

มันกระเซ้าผม แต่ตามองไปที่พี่วัฒน์นู่น หน้าผมงี้ร้อนไปหมดครับ ถ้าไม่ติดว่าเป็นงานแต่งมันผมจะไปเตะมันให้ซักป้าบ

ดอกไม้ช่อนั้นแขวนอยู่ที่หัวเตียงของผมนานหลายปีจนกระทั่งมันหลุดร่วงไปตามกาลเวลา



กาลเวลาผันผ่านไป ผมเจอกับราฟาน้อยลงๆ ไปทุกที เราทั้งคู่ต่างง่วนอยู่กับหน้าที่การงานของตัวเอง ผมไม่ได้โทรไปอวยพรวันเกิดมันแบบที่เคยทำมาทุกปี ที่จริงผมแทบไม่ได้โทรหามันแล้วด้วยซ้ำ ผมไม่อยากรบกวนเวลามันกับน้องแจง ผมรู้ว่าน้องแจงคงไม่ว่าอะไรถ้าผมโทรไป แต่เป็นตัวผมเองที่ไม่สะดวกใจที่จะโทร​ สิ่งที่ผมกลัวเมื่อตอนเลิกสอนกำลังเริ่มเป็นจริงแล้ว



เวลาผ่านไปอีกปี ผมเริ่มเจอเพื่อนกลุ่มใหม่ พวกเรารวมกลุ่มกันมาจากห้องอาหารการกินของเว็บบอร์ดสีน้ำเงินชื่อดัง พวกเรารวมตัวกันเพื่อไปตระเวนกินร้านนั้นร้านนี้ และจากเพื่อนกลุ่มนี้ผมก็ได้เพื่อนสนิทคนใหม่ มันคือเจ้าเจ เจนยุทธ

ตอนที่ผมเจอมันครั้งแรก เจยังเป็นนักศึกษา มันเป็นหนุ่มน้อยร่างบาง ผิวขาว ท่าทางเรียบร้อย ตากลม แก้มป่อง ปากน้อยๆ ของมันขยับกินตลอดเวลา อิมเมจประมาณกระรอกน้อยครับ แต่ใครจะรู้ว่าข้างในมันนี่คือเสือดีๆ นี่เอง สาวที่ผมรู้จักโดนมันจับกินตับมาหลายคนมากแล้ว

ไอ้เด็กเจนี่มันแสบครับ มีครั้งนึง ผมบังเอิญไปเจอพี่ภูมิกับเมียแกที่สตาร์บัคส์ เราเดินชนกันก็เลยจำเป็นต้องทัก พอเจรู้ว่านี่คือพี่ภูมิ มันงี้รีบมาทำท่าประจ๋อประแจ๋ผมใหญ่ มันเดินเข้ามากอดเอวผมต่อหน้าพี่ภูมิ แทบจะหอมแก้มผมด้วยซ้ำ พอไปนั่งโต๊ะมันก็ทำจับมือจับไม้ผมโดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง ถ้าไม่ห้าม มันคงจูบปากผมไปแล้ว ผมรู้สึกเลยว่าพี่ภูมิมองตาม ผมรู้ได้จากที่เคยสัมผัสมาว่าเด็กหน้าตาน่ารักแบบเจคือแบบที่พี่ภูมิโปรดเลยทีเดียว เจมันกระซิบผมว่าที่ทำงั้นเพราะอยากให้พี่ภูมิแกเห็นว่าผมมีชีวิตที่เป็นสุขดี



ชีวิตผมก็เป็นสุขดีจริงๆ ครับ ผมแบ่งเวลาระหว่างที่ทำงาน บ้านและชีวิตส่วนตัวได้แล้ว ผมยังคบหากับพี่วัฒน์ แต่ผมยังไม่ให้ใจผมไปเต็มร้อย เราคุยโทรศัพท์กันน้อยลงเนื่องจากยุ่งกันทั้งสองฝ่าย แต่ก็พยายามหาเวลาเจอกันอย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้งรวมทั้งหาทางไปเที่ยวไกลๆ กันปีละหน ผมก็ยังวีนแตกใส่แกบ่อยครั้ง ส่วนแกก็ทนเหมือนเดิม แต่เราก็พอใจกับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้

ส่วนราฟา เราแทบไม่ได้คุยกันแล้วครับ นานๆ ทีผมก็จะส่งข้อความใน msn ไปหามันที


‘พี่นพ เฟซพี่มีแต่ของกิน มิน่าบวมเอาๆ’


นี่คือประโยคแรกที่มันทักผมหลังจากผมรับแอดมันในเฟซบุ้คหลังจากไม่ได้ติดต่อกันจริงจังมาเกือบปี

'ไอ้เด็กเปรต! ในนี้ก็ยังปากด๊อกเหมือนเดิมนะมึง’

นี่คือคำต้อนรับของผม



“สุขสันต์วันเกิดว่ะ”

ผมพิมพ์ข้อความสั้นๆ ลงในเฟซมันพร้อมแนบรูปเค้กช็อคโกแลต ผมดีใจมากที่หามันเจอบนเฟซบุ้ค ตั้งแต่รับแอดมันเมื่อปีที่แล้ว ผมได้รับรู้ถึงชีวิตของมันโดยตลอด รู้ว่ามันเข้าไปเรียนป. โทที่ม. และกำลังจะจบ ชีวิตมันแฮ้ปปี้ดี เราคุยกันออนไลน์บ้าง เมนท์กันบ้าง กดไลค์นั่นนี่กันบ้าง ผมเคยคุยกับเหยี่ยวซึ่งเจอตัวเป็นๆ ของราฟาบ่อยกว่าผมว่าว่างๆ จะแวะไปหามันที่บ้านมั่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มีโอกาสไปซะที ก็เลยได้แต่ส่องเฟซมันไปเรื่อยๆ

ตอนนี้ผมกับไอ้เจแทบจะตัวติดกันตลอดเวลาครับ เราสองคนเข้ากันได้สุดๆ ทั้งรสนิยมการกิน การใช้ชีวิต ความชอบหลายๆ อย่าง ผมไปไหนมาไหนกับมันจนทุกคนคิดว่ามันเป็นแฟนผม แต่เราไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้นครับ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับมันทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกันตลอดเหมือนกับตอนอยู่กับราฟาในมหาวิทยาลัย หากความรู้สึกของผมในตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น ระหว่างเราสองคนมีแต่มิตรภาพเท่านั้น ตอนแรกพี่วัฒน์ก็กังวลอยู่ แต่หลังจากผมยืนยันแน่ชัดว่าไม่มีอะไรแน่ แกก็เข้าใจ แถมยังกลายเป็นเพื่อนกับมันไปด้วย

กับพี่วัฒน์...เราสองคนก็ยังมีความสัมพันธ์แบบเดิม ทะเลาะกัน งอนกัน ดีกัน มันเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตคู่เราไปแล้ว เขาไม่ได้มองหาใครใหม่ ผมเองก็ไม่ได้ต้องการจะมีใครอีก ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีตามครรลองของมันเอง



ชีวิตของผมเป็นแบบนี้มาอีกสามสี่ปี แต่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะคืบคลานเข้ามาอีกครั้ง

“พวกเราจะไปดูหลานกัน นพจะไปด้วยป่าว?”

เหยี่ยวโทรมาถามผม น้องแจงแฟนของราฟาเพิ่งคลอดลูกคนแรกเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว

“ยังไม่สะดวกอ่ะ เหยี่ยว ช่วงนี้พ่อไม่ค่อยสบาย ไว้ถ้าเรียบร้อยแล้วเราค่อยนัดกันอีกทีนะ”

ผมบอกไปตามนั้น พ่อผมเกิดปวดท้องอย่างหนักเมื่อเดือนที่แล้ว ผลการตรวจบอกว่ามีก้อนเนื้ออุดตันที่ลำไส้และต้องผ่าตัดด่วน ผลชิ้นเนื้อบอกว่าเป็นมะเร็ง ตอนนี้พ่อต้องปรับการใช้ชีวิตใหม่หมด อีกทั้งต้องไปทำคีโมแทบทุกเดือน โชคดีที่น้องคนเล็กผมออกงานและกลับมาอยู่เชียงใหม่ได้เกือบปีแล้ว ผมเลยพอได้หายใจหายคอได้บ้าง ผมตั้งใจไว้ว่าถ้าอาการพ่อดีกว่านี้ ผมจะไปเยี่ยมพวกเขาแน่นอน



หากเรื่องราวไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิด แปดเดือนหลังจากสู้กับมะเร็ง พ่อผมก็จากไป ทั้งๆ ที่ผลคีโมออกมาดีแต่พ่อผมกลับเสียด้วยโรคแทรกซ้อนอย่างปอดอักเสบ พ่อเข้าไอซียูอยู่หลายวันแต่ในที่สุดก็สู้ไม่ไหวและจากไปในที่สุด เมื่อเสร็จงานศพ ผมรู้สึกแย่มากและต้องการคนคุยด้วย คนแรกที่ผมนึกถึงไม่ใช่พี่วัฒน์หรือน้องเจ แต่เป็นไอ้เด็กปากจัดคนนี้...ผมโทรหาราฟา

“ว่างคุยป่าววะ?”

“คุยได้พี่ ลูกเพิ่งหลับ...เสียใจด้วยนะพี่นพ ผมแวะไปงานมาแป๊บนึง แต่เห็นพี่ยุ่งเลยไม่ได้ไปทัก...”

“...แล้วพี่เป็นไงมั่ง หายเหนื่อยหรือยัง? กินข้าวกินน้ำมั่งนะ”

น้ำเสียงของมันอบอุ่นเหลือเกิน

“ราฟา กูรู้สึกแย่ว่ะ...กูกับพ่อทะเลาะกันก่อนเค้าเสีย...เรายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลย”

ผมเล่าให้มันฟัง

“เราทะเลาะกัน แล้วเค้าบอกว่า...”

ผมกลั้นสะอื้น

“เค้าบอกว่า กูไม่เคยทำให้เค้าภูมิใจได้สักอย่าง...กูก็ทิฐิ ไม่ยอมคุยกับเค้า สุดท้ายเราก็ไม่ได้คุยกันดีๆ”

ราฟายังคงเป็นผู้ฟังที่ดี มันนิ่งฟังคำพูดที่พรั่งพรูออกจากปากผม สุดท้ายมันก็หาทางพูดจนผมรู้สึกดีขึ้นจนได้ เหมือนอย่างที่เคยทำมาทุกครั้ง



"พี่นพนี่น้า พี่ต้องเรียนรู้การแสดงความรู้สึกตัวเองมั่ง"

มันบ่นต่อ

“อย่างที่ผมบอกอ่ะ พี่ สุดท้ายคนเรา มีอะไรก็ต้องพูดกัน รู้สึกอะไรก็บอก แล้วอะไรๆ ก็ดีเอง...อย่างกับพี่วัฒน์ก็เหมือนกัน”

“หยุดเลย ไอ้นี่ ขยันทำคะแนนให้พี่มันจริง ได้สินบนมาเหรอ?”

ผมที่สบายใจขึ้นมากแล้วกลั้นยิ้ม ทำเสียงเข้มใส่มัน ผมรู้ตัวมาพักใหญ่แล้วว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกับพี่วัฒน์ แต่ผมขอปากแข็งต่ออีกสักหน่อย

“ขอบใจว่ะ ตลอด 20 ปีนี้ กูมาร้องไห้กับมึงนี่กี่ครั้งแล้ว? เบื่อหรือยัง?”

ผมอ้อมแอ้มถาม

“ไม่เบื่อหรอกพี่ มีอะไรก็คุยมาได้นะ อินบ็อกซ์มาก็ได้”

ผมได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จากทางปลายสาย

“ลูกตื่นแล้วเหรอ? งั้นกูวางก่อนดีกว่า ไว้ว่างๆ จะแวะเข้าไปหานะ ไม่ได้เจอมึงกับน้องแจงแบบตัวเป็นๆ นานแล้ว คิดถึงเหมือนกัน”

ผมพูดออกไปตรงๆ ผมตั้งใจว่าคราวนี้ผมจะแวะไปหามันแน่นอน



สี่เดือนผ่านไป ผมก็ยังไม่ได้แวะไปหามันและลูก วันเกิดมันวนมาถึงอีกครั้ง ผมไม่ได้โทรไปหากแต่ไปทิ้งข้อความอวยพรพร้อมรูปดอกไม้ไว้บนหน้าเฟซบุ๊ค อย่างน้อยมันก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกับมัน และได้รับรู้ความเป็นไปในชีวิตของแต่ละคน

‘ไง พี่นพ ว่าจะมาหาผมวันก่อนแล้วหายไปเลย’


มันพิมพ์มาใน fb messenger หลังจากผมอวยพรวันเกิดมันไปเมื่อสิบวันที่แล้ว

‘โทษทีว่ะ วิกฤตทางอารมณ์นิดหน่อย แม่ม อิพี่วัฒน์กวนตีนกูอีกแล้ว’

‘คู่นี้มันยังไงกันน่ะ ตกลงจะรักหรือเกลียดกัน? หรือพี่วัฒน์แกจะเป็นมาโซฯ? ว่าแต่เม้คอัพ เซ็กส์นี่มักจะเด็ดใช่ไหม พี่นพ?’


‘เสือก!!!’

ไอ้เด็กนี่มันร้ายนัก มันพิมพ์อีโมติค่อนคนแลบลิ้นมาเป็นสิบตัวกลับมา

'...อยากบอกอะไรก็รีบบอกกันซะนะ ก่อนจะสายไป...'

มันสำทับ

'ไว้หายเขินก่อนค่อยบอกว่ะ'

นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผมบอกมัน



20 กรกฎาคม 2557

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเมื่อก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อคนโทรมา

“ไง เหยี่ยว โทรมาซะดึกเชียว มีอะไร?”

“นพ...รู้เรื่องราฟาหรือยัง?”

เสียงที่ปลายสายฟังดูร้อนรน สิ่งถัดไปที่ได้ยินทำให้ผมชาวาบไปทั้งตัวเหมือนสายฟ้าฟาดลงไปกลางใจ

“มันเป็นลมล้มไป ตอนนี้อยู่ไอซียูอยู่ ...ฮัลโหลๆ นพ ฟังอยู่ไหม?”

ผมสั่นไปทั้งตัว ในหัวผมขาวโพลนไปหมด

“เราอยากไปหามัน มันอยู่ที่ไหน เราจะไปหา”

ผมพูดอย่างไร้สติ เหยี่ยวรีบห้ามผมไว้ บอกว่าให้รอฟังอยู่ที่บ้านดีกว่า

ผมวางสายด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง...น้ำตาร่วงพรูออกมาอย่างสุดกลั้น

‘มึงต้องไม่เป็นอะไรนะ ราฟา มึงต้องไม่เป็นอะไร กูยังไม่ทันได้บอกมึงเลย...'

ผมอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างในโลกขอให้มันปลอดภัย


ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง



ราฟาจากไปอย่างสงบในเช้าของวันถัดมา ผมเสียน้ำตาอย่างหนักให้กับการจากไปของมัน แม้ผมผ่านความตายของคนรอบข้างมาหลายครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่เหมือนครั้งนี้เพราะมันเป็นการจากไปแบบไม่ทันรู้ตัว

ในงานศพของราฟา ผมได้เจอลูกสาวมันเป็นครั้งแรก ผมยิ่งรู้สึกแย่ยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยนั้นโตแค่ไหนแล้ว

...นี่ผมละเลยไม่ให้ความสำคัญกับคนที่ผมบอกว่าแคร์ถึงขนาดนั้น?

การที่เฝ้าดูพวกเขาทางโซเชียลมีเดียทำให้ผมนึกเอาเองว่าเราได้เจอกันบ่อย แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย มันไม่สามารถทดแทนความรู้สึกได้ชัดเจนเท่ากับการพบปะกันจริงๆ

ที่บ้าน ผมนั่งเหม่อเหมือนคนไร้ใจ หลายครั้งที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก ผมรับไม่ได้กับความจริงที่ว่าผมจะไม่ได้เจอมันอีกในชีวิตนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เจอตัวกันแต่ผมยังรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมันเสมอ แม้ห่างหายกันไป ผมก็รู้ว่ามันยังอยู่ในระยะเอื้อมถึงตลอด ผมไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับมันเพราะผมชะล่าใจคิดไปว่าเรามีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะได้พบเจอกัน ผมคิดเอาว่าผมสามารถไปพบเจอมันได้ทุกครั้งที่ต้องการ


‘เดี๋ยวก็ได้เจอ’

‘ไว้ค่อยไปหาก็ได้’

‘บ้านมันอยู่แค่นี้เอง’

‘ไว้ค่อยโทรหามัน’




แต่ในตอนนี้ผมไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งเหล่านั้นแล้ว



ผมจรดริมฝีปากที่ปลายนิ้วและแตะไปบนรูปที่ตั้งหน้าเมรุ นี่เป็นจูบแรกและจูบเดียวเพื่ออำลาคนสำคัญที่เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นคนรู้ใจ

น้ำตาผมไหลออกมาไม่หยุดเมื่อเห็นควันจากปล่องเมรุ

‘กูเข้าใจแล้วที่มึงบอกว่าให้แสดงความรู้สึกออกมาก่อนที่จะไม่มีโอกาส’

ตอนนี้โอกาสของผมที่จะบอกว่าผมรู้สึกกับมันยังไงหมดไปแล้ว โอกาสที่ผมจะบอกว่าผมขอบคุณมันแค่ไหนที่อยู่ในชีวิตผมมาตลอด 22 ปี โอกาสที่จะบอกว่ามันสำคัญต่อชีวิตผมแค่ไหน...ไม่มีอีกแล้ว

ผมรู้สึกว่างเปล่าเหมือนมีรูขนาดใหญ่ในใจ ส่วนหนึ่งของชีวิตผมตายไปพร้อมกับมันด้วย แม้ชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป แม้ผมจะยังมีคนที่รักและเข้าใจผมอยู่เคียงข้าง แต่ก็ไม่อาจมีใครมาแทนที่คนสำคัญที่ผมเสียไปคนนี้ได้



ราฟาจากผมไปได้ครบปีแล้วครับ มันทำให้ผมหันมาใส่ใจคนที่ผมละเลยไปบ้างมากขึ้น รวมทั้งติดต่อกับเพื่อนเก่าๆ ที่ห่างหายกันไปมากขึ้น เหมือนเช่นในวันนี้ ผมมานั่งไล่ๆ ดูเพื่อนในเฟซบุ๊คที่แอดๆ เข้ามาแล้วผมไม่ได้ใส่ใจ ผมสะดุดเข้ากับชื่อหนึ่ง ชื่อที่ผมไม่เห็นมาเกือบยี่สิบปี และเคยคิดว่าอยากจะลืมมันไปเสียด้วยซ้ำ


Javier Valentin Martinez de la Rosa


ฆาเบียร์ รูมเมทตอนผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ชายคนแรกของผมแอดผมมาเมื่อเดือนก่อน ผมลังเลอยู่นานก่อนจะคลิกรับแอดมันเป็นเพื่อน ผมคลิกไปดูหน้าโพรไฟล์ของมัน ไอ้ฆาบี้มันดูดีขึ้นมากครับ ตอนที่ผมเจอมัน มันก็ดูเป็นนักศึกษาเชื้อสายละตินธรรมดาๆ แม้จะแต่งตัวจัดไปบ้างตามประสาหนุ่มละติน แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางว่ามันจะกลายเป็นหนุ่มไฮโซ ใส่สูทผูกไทท่าทางเคร่งขรึมเหมือนรูปในโพรไฟล์มันในตอนนี้เลย ผมลองคลิกดูตรง bio ของมัน มันใส่อาชีพตัวเองว่าเป็น publicist และ blogger

กลางดึกวันนั้น ผมได้รับข้อความจากฆาเบียร์ สิ่งแรกที่มันเขียนคือคำขอโทษ มันพร่ำขอโทษผมจนผมต้องบอกให้มันหยุด

"กูไม่ได้คิดโกรธแค้นหรือเคืองมึงแล้ว เลิกขอโทษสักที"

ผมพิมพ์ไปตามความรู้สึกจริง เวลาเกือบยี่สิบปีทำให้ความรู้สึกนั้นจางหายไปหมดแล้ว พวกผมในวัยใกล้สี่สิบเริ่มคุยกันเหมือนวันเก่าๆ ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงวันเวลาอันแสนสนุกสนานที่พวกผมเคยมีด้วยกันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น เราต่อกันติดอย่างรวดเร็วและพูดคุยกันเหมือนดั่งวันวาน



เวลาผันผ่านไปอีกครั้ง ราฟาจากผมไปเกือบสามปีแล้วครับ

หลายครั้งที่ผมเหมือนเห็นมันอยู่ในฝัน บางครั้งผมเผลอไผลนึกไปว่ามันยังอยู่   เผลอคิดไปว่าคิดถึงมันจัง อยากโทรหาหรือคิดว่าเดี๋ยวไปหามันดีกว่า แต่ก็ต้องน้ำตาร่วงทุกครั้งที่นึกได้ว่าผมไม่อาจจะเจอหน้ามันได้อีกแล้วในชีวิตนี้

แต่ผมก็ยังเป็นผม สันดานเดิมมันแก้ยาก ผมไม่ได้แวะเวียนไปหาน้องแจงและลูกบ่อยเท่าที่ควร ผมยังคงทะเลาะเหวี่ยงวีนใส่พี่วัฒน์ ยังคงไม่ตอบรับทุกครั้งที่เขาบอกว่ารักหรือบอกว่าคิดถึง ผมปากแข็งเกินไปที่จะแสดงความจริงในใจของผมให้เขารู้ ทั้งๆ ที่ผมเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าผมไม่สามารถจากคนๆ นี้ไปได้อีก แต่ผมก็ทิฐิเกินไป หากผมจะบอกรักพี่วัฒน์ทุกๆ วันเกิดของราฟา อย่างน้อยเพื่อเป็นการระลึกถึงผู้ที่จากไปคนนั้น



ทุกวันนี้ชีวิตผมไม่มีอะไรมาก มีแค่งาน ยามว่างผมก็ออกไปกินเที่ยวกับไอ้เจเหมือนเดิม มันกับผมก็ยังคงตัวติดกันแบบนี้มาเกือบสิบปีแล้ว เหตุที่ยังเป็นแบบนี้ได้เพราะมันก็ยังล่องลอยไปมา ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน บางครั้งผมก็ห่วงมันเมื่อเห็นพฤติกรรมไร้รักของมัน

"เมื่อไหร่มึงจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนวะ ไอ้เจ?"

ผมถามมัน

"หือ? พูดอะไรอ่ะ พี่นพ แฟนเฟินอะไรผมไม่อยากมีหรอกอ่ะ"

ไอ้เจทำเนียนคีบเนื้อย่างชิ้นที่ผมกำลังปิ้งอยู่ ผมตีมือมันเพียะแล้วรีบคว้าเนื้อลายชมพูชิ้นงามนั้น

"มึงจะลอยชายไปงี้เรื่อยๆ เหรอวะ? นี่มึงเคยรักใครมั่งไหม?"

มันทำหน้าบูดใส่ผม

"ไม่เอาอ่ะ มีแฟนเป็นตัวเป็นตนน่าเบื่อจะตาย อีกอย่าง ผมไม่ชอบเด็ก ไม่อยากมีลูก จะให้ไปมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ผมก็ไม่ได้อยากสร้างครอบครัว ก็สงสารผู้หญิงเขานะพี่"

"ก็หาแฟนผู้ชายแบบกูสิ รับรอง ไม่มีปัญหา"

ผมพูดยิ้มๆ ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดแบบนั้นออกไป

"บ้า พี่ ผมเนี่ยนะ? ผมยังชอบแบบเนื้อนมไข่อยู่นะพี่นพ..."

ไอ้เจหัวเราะลั่น


"แต่ก็ไม่รู้นะ พี่นพ ของแบบนี้ สักวันผมอาจจะเปลี่ยนขั้วก็ได้ สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อว่าความรักมันไม่มีพรมแดน ถ้าสักวันผมเจอคนที่ทำให้ผมรู้สึกรักได้จริงๆ ผมก็คงไม่สนว่าคนๆ นั้นจะเป็นเพศไหน เพียงแค่ว่าในตอนนี้ผมยังไม่เจอและไม่คิดจะผูกพันกับใคร ก็แค่นั้น"

มันทำหน้าจริงจัง ผมไม่แน่ใจว่ามันพูดเรื่องรักไร้พรมแดนมาเพียงเพื่อจะเอาใจผม หรือมันคิดแบบนั้นได้จริงๆ แต่เท่าที่ดูๆ แล้ว เจคงเป็นคนสุดท้ายในโลกที่จะมีสัมพันธ์จริงจังกับใคร ทุกวันนี้มันเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น สำหรับมัน ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องระบายความใคร่ หากมันไม่เคยบังคับใคร และจะเลือกคนที่รักสนุกและไม่ต้องการพันธะเหมือนกันเท่านั้น มันทำให้ผมนึกถึงไอ้เพื่อนหนุ่มละตินของผม จากที่คุยๆ กันมาสองปีกว่า มันทำให้ผมเห็นว่าฆาเบียร์เองก็เป็นแบบเดียวกับเจ หากแต่มันควงผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง

"มึงเป็นคนดีนะ ไอ้เจ เดี๋ยวก็มีอะไรดีๆ เข้ามาหาเองน่า​"

ผมพูดประโยคที่ผมเคยได้รับจากคนที่อยู่ในซอกลึกของหัวใจ ไอ้เจพยักหน้ารับคำทั้งๆ ที่กุ้งทั้งตัวยังอัดแน่นเต็มปากของมัน ผมอดไม่ได้ต้องยกมือตบหัวมันน้อยๆ อย่างเอ็นดู

พูดถึงไอ้ฆาบี้ ทุกวันนี้มันก็ยังขยันคุยกับผม เราคุยกันแทบทุกวันมาสองปีแล้ว พี่วัฒน์เองก็ดูจะแอบหึงเล็กๆ แต่ผมก็บอกแกชัดเจนว่าผมกับมันเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น อย่างน้อยทางฝ่ายผมก็คิดแบบนั้น เออ ใช่สินะ ผมลืมตอบข้อความที่มันส่งมาเมื่อเช้าเสียสนิท



"กูจะไปกรุงเทพฯ เดือนหน้า มึงว่างไหม?

ต้องไปงานเปิดสำนักงานใหม่แถบเอเชีย ที่ฮ่องกงน่ะ

เลยว่าจะแวะกรุงเทพด้วย ถ้ามาได้ก็บอก เดี๋ยวกูจัดการเรื่องที่พักให้​"




ดูเหมือนว่าตำแหน่งงานที่มันทำอยู่ตอนนี้จะใหญ่เอาการและทำให้มันต้องเดินทางบ่อย ถ้าไหนๆ มันก็มาแถวนี้แล้ว ผมก็อยากเจอมันเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ผมตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไป ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปอีกครู่หนึ่ง ในหัวผมกำลังเกิดความคิดเพี้ยนๆ อะไรบางอย่างขึ้นมา



ผมสะดุ้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น โดยปกติคนที่โทรมาดึกขนาดนี้จะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น คนหนึ่งคือพี่วัฒน์ แต่คงไม่ใช่ เพราะแกโทรมาแล้วก่อนหน้านี้ เหลืออีกคนก็คือไอ้เจตัวแสบ ผมโทรไปหามันหลายครั้งเมื่อก่อนหน้านี้ แต่มันไม่รับสายเลย ตอนนี้มันคงเห็นมิสคอลของผมและตัดสินใจโทรกลับ ผมกดรับสาย หลังจากสวดมันอยู่พักหนึ่ง ผมก็เข้าเรื่องที่ผมต้องการจะคุย

"...กูจะถามว่าเดือนหน้ามึงว่าไหม ว่าจะชวนไปกรุงเทพฯ"

"...ไอ้ฆาบี้มันจะมา ว่าจะไปหามันหน่อย ไม่ได้เจอกันมาจะยี่สิบปีละ แล้วจะเลยไปหาพี่วัฒน์ด้วย"

เจอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบรับกลับมา ผมอดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่ปรากฎขึ้นมาในหัวผมเมื่อครู่นี้ ผมได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะออกมาเป็นเหมือนกับที่ผมหวังไว้





ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
คนเขียนขอหนีเที่ยวสองสัปดาห์นะคะ จริงๆ กะว่าจะเข็นออกมาอีกตอนก่อนหนีเที่ยว แต่พอดีมีงานเข้า นั่นนี่นู่นจนกระเป๋ายังไม่ได้จัดเลยค่ะ จะไปพรุ่งนี้แล้ว ฮืออออออออ แล้วจะรีบกลับมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- สุขสันต์วันวาเลนไทน์ ----




“โอ๊ย สายแล้วๆ”

เจนยุทธบ่นพึมพำ เขาดูนาฬิกาเรือนงามของเขา เขารีบเดินๆ ขึ้นบันไดเลื่อนไปยังบนของอาคารผู้โดยสารต่างประเทศของสนามบินเชียงใหม่ หลังผ่านกระบวนการตรวจคนออกเมือง เจก็มานั่งรอขึ้นเครื่องของแอร์เอเชียไปยังฮ่องกง เจยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกว่าคนตัวโตของเขาจะดีใจขนาดไหนที่อยู่ๆ เจก็โผล่ไปเซอร์ไพรส์เขาถึงที่ทำงาน

เจเปิดมือถือขึ้นดูเฟซบุ้คของเขา เขาเห็นกุหลาบและความรักบานสะพรั่งเต็มหน้าฟีดจากโพสต์ของเพื่อนๆ เขาก็อยากโพสต์อะไรเหมือนกันแต่ก็กลัวไก่ตัวโตของเขาจะตื่นเสียก่อน

“ตรู๊ด”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่เจกำลังเข้าแถวเตรียมขึ้นเครื่อง เขารีบยกมาดูแล้วก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ

“หวัดดีครับลุง หือ? มีของมาส่ง? เอ่อ ผมกำลังจะขึ้นเครื่องครับ เดี๋ยวลุงรับไว้ก่อนแล้วผมจะขอพี่นพแวะเข้าไปเอาทีหลังนะครับ ต้องไปแล้วครับ ฝากด้วยนะครับ”

เจรีบกดวางสายและโทรหานพ คนที่โทรมาคือลุงผู้ดูแลคอนโดที่เขาอยู่ ลุงแกบอกว่ามีของชิ้นใหญ่ส่งมาถึงเขา เขาก็คงต้องขอนพให้ไปรับมาเก็บไว้ให้เหมือนทุกครั้ง เจกดโทรหานพ หลังจากคุยกันแล้วเขาจึงปิดเครื่องแล้วรีบขึ้นเครื่องบินไปฮ่องกง



เจนยุทธลงรถแอร์พอร์ท เอ็กซเพรสที่สถานีเกาลูนซึ่งอยู่ใต้ห้าง Elements เขาขึ้นบันไดเลื่อนในตัวห้างเพื่อเข้าไปยังอาคารไอซีซีอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานฆาเบียร์ ใจเขาแทบทนไม่ไหวที่จะได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคนรักแล้ว

เจนยุทธลากกระเป๋าเดินทางใบน้อยของเขาเข้าไปในสำนักงานของฆาเบียร์ เขาทักทายสาวๆ ที่แผนกต้อนรับแล้วเดินเข้าไปด้านใน เขาเจอเข้ากับริคกี้พอดี เจนยุทธทักทายเลขาฯ หนุ่มของฆาเบียร์ที่มีทีท่างุนงงเล็กน้อย

“ไง ริคกี้ ฆาบี้อยู่ในห้องหรือเปล่า คุณช่วยผมดูต้นทางหน่อย อย่าให้พี่แกเดินออกมาเจอผมนะ เดี๋ยวจะไม่เซอร์ไพรส์”

เจพูดรัวเป็นชุดพร้อมกับดึงริคกี้มาแอบอยู่หลังคอกกั้นโต๊ะที่อยู่ไม่ห่างห้องทำงานของฆาบี้นัก เขาทำท่าจะเปิดกระเป๋าหยิบของที่เตรียมไว้ออกมาแต่ต้องชะงักกึกเมื่อริคกี้พูดเสียงอ่อยๆ ออกมา

“คุณเจครับ บอสไม่อยู่ครับ ไปพบลูกค้าที่เซี่ยงไฮ้ กำหนดกลับพรุ่งนี้”



“เซอร์ไพรส์!”

เสียงของฆาเบียร์ดังขึ้นในหัวของเจนยุทธ เขาหมดอารมณ์สนุกทันที ริคกี้รีบกุลีกุจอเชิญเจเข้าไปนั่งในห้องทำงานของฆาเบียร์ แต่คนตัวเล็กปฏิเสธ

“เดี๋ยวผมจะขึ้นไปที่ห้องพักเลยแล้วกัน คงค้างสักคืนแล้วกลับพรุ่งนี้ ไว้เย็นๆ ผมอาจจะมาชวนกินข้าวนะ”

เจฝืนยิ้มให้เลขาของคนรักก่อนจะเดินคอตกเข้าลิฟท์ไป เขาขึ้นไปยังห้องพักชั้น 109 ของฆาเบียร์และใช้คีย์การ์ดของตัวเองเปิดเข้าไปในห้อง เขาเอาของที่ตัวเองเตรียมมาเซอร์ไพรส์คนรักเก็บใส่ตู้เย็น จากนั้นทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเซ็งและนอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูนั่นนี่

“อ้าว ลืมปิด flight mode นี่หว่า”

ด้วยความเร่งรีบมาที่สำนักงานของคนรัก เจไม่ได้เปิดสัญญาณมือถือไว้ เขากดเปิดทันที

“เวร พี่นพโทรไลน์มาตั้งหลายรอบ”

เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่เขายังไม่มีอารมณ์จะโทรกลับหาคนที่เขารู้ว่าจะบ่นเขาแน่ๆ เจโยนมือถือไว้ข้างตัวแล้วกลับลงไปนอนใหม่ แต่ก่อนที่เขาจะเคลิ้มหลับไป เสียงโทรไลน์ก็ดังขึ้น เขารีบหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วก็ต้องทำหน้าบูด คนที่ทำเซอร์ไพรส์เขาเข้าอย่างจังโทรมาหาเขาจนได้ เจกดตัดสายและพิมพ์ข้อความกลับไปว่าเขายังไม่สะดวกคุย เจนยุทธถอนหายใจ เขาขอทำตัวงี่เง่าสักวัน เสียงไลน์เด้งมาอีกหลายครั้ง แต่เจไม่ใส่ใจ เขาลงเตียงไปเดินสำรวจนั่นนี่ในห้องคนตัวโต และยิ้มร่าออกมาเมื่อเห็นคอนญัคแพงระยับที่ฆาเบียร์ซื้อให้เขาวันเกิด มันพร่องไปอีกเพียงเล็กน้อย แสดงว่าคนตัวโตดื่มมันอย่างถนอมพอสมควร เจหยิบแก้วบรั่นดีออกมาจากชั้นและเทของขวัญวันเกิดของเขาลงไป

“โอย อร่อยสมราคาจริงๆ”

เจพึมพำเบาๆ เขาค่อยๆ ละเลียดดื่มจนหมดแก้ว เขาเทแก้วต่อไปอย่างไม่ลังเล ก็มันของขวัญวันเกิดเขานี่นา เขาจะดื่มกี่แก้วก็ได้ เจดื่มบรั่นดีไปสามแก้วก่อนที่จะหยุดและหาอย่างอื่นดื่มแทน เขาเจอเบอร์เบิน Branton's ที่เขาเคยบอกคนตัวโตว่าอยากลอง เจเปิดขวดและรินมันลงแก้ว เขาถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่และจิบเบอร์เบินที่เขาเคยเห็นจากหนังเรื่อง John Wicks ภาคแรก รสของเบอร์เบินนั้นนุ่มละมุนแต่ก็ทำให้กายเขาร้อนวาบด้วยความแรงของแอลกอฮอล์ มันทำให้เขาอดนึกถึงสิ่งที่เขาทำเมื่อวานไม่ได้



“ไอ้เจ ปั้นดีๆ หน่อยสิ อย่าปั้นไปกินไป แบบนี้จะเหลือซักกี่ลูก?”

เจหันไปแลบลิ้นให้พี่สาวที่ยืนบ่นอยู่ข้างๆ เจขอให้พี่อิ่มมาสอนเขาทำของขวัญวันวาเลนไทน์ให้กับฆาเบียร์ เมื่อพูดถึงวันวาเลนไทน์ เขาก็นึกถึงช็อคโกแลต แล้วใครจะสอนเขาได้ดีกว่าอิ่มใจผู้มีประสบการณ์ทำช็อคโกแลตมาอย่างโชกโชน ตอนเด็กๆ เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นอิ่มทำช็อคโกแลตหรือเปล่า แต่พออิ่มเข้ามหาวิทยาลัย เจก็จำได้ว่าเคยเห็นพี่สาวทำช็อคโกแลตทุกวันวาเลนไทน์จนกระทั่งอิ่มไปเรียนต่อ เขาไม่เคยรู้เลยว่าอิ่มทำไปให้ใคร แต่พี่สาวของเขากลับมาทำช็อคโกแลตอีกครั้งหลังจากได้ติดต่อกับนพอีกครั้งผ่านเจ เจจึงได้รู้ว่าตลอดเวลามานี้ที่จริงแล้วอิ่มทำช็อคโกแลตไปให้ใคร แม้อิ่มจะทำเป็นจำนวนมากและอ้างว่าเอาไปแจกเพื่อนก็ตาม

“พี่อิ่ม เราต้องเอามันแช่ตู้เย็นอีกรอบเหรอ?”

“ใช่สิ มันมีทั้งเนยทั้งครีมแถมใส่เหล้าด้วยเลยละลายง่าย เจแช่ไว้ก่อน แล้วอีกเดี๋ยวเราค่อยเอามาจุ่มช็อคโกแลตอีกรอบนะ”

อิ่มใจช่วยน้องชายเอาถาดเหล็กขนาดใหญ่ใส่ในตู้เย็น วันนี้เจขอให้เธอสอนทำช็อคโกแลตไส้เหล้าเบอร์เบิน ซึ่งเธอก็ช่วยหาสูตรให้ พวกเขาเริ่มจากเอากะทะก้นหนาตั้งไฟกลางค่อนต่ำ เทครีมข้นหรือ heavy cream 1/4 ถ้วยและใส่เนย 4 ช้อนโต๊ะลงไป จากนั้นคนไปเรื่อยๆ จนเนยละลายและครีมเริ่มเดือดน้อยๆ จึงปิดไฟ ยกลงเตา จากนั้นใส่ช็อคโกแลตที่สับเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปตามสูตรซึ่งอิ่มหามาจากเว็บของบริษัทขายอุปกรณ์ครัวและของตกแต่งบ้านชื่อดังของสหรัฐฯ อย่าง Williams-Sonoma ในสูตรใช้ช็อคโกแลตนมกับแบบกึ่งหวาน แต่เจรู้ว่าฆาเบียร์ชอบช็อคโกแลตขมๆ เขาจึงใช้แบบกึ่งหวานและช็อคโกแลตดำอย่างละ 6 ออนซ์แทน เจค่อยๆ คนจนช็อคโกแลตละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับครีม เขาเติมเหล้าเบอร์เบินที่มีติดบ้านลงไป 1/4 ถ้วย คนให้เขากัน จากนั้นเทลงในชามแก้ว อิ่มบอกน้องชายให้ใช้ฟิล์มใสปิดปากชามและแช่ในช่องแช่แข็งไว้สัก 40 นาที



ขั้นตอนต่อไป อิ่มเอาถาดอบขนมที่เธอเตรียมมาจากบ้านออกมาแล้วปูด้วยแผ่นฟอยล์ เธอกำกับให้เจใช้ช้อนตวงขนาดหนึ่งช้อนโต๊ะ ตักเอาไส้ช็อคโกแลตออกมา

“ตักออกมาเต็มๆ พูนๆ ช้อนเหมือนตักไอติม แบบนั้นเลย เอ๊ะ บอกแล้วว่าอย่าชิม”

อาจารย์สาวบ่นน้องชายตัวดีลั่น เจแอบชิมไส้ขนมไปหลายคำแล้ว

“ตักขึ้นมาแล้วหย่อนมันลงบนถาด เอาเรียงไว้ให้มันห่างๆ กันหน่อย ยังไม่ต้องปั้นนะ เรียงทั้งๆ แบบนั้นแหละ เดี๋ยวเราเอาฟิล์มปิดถาดไว้แล้วแช่ในช่องแช่แข็งให้มันเซ็ตอีกครึ่งชั่วโมง”

“โหย ยุ่งยากชะมัดเลยอ่ะ พี่อิ่มทำงี้ให้พี่นพทุกปีนี่ไม่เบื่อมั่งเหรอ?”

อิ่มใจหน้าแดงซ่านเมื่อได้ยินคำบ่นพึมพำของไอ้น้องชายตัวดี

“นี่ ไม่ต้องมาบ่นเลย รักเขาไม่ใช่เหรอ ลำบากแค่นี้ก็ต้องทำให้ได้ มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรเลยนะ”

เจนยุทธเอาช็อคโกแลตใส่ตู้เย็นแล้วหันกลับมามองหน้าพี่สาวของตัวเองนิ่ง

“แล้วเจ๊โอเคเหรออ่ะ ที่ต้องทำแบบนี้ทุกปีๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมา”

อิ่มใจอึ้งไป เมื่อเห็นสีหน้าพี่สาว เจแทบอยากยกมือตบปากตัวเองที่ถามแบบนั้นออกไป เขาเดินไปกอดเอวพี่สาวไว้และขอโทษเสียงอ่อยๆ  อาจารย์สาวที่รักข้างเดียวมานานกว่ายี่สิบปีถอนหายใจยาวแล้วขยี้หัวน้องชายเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ได้คิดอะไรมาก สำหรับพี่ แบบนี้ก็โอเคแล้ว อย่างน้อยได้เห็นหน้าพี่นพเค้าบ่อยๆ ได้เห็นท่าทางดีใจของพี่เขาเวลาได้ช็อคโกแลตก็โอเคแล้ว ดีกว่าที่จะห่างหายไม่เจอหน้าเจอตากันเลย”

“แล้วเจ๊ไม่คิดจะหาใครอื่นมั่งอ่ะ? เจเห็นมีหนุ่มๆ มาจีบเจ๊ตั้งหลายคน ไม่มีใครถูกตาถูกใจมั่งเหรออ่ะ?”

อาจารย์สาวส่ายหน้า

“พี่ก็ดูๆ คนอื่นบ้าง แต่พี่ก็ไม่เคยคบใครได้นานนะ ไม่รู้สิ มันไม่คลิกเลย แล้วตอนนี้พี่ก็อายุใช่น้อยแล้ว ขออยู่สบายๆ ไม่มีพันธะแบบนี้ แล้วเอาเวลาไปดูแลแม่ ดูแลเราดีกว่านะ ไอ้ตัวยุ่ง”

อิ่มหยิกแก้มป่องๆ ของน้องชายอย่างมันเขี้ยว

“โอ๊ย หยิกอีกแล้ว ทำไมใครๆ ชอบหยิกแก้มผมจังวะ คนนะ ไม่ใช่ตุ๊กตา!”

เจนยุทธบ่นลั่น อิ่มใจหัวเราะร่วน สองคนพี่น้องลงนั่งดูทีวีไปพลาง คุยกันไปพลางจนช็อคโกแลตได้ที่



“ใช้ได้แล้ว เจ เนื้อแน่นแข็งแต่ยังปั้นได้ โอเคแล้ว ไปหยิบจานแบนมา แล้วเทผงโกโก้ลงไปในจานนั้นนะ”

เจทำตามที่อิ่มบอก อิ่มใจส่งถาดไส้ช็อคโกแลตมาให้น้องชาย

“เอ้า ใช้ฝ่ามือปั้นแต่ละก้อนให้เป็นก้อนกลมเนียน จากนั้นเอาลงคลุกผงโกโก้ให้ทั่วนะ รีบๆ ทำล่ะก่อนที่มันจะละลาย”

เจนยุทธรีบทำตาม แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะลิ้มชิมรสไส้ช็อคโกแลตแสนอร่อยนั้นจนเป็นเหตุให้ถูกดุอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้ออกมาแค่ 16 ชิ้นแทนที่จะเป็น 18 ชิ้นตามสูตร

“เห็นไหม ทำไป กินไป เหลือแค่นี้เอง”

อิ่มบ่นก่อนที่จะไล่เจให้เอาถาดไปแช่แข็งอีกครั้ง

“เอ้า ทีนี้ทำช็อคโกแลตที่เอาไว้เคลือบ ทำตามนี้นะ”

อิ่มใจให้เจเอาชามแก้วทนไฟวางบนปากหม้อที่ใส่น้ำไว้โดยไม่ให้ก้นหม้อสัมผัสน้ำ ตั้งไฟให้น้ำนั้นเดือดต่ำๆ เจเอาช็อคโกแลตดำ 12 ออนซ์ใส่ในถ้วยนั้นแทนช็อคโกแลตกึ่งหวานตามสูตร เขาใช้พายค่อยๆ คนช็อคโกแลตที่เริ่มละลายจนมันละลายหมดและเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นก็ยกมันลงจากเตา ที่จริงพวกเขาจะใช้ทางลัดโดยการค่อยๆ ไมโครเวฟช็อคโกแลตก็ได้ แต่อิ่มใจอยากจะทำด้วยวิธีดั้งเดิมมากกว่า



“จากนั้นเราก็เอาไส้มันจุ่มลงเลยเหรอ?”

เจถามพี่สาวซึ่งหยิบถาดไส้ช็อคโกแลตออกมาให้แล้ว อิ่มใจพยักหน้าและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เธอนำก้อนไส้ช็อคโกแลตมาวางไว้กลางฝ่ามือและคลึงเบาๆ ให้ผงโกโก้ส่วนเกินหลุดออก จากนั้นหย่อนลงในช็อคโกแลตเหลวทั้งก้อน เธอเอียงชามไปมาเพื่อให้เคลือบได้ทั่ว จากนั้นใช้ส้อมช้อนใต้ลูกช็อคโกแลตแล้วนำไปวางบนถาดอบที่ปูกระดาษฟอยล์รองกันเปื้อนไว้

“เคาะส้อมกับข้างถ้วยนิดนึงให้ช็อคโกแลตส่วนเกินไหลไปด้วยนะ แล้วใช้ปลายมีดเขี่ยช็อคโกแลตลงถาด ใช่ แบบนั้นแหละ เก่งเหมือนกันนี่เรา”

อิ่มใจชมน้องชายที่ยืนยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นช็อคโกแลตลูกแรกของตนออกมาสวยเกินคาด อิ่มช่วยเจโรยถั่วพีแคนสับละเอียดลงบนช็อคโกแลตที่ชุบเสร็จแล้ว ไม่นาน ช็อคโกแลตทั้ง 16 ลูกก็เสร็จสมบูรณ์

“โอเค ก็เหลือแค่แช่เย็นให้เซ็ตตัว แช่ช่องธรรมดา ไม่ต้องปิดหน้านะ ซักชั่วโมงก็ได้”

อิ่มใจกำชับ สองคนพี่น้องช่วยกันล้างจานและเรียงของที่ล้างเครื่องได้ลงในเครื่องล้างจาน



“ป่ะ เจ๊ กินข้าวกัน เดี๋ยวเจเลี้ยงเอง”

อิ่มใจใช้นิ้วดีดหน้าผากน้องชายคนเล็กดังเพี๊ยะ

“เป็นน้องเป็นนุ่ง ไม่ต้องอาจหาญมาเลี้ยงข้าวพี่ เราน่ะใช้ตังค์เยอะแล้ว ไม่ต้องมาเปลืองตรงนี้หรอก”

น้องชายคนเล็กของบ้านภัทรปรีดาเอามือลูบหน้าผากที่โดนดีดแล้วพูดเสียงอ่อยๆ

“ก็ผมอยากขอบคุณที่เจ๊มาสอนผมทำขนมอ่ะ”

“ไว้ค่อยซื้อขนมอะไรมาฝากจากฮ่องกงก็ได้ ไม่ก็ถ่ายรูปคู่สวีทๆ กับฆาเบียร์ส่งมาก็พอ โอเคไหม?”

อิ่มใจลูบหัวน้องน้อยของเธอเบาๆ ก่อนที่เธอจะชวนน้องชายออกไปกินก๋วยเตี๋ยวง่ายๆ แถวคอนโดของเจ




“ผมคงไม่ได้ถ่ายรูปคู่สวีทๆ ไปให้เจ๊ดูแล้วอ่ะ”

เจพูดพึมพำออกมา เขายกแก้วเบอร์เบินขึ้นดื่มอึกสุดท้าย ดื่มไปดื่มมา เจดื่มมันไปเกือบครึ่งขวดแล้ว เจที่เริ่มกรึ่มๆ แล้วหยิบเอากล่องช็อคโกแลตที่เขาห่อมาอย่างสวยงามออกมาจากตู้เย็น เขาโยนกระดาษห่อสีทองด้านทิ้งและเปิดกล่องออก ด้วยความเจ็บใจ เขาตั้งใจจะกินมันให้หมดรวดเดียว เขาหยิบชิ้นแรกขึ้นมากัดกิน รสขมเข้มของช็อคโกแลตดำและเบอร์เบินทำให้เขาอดน้ำตาซึมไม่ได้ มันคือรสที่คนรักของเขาโปรดปราน เขาอดจินตนาการไม่ได้ว่าฆาเบียร์จะชอบมันแค่ไหน เจถอนหายใจและปิดกล่องลงเหมือนเดิม เขาทำใจกินมันจนหมดไม่ลง

เสียงไลน์คอลดังขึ้นตอนเจเอาช็อคโกแลตไปเก็บในตู้เย็นเหมือนเดิม เจที่อารมณ์เย็นลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ก่อนจะกดรับ

“ครับ ฆาบี้”

“เจ ยังอยู่ฮ่องกงหรือเปล่า?”

ใบหน้าที่เขาเห็นทางหน้าจอมีทีท่าร้อนใจ คนตัวโตของเขาสอดส่ายสายตาดูฉากหลังของเขา จากนั้นดูมีสีท่าโล่งใจเมื่อเห็นว่าเจยังอยู่ที่ห้องของเขาที่ริทซ์ คาร์ลตัน

“จะให้ผมไปไหนได้ล่ะ ฆาเบียร์ จะให้หาตั๋วกลับเย็นนี้ก็คงไม่ได้แล้ว แต่ผมคงกลับพรุ่งนี้ตามที่ออกตั๋วไว้อ่ะนะ”

เจพูดอย่างปลงๆ อีกสองวันจะตรุษจีนแล้ว จะหาตั๋วกลับเชียงใหม่เลยคงเป็นไปไม่ได้ เขาก็ไม่อยากสิ้นเปลืองไปมากกว่านี้แล้ว ก็คงได้แต่ทำใจ ฆาเบียร์ระบายลมหายใจออกเบาๆ อย่างโล่งอก แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นขวดเหล้าเบอร์เบินที่พร่องไปกว่าครึ่ง

“เจ ทำไมดื่มหนักขนาดนี้ล่ะ? ไม่ต้องดื่มแล้ว พอเถอะ”

เจนยุทธที่เริ่มกรึ่มๆ แล้วเกิดน้อยใจขึ้นมาทันควัน น้ำตาเขาหยดหยาดออกมา

“หึ ผมจะดื่มมีอะไรไหม? ดื่มให้กับแฟนที่ทำงานหนักจนลืมไปว่าวันนี้คือวันวาเลนไทน์แรกของเรา”

ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เจฟูมฟายแบบที่เขาไม่ชอบให้ใครทำกับเขา เมื่อรู้สึกตัว เขารีบขอโทษขอโพยคนที่กัดกรามนิ่งอยู่ที่อีกฝั่งของหน้าจอ ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เจพูดแบบนี้ แสดงว่ายังไม่เห็นของที่ฉันส่งไปให้ที่คอนโดสินะ?”

เจเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง ของอะไรกันนะ จากนั้นเขาก็พลันนึกถึงเรื่องที่ลุงคนเฝ้าคอนโดโทรมาหาได้ เขาสบถเบาๆ เป็นภาษาไทยแล้วขอตัดสายคนรัก จากนั้นเขาเปิดหน้าจอสนทนาระหว่างเขากับนพขึ้นมา มีข้อความที่ไม่ได้อ่านอยู่เพียบ กว่าครึ่งคือคำบ่นยาวเหยียดจากนพเรื่องที่เขาไม่ยอมติดต่อกลับ แต่ที่ทำให้เจต้องเข่าอ่อนนั่งแปะลงกับเตียงคือภาพดอกกุหลาบแดงที่กองระเกะระกะอยู่เต็มห้องของเขา



“จะให้กูทำยังไงกับมันวะ ไอ้เจ แล้วนี่มึงจะกลับเมื่อไหร่?”

นี่คือข้อความสุดท้ายที่นพพิมพ์มา เจพยายามโทรไปหาฆาเบียร์แต่ทางนั้นตัดสาย เขาจึงส่งรูปดอกกุหลาบกองใหญ่นั้นให้เมียตัวโตของเขาแทน

“นี่มันอะไรกัน ฆาบี้?”

“5,000 red roses for my Valentine”


นั่นคือสิ่งที่ฆาเบียร์พิมพ์ตอบกลับมา เจอึ้งไปกับคำตอบนั้น

“แค่นี้ก่อนนะ เจ ฉันยังไม่สะดวกคุย”

เจกัดริมฝีปากน้อยๆ เมื่อเห็นประโยคนั้น เขาแอบน้อยใจขึ้นมาอีกแล้ว

“ครับ ไว้ค่อยคุยกันตอนที่คุณว่างแล้วกัน”

เจพิมพ์กลับไปแค่นั้น จากนั้นเขาโทรกลับไปหานพ ซึ่งก็โดนบ่นจนหูชา ก่อนที่เพื่อนสนิทรุ่นพี่จะถามเขาขึ้นมา

“แล้วมึงจะให้กูทำอะไรกับไอ้ดอกบ้าพวกนี้วะ?”

เจถอนหายใจอีกครั้ง ที่จริงเขาก็อยากกลับไปดูด้วยตาตัวเองเหมือนกันว่ากุหลาบห้าพันดอกมันจะอลังการแค่ไหน แต่เขาก็ตัดสินใจเป็นอย่างอื่น



“ผมขอฝากพี่นพเป็นธุระให้หน่อยได้ไหมครับ? พี่เก็บให้ผมซัก 50 หรือ 100 ดอกก็พอ ที่เหลือ พี่นพเรียกไอ้ปรินซ์กับซันซันมาช่วยขนไปผับแล้วขายโลด ดอกละ 5 บาท 10 บาทก็ขายไป ส่วนพวกมันจะเอาไปแจกสาวๆ กี่ดอกก็ตามสบาย จะแจกพวกสาวโสดฟรีคนละดอกก็ได้ บอกว่าเป็นของขวัญวาเลนไทน์จากพี่เจสุดหล่อ”

เจพูดยิ้มๆ นพอดส่ายหัวให้กับไอ้น้องชายที่ยังไม่ยอมทิ้งลายเสือคนนี้ไม่ได้

“ว่าแต่มึงจะขายถูกไปไหมวะ ดอกเกรดเอทั้งนั้นเลยนะ ดอกใหญ่ ก้านยาวเป็นเมตรละ ไม่รู้ไอ้ฆาบี้มันไปหามาจากไหนช่วงวาเลนไทน์แบบนี้ กูว่ามีแตะๆ หกหลักอยู่นะ”

เจนยุทธอึ้งไป คนตัวโตลงทุนขนาดนั้นไปกับของที่เขาไม่ได้เห็น แต่จะให้เก็บไว้รอจนเขากลับไป เขาก็ไม่รู้จะเอาดอกไม้เยอะขนาดนั้นไปทำอะไร เจตัดใจบอกนพว่าให้ขายตามที่เขาบอกไปในตอนแรก

“เดี๋ยวผมจะไลน์ไปบอกไอ้สองตัวนั้นไว้ให้ด้วยครับ ส่วนเงินที่ขายดอกได้เราเอามากินข้าวกัน พี่นพจะชักค่าดำเนินการเท่าไหร่ก็แล้วแต่พี่เลย”

“เออ เดี๋ยวกูหัก 50% เลยแล้วกัน”

เพื่อนหนุ่มรุ่นพี่ของเจพูดกลั้วหัวเราะ เจหัวเราะตาม เขารู้ว่าพี่ชายตัวกลมคนนี้ไม่ได้งกอย่างที่ปากว่าหรอก

“ตามสบายเลยพี่ งั้นแค่นี้ก่อนนะ ผมรีบบอกไอ้สองตัวนั่นก่อน”

เจนยุทธรีบโทรไลน์ไปหาเพื่อนทั้งสอง ซึ่งก็ได้รับคำสรรเสริญกลับมาชุดใหญ่ตามคาด หากน้ำเสียงซันซันนั้นฟังออกจะดี๊ด๊าเมื่อเขาบอกว่าเพื่อนทั้งสองสามารถเอาดอกไม้นั้นไปแจกสาวได้ตามใจชอบ เจถอนหายใจเมื่อเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาตัดสินใจปิดไฟและล้มตัวลงนอนบนฟูกนิ่ม เขากะว่าถ้าตื่นแล้วจะสั่งรูมเซอร์วิสมากินแล้วค่อยว่ากันต่ออีกที คนตัวเล็กที่เมาพอสมควรผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว



"อือ รำคาญ อย่ากวนได้ไหม คนจะนอน!"


เจยกมือปัดสิ่งที่มาเขี่ยไล้ใบหน้าของเขาและเอ็ดลั่นเป็นภาษาไทย หัวของเขาปวดตุบๆ ไปหมดแล้วเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ นี่เขาหลับไปนานเท่าไหร่แล้วนะ แล้วไอ้ของบ้านี่มันอะไรกัน เจยกมือขึ้นปัดมันเต็มแรง

"โอ๊ย!"

เจร้องออกมาเมื่อรู้สึกถึงหนามอันแหลมคมที่ทิ่มแทงหลังมือ ในหูเขาได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของใครบางคนด้วย

"เจ เป็นอะไรหรือเปล่า!"

เจแทบสร่างเมาเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เขาคิดถึงนักหนา เขาพยายามลืมตาขึ้นทันที ในแสงสลัวที่ส่องเข้ามาจากนอกห้องผ่านทางผ้าม่านที่เปิดไว้เป็นช่องน้อยๆ เขาเห็นใบหน้าคมเข้มของเมียตัวโตของเขา ใบหน้านั้นมีแววร้อนใจ ฆาเบียร์ดึงมือของเขาไปกุมและพลิกๆ ดู

"โธ่ ดูสิ เลือดออกเลย ฉันนี่มันโง่จริงๆ ไม่ได้ลิดหนามมันออกก่อน"

คนตัวโตของเจบ่นด้วยความหงุดหงิดใจ ข้างตัวของเขามีกุหลาบมัดน้อยคละสีวางทิ้งไว้ ฆาเบียร์ดึงมือของเจมาจูบซับเลือดที่ซึมออกมาน้อยๆ และยิ้มกว้างให้คนตัวเล็กที่ยังนอนทำตาปริบๆ ด้วยความงุนงง

"มาได้ยังไง ฆาบี้? ไหนคุณมีกำหนดกลับพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ? แล้วนี่กี่โมงแล้ว"

"หกโมงกว่าแล้วจ้ะ ธุระฉันเสร็จแล้ว ก็เลยรีบกลับมาหาเจนี่แหละ"

"ก็ไหนริคกี้บอกว่าหาตั๋วกลับไม่ได้ไง?"

ริคกี้โทรขึ้นมารายงานกับเจก่อนที่เขาจะหลับไปว่าพวกเขาลองหาๆ ตั๋วกลับจากเซี่ยงไฮ้ให้ฆาเบียร์แล้ว แต่ว่าหาไม่ได้เลย คนตัวโตทำท่าอึกอักไม่อยากตอบ แต่เขาปฏิเสธดวงตากลมโตที่จ้องเป๋งมาไม่ได้

"ฉัน เอ่อ ฉันขอติดเครื่องส่วนตัวของคนรู้จักมา"

ฆาเบียร์หลบตาเจนยุทธ เจใจหายวาบเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาสะโหลสะเหลรีบยันกายขึ้นมากอดคนรักไว้ทันที

"โธ่ ฆาบี้ คุณจะต้องฝืนตัวเองทำไม? คุณไม่ต้องรีบมาขนาดนั้นก็ได้"

เจพรมจูบไปทั่วใบหน้าของคนรัก เขารู้ดีว่าฆาเบียร์เกลียดการนั่งพวกเครื่องบินเล็กแบบนี้แค่ไหน เนื่องจากแผลใจที่เขาต้องเสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุเครื่องบินเล็กตก

"คุณโอเคไหมครับ ที่รักของผม ไม่ต้องกลัวแล้วนะ เจอยู่ที่นี่แล้ว"

เจกอดร่างที่เริ่มสั่นน้อยๆ ตรงหน้าไว้แน่น ฆาเบียร์มือไม้สั่นอีกครั้งเมื่อนึกถึงการนั่งเครื่องบินเล็กลำนั้น แม้เครื่อง Gulfstreams G550 ของคนรู้จักของเขาที่เซี่ยงไฮ้จะโอ่โถงนั่งสบายแค่ไหน ฆาเบียร์ก็อดตัวสั่นและเหงื่อกาฬไหลพรากไม่ได้ ช่วงเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งของการเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวนั้นยาวเหมือนชั่วกัปกัลป์ เขาอาเจียนไปสองสามรอบด้วยความเครียด ยากล่อมประสาทที่เขากินไปก่อนหน้าจะขึ้นเครื่องเหมือนจะไม่มีผลอะไรในสถานการณ์แบบนี้ แต่ต่อหน้าคนตัวเล็กของเขา ฆาเบียร์ยิ้มกว้างเพื่อไม่ให้คนรักกังวล

"โอเคสิเจ แค่นี้เอง ฉันทนได้"

เจมองหน้าคนที่เล่นโป๊กเกอร์เก่งแต่กลับโกหกได้ห่วยแตกมากเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าฆาเบียร์ไม่โอเคเลยสักนิด เจรวบร่างของคนรักเข้ามากอดกระชับไว้แน่นอีกครั้ง เขาลูบแผ่นหลังกว้างนั้นเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญ คนตัวโตกอดร่างเพรียวในอ้อมอกกลับ เขาทิ้งความกังวลและความเครียดทั้งหมดไปกับความอบอุ่นของอ้อมกอดของคนรัก เจจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากบางตรงหน้า เขาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นอาเจียนจางๆ แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร เขาจูบซ้ำอย่างไม่รังเกียจเพื่อให้คนรักรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ฆาเบียร์ตอบสนองต่อจูบของคนในดวงใจด้วยความยินดี


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- สุขสันต์วันวาเลนไทน์ (ต่อ) ----




เมื่อจูบกอดปลอบขวัญกันจนพอใจแล้ว ฆาเบียร์ยื่นกุหลาบคละสีมัดน้อยที่เขาวางไว้ข้างตัวให้เจนยุทธ

"For my Valentine...สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครั้งแรกของเราจ้ะ"

"...ฉันรีบมาสนามบิน เลยหาได้แค่นี้"

คนตัวโตพูดด้วยความเซ็ง กุหลาบในช่อนี้เรียกได้ว่าเป็นดอกเหลือคัดทิ้งด้วยซ้ำ เขาบ่นเสียดายที่เจไม่ทันได้เห็นของขวัญที่เขาส่งไปให้ถึงที่เชียงใหม่ หากเจรับดอกไม้มัดนั้นมาอย่างเต็มใจ เขากอดมันไว้กับอกและหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่

"มันเพอร์เฟ็คท์มากครับ ฆาบี้ ขอบคุณจริงๆ ครับ My Valentin"

เจเรียกชื่อกลางของคนรักแทนคำว่าวาเลนไทน์ เขาดอมดมดอกไม้ที่ไม่ค่อยงามนักในมือพร้อมรอยยิ้มอันเปี่ยมสุข ก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของคนรักอีกครั้ง

"แค่คุณกลับมาหาผม ผมก็ดีใจมากแล้วครับ ฆาบี้ ผมไม่ได้อยากได้ของขวัญอะไร ผมแค่อยากใช้เวลากับคุณเท่านั้น"

เจซบหน้าลงบนอกกว้างของคนรัก นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาเดินทางมาที่ฮ่องกงในวันวาเลนไทน์ เพื่อมาใช้เวลากับเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์แอบทอดถอนหายใจเบาๆ เขาน่าจะคิดได้ว่าคนตัวเล็กของเขามักให้ค่าความรู้สึกมากกว่าของมีค่าใดๆ ส่วนตัวเขานั้นเคยชินกับการปรนเปรอคู่ขาหรือคู่ควงด้วยสิ่งของมากกว่าจนลืมไปว่าสิ่งที่ควรทำจริงๆ คือการใช้เวลาร่วมกันกับคนที่รักในวันแห่งความรักนี้

"ฉันขอโทษจริงๆ เจนยุทธ ฉันน่าจะบอกนายก่อนว่าฉันจะไม่อยู่ฮ่องกง"

เจยื่นมือมาแตะริมฝีปากคนรักเบาๆ

"ไม่เป็นไรครับ ฆาบี้ ผมเองก็น่าจะรู้ว่าคุณน่ะไม่ได้ว่างให้ผมตลอดเวลา"

เจพูดพลางถอนหายใจ ในฐานะแฟนของคนที่ยุ่งตลอดเวลาอย่างฆาเบียร์ ตัวเขาควรรู้ดีกว่านี้และไม่ควรทำให้คนรักที่ต้องทำงานหนักได้ลำบากใจ ฆาเบียร์เองก็ถอนหายใจอย่างอัดอั้น เขาควรจะใส่ใจกับความรู้สึกของเจมากกว่านี้



"เจจ๋า ต่อไปนี้เราคงต้องบอกกันให้แน่ชัดเรื่องจะมาหากันแล้วล่ะ คือคงต้องเลิกคิดทำเซอร์ไพรส์แบบอยู่ๆ ก็โผล่มาหากัน แล้วถ้าฉันจะไปไหนมาไหน ไม่อยู่หรือไม่ว่างแม้กระทั่งเป็นแบบไปเช้าเย็นกลับ ฉันก็จะรายงานเจทุกครั้ง ดีไหม? จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก"

เจนยุทธพยักหน้ารับคำอย่างเต็มใจ เขาเองก็ไม่ชอบที่มาเสียเที่ยวเปล่าเหมือนกัน

"ผมก็ว่างั้น เลิกทำเซอร์ไพรส์แบบนี้กันดีกว่า"

เจพูดเซ็งๆ

"ถ้าจะเซอร์ไพรส์กัน ก็ให้ประหลาดใจกับของที่เตรียมมาให้ หรือสิ่งที่จะทำให้ดีกว่า"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ พร้อมทำหน้าเจ้าชู้ใส่คนรักตัวเล็กของเขา เจหน้าแดงเมื่อเห็นสายตาของคนรัก คนตัวโตเริ่มลวนลามคนรักที่มาหาเขาถึงที่ในวันวาเลนไทน์

"ฆาบี้ ไม่เอา อย่าซนสิ อืมม์ เฮ้ย ผมลืมไปซะสนิทเลย"

เจที่ปัดป้องมือไม้ที่คอยจะจับนั่นแตะนี่ของเขาร้องขึ้นมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาจะเอามาให้คนรักขึ้นมาได้ เจรีบลุกพรวดขึ้นแล้วจะลงเตียง แต่ก็ต้องทรุดตัวกลับลงนอนแผ่หราบนเตียงเหมือนเดิมเพราะความมึนและปวดหัว



"โอย ไม่ไหว มึน"

เขานอนซบลงไปบนตักแข็งแรงของคนรัก วันนี้เขารู้สึกเมามากกว่าทุกทีคงเพราะรีบดื่มเร็วเกินไป ฆาเบียร์ขยับจัดท่าทางเจให้นอนหนุนตักเขาสบายๆ

"เป็นอะไรมากหรือเปล่า เจนยุทธ แล้วจะรีบลุกทำไม หือ? นอนพักให้สร่างเมาก่อนเถอะ..."

ฆาเบียร์ทำท่านึกอะไรมาได้ เขาขยับคนรักให้ลงนอนบนหมอนและลุกขึ้นจากเตียงนุ่ม เจนยุทธรีบดึงชายเสื้อคนตัวโตไว้

"จะไปไหน?"

เขาถามอย่างร้อนใจ เขาอยากนอนซบตักคนรักต่อ

"ฉันจะไปเอาน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้เจไง"

เจส่ายหน้าเบาๆ แล้วชี้ไปที่ตู้เย็นน้อยใต้บาร์

"คุณไปเอาของในตู้เย็นมาให้ผมก่อนดีกว่า ฆาบี้ กล่องกระดาษสีน้ำตาลเข้มนะ"

ฆาเบียร์ทำตามอย่างงงๆ เขาเอากล่องกระดาษสีน้ำตาลกล่องน้อยนั้นออกมาจากตู้เย็น แล้วถือกลับมาที่เตียง ฆาเบียร์ลงนั่งเคียงข้างเจนยุทธที่ยังนอนระทวยอยู่บนเตียง



"อะไรน่ะ เจ?"

"เปิดดูสิครับ"

คนตัวโตเปิดกล่องนั้นดู

"ช็อคโกแลตเหรอ?"

เขาหยิบช็อคโกแลตทรัฟเฟิลลูกพอดีคำขึ้นมาพิจารณา ดูจากรูปทรงและกล่องแล้ว มันเป็นของโฮมเม้ดอย่างแน่แท้

"เจ นี่ นายทำเองเหรอ?"

เขากลั้นน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาน้อยๆ เมื่อคนตรงหน้าพยักหน้ารับ เขารวบตัวคนที่เขาคิดว่าน่ารักที่สุดในโลกคนนี้ขึ้นมากอด

"ขอบใจจริงๆ เจ นายคิดทำอะไรแบบนี้ให้ฉันอีกแล้ว..."

เขาบ่นตัวเองอีกยาวยืดที่เอาแต่ใช้เงินซื้อของให้เจ เจนยุทธขยับกายออกจากอ้อมอกกว้างและปิดปากคนขี้บ่นด้วยริมฝีปากของตัวเอง พวกเขาแลกจูบกันอีกครู่หนึ่ง แม้พวกเขาจะเพิ่งจากกันที่มาเก๊าเมื่อไม่ถึงสิบวันที่แล้ว ความคะนึงหาก็ยังเปี่ยมล้น

"ฆาเบียร์ครับ อย่าคิดแบบนั้นเลย ผมว่าที่คุณทำให้ผมมันก็เจ๋งดีออก วันวาเลนไทน์แทัๆ คุณก็ยังอุตส่าห์ให้คนไปหากุหลาบมาให้ผมตั้งห้าพันดอกได้ นี่ก็เป็นความพยายามอย่างยิ่งยวดแล้ว แค่เสียดายว่าผมน่าจะได้ทันเห็นมันก่อน"

เจดันร่างคนรักออกและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่งามนั้น เขาบ่นน้อยๆ อย่างเซ็งตัวเองที่ดันบินไฟลท์เช้าจนอดเห็นของที่คนรักอุตส่าห์ลงทุนหามาให้ เขาหยิบกุหลาบมัดน้อยที่คนรักซื้อมาให้ขึ้นมาสูดดมน้อยๆ

"แต่ที่จริง ได้ช่อนี้ผมก็ดีใจแล้วนะ ฆาบี้"

เจพูดยิ้มๆ ถึงดอกมันจะไม่ได้ดีหรือสวยอะไร แต่อย่างน้อยพ่อเจ้าประคุณที่ยุ่งและรีบร้อนมาขึ้นเครื่องของเขายังอุตส่าห์ไปตามหาดอกกุหลาบมาให้เขาจนได้



"เอ้าๆ ชิมช็อคโกแลตได้แล้ว ฆาบี้ แล้วบอกผมด้วยว่าชอบหรือไม่ชอบ"

คนตัวโตเปิดกล่องช็อคโกแลตอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่ามันหายไปลูกหนึ่ง เจยิ้มอายๆ เมื่อคนรักถาม

"ก็ตอนแรกผมโมโหคุณนิ เลยกะว่าจะกินของที่เอามาเซอร์ไพรส์ให้หมดเลย แต่พอกินมันเข้าไปลูกนึงผมก็กินต่อไม่ลง..."

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว

"เอ่อ มันไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอเจ?"

คนตัวโตถามด้วยน้ำเสียงกังวล เจทุบแผงอกกว้างของคนรักเบาๆ ก่อนจะลงนอนบนตักแข็งแรงต่อ

"ผมทำเองกับมือก็ต้องอร่อยสิเฟ้ย แต่ที่กินไม่ลงน่ะเพราะผมคิดถึงคุณ ผมอยากให้คุณได้ชิมมันและให้ความเห็นกับผมต่อหน้าว่าคุณชอบมันไหม"

คนตัวรีบหยิบช็อคโกแลตลูกน้อยออกมาลูกหนึ่งทันที แต่ก่อนที่เขาจะทันส่งมันเข้าปาก เจก็ดึงมือเขามาและส่งช็อกโกแลตนั้นเข้าปากตัวเอง ฆาเบียร์มองตามอย่างรู้ทัน เขาใช้นิ้วไล้กรอบหน้าของคนรัก จากนั้นก้มหน้าลงจูบพรมไปทั่วใบหน้าของเจนยุทธ และจบท้ายด้วยการรับช็อคโกแลตลูกนั้นจากปากของคนรัก เจใช้ลิ้นของเขาส่งช็อคโกแลตรสเข้มเข้าโพรงปากของฆาเบียร์

"อืมม์ เจ"

คนตัวโตครางน้อยๆ อย่างมีความสุข ลิ้นร้อนๆ ของคนรักนำช็อคโกแลตให้กลิ้งกลั้วไปทั่วโพรงปากของเขา รสขมของช็อคโกแลตดำและกลิ่นรสอันร้อนแรงของเบอร์เบินที่เขารู้สึกได้จางๆ ทำให้เขาสะท้านไปทั้งตัว โดยเฉพาะเมื่อเขานึกอะไรพิเรนทร์ๆ ขึ้นมาได้

"อร่อยไหมครับ ฆาบี้"

เจถอนลิ้นออกจากปากคนรักที่ทำท่าเคลิ้มไปแล้ว

"อร่อยมากเลยเจ เป็นรสชาติแบบที่ฉันชอบเลยจริงๆ แถมยังหอมเหล้ามากๆ นายนี่รู้ใจฉันจริงๆ นะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์จูบคนรักของเขาอีกครั้ง เจรับจูบที่เต็มไปด้วยรสช็อคโกแลตนั้นไว้ ฆาเบียร์ทาบกายลงกับร่างเพรียวของเจ ไฟรักของพวกเขาเหมือนจะติดขึ้นอีกครั้ง



คนตัวโตผละออกจากร่างของเจนยุทธที่ถูกเขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า ใบหน้าสีกุหลาบของคนรักที่ยังเมามายอยู่เล็กน้อยแสดงอารมณ์ใคร่ออกมาอย่างชัดเจน เจฉุดมือคนรักที่ทำท่าจะลุกไปไว้

"จะไปไหนอีกล่ะ คุณ"

เขาตัดพ้อคนตัวโตที่ปลุกอารมณ์เขาไว้แต่กลับปล่อยทิ้งให้ค้างเติ่ง พ่อเจ้าประคุณไม่ยอมถอดกระทั่งเสื้อออกด้วยซ้ำแต่กลับมาจับเขาแก้ผ้าแล้วจูบเขาทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมยังจับนั่นแตะนี่จนเขาขนลุกไปทั้งตัวแต่กลับไม่ยอมให้เขาสัมผัสตัวสักนิด

"อย่าใจร้อนสิ เจนยุทธ เรายังมีเวลากันอีกทั้งคืนนะ"

คนตัวโตพูดกลั้วหัวเราะ

"เดี๋ยวขอฉันกินช็อคโกแลตอีกลูกก่อนนะ"

เขาขยิบตาให้กับคนที่มาให้เขารังแกถึงที่ เจหรี่ตามองคนตัวโตอย่างไม่ไว้วางใจ ฆาเบียร์หยิบช็อคโกแลตจากในกล่องมาอีกลูกหนึ่ง หากเขาไม่นำมันใส่เข้าปาก แต่กลับจับมันวางลงตรงสะดือของร่างขาวราวงาช้างที่ทอดกายอยู่เบื้องหน้า



"เย็น!"

เจสะดุ้งน้อยๆ คนตัวโตคร่อมร่างคนรัก เขาจูบแผ่วๆ ที่หน้าท้องของเจนยุทธ เจสะท้านกายตามริมฝีปากร้อนๆ ที่จูบพรมรอบสะดือของเขา ฆาเบียร์ค่อยๆ เลียไล้ช็อคโกแลตก้อนน้อยบนหน้าท้องคนตัวเล็กจนมันเริ่มละลายและอ่อนนุ่ม เขาค่อยๆ ใช้ลิ้นดันมันออกและดุนมันขึ้นไปตามหน้าท้องแบนราบของเจนยุทธ

"จั๊กกะจี้อ่ะ"

เจหัวเราะคิกคักและยันกายขึ้นน้อยๆ เพื่อดูสิ่งที่คนรักกำลังทำ ช็อคโกแลตก้อนน้อยเริ่มทิ้งรอยเป็นทางตามหน้าท้องของเขา และมันถูกดุนดันไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ เจครางแผ่วๆ เมื่อลิ้นของคนรักพลาดออกมาโดนเนื้อของเขาเป็นระยะๆ และเขาต้องหลุดซี้ดปากออกมาเบาๆ เมื่อฆาเบียร์เขี่ยดุนก้อนช็อคโกแลตนั้นรอบๆ ตุ่มไตบนอกของเขา

"ซนจริงๆ นะครับ เมีย"

เจพูดยิ้มๆ เขาหัวเราะคิกออกมาเมื่อคนตัวโตเงยหน้ามายิ้มให้เขา ริมฝีปากบางของคนรักเปรอะไปด้วยช็อคโกแลต เขาใช้นิ้วไล้เบาๆ ตามริมฝีปากของฆาเบียร์เพื่อเช็ดคราบช็อคโกแลต คนตัวโตสะท้านกายเบาๆ สัมผัสเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ของเจเพียงพอที่จะทำให้เขาร้อนไปทั้งตัว ฆาเบียร์อ้าปากงับปลายนิ้วเรียวนั้นไว้ เจกัดริมฝีปากน้อยและมองเมียตัวโตของเขาที่ยั่วเย้าปลายนิ้วของเขาเล่น

"ฆาบี้ครับ จะกินไหม ช็อคโกแลตน่ะ?"

เจโวยเบาๆ ไอ้เจ้าช็อคโกแลตลูกน้อยบนอกเขาเริ่มละลายเยิ้มตามอุณหภูมิของร่างกายที่สูงขึ้นของเขา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาก้มหน้าลงไปหายอดอกอันแสนเย้ายวนของคนรัก เจหลับตาพริ้มและผวากายขึ้นน้อยๆ ตามแรงลิ้นของคนรัก ฆาเบียร์ยังคงใช้ลิ้นกลิ้งช็อคโกแลตที่เหลือน้อยแล้วไปยังยอดอกอีกข้างของเขา เขาตวัดลิ้นพริ้วดุนถูมันไปกับทับทิมเม็ดงามที่ไวต่อความรู้สึกของเจ



"หมดลูกแล้ว"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขาเคี้ยวกินก้อนช็อคโกแลตที่เหลือน้อยแล้วเข้าไป เขาสูดดมกลิ่นเบอร์เบินที่ติดกับผิวกายคนรัก

"แต่ยังเหลือคราบอยู่เต็มเลย เดี๋ยวฉันจะกินไม่ให้เหลือเลยนะ"

เจสูดปากลั่นเมื่อคนตัวโตไล่เลียไล้กินช็อคโกแลตที่เยิ้มติดอยู่บนผิวกายของเขาโดยไล่จากยอดอกของเขาลงล่าง เจบิดกายอย่างเสียวซ่านเมื่อคนตัวโตพรมจูบย้ำๆ ที่ท้องน้อย

"คุณ แกล้งผมจังนะ"

เจโวยลั่น เขาอยากสัมผัสกายเมียตัวโตของเขาเต็มแก่แล้ว ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาลงนั่งตรงกลางหว่างขาของเจนยุทธ คนตัวโตจูบพรมไปทั่วท้องน้อยของคนรักอีกครั้งก่อนจะใช้ปากให้ความสุขกับสุดที่รักของเขา ฆาเบียร์เร่งรูดไล้อย่างช่ำชอง เจบิดกายครวญครางอย่างเสียวซ่าน

"ฆาเบียร์ครับ อย่าพึ่งรีบสิ เดี๋ยวผมก็เสร็จเสียก่อนหรอก"

คนตัวเล็กประท้วงขึ้น เขาพยายามหุบเข่าเข้าเพื่อไม่ให้คนตัวโตรังแกเขาได้อีก

"เจจ๋า วันนี้ฉันคงให้นายทำได้แค่ข้างนอกนะ คือ เอ่อ..."

ฆาเบียร์พูดด้วยใบหน้าแดงซ่าน

"คือฉันไม่รู้ว่านายจะมา ฉันเลยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้น่ะ"

เจนยุทธหัวเราะน้อยๆ เขาดึงคนตัวโตขึ้นมาทาบทับร่างเขาทั้งตัว เจกระซิบแผ่วๆ ที่หูคนรัก

"แต่ผมเตรียมมาครับ ที่รัก คุณคิดว่าผมเตรียมแค่ช็อคโกแลตมาให้เป็นของขวัญหรือไง?"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างแล้วประทับจูบหนักแน่นลงบนริมฝีปากรูปกระจับที่เผยอรออยู่แล้ว



เจสะดุ้งเฮือกเมื่อนิ้วใหญ่ของฆาเบียร์ค่อยๆ ส่งเจลอุ่นๆ เข้าช่องทางด้านหลังของเขา คนตัวโตไม่รอช้าเมื่อเจบอกไปเช่นนั้น เขาเริ่มรุกเร้าคนรักต่อทันที

"อูย คุณครับ ตรงนั้นแหละ ซี้ด"

เจร้องลั่นเมื่อนิ้วของคนรักสัมผัสกับจุดหฤหรรษ์ เขาเสียวจนขนลุกไปทั้งตัวแล้ว ฆาเบียร์เร่งทั้งมือและปากจนคนตัวเล็กของเขาครางหนักๆ และปลดปล่อยออกมาเต็มแรง เจที่นอนหอบหายใจถี่เร็วต้องอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อถูกคนตัวโตดึงร่างขึ้นไปนั่งคร่อมตัก พ่อเจ้าประคุณของเขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่าแล้วเหมือนกันและอยู่ในสภาพพร้อมรบเต็มที่ เจนยุทธเอื้อมมือหยิบอุปกรณ์ป้องกันที่มีวางไว้ที่หัวเตียงอยู่แล้วมาแกะซองแล้วใส่ให้คนรัก ฆาเบียร์ส่งหลอดเจลให้คนรักชะโลมแก่นกายของเขา

"เยอะๆ เลยนะเจ จะได้ไม่เจ็บมาก"

คนตัวโตบอกอย่างเป็นห่วง เจขยิบตาให้คนรักก่อนจะใช้บั้นท้ายของเขาหยอกเย้ากับส่วนแข็งแกร่งของฆาเบียร์ คนตัวโตขบกรามน้อยๆ เมื่อเจค่อยๆ กดสะโพกลงกลืนกินส่วนสงวนของเขาทีละนิด เขาซี้ดปากออกมาอย่างอดไม่ได้ เจเม้มปากแน่น ในช่องทางของเขามันคับตึงไปหมด เขาควงสะโพกช้าๆ ฆาเบียร์ครางออกมาเบาๆ อย่างสุดกลั้น เจวางมือบนไหล่ของคนรักเพื่อทรงตัว แต่ก่อนที่เขาจะทันขยับฆาเบียร์ก็ช้อนสะโพกคนรักขึ้นและดันร่างเพรียวนั้นลงกับเตียง

"ขอฉันเถอะนะ เจ"

คนตัวโตพูดด้วยเสียงแหบกระเส่า ช่องทางอันรัดรึงนั้นกระตุ้นเร้าให้เขาอยากตักตวงความสุขด้วยตัวเอง เจนยุทธพยักหน้าเบาๆ ฆาเบียร์ดันเข่าของคนรักจนชิดอกส่วนตัวเองขึ้นไปยืนย่อกายคร่อมสะโพกเจนยุทธ เจร้องลั่นเมื่อคนตัวโตกระแทกกายลงอย่างรุนแรง ฆาเบียร์ใจหายวูบ หากเมื่อเขาก้มมองใบหน้าน้อยๆ ที่บิดเบี้ยวเหยเก เขาก็สบายใจขึ้นเมื่อเห็นดวงตาที่เปี่ยมความหฤหรรษ์ของคนรัก

"ดีไหม เจนยุทธ?"

ฆาเบียร์ถามเสียงกระเส่า เขาเองนั้นกำลังพยายามอดกลั้น ความคับแน่นและตอดรัดของเจทำให้เขาแทบทนไม่ได้ เจพยักหน้า

"ดี ดีครับฆาเบียร์ ลึกมากเลย แรงๆ เลยครับ ที่รัก มันสุดๆ เลย"

เจพูดพลางรูดไล้ส่วนสงวนของตัวเอง ฆาเบียร์รีบกระแทกกายต่ออย่างถี่ยิบจนร่างเพรียวข้างใต้สั่นสะท้านตามแรงกระทำ เจครางลั่นและพ่นคำลามกออกมาอย่างลืมอาย เขาร้อนไปทั้งตัวแล้ว

"ฆาบี้ครับ ตรงนั้นเลย ตรงนั้น ดีๆ"

เจสูดปากลั่น ฆาเบียร์ก้มลงจูบปากน้อยๆ ที่แดงก่ำด้วยเลือดฝาด เจดูดปากคนรักอย่างกระหาย ฆาเบียร์ขบกรามแน่นและจัดการคนตัวเล็กที่นอนบิดตัวเร่าๆ อยู่ใต้ร่างต่ออย่างไม่หยุดยั้ง เจนยุทธครางลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เจรั้งร่างคนตัวโตให้ลงมาทาบทับกาย ฆาเบียร์ลงนั่งคุกเข่าและดึงร่างเจนยุทธขึ้นมานั่งคร่อมตัก เขารัดร่างเพรียวให้แนบชิดในอ้อมอกของเขา ริมฝีปากของทั้งคู่ล็อคติดกัน ฆาเบียร์ขยับสะโพกหนักๆ อีกไม่กี่ครั้งก็รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่ฉีดพุ่งใส่หน้าท้องของเขา แรงบีบรัดภายในกายของเจทำให้เขาต้องปลดปล่อยออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน



เจนยุทธซบหน้าลงกับไหล่คนรักและหอบหายใจหนักๆ เขาพรมจูบตามลาดไหล่และต้นคอแข็งแรงของฆาเบียร์

"เจฮักอ้ายครับ"

เขากระซิบแผ่วๆ ด้วยภาษาแม่ของตัวเองที่ข้างหูของคนรัก คนตัวโตยิ้มกว้าง เขาจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากแดงระเรื่อของเจนยุทธ

"อ้ายฮักเจ tambien"

"ฉันก็รักเจเหมือนกัน"

เขาผสมภาษาทั้งสองเข้าด้วยกัน เจจูบคนรักของเขาอีกครั้งและกอดรัดร่างใหญ่กำยำนั้นไว้แน่น เขามาฮ่องกงคราวนี้ไม่เสียเที่ยวแล้วจริงๆ



"ที่รักครับ ขอบคุณจริงๆ ที่คุณกลับมาหาผมในวันนี้"

เจกระซิบเสียงแผ่วเบาและจูบแผ่วๆ ที่หัวใจในอกกว้างที่เขาหนุนนอนอยู่ คนตัวโตหอมเรือนผมนุ่มที่เขาลูบเล่นอยู่

"ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจนาย เจนยุทธ นี่เป็นของขวัญวาเลนไทน์ที่เยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้มาเลยนะ"

ถึงฆาเบียร์จะไม่เคยมีแฟนเป็นต้วเป็นตนนอกจากอเล็กซ์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยให้หรือได้รับของขวัญในวันแห่งความรักนี้จากใคร แต่ของเหล่านั้นเป็นเพียงของที่ให้หรือได้รับพอเป็นพิธีตามเทศกาลเท่านั้น เขาโอบรัดร่างอุ่นของเจไว้แน่น มือของเขาเริ่มซุกซนอีกครั้ง แต่เจนยุทธจับข้อมือเขาไว้และดันตัวลุกขึ้น

"เดี๋ยวๆ พอก่อนครับ คุณฆาเบียร์ พักยกก่อน"

คนตัวโตลุกขึ้นตามแล้วทำหน้ายุ่ง ฆาเบียร์บ่นกะปอดกะแปดว่าเขายังได้รับความรักจากเจไม่พอเลยด้วยซ้ำ เจส่งสายตาเว้าวอนให้เมียตัวโตของเขา

"แต่คุณครับ ผมปวดท้องไปหมดแล้วนะ..."

ฆาเบียร์ใจหายวาบ หรือว่าเมื่อสักครู่เขาจะเผลอทำรุนแรงไปอีกแล้ว คนตัวโตก็อดส่ายหัวไม่ได้เมื่อเจ้าตัวเล็กบ่นอุบอิบว่าที่ปวดท้องนั้นเพราะเขาหิวจนไม่รู้จะหิวอย่างไรแล้ว



"นี่ผมไม่ได้กินอะไรมาเลยนะคุณ"

เจบอกว่าเขาไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืนนอกจากเหล้ากับช็อคโกแลตก้อนเดียวที่เขากินเมื่อมาถึงฮ่องกงแล้ว

"ผมกะว่าพอมาถึงฮ่องกงในตอนเช้า เจอคุณ ให้ของขวัญแล้วค่อยออกไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน"

เจหน้าแดงซ่านเมื่อเขาบอกคนรักว่า เขากะว่าฆาเบียร์คงอยาก "แกะของขวัญ" ทันทีที่ได้รับ เขาจึงอยากอยู่ในสภาพที่พร้อมรับความรักของฆาเบียร์ที่สุด

"ใครจะไปนึกล่ะว่าคุณจะไม่อยู่แล้วต้องแขวนท้องรอจนถึงเย็นถึงค่ำขนาดนี้"

เจนยุทธบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว

"โธ่ เจ นี่มันสองทุ่มกว่าแล้วนะ นายไม่หิวแย่แล้วเหรอ? ไป อาบน้ำแล้วเราไปหาอะไรกินกัน"

คนตัวโตรีบดึงคนรักให้ลุกขึ้นแล้วดันให้เข้าไปอาบน้ำ เจเดินเซน้อยๆ แต่ก็ทำตามคนรักอย่างว่าง่าย ฆาเบียร์จับคนรักอาบน้ำเร็วๆ และจัดการแต่งตัวให้เสร็จสรรพ

"ป่ะ กินข้าวๆ ผมหิวไส้จะขาดแล้ว"

เจหันไปยิ้มกว้างให้คนรัก ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องดึงแก้มแดงๆ ของคนที่ทำหน้าแป้นแล้นอยู่ตรงหน้า เจว๊ากลั่นให้คนตัวโตได้หัวเราะอีกครั้ง พวกเขายื้อยุดกอดปล้ำและพลอดรักกันอีกเล็กน้อยก่อนที่คนตัวโตจะจูงมือคนรักของเขาเดินออกจากห้องเพื่อไปหาอะไรกิน



---------------------------------------


ตัดจบตรงนี้ก่อนนะคะ ไม่งั้นเดี๋ยวยาว ขอสารภาพว่าไม่ได้เขียนนาน เกิดตันอีกแล้ว ฮ่าๆ ไว้ขอเวลาปรับสภาพอีกนิดหน่อย แต่จะไม่ให้คนอ่านได้รอนานค่ะ

วันนี้มีแค่สูตรทำช็อคโกแลตมาฝากนะคะ ในเรื่องให้เปลี่ยนใช้ดาร์คช็อคโกแลต แต่โดยส่วนตัวคิดว่าทำตามสูตรน่าจะอร่อยกว่า เพราะว่าถ้าให้ช็อคโกแลตรสออกขมมันอาจจะไปกลบรสของเบอร์เบินได้ค่ะ

สูตร Bourbon Truffles http://bit.ly/2Ixe4Aj



ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Itadakimasu ----




​ฆาเบียร์เดินยิ้มเผล่ตรงมาหาเจนยุทธที่ยืนรอเขาอยู่หน้าประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ เจหน้าแดงซ่านเมื่อร่างใหญ่กำยำนั้นดึงเขาไปกอดแน่นต่อหน้าสาธารณชนอีกแล้ว

"เว่อร์ๆ ฆาบี้ ไม่ต้องมาทำแบบนี้เลย"

เจรีบดันตัวออกแล้วดึงกระเป๋าเดินทางใบน้อยของคนรักมาถือไว้เอง

"ก็ฉันคิดถึงนายนี่"

คนตัวโตพูดอ่อยๆ เจส่ายหัวด้วยความระอา

"คุณมาร์ติเนซครับ เมื่อเช้าเรายังเจอกันอยู่เลย มาคิดถงคิดถึงอะไร อย่ามาทำตัวน้ำเน่าเลย!"

เจโคลงหัวน้อยๆ เขาออกจากห้องของฆาเบียร์ที่ฮ่องกงเมื่อก่อนแปดโมงเช้าเล็กน้อยและนั่งเครื่องบินของแอร์เอเชียไฟลท์ 10:35 น. กลับมาเชียงใหม่ตามที่ซื้อตั๋วไว้ก่อนแล้ว หลังจากขับรถที่ทิ้งไว้สนามบินคืนหนึ่งกลับห้องเพื่อเก็บของนั่นนี่ เขาก็มารับฆาเบียร์ซึ่งนั่งเครื่องบินของคาเธย์ ดราก้อนไฟลท์สามโมงกว่าและมาถึงเชียงใหม่เมื่อตอนเกือบห้าโมงครึ่ง กว่าจะผ่านตม. อะไรออกมา เขาก็ได้เจอหน้าเมียตัวโตของเขาอีกครั้งเวลาหกโมงกว่าๆ ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาห่างกันแค่สักสิบชั่วโมงเท่านั้น แต่พ่อเจ้าประคุณก็เล่นใหญ่เหมือนไม่ได้เจอกันเป็นปี

"คิดถึงสิ เจ ห่างนายแค่เสี้ยววินาทีฉันก็คิดถึงแล้ว"

คนตัวโตพูดเบาๆ เจหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง เขาบ่นนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่ฆาเบียร์ก็ยิ้มกริ่มเมื่อคนรักยอมส่งมือมาให้เขาเกาะกุมและพากันเดินไปขึ้นรถสีน้ำเงินแจ๋นที่จอดไว้ในลานจอดรถ

"ฆาบี้ เดี๋ยวสิ ผมจะขับรถ!"

เจปัดป้องพ่อคนช่างลวนลาม ฆาเบียร์ดึงเขาไปจูบๆ หอมๆ แทบจะทันทีที่ปิดประตูรถ แต่เขาก็ปัดป้องพอเป็นพิธีและปล่อยให้คนรักได้ลิ้มความหวานจากริมฝีปากของเขาไปจนได้



"นายใจร้ายมากนะเจที่ปล่อยให้ฉันนอนหนาวคนเดียวเมื่อเช้าน่ะ"

คนตัวโตบ่นกะปอดกะแปดใส่คนที่ทำหน้าตูมขับรถ เจตื่นมาอาบน้ำและเตรียมตัวเดินทางตั้งแต่หกโมงเช้าและออกจากห้องไปตั้งแต่ยังไม่แปดโมง เขาปลุกฆาเบียร์ขึ้นมาจูบลาเร็วๆ แล้วรีบออกห้องไป

"ก็ผมเห็นคุณง่วงนี่นา ผมก็เลยไปก่อน ก็ไหนๆ คุณก็จะตามผมกลับมาบ้านอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?"

ในทีแรกฆาเบียร์คิดว่าจะใช้วันหยุดช่วงตรุษจีนที่ฮ่องกง สำนักงานของเขาหยุดไม่กี่วันเพราะว่าต้องทำงานประสานกับทางสหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้หยุดไปด้วย เขาให้พนักงานผลัดกันหยุดช่วงก่อนและหลังตรุษจีนโดยที่ตัวเขาเองและพวกฝ่ายไอทีจะอยู่โยงเฝ้าสำนักงานซึ่งปิดจริงๆ เพียงแค่สี่วัน แต่หลังจากเจอเจนยุทธเมื่อคืนแล้วเขาก็อดใจไม่ไหวจนต้องตามเจกลับบ้าน ในตอนแรกเขาจะนั่งแอร์เอเชียกลับมาพร้อมเจ แต่คนตัวเล็กปฏิเสธว่ามันนั่งไม่สบายและยังออกเช้าจนเกินไป สุดท้ายฆาเบียร์ก็ใช้ความเป็นสมาชิกบัตรไดมอนด์ของสายการบินคาเธย์ แปซิฟิคหาที่นั่งบนไฟลท์คาเธย์ดรากอนที่แสนจะแน่นในช่วงก่อนตรุษจีนมาจนได้

"แต่จริงๆ เลยน้า ฆาบี้ คุณไม่ต้องกลับมากับผมก็ได้ เดี๋ยวปลายเดือนเราก็เจอกันอีกนี่นา"

เจนยุทธบ่นเบาๆ ตั๋วซื้อกระชั้นช่วงตรุษจีนไม่ถูกเลยสักนิด แถมยังไม่เหลือที่ดีๆ แล้ว อย่างคราวนี้ ฆาเบียร์ก็ไม่ได้ที่นั่งชั้นธุรกิจ แต่ยังโชคดีที่ได้ที่นั่งแบบที่มีช่องว่างด้านหน้ากว้างกว่าปกติ ทำให้เขาสามารถยืดขาได้สบายหน่อย

"ไม่เป็นไรหรอกเจ มันไม่ได้ลำบากอะไร อีกอย่าง เมื่อคืนฉันยังรับความรักจากเจไม่จุใจเลยนะ"

คนตัวโตกุมมือคนรักตัวเล็กของเขา เมื่อคืนหลังจากพาเจไปกินข้าวเร็วๆ ที่ร้านห่านย่างเจ้าโปรดร้านใหม่ของเขาอย่าง Goose Manor แล้ว เขากะกลับมาหาความสุขและพร่ำพลอดบอกรักกับเจต่ออีกทั้งคืนให้สมกับเป็นวันวาเลนไทน์แรกของพวกเขา หากสภาพร่างกายที่อ่อนล้าจากการทำงานของเขา อีกทั้งความเครียดสะสมจากการนั่งเครื่องบินเล็กและฤทธิ์ตกค้างของยากล่อมประสาทที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้น ทั้งหมดเหมือนจะประดังประเดเข้ามาทำให้เขาง่วงจนเกินทานทนและผลอยหลับไปบนอกของคนรัก



เจนยุทธถอนหายใจเบาๆ และลอบมองใบหน้าคมเข้มของคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เมื่อวานคนรักของเขาฝืนตัวเองจนเกินไปจริงๆ ฆาเบียร์ดูง่วงงุนตั้งแต่ตอนพาเขาไปกินข้าว เจ้าตัวก็เหมือนจะรู้ตัวจึงให้คนขับรถพาพวกเขาไปแทนที่จะขับไปเอง เขากินอาหารไปเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดูเหมือนจะกินไม่ลง แต่คนตัวโตก็ยังพยายามแสดงท่าทางร่าเริงให้เจเห็นตลอดมื้ออาหาร

ฆาเบียร์แทบจะลากเจนยุทธขึ้นเตียงทันทีที่กลับห้อง เขาพรมจูบไปทั่วร่างคนรักและปลุกเร้าอารมณ์เจ แต่ความอ่อนเพลียทำให้เขาผลอยหลับไปทั้งๆ ที่ยังคร่อมร่างเพรียวอยู่ เจที่หลับตาพริ้มและเพลินกับสัมผัสของคนรักอยู่ก็ลืมตาขึ้นดูเมื่ออยู่ๆ คนรักก็นิ่งไป เขาตกใจในทีแรกเมื่อพบว่าคนตัวโตนอนนิ่งไม่ไหวติง แต่ก็ต้องโคลงหัวเมื่อได้ยินเสียงกรนน้อยๆ เขาค่อยๆ ดันร่างคนรักให้ลงนอนเคียงข้าง

"คงเหนื่อยมากสินะครับ ฆาบี้"

เจไล้นิ้วไปตามสันโหนกแก้มของคนรักแล้วก้มลงจูบแผ่วๆ เขานึกโทษตัวเองที่ทำให้คนรักต้องฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองเกลียด​

"คุณไม่น่าต้องฝืนตัวเองเพื่อผมเลย แค่นี้ผมก็รักคุณจะแย่แล้ว"

คนตัวเล็กบ่นเบาๆ เขาขมวดคิ้วเมื่อฆาเบียร์เริ่มละเมอบ่นพึมพำอะไรออกมาเป็นภาษาสเปน เขาฟังออกบางคำและพอเข้าใจว่ามันเป็นการเรียกหาพ่อและแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว คนรักของเขาดูมีท่าทางอึดอัดทรมานและเริ่มยกมือไม้เหวี่ยงไปมา เหงื่อเขาไหลซึมเช่นเดียวกับน้ำตา เจใจหาย การที่เจ้าตัวฝืนนั่งเครื่องบินเล็กมาคงส่งผลกับจิตใจเขาจริงๆ เจนยุทธโอบกอดร่างใหญ่นั้นไว้และกระซิบคำปลอบโยนและคำรักซ้ำๆ

"อย่ากลัวไปเลยครับ คนดี เจอยู่ที่นี่แล้ว กอดผมแน่นๆ นะ ฆาบี้ ผมจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวอีก"

เจกอดและปลอบโยนคนที่ละเมอตัดพ้อพ่อแม่ที่ทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง เขาไม่รู้ว่าฆาเบียร์จะได้ยินเขาหรือไม่ แต่ร่างใหญ่กำยำนั้นดูมีทีท่าสงบและผ่อนคลายลงบ้าง เจลูบแผ่นหลังกว้างของฆาเบียร์เบาๆ และจูบซับคราบน้ำตาบนใบหน้าคมเข้มนั้น เจเอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียงและขยับให้คนตัวโตที่หลับสนิทไปแล้วมานอนซบอก เขาลูบและจูบเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่สยายปรกคอของคนรักแล้วข่มตาลงนอนหลับตามไป



"ฆาบี้ครับ ถึงแล้ว ตื่นเถอะ"

เจเขย่าตัวคนรักเบาๆ ฆาเบียร์ผลอยหลับไปบนรถหลังจากเขาออกรถไปได้ไม่นาน ถึงระยะทางจากสนามบินมาที่คอนโดของเจจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่สิบนาที เจก็ปล่อยคนรักให้ได้พักผ่อนเต็มที่ ฆาเบียร์บิดขี้เกียจแล้วก็บ่นเจเล็กน้อยที่ปล่อยให้เขาหลับไป เจหัวเราะเบาๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรมาก เขาลงรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูให้คนรักที่ยังนั่งหน้าตูมอยู่

"งอนอะไรครับ เมีย ป่ะ ลงรถ เร็วๆ "

เขายื่นมือให้เมียตัวโตของเขา พ่อเจ้าประคุณของเขาก็ยังคงนั่งนิ่ง เจโคลงหัวเบาๆ เขาโน้มคอคนรักลงมาประทับจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปาก ฆาเบียร์จูบตอบอย่างอ่อนโยน

"พอใจยัง? ป่ะ เข้าห้องเถอะ ฆาบี้"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ตาลุกเมื่อคนรักใช้นิ้วสะกิดไล้หลังมือเขา เขารีบลงรถและปิดประตู เจเดินไปเปิดท้ายรถและดึงเอากระเป๋าเดินทางใบน้อยของคนตัวโตออกมา ทั้งสองเดินคลอเคลียจูงมือกันไปที่ลิฟท์

"อ๊ะ เดี๋ยว ผมแวะหาลุงแกแป๊บนึงก่อนนะ"

เจพาเมียตัวโตของเขาเดินไปที่ห้องผู้ดูแลอาคาร เขาดึงหมูแผ่นที่เขาซื้อจากสนามบินฮ่องกงมาฝากคุณลุงคนเฝ้าอาคาร และคุยกันครู่หนึ่งก่อนจะพาคนรักขึ้นลิฟท์ไปที่ห้อง

"โดนลุงบ่นเลย"

เจหันไปหัวเราะเบาๆ ให้คนตัวโต เหตุที่โดนบ่นก็เพราะเรื่องเซอร์ไพรส์ของพ่อเจ้าประคุณของเขานั่นแหละ

"ก็นายไม่อยู่ห้องเองนี่ เจ "

ฆาเบียร์ยีหัวคนรักของเขา เจหันไปแลบลิ้นให้คนรัก

"วันหลังไม่เอาเซอร์ไพรส์แบบนี้แล้วนะ ถ้าจะส่งอะไรมาให้ผมก็บอกด้วย จะได้อยู่รอรับ"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ เขาเดินตามเจเข้าห้องไป เมื่อประตูห้องปิดลง ฆาเบียร์ดึงร่างคนรักมากอดแนบอก เขาหอมและซุกหน้าลงกับเรือนผมดำขลับ เจลูบหลังคนรัก พวกเขากอดกันนิ่งๆ แบบนี้พักใหญ่ให้ความอบอุ่นของร่างอีกฝ่ายประทับเข้าไปในใจ

"คิดถึงนะ คนดีของฉัน"

"อือ ผมก็คิดถึงคุณ ฆาบี้"

เจรับจูบแผ่วเบาที่ประทับลงมาบนริมฝีปาก เขาทำเป็นบ่นว่าคนรักของเขาทำตัวน้ำเน่าที่ทนห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงไม่ได้ แต่ตัวเขาเองก็คิดถึงคนรักสุดหัวใจ โดยเฉพาะเมื่อได้เจอกันเพียงแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ระยะเวลาแค่นั้นไม่ทำให้ความคะนึงหาในใจของพวกเขาคลายลงไปได้หรอก



เจดึงร่างคนตัวโตของเขาให้เข้าไปในห้องนอนใหญ่ ฆาเบียร์ตะลึงกับกลิ่นหอมหวานของกุหลาบที่อบอวลอยู่ในห้อง

"เจ ไหนเจบอกว่าให้นพเอาดอกไปขายหมดแล้วไงล่ะ?"

ฆาเบียร์งุนงงเมื่อเห็นกุหลาบแดงจำนวนมากที่เจเอาใส่โหลแก้วใสวางกระจายไว้เต็มห้อง บนเตียงของพวกเขาก็ปูโรยไว้ด้วยกลีบดอกกุหลาบสีแดงสด"

เจหัวเราะเบาๆ

"ฆาบี้ครับ นี่มันแค่ไม่กี่ร้อยดอกเองนะ พี่นพเก็บไว้ให้ผม 500 ดอก แล้วยังมีที่เหลือจากเอาไปขายอีกนิดหน่อย คุณคิดว่ากุหลาบห้าพันดอกนี่มันเยอะขนาดไหน ฮึ?"

คนตัวโตทำตาปริบๆ เขาเองก็ไม่นึกว่ามันจะเยอะขนาดนี้

"รูปที่ผมส่งไปให้คุณดูน่ะ นั่นมันไม่ถึงครึ่งของที่ส่งมาเลยนะ"

เจหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาเปิดมือถือให้ฆาเบียร์ดูรูปที่นพส่งมาให้เขาเพิ่ม กุหลาบห้าพันดอกนั้นเรียงรายเต็มทั่วห้องของเขาจริงๆ



"ตอนแรกฉันว่าจะสั่ง 9,999 ดอกด้วยซ้ำ แต่ทางคนที่จัดการหาให้เขาบอกว่าหาดอกให้ไม่ทัน"

คนตัวโตสารภาพเสียงอ่อยๆ เจทำตาโตแล้วซัดเบาๆ เข้าที่อกของคนรัก

"จะบ้าเหรอคุณ เกือบหมื่นดอกนี่เหมาสวนแล้วมั้ง นี่บอกมาเลยนะ ว่าหมดเงินไปเท่าไหร่กัน?"

ฆาเบียร์อุบอิบบอกจำนวนเงินมาเบาๆ เจแทบลมจับเมื่อรู้ว่าคนรักของเขาหมดเงินไปกับเซอไพรส์ที่เขาไม่ได้เห็นไปหกหลักปลายๆ

"...ก็เป็นกุหลาบฮอลแลนด์หมดเลยนี่ เจ"

"โอ๊ย พอๆๆ เลิกซื้อของแบบนี้ให้ผมซักที เงินตั้งขนาดนี้เอาไปซื้อรถจ่ายกาดคันใหม่ให้เลยดีกว่าไป๊"

เจทรุดตัวลงนั่งบนเตียงที่เขาเด็ดกลีบกุหลาบแพงระยับเหล่านั้นโปรยไปทั่ว คนตัวโตทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างคนรัก

"งั้นเดี๋ยวเราไปเลือกรถกันเลยก็ได้นะ มีโชว์รูมไหนเปิดอยู่มั่ง? เอาคันเล็กๆ หาที่จอดง่ายๆ ซักเฟียต 500 หรือมินิดีไหม?"

คนตัวโตทำเสียงตื่นเต้น นานๆ ทีเจจะเอ่ยปากพูดเรื่องให้เขาซื้อของให้ เจนยุทธสะดุ้งเฮือก

"เฮ้ย ผมเปรียบเทียบโว้ย ไม่เอา ไม่ต้องมาซื้ออะไรให้แล้ว ปีนี้คุณหมดโควต้าซื้อของให้ผมแล้ว เข้าใจไหม!!"

คนตัวเล็กว๊ากลั่น เขาใช้มือค่อยๆ กอบกลีบดอกแพงระยับบนเตียงออก เขาบ่นอุบอิบว่าของแพงแบบนี้ เดี๋ยวเขาจะเอาไปผึ่งแดดตากแห้งแล้วเอามาดื่มแทนชา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"เจ ดอกพวกนี้ยาฆ่าแมลงน่าจะเยอะ นายอย่ากินเลย เอามาปูเตียงแบบนี้ก็พอแล้ว "

คนตัวโตช้อนกายคนรักขึ้นแล้ววางลงกลางเตียงกุหลาบ เขาดึงดอกไม้แสนสวยจากแจกันมาดอกหนึ่ง แล้วใช้มันไล้เบาๆ ตามกรอบหน้าของคนรัก เจสูดดมกลิ่นหอมจรุงของดอกนั้น เขาดึงแขนเมียตัวโตของเขาให้ลงมานอนเคียงข้างแล้วพลิกกายขึ้นนั่งคร่อมร่างใหญ่กำยำนั้นไว้ เขาดึงกุหลาบจากมือคนรักมาคาบไว้ก่อนจะถอดเสื้อยืดของตัวเองออก ฆาเบียร์รีบแกะเชือกมัดเอวกางเกงจ็อกเกอร์ของคนรักที่นั่งคร่อมอกเขาไว้ เจซี้ดปากเบาๆ เมื่อลิ้นร้อนๆ ของคนรักกวาดเลียไปตามแท่งลำของเขาผ่านกางเกงผ้ายืดเนื้อบาง



"อย่าครับ ฆาบี้ อย่าพึ่งรีบร้อน"

เจดันกายออกห่าง ฆาเบียร์ยันกายขึ้นนั่งตามแล้วก็ถอนหายใจยาว

"ฉันก็ว่างั้นแหละ เจ..."

ฆาเบียร์พลันซบหน้าลงกับหน้าท้องแบนราบของคนรัก

"ลูกเจร้องซะดังลั่นขนาดนั้น ฉันว่าเดี๋ยวเรากลับมาต่อกันหลังกินข้าวดีกว่านะ"

เจนยุทธหน้าร้อนวาบ เขาผลักหัวคนรักที่กลั้นหัวเราะจนตัวโยนจนตกจากตัก เมื่อเช้าเขากินข้าวบนเครื่องไปแค่กล่องเดียว พอกลับถึงห้องก็มัวแต่ทำนั่น จัดนี่จนลืมกินมื้อเที่ยงไปสนิท ได้กินก็แค่ขนมเล็กๆ น้อยๆ ที่มีในห้อง ไอ้เจ้ากระเพาะของเขาที่ทำงานตรงเวลาจึงอดไม่ได้ที่ต้องส่งเสียงประท้วงขึ้นมาให้ได้อายอีกครั้ง

"งั้นคุณจะกินอะไร ฆาบี้? "

"เจหิวขนาดไหนล่ะ?"

คนตัวโตถามกลับ เจนยุทธกัดริมฝีปากน้อยๆ และทำท่าคิดหนัก ฆาเบียร์ส่ายหัว เขาหยิบเสื้อยืดที่เจโยนทิ้งไว้ข้างเตียงมาส่งคืนให้คนตัวเล็ก ส่วนตัวเองลงเตียงไปล้างหน้าล้างตาเร็วๆ และเปลี่ยนเสื้อเชิร์ตออกเป็นเสื้อโปโลเนื้อบางกับกางเกงขาสั้นแบบเบอร์มิวด้า อากาศที่เชียงใหม่เดือนกุมภาพันธ์ไม่ได้หนาวเย็นอะไร เขาแต่งตัวสบายๆ แบบนี้ก็เพียงพอแล้ว

"เอ้า คิดได้หรือยังว่าจะกินอะไร"

"กินอาหารญี่ปุ่นก็ได้ ฆาบี้ เราไม่ได้กินกันนานแล้ว"

"ร้านเดิมเหรอ เจ?"

"ครับ ไปกินโทราจิโร่เหมือนเดิมก็ได้ ง่ายดี"

เจหยิบกระเป๋าเงินและมือถือใส่กระเป๋า เขาโยนกุญแจรถให้คนตัวโต

"คุณขับนะ ผมขี้เกียจละ"

"อืมม์ นายบอกทางด้วยแล้วกัน ฉันก็ลืมๆ แล้วว่ามันอยู่ไหน"

คนตัวโตส่งมือให้คนรัก เจเอื้อมมือไปจับมือใหญ่แสนอบอุ่นนั้นไว้แน่น ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนจะพากันออกห้องไป



ทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานก็มาถึงร้านโทราจิโร่ ร้านอาหารญี่ปุ่นแนวอิซากายะ หรือร้านที่เน้นขายเหล้าและกับแกล้มที่ขยายสาขามาจากกรุงเทพฯ ร้านนี้ตั้งอยู่ใต้ "สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์" ร้านหนังสือแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่ที่ปัจจุบันถูกกลุ่มอสังหาฯ ของอาณาจักรเบียร์ช้างซื้อไปแล้ว เจสั่งอาหารโดยแทบไม่ต้องดูเมนู

"เอาไก่ทอดคาราอาเกะ สลัดปลาดิบ ทาโกะวาซาบิ เอ๊ะ ไม่สิ คุณไม่กินทาโกะดิบใช่มะ? แต่ไอ้เจ้าปลาหมึกสดคลุกไข่ปลานี่คุณกินได้เนาะ เอาเป็นนี่แทนแล้วกัน..."

เจเจื้อยแจ้วสั่งอาหารอย่างมีความสุข สุดท้ายเขาก็ได้อาหารมาเต็มโต๊ะ คนตัวโตส่ายหัวน้อยๆ แต่เขาก็ชินกับมันแล้วและรู้ว่าสุดท้ายเจก็คงยัดทุกอย่างลงท้องได้หมดอยู่ดี

"นี่ครับ ข้าวหน้าปลาดิบที่เล็กของคุณ ชอบจริงๆ นะ มาเมื่อไหร่ก็สั่ง"

เจเลื่อนข้าวหน้าปลาดิบถ้วยน้อยไปให้คนรัก

"ก็ข้าวมันน้อยดีนี่ เจ ฉันไม่ได้อยากกินข้าวเยอะนักหรอก แถมเนื้อปลาก็ยังให้มาเยอะจุใจด้วย ถ้วยละ 200 นิดๆ เอง ฉันก็ว่าคุ้มอยู่"

ข้าวหน้าปลาดิบที่เล็กของที่นี่ให้ข้าวมาไม่มากนัก แต่ได้เนื้อปลาชิ้นหนาๆ มาหลายชิ้น มีทั้งแซลม่อน ทูน่า ปลาเนื้อขาวอย่างปลาไทและฮามาจิ ปลาหมึก ซาบะดองและตบท้ายด้วยของโปรดเจอย่างไข่ปลาแซลมอนที่โปะมาอย่างจุใจ เมื่อเทียบกับราคา 189++ แล้ว ฆาเบียร์มองว่ามันคุ้มเหลือเกินและเหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากกินคาร์โบไฮเดรตมากแบบเขาอีกด้วย ส่วนเจนยุทธเลือกแฮมเบิร์กกะทะร้อนกับชุดข้าวเป็นจานหลัก แถมยังมีเบียร์สดอาซาฮีเย็นเฉียบอีกแก้ว

"Itadakimasu"

"กินแล้วนะครับ"


เจพูดเบาๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น มันเป็นธรรมเนียมแปลกๆ ที่เขาติดมาจากนพที่มักติดพูดแบบนี้เฉพาะเวลากินอาหารญี่ปุ่น พ่อจอมตะกละของฆาบี้เริ่มลงมือกินโดยที่ไม่รอคนตัวโต ทั้งสองคนกินอาหารไปพร้อมกับคุยกันไปด้วยเหมือนทุกครั้ง



"เจ ระหว่างทางฉันเห็นตามร้านรวงหลายที่ติดโคมแดง ที่เชียงใหม่นี่ก็ฉลอง Lunar New Year เหมือนกันเหรอ?"

ฆาเบียร์ถามเจซึ่งกำลังไล่คีบไข่ปลาแซลม่อนเต่งๆ ในจานสลัดปลาดิบกิน เจอึกอักเมื่อได้ยินคำถามนั้น

"เอ่อ... ครอบครัวที่เป็นคนจีนก็ฉลองกันแหละ อ่า คุณครับ ไก่ทอดเย็นแล้วจะไม่อร่อยนะ กินเถอะ เดี๋ยวผมบีบมะนาวให้"

เจคว้ามะนาวซีกมาบีบใส่ไก่ทอดคาราอาเกะ คนตัวโตขมวดคิ้วเมื่อเห็นทีท่าของคนรัก

"เจ นายทำท่าแปลกๆ นะ แล้วนี่บ้านนายก็มีเชื้อสายจีนนี่ ไม่ต้องฉลองตรุษจีนกับเขาด้วยเหรอ? พรุ่งนี้คือวันขึ้นปีใหม่จีนใช่ไหม? ต้องไปทำอะไรหรือเปล่า? ถ้าเป็นที่ฮ่องกงก็ต้องไปขอพรจากญาติผู้ใหญ่นี่นา เอ๊ะ แล้วเย็นนี้นายไม่ต้องไปกินข้าวกับที่บ้านเหรอ?"

คนตัวโตที่ถึงจะอยู่ฮ่องกงไม่นานก็พอจะรู้ธรรมเนียมอยู่บ้างรัวคำถามถี่ยิบด้วยความสงสัย เจทำเสไปคุยเรื่องอื่น แถมยังตัดและคีบแฮมเบิร์กจากจานของตัวเองส่งให้คนรักเสียชิ้นโต



"เจ...ทำไมไม่ตอบฉันล่ะ?"

ฆาเบียร์เริ่มทำเสียงแข็ง เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ครับๆ ที่บ้านผมก็ฉลองตรุษจีนแหละ ที่ไทย คนไทยเชื้อสายจีนก็ฉลองปีใหม่เหมือนๆ ที่อื่นแหละคุณ แต่เรามีวันสำคัญหลักๆ สามวัน คือวันจ่าย วันไหว้ แล้วก็วันเที่ยว"

คนตัวโตฟังอย่างตั้งใจ มันเป็นโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้ธรรมเนียมของครอบครัวคนรัก

"วันจ่าย เป็นวันที่เราออกไปจับจ่ายอาหารและของไหว้เป็นวันสุดท้ายก่อนที่ร้านค้าต่างๆ จะเริ่มหยุดยาวตอนตรุษจีน ที่บ้านผมก็ไปจ่ายของที่กาดวโรรสนั่นแหละ ที่นั่นเป็นแหล่งรวมสินค้าสำหรับช่วงตรุษจีนเพราะย่านกาดหลวงนี่ก็ถือเป็นไชน่าทาวน์ของจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนวันไหว้คือวันที่ชาวจีนจะทำพิธีไหว้เทพ บรรพบุรุษและพวกภูติผี เริ่มต้นจากไหว้เทพ คือไหว้ตี่จู่เอี้ยในตอนรุ่งสาง ไหว้บรรพบุรุษตอนสายถึงก่อนเที่ยง แล้วก็ไหว้พวกผีไร้ญาติตอนบ่าย ส่วนบางคนที่เคร่งๆ ก็ไหวเทพไฉ่ซิงเอี้ยหรือเทพแห่งความโชคดีตามฤกษ์ด้วย..."

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกรอบ คนตัวโตต้องบ่นเขาแน่ๆ

"ส่วนวันสุดท้าย คือวันเที่ยว เป็นวันที่เราจะตระเวนไปเยี่ยมบ้านญาติผู้ใหญ่เพื่อขอพรและอวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่น่ะ ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้"

เจพูดเสียงอ่อยๆ



"หา? เดี๋ยวนะ เทศกาลปีใหม่จีนของที่นี่เริ่มมาสองวันแล้วเหรอ? เจนยุทธทำไมนายไม่บอกฉัน แล้วนายไปฮ่องกงทำไม ทำไมไม่อยู่ฉลองกับที่บ้าน?!"

คนตัวโตเอ็ดเสียงดังอย่างลืมตัวจนโต๊ะข้างๆ เริ่มหันมามอง เจนยุทธหน้าจ๋อย

"ก็...ก็ ผมอยากฉลองวาเลนไทน์กับคุณอ่ะ"

เจพูดเสียงแผ่วเบา

"แล้วมันสำคัญกว่ากิจกรรมที่นายต้องทำช่วงตรุษจีนกับครอบครัวเหรอ เจนยุทธ? นี่ถ้าฉันรู้ฉันจะหาตั๋วให้นายกลับตั้งแต่วันที่ 14 แล้ว"

เจนั่งก้มหน้านิ่ง

"สำคัญสิ ฆาบี้ ก็คุณเป็นคนสำคัญของผมนะ "

เสียงสั่นเครืออันแผ่วเบาหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของคนตัวเล็ก ฆาเบียร์อึ้งไป

"เจ..."

คนตัวโตเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของคนรัก เขาใจหายเมื่อเห็นน้ำตาหยดน้อยๆ ที่หางตาของเจ

"ฉันขอโทษ..."

เจนยุทธส่ายหัว

"ไม่ต้องขอโทษหรอก ฆาบี้ คุณก็พูดถูกแหละ เรื่องทางบ้านก็สำคัญ ผมก็ไม่น่าทิ้งไป ตอนแรกผมก็คิดหนักอยู่ว่าจะไปดีไหม แต่พอคุยกับที่บ้านดู ที่บ้านก็ไล่ให้ผมไปหาคุณ​"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่จริงเขาขอที่บ้านว่าจะไปแค่วันวาเลนไทน์ซึ่งก็คือวันจ่าย ไปเช้าแล้วหาไฟลท์กลับตอนเย็นหรือดึก แต่แม่บอกว่าไหนๆ ก็ไปแล้วอย่างน้อยไปค้างสักคืนเลยก็ได้



"ที่บ้านผมก็ไม่ได้ไหว้ใหญ่อะไรมากมายครับ คือครอบครัวผมเป็นคนจีนที่มาอยู่ที่เชียงใหม่นี้หลายรุ่นจนแทบจะกลายเป็นคนเมืองไปแล้ว แถมแม่ผมก็ไม่ใช่คนจีน ทุกวันนี้เราไม่ได้ไหว้เทพเจ้ากับผีไร้ญาติ ไหว้แค่บรรพชนกับญาติที่ล่วงลับเท่านั้น"

เจบอกว่าตอนที่บ้านเขายังทำร้านอยู่ในตลาด พวกเขาจะไปไหว้รวมกับครอบครัวญาติที่อยู่ร้านข้างๆ กันและช่วยๆ กันเตรียมของ โดยจะเคร่งพิธีการมากกว่านี้ แต่ในปัจจุบันหลังจากพ่อเสียและพวกเขาย้ายออกมาอยู่นอกเมือง ทางบ้านจึงตกลงกันว่าจะไหว้แค่บรรพบุรุษเท่านั้นและทำกันแค่ในครอบครัวเล็กๆ ของพวกเขาเท่านั้น

แม้เรื่องที่ต้องทำจะลดน้อยลง หากทุกปีเขาจะคอยอยู่เป็นลูกมือช่วยแม่ในการทำความสะอาดบ้าน ไปจ่ายของและทำกับข้าวเพื่อเตรียมไหว้ แม้ของหลักๆ ในการไหว้อย่างเป็ด ไก่และหมู และพวกขนมอย่างขนมเข่ง ปุยฝ้าย จันอับและขนมเทียนที่บ้านเขาจะซื้อจากในกาดวโรรส และปลานึ่งจะสั่งเอาจากร้านอาหารก็ตาม แต่อาหารอย่างอื่น เช่นเกี๊ยวทอด หมี่ซั่ว จับฉ่าย และอาหารไหว้ประจำของบ้านเขาซึ่งเป็นการผสมผสานสองวัฒนธรรมอย่าง ลาบหมูคั่ว นั้นแม่เขาจะเป็นคนทำเองทั้งหมดโดยมีลูกสาว ลูกชายทั้งสองและลูกสะใภ้คอยเป็นลูกมือ

"ปีนี้ผมเลยช่วยแม่แค่ตอนทำความสะอาดบ้านแล้วก็ไปสั่งพวกของไหว้ต่างๆ ให้"

เจเปิดรูปโต๊ะไหว้ของที่บ้านเขาให้ฆาเบียร์ดู มันไม่ได้ใหญ่โตอะไร มีรูปถ่ายของเหล่าบรรพบุรุษและรูปของพ่อเขาตั้งอยู่ที่สุดโต๊ะ มีเครื่องดื่มอย่างน้ำชา น้ำเปล่าและเหล้าวางถัดมา ต่อด้วยถ้วยข้าวที่ปักธูปไว้ จากนั้นจึงเป็นเหล่าอาหาร ขนมและผลไม้ หน้าโต๊ะคือกระถางธูปและถาดที่ใส่เงินกงเต๊กและกระดาษเงินกระดาษทองซึ่งพับเป็นรูปทองก้อนไว้อย่างสวยงาม

"พวกนี้ผมพับเองนะ จริงๆ ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ก็มีไว้ให้พวกเด็กๆ มันได้ตื่นเต้น"

เจบอกว่าตอนเขาเป็นเด็ก ช่วงเวลาที่เขารอคอยมากที่สุดนอกจากได้กินของไหว้แล้วคือการได้เผากระดาษเงินกระดาษทองและเงินปลอมพวกนี้ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่าที่ประเทศจีนในตอนนี้กำลังรณรงค์ให้คนเลิกเผากระดาษเงินกระดาษทองช่วงตรุษจีนเพราะมันทำให้เกิดมลพิษอย่างรุนแรง เจพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อนึกถึงประชากรเกือบพันห้าร้อยล้านของจีน



"งั้น เจ เรารีบกินข้าวให้เสร็จกันเถอะ คืนนี้เราไปนอนที่บ้านแม่กัน ฉันจะไปขอโทษแม่ด้วยตัวเองที่ทำให้เจต้องพลาดงานสำคัญแบบนี้"

เจนยุทธตอบรับอย่างว่าง่าย เขารีบกินแฮมเบิร์กในจานของเขา ฆาเบียร์คีบปลาหมึกสดคลุกไข่ปลาเผ็ดขึ้นกิน เขาอดไม่ได้ต้องยกแก้วเบียร์เย็นเฉียบของเจขึ้นจิบตาม

"เอาเบียร์อีกแก้วไหมคุณ?"

ฆาเบียร์คิดนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับ เขาคงต้องเลิกคิดคุมน้ำหนักเมื่ออยู่กับเจ อะไรที่กินเข้าไปมันเหมือนจะอร่อยไปเสียหมด เจนยุทธยกมือสั่งเบียร์สดมาอีกเหยือกใหญ่

"เจ สั่งอีกเหยือกเลยเหรอ?"

คนตัวโตขมวดคิ้ว

"น่าๆ มันเทได้ซักสามแก้วเอง คนละแก้วครึ่ง ไม่เยอะๆ"

เจพูดยิ้มๆ นานๆ คนรักจะครึ้มอกครึ้มใจอยากกินเบียร์ที เขาก็ต้องสนอง เขาเทเครื่องดื่มสีทองที่มีฟองละมุนนั้นให้คนตัวโตซึ่งยกขึ้นจิบอย่างชอบใจ เบียร์เย็นๆ เหมาะกับอากาศของไทยมากกว่าไวน์เป็นไหนๆ เจคีบไก่ทอดขึ้นกัดกินพร้อมทำหน้ามีความสุข

"ผมว่าไก่ทอดที่นี่อร่อยสุดในเชียงใหม่ละ"

เจพูดออกมา ไก่ของที่นี่เป็นไก่เนื้อสะโพกชิ้นโต แป้งที่ชุบข้างนอกชิ้นไก่นั้นไม่หนาแต่ก็พอทำให้หนังไก่นั้นกรอบกรุบ ตอนแรกที่มากิน เจอ้างความกลัวอ้วนของฆาเบียร์ลอกหนังไก่พวกนี้ไปกินให้หมด ภายหลังคนตัวโตรู้แกวจึงต้องรีบเบรคไว้และเก็บหนังไว้กินเอง


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Itadakimasu (ต่อ) ----



ทั้งสองกินอาหารจานหลักของตัวเองไปจนหมด และตอนนี้กำลังกินของกินเล่นที่พวกเขาสั่งมาแกล้มเบียร์ เจอดไม่ได้ต้องสั่งอาหารมาเพิ่งอีกอย่างซึ่งฆาเบียร์ไม่กล้ากินในทีแรก แต่เจนยุทธก็คะยั้นคะยอให้เขาลองชิมดู

"เจ นี่มันอร่อยมากเลยนี่นา ทั้งเค็ม เปรี้ยว เผ็ด เหมาะกับเป็นกับแกล้มจริงๆ "

ฆาเบียร์อุทานออกมาอย่างถูกใจ ครั้งแรกที่เขาเห็นมัน เขาไม่คิดสักนิดว่าตัวเองจะกินไอ้เจ้าปลาหมึกดิบดองหรือ Ika Shiokara นี้ได้ เจยิ้มร่าเมื่อเห็นคนรักที่ปกติกินยากคีบของโปรดของเขาเข้าปากอีกคำพร้อมกับดื่มเบียร์ตาม หนทางในการฝึกคนรักให้เป็นคู่กินที่ถูกใจนั้นคงอยู่ไม่ไกลแล้ว

"เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยคิดกินครับ แต่ตอนผมไปฮอกไกโดคราวที่แล้วกับพี่นพ พวกเราไปกินข้าวกันที่ร้าน Uni Murakami ที่ฮาโกดาเตะ เมนูนึงที่พวกเราสั่งมานอกจากพวกไข่หอยเม่นแล้ว เรายังสั่งของดังของฮอกไกโดอย่าง Jyaga Potato หรือมันฝรั่งเผาใส่เนยด้วย"

แต่ที่ร้านนี้ไม่ได้เสิร์ฟแค่มันฝรั่งเปล่าๆ มันมาพร้อมกับปลาหมึกดองหรือที่เจเรียกว่าปลาร้าปลาหมึก พวกเขาทั้งสองอึ้งไปเมื่อเห็นอย่างนั้น

"คือ ที่ร้านมีเมนูภาษาอังกฤษก็จริง แต่มันมีแค่อาหารยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติ แต่พวกเราขอเมนูญี่ปุ่นมาดูด้วย พี่นพเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นเมื่อนานมากแล้ว แกก็ยังพออ่านศัพท์บางคำออกบ้าง แกอ่านเมนูแล้วเห็นคำว่ามันฝรั่งอบเนย ก็เลยสั่ง แต่ปรากฏว่ามันมีไอ้เจ้าหมึกนี่มาด้วย ตอนแรกพวกผมก็ไม่กล้ากิน แต่เมื่อมันมาแล้ว ก็ต้องลองอ่ะเนาะ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ สมกับเป็นสองคนนี้จริงๆ ถ้าเป็นเขาก็คงไม่ยอมแตะไอ้เจ้าปลาหมึกดองที่ดูเขละๆ ไม่น่ากินนั่นเป็นแน่แท้

"พอกินมันกับมันฝรั่งเผาร้อนๆ โปะเนยเท่านั้นแหละ คุณเอ๊ย ติดใจเลย มันไม่ได้เหม็นเหมือนปลาร้าบ้านเราอ่ะ แถมรสเค็มๆ มันๆ ของปลาหมึกเข้ากันดีกับมันฝรั่งร้อนๆ มาก"



เมื่อกลับมาเชียงใหม่ พอพวกเขาเห็นเมนูปลาร้าปลาหมึกที่ร้านโทราจิโร่ก็เลยสั่งมากินบ้างนานๆ ที

"แต่เมื่อไม่นานมานี้พวกผมก็ลองเปลี่ยนดูอ่ะครับ คือ ก็เห็นไอ้เจ้านี่ที่เรากินในเมนูนานแล้วแหละ แต่ก็ไม่ชัวร์ว่ามันอร่อยไหม ในที่สุดก็ลองสั่งดู..."

เมนูที่ว่าก็คือยำปลาหมึกดอง ปลาร้าปลาหมึกตามที่เจเรียกถูกนำไปปรุงรสให้ออกเปรี้ยวเผ็ดแบบยำของไทยและเสิร์ฟมาพร้อมกับกระเทียมฝานและพริกชี้ฟ้าหั่น

"กินเข้าไปคำแรกปุ๊บ ผมกับพี่นพตะโกนสั่งเบียร์ปั๊บเลยอ่ะ รสมันได้มาก"

รสเค็มของปลาหมึกดองเข้ากับรสชาติของยำแบบไทยได้อย่างลงตัว ฆาเบียร์พยักหน้าเห็นด้วยกับเจที่ว่ามันเป็นอาหารแกล้มเหล้าชั้นดีจริงๆ เขาคีบปลาหมึกเขละๆ นั้นเข้าปากอีกคำพร้อมแตงกวาฝานและกระดกเบียร์ตามเข้าไปอึกใหญ่ เจอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นคนรักระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างสมใจ พวกเขาทั้งสองกินไปคุยกันไปจนอาหารหมดโต๊ะ




(ร้านอาหารญี่ปุ่น โทราจิโร่)



"ที่เชียงใหม่นี่ ฉันเห็นเจกินอาหารญี่ปุ่นอยู่แค่ร้านเดียว มันไม่มีร้านอื่นแล้วเหรอ?"

คนตัวโตที่รับหน้าที่เป็นพลขับอีกครั้งถามขึ้น สุดท้ายเขาดื่มเบียร์ไปเพียงแก้วเดียวในขณะที่เจดื่มไปสามแก้ว

"ไม่หรอกคุณ เชียงใหม่เป็นที่ๆ มีร้านอาหารญี่ปุ่นเยอะแยะ เพียงแต่ผมเลือกร้านนี้เพราะมันจอดรถง่ายแล้วอาหารมันก็ถูกปากด้วย ถ้าร้านอื่นๆ โดยมากมันหาที่จอดยาก ต้องจอดข้างถนนอ่ะ"

ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ คนหวงรถอย่างเจนยุทธคงไม่ค่อยอยากจอดรถข้างถนนเท่าไหร่ ร้านโทราจิโร่นี้ก็จอดรถง่ายอย่างที่เจบอกจริงๆ เพราะแชร์ที่จอดกับสุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์



"ร้านญี่ปุ่นใหญ่ๆ ดังๆ ในเชียงใหม่ตอนนี้ก็มีเทนโกกุ ร้านนี้เป็นร้านแบบบุฟเฟต์ หัวละ 800 จำกัดเวลาสองชม. แต่เป็นแบบทำใหม่ๆ นะ ยำเนื้อแบบญี่ปุ่นของเขาอร่อยมาก หม้อไฟแบบชาบูของเขาก็โอเค ปลาดิบอะไรก็ใช้ได้ แต่..."

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว ลงเจบอกว่ามีแต่ แสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่าง

"คือ ตอนเขาเปิดใหม่ๆ เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมไปบ่อยเลยนะ เพราะว่ารสชาติอาหารของเขาคล้ายกับร้านซันซุยที่ผมกับพี่นพเคยไปกินบ่อยๆ ก็แหงล่ะ ร้านนี้ดึงทั้งเชฟและพนักงานมาจากร้านนั้นเลยนี่นา ตอนแรกๆ บุฟเฟต์เขาไม่จำกัดเวลา ผมก็แฮ้ปปี้อยู่ แต่พอเริ่มดัง คนติด ทีนี้แหละ ก็เริ่มจำกัดเวลากินสองชั่วโมง"

ครั้งแรกที่เจไปกินหลังจากเริ่มจำกัดเวลา เขาไม่ประทับใจเลยสักนิด อาหารในวันนั้นออกช้ามาก ทำให้เขาแทบกินอะไรไม่ทัน

"ผมมันเป็นประเภทพอเจอแย่ๆ ครั้งนึงแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับไปอีก ตั้งแต่นั้นผมก็ไม่กลับไปกินอีกเลยครับ แต่ทุกวันนี้มันก็น่าจะดีแล้วแหละ เพราะเห็นใครๆ ไปกันแล้วก็ชอบนักหนา ก็ถือเป็นอีกหนึ่งบุฟเฟต์สุดคุ้มของเชียงใหม่อ่ะ ถ้าคุณอยากลองก็ไปได้นะ ฆาบี้ สาขาหลักเขาอยู่ที่หน้ารร. ดาราเทวี แต่เขาก็ยังมีอีกสาขาที่นิมมานฯ ซ. 5 ด้วย"

ทางร้านยังเปิดอีกสาขาหนึ่งที่แม่ออนใต้ ซึ่งเปิดเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ ที่นั่นยังเป็นไร่ที่ทางร้านใช้ปลูกผักออร์แกนิคส์ซึ่งเอาไว้ใช้ในร้านอีกด้วย

"ร้านชาบูที่พวกเราไปกันบ่อยๆ อย่าง Shazube ก็เหมือนจะเป็นร้านลูกของร้านนี้ด้วยนะคุณ..."

เจบอกคนรัก ฆาเบียร์ร้องอ๋อ เขาจำได้ว่าเจชอบรสชาติน้ำซุปสุกี้ หรือที่คนไทยเรียกว่าชาบูน้ำดำของร้านนี้มาก

"อืมม์ งั้นร้านใหญ่ก็น่าจะรสชาติใช้ได้นะเจ พวกปลาดิบกับซูชิที่มีเสิร์ฟในร้าน Shazube มันก็ไม่ได้แย่นะ"

เจพยักหน้า เขาก็คิดแบบเดียวกัน แต่เขาก็คงยึดมั่นความคิดเดิม

"แต่อย่างหนึ่งนะ ฆาเบียร์ กับอาหารญี่ปุ่นเนี่ย ไม่นับร้านจิ้มจุ่มชาบูอะไรพวกนี้นะ ร้านอาหารญี่ปุ่นอย่างเดียว ผมอยากจะนั่งกินชิลล์ๆ สบายๆ ไม่ต้องเร่งรีบอ่ะ แต่พอมาโดนกรอบเวลาสองชั่วโมงบังคับเนี่ย ต่อให้รู้ว่ายังไงก็กินทัน มันก็ไม่สะดวกใจ ผมก็เลย ไม่ไปดีกว่า"

คนตัวโตพยักหน้าตอบรับ



"แล้วร้านอื่นๆ ล่ะ เจ ที่ไหนที่คนเชียงใหม่นิยมกันอีก"

"เราพูดถึงร้านใหญ่และแพงๆ กันก่อนนะ อีกร้านที่ดังมากช่วงที่แล้วก็คือ Cook With Love ร้านนี้เจ้าของร้านเคยทำงานกับ Iron Chef อาหารญี่ปุ่นของไทยอย่างเชฟบุญธรรมด้วย แล้วเขามาเปิดร้านที่เชียงใหม่เป็นแนว home cook แต่ใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยม"

"เหรอ ฟังดูน่าสนใจนะ แล้วเจเคยไปกินหรือยัง?"

คนตัวโตที่ชอบอาหารญี่ปุ่นถามขึ้นอย่างสนใจ หากเจนยุทธส่ายหัว

"ยังอ่ะครับ คือผมยังไม่เคยไปกินที่ร้านใหญ่ของเขานะ ร้านนี้ป๊อบมาก ต้องจอง ผมกับพี่นพเลยขี้เกียจไป ผมเคยไปกินสาขาสองที่กลางเวียง ก็โอเคนะ ของสดดี มีทั้งล็อบสเตอร์ ฟัวกราส์ ปลาไหล หอยเม่น"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เขาพอเข้าใจความคิดของเจแล้ว



"ฉันว่าฉันพอเข้าใจเจแล้วล่ะว่าทำไมเจถึงไม่ค่อยกินอาหารญี่ปุ่นในเชียงใหม่เท่าไหร่นัก"

ฆาเบียร์พูดหลังจากเจเปิดรีวิวร้านญี่ปุ่นร้านดังร้านอื่นๆ ในเชียงใหม่ให้เขาดูเมื่อกลับถึงห้องแล้ว

"พวกร้านดังพวกนี้ อย่างฟินซูชิ ฮานาวะ หรือเทนโกกุ ผมรู้สึกว่ากินร้านไหนก็เหมือนๆ กันหมด ปลาดิบทุกร้านก็มีแซลม่อน ทูน่า ปลาไท อย่างมากก็ฮามาจิ แล้วหน้าตาอาหารก็เหมือนๆ กันไปหมด อย่าง Cook With Love ก็มีอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย แต่ก็แค่นั้น..."

เจบอกว่าสำหรับเขามันไม่น่าตื่นเต้นอะไร

"พี่นพเคยพาผมไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นเก่าแก่ของเชียงใหม่อย่าง San Sui ที่สันกำแพง ร้านนั้นเป็นร้านประจำของครอบครัวพี่เขา..."

เจเล่าว่าเจ้าของร้านนั้นซึี่งเป็นคนญี่ปุ่นจะลงไปเอาปลาสดๆ มาจากทะเลที่ระยองและนำส่งตามบ้านของคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ และบางส่วนก็นำมาใช้ที่ร้านด้วย และถ้าเมื่อไหร่ที่มีปลาสดลง นพจะลากเขาไปกินทันที พวกเขาจะสั่งข้าวหน้าปลาดิบรวมมากิน ซึ่งจะได้ปลาแปลกๆ มาทุกครั้ง

"พวกผมก็ไม่ได้ลิ้นดีแยกรสปลาได้ขนาดคนญี่ปุ่นหรอกนะ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่จำเจอยู่แค่ทูน่ากับแซลม่อนน่ะ อาหารที่ร้านเขาก็ไม่ได้มีแค่อาหารญี่ปุ่นยอดนิยมที่เราเห็นกันตามเมนูทุกวันนี้หรอกนะ แต่ยังมีอาหารพวกกับแกล้มหลายๆ อย่างที่คล้ายโทราจิโร่ แล้วก็พวกเซ็ตที่มีทั้งของต้ม ของดอง อะไรนั่นนี่ที่แปลกๆ กว่าที่อื่น"

แต่น่าเสียดายว่าร้าน San Sui เดิมนั้นปิดตัวลงไปหลายปีแล้วเพราะเจ้าของที่ต้องการจะรื้ออาคารที่เป็นร้านเดิม เจ้าของร้านชาวญี่ปุ่นได้ลองเปิดร้านใหม่ที่อื่นแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

"ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขายังเปิดร้านอยู่ไหม ผมก็ไม่ได้แวะไปเลย"

เจบ่นอย่างรู้สึกผิด ฆาเบียร์บ่นเสียดายที่ว่าเขาไม่ได้มีโอกาสได้ลองร้านนั้นในยุครุ่งเรือง



"อีกร้านนึงที่เป็นร้านเก่าแก่เหมือนกับซันซุยแต่ก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลาคือ Yamato ครับ ร้านนี้เมื่อก่อนอยู่กับภัตตาคารชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่อย่าง นางนวล ไอ้เจ้าร้านนางนวลนี้เป็นร้านที่ขายอาหารทะเลและเป็นร้านดังที่สุดในเชียงใหม่ ผมก็ไม่ทันหรอกนะ แต่พี่นพเล่าให้ฟังอีกทีนึง ร้านยามาโต้นี่ผมก็ไม่ทันกินตอนที่ยุครุ่งเรือง เห็นพี่นพเล่าว่ามันเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรกที่แกเคยกิน..."

ยามาโต้ในยุครุ่งเรืองนั้นเรียกได้ว่าเป็นร้านรับแขกของบริษัทญี่ปุ่นและบริษัทต่างชาติในจังหวัดเชียงใหม่ ตัวร้านแบ่งเป็นห้องๆ ล้อมรอบบ่อปลาคาร์ปและสวนน้อยๆ ที่มีทางเดิน สะพานและโคมไฟหินที่ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งกินอาหารอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น หากตอนหลังร้านเสื่อมความนิยมลง และเริ่มผันตัวมาเปิดเป็นร้านบุฟเฟต์ นับได้ว่าเป็นร้านบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นร้านแรกๆ ของจังหวัดเชียงใหม่

"ตอนหลังภัตตาคารนางนวลปิดตัวลง ยามาโต้ก็เลยต้องย้ายออกด้วย ตอนนี้เขาเปิดเป็นบุฟเฟต์หัวละ 449 มั้งอยู่ที่ 89 พลาซ่า พวกผมเคยไปครั้งนึงแล้วก็เลิก ไม่ใช่ว่ามันไม่เวิร์คนะ แต่พี่นพแกบอกว่าแกทำใจไม่ได้ที่เห็นร้านมันเปลี่ยนไปขนาดนั้น"

เจบอกว่านพเคยบ่นเสียดายร้านอาหารญี่ปุ่นเก่าๆ ที่ต้องเปลี่ยนหรือปรับตัวไปเนื่องจากกระแสความนิยมของคน แต่มันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าปรับไม่ได้ก็ต้องปิดตัวลง



"ตอนนี้ร้านเก่าๆ ที่ยังเหลือให้พี่นพแกได้ชื่นใจบ้างก็มีร้านอย่าง Kitchen Hush ที่เจ้าของเป็นคนญี่ปุ่นเหมือนกัน และยังมีปลาสดๆ จากทะเลมา น่าจะทุกๆ วันเสาร์มั้ง ผมก็จำไม่ได้ละ ร้านนี้อยู่แถววัดเกต พวกผมก็นานๆ ไปที อาหารจะคล้ายๆ กับที่ซันซุย แต่ถ้าจะไม่ได้ไปบ่อยก็เพราะคนเยอะ ต้องจอง แล้วอาหารช้า พวกผมเคยไปรออาหารเป็นชั่วโมงมาแล้ว..."

เจถอนหายใจ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่พวกเขาไม่ได้ไปมานานแล้ว

"ส่วนร้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่ร้านตามกระแสที่ผมเคยไปก็อย่างร้าน Sun Tori ร้านนั้นเจ๋งมาก เปิดสัปดาห์ละสี่วันคือเสาร์ถึงอังคาร ส่วนวันพุธถึงศุกร์นั้นเจ้าของร้านจะลงไปเอาปลามาจากศรีราชา ร้านเปิดเป็นสองช่วงคือเที่ยงกับเย็น สมัยก่อนตอนพวกผมไปกินกันบ่อยๆ ช่วงเที่ยงจะมีให้เลือกแค่ชุดซูชิกับชุดปลาดิบ ส่วนช่วงเย็นถึงมีอาหารแบบอื่น แต่ตอนหลังๆ นี้ไม่รู้ละ ว่ายังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม พวกผมก็ไม่ได้ไปนานแล้ว"

เจเปิดเมนูของร้านนี้ให้ดู เขาชี้ให้ฆาเบียร์ดูปลาแปลกๆ ที่หากินที่ร้านอื่นไม่ได้อย่างปลาเข็มหรือ Sayori ปลาทรายหรือ Kisu หรือปลาอื่นๆ ที่ไม่มีในเมนู แล้วแต่ว่าจะหาปลาอะไรได้ในช่วงนั้น ปัญหาของเจกับนพกับร้านนี้ก็คงเป็นเรื่องที่จอดรถอีกตามเคย ต่อให้ร้านอยู่ในโครงการสหศรีภูมิเพลสที่มีที่จอดรถให้ แต่ในนั้นก็มักมีรถจอดเต็มตลอดเวลา ถ้าเจไปกินเอง เขาก็จะขี่มอเตอร์ไซค์ไป แต่ถ้าไปกับนพ รายนั้นมักจะเอารถยนต์ไปเสมอและก็จะบ่นเรื่องหาที่จอดไม่ได้

"อีกอย่าง ร้านเขาที่เล็กครับ แล้วพอวันเสาร์ที่ปลาลงใหม่ๆ ร้านก็มักจะถูกจองเต็ม โดยมากก็คนญี่ปุ่นทั้งนั้นแหละ เขามากินปลาสดกัน คนเยอะถึงขั้นต้องแชร์โต๊ะกัน ถ้าอยู่ๆ เข้าไปก็มักจะไปเสียเที่ยว แต่ถ้าจะรอไปกินวันจันทร์หรืออังคาร ปลาก็มักจะไม่สดแล้ว ก็อดไป พวกผมก็เลยไม่ค่อยเข้าไปกัน"



เจบอกว่าร้านอื่นที่คล้ายๆ กันก็มี Sushi Ichiban ซึี่งเป็นร้านที่กงสุลญี่ปุ่นเลือกใช้บ่อยครั้งในงานเลี้ยงของทางกงสุล  แต่พวกเจก็มีปัญหาเดียวกันกับร้านนี้คือเรื่องที่จอดรถและมีที่นั่งน้อย อีกปัญหาหนึ่งของพวกเขาสองคนคือพวกเขามักรอจนถึงมื้ออาหารก่อนแล้วถึงเลือกว่าจะกินอะไร เลยไม่ค่อยชอบร้านที่ต้องจองล่วงหน้าหรือไม่ชัวร์ว่าไปแล้วจะได้ที่นั่งหรือไม่ สุดท้ายแล้วเลือกไปเลือกมาสุดท้ายพวกเขาก็ตายรังอยู่ที่ร้าน Torajiro แล้วค่อยเก็บเงินไปกินอาหารญี่ปุ่นดีๆ ที่กรุงเทพหรือไม่ก็ที่ญี่ปุ่นเลย ฆาเบียร์หัวเราะน้อยๆ เจและนพนั้นช่างเลือกและเรื่องมากจริงๆ

"ร้านอื่นญี่ปุ่นอื่นๆ ที่มีชื่อหน่อยก็อย่างร้านโกโร่ ที่ผมว่าคล้ายๆ กับโทราจิโร่ ร้าน Ai Tomoe ร้านนี้เริ่มเปิดหลายสาขาละ คนว่าดีเหมือนกันแต่ผมก็ยังไม่เคยไปลอง ร้าน Tsunami Sushi ที่หน้ามช. ร้านนี้ดังมาเป็นสิบปีแล้ว เป็นร้านแรกๆ ในเชียงใหม่ที่ทำมากิสไตล์ฟิวชั่น..."

เจหมายถึงซูชิแบบม้วนที่เน้นซอสเยอะๆ ราดชีส ราดมายองเนส ใส่วัตถุดิบแบบตะวันตกอย่างอะโวคาโด ชีสแท่งหรือคลุกเศษแป้งเทมปุระ เขาบ่นว่าตอนนี้ร้านไหนๆ ก็กลายเป็นแบบนี้ไปหมดแล้ว เจยังไล่ชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นมาอีกหลายร้านทั้งที่เคยไปกินและได้ยินมาว่าอร่อย

"ร้านอาหารญี่ปุ่นในเชียงใหม่เยอะจริงๆ ด้วย งั้นวันหลังเราเปลี่ยนไปลองร้านอื่นบ้างก็ได้นะ ถ้าเจกลัวหาที่จอดยากก็เอาเวสป้าไป ฉันซ้อนได้ ไม่เหมือนนพหรอก"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ

"เบื่อโทราจิโร่แล้วล่ะสิ"

 เจพูดอย่างรู้ทัน

"อืมม์ ฉันอยากลองร้านซันโทริ แล้วเจล่ะ มีร้านไหนที่อยากกินเป็นพิเศษอีกไหม?"

"ตอนนี้ร้านที่อยู่ใน wish list ของผมอีกร้านนึงก็คือ Bistro Kura ร้านนี้อยู่นิมมานฯ ซ. 11 มั้ง ไม่แน่ใจ เจ้าของเป็นญี่ปุ่นเหมือนกัน ก็ว่าจะไปลองสักวัน ไว้ผมจะชวนคุณไปนะ"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำด้วยความยินดี



"อีกละ ฆาบี้ ผมบอกแล้วให้พับผ้าดีๆ"

เจเอ็ดคนรักเบาๆ เมื่อเห็นคนตัวโตทำท่าจะเอาเสื้อผ้าจากในตู้มาม้วนๆ โยนใส่กระเป๋าตามความเคยชิน เขาดึงเสื้อพวกนั้นมาพับเองอย่างเรียบร้อยและใส่ในกระเป๋า

"นี่เอาเสื้อไปตั้งสามสี่ตัวเนี่ย คุณกะจะอยู่บ้านแม่กี่วัน?"

"ก็สองคืนไม่ใช่เหรอ เอาไปสามสี่ตัวเผื่อไว้ก่อนน่า"

คนตัวโตพูดหน้าตาเฉย เขาหยิบกางเกงยีนส์หนึ่งตัวและกางเกงขาสั้นอีกตัวมาพับใส่ลงไปอีก เจส่ายหัวเบาๆ พ่อนกหงส์หยกของเขานี่ช่างแต่งตัวจริงๆ พี่แกต้องเตรียมไปครบทั้งเสื้อยืด เสื้อโปโลและเสื้อเชิร์ต มันไม่แปลกเวลาเดินทางไปทำธุรกิจที่ต้องมีเสื้อผ้าหลากหลายแบบติดตัวไว้เผื่อใช้ในโอกาสต่างๆ กัน แต่นี่ไปบ้านแม่ จะต้องเอาเสื้อผ้าเรียบร้อยไปทำไม

"นี่ คุณเอาเสื้อผ้าไปเยอะก็แบกเองนะ ผมไม่ช่วยหิ้ว"

ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักที่ทำหน้าง้ำแล้วหอมแก้มป่องๆ นั้นเบาๆ

"ไม่มีปัญหาจ้ะ งั้นเดี๋ยวฉันเอารองเท้าไปเพิ่มอีกคู่นะ"

เจหันมาถลึงตาใส่คนตัวโต ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อเห็นทีท่าของคนรัก เขาแค่ล้อเจเล่นเท่านั้น

"เอ้าๆ พอแล้วๆ จะเตรียมอะไรมากมาย ไหนว่าจะรีบไปไง ฆาบี้ เดี๋ยวไปถึงบ้านช้า แม่รอแย่เลย"

เจโทรไปบอกแม่ไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะเข้าไปค้างด้วย ถึงแม่ของเขาบอกว่าไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ แต่เมียตัวโตของเขาก็ยืนกรานว่าเขาต้องไปขอโทษฟองนวลกับตัวให้ได้

"เสร็จเรียบร้อยแล้วจ้ะ แล้วนี่เจจัดการพวกดอกไม้หมดแล้วเหรอ?"

ระหว่างที่รอคนตัวโตเก็บของ เจนยุทธจัดการเคลียร์ดอกกุหลาบในห้องเขาเอาบางส่วนแช่โหลแก้ววางไว้ในห้องน้ำ และหวังว่ามันจะยังสวยอยู่ตอนกลับมาบ้าน บางส่วนเขาเอามัดเชือกแล้วจับแขวนไว้ตามมุมนั้นมุมนี้ของห้อง ส่วนกลีบดอกบนเตียงเขากอบมันใส่ถุงพลาสติกและเอาติดตัวไปด้วย



"เอ้า นี่"

ฆาเบียร์ทำหน้างงๆ เมื่อเจยื่นดอกกุหลาบที่เลือกแล้วว่าสวยที่สุดสิบดอกมาให้

"เอาไปให้เจ๊อิ่มแกหน่อย เจ๊แกจะได้ดีใจ"

เจพูดยิ้มๆ ต่อให้นพเป็นที่หนึ่งในดวงใจ แต่พี่สาวเขาก็ดูจะปิ๊งคนรักของเขาอยู่ไม่น้อย ฆาเบียร์ยิ้มให้เจแล้วดึงกุหลาบในมือออกมาดอกหนึ่งแล้วยื่นให้คนรัก เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใสที่อยู่เบื้องหน้า

"แล้วเจล่ะ ได้ดอกจากฉันแล้วดีใจไหม?"

เจรับกุหลาบแดงดอกนั้นมาแล้วดึงคนรักเข้ามาจูบแผ่วๆ

"ดีใจสิครับ ฆาบี้ ถึงมันจะทำให้ผมและคนอื่นต้องวุ่นวาย แต่ผมก็ดีใจนะที่คุณทำให้ผมถึงขนาดนี้"

เจจูบเมียตัวโตของเขาอีกครั้ง ฆาเบียร์โอบร่างเพรียวนั้นเข้ากับอกและป้อนจูบที่ดื่มด่ำขึ้นให้ เจส่งเสียงเบาๆ ในคออย่างสุขสม



"พอๆ ไม่งั้นไม่ได้ไปไหนกันสักที"

คนตัวเล็กดันร่างคนตัวโตที่ทำท่าจะเครื่องติดแล้วออก

"ไม่ได้จริงๆ เหรอเจ ไม่นานหรอก"

ฆาเบียร์ทำหน้าเว้าวอน แต่คนรักของเขาก็ยังคงใจแข็ง​

"ไม่ได้ๆ นี่ดึกแล้ว ยังต้องขับรถอีกตั้งเกือบชั่วโมง ไปกันได้แล้ว ฆาบี้"

"ใจร้าย นี่ฉันต้องรออีกตั้งสองคืนเลยนะเจ"

คนตัวโตบ่นกะปอดกะแปด เจคงไม่ยอมให้เขาทำอะไรประเจิดประเจ้อที่บ้านแม่อีกเช่นเคย

"ไม่ต้องรอหรอกน่า รับรองว่าคืนนี้ผมจะจัดการคุณจนลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว ฆาบี้"

เจกระซิบเบาๆ ที่หูคนรัก ก่อนจะเดินยิ้มกริ่มออกจากห้องทิ้งให้ฆาเบียร์ยืนอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง

"นี่ รีบๆ มาได้แล้ว ยิ่งช้า ยิ่งไปถึงดึก ก็ยิ่งเหลือเวลาน้อยนะครับ"

เจหันมากวักมือเรียกเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์หยิบกระเป๋าและกุหลาบขึ้นจากเตียง จากนั้นรีบสาวเท้าเดินตามเจออกห้องไป



-----------------------------------------


ตอนแรกว่าจะเขียนเรื่องตรุษจีน ไปๆ มาๆ กลายเป็นเรื่องอาหารญี่ปุ่นไปซะเฉย ขอสารภาพว่าตอนหลังนี้เล่นง่ายกินมันอยู่ร้านเดียวตลอดเลยค่ะ คือ โทราจิโร่ เลยไม่ค่อยมีข้อมูลของร้านอื่นเท่าไหร่ แหะๆๆ ร้านอาหารญี่ปุ่นของเชียงใหม่ เท่าที่สังเกตดูจะเป็นร้านแบบจับฉ่ายคือมีครบทุกอย่าง ตั้งแต่ซูชิไปจนถึงกับแกล้ม ไม่ค่อยมีร้านเฉพาะทางอย่างกรุงเทพฯ ที่แยกเป็นร้านราเมน ร้านซูชิ ร้านโอโคโนมิยากิ อะไรพวกนั้น ถ้าจะมีก็มีอย่างละไม่กี่ร้าน อย่างร้านนินจาราเมน ร้านซูชิจิโร่ เป็นต้นค่ะ


แจกลิงค์นะคะ

เพจร้านโทราจิโร่ เมนูของที่เชียงใหม่กับกทม. เหมือนกันค่ะ http://bit.ly/2IMgcUU

เก้าร้านบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นในเชียงใหม่ อัพเดทเมื่อตุลาฯ 2560 นะคะ จริงๆ ยังมีร้านอื่นๆ อีก ถ้าหาข้อมูลเจอจะเอามาแปะเพิ่มค่ะ http://bit.ly/2xc0tct

Hanawa อีกร้านเปิดใหม่ของเชียงใหม่ น่าจะเปิดได้ไม่เกินสองปี ตอนนี้ทำบุฟเฟต์พรีเมียมแล้วเหมือนกัน ราคา 799 ถ้วน คนเขียนยังไม่ได้ไปลองที่เป็นบุฟเฟต์ค่ะ แต่ตอนอาลาคาร์ทก็ใช้ได้อยู่ http://bit.ly/2IJy0js

ร้านคิทเช่น ฮัช อีกร้านเก่าแก่ของเชียงใหม่ ร้านนี้ออกแนวร้านกินดื่ม อาหารหลากหลาย ถ้าจำไม่ผิด อาหารของร้านนี้จะออกแนวคันไซ คือแถวโอซาก้า เกียวโตอะไรเทือกนั้นค่ะ http://bit.ly/2GPrHVF

Sun Tori ร้านนี้ภูมิใจนำเสนอ เป็นร้านเล็กๆ แต่มีปลาสดใหม่จากทะเลมาทุกสุดสัปดาห์  ตามไปดูในเพจได้ค่ะ http://bit.ly/2INXaJI
รีวิวร้านค่ะ http://bit.ly/2LtpAKA

ร้าน Cook With Love ค่ะ เพจร้าน https://www.facebook.com/cookwithlovecnx/

รีวิวร้านค่ะ http://bit.ly/2s6oVGX

ร้านอื่นๆ ที่น่าสนใจก็อย่าง Tsunami Sushi, Ai Tomoe, Goro, Sushi Jiro และยังมีอีกหลายๆ ร้านที่ไม่ได้ออกชื่อค่ะ

มาแปะรูปเพิ่มค่ะ

​​


ร้าน Sun Tori รูปเก่าจากปี 2012-2013 ค่ะ แต่ว่าดูจากรีวิวล่าสุด ก็ยังประมาณนี้อยู่ค่ะ




Kitchen Hush รูปเก่าเหมือนกันค่ะ ช่วงปี 2013





Goro ร้านนี้ใหม่ เปิดได้ไม่นานแต่ถือเป็นอีกหนึ่งร้านที่มาแรงและมีคะแนนรีวิวดี อาหารดีค่ะ คล้ายๆ โทราจิโร่ บางอย่างถูกกว่า บางอย่างแพงกว่า มีของพรีเมี่ยมอย่างพวกโอโทโร่หรือเนื้อวากิวเป็นครั้งคราวไป ต้องคอยเช็คจากเฟซบุ๊คค่ะ

เฟซบุ๊คร้านโกโร่ค่ะ https://www.facebook.com/goro.cnx/


***(1/6/61) ขอแก้ไขนิดนึงนะคะ ร้านที่กงสุลญี่ปุ่นเรียกใช้ในงานของทางกงสุลคือ Sushi Ichiban ไม่ใช่ซูชิจิโร่ค่ะ***


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2018 08:05:33 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อ่านแล้วอยากไปเชียงใหม่เลย

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- อาหารวันตรุษ ----




"อ้าว มาถึงกันแล้วเหรอ"

อิ่มโผล่หน้าออกมาส่งเสียงทักทายสองหนุ่มที่เดินขึ้นชานหน้าบ้านมา

"เข้ามาสิ แม่ยังไม่นอน"

อาจารย์สาวกวักมือเรียกทั้งสองคนให้เข้ามาในเรือนใหญ่ แต่ฆาเบียร์ส่งกระเป๋าที่เขาถือไว้ให้เจนยุทธ

"เจ เอาของไปเก็บในห้องก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันขอเข้าไปคุยกับแม่หน่อย"

เจชะงักและขมวดคิ้ว คนตัวโตพูดแบบนี้แสดงว่าอยากคุยอะไรเป็นการส่วนตัวกับแม่เขาและไม่อยากให้เขาฟังด้วย

"แต่ ฆาบี้..."

เจถอนหายใจเมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนของฆาเบียร์ เขาพยักหน้าน้อยๆ และเดินเข้าไปยังเรือนพักของตัวเอง ส่วนฆาบี้เดินต่อไปหาอิ่มและพากันเข้าไปหาแม่ของเจที่นั่งรออยู่ในส่วนรับแขก



"ผมต้องขอโทษแม่จริงๆ ครับ ที่ทำให้เจเขาพลาดวันไหว้"

ฆาเบียร์ยกมือขึ้นไหว้แม่ของเจนยุทธ ฟองนวลยิ้มน้อยๆ ดูคนรักชาวต่างชาติของลูกชายที่ตอนนี้ไหว้สวยเหมือนคนไทยแล้ว

"แม่บอกว่าไม่เป็นไรค่ะ แม่เองก็เป็นคนอนุญาตให้เจไปตั้งแต่แรกแล้ว บ้านเราเองก็ไม่ได้เคร่งพิธีอะไรมากนัก บางปีถ้าใครสักคนไม่ว่าง ก็ไม่ต้องมาไหว้ก็ได้"

อิ่มช่วยแปลให้แม่ของเธอ ถึงฟองนวลจะพูดภาษาอังกฤษได้ดีระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ เธอก็อยากให้ใจความมันออกมาถูกต้องตามที่อยากสื่อ ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ จริงอยู่ที่ทางบ้านเจบอกว่าถ้าไม่ว่างก็ไม่ต้องมาได้ แต่ไอ้การมาฉลองวันวาเลนไทน์กับคนรักนั้นมันไม่ใช่เหตุผลที่ดีในการไม่มาไหว้บรรพบุรุษเลย

"ผมก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ดีครับ "

ฆาเบียร์พูดเสียงแผ่วเบา ก่อนจะตัดสินใจขอในสิ่งที่เขาตั้งใจมาถาม

"ที่ผมมาในวันนี้ก็เพราะผมมีเรื่องอยากจะขอร้องครับ ผมอยากจะเรียนรู้ธรรมเนียมของที่บ้านนี้ในเรื่องต่างๆ อย่างช่วงตรุษจีนแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ ปีหน้าผมอยากจะขอมาที่บ้านนี้ตอนช่วงตรุษจีนปีหน้าด้วย ไม่ทราบว่าจะรังเกียจหรือเปล่า"

อิ่มและฟองนวลมองหน้ากัน ฆาเบียร์รีบระล่ำระลักพูดต่อ

"เอ่อ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องภายในครอบครัวจริงๆ ก็ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องให้ผมมาก็ได้"



"เอ่อ ฆาบี้คะ ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ..."

อิ่มพูดแทรกขึ้นมาหลังจากฟังแม่ของเธอพูดบางอย่างแล้ว

"...จริงอยู่ที่มันเป็นพิธีที่ทำกันเฉพาะคนในครอบครัว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้คนอื่นมาเห็นหรือมาดูไม่ได้ค่ะ..."

อิ่มซ่อนยิ้ม เธอถามต่อในสิ่งที่แม่ของเธอไม่ได้ถามออกมา

"แค่อยากรู้ว่า ที่คุณบอกว่าจะมานี่ คือมาแค่มาดูเราไหว้เฉยๆ หรือว่าจะมาร่วมทำพิธีด้วยคะ? "

ฆาเบียร์หน้าแดงน้อยๆ

"เอ่อ ถ้าไม่รังเกียจ ผมอยากขอมาร่วมพิธีด้วยได้ไหมครับ? แล้วผมก็อยากมาช่วยตั้งแต่เรื่องเตรียมการเลย"

อิ่มกรีดร้องด้วยความฟินอยู่ในใจ คนรักของน้องชายพูดแบบนี้ก็เหมือนกับตอกย้ำว่าเขาพร้อมที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของเธอแล้ว

ฆาเบียร์กลั้นใจรอฟังคำตอบ เขาอยากเรียนรู้ อยากร่วมทำกิจกรรมกับครอบครัวของคนรัก เขาอยากให้ที่บ้านของเจนยุทธได้รับรู้ความตั้งใจของเขาที่ว่าเขาพร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่กับคนที่เขารักคนนี้ไปตลอดชีวิตแล้ว อิ่มกับแม่หันไปคุยกันครู่หนึ่งก่อนที่ฟองนวลจะหันมายิ้มให้หนุ่มละติน

"บ้านเรายินดีต้อนรับคุณเสมอค่ะ ถ้าว่าง ปีหน้าขอเชิญมาที่บ้านเราช่วงตรุษจีนได้ค่ะ ดีเหมือนกัน แม่จะได้มีลูกมือช่วยทำกับข้าวเพิ่มขึ้นอีกคน แม่ถามว่าจะให้แม่สอนคุณทำอาหารไหว้ด้วยดีไหม? "

อิ่มถ่ายทอดคำพูดของแม่เธอออกมาต่อ ฆาเบียร์ยิ้มกว้างด้วยความลิงโลด เขาหยิบมือถือขึ้นมาเช็คดูปฏิทินและพิมพ์กำหนดนัดหมายลงไปในตารางงาน



"นี่ คุยอะไรกันอยู่อ่ะ"

เจโผล่หน้าเข้ามาถามพี่สาวเป็นภาษาไทย แล้วหันไปถามคนรักซ้ำเป็นภาษาอังกฤษ เขาอดไม่ได้จนต้องตามเข้ามาดูเมียตัวโตของเขาพูดคุยกับที่บ้าน ฆาเบียร์ทำท่าอึกอัก เขาไม่อยากให้เจนยุทธรับรู้ในสิ่งที่เขาขอเพราะเขากลัวว่าเจจะอึดอัด เขาไม่แน่ใจว่าเจจะมองว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นการเร่งรัดความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองหรือไม่ เจถือวิสาสะเดินมานั่งแปะบนที่วางแขนของเก้าอี้นวมที่คนรักนั่งอยู่

"ไม่มีอะไรหรอก เจ ฆาบี้เขามาขอโทษแม่เรื่องที่เราไปหาเขาแล้วไม่ได้มาไหว้น่ะ"

อิ่มยีผมน้องชายด้วยความหมั่นไส้

"เนี่ยนะ เรา ให้คนอื่นต้องมาขอโทษแทน มันใช้ได้ไหม? "

เจทำหน้ายุ่งแล้วยกมือจัดแต่งทรงผมให้เหมือนเดิม เขาทำเป็นเมินคำบ่นของพี่สาว

"เมื่อกี้ได้ยินแม่ว่าจะสอนทำอาหาร คุณจะให้แม่สอนทำอาหารไทยเหรอ ฆาบี้? "

เจหันไปถามคนรักพร้อมส่งยิ้มแบบใสซื่อน่ารักให้ ฆาเบียร์นิ่งไม่ยอมตอบ แต่กลับเป็นฟองนวลที่ตอบแทน



“อ้ายเปิ้นมาขอว่าปี๋หน้าเปิ้นจะขอมาบ้านเฮาช่วงตรุษจีน เปิ้นไค่มาไหว้แล้วก่อมาจ้วยเกียมงาน แม่เลยว่าจะจ้วยสอนอ้ายเปิ้นแป๋งกับข้าวตี้เฮาใจ๊ไหว้โตย”

“พี่เขามาขอว่าปีหน้าจะเขาจะขอมาบ้านเราช่วงตรุษจีน เขาอยากมาไหว้แล้วก็มาช่วยเตรียมงาน แม่เลยว่าจะช่วยสอนพี่เขาทำอาหารที่เราใช้ไหว้ด้วย”


เจทำหน้างง คนตัวโตของเขาเกิดอารมณ์ไหนถึงอยากมาช่วยงานตรุษที่บ้านเขาขึ้นมา เขาหันไปบอกคนรัก

“คุณไม่ต้องช่วยทำอะไรก็ได้ฆาบี้ ถ้าอยากเรียนรู้ธรรมเนียมไทยก็แค่มาดูมาไหว้ก็พอแล้วน่า ไม่ต้องมาช่วยทำนั่นนี่ก็ได้ คนบ้านเราพออยู่ ไม่ได้มีอะไรมากมายให้ทำเท่าไหร่หรอก โอ๊ย!”

เจร้องลั่น เมื่อถูกพี่สาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เตะหน้าแข้งเข้าโครมใหญ่ เขาลูบหน้าแข้งตัวเองแล้วทำหน้ายุ่ง

“แกนี่มันไม่เก็ตอะไรเลย ไอ้เจ ทีไอ้เรื่องอื่นนี่ทำรู้ดีนัก ที่ฆาบี้เขาขอมาช่วยเตรียมงานน่ะ มันก็เหมือนที่หวานมาช่วยแม่เตรียมงานไง”

อิ่มลากคอน้องชายไปกระซิบเบาๆ แต่เธอก็ใช้ภาษาอังกฤษและพูดให้ดังพอไปเข้าหูคนตัวโตที่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่ข้างๆ ด้วย เจกระพริบตาปริบๆ เขาหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อเข้าใจถึงความนัยของอิ่ม มันแปลว่าการที่คนตัวโตอยากมาร่วมงานกับที่บ้านเขาในปีหน้านั้น เขาไม่ได้อยากมาในฐานะแขกหรือคนที่อยากเรียนรู้วัฒนธรรม แต่อยากมาในฐานะส่วนหนึ่งของครอบครัว มาในฐานะ “เขย” ของบ้านนี้



“นายจะยอมให้ฉันมาไหม เจ?”

ฆาเบียร์หันมาถาม เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใสของคนรัก เจหน้าร้อนผ่าว สายตาวิบวาวที่แสดงความจริงใจของเมียตัวโตของเขาในคืนนี้ทำให้เจนยุทธเขินเหลือทน

“โอ๊ย ไม่เอาแล้ว ผมไม่คุยด้วยแล้ว”

เจลุกพรวดแล้วเดินหนีไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวโดยมีเสียงแม่และพี่อิ่มหัวเราะตามหลัง ฆาเบียร์ขอตัวลุกไปหาคนรักของเขาที่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่ เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ร่างเพรียวของเจ

“เจจ๋า ถ้าไม่อยากให้ฉันมา ก็บอกฉันมาเถอะ ฉันไม่อยากทำให้นายลำบากใจ”

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ และหันหน้ามาหาคนรัก

“ผมไม่ได้พูดนะว่าไม่อยากให้คุณมา…”

“เจ แม่บอกว่าอยู่บ้านให้เรียกฆาบี้เขาว่าอ้ายด้วย”

อิ่มใจตะโกนบอกมาจากชุดรับแขก เจหันไปแยกเขี้ยวให้พี่สาวที่คอยทำหูผึ่งฟังพวกเขาพูด เขาหันกลับมาหาคนรักด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“ผมไม่ได้บอกว่าไม่อยากให้อ้ายมา แค่ไม่อยากให้ต้องมาลำบากทำนั่นทำนี่ แค่พวกผมเตรียมกันเองก็ทำไหวอยู่…”

เจก้มหน้างุด

“แต่ถ้าอ้ายอยากจะมาช่วย อยากมาเรียนรู้แบบที่พี่อิ่มว่า ก็ตามใจอ่ะ”

ฆาเบียร์ยิ้มร่ามองคนที่นั่งบิดไปบิดมาด้วยความเขินอายต่อหน้า ถ้าไม่ติดว่ามีแม่กับอิ่มใจนั่งอยู่ใกล้ๆ เขาคงจะดึงเจเข้ามาแสดงความรักสักทีด้วยความเอ็นดูเป็นแน่แท้ เจทำเป็นเปิดฝาชีบนโต๊ะกินข้าวดูเพื่อแก้ขวย แต่เขาก็อุทานออกมาเบาๆ และยิ้มร่าเมื่อเห็นของที่อยู่ภายใต้ ฆาเบียร์ชะโงกหัวมาดู

“อะไรน่ะ เจ?”

“ของไหว้เมื่อเช้าจ้ะ แม่เอาบางอย่างมาแปรรูปทำเป็นอาหารอย่างอื่นไว้เพื่อจะได้เก็บไว้กินต่อได้ด้วย”

ฟองนวลที่เดินมาหาลูกชายและคนรักที่โต๊ะอาหารตอบแทนเจ เธอก้มลงหอมผมลูกชายคนเล็กเบาๆ

“เดียวแม่ขึ้นไปนอนก่อนเน่อ วันพูกว่าจะไปแอ่วหาหมู่ป้าๆ ลุงๆ ตี้บ้านวัดเกตเปิ้นน่อย เจจะไปโตยก่อ?”

“เดี๋ยวแม่ขึ้นไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ว่าจะไปเยี่ยมพวกป้าๆ ลุงๆ ที่บ้านวัดเกตสักหน่อย เจจะไปด้วยไหม?”


เจตอบรับ เขาถามเวลาอะไรเสร็จสรรพก่อนจะเดินไปส่งแม่ที่ห้องนอน



“พรุ่งนี้เราจะไปสวัสดีปีใหม่จีนพวกญาติๆ น่ะ บ้านใหญ่ของตระกูลพ่อเค้าอยู่แถววัดเกต ส่วนพ่อเค้าแยกมาอยู่ที่แถวๆ ในคูเมือง…”

เจพูดถึงบริเวณสี่เหลี่ยมภายในกำแพงเมืองเชียงใหม่ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนั่งลงเคียงข้างฆาเบียร์

“ก็อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง พอพ่อตายแม่ก็ขายบ้านแล้วออกมาอยู่กับพี่จืดที่นี่”

เจพูดไปก็ใช้ส้อมที่หยิบติดมือมาด้วยจิ้มไก่รวนที่แม่แบ่งใส่จานไว้ให้กิน ในปีนี้แม่เขาทำเป็นเป็นไก่รวนพริกกระเทียมแบบที่เขาชอบ นอกจากซาแซ หรือชุดของไหว้ที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์สามอย่าง เช่นเป็ด ไก่ และหมูที่แม่เขาเอาไปแปรรูปเป็นอาหารอื่นแล้วแล้ว แม่ยังเก็บของโปรดเขาอย่างลาบคั่ว อีกทั้งของมงคลที่ต้องกินช่วงตรุษจีนอย่างหมี่ซั่วและเกี๊ยวทอดไว้ให้เขาด้วย

“พี่อิ่ม กินด้วยกันป่าว?”

เจส่งส้อมอีกอันให้อิ่มใจที่ตามมานั่งกับเขาด้วย แต่พี่สาวยกมือปฏิเสธบอกว่าเธอกินไปเมื่อมื้อเย็นแล้ว เขาเลยส่งให้ฆาเบียร์แทน

“กินด้วยสิ ฆาบี้ จะได้เป็นสิริมงคล”

ฆาเบียร์รับส้อมมา เขาพอรู้ธรรมเนียมพวกนี้อยู่บ้าง แต่เขาไม่รู้ว่าของทางไทยนั้นจะเหมือนกับทางฮ่องกงหรือไม่



“เกี๊ยวทอดนี่ต้องกินนะ มันแทนก้อนทอง จะได้ร่ำรวยทรัพย์…”

เจส่งเกี๊ยวทอดตัวน้อยเข้าปากคนรักที่อ้ารอรับอยู่ อิ่มรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายตามเคย

“อืมม์ อร่อยจัง แม่ทำเองเหรอ เจ?”

เจนยุทธผงกหัว

“ปีหน้าอ้ายก็มาเป็นลูกมือช่วยแม่ห่อเกี๊ยวด้วยล่ะ ไว้ผมจะรอกินนะ”

เจพูดเบาๆ ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและพยักหน้ารับคำ คนตัวเล็กตักหมี่ซั่วจำนวนเล็กน้อยใส่จานแบ่งให้คนรัก

“เอ้า นี่ พวกอาหารเส้นๆ เพื่อให้ชีวิตยืนยาว”

คนตัวโตรับมากินอย่างว่าง่าย เขาเริ่มชินแล้วกับการที่เจกินนั่นนี่ตอนดึกๆ แม้จะใกล้เที่ยงคืนแล้วแบบนี้

อ้ายจะกินลาบคั่วด้วยไหม? บ้านผมไหว้ลาบคั่วด้วย เพราะชื่อมันคล้องจองกับคำว่า ‘โชคลาภ’

เจอธิบายต่อว่ามันหมายถึง good fortune ในภาษาอังกฤษ และมันเป็นความเชื่อของทางบ้านเขาที่ผสมผสานความเป็นคนพื้นเมืองเข้ากับธรรมเนียมจีน



“โดยปกติตรุษจีนเขาจะไม่ไหว้ของเผ็ดกัน เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปีนั้นทั้งปีมีแต่ความยากลำบาก แต่บ้านผมไม่ถือหรอก อีกอย่างพ่อผมก็เป็น ‘นักเลงลาบ’ ด้วย ถ้าไม่มีลาบเป็นของไหว้ พ่อคงบ่นแย่”

เจพูดยิ้มๆ คำว่านักเลงลาบมักใช้เรียกชายเมืองเหนือที่ชื่นชอบการทำและกินลาบ พ่อของเขานั้นถือเป็นนักเลงลาบตัวยง โดยปกติแล้วการทำอาหารที่บ้านจะเป็นหน้าที่ของแม่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีเมนูลาบขึ้นโต๊ะ พ่อของเขาจะเป็นคนทำเองตั้งแต่การจัดหาเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อควายหรือเนื้อหมูดิบมาบรรจงลาบหรือสับจนละเอียดเนียนโดยค่อยๆ เติมเลือดหมูลงไปด้วยทีละน้อย ระหว่างนั้นก็ต้มเครื่องในและหนังหมูเส้นไว้ด้วย จากนั้นนำเนื้อดิบไปคลุกเคล้ากับเลือดสดที่ผสมพริกลาบกับน้ำต้มเครื่องในไว้แล้วจนเข้ากันดี เติมเครื่องในและหนังหมูลงไปคลุกให้เข้ากัน ตักใส่จาน โรยด้วยผักไผ่ ผักชีและต้นหอมซอย บางที่จะโรยกระเทียมเจียวด้วยแต่พ่อเขามักจะไม่ใส่ โดยทั่วไปสำหรับนักเลงลาบแล้ว ลาบก็ต้องหมายถึงลาบดิบ เจเล่าให้ฆาบี้ฟังว่า ที่บ้านเขาลดการกินลาบดิบลงตั้งแต่รัฐรณรงค์ให้เลิกกินลาบดิบเพราะโรคหูดับ

“แต่ผมก็นานๆ กินทีนะ แต่ต้องเป็นลาบควายดิบเท่านั้น ไม่ใช่ลาบหมู”

ฆาบี้เบ้หน้า ยังไงๆ เขาก็ยังทำใจกินไอ้เจ้าลาบดิบนี้ไม่ได้สักที แต่ถ้าเป็นลาบคั่วซึ่งก็คือการเอาลาบดิบไปผัดน้ำมันจนสุกแบบในจานที่อยู่ตรงหน้านี้ เขากินได้สบายมาก เจตักลาบหนึ่งช้อนพูนใส่จานให้คนรักกินเพื่อเอาเคล็ด หากต้องยิ้มออกมาเมื่อฆาเบียร์ตักเพิ่มเองอีกเล็กน้อย

“จะได้มีโชคลาภไง”

ฆาเบียร์ยิ้มเขินๆ แต่อันที่จริงเขาอยากชิมลาบคั่วรสชาติจัดจ้านของแม่เจอีกสักหน่อย เจนั่งยิ้มมองคนรักที่ตักลาบคั่วในจานกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเมียตัวโตของเขาช่างน่ารักจริงๆ เจนยุทธเผลอตัวจนชะโงกหน้าไปหอมแก้มแดงระเรื่อของคนตัวโตเสียฟอดใหญ่ เจต้องสะดุ้งเมื่อหันไปเจอพี่สาวที่ทำท่ากรี๊ดแบบไม่มีเสียงอยู่ใกล้ๆ



“เออๆ ๆ ไปนอนแล้วก็ได้ ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอละ”

อิ่มทำท่ากระฟัดกระเฟียดเมื่อพ่อน้องชายตัวดีส่งสายตาอ้อนเหมือนหมาน้อยมาให้ เธอลุกขึ้น แต่ฆาบี้ลุกขึ้นตาม

“อิ่มครับ รอนี่แป๊บนึงนะ ผมมีของจะให้”

สองพี่น้องทำท่างงๆ ฆาเบียร์ขอตัวเดินออกไปที่ห้องก่อนจะกลับมาพร้อมกุหลาบสีแดงสดดอกโตเก้าดอก เจยิ้มน้อยๆ คนตัวโตยังไม่ลืมเรื่องที่เขาขอให้ทำ ฆาเบียร์ส่งมันให้พี่สาวของคนรัก

“Happy Valentine’ s Day ย้อนหลังครับ ขอบคุณที่ยอมรับและเป็นกำลังใจให้ผมกับเจมาตลอดครับ”

อิ่มใจยิ้มแก้มแทบแตก เธอรับดอกไม้นั้นมา

“ขอบคุณค่ะ ฆาบี้ อ้อ เจ พวกก๊วนสาวโสดเขาก็ฝากขอบใจเรื่องดอกที่ฝากพี่นพไปให้ที่ผับด้วยนะ”

อิ่มใจก้มลงดมดอกไม้ในมืออย่างถูกใจ แม้จะรู้จากปากเพื่อนๆ ว่ามันคือดอกที่ฆาเบียร์ตั้งใจส่งมาให้เจแต่เจ้าตัวไม่ได้รับ แต่เธอก็ยังดีใจที่ได้รับมันจากมือฆาเบียร์เอง เจหัวเราะแหะๆ ให้พี่สาวที่เดินมาหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ ก่อนจะทำหน้ามุ่ยเพราะโดนอิ่มดึงแก้มเข้าอีกที

“ไปนอนจริงๆ ละค่ะ แล้วก็อย่าดึกมากนะทั้งสองคน พรุ่งนี้แม่จะออกบ้านก่อนเที่ยงนะ”

อิ่มพูดทิ้งท้ายก่อนจะออกจากเรือนใหญ่ไปยังเรือนพักของตัวเอง



"เอ้า มากินต่อกันเถอะ เจ เราจะได้รีบๆ เข้าห้องกันเสียที มีอะไรให้ฉันกินอีก? "

เจดึงเก้าอี้ให้ฆาเบียร์ลงนั่ง ส่วนเขาลงนั่งเคียงข้าง

"ไหน ดูซิ อะไรที่คุณน่าจะกินได้มั่ง อืมม์ นี่เป็ดตุ๋นฟัก ไม่ค่อยมีเนื้อแฮะ แม่น่าจะเก็บเนื้อไว้ทำอย่างอื่น หมูก็ไม่มีแฮะ สงสัยแม่จะยังไม่ได้ทำไว้”

เมื่อพี่สาวไม่อยู่ เจก็กลับมาเรียกฆาเบียร์ว่า you เหมือนเดิม เขาตักเป็ดตุ๋นฟักใส่ถ้วยแบ่งน้อยๆ ส่งให้ฆาเบียร์ จากนั้นสำรวจของบนโต๊ะต่อ

“เอ…นี่มันอะไรหว่า?”

เขาเกาหัวดูขนมสักอย่างในน้ำกะทิ เขาใช้ช้อนตักๆ ดู

"อ๋อ ว้าว นี่ของใหม่นะเนี่ย สงสัยแม่จะได้สูตรใหม่มา มันคือขนมเข่งครับ ฆาบี้ คุณรู้จักป่าว..."

เจเปิดรูปโต๊ะไหว้ของที่บ้านที่แม่ส่งมาให้ฆาเบียร์ดู แล้วขยายภาพให้เขาดูขนมเข่ง คนตัวโตพยักหน้ารับรู้

"ทุกทีแม่ผมจะเอาไปทอด ปีนี้มาแปลกเอามาทำแบบขนมไทย คล้ายๆ บัวลอยอ่ะคุณ เข้าท่าดีแฮะ"

เจตักดูขนมเข่งทั้งสีขาวและสีน้ำตาลแดงในน้ำกะทิ แม่ของเขาจัดการหั่นขนมเข่งเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วลงต้มกับน้ำกะทิ แม่เขายังใส่เผือกและฟักทองลงไปอีกนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติ เจนยุทธหันไปจัดการกินของคาวที่แม่เก็บไว้ให้เขาอย่างละนิดละหน่อยจนหมดโดยมีฆาเบียร์ช่วยกินอย่างละเล็กละน้อย จากนั้นเขาส่งบัวลอยขนมเข่งที่แม่เขาเตรียมไว้ให้สองถ้วยให้คนรัก

"กินไหวไหมคุณ? "

ฆาเบียร์ดึงถ้วยของคนรักมาแล้วตักส่วนของตัวเองแบ่งให้ครึ่งหนึ่งแทนคำตอบ เจโคลงหัวน้อยๆ แล้วจัดการกินขนมแปลกตานั้น

"กินช้าๆ ล่ะเจ ระวังติดคอ"

คนตัวโตท้วงอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเจกินแบบแทบไม่เคี้ยว เขาเคยได้ยินมาบ่อยครั้งเหมือนกันว่าที่จีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง ทุกปีต้องมีคนเสียชีวิตจากการกินขนมชนิดนี้ในช่วงตรุษจีน เจ้าตัวเล็กหันมายิ้มหวานให้เขาแล้วลดสปีดการกินลง เขากินมันจนหมดแล้วตบท้ายด้วยขนมจันอับอีกนิดหน่อยอย่างถั่วตัด ถั่วเคลือบและฟักเชื่อม ฆาเบียร์เองก็ชิมอย่างละคำแล้วก็ต้องขอบายเพราะความหวานของมัน



"อิ่มเหมือนกันนะเนี่ย"

เจบ่นเบาๆ ฆาเบียร์อดหัวเราะไม่ได้ ของที่แม่ของเจเตรียมไว้ให้นั้น ถึงจะมีอย่างละหน่อยเหมือนพอให้กินเป็นพิธี แต่เมื่อรวมๆ กันก็เยอะเอาการ แล้วมาหนักที่สุดก็ตรงเจ้าขนมเข่งในน้ำกะทิ ถ้าเจจะอิ่มก็ไม่แปลก

"เสียดาย วันนี้ไม่มีปลานึ่ง สงสัยเขาคงกินกันหมดตั้งแต่เที่ยงแล้ว หมูโคะไม่ก็หมูกรอบก็ไม่มี อยากกินจังน้า"

ฆาเบียร์อึ้งไป หลังจากกินไปขนาดนั้น เจยังบ่นอยากกินอะไรไหวอยู่อีก

"เฮ้อ กินอาหารเรียกน้ำย่อยเสร็จแล้ว ต่อไปนี้ก็ถึงเวลาเมนคอร์สแล้วล่ะนะ"

"เจ นายยังจะกินอะไรไหวอีกเหรอ? "

คนตัวโตร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่เขาก็ต้องหน้าแดงซ่านเมื่อเห็นสายตาฉ่ำเยิ้มที่จ้องมองมาของคนตัวเล็ก "เมนคอร์ส" ของเจ ก็คงหมายถึงตัวเขานั่นเอง

"เก็บจานกันดีกว่า ฆาบี้ ผมอยากเข้าห้องเต็มแก่แล้ว"

เจไล้มือไปตามต้นขาที่เบียดแนบกับขาของเขา ฆาเบียร์หันหน้าไปหาคนรัก ก็เจอริมฝีปากอุ่นที่รออยู่แล้ว เขาจุมพิตคนรักแผ่วๆ แล้วค่อยลุกขึ้นจัดการเก็บจานชามที่ใช้แล้วซ้อนๆ กันและช่วยกันยกไปใส่ซิงค์ในครัวไว้

“เดี๋ยวให้เด็กมาล้างก็ได้ครับ ดึกแล้ว”

เจแตะหลังมือคนรักที่ทำท่าจะเปิดน้ำล้างจาน ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงการเชิญชวนในสัมผัสนั้น เขาโอบไหล่คนรักหลวมๆ แล้วพากันเดินกลับเรือนน้อยของตน



เจนยุทธเริ่มกิน “เมนคอร์ส” ของเขาแทบจะทันทีที่เข้าถึงเรือนน้อย เขาไม่รอจนถึงเตียง หากดันร่างคนรักลงบนโซฟาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากประตู

"เจ เจจ๋า ใจเย็นก่อนๆ mi alma"

ฆาเบียร์หอบน้อยๆ เจจูบเขาแบบไม่ให้ได้หายใจหายคอ เสื้อผ้าของเขาทั้งสองกระจายเกลื่อนรอบโซฟา เขาผวากายขึ้นเมื่อคนรักเริ่มกระตุ้นเร้าแก่นกายของเขา

"เจ เดี๋ยว อาบน้ำอาบท่ากันก่อนดีกว่า นะ คนดีของฉัน"

เขาดึงเจนยุทธที่มีทีท่าไม่สบอารมณ์นักขึ้นมานอนแนบอก

"อดอยากปากแห้งมาจากไหน เจ เมื่อวานนี้ฉันทำให้นายค้างเหรอ? "

ฆาเบียร์หอมแก้มที่แดงระเรื่อเพราะเลือดฝาดเบาๆ เขาซุกไซร้ดอมดมพวงแก้มของคนรัก เจส่ายหน้าน้อยๆ

"ไม่ค้าง แต่ไม่อิ่มอ่ะ ใครก็ไม่รู้ดันหลับไปซะก่อน"

คนตัวโตทำหน้าสลด เขาผลอยหลับไปทั้งๆ ที่ยังนัวเนียอยู่กับเจด้วยความเพลียและฤทธิ์ยา เมื่อรู้ตัวตื่นขึ้นมา เจก็ออกห้องไปเรียบร้อยแล้ว เจนยุทธหัวเราะเบาๆ เขาจุ๊บแผ่วๆ ที่ริมฝีปากของคนรัก

"เอาน่ะ เดี๋ยวผมจะทบต้นทบดอกจนคุณต้องร้องขอให้ผมพอเลยทีเดียว"

ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ เขาจ้องตาคนรักแล้วก็อดใจสั่นไม่ได้ ท่าทางเจนยุทธจะไม่ได้แค่พูดเล่น

"เจ ไหนว่าจะไม่ทำอะไรที่บ้านแม่ไง? "

"โอ๊ย คราวที่แล้วก็ทำไปแล้ว ก็ถือว่าเลิกกฎข้อนี้ไปแล้วละกัน เครมะ? "

เจพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างกำยำของเมียตัวโตของเขาไว้

"ขอผมให้ความสุขอ้ายให้เต็มที่ได้ไหม? นะครับ อ้าย"

เจกลับมาใช้ภาษาแม่เรียกคนรักของเขาอีกครั้ง ฆาเบียร์หลบสายตาที่มองมาแล้วพยักหน้าเบาๆ คำว่า "อ้าย" ที่เจใช้เรียกเขายิ่งกระตุ้นเร้าอารมณ์เขาขึ้นไปอีก เขาดึงคนรักมาจุมพิตเนิ่นนาน



"เรียกฉันว่า อ้าย อีกสิ เจ"

คนตัวโตยิ้มเขินๆ เจนยุทธส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้คนรัก เขากระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหูเมียตัวโตของเขา

"อ้ายครับ...ขอผม --- อ้ายได้ไหมครับ? "

ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน คนรักของเขาผสมสามภาษาเข้าด้วยกัน เจใช้คำภาษาสเปนที่ไม่มีสอนในโรงเรียนกับเขาอีกครั้ง คนตัวโตอดไม่ได้ต้องดึงแก้มของเจนยุทธอย่างมันเขี้ยว เจ้าตัวแสบของเขาทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยิ้มออกมาได้เมื่อฆาเบียร์กระซิบแผ่วๆ ที่หู ฆาเบียร์ดันร่างเพรียวให้ลุกขึ้นพร้อมกัน

"รอก่อนนะ เจนยุทธ ขอเวลาฉันแป๊บนึง"

ฆาเบียร์หันมายิ้มละไมให้เจที่ขึ้นไปนอนรอเขาบนเตียงแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เขาใช้เวลาในนั้นครู่ใหญ่ก่อนจะเดินกลับออกมา เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสิ่งที่เจจัดเตรียมไว้ในห้อง เจ้าตัวดีเอากลีบกุหลาบที่เก็บๆ มาจากที่คอนโดมาโปรยไว้เสียเต็มเตียง เจหรี่ไฟในห้องจนสลัว แม้ฆาเบียร์จะชอบเปิดไฟให้สว่างเพื่อให้เห็นคนรักชัดๆ แต่แสงสลัวๆ แบบนี้ ก็ทำให้เขาตื่นเต้นได้อีกแบบ คนตัวโตค่อยๆ เยื้องย่างไปที่เตียง เจนยุทธยิ้มกริ่มแล้วยื่นมือออกมากระดิกนิ้วเรียกคนรัก ฆาเบียร์ได้แต่โคลงหัวให้กับความทะเล้นของเจ



คนตัวโตที่ยังตัวเปียกชื้นน้อยๆ ทิ้งกายลงไปซบร่างเพรียวที่นอนรอเขาอยู่บนเตียง เขาได้กลิ่นน้ำหอมโปรดของตัวเองจางๆ ในห้อง มันยิ่งกระตุ้นเร้าอารมณ์ของเขา เจนยุทธคงฉีดมันไว้ทั่วกายเหมือนเคย แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นที่สุดคือเสื้อเชิร์ตตัวโคร่งของเขาที่อยู่บนกายของคนรัก ก่อนกลับจากมาเก๊า ฆาเบียร์แอบยัดเสื้อเชิร์ตขาวที่เขาใช้ซับเลือดให้เจนยุทธใส่กระเป๋าของคนตัวเล็กมาด้วย เขาหวังจะได้เห็นเจใส่เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อนอน และเจก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง

"หอมไปทั้งตัวเลยนะ ที่รักของฉัน"

ฆาเบียร์ดอมดมกลิ่นหอมแมนๆ ของใบยาสูบและไม้กฤษณาจากซอกคอขาวและช่วงไหล่ที่โผล่รำไรออกมาจากเสื้อเชิร์ตตัวโคร่ง เจปลดกระดุมลงสองสามเม็ด เผยให้เห็นแผงอกเนียนแต่แข็งแรง ฆาเบียร์จูบไล้ไปทั่วเนื้อเนียนที่โผล่พ้นมาจากเสื้อ เจหัวเราะคิกเพราะสัมผัสจากไรหนวดเคราที่เริ่มขึ้นเป็นตอน้อยๆ

"เจ นายนี่มันเซ็กซี่จริงๆ ให้ตายเหอะ"

คนตัวโตบ่นเสียงแหบน้อยๆ พร้อมกับพยายามแกะกระดุมเสื้อเชิร์ตออก เจดันคนรักออกแล้วขยับกายขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เขาชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งและบิดกายน้อยๆ เผยให้เห็นสะโพกเปลือยเปล่าที่โผล่รำไรพ้นชายเสื้อออกมา เจไล้มือไปตามแผงอกของตนและสัมผัสตุ่มไตที่ชูชันผ่านเสื้อเชิร์ตเนื้อดีของคนรัก เจหลับตาและปล่อยใจให้เคลิ้มไปกับสัมผัสของตัวเอง เขายังเอื้อมมือไปกระตุ้นแก่นกายของตนเอง ฆาเบียร์กลืนน้ำลายลงคอ เมื่อมองดูแก้มแดงๆ และสายตาที่ฉ่ำเยิ้มของคนที่นอนบิดกายน้อยๆ อยู่เบื้องหน้า เสียงหอบหายใจแผ่วๆ ของเจทำให้เขาเริ่มอยากเปลี่ยนบทบาทเสียแล้ว

"เจจ๋า ขอฉัน...แทนไม่ได้เหรอ? "

คนตัวโตขอร้องเบาๆ แต่เจนยุทธไม่ยอมใจอ่อน เขาหยุดกระตุ้นเร้าตัวเองแล้วตบๆ ที่ข้างตัว

"มามะ คนดี มาปรนนิบัติป๋าหน่อยซิ"

เจพูดยิ้มๆ คนตัวโตกัดริมฝีปากเบาๆ แต่ก็ขยับกายไปนั่งเคียงข้างคนรัก เจดันกายเมียตัวโตของเขาให้ลงนอนหนุนหมอนนุ่ม เขาจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากฆาบี้อย่างอ่อนโยน

"ผมฮักอ้ายนะครับ"

เจกระซิบคำรักเป็นภาษาแม่ที่ข้างหูคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและปล่อยให้ริมฝีปากของตนพูดคำรักแทน เจนยุทธเริ่มสัมผัสเมียตัวโตของเขาอย่างนุ่มนวล คืนนี้ของเขาทั้งสองเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น



ฆาเบียร์ผวากายขึ้นน้อยๆ เมื่อเจไล้กุหลาบแดงในมือไปกับยอดอกที่ไวต่อสัมผัสของเขา ฆาเบียร์เก็บกุหลาบที่เจเตรียมมาให้อิ่มไว้ดอกหนึ่ง และเจก็นำมาใช้อย่างคุ้มค่า เจจับเขาปิดตาและใช้ดอกกุหลาบกระตุ้นประสาทสัมผัสทั่วกายเขา หลังจากให้เขาสูดดมกลิ่นหอมจรุงของมันแล้ว เจก็ใช้มันเขี่ยไล้ไปตามพวงแก้ม ริมฝีปาก ซอกคอและลากเรื่อยลงมาตามแผงอก สัมผัสที่เขาไม่สามารถมองเห็นได้นั้นทำให้คนตัวโตร้อนเร่าไปทั้งตัว บางจุดเจก็ใช้ส่วนที่ติดหนามเขี่ยพอให้เขาได้สะดุ้งเล่น บางจุดก็เป็นริมฝีปากร้อนๆ ของเจ้าตัวมาสัมผัสหรือขบเม้มแทน

"อ๊ะ เจจ๋า เลิกแกล้งฉันซะที"

ฆาเบียร์ครางกระเส่าเมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ดูดเม้มแก่นกายเขาอย่างหนักกว่าทุกครั้ง เขาบิดกายเร่าๆ ไปกับความเสียวซ่านที่ได้รับ เจเก่งขึ้นทุกวันๆ ปากน้อยๆ นั้นรับส่วนแข็งแรงของเขาได้จนเกือบหมดแล้ว และเขาก็แทบดิ้นตายเพราะความอุ่นและชุ่มชื้นจากโพรงปากของคนรัก นิ้วเรียวที่คอยขยับป้อนความเสียวซ่านที่ช่องทางด้านหลังของเขานั้นก็ช่างรู้จุดเสียวของเขาเป็นอย่างดี ไม่นานนักฆาเบียร์ก็ต้องอุดปากตัวเองแน่นเมื่อถึงจุดสุดยอด

“กลัวเสียงดังขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

เจหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของคนรัก

“ดูซิว่าจะทนไหวไหม”

เจใช้ปลายลิ้นหยอกล้อกับแท่งลำที่เริ่มอ่อนตัวลงของคนรัก เขาดูดเม้มย้ำๆ ที่ส่วนปลาย คนตัวโตดิ้นพราดเพราะความเสียวที่พุ่งขึ้นอีกครั้ง เขาเผลอตัวครางลั่นจนเจต้องตบสะโพกแน่นของคนรักเบาๆ เพื่อให้เขาเบาเสียงหน่อย



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- อาหารวันตรุษ (ต่อ) ----




“ขยันแกล้งกันจริงนะ”

ฆาเบียร์โอดครวญ เขาถอดผ้าปิดตาออกเมื่อเจปล่อยส่วนบอบบางของเขาให้เป็นอิสระ คนตัวโตขยับตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วใช้แรงบังคับดึงร่างเพรียวขึ้นนั่งคร่อมตัก เจดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดที่รัดแน่นของฆาเบียร์

“ฆาบี้ ทำอะไร ไหนว่าจะให้ผม…อื้อ”

ริมฝีปากร้อนผ่าวของฆาเบียร์ประกบแน่นกับริมฝีปากเจนยุทธ เจขัดขืนเล็กน้อยก่อนจะโอนอ่อนผ่อนตามจุมพิตอันแสนดูดดื่มของเมียตัวโตของเขา

“...ไหนว่าจะยอมให้ผมกอดคุณไง”

เจนยุทธหอบหายใจเบาๆ พร้อมส่งเสียงตัดพ้อคนที่ลูบไล้และจูบพรมไปทั้งกายเขา ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงครางเบาๆ จากร่างเพรียวเมื่อเขาขบเม้มและเขี่ยดึงตุ่มไตสีแดงระเรื่อที่ชูชันเพราะอารมณ์ใคร่ เจซี้ดปากเมื่อฆาเบียร์นวดเฟ้นแก่นกายของเขาเบาๆ

“อูย คุณครับ จะทำอะไรก็ทำเถอะ ผมเสียวไปหมดแล้ว”

เจบิดกายเร่าๆ เมื่อฆาเบียร์จูบพรมรอบฐานแท่งลำที่แข็งแทบระเบิดของเขาและหยอกเย้ากับถุงเนื้อที่ห้อยย้อย

“นายน่ะชอบแกล้งฉันนัก คราวนี้ฉันไม่ปล่อยให้นายสบายตัวง่ายๆ หรอก เจนยุทธ”

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ ก่อนจะทรมานคนรักต่อ เขากระตุ้นเร้าแต่หยุดเมื่อคนตัวเล็กทำท่าจะใกล้ถึงสวรรค์

“ถ้าจะเข้าก็เข้ามาเถอะ ฆาบี้ ผมยอมแล้ว”

เจครางออกมาอย่างสุดกลั้น เขาทนความเสียวซ่านมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาเอื้อมมือไปหยิบถุงยางและเจลที่วางไว้ที่หัวเตียงมา เจหลับตาพริ้มรอรับการรุกล้ำของคนรัก เขาลืมตาขึ้นมามองอย่างประหลาดใจเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่น เมียตัวโตของเขากำลังใช้ปากสวมเครื่องป้องกันให้ส่วนสงวนของเขา



“ฆาบี้ ผมนึกว่า…”

“สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาสิ mi amor”

เจกัดริมฝีปากมองดูคนตัวโตค่อยๆ ชะโลมเจลลงบนมือและส่งนิ้วเข้าไปเตรียมช่องทางของตัวเองต่อหน้าเขา เสียงสูดปากแผ่วๆ ของฆาเบียร์ทำให้เจไม่อยากรอต่อไป เขาดึงหลอดเจลมาและจัดการชะโลมมันให้ตัวเอง จากนั้นดึงร่างกำยำเบื้องหน้าให้เข้ามาใกล้

“ใจร้อนจริงนะ เจ”

เจนยุทธไม่ตอบ ริมฝีปากของเขาง่วนอยู่กับตุ่มไตสีแทน คนตัวโตสะท้านกายน้อยๆ เมื่อเจเริ่มดูดดุนมันอย่างหนักหน่วง ฆาเบียร์ค่อยๆ ถูไล้บั้นท้ายไปส่วนแข็งเกร็งของเจก่อนจะกดสะโพกลงโอบรับมันไว้ ทั้งคู่หายใจหอบถี่และสุดท้ายก็ครางออกมาเบาๆ ในลำคอ

“ผมจะขยับแล้วนะ”

เจกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหูคนรัก หากฆาเบียร์ส่ายหัว เขาเป็นฝ่ายเริ่มกระแทกกายลงกับตักของคนตัวเล็ก เจขบกรามแน่น การที่ฆาเบียร์กระตุ้นเร้าเขามาพักใหญ่ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกมากเหลือเกิน ความคับแน่นของช่องทางคนรักอีกทั้งความอุ่นจากเจลทำให้เจคำรามออกมาอย่างเมามันในอารมณ์ เมื่อได้ยินอย่างนั้นคนตัวโตยิ่งเร่งเร้า เขาบดเบียดกายลงถี่ยิบ ตัวเขาเองก็รู้สึกดีเสียจนแทบละลายแล้ว เสียงครางอย่างสุดกลั้นอีกทั้งคำรักและคำกระตุ้นอารมณ์จากปากของทั้งสองยิ่งดังขึ้นเมื่ออารมณ์ของพวกเขาพลุ่งพล่านขึ้นจนเกือบถึงขีดสุด

“ฆาบี้ พอ พอก่อน เดี๋ยวผมขยับเอง”

เจรีบรั้งกายคนรักไว้ให้หยุด เขาจวนถึงสวรรค์แล้วแต่ก็ยังอยากจะยื้อไว้อีกนิด เขารู้สึกเหมือนฆาเบียร์จะถึงจุดโดยไม่หลั่งไปรอบหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังอยากให้คนตัวโตปลดปล่อยอีกครั้ง เขาจูบหนักๆ ที่ปากของคนรักที่หอบกระเส่าและกอดรัดร่างเขาไว้แน่น เขาพลิกกายฆาเบียร์ให้ลงนอนคว่ำกับเตียงและทาบกายลงตาม เสียงครวญครางดังขึ้นอีกครั้ง คนตัวโตกำผ้าปูเตียงแน่นจนแทบจะจิกมันขาด ทุกสัมผัส ทุกการกระแทกกระทั้นของเจนยุทธทำให้เขาเสียวซ่านจนแทบสิ้นสติ มือเรียวที่รูดไล้แก่นกายของเขาไปด้วยส่งให้เขาถึงจุดสุดยอดไปในไม่ช้า เมื่อเห็นคนรักสุขสมแล้ว เจนยุทธจึงปล่อยตัวเองให้ถึงฝั่งบ้าง เขาจูบคนรักของเขาอย่างหนักหน่วงก่อนจะปลดปล่อยออกมาเต็มที่



“ดีไหมครับ เมีย? ผมทำให้คุณมีความสุขหรือเปล่า”

เจเลิกผมสีน้ำตาลเข้มที่เปียกชื้นเหงื่อของคนรักขึ้นและพรมจูบไปตามหลังคอของฆาเบียร์ ร่างกำยำสะดุ้งน้อยๆ เมื่อรู้สึกถึงการดูดดึง เจทิ้งรอยสีกุหลาบไว้หลายรอยใต้แนวผมของคนรัก

“ว่าไงครับ ตอบผมหน่อยสิครับอ้าย

เจลงนอนเคียงข้างคนตัวโตที่นอนระทวยและทำท่าจะหลับแหล่มิหลับแหล่ ฆาเบียร์ที่หลับตาพริ้มพยักหน้าตอบรับอย่างเหนื่อยอ่อน เขารู้สึกดีจนหัวหมุนแถมยังหมดแรงจนอยากจะนอนท่าเดียว เจค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้นหยิบนาฬิกามาดูเวลาแล้วก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ พวกเขาเหลือเวลานอนอีกไม่มากนัก เขาหยิบทิชชู่ที่ข้างเตียงมาซับคราบน้ำที่เปรอะขาและช่องทางของคนรักให้อย่างอ่อนโยน เขาปลดปล่อยไปอีกสองครั้งในช่องทางอันแสนรัดรึงของฆาบี้

“เมียครับ ไปล้างตัวเถอะ เดี๋ยวค่อยมานอน”

เจพยายามดึงคนรักให้ลุกขึ้น

“อือ ไม่อาบแล้ว ขอฉันนอนเลยได้ไหม?”

คนตัวโตทำท่างอแง ตาเขาลืมแทบจะไม่ขึ้นแล้ว เจดึงร่างใหญ่นั้นลุกขึ้นจนได้แล้วค่อยๆ ประคองเข้าห้องน้ำ เขาล้างตัวให้คนรักและอาบน้ำเร็วๆ จากนั้นก็บรรจงเช็ดกายฆาเบียร์จนแห้ง เขาพาเมียตัวโตกลับมาที่เตียงและพาลงนอนพร้อมห่มผ้าให้เสร็จสรรพ เจปิดไฟและทอดกายลงนอนเคียงข้างชายคนเดียวของเขาและแนบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างที่นอนหันหลังให้เขา



“เจจ๋า…”

เสียงทุ้มแหบของคนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้วเรียกชื่อเขาเบาๆ

อ้ายฮักเจนะ

เจอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงง่วงงุนนั้นเอ่ยคำรักในภาษาแม่เขาออกมา เขาจูบแผ่วๆ บนแผ่นหลังกว้างนั้น

Y yo te quiero tambien

เขาตอบรับด้วยคำรักในภาษาแม่ของอีกฝ่าย คนตัวโตพลิกกายหันกลับมาดึงเจ้าตัวเล็กของเขาเข้าแนบอกก่อนจะพากันเข้าสู่ห้วงนิทรา



อูย หนาววุ้ย เมียจ๋า ขอกอดหน่อย

เจงึมงำออกมาเป็นภาษาไทย เขานอนขดตัวในผ้าห่มจนเหมือนดักแด้ เมื่อนึกได้เขาก็พูดซ้ำออกมาเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับควานมือไปข้างตัวเพื่อหาไออุ่น เมื่อหาใครไม่เจอ เจก็ผุดลุกขึ้นนั่งและพยายามลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ แต่ก็พบว่าฆาเบียร์ไม่ได้อยู่ในห้อง เขางัวเงียลุกเข้าไปตามหาคนตัวโตในห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอ เขาดูนาฬิกา

“เพิ่งจะเก้าโมง ไปไหนหว่า?”

เจเกาหัวแกรกๆ เขาจัดการอาบน้ำอาบท่าแล้วจึงเดินออกไปตามหาฆาเบียร์ที่นอกห้อง

"พี่อิ่ม เห็นฆาบี้ป่าว? "

เจตะโกนถามพี่สาวที่นั่งดูทีวีอยู่ในตัวบ้าน

"เอ พี่เจอเขาตอนซักแปดโมงกว่าๆ นะ เหงื่อซ่กมาเชียว เห็นว่าพาโรซ่าไปวิ่งเล่นมา ไม่ได้กลับห้องไปอาบน้ำเหรอ? "

อิ่มอดหน้าแดงไม่ได้เมื่อนึกถึงภาพฆาเบียร์ที่สะดุ้งน้อยๆ เมื่อเจอเธอที่ชานบ้าน แฟนหนุ่มใหญ่ของเจรีบคว้าเสื้อยืดที่เขาถอดพาดบ่าไว้มาใส่แทบจะทันทีที่เห็นหน้าเธอ พร้อมกับขอโทษขอโพยที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย อิ่มที่ยังตะลึงกับกล้ามงามๆ ของฆาเบียร์ก็ได้แต่ยิ้มโง่ๆ ให้อย่างเดียวจนคนตัวโตเดินพ้นสายตาไป



"คิดไงถึงไปวิ่งหว่า? "

เจเกาหัวแกร่กๆ ฆาเบียร์เกิดนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมาถึงได้พาไอ้หมาหมูโรซ่าไปวิ่ง

"...เออ เจ ลองไปดูในครัวสิ เมื่อกี้เห็นพี่เขาถามหาแม่เหมือนกัน พี่เลยบอกว่าแม่อยู่ในครัว"

เจขอบคุณพี่สาวแล้วแวะเล่นกับโรซ่าที่นอนอยู่แทบเท้าอิ่มใจแป๊บหนึ่งจนมันพอใจ จากนั้นเดินเข้าไปตามหาคนรักในครัวหลังบ้าน เขาต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นฆาเบียร์ยืนทำท่าเคร่งเครียดอยู่หน้าเตา คนตัวโตอยู่ในชุดออกกำลังกายคือกางเกงขาสั้นและเสื้อยืด ในมือเขามีสมุดจดคอยจดสิ่งที่ฟองนวลพยายามอธิบาย

"เออ เจมาก่อดีละ มาจ้วยแม่สอนอ้ายเปิ้นแป๋งหมูโคะน่อยลอ"

"เออ เจมาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่สอนพี่เขาทำหมูโคะหน่อยซิ"


ฟองนวลหันมายิ้มให้ลูกชายที่ทำท่าปาดน้ำลายเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ



เจรีบปรี่เข้าไปหาแม่ทันที เขาได้กลิ่นหอมๆ ของอาหารที่อยู่ในกะทะมาตั้งแต่ยังไม่เข้าประตูครัวแล้ว

"ปี๋นี้แป๋งหมูโคะกาคับ หอมแต๊หอมว่า"

"ปีนี้ทำหมูโคะเหรอครับ หอมมากๆ เลย"


แม่ของเขามีวิธีนำหมูสามชั้นต้มที่เหลือจากการไหว้มาทำเป็นอาหารใหม่หลายวิธี ถ้าไม่เอาไปทำหมูกรอบ ก็ทำหมูสามชั้นทอดกระเทียม ทอดน้ำปลา กระทั่งเอาไปทำเป็นแกงฮังเลฟองนวลก็เคยทำ แต่อีกอย่างที่เป็นเมนูโปรดของเจก็คือหมูโคะหรือหมูโค้วซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวจีนไหหลำ สูตรการทำนั้นแตกต่างกันไปแต่ละบ้าน ฟองนวลตีมือลูกชายที่หยิบช้อนมาเตรียมจ้วงชิม ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นคนรักทำท่าออดอ้อนขอกิน ถึงเขาจะฟังไม่ออกแต่ดูจากสีหน้าของเจก็รู้ว่าแม่ของเขาไม่ยอมให้เขาชิมจนกว่าจะทำเสร็จ

"นี่ อ้ายครับ ตื่นมาทำไมไม่ยอมเรียกกันเลย แล้วอารมณ์ไหนพาไอ้หมาหมูไปเดินเล่นล่ะเนี่ย? "

เจกระซิบถามคนรัก

"ฉันก็ไม่ได้อยากตื่นเช้าหรอกเจ แต่นายรู้ไหมว่าเมื่อคืนเราลืมล็อคประตูห้องน่ะ..."

ฆาเบียร์กระซิบตอบเบาๆ เจทำตาโต ด้วยความเคยชินเขาจึงไม่ได้ล็อคประตู

"เอ่อ แปลว่าโรซ่ามัน...? "

คนตัวโตพยักหน้า เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่แม่ปล่อยโรซ่าออกจากห้องในตอนเช้า มันก็คงวิ่งพล่านทั่วบ้านเพื่อตามหาเขาและฆาเบียร์ ในเมื่อเขาไม่ได้ล็อคประตูซึ่งเป็นบานสวิง มันก็คงเผ่นพรวดเข้ามาในห้องเขาแล้วพยายามมาปลุกพวกเขาอย่างแน่นอน



"ผมขอโทษจริงๆ ฆาบี้ ไอ้หมาหมูมันมากวนคุณล่ะสิ"

"ไม่กวนหรอก..."

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ พร้อมกับใช้ตะหลิวคนหมูในกะทะ เขาเล่าว่าเขาตกใจตื่นขึ้นเพราะลิ้นสากๆ ที่มาเลียหน้าเลียตาเขาตั้งแต่เจ็ดโมงกว่า มันทั้งเลียทั้งใช้เท้าเขี่ย เขาจึงต้องงัวเงียตื่นขึ้นมาเล่นกับไอ้เจ้าหมาดำตัวแสบของเจ

"...ฉันทั้งเกาทั้งลูบหัวมัน แต่ดูๆ แล้วมันทำท่าอยากเล่นมากกว่านั้น ก็เลยลุกแล้วพามันไปเดินเล่น จะได้ไม่ต้องกวนเจ อากาศที่นี่ก็ดีด้วย ฉันก็เลยถือโอกาสไปวิ่งซะเลย"

คนตัวโตออกไปวิ่งเหยาะๆ ตามทางดินในไร่โดยมีเจ้าลาบราดอร์ดำคอยวิ่งคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง อากาศยามเช้ากลางเดือนกุมภาฯ ที่แม่แตงนั้นยังเย็นอยู่พอสมควรทำให้เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไร เขาวิ่งๆ เดินๆ อยู่ประมาณชั่วโมงหนึ่งจึงกลับมาที่เรือนใหญ่

"เอ่อ แล้วคุณวิ่งไหวเหรอ? ไม่เจ็บ เอ่อ ตรงนั้นเหรอ? "

เจกระซิบกระซาบเมื่อเห็นแม่เดินออกไปจากครัว เขาพยักเพยิดไปที่บั้นท้ายหนั่นแน่นใต้กางเกงขาสั้นของคนรัก ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน เขาตอบเบาๆ ว่ามันก็ยังเสียวแปลบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก เขาไม่กล้าบอกคนตัวเล็กให้มันเหลิงว่าเขาคงเริ่มชินกับการเป็นฝ่ายถูกกกกอดแล้ว



“แม่ครับ เราต้องเคี่ยวหมูนี่นานแค่ไหนครับ?”

ฆาเบียร์ถามฟองนวลที่เดินกลับมาในครัว แม่ของเจเดินมาดูกะทะแล้วพยักหน้าน้อยๆ

“เกือบได้แล้วจ้ะ ให้น้ำงวดกว่านี้อีกนิด ไม่น่าเกินสิบนาที”

คนตัวโตดูนาฬิกาแล้วจดเพิ่มเติมลงไปในกระดาษแล้วอ่านทวนขั้นตอนทั้งหมดอีกที

“งั้นเริ่มจากหั่นหมูสามชั้นต้มที่เหลือจากไหว้เจ้าออกเป็นชิ้นใหญ่ๆ ต้มกับน้ำซุปหมู…”

ที่บ้านเจซื้อสามชั้นต้มสำเร็จมาจึงไม่มีน้ำซุปหมู แม่ของเขาจึงใช้น้ำเปล่าใส่ซุปก้อนแทน จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำตาลเล็กน้อยและซีอิ๊วขาว แต่ไม่ให้เค็มมากเพราะจะใส่ของที่ให้รสเค็มอย่างอื่นลงไปอีก

“ปกติแม่จะใส่กะปินะ แต่คราวนี้พี่อิ่มไปเจอสูตรใหม่มา ก็เลยเอามาลองหน่อย…”

เจแปลที่แม่ของเขาบอกให้ฆาบี้ฟัง คนตัวโตพยักหน้า สูตรใหม่ที่แม่ของเจว่าคือใส่ปลาเค็มเล็กน้อยลงไปแทนกะปิ

“แม่มีป๋าเก็มมาเก๊าทีกิ๋นเหลือไว้วันนั้นอยู่เลยเอามาต๋ำกับกะปิแล้วแตวใส่ลงไปโตย”

“แม่มีปลาเค็มมาเก๊าที่กินเหลือไว้วันนั้นอยู่เลยเอามาโขลกกับกะปิละลายน้ำใส่ลงไปด้วย”


เจทำตาโต มิน่าล่ะ มันถึงได้หอมนัก แม่เขาบอกว่าเธอยังใส่กะปิลงไปเล็กน้อยอยู่ดีเพราะกลัวว่าปลาเค็มที่ใส่ลงไปจะไม่พอและหวังว่ามันจะไม่เค็มเกินไปนัก จากขั้นตอนนี้ ก็ต้องต้มหมูต่อไปอีกพักใหญ่จนเปื่อยดี ในวันนี้เธอต้มมันนานนับชั่วโมง ฟองนวลลุกขึ้นมาทำอาหารจานนี้ตั้งแต่ไก่โห่ ตอนที่ฆาเบียร์เข้ามาหาเธอในครัวนั้น หมูเริ่มเปื่อยดีแล้วและเธอกำลังจะเริ่มทำขั้นตอนต่อไป เธอจึงได้ขอคนรักของลูกชายให้ช่วยบุบกระเทียมสองสามหัวให้พอแหลกและใส่ลงไปในกะทะที่น้ำเริ่มงวดไปมากแล้วนั้น เธอบอกฆาเบียร์ว่าถ้าใช้หมูสามชั้นสดเธอจะผัดกระเทียมกับเครื่องอย่างพวกกะปิ ซอสกับหมูสดก่อนพอให้หนังหมูตึงแล้วจึงเติมน้ำซุป แต่วันนี้ใช้หมูที่ต้มสุกมาแล้ว เธอจึงต้มก่อนแล้วจึงเติมเครื่องลงในน้ำซุปแทน



“อ้ายเปิ้นดูแกว่นดีเนาะ”

"พี่เขาดูคล่องดีนะ"


ฟองนวลชมฆาเบียร์ที่คอยจัดการกับหมูในกะทะอย่างขะมักเขม้น ท่าทางของคนตัวโตดูคล่องแคล่วในครัวขัดกับบุคลิกเจ้าสำอางของเขา เจยิ้มอย่างภูมิใจ

อ้ายฆาเบียร์ทำกับข้าวเก่งครับ แต่ไม่ค่อยยอมทำให้ผมกินเลย...”

เจพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษให้เจ้าตัวได้ยินด้วย ฆาบี้หันมายิ้มให้สองแม่ลูกแล้วหันไปให้ความสนใจกับของในกะทะต่อ

“ก็เราน่ะ กินเยอะ ทำแค่ไหนก็ไม่พอกินหรอก อ้ายเขาเลยขี้เกียจทำ”

ฟองนวลพูดให้คนรักของลูกชายเข้าใจเช่นกัน

“ใช่ เจ นายกินเยอะเกินไปจริงๆ ฉันกะไม่ถูกว่าต้องทำเยอะแค่ไหนถึงจะพอเลี้ยงนายได้”

คนตัวโตส่งเสียงกลั้วหัวเราะมาจากหน้าเตา เจแลบลิ้นให้คนรัก แต่ก็โดนแม่ดุอีกตามเคย



“แม่ครับ น้ำงวดไปเยอะแล้ว แค่นี้พอหรือยังครับ?”

แม่ของเจเดินเข้าไปดู หมูสามชั้นในกะทะกำลังแตกมันส่งกลิ่นหอมกรุ่นและเริ่มเกรียมน้อยๆ แล้ว

“ใช้ได้แล้ว เดี๋ยวเติมน้ำมันลงไปนิดหน่อยนะ จะได้เป็นเงาสวย แล้วก็ใส่ซีอิิ๊วดำอีกนิดให้มันมีสี เดี๋ยวแม่จะเติมของพวกนั้นให้เอง คุณคอยคนต่อไปแล้วกัน”

เจแปลที่แม่พูดให้เมียตัวโตของเขาฟัง ฆาเบียร์ทำตาม เขาผัดต่ออีกไม่นานฟองนวลก็ดับไฟที่เตาและให้ยกกะทะลง

“เอ้า เอาไป บ่ต้องมาอ้อนแม่ละ ไค่จิมก่อจิมเฮี๋ย”

"เอ้า เอาไป ไม่ต้องมาอ้อนแม่แล้ว อยากชิมก็ชิมซะ"


เจยิ้มกว้างเมื่อแม่ยื่นจานเปล่ามาให้ เขารีบคดข้าวร้อนๆ ในหม้อมาทัพพีใหญ่แล้วตักหมูโคะในกะทะโปะลงไป เขาตักมาไม่มากนักเพราะอยากแค่ชิมเท่านั้น เขายืนกินมันในครัวเพราะขี้เกียจเดินไปที่โต๊ะกินข้าว

“โอย อาหย่อยอ่ะ”

เจนยุทธกินเข้าไปคำโตแล้วยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาตักข้าวและหมูป้อนให้ฆาบี้ที่มายืนดูอยู่ข้างๆ คนตัวโตอ้าปากรับอย่างไม่ขัดเขิน

“อืมม์ อร่อยจริงๆ ด้วยนะ ส่วนหนังหมูกรอบน้อยๆ แต่ตัวเนื้อหมูก็เปื่อยดี รสชาติก็กำลังดีเลย ได้กลิ่นปลาเค็มลอยโดดออกจากกลิ่นรสของกะปินะ...”

ฆาเบียร์ใช้ช้อนตักกินเข้าไปอีกคำอย่างถูกใจ

“ครับ แม่ผมยังปรับสูตรไม่ให้หวานมากด้วย บางสูตรยิ่งถ้ามาจากทางภาคกลางจะหวานนำด้วย แต่นี่จะออกเค็มนำ อร่อยแบบนี้ผมกินข้าวหมดทั้งหม้อเลยนะเนี่ย”



“ก่อกิ๋นจะเอี้ย อ้ายเปิ้นเลยบ่ไค่เลี้ยงเฮาแล้ว”

“ก็กินแบบนี้ พี่เขาถึงไม่อยากเลี้ยงเราแล้ว”


เจหันไปทำท่ากอดๆ หอมๆ อ้อนแม่ที่เดินมาลูบหัวเขาน้อยๆ ฟองนวลยื่นแก้วน้ำพร้อมขวดน้ำเย็นให้ฆาเบียร์ คนตัวโตรับมา เขามองภาพสองแม่ลูกที่หยอกล้อกันอยู่เบื้องหน้าแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้เมื่อนึกถึงความอบอุ่นจากแม่ที่เขาขาดหายไปเนิ่นนานแล้ว

“เป็นอะไรไปครับ ทำไมเงียบไป”

ฆาเบียร์สะดุ้งน้อยๆ เมื่อมืออบอุ่นของเจยื่นมาเกาะกุมมือของเขา

“ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันแค่คิดถึงแม่นิดหน่อย แต่ไม่ได้เศร้านะ แค่เสียดายว่าเจน่าจะได้มีโอกาสเจอแม่ของฉัน แม่น่าจะชอบเจมากแน่ๆ เลย”

คนตัวโตกระซิบกับคนรักเบาๆ เขาไม่อยากให้ฟองนวลได้ยินและเป็นห่วงเขาอีก เจนยุทธหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วก้มหน้าลงจูบเรือนผมดำขลับของคนรัก

“ไม่ต้องห่วงน่า ฉันโอเค”

เจหน้าแดงซ่านเมื่อหันไปเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของแม่ เขาแอบชักศอกใส่คนตัวโตที่เผลอแสดงความรักโดยไม่ดูที่ทางแล้วรีบเดินหนีออกไปหาพี่สาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวทันที



“เจ เรียบร้อยหรือยัง เดี๋ยวอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงล้อจะหมุนแล้วนะ”

อิ่มตะโกนเรียกน้องชายที่หน้าห้อง เจขานรับบอกว่าพวกเขากำลังแต่งตัว หลังจากกินข้าวราดหมูโคะไปจานหนึ่งแล้ว เจก็ไล่ฆาเบียร์ไปอาบน้ำ ส่วนเขาช่วยแม่ทำนั่นนี่ในครัวต่ออีกพักใหญ่ เขากลับเข้าห้องไปตอนสิบโมงกว่าก็ต้องส่ายหัวเมื่อเห็นคนตัวโตของเขานอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาทั้งชุดที่ใส่เมื่อกี้ เขาเขย่าเรียกฆาเบียร์ที่รีบลุกขึ้นนั่งทันที

"ตายล่ะ ฉันเผลอหลับไปเหรอ นี่กะจะเอนหลังแป๊บเดียวเองนะ แย่จริง"

ฆาเบียร์บ่นตัวเอง เจโคลงหัว

"ง่วงแล้วทำไมไม่ขึ้นไปนอนบนเตียงล่ะครับ มานอนบนโซฟาทำไม"

"ก็ตัวฉันเหม็นเหงื่อ ไหนจะทั้งกะปิแล้วก็ปลาเค็มอีก ฉันไม่อยากให้เตียงเจเหม็นนี่นา"

คนตัวโตทำท่าจะลุกขึ้นจากโซฟา แต่เจดันตัวเขาให้ลงนอนเหมือนเดิมแล้วก็ทิ้งตัวลงมานอนซบอกเขา

"ไม่เห็นเหม็นเลย หอมจะตาย น่ากิ๊น น่ากิน"

เจดมกลิ่นอาหารบนตัวคนรักแล้วก็หัวเราะคิกออกมา เขาพูดไปงั้น เอาเข้าจริงๆ เมียตัวโตของเขาก็กลิ่นโฉ่อยู่ไม่น้อย เขาจูบหนักๆ ที่แก้มของคนรักแล้วช่วยดึงคนตัวโตให้ลุกขึ้นก่อนจะลากเข้าไปอาบน้ำอาบท่า



"คุณนะ แต่งตัวเร็วๆ พี่อิ่มเร่งแล้วอ่ะ"

เจบ่นลั่นหลังจากอิ่มมาตะโกนเรียกที่หน้าห้อง ก่อนหน้านี้คนตัวโตไม่ยอมอาบน้ำดีๆ แต่มานัวๆ เนียๆ กับเขาจนเสียเวลาไปมากโข แถมตอนนี้พี่แกยังมัวแต่เลือกเสื้อผ้าว่าจะใส่อะไร

"นี่ มาแค่สองคืน คุณเอาเสื้อมาทำไมตั้งหลายตัว แล้วก็จะใส่อะไรก็ใส่ไปเถอะ"

เจทำหน้าง้ำ เขาแต่งตัวเสร็จนานแล้ว แต่ต้องมารอพ่อเจ้าประคุณเล่นแต่งตัว

"อ้าว ก็เจบอกฉันว่าให้แต่งตัวดีหน่อย เพราะต้องไปเจอผู้ใหญ่นี่นา"

พ่อนกหงส์หยกของเจเอาเสื้อเชิร์ตที่ติดกระเป๋ามาด้วยทาบตัว ท่อนล่างเขาใส่กางเกงบลูยีนส์ทรงสุภาพยี่ห้อดังกับเข็มขัดหนังไว้แล้ว แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใส่เสื้อเชิร์ตสีชมพูอ่อนลายทางหรือว่าเสื้อโปโลสีชมพูเข้มมาหน่อย เขาเลือกเสื้อโทนสีชมพูติดกระเป๋ามาเพื่อใส่ในวันขึ้นปีใหม่ของจีนตามธรรมเนียมที่เคยเรียนรู้มา ส่วนเจนยุทธนั้นใส่เสื้อเชิร์ตแขนสั้นลายทีมเฟอรารี่สีแดงขาวรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งซื้อมาจากในเน็ตทับเสื้อยืดสีเบจด้านใน



"เจว่าตัวไหนดี? "

ฆาเบียร์หันมาให้คนรักดู เจถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วชี้ที่เสื้อเชิร์ต คนตัวโตใส่เสื้อเชิร์ตเข้ารูปตัวนั้นแล้วหันซ้ายหันขวาดูกระจกบานใหญ่ในห้องของเจ เขาเม้มปากน้อยๆ แล้วตัดสินใจถอดกางเกงยีนส์ออก

"อ้าว เฮ้ย คุณเอาเสื้อผ้ามาซุกๆ ในตู้ที่บ้านนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? "

เจทำตาปริบๆ ฆาเบียร์เปิดตู้เสื้อผ้าน้อยของเจแล้วดึงกางเกงชิโน่สีเบจของฮิวโก้ บอสออกมา เขาเอามันมาใส่ตู้นี้ไว้พร้อมกับเสื้อผ้าอีกหลายตัวและรองเท้าอีกสองสามคู่เมื่อครั้งก่อนๆ ที่มาบ้านแม่ เจไม่ค่อยใส่ใจเอาเสื้อผ้ามาทิ้งไว้ในตู้น้อยนี้นัก เพราะเขามักเตรียมเสื้อผ้าใส่กระเป๋ามาจากคอนโด คนตัวโตจึงถือโอกาสยึดครองพื้นที่เสีย เจส่ายหัว อีกไม่นานเขาคงต้องหาที่ใส่เสื้อผ้าเพิ่มให้เมียเจ้าสำอางของเขาแน่นอน ฆาเบียร์ใส่กางเกงชิโน่ตัวนั้นแล้วยัดชายเสื้อเชิร์ตเข้าในกางเกง เขาพับแขนเสื้อขึ้นจนเกือบถึงข้อศอกและปลดกระดุมเสื้อลงสามเม็ดตามความเคยชิน เจปรี่เข้าไปกลัดคืน

"สองเม็ดพอ โอเค๊? "

เจส่งสายตาดุๆ ให้เมียขี้อ่อยของเขา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วจุ๊บหน้าผากคนรักแทนคำตอบรับ เขาใส่เข็มขัดหนังและรองเท้าหนังสีน้ำตาล แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย



"โอเค พร้อมออกบ้านแล้วจ้ะ"

"เฮ้อ เสร็จซะที โอเค ไปกัน"

เจถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ฆาเบียร์ดึงแขนเจนยุทธไว้เมื่อสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของคนรัก

"เจ เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันดูนายเครียดๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ฉันทำอะไรให้นายไม่ถูกใจหรือเปล่า? "

เจนยุทธหลบตาคนตัวโต เขาคงดูออกง่ายอย่างที่ฆาเบียร์เคยพูดไว้จริงๆ

"ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมแค่...เฮ้อ..."

เจถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ก่อนจะเล่าถึงสิ่งที่ติดอยู่ในใจเขาออกมา

"ผมแค่ไม่ค่อยอยากไปบ้านใหญ่แค่นั้นเอง"

เจลงนั่งบนโซฟาแล้วดึงคนรักให้นั่งลงตาม

"ทำไมเหรอ เจ คนที่บ้านนั้นเขาทำตัวไม่ดีกับนายเหรอ? "

คนตัวโตทำหน้าเคร่งเครียด เจยกมือไม้ปฏิเสธ

"ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ทั้งบ้านหรอกคุณ โดยมากก็ไนซ์แหละ แต่มีแค่บางคนที่ผมไม่อยากเจอน่ะ"

เจเริ่มเล่าเรื่องญาติๆ ของเขาให้ฆาเบียร์ฟัง


-------------------------------------


ตัดชึ้บตรงนี้ก่อนนะคะ ไม่งั้นไม่จบง่าย ตอนนี้ก็ยังเดินเอื่อยๆ ตามเคย ไม่ค่อยมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่ เอาพวกสูตรการดัดแปลงอาหารตรุษจีนไปก่อนนะคะ เสียดายว่าเขียนออกมาได้ช้าไม่ทันช่วงตรุษจีนจริงๆ เก็บไว้ใช้ในโอกาสอื่นแล้วกันนะคะ ในเรื่องนี้ ใครลองทำเมนูไหนแล้วอร่อยก็บอกมาได้นะคะ คนเขียนเองทำกับข้าวไม่เป็น ทำได้แค่กินกันตายเลยไม่เคยได้ลองสูตรในนี้สักที ที่เคยทำจริงจังและมั่นใจว่าอร่อยแน่ๆ คือครัวซองต์พุดดิ้งสูตรคุณว่านน้ำค่ะ


แจกสูตรกัน

หมูโคะ หรือหมูโค้ว สูตรหมูสดนะคะ หมูโคะนี้หาๆ ดูในเน็ตแล้วมีหลายสูตรมากมาย สูตรนี้ดูน่าจะมาตรฐานสุดค่ะ http://bit.ly/2Lckrpy

หมูโคะสูตรใส่ปลาเค็ม อ้างอิงจากเพจนี้ค่ะ แลดูเข้าท่าดี  http://bit.ly/2sngiIp

19 เมนูของเหลือไหว้เจ้า เนรมิตของเก่าเป็นอาหารจานใหม่ง่าย ๆ http://bit.ly/2J5l97o

10 สูตรอาหารจากของเหลือไหว้เจ้า เว็บ Wongnai ค่ะ รูปสวยดี http://bit.ly/2kDIySB

ไก่รวนพริกเกลือ ดูน่ากินมาก http://bit.ly/2soV1hi


อาหารมงคลที่ใช้ไหว้ ความหมายต่างๆ ของอาหารแต่ละชนิด http://bit.ly/2Ji5rZU



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Relatives...Good Ones And The Bad ----



“บ้านพ่อผมเป็นครอบครัวคนจีน ถึงจะมาอยู่เชียงใหม่หลายชั่วคนแล้วแต่ก็ยังอยู่บ้านใกล้ๆ กันเป็นครอบครัวใหญ่”

เจเล่าเรื่องราวของบ้านเขาให้ฆาเบียร์ฟัง พวกเขาออกมานั่งรอคนอื่นอยู่ที่ส่วนนั่งเล่นที่ชานบ้าน

“ก็อย่างที่ผมเคยเล่าๆ ให้คุณฟังนั่นแหละ เหล่ากง เอ่อ ปู่ผมมีพี่ชายกับน้องสาว บ้านก็อยู่ใกล้ๆ กันแถววัดเกต พ่อผมเป็นลูกคนเดียว ครอบครัวปู่กับญาติๆ ก็ขายเสื้อผ้าพื้นเมืองในกาดหลวง…”

"เลอลาภ" พ่อของเจอาศัยอยู่ที่บ้านย่านวัดเกตกับพ่อและญาติๆ ส่วนแม่ของเขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็ก พ่อของเจจบบัญชีจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และเข้าทำงานธนาคารในยุคที่อาชีพนายแบงค์ถือเป็นสุดยอดความใฝ่ฝันของหลายๆ คน เขาทำงานธนาคารอยู่ร่วมสิบปีจนกระทั่งปู่ของเจเริ่มล้มป่วยและเฝ้าร้านเองไม่ค่อยไหว พ่อเจตัดสินใจลาออกเพื่อมาสืบทอดร้านในกาดวโรรสของพ่อเขาต่อ แม้จะมีหลายเสียงทัดทาน แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนใจ ความตั้งใจของเขาคือเพื่อเก็บร้านนี้ไว้ให้ลูกหลานในอนาคต

“แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสืบทอดต่ออยู่ดี”

เจหัวเราะเบาๆ แม้เขาจะเสียดายบ้างที่แม่ขายร้านนี้ไป แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมและมีหัวค้าขายเท่ากับรุ่นพ่อแม่

“ตอนแม่รู้จักกับพ่อ แม่เพิ่งจบป.ตรีจากคณะศึกษาฯ มช. แม่เป็นบัณฑิตรุ่นแรกๆ ของสาขาวิชาการสอนภาษาต่างประเทศ​เลยครับ แล้วเพิ่งได้เข้าบรรจุเป็นครูในรร.สตรีประจำจังหวัด ตาผมถึงไม่ชอบไงที่แม่ไปชอบพอกับพ่อที่เป็นพ่อค้า แถมพ่อยังแก่กว่าแม่อีกตั้งเกือบสิบปี ส่วนยายของผมนั้นก็ตามใจตา ถึงจะไม่ได้ไม่ชอบพ่อแต่ก็ออกหน้าออกตาไม่ได้ แต่ตอนหลังพ่อผมก็ชนะใจตาได้แหละ”



“คุยอะไรกันอยู่ ขอคุยด้วยได้ไหม?”

อิ่มใจที่มายืนแอบฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นแล้วถือวิสาสะนั่งลงข้างน้องชาย

“แม่เตรียมของอยู่ คงอีกแป๊บนึง อ๊ะ ไม่เป็นไรค่ะ มีเด็กช่วยแล้ว”

อิ่มยกมือห้ามฆาเบียร์ที่ทำท่าจะลุกไปช่วยในครัว

“ผมเล่าเรื่องบ้านเรากับพวกญาติๆ ให้ฆาบี้ฟังอยู่ครับ เจ๊จะช่วยเสริมมะ? แอบฟังอยู่นานละนิ”

เจพูดยิ้มๆ อิ่มใจย่นจมูกน้อยๆ ให้น้องชายรู้มากของเธอ

“ก็ตามนั้นค่ะ พ่อเริ่มจีบแม่ตอนพ่อกลับมาช่วยปู่ทำร้านใหม่ๆ ตาเค้าเลยมองพ่อเป็นแค่หนุ่มพ่อค้า แต่พอคุยๆ กันไปมา นานวันเข้าสุดท้ายก็ถูกคอกัน เลยยอมยกแม่ให้ พ่อเทียวไล้เทียวขื่อจีบแม่อยู่สองปีกว่ามั้งกว่าจะได้แต่งงาน แต่พอแต่งแล้ว แม่ยังบ่นเลยว่าตากับยายรักลูกเขยมากกว่าแม่อีก คงเหมือนแม่กับคุณมั้งคะ ฆาบี้”

เจตีหน้ายักษ์ให้ฆาเบียร์ที่ทำท่ายิ้มกริ่มเมื่อได้ยินแบบนั้น

“น่า เจก็เป็นลูกรักอาปาแทนฉันไง”

ฆาเบียร์กระเซ้าเจนยุทธที่ก็ยิ้มร่าเมื่อคิดถึงอาปาของเขา ทั้งสองคุยจุ๋งจิ๋งกันต่ออีกจนเหมือนจะลืมอิ่มไปแล้ว



"เอ้าๆ จะฟังต่อไหมคะ เดี๋ยวก็ไม่เล่าเลยนี่"

อิ่มใจค้อนปะหลับปะเหลือก เธอเริ่มหมั่นไส้ไอ้น้องชายที่อยู่ในโหมดเลิฟๆ แล้ว

"อ่ะๆๆ เล่าต่อๆ ฟังครับ ฟัง"

เจทำท่าประจบประแจงพี่สาว ตัวเขาจำเรื่องราวเก่าๆ ของที่บ้านไม่ค่อยได้ ส่วนหนึ่งเพราะไม่ค่อยได้ใส่ใจ และอีกส่วนหนึ่งเพราะเขาเกิดมาในช่วงที่ญาติผู้ใหญ่หลายคนล้มหายตายจากไปบ้าง หรือแยกครอบครัวกันไปบ้างแล้ว

"...ตายอมให้พ่อแต่งงานกับแม่ในที่สุด แต่มีข้อแม้เดียวคือพ่อต้องย้ายมาอยู่กับครอบครัวของแม่ตามธรรมเนียมลานนาเดิมค่ะ"

ตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวลานนาแต่เดิมนั้น เมื่อแต่งงาน ลูกชายต้องเป็นฝ่ายแต่งออกไปสร้างครอบครัวของตัวเอง ส่วนบ้านไหนที่มีลูกสาวก็ต้องแต่งเขยเข้ามาในบ้านก่อนจนกว่าทั้งสองจะสามารถลงหลักปักฐานและเก็บหอมรอมริบจนแยกเรือนออกไปได้

"แต่ผมว่าในกรณีของตา ตาอ้างธรรมเนียมเพราะไม่อยากให้แม่ไปอยู่ที่อื่นมากกว่า"

เจพูดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงตาที่ชอบทำตัวเข้มแต่จริงๆ ใจอ่อนของเขา

"เดี๋ยวเถอะเจ เม้าตาได้ไง คืนนี้ขอให้ตาแวะมาหาเราสักทีเหอะ"

เจหน้าซีดแล้วรีบยกมือไหว้ลมไหว้ฟ้าปะหลกๆ เขาบอกฆาเบียร์ว่าตาของเขาเสียชีวิตไปร่วมสิบปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่แม่จะถูกหวย อันที่จริง หวยชุดใหญ่ที่แม่ถูกก็คือชุดที่แม่เขาซื้อตอนงานศพตานั่นเอง

"พ่อยังแซวแม่อยู่เลยว่าตาห่วงว่าพ่อจะพาแม่ไปลำบากเลยให้โชคแม่"

อิ่มพูดยิ้มๆ



"อ่ะ ต่อๆ ย้อนมาถึงตอนก่อนแต่งงาน ตอนแรกพ่อผมก็หนักใจนะ ว่าจะย้ายไปอยู่ที่บ้านตาดีไหม..."

เจเล่าต่อ ในทีแรก พ่อของเจลังเลใจอย่างหนักเพราะเขาไม่อยากทิ้งพ่อที่ไม่แข็งแรงนักไว้ตัวคนเดียวที่บ้านวัดเกต แต่ตัวพ่อเขาอีกทั้งพวกญาติๆ ก็คะยั้นคะยอให้เขาแต่งงานออก

"พวกญาติๆ ของเหล่ากงบอกว่าพวกเขาจะดูแลท่านให้ อีกอย่าง บ้านตาก็ไม่ได้อยู่ใกลจากย่านวัดเกต แถมช่วงกลางวันพ่อก็ต้องมาช่วยเหล่ากงขายของอยู่ดี ก็เหมือนแค่เปลี่ยนที่นอน"

หลังแต่งงาน ทุกเช้า เลอลาภจะขี่รถเวสป้าคันเก่งของเขาไปส่งภรรยาทำงาน โรงเรียนที่ฟองนวลไปสอนอยู่ไม่ไกลจากบ้านของตานัก จากนั้นก็ขี่รถไปที่กาดวโรรสเพื่อช่วยพ่อของเขาเปิดร้านและขายของทั้งวัน พอเลิกงานแม่ของเจก็จะเดินกลับบ้านไม่ก็นั่งรถสาธารณะกลับ ในตอนแรกเลอลาภจะขี่มอเตอร์ไซค์มารับแทบทุกวันแล้วค่อยกลับไปปิดร้าน แต่หลังๆ ฟองนวลบอกว่ามันเสียเวลาไปๆ มาๆ เธอเลยกลับเอง ช่วงปีแรกของการแต่งงาน บางครั้งถ้าเลิกสอนเร็ว เธอก็จะนั่งรถประจำทางจากโรงเรียนไปที่กาดเพื่อไปช่วยขายของ แล้วจึงกลับบ้านมาในตอนเย็นเพื่อช่วยแม่ของเธอเตรียมหุงหาอาหาร

ในปีที่สองของการแต่งงาน ฟองนวลก็ตั้งครรภ์ลูกคนแรก ในช่วงแรก เลอลาภจะยืมรถยนต์ของพ่อตาออกไปส่งภรรยาแล้วกลับมาเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไซค์เพื่อไปขายของ ส่วนช่วงเย็นพ่อของฟองนวลก็จะเป็นคนไปรับลูกสาวที่โรงเรียนด้วยตนเอง ทุกคนต่างประคบประหงมคนท้องอย่างเต็มที่

ฟองนวลคลอดลูกชายคนโตและมีลูกสาวคนรองในอีกสองปีถัดมา เด็กทั้งสองโตมาโดยเป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัวทั้งฝั่งพ่อและแม่และใช้ชีวิตกับทั้งสองบ้าน ครอบครัวของเลอลาภรวมทั้งพ่อตาและแม่ยายของเขาจะไปกินข้าวที่บ้านวัดเกตทุกๆ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และเด็กๆ ทั้งสองก็จะไปขลุกอยู่ที่กาดในช่วงปิดเทอม และไปค้างที่บ้านวัดเกตเป็นระยะๆ



แม่ของฟองนวลเสียชีวิตลงตอนเด็กๆ ทั้งสองเริ่มเข้าวัยรุ่น หากครอบครัวที่กำลังเศร้าโศกก็ได้ความสุขกลับมาอีกครั้งเมื่อฟองนวลตั้งท้องลูกชายคนเล็ก เจนยุทธเกิดมาโดยรับความรักจากทั้งสองบ้านเช่นเดียวกับพี่ๆ อาจจะได้รับมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเขาเป็นเด็กที่อายุน้อยเกือบจะที่สุดในหมู่ญาติรุ่นเดียวกัน เจให้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแก่ทุกคนเพราะนิสัยที่ร่าเริงและรูปร่างหน้าตาอันแสนน่ารัก

"ไอ้เจมันกินเก่งแต่เด็ก ก็อย่างที่คุณเห็นในรูปค่ะฆาบี้ มันอ้วนๆ ขาวๆ แก้มยุ้ยน่าหยิก ก็เลยเดี๋ยวบ้านนู้นก็อุ้มไป บ้านนี้ก็อุ้มมา ในช่วงนั้นเจมันเป็นเด็กเล็กคนเดียว พวกญาติรุ่นๆ เดียวกับอิ่มและพี่จืดก็เริ่มโตกันแล้ว ส่วนคนอื่นที่วัยใกล้ๆ กันก็อยู่กรุงเทพฯ เจมันเลยเป็นเหมือนตุ๊กตาให้ป้าๆ อาๆ เค้าเล่น"

เจนยุทธนั่งเท้าคางฟังพี่สาวเล่า เขาเองก็จำอะไรมากไม่ได้ จำได้แค่ว่าตอนเด็กๆ เขาโดนจับเล่นแต่งตัวบ่อย คนนั้นคนนี้หานั่นนี่มาให้เขาตลอดเวลา เดี๋ยวคนนั้นอุ้ม คนนี้อุ้มจนบางทีเขารำคาญ แถมที่จำได้แม่นคือเขาโดนหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยวอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว

"ฉันอยากเห็นนายตอนเด็กๆ จริงๆ เจนยุทธ อยากอุ้มนายเล่นมั่ง"

คนตัวโตเปรยเบาๆ เจหันไปยิ้มหวานใส่

"เหรอ? คุณไม่รักเด็กไม่ใช่เหรอ ฆาบี้ "

"ถ้าเป็นเจ ต่อให้ซนแค่ไหนฉันก็รักนะ"

เจนยุทธทำตาปริบๆ แล้วหันไปทำปากหมุบหมิบให้พี่สาวที่ทำท่ากรี๊ดแบบไม่มีเสียงด้วยความฟินอีกครั้ง



"เรื่องราวก็เหมือนที่เคยเล่าให้คุณฟังแหละ ฆาบี้ แม่เลิกสอนหลังแต่งงานได้ห้าปี แล้วมาช่วยพ่อขายของเต็มตัว ในตอนแรกพ่อกับแม่ก็ยังกลัวตาไม่ยอม เพราะทีแรกตาเขาอยากให้แม่รับราชการเหมือนกับตัวเอง อ๋อ ตาผมก็เป็นข้าราชการนะครับ เลยมองว่างานราชการมั่นคง แต่กลายเป็นว่าตาก็เห็นดีเห็นงามด้วย บอกว่าให้แม่ไปช่วยขายของซะ ลูกเขยคนโปรดของตาจะได้ไม่เหนื่อยมาก"

เจพูดยิ้มๆ อิ่มเสริมว่าครอบครัวของตาย้ายมาจากแพร่และไม่ได้มีญาติคนอื่นที่เชียงใหม่ ครอบครัวเล็กๆ ของฟองนวลจึงเป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของผู้เฒ่าทั้งสองคน ส่วนทางฝั่งพ่อของเจนั้นกลับกัน ฝั่งนั้นมีญาติเยอะและอยู่เป็นครอบครัวใหญ่

"คุณจำร้านขายผ้าที่ผมพาคุณขึ้นไปซื้อกางเกงสะดอได้มะ? ร้านใหญ่ๆ อ่ะ ร้านนั้นเป็นของลูกพี่ลูกน้องพ่อ คือ ลูกของน้องชายปู่ เหล่ากงผมเป็นลูกคนโตและมีน้องชายกับน้องสาว น้องสาวคนเล็กของปู่ย้ายไปอยู่สวีเดนตามลูกสาวคนเดียวที่แต่งงานกับฝรั่งครับ สายนั้นเขาไม่ค่อยกลับไทยเท่าไหร่ เจอกันนานๆ ที อาม่าเขายังอยู่หรือเปล่านี่ผมก็ยังไม่รู้เลยอ่ะ"

เจหันไปถามอิ่ม แต่อาจารย์สาวก็ส่ายหัวว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน

"เหล่ากงผมเปิดร้านขายผ้าพื้นเมืองกับน้องชายในกาดวโรรส ตอนแรกยังทำด้วยกันเป็นร้านเดียวกันอยู่ ตอนหลัง พอไฟไหม้กาดครั้งใหญ่ในปี 2511 ก็เลิกไปพักนึงไปทำอย่างอื่น พอกาดใหม่สร้างเสร็จในปี 2515 พวกอากงก็ยอมกู้เงินเพื่อเปิดร้านใหม่ ทีนี้ก็ขยับขยายแยกเป็นสองร้าน แต่ก็ไม่ได้แข่งกันนะ ปู่ผมเน้นขายผ้าพื้นเมือง แต่ร้านอากงเล็กเน้นขายผ้าแบบชาวไทยภูเขา ตอนแม่จะเลิกทำร้าน แม่ก็เซ้งร้านให้กับบ้านของอากงเล็กน้่นแหละครับ ตอนนี้เขาก็เลยขายทั้งสองอย่าง ก็แยกเป็นสองร้านเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เจ้าของเดียวกัน แล้วยังขยายไปที่ตรอกเล่าโจ๊วอีก ขายดีครับ"

ฆาเบียร์ที่ฟังเพลินๆ พยักหน้ารับทราบ ถ้าจำไม่ผิด เจเคยพาเขาไปทั้งสามร้านแล้ว



"ฉันก็เห็นเจดูสนิทกับร้านนั้นดีนี่นา แล้วทำไมเจถึงบอกว่าไม่อยากไปบ้านใหญ่ล่ะ?"

คนตัวโตถามขึ้นอย่างสงสัย เจขยับปากจะห้ามแต่ก็ไม่ทัน อิ่มหันขวับมามองหน้าน้องชาย

"เฮ้ย นี่เราเล่าเรื่องนี้ให้ฆาบี้ฟังด้วยเหรอ?"

เจทำหน้าเจื่อนๆ

"ยังไม่ทันเล่าอ่ะพี่อิ่ม ก็กำลังจะเล่านี่แหละ"

"เอ่อ เจไม่ต้องเล่าให้ฉันฟังก็ได้นะ ถ้ามันเป็นเรื่องภายในหรืออะไร นายไม่ต้องเล่าหรอก"

ฆาเบียร์พูดขึ้นด้วยความเกรงใจ เขาเข้าใจดีว่าเรื่องบางอย่างก็ควรเก็บไว้แค่ในครอบครัวเท่านั้น

"ไม่ค่ะๆ มันไม่ใช่เรื่องภายในอะไรขนาดนั้น เรื่องมันเป็นอย่างนี้..."

อิ่มโบกไม้โบกมือ เจซ่อนยิ้ม พี่สาวเขาเข้าโหมดเม้าแล้ว



"คือ ตระกูลของเหล่ากงเป็นคนจีนที่อยู่เชียงใหม่มานานแล้วค่ะ ก็แตกออกเป็นหลายสาย พวกญาติๆ ของเราก็กระจายกันอยู่แถววัดเกตนี่หลายบ้าน แต่ที่เรียกว่าบ้านใหญ่ก็คือบ้านที่เหล่ากงกับน้องชายอยู่ แล้วทุกปีพวกญาติๆ ก็จะมารวมตัวกันช่วงตรุษจีน สายเราที่สนิทๆ กันก็มีสองบ้านคือบ้านเหล่ากงหรือปู่ของอิ่มกับเจซึ่งมีพ่อเป็นลูกชายคนเดียว กับบ้านของอากงเล็กหรือน้องชายของปู่ บ้านนั้นมีลูกสี่คนค่ะ..."

ลูกสาวคนโตของบ้านนั้นแต่งงานไปอยู่ทางภาคใต้และจะกลับมาแค่ช่วงปีใหม่ไม่ก็ตรุษจีน เจไม่สนิทกับบ้านนี้นัก ส่วนลูกชายคนรองและลูกสาวคนที่สามนั้น คือบ้านที่ทำร้านขายผ้าอยู่ในกาดวโรรสและตรอกเล่าโจ๊ว ทั้งสองบ้านนี้สนิทสนมกับบ้านพ่อของเจเหมือนเป็นพี่น้องคลานตามกันมา

"ลูกของบ้านนี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอิ่มและพี่จืดค่ะ เล่นกันมาแต่เด็ก ทุกวันนี้ก็ยังสนิทกัน เดี๋ยวคุณก็คงได้เจอ มีที่รับช่วงร้านต่อสองคน แล้วมีที่ทำงานอย่างอื่นอีก"

อิ่มหันไปยิ้มมองหน้าน้องชายที่เริ่มทำหน้าบูด

"แต่ที่ไอ้เจ้าเจมีปัญหาด้วยน่ะ คือบ้านลูกชายคนเล็กของอากงเล็กค่ะ"

"เฮ้ยๆ ผมไม่ได้มีปัญหากับทั้งบ้านโว้ย ผมมีปัญหากับอาพิมคนเดียว กับอาทรัพย์และพวกพี่ๆ ผมเลิฟๆ อยู่น่า"

เจปฏิเสธลั่น เขาทำหน้าคว่ำและบ่นอุบอิบเมื่ออิ่มพูดชื่ออาสะใภ้ที่เขาไม่ถูกด้วย



"จ่มอะหยังของเฮาแหมละ ถ้าบ่มีอาพิม แม่ก่อบ่ได้ปะกับป้อของเจเน่อ"

"บ่นอะไรของเราอีกล่ะ ถ้าไม่มีอาพิม แม่ก็ไม่ได้เจอกับพ่อของเจนะ"


​เจสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแม่ เขาหันไปหัวเราะแหะๆ แล้วลุกขึ้นให้แม่ของเขานั่งข้างอิ่ม ส่วนตัวเองลุกไปนั่งเบียดฆาเบียร์ที่เก้าอี้อีกฝั่ง ฟองนวลหันไปยิ้มให้คนรักของลูกชายแล้วบอกอิ่มให้แปลสิ่งที่เธอพูดให้ฆาเบียร์ฟัง

"อาพิมเขาเป็นเพื่อนนักศึกษาคณะเดียวกันกับแม่ค่ะ ส่วนอาทรัพย์ ลูกพี่ลูกน้องของพ่อนั้นเรียนคณะสังคมฯ ภาควิชารัฐศาสตร์ สองคนนั้นเขาเป็นแฟนกันตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว พอเรียนจบปุ๊บก็แต่งงานปั๊บ พ่อเจอกับแม่ก็ในงานแต่งของสองคนนั้นล่ะค่ะ"

ลูกพี่ลูกน้องคนเล็กของพ่อเจคนนี้เป็นคนที่ก้าวไกลในหน้าที่การงานที่สุด เขาเข้ารับราชการและเติบโตในสายงาน โดยย้ายไปทำงานยังหลายๆ ที่ และจบที่ตำแหน่งรองอธิบดี



"แล้วทำไมเจถึงมีปัญหากับอาผู้หญิงคนนี้ล่ะครับ? ไม่ได้อยู่เชียงใหม่เหมือนกันแท้ๆ"

ฆาเบียร์ถามอิ่มที่นั่งข้างเขาบนรถของเจ เขาสละที่นั่งด้านหน้าให้แม่ของเจเพื่อให้นั่งยืดขาได้สบายๆ อิ่มหัวเราะหึๆ เธอลดเสียงพูดลงเพื่อให้แม่ได้ยินไม่ชัด

"จะว่าไงดี คือ อาพิมเขาเป็นคนชอบเปรียบเทียบแล้วก็คุยข่มค่ะ เป็นแบบนี้ตั้งแต่สาวๆ แล้วมั้ง ชอบเอาบ้านเรากับบ้านเขามาเทียบกัน เทียบสามีตัวเองกับพ่อพวกเรา อะไรประมาณนี้ พอมีลูก คนที่อายุไล่ๆ กับอิ่มกับพี่จืดน่ะ แกไม่ค่อยอยากยกมาเทียบเท่าไหร่..."

ลูกชายคนโตของบ้านนี้อายุมากกว่าจืดหนึ่งปีและเป็นวิศวกรในบริษัทก่อสร้างใหญ่แห่งหนึ่ง ส่วนลูกสาวคนกลางนั้นเคยทำงานเป็นเลขาฯ ในบริษัทย่านสีลม แต่ปัจจุบันแต่งงานและเป็นแม่บ้าน

"พี่จืดน่ะ เห็นแบบนี้แต่แกก็จบนอกนะคุณ จบโทการเกษตรจากสหรัฐฯ เคยทำงานบริษัทด้านการเกษตรข้ามชาติ ตำแหน่งใหญ่โตพอสมควร อาแกเลยหาที่แขวะไม่ได้ ตอนหลังพอออกมาทำไร่เองก็ประสบความสำเร็จจนอาแกก็พูดว่าอะไรไม่ได้ ส่วนพี่อิ่มเป็นครูบาอาจารย์ หาที่บ่นไม่ได้ ถ้าจะโดนก็แค่โดนแค่เรื่องเจ๊ไม่มีสามีนั่นแหละ..."

เจส่งเสียงพร้อมหัวเราะคิกคักมาจากหลังพวงมาลัย อิ่มหันไปสรรเสริญน้องชายเป็นภาษาไทยจนโดนแม่ดุเรื่องพูดไม่สุภาพ อาจารย์สาวโคลงหัวแล้วหันมาเล่าต่อ

"แต่ที่โดนหนักสุดก็คือไอ้เจนี่แหละค่ะ เจอ่อนกว่าลูกชายคนเล็กของบ้านนั้นเขาสองปี โดนเทียบกันตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ตอนเล็กๆ น่ะ ไม่ค่อยเท่าไหร่ ไอ้เจมันน่ารักไง ตอนนั้นใครๆ ก็อุ้มก็โอ๋ แต่พอขึ้นมัธยมเท่านั้นแหละ..."

ฆาเบียร์แอบเหลือบมองใบหน้าของคนรัก จากเบาะหลัง เขาสังเกตเห็นแนวกรามที่ขบแน่นขึ้นของเจ

"ตอนไอ้เจมันเริ่มเข้ามัธยม คุณก็รู้ว่ามันเป็นไงใช่ไหม? คือลูกชายคนเล็กของป้าเขาหน้าตาดีค่ะ ในช่วงนั้นแกก็จะเกทับใหญ่ ทุกครั้งที่มาเจอกันช่วงตรุษจีน หรือทุกครั้งที่มาเชียงใหม่ แกก็จะเรียกเจไอ้อ้วนมั่ง หมูน้อยมั่ง ถามว่าเมื่อไหร่จะผอมมั่ง เวลาถ่ายรูปหมู่ รูปครอบครัว ก็ชอบจับเจกับลูกตัวเองมายืนข้างกัน รายนั้นเขาอายุมากกว่าสองปี ก็จะเริ่มสูงใหญ่ ส่วนไอ้เจ้าเจของเราก็จะอ้วนๆ เตี้ยๆ..."



"บ่ต้องเล่าละเอียดนักก่อได้อิ่ม อินดูน้องมัน"

“ไม่ต้องเล่าละเอียดมากก็ได้อิ่ม สงสารน้องมัน”


ฟองนวลติงมาเบาๆ แต่เจหันมาบอกว่าเขาไม่เป็นไร อิ่มจีงเล่าต่อ

"พอเจโตขึ้นมาหน่อย เริ่มผอม เริ่มเพรียว แกก็แขวะได้ไม่เต็มปาก มีแค่มาอวดเรื่องลูกแกได้ไปถ่ายแบบบ้าง มีแมวมองมาชวนบ้างอะไรบ้าง แต่มาเริ่มทับถมอีกครั้งตอนเจมันเข้ามหาวิทยาลัย"

เจนยุทธหน้าจ๋อยไปเล็กน้อย ความล้มเหลวเรื่องเรียนของเขาถูกยกมาล้อเลียนและเปรียบเทียบทุกครั้ง แม้กระทั่งตอนที่เขาย้ายไปเรียนการโรงแรมที่ม. เอกชน เขาก็จะโดนแขวะว่าเรียนม.รัฐไม่รอด ทั้งที่สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยวของม. เอกชนที่เขาเรียนนั้นตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกๆ ของประเทศและถือเป็นหลักสูตรชั้นนำที่ผลิตบุคลากรคุณภาพซึ่งเป็นต้องการของโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว แต่อาพิมก็ยังมองว่าเจล้มเหลวอยู่ดี ยิ่งเจจบมาไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ยิ่งโดน

"หลังๆ มาเจมันโดนตลอดเลยนะแม่ โดนแขวะว่าดีเนาะ แม่ถูกหวยเลยมีเงินทองกองไว้ให้แล้ว ได้แต่นั่งๆ นอนๆ กินเที่ยวไปวันๆ ลอยชายไปมา แต่ระวังนะ เงินมันหมดได้ อะไรแบบนี้ ปากไม่ดีสุดๆ เลย"

อิ่มหันไปฟ้องแม่ของเธออย่างอดไม่ได้ ฟองนวลได้แต่ลูบหัวลูกชายคนเล็กที่ทำหน้าตึงขับรถ ฆาเบียร์มองคนตัวเล็กของเขาอย่างสงสาร

"ผมก็บอกแล้วว่าผมทำงานแปล ไม่ได้อยู่เฉยๆ เงินก็ดีใช้ได้ แต่แกก็หัวเราะเยาะ บอกว่างานฟรีแลนซ์แบบนี้มันใช่งานจริงๆ ที่ไหน แล้วก็ยกเรื่องงานของพี่บูมมาอวดทุกที"

เจบอกว่าพี่บูมซึ่งอายุมากกว่าเขาสองปีนั้นจบนิติศาสตร์จากม. ดังแถมยังไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนา ตอนนี้เขาทำงานกับสำนักงานกฎหมายข้ามชาติขนาดใหญ่และต้องเดินทางไปๆ มาๆ หลายประเทศและมีเงินเดือนหลักแสน ยิ่งญาติผู้พี่ของเขาคนนี้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานเท่าไหร่ เจยิ่งถูกเหยียบจมดินเท่านั้น เจนยุทธถอนหายใจ นี่คือสิ่งที่เขาต้องเจอทุกปี



"ผมก็ไม่เข้าใจนะคุณ กับลูกบ้านอื่นอาพิมเขาก็ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ แต่กับบ้านเราโดยเฉพาะผมเนี่ย โดนเอาๆ"

เจบ่นด้วยความเซ็ง

"สงสัยคงเป็นเพราะแม่เอง"

ฟองนวลพูดออกมาเบาๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

"พิมเขาแข่งกับแม่มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เรื่องผลการเรียนอะไรพวกนี้ แม่ก็ไม่ได้อยากแข่งอยากเทียบอะไรกับเขานะ แต่เขาชอบมาถามทุกครั้งที่ผลสอบออก พอเขาได้ดีกว่าแม่ก็ดีใจกับเขา แต่พอแม่ได้คะแนนสูงกว่า เขากลับไม่พอใจ แม่ก็ไม่นึกว่าพอเรียนจบแล้ว เขาก็ยังทำแบบนี้อีก"

แม่ของเจถอนหายใจเบาๆ ออกมาอีกครั้ง ในปีนี้ลูกชายของเธอก็คงโดนแขวะอีกครั้ง และในปีนี้อาจจะโดนหนักกว่าทุกที

"เจ เดียวเฮาบ่ต้องลงก่อได้เน่อ ส่งแม่กับปี้อิ่มตี้หน้าบ้านวัดเกตก่อได้ ถ้าแล้วละแม่จะโทรหา"

"เจ เดี๋ยวลูกไม่ต้องลงก็ได้นะ ส่งแม่กับพี่ิอิ่มที่หน้าบ้านวัดเกตก็ได้ ถ้าเสร็จแล้วแม่จะโทรหา"


เจขมวดคิ้ว เขาหันไปคุยกับฆาเบียร์ แล้วหันไปบอกแม่ของเขาแบบให้คนรักได้เข้าใจด้วย

"ไม่เป็นไรครับแม่ เจทนได้ ฆาเบียร์เขาก็อยากไปเจอญาติๆ คนอื่นด้วย โดนแค่นี้เจชินแล้วน่า มันก็เรื่องเดิมๆ ทุกปี"

"แต่เจ ปีนี้เราจะไม่โดนแค่เรื่องงานน่ะสิ"

อิ่มเสริมมา เจนยุทธทำหน้างง ฟองนวลหันไปทำตาดุๆ ใส่ลูกสาว อิ่มยักไหล่น้อยๆ

"เจมันก่อต้องฮู้ซักวันน่ะแม่ เล่าเลยดีกว่า...”

“เจมันก็ต้องรู้สักวันนะแม่ เล่าเลยดีกว่า”

อาจารย์สาวหันไปบอกแม่เป็นคำเมืองและหันกลับมาคุยกับน้องชายด้วยภาษาอังกฤษ

“เจจำช่วงที่พวกในกาดเขาฮือฮาเรื่องฆาเบียร์ได้ไหมล่ะ"

อิ่มยื่นหน้าไปคุยกับน้องชาย เจหน้าแดงน้อยๆ เขาจำได้ว่าความห่ามของฆาเบียร์ในวันนั้นทำให้เขาลำบากทีเดียว

"นั่นแหละ ไม่กี่วันหลังจากนั้น อาพิมก็โทรมาหาแม่เลย อารมณ์เผือก เอ๊ย อยากรู้อยากเห็นสุดๆ"

ฟองนวลหัวเราะหึๆ เธอได้ยินจากพวกเพื่อนๆ และญาติในกาดวโรรสแล้วว่าเจพาหนุ่มฝรั่งมาเที่ยวกาด แถมพ่อหนุ่มคนนั้นยังแสดงความเป็นเจ้าของลูกชายของเธออีกจนเป็นที่ฮือฮากันไปทั่ว



"นี่ ฟอง ตกลงเจมันมีแฟนผู้ชายจริงๆ เหรอ?"


นั่นคือสิ่งที่เพื่อนของเธอถามมาด้วยน้ำเสียงอยากรู้ ในตอนนั้นฟองนวลก็ปฏิเสธไปว่าเธอไม่ทราบและต้องขอคุยกับเจก่อน และนั่นเป็นเหตุให้เธอเรียกเจและหนุ่มฝรั่งคนนั้นเข้ามาคุยถึงที่บ้าน สำหรับตัวเธอแล้ว เธอไม่มีปัญหากับสิ่งที่ลูกชายเลือก แต่เธอแค่อยากเห็นชายหนุ่มชาวต่างชาติคนนั้นกับตาและถามความรู้สึกของเขาให้มั่นใจเท่านั้น

หลายเดือนหลังจากนั้น เธอเฝ้ามองความสัมพันธ์ที่เติบโตขึ้นระหว่างชายหนุ่มทั้งสองด้วยความอิ่มเอมใจ และเมื่อเจกลับมาจากสมุยและพาฆาเบียร์มาหาเธอ ถึงตอนแรกจะมาเพราะความเข้าใจผิดเรื่องโรซ่า แต่เมื่อความเข้าใจผิดนั้นคลี่คลายลง เจก็แอบมากระซิบกับเธอว่าเขาตกลงคบหากับคนตัวโตของเขาอย่างจริงจังแล้ว ฟองนวลได้แต่ดีใจกับลูกชายของเธอ

หากความยินดีนั้นกลายเป็นความไม่สบายใจ ลูกชายของเธอไม่ได้ปิดบังเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับฆาเบียร์ และเมื่อญาติๆ ท่ี่ขายของถามถึงคนตัวโต เจก็ตอบรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเขาคบหากับพ่อหนุ่มละตินคนนี้อย่างจริงจังแล้ว แม้ทุกคนที่บ้านวัดเกตจะเข้าใจและยินดีกับทางเลือกของเจนยุทธ แต่ฟองนวลก็ต้องสะอึกกับคำพูดของคนที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนและคนในครอบครัวอย่างพิม

"ฉันได้ยินจากบ้านวัดเกตแล้วนะ ฉันว่าแล้วเชียว หน้าตาท่าทางอย่างไอ้เจน่ะดูก็รู้ว่าไม่พ้นต้องเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วแน่ๆ ผิดปากฉันว่าไปที่ไหนล่ะ..."


เสียงหัวเราะที่ดังมาจากอีกฟากของโทรศัพท์ทำให้เธอทนไม่ได้ และต้องขอจบการสนทนาไปโดยเร็ว เธอลืมเรื่องนี้ไปจนกระทั่งเจพูดถึงญาติที่เขาไม่อยากเจอขึ้นมา



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



----  Relatives...Good Ones And The Bad (ต่อ) ----





"เค้าพูดถึงขนาดนี้เลยเหรอ พี่อิ่ม"

เจนยุทธโกรธแทบควันออกหู เขาไม่เคยอายที่อาพิมรู้ว่าตัวเขามีแฟนผู้ชาย แต่เขาโกรธเพราะถูกชิงตัดสินไปแล้วว่าจะต้องเป็นแน่นอน ถ้าเป็นคนนอกอย่างพวกเพื่อนแม่ค้าของแม่พูด เขาก็จะไม่คิดมากอะไร แต่นี่ญาติกันแท้ๆ กลับมาทำแบบนี้ แถมยังกล้ามาพูดใส่หน้าแม่ของเขาอีก เขาจึงโมโหมาก ฆาเบียร์เองก็เลือดขึ้นหน้าเมื่ออิ่มอธิบายถึงคำว่า "เป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว" ให้เขาฟังเป็นภาษาอังกฤษ เธอบอกว่ามันคงเทียบได้กับคำว่า tootsie fag queer หรือ homo ซึ่งเป็นคำเรียกเหยียดเพศในภาษาอังกฤษ

"คุณไม่ต้องลงกับพวกผมก็ได้นะ ฆาบี้"

เจจอดรถที่นอกรั้วบ้านของปู่เขาในซอยแห่งหนึ่งในย่านวัดเกต เขาส่งกุญแจรถให้ฆาเบียร์

"คุณไปนั่งเล่นร้านกาแฟอะไรก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมโทรหา"

เจตัดสินใจลงไปเผชิญหน้ากับอาสะใภ้ แต่เขาไม่อยากให้คนรักของเขาต้องไปเจอกับสถานการณ์ชวนอึดอัดเหมือนกับเขา

"เดี๋ยวก่อน เจ ฉันจะไปกับนายด้วย"

ฆาเบียร์ดึงมือคนรักไว้และส่งกุญแจรถคืนให้

"คุณไม่ต้องไปเจอแบบนั้นกับผมก็ได้ ฆาบี้ รับรองว่าอาพิมเขาซักคุณเละแน่ๆ ผมไม่อยากให้คุณต้องลำบากใจ ไอ้ตัวผมน่ะชินแล้ว"

สิ่งที่เจทำมาตลอดคือทำหน้าเป็นและหัวเราะแหะๆ ตอบรับสิ่งที่พิมพูดด้วยการทำตลกและเสไปเรื่องอื่น ในปีนี้เขาก็คงทำเหมือนเดิมเพื่อเลี่ยงการปะทะ หากฆาเบียร์ลงรถมายืนเคียงข้างคนรัก เขาจับมือเจกระชับแน่น เจนยุทธหันไปสบตากับเมียตัวโตของเขาและยิ้มให้



"แม่กับอิ่มเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวเจค่อยตามมาก็ได้"

ฟองนวลลูบหัวลูกชายเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในบริเวณบ้าน อิ่มตบไหล่น้องชายแล้วเดินตามแม่เข้าไป

"ฟังฉันนะ เจ"

ฆาเบียร์กุมมือที่สั่นน้อยๆ ของคนรักไว้และยกมันขึ้นจูบแผ่วๆ

"ฉันเข้าใจสิ่งที่นายต้องเจอดี และฉันอยากให้นายรู้ว่าฉันจะคอยอยู่ข้างๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้ และนายไม่ต้องห่วงฉันมากหรอก ฉันไม่ได้อ่อนไหวขนาดเจออะไรแบบนี้ไม่ได้"

เจพยักหน้าตอบรับ

"อีกอย่าง ฉันไม่อยากให้เจไปให้ค่ากับคำพูดคนแบบนี้มากนัก คนที่เขาจ้องจะจับผิดหรือข่มเราแบบนี้ ไม่ว่าเราจะทำตัวดีแค่ไหน หรือยกระดับตัวเองขึ้นสูงได้แค่ไหน เขาก็ไม่มีทางมองเราว่าดี มีแต่จะคอยหาเรื่องอื่นมาว่าต่อ ยิ่งเราแสดงออกว่าเจ็บปวดหรือสะเทือนใจไปกับคำพูดของเขา เขายิ่งพอใจหรือสะใจ ฉะนั้นแทนที่เจจะคิดมากหรือเจ็บแค้นเพราะคำพูดของเขา ให้คิดเสียว่ามันเป็นเหมือนลมผ่านหู อย่าให้มันทำร้ายนายได้นะ เจนยุทธ"

เจบีบมือฆาเบียร์แน่น เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมวาวที่จ้องกลับมาหา ความรู้สึกที่เมียตัวโตของเขาส่งผ่านมาทางสายตาทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรในเมื่อกำลังใจของเขาอยู่ตรงนี้แล้ว และตอนนี้เขาต้องเข้าไปเพื่อเป็นกำลังใจให้แม่และพี่สาวต่อ

"งั้น เข้าไปกันเถอะ เออ ฆาบี้ ผมขออย่างนึงนะ..."

เจพูดเบาๆ ที่ข้างหูคนตัวโตของเขา ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ และพยักหน้ารับ เขาจะทำตามที่เจต้องการ



“เจมาแล้วค้าบ มีอะไรให้ผมกินมั่ง?”

เจยิ้มแป้นและยกมือสวัสดีทุกคนที่เขาเห็นในห้องโถงกว้างของบ้านตึกทรงโคโลเนียลขนาดใหญ่ บรรดาญาติพี่น้องกว่าสิบคนของพ่อเขารวมตัวกันอยู่ที่ห้องซึ่งมีทั้งโต๊ะกินข้าวและชุดรับแขก คนเหล่านั้นส่งเสียงทักทายเจนยุทธกันเซ็งแซ่

“ไง เจ มาถึงก็ถามหาของกินเลยนะ เสียใจด้วย เขาเก็บสำรับแล้ว มาช้าเองนะเรา”

“กว่าจะมานะ ไอ้ตัวดี อานึกว่าเราจะไม่มาแล้ว”

"ไม่ได้เจอตั้งนาน หน้าใสเหมือนเดิมนะไอ้แสบ...แล้วนั่นใครน่ะ?"


เจยกมือไหว้ทุกคนที่ทักทายเขาอีกรอบ ฆาเบียร์ยืนดูคนรักเขาทักทายญาติพี่น้องอยู่ห่างๆ เขายกมือไหว้ญาติๆ ของเจที่เขาเคยเห็นหน้าจากในกาด และเดินเข้าไปร่วมวงเมื่อคนรักกวักมือเรียก

"เอ่อ นี่ฆาเบียร์ครับ เขาเป็น เอ่อ..."

เจหน้าแดงซ่านด้วยความขวยเขิน เขาใช้ภาษาอังกฤษแนะนำคนรักของเขา

"Phom pen fan Jay krab"

เจอ้าปากค้างและหันไปทำตาปริบๆ ให้คนที่พูดภาษาไทยออกมาหน้าตาเฉย ถึงมันจะไม่ได้ชัดมากแต่ก็เข้าใจได้ เจหันซ้ายหันขวาไปเจอหน้าพี่สาวที่ทำหน้ายิ้มกริ่มยกหัวแม่มือให้ฆาบี้ เขาส่ายหัวน้อยๆ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพ่อตัวดีไปเรียนประโยคนี้มาจากไหน

"ครับ แฟนผมเองครับ พวกอากับพี่ๆ ก็เคยเจอแล้วเนาะ"

เจหันไปพูดกับญาติๆ ในกาดของเขา ซึ่งก็ยกไม้ยกมือทักทายกับฆาเบียร์อย่างสนิทสนม เมียตัวโตของเจยกมือไหว้และแนะนำตัวกับเหล่าญาติผู้ใหญ่ของคนรักที่เขายังไม่เคยเจอ และสัมผัสมือแบบตะวันตกกับญาติรุ่นราวคราวเดียวกับเจ



"แหมๆๆ ไม่เจอหน้ากันแค่ปีเดียว เปลี่ยนจากเพลย์บอยไปมีผัวซะแล้ว หลานฉัน เลิกแอ๊บซะทีสินะ"

เสียงพูดกลั้วหัวเราะดังขึ้นจากทางด้านหลัง มันทำให้เจหน้าตึงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ที่แย่คือเสียงนั้นพูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ฆาเบียร์เองก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยแต่เขาก็รีบระงับอารมณ์ไว้และรีบส่งมือไปกุมมือเจไว้ เจนยุทธหลับตานับหนึ่งถึงสิบในใจแล้วหันหน้าไปยิ้มละไมให้กับญาติที่เขาไม่อยากเจอคนนั้น

"อาพิม อาทรัพย์ สวัสดีครับ สบายดีหรือเปล่าครับ?"

อาสะใภ้ของเจนยุทธรับไหว้ เจหันไปสวัสดีอาทรัพย์ ลูกพี่ลูกน้องของพ่อเขาที่นั่งทำหน้าไม่สู้ดีอยู่ข้างๆ ถึงเขาจะทำงานตำแหน่งใหญ่โต แต่พออยู่ที่บ้านพิมคือผู้กุมอำนาจสูงสุด ถึงเขาจะไม่พอใจนักกับสิ่งที่ภรรยาพูด เขาก็ไม่กล้าขัดอะไร ได้แต่ส่งสายตาแสดงความเห็นใจไปให้หลานชาย พิมยิ้มน้อยๆ และพูดกับหลานของสามีด้วยน้ำเสียงอยากรู้จนออกหน้าออกตา

"อืมม์ ก็สบายดี ไหน พาแฟนมาแนะนำให้อารู้จักหน่อยซิ"

เจดึงคนรักให้มาแนะนำตัวกับอาและอาสะใภ้ของเขา ฆาเบียร์ส่งยิ้มธุรกิจของเขาให้อาของคนรัก เขายกมือไหว้และแจ้งชื่อเสียงเรียงนามไป พร้อมกับบอกเสร็จสรรพว่ามาจากไหน

"อ๋อ มาจากสหรัฐฯ แล้วไปเจอกันได้ยังไงล่ะเจ นี่ไม่ใช่ว่าไปเจอกันในเน็ตอะไรงี้นะ? เห็นสมัยนี้เห็นเค้านิยมหาคู่กันแบบนี้นี่?"

"ไม่ใช่ครับ ผมเป็นเพื่อนของเพื่อนเจอีกที เรารู้จักกันที่ไทยตอนผมมาเที่ยวหาเพื่อนครับ"

คนตัวโตของเจตอบคำถามอย่างใจเย็น เขากับเจนยุทธลงนั่งที่โต๊ะกินข้าวรวมกับญาติๆ ที่ต่างก็รอฟังพิมสัมภาษณ์ฆาเบียร์ ต่อให้หลายคนเคยเจอฆาเบียร์แล้วแต่ก็ยังไม่เคยรู้จักที่มาที่ไปของคนรักของเจ เจปิดปากสนิทและปล่อยให้คนรักตอบคำถาม พิมยิงคำถามถี่ยิบทั้งเรื่องอายุ การศึกษา หน้าที่การงาน ที่มาที่ไป แล้วยังละลาบละล้วงถามเรื่องส่วนตัวของฆาเบียร์กับเจอย่างคบหากันได้อย่างไร คบกันนานหรือยัง และอื่นๆ คนตัวโตของเจก็ปั้นหน้ายิ้มตอบคำถามอย่างอดทน



"ผมทำกิจการครอบครัวครับ พ่อบุญธรรมของผมเป็นคนฮ่องกง ตอนนี้ผมเลยมาช่วยงานท่านที่นั่น ก็เลยดีหน่อยที่ว่าสามารถมาหาเจได้บ่อยๆ"

ฆาเบียร์ทำในสิ่งที่เจต้องการให้ทำ คือไม่เปิดเผยเรื่องหน้าที่การงานที่แท้จริงของตัวเอง เจยังไม่อยากให้พวกญาติๆ ของเขาได้รู้ว่าเมียตัวโตของเขาเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ที่มีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ เขาอยากให้ทุกคนได้รู้จักฆาเบียร์ในฐานะ "ฆาบี้ มาร์ติเนซ" หนุ่มต่างชาติธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนของเขา โดยไม่มีหัวโขนทางธุรกิจมาเป็นตัวกั้นกลาง

"เอ่อ เป็นธุรกิจออนไลน์ครับ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวการโรงแรมอะไรพวกนั้น"

คนตัวโตตอบเมื่อถูกพิมถามเจาะลึกเกี่ยวกับงานของเขา

"อ๋อ งั้นก็ดีสิ เจมันจะได้ใช้วิชาที่มันเรียนมาไปช่วยคุณได้บ้าง ดีนะเจ อานึกว่าเราจะเรียนมาเสียเปล่าซะแล้ว เห็นลอยไปลอยมา ว่างเสียเหลือเกินนี่"

เจหันไปยิ้มหวานจ๋อยให้อาสะใภ้ หากฆาเบียร์ที่อยู่ใกล้กว่าสังเกตเห็นไฟในตาของคนรัก เขาแตะเบาๆ ที่ขาของเจเพื่อเป็นการปรามและชิงตอบเสียเอง

"ครับ ทุกวันนี้เจก็ช่วยผมอยู่บ้าง ช่วยจากที่เชียงใหม่นี่แหละครับ ทำออนไลน์ แต่ผมไม่ได้ให้ช่วยฟรีนะครับ มีเงินเดือนให้เขาด้วย"

"อ๋อ ดี ให้มันได้ใช้เรื่องที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์บ้าง ฟองนวลเขาจะได้ไม่ต้องเสียเงินที่ส่งมันไปเรียนเป็นแสนๆ ไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ฉันเห็นแล้วก็เสียดายแทนนะ จบมาก็ไม่ได้ใช้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน"

"ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ พิม ฉันไม่เคยคิดว่าเงินที่ส่งลูกเรียนมันเสียเปล่าเลยนะ ต่อให้ไม่ได้ทำงานสาขานั้น แต่ลูกได้วิชาติดตัว ฉันก็พอใจแล้ว ไม่ได้มองเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเงินทองอะไรเลย ขอบใจที่เป็นห่วงแทนฉันนะจ๊ะ"

แม่ของเจพูดแทรกขึ้นมาเรียบๆ เป็นภาษาไทย เจกระซิบแปลให้คนรักฟังเบาๆ ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ แม่ของคนรักของเขาพูดนิ่งๆ แต่แทรกความหมายว่า "ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมายุ่ง" อย่างชัดเจน พิมได้แต่หัวเราะเบาๆ และเสไปคุยเรื่องอื่น



"แล้วเราล่ะ อิ่มใจ น้องชายเธอมีผู้ชายแซงหน้าเธอไปแล้วนะ เมื่อไหร่จะแต่งงานแต่งการเสียทีล่ะ อยากขึ้นคานเป็นสาวทึนทึกเหรอ? "

พิมเปลี่ยนมาคุยภาษาไทยโดยพุ่งเป้าไปหาอิ่มใจแทน อิ่มหัวเราะน้อยๆ

"โอ๊ย ปล่อยเจมันแซงไปเถอะค่ะ หนูยังหวงความโสดอยู่ อยู่แบบนี้ก็สบายใจดี ไม่ต้องมีลูกผัวกวนใจ อยากไปไหนก็ไป ทำอะไรก็ทำ เงินทองก็ใช้กระเป๋าเดียวไม่ต้องเจียดไปลงกับอย่างอื่น"

"อืมม์ คิดแบบนี้ได้ก็ดี อาก็แค่กลัวว่าที่เราไม่แต่งงานก็เพราะไม่มีคนมาจีบ จะได้แนะนำคนให้ เพื่อนของเบนกับบีก็ยังมีเหลือที่โสดๆ อยู่บ้าง สนใจไหม?"


อิ่มคอแข็ง เจเม้มปากแน่นและหันไปกระซิบแปลให้ฆาเบียร์ฟัง คนตัวโตถึงกับอึ้งไปกับสิ่งที่พิมพูดออกมา

"แล้วจืดล่ะ ปีนี้ไม่มาอีกแล้วเหรอ? รวมญาติทั้งทีไม่คิดจะมาเลยหรือไง"

พิมบ่นพี่ชายของเจที่ต้องไปบ้านของแฟนที่เชียงราย เขาและครอบครัวออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำทุกปี เจแอบเบ้ปาก ทีครอบครัวของพี่เบนและพี่บี ลูกคนโตและคนรองของอาพิมเองก็แทบไม่มารวมญาติกับพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครเคยเอามาเป็นประเด็น



"อ่า อาพิมครับ แล้วปีนี้พี่บูมไม่มาเหรอครับ"

เจรีบเปลี่ยนเรื่องและถามถึงญาติผู้พี่ของเขาซึ่งปกติต้องตามแม่มาทุกปี

"อ๋อ ตอนนี้ตาบูมเขาย้ายไปทำที่สำนักงานที่ฮ่องกงน่ะ มันเป็นสาขาหลักของบริษัทเขาที่เอเชียเลยนะ ไม่ค่อยมีคนไทยได้ไปนั่งที่นั่นเท่าไหร่ แต่ตาบูมเขาเก่ง ทางสำนักงานใหญ่เลยเรียกตัวไป ตำแหน่งขึ้นไวสุดๆ อาก็ดีใจ๊ดีใจ นี่เงินเดือนขึ้นอีกแล้วนะ แถมเขายังมีอพาร์ทเมนท์ไฮโซให้อยู่ มีรถเบนซ์พร้อมคนขับให้ด้วยนะ..."

พิมร่ายยาวเป็นภาษาอังกฤษอวดความดีงามของหน้าที่การงานของลูกชายเพื่อให้ฆาเบียร์ฟังเข้าใจ เจซ่อนยิ้ม การพูดถึงลูกชายคนโปรดของอาพิมคืออีกหนึ่งเทคนิคที่เขาใช้ประจำตอนที่เขาไม่อยากจะถูกอาสะใภ้แซะอีก เขาเอ่ยปากอวยญาติผู้พี่ของเขาเป็นระยะๆ ทำให้พิมหน้าบานด้วยความภูมิใจ

"วันนี้ไฟลท์ของบูมเขาพึ่งมาถึงเชียงใหม่เมื่อตอนสิบโมงกว่า เห็นว่าจะเข้าโรงแรมไปงีบก่อนแล้วบ่ายๆ จะเข้ามาที่บ้านวัดเกต เออ แฟนเจอยู่ฮ่องกงเหมือนกันก็ดีจะได้คุยกันรู้เรื่อง ไม่แน่ อาจจะได้ไปใช้บริการสำนักงานของบูมบ้าง แต่ เอ๊ะ อาจจะไม่ได้ใช้ก็ได้ เพราะเห็นเขาบอกอาว่าสำนักงานเขารับแต่เคสใหญ่ๆ พวกบริษัทข้ามชาติมูลค่าพันๆ ล้านอะไรพวกนั้น พวกยิบๆ ย่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ น่ะ เขาไม่รับ"

พิมพูดจ้อไม่หยุดปากเมื่อคุยถึงลูกชายสุดที่รักที่เป็นความภูมิใจของเธอ เจแอบหันไปสบตากับฆาเบียร์เป็นเชิงถาม แต่คนตัวโตของเขาส่ายหัวเบาๆ แล้วกระซิบบอกเจว่าเขาไม่เคยรู้จักที่ปรึกษาทางกฎหมายที่ชื่อบูม



"โอย กว่าจะหลุดมาได้"

เจลงนั่งเคียงข้างคนรักบนเก้าอี้ในครัวและพิงกายเข้ากับไหล่ของฆาเบียร์อย่างหมดพลัง แม่ของเขาช่วยพาพวกเขาออกมาจากอาพิมโดยบอกว่าพวกเธอยังไม่ได้ทักทายอากงเล็กของเจซึ่งเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุดเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ เจทำท่าจะเดินไปตักอาหารที่ใส่หม้อวางไว้บนเตามากินเพราะท้องน้อยๆ ของเขาเริ่มโอดครวญขึ้นมาอีกแล้ว แต่ผู้เป็นแม่ดึงเขาไว้

"เดี๋ยว เจ ไปหาอากงเล็กก่อนสิ"

เจทำท่าอ้อนแม่ของเขา แต่ผู้เป็นแม่ไม่ยอมใจอ่อน

"เจ ฉันนั่งรอในครัวแล้วกันนะ"

ฆาเบียร์พูด เขาบอกเจว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะแนะนำเขาในฐานะคนรักให้กับผู้สูงอายุรุ่นอากงของเจ คนตัวเล็กครุ่นคิดนิดหนึ่ง

"แล้วคุณโอเคไหมอ่ะ?"

เจถามเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"ไม่เป็นไรหรอกเจ ไม่ได้ซีเรียสอะไร ฉันเข้าใจจ้ะ ไม่ต้องคิดมากนะ เดี๋ยวฉันรอที่นี่แหละ"

"เดี๋ยวผมรีบไปรีบมานะ"

เจบอกคนรักของเขาและพากันขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านพร้อมกับอิ่มใจและแม่ พวกเขาเข้าไปหาอากงเล็กของเจซึ่งยังแข็งแรงแต่เดินเหินไม่ค่อยสะดวก จึงนั่งรอลูกหลานอยู่ในส่วนรับแขกของชั้นสองของบ้าน บ้านเจเตรียมส้มมาสี่ลูกใส่ในห่อผ้าเช็ดหน้ามาให้อากงเล็กตามธรรมเนียมจีน ผู้เฒ่าหยิบส้มออกสองลูกและเอาส้มสองลูกจากในตะกร้าที่วางไว้ข้างๆ ส่งคืนให้แทน พวกเจอยู่คุยสารทุกข์สุกดิบกับผู้เฒ่าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวกลับลงมา พวกเขากลับลงมาที่ครัวแล้วก็พบฆาเบียร์นั่งคุยอยู่กับญาติบ้านที่ขายของในกาด พวกเขาคุยกันอย่างถูกคอโดยดูได้จากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนตัวโต เจลงนั่งทำตาหวานฟังคนรักพูดคุยกับญาติของเขาอย่างอิ่มเอมใจ



"เอ้า เจ ส่งให้ฆาบี้เขาด้วย"

พี่สาวเขาส่งจานข้าวราดเนื้อเป็ดสับผัดกะเพรามาให้ทั้งสองคน ตัวเธอและแม่ก็นั่งลงกินพร้อมกันด้วย เจซัดเรียบหมดอย่างรวดเร็วด้วยความหิว

"โอย บ้านนี้ทำกับข้าวอร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย"

เจพูดออกมาหลังจากลุกไปตักข้าวราดกะเพราเป็ดมาอีกพูนจาน แถมยังตักต้มยำหมูสามชั้นมากินอีกถ้วยใหญ่ เขาหันไปทำหน้าเป็นให้กับญาติๆ เมื่อถูกทักเรื่องกินเยอะ บรรยากาศการพูดคุยระหว่างญาติพี่น้องผ่อนคลายลงมากเมื่อไม่มีอาพิมเข้าร่วมวง เขายิ้มเขินๆ เมื่อถูกแซวเรื่องฆาเบียร์ คนตัวโตนั่งยิ้ม พวกเจและญาติคุยกันเป็นภาษาไทย แม้จะรู้ว่าถูกพาดพิงเพราะได้ยินชื่อตัวเองในหลายๆ ครั้ง และถูกซักถามอะไรหลายๆ อย่าง แต่น้ำเสียงและเจตนาที่ส่งออกมานั้นเป็นคนละเรื่องกับที่พิมซักถามเขาเมื่อสักครู่ เขารู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีและความยินดีกับพวกเขาทั้งสองคน



"ขอบคุณนะครับ ฆาบี้ ที่ทนตอบคำถามเมื่อกี้"

เจซบหน้าเข้ากับไหล่ของฆาเบียร์เมื่อในครัวเหลือพวกเขาเพียงสองคน คนตัวโตหันไปจูบหน้าผากคนรักเบาๆ

"ดีนะ ที่ญาติทางเชียงใหม่ของเจดีๆ ทั้งนั้น ถ้าเจออย่าง Auntie Pim อีกสักสองคนหรือว่าต้องเจอกันบ่อยๆ ฉันคงทนไม่ได้แน่ๆ"

ฆาเบียร์สารภาพ เขาเองก็แทบจะปรี๊ดแตกไปกับคำถามและท่าทางที่ไร้มารยาทของอาสะใภ้ของคนรัก แต่ก็ต้องข่มเอาไว้ เจขอให้เขาอดทนและให้เขา charm หรือโปรยเสน่ห์ให้กับญาติๆ ทุกคนไว้ ฆาเบียร์จึงงัดมาหมดทั้งยิ้มธุรกิจ คำพูดหวานหู ความรอบรู้ในเรื่องราวต่างๆ และท่าทางนอบน้อมแต่มั่นใจแบบที่เขาใช้ตอนยังเป็นประชาสัมพันธ์มือทองของบริษัท แต่ที่ใส่เพิ่มเข้ามาคือความจริงใจแบบที่มีให้กับคนใกล้ชิด มันดูจะได้ผลดี หลังการแนะนำตัวและพูดคุยเมื่อสักครู่ ฆาเบียร์ก็กลายเป็นขวัญใจของทุกคนไปอย่างรวดเร็ว

"ผมภูมิใจในตัวคุณนะครับ เมีย"

เจนยุทธจุ๊บเร็วๆ ที่แก้มของคนรัก แต่พวกเขาต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงแก้วตก เจหน้าซีดเมื่อหันไปเจอพิมกับทรัพย์ยืนอยู่ที่ประตูครัว

"ตายๆ เจ ทำบัดสีบัดเถลิงแบบนี้ที่บ้านอากงได้ยังไง โอ๊ย รับไม่ได้ๆ ขนลุก ไปกันเถอะคุณ ยังไงฉันก็รับพวกตุ๊ดพวกแต๋วแบบนี้ไม่ได้ "


พิมทำท่าเหมือนจะอาเจียน เธอดึงสามีให้รีบออกไปจากครัว เจลุกพรวดขึ้นพร้อมใบหน้าบึ้งตึง

"เจนยุทธ!"

ฆาเบียร์ตวาดเบาๆ พร้อมกับฉุดมือเจไว้ เขาส่ายหัวให้คนรัก ถึงเขาจะไม่เข้าใจว่าพิมพูดว่าอะไร แต่เขาพอจะจับน้ำเสียงออกและจำประโยคท้ายที่อิ่มเคยแปลให้ฟังได้ เจเม้มปากแน่นและกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้



"เจ ไม่เป็นอะไรนะ?"

ฆาเบียร์ถามคนรักที่เบือนหน้าหนีไปจากเขา เจส่ายหัวแต่ไม่ปริปากพูดอะไร คนตัวโตดึงเจให้หันกลับมาหาเขา ฆาเบียร์สะท้อนใจเมื่อเห็นใบหน้าน้อยๆ ของคนรักบิดเบี้ยวเพราะพยายามกลั้นน้ำตา เขาดึงร่างเจเข้ามากอดแนบอก เจปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ ฆาเบียร์ปล่อยให้เจนยุทธระเบิดอารมณ์ออกมาให้เต็มที่ เขาลูบหลังเพื่อปลอบประโลมคนรักของเขา

"ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วไอ้คำพูดแบบนั้นอีก แม่งเอ๊ย!..."

เจคร่ำครวญออกมาอีกหลายอย่าง ฆาเบียร์ดันร่างคนตัวเล็กออก เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

"เจ ฉันจะขอถามเจหน่อย เจอแบบนี้แล้ว นายนึกเสียใจหรือเปล่าที่มารักฉัน เสียใจไหมที่ต้องโดนเรียก โดนตราหน้าด้วยคำแบบนี้?"

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจนยุทธส่ายหัวทันควัน เขากอดร่างใหญ่กำยำของคนรักไว้

"ผมไม่ได้เสียใจที่ถูกเรียกว่าเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว ถ้าคนอื่นมาเรียกผมแบบนี้ หรือกระทั่งใช้คำแรงๆ อย่าง fag หรือ queer ก็เหอะ ผมก็คงช่างแม่มมันไป อาจจะมีด่าสวนไปบ้าง แต่ที่ผมเสียใจก็เพราะว่านี่คือคนที่เป็นญาติกัน ทำไมเขาถึงไม่คอยให้กำลังใจหรือว่าพยายามทำความเข้าใจกันเลย ผมทำอะไรผิดถึงต้องถูกทำร้ายแบบนั้น และที่ผมเสียใจคือผมทำให้คุณต้องมาเจออะไรแบบนี้ดัวยน่ะ ฆาบี้"



ฆาเบียร์ลูบหัวคนรัก เขาถอนหายใจเบาๆ เขาอึดอัดใจเช่นกันเมื่อเห็นท่าทางรังเกียจของพิม ไม่ใช่ว่าตอนอยู่สหรัฐฯ เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่จากญาติพี่น้องหรือคนที่สนิทกัน หากฆาเบียร์เลือกที่จะทิ้งความรู้สึกนั้นไปเพราะเห็นแก่เจ

"เจนยุทธ นายไม่ต้องห่วงฉันนะ แค่นี้ ฉันรับได้ ขอแค่ครอบครัวของนายอย่างแม่ฟอง อิ่ม จืดเขารับฉันได้ ฉันก็พอใจแล้ว เข้าใจไหม? อีกอย่าง วันนี้วันตรุษจีน นายอย่าร้องไห้ให้เสียฤกษ์เลย ยิ้มให้ฉันดีกว่านะเจ ขอฉันดูยิ้มสวยๆ ของนายหน่อย"

เจหันมายิ้มทั้งน้ำตาให้คนตัวโตของเขา เขาพยักหน้าและขยับจะจุ๊บคนรักอีกครั้ง แต่ฆาเบียร์ยกมือกันไว้

"หยุดเลย เจนยุทธ ที่อาพิมเขาพูดก็ถูกอย่างหนึ่ง..."

เมื่อครู่เจได้แปลให้เขาฟังด้วยเสียงอันสั่นเครือว่าอาของเขาได้ตำหนิเขาว่าอย่างไรบ้าง​​

"...เราต้องเคารพสถานที่กันหน่อย ฉะนั้นรอกลับบ้านก่อนแล้วค่อยแสดงความรักกันนะจ๊ะ ถึงตอนนั้นนายจะเต็มที่แค่ไหนก็ตามสบายเลย"

คนตัวโตส่งสายตาฉ่ำเยิ้มมาให้คนรัก เขาจุ๊บแผ่วๆ ที่ปลายนิ้วแล้วแตะไล้มันเข้าที่ริมฝีปากของเจอย่างยั่วเย้า เจแลบลิ้นให้พ่อคนขี้ยั่วของเขา

"ยั่วเข้าไปเถอะ ฆาบี้ รับรองว่าถึงบ้านแล้วคุณโดนจัดหนักแน่"

เจกระซิบเบาๆ ที่หูคนรัก พร้อมกับเป่าลมหายใจแผ่วๆ ใส่ซอกคอเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์ยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นเจนยุทธดูอารมณ์ดีขึ้นแล้ว

"สบายใจขึ้นหรือยังจ๊ะ mi amor?"

"อือ โอเคละ คุณล่ะ?"

"ฉันสบายๆ น่า เราออกไปข้างนอกกันเถอะ ไปคุยกับคนอื่นกัน ส่วนอาพิมก็ช่างเขาไป จำไว้นะเจ เขาจะพูดอะไร ก็ปล่อยเขาพูดไป เราเจอหน้าเขาแค่ไม่กี่วัน เดี๋ยวเขาก็ไปแล้ว อย่าปล่อยให้เขามาอยู่ในหัวเราได้"

ฆาเบียร์บีบมือเรียวของเจนยุทธ เจบีบกลับ เขาลุกขึ้นและรั้งคนตัวโตให้ลุกขึ้นตาม เจยกมือใหญ่นั้นขึ้นมาจูบเบาๆ และนำมาแตะแนบอกก่อนที่จะปล่อยไป ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักและพากันเดินออกนอกห้องครัวไป



-------------------------------------


ว่างๆ หาเรื่องหนักหัวให้สองคนนี้เล่นแล้วกันนะคะ อยู่กันสองคนหวานกันจนเบาหวานจะขึ้นคนเขียนแล้ว วันนี้เล่นเรื่องเหล่าวงศาคณาญาติของเจหน่อย แต่ละครอบครัวก็คงจะมีญาติที่ไม่ค่อยจะอยากเจอเท่าไหร่ อาจจะมาในหลายรูปแบบ แต่รูปแบบหนึ่งที่น่าเบื่อที่สุดคือพวกชอบเปรียบเทียบค่ะ ถ้าเป็นญาติห่างๆ ก็ดีไป แต่ถ้าเจอใกล้ๆ ตัวนี่เรียกได้ว่าน่าเบื่อมากค่ะ สิ่งที่ทำได้คืออย่าเก็บเอาคำพูดเขาเข้ามาทำให้เราเสียใจค่ะ



ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
น่าหงุดหงิดนะ ญาติแบบนี้
บูมโผล่มา อาจกลายเป็นลูกน้องฆาเบียร์ให้อาพิมหน้าแหกก็ได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ความลับ ----




เจและครอบครัวใช้เวลายามบ่ายสังสรรค์กับบรรดาญาติๆ นอกจากญาติสนิทสายอากงเล็กแล้ว เจยังได้พบปะกับญาติพี่น้องสายอื่นๆ ที่แวะเวียนมาสวัสดีปีใหม่จีนอากงเล็กของเขาด้วย เจไม่ได้แนะนำฆาเบียร์แก่ญาติเหล่านั้นเว้นแต่คนที่สนิทชิดเชื้อกับบ้านเขาจริงๆ เมื่อมีคนแวะเวียนมามากขึ้น อาพิมก็ง่วนรับแขกและไม่มายุ่งวุ่นวายกับเจอีก

“เจ มานี่หน่อยซิ เรียกแฟนเรามาด้วย”


เจหันไปตามเสียงเรียกก็เจอลูกพี่ลูกน้องคนเล็กสุดของพ่อเขายืนกวักมือเรียกเขาอยู่ เจสะกิดคนตัวโตที่นั่งคุยกับแม่และอิ่มให้ลุกเดินตามมา

“ครับ อาทรัพย์?”

อาของเขาดึงพวกเขาเข้าไปคุยกันในครัว เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ฆาเบียร์เข้าใจด้วย

“เจ ฆาเบียร์ อาต้องขอโทษแทนอาพิมเขาจริงๆ นะ วันนี้เขาพูดแรงจริงๆ อาได้ยินแล้วไม่สบายใจเลย”

สามีของพิมถอนหายใจยาว เขารู้สึกเห็นใจหลานชายคนนี้ที่ต้องโดนภรรยาของเขาพูดจากระทบกระเทียบใส่ทุกปี แต่ในปีนี้พิมพูดแรงเสียจนเขาคิดว่าคงต้องมาขอโทษเจด้วยตัวเอง

“ไม่เป็นไรครับอา ผม...เฮ้อ...”

เจระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

“...ผมชินแล้วล่ะครับ”

ยิ่งเจพูดแบบนั้นทรัพย์ยิ่งรู้สึกผิด แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะขัดใจเมียมากนัก

“เราอาจจะว่าเราชินแล้ว แต่แฟนเราล่ะ มาบ้านปีแรกก็ต้องเจอแบบนี้ ผมต้องขอโทษคุณจริงๆ นะครับ “

ฆาเบียร์สะดุ้งและรีบค้อมหัวรับเมื่อเห็นชายวัยคราวพ่อก้มหัวขอโทษเขา

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ถือสาอะไร แต่ Aunt Pim เขาก็พูดแรงจริงๆ ครับ ผมเองก็สงสารเจ ขนาดเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกก็ยังสงสารเลย พอมานึกว่าเขาโดนแบบนี้มาตลอด...โอ๊ย”

ฆาเบียร์ร้องขึ้นเบาๆ เมื่อเจแอบหยิกสีข้างเขา

"ฆาบี้ พอแล้วน่า ไม่ต้องพูดแล้ว"

เจส่ายหัวให้กับพ่อคนพูดตรงที่พูดเหน็บญาติผู้ใหญ่ของเขา แต่ฆาเบียร์ตัดสินใจถามสิ่งที่อยู่ลึกๆ ในใจเขา



“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”

เจหันขวับมามองเมียตัวโตของเขา ฟังน้ำเสียงแล้วฆาเบียร์ต้องถามอะไรไม่เข้าท่าแน่ๆ

“...ทำไมอาพิมเขาถึงได้คอยกระแนะกระแหนบ้านของเจครับ? จะว่าเป็นเพราะนิสัยชอบเปรียบเทียบหรือชอบแข่งขันก็ไม่น่าใช่ เพราะผมไม่เห็นเขาจะทำแบบนั้นกับคนอื่นๆ เลย”

“เห้ย ฆาบี้ ถามอะไรบ้าๆ แบบนั้น เกรงใจผู้ใหญ่มั่งสิ อาครับ ผมขอโทษจริงๆ ฆาบี้เขาเป็นฝรั่ง ไม่รู้จักสัมมาคารวะ...”

เจผลักไหล่กว้างของฆาเบียร์และเอ็ดคนรักชาวต่างชาติของตัวเองลั่น เขาหันไปขอโทษขอโพยลูกพี่ลูกน้องของพ่อที่นั่งอึ้งเพราะคำถามนั้น

“…พอแล้วคุณ ไปๆ ออกไปอยู่กับแม่เลย เดี๋ยวผมจะคิดบัญชีกับคุณทีหลัง”

เจโบกมือไล่เมียตัวโตเขาให้ออกไปจากครัว แต่ทรัพย์ยกมือห้ามไว้

“ไม่เป็นไร เจ ฆาเบียร์ถามขึ้นมาก็ดี...”

อดีตข้าราชการระดับสูงผู้กลัวเมียถอนหายใจออกมา

“พิมเขามีประเด็นกับอาเรื่องฟองนวลน่ะ”

เจกับฆาเบียร์หันขวับมามองหน้ากัน แล้วหันไปจ้องหน้าผู้อาวุโสกว่า ทรัพย์เล่าต่อ

“คือฉันกับพิมคบหากันตั้งแต่สมัยอยู่มช. พวกเธอก็รู้ใช่ไหม?”

สองหนุ่มพยักหน้า

“แต่เธอรู้ไหมว่าตอนแรกฉันไม่ได้จะจีบพิม ฉันตั้งใจจะจีบแม่ฟองเค้า”

“หา?!”

เจอุทานออกมาลั่นแล้วก็ต้องตะครุบปากตัวเองเมื่อทรัพย์จุ๊ปากให้เงียบ ชายอาวุโสมองซ้ายมองขวาดูว่าไม่มีใครมาได้ยินแน่ เขาลดเสียงลงแล้วเล่าต่อ



“ยุคนั้นหนุ่มสาวเขาไม่ได้จีบกันโต้งๆ หรือพบปะกันง่ายเหมือนสมัยนี้หรอก ฉันกับพวกเพื่อนๆ ร่วมคณะก็ใช้วิธีไปส่องสาวตามโรงอาหารคณะนั้นนี้ คณะมนุษย์ฯ บ้าง คณะศึกษาฯ บ้าง ก๊วนพิมเขาก็มีสาวๆ อยู่หลายคน แต่ที่ฉันถูกตาถูกใจตั้งแต่แรกเห็นก็คือฟองนวลนี่แหละ”

ทรัพย์มองหน้าเจนยุทธ หลานของเขาคนนี้ได้หน้าตาของแม่มาเกือบหมด ฟองนวลตอนสาวๆ ก็มีดวงตากลมใส แก้มป่องน้อยๆ และปากรูปกระจับแดงระเรื่อโดยไม่ต้องแต่งแต้มสีเหมือนกันเจ และนี่อาจจะเป็นสาเหตุให้เจโดนพิมเขม่นหนักที่สุด

“ในตอนนั้นฉันก็ไม่กล้าเข้าไปคุยไปอะไรกับเขาตรงๆ หรอก พวกหนุ่มๆ เราก็ใช้วิธีไปคุยกับทั้งกลุ่ม ซื้อขนมไปฝากบ้าง เลี้ยงน้ำบ้าง...”

ทรัพย์มักเอาขนมหรือของไปฝากไว้กับสาวน้อยที่กล้าคุยกับหนุ่มๆ ที่สุดอย่างพิม โดยบอกว่าฝากไว้ให้ทั้งกลุ่ม แต่นั่นกลับทำให้พิมเข้าใจผิด เธอเข้าใจไปว่าหนุ่มเชื้อสายจีนหน้าตาดีคนนี้มาติดพันเธอโดยใช้เพื่อนๆ มาอ้าง เธอเริ่มมีทีท่าเขินอายเมื่อเจอกับเขา ตัวทรัพย์เองเมื่อได้เริ่มพูดคุยกับสาวน้อยที่ร่าเริงอย่างพิมก็เกิดถูกคอ และกลับติดเนื้อต้องใจเธอมากกว่าฟองนวลที่มีนิสัยเรียบร้อย

“ก็ตามนั้น อาก็เลยเริ่มคบหากับพิมเพราะชอบนิสัยใจคอของเขา ยิ่งคุยยิ่งถูกใจ ส่วนฟองเขาเงียบเรียบร้อยเกินไปสำหรับอา สุดท้ายอาก็เลยขอพิมเป็นแฟน ซึ่งก็เป็นเพราะอาชอบเขาจริงๆ ไม่ใช่ว่าแม่เจเขาไม่สนอาแล้วถึงไปคว้าพิมแทน แต่ทีนี้มันมีเหตุให้พิมเขาเข้าใจผิดสิ”

เจกับฆาบี้นั่งทำตาโตรอฟังอย่างตื่นเต้น พวกเขาทำเป็นคุยกันเรื่องอื่นเมื่อมีญาติคนอื่นเดินเข้ามาเอาของกินในครัว โชคดีที่พิมยังติดพันอยู่ในวงไพ่และไม่ได้ตามหาสามี ทรัพย์จึงยังมีเวลากับหลานชายอีกหน่อย



"ต่อเลยครับอา ให้ไว"

เจเร่งอย่างลืมตัวเมื่อในครัวไม่มีคนอื่นอีก ทรัพย์หัวเราะ แล้วตบหัวหลานชายที่เขายังมองเป็นเด็กอยู่เบาๆ

"ตอนแรกๆ พิมเขาก็ไม่ได้อะไรกับแม่เจหรอ เขามีแอบเทียบกันบ้าง แข่งกันบ้างตามนิสัยเขานั่นแหละ เขาเป็นพวกชอบเอาชนะมาตั้งแต่สาวๆ แล้ว แม่เราคงเคยเล่าให้ฟังบ้างแล้วใช่ไหม?"

เจพยักหน้า

"แต่หลังอาแต่งงานได้ซักสิบ เอ สิบห้าปีมั้ง หลังบูมเกิดได้ไม่กี่ปี มันก็มีเหตุ ตอนนั้นพวกอามาเที่ยวเชียงใหม่กัน แล้วก็นัดไอ้พวกก๊วนเพื่อนๆ สมัยเรียนของอานั่นแหละมากินเหล้าที่บ้าน"

เพื่อนๆ ของทรัพย์หลายคนยังทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ พวกเขานัดสังสรรค์กันที่เรือนเล็กของทรัพย์ในเขตบ้านวัดเกต หลังจากเหล้าหมดไปหลายขวด หนุ่มๆ ในวงก็เมาจนพูดอ้อแอ้กันแล้ว พิมที่ทำหน้าที่คอยจัดหากับแกล้มให้สามีและเพื่อนๆ ก็เดินมาถามรอบสุดท้ายว่าพวกเขาต้องการอะไรเพิ่มอีกไหม

"พิมเขาก็มาถามว่าจะเอาอะไรเพิ่มมั่ง พอว่าไม่อยากได้อะไรแล้วเขาก็เลยมานั่งคุยด้วยต่อ คือพิมเขาเป็นคนช่างพูดช่างคุยอย่างที่เห็น เขาก็เลยสนิทกับพวกเพื่อนอาทุกคนตั้งแต่สมัยเรียนละ คุยกันไปคุยกันมา ทีนี้ไอ้เมฆ ไอ้หอกเมฆ มันก็ดั๊นหลุดปากแซวอาออกมา"

"มึงนี่โชคดีนะไอ้ทรัพย์ ได้น้องพิมเป็นแฟนเนี่ย กูอุตส่าห์เล็งไว้แท้ๆ ไอ้ห่ะนี่ ตอนแรกปากบอกพวกกูว่าสนใจน้องฟองนวล ไปๆ มาๆ เสือกมาคว้าน้องพิมขวัญใจกูไปแดกจนได้"

"ชิ-หายเลย"

​เจหลุดปากสบถออกมาเบาๆ แล้วรีบเอามือตะครุบปากตัวเองไว้ ทรัพย์หัวเราะเบาๆ

"เออ ชิ-หายเลยสิ เจเอ๊ย อานี่ชาวาบไปทั้งตัว หายเมาเป็นปลิดทิ้ง..."

รองอธิบดีผู้ทั้งรักทั้งกลัวเมียพูดเสียงอ่อยๆ เจหัวเราะหึๆ เขาเห็นฤทธิ์อาพิมของเขาหลายรอบแล้ว



"ระเบิดลงวงแตกบึ้มเลยป่าวครับอา?"

ทรัพย์ส่ายหัว

"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ แต่นี่เขาเงียบ ไม่พูดสักคำ ได้แต่ยิ้มเย็นๆ ให้แล้วขอตัวลุกเข้าบ้านไป อานี่แหละที่ระเบิดลงใส่วงเหล้าแทน ไอ้เมฆมันยังขอโทษอาจนถึงทุกวันนี้เลยนะ"

พิมไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองใดๆ สามีเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขากลับเข้าไปในบ้าน เธอก็แย้มยิ้มพูดคุยด้วยเป็นปกติ เขาพยายามอธิบายให้เธอฟังว่าเขาไม่เคยมองเธอว่าเป็นตัวแทนของฟองนวล หากเธอบอกว่าเธอไม่ได้คิดติดใจอะไร และให้เขาไม่ต้องพูดถึงมันอีก

"โอย พูดแบบนี้น่ะ คิดเต็มๆ"

เจพึมพำออกมาเบาๆ ทรัพย์พยักหน้า

"ใช่ เขาคิดมากเลยล่ะ แต่มันก็กลายเป็นว่าเขาไปลงกับแม่ของเจแทน อาสังเกตเห็นได้ชัดเลยว่าเขาเริ่มกระแนะกระแหนแม่ฟองเขาบ่อยขึ้น แถมยังพยายามเทียบครอบครัวเรากับครอบครัวเจมากขึ้น อาก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว พอพูดไป เขาก็พูดเชิงตัดพ้อเหมือนกับว่าอายังมีเยื่อใย ตัดไม่ขาด อะไรแบบนั้น ซึ่งมันไม่ใช่เลย"



เจถอนหายใจ เขาพอรู้จักนิสัยอาสะใภ้ของเขาบ้าง คนทิฐิแรงและชอบเอาชนะอย่างพิมคงรู้สึกเสียหน้ากับเรื่องนี้มาก มันกลายเป็นแรงผลักให้เธอพยายามข่มแม่และครอบครัวของเขาในทุกทาง

"อาต้องขอโทษเราและแม่จริงๆ นะเจ อาจะลองคุยกับเขาดูอีกที เพราะมันชักจะแรงขึ้นทุกวันๆ แล้ว"

เจโบกไม้โบกมือ

"ไม่เป็นไรครับอา พวกผมไม่คิดอะไรมากจริงๆ ยิ่งพอรู้สาเหตุแบบนี้ก็ยิ่งพอเข้าใจได้ เมื่อก่อนที่รู้สึกอึดอัดมากเพราะเราไม่รู้สาเหตุมัน แต่ตอนนี้พอรู้แล้ว ผมก็จะได้เอาไปเล่าให้แม่ฟังเพราะว่าแม่เขาก็ไม่สบายใจเหมือนกันที่เพื่อนมามีทีท่าต่อกันแบบนี้"

"เฮ้ยๆ เจ เรื่องนี้อย่าเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังนะ ..."

ทรัพย์รีบค้าน

"...โดยเฉพาะแม่ฟอง อาขอล่ะ ไม่งั้นอาจะเข้าหน้าเขาไม่ติด คือแม่เจเขาไม่รู้นะว่าอาเคยจะจีบเขา เขาเข้าใจมาตลอดว่าอาจะไปจีบพิมตั้งแต่แรก ถ้าเขารู้เดี๋ยวเขาจะยิ่งอึดอัดใจ ขอล่ะ ขอให้มันเป็นความลับระหว่างเราสามคนก็พอ"

เจเกาหัวแกรกๆ เขาหันไปถามความเห็นคนรัก ฆาเบียร์ครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วก็ออกความเห็นมา

"ไม่ต้องบอกก็ได้เจ ฉันว่าบอกไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร อึดอัดใจกันเสียเปล่าๆ รู้กันแค่เราพอแล้ว"

เจนยุทธผงกหัวรับคำ เขายกมือไหว้ลูกพี่ลูกน้องของพ่อ

"ขอบคุณอาครับ ที่มาเล่าให้ผมฟัง ทีนี้ผมก็จะได้เข้าใจอาพิมเขามากขึ้น แต่ถ้าพวกอาคุยกันได้แล้วทำให้อาพิมเขาหายงอนและลดการแขวะผมลงบ้างก็คงดีนะครับ"

ทรัพยถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ กลับกรุงเทพฯ คราวนี้เขาคงต้องแข็งข้อกับเมียบ้างและอาจจะต้องให้ลูกชายคนโปรดของพิมอย่างบูมมาช่วยคุยด้วย



"งั้น เราออกไปข้างนอกดีไหมครับ หายมานานแล้ว เดี๋ยวอาพิมตามหา"

เจลุกขึ้นยืน แต่ทรัพย์เรียกไว้ เขาล้วงซองสีแดงสองซองออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ทั้งเจและฆาเบียร์

"ของขวัญปีใหม่เล็กๆ น้อยๆ จากอา ถือซะว่าแทนคำขอโทษด้วย อารู้ว่ามันแทนการที่เจต้องเสียความรู้สึกไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เอาไปกินขนมให้อารมณ์ดีแล้วกันนะ"

เจยิ้มกว้างให้ญาติของพ่อเห็น เขาและฆาเบียร์ยกมือไหว้ขอบคุณทรัพย์ ชายสูงวัยกว่ายกมือลูบหัวหลานชายเบาๆ อย่างเอ็นดู เขาหันไปหาฆาบี้

"ผมเพิ่งเจอคุณครั้งแรกแต่ก็รู้สึกได้ว่าคุณรักไอ้แสบนี่จริง ผมขอฝากดูแลหลานผมคนนี้ด้วยนะครับ​ มันกินจุไปหน่อย ทะลึ่งไปบ้าง ไม่ค่อยเอาการเอางาน ไงก็ทนๆ มันหน่อยนะครับ"

ฆาเบียร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ทรัพย์บรรยายลักษณะของเจออกมาได้ตรงจริงๆ เขาโอบไหล่คนรักกระชับเข้าและให้คำมั่นกับญาติของเจว่าเขาจะดูแลเจอย่างดี

"งั้นอาไปก่อนนะ เดี๋ยวสักพักพวกเราค่อยตามเข้าไปล่ะ"



เจทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในครัวหลังจากลูกพี่ลูกน้องของพ่อออกครัวไปแล้ว

"คาดไม่ถึงเลยแฮะ เรื่องนี้"

เขาเปรยออกมาเบาๆ ฆาเบียร์เปิดตู้เย็นและรินน้ำมาสองแก้วให้คนรักและตัวเอง เขานั่งลงข้างๆ เจ คนตัวเล็กเอนกายพิงคนรักของเขา

"รู้แบบนี้แล้ว เจโกรธอาพิมน้อยลงไหม?"

"อืมม์..."

คนตัวเล็กครุ่นคิดนิดหนึ่ง

"ไม่อ่ะ ผมก็ยังโกรธเหมือนเดิมอยู่ดี แต่อาจจะมีเห็นใจกับเข้าใจเพิ่มมา แต่ก็ยังโกรธอยู่ คุณเข้าใจใช่มะ?"

ฆาเบียร์พยักหน้า

"อย่างน้อยตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงทำตัวร้ายกับผม แต่มันก็ใช่เรื่องไหม? ผ่านมาตั้งกี่สิบปีแล้ว"

เจบ่นเบาๆ ฆาเบียร์ตบหลังมือของคนรักที่วางบนโต๊ะเบาๆ ก่อนจะกุมไว้แน่น

"เอาน่า เจอกันอีกไม่นาน เดี๋ยวเขาก็กลับแล้ว คิดเสียแบบนี้แล้วกัน หลังจากวันนี้อะไรๆ อาจจะดีขึ้นก็ได้ อาทรัพย์ก็บอกนี่ว่าจะลองไปคุยดูอีกรอบ"

เจพยักหน้าน้อยๆ ถ้าเป็นอย่างที่ฆาเบียร์พูดได้ก็ดี เขาหยิบซองอั่งเปาที่ทรัพย์ให้มาเปิดดูแล้วก็ต้องทำตาโตเมื่อเห็นใบสีเทาหกใบอยู่ในซองน้อยนั้น



"หูย ถ้าได้งี้ทุกปีก็ยอมโดนแขวะล่ะวะ"

เจพึมพำออกมาเบาๆ ฆาเบียร์เปิดของเขาดูบ้าง

"ได้หกใบเท่ากันจ้ะ เจรู้ไหมว่านี่เป็น Lai See ซองแรกที่ฉันได้จากคนอื่นที่ไม่ใช่อาปานะ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจถามอย่างสงสัย

"ทางฮ่องกงเขาเรียกแบบนั้นเหรอ? แล้วการให้ Lai See เขาเหมือนของคนจีนในไทยหรือเปล่าอ่ะ?"

เจอธิบายว่าสำหรับคนไทยเชื้อสายจีน อั่งเปาหรือแต๊ะเอียคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ให้แก่ผู้น้อย อย่างเช่นพ่อแม่ให้ลูก ญาติผู้ใหญ่ให้ญาติผู้น้อย หรือเจ้านายให้ลูกน้อง ในกรณีที่เป็นญาติก็จะให้อั่งเปาแก่ญาติที่ยังเด็ก ญาติอายุน้อยกว่าที่ยังไม่แต่งงาน หรือที่ยังไม่มีงานทำ โดยนิยมให้เป็นเลขคู่เว้นแต่จะเป็นเลขเก้าซึ่งถือเป็นเลขมงคล

"แต่ถ้าลูกหลานที่ทำงานแล้วก็สามารถให้อั่งเปาพ่อแม่ได้นะ ถือเป็นการแสดงความกตัญญู ปีนี้ผมก็เตรียมให้แม่เหมือนกัน"

"อืมม์ ก็คล้ายๆ กันนะ เจ ฉันเคยเขียนบทความเรื่อง เอ่อ...เรียกว่าอั่งเปาใช่ไหม?..."

เจพยักหน้ารับคำแล้วบอกว่าอั่งเปาเป็นภาษาแต้จิ๋วแปลว่าซองแดง

"...นั่นแหละ เคยเขียนเรื่องอั่งเปาลงในเพจ ตอนนั้นฉันเรียกว่า Hong Bao ซึ่งแปลว่าซองแดงเหมือนกันในภาษาจีนกลาง อย่างของที่จีนแผ่นดินใหญ่ ธรรมเนียมก็จะต่างไปแต่ละภาค อย่างทางใต้ จะเป็นคนที่แต่งงานแล้วให้คนที่ยังไม่ได้แต่งงานซึ่งโดยมากคือเด็ก แต่ถ้าเป็นจีนทางเหนือ ก็จะเป็นผู้ใหญ่ให้กับคนที่อายุต่ำกว่า 25 หรือบางที่ก็ 30 ปีโดยไม่สนว่าโสดหรือแต่งงานแล้ว ในบางภูมิภาคก็ให้คนที่ไม่มีงานทำ หรือยังไม่ได้ทำงาน แต่ที่ไทยนี่รวบเอาทุกอย่างมาใช้หมดเลยนะ"

คนตัวโตหัวเราะอย่างถูกใจในความพลิกแพงและช่างผสมผสานวัฒนธรรมของคนไทย



"แล้วคุณต้องแจกอั่งเปาพนักงานไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้า

"แจกสิ แต่ฉันแจกออนไลน์เสียส่วนใหญ่นะ..."

เจนยุทธทำหน้างง

"แอพ WeChat ของจีนซึ่งก็ใช้กันแพร่หลายในฮ่องกงเหมือนกันเริ่มให้คนส่งเงินออนไลน์ในรูปของอั่งเปาได้ตั้งแต่ปี 2015 แล้วนะ ส่งเป็นรูปซองสีแดงให้คนในแชท คนรับคลิกเปิด เงินก็จะเข้าไปในบัญชีออนไลน์ที่ผูกไว้ ทันสมัยไหมล่ะ?"

ฆาเบียร์เล่าให้เจฟังว่าในช่วงตรุษจีนปี 2015 มีการส่งอั่งเปาดิจิตอลเหล่านี้ออกไปถึงพันล้านซองและเพิ่มเป็น 2,300 ล้านซองในช่วงปีใหม่สากลปี 2016

"และมันก็ยังเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ไว้จะรออ่านดูเหมือนกันว่าปีนี้สถิติเป็นเท่าไหร่"

"That's so cool!"

เจอุทานออกมา

"แล้วจำกัดขั้นต่ำไหมคุณ?"

ฆาเบียร์ตอบว่าไม่น่าจะจำกัด เพราะเขาก็ได้ซองขำๆ จากลูกน้องที่ใส่เงินแค่เหรียญสองเหรียญ

"โหย แบบนี้ก็ส่งกันมันเลยสิ ส่งแค่เป็นธรรมเนียม แต่ซองละบาทได้ร้อยซองก็ร้อยบาทแล้วนะเนี่ย อยากได้มั่งจัง"

ฆาเบียร์ยิ้มเมื่อเห็นเจหยิบมือถือออกมาโหลดแอพ WeChat เจหน้าเซ็งเมื่อฆาเบียร์บอกว่าในไทยเหมือนจะใช้ฟังก์ชั่นนี้ไม่ได้ คนตัวโตของเจเล่าต่อ



"ที่ฮ่องกงช่วงตรุษจีนนอกจากแจกซองออนไลน์แล้ว ก็ยังแจกซองจริงๆ กันสนุกมือเหมือนกันนะ เรียกได้ว่าต้องพกซองใส่เงินนิดๆ หน่อยๆ ยี่สิบสามสิบติดกระเป๋ากันเป็นปึก เผื่อเอาไปแจกพวกดอร์แมน พนักงานโรงแรม พนักงานทำความสะอาดตึก พวกพนักงานขายหรือคนเสิร์ฟที่สนิทๆ กัน อะไรพวกนั้น แล้วแต่ว่าจะเจอใครมั่ง"

"โห ต้องแจกกันขนาดนั้น? ที่ไทยยังดีแจกแค่ญาติพี่น้องกับลูกน้องที่ทำงาน แต่เอ...พูดถึงแจกลูกน้องแล้ว"

เจจ้องหน้าคนรักแล้วยิ้มกริ่ม ฆาเบียร์หรี่ตามองด้วยความไม่ไว้วางใจ เจ้าตัวเล็กของเขาคงคิดทำอะไรแผลงๆ อีกแล้ว เจขยับตัวขึ้นไปนั่งบนตักคนรักแล้วกอดคอไว้

"เฆเฟ่ครับ แล้วอั่งเปาของผมล่ะครับ?"

ฆาเบียร์มองหน้าเจ้าตัวแสบของเขาอย่างจนปัญญา เจปัดริมฝีปากนิ่มกับเรียวปากของเขาเบาๆ และขยับหนีเมื่อฆาเบียร์พยายามจะจูบ คนตัวโตจิ๊ปากเบาๆ อย่างขัดใจเล็กๆ เขารั้งเอวคนรักเข้าจนกายแนบชิดกัน

"อยากได้อั่งเปาก็ต้องรอกลางคืนสิจ๊ะ รับรองเฆเฟ่จะ ‘ใส่ซอง’ ให้จนหนูพอใจเลย"

ฆาเบียร์กระซิบแผ่วๆ ที่หูของเจนยุทธ เจหน้าแดงก่ำเมื่อคนตัวโตลากนิ้วผ่าน "ซอง" ของเขา แม้เนื้อผ้ากางเกงยีนส์ของเขาจะหนา เขาก็ยังสัมผัสมันได้อยู่ดี เจรีบลงจากตักคนรักก่อนที่เมียตัวโตของเขาจะตบะแตกเสียก่อน

"เหอะ งั้นไม่เอาแล้วอั่งเปา ผมจะเป็นฝ่ายให้คุณแทน เครมะ?"

เจยักคิ้วให้เมียตัวโตของเขาอย่างยียวน ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาส่งซองอั่งเปาที่ได้รับมาจากทรัพย์ให้เจ

"เอ้า นี่ นายเก็บไว้เถอะ ไว้เอาไปกินข้าวกัน"

เจส่งคืนให้ฆาเบียร์ทันควัน

"คุณเก็บเอาไว้ก่อน เดี๋ยวเอามันไปลงทุนซะ ใช้ให้คุ้มล่ะ"

ฆาเบียร์ทำหน้างง

"น่าๆ เดี๋ยวก็รู้"

เจดึงคนตัวโตของเขาให้ลุกขึ้นและดันหลังให้ออกจากครัวไป แต่เขาก็ยังไม่วายหยิบขนมจันอับในโหลห่อใส่ทิชชูไปกินด้วยอีกหลายชิ้น ฆาเบียร์ได้แต่โคลงหัวให้กับความตะกละของเจนยุทธ



“ผมฝากฆาเบียร์ไว้นี่หน่อยนะครับ”

เจพาคนรักมาฝากไว้กับวงไพ่ของบรรดาญาติฝ่ายชายของเขา

“ได้ๆ แต่ไว้รอตาหน้านะ ตานี้ใกล้จบแล้ว”

ญาติผู้พี่ของเจคนหนึ่งโบกไม้โบกมือให้ฆาเบียร์ลงนั่งรอนอกวงก่อน

“โป๊กเกอร์เหรอ เจ?”

คนตัวโตถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กๆ เจพยักหน้าให้แล้วกระซิบตอบ

“ใช่ๆ เป็นธรรมเนียมบ้านผมน่ะ พ่อเล่าว่าสมัยก่อนนู้นพอวันตรุษจีน ญาติๆ จะมารวมตัวกันเล่นไพ่นกกระจอก แต่พอรุ่นหลังๆ ก็เปลี่ยนเป็นโป๊กเกอร์แทน ส่วนวงผู้หญิงจะเล่นอย่างอื่น แต่ที่เล่นกันบ่อยก็ยี่อิด เอ่อ แบล็กแจ็คน่ะ แต่ลงเงินกันขำๆ วงนู้นก็หลักบาท ไม่ก็หลักสิบ ส่วนวงหนุ่มๆ นี่หนักมือหน่อย หลักร้อยถึงหลักพัน”

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาสนความตื่นเต้นของเกมมากกว่าเงินอยู่แล้ว

“ว่าแต่ คุณ ออมๆ มือให้ญาติผมหน่อยล่ะ”

เจพูดยิ้มๆ เขารู้ฝีมือฆาบี้ดีอยู่แล้ว แถมพ่อเจ้าประคุณยังมีเวลานั่งสังเกตท่าทางของคนในวงอีกก่อนที่จะถึงตาใหม่ เขาแน่ใจว่าญาติๆ ของเขาสู้ไม่ได้แน่นอน เจตบไหล่เมียตัวโตของเขาเบาๆ แล้วบอกอะไรบางอย่างก่อนจะลุกเดินออกไปนอกห้อง

“เดี๋ยว เจ เล่นกันสักตาไหม?”

ญาติสาวคนหนึ่งของเขาถามขึ้นเมื่อเจเดินผ่านวงแบล็คแจ็ค เป็นอันรู้กันว่าเจไม่เล่นโป๊กเกอร์ เขามักมาเล่นกับวงสาวๆ แทน ไม่ก็ไปทำอย่างอื่น

“ไม่อ่ะพี่ เดี๋ยวผมไปเล่นเกมกับหลานๆ มันดีกว่า”

เจตอบยิ้มๆ เขาไม่ชอบเด็กก็จริง แต่หลานๆ เขาซึ่งเป็นลูกของบ้านในกาดเริ่มโตจนพ้นวัยงอแงกันแล้ว อีกอย่างเขายังต้องแก้มือที่แพ้เจ้าทะโมนพวกนั้นเมื่อปีที่แล้วจนต้องเลี้ยงขนมพวกมันยกวง

“นี่ โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ฟงแฟนก็มีแล้วยังจะไปขลุกอยู่กับเด็กๆ เล่นเกมเด็กๆ อยู่ได้นะเจ”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเสียงใครที่แขวะมา เจพยายามทำหูทวนลม เขาฉีกยิ้มหัวเราะฮิฮะแล้วทำหน้าเป็นให้อาสะใภ้ ก่อนจะขอตัวออกไปเล่นเกม



“โกลลลลล!”

เจทิ้งคอนโทรลเลอร์ในมือแล้วลุกขึ้นวิ่งรอบโซฟาที่เขากับเด็กๆ นั่งอยู่ ท่ามกลางเสียงโวยวายด้วยความเซ็งของหลานๆ เจหัวเราะร่า เขาไม่ต้องเลี้ยงขนมเด็กเวรพวกนี้แล้ว

“โห นึกว่าเด็กที่ไหน ที่แท้เด็กโข่งเจนี่เอง”

เจชะงักเมื่อได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะที่ดังขึ้นด้านหลัง เขาหันขวับไปยิ้มกว้างให้กับชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง แต่งตัวดี ใบหน้าหล่อเหลาที่ยืนยิ้มมองเขาอยู่

“สวัสดีครับ พี่บูม มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”

เจไล่หลานๆ ให้ไปนั่งเล่นเกมบนพ้นแล้วเชิญให้ลูกพี่ลูกน้องที่อายุใกล้กับเขาที่สุดลงนั่งบนโซฟา ถึงเขาจะไม่ชอบอาพิมและและเกลียดการถูกยกเอาไปเทียบกับญาติผู้พี่ที่เหนือกว่าเขาคนนี้ แต่กับตัวบูม เขามีแต่ความรู้สึกดีๆ ให้ ด้วยความที่อายุใกล้กัน พวกเขาจึงเป็นคู่เล่นกันทุกครั้งที่บูมมาเชียงใหม่ เขาจึงดีใจที่ได้เจอญาติผู้พี่คนนี้



“สบายดีป่าวพี่? เห็นอาพิมบอกว่าพี่ไปอยู่ฮ่องกงแล้วตอนนี้ งานหนักหรือเปล่าครับ?”

บูมถอนใจเบาๆ แม่คงเอาเรื่องเขามาอวดญาติๆ อีกแล้ว

“อืมม์ ย้ายไปที่นั่นตั้งแต่ปลายๆ ปีที่แล้วละ งานยุ่งเอาเรื่องเหมือนกัน สเกลงานทางนั้นเขาใหญ่กว่าทางบ้านเราเยอะ เขี้ยวลากดินกว่าด้วย ทำเอาหมดพลังทุกวันเลยล่ะ”

บูมเอนกายลงบนเก้าอี้นวมอย่างเหนื่อยอ่อน เขาบอกเจว่าช่วงนี้เขาทำงานล่วงเวลาดึกแทบทุกวันเพราะต้องเคลียร์เคสและเอกสารของลูกความซึ่งหลายๆ คนอยากให้จบงานก่อนขึ้นปีใหม่จีน

“ยังเหนื่อยไม่หายเลยเจเอ๊ย แม่ก็ตามยิกๆ ให้กลับมาเชียงใหม่ช่วงหยุดตรุษจีนสี่วัน ตอนแรกพี่ก็ว่าจะไม่มาแล้ว แต่แม่ก็บอกว่าให้มาให้ได้ ก็เลยต้องมา...”

บูมยิ้มกริ่มมองหน้าน้องชาย

“นี่เพิ่งมาถึงเมื่อเช้า ตอนแรกก็ว่าจะนอนยาวแล้วเข้ามาที่บ้านตอนเย็นๆ แต่พอแม่โทรไปบอกว่าเราพาแฟนมาแนะนำ ก็เลยต้องมา พลาดไม่ได้เด็ดขาด”

เจนยุทธหน้าแดง ญาติผู้พี่หัวเราะลั่นเมื่อเห็นท่าทางขวยเขินของน้อง

“คนนี้คงตัวจริงแล้วใช่ไหม พี่ไม่เคยเห็นเรามีทีท่าแบบนี้เลย”

เจพยักหน้า เขานึกอะไรขึ้นมาได้และเอ่ยปากถามขึ้น

“แม่พี่เล่าเรื่องแฟนผมให้พี่ฟังบ้างหรือยัง ว่าเขา เอ่อ...”

“อือ เป็นผู้ชายใช่ไหม? เล่าแล้วล่ะ พี่รับได้ ไม่ต้องห่วง”

บูมตอบด้วยท่าทางปกติ เจหน้าแดง

“ไม่ใช่ ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น เรื่องนั้นผมว่าน่าจะเข้าหูพี่นานแล้ว ใช่มะ?...”

บูมหัวเราะเบาๆ แล้วผงกหัว แม่เขารีบโทรไปเล่าเรื่องที่น้องชายเพลย์บอยของเขาเปลี่ยนมามีแฟนหนุ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้ยินข่าวจากญาติทางเชียงใหม่

“ผมหมายถึงว่าแม่พี่เล่าป่าว ว่าเขาอยู่ฮ่องกงเหมือนกันกับพี่ “

บูมส่ายหัวแล้วทำหน้างงๆ แม่เขาบอกว่าแฟนของเจเป็นหนุ่มฝรั่งเชื้อสายละตินแต่ไม่ได้บอกว่าเขาอยู่ฮ่องกงเหมือนกัน เจยิ้มให้พี่ชาย

“เดี๋ยวผมจะเรียกเขามาหาพี่นะ ทำความรู้จักกันไว้ซะ เขาอยู่ฮ่องกงมานานกว่าพี่ ผมจะได้ฝากให้เขาช่วยดูแลพี่ด้วย”



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ความลับ (ต่อ) ----



“เจ เล่นเกมเสร็จหรือยัง แม่ถามหาน่ะ”

ฆาเบียร์เดินออกมาจากห้องเล่นไพ่ เจรีบหันไปหา

“มาพอดีเลย ฆาบี้ มานี่สิ ผมจะแนะนำพี่บูมให้รู้จัก”

บูมลุกขึ้นจากโซฟาแล้วหันไปหาคนรักของน้องชาย แต่เขาก็ต้องตะลึงเมื่อได้เห็นร่างใหญ่กำยำนั้น

“คุณมาร์ติเนซ?!”

ฆาเบียร์ก็งงไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย

“อ้าว! แพทริค เฮ้! ไปไงมาไงเนี่ย?”

คนที่งงที่สุดก็คงจะเป็นเจนยุทธ เขามองหน้าพี่ชายสลับกับคนรัก

“หือ? นี่พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”

ฆาเบียร์พยักหน้าอย่างงงๆ

“ใช่จ้ะ แพทริคเขาเพิ่งเข้ามาร่วมทีมกฎหมายของอลัน เอ่อ คุณวูน่ะ เจน่าจะรู้จักคุณวูใช่ไหม?”

เจอุทานออกมาเบาๆ เขาจำหนุ่มใหญ่มาดดีซึ่งเป็นหัวหน้าทีมที่ปรึกษาทางกฎหมายประจำบริษัทของอาปาคริส

“จำได้ครับ จริงๆ เหรอพี่บูม? เห้ย โลกกลมมาก!”

เจหันไปถามพี่ชายซึ่งเขาก็ผงกหัวตอบรับ

“อลัน เอ่อ คุณวูเขาประจำที่ Law firm ข้ามชาติเดียวกับที่พี่เคยทำอยู่ที่กรุงเทพฯ น่ะ แต่เขาอยู่สาขาใหญ่ของเอเชีย-แปซิฟิคที่ฮ่องกง แกพยายามดึงตัวพี่ไปช่วยที่นั่นหลายปีแล้ว พี่เพิ่งตอบตกลงไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนนี้พี่ก็อยู่ในทีมที่ปรึกษาทางกฎหมายของคุณวู บริษัทของคุณคริสโตเฟอร์ หว่องก็เป็นลูกความรายใหญ่ของทีมพี่ แต่ของคุณมาร์ติเนซนั้นใช้อีกทีมหนึ่งซึ่งทำงานเฉพาะทางกว่า”

บูมรีบบอกน้องชาย แล้วหันไปหาฆาเบียร์

“ว่าแต่ คุณมาร์ติเนซ คุณ คุณคือแฟนของเจเหรอครับ? “

คนตัวโตยิ้มกว้าง เขาพยักหน้าพร้อมยกมือโอบไหล่เจเป็นการยืนยัน เจรีบปัดมือคนรักออก

“เอ๊ะ ไหนบอกผมเองว่าห้ามทำรุ่มร่ามที่นี่แล้วไง แล้วนี่มากอดหล่งกอดไหล่อะไร เดี๋ยวเหอะ”

ฆาบี้ทำหน้ามุ่ยและบ่นพึมพำ เขาทำท่าออดอ้อนขอกอดคนรัก แต่เจก็ไม่ยอมให้ฆาเบียร์มายุ่มย่ามเนื่องจากยังเขินพี่ชาย ญาติผู้พี่ของเจมองภาพเบื้องหน้าด้วยความสับสนเล็กน้อย ถึงจะไม่ได้พบปะกันบ่อยนัก แต่คุณมาร์ติเนซที่เขารู้จักมีภาพลักษณ์เคร่งขรึมและเอาการเอางาน แต่คนที่อยู่เบื้องหน้าเขานี้ดูสบายๆ ขี้เล่น แถมยังทำท่าเจ้าชู้หูตาแพรวพรายใส่น้องเขาไม่หยุด



“แล้วไหนคุณบอกว่าไม่รู้จักที่ปรึกษาทางกฎหมายที่ชื่อบูมไง?”

เจถามขึ้น พวกเขาสามคนย้ายมานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าวโดยยกโซฟาให้เด็กๆ นั่งเล่นเกมเหมือนเดิม

“ฉันไม่รู้จักจริงๆ ก็ตอนอยู่ที่ฮ่องกงพี่ของเจเขา เอ่อ ผมเรียกคุณว่า บูม ได้ใช่ไหม?...”

คนตัวโตหันไปถามลูกพี่ลูกน้องของคนรัก บูมพยักหน้าตอบรับ

“...ที่นั่นบูมเขาใช้ชื่อแพทริคนี่นา ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าเป็นคนเดียวกันกับพี่ของเจ”

“ใช่แล้วล่ะ เจ พี่ใช้ชื่อแพทริคตั้งแต่ตอนเรียนที่อเมริกาแล้ว ดีกว่าชื่อบูมนะ พี่เอาคำว่า Pat มาจากนามสกุล ก็เป็น Patrick Pattarapreeda เพราะชื่อจริงของพี่ อัครเดช มันก็ยากเกินไปอยู่ดีสำหรับฝรั่ง”

บูมบอกเจนยุทธ เจพยักหน้าหงึกหงักแล้วหันไปถามคนรัก

“นี่ ฆาบี้ แล้วคุณจำนามสกุลผมไม่ได้เหรอ? ภัทรปรีดาอ่ะ ผมกับพี่บูมก็ใช้นามสกุลเดียวกันนะ”

ฆาเบียร์บ่นพึมพำว่าเขาก็คิดว่าเป็นแค่คนนามสกุลซ้ำเหมือนนามสกุลของชาวตะวันตกหรือกระทั่งชาวเอเชียชาติอื่น บูมกับเจมองหน้ากันแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“เออ ผมก็ลืมไปว่าคนชาติอื่นเขาไม่ได้มีนามสกุลหลากหลายเหมือนกับคนไทย ของเรานี่เล่นตั้งนามสกุลกันแบบเอาความหมายเพราะๆ ยาวๆ เนาะ”

เจหัวเราะคิก นามสกุลเขาก็ไม่ได้สั้นอะไร คนตัวโตจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก

“อีกอย่าง บูมเขาก็ไม่ได้ทำงานร่วมกับฉันโดยตรง ฉันรู้จักเขาผ่านอาปากับอลันอีกที เจอกันแว่บๆ ที่สำนักงานบ้าง ข้างนอกบ้าง แต่เราก็ไม่เคยได้คุยกันจริงจัง”

ฆาเบียร์สังเกตเห็นสีหน้าลำบากใจที่ปรากฎขึ้นแว่บหนึ่งบนใบหน้าของญาติผู้พี่ของเจ เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง



“ว่าแต่ เรื่องจดทะเบียนเปลี่ยนสัดส่วนผู้ถือหุ้นบริษัทที่สหรัฐฯ ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้อาปาไปขอทีมคุณช่วยประสานงานกับทางทนายทางนั้นใช่ไหม?…”

“อ๋อ ครับ ทีมผมเองก็เพิ่งได้รับเมล์รายการเอกสารต่างๆ ที่ทางฮ่องกงต้องจัดเตรียมให้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนและกำลังเริ่มจัดการ เดี๋ยวผมขอดูก่อน”

ทนายหนุ่มดึงแท็บเล็ต Surface ที่เขาใช้ทำงานด้วยออกมาและเปิดดู เขารายงานสิ่งที่ได้ทำไปแล้วให้ฆาเบียร์ฟังเป็นขั้นๆ ไป เจนั่งฟังคนรักคุยกับพี่ชายเงียบๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจศัพท์กฎหมายบางคำที่ใช้กัน จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร

“ตอนนี้ยังติดนิดหน่อยตรงยังขาดเอกสารจากทางไทย เอกสารของคุณ เอ่อ..."

บูมขมวดคิ้วและพยายามอ่านชื่ออ่านยากนั้น

"...คุณ Jaynyuth Pattara...เอ๊ะ!”

บูมหยุดอ่านและเงยหน้าขึ้นมองเจ

“เจ นี่มันชื่อเราไม่ใช่เหรอ? “

บูมอุทานออกมาเบาๆ เจเปลี่ยนวิธีเขียนชื่อของเขาให้แปลกออกไปได้หลายปีแล้วเพราะไม่อยากให้ในชื่อมีคำว่า Jane เหมือนชื่อผู้หญิง แต่มันก็ทำให้อ่านยากขึ้นเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้ทนายหนุ่มจำชื่อของน้องชายไม่ได้เมื่ออ่านเอกสารผ่านๆ เจหัวเราะแหะๆ

“แหะๆ ใช่ครับ ผมเองครับพี่”

บูมทำตาปริบๆ เขาหันไปหาฆาบี้แล้วระล่ำระลักพูด

“คุณมาร์ติเนซ นี่มัน ว้าว ผมต้องขอบคุณแทนเจมันจริงๆ ครับที่คุณและครอบครัวปราณีมันแบบนี้ ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะรักและจริงจังกับมันถึงขนาดนี้”

ญาติผู้พี่ของเจรู้มูลค่าของหุ้นที่ทั้งคริสและฆาเบียร์ยกให้เจดี ในทีแรกที่ได้รับมอบหมายงานชิ้นนี้มา อลัน วู หัวหน้าทีมของเขาเคยเปรยให้ฟังว่าตัวเขาไม่อยากเชื่อว่าฆาเบียร์ที่มีประวัติเป็นเพลย์บอยตัวพ่อจะจริงจังกับใครจนถึงขนาดยกหุ้นบริษัทให้ได้ พออลันเล่าว่าคนๆ นั้นเป็นหนุ่มไทยที่คบหากันได้ไม่ถึงปี บูมก็ถึงกับอึ้ง เขาสงสัยนักว่าคนๆ นั้นจะเป็นไฮโซมาจากไหนจึงสามารถมัดใจคนโพรไฟล์สูงอย่างคุณมาร์ติเนซไปได้ แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนๆ นั้นจะเป็นน้องน้อยของเขาคนนี้ไปได้



ฆาเบียร์ขอตัวลุกไปหาฟองนวลที่โผล่ออกมาเรียกเขาและเจ เขาบอกคนรักให้นั่งคุยกับบูมต่อ

“เจ ตอนงานแต่งงานลูกคุณวิคเตอร์ ลี เมื่อปลายเดือนที่แล้วเราก็ไปด้วยใช่ไหม? พี่ว่าพี่เห็นเราในงานด้วย”

บูมถามขึ้น เจพยักหน้า

“ใช่ครับ พี่ก็ไปด้วยเหรอ? ทำไมไม่ทักผมอ่ะ?”

“แล้วใครจะไปคิดว่าเราจะไปโผล่ถึงที่ฮ่องกงล่ะ หา? “

บูมชกไหล่น้องชายเบาๆ เขาซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังของห้องคิดอยู่เหมือนกันว่าชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ท่านประธานหว่องที่โต๊ะวีไอพีในวันนั้นหน้าคล้ายเจนยุทธมาก แต่ก็คิดว่าไม่น่าใช่แน่ๆ เพราะเจไม่น่ามาอยู่ที่นี่ได้ อีกทั้งเขาเห็นชายหนุ่มคนนั้นใส่สูทเต็มยศและดูภูมิฐานเหมือนนักธุรกิจหนุ่ม ไม่เหมือนกับเจ้าน้องน้อยที่ท่าทางยังเหมือนเด็กนักศึกษาของเขา บูมจึงคิดว่าเป็นแค่คนหน้าเหมือนเท่านั้น

“แล้วนี่เจแนะนำคุณมาร์ติเนซกับญาติๆ ว่ายังไงน่ะ? แล้วแม่พี่รู้หรือยังว่าคุณเขาเป็นใคร?”

เจส่ายหัว

“ยังไม่รู้อ่ะพี่ ผมให้ฆาเบียร์บอกพวกญาติๆ ไปว่าเขาช่วยงานพ่อบุญธรรมที่ฮ่องกงและทำกิจการส่วนตัวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและโรงแรม”

บูมขมวดคิ้ว

“ทำไมล่ะเจ ทำไมไม่บอกไปเลย หรืออย่างน้อยบอกแม่พี่ไปซะ เขาจะได้เลิกยุ่งกับเจซะที”

ลูกชายคนโปรดของพิมพูดอย่างหงุดหงิดใจ เขาสงสารญาติผู้น้องคนนี้ทุกครั้งที่ได้ยินแม่ยกเอาเจมาเทียบกับเขาต่อหน้าและเมื่อเอาเรื่องราวของบ้านนั้นมานินทาให้ฟัง เมื่อตอนบ่าย แม่ของเขาก็โทรไปเร่งเขายิกๆ สองสามรอบให้รีบๆ มาดูแฟนฝรั่งของเจ เธอพูดเป็นเชิงว่าในที่สุดเจก็เลิกแอ๊บแล้วหันมาเป็นเกย์เต็มตัว แถมยังพูดออกแนวๆ ว่าดูๆ แล้วกับแฟนคนนี้ไม่น่าคบกันได้นานนั่นนี่นู่น ตัวเขาที่อยากพักผ่อนทนรำคาญไม่ไหวจึงต้องรีบตัดบทแล้วมาดูให้แล้วเรื่องไป



เจถอนหายใจยาว

“บอกไปก็เท่านั้นอ่ะพี่ ถ้าอาพิมเขาจะแขวะผม ยังไงเขาก็แขวะ ยิ่งรู้ว่าฆาบี้มีตังค์ ผมยิ่งจะโดนสิ ว่าตกถังข้าวสารนั่นนี่ เป็นเด็กเลี้ยงมั่ง หรือพอยอมเจอคนรวยปุ๊บก็เปลี่ยนขั้วปั๊บ อะไรพวกนี้”

เจพูดเสียงอ่อยๆ อย่างเกรงใจเมื่อต้องพาดพิงแม่ของพี่ชาย บูมถอนหายใจ ที่เจพูดก็ไม่ผิดนัก แม่ของเขาคงจะพูดกระทบกระเทียบแบบนั้นต่อจริงๆ

“ที่จริงแล้ว ที่คบฆาบี้เนี่ย ผมไม่ได้อยากได้อะไรของเขาเลยนะพี่ หุ้นเหิ้นอะไรพวกนั้นผมก็ไม่อยากได้สักนิด แค่อิตุ้มหูข้างนี้ผมยังไม่อยากใส่เลย”

เจรำพึงออกมาเบาๆ บูมมองตามมือน้องชายที่ลูบต่างหูอัญมณีที่เขาคิดว่าคงเป็นไพลินสีน้ำเงินเข้มที่หูซ้าย เขาโคลงหัวเบาๆ

“ไอ้เรานี่มันก็แปลกคนนะ คนทั่วไปมีแต่อยากสบาย อยากได้แฟนรวย"

"แหม มันก็ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดีเลิศเลออะไรหรอกครับ ผมก็ยังรักสบาย แต่ผมไม่ชอบให้ใครมามองผมเป็นเด็กเลี้ยงตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งคนที่คบด้วยมีเงิน ผมก็ต้องชัดเจนว่าผมไม่ได้คบเขาเพื่อหวังเงินทอง แบบนี้มันถึงจะอยู่ด้วยกันรอด"

เจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"อืมม์ พี่เข้าใจความคิดเราอยู่นะ เออ พูดถึงเรื่องนี้แล้วนึกได้ พี่เห็นข้อตกลงที่คุณมาร์ติเนซเขียนให้เราเซ็นเรื่องหุ้นไว้แล้ว จะเอาแบบนั้นจริงๆ เหรอ  งั้นเดี๋ยวพี่ทำอีกฉบับแบบที่ใช้ภาษากฎหมายถูกต้องให้ด้วยเอาไหม? “

บูมถาม เจทำท่าดีใจและกอดแขนพี่ชายเป็นเชิงอ้อน

"ดีเลย พี่บูม เขียนให้มันรัดกุมเลยนะ จะได้ไม่ต้องมามีปัญหากันทีหลัง"



“อะแฮ่ม”

เจสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกระแอมของฆาเบียร์ เขาหันไปยิ้มแหยๆ ให้กับคนรักที่ยืนหน้าตึงอยู่ด้านหลัง

“มาเงียบๆ ไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมดเลยคุณ”

เจหัวเราะแหะๆ ให้คนรัก บูมรีบดันตัวญาติผู้น้องออกห่างเมื่อเห็นสายตาที่จ้องมาของฆาเบียร์ เขาขยับไปนั่งเก้าอี้อีกตัวและให้คนตัวโตลงนั่งข้างเจแทน ฆาเบียร์วางถาดที่ถือมาไว้บนโต๊ะและหยิบถ้วยแก้วบนนั้นส่งให้บูมและเจนยุทธ

"เอ้า ส้มลอยแก้วจ้ะ แม่ให้เอามาให้ แล้วนี่คุยอะไรกันอยู่?"

บูมรีบรับถ้วยขนมมาอย่างเกรงใจ

“ผมกำลังคุยกับเจเรื่องคุณครับ เจบอกว่ายังไม่อยากบอกญาติๆ ว่าคุณทำงานอะไร”

“ใช่ๆ พี่บูม จุ๊ๆ นะ เป็นความลับ ไม่ต้องไปบอกใครนะว่าฆาบี้ทำอะไร ถ้าคนถามว่ารู้จักกันได้ไงก็แค่บอกว่าบริษัทอาปาเป็นลูกค้าพี่ก็พอ ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก โอเคนะ?”

เจนัดแนะกับพี่ชายของเขาเสร็จสรรพ ทนายหนุ่มทำหน้ายุ่ง

“มันจะดีเหรอ เจ…คุณมาร์ติเนซครับ?”

บูมหันไปถามความเห็นคนรักของญาติผู้น้อง

“ก็ตามเจเขาว่าแหละครับ แล้วที่ไทยนี่คุณไม่ต้องเรียกผมว่าคุณมาร์ติเนซแล้วนะ เรียกฆาเบียร์เฉยๆ ก็ได้ “

คนตัวโตเสริมมา บูมต่อรองขอเรียกเป็นคุณฆาเบียร์แทน และถ้ากลับฮ่องกงเขาจะขอเรียกคุณมาร์ติเนซเหมือนเดิมซึ่งคนตัวโตของเจก็อนุญาต เขาบ่นเบาๆ กับทนายหนุ่ม

“จริงๆ ผมก็ไม่มีปัญหาหรอกนะครับ ใครจะรู้ก็รู้ไปว่าผมทำงานอะไร แต่รายนี้เขาอยากให้ผมทำตัว low profile ไว้ เขาว่าอยากให้ผมคบหากับคนอื่นโดยไม่ต้องมีเรื่องเงินทองฐานะอะไรมากั้นกลาง”

เจพยักหน้าตอบรับ เขาบอกว่าตัวเขาเองในตอนแรกที่รู้จักฆาเบียร์ เขาก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวทำงานอะไร มันทำให้เขาพูดคุยกันได้อย่างสบายๆ และเปิดเผยตัวตนได้เต็มที่ ถ้าเขารู้ว่าฆาเบียร์เป็นนักธุรกิจพันล้าน เขาก็คงเกร็งกว่านี้ ไม่กล้าพาไปกินข้าวข้างถนน ไปตะลอนๆ เดินตลาดนั่นนี่ หรือกระทั่งให้มานอนค้างที่ห้อง

เจทำท่าเขินอายเมื่อฆาเบียร์เล่าให้บูมฟังว่าเขาเริ่มติดใจเจตั้งแต่ที่เพื่อนของเขาฝากเขาไว้ที่ห้องของคนตัวเล็กเป็นเวลาหนึ่งเดือน

"ก็ตอนนั้นพี่นพบอกว่าให้คุณมานอนห้องผมจะได้ไม่ต้องเปลืองค่าห้องนิ เนี่ย พี่บูม ถ้าผมรู้ว่าพี่แกมีตังค์จ่ายค่าห้องแพงๆ ได้ ผมก็คงบอกว่าให้ไปนอนโรงแรมห้าดาวสบายๆ เหอะ อย่ามานอนห้องผมเลย​"



เจหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงชีวิตในตอนนั้น เขากำลังจะเล่าเรื่องของเขากับฆาเบียร์เพิ่มเมื่อเสียงแจ๋นๆ ของอาพิมดังขึ้น

"อ้าว ตาบูม มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกแม่ล่ะว่ามาถึงบ้านอากงแล้ว อ้อ นี่เจอกับแฟนหนุ่มของเจแล้วเหรอ?"

พิมพูดกับลูกชายเป็นภาษาอังกฤษ โดยเน้นคำว่า boy ในคำว่า boyfriend เป็นพิเศษ ทนายหนุ่มหน้าเสียและรีบหันไปหาแม่

"ครับ เจอแล้วครับแม่..."

ก่อนที่เขาจะทันอ้าปากพูดอะไรต่อ แม่เขาก็นั่งลงข้างๆ เขาและชิงพูดแทรกขึ้นมา

"เนี่ย เห็นไหม แม่เคยบอกเราแล้ว ว่าพ่อคนนี้น่ะสุดท้ายก็ต้องมีแฟนผู้ชาย ก็ยังดี อย่างน้อยมันก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่ใช่ควงคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนเมื่อก่อน ไม่ติดโรคมาก็บุญแล้วนะ ไอ้ตัวดี"

พิมหันหน้าไปพยักเพยิดกับเจนยุทธที่นั่งหน้ายิ้มแต่สายตาเย็นเยียบอยู่ฝั่งตรงข้าม บูมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แม่ของเขาดูพูดมากกว่าทุกที คงเพราะฤทธิ์ไวน์ที่สาวๆ ในวงไพ่มักจะเปิดดื่มกันสองสามขวดแบบที่ทำเป็นประจำทุกปี เธอหันไปมองฆาเบียร์และเปลี่ยนมาพูดกับลูกเป็นภาษาอังกฤษ

"อ้อ แล้วเจมันบอกหรือยังว่าแฟนเขาอยู่ฮ่องกงเหมือนกับเราน่ะ คุณ เอ่อ คุณฆาเบียร์ใช่ไหม? ทำความรู้จักกับบูมไว้ซะนะ เผื่อคุณมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายอะไรให้ตาบูมเขาช่วยได้ แต่มาขอคำปรึกษาอย่างเดียวนะอย่ามาปิ๊งลูกฉันเข้าล่ะ เดี๋ยวตาเจมันจะอกหัก ถึงลูกฉันจะแมนเต็มร้อยแต่ก็เสน่ห์แรงนะ พวกกงเกย์นี่มาติดกันตรึม"

พิมหัวเราะร่วน บูมหน้าแดงด้วยความอายและกลายเป็นหน้าซีดเมื่อฆาเบียร์ลุกพรวดขึ้นและดึงเจนยุทธให้ลุกขึ้นตาม เขาขอตัวแล้วเดินลากเจให้ไปนั่งที่โซฟา

"โอ๊ย คนพวกนี้ ขี้ใจน้อยกันจริงๆ ฉันพูดแซวนิดแซวหน่อยก็ทำเป็นทนไม่ได้"

พิมพึมพำออกมาดังๆ



"แม่ครับ! พอเถอะครับ!"

บูมเอ็ดดังลั่นจนคนอื่นๆ ที่ทะยอยเดินออกมาจากห้องเล่นไพ่หันมามอง

"เอ๊ะ ตาบูม ทำเสียงดังอะไรนักหนา นี่แตะไม่ได้เลยเหรอ พ่อน้องชายคนโปรดกับแฟนมันเนี่ย"

พิมเอ็ดกลับด้วยความเสียหน้า ร้อยวันพันชาติลูกชายของเธอถึงจะกล้าขึ้นเสียงกับเธอครั้ง แถมครั้งนี้ยังทำต่อหน้าญาติเพื่อปกป้องเจ้าเด็กที่เธอเขม่นนักคนนั้น

"ใช่ แตะไม่ได้ครับ แม่รู้ไหมว่าพ่อบุญธรรมของคุณมาร์ติเนซ เอ่อ คุณฆาเบียร์เป็นลูกความคนสำคัญของผมนะ"

บูมพูดออกมาพอให้แม่เขาและสองหนุ่มที่นั่งหน้าตึงที่โซฟาได้ยิน พิมหน้าซีดลงทันที

"เราว่าอะไรนะ? ใครเป็นลูกความอะไร? แฟนเจมันจะเป็นลูกความเราได้ยังไง?"

พิมพูดเสียงแผ่วเบา บูมถอนหายใจ

"ตอนแรกผมเองก็ตกใจเหมือนกันที่เจอคุณฆาเบียร์ที่นี่ ผมเคยเจอเขาบ้างที่ฮ่องกง บริษัทของคุณหว่อง พ่อบุญธรรมของคุณฆาเบียร์เป็นลูกค้าของ Law Firm ที่ผมทำงานอยู่มาหลายสิบปีแล้ว ทีมที่ผมทำงานด้วยตอนนี้ก็ดูแลบริษัทนี้โดยตรงนะครับ "

"บริษัทของลูกรับแต่เคสใหญ่ๆ ไม่ใช่เหรอ? พวกบริษัทเล็กๆ กิจการในครอบครัวนี่ก็รับด้วยเหรอ?"

พิมถามขึ้น เธอเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าฆาเบียร์ไม่น่าจะใช่ฝรั่งไก่กาอย่างที่เธอคิดไว้ในตอนแรก บูมหัวเราะหึๆ เจ้าเจกับคุณฆาเบียร์คิดว่าจะปิดบังเรื่องนี้ไว้ได้แค่ไหนกัน เขาตัดสินใจยังไม่เล่าอะไรให้แม่เขาฟังมากนัก

"เอาเป็นว่าบริษัทผมรับเคสจากที่นั่นก็แล้วกัน และมันก็เป็นงานที่ผมทุ่มเททำให้มาก ฉะนั้นผมขอล่ะครับ เห็นแก่หน้าที่การงานของผม แม่เลิกยุ่งกับสองคนนั่นซักที ไว้ผมจะคุยกับแม่เรื่องนี้ทีหลัง ตอนนี้แม่ไปอยู่กับพ่อก่อนนะ เดี๋ยวผมต้องคุยงานกับคุณฆาเบียร์ต่อ"

ทนายหนุ่มปดแม่ของเขาไปในตอนท้าย พิมอึ้งไป เธอพยักหน้าตอบรับอย่างงงๆ และลุกขึ้นยืนเมื่อลูกชายดึงให้ลุกและพาเดินไปตามหาพ่อของเขา เธอไม่กล้าหันไปสบตาชายหนุ่มสองคนที่นั่งมองการสนทนาของสองแม่ลูกอยู่เงียบๆ จากที่โซฟา



"พี่บูม ขอบคุณมากครับ"

เจยกมือไหว้ขอบคุณญาติผู้พี่ซึ่งยอมผิดใจกับแม่เพื่อเขา ฆาเบียร์เองก็ค้อมหัวน้อยๆ ให้กับบูม เจแปลสิ่งที่บูมคุยกับแม่ให้เขาฟังเรียบร้อย

"พี่ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเจกับคุณฆาเบียร์ พี่ควรช่วยพูดห้ามแม่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ไม่กล้าทำ"

ทนายหนุ่มถอนหายใจ ในตอนนี้เขามีข้ออ้างที่จะทำให้แม่เขาเลิกยุ่งกับญาติผู้น้องคนนี้ได้แล้ว

"แล้วอาพิมเขาเป็นไงมั่งอ่ะ?"

เจถามเสียงอ่อยๆ เขาอดสงสารขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าที่สับสนของอาสะใภ้

"แม่คงยังงงๆ น่ะ เจ แกมึนๆ ไวน์อยู่ด้วยมั้ง เดี๋ยวคืนนี้พี่กับพ่อจะคุยกับแม่อีกที แต่คิดว่าหลังจากนี้อะไรๆ คงดีขึ้นแล้วล่ะ"

บูมลงนั่งเก้าอี้นวมในชุดรับแขก บรรดาญาติๆ ที่เห็นเหตุการณ์พากันเข้ามาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสามตอบไปคร่าวๆ เพียงว่าบริษัทที่ฮ่องกงของฆาเบียร์บังเอิญเป็นลูกความที่ทีมของบูมดูแลอยู่ บูมก็เลยขอให้แม่เห็นแก่เขาและเลิกยุ่งกับเจ ทั้งเจนยุทธและบูมกล่าวขอโทษญาติพี่น้องที่ทำให้เกิดเหตุทะเลาะหรือเสียงดังจนทำให้เสียฤกษ์ในวันตรุษจีน แต่ก็ไม่มีใครโกรธเคืองอะไร ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่เจจะได้พ้นจากการถูกกระแนะกระแหนได้เสียที

"คุณนี่คงเป็นเทวดานำโชคของเจมันจริงๆ นะ ฆาเบียร์"

ญาติคนหนึ่งของเจกล่าวขึ้น พร้อมกับตบไหล่หนาแข็งแรงของฆาบี้

"ใช่ๆ คิดดูนะ มันจะมีโอกาสแค่ไหนที่คุณกับบูมจะรู้จักกัน ถือเป็นโชคของไอ้เจแล้ว ในที่สุดน้าพิมก็จะได้เลิกแซะซะมันที"

ลูกพี่ลูกน้องอีกคนของเจเสริมมา

"งั้น พวกพี่ๆ อาๆ อยากจะลองเสี่ยงโชคกับเทวดาฆาเบียร์ดูอีกสักทีไหมครับ?"

เจพูดยิ้มๆ กับก๊วนโป๊กเกอร์ ทุกคนล้วนแต่ทำหน้าเบ้ พวกเขาโวยลั่นว่าโดนเจหลอกต้มโดยส่งมืออาชีพมาเล่นด้วย บรรดาญาติผู้ชายของเจในวงโป๊กเกอร์โดนฆาเบียร์กวาดเงินจนเกลี้ยงกระเป๋ากันหมด แต่เมียตัวโตของเจก็ทำแบบเดียวกันกับตอนปีใหม่คือเขาเก็บไว้แค่เงินต้น และส่งเงินที่ได้มาคืนให้เจ้าของเดิมจนหมด เขาสนใจแค่ความตื่นเต้นจากเกมเท่านั้น



"ทำอะไรน่ะ พี่บูม?"

เจเดินมาที่โต๊ะกินข้าว เขาเมียงมองดูพี่ชายที่รัวนิ้วพิมพ์บนคีย์บอร์ดที่เชื่อมต่อกับเครื่อง Surface ของเขา

"พี่ส่งข้อความไปบอกอลัน เอ่อ คุณวูน่ะ ว่าเจอกับเจและคุณฆาเบียร์ที่นี่ “

บูมหัวเราะเบาๆ เมื่อครู่เขาแยกจากก๊วนญาติมาเช็คเอกสารที่ติดมือมาอ่านด้วยเลยถือโอกาสติดต่อกลับไปหาหัวหน้าทีมของเขา

“คุณวูเขาแซวใหญ่ว่าพี่คงไม่มีดวงเรื่องพักผ่อน นี่ขนาดวันหยุดยังเจองานงอก”

“ผมทำให้พี่ไม่ได้พักผ่อนหรือเปล่าเนี่ย?”

เจนยุทธทำหน้าจ๋อย ญาติผู้พี่ของเจยกมือลูบหัวน้องชายเบาๆ

“ไม่หรอก พี่ก็อยากจะเร่งจัดการเอกสารของเจให้เสร็จด้วยเพราะพี่ก็ยังมีเคสอื่นในมืออีก นี่พี่ถามไปทางคุณวูว่าเขาต้องการเอกสารอะไรเพิ่มเติมอีกไหม เผื่อพี่ขอจากเจไปได้จะได้ขอไปเลย พี่ยังอยู่นี่อีกสองสามวัน แล้วพี่ขอให้เขาร่างสัญญาที่พี่บอกเจไว้มาให้ด้วย เผื่อจะได้ปรินท์มาให้เซ็นเลย พี่มีกระดาษของสำนักงานติดมาด้วยอยู่แล้ว"

"เดี๋ยวๆ แพทริค สัญญาอะไร?"

ฆาเบียร์ที่มายืนฟังอยู่ใกล้ๆ ถามเสียงเข้มเมื่อได้ยินคำว่า Contract ในประโยคภาษาไทยที่ทั้งสองคุยกัน บูมหันไปตอบว่าคือสัญญาเรื่องที่เจจะยกหุ้นคืนให้ทางฆาเบียร์ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้น คนตัวโตตีหน้ายักษ์ทันที

"ไม่ต้อง! แค่ใบ MOU ใบนั้นก็พอแล้วน่า แพทริค ไม่ต้องทำเพิ่มแล้ว แค่นั้นก็ใช้ได้แล้ว"

เขาลงนั่งข้างเจนยุทธที่โต๊ะกินข้าวด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์

"แต่คุณฆาเบียร์ครับ ผมว่ามันยังมีข้อหละหลวมและไม่ครอบคลุมอีกหลายจุดนะครับ ภาษาที่ใช้ก็ยังไม่ใช่ภาษากฎหมาย เดี๋ยวผมร่างใหม่ให้แน่นหนารัดกุม ไม่มีช่องโหว่เลย ร่างให้ฟรีครับ ไม่คิดตังค์"

บูมพูดอย่างพาซื่อพร้อมฉีกยิ้มกว้างให้ลูกความของเขา

"โอ๊ย ผมไม่อยากได้สัญญาบ้าบออะไรนี่ ไอ้ฉบับแรกผมยังอยากฉีกๆ ทิ้งไปซะด้วยซ้ำ แต่เจเขาไม่ยอม บ้าจริง!"

ญาติผู้พี่ของเจทำหน้างง เขาเข้าใจว่ามันเป็นการตกลงของทั้งสองฝ่ายโดยมีฆาเบียร์เป็นคนกำหนดข้อตกลงนั้นเอง เขาเข้าใจเช่นนั้นเพราะเห็นลายมือที่เขียนบนนั้นเป็นลายมือของหนุ่มละตินคนนี้



"เจเขาบังคับให้ผมเขียน ผมไม่ได้อยากให้เขาคืนหุ้นอะไรพวกนั้นเลย ยิ่งมาพูดถึงเรื่องล่งเลิกจากเป็นจากตายอะไรพวกนั้น ผมยิ่งไม่อยากฟัง"

คนตัวโตเสียงเครือ เจถอนหายใจ เขาลูบหลังคนรักเบาๆ

"น่าๆ คุณ ทำสัญญาไว้เถอะ ถือว่าทำให้ผมได้สบายใจบ้างนะ ฆาบี้ คุณก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครมาหาว่าเกาะคุณกิน ร่างๆ มาเหอะ พี่บูม เขียนให้รัดกุมแน่นหนาเลยล่ะ”

ทนายหนุ่มหันไปสบตาอย่างหวาดๆ กับฆาเบียร์ที่มีน้ำตาเอ่อคลอในดวงตา เมียตัวโตของเจถอนหายแล้วพยักหน้าตอบรับ เขาบ่นเจนยุทธชุดใหญ่ เจยิ้มให้คนรักแล้วใช้นิ้วปาดน้ำตาจากดวงตาคู่งามนั้น

“อย่าเป็นแบบนี้สิครับ ม...เอ๊ย ฆาเบียร์ ก็แค่เพื่อความสบายใจน่า”

เจรีบกัดลิ้นตัวเองก่อนจะพูดคำติดปากนั้นออกมา คนตัวโตจิ๊ปากน้อยๆ ไอ้ตัวดีของเขานี่ช่างไม่ระวังอะไรเลย เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วหันไปหาญาติผู้พี่ของเจนยุทธ

“ก็ตามนั้นแล้วกัน แพทริค ให้เจเขาทำตามใจเขาไป ผมยอมแพ้แล้ว”

บูมยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นคุณมาร์ติเนซผู้แข็งกร้าวในวงธุรกิจยอมสยบแก่ญาติผู้น้องของเขา

“ไว้คืนนี้ผมจะกลับไปเตรียมเอกสารให้นะครับ แล้วเราค่อยนัดเจอกันอีกสักวันก่อนผมกลับฮ่องกง”



“นี่ๆ แล้วพี่บูมมีเฟซบุ๊ค ไอจีอะไรพวกนี้ไหมอ่ะ ผมจะได้ไปแวะส่องชีวิตพี่บ้าง”

เจยกมือถือของเขาขึ้นมารอแอดพี่ชาย บูมยิ้มอายๆ แล้วส่ายหัว

“ไม่มีเลยเจ พี่ไม่เล่นพวกโซเชียลมีเดีียพวกนี้เลย ทุกวันนี้แค่ทำงานพี่ก็แทบแย่แล้ว ไม่มีเวลาไปเล่นพวกนี้หรอก พี่มีแต่แอคเคาท์ LinkedIn เฟซบุ๊คมีแต่ที่ทางออฟฟิศเขาทำให้แต่ก็ไม่เคยเข้าไปอัพเดทเลย ขนาดไลน์พี่ยังเพิ่งสมัครตอนย้ายไปอยู่ฮ่องกงเลย แม่บังคับให้สมัครน่ะ อ้อ แล้วก็มี WeChat เอาไว้ติดต่อกับคนที่ทำงาน”

ทนายหนุ่มหัวเราะเบาๆ เขาบอกว่าสมัยก่อนเขาพยายามเลี่ยงการมีพวกสื่อออนไลน์พวกนี้เพื่อไม่ให้ถูกตามงานในช่วงวันหยุด แต่พอไปอยู่ฮ่องกงมันก็เลี่ยงไม่ได้

“งั้นเอาไลน์มาเลย ผมขอแอดหน่อย เผื่อเวลาไปฮ่องกงจะได้ชวนพี่กินข้าว ไม่ก็จะฝากพี่สอดส่องพฤติกรรมคนนู้นเขาหน่อย”

เจพูดยิ้มๆ แล้วบุ้ยปากไปทางฆาเบียร์ คนตัวโตสะดุ้ง

“เฮ้ย จะมายุ่งอะไรกับฉันล่ะ? นี่นายมีเมลิน่า ริคกี้แล้วก็อาปาเป็นพวกแล้วยังไม่พออีกเหรอ? กระทั่งอาเหลียงก็ยังเข้าข้างเจเลย นี่ยังจะให้บูมคอยตามดูฉันอีกเนี่ยนะ?”

เจนยุทธหัวเราะคิกคัก แต่ก็ต้องทำหน้ามุ่ยเมื่อบูมปฏิเสธเสียงแข็งแล้วบอกว่าเขาต้องรักษาความลับของลูกความ



“คุยอะไรกันจ๊ะ หัวเราะกันใหญ่เลย”

อิ่มใจเดินมาหาสามหนุ่ม

"ไง บูม โลกกลมดีแท้ๆ นะ"

เธอพูดกลั้วหัวเราะ บูมยิ้มกว้างให้ญาติผู้พี่ของเขา

"นั่นสิ พี่อิ่ม ผมก็ไม่นึกนะว่าคุณฆาเบียร์จะเป็นแฟนของเจ ว่าแต่พี่อิ่มเถอะ เมื่อไหร่จะเลิกหวงความโสดซะที"

อิ่มทำหน้านิ่วใส่น้องชาย

"พอๆ ไม่ต้องมาถามพี่เรื่องนี้เลย วันนี้พี่โดนถามมาสามล้านรอบแล้วมั้ง ก็บอกแล้วว่าไม่แต่งๆ อยู่แบบนี้สบายกว่าตั้งเยอะ ว่าแต่เราเถอะ บูม ไปอยู่ฮ่องกงเจอสาวๆ ที่ถูกใจมั่งหรือยัง? เราหน้าตาก็ดี หน้าที่การงานก็ดี พี่ไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีแฟนซักคนสองคนหรือซักโหลสองโหลน่ะ"

ทนายหนุ่มหัวเราะแล้วโบกไม้โบกมือให้พี่สาวของเจ

"โอ๊ย พี่ แค่ทำงานทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีเวลากินเวลานอนแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน ผมก็คงหวงความโสดเหมือนพี่อิ่มนั่นแหละ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะทำทีท่าเป็นปกติ เจแอบสังเกตเห็นท่าทางนั้นของคนรัก เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ พ่อคนตัวโตของเขาน่าจะรู้อะไรๆ มากพอสมควร แต่ถ้าฆาเบียร์ไม่เล่า เขาก็ยังจะไม่ถาม



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ความลับ (ต่อ) ----



พวกเขาสี่คนนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานโดยมีญาติรุ่นเดียวคนอื่นกันมาร่วมวงคุยด้วย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงช่วงเย็น

"เจ งั้นเรากลับกันเถอะ แม่เรียกแล้ว"

อิ่มใจเห็นแม่เดินมากวักมือเรียกจึงชวนน้องชายและฆาเบียร์ให้กลับ

"อ้าว แล้วเราไม่อยู่กินข้าวที่นี่กันต่อเหรอ?"

เจทำตาละห้อย ท้องน้อยๆ ของเขาเริ่มร้องโครกครากอีกแล้ว แถมอาหารบ้านนี้ก็อร่อยเหลือเกิน อิ่มส่ายหัว

"ไม่รู้เหมือนกัน แม่คงไม่อยากเข้าบ้านค่ำมากนักมั้ง เดี๋ยวพี่ไปหาแม่ในครัวก่อน เราก็รีบๆ ตามเข้ามาล่ะ"

เจลุกขึ้นและบอกลาญาติๆ เขานึกอะไรออกมาได้แล้วเรียกพวกหลานๆ ตัวแสบที่ยังนั่งเล่นเกมอยู่แถวนั้นเข้ามา

"เอ้า เอาไป ปีที่ผ่านมางานดีเงินดี อาเลยพอมีอั่งเปาให้พวกเรามั่ง ไม่มากไม่มายนะ เอาไปเป็นเงินขวัญถุงแล้วกันนะ"

เจยื่นซองแดงให้หลานๆ คนละซอง เขาไม่ได้ใส่ตังค์ให้เยอะอะไร แต่พวกเด็กๆ ต่างก็ดีอกดีใจที่ได้อั่งเปาจากเจ พวกพ่อแม่ของเด็กๆ พวกนั้นก็หัวเราะอย่างเอ็นดู

"นี่ ปีนี้พวกพี่ไม่ให้ซองเจแล้วนะ ก็เรามีแฟนแล้วนี่ "

เจอ้าปากหวอ

"อ้าว เฮ้ย ได้ไงอ่ะพี่ ผมก็ยังโสดนะ..."

เจหลุดปากพูดออกมา แล้วก็ต้องใจหายวาบ เขารีบเหลือบมองปฏิกิริยาของพ่อคนจิตใจอ่อนไหวของเขา เจนยุทธระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นฆาเบียร์ยังมีทีท่าเป็นปกติ

"เอ่อ คือ ผมหมายถึงว่า ผมยังไม่ได้แต่งงานซักหน่อย"

เจกระมิดกระเมี้ยนพูด

"อืมม์ ที่แคลิฟอร์เนียแต่งได้แล้วนะ เจ เมื่อไหร่ดีล่ะ เดี๋ยวพี่ไปหาข้อมูลให้"

บูมส่งเสียงข้ามโต๊ะมา คนตัวโตของเจยิ้มกริ่มเมื่อเห็นคนรักหน้าแดงแปร๊ด หากก็ต้องหน้าสลดไปเล็กน้อยเมื่อคนตัวเล็กปฏิเสธพัลวันว่าเขายังไม่ได้คิดไปถึงเรื่องนั้น ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ คงมีแต่เขาที่คิดฝันไปไกลถึงขนาดนั้น หากเขายิ้มออกมาได้อีกครั้ง เมื่อเจแอบยื่นมือมากุมมือเขาไว้แน่นที่ใต้โต๊ะ พวกพี่ๆ ของเจยังแซวคู่รักคู่นี้ต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะปล่อยให้พวกเขากลับ โดยไม่ลืมแจกซองที่เตรียมมาให้น้องน้อยของพวกเขาด้วย



"ปีนี้ได้ครึ่งเดียวนะ อีกครึ่งไปขอเอาที่นู่น"

ญาติผู้พี่ที่อาวุโสที่สุดของเจพยักเพยิดไปยังคนตัวโตที่ยืนยิ้มละไมอยู่ด้านหลังเจนยุทธ ฆาเบียร์เองก็ได้อั่งเปาจากญาติๆ ของเจด้วยเช่นกัน

"ไม่ต้องขอหรอก เจ นี่ ฉันยกให้นายหมดเลย"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ พร้อมยื่นซองแดงทั้งหมดในมือให้คนตัวเล็ก ท่าทางของเขาเรียกเสียงฮือฮาจากญาติๆ ของเจได้ไม่น้อย

"โอ๊ย หงอเมียแบบนี้ สบายแล้ว ไอ้เจเอ๊ย"

เสียงญาติหนุ่มสักคนแซวขึ้นเป็นภาษาไทย เจหน้าแดงแปร๊ด เขาดูออกว่าญาติๆ ทุกคนคงคิดแน่นอนว่าเขาต้องเป็นฝ่ายอยู่ล่างแน่ๆ แต่เขาก็ไม่กล้าจะพูดอะไรออกไปให้เมียตัวโตของเขาได้อาย และได้แต่เลยตามเลยไปอย่างนั้น ฆาเบียร์ได้แต่หัวเราะเมื่อบูมอธิบายให้เขาฟังว่าทำไมญาติของเขาถึงได้หน้าแดงขนาดนั้น



"ผมยอมยกให้คุณวันนึงนะ ฆาบี้ ปีหน้าผมจะจับคุณกดต่อหน้าทุกคนเลย คอยดูเหอะ"

เจกระซิบขู่คนรัก คนตัวโตอดไม่ได้ต้องแอบหอมแก้มใสๆ ของเจไปทีนึงตอนที่ไม่มีใครเห็น

"ยังไงก็ได้เลยจ้ะ เจ แต่คืนนี้ฉันขอกดเจก่อนนะ"

เมียตัวโตที่คิดแข็งข้อกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเจนยุทธ เจอุทานลั่นแล้วซัดผัวะเข้าที่หน้าท้องของคนรักจนตัวงอ ก่อนจะเดินตุปัดตุป่องไปหาแม่ของเขาในครัว ไม่นานเขาก็เดินยิ้มแฉ่งกลับออกมาพร้อมถุงพะรุงพะรังในมือ

"อะไรน่ะ เจ?"

"กับข้าววันตรุษจีนของบ้านนี้น่ะ อาๆ เขาห่อให้มา มีกะเพราเป็ดกับต้มยำหมูสามชั้นที่เรากินเป็นมื้อเที่ยง มีกุ้งเผานิดหน่อย เนื้อปูผัดผงกะหรี่ ไก่รวนเค็ม แต่คนละสูตรกับของที่บ้าน เย็นนี้แม่ไม่ต้องทำกับข้าวแล้วอ่ะ"

เจพูดยิ้มๆ เขากับแม่และพี่สาวลากฆาเบียร์ไปตระเวนกราบลาญาติพี่น้องทุกคน และมาหยุดที่ครอบครัวของพิม เจยกมือไหว้อาและอาสะใภ้ ซึ่งก็รับไหว้เขาตามปกติ แต่คราวนี้ไม่มีคำพูดส่อเสียดใดๆ ออกมาจากปากอาสะใภ้ของเขาอีก เจยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจ เขาเองก็ไม่หวังให้พิมจะต้องมาญาติดีอะไรกับเขา แค่ขอให้หยุดคำพูดที่เสียดแทงใจเขาก็พอ แม่ของเขาคุยกับเพื่อนเก่าของเธอเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวคำลา

"เดี๋ยว ฟองนวล..."

พิมเรียกเพื่อนของเธอไว้

"ขอโทษนะ สำหรับเรื่องที่ผ่านๆ มา"

เธอพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ฟองนวลยิ้มน้อยๆ สำหรับคนทิฐิแรงอย่างพิม เธอได้คำขอโทษแค่นี้ก็เป็นที่พอใจแล้ว

"อืมม์ จ้ะ"

แม่ของเจตอบรับ พิมอึกอักเล็กน้อย

"แล้ว ฉัน เอ่อ ฉันขอฝากพ่อบูมกับคุณฆาเบียร์เขาด้วยนะ ขอช่วยดูแลลูกให้ฉันด้วย เขาไปอยู่ไกลหูไกลตา ฉันเป็นห่วง"

พิมพูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษด้วยใบหน้าแดงซ่าน ฆาเบียร์ยิ้มละไม

"ไม่ต้องห่วงครับ ญาติของเจก็เหมือนเป็นญาติของผมด้วย ผมจะช่วยฝากฝังแพทริค เอ่อ บูมเขากับอาปาของผมอีกที แล้ว Aunt Pim ไม่ต้องห่วงบูมเขานะครับ เท่าที่ผมเห็นหัวหน้าทีมเขาที่ฮ่องกงก็ดูแลเขาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว รับรองว่าเขาไม่ได้ลำบากแน่ๆ"

เจหรี่ตาดูพ่อคนตัวโตของเขา ตาคนนี้น่าจะรู้อะไรมากกว่าปากพูด ถ้าดูไม่ผิด เขาเห็นพี่ชายของเขาแอบหน้าแดงน้อยๆ อีกด้วย จากที่ไม่สนใจจะถามในทีแรก เจกลับเปลี่ยนใจและหมายมั่นปั้นมือว่าคืนนี้จะต้องเค้นคอเอาความจริงจากฆาเบียร์มาให้ได้



"เออ แพทริค..."

ฆาเบียร์ยังคงเรียกชื่อนี้ตามความเคยชิน บูมซึ่งเดินมาส่งลูกความของสำนักงานถึงรถตอบรับคำ

"นายใช้ WeChat ด้วยใช่ไหม? ฉันเหมือนจะมีแอคเคาท์ของนายอยู่"

ฆาเบียร์ยกโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาเปิดดู แล้วส่งให้บูมดูว่าถูกหรือไม่ ทนายหนุ่มพยักหน้ารับคำ ฆาเบียร์กดๆ ส่งอะไรให้ แล้วพูดยิ้มๆ

"เอ้า ฉันให้อั่งเปานาย ถือว่าเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ในการพบปะกันครั้งแรกในฐานะญาติ แล้วก็รับขวัญในฐานะที่ต้องทำงานด้วยกันต่อไปในอนาคตด้วยนะ"

เมียตัวโตของเจก้าวขึ้นรถและโบกมือลา  ทิ้งให้ทนายหนุ่มอ้าปากค้างกับจำนวนเงินที่เขาเห็น



"นี่ พ่อสายเปย์ ใส่ซองให้พี่บูมไปเท่าไหร่ล่ะ พี่แกถึงทำตาโตเหมือนไข่ห่านขนาดนั้น"

"ไม่เยอะเท่าไหร่หรอกเจ ก็เท่าๆ กับที่เจให้แม่เมื่อกี้แหละ"

"ห้าพัน? ไม่เชื่ออ่ะ ตาแทบจะถลนขนาดนั้นไม่น่าจะแค่นั้น ไอ้ห้าพันที่ว่าน่ะ หน่วยเป็นอะไร?"

คนตัวโตอ้อมแอ้มตอบว่าเป็นดอลลาร์ฮ่องกง

"ก็...ถ้าฉันทำดีกับบูม แม่เขาจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับเจมากนักไง"

คนตัวโตลงนอนหนุนตักเจนยุทธ เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาใช้นิ้วม้วนผมนิ่มของคนรักเล่น

"แบบนี้ก็เหมือนผมใช้เงินซื้อใจอาพิมกับจับพี่บูมเป็นตัวประกันเลยสิ..."

เจบ่นเบาๆ ฆาเบียร์ยกมือคนตัวเล็กของเขามาหอมเบาๆ แล้วดึงมาแนบแก้ม​

"เจจ๊ะ กับบางคนก็ต้องใช้วิธีแบบนี้เท่านั้น จะไปคอยอดทนทำดีด้วยแล้วหวังให้เขาเปลี่ยนเองน่ะ คงเป็นไปไม่ได้ ฉันรับรองได้เลยว่าหลังจากนี้อาพิมเขาคงจะเลิกยุ่งกับครอบครัวเจแล้วล่ะ"

เจพยักหน้ารับ เขานึกถึงเรื่องที่เขาพูดตอนนั่งกินข้าวกับแม่



เมื่อกลับถึงบ้าน เจและฆาเบียร์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้โดยละเอียดให้แม่เขาฟังอีกครั้งหนึ่งระหว่างกินมื้อเย็น ฟองนวลซึ่งได้ยินจากญาติๆ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์มาบ้างแล้วถอนหายใจเมื่อเจเล่าจบ เธอเองก็ไม่อยากให้พิมต้องโดนยาแรงแบบนี้ สำหรับคนที่เกลียดการแพ้อย่างพิม การถูกลูกชายคนโปรดหักหน้าท่ามกลางหมู่ญาติคงเป็นเรื่องที่ยากจะรับ ไหนจะเรื่องที่ต้องมายอมให้กับคนที่ตัวเองเคยข่มและกระแนะกระแหนมาตลอดนั้นคงทำให้เธอทุกข์ใจพอสมควร

"ช่างอาพิมเขาเถอะแม่ เรามาเป็นนางเอกคอยคิดแทนเขาไปก็เท่านั้น ไม่แน่นะ หลังจากนี้อาเขาอาจจะปล่อยวางและเป็นสุขก็ได้ เพราะไม่ต้องมาหาเรื่องคอยแซะพวกเราแล้ว"

อิ่มใจพูดขึ้น เจแอบสบตากับฆาเบียร์ พวกเขายังไม่ได้เล่าให้ฟองนวลและอิ่มใจฟังเรื่องที่อาทรัพย์มาคุยกับพวกเขา และตัดสินใจจะเก็บมันเป็นความลับตลอดไป ตัวเจค่อนข้างมั่นใจว่าหลังจากวันนี้ครอบครัวนั้นคงจะนั่งลงคุยกันเรื่องนี้ และทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี เขาก็ได้แต่หวังว่าสุดท้ายแล้วพิมจะสามารถกลับมาทำตัวให้สมกับเป็นเพื่อนเก่าแก่กับแม่ของเขาได้สักที



"เจจ๊ะ คิดอะไรอยู่เหรอ Mi amor"

ฆาเบียร์จูบเบาๆ ที่หน้าท้องซึ่งมีกล้ามน้อยๆ ของเจนยุทธ กลิ่นสบู่อ่อนๆ จากกายคนรักชวนให้เขารังแกมันเหลือเกิน

"ผมแค่คิดเรื่องพี่บูมน่ะ ผมว่าตอนก่อนกลับพี่เขาดูมีท่าทีแปลกๆ คุณก็เหมือนกัน ฆาเบียร์ มีอะไรปิดบังผมหรือเปล่า"

เจนยุทธดันหน้าคนตัวโตที่ทำท่าจะซุกซนไปไกลให้หันกลับมามองหน้าเขา ฆาเบียร์หลบตาและทำท่าอึกอัก

"เล่ามา เดี๋ยวนี้เลย มีความลับอะไรกันนักหนา"

"เอ่อ คือ เฮ้อ...แพทริคเขา เอ่อ เขามีคนรักอยู่ที่ฮ่องกงน่ะ "

นั่นปะไร...เจถอนหายใจเฮือก ถ้าอาพิมรู้รับรองว่าชีวิตของพี่ชายเขาไม่ได้สงบสุขแน่ๆ

"แล้วคุณรู้ใช่ไหม ว่าคนรักของพี่เขาเป็นใคร?"

เจใช้คำว่า lover ตามฆาเบียร์ คนตัวโตพยักหน้าน้อยๆ

"ใช่ ฉันรู้จัก เจก็รู้จักด้วยนะ..."

เจทำหน้างง

"ก็อลันไง อลัน วู คุณวูคนนั้นแหละแฟนของบูม"

คนตัวโตโพล่งออกมา เขาอัดอั้นอยากเม้าเรื่องนี้ให้เจฟังมาตั้งแต่กลางวันแล้ว

"หา? คุณวูหัวหน้าทีมของพี่บูมอ่ะนะ? โห นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ย คนใกล้ตัวจริงๆ"

ถึงคราวฆาเบียร์ต้องงงบ้าง เจดูเหมือนจะแปลกใจกับการที่บูมมีอลันเป็นแฟนมากกว่าที่จะตกใจว่าพี่ชายของตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชาย เจหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของคนรัก

"นี่คุณ ผมรู้มานานแล้วล่ะว่าพี่บูมเป็นเกย์..."



เมื่อหกปีที่แล้ว เจนยุทธที่เพิ่งเรียนจบได้ไม่นานกำลังหลงระเริงกับการเที่ยวกลางคืน เขาออกเที่ยวทุกคืนโดยควงสาวไม่ซ้ำหน้า คืนหนึ่งขณะที่เขากำลังเต้นอย่างสนุกสนานและนัวเนียกับสาวๆ อยู่ในผับ เขาก็หันไปเจอคนหน้าคุ้นๆ ที่บาร์

"อ้าว พี่บูมนี่หว่า มาทำอะไรแถวนี้วะเนี่ย?"

เจพึมพำกับตัวเอง ลูกพี่ลูกน้องของเขามากับเพื่อนหนุ่มสาวชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่ เจได้ยินจากแม่ว่าญาติผู้พี่ของเขาคนนี้กำลังเรียนป. โทปีสุดท้ายที่สหรัฐฯ แต่เขาก็ไม่นึกว่าจะมาเจอบูมที่เชียงใหม่ เจทิ้งสาวที่เขาเข้าไปสีเมื่อครู่ และพยายามเดินแทรกผู้คนที่เบียดเสียดเข้าไปหาพี่ชายของเขาที่บาร์ แต่บูมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งก็เดินผละออกจากกลุ่มไปทางห้องน้ำ เจจึงรีบเดินตามไปเพื่อทักทายญาติสนิทของเขาคนนี้ เขาต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเปิดประตูห้องน้ำชายเข้าไปเห็นพี่ชายกำลังจูบอย่างดูดดื่มอยู่กับหนุ่มผมทองคนนั้น เขารีบเผ่นออกมาก่อนที่ทั้งสองจะทันรู้ตัว

"ก็ตามนั้นแหละ ฆาบี้ ผมก็ไม่กล้าเข้าไปทักพี่เขา ใจนึงก็หวังอยากจะให้จำคนผิด แต่ก็ไม่ผิดไง วันรุ่งขึ้นพี่เขาโทรมาหาที่บ้าน ชวนไปกินข้าวที่บ้านวัดเกต บอกว่าพาเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันมาเที่ยวเชียงใหม่ พอพวกผมไปที่นั่น ก็โป๊ะเช๊ะเลย เจอกลุ่มนั้นทั้งกลุ่ม รวมทั้งหนุ่มหัวทองคนนั้นด้วย ผมก็เลยรู้ว่าพี่บูมเขามีรสนิยมแบบนี้"

"แล้วนายก็เก็บเรื่องนี้เงียบมาตั้งหกปีเนี่ยนะ?"

เจพยักหน้า เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังแม้กระทั่งแม่และพี่อิ่ม เขามองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ชายและไม่เคยเอามาเป็นประเด็นใดๆ

"แล้วตอนอาพิมเขาว่านายแรงๆ อย่างวันนี้น่ะ ทำไมเจไม่สวนกลับไปบ้างล่ะ ไม่พูดใส่หน้าเขาไปเลยว่าลูกชายของเขาก็เป็นเหมือนกันกับเรา"

เจใช้นิ้วดีดหน้าผากคนตัวโตที่นอนหนุนตักเขาอยู่เพี๊ยะใหญ่

"นี่แน่! คิดงี้ได้ไง คุณนี่ อย่าพูดไปเชียวนะ สงสารพี่บูมเขา..."

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

"แต่พูดก็พูดนะ หลายครั้งเหมือนกันที่ผมโดนแซะหนักๆ จนผมอยากจะพูดใส่หน้าอาเขาเรื่องพี่บูม แต่ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมที่จะเอาไปพูดได้..."

เจลูบผมคนรักเบาๆ

"คุณรู้ไหม ผมคิดตลอดนะว่าอย่างเราเจออาพิมแกปีละไม่กี่หน ถูกแกแซะ ถูกเปรียบเทียบแค่นี้ยังเจ็บจี๊ดเลย แล้วคนที่ต้องอยู่กับแกตลอดชีวิตล่ะ นิสัยอย่างอาพิม คนรอบข้างคงต้องถูกกดดันมากแน่ๆ ต้องถูกเอาไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้แหงๆ ทั้งลูกทั้งสามี ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้ดั่งใจอาพิมตลอดหรอก มันต้องมีช่วงเวลาที่ถูกอาพิมเขากระแนะกระแหนเหมือนที่ผมโดน ฉะนั้น ถ้าพี่บูมแกอยากจะใช้ชีวิตตามใจตัวเองบ้างลับหลังแม่ ผมก็ไม่อยากจะไปทำลายมันหรอก"

เรื่องนี้จะคงเป็นความลับเล็กๆ ของเจตลอดไปจนกว่าจะถึงวันที่บูมยอมเผยตัวเองกับแม่ ฆาเบียร์ยันกายขึ้นแล้วดึงคนตัวเล็กของเขามากอดแนบอก นิสัยแบบนี้ของเจนั่นแหละที่ทำให้เขาตกหลุมรักคนๆ นี้จนโงหัวไม่ขึ้น เจกอดคนรักตอบและเผยอปากรับจูบที่ประทับลงมา



"นี่ แล้วคุณรู้ได้ไงว่าคุณวูเขาเป็นแฟนพี่บูม?"

เจไล้นิ้วไปตามไรขนบนแผงอกกว้างที่เป็นหมอนให้เขาแนบซบ

"อืมม์ นายก็รู้ว่าฉันกับอลันสนิทกัน..."

อลัน วู ทำงานเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับบริษัทของคริสตั้งแต่ตอนที่เขายังหนุ่มๆ และเพิ่งเข้ามาทำงานกับสำนักงานกฎหมายข้ามชาติแห่งนี้ใหม่ๆ ด้วยความสามารถทำให้เขาก้าวหน้าในสายงานนี้อย่างรวดเร็วจนกระทั่งได้ขึ้นเป็นระดับหัวหน้า เขายังได้รับความไว้วางใจจากบริษ้ทของคริสเป็นอย่างมากและเรียกใช้งานเขาต่อเนื่องมานับสิบปี ตัวคริสเองก็ถูกใจที่ปรึกษาหนุ่มคนนี้เป็นการส่วนตัวเนื่องจากนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตนและจริงใจ แถมพวกเขายังคุยกันถูกคอ ตอนฆาเบียร์เริ่มตามคริสมาทำงานที่ฮ่องกงเมื่อหลายปีก่อน คริสก็ฝากฝังลูกของเขาไว้กับอลันซึ่งอายุมากกว่าฆาเบียร์สองสามปี

"อาปาให้อลันเขาพาฉันเที่ยว ไปนั่นมานี่ เหมือนเป็นเพื่อนกินข้าว เพื่อนเที่ยว พวกเราสนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะอลันเองก็จบจาก Law School ของม. S เราเลยคุยกันเรื่องชีวิตที่พาโล อัลโตได้ และที่สำคัญ ฉันรู้ได้ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกว่าเรามีรสนิยมทางเพศเหมือนกัน..."



"เดี๋ยว! หยุด! อย่าบอกนะว่าคุณวูก็เป็นกิ๊กเก่าคุณด้วยอ่ะ!"

เจว๊ากลั่น คนตัวโตหัวเราะออกมาเมื่อเห็นคนรักทำหน้าบูดใส่เขา

"เฮ้ย ไม่ใช่ๆ ฉันไม่ยุ่งกับเขาแบบนั้นหรอก อย่างแรกเพราะเรื่องงาน อลันเองเขาไม่ยุ่งกับลูกความ อีกอย่าง..."

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงวันเวลาที่เขากับอลันยังออกเที่ยวด้วยกัน

"อีกอย่างเราสองคนน่ะเป็นขั้วเดียวกัน ฉะนั้นไม่มีทางยุ่งกันเด็ดขาด มีแต่จะแย่งกันมากกว่า"

เจทำตาโต งั้นแสดงว่าพี่บูมของเขาต้องเป็นฝ่ายอยู่ล่างแน่นอน

"พอๆ เลิกจินตนาการได้แล้ว เจนยุทธ ทะลึ่งจริงนะเรา จะฟังต่อไหม?"

ฆาเบียร์ยิ้มให้เจที่ทำท่านึกไปไหนต่อไหน เจแลบลิ้นให้คนรัก คนตัวโตจุ๊บหน้าผากเนียนของเจเบาๆ แล้วเล่าต่อ



"ฉันกับอลันก็ติดต่อกันมาตลอดและเจอกันทุกครั้งที่ฉันไปฮ่องกง เรียกได้ว่าเขาเป็นเพื่อนคนแรกที่ฉันมีที่นั่นก็ว่าได้ นอกเวลางานเราก็ไปสังสรรค์เฮฮาพากันเที่ยวเสเพล ทีนี้เมื่อสักสองสามปีที่ผ่านมา ฉันก็ได้ยินว่าเขาเริ่มเดทใครบางคนและมีท่าทางว่าจะจริงจังด้วย แต่มันเป็นความสัมพันธ์แบบทางไกล อลันเล่าให้ฉันฟังว่าแฟนเขาคนนี้เป็นคนไทย พวกเขาเจอกันตอนที่เขาไปทำงานร่วมกันกับทีมที่ประจำที่กรุงเทพฯ เขารู้ในทันทีที่ได้เจอว่านี่คือคนที่ใช่สำหรับเขา"

คนตัวโตนึกย้อนไป อลันเองก็เคยเป็นนักล่าเหมือนกับเขา หากเขาหยุดพฤติกรรมนั้นทันทีที่ได้พบกับคนๆ นั้นของเขาที่กรุงเทพฯ แม้จะอยู่ห่างกันอลันก็ซื่อสัตย์กับคนรักของเขามาตลอดระยะเวลาที่คบหากัน เขาหัวเราะเมื่อฆาเบียร์บ่นว่าเขากลายเป็นคนน่าเบื่อไปแล้ว

'ถ้าคุณเจอคนที่ใช่ คุณจะรู้เองครับว่าคุณไม่ต้องการคนอื่นอีกแล้วในชีวิตนี้'


นี่คือสิ่งที่อลัน วู บอกกับฆาเบียร์และในวันนี้เขาก็เข้าใจในสิ่งที่อลันพูดแล้ว ​คนตัวโตก้มลงหอมแก้มเจนยุทธที่นอนทำตาแป๋วฟังเขาเล่าถึงชีวิตรักของพี่ชาย

"พอปลายปีที่แล้ว น่าจะช่วงหลังจากฉันกลับจากเชียงใหม่ตอน Thanksgiving อลันเขาก็พาทนายใหม่ของทีมที่ย้ายมาจากสำนักงานที่กรุงเทพฯ มาแนะนำให้ฉันรู้จัก คือต่อให้ฉันไม่ได้เข้าไปทำงานที่บริษัทของพ่ออาปาแต่ฉันก็มีชื่อนั่งเป็นกรรมการอยู่ เขาก็เลยต้องพามาแนะนำตัว ฉันก็ตะหงิดๆ กับท่าทางของสองคนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว คือตอนทำงานทั้งสองคนนี้เขาเป็นมืออาชีพมาก ไม่ได้แสดงออกให้เห็นเลยว่าเป็นแฟนกัน แต่ฉันมันความรู้สึกไวเลยพอจะจับอะไรๆ ได้บ้าง..."



ฆาเบียร์หยุดพักทบทวนเหตุการณ์แล้วเล่าต่อ

"ทีนี้มีวันนึงช่วงกลางๆ เดือนธันวามั้ง ฉันเกิดครึ้มอกครึ้มใจอยากไปแดนซ์สักหน่อย ก็เลยแวะไปที่คลับ F.L.M. แถว Sheung Wan หลังจากไม่ได้ไปซะนาน ที่นั่นมันเป็น เอ่อ เป็น..."

คนตัวโตอ้ำอึ้ง เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาดันขุดหลุมฝังตัวเองโดยการเล่าเรื่องนี้ออกไปจนได้

"มันเป็นอะไรล่ะฆาบี้ ก็บอกมาสิ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"...เป็นคลับเกย์น่ะเจ ย่าน Sheung Wan ซึ่งเป็นย่าน gay-friendly ของฮ่องกง ไว้ฉันพานายไปนะ โอ๊ยๆๆ"

เมียตัวโตของเจร้องลั่นเมื่อถูกคนรักเอาหมอนตีเข้าให้หลายตุ้บ

"นี่แน่ะๆๆ! หนีเที่ยวเหรอฆาบี้ ไหนว่าปกติไปเที่ยวแต่บาร์ธรรมดา นี่ไปเที่ยวหาหนุ่มหรือไง?"

เจแกล้งทำหน้าบึ้งใส่คนรัก เขาแทบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นใบหน้าเจื่อนจ๋อยของคนตัวโต

"โธ่ เจ ใครจะไปกล้า ฉันไปเพราะอยากไปเต้นจริงๆ ที่นั่นเขาเปิดเพลงถูกใจ ฉันไม่ได้ไปหาใครเลยจริงๆ นะ สาบานเลยก็ได้"

เจไม่ใส่ใจและใช้หมอนตีคนรักต่อ ฆาเบียร์เองก็หยิบหมอนของเขามาไล่ฟาดคนรักบ้าง สงครามหมอนจบลงด้วยร่างใหญ่กำยำของฆาเบียร์ถูกกดลงกับเตียงและร่างเพรียวของเจนยุทธนั่งคร่อมอยู่บนอก



"เอ้า ไหน เล่าต่อซิ"

เจพูดหลังจากทำโทษคนรักของเขาไปหลายจ้วบ ฆาเบียร์หันมาทำตาเยิ้มให้เจนยุทธ

"ไว้เล่าต่อพรุ่งนี้ได้ไหมเจ เรามาต่อกันเถอะ..."

คนตัวโตทำท่าจะพลิกตัวกดเจลงบ้าง แต่คนตัวเล็กขืนกายไว้

"ไม่ได้ๆ เล่าให้จบ อย่าได้ค้างคา"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ก็ไม่มีอะไร ฉันเต้นๆ อยู่ก็ชนเข้ากับอลันแล้วก็เห็นว่าแพทริค เอ่อ บูมอยู่กับเขาด้วย ฉันกรึ่มๆ บ้างแล้วก็เลยแซวเขาว่าพาเด็กใหม่มารับน้องเหรอ? แล้วก็พูดประมาณว่าไหนว่ามีแฟนแล้วจะไม่มองคนอื่น ไง เขาก็เลยบอกฉันว่าบูมนี่แหละคือคนที่เขากำลังคบหาอยู่ด้วย พวกเขาคบกันทางไกลมาตลอด อลันเองก็พยายามขอให้บูมเขาย้ายมาที่ฮ่องกง รายนั้นเขาก็แบ่งรับแบ่งสู้ จนในที่สุดมันมีตำแหน่งว่าง บูมเลยย้ายมาที่นี่แล้วก็มาอยู่ที่อพาร์ทเมนท์ของอลันเขาเลย..."

คนตัวโตพูดยิ้มๆ หลังจากบูมย้ายมา เขาเห็นได้ชัดว่าอลันดูมีความสุขมาก ฆาเบียร์บอกเจว่าทั้งคู่ดูรักกันมาก ตอนที่ฆาเบียร์เจอพวกเขาด้วยเรื่องงาน ทั้งคู่จะทำตัวเป็นมืออาชีพและไม่ให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากระทบกับงาน แต่บางทีเขาก็เจอกับสองคนนี้ข้างนอกบ้าง อย่างตามห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารหรือตามบาร์

"บาร์เกย์?"

เจถามขึ้นอีกอย่างยั่วเย้า

"เอ๊ บาร์ธรรมดาสิ เจนยุทธ"

คนตัวโตตอบด้วยหน้าแดงก่ำ เขาบ่นอุบอิบว่าเขาไปที่บาร์เกย์ครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ไปอีก เจจุ๊บปากคนรักเบาๆ แล้วบอกให้เขาเล่าต่อ ฆาเบียร์บอกว่าเขาเห็นได้ถึงท่าทางเปี่ยมรักที่ทั้งสองคนแสดงออกมา ทั้งคู่ดูมีความสุขมากจริงๆ

"ถ้าเจอกันข้างนอกนะ พวกเขาจะจับไม้จับมือกันตลอด มีหอมแก้มกัน กอดไหล่กอดเอว อะไรแบบนี้ ดูหวานแหวว เลิฟๆ กันมาก"

"ดีจังเลย ถ้าคุณว่าพี่บูมมีความสุขผมก็ดีใจ ถ้าคุณกลับไปฮ่องกงก็ฝากแสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วยนะ บอกเขาหน่อยว่าผมเป็นกำลังใจให้ ผมเองคงไม่กล้าบอกพี่บูมกับตัวอ่ะ"

เจรู้ว่าถ้าเขาพูดออกไป ลูกพี่ลูกน้องของเขาคงจะต้องเขินมากแน่ๆ



"แล้วถ้าอาพิมรู้ จะเป็นไงก็ไม่รู้เนาะ..."

เจเปรยเบาๆ เขาอดถอนหายใจออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงอาพิม ท่าทีรังเกียจที่เธอแสดงออกเมื่อตอนบ่ายยังติดอยู่ในใจเขา​

"อาเขาหวังกับพี่บูมมาก ก็ต้องผิดหวังมากแน่ๆ ผมกลัวแทนพี่เขาจริงๆ อ่ะ"

"คิดแทนเขาไปก็เท่านั้นนะเจ เรื่องแบบนี้แต่ละครอบครัวก็คงต้องหาทางออกกันเอง แต่ละบ้านก็รับและจัดการกับมันได้ไม่เหมือนกัน อย่างบ้านฉันตอนแรกพ่อก็รับไม่ได้แต่ก็ได้อาปาพูดให้เข้าใจ ไม่แน่นะ Aunt Pim เขาก็อาจจะรักลูกมากจนมองข้ามเรื่องนี้ไปก็ได้ หรือบูมอาจจะเลือกใช้ชีวิตอยู่ฮ่องกงแล้วปิดบังแม่ไปตลอดก็ได้ เราก็ได้แต่มองอยู่ห่างๆ และเป็นกำลังใจให้เขาเท่านั้น"

คนตัวโตบอกคนรักของเขา

"เฮ้อ แต่ละบ้านก็มีความลับของตัวเองกันทั้งนั้นเนาะ อะไรๆ ที่เราเห็นก็อาจจะไม่เป็นแบบนั้นไปเสียหมด"

เจบ่นออกมาดังๆ

"แล้วคุณล่ะ มีความลับอะไรกับผมอีกมั่ง ฆาบี้?"

"ไม่มี๊ ฉันไม่มีอะไรปิดบังสักนิด"

เจหรี่ตามองคนรักที่แกล้งทำท่ามีพิรุธ เขาโถมกายเข้าใส่คนตัวโตและไล่จั๊กกะจี๋ ฆาเบียร์เองก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขาทั้งสองกอดปล้ำกันบนเตียงนุ่มและจบลงด้วยจุมพิตอันดูดดื่ม

"เจจ๋า ฉันอยาก 'ใส่ซอง' อั่งเปาให้เจแล้ว เจจะยอมไหม?"

คนตัวโตกระซิบเสียงกระเส่า เจนยุทธหน้าแดงระเรื่อ สายตาเว้าวอนของฆาเบียร์ทำให้เขายากจะปฏิเสธ เจพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะดึงร่างใหญ่กำยำนั้นลงทาบทับร่างตน



-------------------------------------------

ตอนนี้เขียนไปเขียนมายาวยืดเลยค่ะ แหะๆๆ ตัวละครงอกอีกแล้วค่ะ เก็บไว้ก่อนเผื่อเอามาใช้ทีหลัง

ธรรมเนียมเรื่องการให้อั่งเปา/แต๊ะเอียของคนไทยเชื้อสายจีนค่ะ http://bit.ly/2JmWKhT

ธรรมเนียมการให้อั่งเปาแบบฮ่องกง (Lai See) http://bit.ly/2LC1LzQ

จาก wikipedia http://bit.ly/2sFu8Gg

การใช้ฟังก์ชั่น Red Packet บน WeChat http://bit.ly/2kYd3mD

อ่านๆ ดูแล้วน่าสนุกดีค่ะ น่าจะใช้ได้ในไทยบ้างเนาะ ส่งเงินให้คนในกรุ๊ปแบบสุ่มก็ได้ เช่น ตั้งงบไว้ห้าร้อยบาท ส่งให้ 10 คน มันก็จะสุ่มจำนวนให้เองว่าใครได้เท่าไหร่ค่ะ

ต่อด้วยเรื่องที่เที่ยวของชาว LGBT ในฮ่องกงนะคะ เผื่อใครจะอยากแวะไปส่อง http://bit.ly/2HxHKrq

ในเรื่องเขียนให้ฆาเบียร์ไปเจอสองหนุ่มนั่น FLM ซึ่งเป็นดิสโกเธคเฉพาะกลุ่ม ลิงค์ FB นะคะ

FLM Dance Club http://bit.ly/2sNuuL5

พอมาดูๆ ในเพจเขาแล้ว มี Stripper ชายด้วยแหละ!! (กรี๊ดดดดดดด) นี่ถ้าคนเขียนเป็นอิเจแล้วรู้ว่าเป็นร้านแนวนั้น ฆาเบียร์คงโดนหนักกว่าหมอนตีแน่ๆ ค่ะ



ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ primrose1

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากจะตามรอยไปกินทุกสิ่งอัน

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Javier Can Cook ----




"ฆาบี้ครับ หยุดก่อน หยุดๆ ตอนนี้กี่โมงแล้ว?"

เจร้องถามเสียงสั่น คนตัวโตทำหูทวนลมและเดินหน้าดอมดมและสัมผัสร่างเพรียวที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่างอย่างไม่หยุดยั้ง เจนยุทธซี้ดปากออกมาเบาๆ เมื่อลิ้นร้อนๆ ของคนรักสัมผัสเม็ดทับทิมบนยอดอก เขาพยายามดันหัวเมียตัวโตของเขาออก จนสุดท้ายเขาผลักฆาเบียร์ให้ลงไปนอนข้างๆ คนตัวโตระบายลมหายใจออกแรงๆ แล้วลุกขึ้นนั่งอย่างไม่สบอารมณ์

"เกือบเที่ยงคืนแล้วเจ..."

เขาหยิบนาฬิกามาดูและบอกเวลาให้เจ้าตัวยุ่ง

"จะบอกว่าดึกแล้ว เปลี่ยนใจแล้วเหรอ เจ?"

เจขยับขึ้นนั่งเอนซบฆาเบียร์แล้วจุ๊บเบาๆ ที่คางอย่างเอาใจ

"ไม่ใช่ครับ ไม่ได้เปลี่ยนใจ คุณได้ใส่ซองผมแน่ ฆาบี้ ไม่ต้องห่วง"

เจพูดยิ้มๆ ใบหน้าบอกบุญไม่รับของคนอารมณ์ค้างดูสดใสขึ้น

"ผมแค่นึกได้ว่าเราลืมโทรไปสวัสดีวันตรุษอาปาน่ะ"

"โธ่ ฉันก็นึกว่าอะไร เจจ๋า ที่แคลิฟอร์เนียเพิ่งจะแปดโมงกว่าของเช้าวันตรุษ ไว้เราค่อยโทรไปก็ได้"

เจนยุทธส่ายหัว และบอกว่าเขาอยากจัดการให้เรียบร้อยก่อนจะพ้นวันตรุษที่เชียงใหม่

"อีกอย่าง...ถ้ารอหลังจากนี้ ผมกลัวว่าผมจะไม่อยู่ในสภาพที่คุยกับอาปาได้น่ะสิ"

เจพูดเสียงแผ่วเบาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขาก้มลงหอมแก้มแดงๆ นั้นฟอดใหญ่

"นั่นสินะ เจอาจจะลุกไม่ขึ้นเลยก็ได้ งั้นเรารีบโทรหาอาปากันดีกว่า แล้วจะได้ต่อเรื่องที่ค้างไว้ไงจ๊ะ"



คนตัวโตของเจรีบกุลีกุจอไปหยิบเสื้อมาให้คนรักใส่ ส่วนตัวเองยังคงเปลือยอกโชว์กล้ามไว้ตามเดิม แต่เจนยุทธก็ไล่เขาไปให้ใส่เสื้อยืด

"โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกเจ อยู่บ้านบางทีฉันก็ถอดเสื้อเดินไปเดินมาในบ้าน อาปาไม่ว่าอะไรหรอก"

"ไม่ได้! ไปใส่มาเลย! ผมอายอาปาอ่ะ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เจจะมาอายอะไร เจนยุทธไม่พูดแต่ใช้นิ้วจิ้มๆ ไปที่แผงอกแน่นๆ ของคนรัก ฆาบี้ก้มลงดูแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เจคงอายรอยสีกุหลาบที่ตัวเองทำไว้จนเปรอะทั่วอกเขานั่นเอง

"จ้ะๆ ไปใส่เสื้อก็ได้ เจเองก็ติดกระดุมเสื้อให้ถึงคอด้วยล่ะ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ พร้อมปรายตามองผิวขาวๆ ของเจนยุทธที่โผล่พ้นสาบเสื้อ บนนั้นก็มีแต้มสีแดงเข้มบ้าง จางบ้างอยู่ประปราย เจรีบรวบคอเสื้อเชิร์ตตัวโคร่งของฆาเบียร์ที่กลายเป็นเสื้อนอนของเขาไปแล้วเข้าพร้อมทำตาเขียวให้คนรัก เมื่อจัดระเบียบร่างกายแล้วและจัดการเก็บของใช้ทั้งหลายให้พ้นสายตาไปแล้ว ทั้งคู่ก็พร้อมคุยกับอาปาของพวกเขา



"ซินเหนียนไคว่เล่อ ครับอาปา"

"ซินหนินฟายหล่อกครับ"

เจค้อมหัวให้คริสและพูดสวัสดีปีใหม่ด้วยภาษาจีนกลางที่เขาขอฆาเบียร์สอนให้ ส่วนฆาเบียร์พูดด้วยภาษากวางตุ้งที่เจบอกว่าออกเสียงยาก คริสยิ้มร่าและอวยพรลูกๆ ของเขากลับคืน

"ไง ฆาบี้ ไหนบอกอาปาว่าจะอยู่เฝ้าออฟฟิศ ไหงมาโผล่ที่เชียงใหม่ได้ล่ะ?"

คริสถามยิ้มๆ ฆาเบียร์ทำหน้าตื่น เขาจำได้ว่าเขาส่งข้อความไปบอกคริสแล้วว่าจะมาเชียงใหม่ แต่อาปาก็กลับมาแซวเขาเล่นเสียอย่างนั้น หากเจมีทีท่าตกใจกว่า

"อ้าว เฮ้ย ฆาบี้ นี่คุณหนีงานมาเหรอ? ไหนบอกผมว่าคุณได้หยุดไง..."

เขาหันไปดุคนรักแล้วหันกลับมาขอโทษขอโพยอาปาของเขา คริสหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วบอกเจว่าเขารู้อยู่แล้วว่าฆาเบียร์จะตามเจกลับมาเชียงใหม่ และสี่วันนี้ก็เป็นวันหยุดจริง

"...เห็นว่าเราเองก็หนีวันไหว้ของที่บ้านไปฮ่องกงวันวาเลนไทน์ใช่ไหม?"

คริสกระเซ้าเจ คนตัวเล็กหัวเราะแหะๆ ให้อาปาของเขา แต่ฆาเบียร์กลับสะดุ้งน้อยๆ เมื่อถูกเจนยุทธทุบหน้าขาที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มเข้าตุ้บหนึ่งโทษฐานที่ปากมาก เจชวนคริสคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่พักใหญ่แล้วถึงได้ขอตัว คริสให้พรเด็กๆ ทั้งสองของเขาแล้วจึงตัดการสนทนาไป



"ทุบเสียแรงเลยเจ เจ็บจัง"

คนตัวโตบ่นเบาๆ พร้อมลูบหน้าขาตรงที่ถูกทุบ เขาดึงมือเจมาวางแปะไว้ให้ช่วยนวดคลึง

"เดี๋ยวๆ ผิดที่หรือเปล่า ผมว่าผมไม่ได้ทุบตรงนั้นนะ"

เจเอ็ดเบาๆ เมื่อสิ่งที่อยู่ใต้มือเขาเริ่มขยายตัวขึ้นตามแรงสัมผัส แต่ถึงจะบ่น มือเรียวของเจก็ทำหน้าที่ต่อ คนตัวโตซี้ดปากเบาๆ และดึงผ้าห่มออกเพื่อให้มองเห็นได้ชัด เขาขยับกายให้อยู่ในท่าที่ถนัด มือของเจช่างนิ่มและอุ่นดีเหลือเกิน เขาสูดปากลั่นเมื่อเจขยับกายลงต่ำและเริ่มกลืนกินส่วนแข็งแกร่งของเขาเข้าไป

"เจ!"

ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงการรุกล้ำที่ช่องทางด้านหลัง เจเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้เขา

"น่าๆ ไม่ผิดสัญญาหรอกครับ แต่ขอคุณปล่อยก่อนสักทีแล้วกันนะ"

เจนยุทธทำสีหน้าเว้าวอน ฆาเบียร์ถอนหายใจ เจคงอยากให้เขาระบายความปรารถนาออกก่อนครั้งหนึ่งเพื่อที่จะไม่ต้องลำบากเจมากในภายหลัง เขาผงกหัวน้อยๆ ให้คนรัก เจยิ้มกว้างและก้มหน้าก้มตาบริการเมียตัวโตของเขาต่อ ฆาเบียร์หลับตาพริ้ม โพรงปากของเจทำให้เขาแทบคลั่ง เจยังทำให้เขาตัวเกร็งไปด้วยความเสียวด้วยการโจมตีช่องทางด้านหลังของเขา นิ้วเรียวของเจนยุทธขยับอย่างช่ำชอง มันสัมผัสกับต่อมลูกหมากที่เปรียบเหมือนจีสปอตของผู้ชายในช่องทางด้านหลังนั้นทุกครั้งที่เสือกสอดเข้ามา ไม่นานนักฆาเบียร์ก็คำรามออกมาลั่น

"เจ โอเคไหม?"

ฆาเบียร์รีบประคองคนตัวเล็กของเขา เจสำลักเล็กน้อย แต่เขาก็ช้อนตาขึ้นมองคนรักอย่างยั่วยวน คนตัวโตมองปากน้อยๆ ที่เปรอะน้ำขุ่นข้นของเขา ลิ้นสีชมพูที่เลียไล้ริมฝีปากแดงระเรื่อทำให้เขาอยากจับมันกดในทันใด



"เจจ๋า...ขอฉันนะ"

เมียตัวโตที่อยากจะเปลี่ยนบทบาทแล้วของเจส่งสายตาฉ่ำเยิ้มด้วยแรงปรารถนาไปให้คนรัก เจขยับตัวขึ้นไปนั่งคร่อมกลางลำตัวของฆาเบียร์ ท่อนล่างที่เปลือยเปล่าของเขาขยับถูไล้ไปตามกลางลำตัวของคนตัวโต เจดึงมือฆาเบียร์ขึ้นมาทาบทับอกที่ต่อให้ไม่ได้มีกล้ามเป็นมัดๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแรง ฆาเบียร์ใช้นิ้วสะกิดดีดดุนเม็ดทับทิมทั้งสองที่อยู่ใต้เสื้อเชิร์ตเนื้อดีของเขา ภาพของเจในเสื้อตัวโคร่งนั้นช่างปลุกเร้าอารมณ์ของเขาจริงๆ ฆาเบียร์ค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อเชิร์ตขาวนั้นออกจนหมด เจขยับจะถอดเสื้อออกแต่ฆาเบียร์ดึงไว้

“ใส่ทิ้งไว้แบบนี้แหละเจ เซ็กซี่ดี”

ฆาเบียร์กระซิบเสียงแหบกระเส่าที่ข้างหูเจ เขาขบเม้มใบหูและจูบคลึงแถวพวงแก้มและซอกคอจนเจร้อนรุ่มไปทั้งตัว

"คุณ ฟื้นตัวเร็วจังนะ"

เจหัวเราะคิกเมื่อรู้สึกถึงส่วนแข็งขืนที่ดันบั้นท้ายเขา เจดันฆาเบียร์ให้กลับลงนอนและเป็นฝ่ายรุกเร้าบ้าง



"โอย เจจ๋า อย่าทรมานฉันอีกเลย นะ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เจทั้งบดเบียดสะโพกไปกับเจ้าแท่งลำของเขา ไหนจะมือเรียวที่ลูบไล้ไปทั่วกาย มันแตะนั่นสัมผัสนี่จนเขาสั่นไปทั้งตัว เขายันกายขึ้นนั่งขัดสมาธิและโอบร่างคนตัวเล็กเข้ากับร่างตน เจประทับจูบอันอ่อนหวานเข้าที่ริมฝีปากบางคู่นั้น เขาเลาะเล็มเลียไล้ ลิ้นร้อนๆ ของเจซอกซอนไปทั่วโพรงปากคนรัก ฆาเบียร์เองก็ไม่ยอมแพ้ จูบอันร้อนแรงของคนที่มากประสบการณ์กว่าทำให้เจอ่อนระทวยไปทั้งตัว เขาผ่านสาวๆ มามาก แต่ไม่มีใครทำให้เขาไม่อยากถอนริมฝีปากออกได้เท่ากับฆาเบียร์

"ให้ผมจูบคุณทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้นะครับ เมีย"

เจกระซิบแผ่วเบาที่หูคนรัก ลมหายใจหอบถี่ของเจทำให้ฆาเบียร์ทนไม่ไหวอีกแล้ว เขาดันร่างเพรียวของเจลงกับฟูกนุ่ม เขาจูบพรมไล่ไปตามใบหน้าและเลาะเลื้อยลงมายังตุ่มไตที่ชูชัน เขากระตุ้นเร้าแก่นกายคนรักด้วยปากและมือจนเจถึงฝั่งไปครั้งหนึ่ง



"ฆาบี้ครับ อ๊ะ ตรงนั้นแหละ"

เจครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อนิ้วของฆาเบียร์ชำแรกเข้าช่องทางของเขา   คนตัวโตส่งเจลเข้าช่องทางนั้นเพื่อให้เจสามารถรองรับเขาได้ไม่ลำบากนัก เจผวากายเฮือกขึ้นกอดฆาเบียร์แน่นเมื่อถูกกระตุ้นซ้ำๆ ที่จุดเสียว เขารู้สึกดีจนหัวโล่งไปหมดแล้ว

"เจจ๊ะ พร้อมหรือยัง?"

เสียงทุ้มแหบของฆาเบียร์กระซิบแผ่ว เจพยักหน้าน้อยๆ และเอนกายลงนอน เขากระดิกนิ้วชวนเชิญคนรักด้วยท่าทีที่ยั่วเย้า ฆาเบียร์หัวเราะกระหึ่มแล้วยกสะโพกของเจขึ้นวางที่หน้าขา เจซี้ดปากเมื่อรู้สึกถึงความคับตึงที่ปากทาง ฆาเบียร์ก็คำรามออกมาเบาๆ เพราะความคับแน่น

"อูย เจ มันรัดมาก ผ่อนคลายหน่อยจ้ะ"

คนตัวโตพูดเสียงกระเส่า เจยิ้มบางๆ เขาชิงขยับสะโพกก่อน เขากลั้นใจดันพรวดเดียวจนช่องทางของเขารับฆาเบียร์เข้าไปสุดลำ คนตัวโตขบกรามแน่น เขารั้งกายเจนยุทธที่สั่นน้อยๆ ขึ้นมากอดแนบอก

“เจ็บเหรอ? อึดอัดไหม?”

คนตัวโตถามอย่างกังวล เจนยุทธส่ายหน้า

“ไม่เจ็บอ่ะ แต่เสียว...อ๊ะ อย่า อื๊อ...”

ฆาเบียร์บดจูบหนักๆ ลงไปบนปากแดงระเรื่อของเจนยุทธและเริ่มขยับสะโพก เขาเริ่มอย่างเนิบนาบ และค่อยๆ เร่งเมื่อรู้สึกถึงความลื่นไหล เจเองก็กระแทกกายลงตามจังหวะของฆาเบียร์ ถึงเขาจะไม่ได้เป็นฝ่ายรองรับบ่อยเท่า แต่เขาก็รู้จังหวะของคนรักดี

“ดีไหมเจ? ฉันรู้สึกดีมากเลย ข้างในตัวเจมันเยี่ยมสุดๆ เลย”

เจนยุทธหน้าแดงซ่าน คืนนี้ฆาเบียร์ดูจะช่างจ้อมากกว่าทุกที เขาบรรยายเป็นฉากๆ ว่าเขากำลังทำอะไร มีทั้งหลุดคำลามกออกมาบ้าง แต่มันยิ่งช่วยกระตุ้นเร้าอารมณ์ของเจให้เตลิดไปไกล



“Oh, yes, baby...fxxx me hard...”

ฆาเบียร์คำรามลั่นด้วยความมันในอารมณ์ เขาขยำขยี้ก้อนเนื้อหนั่นแน่นที่ขยับขึ้นลงตักของเขา เขาช่วยจับสะโพกคนรักกระแทกลงกับแก่นกายของตนหนักๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงการตอดรัด เจกำบ่าแข็งแรงของคนตัวโตแน่นเมื่อถึงจุดสุดยอด

“อื้อหือ เลอะถึงคอฉันเลยนะ”

ฆาเบียร์กระเซ้าเจนยุทธที่หอบกระเส่าอยู่ในอ้อมอก เจก้มลงจูบและเลียกินน้ำรักของตนที่เปรอะแผงอกและคอของคนรัก เขายังทิ้งรอยจูบจางๆ ไว้ตามทาง

“โอ๊ยๆๆ กัดเลยเหรอ? ใจร้ายจังนะ Mi amor”

คนตัวโตบ่นเมื่อถูกเจงับอย่างมันเขี้ยว

“แล้วว่าไง ยังไหวอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่ไหว พอแล้วก็ได้นะเจ”

ฆาเบียร์ถามอย่างเป็นห่วง

“พอได้ไง คุณยังไม่เสร็จเลยนะ แต่คุณขยับเองนะ ขาผมไม่มีแรงแล้ว”

เจนยุทธพูดอ่อยๆ คนตัวโตหัวเราะเบาๆ เขาจับเจลงนอนคว่ำหน้าบนเตียงและเริ่มบรรเลงเพลงรักต่อ เขาถอดเสื้อเชิร์ตตัวโคร่งของเขาที่เริ่มเกะกะแล้วออกและเหวี่ยงทิ้งไปอย่างไม่ใยดี เจขยุ้มผ้าปูเตียงแน่นและพยายามซบหน้าบนหมอนเพื่อกลั้นเสียงคราง ถึงเรือนพักของเขาจะแยกออกมาเป็นสัดส่วน แต่มันก็ไม่ได้กันเสียงได้ดีอะไรขนาดนั้น แต่เขาก็หลุดเสียงออกมาเมื่อคนตัวโตเร่งจังหวะ เสียงคำรามต่ำๆ ทีี่ดังอยู่ข้างหูทำให้เจรู้ว่าฆาเบียร์จวนถึงจุดแล้ว



“โอย เจ นายเยี่ยมที่สุดเลย Mia ฉันรักนายนะ เจ รักที่สุด รัก อ๊ะ เจ!“

ฆาเบียร์คำรามออกมาลั่น เจนยุทธเองก็สะท้านกายเฮือกเมื่อรู้สึกถึงความอุ่นในช่องท้อง

“ลุกไหวไหม ฆาบี้?”

เจถามคนรักเบาๆ ฆาเบียร์ดูจะเหนื่อยเป็นพิเศษในคืนนี้

“อึดอัดเหรอ เดี๋ยวฉันขยับออกให้”

ร่างหนักๆ ชุ่มเหงื่อที่หอบจนตัวโยนอยู่บนแผ่นหลังของเขาทำท่าจะขยับลุกขึ้น เจฉุดแขนล่ำสันของฆาเบียร์ไว้แล้วดึงมาโอบรอบอกเขา

“ไม่อึดอัดครับ ที่รัก นอนท่านี้อีกแป๊บนึงก็ได้”

ฆาเบียร์รัดร่างเพรียวที่อยู่ใต้ร่างเขาแน่น เขาบรรจงจูบพวงแก้ม ซอกคอและลาดไหล่ตรงหน้า

“เค็มแล้วนะเจ”

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะ เจหันมาทำหน้าบูดให้คนรักและทำท่าจะสลัดเขาลง แต่คนที่น้ำหนักมากกว่ากดร่างเพรียวนั้นไว้และกระชับวงแขนแน่น เจหันหน้ามารับจูบแผ่วๆ ที่คนตัวโตส่งมา ฆาเบียร์พลิกกายพาพวกเขาทั้งสองนอนตะแคงโดยมีเขานอนประกบอยู่ด้านหลังเจนยุทธ



“นี่ ไม่เอาออกเหรอ?”

เจถามถึงบางส่วนที่ยังคาอยู่ในตัวเขา ฆาเบียร์ส่ายหน้า

“เผื่อต่ออีกที จะได้ไม่ต้องลำบากเจไง”

เจเอื้อมมือไปตบสะโพกคนรักเพียะใหญ่

“นี่ คืนนี้ไปหื่นจากไหนมา? แล้วก็พูดมากจริงนะคุณ“

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาหยอกเย้าขบเม้มใบหูของคนรักเล่น

“แล้วเจไม่ชอบเหรอ?”

คนตัวเล็กหน้าแดงซ่าน เขาพูดเสียงแผ่วเบา

“ก็โออ่ะ”

“หืมม์? ว่าไงนะเจ? ฉันไม่ได้ยิน”

“เออ ชอบ ชอบมาก เสียวจะขาดใจตายละคุณ คุณพูดแบบนี้โคตรเอ๊กซ์เลย จะต้องให้บอกดังๆ ไหม หือ?”

เจนยุทธแว๊ดลั่น ฆาเบียร์หัวเราะก๊ากออกมาลั่นเมื่อเห็นแก้มป่องๆ ที่แดงก่ำ เขาหอมคนรักฟอดใหญ่ เจร้องด้วยความตกใจเมื่อคนรักพลิกกายเขาคว่ำลงกับเตียงอีกครั้ง



“เจจ๊ะ ขอฉัน...นายอีกครั้งนะ”

เสียงทุ้มแหบที่กระซิบคำลามกอยู่ข้างหูและสัมผัสแผ่วเบาจากมือของฆาเบียร์ทำให้เจตื่นตัวอีกครั้ง เขาเองก็รู้สึกได้ถึงส่วนแข็งเกร็งของคนรัก เขาหันไปจุมพิตที่ริมฝีปากพ่อเจ้าประคุณของเขาเบาๆ และดันสะโพกกลับเพื่อให้สัญญาณ ฆาเบียร์ยกตัวเจขึ้นให้นั่งบนตักของเขาโดยมีแผ่นหลังแนบอกกว้างของเขา ฆาเบียร์จูบพรมที่ซอกคอและลาดไหล่ของคนรัก มือของเขาง่วนอยู่กับแท่งลำและยอดอกของเจ

“ถนัดไหม? เอาเจลเพิ่มไหม เจนยุทธ?”

ฆาเบียร์ถามอย่างใส่ใจ เจส่ายหัว

“ไม่ต้องครับ ยังไหว เข้ามาเร็วๆ เถอะ ฆาเบียร์ ผมจะไม่ไหวแล้วนะ”

เจพูดเสียงสั่น สัมผัสอันช่ำชองจากมือร้อนๆ ของฆาเบียร์ทำให้เขาแทบทนไม่ไหวแล้ว คนตัวโตยิ้มบางๆ เขายกสะโพกของเจนยุทธขึ้นและชำแรกกายเข้าในช่องทางนั้น เจสะท้านกายเฮือกแล้วก็พลันปลดปล่อยออกมาจนเต็มมือที่เกาะกุมส่วนสงวนของเขาไว้ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

“อะไรกัน เจ ฉันยังเข้าไปไม่หมดเลยนะ อ๊ะ!”

คนตัวโตสะดุ้งโหยงเมื่อเจกระแทกกายลงอย่างแรง เขาสูดปากลั่นเมื่อเจเร่งกระแทกกายย้ำๆ อย่างหนักหน่วง

"เจ อย่าแกล้งสิ!"

ฆาเบียร์ครางลั่น เจเองก็ส่งเสียงออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ การคุมจังหวะได้ดั่งใจทำให้เขารู้สึกหฤหรรษ์จอย่างสุดแสน เจตั้งหน้าตั้งตาควบขี่พ่อม้าเทศของเขาที่ได้แต่ซี้ดปากและครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน

"เจ เปลี่ยนท่าก่อน ฉันจวนแล้วนะ"

คนตัวโตโอดครวญ เจนยุทธหยุดกาย ฆาเบียร์พลิกร่างคนรักและดันตัวเจลงนอน เขาร่วมรักกับคนที่กำหัวใจเขาต่อด้วยท่วงท่าที่ธรรมดาที่สุด แต่นอกเหนือจากความรู้สึกที่ได้จากช่องทางของเจแล้ว กายที่แนบชิด สายตาที่จ้องมองกัน ริมฝีปากแดงระเรื่อที่เขาได้บรรจงจูบ เม็ดสีแดงระเรื่อทั้งสองที่ริมฝีปากเขาได้เลาะเล็ม นิ้วมือเรียวที่เกี่ยวประสานกับนิ้วมือเขา ฝ่ามือที่กำมือเขาแน่นยามที่อารมณ์ของพวกเขาทั้งสองพุ่งจนถึงจุดสุดยอด ทั้งหมดนี้ส่งให้ฆาเบียร์รู้สึกประหนึ่งล่องลอยสู่สวรรค์ชั้นฟ้า

"ผมก็รักคุณนะ ฆาเบียร์ มาร์ติเนซ"

เจกระซิบเสียงหอบกระเส่าที่ข้างหูคนรักของเขา ฆาเบียร์ตอบรับด้วยจูบอันอ่อนโยน เขาไม่เคยเบื่อคำรักของเจเลย เขาขยับกายลงนอนซบอกของเจนยุทธ หูของเขาได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นดังปานรัวกลอง เขาจูบเบาๆ ลงบนตำแหน่งนั้น


"Eres tu siempre mi amor eterno"

"นายเป็นรักนิรันดร์ของฉันตลอดไปนะ"


ฆาเบียร์กระซิบเบาๆ กับอกซ้ายของคนรัก เขาเงยหน้ามองใบหน้าแดงระเรื่อที่ดูง่วงงุนของเจนยุทธแล้วก็ต้องหัวเราะน้อยๆ เจ้าตัวเล็กดูหมดเรี่ยวแรงแล้ว ฆาเบียร์เรียกเจให้ลุกขึ้นไปล้างเนื้อล้างตัว เจนยุทธทำท่างอแงเล็กน้อยแต่ก็ถูกคนรักประคองขึ้นและพาเข้าห้องน้ำไป



"เจจ๋า ฉันอยากอยู่กับนายแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลย นายจะยอมอยู่กับฉันไหม ในฐานะคู่ชีวิตที่ถูกต้องตามกฎหมาย?"

ฆาเบียร์กระซิบแผ่วๆ ข้างหูร่างเพรียวที่นอนอิงแอบอยู่ในอ้อมอก เจพยักหน้าทั้งที่หลับตาและพูดงึมงำอะไรออกมาเป็นภาษาไทย

"นายว่าไงนะ เจ? ฉันไม่เข้าใจ"

คนตัวโตเขย่าร่างคนรักเบาๆ เจสะดุ้งเฮือกแล้วลืมตาขึ้น

"มีอะไรครับ ฆาบี้? ผมหลับไปเหรอ?"

ฆาเบียร์ลอบถอนหายใจ เจคงละเมอออกมา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่เขาถามเลย

"ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันเห็นนายพูดอะไรงึมงำๆ นึกว่านายคุยกับฉัน"

เจยิ้มหวานให้คนรักและบอกว่าเขาคงละเมอไป ฆาเบียร์ยิ้มตอบและจูบหน้าผากเจ้าตัวน้อยของเขาเบาๆ เจขยับกายซุกๆ เข้ากับอกอุ่นของเมียตัวโตของเขาและกอดร่างกำยำนั้นไว้แน่น



"เมียครับ..."

ฆาเบียร์ส่ายหัวเบาๆ เจเพิ่งนอนครวญครางอยู่ใต้ร่างเขามาเมื่อสักครู่ มันก็ยังอุตส่าห์จะเรียกเขาว่าเมียจนได้

"ว่าไงจ๊ะ Mia?"

คนตัวโตไม่ยอมแพ้ เจเงยหน้าขึ้นมาจิ๊ปากให้พ่อเจ้าประคุณที่ทำเสียบรรยากาศ

"ชิ ปากดีแบบนี้ ไม่พูดแล้วก็ได้"

เจนยุทธทำท่างอนและพลิกตัวนอนหันหลังให้ ฆาเบียร์กลั้นหัวเราะและตามไปกอดร่างอุ่นๆ นั้น เขาแกล้งทำมือซนไปทั่วจนเจต้องแว๊ดลั่น

"บอกฉันสิ ว่านายจะพูดอะไร แล้วฉันจะเลิกแกล้ง"

เจระบายลมหายใจออกพรืดใหญ่ เขาค่อยๆ แกะแขนกำยำที่โอบรัดร่างออก และหันหน้ากลับมาหาคนตัวโต เขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของคนรัก

"ฮักอ้ายนะครับ"

เจพูดพร้อมจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากของคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ ต่อให้มันไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากฟัง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

"...และ ผมก็อยากอยู่กับคุณแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ ฆาบี้ จนกว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง"

เจพูดออกมาเสียงแผ่วเบา  ฆาเบียร์ใจเต้นแรง

"เจได้ยินที่ฉันถามเมื่อกี้ด้วยเหรอ?"

เจทำหน้างงๆ

"ถามอะไรเหรอ คุณ? "

แทนที่จะผิดหวัง คนตัวโตกลับแอบดีใจเล็กๆ ที่เจไม่ได้พูดออกมาเพื่อเป็นการตอบรับคำถามของเขา เมื่อครู่เขาเผลอถามเจไปด้วยอารมณ์พาไป แต่เมื่อมาคิดดีๆ อีกที เขาก็ตั้งใจมั่นว่าถ้าเขาจะถามคำนี้กับเจนยุทธอีกครั้ง เขาต้องเตรียมการให้พร้อม หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่แค่การถามเล่นๆ บนที่นอนหลังการมีเซ็กส์กันแบบนี้

"ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เมื่อกี้ฉันแค่ถามว่าเจอยากอยู่กับฉันไปเรื่อยๆ แบบนี้ไหม นายเบื่อฉันหรือยัง อะไรเทือกนี้ ฉันก็พูดเรื่อยเปื่อยไป จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าถามอะไรไปบ้าง ไม่มีอะไรซีเรียสจ้ะ"

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงักและหาวออกมาด้วยความง่วงและอ่อนเพลีย

"งั้นนอนกันเถอะ ฆาบี้ ตีสองแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นไปกินข้าวฝีมือแม่อีก "

เจนยุทธยิ้มกริ่มและหมายมั่นปั้นมือจะกินข้าวต้มหรืออะไรก็ได้ที่แม่ทำสักสามสี่ถ้วย ฆาบี้ลูบหัวคนรักอย่างเอ็นดู เขาดึงร่างเจเข้ามาแนบอกก่อนจะปิดไฟหัวเตียง ไม่นานทั้งห้องก็เหลือเพียงแต่ความเงียบและเสียงหายใจเบาๆ ของคนทั้งสอง



เจนยุทธลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อตะวันขึ้นจนสายโด่ง เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะความปวดเมื่อยและความเสียวแปลบเล็กๆ ที่ช่องทางด้านหลัง พวกเขาทั้งสองค่อนข้างรุนแรงกันไปบ้างเมื่อคืน และหลักๆ ก็เป็นตัวเจเองที่ทำให้เป็นแบบนั้น เจควานหาร่างที่ควรนอนอยู่ข้างตัวแต่ไม่เจอ เจเปิดไฟในห้องที่ค่อนข้างมืดเพราะติดผ้าม่านกันแสงและก็พบว่าฆาเบียร์ไม่ได้อยู่บนเตียง เขาลุกขึ้นไปตามหาในห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอ เจเดินเกาหัวด้วยความงงกลับมาที่เตียงแล้วก็พบโน้ตแผ่นน้อยวางอยู่ใต้โทรศัพท์ของเขา

‘อยู่ในครัวกับแม่นะ ตื่นแล้วตามมาด้วย’

เจยิ้มบางๆ คนตัวโตคงไปถ่ายรูปแม่เขาตอนทำอาหารอีกแล้ว เจจัดการอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันจนเรียบร้อยแล้วเดินไปตามหาฆาเบียร์ในครัว

“ไง ตื่นแล้วเหรอ ไอ้ตัวดี นอนตื่นซะสายโด่งเลยนะวันนี้”

เจหัวเราะแหะๆ ให้พี่สาวที่นั่งตรวจเอกสารกองโตอยู่ที่โต๊ะกินข้าว

“นอนดึกไปหน่อยอ่ะเมื่อคืน เจ๊ตื่นนานแล้วเหรออ่ะ?”

“อือ ตื่นนานแล้ว ต้องตรวจงานเด็กมันหน่อย สองสามวันที่แล้วไม่ได้ทำเลย”

อิ่มใจลางานและงดสอนเพียงหนึ่งวันคือวันตรุษที่เปรียบเหมือนวันรวมญาติ หากอิ่มใจเข้ามาที่บ้านตั้งแต่ช่วงเย็นวันจ่าย หลังสอนเสร็จ เธอไปรับพวกผลไม้และอาหารทะเลที่สั่งไว้จากในซุเปอร์ฯ และร้านอาหารแล้วเอากลับเข้ามาให้แม่ที่บ้าน ส่วนวันไหว้เธอมีสอนครึ่งวันบ่าย อิ่มจึงตื่นมาไหว้ตั้งแต่สายๆ และตีรถเข้าเมืองไปสอน เมื่อเสร็จแล้วจึงกลับมานอนที่บ้านแม่ แม้จะต้องขับรถนาน แต่เธอก็ชินแล้ว



“เออ พี่อิ่ม ฆาบี้อยู่ไหนอ่ะ?”

เจที่พลิกๆ อ่านงานของเด็กบนโต๊ะเล่นเงยหน้าขึ้นถาม

“อยู่ในครัวกับแม่น่ะ เห็นตื่นมาตามหาแม่ตั้งแต่เจ็ดแปดโมงเช้าแล้วมั้ง ตื่นซะเช้าเชียว ได้นอนพอไหมน่ะ เห็นเจว่านอนดึกนี่?”

เจหน้าร้อนวาบ เขาอ้ำๆ อึ้งๆ จนพี่สาวหัวเราะ

“เอาเถอะๆ ไม่แซวแล้ว ไปหาแฟนเถอะ ไป๊”

เจยิ้มอายๆ และลุกเดินเข้าไปในครัว เขาแวะทักทายไอ้หมาหมูโรซ่าที่นอนน้ำลายยืดรออยู่หน้าครัว มันรู้ดีว่าในครัวเป็นที่ต้องห้ามสำหรับมัน และจะมานอนรอด้านนอกเท่านั้น เมื่อเข้าไปในครัว เจอดยิ้มออกมาไม่ได้เพราะภาพที่เขาได้เห็นเบื้องหน้า ในทีแรกเขานึกว่าพ่อเจ้าประคุณของเขาจะเข้าครัวมาเพียงเพื่อดูแม่ทำอาหาร แต่เขาไม่นึกว่าฆาเบียร์จะมาลงครัวเอง เขามองร่างสูงใหญ่ที่ยืนเคียงข้างแม่เขาด้วยความอิ่มเอมใจ ฆาเบียร์ใส่ผ้ากันเปื้อนทับกางเกงขาสั้นและเสื้อยืด เหงื่อของเขาเกาะพราวบนใบหน้าและบนคอแถวใต้ไรผม ฆาเบียร์มัดผมสลวยของเขารวบขึ้นเป็นหางม้าน้อยๆ คนตัวโตคงมาอยู่ในครัวนานพอสมควรแล้ว


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Javier Can Cook (ต่อ) ----



“ได้ลูกมือใหม่กาคับ แม่?”

“ได้ลูกมือใหม่เหรอครับแม่?”

เจส่งเสียงทักทายแม่ของเขา ทั้งสองคนที่อยู่หน้าเตาหันมาหาและยิ้มให้เจนยุทธ

“ทำอะไรกินกันครับ?”

เจเดินเข้ามาส่องดูที่หน้าเตา แม่ของเขากำลังเคี่ยวแกงฮังเลสูตรพิเศษของที่บ้าน ส่วนพ่อคนตัวโตกำลังโขลกพริกแห้งกับกระเทียมและหอมแดง

“น้ำพริกอ่องกาคับ?”

เจหันไปถามแม่ ฟองนวลพยักหน้า

“อ้ายเปิ้นมาขอหื้อแม่สอนแป๋งกับข้าวไทยง่ายๆ แม่ก่อสอนไปสองสามอย่างละ เอาตี้เปิ้นจะไปยะกิ๋นตี้เมืองนอกได้”

“พี่เขามาขอให้แม่สอนทำอาหารไทยง่ายๆ แม่ก็สอนไปสองสามอย่างแล้ว เอาที่เขาจะไปทำกินเองที่เมืองนอกได้”


แม่ของเขาชี้ให้ดูจานยอดผักซาโยเต้ผัดไข่ ไข่เจียวแบบไทย และกะเพราเนื้อเป็ดที่เหลือจากการไหว้ที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

“คุณ เอ๊ย อ้ายทำเองหมดเลยเหรอ อ้ายฆาบี้? “

เจถามด้วยความทึ่ง เขารีบเปลี่ยนคำเรียกเมื่อแม่ส่งสายตามา คนตัวโตผละจากครกและเดินมาโอบเอวและเอาคางเกยไหล่คนรักและชี้ชวนให้ดูอาหารบนโต๊ะ

“ใช่จ้ะ แม่เจคอยกำกับแต่ฉันผัดเอง ทอดเอง ปรุงเองหมดเลย มันไม่ได้ยากอะไรมากนะ ฉันพอทำอาหารจีนได้บ้าง ฉันว่ามันคล้ายๆ กันอยู่มาก แต่ตอนนี้แม่กำลังสอนทำพวกอาหารเมือง นี่มันไม่คล้ายเลย”

เจหน้าแดงและขยับตัวออกจากวงแขนของฆาเบียร์ คนตัวโตนึกได้ว่ายังอยู่ต่อหน้าแม่ เขารีบปล่อยเจให้เป็นอิสระ ฟองนวลหัวเราะเบาๆ และหันไปดูหม้อแกงของเธอต่อ เจหันไปบ่นคนรักเบาๆ แล้วหันไปให้ความสนใจกับครกน้ำพริกของฆาเบียร์



“บอกอ้ายเปิ้นหื้อน่อยว่าแม่หื้อสูตรง่ายๆ เปิ้นไป บ่ใจ้สูตรแบบตี้กิ๋นตี้บ้านเน่อ เพราะแม่บ่แน่ใจ๋ว่าจะเซาะถั่วเน่าได้ตี้ฮ่องกงก่อ”

“บอกพี่เขาให้หน่อยว่าแม่ให้สูตรง่ายๆ ไปนะ ไม่ใช่สูตรแบบที่กินที่บ้านนะ เพราะแม่ไม่แน่ใจว่าจะหาถั่วเน่าได้ที่ฮ่องกงไหม”


เจหันไปบอกฆาเบียร์ตามที่แม่บอกมา

“Fermented soybean? หมายถึงมิโสะเหรอ เจ ถ้ามิโสะหาได้ไม่ยากน่ะ”

คนตัวโตทำหน้างงๆ เจส่ายหน้า

“ไม่ใช่ๆ มันเป็นถั่วที่ผ่านการถนอมอาหารของทางภาคเหนือน่ะ ทำคล้ายๆ นัตโตะแหละคือเอาถั่วเหลืองไปหมัก แต่ของภาคเหนือเรา เดิมทีจะเอาถั่วเหลืองไปเติมเชื้อหมักแล้วใช้ใบตองคลุมไว้สามวันจนราขึ้นขาว จากนั้นก็เอาไปใช้ปรุงอาหารได้เลย หรืออาจเอาไปบดหรือเอาไปแปรรูป...”

เจบอกว่าถ้าเอาไปใช้ทั้งที่ยังเป็นเม็ด ก็จะนำไปใช้ปรุงอาหารอย่างยำถั่วเน่าหรือคั่วถั่วเน่า ส่วนแบบที่นำไปบดแล้ว อาจจะเอาไปกินทั้งแบบนั้นเลยหรือมีการปรุงรส ถั่วเน่าแบบนี้เรียกว่าถั่วเน่าเมอะ มักใช้ทำเป็นอาหารเลย เช่นเอาไปห่อตองแล้วย่างไฟให้หอม จากนั้นนำไปคลุกข้าวกิน

“...แต่ถ้าเอามาปรุงรสอาหารแทนกะปิ ก็ต้องนี่เลย ถั่วเน่าแข็บ...”

เจหันไปค้นๆ ของจากที่เก็บเครื่องปรุงของแม่มา เขาหยิบแผ่นกลมบางสีน้ำตาลออกมาแผ่นหนึ่ง เขาส่งให้ฆาเบียร์ดม คนตัวโตดมแล้วทำจมูกย่น ต่อให้มันกลิ่นไม่ได้แรงมากเพราะถูกทำให้แห้งแล้ว แต่เขาก็ได้กลิ่นของถั่วเหลืองหมักอย่างชัดเจน

“เนี่ย เวลาจะใช้ก็เอาไปผิงไฟให้หอมก่อน แล้วก็เอาไปโขลกเพื่อใส่ในน้ำพริกหรือแกง”

เจบอกว่าสำหรับแกง จะใช้ถั่วเน่าแข็บกับพวกแกงผักใส่กระดูกหมู แต่ถ้าเป็นแกงที่เน้นใส่ปลาหรือเนื้อก็มักจะใช้กะปิหรือปลาร้ามากกว่า



"แล้วอ้ายรู้ไหม เขาทำเป็นแผ่นแห้งๆ แบบนี้ได้ไง?"

"อืมม์ ใช้ไม้คลึงให้แผ่ออกแล้วเอาไปตากแห้งเหรอ?"

เจส่ายหัว

"ไม่ช่าย เขาใช้ใบทองกวาว...เอ่อ ผมไม่รู้ภาษาอังกฤษเรียกอะไร แต่ใบมันจะใหญ่ประมาณนี้..."

เจทำมือวัดขนาดใบทองกวาวให้คนรักดู

"ตักถั่วเน่าที่บดแล้วจำนวนพอประมาณวางบนใบทองกวาวสดที่ทำความสะอาดแล้ว จากนั้นเอาอีกใบประกบทับแล้วกดคลึงจนถั่วเน่าแผ่ออกเป็นแผ่นกลมและได้ความหนาที่ต้องการ จากนั้นเอาไปตากแดดแรงๆ ครับ สักสามวันก็น่าจะแห้งใช้ได้..."

เจชี้ให้ฆาเบียร์ดูลายเส้นที่ประทับจางๆ บนแผ่นถั่วเน่า

"เนี่ย แผ่นนี้ยังเห็นลายเส้นของใบไม้อยู่เลย แสดงว่าทำด้วยวิธีโบราณจริงๆ"

ฆาเบียร์หยิบกล้องมาถ่ายด้วยความตื่นเต้น

"นายนี่รู้อะไรพวกนี้เยอะจริงๆ นะ เจ"

เจยิ้มกว้างแล้วบุ้ยปากไปทางแม่ของเขา

"นู่น คนที่พูดสอนผมตลอดน่ะ คนนู้น"

ฟองนวลหันมายิ้มให้ลูกชายและคนรักของเขา

"แม่ก็ไม่ได้รู้อะไรเยอะหรอกจ้ะ ก็ทำแบบที่ยายสอนมาอีกทีนะ"

"งั้นวันหลังผมจะขอมาเรียนรู้เรื่องพวกนี้ต่อจากแม่นะครับ"

คนตัวโตพูดกับแม่ของคนรักด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

"ได้สิ แม่จะดีใจมากถ้ามีคนมาคอยสืบทอดวิชาพวกนี้ เด็กๆ พวกนี้ก็ดีแต่กิน ให้มาช่วยก็ไม่ค่อยยอมมาเท่าไหร่"

ฟองนวลพูดช้าๆ เธอหันไปถามเจบ้างเมื่อนึกคำไม่ออก เจทำจมูกย่นให้คนรักเมื่อได้ยินคำแซวของแม่ เขาเองก็เรียนจากแม่มาบ้าง แต่แค่ขี้เกียจลงมือทำเอง อย่างไรเขาก็ยังอยากกินรสมือแม่มากที่สุด



"เอ้า คุณ เอ๊ย อ้าย ไปๆ ทำน้ำพริกอ่องต่อได้แล้ว ผมหิวแล้วอ่ะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขายิ้มร่าออกมาเมื่อแม่บอกให้เขากินของที่ทำเสร็จแล้วบนโต๊ะได้เลย

"หมู่นั้นอ้ายเปิ้นแป๋งหื้อเฮากิ๋นเป๋นข้าวงาย แม่กับปี้อิ่มกิ๋นข้าวต้มไปก่อนแล้ว เจกิ๋นได้เลย เดียวไว้กิ๋นข้าวตอนกั๋นจ๊าน่อยน่อ"

"พวกนั้นพี่เขาทำให้เรากินเป็นข้าวเช้า แม่กับพี่อิ่มกินข้าวต้มไปก่อนแล้ว เจกินได้เลย เดี๋ยวค่อยกินข้าวเที่ยงกันช้าหน่อยนะ”


เจนยุทธยิ้มร่า เขาเดินไปหยิบจานแล้วคดข้าวสวยในหม้อมานั่งกินกับอาหารบนโต๊ะ เขาตักทุกอย่างราดข้าวแล้วลากเก้าอี้ไปนั่งดูคนรักทำอาหาร

"ไหน อ้ายฆาบี้ บอกผมหน่อยซิว่าต้องทำอะไรมั่ง"

เจถามลองภูมิคนรัก ฆาเบียร์เปิดๆ ดูที่เขาจดไว้

"อืม ตอนแรกโขลกพริกแห้ง หอมแดงกับกระเทียมเข้าด้วยกันจนละเอียด พวกอัตราส่วนของพวกนี้กับหมูแม่บอกว่าให้ลองดูเอาตามความเหมาะสม อย่างฉันกินเผ็ดไม่มาก แม่ก็ว่าใช้พริกแห้งแค่หกเจ็ดเม็ดต่อหมูบด 400 กรัม แทนที่จะใช้สิบเม็ด"

เจพยักหน้าหงึกหงัก เขาชะโงกดูโน้ตของฆาเบียร์แล้วก็พบว่าเป็นลายมือของอิ่ม

"แม่หื้ออิ่มจ้วยจดสูตรหื้ออ้ายเปิ้น"

"แม่ให้อิ่มช่วยจดสูตรให้พี่เขา"

สำหรับฟองนวล มันง่ายกว่าที่เธอต้องมาอธิบายเอง ต่อให้ภาษาอังกฤษเธอจะใช้ได้ แต่ด้วยความที่ร้างมานาน บางครั้งก็ยากที่จะนึกศัพท์แสงออก เธอคอยมาเติมเสริมให้เมื่อยามฆาเบียร์ลงมือปฏิบัติเอง



"แล้วหลังจากโขลกพริกเสร็จ ทำไงต่อนะครับ?"

เจนยุทธถามต่อ

"แม่บอกว่าจากนั้นให้ใส่เกลือลงไปตำกับพวกพริกที่ตำไปเมื่อกี้ ถ้าหากะปิได้ ก็ให้ใส่ลงตอนนี้ แต่ถ้าจะใส่ถั่วเน่าทีหลัง ก็ไม่ต้องใส่กะปิ..."

คนตัวโตอ่านโพยของเขา

"ถ้าหากะปิไม่ได้ คุณจะปรุงแค่เกลือหรือน้ำปลาก็ได้นะจ๊ะ พวกเจตอนเด็กๆ ก็กินแบบนั้นเพราะบอกว่ากะปิกับถั่วเน่ามันเหม็น"

ฟองนวลเสริมมา

"งั้นวันนี้ผมลองทำสูตรแบบที่เจกินตอนเด็กก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะเพิ่มปริมาณเกลืออีกนิด แล้วใส่น้ำปลาอีกหน่อย"

ฆาเบียร์ใส่เกลือลงไปในครก ฟองนวลบอกเขาให้ปรุงไม่ต้องเค็มมากไปก่อน เพราะมาเติมทีหลังได้ ฆาเบียร์จึงใส่เกลือไปประมาณครึ่งช้อนชา

"โอเค จากนี้ทำยังไงต่อนะ? อืมม์  เอาหมูลงไปคลุกเคล้ากับเครื่องในครกให้เข้ากัน จากนั้นใส่มะเขือเทศลูกเล็กที่รสออกเปรี้ยวหั่นครึ่งลงไป..."

คนตัวโตทำตามสูตร เขาใช้สากบดมะเขือเทศไปกับเนื้อหมูจนมะเขือเทศแตกออกและน้ำของมันซึมลงไปในเนื้อหมู เจบอกว่ามะเขือเทศที่ควรใช้คือมะเขือส้มเมือง ซึ่งเป็นมะเขือเทศลูกเล็กสีส้มอมเขียว รสชาติออกเปรี้ยว มักเห็นใส่ในขนมจีนน้ำเงี้ยว

"ถ้าใช้มะเขือเทศดีๆ จากในซุเปอร์ฯ บางทีมันออกหวานไปครับ แต่ถ้าอ้ายหาไม่ได้ ใช้มะเขือเทศพลัมหรือพันธุ์โรม่าแบบทำสปาเก็ตตี้ก็น่าจะได้ แล้วที่บ้านอ้ายมีครกเหรอ?"

เจหยุดกินแล้วลุกมาดูคนตัวโตของเขาทำน้ำพริกอ่องต่อ ฆาเบียร์บอกว่าที่ฮ่องกงน่าจะพอหาครกได้ เจพยักหน้าแล้วดูคนรักทำการบดมะเขือเทศลงกับเนื้อหมู

“ถ้าอยากให้มีชิ้นมะเขือเทศด้วย อ้ายก็เก็บมะเขือเทศไว้บางส่วนแล้วค่อยเอาลงผัดทีหลังก็ได้ครับ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ วันนี้ฉันอยากทำสูตรที่แม่จดให้เลย”

ฆาเบียร์หันมายิ้มให้คนรักและตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับของในครกต่อจนทุกอย่างเข้ากันดี



"โอเค ถึงตอนนี้ก็ตั้งกะทะใส่น้ำมันบนเตาจนร้อน..."

เจบอกว่าโดยทั่วไปจะใช้วิธีผัดแต่เครื่องแกงก่อนจนหอม แล้วจึงใส่หมูลงผัดโดยต้องไม่ลืมเติมน้ำลงไปด้วยนิดหน่อยให้พอขลุกขลิก พอเดือดก็ใส่มะเขือเทศหั่นซีกหรือหั่นครึ่งก็ได้แล้วแต่ขนาดตามลงไปผัดจนสุก ชิมแล้วก็ปรุงรสอีกรอบหนึ่ง ถ้าจะใส่ถั่วเน่าแข็บป่นก็โรยใส่ไปตอนนี้เพื่อที่กลิ่นหอมๆ ของมันจะได้คงอยู่

"...แต่บ้านผม แล้วก็อาจจะอีกหลายๆ บ้านใช้วิธีตำหมูและมะเขือเทศลงไปในครกเลย เพราะน้ำของมะเขือเทศและเครื่องแกงจะได้ซึมซาบเข้าไปในเนื้อหมูอย่างทั่วถึง ใช่ไหมครับแม่?"

แม่ของเขาหันมาตอบรับ

"ใช่จ้ะ แต่อีกเหตุผลนึงของบ้านเราก็คือ เด็กๆ พวกนี้สมัยก่อนเขาไม่ชอบกินมะเขือเทศที่เป็นชิ้นใหญ่ๆ แม่ก็เลยจับมันมาบี้ๆ เสียก่อน พอผัดแล้วมันจะได้เละและออกมาเหมือนซอสสปาเกตตี้ ทำทีไรเจกินเรียบทุกที"

ฟองนวลพูดยิ้มๆ โดยมีเจช่วยเรื่องคำศัพท์อีกครั้ง เจยิ้มเขินๆ เมื่อแม่พูดถึงเรื่องในอดีต เขาเดินไปกอดเอวแม่แล้วซบหน้าลงกับไหล่ ฆาเบียร์ยืนยิ้มดูแม่ลูกทั้งคู่หยอกล้อกัน เขาคิดว่าอาหารของบ้านนี้คืออาหารรสมือแม่ที่ปรับให้เข้ากับความชอบของลูกๆ โดยแท้จริง มันทำให้เขาอดนึกถึงพ่อของเขาไม่ได้ ถึงฆาเบียร์จะเป็นลูกคนเดียว แต่อาหารหลายๆ อย่างของบ้านเขาก็ถูกปรับสูตรให้เข้ากับความชอบของเด็กน้อยที่เป็นแก้วตาดวงใจของบ้านคนนี้



"ฆาบี้ หมูเดือดแล้ว คนเร้ว เดี๋ยวไหม้"

เจร้องเตือนมาเมื่อเห็นเริ่มมีควันขึ้นจากในกะทะ ฆาบี้ที่อยู่ในภวังค์สะดุ้งและรีบใช้ตะหลิวคน เจมองด้วยความเป็นห่วง

"มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมเห็นคุณเหม่อ"

เจถามเบาๆ ตอนที่แม่ของเขาเดินออกครัวไป ฆาเบียร์ยิ้มเศร้าๆ

"ฉันนึกถึงพ่อขึ้นมาน่ะ..."

เขาเล่าความรู้สึกของเขาให้เจฟัง เจนยุทธอุทานออกมาเบาๆ แล้วเข้ามาสวมกอดคนรักไว้เพื่อปลอบโยน ฆาเบียร์โอบร่างคนรักในอ้อมกอดไว้นิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนจะดันตัวเจออก

"ฉันโอเคแล้วจ้ะ ไม่เป็นไรแล้ว เจเขยิบออกไปนิดนะ กะทะมันร้อน เดี๋ยวนายจะเจ็บตัวเอา"

เจพยักหน้า เขาปล่อยให้คนรักผัดน้ำพริกต่อไป เมื่อฆาเบียร์ชิมรสและดูแล้วว่าทุกอย่างสุกได้ที่เขาก็ขอให้ฟองนวลที่เดินกลับมาในครัว​ดู เธอลองชิมแล้วก็พยักหน้าให้ลูกมือคนใหม่ของเธอ ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เขาตักน้ำพริกตักใส่ถ้วยที่เจเตรียมไว้ให้ โดยโรยหน้าแค่หอมซอยและไม่ใส่ผักชี

"ฉันรู้ว่านายไม่ชอบผักชี"

ฆาเบียร์พูดสั้นๆ เจหยิบช้อนกลางมาตักน้ำพริกอ่องขึ้นชิม เขายิ้มร่าและชูนิ้วโป้งให้คนรัก

"โอ๊ย มันใช่มากเลยครับอ้าย นี่แหละรสน้ำพริกอ่องแบบที่แม่ผมทำให้กินตอนเด็กๆ พอพวกผมโตมาหน่อย แม่ก็เปลี่ยนไปเป็นแบบใส่ถั่วเน่า มันก็อร่อยนะ แต่มันไม่ใช่รสชาติที่คุ้นเคยอ่ะ นานๆ ทีผมก็จะทำแบบนี้กินเองทีพอให้หายคิดถึง”

เจใช้ไหล่ตัวเองกระแทกไหล่กว้างของคนรักเบาๆ

“นี่ๆ ถ้าอ้ายทำน้ำพริกอ่องกินเองที่บ้านก็คิดถึงผมด้วยนะ”

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ เขาข่มใจไม่ให้หอมแก้มแดงๆ ของเจ้าตัวดีต่อหน้าแม่ เจเดินไปดูอาหารอย่างอื่นที่แม่ของเขาทำไว้ในหม้อที่ปิดฝาอยู่



“โอ๊ย แก๋งบะค้อนก้อมกาคับแม่?”

“โอ๊ย แกงมะรุมเหรอครับแม่?”

เจปาดน้ำลาย เขาไม่ได้กินอาหารจานโปรดของเขาจานนี้บ่อยนัก ฟองนวลพยักหน้า

“แม่นละ ตะวาบ้านวัดเกตเปิ้นหื้อบะค้อนก้อมมามัดนึ่ง เสียดายมันเฒ่าไปน่อย อาจจะเสี้ยนนักพ่องเน่อ”

“ใช่แล้ว เมื่อวานบ้านวัดเกตให้มะรุมมามัดหนึ่ง เสียดายมันแก่ไปหน่อย อาจจะมีเสี้ยนมากหน่อยนะ”

ฟองนวลหันไปพะยักเพยิดกับฆาเบียร์ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ แล้วพูดให้คนรักของลูกชายเข้าใจด้วย

อ้ายเขาช่วยปอกเปลือกบะค้อนก้อมกับช่วยตำเครื่องแกงด้วยนะ”

คนตัวโตยิ้มอายๆ เขาบอกว่าเขายังปอกเปลือกมันไม่สวย ลอกส่วนที่แข็งออกไม่ค่อยหมดเท่าไหร่ เจตักๆ มะรุมในหม้อดู

"ก็ใช้ได้แล้วคุณ กินได้แล้วน่า เอ้า ไหน งั้นบอกผมหน่อยว่าเครื่องแกงมีอะไรบ้าง"

คนตัวโตเปิดโพยดู

"แม่บอกว่า สำหรับแกงผักแบบเมือง เครื่องแกงมาตรฐานก็เหมือนๆ ที่ใส่น้ำพริกอ่อง คือ พริกแห้ง หอมแดง กระเทียม แล้วก็กะปิกับเกลือ โขลกให้เข้ากัน ใช่ไหมครับแม่?"

ฆาเบียร์หันไปถามฟองนวลที่กำลังกำกับเด็กลูกมือให้ปอกไข่ต้ม แม่ของเจหันมาพยักหน้าให้

"ใช่จ้ะ ถ้าจะใส่ถั่วเน่าก็ไม่ต้องใส่กะปิก็ได้ แล้วก็สำหรับหลายๆ บ้านจะใส่ปลาร้าเป็นชิ้นๆ ไปด้วย แต่ของบ้านแม่ใส่แค่น้ำปลาร้านิดหน่อย เพราะพวกเด็กๆ เขาไม่ชอบกลิ่นปลาร้าในแกง”

"พวกพริก หอมแดง กระเทียม กะปิเนี่ย ถ้าจะให้ดีก็ควรเอาห่อใบตองแล้วย่างไฟหน่อยด้วยนะครับ มันจะช่วยให้กลิ่นหอมขึ้น ในน้ำพริกอ่องก็เหมือนกัน ถ้าผมอยู่ห้องคอนโด บางทีก็เอาห่อฟอยล์แล้วเข้าเตาติ๊ง แต่แป๊บเดียวนะ ไม่งั้นถ้าไหม้ล่ะเรื่องใหญ่ เหม็นทั้งฟลอร์แน่"

เจนยุทธเสริมมา ฆาเบียร์รีบจดเพิ่มลงไปในสมุดน้อยของเขา



คนตัวโตอ่านโพยของเขาต่อ

"เอ่อ แต่ถ้าเป็นแกงที่ใส่เนื้อมากๆ เช่นแกงอ่อมไก่ แกงอ่อมเนื้อ หรือกระทั่งแกงฟักใส่ไก่ก็จะใส่ตะไคร้กับข่าหั่นลงไปเพื่อดับคาว บางอย่างก็ใส่ขมิ้นด้วย แต่ เอ ทำไมแกงฮังเลไม่ทำแบบนี้ล่ะครับ?"

"ก็เพราะแกงฮังเลมันเป็นแกงแบบพม่าที่ได้อิทธิพลมาจากอินเดียอีกทีครับอ้าย มันเลยไม่เหมือนกับอาหารพื้นเมืองทางนี้ชนิดอื่น"

 เจตอบแทนแม่ของเขา ฆาเบียร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เจนยุทธแอบตักน้ำพริกอ่องใส่จานข้าวที่เขากินทิ้งไว้แล้วถือไปนั่งกินต่อที่โต๊ะในครัวพร้อมกับอาหารอย่างอื่นที่ทำเสร็จแล้ว เขาตักนั่นนี่เข้าปากแล้วทำหน้าปลื้มปริ่ม

"ฆาบี้ เอ่อ อ้ายครับอร่อยทุกอย่างเลยนะ คั่วยอดซาโยเต้ใส่ไข่นี่ผัดได้แห้งดี ใช้ได้ๆ รู้ไหมว่าอ้ายยังผัดพืชผักชนิดอื่นๆ แบบเดียวกันได้อีกนะ อย่างถั่วฝักยาว ชะอม ยอดฟักทอง เห็ดหูหนู อะไรพวกนี้ ก็หั่นเป็นชิ้นฝอยๆ เล็กๆ เหมือนซาโยเต้ในจานนี้ โดยเฉพาะถั่วฝักยาวนะ เอามาผัดแบบนี้อร่อยเลิศสุดแล้ว"

เจปาดน้ำลายเมื่อนึกถึงถั่วฝักยาวผัดไข่ของโปรดในวัยเด็กของเขา

"ผักอย่างอื่นที่เอามาผัดไข่ได้ก็...อืมม์ พวกเราเคยกินสายบัวผัดไข่แล้ว แตงกวาก็ผัดได้แต่มันจะออกมาแฉะ ไม่แห้งแบบนี้ ถ้าหาแตงกวาแบบไทยไม่ได้ อ้ายลองใช้ซูคินี่ดูก็น่าจะเวิร์ค แล้วในผัดพวกนี้แม่ผมใส่พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบลงไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ แต่ผมเคยเจอบางที่เขาผัดใส่หอมแดงซอยกับกุ้งแห้งด้วยนะ นั่นน่าจะเป็นแบบภาคใต้”

ฆาเบียร์บอกเจว่าเขาจำผัดผักชื่อแปลกๆ ที่เคยกินที่สมุยได้ นั่นก็ผัดใส่กุ้งแห้งด้วยเช่นกัน

“อ๋อ ใบเหลียง ใช่ๆ แบบนั้นเลย ผมเคยกินผักเซียงดาซึ่งเป็นผักของทางเหนือแล้วเอามาผัดแบบใต้ ที่ร้านครัวอาจารย์สายหยุดมั้ง ใช้ได้เหมือนกันครับ แต่อ้ายอาจจะไม่ชอบเพราะผักเซียงดามันออกขม”



เจตักผัดกะเพราเป็ดสับกินต่อและเอ่ยปากชมเปาะเช่นกัน เขาเล็คเชอร์คนรักของเขาต่อ

“เนี่ย ฆาเบียร์ อ้ายดูนะ ผัดกะเพราแบบไทยแท้ๆ เราจะไม่ใส่อะไรนอกจากกระเทียม เนื้อ พริกขี้หนูตำ และใบกะเพรา อย่างมากก็ใส่พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบเพิ่ม ส่วนเครื่องปรุงก็ น้ำปลาหรือเกลือ ตัดน้ำตาลนิดเดียว พริกไทยอีกหน่อย ไอ้ซอสหอยนางรมนี่ห้ามเชียว อย่างมากสุดคือใส่ซีอิ๊วดำเพื่อให้มีสีเข้ม แต่สมัยนี้ แต่ละร้านก็ประโคมใส่ผักสารพัด ทั้งแครอท ข้าวโพดอ่อน ถั่วฝักยาว กระทั่งกะหล่ำดอกผมก็เคยเจอ แถมยังใส่พวกซอสปรุงรสอื่นอีกสารพัด มันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ใช่!”

เจบ่นพึมพำ

“…แต่ก็ นะ ถ้าทำกินเอง อ้ายจะใส่อะไรก็ใส่ไปเถอะ”

เจหันไปบอกพ่อคนชอบกินผัก ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่าเขาจะพยายามทำตามสูตรดั้งเดิม

"ถ้าอยากให้แฟนซีหน่อย ก็เอาใบกะเพราไปทอดให้กรอบแล้วโรยหน้าครับ รับรองอร่อยเหาะ"

เจนยุทธปาดน้ำลายอีกครั้ง เขาบอกว่าที่เขาชอบที่สุดคือไข่เยี่ยวม้ากะเพรากรอบ ฆาเบียร์ทำหน้าเบ้ เขาทำใจให้กินไอ้เจ้าไข่หน้าตาเหมือนไข่เน่านั้นไม่ได้สักที



“เจ กินเสร็จหรือยัง เดี๋ยวแม่จะเริ่มทำไข่คว่ำแล้ว เรากับอ้ายเขามาช่วยไหม?”

ฟองนวลส่งเสียงเรียกลูกชาย เจรีบกินข้าวที่เหลือและดึงฆาเบียร์ให้ลุกไปหาแม่ พวกเขาช่วยแม่สับไข่ต้มเป็นชิ้นเล็กๆ ซึ่งโดยปกติแม่ของเขาจะให้เด็กลูกมือทำ แต่วันนี้ฟองนวลอยากให้ฆาเบียร์ได้ลองทำให้มากที่สุด ฟองนวลบอกว่าเธอใช้ไข่ต้มสี่ฟองต่อหมูบดสองขีด

"ที่จริงต้องใช้ไข่เป็ดสามฟอง แต่แม่ไม่ได้ซื้อไว้ก็เลยใช้ไข่ไก่สี่ฟองใหญ่แทน ที่จริงให้อัตราส่วนไข่พอๆ กับหมูก็ได้ เวลาทอดเสร็จมันจะได้ไม่ออกมาแข็งนัก"

แม่ของเจพูด พร้อมกับปรุงรสหมูบดในกะละมัง เธอใส่กระเทียมสับสี่ห้ากลีบ เกลือ พริกไทยและน้ำตาลเล็กน้อยลงไปในเนื้อหมูคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นเธอส่งกะละมังให้ฆาเบียร์ใส่ไข่ต้มลงไปแล้วค่อยๆ ตะล่อมคลุกให้ชิ้นไข่กระจายตัวทั่ว และยังใส่ต้นหอมและผักชีซอยลงไปด้วย สำหรับผักชี เธอเลือกมาแต่ส่วนใบเพราะรู้ว่าลูกชายคนเล็กของเธอนั้นไม่ชอบกลิ่นของผักชีนัก

"คลุกเบาๆ มือหน่อยนะจ๊ะ อย่าให้ไข่เละ"

ฆาเบียร์ทำตามแม่ของคนรักบอก จากนั้นฆาเบียร์และเจช่วยกันใช้ช้อนตักส่วนผสมไข่คว่ำออกมาและทำให้เป็นทรงคล้ายไข่ต้มผ่าครึ่ง

"อย่างที่ผมเคยบอกอ้ายครับ ที่จริงเราต้องใส่หมูที่ผสมแล้วลงไปในเปลือกไข่ผ่าครึ่ง แต่ที่บ้านผมทำแบบนี้เพื่อให้มันกินง่าย แต่หมูมันก็จะแห้งไปนิดนึงเมื่อเทียบกับแบบที่ใส่ในเปลือกไข่"

พวกเขาจัดการกับส่วนผสมไข่คว่ำจนหมด จากนั้นนำหมูก้อนพวกนั้นลงชุบไข่ไก่ดิบจนทั่ว เจค่อยๆ หย่อนมันลงกะทะใส่น้ำมันที่ร้อนจัดแล้ว



"ทอดระวังๆ หน่อยนะครับอ้าย น้ำมันมักจะกระเด็น"

เจอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นหน้าตาที่เคร่งเครียดของคนรัก

"นี่ ​ฆาบี้ ทำหน้าเหมือนพ่อมดที่กำลังปรุงยาไปได้น่า อย่าเครียดๆ "

ฟองนวลพลอยหัวเราะกับการเปรียบเปรยของลูกชายไปด้วย เธอคอยอยู่ช่วยกำกับจนไข่คว่ำทั้งหมดสุก แล้วจึงได้ตักขึ้นวางบนกระดาษซับมัน

"โอเค มื้อเที่ยงเรียบร้อย มีแกงฮังเล น้ำพริกอ่อง แกงบะค้อนก้อม ไข่คว่ำ ผัดผักกับกะเพราะก็ยังเหลืออีกหน่อย จะให้แม่เจียวไข่เพิ่มไหม?"

แม่ของเจถามลูกของเธอ เจนยุทธส่ายหน้าปฏิเสธ

"เต้าอี้ก่อปอแล้วคับแม่ ผมกิ๋นตะกี้ไปนักละ แล้วอ้ายเปิ้นก่อบ่ได้กิ๋นนักอะหยังล้ำเหลือ ถ้าแม่กับปี้อิ่มว่าปอ ก่อปอแล้วคับ"

"เท่านี้ก็พอแล้วครับแม่ ผมกินเมื่อกี้ไปมากแล้ว แล้วอ้ายเขาก็ไม่ได้กินเยอะอะไรมากมาย ถ้าแม่กับพี่อิ่มว่าพอ ก็พอแล้วครับ"

​ฟองนวลพยักหน้ารับคำ

"อั้นเดียวแม่จะแป๋งกับข้าวเพิ่มแหมซักอย่างสองอย่าง ลูกบอกอ้ายเปิ้นไปอาบน้ำเต๊อะ เหื่อปิเหื่อปังหมดละ"

"งั้นเดี๋ยวแม่จะทำกับข้าวเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่าง ลูกบอกพี่เขาไปอาบน้ำเถอะ เหงื่อออกโทรมหมดแล้ว"


ฆาเบียร์ดูสองแม่ลูกโต้ตอบกันด้วยภาษาเหนืออย่างเพลิดเพลิน เขาหมายมั่นปั้นมือว่าสักวันเขาจะต้องเรียนพูดหรืออย่างน้อยต้องฟังภาษานี้ให้รู้เรื่องให้ได้ เจหันไปบอกฆาเบียร์ตามที่แม่เขาบอก ทั้งสองคนขอตัวกลับไปอาบน้ำอาบท่า แล้วพากันเดินออกจากครัวกลับไปยังเรือนพักของตัวเอง



-------------------------------------------


วันนี้ขอเดจาวู ทำอาหารเหนือซ้ำๆ หน่อยนะคะ น้ำพริกอ่องนี่ คนเขียนเอาตามความทรงจำที่แม่เคยให้ช่วยทำตอนเด็กๆ ของที่บ้านจะเป็นน้ำพริกอ่องสำหรับเด็ก ทำง่ายๆ ไม่ใส่กะปิ เพราะน้องสาวไม่ชอบกลิ่นกะปิ สูตรนี้น่าจะเหมาะกับคนอยู่ต่างประเทศที่หากะปิและถั่วเน่าไม่ได้ และอยากทำกินแค่พอให้หายคิดถึงค่ะ

น้ำพริกอ่องสูตรมาตรฐาน http://bit.ly/2JEpkLJ

ส่วนเจ้าผัดผักใส่ไข่นี่ น่าจะไม่ใช่ของแปลกอะไร แต่แค่ว่าของทางเหนือเวลาผัดก็มักจะซอยผักจนเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างถ้าใช้ถั่วฝักยาวก็จะหั่นฝอยๆ เหมือนที่กินกับขนมจีนน้ำยาค่ะ แล้วจึงเอาไปคั่วใส่ไข่ให้แห้งๆ หน่อย

แกงบะค้อนก้อม หรือแกงมะรุม ของทางเหนือจะไม่ได้เปรี้ยวเป็นแกงส้มแบบทางภาคกลาง จะออกเค็มเผ็ด ก็ตามประสาแกงทางเหนือค่ะ จะใส่กระดูกหมู หมูสามชั้น กระดูกอ่อน หรือปลาแห้งก็ได้ ในรูปที่ค้นเจอเป็นของที่คนที่บ้านคนเขียนทำเอง เป็นเวอร์ชั่นหมูสามชั้นค่ะ

สูตรแกงบะค้อนก้อมค่ะ http://bit.ly/2sYYALs







ซาโยเต้ผัดไข่ในรูปมาจากร้านอาหารจีนยูนนาน "มิตรใหม่" จะเอามารีวิวในโอกาสต่อไปนะคะ


ว่าด้วยผัดกะเพรา จะว่าไปก็แล้วแต่คนชอบค่ะ บางคนชอบแบบดั้งเดิมคือไม่มีผักอื่นให้รก แต่บางคนก็ชอบแบบใส่ผัก ถ้าคนเขียนจะชอบแบบดั้งเดิม แต่อาจจะเพิ่มหัวหอมนิดหน่อยค่ะ

ผัดกะเพราแบบดั้งเดิม http://bit.ly/2HNbMrj


เรื่องของถั่วเน่า เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาชาวบ้านของชาวไทยภาคเหนือ ซึ่งได้รับสืบทอดมาจากชาวไทยภูเขา ชาวไตลื้อและชาวไตใหญ่ค่ะ และเป็นเครื่องปรุงรสที่ใช้กันมานานก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยกะปิ หรือจะเอาไปปรุงเพิ่ม ใส่พริก เกลือและอื่นๆ แล้วเอามาย่างกินกับข้าวก็ได้ หรือเอาไปทำเป็นอาหารอย่างอื่นก็ได้ เช่นข้าวผัดถั่วเน่า คนเขียนเคยกินคั่วถั่วเน่าทรงเครื่องของร้านอาหารจีนยูนนาน "มิตรใหม่" ของร้านนั้นเขาจะเอาถั่วเน่าไปคั่วจนแห้งใส่หนังหมูนิดหน่อย พริก และขิง อร่อยทีเดียวค่ะ

เรื่องของถั่วเน่า http://bit.ly/2tchVs1

ถั่วเน่าแข็บและวิธีทำ http://bit.ly/2LRaWfz



ออฟไลน์ pangham301

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- ยามบ่ายที่บ้านแม่ ----




"อยู่นิ่งๆ สิ เดี๋ยวน้ำก็เข้าหูหรอก! เห้ย แล้วจะสะบัดทำไม เปียกหมดทั้งห้องแล้ว!!"

​เจนยุทธว๊ากลั่น ฆาเบียร์ยืนอมยิ้มดูคนรักปลุกปล้ำอาบน้ำให้เจ้าหมาหมูโรซ่า พวกเขาสองคนกลับเข้าห้องมาก็เจอโรซ่าที่บุกรุกเข้ามานอนหลับอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียง ฆาเบียร์เข้าไปกอดและหอมสาวน้อยตัวดำปี๋ของเจอย่างรักใคร่ แต่ก็ต้องทำหน้าเบ้ เจเลยต้องจัดการจับไอ้ตัวดีที่เพิ่งลงไปวิ่งเล่นคลุกดินและมุดพงหญ้าเล่นมาอาบน้ำ​ ส่วนฆาเบียร์ก็รับหน้าที่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนที่เปื้อนรอยเท้าหมาเป็นที่ๆ ไปตามระเบียบ

"ทำไมเรามันซนงี้ฮะ?..."

เจบ่นไปพลางบรรจงฟอกแชมพูหมาราคาแพงที่เขาซื้อให้สาวน้อยคนสวยของเขาลงบนขนดำขลับของมัน อิ่มใจเคยค่อนแคะเจว่าแชมพูของโรซ่านั้นแพงกว่าแชมพูของเธอเสียอีก แต่เจก็ทำไม่สนใจ

"...ใครสั่งใครสอนให้ลงไปคลุกดิน อ้ายไม่เคยสอนเราให้เป็นเด็กดื้อแบบนี้นะ​"

เขาบ่นไอ้เจ้าหมาแสบที่ยืนหูลู่ทำตาละห้อยอยู่ตรงหน้า คนตัวโตหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำคุ้นเคยออกจากปากของเจนยุทธ

"นี่นายถือตัวเองเป็นพี่ของโรซ่าเหรอ?"

เจหันมาทำตาแป๋วใส่คนรัก

"ใครว่าล่ะ โรซ่าเขาเป็นสาวน้อยสุดที่รักของผมต่างหาก ใช่ไหมๆๆ เรารักกันเนาะ"

เจที่ใส่แต่กางเกงในตัวเดียวอาบน้ำให้โรซ่าก้มลงกอดเจ้าหมาหมูอย่างรักใคร่ คนตัวโตจิ๊ปากเบาๆ เขาดึงฝักบัวจากมือเจนยุทธมาแล้วรดราดบนทั้งตัวเจและตัวเจ้าหมาอ้วนเพื่อล้างฟองให้จนหมด จากนั้นให้มันสะบัดตัวและใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เช็ดขนให้เจ้าลาบราดอร์ดำ เขาใช้ผ้าอีกผืนปูไว้ที่พื้นห้องน้ำส่วนที่แห้งแบบที่เคยเห็นเจทำ เจ้าหมาโรซ่ารีบเดินไปกลิ้งตัวบนผ้าผืนนั้นทันที ฆาเบียร์หันมาหาเจนยุทธที่ยืนยิ้มเผล่ดูเขาจัดการเจ้าหมาดำ



"เอ้า ทำไมหน้าบูดงั้นล่ะคุณ?"

เจถามงงๆ เขาอุทานเบาๆ เมื่อถูกดึงร่างเข้าไปกอดไว้แน่น

"เจจ๋า ฉันขอล่ะ อย่าบอกว่านายรักคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ได้ไหม?"

ฆาเบียร์แนบแก้มของเขากับแก้มเย็นๆ ของเจนยุทธ เจทำตาปริบๆ

"เอ่อ ฆาบี้ นั่นมันโรซ่านะ ลาบราดอร์ตัวเบ้อเริ่ม ไม่ใช่คนที่ไหนนะคุณ"

"นั่นแหละ นายรู้ไหมว่าฉันใจหายทุกครั้งที่ได้ยินนายพูดคำว่ารักกับใครหรืออะไรที่ไม่ใช่ฉัน"

คนตัวโตยังคงอ้อนคนรักของเขาต่อ เจดันร่างฆาเบียร์ออกแล้วก็ต้องโคลงหัวเมื่อเห็นแววตาขี้เล่นของเมียตัวโตของเขา

"พอๆๆ เลิกเล่น โรซ่ารอนานแล้ว เดี๋ยวผมต้องเป่าขนให้มันก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวเป็นหวัด"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

"แล้วคุณนี่นะ แกล้งทำเป็นน้อยใจเล่นเป็นเด็กไปได้"

เจบ่นอุบพร้อมกับผลักอกคนรักให้ออกห่างตัวไป เขาเดินไปเช็ดตัวให้เจ้าหมาดำที่นอนกลิ้งไปมาบนผ้าเช็ดตัวจนเหลือเปียกแค่หมาดๆ ฆาเบียร์หน้าสลดไปเล็กน้อยเมื่อเจนยุทธทำท่าเมินเขา

"เดี๋ยวผมจะไปเป่าขนให้มันก่อน ส่วนคุณ ถ้าอยากเล่นนักก็รอในนี้ก่อน เดี๋ยวผมกลับมาเล่นด้วย โอเคไหม?"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างให้คนรักที่หันมาขยิบตาให้เขา เจต้อนเจ้าหมาหมูออกไปนอกห้องและจัดการใช้ไดร์เป่าขนเจ้าหมาตัวโปรดของเขาจนแห้ง เขาสั่งให้มันนอนรออยู่ในห้องแล้วจึงเปิดประตูกลับเข้าไปในห้องน้ำ เจโคลงหัวและจิ๊ปากเบาๆ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า



"ฆาเบียร์ครับ ตื่นเถอะ อย่ามานั่งหลับแบบนี้"

เจนยุทธเขย่าปลุกคนตัวโตที่นั่งเอาหัวพิงผนังหลับไปบนโถชักโครก คนตัวโตปิดฝามันลงและใช้นั่งรอแทนเก้าอี้ แต่ด้วยความง่วงที่ตื่นเช้าและความเพลียที่ยืนหน้าเตาทำอาหารมานับชั่วโมงทำให้เขาผลอยหลับไปอย่างง่ายดาย

"เจ...อ๊ะ นายทำอะไรน่ะ?"

ฆาเบียร์สะดุ้งตื่นมาด้วยความรู้สึกหนักๆ ที่ขาและสัมผัสอุ่นๆ ที่แก้มและริมฝีปาก เขาลืมตาตื่นมาเจอเจนั่งคร่อมตักและกำลังจูบพรมไปทั่วใบหน้าเขา

"ก็เขย่าปลุกตั้งหลายทีแล้วคุณไม่ตื่นนี่นา..."

เจหัวเราะเบาๆ และขยับสะโพกเบาๆ

"แต่ตรงนี้ตื่นแล้วแฮะ"

"เจ!"

ฆาเบียร์คำรามเรียกชื่อคนรักเบาๆ เขาตะปบมือบนบั้นท้ายกลมกลึงของเจนยุทธที่มีเพียงผ้ายืดบางๆ กั้นกลาง เจสะดุ้งเฮือก ดูท่าทางเมียตัวโตของเขาจะเครื่องติดซะแล้ว

"คุณ เดี๋ยวก่อนๆ ใจเย็นๆ จะเที่ยงแล้ว เดี๋ยวแม่กับพี่อิ่มจะรอกินข้าวนาน เราอาบน้ำอาบท่ากันเถอะ คุณนี่ก็ชักกลิ่นเหม็นเฉ่าๆ ไม่แพ้ไอ้หมาหมูแล้วนะ"

เจทำจมูกฟุดฟิดสูดดมที่ซอกคอและเรือนผมของคนรักแล้วทำหน้าเบ้บ้าง ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ ตัวเขาคงเหม็นทั้งอาหารและเหงื่อ เขาดันตัวเจนยุทธให้ลงจากตักและจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนเองออก เจจัดการคว้าเก้าอี้พลาสติกไม่มีพนักสองตัวที่เขาใช้นั่งอาบน้ำมาวางไว้ใต้ผักบัวแล้วกวักมือเรียกคนตัวโต



"มะๆๆๆ มานี่เร้ว เดี๋ยวอ้ายเจจะอาบน้ำให้เอี่ยมเองนะ"

ฆาเบียร์เท้าสะเอวส่ายหัวให้คนรักที่เรียกเขาเหมือนตอนเรียกโรซ่าให้มาอาบน้ำ แต่ก็ยอมเดินเข้าไปในส่วนเปียกและนั่งเก้าอี้ตัวนั้นแต่โดยดี เจจัดการเปิดน้ำฝักบัวติดผนังให้สาดรดตัวพวกเขาทั้งสองจนเปียก จากนั้นเขาแกะผมที่มัดไว้หลวมๆ ของฆาเบียร์ออกและเปลี่ยนไปใช้หัวฝักบัวติดสายยางฉีดน้ำราดรดผมคนรัก จากนั้นก็จัดการสระผมสลวยสีน้ำตาลให้เมียตัวโตของเขา

"นี่ เจ ใช้แชมพูให้ถูกขวดนะ อย่าไปหยิบของโรซ่ามาสระผมฉันล่ะ"

ฆาเบียร์พูดทั้งที่หลับตา

"โหย คุณครับ แชมพูไอ้หมาหมูนี่เม้ด อิน ฟรานซ์เลยนะคร้าบ แพงกว่าแชมพูผมกี่เท่าก็ไม่รู้"

เจพูดกลั้วหัวเราะ ฆาเบียร์โคลงหัวเบาๆ มิน่าล่ะขนของเจ้าหมาลาบราดอร์ดำถึงได้ดำขลับสวยงามอยู่ตลอดเวลา



"เจ นั่นแหละ เกาทางซ้ายอีกหน่อย อืมม์"

ฆาเบียร์ครางออกมาอย่างสบายอารมณ์ เขานั่งเอนกายน้อยๆ พิงอกคนรักที่กำลังสระผมให้เขา

"ฉันชอบจริงๆ เวลามีคนสระผมให้เนี่ย มันสบายหัวดีจริงๆ "

คนตัวโตพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส

"ฮึ แล้วนี่ให้หนุ่มๆ สระผมให้มากี่คนแล้วล่ะคุณ"

เจกระแทกเสียงพร้อมกับหยุดสระ เขาเกิดน้อยใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

"เจ เป็นอะไรไป?"

ฆาเบียร์ลืมตาขึ้นแต่ก็ต้องหยีตาลงไปเพราะฟองแชมพูที่ไหลเข้าตา เจถอนหายใจเบาๆ

"ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมคงคิดฟุ้งซ่านไปเอง"

เจดึงร่างคนรักให้ลงพิงอกตัวเอง แต่คนตัวโตขืนตัวไว้ เขาปาดฟองแชมพูออกแล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนรัก

"เจ นายคิดว่าฉันหมายถึงอะไร?..."

เจนยุทธหลบตา ฆาเบียร์เม้มปากน้อยๆ

"เจจ๊ะ ที่ฉันพูด ฉันหมายถึงเวลาที่ฉันไปเข้าซาลอนหรือว่าไปร้านตัดผมนะ สมัยก่อนเวลาเครียดๆ บางทีฉันก็จะไปเข้าร้านทำผมให้ช่างเขาสระผมและนวดหัวให้ แต่ฉันไม่เคยให้ผู้ชายที่ฉันเคยเดทด้วยสระผมให้แบบที่นายทำให้ฉันนะเจ นายเป็นคนแรกที่ได้ทำแบบนี้ เข้าใจไหม?"

เจหน้าแดงซ่าน เขาพยักหน้ารับคำเบาๆ คนตัวโตดึงร่างคนรักเข้ามาใกล้และจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผาก

"นายนี่ก็ขี้น้อยใจเหมือนกันนะ แล้วก็ชอบมาว่าฉัน หืมม์?"

เขาเชยคางคนรักให้เงยขึ้น เจสบตาแพรวพราวบนใบหน้าที่ยิ้มกริ่มของฆาเบียร์แล้วก็ต้องหน้าร้อนวาบจนต้องก้มหน้างุดลงไปใหม่ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาเชยคางเจขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาประทับจูบอันอ่อนหวานลงบนริมฝีปากของคนรัก เจจูบตอบ ทั้งคู่แลกจูบกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เจจะร้องออกมาและหลับตาลง ฟองสบู่บนหัวฆาเบียร์เข้าตาเขาเข้าแล้ว

"เดี๋ยวๆ ให้ผมล้างฟองบนหัวคุณออกก่อนนะฆาบี้ แล้วเดี๋ยวนวดครีมนวดอีกซักรอบนะ"

เจเปิดน้ำอีกครั้งและจัดการตามที่บอก คนตัวโตหลับตาพิงอกคนรักอย่างสบายอารมณ์อีกครั้ง ตั้งแต่เจอเจ เขาก็แทบไม่ต้องไปร้านทำผมให้คนนวดหัวให้ยามเครียดอีก เว้นแต่ไปตัดเล็มผมหรือตอนไปออกงาน เขาเก็บผมของเขาไว้ให้คนรักสัมผัสเพียงคนเดียวเท่านั้น



"เอ้า สระผมเสร็จแล้ว คุณอาบน้ำซะนะ ฆาบี้"

เจนยุทธทำท่าจะออกไปเช็ดเนื้อเช็ดตัว แต่ฆาเบียร์ดึงร่างเพรียวนั้นเข้ามาแนบอก

"แล้วนายจะไม่อาบน้ำให้ฉันตามที่บอกไว้ตอนแรกเหรอ?"

เจอึกอัก แต่ก็ต้องยอมแพ้ให้กับสายตาเว้าวอนของคนรัก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลงนั่งบนเก้าอี้อาบน้ำอีกครั้ง เจชี้ให้ฆาเบียร์ลงนั่งหันหลังให้เขา

"คุณเปิดน้ำล้างตัวก่อน เดี๋ยวผมถูหลังให้"

คนตัวโตที่นั่งหันหน้าเข้าผนังจัดการเปิดน้ำและหยุดเมื่อเจบอก เขารับครีมอาบน้ำมาฟอกฟองเข้ากับลำตัว เจรับขวดคืนมาพร้อมกับเทมันลงบนใยขัดตัวที่เขาได้มาจากสักโรงแรมหนึ่งจากนั้นทำฟอง เขาบรรจงขัดแผ่นหลังกว้างของฆาเบียร์จนทั่ว จากนั้นก็ขยับเก้าอี้เข้าใกล้จนแผ่นหลังคนรักแนบชิดกับอกเขา

"อ๊ะ เจ!"

ฆาบี้อุทานเบาๆ เมื่อเจค่อยๆ ฟอกฟองสบู่บนลำตัวด้านหน้าของเขา ใยขัดตัวในมือคนตัวเล็กค่อยๆ เริ่มฟอกวนตรงลอนบนหน้าท้องของเขา มันค่อยๆ วนกว้างขึ้นจนแทบสัมผัสท้องน้อย หากเจไม่ได้ลงต่ำไปกว่านั้น เขาค่อยๆ ย้ายขึ้นมาฟอกที่แผงอกกว้าง จากถูไล้ไปทั่วก่อนที่จะค่อยๆ เน้นย้ำเฉพาะจุด ฆาเบียร์สูดปากเบาๆ เมื่อใยขัดในมือเจค่อยๆ วนรอบและสุดท้ายก็คลึงเน้นที่ตุ่มไตสีแทนบนอกที่เริ่มชูชัน เขาเองก็รู้สึกถึงเม็ดทับทิมบนอกเจที่แข็งชูชันถูอยู่กับแผ่นหลังของเขา

"เจจ๋า ดีจัง"

ฆาเบียร์ครางออกมาแผ่วๆ สัมผัสของมือคนรักนั้นเยี่ยมเสมอ เจใช้มืออีกข้างสะกิดเขี่ยดุนยอดอกอีกข้างของฆาเบียร์ ริมฝีปากร้อนๆ ของเจซุกไซร้ไปตามซอกคอสีแทน ฆาเบียร์สะดุ้งเบาๆ เมื่อฟันขาวๆ ของเจงับเบาๆ ที่ใบหูซ้าย เรียวลิ้นที่เขี่ยไล้ทำให้เขาร้อนไปทั้งตัว



"อยากให้ผมทำความสะอาดส่วนไหนให้อีกครับ?"

ฆาเบียร์ที่หลับตาพริ้มอยู่ลืมตาน้อยๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แฝงความยั่วเย้า แทนคำตอบ เขาดึงมือข้างที่ว่างของเจลงต่ำ เจนยุทธค่อยๆ นวดคลึงแก่นกายของคนรักจนมันผงาดง้ำอยู่ในมือของเขา คนตัวโตส่งเสียงครางเบาๆ เมื่อมืออุ่นๆ ของเจรูดไล้ เจใช้นิ้วเขี่ยดุนส่วนปลายที่ไวต่อสัมผัสก่อนที่จะขยับต่อ เขาไม่เน้นเร่งเร้าให้คนตัวโตถึงฝั่ง แต่ให้เพลิดเพลินไปเรื่อยๆ

"เจ แกล้งกันอีกแล้วนะ"

ฆาเบียร์โอดครวญ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาเริ่มหนาวน้อยๆ แล้ว เขาจับมือเรียวที่หยอกเย้ากับส่วนสงวนเขาให้หยุดและหันกายไปเผชิญหน้ากับเจนยุทธ

"ให้ฉันช่วยนายด้วยแล้วกันนะ เจ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เมื่อเห็นแก่นกายที่ตื่นตัวเต็มที่แล้วของเจนยุทธ เขาดึงคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกันและช่วยกันสัมผัสกายของอีกฝ่าย เจนยุทธหลับตาพริ้ม แก้มแดงๆ ของเจทำให้ฆาเบียร์อดใจไม่ไหวต้องหอมเข้าฟอดใหญ่ จากนั้นเขาก็ประกบริมฝีปากเข้ากับปากรูปกระจับที่เผยอน้อยๆ เพราะความเสียวซ่าน ลิ้นร้อนๆ ของเจเข้ามาเกาะเกี่ยวกับลิ้นเขาพร้อมๆ กับสัมผัสที่เร่งเร้ามากขึ้นด้านล่าง ไม่นานนักพวกเขาทั้งคู่ก็ครางหนักๆ ออกมา



เจหอบหายใจหนักๆ และซบหน้าลงกับไหล่ของคนรัก ฆาเบียร์หอมแก้มสุดที่รักของเขาอีกฟอดใหญ่

"นายนี่ขยันทำให้ฉันหมดแรงจริงๆ นะ เจ"

เจกอดรัดร่างกำยำของฆาเบียร์ไว้และซบหน้าลงไปที่อก

"ก็อีกไม่กี่วันคุณก็จะกลับแล้วนะ ฆาบี้ ผมก็อยากทำให้คุณมีความสุขมากๆ กว่าคุณจะมาอีกทีก็ตั้งปลายเดือน..."

"แล้วเจล่ะ เจมีความสุขไหม?"

เจนยุทธเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับคนรัก

"สุขสิ ผมแฮ้ปปี้ทุกครั้งที่คุณกลับมา จริงๆ ต่อให้ไม่ต้องมีอะไรกัน ได้อยู่กับคุณ ใช้เวลากับคุณ กินข้าวด้วยกัน ได้เข้านอนและตื่นมาโดยมีคุณอยู่ข้างๆ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วนะ"

ฆาเบียร์รัดร่างคนรักไว้แน่น

"เจ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ความสุขของฉันคือการได้อยู่ใกล้กับเจ ได้ใช้ชีวิตกับเจ แต่..."

คนตัวโตส่งสายตาซุกซนให้กับเจนยุทธ

"...แต่ฉันจะยิ่งสุขมากถ้าได้เม้คเลิฟกับเจนะ"

เจนยุทธทุบไหล่คนรักที่มือซนขยำก้นน้อยๆ ของเขาดังบึ้กแล้วรีบดันคนตัวโตออกห่าง ขืนปล่อยให้ทำแบบนี้ต่อแล้วพ่อเจ้าประคุณเกิดเครื่องติด พวกเขาคงไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันแน่ๆ เจรีบเปิดฝักบัวและล้างฟองสบู่และคราบกิจกรรมออกจากตัว จากนั้นรุนหลังคนตัวโตที่ยังงอแงทำท่าอยากนัวเนียกันต่อให้ออกไปแต่งตัว



"นี่ จะออกไปด้วยกันหรือจะนอนต่อ หือ?"

​เจนยุทธหันไปถามเจ้าหมาตัวแสบที่นอนหงายท้องอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียงของเขา ไอ้หมาหมูทำหูทวนลม แต่ก็รีบลุกพรวดพราดขึ้นเมื่อฆาเบียร์เรียกชื่อแล้วเอ่ยปากชวนมันออกห้องด้วยภาษาอังกฤษ

"เฮ้ย อะไรวะ ทีผมเรียกมันทำเมิน"

เจโวยลั่น ฆาเบียร์อดหัวเราะคนรักที่ยืนทะเลาะอยู่กับเจ้าหมาหมูไม่ได้ เขาจับมือเจนยุทธและพาเดินออกห้องไปพร้อมกับมีเจ้าลาบราดอร์ดำคอยวิ่งตามไม่ห่าง

"อ้าว มากันพอดี พี่กำลังจะไปเรียกเรามากินข้าว อ้อ แล้วโรซ่าไปอยู่ห้องเจมาเหรอ ก็ว่ามันหายไปไหน"

อิ่มที่เดินออกมาจากตัวบ้านทักทายทั้งสองคน เจฟ้องพี่สาวลั่นเรื่องไอ้เจ้าหมาหมูลงไปเล่นดินจนตัวเปื้อน เขายังฟ้องเลยไปถึงเรื่องที่มันไม่ยอมฟังคำของเขา อิ่มใจได้แต่หัวเราะน้องชายที่ทะเลาะกระทั่งกับเจ้าหมาอ้วนดำของเขา

"เนี่ย โรซ่ามันฟังฆาบี้มากกว่าผมอีกอ่ะ ไอ้หมาทรยศ ไม่ต้องกินขนมแล้วนะ"

เจบ่นเสียงขรมและหันไปดุเจ้าหมาดำเป็นภาษาไทย หากโรซ่านั่งลงทันควันพร้อมกับยกมือให้เจเมื่อได้ยินคำว่าขนม เจได้แต่โคลงหัวให้กับความตะกละของมัน

"ใครสั่งใครสอนให้มันเห็นแก่กินขนาดนี้วะ?"

เจบ่นเบาๆ กับคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและได้แต่คิดในใจว่ามันก็คงเหมือนกับเจนยุทธนั่นเอง

"ยิ้มงี้หมายความว่าไงครับ คุณ?"

เจหันไปทำหน้าบูดใส่เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์ยกมือขึ้นขยี้ผมดำขลับของเจ

"ไม่มีอะไรจ้ะ เดี๋ยวเราเข้าไปหาแม่กันดีกว่า เผื่อจะช่วยแม่จัดโต๊ะมื้อเที่ยง"

เจหน้าบานทันทีที่ได้ยินคำว่ามื้อเที่ยงและบ่นว่าเขาหิวเต็มทนแล้ว ฆาบี้หัวเราะหึๆ นั่นปะไร คนตัวเล็กของเขาไม่ได้ต่างจากโรซ่าเลยสักนิด



"แม่ครับ นั่นต้มอะไรครับ?"

ฆาเบียร์ถามฟองนวลถึงอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ฟองนวลทำอาหารเพิ่มอีกสองอย่าง อย่างหนึ่งคือต้มผักที่ฆาเบียร์ถามถึง

"นี่เหรอจ๊ะ เรียกว่าแกงเลียงจ้ะ เห็นคุณชอบกินผัก แม่เลยทำมาให้ชิม"

ฟองนวลเลื่อนถ้วยแกงเลียงส่งให้ฆาเบียร์ เขาใช้ช้อนกลางตักน้ำแกงใส่ช้อนของตัวเองและยกขึ้นชิม

"ว้าว เห็นน้ำใสๆ แบบนี้แต่ก็มีรสมีชาติมากเลยครับ ผมนึกว่ามันจะจืดๆ เหมือนพวกต้มจืด แต่นี้ เค็ม เผ็ด กำลังดี อร่อยมากครับ"

คนตัวโตตักชิมอีกอย่างติดใจ

"เอาถ้วยนั้นไปเลยก็ได้จ้ะ เดี๋ยวแม่ให้เด็กตักมาให้อีกถ้วย แม่แกงไว้เยอะ"

ฆาเบียร์ยิ้มเขินๆ ฟองนวลเรียกเด็กในบ้านให้ไปตักแกงเลียงมาอีกถ้วยหนึ่ง คนตัวโตเลื่อนถ้วยแกงไปให้เจนยุทธ แต่เจดันส่งคืนมาให้พร้อมทำจมูกย่น

"ผมไม่ชอบกลิ่นแกงเลียงอ่ะ"

"หา?! มีอาหารที่นายไม่ชอบด้วยเหรอเจ?"

คนตัวโตโพล่งถามออกมาดังๆ ด้วยความประหลาดใจ คำถามนั้นเรียกเสียงหัวเราะได้จากคนอื่นๆ บนโต๊ะอาหารเว้นแต่ตัวคนที่ถูกแซว เจหันมาแลบลิ้นให้กับพ่อลูกชายคนโปรดคนใหม่ของแม่ ฆาเบียร์ตักผักต่างๆ ในแกงเลียงกินกับข้าวสวยอย่างถูกใจ



"แม่ครับ ผมคงต้องขอแม่จดสูตรแกงนี้ให้ผมด้วยแล้วครับ"

ฟองนวลหันไปพูดกับอิ่มเบาๆ อาจารย์สาวหันกลับมาคุยกับคนรักของน้องชาย

"เดี๋ยวอิ่มบอกให้ก็ได้ค่ะ ไม่ได้ยากเลย เครื่องแกงก็มีแค่กุ้งแห้งแช่น้ำให้นิ่ม พริกไทยเม็ด กะปิ หอมแดง โขลกให้เข้ากัน แล้วถ้าอยากให้เผ็ดหน่อยก็ใส่พริกขี้หนูลงไปซักสองเม็ด เอาเครื่องแกงลงละลายในน้ำเดือด จะเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำซุปก็ได้นะคะ ถ้าคุณใส่กุ้งสด เป็นแกงเลียงกุ้งสด ก็ลวกกุ้งที่แกะแล้วในน้ำต้มนั้นก่อนจนสุกแล้วตักออกวางทิ้งไว้..."

ฆาเบียร์หยิบสมุดโน้ตของเขามาจดตาม อิ่มบอกอัตราส่วนเครื่องแกงให้เสร็จสรรพ สำหรับวันนี้ แม่ของเธอใส่กุ้งแห้งและหอมแดงซอยหยาบอย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ กะปิ 4 ช้อนชา และพริกไทยเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ สำหรับแกงหนึ่งหม้อ

"...พอใส่เครื่องแกงที่โขลกละเอียดแล้วลงไปละลาย ก็รอจนน้ำในหม้อเดือดอีกรอบ จากนั้นก็เริ่มใส่ผักค่ะ ผักที่นิยมใส่กันคือ ฟักทอง ข้าวโพดอ่อน บวบ พวกเห็ดต่างๆ แล้วก็ใบตำลึง เราก็ใส่ลงไปตามลำดับความยากในการสุก จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำปลา และใส่ใบแมงลักลงไปตอนท้ายสุด"

ฟองนวลใส่ฟักทองลงไปก่อน ตามด้วยข้าวโพดอ่อน บวบ เห็ดและตบท้ายด้วยผักตำลึง ส่วนใบแมงลัก อิ่มอธิบายต่อว่ามันคือพืชตระกูล basil เหมือนกะเพราและโหระพา หากมันเป็นพันธุ์ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hoary Basil หรือ Lemon Basil

“ถ้าหาไม่ได้ ฉันว่าคุณใส่ใบ sweet basil แทนก็ได้ค่ะ แต่ถ้าหา Thai Basil หรือ Thai Holy Basil ได้ก็ยิ่งดีค่ะ จะคล้ายกว่า sweet basil”

อิ่มพูดถึงชื่อที่มักใช้เรียกโหระพาและกะเพราตามท้องตลาดในต่างประเทศ



"แกงเลียงเป็นแกงที่ทำง่ายครับ ส่วนผักที่ใส่ก็เป็นผักที่หาได้ง่ายในท้องตลาดครับ จริงๆ ไม่ซีเรียสว่าต้องใส่อะไรให้มันตรงเป๊ะ ขอแค่มีใบแมงลักหรือพวกเบซิลให้กลิ่นก็โอเค แล้วถ้ามีผักอะไรใกล้มือก็ใส่ลงไปได้ ถ้าอยู่เมืองนอก คุณ เอ๊ย อ้ายก็ใส่ซุคินี่แทนบวบ ใส่ผักโขมแทนผักตำลึงก็ได้ อ้อ นี่ๆ ตำลึงมันคือใบนี้"

เจเสริมขึ้นพร้อมกับเปิดรูปผักข้างรั้วของไทยให้ฆาเบียร์ดู

"ว้าว เยี่ยมไปเลยเจ รั้วกินได้งั้นเหรอ? ฉันว่าฉันเคยเห็นมันที่รั้วบ้านนี้ด้วยนะ ก็นึกว่าเป็นวัชพืช ที่แท้ก็กินได้ด้วย"

คนตัวโตตักตำลึงสีเขียวสดในถ้วยขึ้นชิมแล้วก็ทำท่าถูกใจ มันมีรสชาติเฉพาะตัวแบบที่เขาไม่เคยลิ้มรสมาก่อน

"ที่แถวนิมมานฯ มีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนึงที่เขาใส่ผักตำลึงแทนผักบุ้งด้วยนะ อร่อยดีเหมือนกันครับ นอกจากนั้นเรายังเอามันไปทำต้มจืดใส่หมูสับได้ด้วย แต่อย่ากินเยอะมากนะครับอ้าย มันมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ สำหรับคนที่ธาตุอ่อน"

เจกระซิบประโยคท้ายเบาๆ ฆาเบียร์ชะงักมือที่จะตักใบตำลึงเพิ่มทันที เจหัวเราะเบาๆ

"ไม่ต้องห่วงครับ แม่ผมใส่ตำลึงมาไม่เยอะขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าไม่ชัวร์อ้ายก็เน้นกินฟักทอง บวบ เห็ดอะไรพวกนั้นไปแล้วกัน"

เจพูดจบแล้วก็หันไปให้ความสนใจกับอาหารอย่างอื่นบนโต๊ะแทน เขาตักน้ำพริกอ่องที่คนรักทำมาช้อนโต ตามด้วยแกงฮังเลของแม่ เขายิ้มร่าเมื่อเห็นปลาทูตัวโตๆ ทอดสองตัววางอยู่กับน้ำพริกกะปิถ้วยน้อย



"หน้างอ คอหักจะอี้ ป๋าทูแม่กลองแม่นก่อคับแม่?"

"หน้างอ คอหักแบบนี้ ปลาทูแม่กลองใช่ไหมครับแม่?"

เจนยุทธถามแม่ของเขา ฟองนวลพยักหน้า

"แม่นแล้ว อาพิมเปิ้นหิ้วมาฝากจากบ้าน เอามาหื้อหลายเข่งเหมือนกั๋น มีน้ำพริกกะปิโตย ต๋อนแรกแม่กะจะเอาไว้กิ๋นเมื่อแลง บ่อั้นก่อวันพูก แต่หันว่าเฮาจะปิ๊กต๋อนบ่ายๆ เลยเอามาหื้ออ้ายเปิ้นจิมก่อน"

"ถูกแล้ว อาพิมเขาหิ้วมาฝากจากบ้าน เอามาให้หลายเข่งเหมือนกัน พร้อมน้ำพริกกะปิด้วย ตอนแรกแม่กะจะเอาไว้กินตอนเย็น ไม่ก็พรุ่งนี้ แต่เห็นว่าเราจะกลับตอนบ่ายๆ เลยเอามาให้อ้ายเขาชิมก่อน"

แม่เขาพูดพลางพยักเพยิดไปทางฆาเบียร์ เจยิ้มแป้น เขาหันไปแปลให้ฆาเบียร์ฟังเบาๆ

"เอ๊ะ ฉันนึกว่าอาพิมเขาไม่ถูกกับบ้านเจเสียอีก"

ฆาเบียร์กระซิบตอบเบาๆ

"อืมม์ ก็ไม่เชิงหรอกนะ ฆาบี้..."

เจเล่าให้คนรักฟังเบาๆ อาพิมของเขาถึงจะปากร้ายและชอบแขวะ แต่เธอก็ไม่เคยไร้น้ำใจกับบ้านของเจนยุทธ ทุกครั้งที่มาเชียงใหม่ เธอก็มักจะมีของติดไม้ติดมือขึ้นมาฝากทุกครั้งไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะของโปรดเจอย่างปลาทูแม่กลอง สาวสมุทรสงครามที่ขึ้นมาเรียนม.ช. เมื่อกว่าสี่สิบปีที่แล้วคนนี้มักจะหิ้วมันมาเป็นของฝากญาติๆ ของสามีเธอที่เชียงใหม่เสมอ

"ต่อให้แกปากร้ายยังไง เรื่องน้ำจิตน้ำใจแกก็ไม่ได้แย่มากนักครับ ผมถึงไม่เคยเกลียดแกแบบจริงๆ จังๆ แค่น้อยใจ กับเจ็บใจบ้าง แค่นั้นเอง"

เจเล่าให้ฟังว่าช่วงที่พ่อเขาเสีย เมื่อพิมได้ข่าว เธอก็ขึ้นมาช่วยงานศพพ่อของเขาซึ่งเป็นญาติผู้พี่ของสามีเธออย่างแข็งขัน พอเสร็จจากงานศพ เธอยังอยู่ต่ออีกหลายวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนคุยกับฟองนวลที่ยังทำใจไม่ได้

"ช่วงปีสองปีนั้นอาเขาก็ลดการพูดแรงๆ กับพวกผมไปหน่อย แต่พอสถานการณ์เหมือนจะดีขึ้น แกก็เริ่มอีก นิสัยเดิมคงแก้ยากน่ะ"

เจหันไปหัวเราะแหะๆ ให้กับแม่ที่บ่นเขาข้ามโต๊ะมาเรื่องที่เขานินทาเพื่อนของเธอ

"ไม่เม้าแล้วก็ได้ มะ ฆาเบียร์ เดี๋ยวผมตัดให้ชิม"

ฟองนวลเลื่อนจานปลาทูส่งให้ลูกชาย

"เจเอาไปตึงตั๋วเลยก่อได้ เดียวแม่แบ่งแหมตั๋วกับปี้อิ่ม"

"เจเอาไปทั้งตัวเลยก็ได้ เดี๋ยวแม่แบ่งอีกตัวกับพี่อิ่ม"


เจหยิบปลาทูมาวางไว้ที่จานตัวหนึ่งตามที่แม่บอก เขาตัดเนื้อปลาซีกหนึ่งส่งให้คนรัก และเลาะเนื้อที่เหลืออีกครึ่งตัวใส่จานตัวเองรวมทั้งแงะไข่ปลาและตาปลามาด้วย ฆาเบียร์ชิมแล้วบอกว่าเนื้อของปลาทูแม่กลองนี้มันและแน่นกว่าปลาทูที่เขาเคยกินที่อื่น เจพยักหน้าตอบรับและบอกว่ามันคือสุดยอดปลาทูของไทย แม้ช่วงนี้จะไม่ใช่ฤดูกาลที่มันอร่อยที่สุดซึ่งต้องเป็นระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม แต่ก็ยังถือว่ารสชาติเยี่ยมกว่าปลาทูจากแหล่งอื่นๆ


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด