@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 116194 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Birthday Bliss ----




“โอ๊ย ผมมีความสุขจริงๆ”

เจยิ้มหวานให้คนรัก เขาหยิบชูครีมชิ้นน้อยจากถาดวางขนมสูงสองชั้นที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วเอาเข้าปากทั้งชิ้น

“คีชเมื่อกี้ก็อร่อย ตับบดที่เป็นคานาเป้ก็อร่อย ทำไมมันอร่อยไปหมดทุกอย่างแบบนี้?”

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาบิสโกนในมือออกเป็นสองซีกตามขวาง จากนั้นบิอีกครึ่งหนึ่ง เขาตักแยมและ clotted cream จำนวนหนึ่งมาไว้บนจานตัวเองแล้วใช้มีดตักครีมข้นหนักนั้นโปะไปบนชิ้นสโกนที่บิแบ่งไว้ จากนั้นโปะทับด้วยแยม

“เออ ผมเพิ่งสังเกตว่าคุณกินสโกนแบบนี้ ถ้าเป็นผมจะใส่แยมก่อนแล้วทับด้วยครีม”

เจซึ่งกินสโกนของตัวเองหมดไปตั้งนานแล้วพูดขึ้น

“...แล้วแบบไหนมันคือวิธีที่ถูกต้องครับ?”

ฆาเบียร์ครุ่นคิด

“อืมม์ ที่ฉันกินแบบนี้เพราะอาปาสอนน่ะ...”

อาปาของเขานั้นมีมารดาเป็นลูกครึ่งอังกฤษและบิดาก็เป็นนักเรียนเก่าอังกฤษเช่นกัน ดังนั้นตัวคริสจึงรู้และเข้าใจธรรมเนียมนี้เป็นอย่างดี

“แต่อาปาก็บอกว่าใส่แยมก่อนก็ไม่ผิด ถ้าฉันจำไม่ผิดนะ ใส่แยมก่อนเป็นวิธีกินของคนเดว่อน ส่วนใส่ครีมก่อนเป็นแบบคนจากคอร์นวอลล์”

“...แต่ที่อาปาห้ามทำคือห้ามเอามีดของตัวเองจุ่มลงไปตักครีมและแยมจากถ้วยส่วนกลาง และที่ห้ามอย่างเด็ดขาดเลยคือห้ามเอาตัวสโกนจิ้มลงไปในแยมและครีมพวกนั้น”

ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อเห็นเจรีบชักมีดกลับ เจ้าตัวเล็กแอบขโมยสโกนอีกครึ่งชิ้นของเขาไปเรียบร้อย

“ถ้าเขาเสิร์ฟแยมกับครีมมาให้แยกรายคนแล้ว เจก็ใช้มีดตักไปเถอะ ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีช้อนกลางมาให้ ก็เอาช้อนตักไปใส่จานตัวเองไว้ก่อน แล้วค่อยใช้มีดตักไปปาดสโกน”

เจพยักหน้ารับคำ เขาทำตามที่ฆาเบียร์บอกคือตักแยมและครีมคำน้อยไปวางบนจานและใช้มีดตักมันใส่ชิ้นสโกนของตัวเอง



“ผมสงสัยอีกอย่าง เวลาเสิร์ฟอาฟเตอร์นูนทีมา มันก็จะมีของคาวอย่างพวกแซนวิช คีช แล้วก็ของหวานอย่างเค้ก ทาร์ต แล้วก็ไอ้เจ้าสโกนเนี่ย ผมเก็ตอยู่ว่าเราต้องกินของคาวก่อนของหวาน แล้วสโกนนี่ล่ะ ควรจะต้องกินตอนไหน?”

“ก็กินระหว่างของคาวกับของหวานไง ที่เจกินน่ะ ถูกแล้ว”

“แล้วชาล่ะ?...”

“เจ...จะฟังจริงๆ เหรอ ยาวนะ?”

คนตัวโตพูดพลางยกแก้วชาขึ้นจากจานรองที่ถือไว้ในมืออีกข้าง เขาจิบชาอึกน้อยๆ ด้วยท่วงท่างดงาม เจมองคนที่นั่งหลังตรงและไขว่ห้างเล็กๆ อย่างหมั่นไส้

“ก็เล่ามาสิ”

“อืมม์ ก็เทชาก่อน ตามด้วยนม แล้วถึงค่อยเติมน้ำตาล จากนั้นก็คน ไม่สิ ไม่เรียกว่าคน เราต้องขยับช้อนไปหน้าหลัง ขึ้นลงซักสามสี่ที ไม่ใช่คนเป็นวงนะ จากนั้นวางช้อนเป็นแนวขวางไว้หลังจานรอง แต่ไม่ใช่ชาทุกแบบที่จะใส่นมได้ เราจะใส่นมกับชาดำเท่านั้น แต่ก็ยังมีชาดำบางประเภทที่จะใส่แค่เลม่อน อย่างพวกชาจีน ถ้าให้เล่าจริงๆ ก็อีกยาว ว่าแต่นายน่ะ กินแต่กาแฟไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่เคยเห็นเจสั่งชาสักที”

“ก็ชามันวุ่นวายอ่ะ”

เจพูดเสียงอ่อยๆ ยิ่งฟังคนตัวโตพูดเขาก็ยิ่งไม่คิดจะดื่ม เขาแอบเนียนหยิบทาร์ตชิ้นสุดท้ายที่เป็นของฆาเบียร์มา เขาอ้าปากเตรียมส่งมันเข้าปากทั้งคำ

“อ๊ะๆๆ อย่านะ”

คนตัวโตท้วงขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง

“งก! คืนก็ได้”

เจกะฟัดกะเฟียดวางทาร์ตชิ้นน้อยนั้นคืนบนถาด

“ไม่ใช่ ที่ห้ามน่ะ ห้ามกินคำเดียวหมดต่างหาก มารยาทหนึ่งของการกินอาฟเตอร์นูนทีคือ ไม่ว่าขนมจะมาชิ้นเล็กแค่ไหน ก็ต้องกัดแบ่งเป็นหลายคำเสมอ”

ฆาเบียร์ยกทาร์ตชิ้นนั้นขึ้นกัดคำน้อยๆ เจมองตามตาละห้อย

“เอ้า รู้ว่าชอบ”

คนตัวโตส่งขนมที่เหลือให้ถึงปากคนรัก เจยิ้มกว้างก่อนจะงับมันเข้าปากทั้งชิ้นอยู่ดี พร้อมกับแอบห่อปากจูบนิ้วที่ส่งขนมเข้าปากเขาเบาๆ ฆาเบียร์หน้าร้อนวาบ คนตัวเล็กช่างยั่วจริงๆ



“อีกอย่างนะ ไอ้เจ้าน้ำชายามบ่ายรูปแบบนี้น่ะ เรียกว่า Afternoon Tea ไม่ใช่ High Tea แบบที่คนสมัยนี้ชอบเรียกกัน คนจะไปเข้าใจว่า high ใน high tea หมายถึงชั้นสูง ระดับสูง แต่ที่จริงไม่ใช่เลย มันคือความสูงของโต๊ะที่นั่งกิน...”

ฆาเบียร์บอกว่าชาแบบอาฟเตอร์นูนที คือ low tea เพราะวางบนโต๊ะเตี้ยๆ แต่ high tea คือชามื้อที่ชนชั้นทำงานกินกันหลังเลิกงานโดยนั่งโต๊ะและเก้าอี้พนักสูง และของที่เสิร์ฟบนโต๊ะมักเป็นอาหารที่หนักกว่าแซนวิชหรือขนมหวาน แต่มักเป็นพวกโคลด์คัท อย่างแฮมหรือเนื้อเย็น ปลาดอง ผักดอง มันฝรั่ง สลัด พายและอื่นๆ มันแทบจะเป็นมื้อเย็นอยู่แล้ว

“เอ่อ งั้นผมว่าผมคงเหมาะกับ high tea มากกว่านะ”

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาฟังๆ ดูแล้วเขาอยากกินอาหารในไฮทีมากกว่าพวกขนมชิ้นกะจิดริดกะจ้อยร่อยที่เขาเพิ่งกินหมดไปเสียอีก

“นายก็เหมาะกับทุกอย่างล่ะ เจ ฉันก็เห็นนายกินมันหมดซะทุกอย่าง”

“ก็จริง”

เจ้าตัวเล็กของฆาเบียร์หัวเราะแหะๆ



“ขออภัยค่ะ คุณมาร์ติเนซคะ จะให้เรา...”

หัวหน้าพนักงานสาวประจำเลาจ์เดินเข้ามากระซิบถามฆาเบียร์ คนตัวโตรีบยกมือห้ามไว้ เขาตอบบางอย่างเป็นภาษากวางตุ้งกลับไปและทั้งสองสนทนากันต่อด้วยภาษานั้น เจมองอย่างขัดใจ ฆาเบียร์ทำตัวลึกลับอีกแล้ว พนักงานสาวค้อมหัวให้ฆาเบียร์และเจเมื่อจบบทสนทนาและถอยฉากหลบไป

“จะทำอะไรอีกล่ะ?”

เจถามขึ้นอย่างไม่ไว้วางใจ เขามองซ้ายมองขวาหาว่ามีใครมาซุ่มเตรียมทำเซอไพรส์อะไรเขาอีกไหม

“เปล๊า ไม่มีอะไร เจกินเสร็จแล้วใช่ไหม งั้นเรากลับห้องกันเถอะ”

คนตัวโตปฏิเสธเสียงสูง เจหรี่ตามองแล้วส่ายหัวเบาๆ เขาไม่รู้ว่าคนขี้เห่อคนนี้จะเตรียมอะไรไว้ให้เขาอีกสักกี่อย่าง

“โอเค ไปก็ไป ดี ผมจะได้งีบซักหน่อย”

เจลุกขึ้นจากโต๊ะและดึงคนตัวโตให้ลุกด้วย พวกเขาลงลิฟท์กลับไปยังห้องพักของตัวเอง



“ไม่เอา คุณ อย่ากวนสิ ผมจะงีบอ่า”

เจที่นอนหนุนตักคนรักอยู่บนโซฟาพยายามปัดป้องมือไม้ที่อยู่ไม่สุขของคนรัก เขาอุตส่าห์เลี่ยงการขึ้นไปนอนบนเตียงเพราะคงไม่แคล้วถูกลวนลาม หากคนตัวโตก็ไม่ยอมปล่อยเขา

“นี่ กินแล้วนอนเลยมันไม่ดีนะ เจ เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”

ฆาเบียร์ใช้มือลูบไล้หน้าท้องเนียนที่มีกล้ามเนื้อน้อยๆ เขาเลิกเสื้อของเจขึ้นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เจนยุทธตีมือคนรักแล้วดึงชายเสื้อยัดกลับลงไปในกางเกง

“มือไวจริง เผลอไม่ได้เลยนะคุณ”

เจบ่นอุบ เขาพลิกตัวหันหน้าเข้ากายคนรัก ฆาเบียร์กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวเมื่อชายเสื้อของตัวเองถูกเลิกขึ้นบ้าง ริมฝีปากอุ่นของเจยั่วเย้ากับซิกซ์แพ็คแข็งของคนตัวโต

“เจ อย่าสิ”

คนตัวโตครางเสียงต่ำๆ เมื่อปลายลิ้นแผ่วพริ้วฉกวูบลงที่สะดือ มันเขี่ยไล้หยอกล้อในหลุมน้อยนั้นชั่วครู่หนึ่ง ฆาเบียร์รีบดันตัวเจออกก่อนที่ริมฝีปากอุ่นๆ นั้นจะรุกรานต่ำลงไปกว่านั้น

“เจบอกว่าลืมโทรหาแม่ไม่ใช่เหรอ?”

ฆาบี้รีบเตือนสิ่งที่เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ตอนดื่มชาเมื่อสักครู่ เจบอกให้เขาเตือนให้โทรหาแม่เมื่อกลับเข้าห้อง เจทำตาโตแล้วรีบลุกพรวดขึ้นทันที



“ใหญ่มาแหมปี๋แล้วเน่อ ขอหื้อเจริญๆ ยะอะหยังก่อหื้อสำเร็จสมใจ๋เน่อลูก”

“โตมาอีกปีแล้ว ขอให้เจริญๆ ทำอะไรก็สำเร็จสมใจนะลูก”


เจพนมมือและก้มหัวรับพรจากแม่ของเขา มันคือสิ่งที่เขาทำไม่ขาด ถ้าเขาไม่ได้กลับบ้านในวันเกิด เขาก็จะต้องโทรไปรับพรจากแม่ทุกปี สิ่งที่แม่เขาอวยพรก็มักจะเป็นเรื่องสุขภาพ เรื่องงานเหมือนกันทุกปี แต่ปีนี้มีสิ่งที่เพิ่มขึ้น

“เฮาก่ออายุนักแล้ว จะเลขสามแล้ว ปี๋นี้เฮาก่อบ่ได้ตั๋วคนเดียวแล้วเน่อ ยะตั๋วดีๆ หื้อสมกับตี้อ้ายเปิ้นฮักและไว้ใจ๋ บ่ดีฮ้ายนักอย่างตะก่อน…”

“เราก็อายุเยอะแล้ว จะเลขสามแล้ว ปีนี้เราก็ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ทำตัวดีๆ ให้สมกับที่พี่เขารักและไว้ใจ อย่า ‘ฮ้าย’ มากเหมือนเมื่อก่อน…”


คำว่า “ฮ้าย” ในคำเมืองนั้น มีความหมายหลายแบบ ถ้าสำหรับเด็กๆ ฮ้ายเท่ากับซุกซน ถ้าโตขึ้นมา ก็อาจจะหมายถึง ร้ายแบบต่อยตี มีเรื่องกับคนอื่น แต่สำหรับเขานั้น แม่เขาหมายถึงพฤติกรรมของเขาในอดีตอย่างกินเหล้าเคล้านารี เสเพลไปวันๆ เจทำเสียงอ่อยๆ บอกแม่ว่าเขาเลิกหมดแล้ว กินเหล้าอาจมีบ้างแต่ไม่เละเทะเหมือนสมัยก่อน เขาคุยกับแม่พักหนึ่งก่อนจะขอตัวไป

“ไง แม่ว่าไงมั่ง”

“ไม่บอก!”

เจแลบลิ้นให้คนโปรดของแม่ที่เมื่อสักครู่นั่งยิ้มกริ่มมองเขาคุยกับแม่อยู่ทั้งที่ตัวเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง

“ไม่บอกจริงๆ เหรอ? บอกหน่อยนะ”

คนตัวโตทำเสียงอ้อน เขาลงนอนตักคนตัวเล็กที่ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเคียงข้างเขา

“เห็นนายคุยกับแม่แบบนี้ ฉันอดคิดถึงแม่ไม่ได้ เมื่อก่อนตอนวันเกิดฉันทีไร แม่จะอยู่กับฉันตลอด อย่างตอนที่ฉันไปเรียนที่มินเนโซต้า แม่ก็จะขับรถจากเมืองมินเนอาโปลิสที่แม่สอนหนังสืออยู่มาหาฉันที่วิทยาลัย ไม่ก็นัดเจอกันที่มอลล์ออฟอเมริกาที่อยู่ตรงกลาง พ่อก็จะมาหาบ้าง แต่ก็มีปีสองปีที่พ่อติดงานไม่ได้มา แต่แม่น่ะไม่เคยพลาดวันเกิดฉันสักปีเลย”

คนตัวโตทำเสียงเครือ เจใจหาย เขายกมือขึ้นลูบผมคนตัวโตเบาๆ

“...ฉันถึงอยากรู้ไงว่านายคุยกับแม่ว่าไง เหมือนกับที่แม่ฉันคุยกับฉันหรือเปล่า”

เจกระพริบตาปริบๆ เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาแพรวพรายของคนตัวโตที่นอนหนุนอยู่ที่ตัก เขาส่ายหัวเบาๆ สายตาของคนรักแฝงความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ แต่เจก็เล่าให้ฆาเบียร์ฟังในที่สุด



“...ก็ตามนั้นแหละ สรุปคือ แม่ให้พรแล้วก็อบรมผมอย่างที่เล่าไปนั่นแหละ”

เจจับจมูกโด่งๆ ของคนรักสั่นอย่างมันเขี้ยว

“หมั่นไส้นัก พ่อคนโปรด คุณนั่นแหละที่ควรต้องถูกอบรม”

เจสะบัดเสียงอย่างหงุดหงิดเล็กๆ พ่อนักรักคนนี้ก็ใช่ย่อยเสียที่ไหน นี่เขายังต้องเจอคู่ขาของเมียตัวโตของเขาอีกกี่คนกัน

"โกรธฉันเหรอ คนดี?"

คนตัวโตส่งสายตาออดอ้อน เจก้มลงจุ๊บเบาๆ ที่ปากบางคู่นั้น

"ไม่อ่ะ ว่าไปงั้นแหละ ผมมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าคุณเท่าไหร่หรอก ผมดีด้วยก็แต่กับสาวๆ ที่คบหากันนานๆ แต่กับพวกขาจร หรือครั้งเดียวเลิก ผมก็ไม่ได้ทำตัวด้วยดีเด่ยังไง ว่าแต่คุณเหอะ ผมต้องเจอแบบเฟลิเป้นี่อีกกี่คน?"

ฆาเบียร์หน้าสลดลง เขายังรู้สึกผิดต่อคนรักในเรื่องนี้อยู่ไม่หาย

"ไม่มีแล้วนะ ไม่น่ามี ฉันคิดว่างั้นนะ"

ฆาบี้พูดเสียงอ่อยๆ เพราะตัวเองก็จำไม่ได้และไม่แน่ใจเช่นกัน เขาบอกว่าโดยทั่วไปแล้วคู่นอนที่เขาคบหามีสัมพันธ์ระยะยาวด้วยมักเป็นพวกคนแบบเดียวกันคือหนุ่มเจ้าสำราญ วัยใกล้กัน ฐานะดีและไม่ชอบผูกมัดอย่างคุณเพเทรลลี่และจอช ส่วนแบบเฟลิเป้คือคนที่อายุน้อยกว่า หน้าที่การงานและฐานะต่ำกว่า พวกนี้เขามักจะควงเล่นๆ เหมือนเป็นคู่ควงเวลาออกงาน เป็นตุ๊กตาหน้ารถมากกว่า สำหรับหนุ่มๆ พวกนี้ เขามักจะควงแบบเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดการคิดมากหรือเข้าใจผิดอะไรกัน แต่สำหรับเฟลิเป้แล้วเขาคบหายาวนานถึงสองปีเพราะพวกเขาต้องเกี่ยวพันกันในฐานะนักบัลเลต์และผู้อุปถัมภ์ อีกทั้งฆาเบียร์ก็ติดใจลีลาบนเตียงของหนุ่มหน้าสวยคนนั้นอีกด้วย นี่เป็นเหตุให้เฟลิเป้เข้าใจไปว่าตัวเองนั้นเป็นคนพิเศษสำหรับหนุ่มละตินนักรักคนนี้



"เฮอะ น่าสงสารเฟลิเป้!"

เจตีหน้ายักษ์ใส่คนรัก

"แล้วเจไม่สงสารฉันมั่งล่ะ ฉันไม่ได้อยากทำตัวใจร้ายกับเขาเท่าไหร่หรอก แต่ฉันไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดมากกว่าเลยต้องทำท่าทีให้เห็นชัดไปเลยว่าระหว่างเรามันเป็นแค่เรื่องบนเตียง ยิ่งตอนหลังเขายิ่งแสดงท่าทีเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ฉันก็ยิ่งต้องแสดงท่าทีห่างเหินให้เห็นชัดๆ"

คนตัวโตพูดอ้อมแอ้มอย่างรู้สึกผิดในใจ

"คนใจร้ายต้องถูกทำโทษ!"

เจทำหน้าบึ้งใส่คนตัวโต ฆาเบียร์ใจเต้นแรงเมื่อได้ยินคำว่าทำโทษ เจบอกว่าจะทำโทษเขาทีไร มันจบลงด้วยความหฤหรรษ์อย่างสุดยอดทุกที

"จะทำอะไรกับฉันก็เชิญเลย เจ ฉันยอมทุกอย่าง"

ฆาบี้ดึงมือคนรักมาจูบเบาๆ

"ดี!"

เจกระแทกเสียง

"งั้น งดแตะต้องตัวผมหนึ่งคืน!"

คนตัวโตอ้าปากค้าง มันไม่เหมือนที่เขาวาดฝันไว้สักนิด

"เจ ไม่เอา ฉันไม่ยอมรับ!"

"อ้าว ก็ไหนว่ายอมทุกอย่าง?"

"ไม่เอา แบบนี้ฉันไม่เอาแล้ว เจ จะให้ทำความสะอาดบ้าน ล้างส้วม ทำกับข้าวให้ ให้ซื้อของให้ ใช้งานเยี่ยงทาสหรืออะไรก็ได้ แต่ไอ้แบบนี้ไม่เอาแล้ว ขอเหอะ"

คนตัวโตอุทธรณ์ลั่น เจหัวเราะคิกคัก

"นี่นายแกล้งฉันเหรอ เจนยุทธ?"

ฆาเบียร์คำรามแล้วดึงคนตัวเล็กลงมากอดปล้ำ

"โอ๊ย ไม่เอา ฆาบี้ ฮ่าๆๆ ผมจักกะจี้ พอแล้ว ปล่อยสิ"

ทั้งคู่กอดปล้ำกันพักใหญ่และจบลงด้วยการแลกจูบอย่างอ่อนโยนในอ้อมกอดของกันและกันบนโซฟานั้น



"เจจ๋า สัญญาได้ไหมว่าจะเชื่อใจและไม่สงสัยในตัวฉัน"

ฆาเบียร์ขอร้องคนที่นอนอิงแอบซบอกเขา

"ฉันรักเจ รักที่สุดในชีวิต รักแบบที่ฉันไม่เคยรักใครมาก่อน กระทั่งอเล็กซ์หรือ เอ่อ นพ"

คนตัวโตพูดชื่อนั้นเบาๆ ด้วยความเกรงใจคนรักของตัวเอง

"...นายไม่ต้องห่วงว่าฉันจะว่อกแว่กไปไหน ต่อให้ฉันเจอคนที่เคยควงด้วยในอดีต พวกนั้นไม่มีทางมาเทียบอะไรนายได้ ฉะนั้น ฉันขอนะ เจนยุทธ ขออย่าได้คิดว่าฉันจะเห็นใครดีไปกว่าเจเลย"

ฆาเบียร์พูดเสียงเครือ เขายังรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจนยุทธในคืนที่ผ่านมา และเขาก็ยังรู้สึกเสียใจที่เจไม่ไว้ใจเขาเต็มร้อยขนาดที่คิดไปว่าเขาจะปล่อยให้คนอื่นมาร่วมหลับนอนกับเจได้ คนตัวเล็กถอนหายใจเบาๆ เขากอดรัดร่างคนรักไว้แน่น

"ผมเข้าใจคุณแล้ว ฆาเบียร์ และต้องขอโทษจริงๆ ที่เผลอคิดไปแบบนั้น มันจะไม่เกิดขึ้นอีก"

เจจูบแผ่วๆ ที่ตำแหน่งหัวใจของคนรัก ฆาเบียร์ลูบผมสีดำขลับของคนตัวเล็กของเขา ทั้งสองร่างนอนอิงแอบกันอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเสียงตั้งเตือนในโทรศัพท์ของฆาเบียร์ดังขึ้น



"โอ๊ะ ห้าโมงแล้ว อาบน้ำแต่งตัวกันเถอะ เจ"

"หือ อะไร อาบน้ำแต่งตัวทำไม? จะไปไหนกัน?"

คนตัวโตไม่ตอบ เขาเดินไปเอาถุงชุดสูทของเขาและเจที่เอาแขวนไว้ในตู้ออกมา จากนั้นรุนหลังคนตัวเล็กให้เข้าห้องน้ำไป เขาจับเจลอกคราบจากนั้นก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเอง

"นี่ จะไม่บอกสักหน่อยเหรอ จะพาไปไหน?"

"ก็ฉันสัญญากับเจไว้ไง ว่าจะพาไปกินอาหารเย็นสุดหรู ก็กินมันวันนี้เลยแล้วกัน"

"งกชะมัด ผมก็นึกว่าคุณจะแตกมันเป็นสองมื้อ"

เจแกล้งบ่นอุบอิบ

"น่า รับรองว่าถูกใจแน่ๆ"

คนตัวโตพูด เขาเปิดน้ำจากหัวเรนชาวเวอร์ที่เหนือหัวของเขาทั้งสอง ถึงมันจะไม่ใหญ่เท่ากับที่บ้านของเจ แต่หัวอาบน้ำเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบฟุตก็ทำให้เขาสองคนอาบน้ำด้วยกันได้ ฆาเบียร์เทแชมพูใส่ฝ่ามือและขยี้ฟองลงบนผมดำขลับของเจ จากนั้นเปิดน้ำล้างออก เจก็ทำเช่นเดียวกันให้กับเมียตัวโตของเขา

"นี่ นั่งลงสิ จะได้สระถนัดๆ ที่นี่ดีนะ มีที่นั่งอาบน้ำให้ด้วย คุณจะได้ไม่ต้องก้ม"

เจดันคนตัวโตให้นั่งลงบนแผ่นหินอ่อนที่ตรึงติดกับผนังเพื่อเป็นม้านั่งอาบน้ำ เขาจัดการสระผมให้คนรักจากนั้นล้างออก



"คุณ อย่าซนสิ"

เจโวยลั่นเมื่อคนตัวโตรั้งเอวเขาเข้าไปหา ใบหน้าของฆาเบียร์ซุกไซร้อยู่ระดับอกของเจพอดี คนตัวเล็กหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อริมฝีปากร้อนๆ และปลายจมูกของคนตัวโตระเรื่อยไปทั่วแผงอกของเขา เขาสะดุ้งและส่งเสียงออกมาเบาๆ เมื่อปลายลิ้นสากๆ หยอกเย้ากับเม็ดทับทิมทั้งคู่ของเขาเล่น ต่อให้รู้ว่าฆาเบียร์ทำเพื่อแกล้งเขาเล่นๆ เจก็อดที่จะมีปฏิกิริยาไม่ได้

"เจจ๊ะ ทิ่มอกฉันเลยนะ เมื่อเช้ายังไม่พออีกเหรอ?"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ และก้มลงมองสิ่งที่ถูไถอยู่กับช่วงอกของตัว เจหน้าแดงแปร๊ดและพยายามยันตัวเองออก

"ทำเป็นพูดดีไป แล้วไอ้ที่ทิ่มขาผมนี่อะไร หือ?"

ในเมื่ออยากแกล้งเขา เขาก็จะแกล้งคืนบ้าง เจยันตัวออกจากอ้อมกอดร้อนๆ นั้นได้ เขาหันหลังนั่งลงบนตักของคนตัวโต ฆาเบียร์ซี้ดปากเบาๆ เมื่อสะโพกแน่นๆ ของเจบดเบียดกับแก่นกายเขาอย่างจงใจ เจขยับสะโพกช้าๆ คนตัวโตจัดระเบียบแก่นกายของเขาให้อยู่ตรงกลางระหว่างก้อนเนื้อแน่นๆ สองข้าง

"อูย เจ ดีจ้ะ เยี่ยม"

สัมผัสของเจนยุทธทำให้คนตัวโตเสียวซ่านไปได้ทั้งตัว มันไม่ได้เร่งเร้าชวนให้ถึงจุดสุดยอด แต่แค่พอเสียวและเพลินไปเรื่อยๆ เจยิ้มน้อยๆ ผู้ชายเหมือนกันย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายชอบอะไร บางทีเขาก็เพลินกับการที่คู่นอนของตัวเองจับหรือนวดคลึง สัมผัสแก่นกายของเขาเล่นมากกว่าที่จะอยากทำให้เสร็จๆ ไป และจากที่เขาเห็นในตอนนี้ ฆาเบียร์ก็คงอยู่ในอารมณ์เดียวกัน

"คุณครับ จะอาบน้ำต่อไหม? ไม่งั้นจะสายแล้วนะ"

"อืมม์ อาบจ้ะอาบ พอแล้วก็ได้"

ฆาเบียร์พูดอย่างเสียดายน้อยๆ เขากำลังเพลินเลยทีเดียว เจหยุดขยับและหันไปโน้มคอคนตัวโตมาจูบปากอย่างหนักหน่วง ฆาบี้สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกจู่โจมแต่ก็ดูดดึงริมฝีปากน้อยๆ ของเจตอบ

"เจ...ไม่ต้องก็ได้ ฉันไม่ค้างหรอก"

ฆาเบียร์อุทานและพูดออกมาเมื่อคนตัวเล็กของเขาลงนั่งคุกเข่าตรงหน้า แต่ดวงตากลมใสแฝงรอยยิ้มที่ช้อนจ้องขึ้นมาหาทำให้เขาหมดคำพูดและเพลิดเพลินไปกับการปรนนิบัติของคนรัก ไม่นานฆาเบียร์ก็หอบถี่และคำรามหนักๆ ออกมา

"นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ จะให้ฉันหมดแรงก่อนกินข้าวหรือไง?"

คนตัวโตบ่นลั่น เจยิ้มกริ่มและไม่พูดอะไรตอบโต้ เขาจับคนรักรีดพิษแบบนี้หลายครั้งตั้งแต่ตอนเช้าเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถผ่านคืนนี้ไปได้อย่างปลอดภัย เขาเปิดน้ำเพื่อชำระล้างตัวพวกเขาทั้งสองจนเรียบร้อย จากนั้นเช็ดเนื้อเช็ดตัวและพากันออกมาเตรียมแต่งตัว



"เจ ยังไม่ต้องแต่งตัวเต็มที่นะ แต่งลำลองก่อน เดี๋ยวขึ้นไปที่คลับก่อนแป๊บนึง ไปดื่มกับกินอะไรช่วง cocktail ของคลับก่อนแป๊บนึงแล้วกัน ฉันนัดรถมารับทุ่มนึง นัดร้านไว้ทุ่มครึ่ง ยังพอมีเวลา"

เจนยุทธดูนาฬิกา ตอนนี้ห้าโมงกว่าๆ พวกเขามีเวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ถ้าขึ้นไปแค่จิบๆ และกินอะไรสักครึ่งชั่วโมง ก็น่าจะพอมีเวลาแต่งตัว

"งั้นใส่กางเกงกับเชิร์ตไปก่อนได้ไหม กลับเข้ามาจะได้แค่ใส่เสื้อนอก"

เจถาม เขากลัวจะแต่งตัวไม่ทัน ถ้าแต่งไปก่อนก็จะได้มีเวลานั่งดื่มนานอีกนิด

"ตามใจเจ ถ้าไม่กลัวเหม็นอาหารกับชุดยับไปก่อนนะ"

เจเม้มปากและตัดสินใจหยิบยีนส์กับเชิร์ตตัวเดิมขึ้นมาใส่ ฆาเบียร์ใส่กางเกงชิโน่ตัวเดิมแต่เปลี่ยนเป็นเสื้อโปโล เจส่ายหัว มิน่ากระเป๋าหนักนัก ฆาเบียร์แอบหยิบเสื้อตัวนี้ยัดใส่กระเป๋ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คนตัวโตมักเตรียมเสื้อผ้ามาเยอะกว่าจำนวนวันเสมอ เขาบอกว่ามีเยอะไว้อุ่นใจกว่า



ทั้งสองคนเดินเข้าไปในคลับเลาจ์ชั้น 53 พนักงานหนุ่มชาวฟิลิปปินส์เข้ามาทักทายและพาทั้งสองคนไปนั่งยังโต๊ะที่ดีที่สุดของห้อง ฆาเบียร์พยักหน้าให้พนักงานสาวที่เดินเข้ามากระซิบคุยกับเขาเป็นภาษากวางตุ้ง เจลุกขึ้นเพื่อไปตักอาหารแต่คนรักของเขาฉุดเขาให้นั่งลง ไฟในห้องนั้นพลันหรี่ลง เสียงร้องเพลงแฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์ดังขึ้นอีกครั้ง พนักงานประจำห้องคลับพากันเดินออกมาพร้อมเค้กครีมก้อนใหญ่ที่ประดับด้วยผลไม้และปักเทียนไว้หนึ่งเล่ม แขกคนอื่นที่มาใช้บริการห้องคลับก็ร้องเพลงตามและพากันปรบมือเมื่อเจเป่าเทียนจนดับ เมื่อไฟเปิดขึ้น เจยืนขึ้นและยกแก้วแชมเปญที่ถูกยกมาวางตรงหน้าขึ้นชูขอบคุณแขกคนอื่นในห้อง

“ฝีมือคุณอีกเหรอ?”

เจกระซิบถาม

“เปล๊า ไม่ใช่ฉัน เป็นพวกพนักงานบนคลับนี้เขาจัดให้”

คนตัวโตปฏิเสธเสียงสูง เจส่ายหัว เขาก้มลงดูเค้ก บนเค้กครีมประดับผลไม้นั้นมีแผ่นช็อคโกแลตที่เขียนคำอวยพรด้วยเส้นช็อคโกแลตขาวไว้ว่า

‘สุขสันต์วันเกิด คุณเจ’

“เอ๊ะ ภาษาไทยนี่?”

เจอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ เขาเรียกพนักงานที่เดินผ่านไปมาถามก็ได้ความว่ามีในโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน มาเก๊านี้มีเชฟคนไทยทำงานอยู่ 2 คนและมีพนักงานแผนกอื่นอีกหลายคน และคงเป็นเชฟหนึ่งในสองคนที่เขียนให้ ฆาเบียร์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนตัวเล็กของเขาที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความพอใจ สำหรับเขาแล้วเมื่อเจมีความสุข เขาก็มีความสุขไปด้วย เขาส่งเค้กให้พนักงานไปตัดแบ่งส่งให้แขกคนอื่นๆ ที่นั่งในห้องนั้นทุกโต๊ะ

“ขอเขาเรียกเชฟคนไทยมาคุยด้วยไหม เจ?”

คนตัวโตถาม เจนยุทธส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรอ่ะ คุณ ผมไม่อยากกวนเขา ตอนนี้แขกกำลังเข้าเลาจ์มาเยอะด้วย เชฟน่าจะยุ่ง ไว้รอช่วงว่างๆ จากมื้ออาหารก่อนแล้วกัน”

เจขอตัวลุกไปตักอาหาร

“เดี๋ยว เจ...”

ฆาเบียร์ดึงมือคนตัวเล็กไว้

“ยั้งๆ มือหน่อยล่ะ เดี๋ยวเรามีกินมื้อเย็นต่อนะ อย่าลืม”

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ เขาลืมไปซะสนิท เจเดินไปแวะดูตรงนั้นตรงนี้ อาหารมื้อเย็นเบาๆ ของคลับเลาจ์นี้ไม่เบาสักนิด นอกเหนือจากพวกคานาเป้ แฮม ของกินเล่นสารพัด มันยังมีสลัด และมุมพาสต้า รวมทั้งอาหารจานร้อนสองสามอย่าง เขายิ้มออกมาเมื่อเห็นหมูย่างจิ้มแจ่ว นี่คงเป็นฝีมือเชฟไทยที่ว่า เขาตักมันมาพร้อมกับอาหารเรียกน้ำย่อยเล็กๆ น้อยๆ อย่างพวกคานาเป้และแฮม เมื่อกลับมาถึงโต๊ะ เขาก็เห็นว่าฆาเบียร์สั่งแชมเปญมาให้เขาและตัวเองคนละแก้ว และยังมีโมฆิโต้สำหรับเขาและมาร์ตินี่สำหรับคนตัวโตเอง

“ดีมาก ฉันยังไม่อยากให้นายอิ่มก่อนมื้อเย็นวันนี้”

ฆาเบียร์พูดเมื่อเห็นของที่เจตักมา เขารับจานสลัดที่เจตักมาให้

“แล้วตกลงจะกินอะไรกันแน่ บอกกันก่อนสักนิดไม่ได้เหรอ?”

“ไม่บอก บอกก่อนก็ไม่สนุกสิ”

“อืมม์...งั้นผมลองเดาก็ได้ คุณให้ใส่สูท แสดงว่าน่าจะเป็นอาหารฝรั่ง และเป็นร้านแบบ up-scale หน่อย... ร้านแรกที่ผมนึกถึงก็คือ Robuchon au Dome...”

ฆาเบียร์กลั้นหายใจ ไอ้ตัวเล็กมันเดาแม่นจริงๆ

“...แต่คุณพนักงานที่โซฟิเทลวันนั้นก็บอกแล้วว่ามันช่วงนี้มันเต็มตลอด แล้วผมก็เพิ่งบอกกับคุณไปว่าอยากกินมื้อหรู คุณก็ไม่น่าจะจองทันใช่ไหม ก็ตัดไปร้านนึง”

เจทำท่าครุ่นคิด เขาทายออกมาอีกหลายร้านแต่ฆาเบียร์ก็นิ่งเงียบจนคนตัวเล็กยอมแพ้ไปเอง

"เห้ย นั่นหมูย่างผม อยากกินก็ไปตักเองสิ"

เจบ่นลั่นเมื่อฆาเบียร์เริ่มรุกรานมาตักอาหารจากจานของเขา ฆาเบียร์อมยิ้มพลางเคี้ยวหมูย่างจิ้มน้ำจิ้มไทยรสเผ็ดเค็มเปรี้ยวนั้น กินของจากจานตัวเองมันจะไปสนุกตรงไหนกัน


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Birthday Bliss (ต่อ) ----




"หกโมงกว่าแล้ว เราไปแต่งตัวกันเถอะ เจกินเสร็จแล้วใช่ไหม?"

คนตัวโตเงยหน้าจากแท็บเล็ตของเขาและถามเจนยุทธที่นั่งกดมือถืออยู่ เมื่อครู่เขาขอเวลาคนรักเพื่อจัดการเรื่องงานเล็กๆ น้อยๆ เจเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้คนตัวโตของเขาและพยักหน้าตอบรับ พวกเขาทั้งคู่กลับไปยังห้องของตัวเองและเริ่มแต่งเนื้อแต่งตัว

"คุณ ผมว่าไอ้ชุดนี้มันเว่อร์ไปอ่ะ"

เจบ่นเบาๆ เมื่อดูตัวเองในกระจก ตอนเขาสั่งตัดชุด ไอ้เจ้าเสื้อนอกแบบ Cocktail Jacket สีเงินด้านซึ่งมีสาบและปลายแขนเสื้อดำที่เขาก๊อปแบบมาจากเว็บทอม ฟอร์ดตัวนี้ดูเข้าท่าเข้าทางดี แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันดูเป็นทางการเกินไปมากสำหรับใส่ไปกินมื้อเย็นแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ดูเรียบร้อยพอสำหรับใส่ไปทำงาน  แม้กางเกงผ้าสีดำของเขาจะเป็นแบบเข้ารูปและเสื้อนอกผ้ากำมะหยี่สีเงินด้านก็มีลายริ้วน้อยๆ ในเนื้อผ้า แต่เมื่อเขาใส่แบบเต็มยศกับหูกระต่ายสีขาว เสียบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋า และสวมรองเท้าหนังสีดำ การแต่งตัวของเขาวันนี้ก็ยังดู "จัด" เกินกว่าจะไปนั่งกินมื้อค่ำอยู่ดี

"รู้งี้เอาชุดสูทแบบเรียบๆ มาดีกว่า อย่างน้อยก็ยังดูเรียบร้อยกว่าและไม่ดูเว่อร์เกินไปแบบนี้"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ เขารู้สึกได้ว่าความคิดความอ่านของเจเปลี่ยนไปจากตอนที่พบเขาใหม่ๆ พอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการทำตัวหรือการแต่งตัว เจใส่ใจเรื่องการแต่งตัวให้สมกับกาละเทศะมากขึ้น จนบางครั้งก็อาจจะใส่ใจมากกว่าที่เขาทำเสียอีก อย่างในวันนี้เขาไม่ได้รู้สึกว่าเจแต่งตัวจัดหรือแฟชั่นจ๋าเกินไปแต่อย่างใด ฆาเบียร์บอกสิ่งที่เขาคิดกับเจนยุทธ

"ฉันว่าโอเคแล้วนะ คืนนี้ก็เป็นโอกาสพิเศษ แล้วนายก็เป็น birthday boy จะใส่อะไรก็ใส่ไปสิ ตามใจ"

"...แต่ถ้าเจรู้สึกว่ามันเป็นทางการเกินไป ก็ทำแบบนี้สิ..."

ฆาเบียร์ดึงหูกระต่ายออกจากคอคนรักและปลดกระดุมเสื้อลงสองเม็ด จากนั้นเขาให้เจนั่งลงบนเก้าอี้นวมส่วนตัวเองทรุดกายลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าแล้วถอดรองเท้าของเจออก

"เอาถุงเท้าออกก็ดูเป็นทางการน้อยลงแล้วจ้ะ"

คนตัวโตดึงถุงเท้าออกจากเท้าของคนรัก เขาใส่ loafer หนังของปราด้าคู่นั้นกลับเข้าไปในเท้าเปลือยเปล่าของเจ คนตัวเล็กลุกขึ้นส่องกระจกแล้วยิ้มอย่างพึงใจ ลุคของเขาดูผ่อนคลายและเป็นทางการน้อยลงมาก



"ส่องอยู่นั่นแหละ กระจกน่ะ รู้แล้วว่าหล่อ"

เจแซวคนรักที่หมุนซ้ายหมุนขวาจัดนั่นแต่งนี่อยู่หน้ากระจก

"แล้วจะมาแต่งตัวเหมือนกันทำไม?"

เจบ่นกะปอดกะแปดใส่คนตัวโตที่ใส่ทักซีโดสีเทาด้านเหมือนกัน แต่ของคนตัวโตเป็นผ้าไหมไทยในโทนที่เข้มกว่าของเขา เสื้อนอกและกางเกงผ้าสีดำของฆาเบียร์ แม้จะเข้ารูปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดูโฉบเฉี่ยวไปทั้งตัวเหมือนของเจ หากดูภูมิฐานกว่า ฆาเบียร์มองตัวเองในกระจกแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำพักหนึ่ง จากนั้นเดินออกมาด้วยใบหน้าเกลี้ยงเกลา สองสามวันที่ผ่านมา เขาปล่อยหนวดเคราให้ขึ้นเพราะความขี้เกียจโกน แต่วันนี้ เขาต้องดูเนี้ยบที่สุด

"เออ นั่น โกนหนวดอีก ข่มกันเห็นๆ เลยนะเฟ้ย"

เจบ่นอุบอิบ เมื่อยืนเคียงคู่กันเขาดูเป็นเด็กน้อยหน้าจืดไปทันใด ฆาเบียร์จัดการรวบผมยาวปรกคอของตัวเองจนตึง

"วันนี้คุณดูดุจังแฮะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ แม้จะหน้าเกลี้ยงเกลา แต่เมื่อไม่มีผมยาวล้อมกรอบหน้า มันเน้นให้เห็นช่วงกรามแข็งแรงและโหนกแก้มที่สูงเด่น อีกทั้งสายตาคมปลาบนั้นทำให้คนรักของเขาดูดุดันกว่าทุกที

"ก็วันนี้แฟนอ้ายน่ารัก อ้ายก็ต้องทำตัวดุไว้กันคนมาเกาะแกะไงจ๊ะ"

คนตัวโตที่นึกครึ้มอกครึ้มใจเรียกตัวเองว่า "อ้าย” หอมแก้มคนรักที่ยืนข้างๆ ฟอดใหญ่ เจหน้าแดงแปร๊ด เขาเขินทุกครั้งที่ฆาเบียร์แทนตัวเองด้วยคำนี้

"ไม่ต้องมาอ้ายเอ้ยอะไรเลย ไปๆ จะทุ่มแล้ว เร็วๆ ผมหิว"

เจพูดคำติดปากออกมา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ จะหิวได้ยังไงในเมื่อเจเพิ่งกินบนคลับเลาจ์มา



"เจ เดี๋ยวก่อน"

ฆาเบียร์ดึงคนรักไว้ เขาพาเจเดินกลับเข้ามาในส่วนแต่งตัว

"ยังไม่ได้ใส่น้ำหอมใช่ไหม?"

เจส่ายหน้า เขาลืมไปเสียสนิท

"เอ้า นี่ สำหรับนาย"

ฆาเบียร์ยื่นกล่องน้ำหอมสีดำเทากล่องหนึ่งให้เจ เจรับมาแกะดู

"อ๊ะ ทอม ฟอร์ด ตัว Private Blend แบบเดียวกับที่ผมชอบวันนั้นเหรอ? กลิ่นผมก็ตีกับกลิ่นคุณแย่สิ"

เจรีบแกะพลาสติกหุ้มกล่องออก เขาอ่านหน้ากล่องเร็วๆ เห็นคำว่า Tobacco จึงนึกว่าเป็นกลิ่นเดียวกับที่เขาดมแล้วดมอีกอย่างถูกใจในวันนั้น เขาได้กลิ่นมันอวลออกมาจากตัวคนตัวโตในวันนี้เช่นกัน เจดึงกล่องชิ้นบนออก เผยให้เห็นน้ำหอมขวดเหลี่ยมสีดำที่ตั้งอยู่บนฐานซึ่งเป็นชิ้นล่างของกล่อง เขาดึงขวดน้ำหอมนั้นออกมาและเปิดฝา เขาลองสเปรย์มันในอากาศตรงหน้าแล้วสูดดม

"เอ๊ะ ไม่ใช่กลิ่นที่ผมชอบวันนั้นนี่ วันนั้นมัน Tobacco Vanille ใช่ไหม? แต่นี่อะไรน่ะ?"

เจยกขวดขึ้นอ่าน

"Tobacco oud?"

เขาสูดดมกลิ่นที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ กลิ่นของมันเป็นกลิ่นใบยาแห้งที่เข้มข้นกว่าและมีกลิ่นติดฉุนของไม้กฤษณา เมื่อเทียบกับกลิ่น Tobacco Vanille ที่เขาหลงใหลแล้ว กลิ่นนี้ออกจะแมนกว่าพอสมควร ส่วนกลิ่นหลังจะมีความหวานนุ่มนวลของวนิลาชั้นดีมาตัดกลิ่นฉุนของยาสูบ

"คุณชอบกลิ่นนี้เหรอ ฆาบี้?"

เจพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นคนตัวโตมีสีหน้าเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมที่ลอยอวลในอากาศ เจนยุทธฉีดน้ำหอมนั้นเข้าที่ซอกคอตัวเองข้างละครั้ง จากนั้นดึงคนรักเข้ามาแนบกาย

"แล้วแบบนี้ล่ะครับ ชอบไหม?

"ชอบ ชอบมากเลยเจ กลิ่นมันเหมาะกับเจมาก"

ฆาเบียร์ครางเสียงแหบๆ เขาซุกหน้าลงกับซอกคอของเจเพื่อรับกลิ่นที่อวลขึ้นมา กลิ่นมันเข้ากับผิวกายของคนรักของเขาได้เป็นอย่างดี



"เห้ยๆๆ พอๆ เราจะไปกินข้าวกันไม่ใช่เหรอ?"

เจรีบดันตัวคนรักออกเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากร้อนๆ ที่เริ่มพรมจากซอกคอลงมาที่ลาดไหล่ มือของฆาเบียร์เริ่มเลื้อยไปทั่ว ฆาเบียร์ขยับตัวออกห่างและถอนหายใจอย่างเสียดาย

"ชอบขนาดนั้นทำไมไม่เก็บไว้ใช้เองล่ะ"

"อืมม์ ตอนฉันไปซื้อ ฉันถูกใจอยู่สองกลิ่น แต่ฉันคิดว่าเจน่าจะชอบ Tobacco Vanille มากกว่า ฉันเลยซื้อกลิ่นนั้นไว้ใช้เอง เพื่อให้เจได้ดมจากตัวฉันไง"

"อ๋อ แสดงว่าตัวคุณชอบกลิ่นนี้มากกว่า และอยากได้กลิ่นมันจากตัวผม?"

เจพยักหน้าหงึกหงัก

"ได้สิ แต่ห้ามแอบดมตอนไปอยู่ข้างนอกล่ะ ข่มใจหน่อย"

เจนยุทธหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเอาขวดน้ำหอมไปวางไว้ที่หน้ากระจกห้องน้ำ คนตัวโตเดินตามเข้ามาประกบด้านหลังแล้วแอบหอมแก้มแดงระเรื่อนั้นเบาๆ เขาสูดดมกลิ่นหอมที่เขาชื่นชอบอีกครั้ง เจหันกายกลับมาและโน้มคอคนรักลงมาจุมพิตเนิ่นนาน กลิ่นของน้ำหอมทั้งสองกลิ่นกำจายอยู่รอบกายเขาทั้งคู่ตามอุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มขึ้น

"ฉันแคนเซิลร้านอาหารแล้วกินนายแทนได้ไหม เจนยุทธ"

ฆาเบียร์กอดกระชับร่างคนที่หอบหายใจเบาๆ ในอ้อมอก

"ไม่ได้ๆ สัญญาต้องเป็นสัญญาฆาเบียร์"

เจปฏิเสธแม้ใจของเขายังสั่นระรัว ทั้งสองกลิ่นที่ผสานกันนั้นกระตุ้นเร้ากำหนัดของเขาขึ้นมาเช่นกัน แต่อย่างไร เรื่องกินต้องมาก่อนเพราะกองทัพนั้นต้องเดินด้วยท้อง เขาต้องเตรียมแรงไว้เผชิญศึกหนักซึ่งดูท่าจะเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ ในคืนนี้



"อ้าวเมลิน่า ริคกี้ ไงจะไปกินข้าวด้วยกันเหรอ?”

เจถามเลขาทั้งสองของฆาเบียร์ ริคกี้ใส่สูทลำลอง ส่วนเมลิน่าอยู่ในชุดค้อกเทลเดรสสีแดงเพลิง

“ไม่จ้ะ เขามารอเอาคีย์การ์ดจากฉัน เอ้า นี่ เมลิน่า เอากระเป๋าเอกสารของฉันขึ้นไปไว้ที่ห้องได้เลยนะ วางบนโต๊ะทำงานนั่นแหละ ส่วน ‘ไอ้นั่น’ ก็วางไว้ที่บาร์ก็ได้”

คนตัวโตตอบแทน เจหรี่ตามองด้วยความสงสัย “ไอ้นั่น”ของฆาเบียร์น่าจะเป็นของอีกอย่างที่เตรียมไว้ให้เขา เมลิน่าและริคกี้ก้มหัวรับคำสั่งของนาย

“แล้วนี่เดี๋ยวจะไปกินอะไรที่ไหนกัน?”

“เดี๋ยวพวกผมว่าจะไปลองลุ้นโต๊ะที่ The Tasting Room ดูครับ แต่ถ้าไม่ได้ก็อาจจะหาอาหารญี่ปุ่นไม่ก็อาหารจีนกินกัน แล้วค่อยไปนั่งบาร์ต่อ”

เลขาหนุ่มของฆาเบียร์ตอบ คนตัวโตพยักหน้า

“อืมม์ ดีแล้ว พักผ่อนกันให้เต็มที่ ไงก็ฝากดูแลยัยเมลิน่าด้วยล่ะ อย่าให้เมามากนัก พรุ่งนี้เราต้องไปนั่นนี่กันหลายที่”

ริคกี้รับปาก เมลิน่าหน้าแดงระเรื่อแล้วปฏิเสธลั่นว่าเธอจะไม่ยอมกินจนเมาอีกแน่นอน ฆาเบียร์และเจหัวเราะท่าทางของเลขาสาว

“งั้น ฉันไปก่อนนะ พรุ่งนี้ไว้ถ้าพวกเราตื่นแล้วจะโทรบอก”

ฆาเบียร์เบี่ยงตัวให้เจขึ้นรถโรลสรอยซ์แฟนธ่อมรุ่นฐานล้อยาวสีงาช้างไปก่อน ส่วนเขาตามขึ้นไปนั่งเคียงข้าง คนขับในชุดสูทดำปิดประตูตามหลัง รถคันงามพาพวกเขาเคลื่อนออกจากหน้าโรงแรม



“เออ ได้ยินริคกี้พูดถึงร้าน The Tasting Room แล้วก็นึกได้ คุณจองที่นั่นไว้ใช่ป่าว ผมได้ยินมาว่าที่นั่นก็อร่อย”

เจทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยถามคนรัก เขาพูดถึงร้านอาหารฝรั่งเศสระดับสองดาวมิเชแลงที่คาสิโนคอมเพล็กซ์ City of Dreams เขาเคยได้ยินหลายคนพูดกันว่าร้านนี้อาจจะดีกว่า Robuchon au Dôme ซึ่งเป็นร้านระดับสามดาวเสียอีก

“อ้าว ไม่ใช่ซะงั้น”

เจทำตาละห้อยมองกลุ่มอาคารของซิตี้ออฟดรีมส์ที่ค่อยๆ ห่างออกไปเบื้องหลัง ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

“ไว้ถ้ามาคราวหน้าฉันจะจองที่นั่นให้แล้วกัน คราวนี้กินอย่างอื่นก่อนนะ”

เจหันมายิ้มให้คนตัวโตแล้วซบลงที่ไหล่ รถพาเขาทั้งสองเคลื่อนออกจากเกาะไทปาและข้ามสะพานสู่เกาะมาเก๊า

“ร้านอยู่ฝั่งนี้เหรอ?”

เจใจเต้นตึกตัก ร้านอาหารฝรั่งที่ฝั่งนี้มีไม่กี่แห่งที่หรูขนาดใส่ทักซีโดมากินแล้วไม่เวอร์เกิน ในใจเขาเหลือคำตอบเดียวเท่านั้น

“คุณ หลอกผมอีกแล้วนะ!”

เจทุบพลั่กเข้าที่อกกว้างของคนรักที่นั่งหัวเราะร่วนอยู่ รถจอดส่งพวกเขาที่หน้าล็อบบี้อันโอ่อ่าของโรงแรมแกรนด์ ลิสบัว ร้านที่คนตัวโตจะพาเขามากินจะเป็นที่ไหนไปได้ ถ้าไม่ใช่ Ronbuchon au Dôme

“ร้ายมากนะ ฆาบี้ นี่ถึงขั้นขอน้องพนักงานที่คลับของโซฟิเทลมาช่วยหลอกผมด้วยเหรอ?”

“ไม่งั้นก็ไม่เซอไพรส์สิจ๊ะ”

ฆาเบียร์จับมือคนรักขึ้นมาจูบเร็วๆ พอลงรถ เขาก็จูงมือพาเจเข้าตัวโรงแรมเดินผ่านสมบัติสารพัดของสแตนลี่ย์ โฮไปยังลิฟท์ที่อยู่ด้านหลัง เขากดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้น 39 ซึ่งเป็นชั้นล็อบบี้ของร้านอาหาร



“สวัสดีค่ะ คุณมาร์ติเนซ ยินดีต้อนรับอีกครั้งค่ะ”

พนักงานสาวต้อนรับสาวที่ยืนอยู่หน้าลิฟท์กล่าวคำทักทายฆาเบียร์ เจแอบมองคนตัวโตอย่างหมั่นไส้ อีหรอบนี้แสดงว่าพ่อเจ้าประคุณของเขาคงเคยมาบ่อยจนพนักงานจำได้ แล้วตอนที่เขาถามถึงร้านนี้ คนตัวโตยังมาแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน

“โอ๊ย!”

ฆาเบียร์อุทานเบาๆ เมื่อถูกคนตัวเล็กหยิกหมับเข้าที่สีข้างโดยไม่รู้ตัว เจส่ายหัว พร้อมพ่นลมหายใจออกมาดังพรืดอย่างระอา

“ยังจะมีอะไรให้เซอไพรส์อีกไหม? หือ?”

เจกระซิบถามเบาๆ ระหว่างที่พนักงานสาวพาพวกเขาเดินผ่านทางเดินน้อยๆ ที่เรียงรายไปด้วยขวดไวน์ราคาแพง อย่าง Romanee-Conti La Tache Petrus และไวน์ 5 อรหันต์แห่งบอร์โดซ์

"ไม่บอก ไว้รอลุ้นเองแล้วกัน"

ฆาเบียร์ยิ้มละไมให้คนรัก เจทำอะไรไม่ได้นอกจากบ่นพึมพำอยู่คนเดียว



ลิฟท์พาทั้งสองคนขึ้นมายังชั้น 43 พนักงานต้อนรับที่ยืนรออยู่หน้าประตูพาทั้งสองไปนั่งยังโต๊ะที่จัดไว้ให้ริมหน้าต่าง แม้จะเห็นวิวได้เพียงเล็กน้อยเพราะมีโครงเหล็กตกแต่งอาคารบัง แต่เจก็ยังมีทีท่าตื่นเต้นอยู่ดี หลังจากนั่งประจำที่แล้ว พนักงานชายที่ดูแต่งตัวแตกต่างจากคนอื่นก็เดินเข้ามาหาทั้งสองพร้อมเมนูในมือ เขาทักทายคนตัวโตและกล่าวต้อนรับเจนยุทธด้วยความสุภาพ

"ในวันนี้คุณมาร์ติเนซจะรับเป็นอาหารชุด Le Menu Prestige แบบที่ผมส่งไปให้หรือจะลองดูเมนูก่อนครับ?"

"อืมม์ ขอผมถามทางนู้นก่อนดีกว่าครับ"

ฆาเบียร์พยักเพยิดไปทางเจนยุทธที่ง่วนกับการใช้มือถือเก็บภาพจานชามบนโต๊ะและตัวห้องอาหาร

"เจ ฉันคิดว่า Le Menu Prestige ที่เป็นเหมือน degustation menu ของที่นี่น่าสนใจดีนะ จะลองไหม หรือเจอยากจะเปลี่ยนเป็นเมนูอาลาคาร์ทธรรมดา?"

"ผมขอดูเมนูทั้งสองอย่างก่อนได้ไหม?"

คนตัวเล็กถาม เขาอยากเห็นก่อนว่าอาหารในชุดมีอะไรบ้าง degustation menu หรือ tasting menu คือการจัดชุดอาหารที่เป็นจานเด่นหรืออาหารชูโรงของร้าน อาหารที่เสิร์ฟมามักมีปริมาณต่อจานน้อยกว่าขนาดปกติ แต่เสิร์ฟมาหลายอย่างเพื่อให้ผู้ชิมได้รับรู้ถึงรสชาติที่เป็นหัวใจหลักของร้านนั้นๆ อย่างชุด Le Menu Prestige ของที่นี่ ก็เป็นตัวเชฟ Joel Robuchon เองที่จัดขึ้นโดยจะบินมาทำการปรับเมนูตามฤดูกาลปีละสองสามครั้ง

เจดูรายการอาหารที่พิมพ์มาอย่างสวยงามบนกระดาษการ์ดอย่างดี เขาตัดสินใจได้แทบจะทันทีว่าจะกินอาหารชุดนี้จนกระทั่งเขากวาดสายตาลงไปเห็นราคาอาหารที่พิมพ์ติดไว้ที่ด้านล่างสุดของเมนู ฆาเบียร์รีบแย่งเมนูใบนั้นคืนมาเมื่อเห็นเจทำตาโตเท่าไข่ห่านดูราคาอาหาร

"เราเลือกเมนูเพรสตีจครับ เมนคอร์สผมขอเป็นเนื้อกวางและรายนั้นเป็นเนื้อคาโกชิม่าแล้วกันครับ"

ฆาเบียร์รีบสั่งอาหารก่อนที่เจนยุทธจะเปลี่ยนใจ

"คุณ ไม่เป็นไรอ่ะ กินง่ายๆ เอาเมนูเซ็ตเล็กก็ได้ เซ็ตนี้ราคาโหดไป"

เจพูดเสียงอ่อยๆ สนนราคาของอาหารชุดนี้ซึ่งมี 9 คอร์สคือ 2,388 เหรียญมาเก๊า เมื่อรวมเซอร์วิสชาร์จแล้วก็เท่ากับเกือบๆ 12,000 บาทต่อคน นี่ยังไม่รวมน้ำและไวน์ซึ่งพ่อเจ้าประคุณต้องสั่งแน่ๆ

"ไม่เห็นเป็นไรเลย เจ ฉันจ่ายไหวน่า อีกอย่าง ฉันอยากกินเนื้อกวางด้วย ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว"

คนตัวโตอ้างหน้าตาเฉย

"คุณก็กินของคุณไปสิ ผมจะสั่งเซ็ตเล็ก"

"ไม่ได้ ถ้าสั่งชุดเพรสตีจ ต้องสั่งเหมือนกันทั้งโต๊ะ อย่าขัดใจฉันเลยน่า ฉันรู้ว่าเจเองก็อยากกินชุดนี้"

คนตัวเล็กเถียงไม่ออก เมื่อกี้เขาอ่านเมนูไปก็น้ำลายไหลไป อาหารในชุดนั้นมีทั้งคาร์เวียร์ ทรัฟเฟิลขาว ล็อบสเตอร์ ฟัวกราส์ แล้วไหนจะยังเนื้อคาโกชิม่าและเนื้อกวางอีก

"คุณสั่งเนื้อคาโกชิม่าให้ผมใช่ไหม? แต่กวางผมก็อยากกินนะ ผมไว้ขอชิมแล้วกัน"

"งั้นฉันสั่งกวางแบบจานปกติมาให้เจอีกจาน ดีไหม?"

เจนยุทธรีบยกมือปฏิเสธทันทีและไม่กล้าขออะไรเพิ่มอีก ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางเกรงใจของคนรัก ก่อนหันไปหาพนักงานหนุ่มท่าทางคล่องแคล่วซึ่งที่จริงคือผู้จัดการของห้องอาหารแห่งนี้

"โอเค ผมพร้อมสั่งเครื่องดื่มละ ขอน้ำแร่อัดก๊าซขวดใหญ่ขวดหนึ่งนะครับ"

ฆาเบียร์หันไปยิ้มให้คนตัวเล็ก เจพยักหน้าหงึกหงัก สำหรับเขาในคืนนี้แค่น้ำเปล่าก็พอแล้ว คนตัวโตหันกลับไปหาผู้จัดการห้องอาหาร

"ส่วนไวน์ ผมขอดูไวน์ลิสต์หน่อยครับ"

ผู้จัดการหนุ่มตอบรับ เขาเดินกลับไปหยิบแท็บเล็ตมาเพื่อให้ฆาเบียร์ได้ดูไวน์ลิสต์ของโรงแรม ซึ่งในปี 2016 ถูกยกย่องให้เป็นไวน์ลิสต์ที่ดีที่สุดในโลก โดยมีไวน์มากกว่า 16,800 ฉลากและตัวลิสต์นั้นมีทั้งหมด 583 หน้า

"ห้ามสั่ง Romanee-Conti มาเด็ดขาด La Tache ผมก็ไม่เอา โอเค๊?"

เจแอบกระซิบกับคนตัวโตของเขา

"ถ้าฉันอยากดื่มเองก็ไม่ได้เหรอเจ?"

คนตัวโตทำตาละห้อย เจกัดริมฝีปาก

"ถ้า La Tache ก็แล้วแต่คุณแล้วกัน รู้ว่าของชอบ แต่กงติน่ะ...ขอเหอะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ ไวน์ขวดละครึ่งล้านนั้นเกินความจำเป็นไปมากๆ

"ไม่ต้องห่วงหรอก เจ ขวดนั้นน่ะ ต้องโอกาสพิเศษจริงๆ ของเราทั้งสองคนนะ"

ฆาเบียร์ส่งสายตาเปี่ยมความหมายให้กับคนรัก เจหน้าร้อนผ่าว คนตัวโตพูดถึงสิ่งที่เขาไม่กล้าหวังอีกแล้ว

"อย่างฉลองแซยิดคุณเหรอ? ก็ได้นะ"

เจเสพูดเล่นไป ฆาบี้ถอนหายใจเบาๆ เขารู้ว่าคนตัวเล็กพยายามเลี่ยงการพูดคุยถึงเรื่องนี้



"ผมพร้อมสั่งแล้วครับ..."

ฆาเบียร์พยักหน้าบอกผู้จัดการห้อง เขาถือแท็บเล็ตมายืนพร้อมรับคำสั่ง

"ตอนแรก ผมขอแชมเปญเป็นแก้วก่อนแล้วกัน คุณมีอะไรบ้าง?"

ผู้จัดการบอกชื่อแชมเปญที่มีแบ่งขายเป็นแก้วมาสองสามอย่าง

"งั้นผมขอ Krug Grand Cuvee 2 แก้วครับ..."

"จากนั้น ไวน์แดง อืมม์ คุณมีบอร์โดซ์หรือเบอร์กันดีปี 1989 ที่น่าสนใจตัวไหนมั่ง?"

ผู้จัดการห้องยิ้มน้อยๆ เขาเขี่ยๆ จิ้มๆ ที่หน้าจอพักหนึ่งก็ได้ลิสต์ไวน์ตามที่ฆาเบียร์อยากได้มา คนตัวโตขอรับมาดูเอง เจชะโงกหน้ามาดูแล้วรีบดึงแท็บเล็ตจากมือฆาเบียร์ส่งคืนให้ผู้จัดการห้องเมื่อเห็นราคาไวน์แต่ละตัว

"อย่าคิดสั่ง Petrus เชียวนะ"

เจนยุทธกระซิบเบาๆ เขาเห็นแว่บๆ ว่าไอ้เจ้าไวน์ที่ปกติก็แพงอยู่แล้วยี่ห้อนี้ ในปีเกิดของเขา มันถือเป็นปีที่ดีและได้รับคะแนนรีวิวเต็มร้อย ฉะนั้นราคาของมันจึงพุ่งขึ้นไปสูงถึง 58,000 ปาตากาส หรือประมาณ

"รู้น่ะ ไม่สั่งหรอก..."

คนตัวโตกระซิบกลับ เขาหันไปยิ้มให้ผู้จัดการห้องที่ยืนอมยิ้มรอคำสั่งอยู่ข้างๆ

"ส่วนไวน์ ผมขอเป็นตัวเดิมที่สั่งมาล่วงหน้าแล้วนะครับ คุณดีแคนต์ไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?"

"ครับ จัดการเรียบร้อยแล้ว เป็น Chateau Haut-Brion ปี 1989 นะครับ"

ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ ผู้จัดการห้องก้มหัวให้เขาน้อยๆ และเดินกลับเข้าไปในครัว เจได้แต่ทำปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก เขารีบเลื่อนๆ หาดูว่าไอ้เจ้าหนึ่งในห้าอรหันต์ของบอร์โดซ์ขวดนั้นราคาเท่าไหร่ เขาเหงื่อแตกเมื่อเห็นว่าไอ้เจ้าไวน์ขวดนี้ก็ได้ 100 คะแนนเต็มเหมือนกัน และยิ่งแทบร้องไห้เมื่อเห็นราคาของมัน



"สองหมื่นห้า? แสนกว่าบาท! ไม่รวมเซอร์วิสชาร์จอีก ฆาบี้ ผมบอกแล้วไงว่าอย่าให้อะไรผมราคาเกินห้าหลัก"

เจโวยเบาๆ เขาแทบเป็นลมกับการใช้เงินของคนตัวโต

"เกินที่ไหน ก็ฉันกินครึ่งขวด เจครึ่งขวด หารครึ่งไปก็ไม่เกินห้าหลักแล้ว"

ฆาเบียร์ตอบยิ้มๆ เขารู้แน่ว่าเจต้องไม่ยอมให้เขาสั่งไวน์แพงระยับอย่างเปตรุสจึงหาขวดสำรองไว้ก่อนแล้ว

"ร้ายมากนะ ฆาเบียร์ กลัวผมห้ามเหรอ เลยแอบมาสั่งไว้ก่อน"

เจบ่นอุบอิบ

"ฮึ่ย ไม่ใช่สักหน่อย ก็ไวน์เก่าขนาดนี้มันต้องใช้เวลาดีแคนต์และทิ้งให้หายใจ ฉันก็เลยต้องสั่งมาก่อน"

"แล้วจะให้ผมดูลิสต์ทำไมไม่ทราบ?"

คนตัวเล็กแกล้งทำหน้าบึ้ง เขาเข้าใจสิ่งที่ฆาเบียร์ทำแล้ว ไวน์อายุขนาดนี้คงต้องใช้เวลาตั้งทิ้งไว้และดีแคนต์อย่างต่ำ 3 ชั่วโมงถึงจะกินได้

"ก็ให้เจดูให้ตายใจไง"

ฆาเบียร์ตอบหน้าตาเฉย



"เออ นั่น กวนตรีนตูอีกแล้ว"


เจบ่นกับตัวเองเบาๆ เป็นภาษาไทย

"เฮ้ๆ ฉันเข้าใจนะ"

คนตัวโตท้วงมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เจสะดุ้งตะครุบปากตัวเอง เขาลืมไปซะสนิทว่านพเคยบอกความหมายคำๆ นี้ให้ฆาเบียร์ไปเรียบร้อยแล้ว ฆาบี้หัวเราะเบาๆ แล้วลูบหัวคนรักของเขาด้วยความเอ็นดู

"เจจ๋า อย่าได้ซีเรียสเรื่องราคานั่นนี่ไปเลยน่า"

เขาดึงมือของเจที่นั่งข้างๆ เขาหากอยู่คนละมุมโต๊ะขึ้นมาจุมพิตแผ่วๆ

"อย่าเกรงใจอะไรฉันอีกเลย แค่เห็นเจมีความสุขฉันก็พอใจแล้ว หลายๆ อย่างที่เจทำให้ฉันมันมีค่ากว่าไอ้ของพวกนี้ที่ฉันให้หรือทำให้เจเสียอีก ฉันมันมีดีแค่เรื่องเงิน นานๆ ทีก็ขอให้ฉันใช้เงินซื้อความสุขให้เจบ้าง จะได้ไหม?"

คนตัวโตกุมมือคนรักและจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของเจ เจหน้าแดงซ่าน ในวันเกิดของเขาปีนี้เขาสุขมาทั้งวันแล้วจริงๆ

"อือ อนุญาตให้ทำนานๆ ทีในโอกาสพิเศษนะ อย่าทำบ่อย เดี๋ยวผมเสียนิสัย แล้วก็ปล่อยมือผมได้แล้ว เดี๋ยวอาหารก็จะลงแล้ว"

ฆาเบียร์รับปากคนรัก พวกเขาทั้งสองนั่งคุยหยอกล้อกันไม่นาน อาหารค่ำมื้อพิเศษนี้ก็เริ่มขึ้น




---------------------------------


ตัดตรงนี้ก่อนนะคะ ตอนนี้คนเขียนเวิ่นเว้อเลยมาช้าไปหน่อย ขออภัยด้วยค่ะ


มาคุยกันต่อ ว่าด้วยเรื่องสโกน คนเขียนก็เพิ่งมารู้วิธีกินอย่างถูกต้องก็ตอนนี้ค่ะ เคยรู้มาบ้างแต่กินทีไรก็ใช้มีดหั่นครึ่ง เอาครีม เอาแยมทาเหมือนกินขนมปังทุกที ต่อไปนี้จะใช้มือบิเอาตามนั้น อีกอย่างเลยเขาบอกว่าการกินชายามบ่ายนั้นให้ใช้แค่มือกับมีดและช้อนเท่านั้น อย่าใช้ส้อมจิ้มของบนจานค่ะ

วิธีกิน Scone อย่างถูกต้องค่ะ https://goo.gl/x8cavK


ว่าด้วยน้ำชายามบ่าย ที่เชียงใหม่ก็มีดังๆ หลายที่ ก็ขอยกมาแค่สองที่คือของโรงแรมอนันตราและดาราเทวีค่ะ คนเขียนไม่ได้ไปกินน้ำชายามบ่ายจากทั้งสองที่นานแล้ว แต่เท่าที่ดูจากในรีวิวแล้วคิดว่ายังใช้ได้อยู่ ที่จริงมีอีกที่ซึ่งคนนิยมได้แก่ของโรงแรม 137 Pillars แต่อ่านจากในเว็บโรงแรมแล้วเหมือนจะหยุดให้บริการชั่วคราว ลองโทรถามได้ค่ะ อีกที่ซึ่งก็ชอบแต่คนไม่ค่อยพูดถึงคือของโรงแรมโฟร์ ซีซันส์ ชุดชายามบ่ายของที่นั่นเสิร์ฟที่ห้องอาหาร KHAO โดยมีวิวทุ่งนาเขียวๆ ให้ดู และของกินในเซ็ตจะมีความเป็นไทยประกอบด้วย เช่นมีกุ้งโสร่งในส่วนอาหารคาวค่ะ


Afternoon Tea โรงแรม Anantara เชียงใหม่ https://goo.gl/pKMtzb

น้ำชายามบ่ายของที่นี่เสิร์ฟในตึกเก่าอายุกว่าร้อยปีที่เคยเป็นกงสุลอังกฤษเดิมค่ะ แต่ตัวคนเขียนชอบค้อกเทลของที่นี่มากกว่าน้ำชายามบ่าย

Afternoon Tea โรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ https://goo.gl/AU3cNc

อาฟเตอร์นูนทีที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในเชียงใหม่ ของกินที่เสิร์ฟมาในชุดอร่อยทุกอย่าง แต่สำหรับคนที่เน้นปริมาณ ขอแนะนำบุฟเฟต์ขนมหวานรวมถึงมาการองอันเลื่องชื่อและของคาวอย่างคานาเป้และแซนวิชที่ห้องอาหารกาสะลองค่ะ มีทุกวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา บ่ายโมงถึงหกโมงเย็น ราคา 550 บาทถ้วน ให้เวลากินสองชั่วโมงค่ะ

ฝรั่งรีวิวน้ำชายามบ่าย เชียงใหม่ https://goo.gl/9B3JyY

รีวิวชายามบ่าย กรุงเทพ รูปสวย ข้อมูลแน่นค่ะ https://goo.gl/4JXAiX

รวมรีวิวชายามบ่าย 15 แห่ง กทม. ข้อมูลปี 2016  https://goo.gl/xpLvUP


ห้องอาหาร Robuchon au Dome  https://goo.gl/L4TypT

ไว้จะเขียนถึงห้องอาหารนี้เต็มๆ ในตอนหน้าค่ะ ต้องบอกว่านี่คือไฮไลท์ของการไปมาเก๊ารอบที่แล้วของคนเขียนเลยทีเดียว ประทับใจมาก แทบไร้ที่ติตั้งแต่การบริการไปจนถึงอาหารค่ะ

ไวน์ลิสต์ของโรงแรมแกรนด์ ลิสบัว https://goo.gl/q2anUz

คนที่มาดูแลเรื่องการสั่งไวน์ของเราคือตัวผู้จัดการห้องเองค่ะ ทางร้านมีซอมเมอลิเยร์ แต่เราไม่ได้จะสั่งไวน์ลงลึกอะไรมาก ฉะนั้นแค่คุณผู้จัดการก็สามารถให้คำแนะนำที่ดีเยี่ยมได้ ตอนไปกินเองไม่ได้มีงบมากมายเท่าฆาเบียร์ จึงบอกไปตรงๆ ว่าขอแบบไม่แพงมาก เขาก็จะถามว่าเรามีงบเท่าไหร่และต้องการไวน์แบบไหน สัญชาติไหน แล้วให้คำแนะนำไวน์ที่อยู่ในช่วงราคานั้นมา ตอนแรกว่าจะสั่งเป็นไวน์แดงเป็นขวด แต่ทางร้านแนะนำว่าอาหารวันนี้เป็นพวกซีฟู้ดเสียหลายจาน ก็แนะนำเป็นไวน์ขาวเบอร์กันดีมา อร่อยค่ะ เข้ากับอาหารได้ดี ส่วนเมนคอร์สที่เป็นจานเนื้อ เขาก็แนะนำให้สั่งเป็นแก้ว โดยต่างกันสำหรับจานกวางและจานเนื้อ อ้อ ตอนแรกสุดสั่งแชมเปญ Krug มาแก้วหนึ่ง เขาบอกว่าสามารถแบ่งเทเป็นสองแก้วได้ ก็เลยสั่งแบบนั้น เหมือนเขาจะเทมาให้ซะเยอะเลยค่ะ บางร้านในไทยยังเสิร์ฟแก้วหนึ่งน้อยกว่าที่นี่อีก โดยรวมๆ แล้วราคาไวน์ของห้องอาหารนี้ก็แพงกว่าซื้อในร้านเหล้าบ้านเราไม่มากค่ะ เว้นแต่ตัวยอดนิยมวินเทจดีๆ ที่ราคาจะพุ่งทะลุฟ้าไปเลยค่ะ




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 o13


 :กอด1: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



​---- Robuchon au Dôme​ ----




“Amuse-Bouche ค่ะ วันนี้เรามีวาฟเฟิลกรอบไส้ครีมแลงกุสตีนและไข่หอยเม่นค่ะ”

พนักงานเสิร์ฟสาวยกถาดหินมาวาง บนนั้นมีวาฟเฟิลตัดเป็นแท่งน้อยขนาดประมาณนิ้วชี้ผู้ชายสองชิ้น มันใส่มาในซองกระดาษและตั้งมาบนสแตนด์ตั้งทำจากเงินอันน้อย เจมองด้วยสายตาปิ๊งๆ ขนาด amuse-bouche ที่แถมมาให้ยังจัดวางมาอย่างสวยงามขนาดนี้ เขารอที่จะกินอาหารมื้อนี้ไม่ไหวแล้ว

"แชมเปญครับ"

ผู้จัดการห้องเดินมาที่โต๊ะพร้อมขวดแชมเปญ Krug Grand Cuvee เขารินมันใส่แก้วของฆาเบียร์เล็กน้อยเพื่อให้ชิมรส คนตัวโตยกขึ้นจิบแล้วพยักหน้าให้ จากนั้นแชมเปญทั้งสองแก้วก็ถูกรินมาวางตรงหน้าของทั้งคู่

"พอๆ ไม่ต้องแฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์ผมแล้วนะ"

เจพูดดักคอคนที่กำลังจะอ้าปากอวยพรเขาเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ในวันนี้ คนตัวโตยิ้มเขินๆ ก่อนจะเปลี่ยนคำพูด

"Salud!"

เขายกแก้วชนกับแก้วของเจนยุทธ

"Salud!..."

เจพูดตอบรับ และก่อนที่ฆาเบียร์จะทันรู้ตัว เขาก็รู้สึกอุ่นวาบที่แก้ม

"ขอบคุณครับ ฆาเบียร์ ที่รักผมและตั้งใจทำทุกอย่างให้ผมแบบนี้"

เจพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ฆาเบียร์ยิ้มร่าให้คนที่กล้าหอมแก้มเขากลางร้านอาหาร

"...คุณคือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผมครับ"

คนตัวโตมองใบหน้าแดงระเรื่อที่อยู่ตรงหน้า เขาขยับกายเข้าใกล้คนตัวเล็ก



"อ๊ะ..."

ฆาเบียร์อุทานเบาๆ เมื่อเจจิ้มวาฟเฟิลแท่งน้อยเข้าในปากของเขา

"ทำตัวเรียบร้อยหน่อย คุณมาร์ติเนซ อย่าใจร้อนสิครับ"

เจพูดยิ้มๆ

"กินวาฟเฟิลไปก่อน เดี๋ยวคืนนี้พอกลับห้องไป รับรองว่าคุณได้กินอย่างอื่นแน่ๆ ได้กินจนอิ่มเลยล่ะ"

เจกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหูคนตัวโต ฆาเบียร์ทำตาโต เขาแทบอยากให้มื้ออาหารนี้จบเร็วๆ เขากัดวาฟเฟิลที่คาอยู่ในปากและลิ้มรสมัน เจนยุทธก็หยิบส่วนของเขาขึ้นกิน

"โอ๊ย สุดยอด"

เจอุทานออกมาเบาๆ เขายิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ สัมผัสกรอบนอกนิ่มนิดๆ ข้างในของวาฟเฟิลนั้นวิเศษนัก ไส้ของมันแม้จะเป็นชั้นบางๆ แต่รสชาติกลับเข้มข้น ความหอมของมูสกุ้งแลงกุสตีนนั้นไม่ได้กลบรสทะเลของไข่หอยเม่นไปเลย

"คราวที่แล้วที่มากับพี่นพ เรากินเซ็ตกลางวันกัน ผมจำได้ว่า amuse-bouche ในวันนั้นก็อร่อยสุดยอด ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นบาแกตต์น้อยหน้าเห็ด แฮม ชีส"

เจที่ยังจำความอร่อยในวันนั้นได้ไม่ลืมเล่าให้คนตัวโตของเขาฟังว่าในวันนั้นเขาได้ลิ้มชิมรสอะไรไปบ้าง



"จะรับขนมปังแบบไหนดีคะ?"

พนักงานสาวเข็นรถที่เต็มไปด้วยขนมปังสารพัดแบบออกมา เธออธิบายให้ทั้งสองคนฟังว่ามีอะไรบ้าง

"บาแกตต์ ขนมปังชีส บริออช เบค่อนบาแกตต์ ฟอคคาชา..."

เธอสาธยายขนมปังทั้งหมดที่มีบนรถเข็นคันนั้น

"งั้น จัดมาให้เลยก็ได้ครับ แต่ที่ขอเลยคือขนมปังชีสกับเบค่อนบาแกตต์"

เจตอบพนักงานสาวซึ่งตอบรับและจัดขนมปังใส่ตะกร้าให้

"จะรับเนยเค็มหรือเนยจืดคะ?"

พนักงานสาวอีกคนเข็นรถเข็นที่มีเนยก้อนกลมสูงเกือบฟุตสองก้อนตั้งอยู่ ทั้งสองคนขอเป็นเนยเค็ม พนักงานสาวใช้ช้อนโลหะจุ่มน้ำอุ่นแล้วขูดเนยออกมาเป็นเส้นยาวจากก้อนเนยนั้น​และม้วนเป็นก้อนกลมน้อยๆ เธอวางจานเนยลงตรงหน้าทั้งสอง

"ผมชอบเนยที่นี่มากเลย หอม มัน อร่อย ผมเคยลองถามแล้วว่าเนยอะไร เขาก็ตอบมานะ แต่ผมจำชื่อไม่ได้ จำได้แค่ว่าเป็นของฝรั่งเศส"

"ถ้าร้านอื่นในเครือโรบุชงที่ฉันเคยกินน่าจะใช้เนยยี่ห้อ Bordier จากแคว้นบริตตานีจ้ะ ที่นี่ก็น่าจะเหมือนกัน"

เจท่องชื่อนั้นไว้เผื่อเอาไปกูเกิลหาเอง เขาหยิบขนมปังบาแกตต์แท่งน้อยมาบิออกและปาดเนยลงไป เขาเคี้ยวตุ้ยๆ จากนั้นก็หยิบขนมปังไส้ชีสมาฉีกออกแล้วส่งเข้าปากคนรัก

"อร่อยทุกอย่างเลยคุณ"

เจยิ้มอย่างมีความสุข ไอ้เจ้าบาแกตต์ที่บิดเป็นเกลียวและมีเบค่อนแทรกอยู่ด้วยนั่นก็รสเลิศ ครัวซองต์ชิ้นน้อยในตะกร้าขนมปังก็เป็นชั้นสวย กรอบนอก ในนุ่มชุ่มเนยสมกับที่เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส

"เจ เพลาๆ ขนมปังหน่อยนะ เดี๋ยวเรายังต้องกินอีกหลายอย่าง"

เจนยุทธวางฟอคคาชาที่เพิ่งหยิบขึ้นมากลับลงไปในตะกร้า เขาจะเก็บขนมปังพวกนี้ไว้สำหรับปาดซอสจากจานทีหลังด้วย ฆาเบียร์เองก็กินไปแค่ขนมปังชีสและบาแกตต์เบค่อน แค่สองอย่างนี้ก็หนักสำหรับเขาแล้ว



"คอร์สแรก Le Caviar ค่ะ..."

พนักงานสาวสองคนยกจานอาหารมาและวางลงตรงหน้าพวกเขาทั้งสองพร้อมๆ กัน เจยิ้มร่าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในจานก้นลึกพื้นขาวที่มีขอบด้านข้างกว้างและเพนท์ลวดลายสีเงินงดงามนั้น คือแพคาร์เวียร์สีดำเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสองนิ้วที่ลอยอยู่บนสิ่งที่เหมือนเป็นซุปใสสีอำพัน รอบแพคาเวียร์นั้นคือลูกกลมสีขาวแต้มเขียวที่เรียงรายซ้อนกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบจนเต็มพื้นที่ก้นจาน เจพิจารณาดูดีๆ แล้วจึงเห็นว่าภายใต้ชั้นคาเวียร์บางๆ นั้นมีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องล่าง

"แพกลมๆ นี้คือ Impérial caviar และเนื้อปูอลาสก้า ที่อยู่ข้างล่างสุดนี้คือเยลลี่ล็อบสเตอร์ ส่วนลูกขาวๆ นี้คือมูสกะหล่ำดอกแต้มด้วยมูสพาร์สลี่ย์ค่ะ"

พนักงานสาวชาวฟิลิปปินส์พูดด้วยเสียงแผ่วเบาและใช้นิ้วก้อยชี้ที่อาหารเพื่อบรรยาย เจแอบเหลือบมองคนตัวโตที่เคยเล่าว่าเขาเจอร้านอาหารฝรั่งเศสที่ใช้นิ้วชี้อาหารที่ฝรั่งเศสอย่างหมั่นไส้ ที่ร้านนี้ก็ใช้นิ้วก้อยชี้เช่นกันแต่ฆาบี้ไม่เคยพูดถึงเลย ตัวเขาที่เคยมาครั้งหนึ่งกับนพเมื่อหลายปีที่แล้วก็จำไม่ได้ว่าพนักงานในตอนนั้นได้ทำแบบนี้ด้วยหรือเปล่า

"นี่คุณแพลนจองที่นี่ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?"

เจถามขึ้นเมื่อพนักงานถอยห่างไปจากโต๊ะแล้ว

"ก็ตั้งแต่เจชวนฉันมามาเก๊าแล้วน่ะ"

เจนยุทธส่ายหัว เขาชวนฆาเบียร์มามาเก๊าเมื่อตัวเองรู้ว่าจะต้องมางานแต่งงานของลูกเพื่อนของคริสกับพนักงานของฆาเบียร์ ซึ่งนั่นก็หลายเดือนแล้ว นี่คนตัวโตเก็บทุกอย่างเป็นความลับได้ดีมากจนเขาไม่รู้และไม่เอะใจเลยสักนิด

"รวมถึงพวกเซอไพรส์ทั้งหลายด้วยเหรอ?"

คนตัวโตพยักหน้าน้อยๆ เจแตะจูบลงบนนิ้วและส่งไปที่ปากของคนรัก

"ขอบคุณครับ ฆาบี้ สำหรับทุกอย่าง"

เมียตัวโตของเจยิ้มหน้าบาน แต่เขาก็ต้องยิ้มค้างเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

"ปีนี้เล่นใหญ่ซะขนาดนี้ ปีหน้าและปีถัดๆ ไปก็อย่าให้แพ้กันล่ะ"

เจหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของคนรัก

"ล้อเล่นน่า ปีหน้าไม่เอาเซอไพรส์อะไรขนาดนี้แล้วนะ ไม่ต้องมาเปลืองเงินทองอะไรมากด้วย แค่คุณอยู่กับผมในวันเกิดทุกๆ ปี ผมก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว รู้ไหม?"

เจจับจมูกโด่งๆ ของคนรักสั่นเบาๆ

"ฉันก็อยากให้เจอยู่กับฉันในวันเกิดทุกปีเหมือนกันจ้ะ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขาแตะจูบบนนิ้วแล้วส่งถึงริมฝีปากของคนรักเช่นกัน



"งั้น เรากินกันเถอะ อย่าช้าร่ำไร"

เจที่ทำตาละห้อยมองอาหารมาสักครู่แล้วพูดขึ้น ท้องเขาร้องโครกครากแล้ว

"คุณมาร์ติเนซจะรับไวน์ที่เปิดไว้เลยไหมครับ?"

ผู้จัดการห้องปรี่เข้ามาหาทั้งคู่เมื่อเห็นว่าทั้งคู่จบบทสนทนากันแล้ว

"ครับ รินมาเลยก็ได้"

ผู้จัดการห้องรับคำ เขาเดินเข้าไปเข็นรถที่มีดีแคนเตอร์ก้นกว้างอยู่บนนั้นมา เขาหยิบแก้วไวน์ของฆาเบียร์ขึ้นมาแล้วบรรจงเทไวน์จำนวนน้อยลงไปให้คนตัวโตลองชิมดูก่อน ฆาเบียร์ยกแก้วขึ้นมาแกว่งดูขาไวน์และสูดดมกลิ่นของมัน เขาชิมรสคำหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไวน์ขวดนี้ยังดีอยู่ เขากลั้วไวน์ในปากน้อยๆ ก่อนทำท่าพึงพอใจและบอกให้เทมาได้เลย

“ฆาบี้ๆ นีี่มันเริ่ดสุดๆ ไปเลย!”

เจนยุทธที่ไม่รอคนรักและจัดการลิ้มรสอาหารตรงหน้าพูดออกมาอย่างปลื้มปริ่ม เขาค่อยๆ ตักแพเนื้อปูและคาเวียร์ที่มีแผ่นทองน้อยๆ แปะมาด้วยนั้นเข้าปากทีละน้อย เนื้อขาปูอลาสก้าที่ฉีกเป็นฝอยน้อยๆ และปรุงรสอย่างดีเข้ากับรสเค็มมันของคาเวียร์ เจตักชั้นเยลลี่บางๆ ที่ทำจากซุปล็อบสเตอร์ใสรสชาติเข้มข้นขึ้นมาพร้อมกับมุกมูสดอกกะหล่ำและพาร์สลี่ย์ เขาหลับตาดื่มด่ำกับความหอมของเปลือกและมันล็อบสเตอร์ที่อวลอยู่ในปาก อาหารจานนี้สื่อถึงทะเลอย่างชัดเจน คาเวียร์ในจานนี้รสไม่ได้เค็มจัดมากเหมือนคาเวียร์ราคาถูกที่เขาเคยกิน แต่มันกลมกล่อมและทำให้สามารถกินได้เรื่อยๆ ส่วนมูสดอกกะหล่ำนั้นไม่เหม็นเขียวสักนิด แต่มีรสชาตินุ่มนวล กลิ่นรสของพาร์สลี่ย์ก็ไม่ได้ชัดจนข่มอย่างอื่น สมแล้วที่มันเป็นจาน signature ของโจเอล โรบุชง

“ผมเคยเห็นรูปอาหารจานนี้ ผมก็โง๊ โง่ นึกว่าไอ้เจ้าแผ่นเยลลี่นี่เป็นซุปมาตลอด ก็ยังงงว่าไอ้ลูกกลมๆ นี่มันลอยอยู่บนซุปเหรอ?”

เจหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงความโลกแคบของตัวเอง

“แล้วรู้ไหมว่าที่กรุงเทพฯ ก็มี L’Atelier de Joë​l Robuchon มาเปิดแล้วด้วยนะ”

เจพูดถึงร้านอาหารฝรั่งเศสสุดหรูบนตึกมหานครที่เพิ่งคว้าสองดาวมิเชแลงจากมิเชแลงไกด์เล่มแรกของไทยไปได้ ร้านในเครือของโจเอล โรบุชงที่พะชื่อว่า L'Atelier นั้นจะเป็นแบบที่เป็นทางการน้อยกว่าร้านที่มาเก๊านี้ จะเน้นการตกแต่งแบบร่วมสมัย และมีครัวเปิดที่ให้ลูกค้าสามารถเห็นการทำงานองพ่อครัวได้ ฆาบี้พยักหน้าน้อยๆ ว่าเขารู้แล้ว

“ผมเห็นจากในรีวิว ที่นั่นก็มีไอ้เจ้าเลอ คาเวียร์เหมือนอย่างที่นี่ แต่เหมือนจะจานเล็กกว่าเลยแฮะ…”

“อยากจะไปลองชิมที่นั่นดูสักวันไหม?”

คนตัวโตพูดแล้วตักของในจานเข้าปาก เขายิ้มกริ่มออกมา นี่เป็นอีกหนึ่งจานที่เขาสั่งแทบทุกครั้งที่มาที่นี่ แต่ในคืนนี้เขารู้สึกว่ามันอร่อยกว่าทุกที คงเพราะเจ้าตัวเล็กที่นั่งทำตาเป็นประกายอยู่เบื้องหน้าเขานี่เอง

“ไม่เป็นไรอ่ะ ฆาบี้ เคยกินที่นี่แล้ว แต่ถ้าคุณให้ผมเลี้ยงก็ไปก็ได้”

เขาเคยเห็นราคาเซ็ตเมนูของที่นั่นแล้ว ต่อให้เซ็ตเล็กกว่า ราคาต่ำกว่าที่นี่ แต่ก็ไม่ถูก ยิ่งบวกไวน์ซึ่งแพงกว่าที่มาเก๊าอย่างแน่นอน ไปๆ มาๆ ก็อาจเกือบเท่ากับกินที่นี่ เขาไม่อยากให้ฆาเบียร์ต้องมาจ่ายแพงๆ ให้เขาอีก คนตัวโตโคลงหัวน้อยๆ ในความดื้อของเจ



เจกวาดของในจานจนเกลี้ยง ไม่เหลือกระทั่งไข่ปลาสักเม็ด​ เขาดื่มแชมเปญตามลงไปอึกใหญ่ มันเข้ากับรสติดคาวของอาหารทะเลได้ดีจริงๆ เขานั่งรอพักหนึ่งจนคนตัวโตกินเสร็จทัน

"นายกินเร็วไปนะ เจนยุทธ"

คนตัวโตบ่นเบาๆ เจหัวเราะแหะๆ เขาบอกว่าเขาจะพยายามลดความเร็วลง

"เจชิมไวน์หรือยัง?"

คนตัวโตเร่งรัดให้เจนยุทธลองชิมไวน์ปีเกิดตัวเองที่เขาเลือกไว้ให้ เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วค่อยๆ ยกไวน์สีเข้มแก้วนั้นขึ้นดมเล็กน้อยแล้วจิบ

"อืมม์ หอมมากเลย คุณ รสก็หนักแน่นเข้มข้นแต่ไม่บาดคอเกินไป เอ่อ ผมก็บรรยายไม่ถูกอ่ะนะ แต่...ชอบอ่ะ"

คนตัวเล็กที่ไม่ถนัดทางไวน์เท่าไหร่ออกปากชม ไม่ใช่ด้วยราคาของมันแต่เพราะรสชาติของไวน์เอง ฆาเบียร์เองก็ตื่นเต้นกับรสชาติที่เกินคาดหมายของไวน์ขวดนี้ กลิ่นรสของมันออกไปทางใบยาสูบ ซิการ์ บวกกับผลไม้อย่างแคสซิส รสของมันยังเหมือนไวน์ใหม่แม้จะเก็บเกี่ยวและหมักบ่มมาเกือบ 30 ปีแล้วก็ตาม จากประสบการณ์ เขารู้ได้ว่าไวน์วินเทจนี้ยังสามารถเก็บต่อไปได้อีกร่วม 30 ปีในเซลลาร์ดีๆ

"มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ คุณ?"

เจถามขึ้นเมื่อเห็นคนรักทำท่าปลื้มปริ่มกับไวน์ขวดนั้น ฆาเบียร์พยักหน้า

"นี่เป็นไวน์ดีที่สุดขวดหนึ่งที่ฉันได้กินมาในรอบหลายๆ ปีเลยนะ..."

คนตัวโตยกมือขึ้นลูบแก้มเจนยุทธเบาๆ

"...ของจากปี 1989 นี่มีแต่ของดีใช่ไหมจ๊ะ?"

เจหน้าแดงซ่าน เขาตีมือคนรักเบาๆ ฆาเบียร์หดมือกลับและหัวเราะน้อยๆ เขาตั้งใจแล้วว่าถ้ากลับฮ่องกงจะให้ร้านไวน์เจ้าประจำหาไวน์วินเทจนี้มาให้อีกสองสามขวด

"ฉันว่าจะหาซื้อไปฝากอาปาด้วย ดีไหม? แล้วก็เอาของเราไปฝากไว้ที่เซลลาร์ของอาปาเลย ที่นั่นน่าจะเก็บได้ดีกว่าตู้เย็นที่บ้าน"

“เอาเหอะ ตังค์คุณ ก็ตามใจคุณแล้วกัน ไม่ต้องหอบมาเปิดที่บ้านล่ะ”

เจพยักหน้า แล้วพูดดักคอไว้ก่อน ขืนเอาใส่ตู้เย็นน้อยที่ห้องเขาไอ้เจ้าไวน์แพงระยับขวดนี้ก็คงอายุสั้นแน่ๆ สู้เอาไปเก็บไว้ในห้องเก็บไวน์คุมอุณหภูมิขนาดใหญ่ที่บ้านคริสบนเดอะพีคดีกว่า



"คอร์สที่สองค่ะ La Truffe Blanche..."

พนักงานสาวสองคนถือจานของเรียกน้ำย่อยอย่างที่สองมาวางให้ตรงหน้าทั้งสองคนอย่างพร้อมเพรียงกัน

"มันคือทรัฟเฟิลขาวและฟัวกราส์แผ่นบางกับอาร์ติโชคย่างค่ะ​"

เจทำตาลุกวาวและรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย ในจานนั้นมีตับห่านเย็นที่ไสเป็นแผ่นถูกม้วนเป็นมวนกลมวางอยู่บนชิ้นอาร์ติโชคเผา บนฟัวกราส์นั้นปกคลุมด้วยแผ่นทรัฟเฟิลขาวที่ถูกขูดมาไม่บางนัก เจจิ้มชิ้นอาหารหนึ่งในสี่ชิ้นที่วางในจานขึ้นมาเข้าปากทั้งคำเพื่อให้ได้รสชาติ

"อืมม์ ทรัฟเฟิลขาวสดๆ นี่รสอ่อนกว่าที่ผมคิดเยอะเลยนะคุณ"

เจบ่นเบาๆ เนื้อสัมผัสของมันแปลกดี ออกกรุบๆ เหมือนกินพวกหัวมันสด แต่เขาที่ชินกับกลิ่นรสของทรัฟเฟิลขาวสังเคราะห์กลับรู้สึกว่าของสดใหม่นั้นหอมน้อยเกินไป

"แย่เลย ผมกินแต่ของถูกจนกินของแพงไม่เป็นแล้ว"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ ตัวเขาเองไม่มีปัญหาเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกว่ามีรสของซอสหรือเครื่องปรุงบางอย่างที่กลบรสของเห็ดทรัพเฟิลขาวไป แต่โดยรวมๆ แล้วก็ถือว่ายังใช้ได้อยู่

"...แต่ไอ้เจ้าฟัวกราส์นี่ ใช้ได้เลยอ่ะ หอมมัน กินนิดเดียวก็ได้รส อร่อยจริงๆ"

เจเล่าให้ฟังว่าเขาติดใจฟัวกราส์แบบนี้ของโรบุชงตั้งแต่มากินรอบที่แล้ว แต่คราวนั้นมันเสิร์ฟมากับสลัดมันฝรั่งร้อนๆ ซึ่งก็เข้ากับตับห่านได้ดีเช่นกัน เจกินชิ้นที่สองของเขาแบบค่อยๆ กินมากขึิ้น เขาตัดแบ่งแยกส่วนกิน เพื่อให้ได้รสแต่ละส่วนอย่างชัดเจน ชิ้นที่สามและสี่ เขาละเลียดกินเพื่อค่อยๆ ซึมซับรสชาติและเพื่อรอพ่อคนกินช้าของเขา

เจกับคนตัวโตกินไป คุยกันไป เจเล่าให้ฆาเบียร์ฟังว่าตอนเรียนการโรงแรมและต้องเรียนเรื่องการครัว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเขารอบรู้ด้านอาหารไม่แพ้ใคร แต่เมื่อจบมาและได้มีโอกาสได้ท่องเที่ยวและได้ลิ้มชิมรสอาหารจากห้องอาหารชั้นดีหลายแห่ง อีกทั้งได้ดูช่องทำอาหารจากต่างประเทศอย่าง Food Network มันทำให้เขารู้ว่าที่เขาเคยรู้นั้นเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยนิดของโลกศิลปะการอาหาร

เจกินไปก็เล่าให้ฆาเบียร์ฟังไปถึงอาหารที่เขาเคยได้ลิ้มชิมรสมาอย่างร้าน Mozaic ของบาหลี ซึ่งเป็นที่แรกที่เขาได้ลองอาหารฝรั่งเศสแบบ degustation menu เชฟ Chris Salans เจ้าของร้านเคยผ่านงานร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อดังมาแล้วทั่วโลกรวมทั้ง The French Laundry ที่ Napa Valley ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของฆาเบียร์ไปเพียงชั่วโมงครึ่ง

"อาหารที่นั่นจะเป็นแบบใช้วัตถุดิบท้องถิ่นแล้วปรุงแบบฝรั่งเศส แต่ให้ได้รสชาติที่กินแล้วรู้สึกได้ถึงอาหารแบบอินโดนีเซีย ผมชอบนะ ที่ไทยผมเคยเห็นแบบนี้ก็ร้าน SRA BUA by Kiin Kiin โรงแรมสยามเคมปินสกี้ นั่นก็เชฟฝรั่งเหมือนกัน"

แต่เจก็บอกว่าเขายังไม่เคยไปลองอาหารของที่นั่น แต่ก็อยากจะลองดูสักวัน ส่วนพวกร้านไทยแท้ๆ อย่าง Bo.Lan เขาก็อยากลองเหมือนกัน แต่ยังทำใจจ่ายราคานั้นไม่ลง

“บาหลีเหรอ? ฉันน่าจะเคยไปเที่ยวแบบจริงจังแค่ครั้งสองครั้ง นอกนั้นไปเรื่องงาน จำไม่ได้ว่าเคยกินร้านนั้นไหม จำได้แต่เคยไปร้านชื่อ Metis นั่นก็อร่อย กับไปบาร์ดังๆ ที่อยู่ริมหาด ชื่ออะไรนะ? ชื่อสามพยางค์…”

ฆาบี้ดีดนิ้วเป๊าะๆ พร้อมคิดไปด้วย

“Ku De Ta หรือเปล่า? ผมเคยไปครั้งนึง บรรยากาศดี เพลงเจ๋ง ค้อกเทลเริ่ด แต่อาหารไม่เวิร์คเลย แถมแพงระยับ”

เจจำได้ว่าเขากับพี่นพมองหน้ากันเมื่อได้ลิ้มรสอาหารและรู้สึกเสียดายตังค์กันขึ้นมาทันที ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ ทั้งคู่มีประสบการณ์เหมือนกันกับเขาไม่มีผิด



“นี่พวกนายไปกันแต่ละที่นี่โรแมนติกทั้งนั้นเลยนะ…”

คนตัวโตบ่นเบาๆ เขานึกถึงบรรยากาศบาร์ริมชายหาดที่เขาเคยพาคู่ขาไปนั่งดื่มริมหาดใต้แสงเทียนก่อนที่จะพากลับไปมีคืนอันร้อนแรงที่โรงแรมต่อ บรรยากาศที่นั่นช่างเป็นใจนัก เจรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นักของเมียตัวโตของเขา

“Ku De Ta เหมือนเคยมาเปิดที่กรุงเทพด้วยนะ แต่ไม่รู้ยังมีอยู่ไหม ที่กรุงเทพฯ ยังมีร้านอาหารดังจากเมืองนอกมาเปิดสาขาเยอะเลย โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่น นี่ล่าสุดผมได้ยินมาว่าร้านอาหารจีนขั้นเทพที่เด่นเรื่องห่านย่างและหมูแดงอย่าง Mott32 จากฮ่องกงก็กำลังจะมาเปิดเร็วๆ นี้นะ อยากลองชิมจัง”

ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับว่าเคยได้ยินมาเช่นกัน

"ที่จริง กรุงเทพฯ มีร้านอาหารดีๆ เยอะเลยนะ อย่าง Gaggan ที่เป็นอาหารอินเดียแบบ Molecular ฉันก็อยากลองอยู่..."

ฆาบี้เปรยขึ้น

"…ไว้สักวันเราไปกรุงเทพฯ ไปตระเวนกินนั่นนี่กันดีไหม?"

เจมองหน้าคนตัวโตของเขาเหมือนเห็นยูเอฟโอ ฆาเบียร์ชวนเขาไปตระเวนกินงั้นหรือ

"อะไรเล่า มองหน้าฉันแบบนี้ หมายความว่าไง?"

ฆาบี้หน้าแดงน้อยๆ เขาคงติดนิสัยอยากลองกินนั่นกินนี่ของเจมาเสียแล้ว

"ไม่มีอะไร๊ ผมแค่คิดว่าคุณที่เป็นแบบนี้ก็น่ารักดี"

เจยิ้มกริ่ม ความคิดที่จะฝึกคนรักให้เป็นคู่กินอาหารที่ดีคงเป็นจริงได้ในไม่ช้า

"งั้นไว้ผมพาคุณไปเลี้ยง street food ที่เยาวราช ส่วนคุณพาผมไปกิน Gaggan แล้วกันนะ"

เจนยุทธยักคิ้วให้คนรัก ฆาเบียร์โคลงหัว แบบนั้นมันขาดทุนกี่เท่าก็ไม่รู้เลยทีเดียว



"คอร์สที่สาม La Saint-Jacques ค่ะ...จานนี้เป็นหอยเชลล์ฮอกไกโดย่างกะทะ เสิร์ฟกับพาสต้าหมึกดำรูปโบว์ ฟองขาวๆ นี้คือโฟมรสกะทิ ซุปสีเขียวสดนี้คือซุปผักชีพร้อมน้ำมันแซฟฟรอนและน้ำมันพริกค่ะ"

พนักงานสาววางอาหารจานสวยลงตรงหน้าทั้งสองคน เจทำหน้าพิพักพิพ่วนเมื่อได้ยินคำบรรยายนั้น

"ผะ...ผักชีเหรอครับ?"

“ใช่ค่ะ coriander soup”

พนักงานสาวตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะถอยกายออกไป ฆาเบียร์มองหน้าคนตัวเล็กที่ทำหน้าเจื่อนแล้วอยากตบหัวตัวเองสักที ที่จริงเขาเห็นในเมนูที่ส่งไปให้ก่อนหน้าแล้วว่าในจานนี้จะมีผักชีด้วย แต่เขาก็มัวแต่ยุ่งจนไม่ได้ถามไปว่ามันเป็นแบบไหน ถ้ารู้ก่อนหน้าว่าเป็นซุปผักชี เขาก็คงจะขอเปลี่ยน

"กินไหวไหมเจ?"

เจกัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนพยักหน้า เขาพร้อมที่จะลองของใหม่แม้ว่าเขาจะไม่ชอบก็ตาม เจนยุทธจดๆ จ้องๆ มองเนื้อหอยเชลล์ตัวเขื่องที่ย่างมาอย่างสวยงามที่ถูกจัดวางไว้กลางจานโดยมีซุปผักชีราดล้อมรอบ เขานึกขอบคุณเชฟที่ไม่ได้ราดมันลงมาบนเนื้อหอยตรงๆ เขาบรรจงตัดหอยเชลล์ออกมาชิ้นหนึ่งโดยพยายามไม่ให้สัมผัสซุปผักชี เขาชิมมันเปล่าๆ ก่อน

"ย่างได้ดีจริงๆ นะ เจ"

คนตัวโตชิงชมก่อน

"อือ ไม่แข็งกระด้าง แต่ก็สุกได้ที่ เยี่ยมเลยครับ"

"เจลองกินพร้อมพวกเครื่องเคียงดูสิ อร่อยนะ"

คนตัวโตที่จิ้มเนื้อหอยเชลล์ป้ายไปกับซุปผักชีและตักโฟมกะทิโปะทับข้างบนก่อนจะกินบอกเจ เจกลั้นใจทำตาม

"เอ๊ะ เออ ก็กินได้แฮะ ไม่ค่อยเหม็นกลิ่นผักชีเท่าไหร่ ได้อยู่ๆ..."

เจเคี้ยวตุ้ยๆ รสผักชีนั้นน่าจะมาจากส่วนใบที่เขาพอกินได้ เขาตักเพิ่มอีกคำ

"โฟมกะทิมันไม่ค่อยมีรสเท่าไหร่เนา แต่ไอ้เจ้าน้ำมันแดงๆ หยดน้อยๆ เนี่ย มีรสเผ็ดของน้ำมันพริกชัดมากเลย แล้วมันมีกลิ่นรสของหอยเชลล์จางๆ มาจากน้ำมันหยดเหลืองๆ พวกนี้ด้วย เมื่อกี้เค้าว่าเป็นน้ำที่เกิดจากการย่างหอยใช่ไหมครับ?"

"ใช่จ้ะ เป็น au jus"

เจกินไปกินมา เขาก็ปาดซุปสีเขียวสดนั้นกินไปจดหมด ที่เขาเหลือไว้ก็เพียงดอกไม้และต้นหอมที่ใช้ประดับเท่านั้น

"อืมม์ จะว่าไงดี ผมคงไม่ค่อยชอบหอยเชลล์ที่เอามาทำเป็นอาหารจานเดี่ยวมั้ง เหมือนกับที่ร้านเลเลฟองวันนั้นน่ะ คือมันก็อร่อยนะ แต่เมื่อเทียบกับสองจานแรก ผมว่ามันยังจืดจางไป..."

เจพูด สำหรับเขาแล้วเนื้อหอยเชลล์ก็ยังจืดไปที่จะมากินเดี่ยวๆ

"จริงของนายนะ ฉันเองก็ไม่ค่อยเท่าไหร่กับหอยเชลล์ ฉันชอบเวลามันเป็นซาชิมิหรืออยู่ในอาหารญี่ปุ่นมากกว่า หรือไม่ก็ในพาสต้าหรืออาหารจีน แต่ถ้าเอามาทำเป็นจานเดี่ยวๆ แบบนี้ ฉันก็ว่ามันเฉยๆ"

เจพยักหน้า แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว มันก็เป็นเพียงความถูกปากหรือไม่ถูกปากส่วนบุคคลแค่นั้น อาจจะมีคนที่ปลาบปลื้มกับอาหารจานนี้ก็ได้



"Le Cep ค่ะ"

อาหารจานถัดไปที่ถูกนำมาเสิร์ฟคือราวิโอลี่ไส้เห็ดเซ็ปใน veloute เห็ด  คำว่า veloute นั้น รากศัพท์มาจากคำภาษาฝรั่งเศส velour ที่แปลว่า กำมะหยี่ มันคือหนึ่งในห้าซอสแม่บทของอาหารฝรั่งเศส มันมาจากการผสมน้ำสต็อคไก่ ปลา หรือผักกับ blond roux ซึ่งก็คือการนำแป้งไปผัดกับไขมันจนได้เป็นซอสข้น ชื่อเรียกของ roux ขึ้นอยู่กับสีของมัน ฉะนั้น blond roux คือแป้งผัดที่สีออกน้ำตาลทองจางๆ มันใช้ในการทำให้อาหารนั้นๆ ข้นขึ้น สำหรับอาหารจานที่เจกับฆาเบียร์กำลังลิ้มชิมรสอยู่นี้ใส่ veloute เห็ด ซึ่งก็คือซอสครีมเห็ดข้นนั่นเอง ตัวซอสนั้นถูกตีจนขึื้นฟองน้อยๆ เพื่อให้สัมผัสที่เบาขึ้น และที่ทำให้เจตาโตคือทรัฟเฟิลขาวแผ่นใหญ่ที่วางแปะมาบนตัวราวิโอลี่

"ไหนว่าทรัฟเฟิลขาวมันแพงไง แพงกว่าทรัฟเฟิลดำอีก ไหงขูดมาให้ยังกับของไม่มีค่างี้ล่ะคุณ ผมนึกว่าจะมีแค่ในจานแรกเสียอีก?"

"แล้วไม่ชอบเหรอ เจ?"

"ชอบสิ ใครว่าไม่ชอบอ่ะ หยุดเลย ไม่ต้องยุ่ง!"

เจรีบเอาส้อมจิ้มกันท่าคนตัวโตที่ทำท่าจะเอาส้อมมาจิ๊กแผ่นทรัฟเฟิลขาวที่เขาเก็บไว้กินทีหลัง

"จานนี้ผมก็ชอบอ่ะ ฆาบี้ ไอ้เจ้าซุป เอ่อ หรือว่าซอสเนี่ยอร่อยมากๆๆ หอมเห็ด ความเค็ม การปรุงรสอะไรก็พอดี ไม่ขาดไม่เกิน ไอ้เจ้าราวิโอลี่นี่ก็ใช้ได้ แต่ผมชอบซอสมากกว่า"

เจใช้ขนมปังกวาดซอสเห็ดในถ้วยจนเกลี้ยง เขาหัวเราะเมื่อหันไปเห็นคนตัวกำลังเอาขนมปังฟอคคาชาปาดซอสอยู่เช่นกัน

"ก็มันอร่อยนี่ เจ จะปล่อยให้เหลือเหรอ?"

ฆาบี้หน้าแดงน้อยๆ ผู้จัดการห้องที่เดินเข้ามาเติมไวน์ให้เมื่อครู่ก็อดอมยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ คุณมาร์ติเนซมารับประทานอาหารที่ห้องอาหารแห่งนี้กับแขกหรือกับคุณคริสโตเฟอร์ หว่องซึ่งเป็นลูกค้าประจำหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่เคยเห็นคุณมาร์ติเนซมีท่าทีสบายๆ และเจริญอาหารเท่ากับครั้งนี้มาก่อน ท่าทางของคุณมาร์ติเนซก็ดูมีความสุขกว่าทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มซึ่งน่าจะเป็นคนพิเศษของเขาคนนี้

"คุณครับ หันหน้ามานี่หน่อยสิ"

เจยกผ้าเช็ดปากของเขาขึ้นซับซอสที่เปื้อนมุมปากของคนรักอย่างอ่อนโยน

"แหม ฉันนึกว่าเจจะใช้ปากซับให้เหมือนทุกครั้งเสียอีก"

ฆาเบียร์กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูคนตัวเล็กของเขา

"บ้าสิ กลางร้าน คนตั้งเยอะ ใครจะไปกล้า"

เจโวยเบาๆ

"ทีวันนั้นกลางห้างเจยังกล้าทำเลย"

คนตัวโตแซว เจนยุทธหน้าแดงแปร๊ดแล้วก้มหน้างุด วันนั้นอารมณ์เขาพาไปแท้ๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วจับมือนุ่มของคนรักขึ้นมาจูบเบาๆ แค่นี้เขาก็ชื่นใจแล้ว


https://www.picz.in.th/images/2018/03/08/S4FIAl.jpg


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปนะคะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2018 06:41:30 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Robuchon au Dôme (ต่อ) ----



"ขออนุญาตเสิร์ฟค่ะ"

บริกรสาวที่ยืนรออยู่ห่างๆ ทางด้านหลังมาชั่วครู่หนึ่งกล่าวขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นคนทั้งคู่หยุดแสดงความรักกันแล้ว เจสะดุ้งน้อยๆ แล้วหันไปยิ้มหวานให้

"เชิญครับๆ"

"จานที่ห้า Le Homard ค่ะ"

เจนยุทธเนื้อเต้น นี่คือสิ่งหนึ่งที่เขารอคอย

"เนื้อหางล็อบสเตอร์ครึ่งตัวและเนื้อก้ามย่างกับสมุนไพร ซอสเป็นซอสพริกไทย Malabar กับน้ำที่ได้จากการย่างล็อบสเตอร์ค่ะ"

บริกรสาวเปิดฝาโดมที่ครอบจานออกพร้อมๆ กัน เนื้อล็อบสเตอร์เสิร์ฟมาในจานสี่เหลี่ยมที่ลาดโค้งขึ้น เนื้อหางที่ขดไว้จนเป็นวงกลมวางอยู่ที่ปลายจานพร้อมกับเนื้อก้ามที่แกะเปลือกมาเรียบร้อยแล้ว บนชิ้นล็อบสเตอร์มีเครื่องเทศและสีเขียวของสมุนไพรแห้ง ซอสที่ราดไว้ด้านล่างข้นหนืดและมีสีเหมือนน้ำส้มบัลซามิค แต่มันกลับให้รสเผ็ดร้อนของพริกไทยและกลิ่นหอมๆ ของล็อบสเตอร์ เจหยิบแป้งทอดเขียวๆ ที่ตกแต่งมาด้านบนกินก่อนเพราะกลัวมันจะหายกรอบเสียก่อน

"ไง อร่อยไหม?"

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ ที่จริงไม่ต้องถามเขาก็พอจะเดาได้จากท่าทางของเจที่เหมือนจะเต้นดุ๊กๆ ดิ๊กๆ อยู่บนเก้าอี้ เจนยุทธพยักหน้าทั้งที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่

"โอย คุณ เนื้อล็อบสเตอร์เด้งดึ๋งมาก แต่ไม่แข็งเกินไป ล็อบสเตอร์ไซส์ขนาดนี้กำลังอร่อยเลยอ่ะ ผมเคยกินที่ตัวใหญ่ๆ ขนาดเท่าแขนแล้ว เคี้ยวแทบไม่ได้เพราะเนื้อเหนียวมาก แต่นี่ เนื้อนุ่มแต่ไม่เละ เด้ง แต่ไม่แข็ง อะไรจะเพอร์เฟ็คท์ขนาดนี้"

เจเพ้อออกมา เขายกตัดเนื้อก้ามขึ้นกินโดยปาดฟองโฟมสีขาวที่โปะมาข้างๆ ด้วย ไอ้เจ้าโฟมกะทินั้นก็อร่อยดี แต่ไอ้เจ้าก้ามกุ้งนั้นทำให้เขาอยากกินอีกสักสิบอัน



"ไอ้เจ้าพริกไทย malabar นั่นคืออะไรเหรอครับ?"

เจถามขึ้นอย่างสงสัย มันต่างจากพริกไทยธรรมดาตรงไหน ฆาเบียร์เองก็ให้คำตอบเจนยุทธไม่ได้ เจจึงเปิดหาเอาจากในเว็บ

"อ๋อ มันเป็นพริกไทยแบบดั้งเดิมจากแคว้นเคราล่า อินเดียใต้ที่ว่ากันว่าเป็นต้นกำเนิดของพริกไทย มันเป็นเครื่องเทศที่ทั้งชาวโรมันและอาหรับตามหาและมองเป็นของมีค่ามาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ตอนหลังพวกนักสำรวจชาวยุโรปก็สนใจตามหามันเหมือนกัน ของดีนะเนี่ย!"

เจจิ้มล็อบสเตอร์ชิ้นสุดท้ายกับผักโขมใบน้อยที่ใส่มาสองใบจิ้มซอสพริกไทยล้ำค่านั้นแล้วเอาเข้าปาก เขาหลับตาดื่มด่ำกับรสชาติสุดยอดนั้นโดยค่อยๆ เคี้ยวเพื่อไม่ให้มันหมดลงเร็วนัก จากนั้นดื่มแชมเปญที่เขาแอบเหลือไว้นิดหน่อยตามลงไปจนหมด

"โอย เหมือนขึ้นสวรรค์"

เจหลุดปากพึมพำออกมาจนคนตัวโตนึกขำ

“เจจ๊ะ สวรรค์น่ะ หลังจากนี้ต่างหาก”

“เอ๊ะ คุณนี่ ทะลึ่งใหญ่ละ เอะอะก็วกเข้าเรื่องนี้”

เจแอบตีต้นขาคนรักเบาๆ

“หือ? ทะลึ่งตรงไหน? ฉันหมายถึงเมนคอร์สของเจ เนื้อคาโกชิม่าน่ะ นั่นแหละ ถึงสวรรค์แท้ๆ”

คนตัวโตที่เคยชิมเมนูที่คล้ายๆ กันนี้มาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ เจกัดริมฝีปาก เขาว่าฟังยังไงฆาบี้ก็ไม่ได้หมายถึงอาหารจานเนื้อจานนั้นแน่ๆ

“ชิ…เนื้อก็เนื้อวะ ผมก็นึกว่าหมายถึงอย่างอื่น อุตส่าห์หลงดีใจ”

เจนยุทธแกล้งสะบัดหน้าหนีแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ

“เอ่อ แล้วถ้าฉันหมายถึงอย่างอื่นล่ะ?”

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ เขากลืนน้ำลายลงคอ เมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วที่ไล้เบาๆ ตามท่อนขาส่วนที่อยู่ใต้โต๊ะ เขาหันไปมองคนรักที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่

“เจ…”

ฆาเบียร์ครางแผ่วๆ เขาขยับตัวให้เอน ยืดขาออกและแยกขาน้อยๆ เพื่อให้คนรักได้สัมผัสกายเขาได้ถนัดขึ้น แต่มือที่โลมไล้ของเจก็พลันหยุด



“คอร์สที่หก Amadai ค่ะ…ปลาอามะไดจากญี่ปุ่นทอดหนังกรอบ เสิร์ฟกับไส้กรอกล็อบสเตอร์...”

บริกรสาวทั้งสองเปิดโดมครอบจานปลาออก จากนั้นคีบขนมปังกรอบใส่จานขนมปังของทั้งสองและนำถ้วยน้อยที่ใส่ซอสสีส้มมาวาง

“ขนมปังกระเทียมกรอบค่ะ ตัวขนมปังทำจากข้าวไรย์ ส่วนในถ้วยคือมายองเนสใส่แซฟฟรอนและกระเทียมค่ะ”

บริกรสาวอีกคนเดินเข้ามาพร้อมโถซอสในมือ เธอเทซอสสีส้มอมชมพูที่เหลวเกือบเหมือนซุปลงในจานปลา

“ซอสสไตล์บุยยาแบสค่ะ”

เจที่ละความสนใจจากคนรักแทบจะทันทีเริ่มลงมือกิน ฆาเบียร์ได้แต่หัวเราะหึๆ และโคลงหัวน้อยๆ

“นี่ถ้าให้เลือก นายคงเลือกของกินก่อนฉันสินะ”

ฆาเบียร์ทำท่าน้อยใจ เจนยุทธหันมายิ้มหวานให้คนรัก

“แหม ก็คงต้องอย่างนั้นแหละครับ”

คนตัวโตชักสีหน้า เขาเริ่มน้อยใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เจยิ้มกริ่มและลดเสียงลง

“ผมก็ต้องกินให้มีแรงก่อน แล้วถึงจะไปปรนเปรอคุณให้เต็มที่ได้ไงครับ เมีย”

ฆาเบียร์หน้าร้อนวาบ เขาเห็นแววตาที่แสดงความปรารถนาออกมาน้อยๆ ของเจ มันทำให้เขาใจเต้นได้ไม่ใช่น้อย เขาเผลอตัวยกมือขึ้นไล้คราบซอสสีส้มที่ติดน้อยๆ บนปากของเจแล้วส่งกลับเข้าปากตัวเองแบบที่ทำประจำตอนอยู่บ้าน

“ยั่วผมจริงนะ คุณ”

เจพูดยิ้มๆ เขายกผ้าที่ปูตักไว้ขึ้นซับที่ปาก

“ซอสติดก็บอกกันดีๆ สิครับ ไม่ต้องแต๊ะอั๋งก็ได้”

เขาขยิบตาน้อยๆ ให้คนตัวโต คืนนี้พวกเขาผลัดกันหยอก ผลัดกันหยอดอีกฝ่ายแทบจะตลอดเวลา ไม่รู้เป็นเพราะฤทธิ์ไวน์หรือเพราะน้ำหอมกลิ่นโปรดที่กายของอีกฝ่ายกันแน่



“ปลานี่อร่อยจังเนื้อหวานเชียว หนังปลาก็กรอบดี แต่เสียดาย บางส่วนมันโดนซอสจนเริ่มนิ่มแล้ว”

“แซฟฟร่อนมาโยนี่ก็อร่อยนะ เจ เข้ากับขนมปังกรอบมาก แต่ฉันว่าไอ้เจ้าซอสบุยยาแบสนี่รสมันจางไปหน่อย”

เจพยักหน้าเห็นด้วย แม้ตัวซอสจะหอมแซฟฟรอนและเครื่องเทศอื่นๆ อีกทั้งยังได้รสชาติเข้มข้นของปลาเหมือนกับซุปทะเลสไตล์ฝรั่งเศสที่มันใช้ชื่อตาม แต่สำหรับเจแล้ว มันก็ยังจืดไปนิดอยู่ดี ฆาบี้ตัดเนื้อปลา จุ่มซอสจนโชกแล้วส่งเข้าปากอีกชิ้น

“แต่ก็ นะ เขาคงไม่อยากให้มันไปกลบรสชาติของเนื้อปลา โดยรวมๆ ฉันชอบนะ”

คนตัวโตครุ่นคิดนิดหนึ่งและสรุปถึงอาหารจานนี้ ส่วนเจจิ้มไส้กรอกล็อบสเตอร์เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

“ผมอยากได้อีกซักสามสี่ชิ้นอ่ะ อร่อยจัง แต่ให้มาน้อยจริง”

เจโอดครวญ โดยรวมๆ จานนี้เขาก็ชอบ อาร์ติโชคย่างชิ้นน้อยในจานยังอร่อยเลย เขาถอนหายใจเมื่ออาหารในจานกำลังจะหมดลง

“ฆาบี้ ถ้าคุณอิ่ม กินไม่ไหวก็ส่งมาได้นะ”

คนตัวโตหัวเราะหึๆ ให้คนที่เหมือนจะหวังดี

“ยังสบายๆ น่า ไม่ต้องห่วงฉันหรอกเจ”

“ชิ…”

เจที่เผลอตัวจิ๊ปากรีบตะครุบปากตัวเองไว้ คนตัวโตยกมือขึ้นขยี้หัวคนรักอย่างมันเขี้ยว

“เห้ย ผมยุ่งหมดแล้ว”

เจ้าตัวเล็กของเขาบ่นลั่นแล้วใช้มือตบๆ จัดทรงผมที่เซ็ตมาอย่างเนี้ยบ

“ชอบรังแกผมจริง”

“ไม่แกล้งเจแล้วจะให้ฉันไปแกล้งใครล่ะจ๊ะ เจจะยอมให้ฉันไปรังแกคนอื่นไหมล่ะ?”

เจหน้าเปลี่ยนสีวูบหนึ่ง ก่อนจะปั้นรอยยิ้มละไมให้คนรัก

“จะลองดูก็ได้นะครับฆาบี้…”

“แต่อย่าให้ผมรู้แล้วกัน เพราะผมรับรองไม่ได้นะว่าถ้าผมรู้ขึ้นมา ไอ้ไส้กรอกที่อยู่ในจานให้คุณกินน่ะอาจจะไม่ใช่ไส้กรอกล็อบสเตอร์แล้วก็ได้”

ฆาเบียร์ที่กำลังจะกัดไส้กรอกชิ้นน้อยนั้นชะงักค้าง เขานึกภาพ “ไส้กรอก” อย่างอื่นโชกเลือดวางมาบนจานก็ทำให้เขาพาลกินอะไรไม่ลง

“โหดจริงนะ เจ”

“อือ มีเมียแร่ดก็ต้องงี้แหละ”

เจพึมพำเบาๆ เป็นภาษาไทย แต่คนตัวโตเข้าใจ 2 คำในประโยคนั้น เขายิ้มบางๆ

“เจจ๋า มีเจทั้งคนแล้ว ฉันจะไปกล้าเฟลิร์ตกับใครอื่นอีก”

“ให้มันจริงเถอะ”

เจตวัดสายตาดุๆ ให้คนตัวโต

“อย่าให้มีเฟลิเป้ 2 3 4 โผล่มาอีกล่ะ เพราะว่าผมคงไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้กับหนุ่มๆ ของคุณได้”

เจก้มหน้าก้มตากวาดอาหารที่เหลือในจาน เขาไม่อยากให้ฆาบี้เห็นหน้าเขาตอนนี้



“เจ เป็นอะไร? …โธ่ เจ”

ฆาเบียร์เชยคางคนรักขึ้นเมื่อเห็นท่าทางผิดปกติ เขาใจหายเมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอตาสดใสคู่นั้น เขาใช้นิ้วปาดน้ำตาออก

“ไหนนายบอกว่าจะเชื่อใจฉันไงล่ะ?”

คนตัวโตกุมมือคนรักแน่น เจพูดเสียงอ่อยๆ

“ผมเชื่อใจคุณ ฆาบี้ ผมแค่คิดว่าผมมันยังไม่ดีพอสำหรับคุณ ผมน้อยใจตัวเองอ่ะ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจ

“คิดมากจริงนะ แฟนฉัน มัวแต่คิดมากอย่างนี้…Gotcha!!

ฆาเบียร์จิ้มชิ้นปลาที่เหลือในจานของเจไปทันที เจอุทานแล้วรีบดึงมือคนตัวโตมาข้างที่ถือส้อมมา แล้วเอาปลาชิ้นนั้นเข้าปากทันที

“เผลอไม่ได้จริงๆ เลย คุณนี่”

“แล้วเลิกคิดฟุ้งซ่านหรือยัง?”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจกัดริมฝีปากเบาๆ

“เลิกคิดแล้ว เอ๊ย ยัง!…”

“…แต่จะเลิกคิดถ้าคุณแบ่งเนื้อกวางของคุณให้ผมกิน โอเค๊?”

“โอเคจ้ะ แลกกับสเต๊กของเจด้วยนะ”

“ได้สิ ไม่มีปัญหา”

เจยกแก้วไวน์ของเขาขึ้นชนกับของฆาเบียร์ ไวน์ชั้นเลิศขวดนี้พร่องไปกว่าครึ่งขวดแล้ว



“คุณ วันนี้กินยาครบแล้วใช่ไหม?”

เจถามเมื่อนึกขึ้นมาได้ คนตัวโตพยักหน้าตอบรับแล้วบอกว่าเหลือแค่ยาหลังอาหารและก่อนนอนเท่านั้น

“งั้น หยุดไวน์ได้แล้ว ที่จริงกินยาแบบนี้คุณควรลดหรืองดแอลกอฮอล์ รู้ไหม?”

คนตัวโตทำตาละห้อย

“ปกติถ้าไม่ได้อยู่กับเจ ฉันก็ไม่ค่อยดื่มแล้วนะ แต่วันนี้ขอหน่อยไม่ได้เหรอ? อุตส่าห์ได้เจอไวน์ถูกใจทั้งที”

“ให้อีกแก้วเดียวนะ”

คนตัวโตพยักหน้า เขาเรียกผู้จัดการห้องซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลเรื่องไวน์ให้โต๊ะเขาเป็นพิเศษในคืนนี้ เขากระซิบเบาๆ ชายหนุ่มซึี่งมีรอยยิ้มละไมบนหน้าคนนั้นผงกหัวรับ ก่อนจะหยิบภาชนะบรรจุไวน์มารินใส่แก้วที่ว่างเปล่าของฆาเบียร์จนเหลือขอบเพียงนิ้วเดียว

“คุณนี่หัวหมอนักนะ”

เจโคลงหัวเบาๆ แก้วหนึ่งของฆาเบียร์นี่คือแทบจะเต็มแก้วจริงๆ ส่วนแก้วของเขานั้นถูกเติมเลยครึ่งแก้วมาเล็กน้อยเท่านั้น

“ก็แก้วเดียวไง”

คนตัวโตส่งสายตาหวานเยิ้มให้คนรักพร้อมกับยกไวน์ขึ้นจิบ เจยกแก้วของตัวเองชนกับแก้วของฆาเบียร์เบาๆ ก่อนที่จะดื่มด่ำไปกับรสอันลุ่มลึกของ Chateau Haut-Brion



“เมนคอร์สนะคะ Le Chevreuil ของคุณมาร์ติเนซ​ เป็นเนื้อกวางป่าจากฝรั่งเศสและฟัวกราส์ปรุงแบบรอสซินี่ เสิร์ฟพร้อมซอสพอร์ทไวน์และซูเฟล่มันฝรั่ง ผักดองและมันบดที่เป็นซิกเนเจอร์ของเชฟโจเอล โรบุชงค่ะ”

บริการสาววางจานสเต๊กเนื้อกวางที่ประกบครึ่งกับฟัวกราส์จนเป็นวงกลม ขนาดชิ้นของทั้งสองนั้นไม่ใหญ่นัก เมื่อรวมกันแล้วเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสองนิ้วครึ่ง หนาประมาณนิ้วครึ่ง ในจานเดียวกันมีแครอทหั่นชิ้นและผักดองคิดว่าน่าจะเป็นซาวร์เคราท์ และมันบดเนียนนุ่มที่ถมทับมาด้วยทรัฟเฟิลขาวไสเป็นแผ่นบางอีกหลายแผ่น

“ทรัฟเฟิลขาวอีกแล้ว นี่กินกันจนเบื่อเลยนะ”

เจนยุทธพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์บอกเจว่าช่วงนี้เป็นฤดูของทรัฟเฟิลและทรัฟเฟิลขาว จึงไม่แปลกที่เหล่าร้านอาหารจะเข็นเมนูที่ใช้ทรัฟเฟิลขาวออกมาหลายอย่าง เจพยักหน้ารับทราบ เขามองบริกรสาวยกอาหารเพิ่มเติมลงมาอีก มีทั้งมันบดอีกหนึ่งจาน ซูเฟล่มันฝรั่ง ซึ่งได้แก่มันที่อบออกมาเป็นก้อนทรงรีที่กลวงตรงกลาง เจคิดว่ามันช่างเหมือนหนังปอง หรือหนังควายทอดแบบแคบหมูจริงๆ จานสุดท้ายในชุดเมนคอร์สของฆาเบียร์คือซุปผักหอมกรุ่นถ้วยหนึ่ง



“ส่วนของคุณผู้ชายคือ Le Bœuf Kagoshima ค่ะ เรามีเนื้อ rib eye คาโกชิม่า เกรด A5 พร้อมพาสต้าทรงกลมสอดไส้ด้วยเห็ดชานเทอเรลและฟัวกราส์ นอกจากนั้นเรายังมีเห็ดทอดและกระเทียมย่างแนมมาให้ด้วยค่ะ ขอให้เพลิดเพลินกับอาหารนะคะ”

เจจ้องเนื้อชิ้นสวยนั้นอย่างไม่วางตา มันคือเนื้อวากิวเกรดดีที่สุดจากคาโกชิม่าซึ่งถือเป็นหนึ่งในสุดยอดเนื้อวากิวของญี่ปุ่น ถึงมันจะชิ้นเล็กจิ๋ว กว้างประมาณไม่ถึงสองนิ้ว หนานิ้วครึ่ง แต่เขาสามารถเห็นไขมันที่แทรกอยู่อย่างชัดเจน เนื้อถูกย่างจนเป็นสีน้ำตาลเข้มด้านนอก หากภายในยังดูแดงชุ่มฉ่ำ ที่ยอดเยี่ยมคือมันไม่มีน้ำเลือดเจิ่งนองออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งตอนที่เจบรรจงหั่นมันออกมาเป็นลูกเต๋าขนาดเล็ก มันแสดงให้เห็นถึงการใส่ใจพักเนื้อไว้จนได้อุณหภูมิพอเหมาะจนความชุ่มฉ่ำของเนื้อซึมกลับเข้าสู่ภายในชิ้นเนื้อจนทั่ว ซอสของมันคือน้ำที่ได้จากการย่างเนื้อ จานเนื้อของเขาก็มีมันบดมาด้วยอีกหนึ่งจานเช่นกัน

“เจ...เจ เป็นอะไร เหม่ออะไร”

ฆาเบียร์เขย่าแขนคนรักเบาๆ เจสะดุ้งน้อยๆ เขามัวแต่พินิจพิจารณาเนื้อชิ้นงามนั้น คนตัวโตหัวเราะเบาๆ สีหน้าของเจคุ้มกับเงิน 400 ปาตากาสที่จ่ายเพิ่มไปจากราคาในเมนูสำหรับจานเนื้อนั้น คนตัวโตหั่นเนื้อกวางและฟัวกราส์ชิ้นค่อนข้างใหญ่ส่งให้เจ

“โอ๊ย คุณ เอามาทำไมเยอะ ตัวเองยิ่งมีน้อยๆ อยู่ จะพอกินไหม? เอาให้ผมซะเกือบครึ่ง”

คนตัวเล็กพูดอย่างเกรงใจ เขาหั่นสเต๊กเนื้อแสนงามของเขาคืนให้ฆาเบียร์หนึ่งในสามของชิ้น

“เจเถอะ เอามาให้ฉันตั้งเยอะ หืมม์? จะพอกินไหม?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกินขนมปังไปเยอะ ตอนนี้ใกล้อิ่มแล้วเหมือนกัน”

เจยิ้มน้อยๆ เขาหั่นเนื้อกวางและฟัวกราส์ของคนตัวโตออกเป็นชิ้นเล็กลงอีกแล้วค่อยๆ จิ้มกิน



“โอ๊ย ฟิน!”

เจทำหน้าเปี่ยมสุข

“นี่มันสุดยอดเลยคุณ ฟัวกราส์นี่มันมาเป็นตับเป็นชิ้นเลยนี่? ผมนึกว่าจะเป็นตับบดเสียอีก เห็นมันแปะรวมมากับเนื้อกวาง สุดยอดเลย”

“...ไอ้เนื้อกวางนี่ก็นิ๊ม นิ่ม ผมไม่เคยกินกวางมาก่อนเลยนะ ผมนึกว่ามันจะสาบๆ แบบเนื้อแกะเสียอีก เพราะตอนแรกคุณผู้จัดการห้องก็บอกว่ามันจะมีกลิ่นของเนื้อสัตว์ป่า แต่นี่ไม่เลย มีกลิ่นเลือดนิดหน่อยแต่ไม่ได้ฉุนหรือคาวอะไร แทบไม่ต่างจากเนื้อวัวเลย แต่มีรสเฉพาะตัวกว่า”

เจเริ่มสำนึกเสียใจที่ปฏิเสธตอนที่ฆาเบียร์เสนอจะสั่งเป็นจานแบบ a la carte มาให้

“สั่งตอนนี้ไม่ทันแล้วใช่มะ?”

“เอาจริงๆ หรือเปล่าล่ะ เจ ฉันลองถามให้ได้นะ”

เจนยุทธคิดนิดนึงแล้วก็ส่ายหัว เขาเริ่มตื้อแล้วเหมือนกัน ฆาเบียร์หั่นเนื้อที่เจให้มาออกเป็นสองชิ้นแล้วจิ้มเข้าปาก เขายิ้มออกมาน้อยๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขากินเมนูนี้ มันยังคงอร่อยเหมือนเดิม



“อ๊ะ”

คนตัวโตสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงปลายเท้าของเจที่เตะเข้าที่ขาเขาเบาๆ

“อุ่ย ขอโทษครับ ผมเผลออีกแล้ว”

เจหน้าแดงซ่าน ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

“ถูกใจสินะ เจนยุทธ”

ถึงพวกเขาจะไม่ได้มีเวลาอยู่ร่วมกันมากนัก แต่คนตัวโตก็พอจับนิสัยของคนรักได้หลายอย่างแล้ว สิ่งหนึ่งที่เจมักเผลอทำเวลาที่ได้กินอาหารที่ถูกใจมากๆ คือเขามักจะเตะขาสลับกันไปมาเหมือนเด็กๆ ที่กำลังเพลิดเพลินหรือมีความสุข เขาเคยโดนเจเตะเข้าแบบนี้สักครั้งสองครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรและมองว่ามันน่ารักดีจริงๆ

“อือ สุดๆ เลยคุณ เป็นเนื้อดีที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาเลย นิ่ม ละลายในปาก ชุ่มฉ่ำมาก ตัดแค่ชิ้นน้อยๆ แต่รสเนื้อที่ระเบิดในปากนี่มันชัดยิ่งกว่ากินเนื้อชิ้นใหญ่ๆ อีก ไอ้เจ้าผิวนอกที่เกรียมๆ นี่ก็กักเก็บความชุ่มฉ่ำของเนื้อไว้ดีมาก แล้วผมเข้าใจแล้วว่าทำไมมันมาชิ้นแค่นี้ เพราะถ้ากินเยอะกว่านี้น่ะ เลี่ยนแน่ๆ เพราะมีไขมันแทรกในตัวเนื้อมาก มันคล้ายๆ กับเนื้อฮิดะที่ผมเคยกินที่ทาคายาม่า แต่ที่นี่เขาทำออกมาได้ดีกว่าย่างเองที่ญี่ปุ่นมาก”

เจร่ายยาว เขาตัดพาสต้าทรงกลมยาวที่ยัดไส้ด้วยเห็ดและฟัวกราส์ป้อนให้คนรัก

“อร่อยใช่ไหมล่ะ? ผมแทบตายแล้ว รสมันละมุนสุดๆ ทุกอย่างในจานนี้เข้ากันไปหมด ไอ้เจ้ามันบดนี่ก็ลื่นลิ้น เหมือนกินเนยรสมันฝรั่งเลย”

ฆาเบียร์ตักแผ่นทรัฟเฟิลขาวในจานของเขาสองแผ่นวางลงบนมันบดของเจที่ไม่ได้มาพร้อมแผ่นทรัฟเฟิล เจยิ้มอย่างดีใจ และจัดการกินมันจนหมด



“อ้าว มันบดของคุณเหลืออีกตั้งจาน ไม่ชอบเหรอครับ?”

“ชอบสิ เจ มันบดของที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยอยู่แล้ว แต่ฉันคงพอแล้วดีกว่า…”

เป็นที่รู้กันในหมู่ผู้ชื่นชอบร้านนี้ว่ามันบดเลื่องชื่อของโจเอล โรบุชงนี้ใส่เนยชั้นดีในอัตราส่วนที่มากมายมหาศาลอย่างน่าตกใจ คือเนยหนึ่งส่วนต่อมันฝรั่งสองส่วน นั่นแปลว่าถ้าจะทำมันบดโดยใช้มันฝรั่งหนึ่งกิโลก็ต้องใส่เนยถึงครึ่งกิโลทีเดียว ยังไม่รวมครีมที่เติมลงไปอีก ฉะนั้นสำหรับตัวฆาเบียร์ที่กินนั่นนี่ไปเยอะมากแล้วจึงกินมันบดแค่ที่เสิร์ฟมาในจานเนื้อกวางและเหลือส่วนที่เสิร์ฟมาในจานแยกไว้

“งั้นผมขอนะ”

คนตัวโตส่งจานมันบดของเขาให้เจนยุทธ จากนั้น เขายกซุปที่มากับอาหารของเขาขึ้นดื่ม พนักงานสาวบอกกับเขาว่ามันมีไว้เพื่อล้างปากเผื่อว่ากวางจะรสชาติหนักเกินไป

“อืมม์ แปลกดีนะ ซุปนี่ออกเผ็ดร้อน ฉันได้รสของขิงจางๆ ด้วย ชิมไหม?”

เขาส่งซุปสีอำพันนั้นให้เจชิม เจ้าตัวชิมคำเดียวก็พอ แล้วกลับไปกินมันบดในจานของฆาเบียร์ต่อจนหมด

“นี่ ฉันว่ากลับบ้านคราวนี้ฉันจะลากนายไปตรวจสุขภาพนะ เจ”

คนตัวโตโคลงหัว เจหัวเราะร่วน

“น่า เดี๋ยวคืนนี้ก็เบิร์นออกหมดแล้ว”

เจทำตาปิ๊งๆ ให้คนรัก

“ไม่ต้องเลย เจนยุทธ อย่าได้หวัง คืนนี้ฉันไม่ยอมเสียท่าให้นายแน่”

ฆาเบียร์กระซิบเสียงหนักๆ เจแลบลิ้นให้น้อยๆ คนตัวโตหัวเราะหึๆ พร้อมคิดในใจว่าคืนนี้เขาจะต้องจัดการเจให้หนักจนทำหน้าทะเล้นแบบนี้ไม่ออกอีก


https://www.picz.in.th/images/2018/03/08/S4FMek.jpg


คนตัวโตมองไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้โถงเปียโนของห้องอาหาร เขาเรียกผู้จัดการห้องเข้ามาสอบถามอะไรบางอย่างเป็นภาษากวางตุ้ง ชายหนุ่มคนนั้นครุ่นคิดนิดหนึ่งและตอบบางอย่างกลับมา เจจับได้แต่คำว่าเปียโน แต่ฆาเบียร์ก็โบกมือเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร ผู้จัดการค้อมหัวให้ทั้งคู่และเดินไปสั่งการพนักงานเสิร์ฟสาว คนตัวโตลุกขึ้นยืนและส่งมือให้คนรัก เจจับมือคนตัวโตอย่างงงๆ

"หือ ไปไหน? ขนมยังไม่ได้กินเลย"

"ย้ายโต๊ะกันดีกว่า ไปฟังเพลงใกล้ๆ กัน"

เจลุกขึ้นเดินตามฆาเบียร์ไปนั่งโต๊ะที่ใกล้กับห้องโถงรับรองที่มีเปียโนตั้งอยู่ตรงกลาง ที่นั่นมีนักเปียโนคนหนึ่งคอยบรรเลงเพลงอันเพราะพริ้งที่พวกเขาได้ยินมาตลอดเวลาที่นั่งรับประทานอาหาร

"ที่นี่สวยไปหมดทุกอย่างเลยเนาะ"

เจกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอาหาร ต่อให้เขาเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็จำอะไรไม่ค่อยได้เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับอาหาร เขามองดูเปียโน มันไม่ใช่เปียโนสีดำธรรมดา แต่เป็นไม้สีน้ำตาลมันเงาที่ประดับลวดลายฝังมุกอันอ่อนช้อย เจดูๆ แล้วคิดว่ามันน่าจะเป็นของเก่าแน่นอน ด้านบนของเปียโนเป็นแชนเดอเลียคริสตัลขนาดใหญ่ที่ห้อยย้อยลงมาจากเพดานสูง

"ผมชอบทุกอย่างเลย ทั้งจานชาม เครื่องเงิน เครื่องแก้ว มันดูดี ดูสวยไปหมดทุกอย่าง"

อาหารแต่ละคอร์สที่เสิร์ฟออกมานั้น เสิร์ฟมาในจานที่แทบไม่ซ้ำแบบกันเลยสักใบ เจเคยเปิดหาข้อมูลดู จานเสิร์ฟของที่นี่สั่งทำพิเศษโดยแบรนด์ Bernardaud​ แก้วไวน์ของที่นี่ใช้แบรนด์รีเดล ส่วนแก้วน้ำที่เป็นคริสตัลบางเฉียบและมีลวดลายดอกไม้อันอ่อนช้อยนั้นมาจากแบรนด์คริสตัลที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษอย่าง Royal Brierley ส่วนช้อนมีดส้อมนั้นก็เป็นของมีแบรนด์เช่นเดียวกัน

"ผมไม่ชอบอย่างเดียว ไอ้นี่อ่ะ"

เจชี้ไปที่โคมไฟตั้งโต๊ะทำจากแก้วทรงสี่เหลี่ยมปลายสอบบนฐานหินแกรนิตสีดำ ไฟด้านในเปลี่ยนสีไปต่างๆ เจคิดว่ามันดูน่ารำคาญพอสมควร

"โห นี่โคมไฟของ Lalique เชียวนะเจ ยี่ห้อเครื่องแก้วและคริสตัลดัง ไม่ชอบเหรอ?"

เจทำตาปริบๆ กระทั่งไอ้นี่ก็ยังต้องมียี่ห้อ

"ส่วนโคมไฟตั้งพื้นนั่นน่ะ ก็ของ Baccarat"

คนตัวโตพูดถึงแบรนด์คริสตัลดังก้องโลกอีกแบรนด์หนึ่ง

"ส่วนแชนเดอเลียร์น่ะ ใช้คริสตัลชวารอฟสกี้กว่า 131,500​ ชิ้นเลยนะ"

เจอ้าปากค้าง มิน่ามันถึงระยิบระยับไปหมดขนาดนั้น

"เจจ๊ะ..."

"พร้อมสำหรับของหวานแล้วหรือยัง?"

คนตัวเล็กยิ้มละไมให้คนรัก

"พร้อมแล้วครับ คนดี ว่าแต่คุณเถอะ พร้อมสำหรับของเผ็ดในคืนนี้หรือยัง?"

เจพูดยิ้มๆ ไม่พูดเปล่า เขาเอื้อมมือไปทาบทับบนฝ่ามือใหญ่ของคนรัก ฆาเบียร์ขบกรามเมื่อนิ้วชี้เรียวของเจคลึงวนบนหลังมือเขาอย่างจงใจก่อนจะประสานนิ้วกับนิ้วของเขา

"เจ ฉันอิ่มแล้ว ข้ามของหวานแล้วกลับห้องเลยดีกว่าไหม?"

คนตัวโตโอดครวญ เขาไม่ได้พูดกินจริง ตอนนี้เขาอิ่มตื้อขึ้นมาจริงๆ แล้ว

"เฮ้ยๆ ไม่ได้ๆ อดทนรอหน่อยสิครับ ที่รัก ขอผมกินของหวานให้หมดก่อน รับรองว่าคุ้มค่ารอแน่นอน โอเคไหม?"

ฆาเบียร์จะตอบอะไรได้นอกจากตกลง พวกเขาทั้งคู่ยกแก้วไวน์ขึ้นชนกันเบาๆ อีกครั้งและปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงเปียโนอันเพราะพริ้ง



-------------------------------------

ตอนแรกกะจะให้กินจบในหนึ่งตอน ปรากฏว่าจบไม่ทันค่ะ

สรุป "รีวิว" ร้าน Robuchon au Dome บางคนอาจจะว่าไม่ค่อยสมราคา แต่จากที่เคยไปลองมาสองครั้ง ก็ถูกใจทั้งสองครั้งค่ะ โดยเฉพาะครั้งนี้ที่ไปลองเมนู degustation อย่าง Le Munu Prestige อาหารที่ได้กินใช้วัตถุดิบดีทั้งหมด แม้จะไม่ได้ชอบทั้งหมดทุกจาน มีจานหอยเชลล์ที่เฉยๆ กับ Amadai ที่ไม่ค่อยเหมือนอย่างที่คิด แต่ก็ถือว่าเป็นมื้ออาหารหนึ่งที่ถูกใจเกือบทั้งหมดที่เสิร์ฟมา สิ่งอื่นที่ประทับใจก็คือบริการที่ไม่เหยียดคนเอเชียด้วยกันเอง และไหนจะพวกข้าวของเครื่องใช้ที่จัดเต็มอีก มันเติมเต็มทุกสัมผัสจริงๆ ค่ะ

อ้อ แต่สำหรับคนที่สนใจจะไปลองร้านนี้ แนะนำให้จองไปก่อนล่วงหน้า โดยเฉพาะถ้าไปช่วงวีคเอนด์ แต่ถ้ามื้อเที่ยงวันธรรมดา คนน่าจะไม่เยอะเท่าค่ะ สำหรับคนเขียนนั้น อีเมล์ไปจองตรงกับทางร้านเลย เขาก็จะขอเลขบัตรและมีการชาร์จค่าจองไว้ก่อนล่วงหน้า ถ้าเราไม่ไปตามนัดก็จะโดนหักไป (น่าจะประมาณนั้น) อีกอย่างคือ ควรเช็คเมนูก่อนว่าในช่วงนั้นอาหารมีอะไรบ้าง อย่างช่วงที่ไป เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง ก็จะเป็นอาหารเมนูใบไม้ร่วง/หนาว ตามที่บรรยายไปในเรื่อง แต่ในปัจจุบัน มันเป็นช่วงปลายฤดู ทรัฟเฟิลขาวยังมีอยู่ แต่จานที่เป็นเนื้อกวาง ตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็น Duck Confit แต่ราคาอาหารก็ถูกลงอีกประมาณ 200 ปาตากาส ก็ถือว่าคนเขียนโชคดีไป


ลิงค์นะคะ

รีวิว Robuchon au Dome https://goo.gl/ShjcRM

คนนี้เขียนสนุกค่ะ https://goo.gl/Yd69rw

 

ร้าน Mozaic ที่บาหลีค่ะ https://goo.gl/KUkftS

ร้าน Ku De Ta สามารถไปลองฟังเพลงที่สองหนุ่มชมว่าดีนักหนาได้นะคะ https://goo.gl/GoJu8x

 

ร้านอาหารที่น่าสนใจในไทยนะคะ

ร้าน Gaggan รีวิวจากพันทิปค่ะ https://goo.gl/LErqaj

L’Atelier de Joel Robuchon รีวิวโดยว่านน้ำ ใจนึงก็อยากลอง อีกใจก็กลัวจะอดเอาไปเทียบกับที่มาเก๊าไม่ได้ค่ะ https://goo.gl/oK1Xty

SRA BUA by Kiin Kiin น่าจะเป็นสไตล์โมเลคิวลาร์  https://goo.gl/BNPDiV

ร้าน Bo.Lan นี่ก็อยากลอง แต่ทำใจเรื่องราคาก่อน https://goo.gl/m5a1PM



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2018 06:43:10 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- หวานล้ำฉ่ำทรวง ----




"ขออนุญาตลงของหวานล้างปากนะคะ..."

บริกรสาววางจานน้อยซึ่งมีถ้วยของหวานอยู่บนนั้นไว้ตรงหน้าคนทั้งคู่

"...ลูกกลมๆ นี้ ด้านในเป็นมูสวานิลลาหุ้มด้วยเยลลี่รสเชอรี่ ส่วนด้านนอกนี้เป็นมูสสตรอเบอรี่ ชั้นล่างเป็นไอศกรีมวานิลลาและช็อคบอลกรอบค่ะ"

เจขมวดคิ้วดูของที่อยู่ในถ้วยน้อยนั้น เขาหันไปถามฆาเบียร์เบาๆ

"เอ คุณ จากที่อ่านในเมนูเมนูนี้ต้องเป็น La Perle Noire ที่เป็นมุกรสแครนเบอรี่กับเยลลี่โกโก้กับแครมบรูเล่เหล้าอามาญัคไม่ใช่เหรอ?"

เจหยิบโพยขึ้นมาดู เขาขอทางร้านถ่ายเอกสารเมนูให้แผ่นหนึ่ง เขาคิดว่าก็คงได้แผ่นกระดาษถ่ายเอกสารไซส์เอสี่ธรรมดาๆ มา แต่ที่เขาได้มาคือเมนูอาหารที่พวกเขาทั้งสองคนกินไปโดยปรินท์มาบนกระดาษการ์ดแบบเดียวกับที่ทำเมนู แผ่นของเจ ส่วนเมนคอร์สบอกไว้ว่าเป็นเนื้อคาโกชิม่า ส่วนอีกแผ่นหนึ่งในช่องเมนคอร์ส ใส่ว่าเป็นเนื้อกวางสไตล์รอสซินี่ ทั้งสองแผ่นบรรจุในซองมาให้พวกเขาเสร็จสรรพ

เมื่อฆาเบียร์เรียกพนักงานมาถามเรื่องของหวานล้างปากก็ได้ความว่าในวันนี้ของหวานล้างปากเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปเรียบร้อย คนตัวโตถ่ายทอดคำของพนักงานให้คนรักฟัง เจยักไหล่ เขาไม่ได้ติดใจอะไร ขอให้อร่อยก็ไม่ว่ากัน ซึ่งมันก็ออกมาอร่อยตามคาด



"โอย ผมเริ่มอิ่มแล้วนะเนี่ย มีอะไรต่อนะ?"

เจยกโพยขึ้นอ่าน

"ของหวานจากรถเข็น โอเค๊ มะ เข็นมาเลยจ้ะสาวๆ"

เจพูดเบาๆ แล้วพ่นลมหายใจออกจากปากดังพรืดใหญ่ อาหารในวันนี้แม้ปริมาณจะไม่ได้มากมาย แต่ความเข้มข้นของรสชาติ ความเต็มอิ่มในทุกสัมผัสมันทำให้เขารู้สึกตื้อขึ้นมาน้อยๆ ฆาเบียร์อดขำทีท่าของคนรักไม่ได้

"ขนมหวานมาแล้วค่ะ..."

พนักงานสาวเข็นรถของหวานมา เจตาลุกวาว เขาไล่สายตาไปตามเค้ก ทาร์ต ชูครีมและอื่นๆ ที่จัดวางอย่างสวยงามบนรถเข็นคันใหญ่นั้น

"วันนี้เรามีทาร์ตราสเบอรี่ เลม่อน ช็อคโกแลตคาราเมล และยังมีผลไม้สด เค้กโอเปร่า ชูครีม แพร์พุดดิ้งเค้ก แอปเปิลพาย แอปเปิลทาร์ต นโปเลียน รัมบาบา และโฟล้ตติ้ง ไอส์แลนด์ค่ะ เลือกได้คนละสองชิ้นจากทั้งหมดนี้ค่ะ"

"คุณเลือกก่อนเลย ฆาบี้ ผมขอคิดก่อน"

ฆาเบียร์เม้มปากเล็กน้อย เขาเลือกรัมบาบาและแพร์พุดดิ้งเค้ก ส่วนเจนยุทธ หลังจากเลือกอยู่นาน เขาเลือกแอปเปิลทาร์ตกับนโปเลียน ซึ่งก็คือมิลเฟยนั่นเอง พนักงานสาวจัดขนมตามที่เขาต้องการมาวางให้ตรงหน้า ชิ้นขนมมันอาจดูไม่ค่อยสวยนักเพราะว่าเป็นการตัดจากชิ้นใหญ่ที่อยู่บนรถเข็น และไม่ได้มีการตกแต่งงดงามอะไร แต่เจก็โอเคกับมัน



"อ้าว ไหงคุณนักเปียโนเก็บของแล้วอ่ะ?"

นักเปียโนที่เล่นเพลงให้พวกเขาฟังอย่างเพราะพริ้งเมื่อสักครู่กำลังเก็บข้าวของเพื่อเตรียมกลับ เจยกนาฬิกาขึ้นดู

"สี่ทุ่มแล้ว ร้านปิดกี่โมงนะคุณ? สี่ทุ่มครึ่ง?"

"ไม่เป็นไรน่า เจ นั่งต่อได้อยู่"

"อืมม์ๆๆ แต่ผมก็ไม่อยากเกินเวลาเขามาก เรารีบกินกันดีกว่านะ"

“รับไอศกรีมไหมคะ? เลือกได้คนละลูก”

พนักงานสาวเข็นรถไอศครีมมาที่โต๊ะ เธอสาธยายรสไอติมที่มีซึ่งได้แก่ วานิลลา ช็อคโกแลต ส้มยูสุ และยังมีพวกซอร์เบท์อย่าง แพร์ แอปเปิลและเชอรี่ ทั้งสองตัดสินใจสั่งรสที่ไม่ซ้ำกัน คือส้มยูสุและแอปเปิล ผู้จัดการห้องเดินมากระซิบบางอย่างกับพนักงาน พนักงานสาวรับคำแล้วบอกพวกเขาว่าได้เพิ่มอีกคนละลูก ทั้งสองจึงสั่งซอร์เบท์แพร์และเชอรี่มาเพิ่มอีก เจยิ้มร่าด้วยความยินดี เขาเริ่มกินขนมในจานของตัวเองสลับกับไอศกรีม แถมด้วยการแอบไปจกขนมจากจานของฆาเบียร์กินอีก



"คุณ รัมบาบานี่อร่อยจัง คราวที่แล้วที่ผมมากินผมก็เลือกเจ้านี่ แต่ตอนนั้นมันเหมือนจะมาเป็นถ้วยเล็กๆ แล้วจะชุ่มรัมกว่านี้หน่อย"

รัมบาบาคือเค้กเนยชิ้นน้อยที่แช่จนชุ่มโชกในน้ำเชื่อมใส่เหล้ารัม

"ฉันมาทุกครั้งก็ต้องกินทุกครั้งเลยเหมือนกัน ฉันว่าเขาใส่รัมในน้ำเชื่อมเยอะดี ไม่ใช่มีแค่กลิ่น"

"ผมว่ามันทำให้ผมนึกถึงขนมอินเดียชนิดนึงนะ..."

"Gulab Jamun ใช่ไหม?..."

เจยิ้มบางๆ เขาพยักหน้าตอบรับ คนตัวโตรู้เยอะจริงๆ​

"...ฉันก็คิดเหมือนกันนะ เจ แต่ไอ้เจ้ากุหลาบจามุนนั่นหวานมหาโหดกว่ารัมบาบาเยอะ"

คนตัวโตทำท่าขนลุกขนพองเมื่อนึกถึงความหวานแสบไส้ของขนมอินเดียชนิดนั้น เจบอกว่าเขาก็กินมันไม่ไหวเหมือนกัน เขาเคยกินมันที่ร้านอาหารอินเดียในเชียงใหม่สองสามหน แต่ที่อร่อยที่สุดที่เคยกินคือที่ซื้อมาจากร้านขนมหวานในย่าน Little India ที่สิงคโปร์ แต่ต่อให้อร่อยแค่ไหน เขาก็กินที่ซื้อมาได้ไม่หมดและสุดท้ายต้องทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย



"โอ๊ย คุณเอ๊ย แอปเปิลทาร์ตนี่สุดๆ!"

เจอุทานออกมา

"เนี่ยๆ..."

เจตัดขนมของเขาครึ่งหนึ่งส่งให้คนรัก ฆาบี้ตัดทาร์ตชิ้นสี่เหลี่ยมน้อยนั้นขึ้นมาชิมคำนึง

"เอ๊ะ..."

เขาขมวดคิ้ว

"ใช่ไหมๆๆ ดูตอนแรก คุณคิดว่าไอ้ไส้ทาร์ตนั่นเป็นแอปเปิลกวนเหมือนกันใช่ไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาไม่เคยคิดสั่งขนมชนิดนี้เลย เพราะดูจากหน้าตาแล้ว เขาคิดว่าไอ้เจ้าไส้ทาร์ตสีน้ำตาลทองนั้นคือแอปเปิลกวนหรือแยมแอปเปิล แต่ที่จริงแล้วมันคือแผ่นแอปเปิลบางเฉียบที่วางซ้อนกันมากกว่าสิบชั้น เมื่อผ่านการอบ น้ำตาลในเนื้อแอปเปิลก็ละลายและแทบจะประสานพวกมันให้กลายเป็นเนื้อเดียว ความหวานอมเปรี้ยวของมันนั้นเข้ากับแป้งทาร์ตรสเค็มน้อยๆ ที่รองอยู่ด้านใต้เสียจริงๆ

"คราวหน้าฉันจะสั่งแบบนี้สองชิ้นเลย!"

"อ่ะ งั้นผมให้อีกคำนึงแล้วกัน"

เจตัดทาร์ตแอปเปิลป้อนใส่ปากฆาเบียร์อีกนิดหนึ่ง ส่วนตัวเองจกเค้กคัสตาร์ดใส่ลูกแพร์ของคนตัวโตมาคำใหญ่

"ว้า นี่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่แฮะ เสียดาย คุณน่าจะสั่ง floating island"

เจบ่นพึมพำ เขาบอกว่าเขาชอบขนมชนิดนั้นของที่นี่เหมือนกัน แต่ไม่สั่งเพราะว่าเคยกินแล้ว เจตัดนโปเลียนชิ้นสวยในจานของเขามากินเป็นอย่างสุดท้าย แป้งกรอบๆ ที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ นั้นบางเฉียบและให้เนื้อสัมผัสที่ยอดเยี่ยม น้ำตาลเคลือบกรอบๆ ที่ชั้นบนสุดนั้นให้ความหวานกับแป้งที่เค็มน้อยๆ ส่วน crème pâtissière​ หรือเพสตรี้ครีมที่่เป็นไส้ก็หวาน หอม มันพอดี แต่เขาก็ยังชอบแอปเปิลทาร์ตมากกว่า

"กินไหม?"

เจทำท่าจะตัดนโปเลียนของเขาส่งให้คนตัวโต แต่ฆาเบียร์ยกมือห้ามไว้ เจจึงกินมันจนหมด



"โอย อิ่ม"

เจเริ่มนั่งเอนๆ เขาจัดขนมปังเยอะไปหน่อยตอนต้นมื้อ เขาทำตาละห้อยเมื่อพนักงานสาวเข็นรถเข็นเข้ามาอีก

"Petits fours ค่ะ..."

รถเข็นคันนั้นเต็มไปด้วย petits fours หรือขนมชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กินคำเดียวหมดอย่างอมยิ้ม เยลลี่ ช็อคโกแลต มาการอง และเค้กชิ้นเล็กๆ ที่ละลานตาไปหมด เจคิดในใจว่าเขาอยากกินทุกอย่าง

"ตามปกติเราจะให้เลือกคนละสองชิ้นนะคะ แต่วันนี้เชิญเลือกได้คนละสามชิ้นค่ะ"

"เอ้า เจ เลือกเลย ฉันให้นายตัดสินใจ ฉันขอแค่คาเนเล่ชิ้นเดียวพอ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจยิ้มร่า เขาเหมือนเด็กน้อยในร้านขนมหวาน อันนั้นก็ดูดี อันนี้ก็ถูกใจ สุดท้ายเขาก็เลือกได้จนครบ เจเลือกคาเนเล่ 2 ชิ้น มูสรส Gianduja หรือช็อคโกแลตผสมเฮเซลนัท มูสช้อคโกแลตกับเกลือทะเล chouquette หรือเปลือกชูครีมกับน้ำตาลเกล็ด และลูกกลมๆ สีเขียวๆ ที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นรสแอปเปิล พนักงานสาวจัดทุกอย่างลงจาน เจหันกลับไปหาฆาเบียร์ แล้วก็พบคนตัวโตของเขากำลังซุบซิบงุบงิบคุยกับผู้จัดการห้องอยู่


https://www.picz.in.th/images/2018/03/08/S4I0OE.jpg



"อ่ะ จะทำอะไรอีกล่ะ?"

เจถามขึ้นอย่างไม่วางใจ

"น่า เดี๋ยวเจก็รู้เอง"                                                                 

คนตัวโตตอบ เขารีบรับบิลคืนมาแล้วเซ็นสลิปบัตรเครดิตในมือโดยไม่ให้เจนยุทธเห็นตัวเลข เขาส่งมันคืนให้ผู้จัดการห้องซึ่งส่งการ์ดเอเม็กซ์เซ็นจูเรี่ยนของเขาคืนมาให้ จากนั้นพนักงานสาวก็มารับออเดอร์กาแฟและทำกลับมาให้โดยใช้เวลาไม่นาน เจสั่งคาปูชิโน่ไว้ ส่วนของฆาเบียร์สั่งกาแฟดำธรรมดา ฆาเบียร์ยกกาแฟของตัวเองขึ้นจิบ กาแฟของที่นี่คุณภาพเยี่ยมเสมอโดยเห็นได้จากฟองสีทองงดงามของมัน เขาหยิบคาเนเล่ชิ้นน้อยขึ้นกินจนหมดแล้วลุกขึ้นยืน เจที่ยังกินขนมไม่หมดหันมาเลิกคิ้วให้เป็นเชิงถาม เขาไม่ตอบแต่ก้มลงจุ๊บหน้าผากคนรักเบาๆ

เจทำหน้างงๆ มองคนตัวโตของเขาเดินตรงไปที่เปียโน คนตัวโตนั่งลงบนเก้าอี้ เขาดึงกระดาษที่พับไว้หลายแผ่นออกมาคลี่แล้ววางเรียงบนที่วางโน้ต พวกมันดูยู่ยี่เหมือนผ่านการพับมาหลายรอบ ฆาเบียร์เริ่มดีดบางอย่างบนคีย์เปียโน แสงไฟในห้องนั้นค่อยๆ สลัวลง ผู้จัดการห้องเดินออกมาพร้อมกับพนักงานสาวที่ถือถาดเค้กในมือ พวกเขาร้องเพลงแฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์คลอให้พร้อมกับเสียงเปียโนกระท่อนกระแท่นของฆาเบียร์ เจอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีตั้งใจของคนตัวโตที่ปลุกปล้ำอยู่กับคีย์เปียโนนั้น

"แฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์ ทูยู..."

เสียงเพลงจบลง เค้กนโปเลียนชิ้นใหญ่กว่าที่เขากินเมื่อกี้มากถูกวางลงตรงหน้าพร้อมเทียนที่จุดไฟอยู่แท่งน้อย บนจานมีเส้นช็อคโกแลตขาวเขียนอวยพรวันเกิดพร้อมชื่อของเขา เจหันไปมองคนตัวโตที่นั่งหน้าบานอยู่ที่เปียโนด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ มิน่าฆาเบียร์ถึงบอกว่าไม่อยากแย่งกินนโปเลียนของเขา คงเป็นเพราะรู้อยู่แล้วว่าเค้กวันเกิดของที่นี่ก็คือเค้กชนิดนี้เช่นกัน

"Floating island ครับ คุณเจ คุณมาร์ติเนซบอกว่าคุณชอบขนมชนิดนี้ของเรามาก"

ผู้จัดการห้องยกถ้วยแก้วใบน้อยที่วางไว้บนถาดหินสีดำมา ภายในคือเมอแรงก์ฟูฟ่องสีขาวที่ลอยอยู่บน crème anglaise​ หรือวานิลลาคัสตาร์ดครีม เจหันไปยิ้มหวานให้คนรักที่ยังนั่งอยู่ที่เปียโนหลังนั้น

"มากินด้วยกันสิคุณ ผมกินคนเดียวไม่ไหวแล้ว"

คนตัวโตส่ายหัว เขาเองก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แต่ก็เดินกลับมาที่โต๊ะเมื่อเจบอกว่าเขาอยากถ่ายรูปคู่กับเค้ก เจส่งกล้องมือถือและกล้องถ่ายรูปตัวน้อยของเขาให้พนักงานถ่ายรูปเขาทั้งคู่กับเค้กชิ้นงามนั้น



"รูปสุดท้ายนะคะ"

พนักงานสาวส่งเสียงบอกทั้งสองคน ฆาเบียร์อุ่นวาบที่แก้มเมื่อเจนยุทธจูบแก้มเขาอย่างหนักหน่วง

"ขอบคุณสำหรับเพลงครับ แต่คุณเล่นเปียโนไม่เป็นจริงๆ เหรอ? ผมนึกว่าคุณชายอย่างคุณจะเล่นเป็นเสียอีก"

เจถามเบาๆ ฆาเบียร์ยิ้มละไมและไม่พูดอะไร เจตัดเค้กไว้เพียงเล็กน้อยและส่งที่เหลือกลับเข้าไปในครัวโดยขอให้ห่อกลับให้

"ผมจะเอาไปแบ่งสองคนนั่นด้วย"

เจพูดถึงเลขาทั้งสองของคนตัวโต จากนั้นเขาเริ่มลงมือกินขนมในถ้วยตรงหน้า เขาป้อนมันให้คนตัวโตไปสองสามคำจนฆาเบียร์ยกมือห้าม เขายัดอะไรจะไม่ลงแล้ว

"เมียครับ..."

เจพูดเบาๆ

"ว่าไงจ๊ะ?"

คนตัวโตที่เพิ่งจะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม Chateau Haut-Brion อึกสุดท้ายลงไปหันมาถามคนรัก

"แบมือมาหน่อยสิ คุณ"

ฆาเบียร์ทำตามอย่างงงๆ

"อ่ะ ให้ มันดูมักง่ายไปหน่อย แต่ก็อยากให้อ่ะ"

เจวางช่อสมุนไพรช่อน้อยที่ใช้แต่งจานอาหารจานหลักของเขาเมื่อครู่ลงบนฝ่ามือคนรัก ฆาบี้หยิบมันขึ้นมาดูแล้วก็ต้องยิ้มออกมา สมุนไพรช่อน้อยนั้นถูกมัดเข้าด้วยกันโดยมีบรรดาดอกไม้สีม่วงดอกจิ๋วซึ่งน่าจะเป็นดอกของสมุนไพรสักอย่างอยู่ตรงกลาง เขาไม่ได้ใส่ใจช่อในจานของเขาและเขี่ยมันออกไปตั้งแต่แรก แต่เจคงสังเกตเห็นช่อในจานของตัวเองแล้วเกิดอารมณ์อยากให้ดอกไม้เขาขึ้นมา

"ไว้ถ้าผมเจอร้านดอกไม้ดีๆ ผมจะซื้อให้คุณใหม่นะ แต่วันนี้เอาไอ้เจ้านี่ไปก่อน"

เจยิ้มอายๆ เขารู้ว่ามันดูไร้สาระและไม่ลงทุน แต่เขาเกิดอยากให้ดอกไม้เมียตัวโตขึ้นมา แล้วไอ้เจ้าดอกสีม่วงนี่ก็โผล่มาให้เห็นพอดี ฆาเบียร์กระดิกนิ้วเรียกคนน่ารักของเขา เจเอนตัวเข้ามาใกล้

“มีอะไรครับ อ๊ะ!”

คนตัวเล็กผงะเล็กน้อย แต่ก็ถูกคว้าคอเข้าไปประทับจูบอย่างอ่อนโยนชั่วครู่หนึ่ง

“ขอบใจนะ เจ ฉันชอบมากเลย”

ฆาเบียร์หยิบสมุดโน้ตสีดำเล่มน้อยที่เขาพกติดตัวตลอดขึ้นมาเปิดออก เขาพยายามเอาช่อสมุนไพรนั้นใส่ลงไปตรงกลางแต่ก็ดูจะไม่เป็นผลเพราะช่อมันหนาเกินไป เจยิ้มน้อยๆ นิสัยอย่างหนึ่งของฆาเบียร์ที่เขาชอบแซวว่าเป็นของที่วัยรุ่นยุคก่อนวายทูเคชอบทำคือชอบเอาดอกไม้ใบหญ้ามาใส่ในสมุดหนังสือเพื่อทับให้กลายเป็นดอกแบนๆ คนตัวโตมักจะเก็บกลีบดอกไม้จากดอกที่เขาให้ไว้ไปทับในหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้เป็นประจำ



“มานี่ ผมจัดการให้”

เจดึงช่อสมุนไพรน้อยๆ จากมือคนรักมาพร้อมกับสมุดโน้ตนั้น เขาเปิดหน้าว่างๆ ขึ้นมาหน้าหนึ่งแล้วหยิบปากกาในกระเป๋าขึ้นมาเขียน

วันเกิดเจ 2/2/18 ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่คุณทำให้ผม ผมจะไม่มีวันลืมเลย ด้วยรัก Your Jay'

เขาดึงช่อดอกสีม่วงออกมาแล้วยกขึ้นจรดริมฝีปากเบาๆ แล้ววางลงบนหน้านั้น จากนั้นปิดสมุดลงแล้วกดทับมันไว้ครู่หนึ่ง เขาดึงสายรัดสมุดโน้ตรัดปกมันแล้วส่งคืนให้คนรัก

“ทับแค่ดอกพอแล้ว ไอ้เจ้าโรสแมรี่พวกนี้จะเก็บไว้ทำไม”

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ส่งสายตาหวานฉ่ำให้คนรัก เขาทำท่าจะดึงคนรักมาจูบอีกแต่เจรีบใช้มือยันอกคนตัวโตไว้

“พอๆ เลิกเฟลิร์ต ผมเขินอ่ะ"

เจพูดด้วยสีหน้าแดงก่ำ เมื่อเห็นพนักสาวเดินออกมาพร้อมถาดเหล็กสีดำในมือ

"Madelaine ค่ะ เป็น complimentary จากเชฟของเรา เพิ่งออกจากเตามา ระวังถาดร้อนด้วยนะคะ"

เจตะลึงมองขนมอบหอมกรุ่นชิ้นน้อยหกชิ้นตรงหน้าซึ่งมาทั้งๆ ที่ยังอยู่ในพิมพ์ ถึงเขาจะอิ่มแล้ว แต่กลิ่นหอมๆ ของมันกระตุ้นน้ำลายเขาดีจริงๆ เขาหยิบชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากคนตัวโตทันที ฆาเบียร์บ่นอุบเพราะความร้อนของมัน เจแลบลิ้นให้แล้วก็หยิบเข้าปากตัวเองบ้าง เปลือกนอกของมันกรอบน้อยๆ เนื้อในนุ่มฟู และมีกลิ่นหอมๆ ของผิวส้มปนอยู่ด้วย

"เป็นการจบมื้อที่เพอร์เฟ็คท์ที่สุดเลยครับ ที่รัก"

เจครางแผ่วๆ อย่างสุขสมเมื่อเขากินขนมชิ้นสุดท้ายเข้าไป

"ยังหรอก เจนยุทธ รอแป๊บนึงนะ ฉันจะทำให้มันเพอร์เฟ็คท์เอง"

ฆาเบียร์เดินกลับไปที่เปียโนอีกครั้ง เขานั่งลงแล้วหลับตาเพื่อรวบรวมสมาธิ จากนั้นเสียงเพลงอันไพเราะจากปลายนิ้วมือที่พร่างพรมลงบนคีย์เปียโนอย่างชำนาญก็ดังขึ้น เจหน้าแดงน้อยๆ คนตัวโตเล่นเปียโนเป็นจริงตามคาด แถมยังเล่นเก่งเสียด้วย เพลงที่เขากำลังเล่นอยู่นั้นเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของเจที่เขามักเปิดคลอประจำเพื่อสร้างบรรยากาศยามที่พวกเขาเริ่มจะนัวเนียกัน เมื่อเพลงนั้นใกล้จบลง เจก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งซบไหล่คนรักที่ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเพลงโปรดเพลงนี้ของเขา เจดึงคนตัวโตมาจุมพิตอย่างอ่อนหวานเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายจบลงโดยลืมความเขินอายจนหมดสิ้น


 https://www.youtube.com/watch?v=xpfS5X6A6Z8



"Forever Love เพลงโปรดของนายไงล่ะ เจ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ ให้กับชายหนุ่มที่นั่งหน้าแดงระเรื่ออยู่ตรงหน้า

"ผมชอบที่สุดเลย ขอบคุณครับ ฆาบี้ มันเพอร์เฟ็คท์มาก คุณเล่นได้เยี่ยมจริงๆ"

เจสวมกอดคนตัวโตของเขาแน่น

"...แต่คุณรู้ใช่ไหมว่า เพลงของ X-Japan เพลงนี้มันเป็นเพลงเศร้าไม่สมหวังน่ะ?"

เจกระซิบแผ่วๆ ข้างหูคนรัก ฆาเบียร์มีสีหน้าตกใจทันที เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นใบหน้าของคนรัก เขากะแล้วว่าคนตัวโตต้องไม่รู้แน่ๆ

“ฉัน…ฉันไม่รู้จริงๆ ก็ฟังจากชื่อเพลงก็นึกว่าเป็นเพลงรัก แถมนายยังชอบเปิดตอนที่เรา...”

ฆาเบียร์พูดเสียงแผ่วเบาอย่างน่าสงสาร ชื่อเพลงมันออกจะบอกว่าเป็นเพลงรัก แถมเขาเคยได้ยินแต่เวอร์ชั่นเปียโนที่เจเปิดเวลาที่พวกเขาร่วมรักกัน เขาอาจเคยได้ยินเวอร์ชั่นที่เป็นคนร้องสักสองสามครั้ง แต่ก็จำเนื้อเพลงไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่ามันเป็นภาษาญี่ปุ่นปนอังกฤษ

เจกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นเมื่อเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนรัก ฆาเบียร์บ่นอุบอิบว่ามิน่าล่ะทำนองมันถึงฟังออกจะเศร้าๆ แถมคู่รักชาวญี่ปุ่นโต๊ะข้างๆ ที่เพิ่งเดินผ่านเขาเข้าลิฟท์ไปก็หันมามองเขาแปลกๆ ตอนที่เขาเล่นเพลงนี้



“ขอโทษจริงๆ เจ ฉันนึกว่ามัน…”

“ชู่ว์ ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ…”

เจยกนิ้วแตะริมฝีปากคนรักของเขา

“…คุณลงทุนทำเพื่อผมขนาดนี้ผมก็ดีใจแล้ว แค่คุณรู้ว่าผมชอบเพลงนี้แล้วสละเวลาไปหาโน้ต ไปซ้อมเพื่อเล่นให้ผมฟัง ผมก็ดีใจมากแล้ว…”

ต่อให้เพลงนี้ไม่ยากเท่ากับพวกเพลงคลาสสิค แต่จะเล่นให้ออกมาเพราะพริ้งลื่นไหลไม่ติดขัดอย่างที่คนตัวโตเพิ่งเล่นไปก็ต้องผ่านการฝึกซ้อมอยู่ดี

“อีกอย่าง มันจะเพลงเศร้าหรือเพลงรักก็ช่าง มันเพราะ ผมก็ชอบอยู่ดี และยิ่งคนเล่นเป็นคุณ ผมก็ยิ่งชอบ เอ้า เขยิบหน่อย”

เจใช้สะโพกดันคนตัวโตของเขาให้เขยิบไป ส่วนตัวเองเข้าไปนั่งตรงกลางเก้าอี้ เขาจรดนิ้วลงบนแป้นงาช้างแท้และเริ่มบรรเลงเพลง ฆาเบียร์ตะลึงมองคนรักของเขาซึ่งเขาไม่เคยรู้เลยว่าเล่นเปียโนเป็น

“เพลง Unfinished ของ X-Japan เหมือนกัน เป็นเพลงเศร้าเหมือนเดิม แต่เปียโนเพลงนี้เพราะมากๆ ครับ”


https://www.youtube.com/watch?v=623_wgfNau0


เจหันมาพูด เขาชอบเพลงบัลลาดของ X-Japan ทุกเพลง โดยเฉพาะเพลงที่มีท่อนเปียโนเพราะๆ ถึงวงนี้จะโด่งดังถึงขีดสุดและยุบวงไปรอบแรกช่วงก่อนที่เขาจะเป็นวัยรุ่น แต่เขาเองก็ได้รับอิทธพลจากนพที่เป็นแฟนของวงนี้และหันมาชื่นชอบและฟังเพลงของวงร็อคระดับตำนานจากญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลกวงนี้ เจเริ่มร้องเพลงคลอตามเบาๆ


“Wipe your tears from your eyes

Just leave and forget me

No need to be alone any more...”



“...I’m not the one you need

Close your eyes and forget me

There’s nothing I can do any more...I lost my way.”



เนื้อหาของเพลงเศร้าอย่างที่เจว่าจริงๆ แต่ท่วงทำนองนั้นแสนหวานและไพเราะ เจพรมนิ้วไล่ตามคีย์จากสูงถึงต่ำและต่ำไปสูงอย่างรวดเร็ว เขาเล่นติดขัดบ้างเล็กน้อย เพราะเป็นการเล่นจากความทรงจำ เพลงดำเนินไปจนใกล้จบ


“Go away from me now

I don’t know what is love

No need to be alone any more...Can’t find my way.”


เจทอดเสียง และเล่นทำนองช่วงสุดท้ายจนจบ เขาตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงปรบมือจากแขกที่ยังเหลืออยู่สองสามคนซึ่งมาแอบยืนฟังตั้งแต่ตอนฆาเบียร์เล่นและเหล่าพนักงานเสิร์ฟ เจนยุทธยิ้มอายๆ แล้วรีบลุกขึ้นโค้งให้คนฟังกลุ่มน้อยๆ ของเขา เขาหันไปหาคนตัวโตที่ยิ้มกว้างให้เขา เจยิ้มตอบ เขาหันไปขอโทษขอโพยผู้จัดการห้องที่ถือวิสาสะเล่นเปียโนหลังสวยนี้โดยไม่ได้ขออนุญาต จากนั้นลากฆาเบียร์ที่ทำท่าอยากเล่นเปียโนต่อกลับโต๊ะ



“ตายๆ จะห้าทุ่มแล้ว เลยเวลาปิดร้านเขาแล้วคุณ”

เจบ่นพึมพำ เขารีบยกกาแฟที่เย็นแล้วกรอกเข้าปาก ยกน้ำเย็นขึ้นดื่มล้างปาก จากนั้นดื่มไวน์ชาโต โอต์ บริยง ที่เหลืออยู่น้อยนิดในแก้วจนหมดเกลี้ยง ฆาเบียร์นั่งเท้าคางดูเจจัดการกับเครื่องดื่ม เขายิ้มน้อยๆ ยิ่งเขาทำความรู้จักกับเจมากขึ้น เขาก็ยิ่งพบสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้เขาทึ่งได้

“ยิ้มอะไรนักหนา หือ?”

เจหน้าแดงซ่านเมื่อหันไปเจอคนตัวโตที่จ้องเขาไม่วางตา

“เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

“อือ กลับกันเถอะ เกรงใจพนักงานเขา”

เจพูดเสียงอ่อยๆ พวกเขาอยู่เกินเวลาปิดของร้านมาพักใหญ่แล้ว ฆาเบียร์เรียกพนักงานมาเพื่อจะขอให้เรียกรถของเขามารอที่หน้าโรงแรม พนักงานสาวรับคำและเดินไปโทรศัพท์ ผู้จัดการห้องอาหารเดินเข้ามาหาทั้งสองพร้อมถุงใบโต

“ในนี้มีเค้กของคุณเจครับ แล้วก็มีขนมปังที่เหลือในตะกร้าเมื่อครู่กับของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากทางร้านครับ”

เจรับถุงใบโตนั้นมา ส่วนฆาเบียร์ล้วงซองจดหมายซองน้อยที่เตรียมไว้ออกมาจากอกเสื้อและส่งให้ผู้จัดการห้องและพูดกำชับบางอย่างเป็นภาษากวางตุ้งอีกเช่นเคย เจเหลือบมองน้อยๆ เขาเริ่มคุ้นกับธรรมเนียมนี้ของฆาบี้และคริสแล้ว ทั้งสองคนนี้เป็นลูกค้าแบบที่คนทำงานบริการชอบคือ ทิปหนัก หลายครั้งที่ถ้าไปใช้บริการที่ร้านอาหารที่ไปเป็นประจำ หรือร้านที่บริการถูกใจจริงๆ สองคนนี้มักจะจ่ายทิปเพิ่มนอกเหนือจากค่าบริการ 10% ที่บวกไปในค่าอาหารแล้ว เมื่อถามว่าไม่คิดว่ามันเยอะเกินไปหรือ คนตัวโตของเขาก็หัวเราะแล้วตอบว่าค่าบริการที่ชาร์จในเอเชียนี้มันน้อยกว่าค่าบริการที่เขาต้องเจอในสหรัฐฯ มากนัก

“แถมการบริการที่ได้รับจากหลายๆ ที่ยังดีและจริงใจกว่าที่สหรัฐฯ มากด้วยนะเจ ฉันก็ว่ามันคุ้มจ่าย”

ฆาเบียร์เคยตอบเขาไว้แบบนั้น



“วันนี้ทิปเพิ่มไปเท่าไหร่ล่ะ?”

เจถามเบาๆ เมื่อพวกเขาลงลิฟท์มาด้วยกันที่ชั้น 39 และเดินเปลี่ยนลิฟท์ลงไปยังชั้นล็อบบี้

“ไม่เยอะหรอกน่า เจ ก็ตามมาตรฐาน”

เจกรอกตา ไม่เยอะของฆาบี้คือไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของเซอร์วิสชาร์จในบิล เขาประเมินราคาไวน์และอาหารที่เห็นในคืนนี้ไว้ไม่ต่ำกว่าสามหมื่นปาตากาสไม่รวมเซอร์วิสชาร์จและภาษี ก็แปลว่าในซองของพ่อเจ้าประคุณของเขานั้นน่าจะมีใบ 500 ฮ่องกงดอลลาร์ไม่ต่ำกว่าสามใบ

“หมั่นไส้คนรวย”

เจบ่นอุบอิบ เขาเองก็ชอบให้ทิปคนบริการเพราะตัวเองก็เรียนสายนี้มาจึงอยากจะตอบแทนคนทำงานบ้าง แต่เขาก็เบามือกว่าพ่อเศรษฐีอเมริกันคนนี้มากนัก ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วโอบไหล่คนรักกระชับเข้าแล้วหอมแก้มเบาๆ

“น่า สามคืนสี่วันนี้เป็นส่วนของฉัน ตามใจฉันหน่อยเถอะน่า เจ”

“จ้า พ่อสายเปย์ ผมยอมแค่นี้นะ รู้ไหม กลับบ้านเมื่อไหร่ห้ามเอานิสัยนี้มาใช้เด็ดขาด”

ฆาเบียร์ยกมือสัญญาทันที เขาเดินโอบไหล่คนตัวเล็กออกจากลิฟท์และออกไปยังล็อบบี้



“เอ๊ะๆ นี่อะไร ผมยังไม่เคยเห็น”

เจแวะดูของที่จัดแสดงที่ล็อบบี้ ปกติเขาเดินเข้าประตูอีกทางจึงไม่เคยได้สังเกตครอบแก้วที่ตั้งอยู่ข้างรูปปั้นครึ่งตัวของสแตนลี่ย์ โฮ ในครอบแก้วนั้นคือเพชรทรงสี่เหลี่ยมแบบที่เรียกว่าทรงหมอนหรือ cushion ที่มีขนาดย่อมกว่าลูกปิงปองเล็กน้อยตั้งแสดงอยู่

“แม่เจ้า เพชรเหรอ? ของจริงหรือเปล่า?”

“เพชรแท้นะ ดูนี่สิ”

ฆาเบียร์อ่านรายละเอียดของเพชรที่ชื่อว่า The Star of Stanley Ho ให้คนรักฟัง เจยกมือถือขึ้นถ่ายรูปเพชรเม็ดนั้นพร้อมรูปป้ายแสดงรายละเอียด จากนั้นกดส่งให้เพื่อนรักลูกร้านเพชรอย่างซันซันทางไลน์


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2018 06:44:47 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- หวานล้ำฉ่ำทรวง (ต่อ) ----



‘อยากได้อ่ะ ซื้อให้กูเป็นของขวัญวันเกิดเม็ดนึงดิ๊’

เจพิมพ์ส่งไป เพื่อนรักของเขาพิมพ์ตอบมาทันควัน

‘พร่อง! อยากได้ก็ให้ผัวเมิงซื้อให้สิวะ’


เจหัวเราะก๊ากแล้วส่งสติ๊กเกอร์ด่ากลับไป ฆาบี้ที่พยายามชะโงกหน้ามาอ่านแต่อ่านไม่ออกก็เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย เจหัวเราะคิกคักแล้วเล่าให้คนรักฟัง

"ถ้าเม็ดขนาดนี้ฉันคงหาซื้อให้ไม่ไหว แต่ถ้าเล็กกว่านี้ก็อาจจะพอได้นะ"

"เห้ย บ้า ผมพูดเล่น อย่านะเฟ้ย อย่าบ้าซื้อมาจริงๆ ล่ะ"

เจอุทานลั่นเมื่อเห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของคนรัก เขาลากแขนฆาเบียร์เดินออกจากที่นั่นไปขึ้นรถโรลสรอยซ์คันงามที่จอดรออยู่

"คุณนะ ไอ้พวกของมีค่าพวกนั้น ไม่ต้องเอามาให้เลย ผมไม่ใช่ผู้หญิงจะได้ชอบอะไรวิบๆ วับๆ แค่ไอ้เจ้านี่ผมก็ใส่ไปผวาไปอยู่แล้ว"

เจบ่นอุบเมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เขายกมือขึ้นลูบต่างหูสีน้ำเงินของแม่ของคนรักบนหูซ้ายของตนอย่างเบามือเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังอยู่ดี เขาจำราคาที่ซันซันบอกไว้ได้ แม้ฆาบี้จะปฏิเสธว่ามันไม่ได้แพงขนาดนั้นก็ตาม

"ทำไมคนชอบซื้อไอ้พวกเพชรพลอยเม็ดใหญ่ๆ แบบนี้กันจังนะ ก็ไม่เห็นจะเอามาใส่จริงในชีวิตประจำวันได้สักหน่อย"

เจเปรยถามขึ้น

"มันก็เพื่อการลงทุนนั่นแหละ เจ ของพวกนี้ราคาขึ้นทุกวันๆ โดยเฉพาะไอ้เจ้าเพชรสีน้ำเงินเข้มของเราเนี่ย ช่วงหลายปีมานี้ราคาพุ่งขึ้นจากเดิมมากเลยนะ ตอนแรกที่ฉันเอาไปตีราคาเพื่อทำประกันไว้หลังแม่ตาย สองข้างรวมกันก็ซักครึ่งล้านแล้วมั้ง ฉันก็ว่าราคาสูงแล้วนะ นี่ผ่านมาไม่ถึงสิบปี ราคาดีดขึ้นไปอีกเป็นแสน"

คนตัวโตที่เริ่มกรึ่มน้อยๆ หลุดปากพูดออกมาจนได้ เจทำตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อได้รู้ราคาของต่างหูเม็ดน้อยที่ตัวเองใส่อยู่

"ฆาบี้ เดี๋ยว ครึ่งล้าน? ข้างละสองแสนห้า? ราคานี้หน่วยเป็นอะไร?"

คนตัวโตหน้าซีดทันทีเมื่อเจระล่ำระลักถามกลับมา เขาเผลอหลุดปากออกไปจนได้

"เอ่อ อ่า...ฮ่องกงดอลลาร์จ้ะ"

เขาปดออกไปอย่างนั้นแต่ก็โดนสายตาคาดโทษของเจจับจ้องมา ฆาเบียร์ถอนหายใจออกปากดังเฮือกใหญ่

"โอเค ยูเอสดอลลาร์จ้ะ ที่รัก...หยุดเลย ห้ามถอด"

เขาเอ็ดคนที่ทำท่าจะถอดต่างหูคืนให้เขาด้วยเสียงเฉียบขาด

"โอ๊ย คุณ ไม่ไหวอ่ะ ข้างเดียวนี่จะแพงกว่าคอนโดผมอีก ผมไม่กล้าใส่แล้ว เอาคืนไปเหอะ"

เจนยุทธทำหน้าน่าสงสารขอร้องคนรัก หากฆาเบียร์นั้นใจแข็งและไม่ยอมง่ายๆ

"งั้น ขอเจอกันครึ่งทางได้ไหม ผมขอใส่แค่ตอนที่ไปไหนมาไหนกับคุณได้ไหม?"

ฆาเบียร์เม้มปากแน่นก่อนพยักหน้าตกลง เจยิ้มออกมาได้ กลับบ้านไปคราวนี้เขาจะไปหาซื้อตู้เซฟที่แน่นหนากว่าที่มีอยู่ในตอนนี้เพื่อมาเก็บไอ้เจ้าต่างหูข้างนี้



"คุณนี่ไม่ไหวเลยอ่ะ เรื่องสำคัญแบบนี้ก็ไม่ยอมบอกความจริงผม"

"แหม เจ นายก็พอกันแหละ คบกันมาตั้งนานไม่เคยเห็นบอกว่าเล่นเปียโนเป็น"

คนตัวโตตีขลุมตำหนิคนรัก

"อ้าว เฮ้ย คนละเรื่องกันเลย นั่นมันใช่เรื่องสำคัญเท่านี้ไหม? จะว่าไป ไอ้เรื่องนั้น คุณก็ไม่เคยบอกผมว่าเล่นเปียโนเป็นเหมือนกันล่ะน่า อีกอย่าง ผมก็ไม่ได้ปิดอะไร ตอนไปบ้านอาปาครั้งแรก ตอนก่อนเปิดตัวบริษัทคุณน่ะ ตอนนั้นผมก็เล่นเปียโนเป็นเพื่อนอาปาตั้งหลายเพลง คุณไม่เคยได้เห็นเอง"

ฆาเบียร์นั่งนิ่งนึกถึงช่วงเวลานั้น ตอนก่อนเจจะกลับไทย พวกเขาขึ้นไปอยู่ที่บ้านคริสบนเดอะพีคอยู่สองสามวัน ช่วงกลางวันเขาทิ้งเจไว้บ้านให้เป็นเพื่อนคุยกับอาปา ส่วนตัวเองไปทำงาน เมื่อกลับมา บางครั้งเขาก็จะได้ยินเสียงเปียโนเพราะพริ้งลอดออกมาจากห้องนั่งเล่นที่มีแกรนด์เปียโนหลังใหญ่อยู่ แต่เขาก็คิดไปว่าเป็นอาปาของเขาเป็นคนดีด

"ที่บ้านเราก็มีเปียโนนะ ถ้าคุณสังเกตดีๆ จะเห็นเปียโนไฟฟ้าเครื่องไม่ใหญ่คลุมผ้าทิ้งไว้ในยิมน้อยของผม แต่ที่ผมไม่เคยเล่นให้ฟังเพราะว่ามันพังแล้ว ผมยังไม่ได้เอาไปซ่อม"

เจพูดยิ้มๆ เขาบอกว่าเขาหัดเล่นเปียโนมาตั้งแต่เด็ก ส่วนหนึ่งก็เพราะพี่สาวของเขานั้นเล่นเปียโนด้วย เธอจับพ่อน้องชายตัวน้อยมานั่งเล่นด้วยกัน พอโตขึ้นหน่อยแม่เห็นเขาสนใจดนตรีก็เลยส่งไปเรียนเป็นเรื่องเป็นราว สอบผ่านก็หลายขั้นแล้ว แต่เขาชอบไปทางร้องเพลงมากกว่า

"ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าไหร่ ส่วนมากผมเล่นเพลงธรรมดาทั่วไปนี่แหละ ไม่ได้หัดมาแบบคลาสสิค..."

เจหัวเราะแหะๆ แล้วบอกว่าโดยมากเขาจะหัดเล่นเพลงที่ตัวเองชอบ ไม่ก็พวกเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมเอาไว้เล่นให้สาวๆ ฟังมากกว่า



"แต่เท่าที่ผมดู คุณกับอาปาน่าจะเป็นสายคลาสสิคใช่ไหม?"

เจถาม ฆาเบียร์พยักหน้า เขาบอกว่าเขาไม่ได้เรียนกับครูเป็นเรื่องเป็นราวอะไร คนที่สอนเขาเล่นเปียโนคือคุณหนูและคุณชายประจำบ้านอย่างแม่ของเขาและอาปาคริส แต่เขาเองก็ร้างราไม่ค่อยได้เล่นมาพักใหญ่แล้วเพราะภารกิจที่ต้องทำ แต่นานๆ ทีถ้าเครียด หรือเกิดอารมณ์อยากเล่นขึ้นมาเขาก็จะไปเล่นที่บ้านของอาปาทั้งที่สหรัฐฯ และที่บนพีค

"ว่าแต่เปียโนที่โรบุชงวันนี้เสียงดีมากเลยนะ สไตน์เวย์ใช่ไหมครับ?"

"ใช่แล้ว ตัวนี้เห็นว่าอายุน่าจะเฉียดห้าสิบปีแล้วมั้ง ทำขึ้นซักปี 1970 ต้นๆ แฮนด์เม้ดทั้งหลัง"

เจบ่นพึม เขาลืมนึกไปว่าไอ้เจ้าเปียโนตัวนั้นน่าจะเป็นของเก่า

"ผมไม่น่าไปเล่นมันเลย ทำของเขาพังหรือเปล่าก็ไม่รู้"

"นี่ ไอ้เจ้า Bösendorfer​ ที่บ้านอาปาบนพีคน่ะเก่ากว่านั้นอีกนั้น ตัวนั้นน่าจะเกิน 50 ปีแล้ว เผลอๆ จะเกือบร้อยปี ของพวกนี้มันไม่พังง่ายๆ หรอกน่าถ้าดูแลดีและสม่ำเสมอพอ"

ฆาเบียร์หัวเราะจนปวดท้องเมื่อเจมีทีท่าตกใจเมื่อรู้อายุของเจ้าเปียโนที่เขาเคยเล่นกับคริส คนตัวเล็กบอกว่าเขาจะไม่แตะมันอีกแล้วและจะไม่เดินเฉียดใกล้ตอนกลางคืนด้วยอีกเด็ดขาด เหตุผลของเจก็เพราะกลัวไอ้เจ้าสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นเอง


https://www.picz.in.th/images/2018/03/10/SkyVdu.jpg



"ฆาเบียร์ครับ"

เจอิงกายซบแนบคนรัก เขากระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหูคนรัก

"อีกนานไหมจะถึงโรงแรม? คุณช่วยบอกคนรถให้เร่งอีกนิดได้ไหม?"

ฆาเบียร์หันมามองคนรัก เจหลับตาแล้วส่งเสียงเบาๆ ออกจากปาก พวงแก้มที่แดงระเรื่อของเจทำให้ฆาเบียร์เกิดความปรารถนาขึ้นมา กลิ่นน้ำหอม Tabacco Oud ที่เขาชอบยังคงกรุ่นกลิ่นขึ้น เขารีบบอกคนรถให้เร่งความเร็วขึ้นอีกนิด

"...ดีจังครับ ผมจะทนไม่ไหวแล้ว อยากให้ถึงห้องเร็วๆ"

"เจจ๋า ฉันก็จะทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน นายนี่ช่างยั่วฉันจริงๆ"

ฆาเบียร์อดรนทนไม่ไหวต้องประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงระเรื่อของเจ

"เห้ยๆๆ คุณ เข้าใจผิดแล้ว"

เจรีบดันคนรักออก เขากระซิบข้างหู

"ทนไม่ไหวน่ะ ผมปวดฉี่ จะราดแล้วอ่ะ รีบๆ หน่อยเหอะ"

เจโอดครวญอย่างน่าสงสาร ฆาเบียร์ทนไม่ไหวต้องหัวเราะลั่นรถออกมาอีกครั้ง

"โอย นายทำฉันน้ำตาร่วงเลยนะ"

คนตัวโตเช็ดน้ำตาป้อยๆ เขาต้องหัวเราะจนตัวงออีกครั้งเมื่อคนตัวเล็กรีบเปิดประตูโดดลงรถทันทีที่รถหยุดสนิทหน้าประตูโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน เขาก้มหัวทักทายพนักงานที่คอยเปิดประตูอยู่แล้วรีบจ้ำอ้าวไปยังห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดโดยที่ไม่รอฆาเบียร์ด้วยซ้ำ



“ไง? เรียบร้อยแล้ว?”

ฆาเบียร์ที่นั่งรอบริเวณโถงหน้าลิฟท์ถามคนตัวเล็กของเขาที่เดินยิ้มอายๆ กลับมาหา

“ทันสิ เกือบแย่แน่ะ”

เจลงนั่งบนที่เท้าแขนของเก้าอี้นวมตัวใหญ่ที่ฆาเบียร์นั่งอยู่แล้วเอาหัวชนคนรักเบาๆ

“ป่ะ กลับห้องกันเถอะ ผมอยากถอดไอ้ชุดนี้ออกเต็มแก่แล้ว”

เจที่เดินอย่างรวดเร็วมาเมื่อครู่เริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมาตะหงิดๆ เขาถอดเสื้อนอกผ้ากำมะหยี่ออกมาถือไว้ ฆาเบียร์ลุกขึ้นยืนและพาคนรักของเขาขึ้นลิฟท์กลับไปยังห้องพัก



“นี่เราอยู่สูงเหมือนกันเนาะ”

เจมองลงมาจากหน้าต่างห้องพักชั้น 52 ของเขา ด้านล่างคือส่วนสวนน้ำขนาดใหญ่ที่เห็นอยู่ลิบๆ รอบข้างคือไฟวับวามจากเหล่าห้องพักในรีสอร์ทใกล้เคียง

“แต่ก็ยังเตี้ยกว่าที่ฮ่องกงเยอะ”

คนตัวโตเดินเข้ามากอดเอวคนตัวเล็กของเขาหลวมๆ เจหันหน้าไปจุ๊บคางคนรักเบาๆ เขาถูแก้มไปกับคางเกลี้ยงๆ นั้นอย่างถูกใจ

“ชอบฉันแบบหน้าเกลี้ยงๆ มากกว่าเหรอ?”

“ก็ตอนมีหนวดมันจั๊กกะจี้อ่ะ”

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาอุบอิบพูดต่อว่ามันทำให้เขาแทบดิ้นตาย โดยเฉพาะยามแก้มและคางที่มีตอหนวดเคราขึ้นน้อยๆ นั้นสัมผัสกับเนื้ออ่อนๆ ที่ต้นขา

“แล้วตกลงชอบหรือไม่ชอบล่ะจ๊ะ?”

คนตัวโตถามยิ้มๆ พร้อมกับแอบหอมแก้มป่องๆ ของคนรัก



“ชอบ ชอบไปหมดนั่นหละ”

เจหันมาเผชิญหน้ากับคนรัก เขาโน้มคอคนที่ตัวสูงกว่าลงมาและป้อนจูบให้แผ่วๆ

"ผมชอบทุกอย่าง ทุกส่วนที่เป็นตัวคุณนะครับ Mi alma..."

เจกระซิบแผ่วเบา ฆาเบียร์รัดร่างคนรักแน่นอย่างรักใคร่ เจนยุทธซบหน้าลงกับอกเมียตัวโตของเขา

“ผมชอบทุกอย่างที่คุณทำให้ผมในวันนี้ด้วย ชอบป้าย ชอบชิงช้าสวรรค์ ชอบที่คุณเล่นเปียโนให้ผมฟัง ชอบอาหาร ชอบไวน์ ชอบทุกอย่าง ขอบคุณจริงๆ ครับ ฆาบี้ ที่รักผมขนาดนี้”

เจเสียงเครือ เขาไม่เคยทุ่มเททำขนาดนี้ให้ใครเลยสักครั้ง

"ตอนวันเกิดคุณ ผมไม่ได้ทำอะไรให้เลย แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีปัญญาทำให้คุณได้ขนาดนี้ไหม?"

"เจ...ที่รัก มองฉันนี่"

ฆาเบียร์เชยคางคนรักที่ซุกหน้ากับไหล่เขาแล้วสะอื้นน้อยๆ เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่ตอนนี้เอ่อไปด้วยน้ำตา

"ฉันได้ของที่ล้ำค่ามากแล้วในวันเกิดของฉันนะ เจนยุทธ นายไงล่ะ"

หนุ่มละตินประคองใบหน้าของคนรักแล้วจูบแผ่วๆ ที่หน้าผาก

"...แค่นั้นก็พอเพียงแล้ว ฉันไม่ต้องการอะไรอย่างอื่นอีก ขอแค่ได้รู้ว่านายยังคงรักฉันก็พอ"

เจจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากบางของคนรัก

"ผมรักคุณ ฆาเบียร์ มาร์ติเนซ y siempre te amare"

'และจะรักคุณตลอดไป'

นั่นคือคำสัญญาที่เจนยุทธมีให้เมียตัวโตของเขา



"ตายล่ะ ฉันลืมไปเลย เจ ลุกก่อนนะ"

ฆาเบียร์ดันตัวคนรักที่นอนซบอกเขาอยู่บนโซฟา พวกเขามานอนพลอดรักกันบนนี้ได้ครู่หนึ่งก่อนที่คนตัวโตจะเหลือบดูนาฬิกาแล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้

"อาปาบอกให้ฉันโทรหาก่อนพ้นเที่ยงคืน คงอยากจะอวยพรนายน่ะ"

ฆาเบียร์ปล่อยให้คนตัวเล็กของเขาจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนที่จะต่อวีดีโอคอลล์หาคริส

"ไง เจ เห็นของขวัญที่อาปาเตรียมไว้ให้หรือยัง?"

เจทักทายและส่งยิ้มกว้างให้อาปาของเขาและฆาเบียร์ที่อยู่อีกซีกหนึ่งของโลก เขาตอบรับว่าเห็นแล้ว เจเปิดภาพจากในมือถือให้คริสดู เขาพร่ำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก

"ไม่เป็นไรหรอกลูก แค่นี้เรื่องเล็กน้อย ที่จริงอาปาอยากไปฉลองด้วยกับตัว แต่เสียดายที่ไม่ว่าง อีกอย่าง อาปาไม่อยากจะไปเป็นก้างขวางคอพวกเราด้วย"

คริสพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เจและฆาเบียร์หน้าแดงระเรื่อ ถ้าคริสอยู่ พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้จู๋จี๋กันอย่างเต็มที่แน่ๆ เจสนทนากับอาปาของฆาเบียร์ต่ออีกพักใหญ่ คริสอวยพรลูกคนใหม่ของเขาอีกครั้ง



"เออ แล้วฆาบี้ได้เอาของขวัญอีกอย่างที่อาปาฝากไว้ให้เจหรือยัง?"

เจเลิกคิ้วแล้วหันไปมองคนรัก

"เอ่อ ยังครับ ผมกะว่าจะให้เจคุยกับอาปาก่อน"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ เขาอยากให้คริสได้คุยกับเจเรื่องนี้ก่อน คริสพยักหน้าน้อยๆ เขาพอเข้าใจว่าทำไม

"เอาให้เจตอนนี้เลย ฆาบี้ เผื่อมีข้อสงสัยอะไรจะได้ถามอาปาได้"

ฆาเบียร์รับคำ เขาเดินไปหยิบกระเป๋าเอกสารของตนมาและหยิบเอาซองเอกสารในนั้นออกมา เขาส่งเอกสารปึกหนึ่งให้เจ และชี้ให้เจอ่านตรงที่ไฮไลท์ไว้ เจก้มลงอ่าน เขาใช้เวลากับมันเล็กน้อยเพราะต้องพยายามทำความเข้าใจกับศัพท์เทคนิคทางธุรกิจในภาษาอังกฤษ เขาขมวดคิ้วแล้วก็ต้องตาเบิกโพลงเมื่ออ่านจบ

"นี่...นี่มันอะไรกันครับ?"

เจระล่ำระลักถาม ที่เขากำลังอ่านอยู่นั้นคือ MOU หรือบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนผู้ถือหุ้นในบริษัทของคริสและฆาเบียร์ ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด คริสยกหุ้นในบริษัทของเขาและฆาเบียร์ที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ในเว็บไซต์การท่องเที่ยวที่ฆาเบียร์บริหารอยู่ในปัจจุบันให้ 2% และฆาเบียร์เองก็ยกให้อีก 1% ทำให้ตัวเขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับสามรองจากคริสที่มี 49% และฆาเบียร์ที่มี 48%

"เข้าใจถูกแล้วเจ ถือเป็นของขวัญวันเกิด และของรับขวัญลูกในฐานะสมาชิกของครอบครัวเราไงล่ะ"

คริสพูดด้วยใบหน้ายิ้มละไม เจพยายามจะทักท้วง

"แต่ผม..."

"ไม่มีแต่นะ เจ..."

คริสขัดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

"ที่ประชุมบอร์ดของบริษัทได้มีมติตัดสิยเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้เหลือแค่เดินเรื่องจดทะเบียนนั่นนี่ ซึ่งอาปากำลังให้ทนายดูอยู่ ถ้าต้องการใช้หลักฐานอะไรอาปาก็จะบอกที่ฆาบี้ไว้แล้วกันนะ และอาปาจะทยอยยกหุ้นให้ลูกเรื่อยๆ แบบนี้ทุกปี โอเคไหม?"

เจตะลึง จะให้เขาพูดอะไรได้ เขาหันไปมองคนรักเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่คนตัวโตทำเป็นมองเมินไปทางอื่น



"อาปาครับ นี่มันมากเกินไป ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ"

เจนยุทธปากสั่น เขาไม่รู้มูลค่าของมัน แต่มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ แน่ๆ แล้วนั่นมันหมายถึงว่าเขาต้องไปมีส่วนในการบริหารกิจการด้วยหรือเปล่า เขาก็ไม่รู้ คริสดูออกถึงความกังวลนั้น

"เจ ไม่ต้องห่วงเรื่องการบริหารหรืออะไร ลูกจะอยู่ในฐานะ silent partner ก็ได้ ปล่อยให้ฆาบี้เขาทำงานไป ยิ่งเจมาถือหุ้นด้วย รับรองรายนั้นทำงานถวายหัวแน่นอน ไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดปัญหาอะไรให้ลูกต้องมารับผิดชอบทีหลังนะ"

คริสพูดยิ้มๆ silent partner คือหุ้นส่วนที่ลงแค่เงินแต่ไม่มีอำนาจในการบริหารใดๆ แต่ถ้าเกิดปัญหาใดขึ้นกับบริษัท หุ้นส่วนนั้นก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยอยู่ดี แต่เท่าที่คริสดูแล้ว เขารู้แน่ชัดว่าฆาเบียร์คงไม่ยอมปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดใดจนเจต้องมารับภาระกับบริษัทของพวกเขาเป็นแน่แท้

"ที่ผมห่วงมันไม่ใช่แค่นั้นครับ ผมแค่คิดว่าการที่อยู่ๆ เอาผมที่ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องธุรกิจแบบนี้เลยมาเป็นผู้ถือหุ้น มันจะมีผลต่อความไว้วางใจของนักลงทุนในส่วนของเว็บไซต์ที่เป็นบริษัทมหาชนหรือเปล่า?"

เจพูดอย่างหนักใจ ถึงทั้งสองบริษัทนี้จะเป็นคนละบริษัทกัน หากความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในบริษัทของพ่อฆาเบียร์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทมหาชนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ก็อาจส่งผลต่อมูลค่าของหุ้นได้ ฆาเบียร์มองคนรักอย่างซึ้งใจ เจคิดเผื่อเขาไปจนถึงขนาดนั้น

"ไม่ต้องห่วงหรอก เจ เราจะไม่เปิดเผยว่าผู้ถือหุ้นคนใหม่นี้เป็นใคร ดีไหม? แต่ถึงมันมีผลก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยให้ฆาเบียร์หาทางจัดการให้หุ้นมันขึ้นกลับมาเหมือนเดิม ได้ใช่ไหมเรา?"

คริสพูดกลั้วหัวเราะแล้วหันไปถามลูกบุญธรรมของเขา ฆาเบียร์เกาหัวน้อยๆ อาปาผลักภาระมาที่เขาจนได้

"ใช่ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะจัดการเอง"

คนตัวโตให้คำมั่นกับคนรักของเขา เจกัดริมฝีปากน้อยๆ และครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

"ผมจะรับหุ้นพวกนี้ไว้โดยมีเงื่อนไขบางอย่าง ผมจะคุยกับฆาเบียร์เรื่องเงื่อนไขนี้ทีหลัง และผมขอให้ทั้งสองคนช่วยตามใจผมด้วย อย่าได้ขัดใจผมเรื่องเงื่อนไขพวกนี้เลย ถ้าอาปากับฆาเบียร์ตกลงผมก็จะรับหุ้น 3% นี้ไว้"

เจร้องขอ ทั้งฆาเบียร์และคริสมองหน้ากันและตัดสินใจตกลง เจถอนหายใจอย่างโล่งอก

"งั้นตกลงครับ ผมขอน้อมรับหุ้นจำนวนนี้ไว้ และขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ"

เจยกมือไหว้ขอบคุณคริสและยื่นมือไปสัมผัสกับคนรัก ฆาเบียร์กระชับมือเรียวนั้นไว้แน่น ตอนนี้เขาได้ชื่อเป็น partner กับคนที่เขารักสุดใจคนนี้แล้ว

 

เจสนทนากับคริสอีกพักหนึ่งก่อนที่ผู้อาวุโสจะปล่อยให้คนหนุ่มทั้งสองไปใช้เวลาส่วนตัวกัน

"คุณนี่มันเหลือเกินจริงๆ เลย ฆาเบียร์ เอาหุ้นมาโยนให้ผมงี้ได้ไง ของมูลค่าขนาดนี้ เอามาให้คนอย่างผม จะดีเหรอ? ผมมันก็แค่คนที่คุณคบหาได้ไม่นานนะ คุณแน่ใจขนาดนั้นเลยเหรอ?"

เจเสียงเครือ ในอกเขาเต็มไปด้วยความตื้นตัน

"อาปาอีกคน จะรู้ได้ยังไงว่าผมจะคบคุณยืด มาทุ่มเทความรักให้ผมกันขนาดนี้ ผม...ผม..."

เจน้ำตาร่วงพรู ฆาเบียร์โอบคนรักเข้ากับอกและลูบหลังเบาๆ

"เพราะพวกเรามั่นใจในตัวเจยังไงล่ะ และฉันก็มั่นใจและแน่ใจในความรักของเราสองคน ถึงเราจะคบหากันช่วงสั้นๆ แต่ฉันรู้ว่าเราคือคู่แท้ และฉันพร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตกับนายไปตลอด และฉันก็อยากให้นายเห็นถึงความจริงใจของฉันว่าฉันไม่ได้คิดคบเจเล่นๆ หรือหลงเจแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เข้าใจไหม?"

เจพยักหน้าระรัว เขาจูบแผ่วๆ ลงบนตำแหน่งของหัวใจคนรัก ฆาเบียร์ดันตัวของเจออก

"ยังมีอีกนะ เจ"

ฆาเบียร์ดึงเอกสารอีกชุดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา

"นี่คือหุ้นของเว็บไซต์เราที่อยู่ในตลาดหุ้น 25,000 หุ้น ฉันซื้อให้นาย เป็นเงินของฉันเองไม่ใช่เงินบริษัท ไม่ต้องห่วง ไม่มากมายอะไรเท่าไหร่หรอกเจ แค่ 0.01% กว่าๆของหุุ้นทั้งหมด"

"ไม่ ฆาเบียร์ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รับของมูลค่าสูงๆ อีกแล้ว"

เจรีบดันมันคืนให้คนรักทันที เขาศึกษาเรื่องหุ้นของบริษัทของฆาบี้มาบ้างเพราะมีแผนจะซื้อเก็บไว้ เขาจึงรู้มูลค่าของมันดี ฟังจากจำนวนหุ้นที่ให้มาแล้วเมื่อคูณกับมูลค่าหุ้น ถึงมันจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับ 20% ที่บริษัทของคริสและฆาเบียร์ถือไว้ และ 15% ของบริษัทของคริสในฮ่องกง แต่ตัวฆาเบียร์เองน่าจะต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ไปเจ็ดหลักในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทีเดียว

"เจ ฉันขอร้องล่ะ นายรับมันไว้เถอะ  ฉันอยากให้นายจริงๆ"

คนตัวโตทรุดกายลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าของคนรัก เจจนใจและรับมันไว้ในที่สุด

 


"ผมจะรับมันมาโดยมีเงื่อนไข เหมือนกับที่ผมบอกเมื่อกี้นี้ ตกลงไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้าตกลง เขายิ้มร่าอย่างมีความสุข

"ไม่ต้องมาทำหน้าเป็นเลย ไปหยิบกระดาษอะไรมาก็ได้แผ่นหนึ่ง เร็วเข้า"

เจพูดเสียงแข็ง คนตัวโตเดินไปหยิบกระดาษโน้ตของโรงแรมที่มีให้ในลิ้นชักของโต๊ะทำงานพร้อมกับปากกาแล้วเดินกลับมาที่โซฟา

"เอ้า ว่าไง จะให้ฉันเขียนอะไร"

"เขียนตามผมว่า เขียนที่โรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน มาเก๊า ลงวันที่อะไรด้วย..."

คนตัวโตยิ้มกริ่ม เจช่างเป็นงานเป็นการจริงๆ

"บันทึกข้อตกลงนี้ทำขึ้นระหว่างข้าพเจ้านายฆาเบียร์ บาเลนติน มาร์ติเนซ เด ลา โรซ่า ฝ่ายหนึ่งและนายเจนยุทธ ภัทรปรีดา อีกฝ่ายหนึ่ง...ต้องจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ เจ?"

คนตัวโตที่พูดทวนตามสิ่งที่ตัวเองกำลังเขียนอยู่โอดครวญขึ้น

"เขียนไป ไม่ต้องเถียง"

เจเอ็ดเบาๆ ฆาเบียร์ส่ายหัวแต่ก็เขียนต่อไป



"...ทั้งสองฝ่ายได้ทำการตกลงกันไว้ว่าหากทั้งสองฝ่ายต้องจากกันด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือการยุติความสัมพันธ์ด้วยเหตุใดก็ตาม นายภัทรปรีดาหรือทายาทจะต้องทำการคืนหุ้นทั้งหมดที่ได้รับมาตามที่แสดงไว้เบื้องต้น ทั้งที่ได้รับมาจากนายมาร์ติเนซ เด ลา โรซ่าและจากนายคริสโตเฟอร์ หว่องให้กับนายมาร์ติเนซ เด ลา โรซ่า หรือทายาทโดยไม่มีข้อเกี่ยงงอนใด และนายมาร์ติเนซ เด ลา โรซ่าหรือทายาทจะต้องยอมรับคืนทั้งหมดโดยไม่มีข้อเกี่ยงงอนด้วยเช่นกัน...”

“เจ แบบนี้ฉันไม่เอา! ฉันไม่ยอมเด็ดขาด!"

ฆาเบียร์อุทานลั่น

"ถ้าคุณไม่ยอม ผมก็ไม่รับหุ้นทั้งหมดนี้ เลือกเอาแล้วกัน"

เจตัดสินใจแล้ว ถ้าอีกฝ่ายต้องการให้รับไว้ เขาก็จะรับ แต่ถ้าเกิดวันใดที่พวกเขาเกิดต้องจากกันไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดและใครเป็นฝ่ายไปก่อนก็ตาม หุ้นจำนวนนี้ก็จะกลับไปอยู่กับเจ้าของเดิมของมัน หรืออย่างน้อยก็คือคืนให้กับบริษัทเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ คนตัวโตพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ต้องยอมตามคนรักของตน



"เอ้า มีต่อ จดตามนี้ เงินได้หรือรายได้ที่รับมาจากหุ้น 3% ในส่วนของบริษัท xxxx นั้น นายภัทรปรีดาจะไม่ขอรับไว้ หากให้เก็บไว้ในบัญชีเงินฝากที่เปิดในสหรัฐฯ เท่านั้น ส่วนเงินได้ที่ได้รับจากหุ้นของเว็บไซต์ xxxx นั้น นายภัทรปรีดาขอมอบให้นายมาร์ติเนซ เด ลา โรซ่า เป็นผู้ดูแลเพื่อนำมาใช้จ่ายตามที่จะตกลงกันในอนาคต"

"จะเอาอย่างนี้จริงๆ เหรอ เจ?"

คนตัวโตครางแผ่วๆ เจพยักหน้า ฆาเบียร์ได้แต่ต้องก้มหน้าก้มตาเขียนต่อไปไ

"...นายภัทรปรีดาทำการตกลงว่าจะไม่กระทำการขายหุ้นที่ได้รับมาและจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้รับฝากหุ้นจำนวนนี้ไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันควรเท่านั้น..."

เจยังทำการใส่ข้อนั่นนี่ยิบย่อยไปอีกหลายข้อ ฆาเบียร์ทำท่าจะท้วงหลายรอบแต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมสยบให้คนรักของเขา

"...เอ้า จบ ลงท้าย เซ็นชื่อซะ พรุ่งนี้ให้เมลิน่ากับริคกี้เซ็นเป็นพยานและทำสำเนามาหลายๆ ฉบับด้วย"

ฆาเบียร์เซ็นชื่อลงที่ข้างท้าย พร้อมกับส่งให้เจเซ็นต่อท้าย เจยิ้มอย่างโล่งอก เขาสบายใจไปเปลาะหนึ่งแล้ว



“ผมเคยบอกคุณแล้ว ผมไม่อยากให้มีเรื่องเงินทองมาเกี่ยวข้องระหว่างเราสองคน ผมไม่อยากให้คนมองว่าผมคบคุณเพราะต้องการอะไร..."

"เจ นายก็รู้ว่า..."

เจยกมือปิดปากคนรัก

"ไม่ต้องพูดแล้วครับ ผมรู้ว่าคุณรักผม ผมถึงยอมรับมันมา แต่ที่ผมทำแบบนี้ ที่ให้เซ็นนั่นนี่ เพราะผมอยากให้คุณรู้ว่าสำหรับผม หุ้นจำนวนนี้เป็นเครื่องแสดงความรักและเมตตาของคุณและอาปา ไม่ใช่อย่างอื่น และผมขอร้องล่ะ ฆาบี้ คุณช่วยไปคุยกับอาปาทีเรื่องที่อาปาบอกว่าจะยกหุ้นให้ผมเพิ่มน่ะ ผมไม่ต้องการ ขอร้องล่ะครับ"

คนตัวโตถอนหายใจ เขาตอบเจว่าเขาจะจัดการเรื่องนั้นให้ เจจึงยิ้มออกมาได้ เขาหยิบเอกสารหุ้นที่รับจากฆาเบียร์มาอ่านคร่าวๆ แล้วส่งคืนให้คนตัวโตที่นั่งทำหน้าตูมอยู่​

"คุณฝากหุ้นไว้กับโบรคเกอร์ที่คุณเปิดพอร์ทไว้ให้ผมคราวที่แล้วเหรอ?"

เจถาม เขาเริ่มให้ฆาเบียร์สอนเล่นหุ้นตามที่เคยคุยไว้กับคนตัวโต ฆาบี้พยักหน้า

"งั้นกำชับเขาด้วยล่ะ ว่าหุ้นจำนวนนี้มีไว้ถือนิ่งๆ อย่างเดียว ไม่เอาไปเล่น แล้วแยกบัญชีรับเงินด้วยล่ะ เปิดบัญชีที่ฮ่องกงก็ได้ ผมให้สิทธิ์เต็มคุณเอาเงินตัวนี้ไปจัดการเลย จะเอามาเป็นค่าใช้จ่ายเวลาเราไปไหนมาไหนกันนอกประเทศไทยก็ได้ ตามใจคุณเลย โอเคไหม?"

เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นคนตัวโตทำหน้าซังกะตาย เขาใช้มือดันมุมปากของฆาเบียร์ขึ้น

"ยิ้มหน่อยสิครับ คนดี อย่างอนเลย"

"นายนี่มันโคตรดื้อเลยนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วใช้มือทั้งสองข้างยีหัวเจจนผมยุ่งไปหมด คนตัวเล็กโวยลั่น พวกเขากอดปล้ำกันบนโซฟานั้นอยู่พักหนึ่ง



"โอย เหนื่อย คุณนี่นะ เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้"

เจนอนหอบหายใจอยู่บนอกคนตัวโต

"นี่เที่ยงคืนแล้ว ไม่มีเซอไพรส์อะไรอีกแล้วใช่ไหม? พอแล้วเหอะ เดี๋ยวปีหน้าหมดมุกนะ"

"เหลืออย่างสุดท้ายนะ เจ"

"โอ๊ย อะไรอีก!"

เจมองไปรอบๆ ห้องอย่างไม่ไว้วางใจเผื่อจะมีใครหรืออะไรโผล่มาอีก คนตัวโตหัวเราะเบาๆ

"ไม่มีแล้วเจ ไม่มีคนอื่นแล้ว มีแค่เราสองคน"

ฆาเบียร์ลุกขึ้นยืนและดึงร่างเพรียวให้ลุกขึ้นตาม เขาพาเจเดินไปที่บาร์เหล้าน้อยๆ ที่มุมหนึ่งของห้อง บนนั้นมีกล่องสีแดงฉานใบโตตั้งอยู่พร้อมซีลสีทองที่หน้ากล่อง

"Louis XIII ฆาบี้ เอาจริงดิ?"

เจใจเต้น เขารู้ดีว่ามันคืออะไร

"ราคาไม่เกินห้าหลักนะ เจ"

"เออ รู้ๆ กินกันสองคน หารกันคนละครึ่ง ส่วนของผมไม่เกินห้าหลัก บ้าชิบ ฆาบี้! คุณมือเติบเกินไปแล้วนะ"

เจมือสั่นเปิดกล่องใบนั้นออก และเขาก็เห็นมัน คอนญัคยี่ห้อเรมี่ มาร์แตง รุ่น Louis XIII หนึ่งในบรั่นดีจากแคว้นคอนญัคที่ราคาสูงที่สุดในโลก ถ้าไม่นับพวกตัว Limited Edition

"ยังดี คุณไม่บ้าซื้อไอ้เจ้า Black Pearl ให้ผม"

"ฉันลองหาแล้ว หาไม่ได้"

คนตัวโตพูดหน้าตาเฉย เจหันขวับไปถลึงตาใส่คนรักทันที ฆาเบียร์หัวเราะร่วนแล้วหอมแก้มป่องๆ นั้น

"บ้า ฉันพูดเล่นหรอก ขวดตั้งเกือบสองแสนเหรียญ ฉันสู้ไม่ไหวหรอก เจ มะ เปิดขวดดีกว่า ฉันอยากดื่มแล้ว"



--------------------------------------
(ต่อคอมเมนท์หน้าค่ะ ตัวหนังสือเกินเฉย)




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2018 06:46:00 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1

---- หวานล้ำฉ่ำทรวง (ต่อ) ----

(ภาคผนวก)


ตัดตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวยาว ตอนนี้หวานแล้ว ตอนหน้าเผ็ดแซ่บ ฮ่าๆๆ

ของหวานที่โรบุชงอร่อยค่ะ แต่ก็รู้สึกจะดร็อปลงมาจากคราวที่แล้วที่ไปกินหน่อย แต่ก็ยังโอเค โดยรวมๆ ชอบอาหารมากกว่าขนม แต่ที่ชอบมากคือไอ้เจ้ามาเดเลนร้อนๆ ที่เสิร์ฟปิดท้ายค่ะ อร่อยจริงๆ อีกอย่างที่ชอบคือเลม่อนบัตเตอร์เค้กที่ให้มาเป็นของฝากกลับบ้าน จะพูดถึงในตอนถัดไปนิดหน่อยค่ะ ส่วนเรื่องเหล้าที่ฆาบี้ซื้อมาบรรณาการน้องเจ ไว้ค่อยพูดถึงตอนหน้าค่ะ อ้อ ลืมพูดถึงไปอีกอย่าง ในรูปสุดท้ายที่เป็นรูปชั้นไวน์ของโรบุชง ไอ้เจ้าโรมาเน กองติ 5 ขวดในรูปนั้น ราคาก็ขวดละประมาณแสนห้าถึงสองแสนปาตากาส ห้าขวดนั่นก็สี่ล้านบาทไทย แล้วเท่าที่เห็นวันนั้นคือ มันเรียงกันเป็นแถวยาว ไม่ใช่มีแค่ห้าขวดนะคะ น่าสะพรึงจริงๆ


มาต่อเรื่องเพลง ยกเพลงที่ชอบมาใส่ไว้สองเพลง เอามาจาก Channel ในยูทูบของหมอโคดะ Kodatube รายนี้ชอบเพลงของ X-Japan ค่ะ เล่นไว้เพียบ ไปฟังกันได้ เอาชื่อไปพิมพ์หาได้เลย

เพลง Forever Love พร้อมซับภาษาไทย ใครอยากรู้ว่าเศร้าแค่ไหนก็ลองอ่านเนื้อไทยดูค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=NqpM8-Z-bZo

เวอร์ชั่นคุณป๋าโยมาเอง เล่นพร้อมวงออเคสตร้า   https://www.youtube.com/watch?v=kYf2I0zV5o0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Deeper! Harder! ----




เจนยุทธยืนจดๆ จ้องๆ อยู่หน้ากล่องสีแดงใบโต จากที่เห็น ฆาเบียร์คงให้ริคกี้เอากล่องชั้นนอกซึ่งมีหูหิ้วออกไปไว้ที่อื่นก่อนแล้ว เหลือไว้เพียงกล่องชั้นในซึ่งมีแผ่นโลหะสีทองแผ่นเท่าอุ้งมือปิดกลางฝาด้านหน้าของกล่องไว้ เจพยายามดึงกล่องเปิดอย่างเบามือแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

"เปิดไงอ่ะ คุณ?"

เจทำท่าจนปัญญาและหันไปขอความช่วยเหลือจากคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเปิดกล่องคอนญัคราคาแพงระยับยี่ห้อนี้ คนตัวโตเลื่อนแผ่นโลหะสีทองนั้นออกไปทางด้านข้างเบาๆ เผยให้เห็นปุ่มเล็กๆ

"เอ้า กดเลยจ้ะ birthday boy"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจกดปุ่มนั้นเบาๆ ฝากล่องทั้งสองข้างก็พลันเด้งแยกออกจากกันเผยให้เห็นคอนญัคขวดรูปร่างกลมแบนก้นป้านภายใน เจค่อยๆ ดึงตัวกล่องให้แยกออกด้วยใจระทึก เขาเคยเห็นคอนญัคขวดสวยที่ขวดทำโดยบริษัทเครื่องแก้วชื่อดังอย่าง Baccarat นี้ตั้งโชว์อยู่ในดิวตี้ฟรีของสนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนั้นเขาไปยืนส่องแล้วส่องอีกแต่ก็ไม่คิดอาจเอื้อมได้ลองลิ้มชิมรสเพราะสนนราคากว่าแสนบาทของมัน

"คุณดึงขวดออกมาเองนะ ผมกลัวทำตกแตก"

เจลองขยับขวดดูแล้ว หากมันถูกห่วงค้ำที่คอขวดยึดไว้ค่อนข้างแน่น เขาไม่กล้าดึงแรงๆ เพราะกลัวทำหลุดตกมือ ฆาเบียร์จัดการดึงขวดออกมาให้คนรักอย่างง่ายดาย เขาหยิบเอาจุกแก้วลายดอกลิลลี่ หรือ fleur de lis ที่เคยถูกใช้เป็นตราประจำราชวงค์ของฝรั่งเศสออกมาเตรียมไว้ เขาเปิดตู้แล้วหยิบแก้วบรั่นดีออกมาสองแก้ว

"เสียดาย ที่นี่มีแต่แก้วบรั่นดีธรรมดาๆ ปกติถ้าดื่มไอ้เจ้า Louis XIII เค้าแนะนำให้ใช้แก้วทรงสูงคล้ายแก้วไวน์ แต่จะแคบๆ หน่อยคล้ายๆ แก้วแชมเปญ แต่ก็...ไม่ต้องพิธีรีตรองอะไรมากมายหรอกเจ อยากดื่มยังไงก็ดื่ม ตามสบายเลย...เอ้า เปิดเหอะ รอนานละ"

ฆาเบียร์ชี้เชือกสีทองเส้นน้อยที่ห้อยออกมาจากซีลกระดาษฟอยล์หนาที่ปากขวด เจค่อยๆ ดึงมันตัดฟอยล์นั้นอย่างง่ายดาย เขาดึงจุกคอร์กที่ปิดปากขวดออก กลิ่นหอมของบรั่นดีก็กำจายออกมา

“โอย หอมมม”

เจสูดดมกลิ่นของเครื่องดื่มที่ทำจากองุ่นขวดนั้น เมื่อดูจากสี ผู้ที่ไม่รู้อาจเข้าใจว่าบรั่นดีคือเครื่องดื่มที่ทำจากธัญพืชเหมือนพวกวิสกี้ แต่ที่จริงแล้วมันได้จากการสกัดและกลั่นน้ำจากองุ่นพันธุ์เฉพาะถึงสองครั้งจนได้ออกมาเป็น eau-de-vie ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า “น้ำแห่งชีวิต” จากนั้นเจ้าน้ำแห่งชีวิตนี้ก็จะถูกหมักบ่มในถังไม้โอ๊คอีกอย่างน้อยสองปี บรั่นดีขวดหนึ่งนั้นได้จากการ blend หรือผสมโอ เดอ วีจากหลายๆ ถังหมักซึ่งมีช่วงเวลาหมักที่แตกต่างกันไป อย่างที่ไร่ของ remy martin ซึ่งมีโอ เดอ วีมากที่สุดในโลกนั้น มีถังหมักเจ้าน้ำแห่งชีวิตนี้มากถึง 140,000 ถัง โดยถังที่เก่าแก่ที่สุดนั้นถูกหมักมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนเลยทีเดียว



“คุณครับ ไอ้เจ้าลูอี แทรซนี้ ต่างจากเคมี่ มัคแตงแบบทั่วไปยังไงอ่ะ?”

เจออกเสียง Louis XIII และ Remy Martin แบบคนที่เคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาบ้าง

“เจเคยชิม Remy Martin XO แล้วใช่ไหม?”

เจพยักหน้า เขากับเพื่อนๆ ลงทุนซื้อคอนญัคขวดละเกือบ 9,000 บาทมาแบ่งๆ กันชิมช่วงที่เรียนวิชาเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่วนไอ้เจ้า VSOP ที่ถูกกว่ามากนั้น เขามีติดบ้านเป็นประจำอยู่แล้ว

“ไอ้เจ้า XO น่ะ ได้มาจากการผสม eau-de-vie ที่เอามาจากประมาณ 400 ถัง แต่ Louis XIII นี้ใช้ส่วนผสมจาก 1,200 ถังเลยทีเดียว แถมยังใช้ถังที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีถึง 100 ปีเลยนะ จะต้องเป็นถังที่เก่าที่สุดและมีคุณภาพดีที่สุดเท่านั้น พูดไปก็เท่านั้น ชิมเลยดีกว่า เทมาเถอะเจ"

คนตัวโตที่ทำท่าอยากดื่มเต็มทีแล้วพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ เขาหยิบแก้วบรั่นดีทั้งสองใบมาวางตั้งหน้าขวดและทำท่าจะยกขึ้นเท เจรีบดึงขวดแก้วที่ทำด้วยใบนั้นไปกอดไว้อย่างหวงแหน

"ไม่เอา ผมยังไม่อยากดื่มวันนี้น่ะ เสียดาย"

"เจ จะไม่ลองชิมจริงๆ เหรอ? ไหนๆ ก็เปิดแล้วนะ"

คนตัวโตทำตาละห้อยมองคอนญัคสุดโปรดของเขา

"ไม่อ่ะ ไว้วันอื่นแล้วกัน"

ฆาเบียร์ถอนหายใจออกจากปากเฮือกใหญ่

"ตามใจนายแล้วกัน ไม่ก็ไม่"

เมียตัวโตของเจพูดสะบัดหางเสียงน้อยๆ เจพยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นทีท่าพาลเล็กๆ เหมือนเด็กของคนรัก แต่ก็อดไม่ได้ต้องปล่อยก๊ากออกมาเมื่อคนตัวโตเดินหน้าตูมไปกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา

"โอย ขอโทษจริงๆ คุณ ผมไม่แกล้งคุณแล้ว ดื่มสิครับ ดื่ม ผมงี้เปรี้ยวปากไปหมดแล้ว"

เจรีบดึงจุกคอร์กออกแล้วเทคอนญัคสีอำพันเข้มนั้นลงในแก้วบรั่นดีทั้งสองใบ จากนั้นใช้จุกคริสตัลปิดแล้วใส่กลับลงไปในกล่อง ก่อนจะถือแก้วบรั่นดีเดินไปยื่นให้คนรักที่นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่โซฟา

"อย่างอนสิครับ เมีย เอ้า เหล้าของคุณ"

ฆาบี้รับแก้วมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าและทำท่าไม่สนใจมันอีก เจยิ้มน้อยๆ เมียตัวโตของเขางอนแบบนี้ เขาคงต้องหาวิธีง้อเสียแล้ว



"ฆาบี้ครับ ไม่ดื่มจริงๆ เหรอ?"

เจลงนั่งเคียงข้างคนรัก เขายกแก้วในมือขึ้นสูดดมกลิ่นอันหอมจรุง จากนั้นจิบมันเข้าไปอึกหนึ่งโดยกลั้วมันในปากน้อยๆ ให้รสชาติอันล้ำลึกขององุ่นที่หมักบ่มมานานปีสัมผัสทั่วโพรงปาก เขาระบายลมหายใจออกมาอย่างพึงใจ สมแล้วที่มันถูกเรียกว่าราชาแห่งคอนญัค เขาว่าไอ้เจ้า Remy Martin XO ธรรมดาๆ นั้นอร่อยแล้ว เจ้า Louis XIII นั้นยิ่งล้ำลึกขึ้นไปกว่า กลิ่นรสของมันทำให้เขานึกถึงกำยาน หนัง ซิการ์และผลไม้อย่างมะเดื่อและพลัม

"โอย อยากได้ซิการ์ดีๆ สักตัว"

เจบ่นออกมาเบาๆ เขายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสายตาที่แอบมองมาของคนรักที่ทำเมินเขาอยู่ ฆาเบียร์รีบหันหน้ากลับไปอีกทางเมื่อเห็นเจมองกลับมา

"ไม่ดื่มจริงๆ เหรอ คุณ หอมนะ ลื่นคอสุดๆ ด้วย"

เจยกแก้วบรั่นดีขึ้นจ่อใต้จมูกคนตัวโต เขาอมยิ้มเมื่อเห็นฆาเบียร์พยายามกลั้นหายใจอย่างสุดกำลัง

"คุณไม่ดื่ม งั้นผมดื่มแทนเองก็ได้"

ฆาบี้รีบตะครุบแก้วของเขาเมื่อได้ยินเจพูดแบบนั้น แต่ก็ช้ากว่าคนตัวเล็กที่รีบฉวยแก้วนั้นและเผ่นพรวดไปยืนห่างๆ

"เจ!..."

ฆาเบียร์คำรามลั่น เจนยุทธหัวเราะคิกคัก เขาเดินกลับเข้ามาหาคนรักและลงนั่งบนตักแข็งแรง ฆาเบียร์ขยับกายเพื่อให้เจนั่งถนัด ใจเขาเต้นแรงขึ้น เจกอดคอคนตัวโตของเขาอย่างเอาใจ เขาแนบแก้มกับแก้มตอบของคนรัก

"ป๋าครับ..."

เจเรียกคนรักของตัวเองว่า Papi อีกครั้ง

"ว่าไงจ๊ะหนู"

ฆาเบียร์ก็เรียกเจ้าตัวแสบของเขาว่า kiddo เขาหอมแก้มป่องๆ นั้นฟอดใหญ่อย่างมันเขี้ยว

"เดี๋ยวผมป้อนให้ป๋าเองนะครับ"

เจนยุทธวางแก้วของเขาไว้บนโต๊ะ แล้วยกแก้วอีกใบขึ้นแตะริมฝีปากของฆาเบียร์อย่างเอาใจ เขาพยายามทำท่าให้เหมือนพวกเด็กนั่งดริงค์ หากคนรักของเขาหุบปากแน่น เจขมวดคิ้ว

"ไม่เอา ป้อนแบบนี้ป๋าไม่ชอบ ใช้ปากสวยๆ ของหนูป้อนให้ป๋าดีกว่านะ"

คนตัวโตขยิบตาข้างหนึ่งให้คนรักของเขา เจยิ้มน้อยๆ และยกแก้วในมือขึ้นจรดริมฝีปาก เขาจิบมันเข้าไปอึกใหญ่ หากแทนที่จะป้อนคอนญัคอึกนั้นให้คนรักที่เผยอปากรออยู่ เขากลับกลืนมันลงไปทั้งหมด

"ฮ้า อร่อยจริงๆ"

ฆาเบียร์มองตาปริบๆ เจหันมายักคิ้วให้เขาอย่างยียวนและกำลังจะอ้าปากพูดเยาะเย้ย คนตัวโตพลันดึงร่างคนรักเข้ามาประกบปากแน่น เขาส่งลิ้นเข้าไปรับรสที่ยังหลงเหลืออยู่ในโพรงปากของคนรัก เจหลับตาพริ้ม เขาลากลิ้นไล้เกี่ยวกับลิ้นของเมียตัวโตของเขา สัมผัสของฆาเบียร์ช่างร้อนแรงและเร่งเร้า ฆาบี้ดึงแก้วในมือเจออกและวางมันไว้บนโต๊ะ เขาดูดดึงริมฝีปากของคนรักเบาๆ อีกครู่หนึ่งก่อนจะถอนจูบออก

"อร่อยจริงๆ ด้วยนะ เจ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ และจุ๊บแผ่วๆ ที่ปากคนรักอีกครั้ง

"ฉันว่าวันนี้มันอร่อยกว่าทุกครั้งที่ดื่มด้วยซ้ำ"

เขาหยิบแก้วบนโต๊ะขึ้นมาจิบอีกอึกนึง

"เอ แปลก ทำไมอึกนี้ถึงอร่อยน้อยกว่าเมื่อกี้..."

ฆาเบียร์หันไปทำตาเจ้าชู้ใส่เจนยุทธ

"...สงสัยต้องกินจากปากเจ ถึงจะอร่อยที่สุด"

เจหน้าแดง ขืนเป็นแบบนี้ กว่าจะหมดแก้ว เขาคงต้องตายก่อนแน่ๆ แต่เขาก็ยอมเมื่อคนรักยกแก้วขึ้นป้อนคอนญัคให้ จากนั้นเจก็ส่งเหล้าอึกนั้นกลับถึงปากของฆาเบียร์



"ฆาบี้ครับ ไอ้เจ้าขวดนี้สุดยอดเลยอ่ะ อ๊ะ!"

เจพูดอย่างเคลิบเคลิ้มในรสชาติ ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เขาดันใบหน้าที่ซุกไซร้อยู่ที่ลาดไหล่และแผงอกของเขาที่โผล่พ้นเสื้อเชิร์ตออกมา เจรีบกลัดกระดุมที่ถูกปลดลงไปเกือบถึงท้องกลับคืน

"เอ๊ะ ซนจริงคุณ"

เขาดึงมือใหญ่ที่ลูบไล้แผ่นหลังใต้เสื้อเชิร์ตของเขาออก ฆาเบียร์ย้ายมือไปเกาะกุมก้นแน่นๆ ใต้กางเกงผ้าเนื้อดีแทน เจปัดตรงนั้น ตีตรงนี้จนเหนื่อย

"โอ๊ย พอๆๆ ทำตัวเป็นตาแก่หัวงูที่คอยแต๊ะอั๋งสาวนั่งดริงค์ไปได้นะ คุณ"

เจเอ็ดตะโรลั่น ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"ก็นายอยากแกล้งฉันก่อนทำไมล่ะ เจนยุทธ"

"ก็ไม่แกล้งแล้วไง เหล้าก็ป้อนแล้ว"

เจบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์หอมแก้มแดงๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้นอย่างอ่อนโยน เขาหยิบแก้วทั้งสองใบขึ้นมาและส่งใบหนึ่งให้คนรัก ฆาเบียร์ชนแก้วกับเจเบาๆ

"แด่...แด่อะไรดี?"

วันนี้พวกเขาชนแก้วกันบ่อยจนหมดเหตุผลที่จะชนแล้ว

"แด่ความสุขที่ผมกำลังจะให้คุณในคืนนี้ครับ ฆาบี้"

เจพูดยิ้มๆ พร้อมส่งสายตาเชิญชวนให้คนรัก ฆาเบียร์กลืนน้ำลายลงคอเมื่อเจขยับสะโพกน้อยๆ ให้บดเบียดไปกับบางส่วนที่ไม่ค่อยจะรักดีของเขา ฆาเบียร์ทำท่าจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเจ แต่คนรักของเขารีบลุกขึ้นเดินหนีไป ฆาเบียร์รีบยกคอนญัคในแก้วของตัวเองขึ้นกระดกจนหมดแล้วลุกขึ้นตาม



“ยั่วให้อยากแล้วหนีเหรอ หืมม์?”

ฆาเบียร์เดินมายืนประกบหลังคนรักที่ทำอะไรง่วนอยู่ที่บาร์เหนือตู้เย็นน้อยในห้อง เขาโอบเอวเจนยุทธน้อยๆ และบดเบียดส่วนสงวนที่เริ่มตื่นตัวกับบั้นท้ายแน่นหนั่นของคนตัวเล็ก เขาจูบเบาๆ ที่ต้นคอเจและจูบไล่ไปจนถึงติ่งหู เจซี้ดปากน้อยๆ อย่างลืมตัวเมื่อเมื่อคนตัวโตงับใบหูเขาเบาๆ ประสาทสัมผัสเขาตื่นไปทั้งตัวเพราะการกระตุ้นเร้า

“อย่าซนสิครับ เมีย ขอผมเก็บของก่อนแป๊บนึง”

เจหันมาจุ๊บริมฝีปากบางคู่นั้นแผ่วๆ ก่อนจะกลับไปรื้อของออกจากถุงกระดาษใบโตจากร้านโรบุชง ฆาเบียร์ชะโงกหน้าดูอย่างสนใจ

“มีอะไรมั่งเนี่ย โอเค เค้กนโปเลียนที่เหลือ ขนมปัง โห เขาให้มาเยอะเลยอ่ะ…”

เจอุทาน ทางร้านบอกว่าเอาขนมปังที่เหลือจากในตะกร้าใส่กล่องมาให้ แต่เท่าที่เห็นพนักงานน่าจะเอาจากบนรถเข็นใส่เพิ่มมาให้อีกจนเต็มกล่องกระดาษ เจหยิบของอีกอย่างหนึ่งออกมา มันอยู่ในห่อกระดาษห่อของขวัญมันวาวที่มีการจับจีบไว้อย่างสวยงาม เขาแกะห่อออกดูอย่างตื่นเต้น

“ว้าว! บัตเตอร์เค้กนี่!”

ในห่อนั้นมีเค้กเนยก้อนยาวขนาดประมาณหนึ่งปอนด์ ที่หน้าเค้กมีเปลือกมะนาวเหลืองเชื่อมแปะมาหลายชิ้น เจยกขึ้นดมอย่างถูกใจ

“โอย หอมเนยมากเลยคุณ แล้วยังหอมมะนาวด้วย สงสัยจะเป็นเลม่อนบัตเตอร์เค้ก นี่เขาให้เป็นปกติอยู่แล้วเหรอครับ?”

“ใช่จ้ะ สำหรับแขกที่มาดินเนอร์”

ฆาเบียร์ดึงเค้กก้อนนั้นออกมาจากมือคนที่ทำท่าอยากจะแกะชิม ขืนปล่อยให้เจกิน เจ้าตัวเล็กก็คงไม่แคล้วเอาขนมปังออกมากินด้วย อาจจะต่อกาแฟอีกนิด แล้วก็จะอิ่มเกินจนมานัวเนียกันต่อไม่ไหว คนตัวโตรวบรัดเก็บทุกอย่างเข้าตู้เย็นน้อยจนหมด เจได้แต่มองตาละห้อย


https://www.picz.in.th/images/2018/03/14/S1Ch9R.jpg


“โอเค เก็บของเรียบร้อยแล้ว ไป อาบน้ำกัน”

คนตัวโตรุนหลังเจนยุทธเข้าห้องนอน

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องยุ่ง ผมถอดเองได้”

เจปัดป้องมือที่พยายามจะมาช่วยเขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก

“คุณนี่นะ ไม่ต้องมาทำใจร้อนเลย ไปๆ ไปอาบก่อนเลย ไม่ต้องรอ”

เจโบกมือไล่คนตัวโตที่ยืนตัวเปล่ารอเขาอยู่หน้าประตูห้องน้ำ

“ไม่อาบด้วยกันเหรอ เจ?”

“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวแยกกันอาบดีกว่า ผมขอนั่งพักซักหน่อย”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ เจยิ้มบางๆ เขาคว้าเสื้อผ้าของคนตัวโตที่ถอดทิ้งไว้อย่างไม่ใยดีบนพื้นขึ้นมาพับเก็บแต่เหลือไว้ตัวหนึ่ง จากนั้นเขาหยิบถุงของใช้บนเตียงออกมาจากกระเป๋า ปิดไฟในห้องจนเหลือบางดวงเพื่อสร้างบรรยากาศ เขาหยิบลำโพงพกพาตัวน้อยที่พกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยออกมา จัดการเลือกเพลงที่ต้องการไว้ในมือถือ เขาย้ายกระเป๋าเดินทางออกจากม้านั่งยาวที่ปลายเตียง จากนั้นเขียนโน้ตทิ้งไว้บนม้ายาวนั้นพร้อมเอาของหลายๆ อย่างวางทับไว้แค่นี้อะไรๆ ก็เรียบร้อยแล้ว



เจเปิดประตูห้องน้ำเดินเข้าไปเมื่อเสียงน้ำจากฝักบัวหยุดลง เขาวางเสื้อผ้าที่หยิบติดมือเข้ามาไว้ที่อ่างล้างหน้า จากนั้นค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองออกและเดินเข้าไปหาคนรักที่กำลังเช็ดตัวอยู่ ฆาเบียร์ทิ้งผ้าเช็ดตัวลงและโอบรัดร่างเพรียวอันเปลือยเปล่าของเจนยุทธและฝังใบหน้าลงกับซอกคอ เขาสูดกลิ่นน้ำหอมที่ยังทิ้งกลิ่นจางๆ ไว้แล้วระบายลมหายใจออกเฮือกใหญ่ เจเงยหน้าขึ้นรับจุมพิตจากเมียตัวโตของเขา เขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือใหญ่ที่ลูบไล้แผ่นหลังเลื้อยลากลงไปคลึงเคล้นบั้นท้ายแน่น

"ฆาบี้ครับ เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งใจร้อน ขอผมอาบน้ำก่อน คุณออกไปรอผมก่อนนะ..."

เจดันร่างคนตัวโตออกก่อนที่อะไรๆ มันจะเลยเถิดไปกว่านี้

"...แล้วอย่าลืมดูที่ม้านั่งปลายเตียงล่ะ"

เจกำชับก่อนดันหลังคนตัวโตออกห้องน้ำไป เขาปิดประตูห้องน้ำตามหลังพร้อมหยิบสิ่งของที่เขาต้องใช้ตอนอาบน้ำติดมือมาด้วย เขาผิวปากเบาๆ และเดินเข้าส่วนอาบน้ำไป

ฆาเบียร์ยืนงงๆ อยู่หน้าห้องน้ำ เขาพยายามเปิดประตูกลับเข้าไปแต่เจปิดล็อคเรียบร้อย เขาถอนหายใจและใช้ผ้าเช็ดตัวที่เจยัดใส่มือให้มาพันรอบกาย เขาเดินไปยังม้านั่งปลายเตียง ฆาเบียร์เกาหัวแกรกๆ เมื่อเห็นสิ่งของที่เจวางไว้ให้ เขายกกระดาษที่วางอยู่ใต้ของเหล่านั้นขึ้นอ่าน



"Close you eyes. Sit back and relax. Listen to some music and indulge yourself for a while...I'll be with you shortly."

"หลับตาลง เอนหลัง ผ่อนคลาย ฟังเพลงสักนิดและเล่นกับตัวเองไปก่อนนะครับ...เดี๋ยวผมมา"




ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ เขาหยิบมือถือของเจขึ้นมาและปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือของเขาเอง พวกเขาให้อีกฝ่ายใส่ลายนิ้วมือไว้ในมือถือของตัวเองเพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจและเผื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน ที่หน้าจอ เจเปิดแอพเล่นเพลงไว้ ฆาเบียร์กดเปิดเพลงแล้วก็ต้องยิ้มน้อยๆ ออกมา มันคือเพลย์ลิสต์รวมเพลงบรรเลงเปียโนที่เจมักเปิดเพื่อสร้างอารมณ์ เสียงกังวานใสของเปียโนดังออกมาจากลำโพงแบบพกพาตัวน้อยของเจที่ซิงค์กับมือถือไว้ เพลงแรกนั้นก็คือเพลงที่เขาเพิ่งเล่นให้เจฟังไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว

ฆาบี้วางโทรศัพท์ของคนรักกลับไว้ที่เดิม เขาหัวเราะหึๆ เมื่อเห็นของชิ้นอื่นๆ ที่เจเตรียมไว้ให้เขา มันมีอุปกรณ์กระตุ้นอารมณ์สองสามชิ้น ผ้าปิดตา ถุงยางและเจลหล่อลื่น ฆาเบียร์หยิบของเหล่านั้นและขึ้นไปนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง เขาก้มดูอุปกรณ์สารพัดในมือและเลือกๆ มา เขาโคลงหัวน้อยๆ เมื่อหยิบตัวหนีบสีชมพูหวานแหววสองตัวขึ้นมาดู เขาไม่รู้ว่าเจได้มันมาจากไหน แต่นี่เป็นของใหม่ที่พวกเขายังไม่เคยใช้กัน เขาลองหนีบมันเข้ากับนิ้วมือตัวเองและกดสวิตช์น้อยๆ ที่ด้าม ตัวหนีบนั้นสั่นเบาๆ เขาหน้าแดงน้อยๆ แต่ก็นำมันหนีบเข้ากับยอดอกทั้งสองข้างที่เริ่มชูชันด้วยความตื่นเต้น

"อูย...เอาเรื่องเหมือนกันแฮะ"

เขาครางออกมาเบาๆ แรงสะเทือนเบาๆ นั้นสร้างความเสียวซ่านให้เขาได้ไม่น้อย เขาหยิบของอีกชิ้นขึ้นมาดู มันเป็นถุงมือซิลิโคนที่มีปุ่มขรุขระรอบอัน เขาส่ายหัวเบาๆ แต่ก็ลองใส่มันเข้ากับมือข้างที่ถนัดจากนั้นเทเจลหล่อลื่นใส่มือข้างนั้นและเริ่มนวดเฟ้นแก่นกายที่ตั้งชัน เขาใส่ผ้าปิดตาอย่างที่เจอยากให้เขาทำและปล่อยใจไปกับความเพลิดเพลินนั้น แรงกระตุ้นที่ตุ่มไตทั้งสองข้างและสัมผัสแปลกใหม่ที่แก่นกายทำให้เขาครางออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ เขาไม่ได้เร่งเร้าให้ถึงจุดสุดยอด แต่กระตุ้นอารมณ์ตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อรอคนรัก ฆาเบียร์สูดปากเบาๆ เขาอดไม่ได้ที่จะเอาไวเบรเตอร์อันน้อยที่เจวางไว้ให้ด้วยนวดคลึงไปที่ปากช่องทางด้านหลังของตัวเอง เขาหน้าแดงซ่านเมื่อรู้สึกตัวว่าเขาเหมือนจะติดใจความรู้สึกที่ได้จากช่องทางนั้นเข้าจริงๆ เสียแล้ว



"แหมๆๆ สนุกใหญ่เลยนะครับ"

ฆาเบียร์สะดุ้งและหยุดมือเมื่อได้ยินเสียงพูดกลั้วหัวเราะของเจนยุทธดังขึ้นไม่ห่างจากตัวเขา เจยืนดูเมียตัวโตของเขาปรนเปรอตัวเองได้ครู่หนึ่งแล้ว

"อ๊ะๆ อย่าพึ่งเปิดผ้าปิดตาครับ คุณพอจะขยับตัวตามผมลงมาได้ไหม?"

เสียงเจดังขึ้นอีกครั้งที่ปลายเท้าของเขา

"ยื่นมือมาข้างหน้าหน่อยครับ"

ฆาเบียร์หยุดมือ เขาดันตัวขึ้นนั่งและยื่นมือทั้งสองมาข้างหน้า เจจับมือข้างที่ไม่ได้ใส่ถุงมือแล้วค่อยๆ ดึงให้คนตัวโตขยับลงเตียงมานั่งบนม้านั่งปลายเตียง ฆาเบียร์ใจเต้นระรัวเมื่อรู้สึกได้ว่าเจมายืนอยู่ข้างหน้า จมูกของเขาได้กลิ่นหอมของน้ำหอม Tobacco Oud ของทอม ฟอร์ดที่เขาติดใจนักหนา เจคงจะฉีดมันเพิ่ม กลิ่นของมันกระตุ้นเร้าอารมณ์ของเขาอย่างฉุดไม่อยู่

"เฮ้ เจ อย่าซนสิ"

ฆาเบียร์เอ็ดลั่นเมื่อเจใช้นิ้วเขี่ยดุนตัวหนีบทั้งสองที่ยังสั่นน้อยๆ เจกดปุ่มปิดมันแล้วดึงออก ฆาบี้ซี้ดปากเบาๆ เจวางมันไว้ข้างตัว เขาดึงถุงมือออกจากมือคนรักและนำมาใส่เอง ฆาเบียร์สั่นน้อยๆ เพราะสัมผัสขรุขระที่ลากไล้ไปตามจุดบอบบาง เขาอดไม่ได้และดึงร่างคนรักเข้ามาแนบตัว เขาฝังหน้าลงกับหน้าท้องแบนราบของเจและสูดลมหายใจเอากลิ่นกายของคนรักเข้าไปจนเต็มปอด

"เจ ฉีดน้ำหอมตรงไหนมั่งเนี่ย?"

คนตัวโตถามขึ้น เขาได้กลิ่นละมุนนั้นจากทั้งหน้าท้องและส่วนที่ต่ำลงไปของเจ เจยิ้มเขินๆ และบอกว่าเขาฉีดน้ำหอมใส่มือและป้ายๆ ไปทั่วตัว

"ฉันอยากจะกลืนกินนายเข้าไปทั้งตัวเลย รู้ไหม?"

ฆาเบียร์จูบไล้ไปทั่วกายคนรักทั้งๆ ที่ยังปิดตาอยู่ เจพยายามปัดป้องไม่ให้เขาแตะบั้นท้ายของตัวเอง ก่อนจะดันตัวเองออก



"ฆาบี้ครับ เพื่อเป็นการตอบแทนสิ่งที่คุณทำให้ผมมาทั้งวัน ผมมีของขวัญพิเศษอยากให้คุณนะ"

เจกระซิบแผ่วๆ ที่หูของคนรัก

"เปิดตาสิครับ"

ฆาเบียร์เลิกผ้าปิดตาขึ้น เจอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำของโรงแรม ในมือเขาถือมือถือและจิ้มๆ เลือกเพลง สักพักเสียงดนตรีที่ฟังดูเร้าใจก็ดังขึ้น เจจับเขานั่งห้อยขาส่วนตัวเองยืนโยกตามจังหวะเพลงอยู่เบื้องหน้าเขา

"จะเต้นแล็ปแดนซ์ให้ป๋าเหรอจ๊ะ?"

ฆาเบียร์พูดหยอกเย้าคนรักที่พยายามทำท่าเซ็กซี่เลียนแบบเจ้าสาวในงานแต่งที่พวกเขาไปในวันนั้น เจถอดถุงมือทิ้งและขึ้นไปนั่งคร่อมคนตัวโตและจับเขาซุกหน้ากับอก และค่อยๆ เลื่อนตัวลง เขาไล้ตัวไปตามแก่นกายของฆาเบียร์ แต่ในที่สุดก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

"ไม่ไหวอ่ะ คุณ ผมมันไม่มีหน้าอกเหมือนสาวๆ เต้นไงก็ไม่เซ็กซี่ ผมเปลี่ยนเป็นร้องเพลงให้คุณฟังแทนได้ไหม?"

"ได้สิ ไม่มีปัญหา ยังไงก็ได้จ้ะ"

คนตัวโตตอบรับอย่างว่าง่าย ให้เจร้องเพลงสักเพลง จากนั้นเขาก็จะจับเจจัดการซะให้สมกับที่รอมาหลายวัน เจนยุทธทำตาแป๋วแล้วยิ้มอย่างน่ารักให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ถึงอันตราย เจทำหน้าแบบนี้ทีไร ต้องมีอะไรสักอย่างทุกที



เจนยุทธกดเลือกเพลง

"Quiero ser tu heroe..."

‘ผมอยากเป็นฮีโร่ของคุณ’


ฆาเบียร์กัดปากแน่นเมื่อได้ยินเสียงกระซิบที่กดให้ทุ้มต่ำของเจ เจ้าตัวเล็กเล่นงานเขาให้แล้ว เจถอยห่างออกจากตัวเขาพร้อมกับเสียงเพลง "Hero" ของเอนริเก้ อิเกลเซียสที่ดังขึ้น เจนยุทธค่อยๆ แก้สายเสื้อคลุมอาบน้ำและถอดมันออกอย่างช้าๆ พร้อมกับเริ่มร้องเพลงด้วยเสียงใสกังวานของตน


"Would you dance if I asked you to dance?

Or would you run and never look back?...”

"ถ้าผมขอให้เต้น คุณจะเต้นไหม? หรือจะวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง?"


แม้จะเริ่มเป็นภาษาสเปน แต่เจเลือกร้องเพลงที่เป็นที่รู้จักที่สุดของเอนริเก้เพลงนี้เป็นภาษาอังกฤษ ฆาเบียร์จ้องมองคนรักที่ค่อยๆ ทิ้งเสื้อคลุมลง เขาซี้ดปากเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เจอยู่ในชุดคล้ายๆ กับตอนที่จับเขามัดขึงพืดที่สมุยคือใส่เสื้อเชิร์ตของเขาเพียงตัวเดียวกับกางเกงใน แม้ตัวเสื้อจะยาวแต่ก็ยังเห็นรำไรว่ากางเกงที่อยู่ใต้เสื้อนั้นคือทีแบ็คสีดำที่ดูเย้ายวนนัก กะเปาะสีดำของกางเกงตัวน้อยนั้นอัดแน่นไปด้วยส่วนสงวนที่เริ่มพองตัวของคนรัก


“...Would you cry if you saw me crying?

And would you save my soul tonight?..."

"คุณจะร้องไห้ไหม ถ้าเห็นผมร้อง? คุณจะช่วยจิตวิญญาณของผมในคืนนี้ไหม?"



เจค่อยๆ แกะกระดุมออกทีละเม็ดอย่างยั่วยวนพร้อมกับร้องเพลงไปด้วย


“...Would you tremble if I touched your lips?

Or would you laugh? Oh, please tell me this

Now would you die for the one you love?

Oh hold me in your arms tonight...”

​"คุณจะตัวสั่นไหม ถ้าผมสัมผัสริมฝีปากคุณ หรือคุณจะหัวเราะ ช่วยบอกผมที ทีนี้ คุณจะตายเพื่อคนที่คุณรักไหม? ช่วยกอดผมไว้ในอ้อมแขนคุณในคืนนี้ที"



เจที่ปลดกระดุมเสื้อลงจนเกือบหมดเผยให้เห็นอกขาวเนียนเดินขึ้นมานั่งคร่อมตักคนตัวโตของเขา เมื่อเขาร้องถึงท่อนที่ว่า 'if I touched your lips' เขาปัดริมฝีปากตัวเองไล้ริมฝีปากคนรักเบาๆ แต่ผละออกเมื่อฆาเบียร์จะจูบตอบ เขาร้องเพลงที่ข้างหูคนตัวโตพร้อมเขาจูบไล้ต้นคอไปด้วย เขาดึงมือคนรักให้ลงไปเกาะกุมบั้นท้ายของเขา ฆาเบียร์รูดกางเกงในที่เกะกะออก เขาคลึงเคล้นก้อนเนื้อทั้งสองอย่างมันมือก่อนจะขยับมือไปเพื่อเบิกช่องทางแคบเล็กของเจ เขาอุทานเบาๆ เมื่อเจอสิ่งแปลกปลอม

"อ๊ะ..."

เจสะดุ้งเฮือกเมื่อคนตัวโตขยับสิ่งที่ฝังอยู่ในกายเขา ฆาบี้ขมวดคิ้วแล้วมองหน้าคนรักอย่างคาดโทษ เจหัวเราะน้อยๆ และยื่นรีโมทอันเล็กๆ ให้คนรัก

"กดสิครับ คนดี"

ฆาเบียร์รับมา เขาโคลงหัวน้อยๆ และบ่นอุบอิบเรื่องที่เขาไม่ชอบให้เจใช้ของพวกนี้ แต่ก็กดมันแต่โดยดี เจผวากายและกอดคอคนรักแน่นอย่างลืมตัวเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน เขาครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แต่ก็ยังคงร้องเพลงต่อไปด้วยเสียงอันสั่นเครือ


"Would you swear that you'll always be mine

Or would you lie? Would you run and hide?

Am I in too deep? Have I lost my mind?

I don't care, you're here tonight"

"จะสาบานไหมว่าจะเป็นของผมตลอดไป? หรือคุณจะโกหก จะวิ่งหนีไปซ่อนกาย? ผมถลำลึกเกินไปไหม? ผมเสียสติไปแล้วใช่ไหม? ผมไม่สนหรอก ก็คุณอยู่ที่นี่แล้วในคืนนี้"


คนตัวโตหลุดปากเอ่ยคำว่า "I swear" ออกมาเมื่อเนื้อเพลงถามเขาว่าเขาจะสาบานว่าจะเป็นของเจตลอดไปหรือไม่ เขามองใบหน้าที่แดงก่ำและสายตาอันฉ่ำเยิ้มไปด้วยแรงปรารถนาของเจ มันทำให้เขาร้อนผ่าวไปทั้งตัว เจนยุทธพยายามสะกดกั้นเสียงครางและร้องเพลงต่อไป


"I can be your hero baby

I can kiss away the pain

I will stand by you forever

You can take my breath away"


"ผมเป็นฮีโร่ของคุณได้นะ คนดี ผมจูบเพื่อปัดเป่าความเจ็บปวดไปได้ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป คุณเอาลมหายใจผมไปก็ได้"



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2018 06:47:38 โดย La Vida Sin Tu Amor »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - Deeper! Harder! (14/3/61)
« ตอบ #279 เมื่อ: 14-03-2018 09:07:05 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Deeper! Harder! (ต่อ) ----



เจนยุทธครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อจบท่อนฮุครอบที่สอง

"ฆาบี้ครับ เอามันออกที ผมไม่ไหวแล้ว"

เจหอบหายใจถี่ ฆาเบียร์รีบปิดสวิตช์และดึงเอาอุปกรณ์ที่ดูเหมือนจุกคอร์กขนาดใหญ่ออกมาโยนทิ้ง เขาอุทานเบาๆ เมื่อเจนยุทธค่อยๆ โหย่งตัวขึ้นและจับแก่นกายที่ตั้งตรงของเขาไปจ่อแล้วกดช่องทางที่เตรียมไว้จนอ่อนนุ่มของตัวเองครอบลงไปทันที ฆาเบียร์ซี้ดปากเพราะความคับแน่น เจครางน้อยๆ และหลับตานิ่งๆ ครู่หนึ่งเพื่อรอให้ร่างกายชินกับสิ่งแปลกปลอมก่อนจะกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูคนรัก

"ผมได้ของขวัญจากคุณมาหลายอย่างแล้ว แต่ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าวันนี้ผมอยากได้อะไร"

เจขยับกายน้อยๆ เพื่อให้ได้ท่าที่ถนัด ฆาเบียร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ความอุ่นในกายคนรักทำให้เขาแทบคลั่ง

"อยากได้อะไรล่ะ เจ?"

เขากระซิบถามด้วยเสียงแหบพร่า เจตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

"ผมอยากได้คุณ อยากให้ตัวคุณอัดแน่นเต็มตัวผม แรงๆ หนักๆ...ทั้งคืน"

เท่านั้นเอง สติของฆาเบียร์ก็พังครืน เสียงกระซิบแหบกระเส่าของเจที่ข้างหูทำให้เขาเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างสะกดไม่อยู่ เขาเสยสะโพกหนักๆ รับการบดเบียดกายลงของเจ เจนยุทธสูดปากลั่น เขาพยายามร้องเพลงต่อ แต่มันออกมาแทบไม่เป็นเพลงแล้ว เสียงของเอนริเก้ในเพลงนั้นยังคงดังต่อไป แต่ฆาเบียร์ไม่สนใจฟังนักร้องที่เขาหลงใหลคนนี้แล้ว เขาสนใจแต่เสียงร้องปนครวญครางไม่เป็นภาษาที่ข้างหูของเขา

"ฆาบี้ครับ โอ ฆาบี้ ดีครับ ลึกๆ แรงๆ โอย ดีๆ"

เจร้องลั่นอย่างลืมตัว เขาจิกนิ้วลงบนหลังของคนรักแน่น คืนนี้เขารู้สึกมากเหลือเกิน


(เพลง Hero) https://www.youtube.com/watch?v=koJlIGDImiU


"I can be your hero..."

เพลงนั้นจบลงไป แต่เหมือนไม่มีใครสนใจแล้ว เพลงต่อไปในเพลย์ลิสต์ของเจก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งเพลงดังของเอนริเก้อย่าง Bailamos

"แสบนักนะเรา!"

ฆาเบียร์ตบหนักๆ ไปที่สะโพกแน่นๆ ของเจ หลังจากร่างกายของเขาทั้งสองขยับสอดประสานกันเป็นจังหวะได้ครู่หนึ่ง คนตัวเล็กก็ปลดปล่อยออกมาครั้งหนึ่ง เจซบหน้าลงกับไหล่คนรักและจูบต้นคอเบาๆ ก่อนที่จะหันมาทำตาแป๋วให้

"แสบอะไรครับ ผมทำอะไร?

เจพูดยิ้มๆ แล้วก็ต้องร้องลั่นออกมาเมื่อฆาเบียร์ช้อนแขนเข้าใต้สะโพกเขาแล้วลุกขึ้นพร้อมกับซอยสะโพกถี่ยิบ เจกอดคอคนตัวโตและใช้ท่อนขาแข็งแรงเกี่ยวเอวฆาบี้ไว้แน่น

"ยังไม่ยอมรับอีกใช่ไหม หือ?"

ฆาเบียร์งับไปที่ไหล่เพรียวของคนรักอย่างมันเขี้ยว เขาขยับกายป้อนความสุขให้เจนยุทธอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

"คุณ อ๊ะ อ๊าาา อย่า เจ็บ อ๊ะ เสียว ฆาบี้ครับ..."

เจครางลั่น ฆาเบียร์ทำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาปล่อยเจให้ลงนั่งกึ่งนอนบนม้านั่งปลายเตียงส่วนตัวเองย่อเข่าน้อยๆ และกระแทกแก่นกายเข้าช่องทางคนตัวเล็กอย่างไม่ยั้ง ยิ่งเพลงในเพลย์ลิสต์ของเจจังหวะเร่าร้อนขึ้นเท่าไหร่ ฆาเบียร์ก็ร้อนแรงขึ้นเท่านั้น เจจิกเล็บลงบนท่อนแขนของคนรักที่เขายึดเกาะไว้เป็นหลักอย่างลืมตัว เขาครางลั่นพร้อมกับปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ฆาเบียร์ขบกรามแน่นเมื่อรู้สึกถึงการตอดรัดอย่างรุนแรง เขาหยุดขยับชั่วคราวและซบกายลงหอบหายใจหนักๆ บนอกของเจนยุทธ



"คุณครับ ไหวไหม? เดี๋ยวผมทำให้ก็ได้"

เจถามอย่างเป็นห่วง ฆาเบียร์ส่งสายตาดุๆ มาให้

"ไหวสิ เจ ฉันจะจัดการนายให้ลุกไม่ขึ้นเลย"

เจหัวเราะเบาๆ เขาดันร่างฆาเบียร์ออก จากนั้นคว้ามือถือและถอยกายขึ้นไปนอนเอนน้อยๆ พิงหัวเตียง เขาใช้มือลูบไล้แก่นกายที่สงบลงบ้างแล้วและยกนิ้วชี้ขึ้นกระดิกน้อยๆ เรียกคนที่นอนพังพาบอยู่บนม้านั่งปลายเตียง ฆาบี้หัวเราะหึๆ ไอ้ตัวแสบของเขานี่มันร้ายนัก เขาค่อยๆ คืบคลานเข้าหาเจนยุทธด้วยท่วงท่าของเสือที่เตรียมตะครุบเหยื่อ เจกดปิดเพลงแล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่หัวเตียง เขาเผยอปากรับจูบหนักๆ ของคนรักที่บดลงมาบนริมฝีปาก ลิ้นของฆาเบียร์ดันดุนลิ้นของเขาอย่างกระหาย มือของคนตัวโตเปะป่ายไปทั่ว เจเองก็แอ่นกายรับสัมผัสนั้น เขาซี้ดปากเบาๆ เมื่อฆาเบียร์จูบไล้ที่เม็ดทับทิมที่ชูชันของเขา ฆาเบียร์ดอมดมคนรักไปทั้งตัว

“หอมไปทั้งตัวเลยนะ mi vida

ฆาเบียร์เงยหน้าขึ้่นมองคนรักที่นอนบิดตัวไปมาด้วยแรงความเสียวซ่าน เขาจูบไล้ไปทั่วบริเวณท้องน้อยของเจ เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมโปรดของเขาส่งกลิ่นจางๆ ออกมาจากบริเวณส่วนสงวนของเจ

“นี่ฉีดกระทั่งตรงนี้ด้วยเหรอ?”

เจนยุทธหน้าแดงระเรื่อเมื่อถูกแซว เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อฆาเบียร์ใช้นิ้วกดคลึงไปที่ปากทางแดงระเรื่อ จากนั้นลิ้นร้อนๆ ของคนรักก็ซอกซอนเข้าสำรวจเส้นทางนั้น เจดิ้นพราด เมื่อคนตัวโตใช้มือรูดไล้แก่นกายเขาไปพร้อมๆ กับใช้ลิ้นและมืออีกข้างโจมตีทางด้านหลัง

"คุณครับ ใส่เข้ามาเถอะ ผมขอ...หนักๆ แรงๆ เลยนะ"

เจร้องขออย่างลืมอาย ฆาเบียร์ยิ้มอย่างมีชัย เขายันตัวลุกขึ้นนั่งคุกเข่าและชะโลมเจลลงบนแก่นกายที่ยังแข็งเกร็งเพิ่ม จากนั้นเสือกกายเข้าช่องทางคับแคบของคนรักอย่างหนักจนเจร้องลั่นและผวาเยือกขึ้นทั้งตัว คนตัวโตจับขาทั้งสองของเจพาดกับแขนทั้งสองข้างของเขาโดยยกสะโพกคนรักขึ้นน้อยๆ เขาซอยสะโพกถี่หนักสลับยาว เจที่หัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงกระแทกนั้นครางจนแทบไม่มีเสียงเหลือ ฆาเบียร์หยุดพักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าเขาเกือบจะถึงปลายทาง จากนั้นก็เปลี่ยนท่าให้เจนอนหันหลังให้แล้วจับคนรักกระแทกต่อ เจถึงสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบจะหมดสติ



"โอย เจ ฉันจวนแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว จะออกแล้ว"

ฆาเบียร์ดันร่างคนรักติดผนังโดยมีขาท้งสองของเจเกี่ยวกระหวัดเอวเขาไว้ เขาสบถหยาบๆ เป็นภาษาสเปนปนอังกฤษด้วยความเมามันในอารมณ์ เขาทั้งกัดทั้งดูดแผงอกและลำคอของเจและทิ้งรอยรักไว้ก่อนที่จะครางยาวออกมาอย่างไม่เป็นภาษา เจผวากายเฮือกเมื่อรู้สึกถึงความอุ่นของน้ำที่ฉีดพุ่งออกมา เขานั้นหมดพลังที่จะทำอะไรแล้ว ฆาบี้หอบหายใจถี่ เขาช้อนใต้สะโพกคนรักและพากลับมานอนบนเตียง เขารีบหยิบทิชชู่ข้างเตียงมาซับน้ำขุ่นข้นปนเลือดจางๆ ที่ปากทางแคบเล็กของเจ

"ตายล่ะ นี่ฉันทำนายเจ็บหรือเปล่า เจนยุทธ?"

ฆาเบียร์ถามอย่างร้อนใจ ตอนแรกเขาไม่กะจะรุนแรงกับเจถึงขนาดนี้ แต่สติเขาขาดผึงเมื่อคนรักร้องขอ เจพยักหน้าน้อยๆ แล้วเปลี่ยนไปส่ายหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน เหงื่อเม็ดเป้งๆ เกาะพราวทั้งบนตัวเขาและฆาบี้ เขาไม่ได้มีเซ็กส์อย่างเมามันกับฆาเบียร์โดยที่อีกฝ่ายเป็นคนกระทำแบบนี้มาพักใหญ่แล้ว ช่วงหลังๆ คนตัวโตมักจะรู้ตัวและพยายามนุ่มนวลกับเขาเสมอ มีแต่เขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายรุนแรงกับอีกฝ่าย

"ผมโอเคครับ ไม่เป็นไรนะคุณ ไม่ต้องห่วง"

เจตอบด้วยเสียงแหบแห้ง เขายกมือขึ้นลูบแก้มคนที่นั่งสำนึกผิดอยู่เบื้องหน้า

"...ว่าแต่คุณเถอะ เมื่อเช้ายังบอกว่าเจ็บหลังอยู่ ตอนนี้ไหวแล้วเหรอ?"

ฆาเบียร์นิ่วหน้าน้อยๆ พอเจทักปุ๊บ ไอ้เจ้าสังขารของเขามันก็ทำท่าจะทรยศขึ้น

“ก็ยังปวดน้อยๆ น่ะ แต่เมื่อกี้มันทั้งมันทั้งเสียวจนลืมเจ็บ”

คนตัวโตที่เผลอสติหลุดลอยไปกับความหฤหรรษ์ที่ได้จากร่างกายของคนรักพูดเสียงอ่อยๆ เขาเอนกายลงนอนซบอกเจที่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงอยู่ เขาจูบเบาๆ ที่อกข้างซ้ายของเจนยุทธ แต่ก็ต้องนิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อเห็นความเสียหายที่เขาทำไว้ ยอดอกของเจบวมแดงและมีรอยห้อเลือดเป็นรูปรอยฟันอยู่หลายรอย บางจุดก็มีเลือดซึมน้อยๆ

“โอ๊ย นี่ฉันทำรุนแรงไปขนาดนั้นเลยเหรอ เจ? ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ”

เจก้มลงสำรวจร่างกายตัวเอง เขาเองก็เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของคนตัวโตจนไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางกาย เขานิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้น เจซี้ดปากเบาๆ เมื่อคนตัวโตลากนิ้วสัมผัสตามร่องรอยเหล่านั้น



“ซี้ดนี่ เสียวหรือเจ็บจ๊ะ?”

ฆาเบียร์ถามเบาๆ อย่างไม่แน่ใจ

“เจ็บสิโว้ย กัดเอาๆ”

เจแว๊ดใส่คนรักอย่างลืมตัว คนตัวโตหน้าสลดลงทันที

“เจ ฉัน...ฉัน ฉันขอโทษ”

เจถอนหายใจและลูบหลังเมียตัวโตที่ซุกหน้าลงกับอกเขาและกอดรัดตัวเขาไว้แน่น

“เอาน่า นิดๆ หน่อยๆ เจ็บนิดเดียว เสียวมากๆ โอเค๊? อย่าเป็นแบบนี้สิคุณ ผมไม่สบายใจนะ”

“...นี่ไง ผมก็ทำรอยบนตัวคุณเหมือนกัน ดูนี่สิ ถือว่าเสมอกันแล้วนะ”

เจยกแขนคนตัวโตขึ้นให้เจ้าตัวที่ทำท่าเกือบจะร้องไห้อยู่มะรอมมะร่อดู รอยเล็บของเจที่จิกแน่นยังคงทิ้งรอยให้เห็น

“ที่หลังก็มีรอยข่วนกับรอยเล็บจิกอีกหลายรอยเลยนะ”

เจพูดยิ้มๆ แล้วไล้นิ้วไปตามรอยเหล่านั้น ฆาเบียร์ขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงความแสบน้อยๆ บนหลัง

“พวกเราคงต้องคุมสติกันดีๆ หน่อยแล้วล่ะ เจนยุทธ ไม่งั้นเราคงได้เจ็บตัวกันจริงๆ เข้าสักวัน”

ฆาเบียร์พูดอย่างหนักใจ หลังๆ มาพวกเขามักจะใส่กันไม่ยั้งตลอด ยิ่งรู้ดีขึ้นว่าอีกฝ่ายชอบอะไร ก็ยิ่งจัดหนักกันแบบไม่กั๊ก

"น่าๆ ผมยังพอไหว วันนี้เจ็บหน่อย แต่ก็ถึงใจสุดๆ เลยคุณ"

เจพูดอย่างเอาใจคนรัก ที่ว่าเจ็บหน่อยนี่ก็ไม่ค่อยหน่อยเท่าไหร่ แต่ก็แลกมากับการถึงจุดสุดยอดอย่างรุนแรงแบบที่ไม่ได้รู้สึกมาพักใหญ่แล้ว



"กี่โมงแล้วเนี่ย?"

เจถาม ฆาเบียร์หยิบนาฬิกามาดู

"จะตีสี่แล้ว เจ"

"งั้น อาบน้ำอาบท่ากันดีกว่า จะได้เข้านอนซักที ผมตาจะปิดแล้ว"

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ เมื่อกี้เขาเผลองีบไปวูบหนึ่ง

"เฮ้ย"

ฆาเบียร์อุทานออกมาเมื่อเขาโดนผลักอย่างแรงจนตกจากหมอนอุ่นๆ แสนสบายที่นอนหนุนอยู่

"ใจร้ายกับฉันจริงๆ เลยนะ เจ"

ฆาเบียร์บ่นกะปอดกะแปดและพยายามจะกลับขึ้นไปหนุนอกเนียนของคนรักอีกครั้ง แต่เจขยับกายขึ้นนั่ง

"โอ๊ย"

เจเผลอครางออกมาเพราะความปวดแปลบที่ช่องทางด้านหลัง ฆาเบียร์รีบเข้าหาคนรักอย่างเป็นห่วง

"เจ เจ็บมากเลยเหรอ?"

คนตัวโตลูบหน้าลูบหลังสุดที่รักของเขาอย่างร้อนใจ เจโบกไม้โบกมือและบอกว่ามันยังไม่หนักหน่วงเท่ากับครั้งแรกของเขา เขาทุบแผงอกกว้างที่เขาอิงแอบอยู่เบาๆ

"คุณนี่ก็ไม่รู้จักยั้งมั่งเลยนะ"

ฆาเบียร์เกาหัวแกรกๆ

"ก็เจบอกฉันเองว่าให้เต็มที่ แรงๆ ลึกๆ หนักๆ นี่นา"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ เจหน้าแดงแปร๊ด เขายังจำได้ว่าเมื่อครู่เขาเรียกร้องหนักขนาดไหน

"ก็ไม่เห็นต้องทำตามก็ได้นี่นา"

คนตัวเล็กบ่นกะปอดกะแปด



"แล้วดีไหมจ๊ะ?"

คนตัวโตกระซิบแผ่วๆ

"อือ..."

เจยิ้มอายๆ

"ดีขนาดที่ลืมครั้งก่อนๆ ที่เคยมีอะไรกันมาเลยอ่ะ สุดๆ อ่ะ"

เจสารภาพ เขาจูบคนตัวโตแผ่วๆ ฆาเบียร์ยิ้มอย่างภูมิใจที่สามารถทำให้คนรักพึงพอใจได้

"งั้นหลังจากนี้ เจก็ปล่อยให้ฉันเป็นคนทำตลอดเลยสิ รับรองว่าฉันจะทำให้นายมีความสุขแบบนี้ทุกครั้งเลย"

"เรื่องอะไร! มันคนละส่วนกัน ผมก็ยังอยากทำให้คุณบ้างนะ หรือว่าคุณไม่ชอบเวลาที่ผมกอดคุณ?"

เจย้อนถาม เขาทำท่าทีขึงขังและจ้องหน้าคนรักเพื่อหาคำตอบ ฆาเบียร์อึกอัก

"ก็...ก็ชอบอยู่อ่ะ"

คนตัวโตอ้อมแอ้มตอบ

"หือ ว่าไงนะ? ผมไม่ได้ยิน"

คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ชอบสิ ชอบมากเลยเจ นายทำฉันเสียวแทบตายทุกครั้งเลยรู้ไหม?"

เขาดึงแก้มป่องๆ ที่ยื่นเข้ามาใกล้อย่างมันเขี้ยว เจร้องลั่น

"อีกแล้ว ดึงอีกแล้ว ช้ำหมดแล้วนะ!"

ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อเห็นคนน่ารักของเขาทำหน้ามุ่ย เขากอดรัดร่างเพรียวนั้นแนบอก และสูดดมกลิ่นน้ำหอมที่เริ่มจางไปเพราะระเหยไปตามอุณหภูมิของร่างกายที่พุ่งขึ้นสูงเมื่อสักครู่



"ดมอยู่นั่นแหละ ไม่เหม็นเหงื่อเหรอ?"

"ไม่เลย นายตัวหอมจะตาย"

คนตัวโตทำท่าจะกดคนตัวเล็กลงกับที่นอนอีกครั้ง

"แต่คุณน่ะ เหม็นตุๆ แล้วนะรู้ไหม"

เจย่นจมูก ฆาเบียร์ยกแขนซ้ายขวาขึ้นดมแล้วก็ต้องทำจมูกย่นเหมือนกัน

"โอเค ไปอาบน้ำกันก็ได้ เจค่อยๆ ลุกนะ เดี๋ยวฉันประคองเอง"

ฆาเบียร์ขยับกายลงเตียงเพื่อรอประคองคนรักที่ค่อยๆ เคลื่อนที่อย่างช้าๆ



"ฆาบี้!"

เจนยุทธอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นฆาเบียร์ทรุดฮวบลงทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น

"คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า?"

เจรีบเผ่นพรวดลงเตียงโดยลืมความปวดแปลบที่บั้นท้ายของตัวเอง

"ไม่เป็นไรจ้ะ เจ ไม่เป็นไร อูย..."

คนตัวโตครางเบาๆ เขาเกาะแขนคนรักแล้วค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น

"คุณ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? เป็นอะไร?"

เจถามอย่างร้อนใจ

"ไม่มีอะไรๆ ขาฉันหมดแรงนิดหน่อย"

คนตัวโตค่อยๆ ยืดกายขึ้น เขาไม่กล้าบอกเจว่ากล้ามเนื้อขา สะโพกและหลังเขามันปวดร้าวไปหมดแล้ว

"แก่แล้วก็งี้แหละ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายด้วยหรือเปล่า"

ฆาเบียร์เม้มปาก นี่ขนาดไม่พูดออกไปยังอุตส่าห์ได้ยินคำแสลงใจจากปากเจจนได้ เจนยุทธหัวเราะคิกเมื่อเห็นสีหน้าของคนรัก เขาเดาไม่ผิดจริงๆ

"แก่แต่ก็ทำให้เจร้องจนหมดเสียงได้แล้วกันน่า"

คนตัวโตคำรามเบาๆ เจตอบรับเบาๆ ด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ ก่อนจะเขย่งกายขึ้นจุมพิตคนรักแผ่วๆ

"อือ ถึงแก่ ผมก็รักนะ"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เขาจูบริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อนั้นคืน

"ฉันก็รักเจนะ รักที่สุดในชีวิตจ้ะ"

เมียตัวโตของเจพูดเบาๆ พวกเขายืนแลกจูบอันอ่อนหวานกันอีกครู่หนึ่ง

"ไปๆ อาบน้ำๆ"

เจตบหน้าท้องแบนราบไร้ไขมันของคนรักเบาๆ เขายกแขนคนตัวโตขึ้นพาดบ่าและค่อยๆ ประคองกันเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างกาย



"นายนี่มันร้ายนักนะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์หอมเส้นผมดำขลับของเจที่นอนซุกในอ้อมอกของเขา เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมทำตาแป๋วใส่

"ร้ายเร้ยอะไรกัน ฆาบี้ ผมทำอะไรผิดเหรอ?"

คนรักตัวเล็กของเขาไล้นิ้วไปตามอกกว้างของเขา  ฆาเบียร์ตีนิ้วมือเรียวที่เขี่ยดุนเม็ดสีน้ำตาลอ่อนที่อกของเขาเล่น

"ไม่ต้องมาทำไก๋เลย เจ นายนี่มันขี้หึงใช่ย่อยนะ แม้แต่เอนริเก้ของฉันนายก็ไม่เว้น"

"ชิๆ กล้าใช้คำว่า 'ของฉัน' เลยเหรอ?"

เจตาลุกวาวเมื่อฆาเบียร์พูดถึงนักร้องคนโปรดที่คนตัวโตหลงใหลได้ปลื้มมากว่ายี่สิบปี

"ผมไม่ได้ขี้หึงซักหน่อย ผมไม่เคยบอกให้คุณเลิกชอบเอนริเก้นะ อยากชอบก็ชอบไปสิ จะฟังเพลงแล้วทำหน้าเคลิ้มเหมือนทุกทีก็เชิญ!"

เจกระแทกเสียงหนักๆ ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ

"เจ นายทำซะแบบนี้แล้ว ฉันจะกลับไปฟังเพลงเอนริเก้เหมือนเดิมได้ยังไงกัน หือ?"

ฆาเบียร์จับจมูกน้อยๆ ของคนรักสั่นอย่างมันเขี้ยว เจหัวเราะเบาๆ แต่สำหรับฆาเบียร์แล้วมันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนพวกตัวโกงในหนังก็ไม่ปาน คนตัวเล็กจงใจเลือกเพลงดังของเอนริเก้มาร้องให้เขาฟัง หลังจากโดนไปแบบเมื่อครู่แล้ว ต่อไปนี้เมื่อเขาฟังเพลงนี้และเพลงอื่นๆ ของนักร้องหนุ่มคนนั้น เขาก็จะต้องนึกถึงเสียงสดใสของเจที่ร้องอยู่ข้างหู นึกถึงเสียงครางอย่างเสียวซ่านที่ปนอยู่กับเสียงเพลงนั้น คิดถึงใบหน้าที่แดงก่ำและเปี่ยมไปด้วยความต้องการ คิดถึงสัมผัสอันเร่าร้อนและความอบอุ่นข้างในกายของคนรัก



"...เจอแบบนี้ ใครจะไปนึกถึงหน้าเอนริเก้ได้อีกล่ะ นายนี่มันแสบจริงๆ นะเจ"

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบ เขาตบก้นแน่นๆ ของเจเพื่อเป็นการแก้แค้นเล็กๆ เจร้องออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว

"เจ็บ..."

​คนตัวโตหน้าซีด เขาลุกพรวดขึ้นเพื่อสำรวจร่างกายคนรัก

"เห้ยๆๆ ไม่ต้องเลย จะมาแหกดูอะไร วู้ ยุ่ง!"

เจปิดป้องพื้นที่หวงห้ามของเขา

"เมื่อกี้ตอนอาบน้ำก็ดูแล้วไง ไม่เป็นไรน่า เลือดไม่ออกแล้ว"

เจถอนหายใจยาว เขาดึงตัวคนรักขึ้นมานอนเคียงข้าง

"เสียดายเสื้อดีๆ อ่ะ"

เจบ่นพึมพำ คนตัวโตของเขาลืมตัวเมื่อเห็นเลือดสดๆ ที่เปรอะเป็นทางน้อยๆ ตามหว่างขาของเจ เขาใช้เสื้อเชิร์ตขาวของตัวเองที่หยิบติดมือเข้าห้องน้ำไปเพื่อพับเก็บใส่ถุงผ้าซักมาซับมันทันที

"เสื้ออาร์มานี่ตัวตั้งเป็นหมื่น เอามาใช้ยังกะเป็นผ้าขี้ริ้ว ซักออกหรือเปล่าก็ไม่รู้"

เจบ่นเบาๆ เมื่อครู่เขารีบเปิดน้ำเย็นแรงๆ ใส่รอยเปื้อนบนเสื้อตัวนี้ มันช่วยให้คราบเลือดใหม่ๆ นั้นจางหายไปได้บ้าง จากนั้นใช้สบู่เหลวทาและซักในน้ำเย็นอีกรอบ แต่ก็ยังเหมือนจะมีคราบจางๆ ติดอยู่ดี

"ไม่เห็นเป็นไรเลย เจ เดี๋ยวฉันจะยกเสื้อตัวนั้นให้เจเลย เอาไว้ใส่นอนที่บ้านก็ได้"

ฆาเบียร์นึกภาพเจนยุทธในเสื้อเชิร์ตตัวโคร่งของเขาเมื่อครู่แล้วก็แทบจะมีอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ เจของเขาช่างดูเซ็กซี่จริงๆ

"คิดอะไรทะลึ่งๆ อีกล่ะสิ"

เจรีบดักคอคนรัก เขาไม่ยอมใส่เสื้อตัวนั้นนอนเป็นอันขาด เพราะมันคงทำให้เขาไม่ได้นอนแน่ๆ ฆาเบียร์ยิ้มอายๆ เขาแก้เขินด้วยการกอดปล้ำจูบคนตัวเล็กของเขา เจปัดป้องในตอนแรก แต่สุดท้ายริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบกันแน่น



"ฆาเบียร์ครับ..."

เจเรียกเมียตัวโตของเขาเบาๆ

"ว่าไงจ๊ะ ที่รักของฉัน"

ฆาเบียร์ตอบรับทั้งที่หลับตา เจจูบแผ่วๆ ที่ต้นคอของคนรัก

"ถ้าไม่นับคืนนี้ก็อีกแค่สองคืนเองนะ"

เสียงของเจนยุทธเจือความเศร้า อีกไม่กี่วันพวกเขาก็ต้องอยู่ห่างกันอีกแล้ว

"แค่แป๊บเดียวเอง เจ แล้วฉันจะรีบกลับบ้านไปหานาย"

"...ฉะนั้น ยิ้มหน่อยนะ อย่าทำหน้าเศร้าเลย..."

ฆาเบียร์จุมพิตหน้าผากคนรักเบาๆ ก่อนจะย้ายมาจูบแก้มทั้งสองข้าง

"...เรามาทำอะไรให้คุ้มค่ากับที่จะไม่ได้เจอกันอีกนานดีกว่า"

เจอุทานขึ้นเบาๆ แล้วรีบดิ้นหนีคนตัวโตที่ทำท่าจะลวนลามเขาอีกรอบ ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มแล้วดึงตัวคนรักเข้ามากอดแนบอก

"ล้อเล่นหรอกน่า นอนกันเถอะ ไม่งั้นพรุ่งนี้นายจะตื่นไปกินข้าวเช้าไม่ไหว"

เจทำตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงอาหารเช้า เขาหยิบมือถือมาตั้งเวลาเสร็จสรรพ จากนั้นดึงผ้าห่มนวมนุ่มขึ้นปกคลุมร่างเปลือยของพวกเขาทั้งสอง

"กู๊ดไนท์คิสครับ"

เจพูดหลังจากจุ๊บเบาๆ ที่ปากคู่บาง ฆาเบียร์จุ๊บตอบแผ่วๆ เขาโอบร่างเพรียวเข้าไว้แนบอก เจกอดหมอนข้างใบโตของเขาแน่น เขารู้ว่าพวกเขาจะหลับสนิทลงได้ด้วยไออุ่นจากร่างของผู้เป็นที่รัก



-----------------------------------

เจ็บตัวอีกแล้ว เจเอ๊ย

ว่าด้วยเรื่องของ Cognac นะคะ กรรมวิธีการผลิตก็ตามที่เขียนไว้ในนั้น ส่วนการดื่มนั้นมีหลายแบบ ถ้าดื่มเป็น aperitif หรือเรียกน้ำย่อยก่อนมื้ออาหาร เราสามารถจิบมันได้ทั้งแบบ neat คือเพียวๆ ไม่ผสมอะไรเลยหรือใส่น้ำลงไปหยดสองหยดเพื่อปลดปล่อยกลิ่นรสของผลไม้ออกมา ทั้งสองแบบนี้ดื่มโดยใช้แก้วแบบเดียวกันคือที่เรียกว่า Taster's glass ซึ่งเป็นแก้วมีขาขนาดเล็ก ก้นแก้วป่องเล็กน้อยและปากแก้วแคบ  หรือจะเติมน้ำแข็งลงไปสักสองก้อนโดยเสิร์ฟในแก้วสั้นอย่างแก้วร็อค จุดประสงค์คือเพื่อให้น้ำแข็งละลายช้าๆ และปลดปล่อยกลิ่นรสอันสดชื่นออกมา หรือจะใส่มิกเซอร์อย่างจินเจอร์ เอลหรือโทนิคลงไปด้วยก็ได้โดยใส่ในแก้วลองดริงค์ หรือแก้วยาวหากการผสมแบบนี้มักทำกับคอนญัคหรือบรั่นดีในเกรด VSOP ลงไป แตถ้าได้ดีๆ ระดับ X.O. ก็คงเน้นดื่มเพียวค่ะ

แต่ถ้าเป็นการดื่มระหว่างมื้ออาหารหรือเพื่อเป็น digestif หรือเหล้าช่วยย่อยอาหารก็มักดื่มแบบ neat ค่ะ โดยเสิร์ฟในแก้วบรั่นดี คือแก้วก้านสั้นก้นป่อง เพื่อให้บรั่นดีได้รับความอุ่นจากมือคนและปลดปล่อยกลิ่นหอมๆ ออกมา แต่ถ้าเป็นเหล้าชั้นเยี่ยมอย่าง Louis XIII นั้น เห็นในเว็บฝรั่งบอกว่าเหมาะดื่มเพียวใส่แก้ว taster's glass อย่างเดียว...ยุ่งยากเนาะ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่นะคะ เพจของเรมี่ มาร์แตง จำกัดอายุคนเข้านะคะ https://goo.gl/gPPzzB

เพจของ Louis XIII ค่ะ เป็นหนึ่งอย่างที่ชีวิตนี้คงไม่หวังจะได้ชิม https://www.louisxiii-cognac.com/




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


แจ้งนิดนึงนะคะ ตอนนี้เหมือนกับว่าจะโพสต์รูปไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าจะแค่ชั่วคราวหรือว่าถาวร ก็เลยจะโพสต์ได้แค่ลิงค์รูปค่ะ เริ่มตั้งแต่เนื้อเรื่องของหน้า 10 นี้ ส่วนหน้าอื่นๆ กำลังจะไปทยอยแก้ลิงค์ให้ค่ะ


---- มื้อเช้า ปลาเค็มและเข้าโบสถ์ ----




“ตื่นได้แล้วครับ เมีย สายแล้ว”

ฆาเบียร์ตื่นขึ้นมาเพราะริมฝีปากอุ่นๆ ที่ซุกไซร้ตรงซอกคอและใบหูของเขา เขาขนลุกเกรียวทั้งตัวเมื่อเจไม่เพียงกระซิบปลุกเขาเบาๆ แต่ยังเป่าลมแผ่วๆ ใส่หูเขาอีก

“อืมม์ กี่โมงแล้ว?”

“เกือบแปดโมงแล้วครับ”

เจ้าของร่างอุ่นๆ ที่โอบรัดเขาไว้จากด้านหลังตอบเบาๆ เจกำลังง่วนอยู่กับการไล่ทำรอยสีกุหลาบไว้ตรงนั้นตรงนี้ ทั่วทั้งต้นคอและแผ่นหลังกว้างของคนรัก

“ยังเช้าอยู่เลย เจ เมื่อคืนกว่าเราจะนอนก็ตีสี่กว่า ขอฉันนอนต่ออีกหน่อยนะ”

ฆาเบียร์ดึงมือคนตัวเล็กที่พยายามซุกไซร้หาความอุ่นจากกลางกายเขาออก​แล้วนอนขดตัวงอ

“ไม่ได้ๆ สายแล้ว เดี๋ยวกินข้าวเช้าไม่ทัน”

เจเขย่าตัวคนรักอย่างแรงอีกครั้ง​

“มื้อเช้าปิดตั้งสิบโมงครึ่ง เดี๋ยวใกล้ๆ สิบโมงเราค่อยล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปกินก็ได้น่า มีเวลาอีกตั้งเยอะ”

คนตัวโตพูดงึมงำ เขาหลับตาแล้วซุกหน้าลงกับหมอนแถมยังดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงไว้อีก หากเจไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ เขารู้สึกได้ว่าเจ้าตัวเล็กทำอะไรยุกๆ ยิกๆ อยู่ด้านหลัง แต่เขาก็ง่วงเกินกว่าที่จะใส่ใจหันไปดู คนตัวโตของเจเคลิ้มหลับไปอีกชั่วครู่จนกระทั่งสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อถูกจับนอนหงายและรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับลงบนกลางลำตัว



“เฮ้ย อะไรกัน อ๊ะ เจ อูย ซี้ด”

ฆาเบียร์ครางออกมาลั่นเมื่อช่องทางที่ทั้งอุ่นและบีบรัดแน่นของเจค่อยๆ ครอบแก่นกายของเขาที่ถูกปลุกตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เจเองก็สูดปากด้วยความเจ็บปนเสียว แก่นกายของคนรักมันคับแน่นช่องทางของเขาจนรู้สึกแน่นตึงในท้องไปหมด แถมไอ้เจ้าคลิบสีชมพูที่หนีบเม็ดทับทิมบนอกทั้งสองของเขานี่ก็สั่นแรงจนเขาเสียวซ่านไปทั้งตัวแล้ว

“นี่จะลักหลับฉันเหรอ เจนยุทธ”

ฆาเบียร์คำรามเบาๆ เขาจับสะโพกของคนที่ดูท่าจะไม่มีแรงขยับแล้วและเหนี่ยวมันเข้ากับตัวเบาๆ เจร้องลั่น

“เดี๋ยวสิ ขอทำใจแป๊บนึง มันตึงไปหมดเลยคุณ”

เจพูดเสียงอ่อยๆ ก่อนจะเริ่มขยับตัวช้าๆ คนตัวโตของเจก็เริ่มขยับด้วย

“นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ อยากทำทำไมไม่บอก หือ?”

“ก็บอกไปแล้ว แต่คุณไม่ยอมตื่นอ่ะ จะหลับท่าเดียว ได้แต่อือๆ ออๆ บอกว่าเดี๋ยวๆ”

ฆาเบียร์อดหัวเราะคนรักที่บ่นไปควบขี่เขาไปไม่ได้ เจทำหน้าบูดน้อยๆ แต่ก็ยังพยายามปลุกปล้ำกับเจ้าแท่งลำของฆาบี้

“ขอโทษทีจ้ะ ฉันไม่รู้ตัวจริงๆ ตอนนั้น”

ฆาเบียร์โน้มคอคนรักลงมาจูบแผ่วๆ ก่อนที่จะพลิกกายขึ้นเป็นฝ่ายคร่อมร่างเพรียวนั้นไว้

“เดี๋ยวให้ฉันเป็นฝ่ายทำให้แล้วกันนะ คนดี”

คนตัวโตที่ตื่นเต็มตัวแล้วก้มลงจูบคนรักของเขาแผ่วๆ เขาค่อยๆ ขยับกายอย่างเนิบนาบและนุ่มนวล เจยกท่อนขาขึ้นเกี่ยวกระหวัดรอบสะโพกของฆาบี้ เสียงหอบหายใจหนักๆ และเสียงครางน้อยๆ ของเจทำให้ฆาเบียร์ลืมความปวดเมื่อยเนื้อตัวไปจนหมดสิ้น



ฆาบี้ซุกไซร้ใบหน้าไปตามซอกคอและแผงอกของคนรัก เขาขมวดคิ้วมองไอ้เจ้าคลิปสั่นได้สองตัวบนเม็ดทับทิมของคนรัก เขาใช้ลิ้นเขี่ยดุนยอดอกที่ถูกกระตุ้นเร้าเต็มที่แล้วนั้น เจร้องครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

"นายนี่นะ ไปหาไอ้ของพวกนี้มาจากไหนกัน"

ฆาเบียร์ส่ายหัวน้อยๆ คนรักของเขาช่างหาของเล่นมาเสริมรสชาติให้ชีวิตรักของพวกเขาจริงๆ ฆาเบียร์แช่แก่นกายทิ้งไว้ในช่องทางแสนอุ่นแล้วหันมาให้ความสนใจกับเม็ดทับทิมที่แดงก่ำของเจ เขาเขี่ยไอ้เจ้าคลิปนั่นไปมา ทำให้มันยิ่งเพิ่มแรงกระตุ้นขึ้น เจบิดตัวไปมาอย่างเสียวซ่านแถมยังร่อนสะโพกใส่แก่นกายของคนรักเป็นการใหญ่ ฆาเบียร์ขบกรามเบาๆ เขาตัดสินใจใช้กดสวิตช์ปิดคลิปทั้งสองแล้วใช้ฟันงับและดึงมันออก เจร้องลั่นเพราะแรงกระตุกที่ส่วนบอบบาง เขากลับมาครางกระเส่าอีกครั้งเมื่อคนรักทั้งดูดทั้งเลียยอดอกเปลือยเปล่าของเขาทั้งสองข้าง

"เจ ช้าๆ หน่อย อย่าพึ่งเร่ง"

ฆาเบียร์ตบสะโพกเจนยุทธที่บดเบียดเข้าหาแก่นกายของเขาอย่างลืมตัว เขาอยากจะเป็นฝ่ายคุมจังหวะเองก่อน ฆาเบียร์หยุดหยอกล้อกับตุ่มไตของเจและเริ่มขยับกายใหม่อีกครั้ง เขาพยายามข่มใจไม่ให้ทำรุนแรงไปเหมือนคืนที่ผ่านมา เขาขยับสะโพกและเสือกแก่นกายเข้าในช่องทางที่สั่นระริกและบีบรัดแน่นนั้นอย่างช่ำชอง คนตัวโตซอยสลับจังหวะสั้นยาวและควงสะโพกบ้างจนเจครางลั่นด้วยความหฤหรรษ์ แท่งลำของฆาเบียร์กระแทกย้ำๆ เข้าที่จุดเสียวของเขาหลายครั้งหลายคราจะสมองเขาขาวโพลนไปหมด เขารู้สึกถึงทุกการเบียดครูดในช่องทางคับแคบที่ไวต่อความรู้สึกนั้น ฆาเบียร์เองก็ขบกรามแน่น ภายในกายเจนั้นบีบรัดเขาแน่นจนปวดหนึบแล้ว

“คุณครับ ผมสุขมากเลย จะไม่ไหวแล้ว”

เจครางลั่น ฆาเบียร์จูบคนรักเขาอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง เจดูดดึงริมฝีปากคนรักอย่างไม่กลัวอีกฝ่ายเจ็บ เขาจวนถึงสวรรค์แล้ว เขาอดไม่ได้ต้องใช้มือรูดไล้แก่นกายที่แข็งแทบระเบิดของตัวเองไปด้วย ก่อนจะครางออกมาไม่เป็นภาษาและปลดปล่อยออกมาจนเต็มมือ เมื่อเห็นคนรักหลั่งน้ำขุ่นข้นออกมาแล้ว ฆาเบียร์ก็ไม่ฝืนตัวต่อ เขาเร่งกายอีกพักหนึ่งก่อนจะถอนร่างออกมา เขาคุกเข่าคร่อมเหนืออกคนรัก เจยันกายขึ้นและอ้าปากรอรับอย่างรู้งาน ฆาเบียร์ใช้มือชักรูดส่วนสงวนของตัวอีกสองสามครั้งและคำรามออกมาลั่นเมื่อเจครอบปากและดูดส่วนปลายแท่งลำนั้นหนักๆ เขาขยุ้มผมเจและเสือกแก่นกายเข้าในปากน้อยๆ นั้นแล้วปลดปล่อยออกมาอย่างแรง



“โอย เจ เจ พอแล้ว ฉันเสียวจะตายแล้ว”

ฆาเบียร์ครางลั่นแล้วตบหลังคนรักที่ยังไม่ยอมหยุดแกล้งเขา เจม้วนลิ้นเขี่ยไล้แท่งลำที่พ่นพิษไปแล้วของเขาแถมยังดูดหนักๆ อีก ในฐานะผู้ชายด้วยกัน เจรู้ดีว่าความเสียวซ่านยังคงอยู่แม้จะปลดปล่อยออกไปแล้ว แถมยังจะดูไวต่อสัมผัสกว่าตอนก่อนหน้านั้นเสียอีก ฆาเบียร์ล้มกายลงนอนแผ่หราหลังจากเจยอมปล่อยส่วนบอบบางของเขา เจเองก็ทิ้งตัวลงนอนอิงแอบอกกว้างนั้น

“ขอบคุณสำหรับมื้อเช้าครับ”

คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ เขาแลบลิ้นเลียคราบน้ำที่ยังติดอยู่ที่กลีบปากนุ่ม ฆาเบียร์จุ๊บปากคนรักเบาๆ อย่างไม่รังเกียจ

“นายนะ ทำแบบนี้ฉันจะขาดใจตายเข้าสักวัน”

เจหัวเราะคิกคัก เขารู้ดีว่าความรู้สึกมันเป็นอย่างไร สำหรับตัวเขา เวลาโดนสาวๆ ทำแบบนี้ มันจี๊ดขึ้นหัวจนสมองแทบหยุดทำงานเหมือนเวลากินน้ำปั่นเย็นๆ เลยก็ไม่ปาน

“แล้วไม่ดีเหรอครับ?”

คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพลิกตัวกอดก่ายคนรักเหมือนกอดหมอนข้าง

“ดีสิจ๊ะ ดีเกินไปด้วยซ้ำ แล้วนี่เมื่อคืนยังไม่พออีกเหรอถึงต้องมาลักหลับฉันตอนเช้าอีก?”

ฆาเบียร์ลูบผมนิ่มของคนในอ้อมอกเบาๆ เจหน้าแดงน้อยๆ เมื่อคืนเขาได้รับความรักจากคนตัวโตไปจนแทบจะเกินขีดจำกัดของตัวเองไปก็จริง แต่เขาก็ยังอยากได้มันอีก

"ก็ผมเห็นว่าไหนๆ ร่างกายมันก็พอยังไหว ก็เลยอยากให้ความสุขคุณให้เต็มที่น่ะ..."

เจขยับขึ้นนอนพังพาบบนอกคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกว้างให้เจที่นอนมองเขาตาแป๋ว

"...เพราะคืนนี้ผมจะไม่ยอมให้คุณแล้วอ่ะ"

คนตัวโตหุบยิ้มทันที

"อ้าว ไหงงั้นอ่ะ เจ!"

ฆาบี้โวยลั่น เจนยุทธทำหน้าจ๋อย

"ก็มันเจ็บอ่ะคุณ ผมไม่รู้ว่าจะทำไหวอีกหรือเปล่า ใครใช้ให้คุณผิดมนุษย์มนาเขาล่ะ"

คนตัวเล็กเสียงสั่น เขาฟุบหน้าลงกับอกคนรัก

"โธ่ เจ เจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ? ฉันไม่ทำแล้วก็ได้ ตามใจนายแล้วกัน อย่าฝืนตัวเองเลย"

คนตัวโตโอบคนที่เขารักดั่งดวงใจคนนี้เข้าในอ้อมอกอย่างทะนุถนอม ในเมื่อเจไม่พร้อม เขาก็ไม่อยากจะฝืนใจ ถึงเขาจะไม่ได้รู้สึกว่าขนาดของตัวเองผิดมนุษย์มนาอะไรอย่างที่เจพูด แต่ในตอนนี้เจก็ไม่ได้ชินกับการเป็นฝ่ายรองรับเท่ากับตัวเขา



"ฆาบี้ครับ..."

เจถามขึ้นเบาๆ เขาดันกายออกจากอ้อมกอดของคนรักแล้วลุกขึ้นนั่ง ฆาเบียร์ลุกขึ้นนั่งตาม

"ถ้าผมจะขอเป็นฝ่าย top ตลอด คุณจะรับได้ไหม?"

ฆาเบียร์อึ้งไปครู่หนึ่ง มันเป็นคำถามที่เขาไม่เคยคิดว่าเจจะถามออกมา โดยเฉพาะหลังจากที่เขาเพิ่งเป็นฝ่ายให้ความสุขเจไปเมื่อครู่นี้

"ฉันทำเจเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ?..."

เขาย้อนถามเจนยุทธอีกครั้ง เจไม่ตอบแต่หลบตาเขาอย่างเห็นได้ชัด ฆาเบียร์ขบกรามแน่น

"ตลอดมานี้นายต้องฝืนตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ เจ?"

เจนยุทธยังคงเงียบ ฆาเบียร์จับไหล่ทั้งสองของร่างเพรียวที่ไม่ยอมตอบคำถามเขาไว้แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาตัดสินใจแล้ว

"ได้สิ เจ เพื่อนาย ฉันยอม..."

ใบหน้าที่หม่นหมองของเจนยุทธสดใสขึ้นในฉับพลัน เขายิ้มกว้างและโผเข้าอ้อมอกของฆาบี้จนคนตัวโตล้มไปบนฟูกอีกครั้่ง เจจูบหนักๆ ที่ปากของคนรัก

"จริงๆ เหรอ? ฆาเบียร์ คุณยอมเปลี่ยนบทบาทอย่างถาวรจริงๆ เหรอ? เพื่อคนอย่างผมเนี่ยนะ?"

"ใช่แล้ว เจ มันก็แค่บทบาทบนเตียง ฉันรักนายนะ เจนยุทธ การที่ได้ให้ความสุขกับนาย ได้ร่วมรักกับนาย ไม่ว่าจะทำแบบไหน มันก็คือการแสดงออกถึงความรู้สึกของฉัน ฉะนั้น ใช่ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันจะยอมเป็นฝ่ายโดนนายกอดไปจนตลอดชีวิตนั่นแหละ"

ฆาเบียร์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาหอมแก้มที่แดงระเรื่อของเจหนักๆ เจหลับตาและสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และระบายออกดังเฮือก

"ผมดีใจมากครับฆาบี้ ที่คุณรักผมขนาดนี้ ผมดีใจจริงๆ"

น้ำตาหยดน้อยๆ ไหลออกมาจากตากลมสดใสของเจ เขาแนบแก้มลงกับแก้มของคนรัก



"คุณรักผมแบบนี้ ผมก็ทนใจร้ายปล่อยให้คุณเจ็บตัวอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอกนะ"

เจยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากคนรักอีกครั้ง ฆาเบียร์จูบตอบอย่างงงๆ เจขึ้นนั่งคร่อมกลางกายคนรัก เขาบดเบียดปากช่องทางสีชมพูของตัวเองกับแก่นกายที่เริ่มพองตัวน้อยๆ ของคนรัก

"ทำแบบนี้ผมก็อยู่ top เหมือนกันนะครับ คนดีของผม"

ฆาเบียร์มองลึกเข้าไปในดวงตากลมใสที่ฉายแววสนุกคู่นั้น

"เจ นี่นายแกล้งลองใจฉันเหรอ?"

คนตัวโตคำรามลั่น เขาดึงเจลงมากอดปล้ำอย่างมันเขี้ยว เจหัวเราะลั่นแล้วพรมจูบไปทั่วใบหน้าเมียตัวโตของเขา

"ผมจะปล่อยให้คุณพูดเท่ๆ แบบนั้นคนเดียวได้ไง ผมก็รักคุณเหมือนกันนะ ฆาบี้ เจ็บตัวบ้างไม่เป็นไรหรอก ขอให้คุณมีความสุขเป็นพอ แต่...ก็ขออย่าบ่อยนักอ่ะ ได้ไหม?"

เจทำตาปิ๊งๆ อ้อนวอนคนรัก ฆาเบียร์งับจมูกน้อยๆ ของเจแทนคำตอบ



"โอ๊ย"

ฆาเบียร์อุทานออกมาเมื่อลงเตียงแล้วเหยียบใส่ของแข็งๆ บางอย่าง เขาหยิบไอ้เจ้าคลิปสั่นได้ของเจขึ้นมาแล้วถือมันเดินตามคนตัวเล็กเข้าห้องน้ำไปด้วย

"เมื่อกี้ฉันถามนายแล้ว นายยังไม่ตอบฉันเลยนะว่าไปเอาของพวกนี้มาจากไหนกัน"

เจหน้าแดงแปร๊ดและรับไอ้เจ้าคลิปสองตัวที่ฆาเบียร์โยนมาให้เขา คนตัวโตโคลงหัวน้อยๆ เจของเขาของเล่นเยอะจริงๆ มาคราวนี้เขาเจอทั้งไอ้แท่งนวดสองหัว คลิปสั่นได้ แถมยังมีไอ้เจ้าถุงมือตะปุ่มตะป่ำนั่นอีก

"เอ่อ ก็ได้มาจากฮ่องกง"

คนตัวเล็กหัวเราะแหะๆ แล้วให้คำตอบออกมา ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เจทันได้ออกไปซื้อของพวกนี้มาเมื่อไหร่กัน

"ผมฝากคนไปซื้ออ่ะ เปิดแคตาล็อกออนไลน์ดูตั้งแต่อยู่ไทย แล้วส่งมาบอกคนที่นี่ให้ซื้อให้"

"แล้วไอ้เจ้า someone ที่นี่ของเจนั่นมันใครกันล่ะ?...เดี๋ยว ฉันว่าฉันรู้แล้ว"

เมียตัวโตของเจยกมือห้ามคนรักที่กำลังจะขยับปากตอบ

"ยัยเมลิน่าล่ะสิ"

แน่ล่ะ จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากยัยเลขาฯ ตัวแสบของเขา

"ฉันขอห้ามแล้วนะ เจ ห้ามฝากซื้อของเล่นพิเรนทร์ๆ พวกนี้มาอีก เข้าใจไหม? ถ้าอยากได้อะไร เราค่อยไปเลือกซื้อกันสองคน ไม่ต้องผ่านคนอื่น ตกลงมั้ย?"

เจยกมือคนรักที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่ขึ้นจูบเบาๆ

"เอาสิครับ คราวหน้าเราค่อยไปหาซื้อด้วยกัน เอาให้ครบชุดเลยนะ โซ่ แส้ กุญแจมือ เทียน"

เจหัวเราะคนรักที่ทำตาเหลือกเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาเปิดให้น้ำอุ่นๆ จากเรนชาวเวอร์สาดต้องกายพวกเขาทั้งคู่และเริ่มใช้ร่างกายนวดและลูบไล้ฟองสบู่ให้คนตัวโต



"โอ๊ย จะสิบโมงแล้ว นี่ขนาดผมเผื่อเวลาแล้วนะเนี่ย"

เจบ่นคนรักของเขาเบาๆ พวกเขาค่อยๆ เดินเข้าไปยังคลับเลาจ์ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันเพื่อกินอาหารเช้าที่ไม่ค่อยเช้าเท่าไหร่แล้ว

“ก็เจอยากมาแกล้งฉันตอนอาบน้ำทำไม หือ?”

คนตัวโตบ่นอุบอิบ พวกเขาเสียเวลานัวเนียกันต่อในห้องน้ำอีกครู่หนึ่ง เจหัวเราะแหะๆ พวกเขาทั้งสองเป็นเหมือนไฟกับน้ำมัน เมื่อสัมผัสเนื้อตัวกันมันยากนักที่จะระงับอารมณ์ได้ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์รักหรืออารมณ์ใคร่ เจปล่อยมือคนตัวโตที่เขาเกาะกุมไว้และสอดไหล่เข้าใต้วงแขนของคนรักและประคองกายของคนตัวโตที่เดินโขยกเขยกน้อยๆ

“ทิ้งน้ำหนักลงที่ไหล่ผมเลยนะครับ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

เจหันมาแย้มยิ้มให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์ยิ้มตอบ

“ขอบใจจ้ะ ที่จริงฉันก็เดินไหวอยู่หรอก แค่ปวดตึงขาหน่อยแค่นั้น ว่าแต่เจเถอะ หายเจ็บหรือยัง?”

เจพยักหน้าน้อยๆ มันก็ปวดแปลบอยู่บ้างและจะออกอาการเมื่อลงนั่ง แต่ก็ไม่ได้แย่มากนักเมื่อเทียบกับว่าเมื่อคืนพวกเขารุนแรงขนาดนั้น เขาคงเริ่มชินกับพ่อม้าคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว เจพาคนตัวโตของเขาเข้านั่งในคลับเลาจ์ เขาเป็นฝ่ายลุกไปตักอาหารมาและปล่อยให้ฆาบี้นั่งพักผ่อนที่โต๊ะ ฆาเบียร์นั่งยิ้มกริ่มมองคนรักที่คอยบริการเขาอย่างอิ่มอกอิ่มใจ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะถูกคนที่เคยควงด้วยเอาอกเอาใจ หากเขารู้สึกได้ว่าจุดประสงค์ของคนพวกนั้นคือต้องการทำให้เขาพอใจเพื่อคงสถานะความเป็นคนโปรด แต่สำหรับเจ เจ้าตัวเป็็นคนช่างบริการแต่ทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งพออยู่กับเขา เจก็ยิ่งคอยทำนั่นทำนี่ให้เพราะต้องการจะดูแลเขาในฐานะคนพิเศษ หรือ "เมีย" อย่างที่เจชอบเรียก



"ยิ้มแบบนี้ มีอะไรดีๆ เหรอครับ?"

“ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันแค่คิดว่านายบริการฉันดีแบบนี้นี่ ฉันเคยตัวแย่เลย”

เจยื่นจานอาหารให้ฆาเบียร์ บนจานหนึ่งมีสลัดกับแฮมและชีสนิดหน่อย​ แซลม่อนรมควันและเครื่องเคียงอย่างแรดิชฝน ลูกเคเปอร์ หอมสดฝานบางและมะนาวเหลือง อีกจานหนึ่งมีถ้วยกราโนล่า โหลแก้วใส่โยเกิร์ต ผลไม้สด และที่ทำให้ฆาเบียร์ยิ้มออกมาคือครัวซองต์หนึ่งตัวกับเนยถั่วและนูเตลล่า

“แหม เรื่องแค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรหรอกครับ ทำอะไรให้ได้ ผมก็อยากทำให้น่า ยิ่งวันนี้คุณเดินเหินลำบากด้วย”

เจดึงขวดแก้วที่เขาหนีบไว้ที่ซอกแขนมาวางให้บนโต๊ะ

"น้ำผลไม้ครับ เสียดายเค้าไม่มีน้ำมะเขือเทศ แต่ผมเอาน้ำเกรปฟรุ้ตกับน้ำแอปเปิ้ลมาให้"

น้ำผลไม้ของที่นี่มาในขวดแก้วที่มีจุกคอร์กปิด แขกสามารถหยิบมาได้ทั้งขวดซึ่งเจหนีบทั้งสองขวดมาให้คนตัวโตของเขา ฆาเบียร์หยิบของโปรดคือน้ำเกรปฟรุ้ตมาเทใส่แก้ว เจรู้ใจเขาเสมอ เขาแทบไม่ต้องบอกคนตัวเล็กแล้วว่าเขาต้องการอะไรบ้าง

เจนยุทธเดินกลับไปตักอาหารของตัวเองพร้อมกับแวะสั่งอาหารจานไข่แล้วค่อยเดินกลับมาที่โต๊ะ เขาหย่อนก้นลงนั่งลงช้าๆ โดยมีฆาเบียร์คอยมองอย่างเป็นห่วง

"โอเคใช่ไหม เจ?"

"ไม่เป็นไรครับ ไม่เจ็บ ไม่มีปัญหา ไม่ต้องห่วงครับ เมีย"

เจนยุทธเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มหวานจ๋อยให้คนรัก

"ผมสั่งออมเล็ตต์ไข่ขาวให้นะ โอเคป่าว?"

"โอเคจ้ะ แล้ว..."

"ครับ เอาเบค่อนมาด้วย ไม่ต้องห่วงน่า ผมจำได้"

เจยิ้มให้เมียตัวโตของเขา จากนั้นลงมือจัดการอาหารในจานของตัวเอง



"แชมเปญอีกไหมเจ?"

ฆาเบียร์เรียกพนักงานเสิร์ฟสาวที่เดินผ่านมาพร้อมขวดแชมเปญในมือ ที่ริทซ์ คาร์ลตันนี้ก็เป็นอีกแห่งที่มีแชมเปญเสิร์ฟในเลาจ์ตลอดเวลา เจส่งแก้วของเขาให้แทนคำตอบ แต่กลับดึงแก้วของคนตัวโตมาเก็บไว้

"ฆาบี้ครับ คุณน่ะ พอได้แล้ว เมื่อกี้กินยาก่อนอาหารไป แล้วเดี๋ยวยังต้องกินยาหลังอาหารอีก แก้วเดียวก็พอแล้วนะ"

"อีกแก้วไม่ได้เหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ทำตาละห้อย แต่เจปฏิเสธและส่งแก้วของฆาบี้ให้พนักงานนำไปเก็บ เขารินน้ำแร่อัดก๊าซที่หยิบมาเป็นขวดให้คนตัวโตแทน

"เอ้า มีฟองเหมือนกัน ดื่มนี่แทนไปก่อนแล้วกัน"

คนตัวโตถอนหายใจและยกแก้วน้ำดื่มแทนโดยดี

"เอ้า ให้อีกจิบเดียวนะ"

เจที่ใจอ่อนกับสายตาออดอ้อนของคนรักยื่นแก้วแชมเปญของตัวเองให้ ฆาเบียร์ยิ้มร่าและยกขึ้นจิบอึกน้อยๆ อย่างรู้ตัวแล้วส่งแก้วคืนให้เจ

"แค่นี้ก็พอแล้วจ้ะ"

พวกเขาทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้ากันต่อจนหมดแล้วจึงกลับลงไปยังห้องพัก



“ไง เมลิน่า ริคกี้ เมื่อคืนไปกินร้านไหนกันมา?”

เจนยุทธทักทายเลขาฯ ทั้งสองของฆาเบียร์ที่ยืนรอพวกเขาอยู่ที่บริเวณโถงรับรองของโรงแรมอย่างอารมณ์ดี ทั้งคู่ตอบว่าพวกเขาไปร้านอาหารฝรั่งเศสที่ตั้งใจจะกินในตอนแรก เจถามถึงอาหารของที่นั่นอย่างสนใจ เขาตั้งใจแล้วว่าคราวหน้าเขาจะต้องมาลองร้านอาหารสองดาวมิเชแลงแห่งนั้นให้ได้ เขายืนเม้ากับสองเลขาฯ อีกพักหนึ่งโดยมีฆาเบียร์ยืนกอดอกดูอยู่ข้างหลัง

"เมลิน่า มานี่หน่อยซิ"

ฆาเบียร์กวักมือเรียกเลขาสาวที่เขาเห็นหน้ามาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น

"ค่ะ เฆเฟ่ มีอะไรคะ? โอ๊ย"

ยัยตัวดีของฆาบี้ร้องลั่นเมื่อโดนเจ้านายดีดหน้าผากเข้าทีหนึ่ง

"โทษฐานที่คอยยุเจดีนัก"

เจนยุทธหัวเราะจนตัวงอเมื่อเห็นคนตัวโตยืนหน้าหงิกบ่นเลขาของตัวเอง เมลิน่าทำหน้างงๆ แล้วหันมาหาเจเป็นเชิงถาม

"เรื่องของที่ผมฝากเมลิน่าซื้อแหละ"

เจตอบยิ้มๆ

"นั่นแหละ แล้วไอ้คนลำบากน่ะคือฉัน"

เมลิน่าและริคกี้หันมาแอบยิ้มให้กันเมื่อเจ้านายของพวกตนหลุดปากบ่นออกมาเบาๆ

"แหม ลำบากอะไร ผมเห็นคุณออกจะครางลั่นบอกว่าดีๆ เสียวมาก"

เจกระซิบเบาๆ ข้างหูคนรัก ฆาเบียร์หน้าร้อนผ่าวแล้วผลักหน้าน้อยๆ ที่ทำกรุ้มกริ่มใส่เขาให้ไปห่างๆ เขากระแอมเพื่อไล่ความเขินและพูดด้วยเสียงเป็นการเป็นงาน

"จำไว้นะ เมลิน่า ต่อไปนี้ห้ามรับออเดอร์ซื้อของพวกนั้นจากเจอีกเป็นอันขาด เข้าใจไหม?"

เมลิน่าตอบรับอย่างแข็งขัน

"โดนดุเลย ขอโทษนะ เมลิน่า"

เจหัวเราะแหะๆ แล้วกระซิบขอโทษขอโพยเลขาของฆาเบียร์ตอนที่คนรักหันไปคุยกับริคกี้

"ไม่เป็นไรค่ะ นิดๆ หน่อยๆ ว่าแต่ ของใช้ดีไหมคะ?"

เจพยักหน้ารัวๆ แถมยกนิ้วโป้งสองข้างให้ยัยตัวดีของฆาเบียร์แทนคำตอบ คนตัวโตที่หันมาเจอท่าทางของคนทั้งสองได้แต่โคลงหัวอย่างระอากับความห่ามของคนทั้งสอง



"รถมาแล้วครับ"

ริคกี้เดินเข้ามาเรียกทั้งสามคนที่นั่งรอที่โถงรับรอง ทุกคนพากันเดินออกมาที่หน้าประตูโรงแรม

"อ๋อ วันนี้เป็นอัลพาร์ดเหรอ? ดีเลย จะได้นั่งสบายกันทุกคน"

เจพยักหน้าเมื่อเห็นรถตู้หรูอย่างโตโยต้า อัลพาร์ด คนขับที่ยืนรออยู่แล้วเปิดประตูให้ทุกคนขึ้นรถ ริคกี้และเมลิน่าขึ้นนั่งเบาะหลังสุด ส่วนเจและฆาเบียร์ขึ้นนั่งแถวหน้าของส่วนผู้โดยสาร

"เบาะแบบนี้ ตัวท็อปใช่ไหมเนี่ย? ยังกะนั่งเครื่องบินชั้นบิสสิเนสคลาสเลยนะคุณ"

เจเล่นฟังก์ชั่นต่างๆ ของเบาะที่นั่งของเขาอย่างถูกใจ เขาปรับเบาะ ปรับที่รองขาจนพอใจ เขากางโต๊ะพับมาดูเล่นแล้วก็กดนั่นกดนี่

"ฮึ่ย เบาะอุ่นร้อนได้ด้วยคุณ ดีจัง วันนี้ยิ่งหนาวๆ อยู่"

เจเปิดระบบอุ่นเบาะไว้แล้วเอนนอนอย่างสบาย ฆาเบียร์ยิ้มอย่างเอ็นดู

"เจนอนก่อนก็ได้ เดี๋ยวถึงแล้วฉันปลุก"

"เออ แล้ววันนี้เราจะไปไหนกันเหรอครับ? ต้องนั่งรถนานขนาดนั้นเลยเหรอ?"

"เจอยากซื้อปลาเค็มกับกังป๋วยไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวเราไปเกาะโคโลอานก็ได้ ไปซื้อปลาเค็มแล้วก็ค่อยกินข้าวที่เฟอร์นันโดส์ กินเลทหน่อยก็ได้"

"โอ๊ย ไม่เป็นไรคุณ นั่งแท็กซี่ไปซื้อพรุ่งนี้ก็ได้ ผมไม่อยากให้มันเหม็นรถน่ะ"

"ฉันกลัวพรุ่งนี้จะไม่ทันน่ะ พรุ่งนี้เที่ยงเราจะกินซันเดย์บรันช์ที่โรงแรมกัน"

"งั้นไปบ่ายก็ได้นี่ครับ"

ฆาเบียร์ส่ายหัว เขาบอกเจว่าไม่น่าจะไหว เจเกาหัวแกรกๆ แต่ก็ยอมตามใจคนรัก



"เจงีบไปก่อนแล้วกัน ฉันจะคุยกับเมลิน่ากับริคกี้หน่อย"

ฆาเบียร์หันไปบอกคนรัก เจยักไหล่และเอนกายลงนอน ฆาเบียร์บอกให้เมลิน่าเปิดกระเป๋าเอกสารของเขาที่ให้ริคกี้ถือไว้เมื่อสักครู่

"เธอกับริคกี้เซ็นเป็นพยานให้ด้วยแล้วกัน แล้วฉันขอฝากทำก็อปปี้ให้หลายๆ ชุดหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวรายนั้นเขาไม่พอใจแน่"

เมลิน่าและริคกี้อึ้งไปเมื่อได้อ่านรายละเอียดในข้อตกลงที่เจทำกับฆาเบียร์เมื่อคืนที่ผ่านมา

"เอาแบบนี้จริงๆ เหรอคะ เฆเฟ่"

เมลิน่ากระซิบถามเบาๆ

"ทำไงได้ล่ะ เจเขาอยากทำแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากตกลงกับเขานักหรอก"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"แกล้งทำหายเสียดีไหมเนี่ย?"

คนตัวโตบ่นเบาๆ

"ถ้าคุณแกล้งทำหาย ผมก็ถือว่าไม่มีการตกลงรับหุ้น โอเคไหม?"

เสียงเย็นๆ ดังมาจากคนที่ฆาเบียร์นึกว่าหลับไปแล้ว คนตัวโตสะดุ้งแล้วหันไปยิ้มแหยๆ ให้คนรักที่ชันกายขึ้นนั่ง เจนยุทธหันมาหาเลขาทั้งสอง

"เซ็นซะ แล้วผมขอก็อปปี้ไว้ชุดนึง แล้วเตรียมอีกชุดไว้ส่งให้คุณคริสด้วยนะครับ อีกชุดเก็บไว้ที่ฆาเบียร์ และอีกชุดผมฝากไว้ในเซฟที่บริษัท เผื่อตาคนนั้นทำชุดของตัวเองหาย"

เจส่ายหัวน้อยๆ เขาทั้งฉิวทั้งขำฆาเบียร์ที่ทำท่าจะไม่ยอมรับข้อตกลง

"ไม่งีบแล้วเหรอ?"

คนตัวโตลูบหัวคนรักของเขาเบาๆ เขารู้ว่าเจเองก็อ่อนเพลียจากเมื่อคืนและเมื่อเช้าไม่แพ้เขา แต่พยายามทำท่าร่าเริงเพื่อไม่อยากให้เขาเป็นห่วง

"ไม่งีบแล้วดีกว่าครับ ขืนนอนตอนนี้มันจะอยากนอนต่อทั้งวัน"

เจเอนหัวไปซบไหล่คนรักที่ยืดแขนมาโอบไหล่เขาน้อยๆ เก้าอี้แบบนี้มันนั่งสบายก็จริง แต่ด้วยความที่มีโต๊ะพับและอุปกรณ์ต่างๆ ในที่เท้าแขนนวมขนาดใหญ่ มันจึงทำให้เขานั่งห่างจากฆาเบียร์เล็กน้อย


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- มื้อเช้า ปลาเค็มและเข้าโบสถ์ (ต่อ) ----



"คุณเจคะ..."

เมลิน่าส่งแท็บเล็ตของเธอให้เจนยุทธ

"ฉันโพสต์คลิปกับรูปของเมื่อวานให้แล้วนะคะ"

เมื่อวานทั้งวัน เจนยุทธใช้เวลาไปกับฆาเบียร์โดยไม่มีการโพสต์อะไรลงไปในเพจของคนตัวโต เขารวบรวมคลิปและรูปมาให้เมลิน่าลงในเช้าวันนี้แทน เจรับไอแพดมาดู

"มีคนเข้ามาอวยพรวันเกิดย้อนหลังให้คุณเจเต็มเลยค่ะ"

เมลิน่าพูดยิ้มๆ เจเลื่อนๆ ดูคำอวยพรเหล่านั้น เขายิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่ออ่านคำอวยพรเหล่านั้นซึ่งมาในหลายภาษา ถึงเขาจะไม่รู้จักคนพวกนั้น แต่มันก็รู้สึกดีเมื่อรู้ว่ามีคนคอยหวังดีและอวยพรให้ เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเลือกรูปตัวเขาและฆาเบียร์มาแต่งภาพและโพสต์พร้อมคำขอบคุณลงไป คนตัวโตนั่งอมยิ้มมองคนรักง่วนกับหน้าเพจของตัวเขา

“คล่องแล้วนี่นา เจ ฉันยกเพจให้นายจัดการเลยดีไหม?”

คนตัวโตแอบหอมแก้มเจเบาๆ

“เฮ้ยๆๆ อย่ามาโยนให้ผมสิ คนเค้าเข้ามาน่ะ มาดูเรื่องของคุณ ไม่ใช่ผม อีกอย่างผมทำงานตามค่าจ้าง จ้างผมถูกก็ทำแค่นี้”

เจหันมาแลบลิ้นใส่คนรัก

“ก็จะจ้างแพงๆ เจก็ไม่ยอม”

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบ เจหัวเราะคิกและยกมือคนรักขึ้นจูบ

“จะให้ผมรับไปทำเลยก็ได้ แต่ผมรับเป็นเงินแค่นั้นพอ ที่เหลือผมจะมาเก็บกับตัวคุณนะ ฆาบี้ รับรองว่าผมจะเก็บให้คุ้ม จัดให้หนักจนคุณลุกไม่ขึ้นแน่ๆ”

ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน เขาดึงเจที่ทำตาเจ้าชู้ใส่เขามากระซิบเบาๆ เจสะดุ้งโหยงแล้วหันไปหัวเราะแหะๆ กับเลขาทั้งสองของคนรักที่ได้ยินคำพูดของเขาเข้าอย่างชัดเจน ริคกี้นั้นหน้าแดงส่วนเมลิน่าก็นั่งอมยิ้มเมื่อเห็นนายรักที่ปกติเป็นเสือถูกคนรักรุกเร้าจนไปไม่เป็น เจนั้นก้มหน้างุดด้วยความเขิน เขาอยู่กับฆาเบียร์สองคนจนเคยตัว จนบางครั้งลืมระวังเวลาพูดและแสดงออก

“ขอโทษครับ ฆาบี้ คราวหน้าผมจะระวังมากกว่านี้”

เจพูดด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจัง เขาขยับกายออกห่างคนรักและนั่งตัวตรงอยู่ในที่นั่งของตัวเอง ฆาเบียร์เกาหัวและเป็นฝ่ายโน้มกายไปจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากเจ เจผงะหนีเล็กน้อย แต่ก็ถูกคนตัวโตดันหัวให้เข้ามาใกล้ เขาหลับตาและรับความหวานจากปากคนรัก



“คุณนี่เหลือเกินจริงๆ เลย…”

เจทุบไหล่คนตัวโตเบาๆ เมื่อพวกเขาลงรถที่หน้าท่าเรือบนเกาะโคโลอาน เขาถูกคนตัวโตจูบจนตัวอ่อนระทวยไปหมด ดีที่รถถึงจุดหมายปลายทางเสียก่อนไม่งั้นเขาคงต้องลำบากแน่เพราะมือของฆาเบียร์นั้นเริ่มซุกเข้าใต้เสื้อเขาแล้ว

“…ทำเป็นเขินตอนผมพูด แล้วไอ้ที่ตัวเองทำล่ะ ไม่เห็นจะเกรงใจสองคนนั่นตรงไหนเลย”

เจบ่นดังๆ เขายังไม่กล้าสบตาเลขาทั้งสองของฆาบี้เลย

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเจ ฉันชินแล้ว มากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้ว

เมลิน่าตอบยิ้มๆ ในฐานะเลขาหลายครั้งที่เธอต้องนั่งร่วมรถกับฆาเบียร์และคู่ควงไปออกงาน หลังงานเลิก หลายครั้งที่เมื่อนายของเธอและคู่ขามีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด พวกเขามักจะนัวเนียกันบนเบาะหลังของรถหรูระหว่างทางกลับไปยังที่พัก เธอซึ่งนั่งคู่กับคนขับก็ต้องทำตัวเป็นอากาศธาตุไป

“อะแฮ่มๆ ชู่ว์!”

ฆาเบียร์ทั้งกระแอม ทั้งจุ๊ปากเมื่อยัยเลขาตัวดีทำท่าจะเล่าอะไรเพลินออกมาอีกแล้ว เจหันขวับไปหาสาวละตินแล้วยิ้มหวาน

“เหรอ เห็นอะไรเหรอ เมลิน่า? เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ นะๆๆ”

เมลิน่ามองหน้านายแล้วทำท่ารูดซิปปาก

“ถามเฆเฟ่เองดีกว่าค่ะคุณเจ”

เลขาสาวรีบลากริคกี้เดินไปที่ร้านขายอาหารทะเลแห้งทิ้งให้สองหนุ่มยืนด้วยกันตามลำพัง เจมองหน้าคนตัวโตที่มีทีท่าประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เขาเม้มปากแล้วตัดสินใจจับมือคนรักแล้วดึงให้เดินไปที่ร้านที่เขาตั้งใจจะมาซื้อของ



“เจ จะไม่ถามฉันเหรอ”

คนตัวโตถามขึ้นเบาๆ เจส่ายหัว

“ไม่ถามครับ ฆาบี้ ผมก็ถามเมลิน่าเล่นไปงั้น ไม่ได้อยากรู้จริงๆ จังๆ ที่จริงผมก็พอเดาได้หรอกครับ”

คนที่เคยเจ้าสำราญมาก่อนเหมือนกันถอนหายใจเฮือก แล้วหันมาเผชิญหน้ากับคนรัก

“ผมแค่สงสัยว่าถ้าคุณเคยทำขนาดนั้นต่อหน้าเลขา แล้วจะต้องมาอายกับเรื่องที่ผมพูดทำไม หรือคุณอายที่จะให้ผมพูดออกมาดังๆ ให้สองคนได้ยินว่าคุณก็เป็นฝ่ายถูกผมกอด”

“Never!”

ฆาเบียร์เผลอตัวปฏิเสธเสียงดังลั่นจนเลขาทั้งสองหันมามอง เขาลดเสียงลงพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองของเจแน่น

“ฉันไม่เคยอายกับสิ่งที่เราเป็นกันเลยนะเจ ฉันไม่เคยอายแบบนั้น ฉันแค่ เอ่อ เขินน่ะ”

คนตัวโตใช้คำว่า shy มาอธิบายแทนคำว่า embarrass ที่เจใช้ในครั้งแรก เขาหน้าแดงน้อยๆ อีกครั้ง

"ป่านนี้แล้วยังจะมาเขินอะไรกันอีกล่ะคุณ"

เจเกาหัวแกรกๆ ฆาเบียร์ยิ่งหน้าแดงก่ำ

"เอาเหอะๆ รู้แล้วว่าเขิน วันหลังผมจะระวังคำพูดแล้วกันครับ คุณเองก็เหมือนกัน ระวังพฤติกรรมด้วย ไม่ต้องมานัวเนียกับผมต่อหน้าลูกน้องคุณเลย"

"เจจ๋า..."

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ พร้อมเอามือโอบเอวคนตัวเล็กของเขา เจปัดมือคนรักทิ้ง

"ไม่ต้องมาเจจ๋าเลย ไปๆ เสียเวลาซื้อของ"



เจกับฆาเบียร์เลือกซื้อของในร้าน Loja de Peixe Tong Kei​ ข้างท่าเรือ Ponte Cais de Coloane อันเก่าแก่อยู่ครู่ใหญ่ เจซื้อปลากุเลาเค็มตัวโตขนาดยาวกว่าศอกไปสี่ตัว

"ผมจะเอาให้แม่สองตัว แล้วอีกสองตัวผมจะแบ่งพี่นพ ซันซันแล้วก็ปรินซ์ครับ"

เจบอกว่าทุกครั้งที่เขาเอาปลาเค็มกลับบ้าน เขาก็จะเอาไปทิ้งไว้บ้านแม่ทั้งหมด แม่เขาก็จะจัดการตัดมันเป็นชิ้นๆ แล้วแช่น้ำมันไว้ครึ่งหนึ่งและห่อกระดาษไว้อีกครึ่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็จะแบ่งเอาไปแจกเพื่อนๆ บางส่วน แล้วเอากลับมาไว้ที่คอนโดบ้าง

"แต่ผมก็เลี่ยงที่จะไม่ทำอิปลาเค็มนี่ที่ห้องนะ ต่อให้มันมีกลิ่นน้อยกว่าปลาเค็มไทย ถึงที่ดูดควันจะดีแค่ไหน ไงก็ยังเหม็นในห้องอ่ะ โดยมากก็จะขอแม่ทอดให้ ไม่ก็ไปกินที่บ้านแม่"

เจยกปลาเค็มที่ซื้อแล้วขึ้นดม ที่ร้านห่อกระดาษและใส่ถุงพลาสติกไว้ให้อย่างดีจนกลิ่นแทบไม่ออก แต่เขาก็ยังกลัวว่ามันจะเหม็นในรถอยู่ดี นอกจากปลาเค็มแล้วเจยังซื้อกังป๋วยหรือหอยเชลล์แห้งไปอีกจำนวนหนึ่ง เขาซื้อทั้งแบบตัวใหญ่ขนาดเท่าเหรียญห้าและตัวเล็กๆ ตัวเท่าปลายนิ้วก้อยผู้หญิง

"ไอ้แบบตัวใหญ่ ผมจะเอาให้แม่ครับ ตัวเล็กๆ น่ะ ก็แบ่งให้แม่ด้วยแล้วก็เก็บไว้เองด้วย เอาไว้ต้มซุป"

เจบอกว่ากังป๋วยของที่นี่คุณภาพใช้ได้ และราคาไม่แรงนัก ยิ่งมาซื้อที่โคโลอานนี่ก็ยิ่งถูกกว่าซื้อในร้านขายของฝากในเมือง แต่ถึงกระนั้นเจก็หมดเงินไปกับร้านนี้หลายพันบาททีเดียว



"นี่ก็ยังถือว่าถูกนะคุณ ผมเคยไปดูราคาหอยเชลล์แห้งที่ตลาดปลาในญี่ปุ่น ซื้อไม่ลงเลยคุณเอ๊ย"

เจบอกว่าหอยเชลล์ที่นั่นตัวใหญ่มาก ใหญ่ยิ่งกว่าเหรียญสิบ แต่ราคาของมันก็แพงมหาโหดเลยทีเดียว

"ถ้าผมจำไม่ผิด ขีดละสามพันเยน อะไรประมาณนี้อ่ะคุณ ผมงี้ซื้อไม่ลงเลยอ่ะ แต่หอยเชลล์แห้งของที่ญี่ปุ่นนี่ เค้าว่าเอามากินเล่นแกล้มเหล้าเลยก็ได้นะ ไม่ต้องแช่น้ำก่อน"

คนตัวเล็กบ่นกับฆาเบียร์ว่าตอนนั้นเขางกไปหน่อยเลยไม่ได้ซื้อมาชิม ตอนนี้นึกเสียใจว่าน่าจะซื้อกลับมาลองบ้าง

"ไว้คราวหน้าเราไปญี่ปุ่นกัน ก็ค่อยไปซื้อก็ได้จ้ะ"

"ได้สิ ผมยังมีร้านที่อยากพาคุณไปชิมด้วยนะ ไว้เราหาเวลาไปกันสักครั้ง"

เจหันไปยิ้มหวานกับคนรัก ฆาเบียร์กอดคอคนรักเดินช้าๆ ไปตามทางปูหิน เลขาทั้งสองเดินตามหลังไม่ห่าง พวกเขาเดินต่อไปตามทางเท้าปูหิน แม้ตอนนี้จะเลยเที่ยงวันไปแล้ว อากาศต้นเดือนกุมภาพันธ์ก็ยังเย็นสบายทำให้พวกเขาเดินได้เรื่อยๆ เจพาคนรักเดินตามทางเลียบทะเล ในช่วงแรกนั้นตามสองข้างทางมีบ้านคนชั้นเดียวสร้างเรียงราย แต่เมื่อพ้นวงเวียนที่จะพาพวกเขาแยกไปยังร้านทาร์ตไข่ลอร์ดสโตว์ เจกลับพาฆาเบียร์เดินไปทางที่เปิดให้เห็นทะเลด้านหนึ่งแทน ทะเลส่วนนี้ไม่ได้งดงามอะไรเพราะเต็มไปด้วยโคลนเลน แต่ลมทะเลที่พัดโชยก็สร้างความรื่นรมย์ให้การเดินเล่นของทั้งสองไม่น้อย



"เจ ของหนักไหม? ฝากให้ริคกี้หิ้วแทนหรือเอาไปเก็บไว้ที่รถก็ได้"

ฆาเบียร์ก้มลงถามคนรักที่หิ้วทั้งปลาเค็มและหอยเชลล์แห้งพะรุงพะรังในมือ น้ำหนักของมันนั้นไม่ใช่น้อย

"ไม่เป็นไรอ่ะ ทิ้งไว้ในรถมันก็เหม็นซะเปล่าๆ อีกอย่าง ของผมซื้อเอง ผมก็ต้องหิ้วเอง"

"งั้นแบ่งมาให้ฉันหิ้วด้วย เพราะไงๆ ถ้ากลับไทยไป เจก็ต้องใช้มันทำอะไรให้ฉันกินอยู่ดี"

ฆาเบียร์แย่งถุงปลาเค็มในมือของเจนยุทธมาถือไว้ เจหัวเราะคิก

"ขำอะไรเหรอ เจ?"

"ขำคุณนั่นแหละ คุณยืนนี่แป๊บนึงนะ ชูถุงปลาเค็มขึ้นด้วย"

ฆาเบียร์ทำตามอย่างงงๆ เจถ่ายรูปคนตัวโตของเขาไว้ เขาดูหน้าจอแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้อีก ฆาเบียร์ก้มดูแล้วก็ต้องโคลงหัวน้อยๆ

"คุณนี่แต่งตัวโคตรไม่เข้ากับปลาเค็มเลย ฮ่าๆๆ"

คนตัวโตของเขาใส่กางเกงยีนส์ทรงสวยจากแบรนด์ดัง เสื้อเชิร์ตสีฟ้าพร้อมทั้งเสื้อเบลเซอร์ผ้าลินินสีขาวครีมและรองเท้าจอห์น ล็อบแพงระยับคู่นั้น หากในมือถือถุงก๊อบแก๊บใบใหญ่ที่มีหางปลาเค็มสี่ตัวชี้เด่ออกมา

"มะ เซลฟี่กันหน่อย"

เจโอบคอคนรักมาใกล้ๆ แล้วถ่ายรูป โดยยกเจ้าปลาเค็มขึ้นมาใกล้ๆ หน้าแล้วทำจมูกย่น เขาหัวเราะก๊ากออกมาอย่างถูกใจเมื่อเห็นฆาเบียร์ทำท่าเหมือนกัน เขาหันไปขออนุญาตเจ้าตัวก่อนจะโพสต์ทั้งสองรูปลงในหน้าเพจ

'ไปซื้อปลาเค็มของดีจากมาเก๊ามาครับ และนี่คือชุดซื้อปลาเค็มของพ่อเจ้าประคุณ'

นอกจากคำบรรยายการเดินทางถึงร้านขายของทะเลแห้งแล้ว นี่คือสิ่งที่เจพิมพ์ไว้ใต้ภาพ



หลังจากพาฆาเบียร์และเลขาทั้งสองเดินมาประมาณ 300 เมตรจากร้านปลาเค็ม เจก็หยุดลงตรงหน้าโบสถ์สีเหลืองสดใสแห่งหนึ่ง ด้านหน้าโบสถ์นั้นมีอนุสาวรีย์ที่แลดูเหมือนหอสูงเป็นแท่งขึ้นไป

"นี่คือโบสถ์เซนต์ ฟรานซิส เซเวียร์ครับ และอนุสาวรีย์ด้านหน้านี้ก็คืออนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์การขับไล่โจรสลัดออกจากหมู่บ้านนี้ สร้างขึ้นในปี 1910 ส่วนตัวโบสถ์สร้างขึ้นในปี 1928"

เจหยิบโพยของเขาขึ้นมาอ่านตามเคย​ ที่จริงเขากะพาฆาเบียร์มาเดินเล่นที่นี่ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขามาเกาะโคโลอาน แต่ด้วยความที่เวลาน้อยจึงตัดออก วันนี้สบโอกาสจึงได้พามา เขาพาคณะเดินเข้าไปยังหน้าโบสถ์หลังน้อยสไตล์บาโร้กสีเหลืองขลิบขาว ด้านบนของอาคารนั้นมีหอระฆังน้อยๆ อยู่ ตามขอบหน้าต่างและประตูขลิบด้วยสีฟ้าสดใส

“โบสถ์นี้เคยเป็นที่เก็บกระดูกท่อนแขนของนักบุญฟรานซิส เซเวียร์ด้วยนะครับ จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อน ท่อนแขนนั้นก็โดนย้ายไปที่โบสถ์เซนต์โจเซฟแทน”

นักบวชชาวสเปนซึ่งภายหลังได้รับการประกาศเป็นนักบุญองค์นี้มีบทบาทสำคัญมากในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในแถบเอเชียใต้และตะวันออก อย่างอินเดีย จีน และญี่ปุ่น ช่วงศตวรรษที่ 16 แม้ในตอนนี้กระดูกท่อนนั้นจะถูกย้ายไปไว้ที่อื่นแล้ว ก็ยังมีผู้ศรัทธาโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นแวะเวียนมาที่นี่อยู่เนืองๆ



“เข้าไปดูข้างในกันไหมครับ?”

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำชวน เจจับมือคนรักพาเดินเข้าด้านในโบสถ์น้อยนั้น วันนี้ในโบสถ์นั้นไร้คน มีเพียงพวกเขาสี่คนที่มาเยี่ยมชม ด้านในโบสถ์นั้นเรียบง่าย เก้าอี้ไม้ยาวที่วางเรียงรายเป็นแถวก็ไม่ได้ดูหรูหราแต่กลับทำให้รู้สึกเคร่งขรึม การตกแต่งด้านในนั้นเป็นแบบตะวันตกผสมจีน เจชี้ให้ฆาเบียร์ดูรูปวาดพระแม่มารีอุ้มพระเยซูซึ่งวาดแบบจีน ทั้งองค์พระแม่และพระบุตรอยู่ในชุดแบบเทพของจีน อีกทั้งหน้าตาก็เป็นคนจีนอีกด้วย ฆาเบียร์มองอย่างสนใจและถ่ายรูปเก็บไว้ เจมองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้ว เขาพึมพำออกมา

“เอ ทำไมรอบนี้ผนังสีขาวล่ะเนี่ย?”

เจเดินไปยืนที่หน้าแท่นบูชาและแหงนมองดูผนังสีขาวโล่งด้านหลังแท่นที่มีไม้กางเขนอันไม่ใหญ่นักแขวนไว้

"ครั้งที่ผมมากับที่บ้านในปี 2010 ผนังด้านหลังแท่นบูชานี้ทาสีฟ้าทั้งผนังเลยครับ มีวาดรูปเป็นลวดลายเมฆกับนกบิน แล้วผนังด้านหลังรูปนักบุญก็มีฉากหลังสีสด อีกด้านก็เหมือนกัน นี่ไม่รู้ว่าเค้าเตรียมไว้วาดรูปใหม่หรือว่ายังไง แต่เป็นสีขาวโล่งๆ แบบนี้ก็สวยดีเหมือนกันเนาะ"

เจหันไปเล่าให้ฆาเบียร์ที่ก้าวมายืนเคียงข้างฟังว่าโบสถ์แห่งนี้เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับคนไทยในการมาถ่ายรูป ส่วนหนึ่งเพราะสีสันอันสดใสและรูปทรงที่น่ารักของโบสถ์ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะกระแสคลั่งไคล้ละครเกาหลีชื่อดังอย่าง "Goong" หรือเจ้าหญิงวุ่นวาย เจ้าชายเย็นชา

"พี่อิ่มติดซีรีส์เรื่องนี้สุดๆ ครับ เจ๊แกเลยขอมาที่นี่ ภาคบังคับเลย..."

เจเล่าว่าอิ่มใจถ่ายรูปตามจุดที่ปรากฏในเรื่อง ไล่มาตั้งแต่ห้องสมุดเกาะโคโลอานสีเหลืองสดที่อยู่ด้านข้างโบสถ์ ต้นไม้ฝั่งตรงข้ามที่พระเอกยืนรอนางเอก อนุสาวรีย์โจรสลัดด้านหนัา และด้านหน้าโบสถ์ แต่อิ่มใจก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นด้านในของโบสถ์นี้

"ในเรื่อง พระเอกนางเอกแต่งงานในโบสถ์นี้ครับ ในละครด้านหลังแท่นบูชาเป็นกระจกสีขนาดใหญ่ สวยเลยแหละ เก้าอี้ก็สลักลวดลาย สรุปคือ ไม่ได้ถ่ายที่นี่ว่างั้นเหอะ"

เจหัวเราะคิกคักเมื่อนึกถึงหน้าของพี่สาว ฆาเบียร์มองคนที่ยืนเคียงข้างเขาหน้าแท่นบูชาแห่งนี้ ในใจของเขาเต็มตื้อไปด้วยความรู้สึก เขาจินตนาการถึงภาพเขาและเจยืนเคียงคู่กันที่หน้าแท่นบูชาโดยมีบาทหลวงทำพิธีให้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้



“I do”

คนตัวโตหลุดปากพูดออกมาเบาๆ

“หือ คุณว่าอะไรนะครับ?”

ฆาเบียร์สะดุ้งและหันไปหาเจนยุทธที่เอียงคอมองเขาอย่างสงสัย

“ไม่มีอะไรจ้ะ เราไปกันแล้วไหม?”

ฆาเบียร์ดึงมือคนรักขึ้นมาจูบเบาๆ เขาหลับตาครู่หนึ่งและนึกถึงภาพตัวเองประทับจูบบนริมฝีปากคนรักต่อหน้าสักขีพยาน

‘สักวันนะ เจ สักวันฉันจะจับมือนายเดินแบบนี้’


เขาคิดในใจยามตัวเขาจับมือเรียวของเจนยุทธเดินไปตามทางเดินระหว่างม้านั่งยาวที่วางเรียงราย

“คุณครับ...”

ฆาเบียร์อึ้งเล็กน้อยเมื่อเจสะบัดและปล่อยมือเขา เขาหันไปมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มละไม

“...แบบนี้ดีกว่านะ”

เจคล้องแขนของเขาเข้ากับแขนของฆาเบียร์

“เอ้า เดินสิ มัวยืนทำอะไรอยู่”

เจตบหลังคนรักที่ยืนตะลึงอยู่เบาๆ ก่อนจะเดินอิงแอบร่างใหญ่กำยำนั้นจนถึงประตู ฆาเบียร์หัวใจเต้นแรง เจอาจทำเล่นๆ เพราะนึกสนุก แต่สำหรับเขาแล้วการได้ walk down the aisle กับเจแบบนี้คือความฝันสูงสุด ฆาเบียร์เดินออกจากประตูไม้สีฟ้าของโบสถ์ที่ชื่อพ้องเสียงกับชื่อของเขา แสงแดดจ้าทำให้เขาตาพร่าไปครู่หนึ่ง



"เฆเฟ่คะ"

เขาหันไปตามเสียงเรียกก็เจอใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเลขาสาวและริคกี้ที่ถือถุงปลาเค็มรออยู่สองข้างประตู

“คราวหน้าพวกฉันจะมารอพร้อมข้าวสารและกลีบกุหลาบนะคะ อย่าให้พวกเราต้องรอนานนะคะ เฆเฟ่”

เลขาสาวกระซิบเบาๆ กับนายรักตอนที่เจผละเดินไปดูนั่นดูนี่ ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ ให้เมลิน่า

“อือ ฉันก็หวังว่างั้น แต่ไม่รู้รายนั้นเขาจะคิดแบบเดียวกับฉันด้วยหรือเปล่า”

เขาถอนหายใจเบาๆ สุดท้ายเขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปากถาม

“ตอนนี้ เป็นแบบนี้ คบกันไปเรื่อยๆ แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ฉันยังไม่อยากทำอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ฉันกลัวน่ะ เมลิน่า กลัวที่จะถามแล้วต้องผิดหวัง ก็คงต้องรอดูไปเรื่อยๆ น่ะ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมลิน่าได้แต่ยิ้มเพื่อปลอบใจนายของเธอ



“คุณๆ!”

เจกวักมือเรียกคนตัวโตของเขา

“นี่ๆ ผมเคยได้ยินมาว่าที่นี่อาหารอร่อยแหละ”

เจแอบชี้ไปที่ร้านอาหารน้อยๆ ที่ตั้งอยู่หน้าโบสถ์แห่งนี้ ร้านนั้นตั้งอยู่ในศาลาน้อยที่เปิดโล่งทุกด้าน ในนั้นมีโต๊ะตั้งเรียงรายอยู่จำนวนมาก และแทบทุกโต๊ะก็มีคนนั่งกินอยู่

“Cafe Nga Tim ครับ เสิร์ฟอาหารแบบมักกานีสมั้ง แต่วันนี้เราจะไปกินเฟอร์นันโดส์ใช่ไหม? งั้นที่นี่ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ”

เจเจื้อยแจ้วไปตามประสา

“ถ้าเจอยากกินก็กินที่นี่เลยก็ได้นะ”

คนตัวโตพูดขึ้น เจหันมาย่นจมูกให้

“ไม่เป็นไรอ่ะ ผมอยากกินหมูหันมากกว่า พูดถึงแล้วก็หิว เราไปกินข้าวกันดีกว่า”

เจลากแขนคนรักเดินลิ่วเพื่อกลับไปที่รถ


https://www.picz.in.th/image/SqDduN


“คุณ เดี๋ยวเราแวะซื้อทาร์ตไข่หน่อยได้ป่าว อยากกิน”

เจที่นั่งกึ่งเอนอยู่ข้างคนรักถามขึ้นเบาๆ

“เจ กินไปเต็มคราบเมื่อกี้ยังไม่อิ่มอีกเหรอ!”

ฆาเบียร์พูดอย่างทึ่งในความสามารถของกระเพาะของคนตัวเล็ก เมื่อครู่ที่ร้าน Fernando's พวกเขาสั่งหมูหันหนังกรอบมาสองจาน สลัดให้ฆาบี้จานหนึ่ง สเต๊กขี้เมาแบบที่สั่งไปวันก่อน ปลาซาร์ดีนย่างแบบโปรตุเกส หอยผัดและกุ้งกระเทียมจานใหญ่ โครเก็ตปลาค้อด และไก่ย่าง ตบท้ายด้วยปลาค้อดย่างและมันฝรั่งต้ม แถมด้วยซังเกรียเหยือกเล็กและใหญ่อย่างละเหยือก และตบท้ายด้วยของหวานอีก เจกินน้อยกว่าพวกเขาสามคนกินรวมกันไม่มาก แต่ตอนนี้เจยังอยากกินทาร์ตไข่อีก

“ของหวานกับของคาวมันคนละกระเพาะกันนะคุณ”

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ส่ายหัวให้กับหลักอนาโตมั่วของคนตัวเล็ก เขาบ่นพึมพำว่าเมื่อกี้ที่ร้านก็กินโดนัททอดแบบโปรตุเกสไปเป็นของหวานแล้ว แต่สุดท้ายคนตัวโตก็ยื่นหน้าไปบอกคนขับให้แวะที่ร้านลอร์ดสโตว์ให้เจแต่โดยดี



“พอใจหรือยัง?”

ฆาเบียร์มองแก้มป่องๆ ที่เคี้ยวทาร์ตไข่ตุ้ยๆ ไอ้ตัวเล็กของเขาเหมือนกระรอกจริงๆ เจหันมาผงกหัวและยิ้มหวานให้กับคนรักของเขา ฆาเบียร์ยกมือที่โอบไหล่เจขึ้นขยี้ผมของเจ้าตัวน้อยของเขาอย่างเอ็นดู

“เฮ้ยๆๆ เมื่อกี้คุณใช้มือข้างนั้นถือขนมไม่ใช่เหรอ?”

เจโวยลั่น ฆาเบียร์หัวเราะลั่นและยกมือมันๆ ของเขาออกแต่โดยดี

"คุณนะ ทีเมื่อกี้บ่นผมใหญ่ ตัวเองก็อดกินไม่ได้อยู่ดี"

เจบ่นอุบอิบ คนตัวโตของเขาบ่นว่าอิ่มๆ แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวมาแย่งทาร์ตไข่ของเขาไปชิ้นหนึ่งอยู่ดี เจแบ่งอีกสองชิ้นให้เมลิน่าและริคกี้ ส่วนตัวเองกินสามชิ้นที่เหลือ

"ก็มันห๊อม หอม ฉันก็ทนไม่ไหวเหมือนกันนะ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ กลิ่นหอมๆ ที่ลอยออกมาจากร้านขนมน้อยๆ แห่งนี้ตลอดเวลาดึงดูดลูกค้าให้แวะเวียนมาดั่งต้องมนต์



"นี่ก็ทั้งหอมทั้งหวาน ขึ้นรถเมื่อไหร่ฉันจะขอกินอีกซักที"

ฆาเบียร์ใช้นิ้วโป้งไล้คราบคัสตาร์ดที่ติดปากคนรัก จากนั้นนำมันมาเกลี่ยไล้ที่ริมฝีปากตัวเองและใช้ลิ้นเลียกินมันเข้าไป เจเม้มปากน้อยๆ คนตัวโตของเขานี่ช่างยั่วจริงๆ

"ไม่เอาอ่ะ ผมไม่กล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อต่อหน้าสองคนนั้นแล้ว"

เจมองเมินและจัดการกินขนมจนหมด แล้วลุกขึ้นเดินหนีฆาเบียร์ไปยืนมองดูรถ เลขาทั้งสองของฆาเบียร์เดินล่วงหน้าไปที่รถก่อนและจะให้รถวนมารับพวกเขาที่หน้าร้านขนม คนตัวโตหน้าคว่ำเมื่อได้ยินคนรักพูดแบบนั้น เขาลุกเดินตามไปโอบเอวคนรัก

"เฮอะ งั้นเดี๋ยวฉันจะให้สองคนนั้นนั่งแท็กซี่กลับเอง"

เขากระซิบที่ข้างหูเจนยุทธ

"อ้าว เฮ้ย ได้ไงอ่ะ มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ"

"ก็เจไม่ยอมให้ฉันจูบต่อหน้าสองคนนั้นนี่"

"โห๊ะ อี่ลุงนี่จะใดหา"

'โอ๊ย ตาลุงนี่ยังไงนะ'


เจอดไม่ได้ต้องบ่นออกมาเป็นภาษาแม่ ฆาเบียร์หรี่ตาดูคนรัก เขาพยายามจำคำที่เจพูดไว้เพื่อที่จะเอาไปถามคนอื่นทีหลัง

"ถ้าจะจูบ ผมก็จะแซวคุณต่อหน้าสองคนนั้นมั่งนะ โอเคแล้วเหรอ?"

คนตัวเล็กขู่ฟ่อดแฟ่ด

"โอเค๊ ไม่มีปัญหา เจจะแซวอะไรฉัน ก็ตามใจเจแล้วละกัน"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขารู้ดีว่าเจไม่มีวันจงใจพูดหรือทำอะไรให้เขาได้ขายหน้าต่อหน้าลูกน้อง และถึงจะมีหลุดปากแซวอะไรมาบ้าง เขาก็ไม่ถืออะไร เมื่อก่อนหน้านั้นที่เขาเตือนเจ เขาก็ทำเพราะอยากแกล้งคนตัวเล็กให้กังวลเล่นแค่นั้น แต่ก็ไม่คิดว่าเจจะเก็บมาคิดจริงจัง



"ไม่เขินแล้วจริงอ่ะ?"

"อือ ไม่เขินแล้วจ้ะ"

"งั้น ผมก็ไม่เขินเหมือนกัน"

เจหันหน้าไปจุ๊บริมฝีปากคนตัวโตที่ยืนอยู่ข้างๆ

"...แต่ให้แค่จูบนะ ไอ้แบบที่เคยทำกับพวกเด็กคุณคนอื่นต่อหน้าเมลิน่าน่ะ ไม่เอา โอเค๊?"

คนตัวโตหน้าเจื่อนไปเมื่อเจพูดถึงชีวิตในอดีตของเขา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เจ ฉัน..."

เจตบบ่าคนรักและโอบมันกระชับเข้า

"เฮ้ๆ ผมไม่ได้จะว่าอะไร แค่พูดเฉยๆ ว่าเราจะไม่ทำแบบนั้น โอเคไหม? สมัยก่อนคุณกับผมจะเสเพลแค่ไหนกับใคร มันก็เรื่องของอดีต ส่วนเรื่องในตอนนี้และในอนาคตน่ะ มันเป็นเรื่องของเราสองคนที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่ โอเคไหมครับ?"

เจแนบหน้าผากของคนตัวโตเข้ากับหน้าผากของตัวเอง ฆาเบียร์ยิ้มกว้างให้คนรัก เขาพยักหน้าน้อยๆ

"...แต่ถ้าคุณยังมีหนุ่มๆ ในอดีตโผล่มาบ่อยๆ นี่ ผมก็อาจจะเริ่มคิดมากแล้วนะ"

"เจ อย่าสิ"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ เจหันมาแลบลิ้นให้คนรักของเขา

"เอ้า รถมาแล้ว อย่ามัวแต่ยืนจ๋อย ไหนมีเรื่องที่จะทำหลังจากขึ้นรถแล้วไม่ใช่เหรอครับ?"

เจพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินหนีคนตัวโตของเขาไปที่รถ ฆาเบียร์ยิ้มร่าและรีบสาวเท้าเดินตามไป



--------------------------------------


เรื่องมันเดินเอื่อยๆ ไปหน่อยหรือเปล่าหนอ ไว้จะพยายามรวบรัดค่ะ รู้สึกสองคนนี้จะชิลกันจริงๆ วันนี้กลับมาที่เกาะโคโลอานอีกครั้ง พามาเที่ยวโบสถ์กันซักหน่อย โบสถ์น่ารัก ถ่ายรูปสวย แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นต้องถ่อมาดูจากในเมืองค่ะ แต่ถ้าไหนๆ ก็มาแล้ว ใกล้ๆ กันยังมีห้องสมุดซึ่งเป็นฉากในเรื่องกุง ใกล้ๆ โบสถ์ก็มีหมู่บ้านโคโลอานให้เดินดูชีวิตชาวบ้านเล่นๆ หรือถ้าเดินเลยโบสถ์เลาะริมฝั่งทะเลไปก็มีวัดให้ดูอีกสองแห่งคือวัด Tam Kung และศาลเจ้า Tin Hau ค่ะ

เดินเที่ยวแถวโคโลอาน https://goo.gl/56Ji7E

แผนที่เดินเล่นแถวโคโลอานค่ะ https://goo.gl/Nx8a7i

แนะนำที่เที่ยวและร้านอาหารมาเก๊า ปลายปี 2017 มีร้าน Nga Tim Café และโบสถ์ฟรานซิส เซเวียร์ ด้วยค่ะ จากในรูปจะเห็นได้ว่าผนังด้านหลังแท่นบูชาทาสีขาวไปแล้ว https://goo.gl/GUuHzt

ข้อมูลเที่ยวโบสถ์ Francis Xavier ของการท่องเที่ยวมาเก๊า ในรูปจะเห็นได้ว่าผนังด้านหลังแท่นบูชาเป็นสีฟ้าสด https://goo.gl/skAbDa


ฉากแต่งงานในเรื่องกุง นาทีที่ 3.42  https://www.youtube.com/watch?v=urKLxYo9ycY



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Taipa Village Walk ----





รถตู้คันงามพาทั้งสี่คนกลับมายังเกาะไทปาและได้จอดส่งคนทั้งสี่ยังลานจอดรถของสถานที่แห่งหนึ่ง

“ปล่อยผมได้แล้ว ฆาบี้ รถหยุดแล้ว”

เจพยายามดันตัวออกจากอ้อมกอดของคนรักที่รัดร่างเขาแน่น แต่ฆาเบียร์ไม่ยอมปล่อยเขาง่ายๆ

“โอ๊ย นี่แขนคนหรืองูหลาม รัดแน่นว้อย! คุณ ผมหายใจจะไม่ออกแล้วนะ”

เจว๊ากลั่น คนตัวโตยิ้มกริ่ม เขาหอมแก้มแดงๆ ของคนที่เขาจับมานั่งตักและลวนลามจนหนำใจตั้งแต่ขึ้นรถมาอีกฟอดใหญ่ เขาไล่เมลิน่าและริคกี้ให้ไปนั่งที่นั่งสุดหรูด้านหน้า ส่วนตัวเขาและเจย้ายมานั่งแถวหลังสุดที่ยกที่วางแขนตรงกลางขึ้นได้แทน ฆาเบียร์ลิ้มรสหวานมันของทาร์ตไข่ที่ยังติดในปากเจแทบจะทันทีที่รถเคลื่อนออกจากหน้าร้าน และคอยกอดนิด หอมหน่อย จับโน่น คลำนี่คนตัวเล็กมาตลอดทาง

“เมลิน่า เฆเฟ่ของเธอเป็นแบบนี้เป็นปกติเหรอ?”

เจยืนบ่นกับเลขาสาวของฆาเบียร์เมื่อฆาเบียร์ยอมปล่อยเขาลงรถในที่สุด

"ก็...ไม่ค่อยปกตินักหรอกค่ะ เฆเฟ่ทำแบบนี้กับคุณเจคนเดียว​"

เลขาสาวยิ้มน้อยๆ เธอไม่ได้โกหก เธอเคยเห็นนายของเธอนัวเนียกับหนุ่มๆ ของเขาบนรถบ่อยครั้ง และหลายครั้งที่มันเลยเถิดไปไกลถึงขั้นต้องเรียกหาทิชชู่หรือถุงยางกันเลยทีเดียว แต่การกระทำเหล่านั้นถูกขับเคลื่อนจากแอลกอฮอล์และอารมณ์ทางเพศล้วนๆ แต่จากที่เธอเห็นนายของเธอแสดงออกกับเจในวันนี้ ถึงจะมีการถึงเนื้อถึงตัวกัน จูบ หอม สัมผัสกาย แต่มันเป็นเหมือนการหยอกเย้าและแสดงออกถึงความรักและเอ็นดูอีกฝ่ายมากกว่าที่จะแสดงความใคร่ และฆาเบียร์ทำแบบนี้แค่กับเจคนเดียว

"ไม่เชื่ออ่ะ หื่นๆ แบบนี้ต้องจับคนกดหลังรถเป็นว่าเล่นแหงๆ"

เจบ่นอุบอิบ เมลิน่าหัวเราะเบาๆ และรูดซิปปิดปากเงียบ



"คุณเจคะ"

เมลิน่าเรียกคนรักของนายเบาๆ

"ฉันว่าคุณเจเอากระดุมเสื้อขึ้นอีกเม็ดดีกว่านะคะ"

เลขาสาวพูดยิ้มๆ เจใจหายวาบ เขารีบส่องกระจกข้างของรถที่นั่งมา

"โว้ย มีรอยอีกแล้ว คุณนี่นะ!"

เจทุบพลั่กเข้าที่ต้นแขนของคนตัวโตที่มายืนส่องกระจกกับเขาด้วย ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เจบ่นอุบอิบ เขาอุตส่าห์เอาคอปกเสื้อโปโลของเขาขึ้นเพื่อบังรอยที่คนตัวโตทิ้งไว้จนเปรอะต้นคอตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้คนบ้ากามคนนั้นก็ยังจะมาประทับรอยไว้ที่ช่วงอกที่พ้นแนวคอเสื้อขึ้นมา เจกลัดกระดุมเสื้อขึ้นมาอีกเม็ดเพื่อบังรอยสีกุหลาบนั้น

"อายอะไรล่ะจ๊ะ ฉันยังไม่อายเลย"

คนตัวโตยิ้มร่าและหอมแก้มคนรักอีกฟอดใหญ่ ตัวเขาปลดกระดุมเสื้อเชิร์ตลงจนถึงกลางอก แถมยังแบะคอเสื้อออกเพื่อโชว์แผงอกแน่นที่มีรอยจูบสีเข้มกระจายอยู่หลายรอย

"ใครจะหน้าหนาเท่าคุณล่ะ"

เจหยิกแก้มตอบของฆาเบียร์เพื่อพิสูจน์ความ thick-skinned ของคนรัก คนตัวโตทำหน้าระรื่น เจตบแก้มอีกข้างของฆาเบียร์เบาๆ อย่างหมั่นไส้



“พอ เลิกเล่น ไหน พาผมมาเที่ยวไหนอีก?”

“จริงๆ ว่าจะพาเจไปถนนอาหารที่หมู่บ้านไทปาน่ะ แต่เห็นว่าเพิ่งกินมื้อเที่ยงไป เลยมาเดินย่อยอาหารเล่นที่นี่ก่อน คิดว่าเจน่าจะเคยมาแล้วใช่ไหม”

ฆาเบียร์พาคนตัวเล็กของเขาค่อยๆ เดินไปตามทางที่มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ด้านหน้านั้นเป็นบึงขนาดใหญ่ เดิมทีบึงนั้นเคยเป็นอ่าวซึ่งภายหลังถูกถมปิดทางออกทะเลเพื่อสร้าง Cotai Strip มันเปิดโล่งให้เห็นเหล่าคาสิโนใหญ่ยักษ์รวมถึงที่พักของพวกเขาบนพื้นที่ซึ่งเกิดจากการถมทะเลนั้น เจมองไปรอบๆ

“อ๋อ พิพิธภัณฑ์บ้านไทปา ผมไม่ได้มาตั้งหลายปีแล้ว ผมเหมือนจะเคยมาแค่สองครั้งเองมั้ง”

เจรู้ได้เมื่อเห็นบ้านทรงโคโลเนียลทาสีเขียวอ่อนขลิบขาว

“เหรอ? ฉันยังไม่เคยมาเลย แต่เปิดดูในเว็บแล้วเห็นว่ามันสวยดีน่ะ ตกลงว่าที่นี่มันมีอะไรมั่งล่ะ?”

เจโคลงหัวและหัวเราะน้อยๆ

“อะไรกัน ฆาบี้ ไหนว่าสามวันหลังนี้เป็นของคุณไง ให้ผมมาคอยเป็นไกด์ให้ได้ยังไง แต่โอเค ผมจะเล่าให้ฟัง แต่ผมก็จำไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่นะ”

เจนยุทธเล่าให้คนรักของเขาฟังว่าบ้านทั้งห้าหลังนี้เคยเป็นบ้านพักข้าราชการระดับสูงของมาเก๊าช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ภายหลังทางการมาเก๊าเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงถึงวิถีชีิวิตของคนมาเก๊าและชาวโปรตุเกสที่เคยอยู่อาศัยในเมืองแห่งนี้ ถึงจะไม่ได้มีอะไรให้ดูมากมายเหมือนพิพิธภัณฑ์มาเก๊าที่อยู่ข้างซากโบสถ์เซนต์ปอล แต่ความสวยน่ารักของบ้านทั้งห้าหลังนี้ อีกทั้งสภาพแวดล้อมที่สวยงามทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายภาพ โดยเฉพาะการถ่ายพรีเว็ดดิ้ง



“นั่นไงๆ คู่นั้นก็มาถ่ายรูป เจ้าสาวสวยเชียว”

เจชี้ให้คนตัวโตที่เดินกุมมือเขามาตามทางดูเจ้าสาวคนสวยในชุดแต่งงานฟูฟ่องที่ยืนหันหลังให้ช่างภาพถ่ายภาพอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง

“คุณรู้ไหม ที่ไทยนี่มีแพคเกจมาถ่ายรูปพรีเว็ดดิ้งที่มาเก๊าด้วยนะ มันได้บรรยากาศแบบยุโรปแต่ถูกกว่าบินไปถ่ายยุโรปจริงๆ มาก…”

เจเล่านั่นเล่านี่ไปเรื่อยๆ ฆาเบียร์หันไปบอกเลขาของเขาว่าให้เดินเล่นเองตามสบายและเขาจะโทรเรียกทีหลัง

“เอ้า ไหน ว่าไงต่อ พรีเว็ดดิ้ง...”

“อ๋อ ผมจะบอกว่าไอ้เจ้าพรีเว็ดดิ้งเนี่ย เป็นของที่เพิ่งมาบูมเมื่อซักสิบกว่าปีมานี่อ่ะ เมื่อก่อนตอนผมเด็กๆ ไปงานแต่งกับพ่อแม่ก็ไม่เห็นต้องมีรูปถ่ายพรีเว็ดดิ้งติดหน้างาน อย่างมากก็เป็นรูปถ่ายในสตูดิโอ ไม่ใช่ถ่ายนอกสถานที่แบบนี้ ไหนจะวีดีโอเปิดตัวบ่าวสาวแบบแปลกๆ อีก สมัยก่อนอย่างมากก็เป็นภาพแนะนำบ่าวสาว ตอนหลังๆ นี่ผมเห็นมีทั้งทำเหมือนเป็นละคร เป็น MV เยอะสิ่ง แต่ก็สนุกดีนะ”

เจพูดยิ้มๆ

“แล้วเจล่ะ อยากให้มีอะไรในงานมั่ง?”

คนตัวโตถาม เจนยุทธตอบออกมาทันควันอย่างไม่ได้คิดอะไร

“โอ๊ย มาถามอะไรผม อย่างผมมันไม่ได้แต่งงานอยู่แล้วอ่ะ…อ๊ะ”

ฆาเบียร์ยิ้มค้าง ใบหน้าของเขาสลดลงทันที เจรู้สึกตัวและชะงักไปนิดหนึ่ง เขาพูดตะกุกตะกักเมื่อหันไปเห็นดวงตาที่มีแววโศกของคนรัก

“แต่ เอ่อ อ่า ถ้าเกิดผมจะได้แต่งงานสักวัน ผมก็คงอยากมีงานเรียบๆ ที่มีแต่ญาติและเพื่อนสนิท ไม่ต้องมีพรีเซนต์อะไรวุ่นวาย ขอแค่อาหารอร่อยเป็นพอครับ”

คนตัวโตพยักหน้ารับคำอย่างใจลอย เจลอบถอนหายใจ เขาตัดสินใจชวนฆาเบียร์หาที่นั่งเล่นรับลมเย็นริมอ่าวเก่าและเปลี่ยนเรื่องคุย



“เออ คุณ ว่าแต่เรื่องสองคนนั้นมันยังไงกันน่ะ”

เจจับหน้าคนรักให้หันไปทางริคกี้และเมลิน่าที่เดินห่างออกไป ฆาเบียร์ข่มใจแล้วหันไปให้ความสนใจเลขาของเขาทั้งสอง

“ฮึ่ยๆๆ จับมือจับไม้กันด้วย”

เจมีทีท่าตื่นเต้นเมื่อเห็นริคกี้เอื้อมมือไปเกาะกุมมือบอบบางของเมลิน่า หญิงสาวที่มีอาวุโสกว่าก็ไม่ได้มีทีท่าปัดป้องมือของหนุ่มรุ่นน้อยแต่อย่างใด

“เค้าตกลงคบกันแล้วเหรอคุณ?”

ฆาเบียร์ส่ายหัว

“ก็ยังนะ ทั้งคู่ไม่ได้พูดออกมาชัดเจนว่าคบกันแล้ว อาจจะเพราะกลัวกระทบถึงเรื่องงาน แต่ก็แสดงออกมากขึ้นว่ามีความสัมพันธ์กัน ฉันเคยแอบเห็นพวกเขาจับมือกันบ้าง หอมแก้มกันบ้าง อะไรเทือกนั้น”

เจยิ้มน้อยๆ พ่อเจ้าประคุณของเขา เห็นนิ่งๆ แบบนี้แท้ที่จริงก็เป็นเผือกหัวใหญ่ทีเดียว

“แล้วเคยมีใครปริปากพูดออกมาหรือยังว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นช่วงคริสต์มาส ที่เขาตึงๆ กันไปช่วงนั้นน่ะ”

“ก็ไม่นะ ยังเงียบอยู่ แต่ดูๆ ก็คงเป็นแบบที่เราคิดกันน่ะเจ คงมีอะไรสักอย่างระหว่างสองคนนั้น แล้วริคกี้คงคิดจริงจัง ส่วนยัยตัวดีก็เอาแต่หนี”

“อืมม์ ผมว่ามันคุ้นๆ นะ เหมือนใครบางคนที่ผมรู้จักเลย”

เจพูดยิ้มๆ นี่คงต้องเรียกว่าเจ้านายอย่างไร ลูกน้องอย่างนั้น ฆาเบียร์บ่นอุบอิบว่าไม่เหมือนกันเลยสักนิด



“แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ ฆาบี้ ถ้าเกิดสองคนนั้นคบหากันขึ้นมาจริงๆ เพราะเหมือนคุณจะมีกฎเรื่องความสัมพันธ์ในที่ทำงานใช่ไหม?”

เจนยุทธพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฉันก็ยังคิดหนักอยู่ ที่สำนักงานเราจะพยายามไม่ให้คนในแผนกเดียวกันคบหากัน เว้นแต่เป็นคู่แต่งงาน ถ้าเกิดสองคนนี้จะคบกันจริงๆ ฉันคงจะต้องยอมเสียเลขาไปคนหนึ่งน่ะ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ผมว่าคุณควรเรียกเขาคุยเร็วๆ นี้นะ เคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนที่ริคกี้จะต้องไปเรียนต่อ”

คนตัวโตพยักหน้า เขากับอาปาคุยกันตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาลขอบคุณพระเจ้าแล้วว่าจะส่งริคกี้ไปเรียนต่อปริญญาโทอีกใบที่สหรัฐฯ และอาจจะต้องอยู่ที่นั่นหลายปี

“ฉันกะไว้ว่าถ้าเขากลับมาจะให้เขาทำงานในแผนกบริหารแทนแผนกเลขา จะได้ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ในแผนกเดียวกันอีก…”

“…ฉันก็หวังว่าทั้งสองคนจะไปกันได้ด้วยดี จะได้มีคนมาดูแลยัยเด็กนั่นซะที”

เจอมยิ้มมองคนรัก คนตัวโตของเขาดูห่วงเลขาสาวของเขาที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นเหมือนพี่ชายห่วงน้องสาว เจยกมือขึ้นม้วนเส้นผมสีน้ำตาลยาวสลวยปรกคอของฆาเบียร์เล่น คนตัวโตหันมายิ้มให้คนรัก พวกเขานั่งอิงแอบพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ฆาเบียร์จึงชวนเจลุกขึ้นเดินเล่นต่อไปตามถนนปูหินใต้หมู่ไม้อันร่มรื่น



“แล้วทางฝั่งเจล่ะ สองคนนั่นเป็นไงมั่ง?”

“สองคนไหน?”

เจถามงงๆ ฆาเบียร์จิ๊ปากเบาๆ

“ก็สองคนนั่นไง เพื่อนซี้เจน่ะ”

“อ๋อ ไอ้ปรินซ์กับซันซันอ่ะเหรอ? แหม คุณทำเป็นไม่ออกชื่อ กลัวใครเขารู้หรือไง”

เจหัวเราะออกมาเบาๆ เมียตัวโตของเขานี่ช่างอยากรู้อยากเห็นไม่เบาจริงๆ

“ไอ้สองคนนั้นก็ยังเป็นเด็กน้อย ไปไม่ถึงไหนอ่ะ ไอ้ปรินซ์มันก็ขยันแซว ขยันหยอดเหมือนเคย แกล้งไอ้ซันมันเหมือนเด็กประถมแกล้งคนที่ชอบอ่ะ ส่วนไอ้ซันก็ว๊ากมันเหมือนเดิมทุกครั้งที่โดนแซว แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ปรินซ์มันก็ไม่กล้ารุกอะไร ผมว่าคงไม่ถึงไหนง่ายน่ะคู่นี้”

“อืมม์ ฉันก็พอจะเข้าใจปรินซ์นะ เขาก็คงกลัวว่าถ้าพูดหรือแสดงอะไรออกไปแล้วถ้าอีกฝ่ายรับไม่ได้ก็อาจจะเสียเพื่อน”

คนตัวโตที่เคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กันพูดขึ้นอย่างเข้าใจ เจหันไปมองคนรัก

“ฮึ แบบคุณน่ะเหรอ? เพื่อนสนิทที่ไม่มีสิทธิ์น่ะ ตอนนี้พี่นพก็อยู่ใกล้ๆ แล้ว สนใจอยากจะรีเทิร์นไหม?”

เจแกล้งทำงอนคนรัก ฆาเบียร์อึ้งไป ใบหน้าเขาเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด เจนยุทธใจหายวาบ คนตัวโตพลันดันเจพิงต้นไม้ใหญ่ มือใหญ่แข็งแรงของเขาบีบไหล่ทั้งสองของเจนยุทธแน่นจนรู้สึกเจ็บ ใบหน้าเคร่งขรึมของฆาเบียร์โน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าของเจ ดวงตาของเขาฉายแววไม่พอใจ

“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมเจนยุทธ ว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับนพแบบนั้นแล้ว ทำไมถึงชอบผลักไสให้ฉันกลับไปคิดแบบนั้นนัก หรือนายจะพอใจกว่าถ้าฉันกับนพใจตรงกันขึ้นมาจริงๆ”

เจหน้าซีด คนตัวโตดูขัดใจในสิ่งที่เขาพูดมาก

“ผม ผมขอโทษ ฆาบี้ ผมแค่แซวคุณเล่นเฉยๆ ไม่ได้คิดอยากจะผลักไสคุณหรือว่าอะไรแบบนั้นเลย ผมไม่เคยอยากให้คุณกลับไปหาพี่นพ แต่ถ้าคุณ...”

เจรู้สึกร้อนผ่าวที่หัวตา น้ำตาของเขาหยดเผาะลงมาอย่างไม่รู้ตัว เขายกมือขึ้นปิดหน้าและพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

“...แต่ถ้าสักวันคุณไม่ต้องการผมแล้วจริงๆ หรืออยากกลับไปหาพี่นพจริงๆ ผมก็คงทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยคุณไป”

“หึ นายคิดแบบนั้นได้ก็ดีแล้ว เจนยุทธ”

ฆาเบียร์ยังคงพูดด้วยเสียงเย็นชาเหมือนเดิมและดึงมือของเจออก เจใจแป้วลง คนตัวโตหน้าเครียดจ้องมองใบหน้าน้อยๆ ที่เกือบจะปล่อยโฮอยู่มะรอมมะร่ออยู่แล้วนั้น



“โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว ทำไมนายน่ารักอย่างนี้นะ”

ฆาเบียร์ยีหัวคนรักตัวเล็กของเขา ก่อนที่จะดึงตัวมากอดพร้อมกับพรมจูบไปทั่วใบหน้า ใบหน้าที่เหมือนกำลังจะร้องไห้ของเจทำให้เขาแทบอดใจไม่ไหว เจกระพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง ใบหน้าซีดเผือดของเขาเปลี่ยนเป็นสีกุหลาบ

“นี่คุณแกล้งผมเหรอ ฆาบี้?!”

คนตัวเล็กว๊ากลั่นและผลักอกคนตัวโตจนเซ ฆาเบียร์หัวเราะร่วนและเผ่นแผล็วออกให้พ้นมือเจนยุทธ

“ก็เอาคืนที่นายแกล้งฉันเมื่อเช้าไงล่ะ เจ แค่นี้เราก็หายกันแล้วนะ”

เจโวยลั่นและวิ่งไล่กวดคนตัวโตที่เผ่นหนีเขาไปอย่างรวดเร็ว

“นี่แน่ะ จับได้แล้ว”

คนตัวเล็กที่ยังหนุ่มแน่นและคล่องตัวกว่าวิ่งทันฆาบี้ได้ในที่สุด เขากดไหล่เมียตัวโตของเขาและกระโดดขึ้นขี่หลัง ฆาเบียร์เซไปวูบหนึ่งแต่ก็ทรงตัวไว้ได้ เขาขยับจัดท่าทางและพาคนรักขี่หลังและออกเดินไปสามสี่ก้าวก่อนจะขมวดคิ้วและหยุดเดิน

“เจๆ ลงก่อนจ้ะ”

เจนยุทธรีบกระโดดลงแล้วประคองคนรักที่มีอาการไม่ค่อยดีไปนั่งที่ม้านั่ง

“คุณ เป็นอะไรไป ผมทำคุณเจ็บเหรอ?”

เจถามอย่างร้อนใจ คนตัวโตอ้ำๆ อึ้งๆ เขาไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่

“ฉัน เอ่อ ปวดหลังนิดหน่อยน่ะ”

เจทำหน้าจ๋อย

“ขอโทษจริงๆ ครับ ฆาบี้ ผมลืมไปว่าคุณ…”

“หยุดเลย เจ ไม่ต้องพูดเลย จะหาว่าฉันแก่อีกล่ะสิ”

คนตัวโตหน้าคว่ำและใช้มืออุดปากคนรักของเขา เขารู้สึกได้ถึงการหัวเราะจากปากน้อยๆ ที่ถูกมือใหญ่ของเขาปิดไว้ ไหล่ทั้งสองของเจสั่นสะท้าน

“ขำอะไรนักหนา ฮึ เจนยุทธ”

หนุ่มละตินร่างงามเริ่มพาลคนรัก เจดึงมือฆาเบียร์ออกและหัวเราะจนตัวสั่น ตาเขาฉายแววสนุกกับท่าทีของคนรัก

“ใครบอกว่าผมจะพูดว่าแก่ ผมจะบอกว่าผมลืมไปว่าเมื่อคืนคุณออกแรงใช้เอวใช้หลังไปเยอะขนาดนั้นต่างหาก”

เจหน้าแดงน้อยๆ เมื่อนึกถึงเซ็กส์สุดเร่าร้อนที่พวกเขามีเมื่อคืนที่ผ่านมา

“น่าเสียดายนะ คุณปวดหลังแบบนี้…”



“เฆเฟ่คะ! เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เจพูดค้างไว้เมื่อเห็นเมลิน่าและริคกี้รีบเดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่ เลขาทั้งสองทันเห็นตอนที่เจไล่กวดและขึ้นขี่หลังฆาเบียร์ ในทีแรกเมลิน่าได้แต่ยิ้มกริ่มเมื่อเห็นนายรักของเธอดูมีความสุขและสนุกเหมือนเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นฆาเบียร์มีอาการเจ็บหลังขึ้นมา เธอและริคกี้รีบปรี่เข้ามาหาเพื่อที่จะให้การช่วยเหลือ

“ไม่เป็นไรๆ ฉันแค่ปวดหลังนิดหน่อยน่ะ…”

“เมื่อคืนหนักไปเหรอคะ?”

เลขาสาวถามขึ้นหน้าตาเฉย เจหน้าแดงก่ำ ฆาเบียร์ไม่ตอบได้แต่ยิ้มกริ่มแล้วหอมแก้มแดงๆ ของคนรักฟอดใหญ่เขานั่งพักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น เขาบิดตัวไปมาเพื่อดูอาการหลังตัวเอง

“ฉันโอเคขึ้นแล้ว เราไปกันต่อกันดีกว่า”

เจปรี่เข้ามาประคองคนรักตัวโตของเขา ฆาบี้โอบคอเจนยุทธและเดินไปช้าๆ ตามทางโดยมีเลขาทั้งสองเดินตามหลัง



“เมื่อกี้เจบอกว่าน่าเสียดายอะไร?”

“อ๋อ…”

เจยิ้มจนตาหยีแล้วกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูคนรัก

“ผมจะบอกว่าเสียดายที่คุณปวดหลังแบบนี้ แปลว่าคืนนี้คุณคงไม่ไหวสินะ”

คนตัวเล็กหัวเราะคิกเมื่อเห็นฆาเบียร์แยกเขี้ยวให้เขา

“ดูถูกกันจริงๆ นะ ต่อให้หลังเดี้ยงแบบนี้ฉันก็มีปัญญาทำให้เจไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วกันน่า โอ๊ย”

คนตัวโตนิ่วหน้าเมื่อหลังปวดแปลบขึ้นมาอีกครั้ง เจบีบคลึงแผ่นหลังและบั้นเอวของฆาเบียร์เบาๆ

“ไม่ต้องทำซ่าเลยคุณ คืนนี้คุณนอนนิ่งๆ ปล่อยผมจัดการเองแล้วกันนะ”

ฆาเบียร์กระพริบตาปริบๆ คำว่า “จัดการ” ของเจนั้นฟังดูกำกวมนัก

"นายพูดแบบนี้ฉันหนักใจมากกว่าสบายใจนะ"

สีหน้ากังวลของคนตัวโตทำให้เจอดไม่ได้ต้องหัวเราะคิกออกมาอีกครั้ง



“คุณจะเข้าไปดูนิทรรศการในบ้านแต่ละหลังหรือเปล่าครับ?”

เจถามคนรัก ที่พิพิธภัณฑ์บ้านไทปาแห่งนี้ ถ้าแค่มาเดินเล่นภายนอกนั้นไม่ต้องเสียค่าเข้าชมแต่อยากใด แต่ถ้าอยากดูนิทรรศการในบ้านแต่ละหลังก็ต้องซื้อบัตรเข้าชมราคาห้าปาตากาสซึ่งไม่ได้แพงอะไร มันเท่ากับประมาณยี่สิบบาทเศษเท่านั้น

“แล้วมันมีอะไรให้ดูบ้างล่ะ?”

"อืมม์ แป๊บนะ เปิดโพยก่อน"

เจหยิบมือถือขึ้นมาจิ้มๆ เขี่ยๆ ครู่หนึ่ง

"บ้านที่เปิดแสดงมีสี่หลัง หลังแรกเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนมาเก๊าในอดีต..."

คำว่าคนมาเก๊า หรือ มักกานีส ในที่ีนี้นั้นไม่ได้หมายถึงคนที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวจีนจากดินแดนแห่งนี้ที่แต่งงานกับชาวโปรตุเกสเท่านั้น แต่ยังหมายถึงคนซึ่งอาศัยอยู่ในมาเก๊าที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวโปรตุเกสที่แต่งงานกับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างคนฟิลิปปินส์ มาเลย์หรืออินโดนีเซีย หรือชาวเอเชียใต้อย่างอินเดียอีกด้วย ผู้คนเหล่านี้มีรูปแบบการใช้ชีวิตและภาษาเฉพาะตัว แม้ส่วนมากจะมีชีวิตความเป็นอยู่และความเชื่อทางศาสนาแบบตะวันตกแต่ก็ยังมีความเชื่อและวิถีชีวิตแบบเอเชียเข้ามาผสมผสานอีกด้วย

"ผมว่าน่าจะคล้ายๆ ชาวเพรานากันทางแถบมลายูกับที่ภูเก็ตของไทยครับ แต่ทางนั้นจะเน้นที่วัฒนธรรมจีนซึ่งผสมผสานกับวัฒนธรรมอื่นอย่างมาเลย์ มุสลิมหรือตะวันตกของชาวจีนแถบช่องแคบมะละกา แต่ของทางมาเก๊าจะเน้นความเป็นโปรตุเกส"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ เจอ่านโพยต่อ

"ฉะนั้น ในบ้านหลังแรกเนี่ย เขาจะจัดด้านในบ้านเป็นเหมือนบ้านของคนมักกานีสช่วงศตวรรษที่ 20 ครับ ส่วนหลังที่สอง เป็นห้องจัดแสดง เป็นนิทรรศการเรื่องความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น ดูจากรูปแล้วก็น่าจะเป็นห้องจัดแสดงโล่งๆ นะ มีนิทรรศการหมุนเวียนมั้งครับ ส่วนหลังที่สามเป็นบ้านแห่งความสร้างสรรค์ เป็นพื้นที่โปรโมทวัฒนธรรมมาเก๊าและประเทศอื่นที่พูดภาษาโปรตุเกส มีสินค้าจากประเทศเหล่านั้นมาขายด้วย ส่วนชั้นล่างเป็นห้องจัดนิทรรศการ ส่วนหลังที่สี่เป็นที่จัดนิทรรศการโดยเน้นเรื่องราวเกี่ยวกับย่าน Cotai หลังสุดท้ายนั่นเป็นบ้านพักรับรอง ไม่ได้เปิดให้คนเข้าชมครับ"

"อืมม์ เจเคยเข้าไปดูทั้งหมดนี่หรือยัง?"

เจนยุทธพยักหน้า เขาเคยมาสองครั้งแล้ว

"งั้น ฉันขอผ่านก่อนแล้วกัน วันนี้ยังไม่ค่อยมีอารมณ์อยากดูนิทรรศการเท่าไหร่"

"เอางั้นก็ได้ครับ จริงๆ แล้วสำหรับคนที่ชอบดูพิพิธภัณฑ์แล้ว พิพิธภัณฑ์มาเก๊าที่อยู่บนป้อมปืนใหญ่มองเตที่ข้างซากโบสถ์เซนต์ปอลนั่นจะน่าดูกว่า มีความหลากหลายและมีของให้ดูเยอะกว่าที่นี่นะ"

แม้มาเก๊าจะไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่ก็มีพิพิธภัณฑ์และสถานที่จัดนิทรรศการและงานศิลปะมากมายหลายแห่งให้คนที่ใฝ่หาความรู้ได้เข้าชม หากในวันนี้ทั้งสองแค่อยากเดินเล่นไปเรื่อยๆ เท่านั้น



"เมลิน่า เดี๋ยวผมจะพาฆาบี้ไปเดินเล่นที่โบสถ์ข้างบนหน่อย แล้วก็จะเดินเลยไปที่ถนนอาหารเลย บอกรถให้ไปรอรับเราที่นั่นเลยก็ได้นะ เมลิน่าจะติดรถไปกับเขาเลยก็ได้หรือว่าจะตามพวกเรามาก็ได้ ตามใจเลยนะ"

เจนยุทธหันไปบอกเลขาทั้งสองที่เดินตามพวกเขามาไม่ห่าง ทั้งสองรับคำ

"เฆเฟ่อาการดีขึ้นหรือยังคะ? ให้ฉันหรือริคกี้ตามไปอีกคนเผื่อต้องช่วยคุณเจประคองหรือเปล่า?"

เมลิน่าถามอาการของนายอย่างกังวล

"เฮ้ย ฉันแค่เจ็บหลังนิดเดียว ไม่ได้เป็นอะไรมากมายขนาดนั้น ไม่ต้องห่วง ตามสบายเถอะ แต่ถ้าอยากตามมาเดินเล่นด้วยก็ตามใจนะ"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะ

"งั้นพวกเราไม่อยู่เป็นก้างขวางคอดีกว่าค่ะ เจอกันที่ถนนอาหารเลยก็ได้"

เลขาสาวพูดยิ้มๆ เธอควรปล่อยให้คู่รักคู่นี้ใช้เวลาเป็นส่วนตัวด้วยกันมากกว่า พวกเขาจัดการนัดแนะจุดนัดพบกันเสร็จสรรพ เมลิน่าและริคกี้จึงได้แยกตัวไป



"ไม่ต้องประคองแล้วก็ได้เจ ฉันดีขึ้นแล้ว"

ฆาเบียร์เปลี่ยนมาจับมือเจนยุทธเดินทอดน่องไปตามทางลาดขึ้นเนินซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านทั้งห้าหลัง ที่สุดปลายทางลาดสั้นๆ นั้น เป็นลานโล่ง ที่สุดปลายลานเป็นโบสถ์สีเหลืองนวลขลิบขาวสูงสามชั้นรวมชั้นหอระฆัง

"โบสถ์ Our Lady of Camel ครับ ผมชอบอ่ะ สวย สงบดี"

เจหันมายิ้มให้คนตัวโต ฆาเบียร์ใจเต้น เจพาเขามาโบสถ์อีกแล้ว ในใจเขาเผลอคิดไปว่าเจนยุทธอาจจะอยากสื่ออะไรบางอย่างกับเขา แต่เมื่อรู้ตัวเขาก็หัวเราะเยาะความลิงโลดจนเกินไปของตัวเองอยู่ในใจเมื่อคิดถึงว่าสำหรับเจแล้ว โบสถ์ก็คงมีความหมายแค่เป็นที่ถ่ายรูปสวยๆ แค่นั้น ไม่ได้คิดไปไกลเหมือนกัับเขา

"เห็นว่าโบสถ์นี้เป็นสถานที่แต่งงานยอดนิยมเพราะว่ามันสวย แถมรอบข้างก็มีสวนสวยๆ มีที่ให้ถ่ายรูปอีกเยอะแยะ ผมเคยอ่านเจอที่ไหนก็ไม่รู้ว่าที่ปลายเนินอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นสถานที่ราชการ พอคนแต่งงานเสร็จ ก็จะเดินลงไปจดทะเบียนที่นั่นต่อ ก็ง่ายดีเนาะ”

ฆาเบียร์มองใบหน้าคนตัวเล็กที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา ลานอันเงียบสงบ โบสถ์ที่ดูงามอย่างเรียบง่าย ลมเย็นที่พัดโชยชื่น บรรยากาศแบบนี้ทำให้ฆาเบียร์อดคิดบางอย่างไปไม่ได้

“มีอะไร จ้องหน้าผมอยู่ได้ ฆาบี้”

เจเอียงคอดูคนรักอย่างสงสัย ฆาเบียร์ข่มความคิดที่แว่บขึ้นมาในหัวลง เขาต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองคล้อยตามบรรยากาศโรแมนติกของสถานที่แห่งนี้จนทำให้ต้องพูดและทำในสิ่งที่เขาไม่แน่ใจว่าเจจะพร้อมตอบรับ

“ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันแค่รู้สึกว่าวันนี้เจน่ารักจัง”

“เฮ้ย ไม่ต้องชมว่าน่ารักเลย หล่อสิ หล่อ! เท่ก็ได้ แต่ไอ้คำว่าน่ารักนี่ขอเหอะ”

เจนยุทธแกล้งทำหน้าตูม เมื่อครู่เขาใจสั่นเล็กๆ เมื่อเห็นแววตาของฆาเบียร์ มันคือแววตาแบบเดียวกับที่เขาเห็นในโบสถ์เซนต์ ฟรานซิส เซเวียร์ ตอนที่คนตัวโตหลุดปากเอ่ยคำบางคำออกมาตอนยืนอยู่หน้าแท่นบูชา ฆาเบียร์อาจคิดว่าตัวเองหลุดปากพูดออกมาเบาๆ แต่ที่จริงแล้วมันชัดเจนเข้าเต็มสองหูของเขา หากเขาเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยิน

เจลอบถอนหายใจเบาๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนรักของตัวเองคิดอะไรอยู่ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดไปไกลถึงขั้นนั้น แต่เขาต้องตัดใจทุกครั้งเมื่อคิดถึงปัจจัยหลายๆ อย่าง สุดท้ายแล้ว เขาอยากที่จะมั่นใจก่อนว่าความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองนั้นเป็นของจริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความหลงใหลชั่วคราว หรือการตื่นเต้นไปกับของใหม่ เขายังจำท่าทางเย็นชาของฆาเบียร์ที่แสดงออกกับเฟลิเป้ได้ มันทำให้เขากลัว กลัวไปว่าสักวันถ้าฆาเบียร์เกิดเบื่อหน่ายเขาขึ้นมา หรือรู้ตัวว่าที่แล้วมาเป็นแค่ความหลงชั่วคราวแล้ว ตัวเขาเองก็อาจต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เจนยุทธเองไม่แน่ใจว่าเขาจะรับมันไหว และในที่สุดถึงความสัมพันธ์จะมั่นคง ตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะพร้อมและสามารถทำให้เมียตัวโตของตัวเองภูมิใจและมีความสุขไปได้ตลอดชีวิต หากตัวเขายังไม่ดีพอแล้ว เขาก็ยังไม่อยากจะฝันถึงการยกระดับความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองไปไกลกว่านี้

'ขอเวลาผมอีกหน่อยนะครับ คนดี วันไหนที่ผมพร้อม ผมจะไม่ให้คุณได้รอเลยสักวินาทีเดียว'


เจได้แต่คิดอยู่ในใจ



“เป็นอะไรไป เจ ทำไมเงียบไป มีอะไรหรือเปล่า?”

ฆาเบียร์แตะต้นแขนของคนรักเบาๆ เจตื่นจากภวังค์และหันไปยิ้มให้คนรัก

“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่คิดอะไรเพลินๆ นิดหน่อย เราไปต่อกันดีกว่า”

“เดี๋ยวก่อน เจ”

คนตัวโตดึงแขนคนรักของเขาไว้

“เจรู้ใช่ไหมว่าฉันรักเจ”

เจนยุทธอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มกว้างให้คนรัก

“รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ แล้วคุณอ่ะ รู้ใช่มะว่าผมก็รักคุณ?”

เจจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากคนรัก ฆาเบียร์โอบกอดคนรักไว้และซุกหน้าลงกับบ่าของเจ

“ขอฉันอยู่แบบนี้แป๊บนึงนะ”

เขากระซิบที่ข้างหูคนตัวเล็กของเขา เจลูบหลังฆาเบียร์เบาๆ

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? มีอะไร?”

เจถามคนรักที่ดูจะเกิดอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาอีกแล้ว ฆาเบียร์กอดคนรักนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่และดันตัวออกจากอ้อมกอดของเจนยุทธ

“ไม่มีอะไรแล้วจ้ะ ฉันแค่มีอาการขึ้นมานิดหน่อย ได้กอดเจแบบนี้ก็หายแล้ว”

“เว่อร์ๆ ไม่ต้องมาทำอ้อนเลย แต่...”

เจหน้าแดงน้อยๆ

“แต่ถ้ากอดผมแล้วหายจริง ผมยอมให้คุณกอดตลอดชีวิตเลยก็ได้ ไม่ก็จนกว่าคุณจะเบื่อผมนั่นแหละ”

คนตัวโตยิ้มร่า

“จริงๆ นะ เจ? งั้นฉันจะขอกอดนายแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลย สัญญากับฉันแล้วนะ?”

เจดึงมือคนตัวโตมาและเกี่ยวนิ้วก้อยของเขากับนิ้วก้อยของคนรัก

“อือ สัญญา ผมจะอยู่ข้างๆ ให้คุณกอดไปจนตลอดชีวิตเลย โอเคมะ?”

ฆาเบียร์กอดคนรักของเขาอีกครั้งแทนคำตอบ ถึงจะไม่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดไป คำสัญญานี้จากเจนยุทธก็เพียงพอสำหรับเขาแล้วในตอนนี้


(พิพิธภัณฑ์บ้านไทปาและโบสถ์พระแม่คาเมล)
https://www.picz.in.th/images/2018/03/24/SsJdVD.jpg

(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Taipa Village Walk (ต่อ) ----




“เราไปกันต่อดีกว่านะ ฆาบี้ เดี๋ยวพวกนั้นเขาจะรอเรานาน”

เจจับมือเมียตัวโตของเขาเดินลงบันไดที่ข้างโบสถ์ ขั้นบันไดทรงโค้งที่ขนาบด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งให้ร่มเงาสองข้างทางนำพวกเขาลงไปสู่ถนนสายเล็กอันร่มรื่น สองข้างทางของถนนนั้นเป็นอาคารบ้านเรือนหรือตึกแถวที่ดูเก่าแก่ มีวัดจีนขนาดเล็กอยู่ตามทาง ถึงย่านนี้จะดูทรุดโทรมไปบ้าง แต่มันก็เต็มไปด้วยชีวิต

“คุณเคยมาเดินเล่นแถวนี้ไหม?”

เจถามคนตัวโตซึ่งเดินอยู่ด้านหน้าของเขา

“ยังจ้ะ ปกติฉันมาที่มาเก๊าก็อยู่แต่แถวในโรงแรมไม่ค่อยได้ออกไปไหนเท่าไหร่”

“ย่านนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านไทปานะ ผมก็ไม่ได้มาแถบนี้นานแล้ว หกเจ็ดปีแล้วมั้ง ผมมาช่วงที่มามาเก๊ารอบแรกๆ ตอนนั้นหมู่บ้านนี้ยังโทรมๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากถนนอาหาร แต่ผมมาอ่านเจอว่าช่วงปีสองปีนี้มีการเข้ามาพัฒนาย่านนี้จนกลายเป็นย่านฮิป มีร้านเพิ่มขึ้นอีกเยอะมาก มีบาร์ มีร้านเก๋ๆ ด้วยอ่ะ...”

“เหรอ? ตอนแรกฉันกะพาเจมาเพราะเห็นว่ามันเป็นถนนอาหารแค่นั้นเลยอ่ะ”

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ

“เอ๊ คุณนี่ ว่าผมเห็นแก่กินขนาดเลยเหรอ?”

เจทุบหลังคนตัวโตที่เดินนำหน้าอยู่บนทางเท้าแคบ ฆาเบียร์ครางอู้

“นายนี่ชอบทำร้ายร่างกายฉันจริงๆ นะ”

คนตัวโตหยุดเดินและหันมาขยี้ผมเจเล่น

“...แล้วฉันไม่ได้หาว่านายเห็นแก่กิน ฉันรู้เลยแหละว่านายชอบ”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจนยุทธหัวเราะแหะๆ

"ก็ชอบจริงๆ นั่นแหละ ขอบคุณครับ ฆาบี้ ทั้งที่พาผมไปกินโรบุชง พามาถนนอาหารแล้วไหนจะที่จองโรงแรมริทซ์ให้ผมอีก ผมรู้ว่าคุณจองเพราะอาหารที่คลับเลาจ์ใช่มะ?"

ฆาเบียร์ยิ้มละไมและผงกหัวน้อยๆ เขาบอกว่าตอนแรกเขาตั้งใจจะจองโรงแรมบันยันทรีที่มีสระน้ำในห้องนอน แต่เมื่อนึกๆ ดูแล้วก็เปลี่ยนใจจองโรงแรมที่เด่นเรื่องอาหารห้ามื้อในคลับเลาจ์อย่างโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันแทน

"รู้ใจผมจริงๆ นะครับ สมแล้วที่เป็นที่รักของผม"

เจโอบเอวคนรักและซบหน้าลงบนอกกว้าง ฆาเบียร์ลูบผมดำขลับของเจนยุทธอย่างอ่อนโยน

"แต่เสียดาย ผมก็ยังไม่มีเวลาอยู่กินอะไรที่เลาจ์ให้คุ้มอยู่ดี งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เราไม่ต้องไปกินข้าวข้างนอกก็ได้ อยู่กินอะไรบนนั้นก็ได้นะคุณ จะได้ไม่ต้องเปลืองตังค์"

"เจ มันไม่ได้เปลืองอะไรเลยนะ สามวันนี้ปล่อยให้ฉันได้เอาใจนายให้เสียคนหน่อยเถอะ"

เจนยุทธเม้มปากเล็กน้อยแล้วพยักหน้า เขาดันหลังคนตัวโตให้เดินต่อไปตามถนนเส้นน้อยนั้น



"เอ๊ะๆๆ หยุดๆๆ แวะร้านนี้แป๊บนึงครับ ผมเคยกินร้านนี้ด้วยนะ"

เจดึงคนรักให้หยุดลงหน้าร้านอาหารร้านน้อยขนาดหนึ่งคูหาบนถนนเส้นน้อยนั้น

"O Castico เหรอ?"

คนตัวโตอ่านป้ายหน้าร้าน เจพยักหน้า เขาบอกฆาบี้ว่าร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านในความทรงจำในการมาเที่ยวมาเก๊าครั้งแรกเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วของเจ

"ตอนนั้นพวกผมก็เดินโต๋เต๋บนถนนเส้นนี้เหมือนที่เรากำลังทำตอนนี้แหละครับ แต่ว่าย้อนเส้นทางกัน"

เจยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงตอนนั้น เขากับพี่อิ่มตีกันตลอดทางเรื่องที่ว่าจะไปไหน พี่จืดเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก พวกเขาพาพ่อแม่ไปกินข้าวที่ถนนอาหารแล้วก็เดินไปกินแซนวิชหมูทอดเจ้าดัง จากนั้นก็เดินงมทางเพื่อหาทางมาที่พิพิธภัณฑ์บ้านไทปา แต่ก็หลงไปหลงมาจนทะเลาะกันกับพี่สาวจนได้ สุดท้ายพวกเขาก็หาทางกลับมาที่ถนนเส้นนี้ได้ แต่ถึงตอนนั้นแม่และพ่อก็เริ่มเหนื่อยพอสมควร พวกเขาจึงตัดสินใจแวะที่ร้านน้อยๆ แห่งนี้ซึ่งมีตู้ขนมอยู่ด้านหน้าด้วยเข้าใจว่าเป็นร้านกาแฟ

"ปรากฎว่ามันเป็นร้านอาหารโปรตุเกสน่ะคุณ เจ้าของเป็นหนุ่มใหญ่คนโปรตุเกสแท้ๆ เลย หน้าตาโอเคเลยด้วย พี่อิ่มนี่ถึงกับกรี๊ดเลย แล้วพอพวกผมลองกินขนมดูนะ โหย อย่างอร่อย โดยเฉพาะทาร์ตไข่ มันไม่ใช่ทาร์ตไข่แบบลอร์ดสโตว์นะ ไส้เป็นคัสตาร์ดเหมือนกันแต่ตัวแป้งเป็นแป้งบางๆ กรอบๆ แบบแป้งฟิโลอ่ะครับ อร่อยไปอีกแบบ พ่อผมบอกว่าพ่อชอบทาร์ตไข่ร้านนี้มากกว่าของร้านดังๆ ในมาเก๊าอีก อีกสองอย่างที่สั่งผมจำไม่ได้ว่าเป็นอะไร อาจจะคัสตาร์ดไข่ขาวกับไข่แดงอย่างละชิ้น..."



เจบอกว่าตัวเขาติดใจร้านเล็กๆ ที่มีเพียงห้าโต๊ะนี้อย่างมาก ด้วยรสชาติและด้วยบรรยากาศร้านที่เหมือนนั่งอยู่ในบาร์เล็กๆ แถบเมดิเตอร์เรเนียน เขาดึงคนตัวโตให้มาแอบยืนดูภายในร้านผ่านทางกระจกหน้าร้าน เขาชี้ให้ฆาเบียร์ดูธงโปรตุเกสและธงสโมสรฟุตบอลที่ติดอยู่เหนือบาร์เหล้าซึ่งประดับด้วยกระเบื้องสไตล์เมดิเตอเรเนียนสีขาวลายน้ำเงินที่ด้านหน้าของร้าน

"ครั้งต่อมาที่ผมมามาเก๊า ผมมากับพี่นพ ผมก็เลยพากันมาแวะที่ร้านนี้ก่อนที่จะไปถนนอาหาร แต่ตอนนั้นเหมือนจะกินไปแค่สามอย่าง โครเก็ตปลาค้อดเค็ม ปลาค้อดเค็มอบกับมันฝรั่งแล้วก็สตูว์เนื้อลูกวัวมั้ง อาหารก็ถือว่าโอเคเลยนะ และราคาก็ไม่ได้แพงมากอะไร"

"งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เราแวะกินข้าวที่ร้านนี้ก็ได้นี่ เจ ฉันอยากเห็นเหมือนกันว่าเจ้าของร้านหน้าตาดีที่ทำให้อิ่มกรี๊ดได้น่ะ จะหล่อแค่ไหน"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจยิ้มเจื่อนๆ และปฏิเสธก่อนจะพาคนตัวโตออกเดินต่อ

"ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องกินที่นี่ก็ได้ มันซ้ำกับมื้อเที่ยงไปแล้ว แล้วเราไม่ได้จองมาก่อนก็อาจจะไม่ได้กินนะเพราะร้านนี้ตอนนี้กลายเป็นร้านดังไปแล้วครับ มันติดโผ bib gourmand หรือร้านอาหารสุดคุ้มของมิเชแลงไกด์มาหลายปีแล้วล่ะ เห็นว่าคนแน่นเอี้ยดตลอดเลย อีกอย่าง..."

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ลุงเจ้าของร้านที่พี่อิ่มติดใจนักหนาน่ะ เขาไม่อยู่แล้วครับ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้วและหันกลับมามองเจ คนตัวเล็กเล่าว่าที่จริงร้านนี้ก็เป็นหนึ่งในร้านที่เขาลิสต์ไว้ว่าอาจจะพาฆาเบียร์มากิน ฉะนั้นก่อนมาเขาจึงหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับร้านนี้ทำให้เขารู้ว่าร้านน้อยๆ นี้กลายเป็นร้านดังติดโผของมิเชแลงไกด์ แต่เขาก็ยังเจอข้อมูลอีกอย่างที่ทำให้เขาตกใจ

"คุณเจ้าของร้านคนนั้นเสียไปแล้วครับ หัวใจวายเมื่อซักห้าปีที่แล้ว ผมเลยไม่ค่อยอยากมาเท่าไหร่ เพราะผมยังจำเขาได้อยู่เลย ตอนนั้นเขาดูดีใจมากที่พวกเราชอบขนมของเขา เพราะพ่อผมชมนักหนาว่าทาร์ตไข่เขาอร่อยกว่าลอร์ดสโตว์ ผมยังถ่ายรูปเขาไว้อยู่เลย ทุกวันนี้ลูกชายเขาเป็นคนทำร้านแทน..."

ฆาเบียร์ถอนหายใจและโอบคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน เจคงอดนึกถึงตอนที่เสียพ่อไปอย่างกะทันหันไม่ได้

"ผมก็เลย...ไม่มาดีกว่า ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาจำที่ตั้งของร้านนี้ไม่ได้และไม่นึกว่าจะมาเดินผ่านมันในที่สุด เขาบอกคนรักว่าเขาเห็นร้านนี้แล้วก็อดนึกถึงทาร์ตไข่ที่พ่อชอบไม่ได้

"แต่เมื่อกี้ผมดูที่หน้าร้านแล้วก็ไม่มีนะ อาจจะไม่ได้ทำขายแล้ว"



เจถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่

"คุณรู้ไหม ตอนเจ้าของร้านนี้เสีย เขาอายุแค่ 48 เองนะ ยังอายุไม่เยอะเลย..."

"...ฉะนั้น คุณเองก็เข้าเลขสี่แล้ว รักษาสุขภาพด้วย อย่าโหมงานหนักมาก พักผ่อนเยอะๆ เข้าใจไหมครับ?"

"อ้าว เฮ้ย ไหงวกมาอายุฉันได้ล่ะ"

คนตัวโตบ่นพึมพำ เขาก็ไม่ค่อยจะอยากจำนักว่าตัวเองเพิ่งขึ้นเลขสี่ไปเมื่อปีที่แล้ว

"...แล้วถ้าฉันจะไม่ได้พักผ่อนน่ะ ก็เพราะนายนั่นแหละ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์ดึงแก้มแดงๆ ของคนที่ทำให้เขานอนน้อยเมื่อคืนที่ผ่านมาอย่างมันเขี้ยว

"หยิกแก้มอีกแล้วว้อย งั้นคืนนี้เราเข้านอนแต่หัวค่ำกันเลยก็ได้ เครมะ?"

เจลูบแก้มตัวเองที่โดนดึงวันละหลายๆ หนด้วยความเซ็ง

"ไม่โอเค!..."

ฆาเบียร์ปฏิเสธลั่น

"อ้าว ก็ไหนบอกว่าผมทำให้คุณไม่ได้พักผ่อนไง"

"ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันทนได้จ้ะ"

คนตัวโตที่ตอนนี้มาเดินตามหลังคนรักใช้แขนพาดลงมาที่บ่าทั้งสองข้างของเจที่เดินอยู่ด้านหน้าและทิ้งน้ำหนักตัวลงบนหลังของคนตัวเล็กของเขา

"หนัก! เดินดีๆ สิคุณ"

"ฉันเมื่อยละ ขอขี่หลังหน่อยสิ"

"เมื่อยตายล่ะ เดินถึงสองร้อยเมตรหรือยังเหอะ..."

เจบ่นอุบอิบ ระยะทางจากพิพิธภัณฑ์บ้านไทปาจนมาถึงจุดที่เขาอยู่ตอนนี้นั้นไม่ไกลเลยสักนิด เพียงแค่ว่ามันมีการขึ้นเนินลงเนินเท่านั้น

"...ตัวอย่างกับยักษ์ ขืนขี่หลังผม รับรองว่าได้ลงไปกองกับพื้นทั้งคู่แน่ ไม่ต้องคิดลองเลยนะครับ! อยากเป็นข่าวเหรอ? ผู้บริหารหนุ่มบริษัท xxxx เจ็บหนักที่มาเก๊าเพราะล้มตอนพยายามขี่หลังแฟนเนี่ย เอ๊ะ บอกว่าอย่า!"

เจว๊ากใส่คนตัวโตที่ทำท่าจะกดบ่าเขาเพื่อโดดขึ้นขี่หลัง ฆาเบียร์หัวเราะก๊ากออกมาเมื่อได้ยินพาดหัวข่าวของเจ เขาเปลี่ยนเป็นใช้มือวางบนบ่าของคนรักแทน

"แค่นี้ก็ได้ อย่าบ่นฉันอีกนะเจ ฉันกลัวแล้ว"

"อือ ไม่บ่นก็ได้ แต่ทำแบบนี้เหมือนคุณลุงตาบอดแถวกาดหลวงเลยคุณ"

เจพูดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงคุณลุงวณิพกตาบอดที่เดินเป่าหีบเพลงโดยมีภรรยาเป็นคนเดินนำให้คุณลุงเกาะบ่าเดินตาม

"ถ้ามีเจนำทาง ฉันก็พร้อมจะตามไปทุกหนแห่งจ้ะ"

คนตัวโตกระซิบที่ข้างหูและจุมพิตแผ่วๆ ที่ต้นคอด้านหลังของคนรัก เจหันไปยิ้มให้ชายคนแรกและคนเดียวที่เขารัก

"ถ้ามีคุณคอยเดินคุมหลังให้ ผมก็พร้อมจะสู้กับทุกอย่างที่เข้ามาขวางครับ"

เจกุมมือใหญ่ที่วางบนบ่าของเขาและบีบกระชับแน่น ฆาเบียร์ยิ้มละไมและเดินตามคนตัวเล็กของเขาไปตามทาง


(หมู่บ้านไทปาและถนนอาหาร)

https://www.picz.in.th/images/2018/03/24/SsJ7Y9.jpg



“เรานัดกับเมลิน่าที่ไหนนะคุณ?”

เจถามขึ้นเมื่อพวกเขามาถึงถนนอาหาร ถนนเส้นสั้นๆ ที่ยาวสักร้อยเมตรนี้อยู่ห่างจากร้าน Castico เพียงไม่กี่นาทีเดิน

“สองคนนั้นบอกว่าจะรอที่ศาลา มันคือตรงไหนกัน?”

เจชี้ไปที่ศาลาทรงสี่เหลี่ยมที่มีหลังคาแบบจีนและมีเสาแบบกรีกขนาดใหญ่ค้ำยันอยู่หลายต้น

“นั่นครับ ศาลาหมู่บ้านไทปา สร้างมาเป็นร้อยกว่าปีแล้วมั้ง เดิมทีสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นตลาดครับ..."

เจชี้ให้ฆาเบียร์อ่านป้ายหินที่อยู่ด้านหน้าศาลา

"...เราลองไปดูกันว่าพวกนั้นมาถึงแล้วหรือยัง”

เจนยุทธเดินนำฆาเบียร์เข้าไป เมลิน่าที่นั่งรออยู่แล้วโบกมือทักทายพวกเขา

“อ้าว ริคกี้ล่ะ?”

“ไปซื้อกาแฟที่สตาร์บัคส์ค่ะ เดี๋ยวคงมาแล้ว”

“โห มีสตาร์บัคส์ที่ถนนนี้แล้ว? ไหนๆ ผมขอไปเดินดูหน่อยเหอะ”

เจพูดอย่างตื่นเต้น เขาชวนฆาเบียร์และเมลิน่าเดินเข้าไปในถนนที่ถูกเรียกว่า Rua do Cunha หรือถนนสายอาหาร เขาแวะร้านสตาร์บัคส์ที่มีหน้าร้านสีเหลืองสดที่หัวมุมถนนตรงข้ามกับร้านไอติม Mok Yi Kei



"เอ๋? นี่มันร้าน Cafe Tai Lei Loi Kei ร้านแซนวิชหมูทอดเจ้าดังนี่ มาเปิดตรงนี้ด้วยเหรอ?"

เจอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นร้านแซนวิชแบบซื้อกลับบ้านที่อยู่ติดกับสตาร์บัคส์

"คุณๆ ร้านนี้อ่ะ เมื่อก่อนจะอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของสุดถนนที่เราเดินมาเมื่อกี้ เป็นร้านโอเพ่นแอร์ ถือเป็นร้านดังที่สุดของมาเก๊าร้านนึงเลยนะ ตอนที่ผมมาที่นี่ครั้งแรก ผมแวะถนนอาหารก่อนแล้วก็เดินไปร้านนี้ เรารอคิวอย่างยาว พอได้นั่งก็สั่งแซนวิชหมูทอดมากิน มันก็เป็นขนมปังอบใหม่ๆ ด้านในเป็นหมูเนื้อสันติดกระดูกทอดมาร้อนๆ มันก็อร่อยนะ แต่พอแม่กับพ่อผมกินปุ๊บก็มองหน้ากัน แล้วบอกพวกผมว่าไงรู้ไหม?..."

ฆาเบียร์ส่ายหัวบอกว่าเขาเดาไม่ออก

"พ่อแม่บอกว่า ไปซื้อหมูทอดดำรงค์ชิ้นหนึ่งมายัดขนมปังก็ได้ ไม่ต้องมาจ่าย 30 กว่าปาตากาส ผมกับพี่อิ่มงี้ขำก๊ากเลย"

เจบอกว่าเขาก็คิดว่ามันรสชาติคล้ายๆ กับหมูทอดเจ้าดังในกาดวโรรสจริงๆ ตอนที่เขากับพี่นพกลับไปกินซ้ำ พี่นพก็ให้ความเห็นแบบเดียวกันไอันเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่กลับมากินมันอีก ฆาเบียร์ชำเลืองมองไอ้เจ้าแซนวิชหมูทอดที่วางขายอยู่หน้าร้านแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ หมูทอดนั้นหน้าตาเหมือนกับที่ขายในกาดวโรรสจริงๆ

"โอเค งั้นเดี๋ยวผมขอเข้าไปดูในร้านสตาร์บัคส์หน่อยนะครับ คุณจะเข้าไปด้วยหรือเปล่า?"

ฆาเบียร์ปฏิเสธและบอกว่าเขาจะรออยู่ข้างนอกกับเมลิน่า เจพยักหน้าและเดินเข้าไปสมทบกับริคกี้ที่ยังรอกาแฟอยู่ในร้าน เขามองไปรอบๆ ร้านอย่างถูกใจ ร้านถูกตกแต่งแบบทันสมัย แต่ที่ผนังร้านบางส่วนนั้นประดับด้วยกระเบื้องที่มีลวดลายชวนให้นึกถึงประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนอย่างโปรตุเกส ด้านบนเคาเตอร์กลางร้านก็ตกแต่งด้วยแผงไม้สลักลวดลายดอกและใบไม้แบบตะวันตกโบราณ มันเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของความเก่าและใหม่ ตะวันออกและตะวันตก

“สมกับเป็นมาเก๊าจริงๆ”

เจพูดอย่างถูกใจ

“ชั้นสองก็สวยนะครับคุณเจ แต่งออกสไตล์ลอฟท์ แถมมีผนังกระจกให้เห็นวิวข้างนอกชัด จะลองขึ้นไปดูไหมครับ?”

ริคกี้ที่เดินสำรวจทั่วร้านมาแล้วถาม เจยกมือปฏิเสธ บอกว่าไม่อยากทำให้เสียเวลามากนัก



เมื่อได้กาแฟแล้ว เจนยุทธกับริคกี้ออกมาสมทบกับเมลิน่าและฆาเบียร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก พวกเขาเดินเข้าไปในถนนอาหารที่คลาคร่ำไปด้วยผู้คน เจมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เขาเล่าให้คนรักฟังว่าครั้งสุดท้ายที่เขามากับนพเมื่อสักหกปีที่แล้ว เขามาช่วงเช้าวันธรรมดา ย่านนี้เงียบเหงาไร้ผู้คน ร้านรวงที่อยู่บนถนนนี้แทบไม่มีร้านไหนเปิด และจะคึกคักแค่ช่วงเสาร์อาทิตย์ที่มีตลาดนัดเท่านั้น ในวันนี้ย่านน้อยๆ แห่งนี้กลับเปลี่ยนไป ตึกต่างๆ แม้จะยังคงหน้าตาแบบเดิม แต่มีร้านใหม่ๆ มาเปิดและมีการตกแต่งภายในอย่างสวยงาม พวกเขาเดินดูร้านค้าไปเรื่อยๆ จนเกือบสุดถนน เจมีความสุขกับการชิมหมูแผ่น คุกกี้ และของที่แต่ละร้านหยิบยื่นมาให้เขาชิม

“ตอนนี้ย่านนี้กลายเป็นย่านเซนาโดสองไปแล้วอ่ะ”

เจพูด ฆาเบียร์พยักหน้าเห็นด้วย ย่านนี้กลายเป็นคล้ายๆ แถบเซนาโดคือมีทั้งร้านอาหารและของฝาก หากร้านดังหลายร้านที่อยู่ที่นี่มาหลายสิบปีอย่างร้านคุกกี้อัลมอนด์ Fong Kei ร้านขนมและไอติมชื่อดังอย่าง Gelatina Mok Yi Kei และร้านอาหารจีน Seng Cheong นั้นยังคงอยู่ดีและมีคนเข้าคิวรออยู่เนืองแน่น ส่วนร้านอาหารโปรตุเกสเก่าแก่อย่าง Galo และ O Santos ก็ยังอยู่ แถมยังมีร้านของฝากอย่าง Koi Kei อีกทั้งมีร้านดังอย่างลอร์ดสโตว์และร้านแซนวิชหมูทอดมาเปิดขายแบบ take away ด้วย ทำให้ย่านนี้ยิ่งคึกคักเข้าไปใหญ่

"นอกจากที่ถนนนี้ แถวย่านหมู่บ้านไทปายังมีร้านอาหารอีกเยอะแยะเลยนะครับ อย่างร้าน Antonio ที่น่าจะเป็นร้านโปรตุเกสที่หรูที่สุดซึ่งไม่ได้อยู่ตามโรงแรม แล้วยังมีร้านอาหารจีนกับร้านอาหารมักกานีสดังๆ อีกหลายร้าน ร้านอาหารไทยก็มีสองสามร้าน แล้วก็ยังมีร้านอาหารอิตาเลียน ฝรั่งเศส อินเดีย ร้านอาหารพม่าก็ยังมี สมกับเป็นย่านถนนอาหารจริงๆ ครับ"

"นี่นายจำข้อมูลพวกนี้ได้หมดได้ไงน่ะ เจ?"

ฆาเบียร์ถามอย่างทึ่ง เจหัวเราะแหะๆ แล้วยกมือถือที่เปิดเว็บของหมู่บ้านไทปาให้คนตัวโตดู

"ผมมีโพยหรอกน่า แต่ก็ดีกว่าคุณนะ ไม่ทำการบ้านอะไรสักนิดเลย"

"ก็ตอนแรกฉันกะว่าจะอยู่กับเจแค่ในห้องนี่นา..."

ฆาบี้พูดขึ้นหน้าตาเฉย เจได้แต่โคลงหัวให้กับความหื่นของคนรัก



"ห้าโมงแล้ว เจหิวหรือยัง?"

“อืมม์ นิดหน่อยครับ เรากลับไปกินที่โรงแรมก็ได้ ไม่ต้องเปลือง”

คนตัวโตหน้าตูม

“โธ่ เจ ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องคิดว่ามันสิ้นเปลือง ฉันอุตส่าห์ชวนนายมาถนนอาหาร แล้วนายจะไม่กินอะไรเลยนอกจากของที่ให้ชิมฟรีเนี่ยนะ?”

เจถอนหายใจ

“กินก็ได้ งั้นผมเลือกร้านเลยแล้วกันนะ”

เจพาฆาเบียร์และเลขาทั้งสองเดินไปที่กลางๆ ซอย

“ร้านนี้ Seng Cheong ผมเคยมากินกับที่บ้านครั้งนึง กินร้านนี้แล้วกัน”

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาเดินนำทุกคนเข้าไปในร้านและหาที่นั่ง

“เอ้า เจ สั่งเลย เจอยากกินอะไร? กั้ง ล็อบสเตอร์ ปู กุ้ง เป๋าฮื้อ เลือกเลย”

“ผมอยากกินของที่ผมเคยกินกับพ่อตอนนั้นครับ”

เจพูดเบาๆ การมาเที่ยวมาเก๊าเมื่อกว่าแปดปีที่แล้วนั้นเป็นการมาเที่ยวต่างประเทศทั้งครอบครัวครั้งก่อนสุดท้ายของพวกเขาก่อนที่พ่อเขาจะเสียชีวิตลงในอีกสามปีถัดมา

“เจ…”

ฆาเบียร์เริ่มรู้สึกผิดที่ตื๊อเจนยุทธให้เลือกกินอาหารที่นี่ ดูเหมือนเจจะมีเรื่องฝังใจกับย่านนี้มากกว่าที่เขาคิด เจขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบจากมือใหญ่ที่เกาะกุมมือของเขา เขาใช้มืออีกข้างตบเบาๆ ที่หลังมือใหญ่นั้น

“คุณครับ ไม่มีอะไร ผมไม่เป็นอะไร แค่คิดว่าของที่กินไปวันนั้นมันก็อร่อยดี มะ สั่งกันดีกว่า”



เจรับเมนูจากพนักงานและเปิดๆ ดู

“หูย แพงขึ้นเยอะเหมือนกันนะ โจ๊กปูหม้อใหญ่จาก 125 ขึ้นเป็น 200 แล้วอ่ะ”

เจบ่นอุบอิบ แต่ก็หันไปยิ้มอย่างยียวนให้คนรัก

“แต่ป๋าบอกว่ามื้อนี้ป๋าเปย์ไม่อั้นใช่ไหมครับ?”

“ใช่จ้ะ หนูอยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ”

"Papi" ฆาเบียร์ลูบหัว “kiddo” ของเขาเบาๆ เจพลิกๆ ดูเมนู ราคาอาหารขึ้นมาเยอะจากปี 2010 แต่เมื่อนึกถึงว่าขนาดหมี่ไข่กุ้งร้าน Wong Kun Sio Kung ยังขึ้นจาก 45 เป็น 80 ปาตากาสแล้ว อัตรานี้ก็ถือว่าพอรับได้

“คุณเจไม่ต้องสั่งเผื่อพวกเรามากนะครับ พวกผมยังอิ่มจากมื้อเที่ยงอยู่”

ริคกี้พูดเสียงอ่อยๆ เขารู้ฤทธิ์เจเวลาสั่งอาหารดี เจพยักหน้ารับคำ

“งั้นผมสั่งแค่สี่อย่างพอนะ”

เจชี้ๆ ของที่ตัวเองต้องการให้คนรักดู จากนั้นฆาบี้ก็จัดการสั่งอาหารให้ด้วยภาษากวางตุ้ง เจยื่นทิชชู่เปียกในห่อฟอยล์ที่วางบนโต๊ะให้ฆาเบียร์

“เอ้า นี่ ส่งคืนเขาไปด้วย”

“ไม่ใช้เหรอ เจ?”

เจนยุทธหยิบห่อทิชชู่เปียกที่มีติดกระเป๋ามาชูให้คนตัวโตดู

“ของเราก็มี ไม่จำเป็นต้องมาจ่ายตังค์”

ฆาเบียร์ร้องอ๋อ เขาเองก็ลืมไปว่าในร้านอาหารจีนแบบนี้มักชาร์จค่าทิชชู่และถั่วลิสงที่วางเป็นของกินเล่น ตัวเขาเองมักไม่ค่อยได้คิดเล็กคิดน้อยถึงเรื่องนี้ แต่สำหรับเจแล้ว เขาเคยบอกว่าเซฟได้ก็เซฟ เพราะมันเป็นของที่ไม่จำเป็นต้องจ่าย ถึงจะแค่สิบบาท ยี่สิบบาท เขาก็ไม่เอา

“ตอนจ่ายตังค์ก็ดูด้วยนะคุณ ว่าร้านเนียนคิดตังค์ไปหรือเปล่า”

เท่าที่เจเคยเจอมานั้น ร้านอาหารจีนในฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งร้านในไทยหลายร้านมักจะคิดเงินค่ากระดาษพวกนี้ไปในบิลเลยแม้ว่าลูกค้าจะวางมันบนโต๊ะเฉยๆ และไม่ได้ใช้มันก็ตาม เจจึงมักใช้วิธีส่งมันคืนให้พนักงานตั้งแต่แรก



พวกเขารอไม่นาน อาหารที่สั่งมาก็ทะยอยมาลง เจถ่ายรูปอาหารบนโต๊ะเก็บไว้ก่อนจากนั้นก็คีบลูกชิ้นปลาหมึกทอดหน้าตาน่ากินเข้าปากโดยไม่ลืมเป่าก่อน

"โอ๊ย อร่อยจัง สมแล้วที่อยากกินมาตั้งหลายปี"

เจยิ้มออกมาทั้งที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆ ฆาเบียร์ก็ยิ้มเมื่อเห็นคนตัวเล็กตาเป็นประกาย ถ้าเจมีความสุข เขาก็มีความสุข เจนยุทธจัดการตักลูกชิ้นใส่จานให้ฆาเบียร์ก่อนจะเลื่อนจานส่งให้เลขาทั้งสอง

"ส่งถ้วยมาสิคุณ เดี๋ยวผมตักโจ๊กให้"

เจดึงโจ๊กปูหม้อใหญ่มาไว้ตรงหน้า เขาตักเนื้อโจ๊กที่มีสีเหลืองของมันและไข่ปูปนอยู่ด้วยนั้นใส่ถ้วยแบ่งทั้งสี่ใบ จากนั้นตักปูทะเลที่ตัดมาเป็นชิ้นๆ ใส่แบ่งให้ด้วย

"คุณเจคะ ของพวกเราเอาแต่เนื้อโจ๊กก็ได้ค่ะ"

เมลิน่าพูดอย่างเกรงใจ

"ไม่เป็นไรๆ มาด้วยกัน ก็กินเหมือนๆ กันนี่แหละ แต่ผมกับฆาบี้ขอก้ามด้วยแล้วกันนะ ส่วนกระดองน่ะ ผมจอง"

เจยิ้มร่าพร้อมกับตักกระดองปูที่ยังมีไข่และมันปูติดอยู่บ้างใส่จานของตัวเองไว้ เขาส่งถ้วยโจ๊กให้ทุกคนก่อนลงมือขูดมันและไข่ปูที่ยังเหลือในกระดองกินอย่างมีความสุข ฆาเบียร์อมยิ้มน้อยๆ เมื่อโดนเจเตะขาอีกครั้ง

"แฮ้ปปี้ล่ะสิ"

เจหัวเราะแหะๆ ให้คนรัก

"ขอโทษครับ โดนคุณอีกแล้วเหรอ?"

"อือ แต่ไม่เป็นไรจ้ะ..."


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2018 06:27:04 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- Taipa Village Walk (ต่อ) ----



ฆาเบียร์ตักโจ๊กขึ้นชิม ถึงโจ๊กร้านนี้ค่อนข้างใส รสชาติของมันก็ใช้ได้ แต่สิ่งที่โดดเด่นคือไข่และมันปูที่ผสมอยู่ในเนื้อโจ๊กนั้น เขาค่อยๆ ใช้ช้อนจัดการกับก้ามปูขนาดไม่ใหญ่นัก

"อืมม์ ปูหวานดีนะ เจ เนื้อแน่นดีด้วย เขาเลือกปูได้ดีนะเนี่ย"

คนตัวโตออกปากชม เขาค่อยๆ จัดการส่วนตัวและขาของมัน เขาหันไปมองเจ คนตัวเล็กกินโจ๊กหมดถ้วยไปแล้วและกำลังแทะปูอย่างเมามัน

"เจ เอาเศษปูทิ้งลงบนโต๊ะเลยก็ได้นะ"

ฆาเบียร์พยักเพยิดให้เจดูริคกี้ที่ทิ้งเศษปูลงข้างๆ จาน

"อ่า จะดีเหรอคุณ?"

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาที่อยู่ฮ่องกงมาพักใหญ่แล้วชินกับธรรมเนียมนี้

"ได้สิเจ นายดูที่โต๊ะนะ เขาหุ้มพลาสติกไว้ เห็นไหม?"

เจดูโต๊ะกลมที่เขานั่งอยู่ ทางร้านใช้พลาสติกบางเหมือนถุงก๊อบแก๊บปูและรัดปลายไว้ด้วยหนังสติ๊ก

"ที่เขาทำแบบนี้เพราะเวลาเก็บโต๊ะ เขาจะรวบแผ่นพลาสติกนี้พร้อมเศษอาหารแล้วทิ้งเลย บางร้านจะใช้กระดาษแผ่นใหญ่แทน มันง่ายกว่าที่ต้องมาคอยเทจากจานนะ"

"อ๋อ มิน่าล่ะ ผมถึงว่าทำไมคนที่นี่เขาคายพวกกระดูกอะไรกันบนโต๊ะหน้าตาเฉยเลย"

"ใช่จ้ะ แต่ก็ต้องดูด้วยนะ ถ้าเป็นร้านดีๆ แบบใช้ผ้าปูดีๆ เขาก็จะมีถ้วยทิ้งเศษอาหารไว้ให้"

เจพยักหน้ารับคำ เขาย้ายเศษปูจากบนจานไปไว้บนโต๊ะ



"ผัดผักกาดแก้วไหมครับ?"

เจถาม ฆาเบียร์พยักหน้า เจตักผักกาดแก้วผัดที่มีน้ำซอสเหนียวๆ ราดมาด้วยให้ฆาเบียร์ ในน้ำราดนั้นเต็มไปด้วยกังป๋วยที่ฉีกเป็นเส้นๆ

"เนี่ย คราวที่ผมมากินกับที่บ้านนะ ตอนแรกเราดูจากรูปแล้วนึกว่าจานนี้เป็นผักกาดแก้วราดซอสเห็ดเข็มทอง เพราะว่าอ่านจีนไม่ออก ก็ว่าทำไมมันแพงจัง ตอนนั้นน่าจะ 60 หรือ 65 นี่แหละ..."

ในวันนี้อาหารจานนี้ขายอยู่ที่ 85 ปาตากาส

"...พออาหารลงปุ๊บนี่พวกเราตะลึงเลยครับ ไอ้ที่นึกว่าเห็ดเข็มทองก็คือกังป๋วย แล้วมาเยอะสุดๆ เลย ที่ไทยกังป๋วยนี่แพงมากเลยนะ แต่ที่มาเก๊า โดยเฉพาะร้านนี้ใช้มันเหมือนเป็นของธรรมดาเลย แล้วดูจากขนาดเส้นแล้วมันไม่ใช่เกรดถูกอ่ะ"

"...นี่ก็ใส่กังป๋วยเหมือนกัน"

เจตักบะหมี่ไข่เส้นแบนผัดสีสันจืดชืดใส่จานให้ฆาเบียร์ คนตัวโตขมวดคิ้ว หน้าตามันดูไม่น่ากินเท่าไหร่

"เจ ฉันไม่กินดีกว่า วันนี้ฉันกินแป้งเยอะไปแล้ว"

"แหม ทำเป็นพูด เห็นหน้าตามันดูไม่อร่อยล่ะสิ ลองชิมก่อนครับ"

เจนยุทธตักให้ฆาเบียร์แค่เพียงนิดเดียวก่อน จากนั้นตักให้เลขาทั้งสองในปริมาณที่เยอะกว่าก่อนที่จะตักให้ตัวเอง ฆาเบียร์เขี่ยๆ หมี่นั้นดู

"อืมม์ ใส่กังป๋วยจริงๆ แล้วก็เห็ดเข็มทอง"

เขาคีบเส้นแบนๆ นั้นเข้าปากและเคี้ยวๆ จากนั้นก็ดึงจานบะหมี่ที่เจเหลือไว้ให้และตักใส่จานตัวเองจนหมด

"อ้าวๆ ไหนว่าวันนี้กินแป้งเยอะไปแล้วไงครับ"

คนตัวเล็กแซวคนรักของตัวเอง ฆาเบียร์หน้าแดงก่อนจะอ้อมแอ้มบอกว่ามาเที่ยวทั้งทีมาคอยคุมอาหารก็น่าเบื่อแย่ เจอดไม่ได้ต้องหัวเราะก๊ากออกมา ส่วนเลขาทั้งสองก็ได้แต่อมยิ้ม พวกเขากินอาหารกันจนหมด จากนั้นก็เรียกคิดเงินโดยมีเจคอยดูให้แน่ใจว่าไม่ได้มีการแอบชาร์จค่ากระดาษเช็ดมือมาด้วย


​(ร้าน Seng Cheong และแซนวิชหมูทอด)

https://www.picz.in.th/images/2018/03/24/SsJYub.jpg



"งั้นเดี๋ยวกลับโรงแรมเลยไหมครับ เผื่อจะได้ทันดื่มค้อกเทลด้วย"

"ก็ได้จ้ะ เจไม่กินอะไรอีกแล้วใช่ไหม?"

เจนยุทธกัดริมฝีปาก แล้วก็ตัดใจส่ายหัว ใจจริงเขาอยากข้ามไปกินลูกชิ้นกะหรี่ร้านอร่อยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนจากศาลา แต่ก็ต้องหักใจเพราะเดี๋ยวเขาจะไปกินต่อบนคลับเลาจ์เพื่อให้ไม่ขาดทุน หากเมื่อเขาได้ยินเมลิน่าขอตัวไปซื้อขนมที่ร้าน Gelatina Mok Yi Kei เจก็มีทีท่าลังเล

"เอ หรือผมจะกินไอติมทุเรียนดีนะ ถ้าจำไม่ผิด ไอติมทุเรียนร้านนี้อร่อยสุดๆ"

ร้านไอศกรีมอายุ 80 ปีนี้นำเข้าทุเรียนมาจากมาเลเซียเพื่อทำไอศกรีมเป็นเจ้าแรกในมาเก๊า ร้านอ้างว่าใช้ทุเรียน Musang King ที่เคยได้ชื่อว่าอร่อยที่สุดในโลกเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีไอศกรีมที่ทำจากทุเรียนพันธุ์ D24 ที่ราคาถูกกว่าอีกด้วย

"เฮ้ๆ ถ้านายจะกินไอติมทุเรียน เดี๋ยวกลับห้องไปกรุณาแปรงฟันให้เรียบร้อยก่อนจะมาจูบฉันด้วยนะ"

คนตัวโตร้องลั่นเมื่อได้ยินคำว่าทุเรียน

"หือ? คุณไม่ชอบทุเรียนเหรอ ฆาบี้?"

เมียตัวโตของเจส่ายหัว เขาทนกลิ่นกำมะถันของทุเรียนไม่ไหวจริงๆ

"เดี๋ยวนะ ก็ช่วงที่แล้วที่พี่นพไปทะเลแล้วซื้อทุเรียนทอดมาฝากผม คุณยังแย่งผมกินไปตั้งเยอะนี่?"

เจเกาหัวแกรกๆ เขาจำได้ว่าพ่อเจ้าประคุณดูทีวีไปก็หยิบทุเรียนทอดกินไปอย่างมีความสุข

"นั่นมันเป็น chips ไม่เหมือนกันสักหน่อย กลิ่นรสมันไม่แรงเท่าพวกไอติม"

"คิดไปเอง! มันก็มีกลิ่นเหมือนกันนั่นแหละ!"

เจโวยคนรักด้วยใบหน้ายิ้มละไม เขาหันไปฟ้องเมลิน่าและริคกี้ที่เดินกลับมาจากร้านไอติม ทั้งสองก็ได้แต่ยิ้ม



"ไหน กินอะไรกัน"

เจขอดูขนมที่พวกเขาซื้อมา เมลิน่าซื้อวุ้นสีขาวๆ ที่น่าจะเป็นนมสด ส่วนริคกี้กินวุ้นมะม่วง เมลิน่าส่งช้อนที่เธอขอมาเผื่อเจให้ เจขอชิมแค่ถ้วยละคำด้วยความเกรงใจ

"อืมม์ ก็ใช้ได้นะ แต่ผมชิมแค่นี้แหละ พอละ"

วุ้นมะม่วงของริคกี้ก็อร่อยดีอยู่ แต่วุ้นขาวๆ ของเมลิน่านั้นรสชาติแปลก ออกเย็นๆ ซ่าๆ บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไรแน่ เมลิน่าเองก็ทำหน้าปูเลี่ยนๆ เมื่อชิมมันเข้าไป เธอบอกว่าเธอเลือกมาเพราะนึกว่าเป็นวุ้นกะทิ

"ไว้คราวหน้าไปเชียงใหม่ผมจะพาไปเดินตลาดนะ จะให้ลองกินวุ้นเป็ดด้วย"

เจพูดกลั้วหัวเราะ ฆาเบียร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเจพูดถึงขนมโปรดของเขา ส่วนเมลิน่ามีสีหน้างุนงง เธอไม่เข้าใจว่าเอาเป็ดไปทำวุ้นได้ยังไง แล้วมันจะเป็นของหวานไปได้ยังไง เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นสีหน้าของเลขาสาวของคนรัก แต่ก็ไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่มเติม

"ไว้ไปลองเองแล้วกัน มาคราวหน้าผมจะพาพวกเธอตระเวนกินให้ทั่วเชียงใหม่เลย"

เจพูดทิ้งท้ายไว้ ริคกี้บอกทุกคนว่าเขาโทรเรียกคนรถให้แล้ว พวกเขายืนรอไม่นานรถตู้คันงามก็มารับพวกเขาที่ศาลาหมู่บ้าน



(ร้าน Castico และ Gelatina Mok Yi Kei)

https://www.picz.in.th/images/2018/03/24/SsJNwa.jpg


----------------------------------------

ขอสารภาพก่อนว่าไม่ได้ไปหมู่บ้านไทปานี้เกินห้าปีแล้วค่ะ ที่ไม่ไปอีกเพราะครั้งสุดท้ายที่ไปมันไม่ค่อยมีอะไรน่าดูมากนัก ร้านรวงก็เปิดเกือบเที่ยง หลายร้านก็ปิดไป แต่ว่าเมื่อมาลองหาข้อมูลดูเพื่อเขียนตอนนี้ก็กลับพบว่ามันได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นย่านที่เด่นด้านการอนุรักษ์ตึกเก่าและเปลี่ยนให้เป็นร้านค้าทันสมัย แต่ก็มีคอมเมนท์จากบางคนว่ามันขาดเอกลักษณ์ไปแล้ว กลายเป็นเหมือนย่านเซนาโด แต่ถ้าแค่อยากไปเดินเล่น หาอะไรกิน ก็น่าสนุกอยู่ค่ะ ตัวคนเขียนเองลองถามน้องสาวที่เพิ่งไปมาเก๊ามาเหมือนกันแต่เขาได้ไปย่านนี้ด้วยว่ามันโอเคขึ้นไหม น้องสาวก็บอกว่าโอเค มีร้านรวงเปิดใหม่เยอะขึ้น คนเยอะและคึกคักตลอดเวลา ถ้าไปคราวหน้าก็คงจะไปดูเองบ้างค่ะ อยากกินอาหารร้าน Castico เหมือนกัน

พูดถึงร้าน Castico น้องสาวบอกว่าเขาไปที่นั่นทุกครั้งที่ไปมาเก๊าและอาหารก็ยังอร่อยเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่แพงขึ้นและคนเยอะขึ้นมากคงเพราะติด Bib Gourmand ของมิเชแลงไกด์ คนเขียนเองตอนไปมาเก๊ารอบที่แล้วก็ตั้งใจจะกลับไปกิน แต่พอดีว่าหาเวลาลงไม่ได้ ก็เลยอดไป เอารูปเก่าๆ มานั่งดูก็ยังรู้สึกอยากกลับไปกินอีก มันเป็นเหมือนความประทับใจแรกกับอาหารโปรตุเกสในมาเก๊าค่ะ แต่ก็อดใจหายเรื่องคุณเจ้าของร้านไม่ได้

ส่วนร้าน Seng Cheong คิวยาว ควรไปนอกเวลาอาหาร โจ๊กปูที่นี่อร่อยเพราะมีมันปูด้วย จำไม่ค่อยได้ แต่เหมือนจะอร่อยกว่าร้านแถวในฝั่งมาเก๊า หม้อที่อยู่ในรูปนั้นเป็นไซส์เล็กนะคะ

ตัวหมู่บ้านไทปา ถนนอาหารและบริเวณรอบๆ ก็เดินเที่ยวเพลินๆ ดีค่ะ มันจะสงบเงียบกว่าตัวเมืองมาเก๊าพอสมควร เว้นแต่ตัวถนนอาหารที่คนเยอะมาก ถ้าอยากกินขนมปังหมูทอดแล้วไม่อยากเดินไปถึงสาขาหลักที่อยู่สุดถนน ก็ซื้อแบบกลับบ้านที่ข้างร้านสตาร์บัคส์ได้ แต่ถ้าไปที่สาขาหลักจะมีอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ด้วย ตอนที่ไป ร้านยังเป็นเพิง ก็ได้ลองกินบะหมี่หมูทอดและลองดื่มโค้กร้อนใส่ขิงด้วยค่ะ พิลึกมาก

ส่วนพิพิธภัณฑ์บ้านไทปากับโบสถ์พระแม่คาเมล ถ้าไปเดินเล่นถ่ายรูปก็โอเคค่ะ แต่ถ้ากะไปดูนิทรรศการอะไรก็...ไปพิพิธภัณฑ์มาเก๊าดีกว่าค่ะ ส่วนโบสถ์ โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ใหม่ค่ะ ถ้าชอบดูโบสถ์เก่าๆ สวยๆ โบสถ์ Our Lady of Penha ที่อยู่บนเนินไม่ไกลจากวัดอาม่าจะสวยและเก่าแก่กว่า แต่ยังไม่เคยไปสักทีเพราะอยู่นอกเส้นทางค่ะ

แจกลิงค์ค่ะ

ข้อมูลพิพิธภัณฑ์บ้านไทปา https://goo.gl/xVjbBm

โบสถ์พระแม่คาเมล https://goo.gl/8gRpsg

รวมพิพิธภัณฑ์และห้องจัดแสดงในมาเก๊า https://goo.gl/S5jtCb

เพจหมู่บ้านไทปา http://www.taipavillagemacau.com/

ร้าน Castico https://goo.gl/hLUvhv

https://goo.gl/YLCPZo

รีวิวร้าน Gelatina Mok Yi Kei https://goo.gl/8K41xp

ร้าน Seng Cheong มีเมนูโดยละเอียดให้ด้วยค่ะ  https://goo.gl/uhtvQU

เส้นทางเที่ยวของรีวิวนี้คล้ายๆ กับในเรื่องค่ะ แต่สลับทางกันบ้าง https://goo.gl/bgi4jD

แผนที่เดินเที่ยวย่านหมู่บ้านไทปาค่ะ https://goo.gl/nXWP7C

คลิปคนพาเดินเที่ยวย่านถนนอาหารค่ะ ดูแล้วหิวเลย

https://www.youtube.com/watch?v=H2s80wfSjEY




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- มื้อดึก...อีกแล้ว ----




"เดี๋ยวครับ ฆาบี้ คุณบอกคนขับจอดรถก่อน!"

เจที่มองข้างทางเพลินๆ ร้องลั่น ฆาเบียร์รีบบอกคนขับรถให้ตบจอดเข้าข้างทาง เจลงรถและบอกให้คนอื่นรอบนรถ รถเลื่อนไปจอดในที่ๆ สามารถจอดได้อยู่ครู่หนึ่ง เจก็วิ่งกลับมาที่รถพร้อมของในมือ

"นี่ครับ ที่ผมสัญญาไว้เมื่อตอนไปโรบุชง"

เมื่อขึ้นรถ เจยื่นดอกทิวลิปสีชมพูดอกหนึ่งที่มีโบว์สีเขียวมะกอกผูกไว้ให้คนรัก ฆาเบียร์หน้าแดงระเรื่อและรับดอกไม้นั้นมาถือไว้ในมืออย่างทะนุถนอม เขาอดไม่ได้ต้องดึงตัวคนตัวเล็กของเขาที่นั่งทำหน้าแป้นแล้นอยู่ข้างๆ มาจุ๊บแผ่วๆ ที่ริมฝีปาก

"นายไม่น่าต้องลำบากเลย เจ"

"ไม่เห็นลำบากตรงไหนเลย ผมอยากซื้อให้ทั้งช่อด้วยซ้ำ แต่เราก็ไม่มีที่ปักมัน ดอกเดียวคุณก็ยังดึงกลีบไปทับเก็บไว้ได้"

"...แล้วคุณชอบมันไหม ฆาบี้?"

ฆาเบียร์ยกดอกสีชมพูหวานนั้นขึ้นดมแล้วยิ้มกว้าง

"ชอบสิ ชอบมาก ไม่เคยมีใครให้ทิวลิปฉันมาก่อนเลยนะ"

ที่จริง ต้องบอกว่าเขาแทบไม่เคยได้ดอกไม้จากใครมาก่อนมากกว่า ที่ผ่านมาเขามักเป็นฝ่ายส่งดอกไม้ให้หนุ่มๆ ของเขา นานๆ ทีเขาจะได้ดอกไม้เป็นของขวัญวันเกิดจากถ้าไม่ฌองก็โดเมนิโก หรือไม่ก็ดอกไม้แสดงความยินดีเนื่องในโอกาสนั้นนี้ แต่นั่นก็เหมือนแค่ส่งมาอวยพรตามมารยาทเท่านั้น



ฆาเบียร์นั่งชื่นชมดอกไม้ของเขามาตลอดทางจนถึงโรงแรมซึ่งอยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านไทปานัก พวกเขาลงรถที่หน้าทางเข้าโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน คนตัวโตจับกระชับมือของเจแน่นและพาเดินเข้าไปในโถงรอลิฟท์พร้อมเลขาทั้งสอง

"เจ จะขึ้นห้องก่อนหรือว่าจะไปที่เลาจ์เลย?"

"เอ นี่ก็เกือบทุ่มแล้วคุณ ผมว่าเราขึ้นไปที่เลาจ์ก่อนก็ได้ เดี๋ยวจะหมดเวลาค้อกเทล แต่ผมจะทำไงกับเจ้าปลาเค็มนี้ดี?"

เจยกปลาเค็มในมือขึ้นให้ฆาเบียร์ดู

"เดี๋ยวฝากริคกี้เอาขึ้นไปเก็บในห้องให้ก็ได้จ้ะ ฉันเอาคีย์การ์ดให้เขาไว้ใบหนึ่งแล้ว ยังไม่ได้เอาคืน"

ฆาเบียร์หันไปหาริคกี้ แต่ก่อนที่เขาจะทันทำอะไร โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของริคกี้ก็ดังขึ้น เจ้าตัวรีบรับและพูดกับที่ปลายสายเป็นภาษากวางตุ้ง ก่อนที่จะหันมาหาคนตัวโตของเจที่ยืนทำหน้ายุ่งอยู่เนื่องจากเข้าใจความหมายของสิ่งที่ริคกี้พูดดี เขายกนาฬิกาขึ้นดู ริคกี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนส่งโทรศัพท์ให้ฆาเบียร์

"นายครับ ทางสำนักงานใหญ่ติดต่อทางเรามาบอกว่ามีเรื่องด่วน"

ฆาเบียร์รีบรับโทรศัพท์มาคุยเป็นภาษากวางตุ้ง สีหน้าเขาดูเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินห่างออกไปเพื่อคุย สักพักก็เริ่มเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษและมีคำสบถหลุดออกมาประปราย เขาคุยอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตัดการสนทนา เขาเดินกลับมาหาเจนยุทธด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก



"ขอโทษนะ เจ มีปัญหาเรื่องงานที่สำนักงานใหญ่และต้องการการตัดสินใจจากฉันด่วน นายขึ้นไปที่เลาจ์เองได้ไหม?"

"ได้ครับ ไม่มีปัญหา แล้วคุณจะไปอยู่ไหน?"

"เดี๋ยวฉันจะไปที่ห้องก่อน ริคกี้ นายเอาโน้ตบุ้คเครื่องที่ใช้ทำงานของฉันมาด้วยใช่ไหม?"

ฆาเบียร์หันไปถามริคกี้ เมลิน่าตอบรับแทนว่าเธอเอามาเตรียมไว้แล้ว เธอดูมีสีหน้าเคร่งเครียดพอกัน

"งั้นไปเอามาซะ ฉันจะนั่งรอที่นี่ แล้วเดี๋ยวค่อยขึ้นไปที่ห้องพร้อมกัน"

เลขาทั้งสองรับปากและรีบกลับไปเอาของที่ห้องของตัวเอง

"คุณครับ เดี๋ยวเรากลับขึ้นห้องกันไปเลยก็ได้นะ ผมไม่ไปที่เลาจ์แล้วก็ได้"

เจดึงแขนเสื้อคนรักเบาๆ

"ไม่เป็นไร เจ นายไปนั่งกินอะไรสบายๆ เถอะ เดี๋ยวฉันขอจัดการเรื่องงานก่อน ไม่น่าจะนานหรอก ถ้าเสร็จเร็วฉันจะตามขึ้นไป"

เจกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้ารับคำ เขาอยู่ในห้องไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ อาจจะเกะกะเสียเปล่าๆ

"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณไม่ต้องห่วงผม ใช้เวลากับงานไปให้เต็มที่ ถ้าผมกินเสร็จแล้วจะลงมาหาเอง แล้วถ้างานมันด่วนถึงขนาดที่คุณต้องกลับไปฮ่องกงหรือสหรัฐฯ คุณกลับไปได้เลย ไม่ต้องห่วงผม โอเคไหม?"

ฆาเบียร์ส่ายหัวและบีบมือคนรักที่เกาะกุมมือเขาเบาๆ

"ไม่น่าจะถึงขนาดนั้นหรอก เจ แต่ค่ำนี้ก็คงเอาเรื่องอยู่"

คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายังไม่ได้ฟังรายละเอียดทั้งหมด แค่รู้ว่ามีปัญหาเรื่องระบบซึ่งเขาเป็นคนมีสิทธิ์ขาดในการจัดการและดูแล  แต่ดูจากเวลาที่โทรมาแล้ว มันน่าจะเป็นเรื่องด่วนจริงๆ ไม่เช่นนั้นทางนั้นคงไม่โทรมาทั้งที่ยังเป็นเวลาตีสี่ของที่พาโล อัลโตแน่ๆ



"งั้น ผมขึ้นไปก่อนนะครับ ไว้เจอกันที่ห้อง"

เจพาลหน้าเครียดตามคนตัวโตของเขาไปด้วย

"จ้ะ ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ต้องเครียดตามฉัน ใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่นะเจ"

เจนยุทธรับคำและเดินเข้าลิฟท์เพื่อขึ้นไปชั้น 53

"รับแชมเปญเพิ่มอีกไหมคะ?"

"อีกแก้วก็ดี ขอบคุณครับ"

เจรับแก้วของเขาคืนมาจากพนักงาน เขาเขี่ยๆ อาหารที่เขาตักมาในจาน เขาใช้ส้อมม้วนพาสต้าทะเลแล้วส่งเข้าปากอย่างซังกะตาย อาหารเย็นบนคลับเลาจ์วันนี้น่ากินทุกอย่าง แต่เขากลับรู้สึกไม่เจริญอาหารเท่าไหร่ เจมองที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามที่ปกติจะมีคนตัวโตนั่งอยู่แล้วถอนหายใจ อาการไม่อยากอาหารของเขากลับมาอีกแล้ว เขายกนาฬิกาขึ้นดู เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้วนับตั้งแต่เขาขึ้นมานั่งบนเลาจ์แห่งนี้ เจถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ก่อนจะฝืนกินอาหารในจานจนหมดอย่างไม่ค่อยได้รสชาติเท่าไหร่ เจยกมือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความบอกคนรักว่าเขากำลังจะกลับห้อง จากนั้นยกแชมเปญขึ้นดื่มจนหมดและลุกจากโต๊ะ



 'ก๊อกๆ'


เจเคาะประตูห้องของเขาก่อนที่จะใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไป เขาเห็นฆาเบียร์กับเลขาทั้งสองแปลงโต๊ะเขียนหนังสือและโต๊ะกาแฟหน้าโซฟาให้กลายเป็นห้องทำงานที่มีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คสองเครื่องและกองกระดาษโน้ตวางอยู่เต็ม คนตัวโตที่ใส่แว่นสายตากรอบดำกำลังคุยกับคนในคอมเหลือบมองเขานิดหนึ่งและทำท่าจะเอ่ยปากทักทาย แต่เจยกมือห้ามไว้และชี้นิ้วไปที่ประตูห้องนอนเป็นนัยว่าเขาจะเข้าไปรออยู่ในนั้น ฆาเบียร์พยักหน้าให้และหันไปให้ความสนใจกับคอมต่อ เจเข้าห้องนอนและปิดประตูตามหลัง เขาถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง เขาหยิบไอแพดของตัวเองขึ้นมานอนเล่นเกมอีกพักใหญ่จนผล็อยหลับไป

"โอ๊ย"


เจร้องเบาๆ เมื่อเจ้าแท็บเล็ตแข็งๆ ตกใส่ดั้งน้อยๆ ของเขา

"เจ็บชิบ..."

เจบ่นอุบอิบเป็นภาษาไทยแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากข้างๆ ตัว คนตัวโตมายืนดูเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

"เสร็จแล้วเหรอ คุณ?"

เจยันกายขึ้นนั่ง

"ยังจ้ะ แต่พักก่อน เดี๋ยวจะมีประชุมต่ออีกแป๊บนึง"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทรุดตัวลงนอนหนุนตักคนรัก เจลูบผมสีน้ำตาลสลวยนั้นเบาๆ

"ขอนอนแบบนี้แป๊บนึงนะเจ"

คนตัวโตพลิกกายกอดเอวคนรัก เขาหอมตักที่ให้เขาหนุนนอนก่อนจะซบหน้านิ่งกับหน้าท้องของเจนยุทธ

"เหนื่อยเหรอครับ? ปัญหามันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?"

เจใช้นิ้วม้วนผมคนรักเล่น

"ก็ไม่ถึงกับแย่มากๆ อ่ะนะ แต่ก็หนักอยู่..."

คนตัวโตพูดเสียงอู้อี้ เขาเล่าปัญหาให้เจฟังคร่าวๆ เจนยุทธพยายามทำความเข้าใจตาม ด้วยพื้นฐานที่เคยเรียนสายคอมพ์มาปีหนึี่งทำให้เขาพอเข้าใจศัพท์เทคนิคและเข้าใจสถานการณ์ได้บ้าง



"สรุปคือเพราะแฮ็คเกอร์? แต่เซิร์ฟเวอร์ก็ยังไม่ถึงกับล่มใช่ไหมครับ?"

ฆาเบียร์พยักหน้า ระบบของเว็บเขาถือว่าเสถียรและมีการป้องกันชั้นเยี่ยม ต้องขอบคุณรากฐานที่พ่อเขาสร้างมาดีจึงทำให้พอจะต้านทานการโจมตีของแฮ็คเกอร์โดยทำให้เว็บไม่ถึงกับล่มแต่ก็ทำงานอืดลงไปมาก

"แล้วคุณต้องแก้เองหรือว่าไงครับ?"

"ไม่จ้ะ..."

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"ด้านเทคนิคน่ะ เรามีคนคอยจัดการอยู่แล้ว โปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่พวกนั้นเก่งกว่าฉันเยอะ แต่ฉันมีหน้าที่ควบคุมกำกับและทำการตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ ก็คอยดูข้อมูลจากที่พวกเด็กๆ ให้มา คอยประสานงานอะไรพวกนั้น อย่างตอนนี้เซิร์ฟเวอร์เราถูกบอทโจมตีหนัก ฉันก็ต้องช่วยหาโฮสต์ชั่วคราวที่จะไปฝากเว็บเราไว้ มันต้องใหญ่พอ เสถียรพออะไรประมาณนั้น เมื่อกี้ก็ถามไปหลายๆ ที่ซึ่งทางบริษัทเราหรือตัวฉันมีคอนเน็คชั่นด้วย ตอนนี้ก็ได้เรียบร้อยแล้ว แต่ก็แค่ชั่วคราวจนกว่าจะแก้ปัญหาเรื่องแฮ็คเกอร์ได้ ซึ่งนั่นก็ปล่อยให้คนทางสำนักงานใหญ่จัดการไป"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ การติดต่อนั่นนี่ทำให้เขาแทบหมดพลัง หลังจากนี้ก็คงต้องมีการตามตอบแทนบุญคุณหรือจ่ายค่าตอบแทนกันยกใหญ่

"เดี๋ยวสักพักก็จะมีประชุมคร่าวๆ เรื่องแนวทางป้องกันปัญหาไม่ให้มันเกิดอีกน่ะ หลังจากนี้ฉันก็อาจจะต้องบินกลับไปสหรัฐฯ อีกพักนึง นี่ก็ว่ากันอีกที แต่ในส่วนที่ทำได้ในคืนนี้ก็คงแค่นี้ละ"

คนตัวโตพลิกกายนอนหงาย เจยิ้มและก้มลงจุ๊บปากคนที่ทำปากจู๋ขอจูบจากเขา ฆาเบียร์ดูนาฬิกาแล้วยันตัวลุกขึ้น เขาดึงตัวเจนยุทธมากอดนิ่งๆ พักหนึ่ง เจกอดตอบ ในเวลาแบบนี้ เขาไม่สามารถช่วยอะไรฆาเบียร์ได้นอกจากคอยอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้แบบนี้ คนตัวโตหลับตา สูดลมหายใจเข้าและระบายออกเฮือกใหญ่ เขาลืมตาขึ้น สายตาคมนั้นฉายแววพึงใจ



“เอาล่ะ ชาร์จแบตเต็มแล้ว ฉันไปทำงานต่อก่อน ไม่น่านานนะ เจจะอาบน้ำอาบท่าก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยอาบดึกๆ ทีเดียว คืนนี้ผมว่าจะชวนคุณแช่น้ำซักหน่อย คุณก็จัดการธุระให้เสร็จเสียล่ะ”

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ทำตาละห้อยเมื่อได้ยินคำว่าแช่น้ำ เจโดดลงเตียงแล้วดึงแขนคนตัวโตให้ลุกตาม เขารุนหลังร่างใหญ่กำยำนั้นให้ออกไปนอกห้องแล้วเดินตามออกมาด้วย ฆาเบียร์เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานชั่วคราวของเขาที่เลขาทั้งสองนั่งรออยู่ เจเดินไปที่ส่วนบาร์น้อยๆ ของห้อง เขาหยิบกล่องแคปซูลกาแฟที่ทางโรงแรมมีให้ไปให้ทั้งสามคนเลือก เมลิน่าและริคกี้ปฏิเสธ แต่คนตัวโตของเขาเลือกกาแฟจากบราซิล เจจัดการทำกาแฟโดยใช้เครื่องทำกาแฟแบบแคปซูล เขาเปิดตู้เย็นหยิบกล่องเค้กนโปเลียนที่ของทางโรบุชงห่อมาให้ขึ้นมาและตัดแบ่งมันใส่สามจาน และเหลือชิ้นเล็กๆ ให้ตัวเอง จากนั้นแกะห่อเอาคุกกี้อัลมอนด์แบบจีนที่ซื้อมากินเองออกมาใส่ไปให้คนละชิ้นด้วย เขาเทน้ำเย็นใส่แก้วสามใบ จากนั้นทยอยยกทั้งหมดไปเสิร์ฟให้คนทั้งสามที่กำลังเตรียมการประชุมต่อ

“รองท้องกันก่อน จะให้ผมสั่งรูมเซอร์วิสให้ไหม?”

เลขาทั้งสองปฏิเสธและขอบคุณเจนยุทธ ฆาเบียร์ยิ้มให้คนรักด้วยความชื่นใจ เจนอกจากจะดูแลเขาดีแล้วยังเผื่อแผ่ไปถึงคนของเขาด้วย

“ขอบใจจ้ะ…”

“ไม่เป็นไรครับ ผมช่วยคุณทำอะไรเรื่องงานไม่ได้ ที่ทำได้ก็แค่นี้แหละครับ”

คนตัวโตยกมือคนรักขึ้นจูบแผ่วๆ

“แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้วจ้ะ”

“เฆเฟ่คะ ทางสำนักงานใหญ่ส่งสัญญาณมาแล้วค่ะ”

เมลิน่าส่งเสียงบอกนายของเธอ ฆาเบียร์หันไปตอบรับ

“งั้นผมไม่กวนแล้วครับ คุณไม่ต้องรีบนะ ใช้เวลาให้เต็มที่ เดี๋ยวผมจะหลับรอไปก่อน”

เจจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากของเมียตัวโตของเขา จากนั้นเดินกลับเข้าห้องนอนและปิดประตูตามหลัง เจกินเค้กส่วนของตัวเองที่หยิบติดมือเข้ามาด้วยกับคุ้กกี้อีกสองชิ้นและดื่มกาแฟเอธิโอเปียที่เขาทำให้ตัวเองไว้

“อืมม์ ชั้นแป้งของเค้กมันหายกรอบไปหน่อยแล้วแฮะ”

เจบ่นกับตัวเองแต่ก็กินจนหมด จากนั้นปีนขึ้นนอนบนเตียง หยิบหูฟังออกมาเสียบกับโทรศัพท์และเปิดเพลงฟัง เขาเคลิ้มหลับไปหลังจากนั้นไม่นาน



เจตื่นมาเพราะแรงกอดรัดและริมฝีปากอุ่นๆ ที่หอมแก้มเขาฟอดใหญ่

“อืมม์ งานเสร็จแล้วเหรอครับ? นี่กี่โมงแล้ว”

เจงัวเงียถามคนที่นอนกอดเขาเหมือนหมอนข้างจากทางด้านหลัง

“สี่ทุ่มกว่าๆ แล้วจ้ะ ประชุมทางไกลเสร็จแล้ว ถ้าไม่มีอะไร คืนนี้ก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ”

คนตัวโตระบายลมหายใจออกปาก เขาเสียสมองไปกับเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว เจพลิกกายกลับมาหาคนรักและป้อนจูบอันอ่อนหวานให้ ฆาเบียร์จูบตอบและขยับกายขึ้นทาบทับร่างเพรียวของเจ มือของเขาเริ่มเปะป่ายไปทั่ว

‘โครก’

เสียงท้องร้องดังขึ้นขัดบรรยากาศเหมือนกับอีกหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา หากคนที่นอนหัวเราะจนตัวงอบนเตียงคราวนี้ไม่ใช่ฆาเบียร์

“โอ๊ยยย ผมเพิ่งเคยได้ยินเสียงท้องคุณร้องเป็นครั้งแรกเลยนะ ฆาบี้”

เจเช็ดน้ำตา คนตัวโตหน้าแดงก่ำ เจ้ากระเพาะว่างๆ ของเขามันอุทธรณ์ไม่ดูเวลาเอาเสียเลย

“แต่คุณก็น่าจะหิวอยู่หรอก ก็กินอาหารหนักมื้อสุดท้ายตอนห้าโมงนี่นา กาแฟกับขนมเมื่อกี้ไม่น่าช่วยให้หายหิวอ่ะ งั้นไปหาอะไรกินดีกว่า”

เจโดดลงเตียงแล้วดึงคนตัวโตที่ทำท่าอยากกลับลงไปนอนให้ลุกขึ้น ฆาเบียร์ลงเตียงมาแต่กลับดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดแนบอก เจตบแผ่นหลังกว้างนั้นเบาๆ พวกเขากอดกันนิ่งๆ โดยไม่ต้องพูดกันสักคำ หากฆาเบียร์รู้สึกได้ถึงกำลังใจและความอบอุ่นจากคนรัก เพียงแค่นี้ ความกังวลและความเหนื่อยล้าของเขาก็ผ่อนคลายลงไปได้มาก



“โอเคแล้วเหรอครับ?”

เจเอียงคอถามคนที่ดันตัวออกจากอ้อมกอดของเขา

“จ้ะ โอเคละ”

ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เขาโอบไหล่เจและพาเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของฆาเบียร์และเอกสารยังคงอยู่บนโต๊ะแต่เลขาทั้งสองหายไปแล้ว

“ฉันให้สองคนนั้นลงไปพักน่ะ แต่พวกของนี้ก็ทิ้งไว้ก่อนเผื่อมีเรื่องด่วนอีก”

“งั้น จะกินอะไรดีครับ สั่งรูมเซอร์วิส หรือว่าไปหาอะไรกินดี?”

“อืมม์ คราวที่แล้วที่ฉันมามาเก๊า อาปาพาไปกินมื้อดึกแถวๆ คาสิโนของ Sands ฉันก็ว่าใช้ได้อยู่นะ ไปที่นั่นก็ได้”

ครั้งสุดท้ายที่พวกเขามาที่มาเก๊า ฆาเบียร์และคริสพักที่โรงแรม St. Regis ในคอมเพล็กซ์ของคาสิโนยักษ์ใหญ่อย่าง Sands หลังจากออกคาสิโนมาตอนหลังเที่ยงคืน คริสก็พาลูกชายไปกินข้าวที่ร้านอาหารซึ่งเปิด 24 ชั่วโมงของคาสิโน ฆาเบียร์ทึ่งกับอาหารที่รสชาติดีเกินคาด สุดท้ายกลายเป็นว่าพวกเขาฝากท้องที่นั่นแทบทุกคืนที่เล่นโป๊กเกอร์จนดึก

“ถ้าคุณบอกว่าโอเค ก็ตามนั้นครับ เราชวนสองคนนั้นไปด้วยไหม?”

ฆาเบียร์หยิบโทรศัพท์มาโทรหาเลขาสาวของเขา



“อืมม์ แบบนั้นก็ได้ งั้นตามคนรถให้ฉันด้วยนะ…”

ฆาเบียร์กดวางแล้วหันมาหาคนรัก

“สองคนนั้นสั่งรูมเซอร์วิสไปแล้วน่ะ แต่เดี๋ยวเขาจะบอกคนรถให้ เราลงไปรอรถกันได้เลย”

“ไปแท็กซี่ก็ได้ คุณเช่ารถเพิ่มตอนนี้แพงแย่ ต้องรอนานด้วย”

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์ยิ้ม

“ฉันยังไม่ได้บอกเจสินะ รถที่เรานั่งในวันนี้ไม่ใช่รถเช่าหรอกเจ เป็นรถของเพื่อนอาปาที่มาเก๊านี่แหละ คนขับก็เป็นคนของเพื่อนอาปา ฉันให้เขามาค้างด้วยกับเราสองคืนเผื่ออยากใช้รถดึกๆ ให้นอนที่แมริออทเหมือนพวกเมลิน่านั่นแหละ”

เจหน้าแดงก่ำเมื่อนึกได้ว่าตอนฆาบี้ทำรุ่มร่ามกับเขาตลอดทั้งวัน คุณคนรถที่ทำงานกับเพื่อนของอาปาก็คงเห็นหมดแล้ว พอรู้แบบนั้นมันทำให้เขาอายมากกว่าเดิม เขาอดไม่ได้ต้องทุบหลังคนตัวโตที่เปิดประตูห้องให้เขาเข้าบึ้กใหญ่ ฆาเบียร์ทำหน้านิ่วแล้วหันมามองคนตัวเล็กที่บ่นอุบอิบว่าพรุ่งนี้จะไม่ยอมให้เขาลวนลามบนรถอีก ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วรับปากเจ



“คุณ เราแวะที่อื่นก่อนไปกินข้าวได้ไหม?”

เจเปิดมือถือเขาเพื่อหาอะไรบางอย่าง เขาส่งให้ฆาเบียร์ดู คนตัวโตพยักหน้าแล้วบอกทางคนขับ รถพาพวกเขาทั้งสองมายังโรงแรม Wynn Palace ที่มีสระน้ำพุขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าตัวโรงแรมที่งามโอ่อ่า เจยกนาฬิกาขึ้นดู เขายังมาทันดูการแสดงน้ำพุอันเลื่องชื่อของโรงแรมแห่งนี้ื รถส่งพวกเขาที่ด้านหน้าโรงแรม ฆาเบียร์พาคนรักเดินฝ่าลมหนาวต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสไปที่สระน้ำพุนั้น

“ดึกขนาดนี้ยังมีโชว์อยู่เหรอเจ?”

ฆาเบียร์ยกนาฬิกาขึ้นดู ตอนนี้ห้าทุ่มแล้ว

“ครับ น้ำพุเต้นระบำของ Wynn Palace มีตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน ช่วงกลางวันมีโชว์ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง แต่พอหลังทุ่ม ก็มีมีทุกยี่สิบนาทีจนถึงเที่ยงคืน”

เจยื่นตารางโชว์ที่เขาโหลดมาจากในเน็ตให้คนรักดู

“ห้าทุ่มยี่สิบ ก็อีกไม่กี่นาที ทนหนาวหน่อยนะ เจ”

ฆาเบียร์ดึงเจนยุทธที่ตัวสั่นน้อยๆ มายืนด้านหน้าแล้วกอดไว้ เจลงมาโดยใส่เสื้อยีนส์ตัวเดียวทับเสื้อโปโล อากาศมาเก๊าช่วงนี้อุณหภูมิลดฮวบลงมาจากเมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ฮ่องกงจนกระทั่งเหลือเลขตัวเดียว เสื้อผ้าที่เจเตรียมมานั้นดูจะไม่เพียงพอนัก แต่มันก็ยังพอไหว หากคืนนี้ลมที่ค่อนข้างแรงทำให้เขารู้สึกหนาวเป็นพิเศษ



“ที่จริงเราไม่ต้องดูก็ได้นะ ไปกินข้าวกันเลยก็ได้”

ฆาเบียร์ลูบแก้มที่เย็นเฉียบของคนรักอย่างเป็นห่วง เจส่ายหัวแล้วหันมายิ้มหวานให้คนรัก

“แค่นี้เอง ผมทนได้อยู่น่า ดูเถอะครับ ฆาบี้ ผมอยากให้คุณเห็นจริงๆ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขาทำท่าจะถอดเสื้อแจ็คเก็ตผ้าขนสัตว์ของเขามาใส่ให้เจ แต่เจนยุทธปฏิเสธ

“ถ้าถอด คุณก็เหลือแต่เสื้อเชิร์ต ใส่ไว้เถอะคุณ แต่กอดผมแน่นๆ หน่อยแล้วขอผ้าพันคอด้วย”

คนตัวโตปลดกระดุมแจ็คเก็ตแล้วดึงเจให้หลังแนบกับตัวเขา จากนั้นใช้เสื้อของตัวเองคลุมไหล่และตัวเจบางส่วนและใช้แขนพาดบ่าทั้งสองข้างของคนรัก

“เสื้อหนาวตัวใหญ่ของผมนี่อุ่นดีจริงๆ…”

เจพูดยิ้มๆ เขาใช้ปลายข้างหนึ่งของผ้าพันคอผืนยาวยี่ห้อดังของคนรักพันรอบคอตัวเอง และส่งปลายอีกข้างให้คนตัวโตที่ใช้คางเกยบ่าเขาอยู่



“แต่ เอ เสื้อหนาวตัวนี้มันมีอะไรดันก้นผมด้วยนะ”

เจขยับตัวดุ๊กๆ ดิ๊กๆ

“เจ อย่าซนสิ!”

ฆาเบียร์ดุเจ้าตัวแสบของเขาเบาๆ การโอบตัวอุ่นๆ ของคนรักไว้ในรอบอกแบบแนบชิดแบบนี้มันทำให้บางส่วนของเขามันอดมีปฏิกิริยาน้อยๆ ไม่ได้ แล้วไอ้การทำตัวยุกยิกของเจนั้นยิ่งทำให้มันดี๊ด๊าขึ้นมาใหญ่ เจนยุทธหัวเราะคิกคัก เขาบดเบียดสะโพกเข้ากับแก่นกายของคนรัก เขาควงสะโพกช้าๆ ฆาเบียร์ทนไม่ไหวต้องเสยเอวขึ้นเบาๆ

“คุณ อย่า!”

เจตีมือคนตัวโตที่แอบล้วงเข้าใต้เสื้อยีนส์และสะกิดเขี่ยยอดอกของเขาที่เริ่มชูชันจนดันเนื้อผ้าของเสื้อโปโลที่ใส่อยู่ เขาซี้ดปากเบาๆ เมื่อฆาเบียร์ไม่หยุดแถมยังบดบี้หนักขึ้น ถึงเนื้อผ้าของเสื้อโปโลจะหนา แต่เม็ดทับทิมทั้งคู่ของเขามันไวต่อความรู้สึกไปแล้ว เจอดไม่ได้ต้องหันหน้าไปรับจูบอันดูดดื่มจากคนรัก แม้รอบข้างจะมีผู้คนยืนรอดูน้ำพุอยู่ประปราย พวกเขาก็อยู่ในมุมที่มืดพอที่จะพลอดรักกันได้ หากเจหยุดฆาเบียร์ไว้ที่แค่นั้น

“แค่พอหอมปากหอมคอให้หายหนาวพอแล้วครับ”

เจจับข้อมือของคนตัวโตที่พยายามจะแกะกระดุมกางเกงยีนส์ของเขา สติของฆาเบียร์เตลิดไปไกลแล้ว เขาพรมจูบตามซอกคอและพวงแก้มของเจนยุทธ ลมหายใจร้อนผ่าวและฟันขาวๆ ที่ขมเม้มใบหูทำให้เจร้อนขึ้นมาเช่นกัน แต่เขาก็ฝืนใจดันตัวออกมาจากอ้อมแขนอุ่นนั้น



"คุณมาร์ติเนซ พอแล้วครับ!"

เจพูดเสียงแข็ง เขาหันกลับมาใช้มือทั้งสองตะปบตบไปที่แก้มที่สองข้างของฆาเบียร์และบังคับคนตัวโตให้จ้องมาที่ตาของเขา

"คุณเป็นอะไร ฆาบี้?"

ฆาเบียร์สะดุ้งน้อยๆ ใบหน้าเขาแดงระเรื่อด้วยความอาย เขาก้มหน้าหลบตาคนรัก เจเชยคางเมียตัวโตของเขาขึ้นมาให้สบตาเขาเหมือนเดิม

"คุณครับ มีอะไร? ทำไมคุณถึงไม่หยุด?"

"เจ ฉันห้ามตัวเองไม่อยู่จริงๆ ขอโทษด้วย"

คนตัวโตพูดเสียงแผ่วเบา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

"ถ้าฉันเครียดมากๆ ก็มักจะคุมตัวเองไม่อยู่น่ะ เจ ถ้ามีอารมณ์หรืออะไร มันก็จะระเบิดออกมาและจะห้ามตัวเองไม่ค่อยอยู่"

ในอดีต หลายครั้งที่เขามีอาการเครียดจากที่ทำงาน เขามักโทรเรียกคู่ขาที่ควงอยู่ในตอนนั้นหรือไม่ก็ไปสถานบันเทิงเพื่อหาคนกลับมาที่ห้องและมีเซ็กส์อย่างสุดเหวี่ยงเพื่อระบายความเครียด แต่หลังจากคบหากับเจนยุทธ เมื่อห่างไกลกันเขาก็พยายามอดกลั้นและไม่ได้ทำเช่นนี้อีก หากความเครียดในวันนี้มันทำให้เขารั้งสติตัวเองไว้ไม่ได้

"โธ่เอ๊ย คุณ ทำไมไม่บอกผม ผมจะได้ไม่ต้องฝืนพาคุณออกมา"

"เมื่อกี้มันยังโอเคอยู่น่ะ ฉันก็หิวด้วย ไงๆ ก็ต้องออกมาอยู่ดี"

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ

"ฉันขอโทษนะเจ ขอโทษจริงๆ ที่ไม่เคยบอกนายเรื่องนี้มาก่อน"

"โธ่ คุณ..."

เจกอดคนตัวโตที่ทำท่าเหมือนหมาหงอยไว้แนบอก แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร เสียงเพลงก็ดังขึ้น มันเป็นเพลง My Heart Will Go On ของเซลีน ดิออน


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- มื้อดึก...อีกแล้ว (ต่อ) ----





"เริ่มแล้ว!"

เจอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น ฆาเบียร์เองก็ลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเมื่อเห็นสายน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นตามจังหวะดนตรี สายน้ำพุจากหัวฉีดกว่าพันตัวที่กระจายอยู่ทั่วสระขนาดใหญ่เกือบยี่สิบไร่ มันเริ่มต้นจากสายน้ำที่เรียงกันเป็นวงกลมพวยพุ่งขึ้นและสาดส่ายไปเป็นแนวซ้ายขวาอย่างอ่อนช้อย จากนั้นสายน้ำเหล่านั้นพวยพุ่งขึ้นลงและสาดสะบัดไล่เรียงกันตามจังหวะดนตรี บางครั้งก็พุ่งสลับสูงต่ำ บ้างก็พุ่งขึ้นไล่กันเป็นเส้นตรงจากซ้ายไปขวา ช่วงกลางเพลงแสงไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงและส้ม ทำให้สายน้ำเหล่านั้นเป็นเหมือนเปลวไฟที่กำลังเริงระบำ

"ว้าว"

ทั้งเจและฆาเบียร์อุทานออกมาอย่างตื่นตะลึงเมื่อถึงช่วงไคลแมกซ์ของเพลง สายน้ำที่เรียงเป็นวงกลมตรงกลางสระได้พุ่งขึ้นสูงจนเกือบเท่าความสูงสามสิบเมตรของกระเช้าลอยฟ้าที่เคลื่อนที่เป็นแนวรอบสระน้ำนั้น เสียงคำรามของสายน้ำพุที่พุ่งขึ้นลงไล่เรียงกันดังสนั่นราวเสียงปืนกล เจลอบหันไปมองคนรักที่ตาเป็นประกายมองโชว์น้ำพุแสนสวยนั้น เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นของฆาเบียร์ คนตัวโตเหมือนจะลืมเรื่องน่าอายของตัวเองเมื่อสักครู่ไปแล้ว เจเอื้อมมือไปกุมมือใหญ่ของคนที่ยืนเคียงข้าง ฆาบี้จับมือเรียวนั้นแน่น


(น้ำพุที่ Wynn Palace)
https://www.youtube.com/watch?v=qFscFX6P8NM


"ชอบไหมครับ?"

เจถามเมื่อการแสดงที่มีความยาวเกือบห้านาทีนั้นจบลง ฆาเบียร์หันมายิ้มกว้างให้กับเจนยุทธ เขาพยักหน้าน้อยๆ

"ชอบจ้ะ ฉันดูโชว์แบบนี้ครั้งสุดท้ายที่หน้าโรงแรม Bellagio ในลาส เวกัสก็หลายปีแล้วล่ะ"

"โหย...งั้นที่นี่ก็บ้านๆ ไปเลยสิ เจ้านั้นเขาเป็นต้นตำรับนี่"

เจพูดเสียงอ่อยๆ พลางนึกในใจว่ารู้งี้เขาพาคนตัวโตไปกินข้าวแล้วรีบกลับห้องยังจะดีกว่า ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วลูบหัวคนตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ย

"ไม่หรอกเจ มันน่าตื่นเต้นเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าฉันจำไม่ผิดจะเป็นบริษัทเดียวกันทำ อีกอย่าง ตอนนั้นที่ไปดู ฉันก็ดูไปงั้น ไม่ได้รู้สึกสนุกกับมันเท่าไหร่"



เขาหัวเราะหึๆ เมื่อนึกถึงวันนั้น เขาเล่าให้เจฟังว่าเขาดูมันอย่างซังกะตายเพราะเพิ่งชวดเงินก้อนใหญ่จากการแข่งโป๊กเกอร์เดิมพันสูงที่โรงแรม Bellagio จัดขึ้น นานๆ ที เขาก็มาเข้าร่วมแข่งโป๊กเกอร์ที่ทางคาสิโนนั้นจัด แต่ปีนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาลงแข่งในระดับสูงสุดและได้มีโอกาสเข้าใกล้ชัยชนะที่สุด

"ไอ้เงินก้อนใหญ่นั่น มันใหญ่ขนาดไหนล่ะครับ?"

ฆาเบียร์ยิ้มมุมปาก ถ้าเขาพูดไปเจต้องตกใจแน่ๆ

"ล้านห้าจ้ะ"

"ละ...ล้านห้า บาทเหรอ?"

เจนยุทธปากสั่น ถ้าเขาชวดเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นเขาก็คงเซ็งเหมือนกัน หากฆาเบียร์ส่ายหน้า

"No...1.5 millions US Dollar"

เจหลุดปากสบถคำหยาบออกมาคำโต ฆาเบียร์ปิดปากหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของคนรัก

"เห้ย ก้อนใหญ่ขนาดนั้น คุณลงเงินไปเท่าไหร่ ฆาบี้?"

"คนละแสนเหรียญน่ะ คนแข่งสามสิบกว่าคน ตัดกันไปเรื่อยๆ จนเหลือโต๊ะสุดท้าย"

"โอย ผมจะเป็นลม ค่าเข้าแข่งสามล้านกว่าบาท? บอกผมทีว่าคุณยังได้ตังค์คืนบ้าง"

"อืมม์ ได้น่ะมันได้หรอก..."

เขาสร้างความฮือฮาได้พอสมควรเพราะเป็นผู้เข้าแข่งขันคนเดียวในรอบสุดท้ายที่ไม่ใช่เซียนโป๊กเกอร์มืออาชีพ แต่น่าเสียดายว่าเขาจบแค่ที่อันดับ 4

"ก็ได้มาสี่แสนเหรียญ ได้กำไร แต่มันก็น่าเจ็บใจน่ะ"

คนตัวโตพูดอย่างเซ็งๆ เขาไม่ชอบการพ่ายแพ้ โดยเฉพาะในวงโป๊กเกอร์ เขาจับมือเจเดินช้าๆ เพื่อมารอรถ ไม่นานนักรถตู้คันงามก็ขับเข้ามารับพวกเขา ฆาเบียร์บอกจุดหมายปลายทางให้คนขับ



"แล้วตอนนี้คุณยังไปแข่งอยู่ไหม?"

เจถามด้วยความอยากรู้ ฆาเบียร์ส่ายหน้า

"หลังจากวันนั้นฉันก็เลิกไปแข่งแบบทัวร์นาเมนท์ เล่นเป็นครั้งๆ ไปดีกว่า เครียดน้อยกว่ากันเยอะ แต่ถ้าเสียตังค์แล้วก็เสียเลยนะ แต่ฉันก็ไม่ค่อยเสียหรอก"

คนตัวโตยิ้มอย่างมั่นใจในตัวเอง

"แต่ถ้ามีคนนึงเล่นโต๊ะนั้น ฉันจะไม่เล่นด้วยเด็ดขาด รู้ไหมว่าใคร?"

เจหัวเราะหึๆ เขาพอเดาได้อยู่

"อาปาล่ะสิ"

"ถูกต้อง! คนอะไรหน้านิ่งเป็นบ้าเลย"

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบ แรกๆ เขาเคยอยากลองดีกับคนที่สอนเขาเล่นโป๊กเกอร์คนนี้ แต่ก็พบว่าไม่ว่าตัวเองจะเก่งแค่ไหน เคยจัดการคนเก่งอื่นๆ มากี่คนแล้วก็ตาม เขาไม่มีวันเอาชนะคริสได้เลย ไม่ใช่ว่าคริสจะเก่งแบบไร้พ่าย แค่ว่าเขาไม่เคยแพ้ให้กับฆาเบียร์เลยสักครั้ง

"ผมว่าคงเพราะอาปาเขาอ่านคุณออกทั้งหมดน่ะ"

"ฉันก็ว่าแบบนั้นแหละ หลังๆ มาฉันเลยปฏิเสธไม่เล่นดัวยเลย บางทีอาปาก็แอบน้อยใจฉันเหมือนกัน"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงท่าทีของคนที่รักเขาเหมือนลูกแท้ๆ คนนั้น

"ผมไปให้อาปาสอนมั่งดีไหมเนี่ย?"

ฆาเบียร์ตบหัวคนรักเบาๆ

"อย่าเลยเจ เชื่อฉันเถอะ อย่างเจนี่โดนอ่านออกตั้งแต่เปิดไพ่แล้ว"

"ชิ ไม่แน่ๆ คนอื่นอาจจะคิดว่าผมทำท่าเพื่อหลอกก็ได้"

เจพูดอย่างขัดใจ ฆาเบียร์ได้แต่โคลงหัวน้อยๆ ให้กับความดื้อของคนรัก



รถพาพวกเขาทั้งสองมายังหน้า Sands Casino ฆาเบียร์พาเจเดินเข้าที่ทางเข้าของโรงแรมฮอลิเดย์อินน์ โคไทและเดินเข้าไปที่ร้านอาหาร Rice Empire บริเวณชั้นหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับตัวคาสิโน คนตัวโตได้ชวนคนขับรถเข้ามากินข้าวด้วย หากชายหนุ่มที่ขับรถให้บอกว่าเขากินอะไรมาแล้วและขอรออยู่ที่บริเวณสวนในร่มของโรงแรม

"ไหน ขอดูหน่อยซิ ร้านอาหารที่คุณถึงขั้นติดใจกลับมากินบ่อยๆ น่ะ มีอะไรดีขนาดนั้นเลยเหรอ"

"มันก็ไม่ได้อร่อยอะไรขนาดนั้นหรอกน่า มันแค่โอเคสำหรับเวลาดึกๆ ขนาดนี้ เจอาจจะชอบที่ Noodle and Congee ของแกรนด์ ลิสบัวมากกว่าก็ได้"

"อืมม์ ก็ต้องลองดูครับ ไหน มีอะไรแนะนำบ้าง? คุณสั่งเลยนะ"

ฆาเบียร์พลิกๆ ดูเมนู ครั้งที่แล้วพวกเขามานั่งกินหม้อไฟเบาๆ กันสองคนกับอาปา แต่ดูท่าคืนนี้หม้อไฟน่าจะไม่เพียงพอสำหรับเจ้าจอมตะกละของเขา ส่วนตัวเขาเองก็ค่อนข้างหิวพอสมควร คนตัวโตเลือกๆ อาหารมาประมาณห้าอย่างกับติ่มซำอีกสองอย่างตามความเคยชิน

"เฮ้ๆ ไม่เยอะไปเหรอ คุณ? เดี๋ยวก็กินไม่หมดหรอก"

เจรีบเบรคคนตัวโตของเขา

"ปีศาจหิวโหยเข้าสิงหรือไง? สั่งเยอะเชียว"

"แล้วเจจะไม่ช่วยฉันกินเหรอ?"

"ก็กินได้อยู่ แต่คุณกลายเป็นคนกินเยอะแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แก้เขินที่ตัวเองเผลอสั่งเยอะโดยไม่รู้ตัว แล้วบอกว่าเขาสั่งจานแป้งแค่อย่างเดียวคือข้าวผัด ส่วนที่เหลือล้วนเป็นเนื้อและผัก ติ่มซำอีกสองเข่งนั้นก็ไม่ได้เยอะอะไร

"เอาเถอะๆ เอาที่คุณสบายใจแล้วกัน เดี๋ยวผมคอยเก็บที่เหลือให้ ถ้าผมพุงอืดจนขยับไม่ไหวในคืนนี้ก็อดไปนะคุณ"

เจพูดกลั้วหัวเราะ

"อ้าว งั้นฉันตัดอะไรออกดี?"

"ไม่ต้องตัดๆ ผมกินไหวน่า มะ ลองดู"



พวกเขานั่งคุยเล่นกันไปครู่หนึ่งอาหารก็ลงเสิร์ฟ เริ่มจากติ่มซำสองอย่าง อย่างแรกคือฮะเก๋ากุ้งแปะแผ่นทองรสชาติมาตรฐาน แต่เจชอบติ่มซำอย่างที่สองที่ฆาเบียร์สั่ง มันคือขนมจีบที่มีไข่หอยเม่นชิ้นน้อยๆ แปะมาด้วย ทั้งสองเข่งมาอย่างละสี่ชิ้นขนาดไม่เล็กนัก

"ไข่หอยเม่นสุกๆ นี่มันก็ใช้ได้เหมือนกันเนาะ"

เจเคี้ยวขนมจีบที่คนตัวโตป้อนให้อย่างมีความสุข เขาชอบรสหวานมันและกลิ่นคาวน้อยๆ ของไข่หอยเม่นจริงๆ

"อาหารที่ทำจากไข่หอยเม่นอร่อยที่สุดที่ผมเคยกินมาคือกราแตงไข่หอยเม่นที่ฮอกไกโดครับ"

เจเล่าถึงหอยเม่นอบครีมและชีสจานนั้นที่เขามีโอกาสได้ลิ้มลอง ฆาเบียร์มองใบหน้าน้อยๆ ที่เปล่งประกายแห่งความสุขแล้วก็อดไม่ได้ต้องดึงแก้มใสๆ นั้นอีกครั้ง เจนยุทธลูบแก้มของเขาแล้วบ่นพึมพำ

"คุณนะ ชอบแกล้งผมจริงๆ"

"อย่างอนเลยนะ mi alma ชิมนี่ก่อน"

ฆาเบียร์คีบไก่แช่เหล้าชิ้นสวยส่งให้อย่างเอาใจ​ เจบ่นอุบก่อนจะคีบไก่ชิ้นงามนั้นเข้าปาก

"อื้อหือ อร่อยนี่ หอมเหล้าจริงๆ แต่มันมีรสฝาดน้อยๆ ด้วย ใส่อะไรอีกนะ? รสมันคุ้นๆ อยู่"

เจมองที่จานไก่แช่เหล้าแล้วก็ต้องร้องอ๋อ ในจานไก่นั้นมีโสมต้นน้อยวางประดับมาด้วย

"ไก่แช่เหล้ากับโสมเหรอ? เข้าท่าดีนะ ผมชอบไก่แช่เหล้าของร้านแถวมาเก๊า-ฮ่องกงนี้มากเลย มันหอมเหล้าจริงๆ ของที่เชียงใหม่นะ ต่อให้ร้านดีแค่ไหนก็ได้กลิ่นเหล้าแค่จางๆ แต่ของที่นี่แทบจะเรียกว่าซดน้ำราดไก่แล้วเมาได้เลยอ่ะ"

ฆาบี้ใช้ช้อนตักน้ำราดไก่ขึ้นซดตามที่เจบอก

“หอมเหล้าจริงๆ ด้วย ถึงจะรสอ่อนกว่าของ Noodle and Congee แต่ก็เพราะมีรสโสมทำให้แปลกไปอีกแบบ”

“จานนี้เท่าไหร่นะคุณ”

“88+ ปาตากาสจ้ะ”

“อืมม์ ก็ไม่ถูกไม่แพง”

ถ้าเทียบกับเมืองไทยก็ถือว่าแพง แต่ถ้าเป็นมาตรฐานมาเก๊าก็ถือว่าใช้ได้

“ฉันว่าอาหารที่นี่ราคาใช้ได้ เอ้า ชิมเต้าหูนี่หน่อย"

ฆาเบียร์จิ้มเต้าหู้ก้อนน้อยทอดคลุกพริกป่นญี่ปุ่นและกระเทียมขึ้นมาเป่าให้หายร้อนและเอาวางใส่จานให้เจ เขาสั่งพวกอาหารกินเล่นมามากกว่าจะเน้นกับข้าว

“หือ? อร่อยเกินคาดเลยคุณ โห เต้าหู้นี้ได้กลิ่นหอมๆ ของถั่วเหลืองมากเลย เสียดายพริกรสอ่อนไปนิดนึง”



เจหันไปดูอาหารอีกอย่างที่มาในหม้อดิน

“แล้วนี่อะไรน่ะ คุณ?”

“มะเขือยาวอบหมูสับกับปลาเค็มในหม้อดินน่ะ ฉันยังไม่เคยสั่ง แต่อ่านจากเมนูแล้วดูน่ากินดี

“น่าจะคล้ายๆ กับที่เราชอบกินที่เหมยเจียงแหละครับ”

เจพูดถึงเมนูโปรดของพวกเขาที่เชียงใหม่ เขาลองคีบชิ้นมะเขือในหม้อมากิน

“ว้า…”

เจหลุดปากออกมา เขาหันไปหาฆาเบียร์ก็พบว่าคนตัวโตก็ทำหน้าปูเลี่ยนๆ อยู่เช่นกัน

“แทบไม่รู้รสปลาเค็มเลยเนาะ”

เจนยุทธเปรยเบาๆ คนรักของเขาพยักหน้า ฆาเบียร์ดูผิดหวังกับอาหารจานนี้เอาการอยู่

“เอาน่ะ สั่งอาหารตั้งหลายอย่าง พลาดซักอย่างสองอย่างจะเป็นไรไปครับ”

เจพูดปลอบคนตัวโตที่มีท่าทางเซ็งที่เลือกผิด จากนั้นเขาหันไปให้ความสนใจกับอาหารจานใหม่ที่บริกรเพิ่งนำมาเสิร์ฟ



“คุณ นี่มัน?!”

“เป๋าฮื้อกับปลาหมึกผัดซอสแรดิชเผ็ดจ้ะ”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ นี่คืออาหารจานที่ทำให้เขากลับมาที่นี่ เจตะลึงมองอาหารในจาน ถึงคนตัวโตจะว่าอาหารที่ร้านนี้ราคาโอเค เขาก็ยังรู้สึกว่าหลายๆ อย่างราคาสูงอยู่บ้าง แต่จานนี้เขากลับรู้สึกว่าไม่แพงเลย ในจานนั้นประกอบด้วยปลาหมึก ผักอย่างพริกหวาน บร็อคโคลี่ แครอท แต่ที่ทำให้เจตะลึงได้แก่ดาวเด่นของจาน มันคือเป๋าฮื้อขนาดเกือบเท่าไข่ไก่ 3 ตัว

“จานนี้มัน 400 ปาตากาสนิดๆ นี่คุณ ตอนแรกผมนึกว่าจะได้เป๋าฮื้อแผ่นหรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ อะไรงี้เสียอีก”

อาหารทำจากเป๋าฮื้อสดเป็นตัวๆ จานละประมาณ 1,600 บาทนี้ สำหรับเจนยุทธเขามองว่าราคาดีทีเดียว ถึงจะไม่ใช่เป๋าฮื้อขนาดใหญ่ แต่ไซส์นี้ในไทยก็ไม่ถูกนัก

“ที่เชียงใหม่นะ โจ๊กเป๋าฮื้อที่ได้เป๋าฮื้อแผ่นยังถ้วยละเจ็ดร้อยเลย ไอ้พวกเป๋าฮื้อน้ำแดงยิ่งแพงมหาศาล”

“นี่มันไม่แพงถ้าเทียบกับที่อยู่ในเป๋าฮื้อน้ำแดงเพราะมันเป็นเป๋าฮื้อสดด้วยน่ะ

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาคีบเป๋าฮื้อตัวใหญ่ที่สุดวางในจานของคนรัก คนที่ไม่ค่อยได้กินเป๋าฮื้อแบบแพงทำหน้างงๆ มองฆาเบียร์

“อ้าว แบบแห้งนี่มันแพงกว่าแบบสดมากเลยเหรอครับ”

คนตัวโตพยักหน้า

“ใช่สิ หอยเป๋าฮื้อที่ขายกันหลักหมื่นต่อกิโลน่ะคือหอยแบบแห้ง ยิ่งตัวใหญ่ยิ่งแพง ส่วนหอยสดราคาจะถูกกว่ามาก อาเหลียงเคยบอกฉันว่าพวกหอยแบบแห้งน่ะ เวลานำมาปรุงมันคือการวัดฝีมือของตัวเชฟเลยทีเดียว ถ้าทำไม่เก่งหรือทำไมดีก็จะไม่สามารถดึงรสอร่อยของมันออกมาได้ ก็ไม่ต่างจากกินยางลบเลย”

เจพยักหน้าหงึกหงักรับคำ เขาตัดแบ่งครึ่งเป๋าฮื้อตัวใหญ่ที่สุดที่ฆาเบียร์คีบใส่จานมาให้ จากนั้นคีบครึ่งหนึ่งวางคืนให้เมียตัวโตของเขา

“ตัวใหญ่ก็แบ่งกันคนละครึ่งสิครับ”

เจยิ้มหวานให้เมียตัวโตของเขา คนที่อยากให้คนรักได้กินของดีที่สุดโคลงหัว เจของเขานี่ดื้อจริงๆ เจคีบเป๋าฮื้อในจานขึ้นกัดกินอย่างมีความสุข ต่อให้มันไม่ได้นุ่มนวลชวนฝันเหมือนหอยเป๋าฮื้อแห้งที่เขาเคยมีโอกาสกินน่าจะแค่สองหรือสามครั้งในชีวิต แต่มันก็อร่อยเพียงพอแล้ว



“จะว่าไปคราวที่แล้วที่ผมมาฮ่องกงตอนคุณไม่สบายน่ะ ตอนที่คุณพาผมลงไปกินบุฟเฟต์ซีฟู้ดที่อินเตอร์คอน มันมีเป๋าฮื้อน้อยด้วยนี่นา ที่อยู่กับพวกซีฟู้ดเย็น นั่นก็หอยสด แต่ไม่ค่อยมีรสแล้วก็ออกเหนียวด้วย”

ฆาเบียร์ยิ้ม เขาจำได้ว่าเจ้าตัวเล็กตักเป๋าฮื้อขนาดใหญ่กว่าไข่นกกะทาเล็กน้อยมาเสียหลายตัว แล้วก็มาบ่นอุบว่าเหนียว เคี้ยวจนเมื่อยกรามไปหมด

“ของในบุฟเฟต์ก็เป็นแบบนี้แหละจ้ะ แต่ของวันนี้อร่อยใช่ไหม?”

“ครับ ตัวหอยไม่เหนียวเลย รสออกชัดด้วย แต่ที่ผมชอบคือนี่เลย ซอสแรดิช ผมว่ามันคือไฉ่โป๊วแน่ๆ เลย คุณจำได้ไหม ที่เคยกินในร้านข้าวต้ม ที่เอามาผัดกับไข่น่ะ”

เจเขี่ยๆ หัวผักกาดแห้งสีน้ำตาลที่ถูกสับจนเกือบละเอียดในจานเป๋าฮื้อผัดให้ฆาเบียร์ดูและพยายามอธิบายให้ฟัง

“เออ นั่นสินะ น่าจะใช่ แล้วคงเอามาผสมกับซอสพริก ฉันก็ชอบรสของมันนะ เข้ากับผักและอาหารทะเลมากเลย”

เจส่งเป๋าฮื้อเข้าปากและค่อยๆ เคี้ยวเพื่อซึมซับรสชาติ

“พูดถึงว่าเป๋าฮื้อสดมันถูกกว่าเนี่ย มิน่าล่ะคราวที่แล้วที่พี่นพไปเที่ยวออสเตรเลีย พี่แกถึงกลับมาเล่าว่าได้กินโจ๊กเป๋าฮื้อทุกเช้าจนเบื่อ ก็เพราะมันเป็นเป๋าฮื้อสดใช่ไหมครับ”

“ใช่จ้ะ ออสเตรเลียเป็นแหล่งผลิตเป๋าฮื้ออันดับต้นๆ ของโลก จีนกับเกาหลีคือที่หนึ่งและสอง แต่ว่าของจีนนั้นแค่กินในประเทศก็ 90% แล้ว แทบไม่เหลือส่งออก แต่ที่ดังและว่ากันว่าอร่อยจริงๆ ก็ต้องของเม็กซิโก แต่สำหรับฉันน่ะ หอยจะของที่ไหนฉันไม่ค่อยสนหรอก ฉันสนใจรสชาติของน้ำซุปมันมากกว่า”

“ผมก็ว่างั้น อาหารแห้งของจีนไม่ว่าจะพวกกระเพาะปลา รังนกหรือหูฉลามอะไรพวกนี้ ที่อร่อยน่ะ คือตัวซุปของมันมากกว่า”

“ใช่ หลังๆ มาฉันกับอาปาก็แทบไม่กินหูฉลามกับรังนกแล้วก็เพราะคิดเรื่องนี้นั่นแหละ เว้นแต่ว่าไปเลี้ยงแล้วลูกค้าสั่งมาหรือมีในอาหารจัดเลี้ยง คือในเมื่อตัวมันไม่ได้มีรสอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องกิน ไปกินอย่างอื่นแทนก็ได้…”

ฆาเบียร์เล่าให้คนตัวเล็กฟังว่าที่ฮ่องกงทุกวันนี้ตามร้านอาหารใหญ่ๆ หรือในโรงแรมหลายแห่งก็ไม่เสิร์ฟหูฉลามแล้ว อย่างในงานแต่งงาน หลายๆ ที่ก็ไม่มีหูฉลามให้ในแพ็คเกจแล้วเช่นกัน เพราะบ่าวสาวรุ่นใหม่นั้นไม่นิยมกินหูฉลามเนื่องจากกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติ และพวกเขาก็ไม่เชื่อในสรรพคุณทางยาที่ถูกอวดอ้างมาอีกต่อไป

“เออ เนาะ อย่างงานแต่งที่เราไปกันคราวที่แล้วก็ไม่มีหูฉลาม”

พวกเขาคุยไป กินไปเรื่อยๆ เจคีบหอยเป๋าฮื้ออีกตัวที่ขนาดย่อมลงมาใส่จานให้คนรักและคีบตัวสุดท้ายใส่จานตัวเอง เขาคีบปลาหมึกมากินต่อด้วยบร็อคโคลี่ เขาชมเปาะว่าผัดผักในอาหารจีนไม่ว่าจะเป็นผักอะไรก็อร่อย ฆาเบียร์พยักหน้าเห็นด้วย คนชอบกินผักอย่างเขามีความสุขทุกครั้งที่เจอผัดผักอร่อยๆ จะติดก็แค่มันใส่น้ำมันเยอะแค่นั้น



“ข้าวไหม?”

ฆาเบียร์เลื่อนอาหารจานข้าวเพียงอย่างเดียวที่เขาสั่งมาให้เจ

“เอ๋ ผมนึกว่าคุณสั่งข้าวผัดเสียอีก”

เจมองดูอาหารหน้าตาแปลกนั้น มันคือข้าวราดหน้าทะเล น้ำเหนียวๆ ที่ราดบนตัวข้าวนั้นเต็มไปด้วยซีฟู้ดอย่างกุ้ง ปลา ปลาหมึกและผักอย่างก้านคะน้าและแครอท ทั้งหมดหั่นเต๋าชิ้นไม่ใหญ่นัก นอกจากนั้นมันยังใส่ของที่เจมองว่าใช้กันจนเกร่ออย่างกังป๋วยฝอยมาจนจุใจ

“ก็นี่แหละ ข้าวผัด”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาตักมันใส่ถ้วยให้เจ เจนยุทธทำตาโตเมื่อเห็นว่าข้าวด้านล่างไม่ใช่ข้าวขาวแต่เป็นข้าวผัดไข่

“เฮ้ย มันเป็นข้าวผัดจริงๆ ด้วย ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากแบบนี้ด้วยครับ ราดบนข้าวขาวซะก็จบ”

เจพูดกลั้วหัวเราะ คนตัวโตหัวเราะออกมาด้วย

“นั่นสิ แต่เค้าคงอยากให้มันมีรสชาติมากกว่าแค่เป็นข้าวธรรมดามั้ง ฉันเห็นแบบนี้ในร้านอาหารจีนร้านอื่นเหมือนกัน ที่ใช้พวกน้ำราดหลายๆ แบบราดบนข้าว ข้าวผัดหรือบะหมี่น่ะ”

“ผมเคยเห็นคล้ายๆ แบบนี้ในอาหารญี่ปุ่น ที่เอาน้ำซอสเหนียวๆ ราดบนข้าวไข่เจียวหรือบะหมี่น้ำหน้าไข่เจียวครับ ถ้าจำไม่ผิด แบบที่เป็นข้าวจะเรียกว่า เทนชินฮัง”

"เหรอ? น่าจะเป็นในร้านราเมงหรือร้านอาหารจีนใช่ไหม?"

เจพยักหน้าตอบรับ


​(Rice Empire)
https://www.picz.in.th/images/2018/03/28/SHl7K1.jpg


ทั้งสองคนนั่งถกกันไปกินกันไป ไม่นานอาหารก็หมดยกเว้นมะเขือยาวอบที่ทั้งสองกินไปเกินครึ่งเพียงเล็กน้อย เจยิ้มอย่างแสนสุขและลูบพุงตัวเองเบาๆ

“ฮ้า อิ่มอร่อย ขอบคุณครับที่แนะนำร้านดีๆ ให้ผมอีกร้าน"

เจบอกว่าเมนูหม้อไฟก็น่าสน แต่เมื่อเห็นราคาแล้ว เขาคิดว่าเขากลับไปกินร้านสุกี้แถวบ้านเหมือนเดิมดีกว่า

"นี่คุณไม่อยู่หลายสัปดาห์ ผมกับพี่นพไปเจอร้านหม้อไฟก๋วยเตี๋ยวร้านใหม่ด้วยนะ ชื่อร้านบารอกัต เป็นร้านมุสลิม ไว้ถ้าคุณกลับบ้านคราวหน้าผมจะพาไปกิน รับรองว่าคุณต้องชอบแน่ๆ"

"ฉันคุ้นๆ เหมือนเห็นเจโพสต์ในเฟซบุ๊ค น่าสนใจเหมือนกันนะ ไว้คราวหน้าเราไปกินด้วยกัน"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงว่าพวกเขาคุยกันแต่เรื่องกินอีกแล้ว เขายีผมดำขลับของคนรักเล่นจนเจ้าตัวบ่นลั่น

"เรานี่คุยกันเรื่องกินอีกแล้วนะเจ นี่นายจะขุนฉันให้อ้วนจริงๆ ใช่ไหม?"

"อะไรๆ ผมไม่ได้บังคับคุณให้กินซักหน่อย อย่างวันนี้ตัวเองก็สั่งเองทั้งนั้น อย่ามาพาลโทษผมสิ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์บีบปากน้อยๆ ที่พูดเจื้อยแจ้วนั้นให้หยุดพูด ก่อนจะใช้นิ้วแตะเบาๆ บนกลีบปากสีชมพูและนำกลับมาแตะที่ปากตัวเอง เจหน้าแดงน้อยๆ และทำแบบเดียวกัน



"กลับห้องกันเถอะครับ ฆาบี้"

เจช้อนตามองคนรัก เขาใช้ปลายนิ้วไล้ริมฝีปากตัวเอง ฆาบี้หน้าแดงระเรื่อเมื่อรู้สึกถึงปลายเท้าเปลือยของเจที่เขี่ยไล้บนหลังเท้าของเขา เขารีบสั่งคิดเงิน รีบเซ็นบัตร ก่อนจะดึงคนรักให้ลุกขึ้น

ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักเดินอ้าวมาที่สวนดอกไม้ในร่มของคาสิโน เขาหาคนขับรถจนเจอแล้วพาเจมายืนรอรถอยู่ใกล้ๆ ประตู

"ไปยืนรอข้างนอกก็ได้คุณ"

เจนยุทธบอกคนรัก เขาไม่ได้บอบบางจนทนอากาศหนาวไม่ได้ถึงขนาดนั้น

"ไม่ได้ๆ ตอนนี้เครื่องอุ่นแล้ว ฉันไม่อยากต้องตัวเย็นกลับไปแล้วมาอุ่นเครื่องใหม่อีกรอบ"

"ไม่ใช่แล้วมั้ง?"

เจทุบเบาๆ ที่หลังคนตัวโตที่ส่งสายตาหวานเยิ้มให้เขา ไอ้คำว่าเครื่องอุ่นเครื่องเย็นของฆาเบียร์นี่ มันมีความหมายไปในทางเรื่องบนเตียงอย่างชัดเจน

"พอๆ ไม่ต้องคุยแล้ว รถมาแล้ว ขึ้นรถแล้วห้ามลวนลาม โอเค๊? ไม่งั้นจะอดทั้งคืน"

ฆาเบียร์ยกสองนิ้วสัญญากับคนรัก พวกเขาพากันขึ้นรถเพื่อกลับไปยังที่พักของตน



------------------------------------------


บอกไว้ก่อนกันลืม ตอนหน้าอาจจะอัพช้าหน่อยนะคะ เพราะว่าสุดสัปดาห์นี้ต้องลงไปทำธุระที่กทม. กลับเชียงใหม่วันจันทร์ อาจจะเขียนตอนหน้าจบไม่ทันลงไป ถ้าไม่ทันก็จะมาอัพช่วงต้นๆ สัปดาห์หน้าเลยค่ะ


ตอนนี้พาไปดูน้ำพุ ไม่มีรูปของจริงให้ดู เพราะรอบที่แล้วที่ไปมาไม่ได้ไปยืนดูใกล้ๆ อาศัยดูจากหน้าต่างห้องโรงแรมที่ไปพักซึ่งมองเห็นโรงแรม Wynn Palace แต่ก็ไม่ได้ใกล้พอที่จะได้ยินเพลงหรือถ่ายรูปออกมาได้สวยค่ะ ที่เคยไปยืนดูใกล้ๆ ก็ที่โรงแรม Wynn Macau ฝั่งเมืองเก่า แต่ความอลังการน้อยกว่านี้เยอะมาก ถ้าใครได้ไปมาเก๊าก็อย่าพลาดนะคะ มีแสดงหลายรอบและมีหลายชุดให้ดู แต่ละเพลงที่เปิดก็จะเป็นโชว์คนละชุดกันค่ะ

น้ำพุเต้นระบำที่ Wynn Palace https://goo.gl/W6vFyD

ที่มาเก๊ามีโชว์ฟรีให้ดูหลายที่ค่ะ ที่ดังๆ ก็มีนางเงือก ที่ City of Dream น้ำพุที่ Wynn Palace และ Wynn Macau ต้นไม้แห่งความมั่งคั่งและมังกรนำโชคที่ Wynn Macau พวกที่เสียตังค์อย่างโชว์แพงสุดอลังการอย่าง The House of Dancing Water ก็คุ้มดู และมักจะมีการจัดโปรโมชั่นซื้อห้อง+โชว์ในราคาพิเศษ ติดตามได้จากทางเว็บไซต์ของโรงแรมค่ะ ที่ซิตี้ออฟดรีมส์ยังมีโชว์ที่สมัยก่อนเคยฟรีอย่าง Dragon's Treasure แต่ตอนนี้ต้องเสียตังค์แล้วประมาณ 50 ปาตากาส เว้นแต่เอาใบเสร็จซื้อสินค้าหรือบริการจากในซิตี้ออฟดรีมส์ราคาเกิน 200 ปาตากาสไปโชว์ก็จะได้ตั๋วฟรีมา คนเขียนยังไม่เคยไปดูเองเพราะเวลาไม่ได้ แต่คนที่ไปดูทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคุ้มไปดูจริงๆ ค่ะ

รวมโชว์ฟรีและไม่ฟรีที่มาเก๊า อาจจะไม่ครบทั้งหมดและไม่รวมโชว์ที่หมุนเวียนไม่ถาวรค่ะ https://goo.gl/9aUCpt

ต่อด้วยเรื่องอาหาร ในมาเก๊ามีร้านอาหารที่เปิด 24 ชั่วโมง หรือว่าปิดดึกๆ ไว้รองรับนักพนันมากมายหลายร้าน และโดยมากมักจะราคาสมเหตุผลและรสชาติใช้ได้ ร้าน Rice Empire ของแซนด์สก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ ถ้าหิวดึกๆ ก็แวะได้ค่ะ แต่ราคาก็จะเป็นมิตรต่อกระเป๋าน้อยกว่า Noodle and Congee ที่ฝั่งมาเก๊าค่ะ

ห้องอาหาร Rice Empire ของแซนด์สค่ะ https://goo.gl/Awk2cT

เมนูอาหารของ Rice Empire https://goo.gl/YsZM1n




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Mandarin House ----




“ฆาบี้ ฆาเบียร์ครับ ใจเย็นๆ!”

เจเรียกชื่อคนรักด้วยเสียงแหบพร่า

“ไม่ เจ ฉันจะไม่ทนแล้ว”

เสียงทุ้มแหบที่กระซิบอยู่ข้างหู อีกทั้งริมฝีปากที่ขบเม้มใบหู ลมหายใจร้อนๆ และมือใหญ่ที่สัมผัสเร้าไปทั่วกายทำให้เจอ่อนระทวย เขาพยายามฝืนใจดันร่างใหญ่ที่ทาบทับร่างเขาอยู่บนโซฟา

“คุณครับ อย่างน้อยก็ไปที่เตียงเถอะ”

คนตัวโตทำท่าขัดใจและยังคงไม่ยอมขยับ

“เจ ฉันอยากได้นายแล้ว ขอฉันเถอะ”

เจส่ายหน้า เขาตบแก้มตอบที่เริ่มมีเคราขึ้นเขียวนั้นเบาๆ

“ไม่ ฆาบี้ ถ้าผมปล่อยคุณตอนนี้ คุณต้องทำผมเจ็บแน่ๆ คุณต้องใจเย็นๆ ก่อน”

ฆาเบียร์อึ้งไป เขารู้ตัวเองดี เขาสงบลงและนอนซบหน้าลงบนอกของคนรัก เจกอดร่างกำยำของเมียตัวโตของเขาไว้แนบอกและลูบหลังเบาๆ ฆาบี้นอนสงบสติอารมณ์อยู่แบบนั้นครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา

“งั้น…อาบน้ำอาบท่าอะไรก่อนก็ได้”

เมียตัวโตของเจยันกายลุกขึ้นนั่งและถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจลุกขึ้นตาม แต่เขากลับขยับกายลงนั่งคุกเข่าที่หว่างขาคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มออกมาได้

“ให้ผมช่วยคุณระบายก่อนรอบนึงนะ”

ฆาบี้ลูบหัวคนที่เงยหน้าทำตาแป๋วมองและยิ้มให้เขาอย่างน่าเอ็นดู เขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเจปลดกระดุมกางเกงยีนส์และปลดปล่อยแท่งลำที่แข็งแทบระเบิดของเขาออกมา



“คุณมี rubber ไหม ผมไม่อยากทำโซฟาเขาเปื้อน”

คนตัวโตชี้ไปที่กระเป๋าหน้าของกระเป๋าคอมของเขา

“ในนั้นน่าจะมีติดไว้นะ”

คนตัวโตพูดอ้อมแอ้ม เจตวัดสายตาดุๆ ใส่คนที่ถึงขั้นต้องพกถุงยางไว้ในกระเป๋าทำงาน

“เป็นนิสัยตั้งแต่เมื่อก่อนจ้ะ ตั้งแต่เจอเจ ฉันไม่เคยได้เปิดมันมาใช้กับใครอีกเลยนะ”

คนตัวโตรีบตอบ เจล้วงมันออกมาดู

“ชิ! นี่พกทีเป็นกล่องเลยเหรอ? ไหนว่ามีใช้ตอนฉุกเฉิน กะฉุกเฉินกี่รอบกันหือ?”

เจจิ๊ปากเบาๆ เมื่อก้มลงมองในกระเป๋าแล้วเจออีกสองกล่อง เขาอดหัวเราะไม่ได้เมื่อหันมาเจอบางส่วนที่หดเหี่ยวลงเมื่อโดนเขาดุ เขาลงมือนวดเฟ้นมันอีกครั้ง

“ผมไม่ได้จะว่าอะไรน่า มีติดไว้ก็ดี เผื่อมันฉุกเฉินจริงๆ อย่างน้อยก็มีใช้”

คนที่ยังติดนิสัยพกอุปกรณ์ป้องกันติดกระเป๋าเช่นกันหัวเราะน้อยๆ เขาจูบเบาๆ ที่ปลายแท่งลำ เขาขบเม้มและจูบไล่ลงไปจนถึงโคน จากนั้นใช้ลิ้นเลียลากกลับขึ้นมาสู่ส่วนปลาย ฆาเบียร์ครางออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นและชุ่มชื้นของโพรงปากคนรัก

“ซี้ด ดีจ้ะ แบบนั้นแหละ”

เจกระตุ้นเร้าแท่งลำคนรักจนถึงระดับหนึ่งแล้วจึงฉีกซองฟอยล์ออกและสวมเครื่องป้องกันบางเฉียบนั้นให้คนรัก เขาไม่ชอบรสชาติของมันนัก แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้มันเลอะเทอะ เขาลงมือปรนนิบัติคนรักต่อ ฆาเบียร์นั่งเอนหลังพิงพนักโซฟา มือใหญ่ของเขาลูบเรือนผมดำขลับของคนที่กำลังกลืนกินเขาเข้าไป เขามองปากน้อยๆ ที่ขยับขึ้นลงอย่างชำนาญ เขาสูดปากลั่นและเผลอขยุ้มผมดำขลับ เขายังเสยสะโพกเข้าใส่ปากสวยๆ นั้นเมื่อเจตวัดลิ้นวนรอบส่วนปลายและดูดกลืนแก่นกายเขาอย่างหนัก

“เอาๆ อ่อยๆ”

'เบาๆ หน่อย'


คนตัวเล็กตบสะโพกคนรัก เมื่อคนตัวโตกดหัวเขาและเสยแก่นกายใส่ปากเขาถี่ยิบ ฆาเบียร์รีบดึงมือออกจากหัวเจนยุทธและปล่อยให้เจเป็นคนจัดการเอง

“เก่งใหญ่แล้วนะ แอบไปฝึกกับใครมาหรือเปล่า”

คนตัวโตกระเซ้าคนรัก ผลก็คือต้องร้องลั่นเพราะโดนเจแกล้งเอาฟันงับส่วนบอบบางเบาๆ เจเร่งสลับผ่อนเมื่อเห็นคนตัวโตใกล้ถึง เขาอยากแกล้งฆาเบียร์อีกสักหน่อย ฆาเบียร์ร้องครางลั่นเมื่อใกล้ถึงฝั่งฝันแต่เจกลับมาหยุดกะทันหัน

“เจ อย่าแกล้งฉันสิ ปล่อยๆ ให้มันออกมาเถอะ ฉันจะตายอยู่แล้ว”

คนตัวโตโอดครวญ เจแกล้งไม่ยอมปล่อยให้เขาเสร็จง่ายๆ เขาอยากจะกระแทกแก่นกายเข้าปากน้อยๆ นั้นเสียเหลือเกินแต่ก็กลัวคนตัวเล็กจะเคือง ก็ต้องปล่อยให้เจเล่นสนุกกับไอ้เจ้าลูกชายของเขาต่อไป



คนตัวโตสบถออกมาเบาๆ เมื่อเสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น ตอนแรกเขาทำท่าจะไม่รับแต่ผลคือเจหยุดปากและชี้ให้เขารับมัน

“มีอะไร?!”

เขาแทบจะตวาดใส่ปลายสายด้วยความหงุดหงิด เจยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงที่เหมือนจะกลั้นหัวเราะอยู่ของเมลิน่าลอดออกมา

“ขอโทษที่รบกวนค่ะ เฆเฟ่ แต่ทางสำนักงานใหญ่โทรมาบอกว่าอีกแป๊บนึงจะส่งสัญญาณมาขอคุยด้วยเพื่อรายงานผลค่ะ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาอยากบอกไปว่าไม่สะดวกแต่ก็ทำไม่ได้

“จะให้ฉันขึ้นมาจดโน้ตอะไรด้วยไหมคะ?”

เมลิน่าถาม ฆาเบียร์รีบปฏิเสธและบอกว่าเดี๋ยวเขาจะจัดการเอง เลขาสาวรับทราบและจบการสนทนาไป ฆาเบียร์ลุกขึ้นไปนั่งที่โต๊ะทำงานและจัดการเปิดคอมซึ่งเขา hibernate ไว้ เจเดินมายืนเกาะบ่าคนรัก

“ไม่ให้เมลิน่าขึ้นมาช่วยจริงๆ อ่ะ?”

“อืมม์ ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างถ้าเมลิน่าอยู่ฉันก็ทำแบบนี้ไม่ได้สิ…”

เขาดึงเจมานั่งตักและจูบอย่างหนักหน่วง เจใจเต้นเมื่อเห็นแววซุกซนในตาคนรัก

“Oh...Jefe, are you thinking of something dirty again?”

“นายครับ คุณคิดอะไรลามกอีกแล้วสิ”


เจหยิบแว่นสายตากรอบดำของฆาเบียร์ที่วางบนโต๊ะมาใส่และพยายามทำหน้าเคร่งขรึม เขาปัดป้องการสัมผัสของคนรักและทำท่าเอียงอาย

“ไม่ได้นะครับ เฆเฟ่ นี่มันที่ทำงาน”

ฆาเบียร์ใจสั่น เจทันเขาดีจริงๆ เขาจูบคนรักที่แกล้งทำตัวเป็นลูกน้องที่ถูกลวนลามหนักๆ อีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะทันซุกซนอะไรอีก เสียงเรียกเข้าจากในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คก็ดังขึ้น เจทำท่าจะผละไป แต่ฆาบี้รั้งแขนคนรักไว้และมองด้วยแววตาเว้าวอน เจมองหน้าคนตัวโตอย่างรู้ทัน

“ไหวเหรอ?”

เจถามเบาๆ ฆาเบียร์พยักหน้าพร้อมยิ้มอย่างมั่นใจ

“อืมม์ ประชุมแป๊บเดียว นายอย่าปล่อยให้ฉันค้างเลยนะ ช่วยฉันที”

“Please...”

คนตัวโตพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เจโคลงหัวน้อยๆ และทรุดตัวลงนั่งใต้โต๊ะ เขาแพ้สายตาออดอ้อนของคนตัวโตแบบนี้จริงๆ มันทำให้เขานึกถึงไอ้หมาหมูโรซ่า ฆาเบียร์กดเริ่มการสนทนา เขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเจบีบส่วนบอบบางของเขาเบาๆ แต่ก็ยังปั้นยิ้มคุยต่อไปได้ ทางปลายสายรายงานถึงความคืบหน้า ฆาเบียร์สนทนากับทางปลายสายไปพร้อมกับสะกดกลั้นความรู้สึกไป เขาได้แต่ภาวนาว่าทางปลายสายจะไม่สัมผัสถึงลมหายใจที่หอบถี่กว่าปกติของเขา อีกทั้งเหงื่อเย็นๆ ที่ซึมตามขมับ เจนยุทธใช้มือสลับกับปากปลุกอารมณ์คนรักไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ หูเขาคอยฟังตามไปด้วย ถ้าช่วงที่ฟังดูสำคัญและต้องมีการโต้ตอบกัน เจก็หยุด ฆาเบียร์เหลือบตามองดูคนรักของเขาเป็นระยะๆ อย่างรู้สึกผิด แต่เจของเขายังคงแย้มยิ้มกลับมาให้แม้การสนทนานั้นจะยาวกว่าที่คิด



"อ๊ะ!"

ฆาเบียร์สะดุ้งน้อยๆ และเผลอทำเสียงออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจเมื่อเจนยุทธแกล้งเขาเล็กๆ ด้วยการส่งนิ้วเข้ารุกล้ำปากช่องทางด้านหลังของเขา ทางปลายสายถามเขากลับมาทันที

“มะ…ไม่มีอะไรครับอาปา ผมแค่นึกได้ว่าลืม เอ่อ ลืมปลุกเจมาดูบอล”

เจปิดปากหัวเราะคิกคักอยู่ใต้โต๊ะเมื่อได้ยินข้อแก้ตัวมั่วซั่วของคนตัวโต จริงๆ การสรุปงานนั้นจบไปแล้ว แต่ท่านประธานหรืออาปาของพวกเขาซึ่งมานั่งฟังการสรุปงานอยู่ด้วยเกิดอยากคุยกับลูกชายของเขาขึ้นมา ฆาบี้เลยจำต้องคุยต่อ

“เออ ดี ปลุกเจมาก็ดี อาปาก็คิดถึงและอยากคุยกับเจด้วยเหมือนกัน ไปสิไปปลุกเจซะ”

คริสยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงลูกชายคนใหม่ของเขา

“เอ่อ อ่า เขาน่าจะหลับสนิทไปแล้วครับ วันนี้เห็นว่าเพลียมาก”

เจโคลงหัวเมื่อได้ยินพ่อเจ้าประคุณพูดเรื่องที่ขัดกับเรื่องที่บอกไปเมื่อกี้ออกมา ตกลงพี่แกจะปลุกเขาดูบอลหรือปล่อยเขานอนหลับเพราะเพลียกันแน่ ทางปลายสายก็เหมือนจะสงสัยอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเห็นสายตาหลุกหลิกที่คอยมองใต้โต๊ะของลูกชาย

“อืมม์ อย่างนั้นอาปาฝากบอกด้วยล่ะว่าอาปาคิดถึง…”

คริสพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกเล็กน้อย เจหน้าแดงซ่าน อาปาคงรู้แล้วแน่ๆ ฆาเบียร์จ้องใบหน้าที่ยิ้มละไมของคนที่มักรู้ทันเขาด้วยความจนปัญญา

“แล้วพวกเราน่ะ อย่าหักโหมมากนัก พักผ่อนกันบ้าง ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะ”

คริสพูดกลั้วหัวเราะ ฆาเบียร์ได้แต่อ้อมแอ้มตอบรับไปด้วยท่าทีเขินอาย

“โอเค งั้นอาปาไม่กวนแล้วนะ ฝันดีนะ ฆาบี้ ลูกก็ด้วยนะ เจ นอนหลับฝันดีล่ะ”

คนตัวเล็กที่อยู่ใต้โต๊ะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงที่จงใจพูดดังให้เขาได้ยินนั้น ฆาเบียร์หน้าร้อนวาบแต่ก่อนที่จะทันตอบอะไรคริสก็ตัดการสนทนาไป



“โอ๊ย รู้ทันทุกทีสิน่า”

ฆาเบียร์เกาหัวอย่างหงุดหงิดเล็กๆ เจปล่อยก๊ากออกมาเมื่อเห็นทีท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนรัก แม้กับคนอื่นฆาเบียร์จะดูเคร่งขรึมเป็นการเป็นงานแค่ไหน ต่อหน้าอาปาเขาก็ยังคงรู้สึกเหมือนเป็นหนุ่มน้อยฆาบี้เสมอ​

“คุณถึงเล่นโป๊กเกอร์แพ้อาปาทุกทีไง อ้าปากทีอาปาก็เห็นลิ้นไก่คุณหมดแล้ว”

เจขยับตัวลุกจากพื้นช้าๆ เขาเซเล็กน้อยเพราะเหน็บชา คนตัวโตดึงเจนยุทธมานั่งตักแล้วตระกองกอดอย่างนุ่มนวล เขาไม่ได้ตะโบมจูบและลูบคลำอย่างละโมบเหมือนเมื่อครู่ แต่เขาเพียงอยากสัมผัสไออุ่นจากกายคนรักเท่านั้น เจลูบหลังคนตัวโตเบาๆ

“จบงานในคืนนี้จริงๆ แล้วใช่ไหมครับ?”

คนตัวโตที่ซุกหน้าลงกับอกเจนยุทธพยักหน้าน้อยๆ

“จะทำต่อไหม?”

เจถามตรงๆ ฆาเบียร์ส่ายหน้าเบาๆ อารมณ์ใคร่ที่คุกรุ่นอยู่เมื่อสักครู่ของทั้งสองดับลงไปหมดแล้ว

“...งั้นอาบน้ำอาบท่าเตรียมเข้านอนกันดีกว่า ตีอะไรแล้วเนี่ย?”

เจยกนาฬิกาขึ้นดู ตีสองกว่าแล้ว เขาดันตัวออกจากอ้อมอกกว้างที่ดูจะยังไม่อยากให้เขาไปนัก เจเดินไปทำอะไรกุกกักที่บาร์ในห้อง ฆาเบียร์จัดการรูดเครื่องป้องกันที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ออกจากตัว ก่อนจะลุกขึ้นและสลัดกางเกงยีนส์ตัวสวยที่ถอดคาไว้ที่เข่าออกจากตัว เขาเดินไปกอดคนรักจากด้านหลังและพรมจูบที่ลาดไหล่

“ทำอะไรจ๊ะ? ไหนว่าจะอาบน้ำ”

เจหันมารับจูบ ก่อนจะยกแก้วบรั่นดีสองใบในมือให้ดู

“เอาไว้จิบตอนแช่น้ำครับ คุณไปเปิดน้ำใส่อ่างหน่อยสิ อ่างของที่นี่ใหญ่ น่าจะนานหน่อยกว่าจะเต็ม”

ฆาเบียร์ทำมือตะเบ๊ะรับคำสั่งและรีบเดินเข้าห้องน้ำไป เจเก็บขวดคอนญัคราคาเรือนแสนนั้นไว้ในกล่องเหมือนเดิมแล้วถือแก้วใส่ของเหลวสีอำพันเข้มเข้าไปในห้องน้ำ เขาวางแก้วไว้ที่ซิงค์น้ำและถอดเสื้อผ้าออก ร่างเปลือยของเจนยุทธเดินเข้าส่วนอาบน้ำและเข้าไปโอบรัดร่างกำยำที่ยืนนิ่งๆ ท่ามกลางสายน้ำอุ่นที่ตกซัดสาดกาย ฆาเบียร์หันกลับมากอดเจ้าตัวเล็กไว้แนบอก เขาหอมเรือนผมดำขลับที่ไม่ค่อยหอมแล้วและทำจมูกย่น

“มานี่ ฉันสระผมให้”

เจหัวเราะแหะๆ แล้วก้มหัวน้อยๆ ให้ฆาเบียร์จัดการฟอกแชมพูลงบนหัว



“มีคนสระผมให้นี่สบายจริงๆ น้า”

เจพึมพำออกมา ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ

“งั้นฉันจะสระผมให้นายตลอดชีวิตเลยนะ เจ”

คนตัวเล็กหันมายิ้มจนตาหยีให้คนรักและพยักหน้าตอบรับ

“อย่าอู้งานแล้วกัน โอเค้? เอ้า นั่งสิ เดี๋ยวผมสระให้ด้วย”

ฆาเบียร์นั่งลงบนแท่นหินอ่อนซึ่งติดอยู่กับผนัง เจสระผมสีน้ำตาลยาวสลวยของฆาเบียร์อย่างเบามือด้วยแชมพูและครีมนวดผม

“ผมชอบผมของคุณจริงๆ นะ ฆาบี้ ห้ามตัดสั้นเลยนะ”

เจใช้นิ้วสางผมสีน้ำตาลยาวปรกคอและนวดหัวคนรักเบาๆ

“อืมม์ ดีจ้ะ เกาตรงนี้อีกนิด อ๊ะ อ๊า ดี”

คนตัวโตครางเบาๆ ออกมา เจหยุดเกา แล้วเกาหัวตัวเองแกรกๆ แทน

“เดี๋ยว คุณ ไอ้ครางแบบนี้มันใช่สบายเพราะโดนนวดหัวจริงอ่ะ?”

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ อย่างเจ้าเล่ห์ สายตาแพรวพรายของคนตัวโตทำให้เจใจละลาย เขาเข้าใจข้อความของคนรักดี

“เอ้า ลุกๆ ผมจะล้างหัวล้างตัวให้”

เจล้างตัวให้คนที่ลุกแล้วเดินพรวดเข้ามาหาจนอกแนบกับอกเขา เจตีบางส่วนที่ทิ่มหน้าท้องเขาอยู่

“พอเลย ไม่ต้องเอามาเทียบขนาดกันเลย งอนโว้ย!”

เจปัดมือคนตัวโตที่กอบกุมส่วนสงวนของเขาที่เริ่มพองตัวไปเทียบเคียงคู่กับของของตัวเอง ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ แต่กลับเริ่มนวดเฟ้นแก่นกายของเจจนขยายเต็มที่ เจหลับตาซี้ดปากด้วยความเสียว

“ไม่ได้ต่างกันเยอะซักหน่อยน่า จะน้อยใจทำไม เจ?”

“ต่างกันเห็นๆ ไม่ต้องมาเอาใจผมเลย”

คนตัวเล็กก้มมองด้วยความน้อยใจ ถึงเขาจะมั่นใจว่าตัวเองเกินมาตรฐานชายไทยมาพอสมควรก็ตาม แต่ม้าไทยก็ย่อมสู้ม้าเทศไม่ได้อยู่ดี ยิ่งพ่อม้าของเขานั้นเรียกได้ว่าก็เกินมาตรฐานฝรั่งไปพอดูก็ยิ่งเห็นความต่าง เขาดันคนรักออกห่างและล้างฟองสบู่กับแชมพูออกให้จนหมด



“ลงน้ำกันเถอะ ฆาบี้ จวนเต็มแล้ว”

เจดึงมือคนรักมายังอ่างหินอ่อนทรงกลมที่อยู่กลางห้องน้ำ เขาตัดสินใจยังไม่ดื่มคอนญัคเพราะกลัวจะปัดแก้วตกแตกระหว่างแช่น้ำ ฆาเบียร์ก้าวลงไปในอ่างก่อนแล้วถึงให้เจจับตัวเขาเป็นหลักเพื่อก้าวลงมาตาม เจบ่นพึมพำถึงความสูงของขอบบ่อ เขาค่อยๆ ทิ้งตัวลงในน้ำ ความร้อนที่พอเหมาะทำให้เขาครางเบาๆ ออกมาเพราะความรู้สึกสบายตัว ฆาเบียร์ขยับให้คนรักมานั่งพิงอกกว้างของเขา เจใช้ฟองสบู่ที่ลอยฟ่องอยู่เต็มอ่างถูไล้ตามแขนและช่วงตัวของตัวเอง แล้วหันไปถูแขนให้คนตัวโตบ้าง

“ที่จริงไม่ต้องใส่ bath gel ก็ได้นี่นา เมื่อกี้เราก็อาบน้ำกันแล้ว”

เจบ่นเบาๆ แบบนี้พอขึ้นจากน้ำ พวกเขาก็ต้องล้างตัวกันอีกรอบอยู่ดี

“ก็มันหอมดี...แล้วอีกอย่าง มันก็ลื่นดีด้วย”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ คนตัวเล็กอุทานลั่นเมื่อรู้สึกถึงการล่วงล้ำที่ช่องทางด้านหลังของตัวเอง นิ้วเรียวยาวของคนรักค่อยๆ ชำแรกเข้าไปในทางคับแคบนั้น เจหลับตาและซี้ดปากออกมาเบาๆ

“แน่นจริง”

คนตัวโตบ่นอุบอิบ ถึงจะผ่านศึกหนักมาเมื่อคืนและเมื่อเช้า มันก็ยังไม่ง่ายที่จะรุกล้ำเข้าสู่ช่องทางที่จะนำเขาสู่สวรรค์ มืออีกข้างของเขากระตุ้นเร้าที่แท่งลำของเจนยุทธ

“ไหนว่าจะไม่ทำไง”

“ก็ตอนนี้มันอยากแล้ว…ขอฉันนะ Mi vida”

เจหันไปจูบปากบางที่ยิ้มพรายนั้นแทนคำตอบ



“อูย คุณครับ ตรงนั้นแหละ”

เจสะท้านกายเฮือกเมื่อนิ้วของฆาเบียร์สัมผัสเข้ากับจุดหฤหรรษ์ เขาครางออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาหันหน้าไปโน้มคอคนรักมาประทับจูบอันเร่าร้อนให้ ฆาเบียร์จูบตอบ ลิ้นของพวกเขาเกี่ยวเกาะและหยอกล้อไล้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร เจขยุ้มกลุ่มผมสีน้ำตาลสลวยด้วยความเสียวซ่าน เขาผละออกและส่งเสียงครางออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อฆาเบียร์ส่งนิ้วที่สามเข้าไปรุกล้ำช่องทางของเขา

“ฆาบี้ครับ มาเถอะ เร็วๆ มา...ผม”

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มเมื่อคนรักกระซิบคำหยาบโลนใส่หูของเขา นานๆ ทีเจจะใช้ F word แบบนี้ที มันแสดงว่าอารมณ์ของเจพลุ่งพล่านจนถึงขีดสุดแล้ว เขาหยิบเจลที่เตรียมไว้ตั้งแต่ตอนเข้ามาในห้องน้ำ จากนั้นดันตัวเจขึ้นให้ยืนโก้งโค้งโดยมีสะโพกลอยเด่นขึ้นเหนือน้ำ เจสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงปลายลิ้นร้อนๆ ที่กวาดไล้ที่ปากทางแคบของเขา ฆาเบียร์ใช้ทั้งนิ้วและลิ้นในการเตรียมช่องทางของคนตัวเล็กของเขา เมื่อรู้สึกได้ว่าเจพร้อมแล้ว เขายันกายลุกขึ้น ชะโลมแก่นกายของตนด้วยเจลลื่น เขาป้ายปากช่องทางของเจด้วยเจลก่อนจะใช้นิ้วส่งมันเข้าในช่องทางสีชมพู เจรู้สึกอุ่นวาบภายใน เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อนิ้วถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่ใหญ่กว่ามาก

“เจ ผ่อนคลายหน่อยจ้ะ”

คนตัวโตตบสะโพกคนรักเบาๆ ช่องทางของเจรัดแน่นจนเขาแทรกกายเข้าไปแทบไม่ได้ เขาใช้มือสัมผัสเขี่ยไล้เม็ดทับทิมคู่งามบนอกของคนรักเพื่อกระตุ้นให้เจผ่อนคลาย ฆาเบียร์ค่อยๆ ดันกายเข้าในช่องทางที่รัดรึง เขาซี้ดปากลั่นเมื่อเจนยุทธดันสะโพกมาด้านหลัง

“เข้าหมดหรือยัง?”

เจถามเสียงอ่อยๆ เขารู้สึกแน่นตึงไปหมด ฆาเบียร์ขบกรามแน่นไปกับความคับแน่นนั้น เขาเริ่มขยับเบาๆ เจร่อนสะโพกรับตามจังหวะ เสียงครางและหอบหายใจน้อยๆ เริ่มดังขึ้น คนตัวโตเหนี่ยวสะโพกของคนรักเข้ามาทำให้เกิดเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้องน้ำกว้างนั้น

“เจ อูย นายนี่มันเยี่ยมจริงๆ”

ฆาเบียร์ครางกระเส่า ภายในอันร้อนผ่าวของเจนั้นตอดรัดแก่นกายเขาอย่างดีเยี่ยม เขาดึงตัวเจเข้ามาให้หลังแนบอกและลงนั่งขัดสมาธิกับก้นอ่างที่เขาระบายน้ำออกไปบ้างแล้ว เจขยับกายเด้งขึ้นลงกับตักคนรักอย่างเมามัน เขาเสียวจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว

"อา ฆาบี้ครับ ผมเสียว เสียวมากเลย"

เจครางลั่น เขากระแทกกายลงอีกไม่กี่ครั้งก็หยุดนิ่งและตัวสั่นสะท้านเหมือนกำลังสะกดกลั้นบางอย่าง คนตัวโตยิ้มน้อยๆ เขา ยื่นมือไปรูดไล้แก่นกายของเจนยุทธซึ่งมันก็ฉีดพ่นน้ำขาวขุ่นออกมา เจหอบหายใจหนักๆ เขาตัวอ่อนระทวยซบกับอกคนรัก ฆาเบียร์จูบแผ่วๆ ที่แก้มของคนตัวเล็กที่หอบหายใจถี่อยู่ในอ้อมอก

"เจ ฉันจะต่อแล้วนะ"

คนตัวโตกระซิบเสียงแหบพร่า เจพยักหน้าน้อยๆ เขาอุทานออกมาเมื่อคนตัวโตยกกายเขาขึ้นน้อยๆ และพลิกให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน เจสบตากับคนทีี่นั่งอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ยิ้มกริ่มของฆาบี้ชวนให้เขาหมั่นไส้เล็กๆ เจกระแทกกายหนักๆ ลงบนแท่งลำที่ยังแข็งเกร็งอยู่ ฆาเบียร์ครางลั่น

"แกล้งฉันเหรอ? หือ?"

เขาตะปบมือลงบนบั้นท้ายแน่นของเจอย่างมันเขี้ยว เขาช้อนมือเข้าใต้สะโพกของคนตัวเล็กแล้วยกร่างเพรียวนั้นขึ้น เขาวางร่างคนรักพาดขอบอ่างและซอยสะโพกถี่ยิบ เจใช้มือยึดขอบอ่างไว้เพื่อรับแรงกระแทก เขาครางกระเส่าเมื่อแท่งลำของคนรักกระแทกย้ำๆ เข้าที่จุดเสียว ฆาเบียร์หลับตาพริ้มและส่งแก่นกายเข้าช่องทางแคบเล็กของคนรัก เขาสูดปากอย่างสะใจ



"ฆาบี้ครับ เปลี่ยนท่าเถอะ"

เจหอบหนักๆ และประท้วงขึ้น

"ผมเจ็บหลัง"

ฆาเบียร์รีบดึงกายคนรักขึ้นแนบอก เขารีบขอโทษขอโพยเจ เจส่ายหน้าน้อยๆ

"ไม่เป็นไรครับ ต่อเถอะ กำลังดีเลย"

เจเลียริมฝีปากน้อยๆ ฆาเบียร์กดจูบเข้าที่ริมฝีปากรูปกระจับของคนรักที่พยายามทำหน้าตายั่วยวนเขา

"ยั่วนักนะ คนดีของฉัน งั้นเรากลับไปที่เตียงดีกว่านะ ฉันจะได้กอดนายได้เต็มที่"

คนตัวโตถอนแก่นกายออกจากคนตัวเล็กที่ทำหน้ามุ่ย เขาดึงฝักบัวที่ติดอ่างอยู่ออกมาล้างตัวพวกเขาทั้งคู่เร็วๆ แล้วดึงผ้าเช็ดตัวมาเช็ดกายตัวเองและคนรักลวกๆ เขาออกจากอ่างอาบน้ำและส่งแขนไปเป็นหลักให้คนที่ตัวเตี้ยกว่าก้าวออกอ่างมา เจร้องลั่นเมื่อถูกรวบกายขึ้นทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น ฆาเบียร์ช้อนกายอุ้มเจนยุทธไปที่เตียง เขาโยนคนตัวเล็กลงไปและก้าวขึ้นเตียงไปคร่อมร่างเพรียวไว้

"พร้อมต่ออีกยกหรือยัง? หืมม์? คราวนี้ฉันจะไม่ยั้งแล้วนะ"

เจหน้าแดงซ่าน เขามองแท่งลำสีแดงก่ำที่ชะโลมเจลไว้จนมันปลาบ เจกัดปากน้อยๆ ฆาเบียร์มองร่างเปลือยของคนรักที่นอนทอดกายอยู่เบื้องหน้าด้วยความปรารถนา เขาไม่รอคำตอบและทาบกายลงทับร่างเพรียว เจกอดร่างใหญ่ของคนรักไว้ เขาจูบแผ่วๆ ที่โหนกแก้มสูงเด่นและขยับริมฝีปากไปขบเม้มติ่งหูและใบหู ฆาเบียร์ขบกรามน้อยๆ เขาอยากเข้าสัมผัสช่องทางนั้นเต็มทีแล้ว

"เจจ๋า ฉันขอนะ"

คนตัวโตอ้อนวอนคนตัวเล็กที่ยังหุบขาแน่น เจยิ้มกริ่ม เขากระซิบเบาๆ ที่หูของฆาเบียร์ คนตัวโตหัวเราะเบาๆ เขายืดกายขึ้นนั่งคุกเข่าและช้อนสะโพกของเจนยุทธขึ้น เขาดันขาทั้งสองข้างของคนรักออกกว้าง เจซี้ดปากเมื่อช่องทางของเขาถูกล่วงล้ำอีกครั้ง ฆาเบียร์ไม่ยั้งตามที่พูดไว้จริงๆ สะโพกของเขาขยับอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คนตัวโตซุกไซร้ใบหน้าลงกับแผงอกของคนรัก เจครางกระเส่าเมื่อเม็ดทับทิมของตนถูกขบเม้ม เขาไสสะโพกเข้ารับการกระแทกกระทั้นของฆาเบียร์อย่างไม่กลัวเจ็บ



"เจ เจจ๋า ที่รักของฉัน นายเยี่ยมที่สุดเลย"

มือใหญ่ของฆาเบียร์ฟอนเฟ้นบั้นท้ายของคนรัก เขาให้เจนั่งคุกเข่าที่ขอบเตียงส่วนตัวเองยืนประกบด้านหลัง มือของเขาลูบไล้ไปตามแผงอกและหน้าท้องแบนราบของเจนยุทธ เจหันหน้าไปรับจูบอันดูดดื่มจากฆาเบียร์ หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง พวกเขาจวนถึงฝั่งกันแล้ว ฆาเบียร์บดเบียดกายเข้าอย่างหนักหน่วง เขาถอนดึงออกจนเกือบสุดและกระแทกกลับเข้าไป เจเด้งกายรับ มือของเขารูดไล้แก่นกายตนเอง

"คุณครับ ผมจวนแล้ว หนักๆ เลย"

เจหอบกระเส่า ฆาเบียร์จูบและทิ้งรอยสีกุหลาบไว้ตามหลังคอที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เขากระแทกกายหนักๆ อีกไม่กี่ครั้งเจก็ครางลั่นและฟุบกายลงบนเตียง ฆาเบียร์ขยับต่ออีกสองสามครั้งก็คำรามหนักๆ ออกมาและทิ้งกายลงบนแผ่นหลังของคนรัก พวกเขาทั้งคู่หอบหายใจหนักๆ เจรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัวของคนตัวโตผ่านทางแผ่นหลัง

"ฆาบี้ ไหวไหม?

เขาถามคนรักอย่างเป็นห่วง ฆาเบียร์ตบเบาๆ ที่สะโพกคนรัก

"ไหวอยู่เจ ขอฉันพักก่อนแป๊บนึง เดี๋ยวค่อยต่อนะ"

เจหน้าแดงซ่าน คนตัวโตเข้าใจความหมายของเขาผิดไปไกล เขาเอียงตัวและทิ้งให้ฆาเบียร์ลงไปนอนแผ่ที่ข้างกาย เจนยุทธขยับไปนอนอิงแอบบนหัวไหล่ของคนรัก ฆาเบียร์โอบกระชับไหล่เพรียวของเจไว้ เจทุบเบาๆ ที่อกซ้ายของคนตัวโต

"คุณนี่ เห็นผมเซ็กส์จัดขนาดไหนกัน ที่ถามว่าไหวไหมน่ะ หมายถึงหัวใจกับสังขารคุณน่ะ ไหวไหม?"

เจโคลงหัว เขาอุตส่าห์ไม่พูดอะไรให้คนรักเจ็บใจแล้วทีเดียว ฆาเบียร์หัวเราะออกมาเบาๆ เขาหอมแก้มคนตัวเล็กฟอดใหญ่

"นั่นก็ยังไหวอยู่จ้ะ ฉันก็ตกใจนึกว่านายยังอยากจะต่ออีก"

"โอย คุณ แค่นี้ผมก็เต็มอิ่มจะแย่แล้ว"

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ ถึงเขาจะไม่เสร็จหลายรอบจนแทบเป็นลมเหมือนคืนก่อน แต่ตอนนี้ร่างกายเขาก็เต็มตื้อไปด้วยความสุขที่ฆาเบียร์ป้อนให้ เขาพลิกกายและน้าวคอคนรักมาป้อนจูบอันอ่อนหวานให้

"คุณทำให้ผมสุขจนแทบตายแล้วนะ ฆาบี้"

"นายก็เหมือนกัน เจ ฉันนึกถึงการมีอะไรกับคนอื่นนอกจากนายไม่ได้แล้ว"

ฆาบี้พูดความในใจของเขาออกมา นอกจากความรักที่มีให้กันแล้ว เขากับเจยังทันกันเรื่องบนเตียงแทบทุกด้าน เขาทั้งคู่ทั้งเป็นผู้ให้ความสุขและผู้ตอบสนองที่ดีเท่าเทียมกัน เขาไม่ต้องการร่วมรักกับใครอื่นนอกจากคนที่อยู่ข้างกายเขาคนนี้



เจค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น เขาเพลียจนตาจะปิดแล้ว เขาเขย่าปลุกคนข้างกายที่ส่งเสียงกรนน้อยๆ ออกมาทั้งๆ ที่ยังนอนพาดอยู่ที่ขอบเตียง

“ฆาบี้ครับ ไปล้างตัวกัน ไม่งั้นนอนไม่ได้อ่ะ เหม็นเหงื่อ”

คนตัวโตส่งเสียงอือออแล้วลุกขึ้นมาทำตาปรือ เจหัวเราะเมื่อเห็นฆาเบียร์ผมยุ่งกระเซิงเพราะมือของเขาเมื่อครู่ เจใช้นิ้วสางผมยาวสลวยนั้นก่อนจะช่วยดึงฆาเบียร์ให้ลุกขึ้นจากเตียง คนตัวโตเดินโขยกเขยกเล็กน้อย เขาหัวเราะก๊ากออกมาเมื่อเห็นเจหุบขาแน่นและค่อยๆ เดินก้าวน้อยๆ เขาดึงร่างคนรักเข้ามาหาและผลักลงนอนคว่ำลงกับเตียง เขาใช้ทิชชู่ค่อยๆ เช็ดและซับผลิตผลของตัวเองที่ปลดปล่อยไว้เต็มช่องทางของคนรัก เจสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากและลิ้นร้อนๆ เขารีบพลิกตัวกลับ

“ไม่ต้องเลย เดี๋ยวมันก็ตื่นขึ้นมาอีกหรอก”

เขารีบยันกายลุกขึ้นจากเตียง ฆาบี้เข้ามาโอบรัดร่างเพรียวและกอดปล้ำไปมา

“ไม่ต่ออีกรอบจริงๆ เหรอ?”

คนตัวโตทำเสียงเว้าวอน คนใจแข็งส่ายหัวดิก

“จะเช้าแล้วคุณ นอนได้แล้ว ไปล้างตัว ด่วน!”

เขารุนหลังฆาเบียร์เข้าไปส่วนอาบน้ำและจัดการเปิดน้ำล้างตัวเร็วๆ เจเช็ดตัวให้คนรักและตัวเอง



“ห่านเอ๊ย ลืมจนได้”


เจนยุทธโคลงหัวน้อยๆ เมื่อหันไปเห็นแก้วคอนญัคบนซิงค์ล้างหน้า เขาถือแก้วทั้งสองใบเดินออกมาจากห้องน้ำและส่งใบหนึ่งให้คนตัวโตที่นอนรอบนเตียงแล้ว

“เสียดายอ่ะ ตั้งทิ้งไว้ตั้งนาน”

เจบ่นอย่างเซ็งๆ ฆาเบียร์ยกแก้วของเขาขึ้นชนกับแก้วของคนรักและยกแก้วขึ้นดื่ม กลิ่นหอมของบรั่นดีชั้นเยี่ยมจางหายไปบ้างเพราะถูกตั้งทิ้งไว้นับชั่วโมง แต่รสของมันยังล้ำลึก ฆาเบียร์ยกคอนญัคขึ้นจิบอีกอึกหนึ่ง จากนั้นจุมพิตที่ปากรูปกระจับสีชมพูของคนรัก เจลิ้มรสของคอนญัค Louis XIII จากโพรงปากของคนตัวโต

“อืมม์ แบบนี้อร่อยกว่าจริงๆ ครับ”

ฆาเบียร์ยิ้มกว้าง เขาป้อนคอนญัคจากแก้วของตัวเองให้เจและก้มหน้าลงดูดกลืนแอลกอฮอล์อันหอมตรึงใจอึกนั้นเข้าไป เจส่งลิ้นเข้าไปพันเกี่ยวกับคนรัก ไฟของเขาทำท่าจะติดขึ้นมาอีกครั้ง

“เจจ๋า พอเถอะ ไม่งั้นไม่ได้นอนแน่ๆ”

คนตัวโตดันคนตัวเล็กที่ทำท่าจะเตลิดไปแล้วออก เจหน้าแดงซ่านแล้วพยักหน้าเบาๆ

“ผมก็ว่างั้น คุณนะ ไม่น่าเริ่มก่อนเลย”

“เอ๊า ไหงงั้นอ่ะ? ก็ดูเจออกจะชอบ”

ฆาบี้หัวเราะเบาๆ เขายกแก้วขึ้นชนกับเจอีกครั้งหนึ่ง แล้วยกบรั่นดีขึ้นดื่มจนหมด เขาดึงแก้วเปล่าออกจากมือเจแล้ววางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง จากนั้นจัดการปิดไฟ


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- Mandarin House (ต่อ) ----




“เอ้า นอนๆๆ พรุ่งนี้ห้ามปลุกฉันแบบเมื่อเช้าอีกนะ ไม่ไหว เหนื่อย!”

คนตัวโตโอดครวญ เจที่ซุกกายเข้ากับอกคนรักระบายลมหายใจออกจากปากอย่างขัดใจ

“ไม่ปลุกก็ได้ อย่ามาสะกิดผมแล้วกัน”

“เอ นั่นฉันก็รับปากไม่ได้นะ อ๊ะ!”

คนตัวโตอุทานออกมาเบาๆ เมื่อมือเย็นๆ ของเจซุกไซร้เข้าหาไออุ่นจากกลางลำตัวเขา

“เจ ตกลงจะนอนไหม?”

“นอนสิ”

“นอนก็อย่ามือซนสิจ๊ะ”

ฆาบี้หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเจบ่นอุบอิบว่าเขาทำเพราะติดเป็นนิสัย

“ก็จะได้รู้ว่าคุณยังนอนอยู่ข้างๆ ตัวผมอ่ะ ไม่ได้เหรอ?””

คนตัวโตหอมเรือนผมดำขลับของคนที่ซุกอยู่ในอ้อมอก เขาวางมือทาบทับมือเรียวที่ทำท่าจะยกออกจากส่วนสงวนของเขา

“ได้สิ ฉันก็จะได้รู้ว่าเจยังอยู่ข้างๆ ตัวฉันเหมือนกัน แต่ขออย่างนึงนะ จับเฉยๆ อย่าขยับรูดนะจ๊ะ”

เจตอบรับด้วยใบหน้าร้อนผ่าว เขาเองก็ไม่อยากเหนื่อยเช่นกัน

“พรุ่งนี้เช้าเรากินมื้อเช้าเร็วหน่อยก็ดีนะ ถ้าทันผมว่าอยากชวนไปบ้านแมนดาริน เรายังไม่ได้ดูเลย…ได้ไหมคุณ?”

เจเอ่ยปากขึ้นหลังจากผ่านไปสักพัก เขารอคำตอบจากคนข้างตัว เขายันกายขึ้นดูเมื่อคนตัวโตไม่ตอบรับ เจยิ้มออกมาน้อยๆ เมื่อเห็นดวงตาที่หลับพริ้มและได้ยินเสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอจากร่างใหญ่กำยำนั้น เจนยุทธดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเขาทั้งสองและขยับหาท่าที่นอนถนัด เขาหลับไปหลังจากนั้นไม่นาน



“เจ ตื่นได้แล้ว แปดโมงแล้วนะ ไหนว่าจะตื่นเร็ว”

คนตัวโตเขย่าปลุกเจนยุทธที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมอกของเขา เจงึมงำอะไรบางอย่างเป็นภาษาไทยแล้วก็พลิกตัวหันไปทางอื่น ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ เขาขยับตัวเจให้ลงไปนอนบนหมอนก่อนจะใช้วิธีอื่นปลุกคนรัก

“เฮ้ย! อะไรวะ?!”

เจอุทานออกมาเป็นภาษาไทยเมื่อรู้สึกถึงการคุกคามที่ส่วนสงวนก่อนจะซี้ดปากออกมาเมื่อลิ้นร้อนๆ ของคนรักตวัดพันกับแก่นกายของตน

“ฆาบี้ คุณ...อืมม์”

เจบิดกายด้วยความเสียวซ่าน คนตัวโตของเขาชำนาญด้านการใช้ปากให้ความสุขคนจริงๆ เจใช้มือแตะประคองไว้ที่หัวสวยๆ ของคนรัก เขาสะดุ้งน้อยๆ และเด้งเอวเข้าหาปากของคนรักอย่างลืมตัวเมื่ออารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด ฆาเบียร์รีบถอนปากออกเมื่อรู้สึกได้ว่าเจกำลังจะปลดปล่อยออกมา หากเจกดหัวเขาไว้



ตายห่าน ขอโทษจริงๆ ครับ ฆาบี้!”

เจร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อคนตัวโตสำลักผลิตผลของเขาจนหน้าแดง เจรีบลุกขึ้นเทน้ำจากขวดข้างเตียงใส่แก้วส่งให้ฆาเบียร์ที่ไอจนหน้าแดงก่ำ

“เป็นอะไรไหมครับ? ผมขอโทษจริงๆ ผมลืมตัวไปหน่อย”

ฆาเบียร์ยกมือห้าม เขาหอบเล็กน้อยก่อนจะเป็นปกติ

“ไม่เป็นไร เจ ฉันไม่ทันระวังตัวเองด้วย”

“คุณเล่นผมทีเผลออีกแล้วนะ”

เจบ่นอุบอิบ คนตัวโตหัวเราะเบาๆ และหยิกแก้มป่องๆ ของคนรัก

“ก็เอาคืนเจเมื่อเช้าวานไง แล้วก็จะได้ปลุกเจให้ตื่นด้วย เมื่อคืนตอนฉันกำลังจะเคลิ้มหลับเหมือนเจบอกว่าจะต้องตื่นเช้าอะไรนี่ไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่ๆ ผมว่าจะไปแมนดาริน เฮาส์ ที่เราเดินผ่านแล้วมันปิดน่ะ เราพอจะมีเวลาไหม?”

“อืมม์ ฉันจองซันเดย์ บรันช์ของโรงแรมไว้ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง ทันไหม?”

“เอ หรือว่าเราจะไปบ่ายๆ ดี ฆาบี้ กินเสร็จสักสามโมง ไปหลังจากนั้นก็ได้”

ฆาเบียร์ส่ายหน้า

“ไม่น่าไหวนะ เจ กินเสร็จฉันว่าเราคงต้องกลับมานอนแน่ๆ”

“อาหารมันเริ่ดขนาดต้องยัดกันจนอิ่มขนาดนั้นเลยเหรอ? น่าสนแฮะ”

คนตัวโตส่ายหน้าน้อยๆ

“อาหารมันก็โออยู่หรอกหรอก แต่ที่ไม่ไหวน่ะ เพราะ Belle Epoque ต่างหาก”

“หือ? มันคืออะไรครับ?”

เจถามอย่างสงสัย

“แชมเปญ Perrier-Jouët Belle Epoque จ้ะ ไอ้เจ้า French Sunday Lunch ของที่นี่มาพร้อมกับแพคเกจแชมเปญ มีแบบถูกและแบบแพง ในรอบนี้เป็นแชมเปญ Belle Epoque”

เจนยุทธทำตาโต เขาเล่าว่าเขาเคยมาแชมเปญบรันช์กับนพเมื่อหลายปีที่แล้ว ในตอนนั้นพวกเขาไปกินที่ห้อง Aurora ของโรงแรม Altira พวกเขาดื่มแชมเปญ Veuve Clicquot ไปกันคนละขวดกว่าๆ และจำแทบไม่ได้ว่ากลับมาที่โรงแรมซึ่งอยู่ฝั่งมาเก๊าได้อย่างไร

“คราวนี้ไม่ต้องห่วง เราจะกินกันที่ชั้นล่างสุดของโรงแรม รับรองกลับห้องถูกแน่ๆ”

ฆาเบียร์ลงเตียงและดึงคนรักให้ลุกตาม

“งั้นถ้าจะไป เราควรรีบอาบน้ำและออกจากที่นี่ไม่เกินเก้าโมง เดี๋ยวฉันจะโทรถามสองคนนั้นว่าจะไปด้วยไหมและให้บอกคนรถไว้”

เจพยักหน้ารับคำ เขาเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว จากนั้นก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน ส่วนฆาเบียร์ตามเข้ามาหลังจากทำธุระและจัดการโทรบอกเลขาของเขาแล้ว เขาแยกไปใช้ซิงค์น้ำอีกที่อันหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างกัน ข้อดีของห้องพักหรูห้องนี้คือมีซิงค์น้ำให้สองซิงค์ ทำให้พวกเขาไม่ต้องแย่งกัน แถมยังมีห้องส้วมสองแห่ง ห้องหนึ่งอยู่ที่ห้องรับแขก ทำให้สะดวกเวลาเร่งรีบและต้องมีแขกหรือมีคนนอกมาทำงานเหมือนอย่างเมื่อคืนที่ผ่านมา เมื่อแปรงฟันเรียบร้อยแล้วพวกเขาทั้งคู่ก็อาบน้ำร่วมกันเช่นทุกครั้ง เจโวยลั่นเมื่อฆาเบียร์พยายามจะแตะนั่นนิดนี่หน่อย คนตัวโตก็ได้แต่หัวเราะร่า แต่สุดท้ายพวกเขาก็สามารถทำเวลาได้ทันเก้าโมง



“เร็วๆๆ คุณนี่ก็สำอางจริง”

เจบ่นพ่อนกหงส์หยกที่มัวแต่ส่องกระจกดูความเรียบร้อยของตัวเอง ฆาเบียร์มัดผมตัวเองเป็นมวยน้อยๆ ไว้ที่หลังหัวอีกครั้ง เขาจัดคอปกเสื้อโปโลสีดำซึ่งเขาใส่คู่กับกางเกงชิโน่สีเบจ จากนั้นสวมแจ็คเก็ตแพงระยับของบัลแมงอีกครั้ง

“แหม ไหนบอกไม่ชอบแต่งตัวซ้ำ ผมเห็นใส่ตัวนี้สองสามครั้งแล้วนะ”

คนตัวโตทำหูทวนลม เสื้อตัวนี้มันสวยถูกใจเขาจนไม่สนว่าจะใส่ซ้ำหรือไม่

“หล่อแล้วน่ะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวกลัับมาไม่ทันกินบรันช์”

เจเร่งคนรักยิกๆ เขาแต่งตัวเสร็จก่อนหน้าฆาเบียร์นานโขแล้ว

“เดี๋ยวเจจะกินมื้อเช้าก่อนไหม?”

คนตัวโตถามขณะที่ฉีดน้ำหอมกลิ่นโปรดของเจเข้าที่ซอกคอ เขาหยิบกลิ่นโปรดของเขามาฉีดให้เจนยุทธด้วย

“ไม่กินแล้วครับ รอไปกินกลางวันเลยทีเดียวดีกว่า”

เจถามพร้อมปิดประตูห้องตามหลัง ทั้งคู่ลงลิฟท์ไปยังโถงชั้นล่างที่มีเลขาทั้งสองรออยู่



รถพาพวกเขาทั้งสี่มาถึงยังวัดอาม่า เจพาทั้งสี่คนเดินไปตามถนนน้อยซึ่งนำไปสู่จัตุรัสลิเลาและบ้านแมนดาริน

“ถึงแล้ว วันนี้เปิดด้วย”

เจยิ้มร่า เขาพาทั้งสามคนเดินผ่านประตูที่ดูเรียบง่ายเหมือนทางเข้าตึกแถวเข้าไปด้านใน พวกเขาลงบันไดเตี้ยๆ สองสามขั้นก็พบกับลานน้อยๆ และประตูรูปวงเดือนที่มักเห็นในหนังจีนกำลังภายใน เมื่อหันกลับไปยังกำแพงของอาคารโถงทางเข้า พวกเขาก็เห็นลวดลายปูนปั้นรูปปลาคาร์ปกระโดดข้ามประตูมังกรและภาพอื่นๆ งานปูนปั้นนี้ยาวกว่าสิบเมตร แม้เมลิน่ากับฆาเบียร์จะเคยมามาเก๊าหลายรอบแล้ว พวกเขาก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่มา พวกเขาไม่เคยมายังสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ ส่วนริคกี้ซึ่งแม้เป็นคนฮ่องกงก็ยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับมันบ้าง

หลังประตูวงเดือนคือช่องทางเดินยาวซึ่งด้านหนึ่งเป็นกำแพงอิฐอีกด้านหนึ่งเป็นเรือนแพยาวขนานไปตามทางเดิน  เจชี้ให้ทุกคนดูว่าในนั้นมีการจัดแสดงเรื่องราวของบ้านแมนดารินหลังนี้รวมทั้งการบูรณะปฏิสังขรณ์บ้านโบราณซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกโลกแห่งนี้่

“บ้านหลังนี้เดิมทีเป็นบ้านตระกูล Zheng ซึ่งนักทฤษฎีและนักปฏิรูปชื่อดังสมัยปลายราชวงค์ชิงอย่าง Zheng Guanying ก็เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยครับ”

เจสรุปสิ่งที่อยู่บนป้ายให้คนตัวโตที่ขี้เกียจล้วงแว่นสายตาออกมาอ่านฟัง

“บ้านหลังนี้มีพื้นที่ใช้สอย 4,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในบ้านที่ใหญ่ที่สุดในมาเก๊าเลยนะ มันสร้างขึ้นในปี 1869 โดยพ่อของเฉิงกวนยิง และตัวท่านเฉิงเองกับน้องชายก็มาต่อเติมมันอีกในภายหลัง ส่วนมากเป็นแบบกวางตุ้งแต่มีการนำเอาความเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกมาผสมผสานบ้าง...”

เจเปิดโพยที่เขาจดๆ มาจากในมือถือขึ้นอ่าน ขณะที่พาทั้งสามคนเดินดูในส่วนจัดแสดงการบูรณะบ้านหลังนี้

“...เป็นที่น่าเสียดายว่าช่วงปี 1950 - 1960 คนตระกูลเฉิงเองค่อยๆ ย้ายออกจากบ้านหลังนี้และได้ปล่อยให้คนเช่าอยู่ มีช่วงหนึ่งที่มีผู้เช่าอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ถึงกว่า 300 คน ทำให้สภาพความเป็นอยู่ที่นี่ย่ำแย่มาก บ้านก็ทรุดโทรมลง เคยมีไฟไหม้ด้วยครั้งนึง ต้องใช้เวลาซ่อมถึงแปดปีเลยครับ...เราออกไปดูข้างนอกต่อดีกว่า”



เจพาลูกทัวร์ของเขาเดินกลับออกมาที่ทางเดินด้านนอก

“ทางเดินนี้ ในอดีตน่าจะเป็นลานจอดเกี้ยว เวลามีแขกไปใครมา ก็ต้องลงจากเกี้ยวหรือเสลี่ยงหามที่นี่และนั่งรอก่อนที่จะได้รับเชิญเข้าตัวบ้าน..เข้ามาตรงนี้ต่อเลยครับ”

ทั้งหมดเตินตามเจเข้าไปยังเรือนที่ตั้งอยู่สุดทางเดิน

“ในนี้มีนิทรรศการเกี่ยวกับท่านเฉิงกวนยิง ส่วนด้านนี้...”

เจเดินต่อไปตามทางเดินน้อยที่เลียบภายในตัวอาคาร จนถึงทางเปิดออกสู่สวนที่มีต้นไม้โบราณอยู่ พื้นสวนนั้นส่วนหนึ่งเป็นลานหินแบบที่เห็นได้ทั่วไปในมาเก๊า หากสวนนั้นก็ไม่ได้ตกแต่งอย่างสวยงามแต่อย่างใด

“นี่คือสวนใหญ่ของบ้านครับ พวกต้นไม้อะไรนี่ก็คงมีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว กำแพงด้านขวานี้ก็คือกำแพงที่กั้นทางจอดเกี้ยวไว้ ดูๆ แล้วตรงนี้ก็ไม่มีอะไร เราเข้าไปเดินดูตัวบ้านกันดีกว่า”

พวกเขาเดินกลับไปตามทางเดิม แต่แทนที่จะเดินออกไปทางลานจอดเกี้ยว เจพาทุกคนเดินออกประตูน้อยที่นำไปสู่ลานคอนกรีตที่มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งตั้งตระหง่านให้ร่มเงาอยู่ ด้านหนึ่งของลานเป็นกำแพงคอนกรีตสลับเหล็กดัดเตี้ยๆ ที่มีหลังคาแบบจีนด้านบน ส่วนอีกฟากหนึ่งของลานมีหมู่อาคารสูงสองชั้นตั้งอยู่จนสุดแนวยาวของลาน อาคารเหล่านั้นสร้างขึ้นติดชิดกันก็จริง แต่ก็ดูเหมือนสร้างขึ้นคนละช่วงเวลากัน เจอ่านป้ายที่ตั้งอยู่แถวนั้น

"อาคารสองชั้นหลังกลางที่มีป้ายภาษาจีนใหญ่ๆ ติดอยู่เป็นบ้านหลังดั้งเดิมครับ ชื่อคฤหาสน์ Yuqing หลังถัดไปทางขวาเรียกว่าคฤหาสน์ Jishan ทั้งคู่เป็นสไตล์กวางตุ้ง ทั้งคู่คล้ายกันคือสูงสองชั้นและประกอบด้วยอาคารส่วนหน้าและส่วนหลัง ตรงกลางจะเป็นลานกลางบ้านที่ทะลุถึงชั้นสอง"

พวกเขาพากันเดินเข้าไปดูอาคารทั้งสอง อาคารหลังกลางที่เรียกว่า Yuqing นั้น ชั้นล่างส่วนหน้าถูกจัดให้เป็นส่วนรับแขก โดยมีเก้าอี้แบบจีนวางเรียงไว้ด้านข้าง ด้านข้างมีห้องน้อยซึ่งนำไปสู่บันไดขึ้นชั้นสอง ในอาคารหลังนี้มีประตูบานเฟี้ยมเรียงกันอยู่หลายบาน ทั้งหมดล้วนสลักเสลาด้วยลวดลายอันงดงาม ถึงจะดูทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงอดีตอันรุ่งเรืองของบ้านหลังนี้ ลวดลายปูนปั้นที่ประดับประดาตามจุดต่างๆ ของบ้านก็เช่นกัน รวมทั้งที่อยู่ด้านล่างชายคานอกตัวบ้าน พวกมันสวยงามไม่แพ้ของบ้านหลู่เกาเลย หากไม่ได้แฝงความเป็นตะวันตกเท่ากับของที่นั่น


​Mandarin House1
http://picture.in.th/id/9a99407bc332d6ce7507787ccdc29f3a


เจพาคนรักและลูกน้องเดินชมชั้นสองซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าห้องโล่งๆ แต่มันมีเหล่าแผ่นป้ายเขียนภาษาจีนและภาพวาดติดอยู่

"เขาว่าหน้าต่างบานที่เปิดออกไปทางหน้าบ้านนี้ สมัยก่อนสามารถมองเห็นถึงอ่าวเลยนะครับ"

เจนยุทธดึงฆาเบียร์มายืนอยู่ที่หน้าต่างซึ่งอยู่เหนือป้ายตระกูลและทอดสายตาออกไปข้างหน้า ถึงตอนนี้จะมองไม่เห็นอ่าวแล้วเนื่องจากตึกรอบข้างที่ปลูกบังสายตา แต่พวกเขาก็หลับตาลงและนึกถึงภาพอ่าวที่คับคั่งไปด้วยเรือในวันที่บ้านหลังนี้ยังคงรุ่งเรืองเมื่อกว่าร้อยปีที่ผ่านมา

พวกเขาตัดสินใจไม่เข้าไปดูด้านในอาคาร Jishan เพียงแค่ชะโงกหัวไปดูเล็กน้อยเท่านั้น มันคล้ายกับอาคาร Yuqing แต่ตกแต่งเรียบง่ายกว่า เจพาฆาเบียร์เดินไปดูตึกขนาดเล็กที่สร้างอยู่สุดลาน

"ตึกนี้ว่ากันว่าท่านเฉิงกวนยิงเป็นคนสร้างครับ ในสมัยก่อนมันคงมีขนาดใหญ่กว่านี้ และบ้านแมนดารินนี้ก็คงมีพื้นที่กว้างกว่านี้ แต่ภายหลังถูกทำลายลงไปบ้างและถูกรื้อกลายเป็นพวกตึกอพาร์ทเมนท์ที่อยู่ถัดไป เห็นว่าเดิมทีมีสวนหลังบ้านด้วย แต่ตอนที่รัฐเข้ามาดูแล มันเต็มไปด้วยเศษหินและเศษอิฐปูน ตอนนี้เลยรื้อออกและสร้างเป็นห้องน้ำสำหรับคนที่มาเยี่ยมชมแทนครับ"

เจจับมือคนรักของเขาเดินย้อนกลับไปทางประตูที่เขาเข้ามา



"อ๊ะ ผมลืมพาไปดูอีกตึกหนึ่ง"

เจนึกขึ้นได้ เขาเดินเข้าไปในประตูของอาคารซึ่งอยู่ถัดอาคารหลัก

“ว้าว สวยจังค่ะ คุณเจ”

เมลิน่าออกปากชม ด้านในนั้นไม่ได้เป็นตัวอาคารทึบ หากเป็นทางเดินสองชั้นรูปตัว U ที่สร้างโอบลานสวนกลางบ้านไว้ ทางเดินนั้นด้านหนึ่งนั้นเป็นตัวอาคารทึบ ส่วนด้านหนึ่งมีเสาและซุ้มประตูโค้งขนาดใหญ่หลายซุ้ม ส่วนอีกด้านที่เหลือของชั้นล่างมีช่องประตูทั้งรูปวงเดือน รูปน้ำเต้าและช่องประตูสี่เหลี่ยมเปิดให้เห็นพื้นที่สีเขียวตรงกลาง อีกด้านที่เหลือของลานสวนกำแพงของอาคาร Yuqing ซึ่งมีหน้าต่างเปิดลงมาให้เห็นสวนได้

“ผมชอบบ้านที่มีลานหรือสวนตรงกลางแบบนี้มากเลยครับ แบบบ้านสเปนที่เป็นลานน้ำพุผมก็ชอบ ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่าอะไรนะคุณ?"

"Courtyard หรือ patio ก็ได้จ้ะ แต่ถ้าเป็น courtyard ก็มักจะมีกำแพงล้อมอย่างน้อยสามด้าน แต่ถ้าเป็น patio จะอยู่โดดๆ โดยไม่ต้องมีกำแพงก็ได้ แค่เป็นเหมือนลานกิจกรรมกลางแจ้งที่อยู่ในหรือใกล้ๆ ตัวบ้าน ทั้งสองอย่างนี้้ ถ้าอยู่ในบ้านแบบตะวันตกมันจะทำหน้าที่เหมือนเป็นอีกห้องหนึ่งแค่ว่าไม่มีหลังคาคลุมแค่นั้นเอง อาจจะมีเตาผิง หรือพวกโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นวางอยู่ บางที่ก็เป็นเหมือนโถงกลางเชื่อมบ้านหลายๆ หลังเข้าด้วยกัน อะไรเทือกนี้"

"ก็คล้ายๆ ลานหน้าบ้านของพี่จืดน่ะสิคุณ"

"ก็น่าจะเรียกแบบนั้นได้เหมือนกัน แต่ถ้าชานไม้หลังบ้านน่ะ แบบนั้นน่าจะเรียกว่า Deck เพราะว่ามีการยกพื้นขึ้นและใช้ไม้เป็นวัสดุปูพื้น แต่ถ้าเป็นปล่องหรือช่องแสงในอาคารแบบในตึกหลักของบ้านเมื่อกี้หรือแบบที่คฤหาสน์หลู่เกานั่นเรียกว่า Atrium นะ"

เจพยักหน้าหงึกหงักรับคำ เขาถ่ายรูปที่ทางเดินรอบพื้นที่สีเขียวเล็กๆ ที่ไม่ได้มีต้นไม้ประดับงดงามอะไรนี้ แต่กระนั้นเจก็รู้สึกว่ามันสวยน่ารักเสียจริงๆ



"เจ เกือบสิบเอ็ดโมงแล้วนะ"

ฆาเบียร์ซึ่งนั่งรออยู่ที่ชุดโต๊ะไม้บริเวณทางเดินพร้อมกับริคกี้ตะโกนเตือนคนรักและเมลิน่าที่มัวแต่ผลัดกันถ่ายรูปเล่นอยู่อย่างเพลิดเพลิน เจใจหายวาบและรีบยกนาฬิกาขึ้นดู

"ตายละวา เกือบสิบเอ็ดโมงแล้วจริงๆ งั้นเรารีบไปกันเถอะครับ เดี๋ยวไปไม่ทันมื้อเที่ยง"

เจไม่พูดเปล่า เขารีบลากคนตัวโตของเขาให้ลุกจากเก้าอี้และพาเดินลิ่วไปยังทางออก

"ฮ่าๆ ช้าๆ ก็ได้ เจ เลทหน่อยก็ได้ เดี๋ยวให้ริคกี้โทรไปบอกเขาไว้"

"คุณครับ..."

เจหันมาทำตาแป๋วให้คนรัก

"ผมไม่ได้กลัวเรื่องเลทหรอก แต่ผมกลัวว่าเราจะมีเวลากินน้อยลงต่างหาก"

คนตัวโตส่ายหัวในความเห็นแก่กินของคนรัก

"โอเคๆ รีบๆ เดินกันหน่อยพวกเรา"

ฆาเบียร์หันหน้าไปบอกเลขาทั้งสอง

"ผมโทรบอกรถให้เขาวนเข้ามารับเราแล้วครับ เราเดินย้อนไปทางเดิมก็คงจะเจอเขากลางทาง"

ริคกี้บอกนายของเขาเบาๆ ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ เจยิ้มน้อยๆ เลขาฯ ทั้งสองคนของฆาเบียร์ช่างรู้งานดีจริงๆ


​Mandarin House2
http://picture.in.th/id/526f6328a92a59df0c13487e7dde5b05


"ถ้าเทียบบ้านแมนดารินกับคฤหาสน์หลู่เกา คุณชอบหลังไหนมากกว่าเหรอ ฆาบี้?"

เจถามคนรักของเขา ฆาเบียร์ครุ่นคิดนิดหนึ่ง

"อืมม์ ฉันก็ว่ามันสวยดีทั้งสองหลังนะ แต่ถ้าเทียบแล้ว ฉันชอบบ้านหลู่เกามากกว่าตรงที่มันมีการผสมผสานของสองวัฒนธรรมค่อนข้างชัด รูปทรงบ้านก็ดูมีเอกลักษณ์ดี แม้พื้นที่มันจะเล็กๆ แต่ก็ดูมีอะไรมากกว่า อาจเป็นเพราะว่ามันได้รับการดูแลอย่างดีมาโดยตลอดมั้ง"

"ผมก็ว่างั้น บ้านแมนดารินนี้มันดูเก่าโทรมกว่า คงเพราะว่ามันเคยผ่านช่วงเวลาทรุดโทรมมา ผมเคยเห็นรูปตอนก่อนมันได้รับการบูรณะ สภาพดูไม่ได้เลยคุณเอ๊ย แทบจะเป็นซากบ้านอยู่แล้ว"

เจเปิดภาพจากในเว็บให้คนตัวโตที่นั่งเคียงข้างเขาบนรถตู้ดู

"เห็นว่าตอนได้รัฐรับบ้านคืนมา กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของบ้านได้รับความเสียหายไม่มากก็น้อย ทั้งถูกดัดแปลง ปรับเปลี่ยน บางส่วนก็ถูกไฟไหม้ แต่ที่แย่คือมันแทบไม่ได้รับการบำรุงรักษาดีๆ เลย คือคนสักแต่จะใช้พื้นที่น่ะคุณ"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้จะผ่านความเสียหายขนาดนั้นมา และการบูรณะในปัจจุบันไม่สามารถฟื้นฟูมันให้อยู่ในสภาพงดงามเหมือนที่มันเคยเป็นในอดีตเมื่อกว่า 150 ปีได้ แต่เขาก็ยังสามารถเห็นถึงความงดงามในเหล่าประตูบานเฟื้ยมแกะสลัก งานปูนปั้นและภาพวาดที่ยังหลงเหลืออยู่ได้

"เวลาเห็นบ้านเก่าๆ สวยๆ ต้องมาอยู่ในสภาพทรุดโทรมแบบนี้แล้วผมเศร้าใจทุกครั้งเลยคุณ อย่างในกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ ผมก็เคยเห็นบ้านทรงฝรั่ง หรือบ้านขนมปังขิงเก่างามๆ แต่อยู่ในสภาพทรุดโทรม เห็นแล้วก็สลดใจ แต่ก็เข้าใจนะว่าการบูรณะบ้านเก่านี่มันไม่ง่ายเลย และยังใช้เงินมากอีกด้วย ก็ต้องปล่อยให้ผุพังไปตามกาลเวลาล่ะน้อ"

ฆาเบียร์พยักหน้า

"อืมม์ ข้อนี้ฉันเข้าใจดีเลย บ้านที่ฉันกับอาปาอยู่ที่พาโล อัลโตก็เป็นบ้านเก่า สร้างช่วงปี 1920 ถึงตอนที่ได้มามันจะผ่านการบูรณะมาอย่างสวยงามแล้ว แต่มันก็ยังมีข้อจุกจิกเยอะแยะอยู่นะ ไหนจะเรื่องการวางระบบน้ำระบบไฟที่ไม่ได้เข้ากับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ พวกเราต้องให้วิศวกรมาวางระบบท่อระบบไฟอะไรพวกนี้ใหม่ ไหนจะปลั๊กไฟที่มีน้อยจุด ก็ต้องเสริมอีก เยอะสิ่ง แต่ทำมาแล้วก็คุ้มอยู่นะ"

อาปาและเขาหมดเงินไปกับการรีโนเวทบ้านหลังนี้มากโข รวมถึงติดตั้งลิฟท์ขึ้นชั้นสามของบ้านอีกด้วย



"บ้านเก่าอีกแล้วอ่ะ พวกคุณนี่ชอบบ้านเก่าๆ กันจริงๆ"

เจทำท่าหวาดๆ บ้านอาปาที่เดอะพีคก็อายุร้อยกว่าปีเหมือนกับบ้านแมนดาริน ฆาเบียร์หัวเราะคนรักที่ทำท่าขนลุกขนพองเมื่อนึกถึงสิ่งที่มองไม่เห็น

"ไม่มีอะไรหรอกน่า เจ ฉันอยู่มาทั้งสองบ้านก็ไม่เคยเจออะไรซักอย่าง"

"จะไปรู้เหรอ? เกิดพวกท่านๆ ถูกชะตาแล้วอยากจะออกมาเซย์ไฮกับผมเข้าสักวันก็แย่สิ"

"อืมม์ จะว่าไปที่บ้านอาปาที่เดอะพีค ฉันก็เคยได้ยินเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ แล้วก็เสียงคนเดินไปๆ มาๆ รอบๆ เตียงเหมือนกันนะ"

"คุณอ่ะ! แล้วจะเล่าทำไม แบบนี้คราวหน้าผมไม่ขึ้นไปนอนแล้วนะเฟ้ย!"

เจว๊ากลั่น ฆาเบียร์หัวเราะลั่นเมื่อเห็นท่าทางของคนรัก เขาอดไม่ได้ต้องหอมแก้มป่องๆ ของเจเบาๆ

"ล้อเล่นจ้ะ ล้อเล่น ฉันไม่เคยได้ยินอะไรหรอก อย่ากลัวเลยนะ ถ้าอาปารู้ว่าฉันแกล้งหลอกเจจนไม่กล้าขึ้นไปนอนบ้านนั้นก็คงเคืองฉันแน่ๆ"

ฆาเบียร์แอบไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง จะว่าไปเขาก็ไม่ได้โกหก เขาไม่เคยได้ยินเสียงอะไร แค่เคยงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกแล้วเห็นเงาขาวๆ ของผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนอาปายืนมองเขาอยู่ข้างเตียงแค่นั้นเอง แต่ในตอนนั้นเขาไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เพราะยังกรึ่มๆ จากงานปาร์ตี้เมื่อคืนก่อนหน้านั้นและผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร เธอแย้มยิ้มให้เขาแล้วก็เลือนหายไป เขาเห็นเธออีกครั้งเมื่อครั้งที่เจมานอนที่บ้านบนวิคตอเรีย พีคเป็นครั้งแรก เธอชะโงกหน้ามาดูเจที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมอกของเขาและลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ ก่อนจะเดินหายออกห้องไป ในครั้งนั้นเขาได้แต่นอนตัวแข็งกระดิกไม่ได้เหมือนโดนผีอำ นอกจากสองครั้งนั้นแล้วเธอก็ไม่เคยโผล่มาให้เห็นอีก เหมือนกับว่าเธอคงแค่อยากมาดูแขกของบ้านเท่านั้น เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้อาปาฟัง และคงยิ่งไม่มีทางเล่าให้เจนยุทธฟังโดยเด็ดขาด



"เป็นอะไรครับ ทำไมเงียบไป หรือ...จริงๆ แล้วคุณไม่ได้หลอกผม?"

เจมองหน้าคนตัวโตขี้แกล้งด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจ

"ไม่มีอะไรจริงๆ ฉันแค่ เอ่อ แค่หิวน่ะ"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ ให้คนตัวเล็ก

"อือ ผมก็หิวแล้ว"

เจจับมือฆาเบียร์ขึ้นมางับเล่นเบาๆ

"นี่ๆ มือฉันไม่ใช่ขาไก่นะ กินไปก็ไม่อร่อยหรอก..."

คนตัวโตลดเสียงลง

"...ถ้าอยากกิน กินส่วนอื่นดีกว่า รับรองว่าอร่อยแน่"

เจหน้าแดงแปร๊ดและบ่นเบาๆ เป็นภาษาไทย ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินคำว่า เมียและแร่ดอีกครั้ง

"I'm RAD only with you, mi alma"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ และจุ๊บเบาๆ ที่ปากของคนรัก เจได้แต่เกาหัว

"นี่สักวันคุณคงคุยภาษาไทยกับผมได้แหงๆ"

"ไม่หรอก ภาษาไทยยากจะตาย ภาษาอังกฤษหรือภาษาสเปนนี่แหละดีแล้ว แต่ฉันว่าจะหาคนสอนภาษาไทยง่ายๆ ในชีวิตประจำวันเหมือนกัน เผื่อไปไหนมาไหนคนเดียวเวลาเจไม่ว่างได้"

"เดี๋ยวผมสอนให้ก็ได้นะ อยากรู้ประโยคอะไรก็ถามมา"

"ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวฉันให้พนักงานคนไทยที่ออฟฟิศฮ่องกงสอนให้ก็ได้ มีคนไทยทำงานที่นั่นอยู่บ้าง เวลาเราอยู่ด้วยกันฉันอยากทำอย่างอื่นมากกว่ามานั่งเรียนภาษานะ"

คนตัวโตทำตาเจ้าชู้ใส่เจนยุทธที่นั่งอยู่ตรงหน้า เขาหอมแก้มแดงๆ นั้นอีกคร้้ง และโอบไหล่เจกระชับแน่น เจซบหน้าลงกับไหล่ของคนรัก จริงอย่างคนตัวโตว่า เวลาของพวกเขาที่จะได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้เหลืออีกแค่วันเดียวเท่านั้น



"เวลาผ่านไปเร็วจังเนาะ แป๊บๆ ก็สัปดาห์นึงแล้ว"

เจพูดขึ้นทำลายความเงียบ ฆาเบียร์ตอบรับอย่างใจลอย มือของเขาบีบกระชับมือคนรักแน่นอย่างไม่รู้ตัว เจขมวดคิ้วน้อยๆ

"ฆาบี้ครับ..."

คนตัวโตสะดุ้งและคลายมือออก เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เจนยุทธลูบแผ่นหลังกว้างนั้นเบาๆ

"ไม่เป็นไรนะ คุณ เดี๋ยวไม่ถึงเดือนก็เจอกันอีก ใช่ไหมครับ?"

"อืมม์"

ฆาเบียร์ขานรับสั้นๆ และพยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นมาที่ลำคอ เจดึงร่างกำยำนั้นมาซบที่กายของเขาและลูบหัวคนตัวโตที่น่าสงสารของเขาจนฆาเบียร์เริ่มสงบลง เจหอมแก้มตอบที่เริ่มมีหนวดเคราขึ้นครึ้มนั้น

"คนดีของผม อย่าทำให้ผมเศร้าก่อนได้กินของอร่อยสิ เดี๋ยวผมกินไม่ลงคุณจะเสียตังค์เปล่านะ"

เจพยายามพูดติดตลก คนตัวโตอดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา เขาพยักหน้าน้อยๆ รับคำของเจ เจนยุทธจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากบางที่ยิ้มพรายนั้น

"ยิ้มสวยแบบนี้สิ เมียผม ผมชอบเวลาคุณยิ้มจริงๆ"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างออกมาให้คนที่เขารักจนสุดหัวใจ เจยิ้มตอบกลับมาให้ชายคนเดียวในใจเขา

"เอ้า ถึงโรงแรมแล้ว ลงรถเถอะ ผมหิวไส้จะขาดแล้ว"



-----------------------------------------

หายไปนานเลยรอบนี้ ขออภัยจริงๆ ค่ะ ติดธุระไปซะหลายวัน เขียนรอบนี้ดูไม่ค่อยต่อเนื่องเพราะหยิบขึ้นมาเขียนในไอแพดทีละนิดละหน่อย ไว้ขอแก้ตัวใหม่ตอนหน้าค่ะ


ว่าด้วยบ้านแมนดาริน จะว่าสวยก็สวย แต่มันก็ดูโทรมบ้างค่ะ แต่ถ้าชอบเรื่องสถาปัตยกรรม และต้องไปแถววัดอาม่าอยู่แล้ว ก็แวะไปเดินดูเล่นก็ได้ค่ะ ในนั้นมีการจัดแสดงถึงการบูรณะซ่อมแซมบ้าน สิ่งที่เจออย่างพวกชั้นเปลือกหอยที่นำมาถมที่ อะไรพวกนั้น การสร้างแผ่นดินเผาเลียนแบบของเก่าที่เจอ รวมถึงประวัติและเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าของบ้านคนดังอย่าง Zheng Guanying ด้วยค่ะ

เว็บอย่างเป็นทางการของบ้านแมนดาริน ใช้ flash player อาจจะเปิดในมือถือไม่ได้นะคะ

แผนผังบ้าน https://goo.gl/gYspMk

แนะนำบ้านแมนดาริน มีภาพเก่าๆ ของบ้านก่อนบูรณะด้วย เห็นแล้ว เออ ทำออกมาได้แค่นี้ก็ดีมากแล้วค่ะ https://goo.gl/Vg2W6f

วิธีเดินทางไปบ้านแมนดารินนอกเหนือจากนั่งรถเมล์ไปลงที่วัดอาม่าก็ตามนี้เลยค่ะ https://goo.gl/i7YBEn

เว็บฝากรูปที่ใช้ประจำวันนี้ดูด๋อยๆ พิกล เลยต้องเอาไปฝากไว้ที่อื่นก่อน ถ้าดีแล้วจะเอาลิงค์ใหม่มาแปะนะคะ




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - เมา (12/4/61)
«ตอบ #292 เมื่อ12-04-2018 07:44:20 »



---- เมา ----




“คุณๆ มีล็อบสเตอร์ย่างด้วย น่ากินจัง…”

เจนยุทธกระตุกแขนคนตัวโตเบาๆ และดึงฆาเบียร์ให้ไปดูล็อบสเตอร์ย่างครึ่งตัวขนาดกำลังดีซึ่งอยู่ในหม้อเหล็กหล่อใบน้อยขนาดพอดีตัว เจหยิบมาเพียงหม้อเดียวเพราะเห็นว่ามันมีไม่เยอะนัก

“เหลือไว้ให้คนข้างหลังเขาหน่อยแล้วกันเนาะ”

เจพูดเสียงอ่อยๆ ก่อนที่จะเดินไปตักก้ามล็อบสเตอร์เย็นและหอยนางรมแกะสดที่อยู่ใกล้ๆ กัน

“ซันเดย์บรันช์ของที่ Ritz Carlton Cafe นี่ก็ไม่เลวเลยนะคุณ อาหารไม่เยอะก็จริง แต่ว่ามีแต่ของคุณภาพดีทั้งนั้น”

เจนยุทธกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอาหารที่ตกแต่งอย่างงดงามประหนึ่งนั่งกินอาหารอยู่ในคาเฟ่ที่ปารีส ไลน์อาหารที่นี่ไม่ได้หรูหราอะไรมากนัก มีไลน์สลัดทั้งที่ให้ปรุงเองและปรุงสำเร็จแล้ว โคลด์คัท ไลน์อาหารจานร้อน อย่างพวกไก่ย่าง ซี่โครงหมูและอื่นๆ เจไม่แตะพวกนั้นเลย แต่เขาเน้นอาหารพวกซีฟู้ดเย็นอย่างกุ้งตัวโต ก้ามล็อบสเตอร์ หอยกาบและหอยนางรมแกะสด อีกทั้งล็อบสเตอร์ย่างที่ต้องคอยเฝ้าดูว่าออกมาเมื่อไหร่ เพราะลงปุ๊บหมดปั๊บ อีกอย่างที่เขาเล็งไว้แต่ยังไม่ได้ไปตักคือเนื้อแองกัสย่างและซี่โครงแกะย่าง แต่สิ่งที่เป็นจุดสนใจของทั้งเขาและฆาเบียร์จริงๆ คือสิ่งนี้

"แชมเปญค่ะ”

แชมเปญเย็นเฉียบถูกเทลงในแก้วลายดอกไม้อันอ่อนช้อยซึ่งอยู่ตรงหน้าเขาและฆาเบียร์ แชมเปญที่พวกเขาได้ลิ้มรสแบบไม่อั้นในวันนี้คือแชมเปญจากแบรนด์ดังอายุกว่า 200 ปีอย่าง Perrier-Jouet หากตัวที่ห้องอาหารแห่งนี้เลือกมาทำโปรโมชั่นในช่วงนี้ไม่ใช่ตัวธรรมดา แต่เป็น Belle Epoque ซึ่งเป็นแชมเปญพรีเมี่ยมของแบรนด์นี้ บนขวดสีเขียวนั้นวาดลวดลายดอกอนีโมนญี่ปุ่นซึ่งเป็นผลงานของศิลปินแนวอาร์ต นูโวชั้นครูอย่าง Emile Galle เขาทำขวดต้นแบบ 4 ใบซึ่งมีลวดลายดอกไม้ขลิบทองนี้ไว้ในปี 1902 หากขวดต้นแบบเหล่านั้นแพงเกินไปที่จะนำมาใช้ใส่แชมเปญธรรมดาได้และถูกนำไปเก็บรักษาไว้ในเซลลาร์เก็บไวน์ของไร่ ในภายหลังได้มีการค้นพบขวดเหล่านั้นและนำมาใช้เป็นต้นแบบสำหรับขวดแชมเปญเกรดพรีเมี่ยมของแบรนด์ซึ่งใช้ชื่อว่า Belle Epoque อันเป็นชื่อที่ใช้เรียกยุครุ่งเรืองของศิลปะแบบอาร์ต นูโว



"ชอบไหม เจ?"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็กที่ค่อยๆ ลิ้มชิมรสเครื่องดื่มที่มีพรายฟองสีทอง เจนยุทธหันมาพยักหน้า

"ผมชอบนะ กินไม่ยากเลย รสมันเบาๆ ออกแนวผลไม้ๆ ดอกไม้ๆ หน่อย สดชื่นดีครับ"

เจยกหอยนางรมในจานขึ้นแล้วห่อปากดูดเนื้อหอยจากเปลือก จากนั้นดื่มแชมเปญตามไปอีกอึก

"โอย เข้ากั๊น เข้ากัน ผมมีความสุขจัง"

เจทำหน้าตาปลื้มปริ่ม เขาหยิบนั่น จิ้มนี้เข้าปาก และยกแชมเปญดื่มตามอีก

"รู้ไหม ตอนแรกที่ฉันจองมา โปรโมชั่นมันเป็นแชมเปญตัวอื่น ไม่ใช่ตัว Belle Epoque นี้"

"เหรอ งั้นก็ดีแล้วที่เขาเปลี่ยนเป็นตัวนี้ เพราะผมยังไม่เคยลองเลย"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"เจ ตัวที่ทำโปรโมชั่นก่อนหน้านี้น่ะเป็น Cristal นะ"

เจนยุทธทำตาโตเท่าไข่ห่าน

"หา? คริสตาล? แล้วบุฟเฟต์ที่นี่มันหัวเท่าไหร่กันเนี่ย?"

"อืมม์ ตอนมีโปรคริสตาลน่าจะประมาณ 1,588+ ปาตากาสมั้ง"

"เห้ย จริงดิ? โคตรคุ้มเลยคุณ"

เจนั่งคิดสะระตะดู อาหารที่นี่มีทั้งล็อบสเตอร์และเนื้อขั้นเทพ ถ้าราคาขายที่ไทย เฉพาะอาหารก็น่าจะหัวละเกิน 1,500 บาท แล้ว ไหนจะมีแชมเปญคริสตาลซึ่งราคาขายในไทยเหยียบ 5 หลัก แต่สำหรับที่นี่ นำมาจัดโปรโมชั่นรวมอาหารในราคาเพียงประมาณ 7,000 บาท กินสักครึ่งขวดหน่อยๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว


"เสียดายอ่ะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ

"เอ๋า ก็ไหนบอกว่าดีแล้วที่ได้ลองของที่ไม่เคยได้ลอง?"

คนตัวโตขำกับสีหน้าของคนตัวเล็กที่เปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว

"ก็คริสตาลมันคุ้มกว่านี่นา แล้วสำหรับตัวนี้ราคาโปรมันเท่าไหร่เหรอ คุณ?"

เมื่อสักครู่ตอนที่พนักงานนำใบรายการมาให้เลือกโปรโมชั่น เจไมไ่ด้ดูเพราะมัวแต่ไปเดินดูไลน์อาหาร ฆาเบียร์เรียกพนักงานมาเพื่อขอใบรายการอีกครั้ง

"อืมม์ 1,388+ เหรอ? ขาดทุนง่ะ"

เจบ่นเบาๆ เขาลองเปิดดูราคาของแชมเปญ Belle Epoque ในเมืองไทยดูแล้ว แต่หาไม่เจอ คงเพราะมันไม่เป็นที่นิยมในไทยเหมือนกับพวก Veuve Clicquot Moet Chandon หรือ Dom Perignon แต่ดูจากเว็บนอกแล้ว มันถูกกว่าคริสตาลเป็นครึ่ง คือมีราคาตั้งแต่ 3,000 - 6,000 บาท แต่ที่นี่นำมาทำโปรโมชั่นโดยถูกลงไปเพียง 200+ ปาตากาส

"งั้นผมต้องซัดซักขวด จะได้คุ้มหน่อย"

เจนยุทธทำสีหน้ามุ่งมั่น เขาดื่มแชมเปญในแก้วลายดอกงดงามนั้นและยกแก้วขึ้นขอเติม ฆาเบียร์โคลงหัวและยิ้มน้อยๆ

"ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ เจจ๋า ดื่มเท่าที่อยากดื่มก็พอแล้ว"

"ไม่เป็นไรครับ มันอร่อย ทั้งขวดผมก็ดื่มไหว"



เจลุกไปตักอาหารมาเพิ่ม เขาเข้าคิวรอเชฟหั่นสเต๊กแบบโทมาฮอว์ค หรือเนื้อส่วนติดกระดูกซี่โครงของวัวซึ่งมีรูปร่างเหมือนกับขวานโทมาฮอว์คของชาวอเมริกันพื้นเมือง เจจ้องเนื้อชิ้นงามนั้นตาเป็นมัน ถ้าขอมาทั้งชิ้นซึ่งน่าจะหนักกว่าหนึ่งกิโลกรัมได้เขาก็คงขอมาแล้วเป็นแน่แท้

"จะรับกี่ชิ้นดีครับ?"

​เชฟที่ยืนหั่นสเต๊กอยู่ถามเจนยุทธด้วยภาษาที่คุ้นเคย เจก็ตอบกลับไปเป็นภาษาเดียวกันอย่างลืมตัว

"สามชิ้น สองจานครับ เอ๊ะ!..."

เจตะครุบปากตัวเองเมื่อเขาเผลออุทานเสียงดังออกมา เจลดเสียงลงและถามเชฟหนุ่มผิวเข้มหน้าตาคมคายที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า

"คนไทยเหรอครับ?"

"ครับ คนไทย ผมจำคุณได้จากบนเลาจ์ ที่คุณขึ้นไปฉลองวันเกิดน่ะครับ"


​เจร้องอ๋อ นี่คงเป็นเจ้าของลายมือภาษาไทยบนเค้กของเขาเป็นแน่แท้ เจทำท่าอยากคุยต่อแต่มีคนรอต่อคิวเขาอยู่หลายคน เขาจึงรับจานเนื้อของเขามาและเดินกลับมาที่โต๊ะ

"สเต๊กครับ ผมถือวิสาสะสั่งแกะมาให้ด้วย ส่วนมันบด ผมเอาแบบที่ผสมทรัฟเฟิลเพสต์มาอย่างเดียวนะ"

เจนยุทธส่งจานสเต๊กให้คนรัก

"อ้าว ทำไมทำหน้ามู่ทู่งั้นล่ะ?"

คนตัวเล็กทำหน้างงๆ เมื่อเห็นคนตัวโตของเขาทำหน้าตาไม่ค่อยสบอารมณ์

"ไปเจ๊าะแจ๊ะอะไรกับเชฟนักหนาล่ะ ฮึ?"

เจกระพริบตาปริบๆ เขามองเข้าไปในตาคนตัวโตแล้วก็ต้องโคลงหัวน้อยๆ ดูจากสายตาแล้ว พ่อเจ้าประคุณไม่ได้เคืองอะไรจริงจัง คงแค่อยากล้อเขาเล่นแค่นั้น

"ไม่มีอะไรหรอกคุณ เชฟเขาเป็นคนไทยน่ะ เลยถามไถ่อะไรกันนิดหน่อย เขาจำผมได้จากบนเลาจ์ เพราะว่าผมน่ารัก เอ๊ย หล่อขั้นเทพเลยจำได้ แล้วยังขอเบอร์ติดต่อไว้ด้วยนา"

เจพูดจริงครึ่งหนึ่งใส่ไข่ระบายสีอีกครึ่งหนึ่ง เขาหัวเราะคิกออกมาเมื่อเห็นแววตาของคนตัวโตแข็งกร้าวขึ้นมาทันควัน เขาลูบมือใหญ่ที่กำแน่นนั้นเบาๆ อย่างเอาใจ

"ล้อเล่นน่า ก็อยากแกล้งทำหึงผมทำไมล่ะ วันหลังอย่าเล่นงี้อีกนะ"

คนตัวโตบ่นพึมพำในความขี้แกล้งของคนรัก


(French Sunday Brunch1)
https://www.picz.in.th/images/2018/04/12/Y94NXa.jpg


"ไม่ได้ถูกจีบจริงๆ แน่นะ?"

"โอ๊ย คุณ ผมเป็นผู้ชายนะโว้ย ไม่ใช่สาวๆ น่ารักๆ หนุ่มที่ไหนมันจะมาจีบกัน ไอ้เรื่องจีบน่ะล้อเล่น แต่ที่คุยกันนานน่ะ เพราะเชฟเป็นคนไทยอย่างที่ผมบอกจริงๆ"

ฆาเบียร์ยังคงทำหน้ามุ่ย เจ้าตัวเล็กของเขาคงไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าตัวเองหน้าตาน่ารักน่าจีบแค่ไหน เจซ่อนยิ้มดูคนรักที่นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับ นี่ถ้าพ่อเจ้าประคุณรู้ว่าเขาโดนหนุ่มๆ ตามขายขนมจีบมาตั้งแต่เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองตอน ม. ปลาย จนถึงสมัยมหาวิทยาลัยหรือกระทั่งก่อนหน้าเจอฆาเบียร์ ตัวเขาเป็นเป้าหมายของหนุ่มหลายคนเพราะหน้าตาที่ออกไปทางน่ารักของเขาแม้เขาแสดงตัวเป็นเพลย์บอยชัดเจนก็ตาม อาจเป็นเพราะแก้มที่ป่องน้อยๆ และตากลมโตสดใสของเขาที่ทำให้คนคิดกันแบบนั้น เจจึงไม่ชอบใจนักเวลาที่ใครชมเขาว่า ‘น่ารัก’ แต่จะให้เขาปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ดูแลผิวหน้าเพื่อให้กลบความหน้าใสของตัวเอง เขาก็ทำไม่ลง ก็จำเป็นต้องรับสภาพไป

“ไม่เชื่อหรอกว่าอย่างนายจะไม่เคยถูกหนุ่มที่ไหนจีบ อย่างไอ้...”

ฆาเบียร์กัดลิ้นตัวเองก่อนจะพูดชื่อไอ้เด็กบาร์เทนเดอร์ที่เป็นหนามยอกอกเขาอยู่ออกไป เขารีบเปลี่ยนคำพูดทันที

“...อย่างไอ้ตัวฉันก็คนนึงล่ะ ที่มองนายว่าน่ารักน่าจีบตั้งแต่แรกเจอ”

เจที่ก้มหน้าก้มตาจิ้มเนื้อย่างพร้อมกับมันบดผสมเห็ดทรัฟเฟิลบดเข้าปากเงยหน้าหน้าขึ้นมามองคนรักทันที

“จริงอ่ะ? คุณถูกใจผมตั้งแต่แรกเลยจริงๆ เหรอ ฆาบี้?”

เจพูดยิ้มๆ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เขากินไปสี่ห้าแก้วแล้วทำให้เขาเริ่มชวนคุยเรื่อยเปื่อย ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน เขาพยักหน้าน้อยๆ

“เห็นนายแว่บแรกฉันยังคิดเลยว่าเด็กคนนี้หน้าตาน่ารักถูกสเป็คฉันเลย”

เจย่นจมูกให้คนตัวโตที่บอกว่าเขาน่ารัก

“แต่ตอนนั้นคุณก็มัวแต่สนใจพี่นพล่ะสิ”

คนตัวโตไม่ตอบ เขาตัดเนื้อแกะชิ้นพอดีคำและจิ้มเข้าปาก

“ว้าว แกะนิ่มดีนะเจ ไม่เหม็นสาบสักนิด ไม่ต้องกินกับเยลลี่มินท์เพื่อดับกลิ่นเลย มันบดใส่ทรัฟเฟิลเพสต์นี่ก็หอมดีแท้ๆ”

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องคุยเลย!”

เจโวยเบาๆ และถือโอกาสจิ้มแกะที่ฆาเบียร์ตัดทิ้งไว้ในจานเข้าปากตัวเอง คนตัวโตโคลงหัวน้อยๆ

“ก็ได้ๆ ใช่จ้ะ ตอนนั้นฉันมัวแต่โฟกัสที่นพ แล้วก็เห็นว่านายเป็นเพื่อนนพด้วยเลยเก็บอาการหน่อย แต่ที่ไหนได้...”

“มิน่าล่ะ คุณถึงติดเบ็ดผมง่ายนัก...”

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์หน้าร้อนวาบเมื่อนึกถึงภาพในคืนวันนั้นตอนที่เจนยุทธซึ่งมีทีท่าเมามายนอนทอดกายอยู่ตรงหน้าเขา



“ตอนนั้นผมก็ไม่นึกนะว่าคุณจะยอมสนใจผม พูดจริงๆ นะ ตอนที่คุณทำท่าเหมือนจะกินผมทั้งตัวตอนที่อยู่ในบาร์น่ะ ผมยังนึกดูถูกคุณอยู่ในใจอยู่เลย…”

เจสารภาพออกมาอย่างรู้สึกผิด ฆาเบียร์อึ้งไปเล็กน้อย

“...ผมคิดในใจว่า นี่เหรอ คนที่บอกพี่นพว่ายังรักและคิดถึงพี่นพตลอดเวลา พอโดนผมอ่อยเข้าหน่อยก็มีทีท่าจะว่อกแว่กแล้ว”

ฆาเบียร์หน้าร้อนวาบ เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่ในตอนนั้นเขาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะกลับมางอนง้อขอความรักจากคนที่เขาฝังใจมาตลอดเกือบยี่สิบปี แต่เขาดูเหมือนจะต้านทานแรงดึงดูดจากเจไม่ได้เลยตั้งแต่แรกเจอ

“คุณ ผมขอโทษ ในตอนนั้นผมคิดงั้นก็จริง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้คิดแล้วนะ อย่าโกรธผมนะ”

เจนยุทธหน้าจ๋อยเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของฆาเบียร์ คนตัวโตถอนหายใจเฮือกและยกแชมเปญขึ้นกระดกจนหมดแก้ว พนักงานสาวรีบปรี่เข้ามาเติมให้ทันที

“ฉันไม่ได้โกรธอะไรหรอกเจ ฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฉันตั้งมั่นมากว่าฉันมาเพื่อมาหานพคนเดียวเท่านั้น แต่นายน่ะ เจนยุทธ นายมันตัวป่วนชัดๆ เลย!”

ฆาเบียร์ยกมือขึ้นยีหัวคนรักที่ชะโงกหน้าเข้ามาหาเขา

“พอแล้ว เลิกคุยเรื่องนี้ กินก่อนเถอะเจ บรันช์ที่นี่ถึงแค่สองโมงครึ่งนะ ไม่ใช่สามโมง”

เจรีบยกนาฬิกาขึ้นดูและก้มหน้าก้มตากินต่อทันที ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เจ้าตัวเล็กของเขานี่มันน่ารักจริงๆ



“เจจ๊ะ…”

ฆาเบียร์เรียกคนรักเบาๆ เขายกแก้วแชมเปญขึ้นและชนเบาๆ กับแก้วของเจนยุทธ

“ถึงเราจะเจอกันแบบไม่ค่อยดีนัก แต่ฉันอยากให้เจรู้ไว้นะ ว่าฉันดีใจและไม่เสียใจเลยที่ได้เจอเจในวันนั้น”

เจยิ้มฝืนๆ

“แต่ถ้าเลือกได้ ผมก็อยากให้เราได้รู้จักกันด้วยวิธีอื่นอ่ะ”

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์กุมมือเพรียวของคนรักและบีบกระชับ

“อย่าคิดแบบนั้นเลยเจ คิดเสียว่าอะไรที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีทั้งนั้น ถ้าเราไม่ได้เจอกันแบบนั้น เราก็อาจจะไม่ได้คบหากันแบบนี้ก็ได้ เจก็อาจจะไม่ได้สนใจในตัวฉัน ไม่ได้คิดที่จะมารักฉันที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน เรามาปล่อยเรื่องนั้นให้มันเป็นอดีตไปและโอบรับผลของมันไว้ดีกว่านะ”

เจพยักหน้า เขายกแก้วขึ้นชนกับคนรักของเขาอีกครั้ง

“แด่อนาคตครับ”

"แด่อนาคต"

ฆาบี้พูดตาม เขายกแก้วขึ้นจิบแชมเปญอึกน้อยๆ ก่อนจะจิ้มเนื้อหางล็อบสเตอร์ย่างขึ้นกิน เจทำเช่นเดียวกัน เขายิ้มอย่างมีความสุขออกมาเมื่อเคี้ยวหางล็อบสเตอร์เนื้อแน่นที่เขาจิ้มซอสซีฟู้ดแบบไทยอย่างชุ่มโชก

"โอ๊ย อาหารทะเลมันก็ต้องน้ำจิ้มแบบนี้แหละ"

คนตัวโตยิ้มน้อยๆ เจดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อเห็นซอสซีฟู้ดแบบไทยในไลน์อาหารด้วย เขาชมว่ารสชาติมันใช่เป๊ะ คงเพราะว่าที่นี่มีเชฟไทยทำงานอยู่

"นั่นสิ ฉันก็พลอยติดกินตามเจไปแล้วนะ ตอนนี้ให้ไปกินซีฟู้ดจิ้มซอสรสอ่อนอย่างเนยกระเทียม ทาร์ทาร์ซอสหรือแค่บีบมะนาวไม่ได้แล้ว อย่างน้อยต้องได้พวกซอสรสจัดหน่อยอย่างค้อกเทลซอสหรือไม่ก็ไอ้เจ้า Sriracha"

คนตัวโตพูดถึงซอสพริกตราไก่ของเวียดนามที่ทำให้ชื่อ Sriracha ดังไปทั่วโลก เจพ่นลมหายใจออกปากอย่างไม่สบอารมณ์ ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ เขารู้ว่าคนตัวเล็กไม่ชอบไอ้เจ้าซอสที่เขามองว่าเลียนแบบแถมยังเอาชื่อซอสของไทยไปใช้หากิน



"คุณเอาอะไรเพิ่มไหมครับ เดี๋ยวผมไปตักมาให้"

เจถามขึ้นเมื่อเห็นคนในไลน์อาหารเริ่มน้อย

"ไม่เป็นไร เจ เดี๋ยวฉันไปด้วย"

ฆาเบียร์ขยับลุกขึ้นเดินตามเจออกไป เจแวะที่ซุ้มล็อบสเตอร์ก่อนแต่ก็ลังเลเพราะเขายังจะอยากตักอาหารอื่นอีกหลายอย่าง

"เดี๋ยวผมเอากลับไปให้ครับคุณเจ"

ริคกี้ที่เดินตามมาพูดขึ้น

"งั้น ผมฝากหน่อยนะ เอาล็อบสเตอร์สองหม้อ แล้วพวกนายกินอิ่มกันหรือยัง? แชมเปญในแพ็คเกจนั้นเวิร์คไหม?"

เจบ่นกะปอดกะแปดต่อเรื่องที่ทั้งสองคนปฏิเสธพวกเขา ทีแรกฆาเบียร์จะให้เลขาทั้งสองของเขาร่วมโต๊ะและสั่งแพ็คเกจแชมเปญพรีเมียมเหมือนกัน แต่พวกเขาทั้งสองดึงดันปฏิเสธจนคนตัวโตต้องยอมให้แยกนั่งอีกโต๊ะซึ่งอยู่ข้างกัน ทั้งสองคนสั่งแพ็คเกจอาหารและแชมเปญแบบมาตรฐานราคา 588+ ปาตากาสแทน ในราคานี้แชมเปญที่เสิร์ฟคือแชมเปญซึ่งผลิตเพื่อกลุ่มโรงแรมริทซ์ คาร์ลตันโดยเฉพาะโดยผู้ผลิตชื่อก้องโลกอย่างแชมเปญ Barons de Rothschild Cuvee Ritz Brut หรือจะเลือกแชมเปญจากผู้ผลิตเดียวกับที่เจและฆาเบียร์ดื่มแต่เป็นตัวล่างกว่าอย่าง Perrier Jouet Grand Brut​ ก็ได้ ในแพ็คเกจนั้นยังรวมไวน์แดง ไวน์ขาว น้ำผลไม้ น้ำอัดลมและกาแฟ ชา อีกด้วย ส่วนแพ็คเกจของเจส่วนที่ต่างจากแพ็คเกจมาตรฐานนอกจากแชมเปญแบลล์ เอป็อคแล้ว ยังมีไวน์ที่เกรดดีกว่า house wine ในแพ็คเกจมาตรฐานหน่อย แถมด้วยเบียร์จากฝรั่งเศส แต่เจนยุทธไม่แตะอย่างอื่นเลยนอกจากแชมเปญและน้ำผลไม้กับซอฟท์ดริงค์เพื่อล้างปาก

"ผมก็ว่าใช้ได้นะครับ แต่ผมดื่มไม่เยอะนัก ต้องไปถามคนนู้น เจ่เจ้แกเล่นดื่มไม่หยุดมาตั้งแต่เปิดไลน์แล้วครับ"

ริคกี้หัวเราะเบาๆ แล้วโบ้ยไปที่เมลิน่าที่นั่งหน้าแดงอยู่ที่โต๊ะ ฆาเบียร์ที่ยืนฟังอยู่ด้วยจุ๊ปากน้อยๆ เมื่อเห็นยัยตัวแสบของเขามีทีท่าจะเมาอีกแล้ว

"ริคกี้ ฉันฝากเมลิน่าด้วยล่ะ เดี๋ยวจัดการให้ยัยนั่นเลิกดื่มได้แล้ว ไม่งั้นได้ต้องหามขึ้นห้องกันแน่ๆ"

เลขาหนุ่มพยักหน้ารับคำ เขาหยิบล็อบสเตอร์สองหม้อไปวางที่โต๊ะของเจนยุทธให้ จากนั้นลงนั่งและกระซิบกระซาบกับเลขาสาว เมลิน่าหันมาหาฆาเบียร์และยกมือทำท่าตะเบ๊ะรับคำ คนตัวโตส่ายหัวน้อยๆ ในความทะเล้นของเลขาคู่ใจของเขา



"เอาสเต๊กอีกไหม ฆาบี้ เดี๋ยวผมสั่งให้"

 เจหันไปถามคนตัวโต เขาตักกุ้ง หอยนางรมและก้ามล็อบสเตอร์ไปอีกพอสมควร เขาดีใจที่คนดูจะไปสนใจรอกินล็อบสเตอร์ย่างและไม่ค่อยสนใจส่วนก้ามที่แยกออกมาไว้ในส่วนซีฟู้ดเย็นนัก  สำหรับเจแล้วเขาชอบเนื้อก้ามมากกว่าส่วนหางล็อบสเตอร์เสียอีก

"ไม่เป็นไร เจ เดี๋ยวฉันสั่งเอง เจสั่งก่อนเลย"

คนตัวโตของเจปฏิเสธ เขาไปยืนเลือกสลัดที่ปรุงแล้วอยู่หน้าตู้แช่ใกล้ๆ ไลน์อาหารทะเล เขาตักสลัดบีทรู้ท สลัดนิซัวส์ที่มีทูน่าสดย่างแค่ผิวและสลัดปลาหมึกยักษ์และมะกอก เขาตักอาร์ติโชคดองมาอีกหน่อยโดยตักเผื่อมาให้เจด้วยเพราะรู้ว่ามันเป็นของโปรดของเจ้าตัวเล็ก แล้วยังเดินไปตักแซลมอนรมควันมาอีกหน่อย จากนั้นก็เดินกลับไปสมทบกับเจที่กำลังยืนเม้าแตกอยู่กับเชฟหนุ่มชาวไทย

"ไงจ๊ะ จะเอาสเต๊กโทมาฮอว์คทั้งชิ้นเลยเหรอ?"

ฆาเบียร์โอบเอวคนรักหมับ ใจจริงเขาอยากหอมแก้มเจโชว์เชฟคนไทยอีกสักฟอดเพื่อสร้างแลนด์มาร์คแต่รู้ว่าเจคงไม่ชอบแน่ๆ ถ้าเขาทำแบบนั้น

"ถ้ายกทั้งชิ้นได้ ผมก็จะเอาไปทั้งชิ้นแล้วนะ ฆาบี้"

เจหันไปยิ้มหวานให้คนรัก เขาสะดุ้งเล็กๆ เมื่อถูกโอบเอวแต่ก็ยอมให้คนตัวโตทำแต่โดยดีเพราะรู้ว่ามันเป็นผลจากคำพูดเล่นของตัวเขาเอง คนตัวเล็กนึกขำในใจที่ฆาเบียร์มีทีท่าจริงจังกับสิ่งที่เขาพูดไปแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องล้อเล่นก็ตาม​ ฆาเบียร์หันไปส่งยิ้มละไมให้เชฟที่กำลังเริ่มหั่นเนื้อตามที่เจขอไป

"คนไทยเหรอครับ?"

เชฟตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาบอกว่าในโรงแรมมีคนไทยทำงานในส่วนครัวนี้อีกสองคนและยังมีที่ทำงานในส่วนสปาอีกด้วย

“ที่มาเก๊าคนไทยเยอะครับ โดยมากก็กระจายกันอยู่ตามโรงแรมและคาสิโนนั้นนี้ มีที่เป็นแม่บ้านบ้างแต่โดยมากก็จะทำงานกันอยู่ตามโรงแรม”

เชฟหนุ่มตอบคำถามของเจที่ถามเรื่องค่าครองชีพและอื่นๆ เขาบอกว่าค่าครองชีพที่นี่สูงมาก ต่อให้เงินเดือนสูงก็ยังเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ก็เป็นอีกช่องทางในการทำงานนอกเหนือจากการทำงานในประเทศซึ่งมีการแข่งขันสูงกว่าและมีโอกาสก้าวหน้าน้อยกว่า



“โอย ผมชอบไอ้เจ้าสเต๊กโทมาฮอว์คนี้จริงๆ เนื้อทั้งนิ่มทั้งชุ่มฉ่ำ ย่างดีมากๆ เลยครับ"

เจจิ้มสเต๊กที่ด้านในยังเป็นสีชมพูงดงามเข้าปาก เขาแทบจะขูดมันบดทรัฟเฟิลที่อยู่ในจานกินจนไม่เหลือเศษ ต่อให้มันอร่อยได้ไม่เท่าครึ่งของมันบดชุ่มเนยที่โรบุชง แต่กลิ่นหอมๆ ของทรัฟเฟิลเพสต์ก็ชวนให้เจริญอาหารจริงๆ เมื่อหมดแล้ว เจตักซุปครีมเห็ดเซ็ปที่ตักมาเป็นถ้วยที่สองขึ้นซดต่อ กลิ่นหอมๆ และรสชาติเข้มข้นของเห็ดจากฝรั่งเศสนี้ทำให้เขาเจริญอาหาร จากนั้นเขาหันไปจัดการกับซีฟู้ดที่ตักมาต่อ

"กินหอยนางรมไปกี่ตัวแล้ว เราน่ะ หืมม์? ระวังคืนนี้จะลำบากนะ"

ฆาเบียร์แซวคนรักที่กำลังยกเปลือกหอยนางรมจากฝรั่งเศสขึ้นเพื่อ slurp หรือห่อปากดูดเอาเนื้อหอยนางรมเข้าปาก เจไม่สนใจ เขายกแชมเปญขึ้นจิบตามแล้วทำหน้าฟิน

"น่าๆ แค่นี้จิ๊บๆ แต่ผมว่านะ คนที่ลำบากไม่น่าจะใช่ผมหรอก น่าจะเป็นคุณมากกว่า"

เจส่งสายตาเจ้าชู้ให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์หน้าแดงซ่าน เจ้าตัวเล็กของเขากินหอยนางรมไปไม่ต่ำกว่าสิบตัวแล้ว ถ้าไม่ท้องเสียหรือคลอเรสเตอรอลจุกอกเสียก่อน คืนนี้เจคงได้นอนตะกายฝาเป็นแน่แท้แล้วคนที่ลำบากก็คงไม่แคล้วจะเป็นเขาจริงๆ

"ระวังท้องเสียด้วยแล้วกันนะ พรุ่งนี้ต้องขึ้นเครื่องด้วย"

คนตัวโตเตือนอย่างเป็นห่วง เจนยุทธหน้าสลดลงทันควัน

"พรุ่งนี้แล้วเนาะ"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่และวางเปลือกหอยนางรมลงบนจาน เขาชักรู้สึกกินอะไรไม่ลงแล้ว คนตัวโตเองก็ถอนหายใจเบาๆ เขาเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของคนรัก

"เจ อย่าเศร้าสิ เดี๋ยวไม่นานฉันก็กลับบ้านแล้ว"

คนตัวเล็กเม้มปากน้อยๆ น้ำตาของเขาหยาดหยดลง แชมเปญทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวกว่าปกติ ฆาเบียร์ลุกจากที่นั่งของเขาที่ฝั่งตรงข้าม เขาลากเก้าอี้จากโต๊ะของเมลิน่าที่ลุกไปแล้วมาและนั่งข้างเจนยุทธที่นั่งเก้าอี้ตัวนอก เขาโอบไหล่คนรักของเขาไว้และลูบต้นแขนเจเบาๆ เพื่อปลอบโยน เจน้ำตาร่วงอยู่ครู่หนึ่งโดยฆาเบียร์ปล่อยให้คนรักของเขาร้องไห้เงียบๆ โดยแค่กอดประคองไว้และลูบหลังเบาๆ เท่านั้น เขายกมือบอกพนักงานสาวในเสื้อสูทที่ดูมีท่าทางเป็นห่วงว่าเจไม่เป็นอะไร


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-04-2018 07:47:37 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - เมา (12/4/61)
«ตอบ #293 เมื่อ12-04-2018 07:54:51 »




---- เมา (ต่อ) ----



"โอเคหรือยัง?"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็กเมื่อเห็นเจหยิบทิชชู่มาเช็ดหน้าเช็ดตา เจพยักหน้าน้อยๆ คนตัวโตลูบหัวคนรักของเขาเบาๆ

"นี่เมาแล้วใช่ไหม?"

คนที่เริ่มจะดูท่าทางของเจออกถามขึ้น แม้ภายนอกเจยังดูปกติเหมือนไม่มีอาการเมาอะไร แต่เขาดูออกว่าคนรักของเขากรึ่มได้ที่แล้ว

"อือ เมาชิ-หายเลยครับตอนนี้"

ฆาเบียร์โคลงหัวเบาๆ ลงเจใช้คำว่า F-ing drunk แบบนี้สงสัยจะเมาเต็มที่แล้วจริง

"นี่ผมดื่มไปกี่แก้วแล้วเนี่ย?"

เจนยุทธเองไม่ได้นับว่าตัวเองดื่มไปแล้วกี่แก้ว เขารู้แค่ว่าเมื่อแชมเปญในแก้วของเขาเกือบหมดเมื่อไหร่ คุณซู หว่อง ผู้จัดการห้องสาวชาวจีนมาเลย์ก็จะปรี่เข้ามาเทให้จนเกือบเต็มแก้วอีกทุกครั้ง

"เท่าที่ฉันเห็นก็น่าจะเก้าแก้วแล้วนะเจ"

คนตัวโตตอบ ตัวเขาเองหยุดที่สามแก้วเพราะสำนึกตัวดีว่ายังกินยาต้านซึมเศร้าอยู่และควรต้องงดแอลกอฮอล์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่ต้องจิบบ้างเล็กๆ น้อยๆ ตามที่โอกาสอำนวย

"ขวดนึงเทได้ประมาณหกแก้ว เก้าแก้วก็ขวดครึ่งละ โอเค ผมดื่มเผื่อส่วนของคุณให้เรียบร้อยแล้วนะฆาบี้"

เจหันมายิ้มแป้นให้คนรักของเขา แก้มที่แดงระเรื่อของคนรักทำให้ฆาเบียร์อดดึงมันเล่นไม่ได้ ซึ่งเจก็โวยตามเคย



“เอ้า รีบๆ กินให้เสร็จได้แล้วเจนยุทธ เขาจะปิดไลน์แล้วนะ นี่สองโมงกว่าแล้ว”

เจยกนาฬิกาขึ้นดู แต่ก็เพ่งแล้วเพ่งอีกจนเลิกพยายาม เขาจัดการกับล็อบสเตอร์ในหม้อและก้ามล็อบสเตอร์ในจานจนหมดก่อนบ่นว่าอิ่ม

“เอ๊ะ คุณ นั่นอะไรอะ?”

คนที่เพิ่งบ่นว่าอิ่มถามถึงเนื้อปลาแซลม่อนอบในจานของฆาเบียร์

“แซลม่อนอบทั้งตัวไง อยู่ข้างล็อบสเตอร์ เจไม่ทันเห็นเหรอ?”

เจนยุทธส่ายหน้าระรัว

“ดูน่ากินจัง แล้วมันอบแบบไหนครับ”

คนตัวเล็กทำท่าน้ำลายยืดเมื่อฆาเบียร์บอกว่ามันคือแซลม่อนทั้งตัวที่ถูกนำมาพอกด้วยเกลือจนหนาและนำไปอบ เจลุกขึ้นทันทีที่คนตัวโตสาธยายจบ

“ฆาบี้ครับ พาผมไปตักที ผมอยากลองชิม”

“กินของฉันก็ได้นี่นา ไม่ต้องลุกแล้ว เราน่ะ”

“ไม่เอาอ่ะ! ก็อยากตักเอง ผมอยากเห็นปลาอบทั้งตัวนี่”

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อคนตัวเล็กเริ่มงอแง

“เอ้า ตามใจ ไปก็ไป จะดูชีสกับของหวานมาด้วยเลยไหม”

เจหันมายิ้มให้คนรักจนตาหยี ฆาเบียร์ยีหัวคนรักเบาๆ และเดินโอบไหล่เจไปตักอาหารตามที่คนตัวเล็กต้องการ เขาช่วยเจถือจานอาหารกลับมาที่โต๊ะแล้วก็ต้องโคลงหัวน้อยๆ เมื่อพบว่าแก้วแชมเปญของเจถูกเติมจนเต็มไว้อีกแล้ว

“เดี๋ยวฉันดื่มให้แทนดีกว่าไหม?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไหว คุณน่ะ ไม่ต้องดื่มแล้วเดี๋ยวมันจะตีกันกับยา”



เจจัดการกินแซลม่อนอบที่ตักมาชิมเพียงเล็กน้อยจนหมด มันยังจืดไปหน่อยสำหรับเขา แต่อาจจะเพราะว่าปกติเขาไม่ได้ชอบรสชาติของแซลม่อนสุกนักก็ได้ จากนั้นเขาหันไปให้ความสนใจกับชีสสามสี่ชนิดที่ตักมา เขายกแชมเปญขึ้นดื่มล้างปากหลังจบจานชีส เขาตบท้ายมื้อนี้ด้วยขนมหวาน

“ไอ้เจ้าพายพีแคนนี่อร่อยดีนะคุณ แต่ไอ้เจ้าเค้กนี่ไม่ค่อยเท่าไหร่ เค้กช็อคโกแลตนี่ก็รสเหมือนที่เป็นเค้กวันเกิดผมเลย ส่วนไอ้เจ้ามาเดเลนนี่ สู้ของโรบุชงไม่ได้อ่ะ”

เจกินไปก็ติชมไป ขนมของที่นี่รสชาติใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้อร่อยทุกอย่าง เขายกแชมเปญขึ้นจิบแล้วก็ชมเปาะว่ามันเข้ากับของหวานได้ดีเหลือเกิน

“เจรู้ไหมว่ากระทั่งทุกวันนี้ แชมเปญยังเป็นเครื่องดื่มที่คนฝรั่งเศสบางส่วนเลือกดื่มกับของหวานนะ ในสมัยก่อนคนนิยมดื่มแชมเปญที่มีรสหวานกว่านี้ และดื่มเป็นเหล้าหวานเพื่อปิดมื้ออาหาร…”

ฆาเบียร์เล่าให้คนตัวเล็กที่นั่งเท้าคางทำตาแป๋วฟังเขา

“…แต่ทาง Perrier-Jouet ก็แชมเปญแบรนด์ที่เรากำลังดื่มอยู่นี่แหละ เป็นผู้ผลิตรายแรกที่ทำแชมเปญแบบ Brut หรือแบบไม่หวานขึ้นมาเพื่อส่งขายไปยังตลาดอังกฤษ และมันกลายเป็นที่นิยมแทนแชมเปญแบบหวานอย่างรวดเร็ว เลยกลายเป็นรสมาตรฐานของแชมเปญในทุกวันนี้”

เจตบมือน้อยๆ เมื่อคนตัวโตพูดจบ

“แฟนผมนี่เก่งจริงๆ แบบนี้ต้องให้รางวัล”

ก่อนที่ฆาเบียร์จะทันรู้ตัว เจก็โน้มตัวมาดึงคอเสื้อเขาไปประทับจูบเข้าที่ริมฝีปากจ้วบใหญ่โดยไม่สนใจคนรอบข้าง คนตัวโตหน้าร้อนวาบ

“เจ!”

“ขอผมจูบเมียหน่อยไม่ได้เหรอ?”

เจนยุทธทำหน้าจ๋อยเมื่อคนตัวโตดันเขาออก ฆาเบียร์โคลงหัวน้อยๆ เขาคงต้องพาเจขึ้นไปนอนเสียแล้ว เขายกมือเรียกพนักงานเพื่อเซ็นบิลล์


(French Sunday Brunch2)
https://www.picz.in.th/images/2018/04/12/Y94zkb.jpg


“เจ กินเสร็จแล้วใช่ไหม? งั้นเราขึ้นห้องกันดีกว่านะ”

เจนยุทธทำท่าจะน้ำตาร่วงอีกรอบ

“ผมทำให้คุณอายเหรอ ฆาบี้ ผมขอโทษ”

คนตัวโตเกาหัว แม้ภายนอกจะดูไม่ออกว่าเจ้าตัวเล็กเมาเพียบขนาดไหน แต่ดูเหมือนว่าเจของเขาจะเจ้าน้ำตาเป็นพิเศษเวลาเมาจนถึงจุดหนึ่ง เขาลุกขึ้นยืนและดึงคนตัวเล็กให้ลุกจากเก้าอี้ เขาหอมแก้มแดงๆ ของคนรักและโอบไหล่เพรียวของเจ

“ไม่ได้อาย แค่ตกใจ โอเคนะ? เมาแล้วหื่นเหรอจ๊ะ คนดีของฉัน?”

เจพยักหน้าแล้วยิ้มเขินๆ เขาไม่ค่อยถูกโรคกับพวกไวน์หรือแชมเปญเท่าไหร่

“ยังเดินไหวไหม?”

คนตัวโตถามอย่างเป็นกังวล เจยกมือทำสัญญาณว่าโอเค คนตัวโตพาคนรักเดินช้าๆ ออกจากริทซ์ คาเฟ่ เจเดินเซน้อยๆ แต่ก็ยังไหวเหมือนที่เจ้าตัวบอกจริงๆ พวกเขาขึ้นลิฟท์ไปยังห้องพัก เจทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาทันทีที่เข้าถึงห้อง

“โอย เมาชิบ”

เขาบ่นเบาๆ เป็นภาษาไทย ฆาเบียร์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ คนรักอย่างเป็นห่วง เขาส่งแก้วน้ำเย็นให้เจ คนตัวเล็กชันกายลุกขึ้นกระดกจนหมดแก้ว จากนั้นขอขวดน้ำพลาสติกมายกดื่มน้ำที่เหลือจนหมดขวด เขาต้องพยายามกินน้ำเปล่ามากๆ เพื่อให้สร่างเมา

“กาแฟดำไหม?”

คนตัวโตถาม เจพยักหน้าแล้วกลับลงไปนอนต่อ ฆาบี้จัดการชงกาแฟดำมาแก้วหนึ่ง เขาอึ้งเมื่อหันกลับไปหาแล้วเห็นเจนยุทธนอนขดตัวร้องไห้กระซิกๆ อยู่



“เจ เป็นอะไร?”

“คุณดีกับผมมากเลย ฆาบี้ คุณรักผมขนาดนี้ แต่ผมมันไม่ได้เรื่อง ทำให้คุณได้อายตลอดเลย ผมมันเด็กกะโปโล ไม่คู่ควรกับคุณสักนิด”

เจยิ่งพูดยิ่งสับสน เขาปล่อยโฮใหญ่ ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขาวางแก้วกาแฟแล้วดึงเจให้ลุกมาร้องไห้กับอก เขาลูบหลังที่สั่นเทาของคนรัก เจบ่นพึมพำออกมาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หลักๆ ก็เรื่องความน้อยใจในความไม่ได้เรื่องของตัวเอง ความต่างชั้นของพวกเขาทั้งสอง อีกทั้งความเสียใจที่จะต้องอยู่ห่างกัน ฆาเบียร์เองก็พลอยจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่แต่ก็ข่มไว้ได้ พอได้รับยาสม่ำเสมอ เขาก็อ่อนไหวน้อยลงมาก เขากอดปลอบเจจนกระทั่งคนตัวเล็กหยุดร้องไห้



“เอ้า นี่ กาแฟ”

คนตัวโตส่งแก้วกาแฟให้คนรักที่สงบลงบ้างแล้ว เจยกขึ้นดื่มจนหมดแล้วทำหน้าเบ้ ฆาเบียร์ชงมันแก่กว่าปกติ

“ไปนอนบนเตียงดีกว่าไหม เจ จะได้สบายๆ”

“ไม่ดีกว่าครับ ขอผมสร่างเมากว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยไปอาบน้ำนอนสบายๆ ตอนนี้ขอนอนพักให้หายมึนก่อน”

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ เขาเห็นทุกอย่างซ้อนกันไปหมดแล้ว ตอนออกจากร้านอาหารเขายังพอฝืนอาการไหว แต่เหมือนกับว่าแอลกอฮอล์จากแก้วสุดท้ายคงเพิ่งมาออกฤทธิ์เอาตอนนี้ ฆาเบียร์จัดการให้เจลงนอนหนุนตักเขา เจขยับหาท่าที่สบายแล้วหลับตาลง

“เวลาเมาแล้วนายขี้แยเหมือนกันนี่นา เจนยุทธ”

ฆาเบียร์ชวนคนตัวเล็กคุยเพื่อไม่ให้หลับ เจย่นจมูกให้คนรัก

“ผมไม่ได้เป็นงี้ทุกครั้งหรอกน่า”

เจพยายามตั้งสติพูด กาแฟดำที่ดื่มลงไปเมื่อกี้ช่วยให้เขาสดชื่นขึ้นบ้างแล้ว

“นานๆ ผมจะเมางี้ที คราวนี้เป็นเพราะผมกะปริมาณที่ทำให้เมาของไอ้เจ้าแชมเปญนี้ไม่ถูก…”

เจจำไว้ในใจแล้วว่าจุดเมาของเขากับแชมเปญคือประมาณขวดครึ่งภายในสามชั่วโมง

“…แต่ไอ้ครั้งสุดท้ายที่ผมตั้งใจกินเหล้าจนเมาร้องไห้ขนาดนี้ ก็ตอนผมนึกว่าคุณทิ้งผมไปแล้วนั่นแหละ ฆาบี้”

เจทุบเบาๆ ไปที่ต้นขาของคนรัก คนตัวโตงงงัน

“เดี๋ยว ฉันไปทิ้งนายเมื่อไหร่ เจนยุทธ?”

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว

“ก็ตอนคุณหายไปเลยหลังจากกลับไปสหรัฐฯ แล้วไปไม่สบายนั่นไง ตอนงานเปิดตัวบริษัทที่ฮ่องกงน่ะ ช่วงสองสัปดาห์ที่คุณหายไปเลยนั้น ผมเฉาเลยนะ…”

เจที่สติยังลางเลือนพล่ามสิ่งที่ติดค้างในใจออกมา

“…ผมคิดว่าสุดท้ายมันก็แค่นี้สินะ คุณคงไม่มาคิดจริงจังอะไรกับคนที่รู้จักกันแค่เดือนเดียว…”

เจปาดน้ำตา ฆาเบียร์ลูบผมดำขลับของคนรักด้วยความสงสารปนเอ็นดู

“…ตอนนั้นผมรู้ซึ้งเลยว่าอาการของคนอกหักมันเป็นงี้เอง พวกเพื่อนชวนไปกินเหล้าผมก็ไปกินให้เมาแล้วก็กลับมาร้องไห้จนหลับ”



“โธ่ เจ…”

คนตัวโตยกมือคนรักขึ้นจูบแล้วนำมาแนบแก้ม

“ฉันจะทิ้งนายได้ยังไง ตอนนั้นฉันเป็นยังไงนายก็เห็น…”

“ก็ตอนนั้นผมไม่รู้นี่ว่าคุณจะอาการหนักกว่าผมอีก ผมนึกไม่ถึงหรอกว่าเดือนนึงมันจะทำให้พวกเราผูกพันกันถึงขนาดนี้ ผมนึกว่ามีแค่ผมคนเดียวที่คิดไปเอง”

เจพูดยิ้มๆ เขาโน้มคอคนตัวโตลงมาจุมพิตเบาๆ

“คุณรักผมจริงๆ ใช่ไหม คุณมาร์ติเนซ? คุณไม่ได้แค่หลงไปชั่วคราวใช่ไหม?”

คนตัวโตรับคำอย่างหนักแน่น เจดึงมือฆาเบียร์มาประทับบนตำแหน่งของหัวใจ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังคงทำให้เขาเผยสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมาเรื่อยๆ

“ถ้าคุณทิ้งผมไป ผมคงหัวใจสลายแน่ๆ ฆาบี้ แค่คิดผมยังปวดใจเลย”

เจพูดเสียงเครือ ฆาเบียร์สะท้อนใจ เขาเคยได้ยินคำพูดทำนองนี้จากปากชายหนุ่มที่เขาเคยควงหรือคบหาบ่อยครั้ง หากพวกมันเป็นเหมือนลมผ่านหูเขาไป หากเขาเพิ่งมาเข้าใจถึงความรู้สึกของคนเหล่านั้นผ่านความรู้สึกของเจนยุทธผู้ที่เขารับฟังอย่างจริงจัง เจถอนหายใจเฮือกใหญ่และลูบหน้าตัวเองแรงๆ

“ถ้าผมพูดอะไรอย่างหนึ่งออกไป คุณอย่าโกรธผมนะ”

คนตัวโตพยักหน้าให้คนรัก

“มีอะไรก็ระบายออกมาเลย เจนยุทธ อย่าได้เก็บมันเอาไว้ ฉันอยากให้เราเปิดเผยเรื่องต่างๆ ให้อีกคนฟัง อย่าได้เก็บอะไรไว้ให้มาขุ่นข้องหมองใจกันทีหลัง”

“ผม เอ่อ ผม…”

เจอ้ำอึ้ง เขารู้ว่าคนรักไม่ชอบพูดถึงเรื่องแบบนี้เท่าไหร่

“ผมอยากขออะไรคุณอย่างหนึ่งได้ไหม ฆาบี้ ขอจริงๆ และอยากให้คุณสัญญากับผมว่าคุณจะทำ”

“บอกมาก่อนเจ ฉันยังสัญญาไม่ได้จนกว่าจะได้ยินว่านายอยากได้อะไร”

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ผมรู้ว่าเรารักกันแค่ไหน แต่อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปได้…เดี๋ยว ฟังก่อนฆาบี้”

เจยกมือห้ามคนตัวโตที่ทำท่าจะพูดอะไรออกมา

“ถ้าวันหนึ่ง คุณเกิดหมดรักผมแล้ว ผมอยากให้คุณบอกผมมาตรงๆ ต่อหน้า…”

เจกลั้นสะอื้นเมื่อนึกว่าเหตุการณ์นั้นอาจมาถึงสักวัน

“ใช่ มันอาจจะเจ็บ มันอาจทำให้ผมใจสลาย แต่...แต่ผมคงทนไม่ได้ถ้าคุณใช้วิธีอื่น”

เจทนกลั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว เขานึกถึงวันคืนที่แสนทรมานตอนที่เขานึกว่าฆาเบียร์ได้ทิ้งเขาไปโดยไม่บอกลา

“ผมทนไม่ได้ถ้าจู่ๆ คุณหายไป หรือมาปั้นปึ่งเย็นชาใส่ผมแบบที่คุณทำกับเฟลิเป้ ผมทนไม่ได้ ฆาบี้ ผมรับไม่ได้”

เจยกมือปิดหน้าและพูดทั้งน้ำตา

“ฉะนั้นสัญญากับผมนะ ที่รัก ว่าถ้าวันนั้นมาถึง บอกกับผมต่อหน้าว่าคุณไม่รักผมแล้วและผมจะยอมจากไปแต่โดยดี”



“เจ ตลอดเวลามานี้นายคิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ?”

ฆาเบียร์พูดด้วยเสียงสั่นเครือ เขาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำตาของเขาหยดเผาะลงบนใบหน้าของคนรัก เจยกมือที่ปิดหน้าออก เขารีบยันกายขึ้นกอดคนตัวโตที่น้ำตานองหน้า ฆาเบียร์สะอื้นฮักๆ อารมณ์ของเขาแปรปรวนขึ้นมาอีกจนได้

“ทำไมนายคิดว่าฉันจะใจร้ายกับนายแบบนั้นได้ลงคอ นายไม่มั่นใจในตัวฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ใจของฆาเบียร์ร้าวราน เขาน้อยใจว่าความรักของเขาที่ทุ่มเทลงไปนั้นยังไม่สามารถทำให้เจมั่นใจได้ เขาคงต้องได้แต่โทษชีวิตในอดีตของตนเอง คนตัวโตกลั้นใจพูดต่อ

“…แต่ถ้านายอยากให้ฉันสัญญา ได้ ฉันสัญญา วันไหนที่ฉันเป็นอื่นฉันจะมาหานาย มาบอกนายตรงหน้า และยอมให้นายลงโทษฉันให้สาสม นายจะตี จะด่า จะทำร้ายฉันยังไงก็ได้ ตามแต่นายต้องการเลย”

เจใจสั่น น้ำเสียงของฆาเบียร์ช่างเศร้าเหลือเกิน เจใช้นิ้วปาดน้ำตาจากตาคู่งามของคนรัก เขาจูบซับน้ำตาจากร่องแก้มของคนตัวโต

“ผมก็จะสัญญากับคุณแบบเดียวกัน ฆาเบียร์ เราจะไม่มีความลับต่อกัน และเปิดเผยความรู้สึกของกันและกันให้อีกฝ่ายรู้ ถ้ารักเราจืดจาง เราจะหาทางคุยกันและจากกันด้วยดี เราจะไม่ทำร้ายกันด้วยความเมินเฉยและเย็นชา โอเคไหม?”

ฆาเบียร์แทบไม่อยากตอบรับในสิ่งที่เขาไม่เคยมีความคิดในหัวว่าจะเกิดขึ้น แต่สายตามุ่งมั่นของคนที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาต้องตอบรับ เจยิ้มหวานให้คนรักที่น้ำตาหยุดไหลแล้ว เขาจูบแผ่วๆ ที่ปากฆาบี้แล้วกลับลงไปนอนหนุนตักแข็งแรงเหมือนเดิม เขายังมึนน้อยๆ ไม่หาย



“ยังมีอะไรติดค้างในใจอยากพูดอีกไหม หือ? นายนี่มันช่าง...”

คนตัวโตปาดคราบน้ำตาจากแก้มตนแล้วจับจมูกน้อยๆ ของคนเมาสั่นเบาๆ เจส่ายหน้า

“ผมสบายใจแล้วครับ ฆาบี้ ขอบคุณจริงๆ ที่รับฟังผม"

เจพลิกกายกอดคนที่ยอมเป็นหมอนให้เขา เขาฝังใบหน้าลงที่หน้าท้องแบนราบของคนรัก

"Te quiero, Javi"


เจงึมงำบอกรักเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ

"อ้ายก่อฮักเจนะ"

คนตัวโตบอกรักเจ้าตัวน้อยของเขาด้วยภาษาแม่ของอีกฝ่าย เจกอดคนรักนิ่งๆ แบบนั้นอยู่อีกพักหนึ่ง ฆาเบียร์เองก็นั่งเงียบๆ และปล่อยให้เจกอดอยู่แบบนั้น

"โอเค อาบน้ำกันเถอะ"

เจถอนหายใจเฮือกแล้วลุกขึ้นนั่ง เขาสร่างเมาบ้างแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มง่วงจัดและอยากนอนสบายๆ

"งั้น แช่น้ำกันไหม จะได้สบายตัว เดี๋ยวเจนั่งรอก่อนนะ ฉันจะไปจัดการเปิดน้ำใส่อ่างให้"

ฆาเบียร์กุลีกุจอลุกขึ้นและเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ เขาจัดการเปิดน้ำร้อนใส่อ่าง เขาหัวเราะน้อยๆ เมื่อเดินกลับมาเห็นเจหลับไปทั้งที่ยังนั่งอยู่ คนตัวโตปลุกคนรักของเขา เจงัวเงียตื่นขึ้นและลุกขึ้นยืนแต่โดยดี ฆาเบียร์ประคองเจ้าตัวเล็กที่เดินเป๋ไปเป๋มาเข้าไปในห้องน้ำ



“นี่แกล้งเมายั่วฉันอีกหรือเปล่า?”

คนตัวโตกระซิบที่ข้างหูคนรัก เขาจูบคลึงที่ใบหูและข้างแก้มที่ไม่ค่อยจะแดงแล้ว เจหลับตาสั่นหัวอย่างเบลอๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และช่วยเจปลดเปลื้องเสื้อผ้า เขาอุ้มเจขึ้นและหย่อนลงในอ่างลึกจากนั้นก้าวตามลงไป เจบ่นว่าน้ำไม่ค่อยร้อน แต่ฆาเบียร์อธิบายว่ารอบนี้เขาผสมน้ำให้ร้อนน้อยหน่อย ให้อุ่นเพียงพอสบายเพื่อไม่ให้อุณหภูมิในร่างกายเจนยุทธสูงเกินไป เจพยักหน้ารับคำ เขาขยับตัวมานั่งพิงอกคนรัก

“ฮ้า สบายจัง มีเบาะให้พิงด้วย แต่ไม่ค่อยนิ่มเท่าไหร่เลย”

เจหัวเราะคิกคัก เขาหันไปจุ๊บปากคนรักเบาๆ

“ผ่านมาสามวัน ในที่สุดก็ได้แช่น้ำในอ่างนี้แบบจริงๆ จังๆ ซะที เมื่อวานก็ได้แช่แป๊บเดียว เอ๊ะ!”

เจตีมือคนตัวโตที่มือไม้ชักเริ่มอยู่ไม่ค่อยสุขแล้ว

“ไม่เอาๆ อย่าซนสิคุณ ขอแช่น้ำสบายๆ หน่อย จูบได้ หอมได้ กอดได้ อย่างอื่นห้าม!”

ฆาเบียร์โอดครวญน้อยๆ แต่ก็ทำตามโดยดี เจหลับตาพริ้มและเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากร้อนๆ ที่จูบพรมตามลาดไหล่และต้นคอ ลมหายใจอุ่นๆ ที่ซอกคอและใบหูทำให้เขาขนลุกไปทั้งตัว

“เจ ตื่นแล้วนี่”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เมื่อมือที่โอบหลวมๆ บริเวณตักของคนรักสัมผัสบางสิ่งได้ เจหน้าแดงซ่าน ร่างกายเขามันช่างซื่อตรงดีจริงๆ

“ไม่เอา ห้ามจับนะ ผมจะแช่น้ำ ไม่อยากเหนื่อย”

เจระล่ำระลักพูดและจับข้อมือใหญ่ที่พยายามรุกล้ำ ฆาเบียร์หยุดและไม่รุกรานคนตัวเล็กอีก

“ขอบคุณครับ”

เจหันไปจุ๊บคนรักเบาๆ

“ขอผมแช่น้ำแป๊บนึงแล้วจะขอหลับอีกหน่อย ไม่ไหว ผมตาจะปิดแล้ว”

เจขยี้ตาแล้วหาวหวอด

“หลับพิงอกฉันเลยก็ได้นะเจ เดี๋ยวฉันอุ้มนายไปนอนเอง”

คนตัวโตขยับเจให้อยู่ในท่าที่หลับได้ แต่เจส่ายหัวปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรครับ แช่อีกแป๊บเดียวพอ แต่ถ้าคุณอยากขึ้นแล้วก็ได้นะ แต่คงต้องรบกวนดึงผมขึ้นด้วย ไม่หวาย มาว”

คนตัวโตส่ายหัว เขาหอมแก้มแดงๆ ของคนรักที่พูดแบบอ้อแอ้อีกครั้ง

“พูดแบบนี้ เมาจริงหรือเมาเล่นล่ะ?”

“เล่น เอ๊ย จริง!”

เจพูดยิ้มๆ เขาสร่างเมามาพอสมควรแล้ว เขาวักน้ำลูบหน้าและเนื้อตัว สายน้ำทำให้เขาสดชื่นขึ้น ถ้าได้หลับต่ออีกสักงีบก็คงดีขึ้น



“นายนี่เหลือเกินจริงๆ เลยนะ ฉันไม่น่าปล่อยให้นายดื่มเยอะขนาดนี้เลย ก็ดูท่าทางไม่ออกเลยว่าเมา นี่ถ้าปล่อยให้ดื่มอีกแก้วสองแก้วไม่หลับคาร้านไปเลยเหรอ”

คนตัวโตบ่นคนที่เริ่มได้สติมาบ้างแล้ว

“ไม่หลับๆ ในชีวิตผม ผมเคยเมาหลับแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือตอนยังเรียนอยู่”

เจเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้คนรักฟัง ตอนนั้นเขาย้ายมาเรียนการโรงแรมที่ม. เอกชนแล้ว ตัวเขากำลังห้าวและเพลิดเพลินกับการใช้เงินที่แม่ให้มาเมื่ออายุครบ 20 ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เขากับเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันชวนกันไปเสม็ด คืนแรกที่ไปถึงพวกเขาก็ตั้งวงดื่มเหล้ากันที่ชายหาดหน้าที่พัก เจซื้อและหอบหิ้วเหล้าบลูเลเบิลมาหลายขวดเพื่อแจกเพื่อนและเก็บขวดหนึ่งไว้ดื่มเอง หลังจากกินเหล้าเบียร์ชนิดอื่นไปหลายขนาน เจตบท้ายด้วยการยกบลูเลเบิลขวดนั้นขึ้นกระดกเพียวๆ จนหมดในที่สุด เขานั่งโยกไปเยกมาเพราะความเมาก่อนจะรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมา

“ผมขี้เกียจไขกุญแจกลับเข้าห้องเลยเดินลงน้ำไปฉี่ พอรู้ตัวอีกทีผมก็นอนอยู่บนหาดแล้ว”

เจงงอยู่พักใหญ่เมื่อเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของเพื่อนๆ

“ปรากฎว่าผมวูบไปตอนเดินลุยลงน้ำ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ตัวแล้วด้วยว่าเดินลงทะเลไปลึกเหมือนกัน คือ ลึกเท่าอกผมแล้วอ่ะ ผมคิดว่าตัวเองลุยลงไปแค่ไม่กี่ก้าว ดีได้ซันซันกับปรินซ์ตามลงไปด้วย”

ทั้งสองคนตามลงไปด้วยเพราะเห็นท่าไม่ดี ปรินซ์ลากคอเจที่หมดสติหน้าคว่ำทั้งยืนขึ้นมาจากน้ำได้ทันท่วงที เจหมดสติไปพักใหญ่เลยทีเดียว

“บ้ามากเลยเจ นายดื่มไปเยอะขนาดนั้นทำไม มันถึงตายเลยนะ! ถ้านายเป็นแบบฉันคราวนั้นล่ะแย่แน่ๆ”

คนที่เคยเกือบตายเพราะภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเอ็ดลั่น เขากอดร่างเพรียวในอกแน่น เจตบแขนกำยำที่โอบรอบร่างเขาเบาๆ

“รู้แล้วๆ ไม่ทำแล้วจ้า จะว่าไปวันนั้นผมก็ยังโชคดีนะ ถ้าเป็นแบบคุณนี่คงตายริมหาดตรงนั้นแล้วจริงๆ เพราะไปหาหมอไม่ทัน”

พวกเขาทุกคนที่ไปเที่ยวกันในตอนนั้นไม่เคยรู้จักหรือเข้าใจถึงความอันตรายของภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษอย่างรุนแรงเลย พวกเขาห่วงเรื่องที่เจเกือบจมน้ำมากกว่า เจมารู้ซึ้งเอาเมื่อตอนอายุมากขึ้นอีกหน่อยแล้วว่าในวันนั้นเขาเฉียดตายแค่ไหน



(วันนี้ยาวหน่อย ต่อคอมเมนท์ถัดไปอีกรอบนะคะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - เมา (12/4/61)
«ตอบ #294 เมื่อ12-04-2018 08:05:11 »



---- เมา (ต่อ) ----




“แต่ตอนนั้นมันก็น่ากลัวนะ มันวูบไปเลยคุณ เหมือนดับไฟ คือหลับไปโดยไม่รู้ตัวเลย เข้าใจเลยว่าทำไมเขาเรียกว่า blackout หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองเมาขนาดนั้นอีก เมาแบบพูดเรื่อยเปื่อยหรือร้องไห้น่ะมีบ้าง แต่เมาจนหลับพับไปน่ะ นอกจากตอนโดนมอมแล้วก็ไม่เคยอีกเลย”

“เดี๋ยว โดนมอมอะไร?”

เจแทบอยากเขกหัวตัวเองที่หลุดปากพูดเรื่องนั้นออกไป

“โอ๊ย ไม่มีอะไรหรอกคุ๊ณ ป่ะ เราขึ้นน้ำแล้วไปนอนกันเถอะ”

คนตัวเล็กทำท่าจะลุกขึ้นแต่โดนวงแขนที่โอบรัดกายไว้แน่นรั้งตัวไว้

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เจนยุทธ นายหมายความว่ายังไงเรื่องโดนมอมน่ะ”

คนตัวโตมีสีหน้าเคร่งเครียด

“ไหนบอกว่าจะไม่มีความลับต่อกันแล้วไงล่ะ?”

ฆาเบียร์สำทับ เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

"โอเคๆ เล่าก็ได้ แต่ขึ้นจากน้ำก่อนดีกว่าครับ น้ำชักเย็นแล้ว"

คนตัวโตรีบลุกขึ้นและประคองคนรักของเขาขึ้นจากน้ำ เขาจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจนยุทธและพาขึ้นเตียงนอน เจนอนหนุนอกคนที่ให้ความอบอุ่นใจแก่เขา คนตัวโตกอดกระชับร่างเพรียวไว้แน่น เจไล้มือไปตามแผงอกกว้างของคนรัก เขาเล่าเรื่องราวของเขาต่อ



"...ก็ตามนั้นแหละ ผมดันไปกินเหล้าที่คนแปลกหน้าส่งให้ในผับ รู้ตัวอีกทีอยู่โรงพยาบาลแล้ว"

ฆาเบียร์ใจหายวูบ มือของเขาที่วางบนสะโพกของคนรักอยู่จิกแน่นจนเจนยุทธต้องบ่นเจ็บออกมาเขาถึงได้ปล่อย เจพ่นลมหายใจออกจากปากและเล่าให้คนรักฟัง

"ก็สามสี่ปีมาแล้วมั้งคุณ ตอนนั้นไอ้ผับที่พวกเราไปเที่ยวกันทุกทีมันมีงาน ในงานก็มีพวกแข่งเต้น ประกวดขวัญใจนั่นนี่ ไอ้พวกเพื่อนผมก็จับผมลงประกวดคิวท์บอยอะไรสักอย่าง ผมก็ไม่ได้อยากลงหรอก แต่โดนยุ รางวัลมันก็น่าสนด้วย พวกสาวๆ ผมเค้าก็จับผมแต่งตัวใหญ่ แต่งแนวไอดอลเกาหลีอะไรพวกนั้น ทำผม แต่งหน้าแต่งตาให้มันดูหวานๆ ทีนี้มันคงไปเตะตาบางคนเข้ามั้ง..."

เจพูดอย่างเซ็งๆ เขาเล่าต่อ

"ประกวดเสร็จ ลงเวทีมา คนก็มารุมๆ คนประกวดกันใช่มะ เพื่อนมั่ง คนรู้จักมั่งไม่รู้จักมั่ง มาขอชนก้งชนแก้ว อะไรแบบนั้น ผมก็ชนไปตลอดทางนั่นแหละ พอดีเหล้าหมด ผมก็จะไปที่บาร์ไง ทีนี้ระหว่างทางก็มีคนยื่นเบียร์ให้ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรไง ก็รับมา..."

ฆาเบียร์กลั้นหายใจ เขาใจแทบขาดรอนๆ เมื่อนึกภาพตาม

"...คือ ผมมันก็เป็นผู้ชายใช่ไหมล่ะ ไม่เคยคิดหรอกว่าจะมีใครมามอมเหล้าเราเอาไปทำอะไร แต่พอดื่มเข้าไปได้สักพักเท่านั้นแหละ คุณเอ๊ย ผมรู้ทันทีว่าตัวเองโดนดีเข้าแล้ว"

"อาการเป็นแบบไหนเหรอ เจ?"

"เหมือนคนเมาเหล้าหนักๆ ครับ แต่ผมรู้แน่ๆ อ่ะว่าผมไม่ได้กินไปเยอะขนาดนั้น มันทั้งเวียนหัว อยากอ้วก แขนขาไม่มีแรง ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนมีคนช่วยประคองไปห้องน้ำ ผมงี้อ้วกจนหมดไส้หมดพุง จากนั้นก็วูบไปเลย"

ฆาเบียร์กำหมัดแน่น เขาถามตะกุกตะกักออกมา

"เจ แล้วเจโดนมัน...เอ่อ..."

"โดนมันทำอะไรไหมเหรอ? ผมยังโชคดีอ่ะคุณ"

เจบอกว่าช่วงที่คนในผับกำลังสนใจกับการแข่งเต้นบนเวที เขาก็ถูกพาตัวออกไปจากห้องน้ำและกำลังจะถูกพาออกนอกผับ แต่โชคดีที่เจอเข้ากับกลุ่มเด็กเที่ยวที่คุ้นๆ หน้ากัน พวกนั้นถามว่าเขาเป็นอะไร คนๆ นั้นอ้างว่าเห็นเขาเมาหลับอยู่ในห้องน้ำและกำลังพาออกมาหาที่นั่งพักผ่อนด้านนอกเพื่อรับลมให้หายเมา เด็กกลุ่มนั้นพยายามซักถามเพราะเห็นว่าผิดสังเกต แต่คนๆ นั้นก็รีบผลุนผลันออกไปโดยทิ้งเขาไว้

"พวกน้องๆ เขาพยายามปลุกผมแต่ผมก็ไม่ตื่น เขาเลยรีบไปตามหาพวกเพื่อนๆ ผม ไอ้พวกนั้นก็กำลังตามหาผมอยู่เพราะเห็นหายไปนาน สุดท้ายพอดูอาการแล้วคิดว่าโดนยาแน่ก็เลยพาผมไปส่งห้องฉุกเฉิน ยังดีว่ามันไม่ถึงกับโอเวอร์โดส ผมก็จำไม่ได้ว่าโดนล้างท้องไหมหรือว่าแค่ปล่อยให้หลับไปหลายชั่วโมง รู้แค่ว่าตื่นมานี่ปวดหัวแทบระเบิดเลยคุณเอ๊ย"

เจบอกว่าที่แย่คือ พวกเพื่อนๆ เขาตื่นตูมโทรไปบอกพี่อิ่ม พี่อิ่มก็โทรบอกแม่อีกที เขาตื่นมาโดยมีคนทั้งสองเฝ้าอยู่ในห้องฉุกเฉินพร้อมกับพวกเพื่อนๆ ที่ต่างก็ทำหน้าจ๋อยกันไปหมด

"พอหายแล้วก็โดนสวดยับเลยคุณเอ๊ย แม่น่ะไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่พี่อิ่มน่ะ ใส่ชุดใหญ่ ทั้งผมทั้งพวกเพื่อนๆ โดนอบรมกันเป็นชุดเรื่องทำอะไรไม่ระวังตัวกัน"

"นายก็ไม่ระวังตัวจริงๆ ล่ะ ใครเขากินของที่คนแปลกหน้าให้มากัน? โดยเฉพาะในสถานบันเทิง นายยิ่งต้องระวัง รู้ไหม?"

คนตัวโตว๊ากลั่นเหมือนเรื่องราวมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เจบ่นอุบอิบว่าเขารู้แล้ว



"หลังจากนั้นผมก็เลิกรับของจากคนแปลกหน้าโดยเด็ดขาดเลยครับ ผมโคตรกลัวเลยอ่ะ นี่ถ้าไม่เจอน้องๆ พวกนั้นผมไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนทำอะไรมั่ง ผมรู้ว่ามีพวกใส่ยาในเครื่องดื่มให้ผู้หญิงดื่มแล้วข่มขืน แต่ไม่นึกว่าตัวผมที่เป็นผู้ชายจะโดนด้วย มัน...มันน่ากลัวจริงๆ"

เจตัวสั่นน้อยๆ เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่ามันจะร้ายแรงได้ถึงขนาดไหน คนดูหนังดูซีรีส์มามากอย่างเจนยุทธคิดฟุ้งซ่านไปได้ถึงหลายอย่าง มันอาจจบลงแค่ถูกข่มขืนและทิ้งไว้ หรืออาจจะถูกเอาไปกักขังไว้หรือถ่ายคลิปไว้แบล็คเมล์ เจยังคิดไปถึงขั้นถูกนำไปขายหรือถูกตัดอวัยวะภายในไปขายตลาดมืดเลยทีเดียว

"เจ ฉันว่านายดูหนังเยอะไปแล้ว..."

ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เจทำหน้าบูดใส่เขาแล้วบอกว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

"อืมม์ มันก็จริงของนาย ในไทยนี่ฉันไม่รู้ แต่ในสหรัฐฯ น่ะ มันเป็นไปได้หมดตามที่เจว่า พวกโรคจิตมันเยอะ แต่ต่อให้แค่เพื่อข่มขืนมันก็ยังมีอันตรายตามมาอีก ไหนจะเรื่องโรคติดต่อทางเพศ แล้วก็ความบอบช้ำทางจิตใจที่จะตามมา"

เจทำหน้าจ๋อย เขาขยับขึ้นไปนอนบนหมอนแล้วดึงคนตัวโตให้นอนตะแคงหันหน้ามาหาเขา

"แล้วคุณล่ะ ฆาบี้ คุณบอบช้ำทางจิตใจไหมอ่ะ?"

คนตัวโตทำหน้างง แต่ก็ต้องถอนหายใจเบาๆ ออกมาเมื่อเห็นสายตาสำนึกผิดของคนตัวเล็กที่จ้องมองมา

"เจ ฉันบอกนายแล้วนะว่าเราจะไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว และฉันไม่ได้บอบช้ำ นายไม่ต้องห่วงหรอก โอเคไหม?"

เจพยักหน้า คนตัวโตดึงร่างคนรักให้มานอนอิงแอบแนบอกอีกครั้ง



"แล้วจับคนที่ทำได้ไหม?"

ฆาบี้ถามเสียงกร้าว เจส่ายหัว พวกเขาขอดูกล้องวงจรปิดที่ผับ แต่ก็เห็นแค่ว่าเป็นชายร่างใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่มาที่นี่ประจำ แถมก็ยังไม่แน่ใจว่าคนนั้นคือคนที่วางยาเขาหรือว่าคนที่แค่ฉวยโอกาสจากการที่เขาไม่ได้สติไปเท่านั้น

"ที่ทำได้ก็แค่แปะรูปคนๆ นั้นติดบอร์ดร้านไว้ว่าเป็นบุคคลอันตราย แค่นั้นเอง แต่มันก็หลายปีละ ตอนนี้คงเอาออกไปแล้วมั้ง"

ฆาเบียร์กัดปาก ถ้าเขาเจอเจถูกมอมยาแบบนั้น เขานึกไม่ออกเลยว่าเขาจะทำอะไรกับคนที่ทำแบบนั้นกับเจ แค่คิดถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมาเขาก็นึกโมโหจนแทบเสียสติแล้ว

"สัญญากับฉันนะเจ ว่านายจะระวังตัว ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม"

เจพยักหน้า

"ทุกวันนี้เวลาผมลุกจากโต๊ะไปแล้วทิ้งเหล้าไว้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีไอ้เพื่อนสองตัวนั่นเฝ้าโต๊ะไว้ พอกลับมาผมจะเปลี่ยนแก้วตลอดนะ เทแก้วเก่าทิ้ง แล้วไอ้เรื่องรับของกินเครื่องดื่มจากคนอื่นๆ น่ะ เลิกเด็ดขาดละ"

ฆาเบียร์ยิ้มอย่างพอใจ

"ดีมาก สมัยนี้ต่อให้เป็นผู้ชายก็ต้องระวังตัวรู้ไหม ไอ้ยาพวกนี้มันหาง่าย อย่างในสหรัฐฯ เองก็มีปัญหาเรื่องไอ้ยาพวกที่เรียกว่า Date rape drug พวกนี้เหมือนกัน เจเคยได้ยินศัพท์ที่ว่า get roofied ไหม?"

"ผมเคยได้ยินจากในหนัง มันแปลว่าถูกวางยาในเครื่องดื่มอะไรพวกนี้ใช่ไหม?"

คนตัวโตพยักหน้า

"มันมาจากคำว่า Roofies ซึี่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกยา Rohypnol มันเป็นยา date rape ที่ใช้กันเกร่อที่สุดในสหรัฐฯ จนตอนหลังมันถูกขึ้นทะเบียนเป็นยาผิดกฎหมาย เดิมทีมันก็เป็นพวกยากล่อมประสาทธรรมดานี่แหละ แต่คนเอาไปใช้ผิดประเภท ตัวนี้แรง ออกฤทธิ์ภายในสามสิบนาที อาการจะเหมือนคนเมา พูดไม่รู้เรื่อง เวียนหัว สับสนแล้วก็หมดสติ ไอ้เจ้านี่มันจะมาเป็นเม็ด เวลาใช้เขาจะบดเป็นผงแล้วเทลงเครื่องดื่ม ฉะนั้นถ้าเห็นเหมือนมีผงๆ ลอยอยู่ในน้ำ ห้ามดื่ม"



เจมองหน้าคนตัวโตอย่างงงๆ

"เห้ยๆ ทำไมคุณรู้ดีจัง เคยใช้เหรอ?"

"ใช่ เคยใช้"

เจทำตาโต แต่ก่อนคนตัวเล็กจะโวยอะไร ฆาเบียร์รีบชิงพูดก่อน

"ที่ใช้น่ะ ใช้กับตัวเอง ตอนที่ฉันเลิกกับอเล็กซ์ ที่บอกว่าติดพวกยากล่อมประสาทน่ะ ก็รวมไอ้เจ้านี่ด้วย แรงเอาเรื่องเลย เจ ช่วงนั้นยังพอหาได้เพราะมันยังไม่ผิดกฎหมาย กฎหมายมาผ่านเอาในปี 96 ตอนฉันตัดสินใจเลิกพอดี"

เจนยุทธมองใบหน้าคมเข้มของคนรักที่มีแววละอายในอดีตของตน เขายกมือขึ้นไล้แก้มตอบที่มีเคราขึ้นน้อยๆ และจุ๊บเบาๆ ที่ปากบางที่เม้มแน่น

"Let bygone be bygone นะครับ ฆาบี้ อะไรมันเกิดแล้วก็แล้วกันไป ผมไม่สนอดีตส่วนนี้ของคุณหรอก

คนตัวโตลูบหัวเจ้าตัวเล็กที่ขึ้นมานอนทับอกเขาครึ่งตัว เขาตัดสินใจให้ความรู้เจต่อ



"เอ้า มาคุยกันต่อ เมื่อกี้ฉันพูดถึงว่าถ้าเจอผงๆ ในเครื่องดื่ม อย่าดื่ม เพราะนอกจากโรฮิปนอลแล้วยังมียาพวกผงๆ อย่างอื่นอีก อย่าง Ketamine หรือที่เรียกว่ายาเคนั่นแหละ"

เจทำตาปริบๆ นี่พ่อเจ้าประคุณเคยเล่นยามากี่อย่างกัน

"เปล่าๆ ฉันไม่เคยเล่น..."

ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามในตาของเจนยุทธ

"ฉันเคยเขียนบทความลงบล็อกเกี่ยวกับภัยของผู้หญิงที่เดินทางคนเดียวน่ะ มันรวมถึงเรื่องการถูกวางยาด้วย เลยต้องหาข้อมูลไว้ จะฟังต่อไหม?"

เจพยักหน้า

"ไอ้เจ้ายาเคเนี่ยออกฤทธิ์เร็วมาก ความเลวร้ายของมันคือคนที่ถูกวางยาอาจยังรู้สึกตัวว่าโดนทำอะไรอยู่แต่ขัดขืนไม่ได้ แต่หลังจากนั้นความทรงจำส่วนนี้ก็อาจจะหายไป ฤทธิ์ของมันคือทำให้มึนงง เคลื่อนไหวไม่ได้ สับสนทั้งการมองเห็นและการรับรู้ ตัวชา บางคนจะมีอาการก้าวร้าวร่วมด้วย ถ้าเริ่มมีอาการพวกนี้ให้หาคนช่วยทันทีนะ"

"เอ ที่ผมโดนนี่ไม่แน่ใจว่าใช่ตัวนี้ไหม ฟังไม่ค่อยคล้ายเท่าไหร่"

"สำหรับเจ ฉันว่าถ้าไม่ใช่โรฮิปนอลอาจจะเป็นยาอีกตัวที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากในตอนนี้อย่าง GHB"

"อ๊ะ ถ้ายานี้ผมรู้จัก เห็นบ่อยจากในหนังสืบสวน"

"งั้นเจคงรู้แล้วว่าทำไมมันถึงอันตราย"

เจนยุทธพยักหน้า ความอันตรายของจีเอชบีคือมันเป็นของเหลวไร้สีไร้กลิ่น มันไม่ทิ้งผงไว้ให้เป็นที่สังเกตเหมือนเคตามีนและโรฮิปนอล

"...ร่องรอยอย่างเดียวของจีเอชบีคือมันมีรสเค็มน้อยๆ แต่ถ้าเอาใส่กับเครื่องดื่มรสหวานหรือเปรี้ยวจัดๆ ก็จบเห่กัน ไอ้เจ้าจีเอชบีเนี่ย มันใช้เวลาออกฤทธิ์แค่สิบห้านาที และอาจมีฤทธิ์นานสามถึงสี่ชั่วโมง อาการของมันก็เหมือนกับที่เจโดนคือทำให้วิงเวียน คลื่นไส้ ง่วง แล้วก็หมดสติได้ คล้ายๆ โรฮิปนอล แต่ฉันว่าเจน่าจะโดนจีเอชบีมากกว่า"



"ผมโคตรเกลียดคนที่ใช้ของพวกนี้เลย ไม่มีปัญญาแอ้มสาวหรือ เอ่อ หนุ่มแล้วเหรอถึงต้องมาใช้วิธีนี้"

เจก่นด่าคนพวกนั้นด้วยความเจ็บแค้น

"แล้วไอ้ที่ทุเรศยิ่งกว่าคือคนที่เอาของพวกนี้มาขายแล้วโฆษณาสรรพคุณว่าทำให้คนที่ได้รับยาไปมีอารมณ์ทางเพศน่ะ มันไม่ใช่เลยสักนิด มันคืออาการมึนงงและสับสนและทำให้คุมตัวเองไม่ได้ อาจจะมีการเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัส แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขายินยอมพร้อมใจมีเซ็กส์ซะที่ไหน ทุเรศอ่ะ"

"ใจเย็นจ้ะ ใจเย็น อกฉันไม่ใช่ไอ้คนพวกนั้น เบาๆ มือหน่อยเจ"

ฆาเบียร์นิ่วหน้า เจทุบอกแน่นๆ ของเขาบึ้กใหญ่ เจนยุทธหัวเราะแหะๆ เขาใส่อารมณ์มากไปนิดหน่อย

"ที่อันตรายอีกอย่างนะเจคือยาพวกนี้มันมีโดสการใช้อยู่ บางคนกลัวสาวไม่สลบก็อัดใส่ไปเยอะๆ โดยไม่คิดว่ามันอาจทำให้ถึงตายได้ อย่างจีเอชบีกับโรฮิปนอลน่ะ ถ้าใช้เกินขนาดอาจมีอาการชัก หมดสติ โคม่าและตายได้เลยนะ"

เจนยุทธมือไม้เย็นเมื่อนึกถึงตัวเองในวันนั้น ฆาเบียร์ลูบหลังคนรักเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงความกลัวของคนตัวเล็ก

"เอาเป็นว่านายก็ระวังตัวด้วยล่ะ"

เจพยักหน้าและสัญญาว่าเขาจะระวัง



"เจ ฉันขอถามอะไรนายอีกอย่าง..."

ฆาเบียร์ทำหน้าเครียด เจใจเต้นเมื่อเห็นสายตาขึงขังของคนรัก

"ครับ?"

"...แล้วที่ประกวดวันนั้น ชนะไหม?"

เจหัวเราะก๊ากออกมา เขานึกว่าคนตัวโตจะถามอะไร

"ชนะอะไรล่ะ คนชนะเค้าเป็นหนุ่มน้อยนักศึกษาหน้าใสอายุ 20 หมาดๆ ผมตอนนั้นก็ยี่สิบกลางๆ แล้วจะเอาอะไรไปสู้เด็กมัน..."

"...แต่ก็ได้ที่สองอ่ะนะ"

คนตัวเล็กพูดอ้อมแอ้ม

"มีรูปให้ฉันดูหน่อยไหม?"

คนตัวโตรีบถามด้วยความกะตือรือล้น

"จะไปมีได้ไง ผมอยู่บนเวทีนะคุณ หลังจากนั้นก็ยุ่งๆ เพราะไอ้เรื่องโดนยานี่แหละ เลยไม่เคยได้ถามว่ามีใครถ่ายไว้มั่ง ผมก็ลืมๆ ไปแล้ว"

ฆาเบียร์รับคำและไม่ถามอะไรอีก

"งั้น เจนอนพักผ่อนเถอะ สี่โมงกว่าแล้ว เดี๋ยวฉันตั้งปลุกไว้สักหลังหกโมงแล้วกันนะ"

เจพยักหน้ารับคำ เขาเผลอตัวคุยกับคนตัวโตเสียยาว ตอนนี้ความง่วงกำลังเข้าครอบงำสติเขาอีกครั้ง ฆาเบียร์จูบหน้าผากเนียนของคนรักที่นอนอิงแอบแนบอกเขา

"Sleep well, my love."

"อือ y tu tambien, mi amor"

เจพูดงึมงำตอบไป เขาซุกหน้าลงกับแผงอกกว้างและหลับไปอย่างรวดเร็ว



คนตัวโตรอจนแน่ใจว่าเจหลับสนิทแล้ว เขาค่อยๆ ขยับคนตัวเล็กให้ลงนอนบนหมอน ส่วนตัวเขาลุกไปหยิบมือถือที่ทิ้งไว้นอกห้องเข้ามา เขากดส่งข้อความหาใครสักคน ไม่นานก็ได้รับข้อความตอบกลับมา เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูข้อความนั้น เขาสะดุ้งน้อยๆ และรีบจับมือถือยัดไว้ใต้หมอนเมื่อเจทำท่าทางควานหาตัวเขา เขากลับลงนอนเคียงข้างคนตัวเล็ก เจยิ้มออกมาทั้งที่หลับตาเมื่อควานเจอตัวเขา คนตัวโตจัดท่าเจนยุทธให้นอนอิงแอบตัวเขาและโอบรัดร่างเพรียวไว้ก่อนจะหลับตาลงอย่างสุขใจ



---------------------------------------

ยาวและเยิ่นเย้อนิดหน่อยนะคะ ทิ้งช่วงไปหลายวัน จะจบก็จบตอนไม่ลง แหะๆๆ เขียนให้อิเจมันเมาเล่นแล้วกันค่ะ

ลองของใหม่ก็หน่อย Google กำลังจะปิดให้บริการการย่อ url ให้สั้นลง เลยลองใช้อีกเจ้าอย่าง bitly ค่ะ ประเดิมด้วย French Sunday Brunch ของโรงแรมริทซ์ คาร์ลตัน ก็เหมือนที่บรรยายในเรื่องค่ะ ของไม่ได้หลากหลายและเยอะมาก แต่ว่าอร่อยและคุณภาพดี เหมาะสำหรับคนเน้นดื่ม แชมเปญแพ็คเกจมาตรฐานก็ราคาเดิม แต่สำหรับแบบพรีเมียมก็ต่างกันไปแล้วแต่โปรโมชั่นในช่วงนั้น เห็นว่าเปลี่ยนทุกๆ สามเดือน ช่วงที่ไป ก็ตามนั้น เจ็บใจเพราะตอนจองเป็นคริสตาล แต่ว่าพอก่อนไปแป๊บเดียวเปลี่ยนเป็น Belle Epoque แทน แต่ก็นับว่าใช้ได้เลยค่ะ ส่วนช่วงนี้ (12/4/61) เป็นแชมเปญ Ruinart Blanc de Blanc ในราคา 888+ ถูกลงมาเยอะค่ะ ตามไปดูรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ http://bit.ly/2GSM1up

ว่าด้วย Perrier Jouet Belle Epoque http://bit.ly/2qqP8hY

ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษ เลือกจากสารบัญได้เลยนะคะ http://bit.ly/2HrO4Co

ว่าด้วยยา date rape ทั้งสามชนิดนะคะ พึงระวังกันไว้ให้ดี  http://bit.ly/2IPjv




ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
สนุกค่ะ
เพิ่งเข้ามาอ่าน ตามอ่านอยู่หลายวันกว่าจะทัน
อ่านแล้วอยากตามไปกินที่เชียงใหม่เลย มาเก๊าก็น่าสน

ช่างกินมากๆเลย

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- นกน้อยอร่อยล้ำ ----




“อือ เสียงอะไรวะ?”

เจบ่นลั่น เขาดึงหมอนมาปิดหูจากเสียงน่ารำคาญที่ดังไม่หยุด

"โอ๊ย รำคาญ! ฆาบี้ครับ ปิดมันที"

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่เขาเรียก เจนยุทธทนไม่ไหว เขาลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ ตัว แม้ในห้องจะมืด แต่แสงสลัวจากห้องน้ำยังพอส่องให้เห็นว่าคนตัวโตไม่อยู่บนเตียง เจซึ่งยังปวดหัวตุบๆ เพราะเสียงที่ดังไม่ขาดสายนั้นควานหาต้นกำเนิดเสียง ในที่สุดเขาก็เจอโทรศัพท์มือถือของคนตัวโตที่ซุกอยู่ใต้หมอน เขาหยิบมันขึ้นมาสไลด์ปิดเสียงนาฬิกาปลุกซึ่งตั้งไว้หกโมงเย็น หากนิ้วของเขาพลาดไปโดนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่หลังเครื่อง เจตะลึงงันเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของคนรัก

"อ้าว เจ ตื่นแล้วเหรอ?"

คนตัวโตเดินออกจากห้องน้ำมา เขาทักคนรักที่นั่งหันหลังให้บนเตียง

"ฆาบี้ นี่อะไร?"

เจถามเสียงแข็งกลับมา ฆาเบียร์ใจหายวูบเมื่อเห็นโทรศัพท์ของตนในมือเจ เมื่อก่อนนอนเขาเปิดข้อความที่ได้รับมาค้างไว้ก่อนที่จะรีบยัดมือถือไว้ใต้หมอน เมื่อหน้าจอถูกปลดล็อค มันคือสิ่งแรกที่คนตัวเล็กของเขาได้เห็น เขาสบถกับตัวเองเบาๆ



"ผมถาม ทำไมคุณไม่ตอบ ฆาบี้ คุณไปเอารูปนี้มาจากไหน?"

เจหันจอโทรศัพท์ให้กับคนตัวโต ในนั้นเป็นภาพหนุ่มน้อยผมทองในชุดกางเกงยีนส์สั้นเหนือเข่าอวดเรียวขาขาวเนียนแต่แข็งแรง ท่อนบนเป็นเสื้อแขนยาวตัวโคร่งย้วยๆ คอปาดดูน่ารักไปทั้งตัว ฆาเบียร์กระเดือกน้ำลายลงคอ เขาหลบสายตาที่จ้องมองมาอย่างเอาเรื่อง

"เอ่อ...ซันซันส่งมาให้ฉัน"

ฆาเบียร์พูดเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เจโคลงหัว คนรักของเขาช่างมีความพยายามจริงๆ ฆาเบียร์ไปหารูปของเขาตอนประกวดคิวท์บอยในคืนนั้นมาจนได้

"งั้นผมลบทิ้งแล้วนะ"

"เห้ย ไม่ได้ ห้ามลบ!"

คนตัวโตอุทานลั่นและรีบแย่งมือถือกลับคืนมาจนได้ เขามองรูปนั้นอย่างชื่นชม เจของเขาน่ารักจริงๆ ริมฝีปากรูปกระจับคู่น้อยนั้นถูกแต่งแต้มด้วยลิปกลอสสีชมพูมันวาว แก้มของเจนั้นแดงโดยธรรมชาติอยู่แล้วโดยไม่ต้องแต่งแต้มเพิ่ม หากสาวๆ ของเจจับเขาเขียนขอบตาจนตากลมโตนั้นยิ่งดูหวานเข้าไปอีก แถมยังกันคิ้วให้จนได้รูปอีกต่างหาก ผมสีทองของเขาถูกจัดแต่งทรงให้ลงมาปรกหน้าผากทำให้ดูเด็กลงไปอีก ดูเผินๆ แล้วเจในคืนนั้นเหมือนเด็กหนุ่มวัยทีนก็ไม่ปาน เสื้อตัวโคร่งย้วยๆ นั้นทำให้เขานึกถึงตอนเจเอาเสื้อของเขามาใส่ มันยิ่งทำให้ดูเซ็กซี่ปนกับความน่ารัก พวกสาวๆ ยังเพิ่มพร็อบให้เขาด้วยการหาเป้น้อยๆ มาให้เจนยุทธสะพายไว้อีก

"ตอนนั้นเจทำผมทองเหรอ?"

เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพยักหน้า ช่วงนั้นเขาเปลี่ยนสีผมมาหลายสี จนสุดท้ายเขารู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับผมสีดำตามธรรมชาติมากที่สุดจึงไม่ได้ทำอีก

"น่ารักดีนะ แต่ฉันก็ยังชอบผมดำที่สุด"

เจแลบลิ้นให้คนตัวโต เขาลงนั่งข้างฆาเบียร์ที่ปลายเตียงและชะโงกไปดูจอโทรศัพท์ ซันซันส่งรูปมาให้ฆาบี้หลายรูปทีเดียว เขาโคลงหัวเมื่อเห็นคนรักยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูรูปหนุ่มน้อยหัวทองที่ยืนทำท่าเอียงอายอยู่บนเวที

"เจจ๋า ฉันเข้าใจเลยว่าทำไมมีคนอยากฉุดนายในวันนั้น"

คนตัวโตพูดกระเซ้าคนรักที่นั่งทำหน้าบูดอยู่ข้างๆ

"ไม่ตลกเลยนะ ฆาบี้"

เจปั้นหน้าเคร่งขรึม

"โธ่ เจ ฉันล้อเล่น แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าฉันอยู่ที่นั่นในคืนนั้น ฉันก็คงอยากได้นายเหมือนกัน นายน่ารักที่สุดบนเวทีแล้วนะเจนยุทธ น่ารักกว่าคนที่ได้ที่หนึ่งอีก"

ฆาเบียร์ขยายภาพตอนรับรางวัลดู เขาเทียบคนที่ชนะกับคนรักของเขา สำหรับเขาแล้ว ยังไงๆ เจนยุทธก็เป็นที่หนึ่ง

"หึ น่ารักจนเกือบโดนปล้ำนี่ผมก็ไม่เอานะ ฆาบี้ พอได้แล้วไม่ต้องดูแล้ว!"

เจแย่งมือถือของคนตัวโตมาแล้วโยนไปบนหมอน เขาใช้มือทั้งสองจับใบหน้าของคนรักให้จ้องตรงมาที่ตัวเอง

"ของจริงอยู่ที่นี่ ตรงหน้าคุณนี่ จะไปดูทำไมของปลอม"

ฆาเบียร์คลี่ยิ้ม เขาจูบแผ่วๆ เข้าที่ริมฝีปากแดงระเรื่อของคนขี้งอน

"อืมม์ ของจริงดีที่สุดจริงๆ ล่ะจ้ะ"

เจนยุทธตอบรับด้วยจุมพิตที่ร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม เขาขึ้นนั่งคร่อมบนตักของฆาเบียร์และใช้มือทั้งสองประคองใบหน้าแกร่งสมชายของคนรักไว้ เจดูดดึงริมฝีปากบางซึ่งก็ตอบรับสัมผัสเขาอย่างหนักหน่วงเช่นกัน เจถอนริมฝีปากและดันตัวออกเมื่อคนตัวโตพยายามสอดลิ้นเข้ามาในปากของเขา



“ไม่เอาๆ จูบแบบนั้นเดี๋ยวไม่ได้ไปไหนกันพอดี”

เจนยุทธพูดยิ้มๆ เขาแค่อยากแสดงความรักเท่านั้น คนตัวโตหน้าแดงน้อยๆ เขาดึงร่างเพรียวกลับมาในอ้อมอกและพรมจูบอย่างอ่อนโยนไปทั่วใบหน้าคนรัก เจหอมแก้มที่เริ่มมีเคราขึ้นและแนบหน้าผากของเขาไปกับหน้าผากของคนรัก เขาถูปลายจมูกของตนไปกับปลายจมูกโด่งเป็นสันของฆาเบียร์อย่างมันเขี้ยว

“นี่ กลัวไม่ได้ไปไหนก็เลิกยุกยิกซะทีสิ เจนยุทธ”

คนตัวโตโอดครวญ เจนั่งยุกยิกไม่อยู่นิ่งบนตักของเขาจนทำให้บางส่วนของเขามันเริ่มตื่นขึ้นมาแล้ว เขาร้องออกมาอย่างสำออยเมื่อเจงับเบาๆ เข้าที่ปลายจมูกของเขา

“เมียผมนี่หื่นจริงๆ เลย”

เจหัวเราะเบาๆ เขาขยับตัวจะลุกขึ้นจากตักของคนรักหากถูกรั้งตัวไว้

“เจจ๋า…”

น้ำเสียงของคนตัวโตนั้นช่างเว้าวอน เจจ้องหน้าคนรักและต้องยอมแพ้ให้กับดวงตาแพรวพรายสีน้ำตาลคู่นั้น คนตัวโตกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเจ้าตัวน้อยของเขา เจพยักหน้าน้อยๆ ฆาเบียร์คลี่ยิ้มกว้าง ที่รักของเขาใจดีเสมอ



"นี่ ยังไม่พอใจอีกเหรอ mi amor?"

เจตีมือคนที่พึ่งถึงสวรรค์ด้วยมือเขาไปหยกๆ ฆาเบียร์โอบเอวคนรักที่ยืนเช็ดตัวอยู่หน้ากระจก เขาบอกว่าเขาอยากจะอยู่คลอเคลียกับคนตัวเล็กของเขาและไม่อยากจากไปไหน

"จ้า รู้แล้ว แต่ขอผมแต่งตัวก่อนนะ คุณก็ไปแต่งตัวได้แล้ว เกือบทุ่มแล้วครับ ผมหิวไส้จะขาดแล้ว"

เจหันไปจุ๊บปากคนตัวโตที่ทำตัวออดอ้อนเหมือนเด็กๆ ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ หลังจากมื้อใหญ่เมื่อเที่ยง เจยังบ่นหิวจัดได้อีก

"เดี๋ยวกินอะไรดีคุณ? ไปทางฝั่งมาเก๊าดีไหม? ผมว่าจะขอแวะไปที่ห้างนิวเยาฮันด้วย ว่าจะไปซื้อของมาห่อไอ้เจ้าปลาเค็มซักหน่อย ไม่งั้นได้เหม็นทั้งกระเป๋าแน่"

เจบ่นน้อยๆ เขาเดินไปหยิบเสื้อยืดสีดำออกมาจากในกระเป๋ามาสวมพร้อมใส่กางเกงยีนส์ เขาหันไปดูคนตัวโตที่แต่งตัวอยู่ข้างๆ แล้วก็ต้องจิ๊ปากออกมา ฆาเบียร์แต่งตัวเลียนแบบเขาอีกแล้ว แถมยังเพิ่มความดูดีด้วยเสื้อนอกลำลองสีครีมและผ้าพันคอยี่ห้อดัง

"แต่งตัวเหมือนกันอีกแล้ว แบบนี้ผมก็ดูแย่กว่าสิ"

เจบ่นพึมพำ หุ่นเขาไม่ได้ใส่อะไรก็ดูดีไปหมดเหมือนพ่อม้าเทศของเขา แถมเสื้อผ้าเขาก็จะหมดกระเป๋าแล้ว เจไม่ได้เอาเสื้อผ้ามามากนัก และก็ไม่ได้เอาเสื้อหนาวตัวหนามาจากฮ่องกงเพราะไม่นึกว่าอากาศแถวนี้จะเย็นลงกระทันหัน แถมพื้นที่ในกระเป๋ายังโดนเสื้อผ้าของเมียตัวโตของเขาเบียดบังที่ไปเสียเยอะ เขาเมียงๆ มองๆ ราวที่เขาเอาเสื้อมาแขวนไว้ก่อนหยิบเสื้อยีนส์มาใส่ทับเสื้อยืด แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

“เจ คืนนี้ข้างนอกก็เลขตัวเดียวนะ แค่นี้ไม่พอหรอก”

คนตัวโตค้นกระเป๋าแล้วส่งเสื้อยืดแขนยาวผ้าวูลของตัวเองส่งให้เจนยุทธ

“เอาจริงดิ? จงใจใช่ไหมเนี่ย?”

เจมองเสื้อแล้วหันไปมองหน้าคนตัวโต ฆาเบียร์ยิ้มอายๆ เจส่ายหัวน้อยๆ เขาถอดเสื้อยีนส์และใส่เสื้อยืดแขนยาวลงไป คนตัวโตยิ้มอย่างพึงใจ เขาก้าวมายืนตรงหน้าคนรักแล้วจับหันซ้ายหันขวา

“เหมือนเด็กหัวทองในรูปหรือยัง หือ?”

เจพูดอย่างระอา ฆาเบียร์ยิ้มแก้มแทบแตกและพยักหน้าระรัว เจที่ใส่เสื้อของเขาช่างดูทั้งเซ็กซี่และน่ารัก

Papi รังแกผมอีกแล้ว”

เจแกล้งโพสต์ท่าเหมือนตอนประกวด เขาดึงแขนเสื้อลงมาคลุมมือแล้วยกมือขึ้นมากุมระดับอก สายตาที่ช้อนขึ้นมามองทำให้ป๋าฆาเบียร์นึกอยาก “รังแก” เจ้าตัวน้อยของเขาขึ้นมาจริงๆ ฆาบี้เอื้อมมือไปคว้าตัวคนรัก เจหัวเราะเสียงใสและเผ่นหนีอ้อมกอดใหญ่ๆ คนตัวโตออกไปจากห้องน้ำ

“จับได้แล้ว!”

หลังจากไล่จับกันอยู่พักหนึ่ง คนตัวโตก็รวบเอวเจนยุทธและอุ้มมาวางบนเตียงนุ่ม เจอ้าแขนรับคนรักที่ทาบกายลงกับกายเขา ฆาเบียร์ประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยอรออยู่



"เอ้า นี่จ้ะ ผ้าพันคอ"

ฆาเบียร์ดึงผ้าพันคอออกจากคอของตัวเองและส่งให้เจนยุทธ เมื่อครู่พวกเขาแลกจูบกันครู่หนึ่งก่อนจะผละออกจากกันเพราะเสียงท้องร้องของเจนยุทธ พวกเขากลับมาจัดความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่หน้ากระจกในห้องน้ำและพร้อมออกไปกินข้าวแล้ว

"อ้าว แล้วคุณจะไม่หนาวคอเหรอ?"

คนตัวโตหันไปค้นๆ กระเป๋าและหยิบผ้าพันคอผ้าฝ้ายอย่างบางออกมาชูให้เจดู คนตัวเล็กย่นจมูกใส่ เขาเห็นมันแล้วตอนที่คนรักของเขาโยนมันใส่กระเป๋ามาด้วย

"ไม่ไหวนะคุณ อิผ้าลายตารางผืนนี้หน้าตาอย่างกับผ้าขาวม้า มันไม่เข้ากับเสื้อผ้าคุณเลย"

คนตัวโตทำหน้างง

"What is Pa Khao Ma?"

คนตัวโตเกาหัวแกรกๆ

"เอ่อ ว่าไงดี มันคือผ้าลายแบบที่คนไทยสมัยก่อนเอาไว้เคียนเอวอ่ะ ใช้เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ ใส่อาบน้ำก็ได้ เช็ดเหงื่อ เช็ดมือ คลุมหัวบังแดดอะไรประมาณนั้น หรือกระทั่งใช้ทำเปลนอนก็ยังได้..."

เจพูดยิ้มๆ เขาเปิดเว็บหารูปผ้าขาวม้าให้เมียตัวโตของเขาดู

"...แต่พอมาเป็นผ้าพันคอมันดูลุงอ่ะ คุณซื้อมาเท่าไหร่อ่ะ 199​?"

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ

"เจ นี่มัน Paul Smiths นะ"

"ห๊ะ? ไอ้นี่ของยี่ห้อเหรอ? ตาย ผมนึกว่าคุณซื้อแถวกาดหลวง กำลังงงว่าคุณไปทันคว้ามาเมื่อไหร่"

เจแซวคนรักเล่น เขาพอดูออกหรอกว่าไอ้เจ้าผ้าผืนนี้ไม่น่าใช่ของถูก แต่ก็อยากกระเซ้าคนตัวโตของเขาเท่านั้น ฆาเบียร์หมดความมั่นใจ เขาเก็บไอ้เจ้าผ้าพันคอผืนหลายพันบาทนั้นใส่กระเป๋า เจคว้ามันมาและใส่มันแทนผ้าพันคอแบรนด์ดังเนื้อหนาของฆาเบียร์ เขาส่งผืนนั้นคืนให้เจ้าของ

"คุณเหมาะกับแบบนี้มากกว่า ไอ้ลายผ้าขาวม้าน่ะ ให้ผมใส่เองแล้วกันนะ"

"โธ่ เจ มันจะไปอุ่นอะไร"

"น่า ไม่ได้ไปเดินข้างนอกมากไม่ใช่เหรอ? หรือถ้ามันหนาว คุณก็ทำให้ผมอุ่นสิครับ คนดี"

เจยิ้มยั่วคนตัวโตของเขา ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ

"เจจ๊ะ พูดแบบนี้ เราสั่งรูมเซอร์วิสกินกันดีกว่า"

เจร้องลั่นและเบี่ยงตัวหลบอ้อมกอดของคนที่ยังหื่นไม่เลิก เขาเผ่นออกจากส่วนแต่งตัวในห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มเดินตามออกมา



"คุณโทรถามสองคนนั้นหรือยังว่าจะตามไปกับเราด้วยหรือเปล่า?"

"โทรแล้วล่ะ สองคนนั้นบอกว่าจะไป เรียกรถให้เรียบร้อยแล้วด้วย"

ฆาเบียร์ก้มหน้าก้มตาพูด เขากำลังผูกเชือกรองเท้าผ้าใบที่คลายออกให้กับเจ

"คุณ ผมผูกเองก็ได้"

เจบ่นเบาๆ

"ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง เอ้า เสร็จละ"

คนตัวโตลุกขึ้นยืน เจจุ๊บเบาๆ ที่แก้มตอบของฆาเบียร์เพื่อเป็นการขอบคุณ พวกเขาทั้งสองเดินจับมือกันออกจากห้องเพื่อลงไปยังหน้าโรงแรม



รถพาพวกเขาทั้งสี่ข้ามมายังฝั่งมาเก๊าเพื่อมาที่ห้างนิวเยาฮันที่ใจกลางเมืองมาเก๊า

"ผมชอบซุเปอร์ฯ ของที่นี่มากเลยนะ ผมกับพี่นพมาที่ไรก็จะมาหาดูไวน์ฝรั่งเศสไปดื่มกันที่โรงแรม พวกแฮม ชีสหรือผลไม้เมืองหนาวของที่นี่ก็ถูกและมีให้เลือกเยอะกว่าที่ไทยเยอะ ไหนจะมีซิการ์สารพัดยี่ห้อให้ซื้ออีกแต่ต้องดูดีๆ หน่อยเพราะเขาเก็บสภาพไม่ดีนัก"

เจสาธยายให้คนรักฟัง ฆาเบียร์บอกว่าเขาเคยมาเดินที่นี่แค่สักครั้งสองครั้งได้ โดยมากก็มาหาซื้อพวกของใช้มากกว่า

"คุณรู้ป่าวว่ามาคราวก่อนนู้นผมเจออะไรที่ไม่ควรวางขายในซุเปอร์ฯ?"

ฆาเบียร์ส่ายหัวว่าเขาเดาไม่ออก

"ไม่รู้สิ เจ เครื่องเพชรเหรอ?"

คนตัวโตเดาไปเรื่อยเปื่อย ตาเขาจับจ้องที่ต่างหูของแม่บนหูของเจ

"บ้า นั่นก็เกินไป เหล้าครับเหล้า จอห์นนี่ วอล์คเกอร์..."

"ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนี่ เจ”

“Johnnie Walker&Sons Diamond Jubilee นะครับคุณ”

เจหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นคนตัวโตของเขาทำตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อได้ยินชื่อของสก็อตช์วิสกี้รุ่นพิเศษที่ผลิตออกมาเพื่อเฉลิมฉลองวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักร

“บ้าน่า มันมีแค่ 60 ขวดในโลกเองนะเจ!”

คนตัวโตอุทานลั่น

“มีจริงๆ! นี่ ดูนี่”

เจนยุทธเปิดภาพจากอัลบั้มตอนมามาเก๊าเมื่อหลายปีที่แล้วในเฟซบุ๊คของเขาให้คนตัวโตดู ฆาเบียร์อึ้งไปเมื่อเห็นวิสกี้ขวดงามที่มีรูปทรงเหมือนเพชรเม็ดใหญ่ตั้งอยู่บนแท่นวางน้อยๆ ที่มีครอบแก้วครอบอยู่ ฉากหลังของมันเป็นซุเปอร์มาร์เก็ตที่มีคนพลุกพล่าน เขาพยายามเพ่งอ่านตัวเลขราคาที่เห็นได้ไม่ชัดนัก


(JW Diamond Jubilee แพงระยับกลางซุเปอร์มาร์เก็ต)
https://www.picz.in.th/images/2018/04/18/YgAjil.jpg


“2,380,000 ปาตากาสครับ ตอนแรกผมอ่านยังนึกว่านับศูนย์ผิด”

เจหัวเราะหึๆๆ เหล้าราคาเกือบสิบล้านบาทถูกวางตั้งทิ้งไว้กลางซุเปอร์ฯ สมกับเป็นมาเก๊าจริงๆ คนตัวโตของเจนยุทธตาลุกวาว

“เจ นายว่ามันจะยังอยู่ไหม”

ฆาเบียร์เขย่าแขนคนรักอย่างตื่นเต้น

“หา? คุณอยากซื้อเหรอ? ไม่ได้ยินที่ผมบอกเหรอ ฆาบี้ สองล้านเงินมาเก๊านะเฟ้ย ไม่ใช่บาท”

“ราคาในเอเชียมันก็ประมาณนี้แหละ ที่สหรัฐฯ ราคาเปิดตัวก็สองแสนเหรียญแล้ว ที่อังกฤษแสนสองหมื่นปอนด์ แถวนี้จะแพงกว่าก็ไม่แปลก ถ้ามันยังอยู่ฉันสอยแน่นอน!”

คนตัวโตตื่นเต้น บัตรดำในกระเป๋าเขาสั่นระริกไปหมดแล้ว

“เฮ้ยๆๆ มันแพงมากเลยนะคุน ดื่มแป๊บเดียวก็หมดแล้ว”

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

“เจจ๊ะ ของแบบนี้ มันเป็นของสะสมมากกว่า ยิ่งนาน ยิ่งหายาก ราคายิ่งขึ้น ฉันพยายามตามหามาหลายปีแล้วแต่หาไม่ได้เลย”

“อ้าว แล้วจะซื้อมาทำไมล่ะถ้าไม่ได้ดื่ม?”

เจถามงงๆ คนตัวโตชี้ให้ดูในรูป

“เจเห็นขวดเล็กๆ นี่ไหม?”

เจเพ่งดูขวดคริสตัลสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่มีเครื่องดื่มสีชาภายใน

“นี่แหละที่มีไว้ให้ชิม สำหรับคนที่กะเก็บขวดใหญ่เอาไว้ขายเก็งกำไรต่อในอนาคต แต่ถ้าสำหรับคนเงินเหลือใช้ก็คงดื่มจากขวดใหญ่นั่นแหละ”

เจไม่กล้าถามต่อว่าคนรักของเขาเป็นแบบไหนแน่ หากฆาบี้รู้จักสีหน้าของคนรักดี

“ฉันอยากได้มันไปให้อาปาน่ะ ฉันกะซื้อมันให้เป็นของขวัญแซยิดให้อาปาเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็หาไม่ได้เลย”

เจพยักหน้ารับคำ

“งั้นก็หวังว่ามันจะยังอยู่นะ ถ้าคุณจะซื้อให้อาปา ผมหารด้วย แต่คงได้ซักสองหมื่นบาทนะ หรือว่าจะหักเงินเดือนผมเอาก็ได้ ”

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์โคลงหัว เขาโอบลูบหัวคนรักด้วยความเอ็นดู

“ไหวเท่าไหร่ก็เท่านั้นเถอะ เจ อีกอย่างฉันก็ไม่คิดหรอกว่ามันจะยังอยู่”

“ไว้ลองดูครับ”

ฆาเบียร์นั่งเล่าเรื่องเหล้าสุดพิเศษขวดนั้นให้เจฟัง เจที่รู้จักเหล้านี้แค่ชื่อทำตาโตด้วยความทึ่งเมื่อรู้ว่าวิสกี้ขวดนี้ประกอบไปด้วยเหล้าที่กลั่นมาจากทั้งมอลท์และเมล็ดพืชจำพวกข้าว ทั้งหมดถูกกลั่นและหมักบ่มเตรียมไว้ตั้งแต่ปี 1952 ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระราชินีนาถขึ้นครองราชย์ มันยังถูกบรรจุขวดในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2012 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 60 ปีการขึ้นครองสิริราชสมบัติ

“รายได้ส่วนหนึ่งจากการขายวิสกี้ล็อตนี้จะถูกบริจาคเข้า Queen Elizabeth Scholarship Trust ด้วยนะ มันเป็นกองทุนที่ใช้เป็นทุนการศึกษาให้เหล่าคนที่ศึกษาด้านงานช่างฝีมือแบบพื้นบ้าน คงคล้ายๆ กับ SUPPORT ของไทยล่ะมั้ง?”

คนตัวโตพูดชื่อย่อภาษาอังกฤษของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถออกมา เจพยักหน้า เขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน



“ถึงแล้วครับ เดี๋ยวผมปล่อยพวกคุณลงตรงนี้แล้วจะวนไปจอดรถนะครับ”

คนขับเปิดประตูรถให้คนทั้งสี่และบอกพวกเขาอย่างสุภาพ ทั้งสี่ลงรถและขึ้นลิฟท์บันไดเลื่อนไปยังชั้นเจ็ดอันเป็นที่ตั้งของซุเปอร์มาร์เก็ต ฆาเบียร์ต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าวิสกี้หายากขวดนั้นถูกขายไปนานแล้ว เจตบบ่าคนรักเบาๆ เพื่อปลอบใจ พวกเขาใช้เวลาในนั้นไม่นานนัก เจรีบๆ ซื้อของที่เขาต้องการอย่างแผ่นฟิล์มใส หนังสือพิมพ์และถุงซิปขนาดใหญ่ เขายังได้ซื้อพวกขนมขบเคี้ยว ลูกกวาดลูกอมที่เป็นของพื้นถิ่นไปด้วย จากนั้นคนตัวเล็กก็มายืนตาละห้อยดูมุมขายซิการ์

“โห ทำใหม่ซะดีเชียว เมื่อหลายปีที่แล้วตอนผมมาซื้อซิการ์นะคุณ เขายังเป็นแค่ตู้กระจกเหมือนตู้ขายบุหรี่ธรรมดาๆ อยู่เลย นี่ทำล็อคใหม่ซะสวยงามเชียว”

“จะซื้อไหมเจ เดี๋ยวฉันซื้อให้”

เจปฏิเสธทันที นี่เป็นของใช้ส่วนตัว ถ้าจะซื้อเขาจะจ่ายเงินเอง ฆาเบียร์ขยับปากจะท้วง แต่เจยกมือห้าม

“ไม่ต้องเลย ถ้าคุณจะสูบตัวไหนที่เชียงใหม่ก็ซื้อเองแล้วฝากผมกลับ ส่วนของผม ผมจะซื้อเอง”

เจเลือกๆ ดูซิการ์ Cohiba และของโปรดของเขาอย่าง Partagas ไปสองสามตัว เขายังเลือก cigarillos หรือซิการ์น้อยตัวเท่าบุหรี่ไปอีกสองสามกล่อง ฆาเบียร์เลือกๆ ของเขาไปสามสี่ตัว เขากำลังจะควักเงินจ่ายแต่ก็ถูกเจชิงตัดหน้าจ่ายให้หมดเสียก่อน

“เจ นี่ไม่เหมือนกับที่ตกลงกันไว้นะ”

คนตัวโตขมวดคิ้ว

“นี่ถือเป็นของใช้ที่เชียงใหม่ ฉะนั้นผมจะจ่ายเอง โอเค๊?”

เจขยิบตาให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์พูดไม่ออก และปล่อยให้คนตัวเล็กทำตามใจตัวเองไป



“โอเค ป้ายถัดไป ร้านอาหาร ว่าแต่จะกินอะไรดีคุณ?”

“นั่นสิ เจอยากกินอะไร เลือกเลย”

“อืมม์…”

เจนยุทธเปิดโพยของเขา ฆาเบียร์ยิ้มขำๆ เจกินตามโพยทีไร แป้กทุกที

“งั้น Fat Siu Lau มะ ผมเดินผ่านไปผ่านมามาหลายปีแล้ว ไม่เคยได้กินซักที”

คนตัวโตทำสีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วก็พยักหน้าตกลง เขาบอกจุดหมายปลายทางให้คนรถ

“เอ่อ คิดนานงี้ มันไม่เวิร์คแล้วเหรอคุณ?”

เจถามอย่างเซ็งๆ คนตัวโตหัวเราะเบาๆ และยีหัวคนรักเล่น

“ก็ ตามประสาร้านที่เปิดมานานแล้วน่ะ เจ จะให้คงคุณภาพเหมือนเดิมก็ยาก แต่ทุกครั้งที่ฉันกับอาปามามาเก๊า เราก็แวะที่นั่นตลอดถ้ามีโอกาส มันมีอย่างนึงที่ยังอร่อยไม่เปลี่ยนน่ะ”

“เหรอๆๆ อะไรอ่ะ?”

“ไปดูเองที่ร้านแล้วกัน”

คนตัวโตตอบยิ้มๆ เขาคิดว่าเจน่าจะชอบแน่ๆ



เมื่อพวกเขาทั้งสี่คนมาถึงร้าน Fat Siu Lau เวลาก็ล่วงเลยไปถึงประมาณสองทุ่มกว่าแล้ว หากร้านเก่าแก่แห่งนี้ก็ยังคงเปิดให้บริการอยู่

“แทบไม่มีคนเลยนี่คุณ”

เจกระซิบเบาๆ ฆาเบียร์พยักหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ พนักงานสาวชาวฟิลิปปินส์กุลีกุจอมาต้อนรับพวกเขาและพาไปนั่งที่โต๊ะ บรรยากาศในร้านไม่ได้ดูโบราณอะไร คงเพราะมันผ่านการปรับปรุงมาหลายครั้ง เจชอบใจที่การตกแต่งในร้านทำเหมือนพวกเขานั่งกินอาหารอยู่นอกอาคาร ที่ด้านหนึ่งของร้านทำเป็นเหมือนชายคาที่ยื่นออกมาจากผนัง ที่ผนังด้านข้างพวกเขาตกแต่งด้วยอิฐดินเผาเล่นระดับ พนักงานส่งเมนูให้พวกเขาและแนะนำอาหารให้อย่างแคล่วคล่อง เจถูกใจการบริการที่ไม่มากไม่น้อยเกินไปของพนักงานสาวฟิลิปปินส์คนนี้มาก เมื่อเขาถามถึงอาหารนั่นนี่ เธอก็ตอบตรงๆ ว่าจานไหนเวิร์คหรือจานไหนที่พวกเขาไม่น่าชอบ

“เจ อย่าพึ่งกินขนมปังหมดนะ เก็บเอาไว้กินกับหอยอบด้วย”

ฆาเบียร์ดึงขนมปังก้อนโตที่แหว่งไปแล้วครึ่งหนึ่งออกจากมือเจนยุทธ เจหัวเราะแหะๆ เขาหิวจนจะกินช้างได้แล้ว

“คุณ แล้วคนขับรถเขาไม่มากินกับเราด้วยเหรอ?”

เจถามคนตัวโตของเขาที่กำลังตักซุปผักหน้าตาไม่ค่อยน่ากินขึ้นซดอย่างเอร็ดอร่อย ฆาเบียร์ยกผ้าเช็ดปากขึ้นซับคราบซุปเล็กน้อยก่อนตอบว่าเขาลองถามแล้วแต่คนรถบอกว่าจะไปกินบะหมี่ลูกชิ้นปลาที่ร้านแถวนี้และจะกลับไปเฝ้ารถ เจทำท่าน้ำลายยืด

“คุณ ผมเพิ่งนึกได้ ลูกชิ้นปลากับเกี๊ยวปลาของร้านใกล้ๆ นี่อร่อยโคตรๆ แต่สงสัยพวกคุณจะกินไม่ไหวแน่ๆ”

“ไม่ไหวแน่ๆ เจ สั่งไปหลายอย่างแล้ว”

คนตัวโตโอดครวญ เขายังอิ่มจากกลางวันไม่หายเลย เจมองหน้าผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนที่ก็มองเขาด้วยสายตายอมแพ้แล้วก็ต้องตัดใจ ไว้คราวหน้าเขาค่อยมากินเองก็ได้



เจหันมาสนใจกับอาหารบนโต๊ะแทน เขาทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยขอกินซุปผักที่ตอนแรกเขามองว่าไม่น่าอร่อยของคนรัก แต่พอเขาเห็นคนตัวโตซดเอาๆ ก็เริ่มสนใจ ฆาเบียร์ดันชามซุปใสที่ใส่ผักใบเขียว มันฝรั่งและมะเขือเทศไปให้เจ

“อ๊ะ อร่อยอ่ะ ซุปมันฝรั่งเหรอคุณ?”

เจตักซุปรสละมุนที่มีความข้นน้อยๆ ของแป้งจากมันฝรั่งที่ต้มจนเปื่อย ผักเขียวๆ นั้นเขาเดาว่าเป็นใบคะน้า แต่มันไม่เหม็นเขียวเลยสักนิด เจตักชิมอีกสองสามช้อนก่อนตัดใจส่งคืน

“อร่อยดี ซุปอะไรอ่ะครับ?”

“Caldo Verde จ้ะ”

เจอุทานออกมา เขารู้จักซุปที่ถือเป็นอาหารคลาสสิคของโปรตุเกสนี้ดี เขาเคยกินมันที่ร้านอื่นแต่รสชาติไม่ได้ดีเท่าที่นี่

“สั่งเพิ่มอีกดีไหม?”

คนตัวโตถามหากเจส่ายหัวปฏิเสธ เขาแค่อยากชิมเท่านั้น อาหารอีกจานที่มาลงตรงหน้าพวกเขาคือหอยลายมาเก๊าอบกระเทียมและไวน์ขาว เจเอาขนมปังที่เหลือลงจิ้มอย่างไม่ลังเล

“อืมม์ จืดไปหน่อยเนาะถ้าเทียบกับแบบอบมะเขือเทศ รู้งี้เชื่อพนักงานเสิร์ฟก็ดี”

เจบ่นเบาๆ พนักงานเสิร์ฟสาวบอกเขาแล้วว่าเธอคิดว่าแบบอบมะเขือเทศอร่อยกว่า แต่เจคิดว่ามันซ้ำกับที่เฟอร์นันโดจึงไม่ได้สั่ง

“มันก็อร่อยไปอีกแบบนะ ฉันว่ามันได้กลิ่นรสของหอยลายชัดดี”

ฆาเบียร์เอื้อมมือมาหยิบขนมปังไปจากจานของเจ เขากินก้อนของเขาหมดไปเรียบร้อยแล้ว

“เฮ้ๆ แป้งทั้งนั้นนะคุณ เดี๋ยวก็พุงยื่นหรอก เอาคืนมาเลย”

เจแย่งขนมปังคืนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฆาเบียร์ทำเพื่อแกล้งเขาเท่านั้น คนตัวโตทำท่าจะดึงแก้มคนรักแต่ก็หยุดเมื่อเขาหันไปเจอใครคนหนึ่ง คนตัวโตโบกมือให้และทักทายคนๆ นั้นด้วยภาษากวางตุ้ง ชายสูงอายุท่าทางกระฉับกระเฉงในชุดบริกรค้อมหัวตอบรับ คุณตาคนนั้นเดินเข้ามาทักทายฆาเบียร์อย่างจำได้และสนทนากันพักใหญ่



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- นกน้อยอร่อยล้ำ (ต่อ) ----





“เจ รู้ไหมว่าคุณตาคนนี้ทำงานที่นี่มา 73 ปีแล้วนะ”

ฆาเบียร์กระซิบกับคนรักเมื่อคุณตาคนนั้นเดินคล้อยหลังไป

“หา? แล้วคุณตาอายุเท่าไหร่?”

เจถามอย่างงุนงง เขาดูจากความแข็งแรงของคุณตาที่ยังยกอาหารเสิร์ฟได้อย่างแคล่วคล่องแล้ว เขากะว่าผู้เฒ่าคนนี้อายุน่าจะประมาณ 80 นิดๆ

“91 แล้วจ้ะ แข็งแรงมากเลยใช่ไหม?”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาหันไปขอบคุณผู้เฒ่าที่กลับมาตักอาหารจานข้าวเสิร์ฟให้เขาด้วยมืออันมั่นคง

“เอ้า เจ ชิมสิ นีีข้าวอบทะเล Fat Siu Lau เป็นอีกหนึ่งอาหารเด่นของร้านนี้”

เจตักข้าวอบที่คุณตาตักเสิร์ฟให้จากถ้วยดินเผา มันเป็นข้าวอบใส่ซอสมะเขือเทศทำเอง ด้านบนของตัวข้าวราดด้วยซอสที่ใส่ซีฟู้ดชิ้นโตๆ อย่างกุ้งและปลาหมึกผัดกับแฮมและเครื่องอย่างอื่น จากนั้นนำไปอบจนเกรียมน้อยๆ เจบ่นว่ามันจืดไปนิดแต่ว่าซีฟู้ดนั้นชิ้นโต สดและหอมกลิ่นทะเลนัก

“เจ นี่จะขูดกินให้หมดเลยเหรอ”

คนตัวโตกระเซ้าคนรักที่พยายามขูดข้าวกรอบๆ ที่ติดอยู่ก้นถ้วย

“หูย คุณไม่รู้อะไร นี่ของอร่อยเลยนะ”

ฆาเบียร์หัวเราะเบาะๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ เขาเองก็ชอบขูดข้าวเกรียมๆ ที่ติดถ้วยบิบิมบับแบบร้อนเช่นกัน



“เฆเฟ่คะ ปลาค่ะ”

เมลิน่าตักปลาเก๋าทอดชิ้นโตจากจานตรงหน้าเธอให้เจกับฆาเบียร์

“นี่อะไรอ่ะคุณ?”

เจถามอย่างงงๆ

“สตูว์ปลาเก๋าไง ที่เจสั่งตอนแรก”

เจทำตาปริบๆ เขาไม่คิดว่ามันจะออกมาหน้าตาแบบนี้ ปลาเก๋าชิ้นโตถูกนำไปชุบแป้งเล็กน้อยจนเป็นสีทองสวย จากนั้นราดทับด้วยซอสเหนียวๆ หน้าตาเหมือนผัดเปรี้ยวหวาน ในซอสเหนียวสีส้มนั้นมีหอมใหญ่ มะเขือเทศ พริกหวานและมันฝรั่งต้มจนเปื่อย อีกทั้งยังมีกุ้งและปลาหมึกชิ้นไม่ใหญ่มาอีกด้วย

“เออ รสก็เหมือนเปรี้ยวหวานวุ้ย”

เจพูดกับตัวเองเบาๆ เป็นภาษาไทย มันมีรสติดหวานเล็กน้อย เขาไม่ค่อยชอบซอสมันนัก เจจิ้มเนื้อปลาขึ้นชิม

“หูย สดมากเลยคุณ ปลาเก๋าเนื้อดีมาก ผมไม่ได้กินปลาเก๋าอร่อยๆ แบบนี้มานานแล้วนะเนี่ย”

เจอุทานออกมาและยิ้มกว้างด้วยความพึงใจ ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ เห็นเจยิ้มแบบนี้เขาก็ดีใจและคุ้มที่อาหารจานนี้เป็นจานที่แพงที่สุดของมื้อคือ 180+ ปาตากาส



คนตัวโตมีสีหน้าเบิกบานเมื่ออาหารจานถัดไปถูกยกลงมาวางไว้ตรงหน้า นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาและคริสกลับมาที่ร้านอาหารเก่าแก่ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี 1903 แห่งนี้ แม้ว่าอาหารอย่างอื่นจะอร่อยน้อยลงแล้วก็ตาม

“เฮ้ย สั่งมาทำไมตั้งสามจานครับ? จะกินหมดเหรอ?”

เจมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า

“นกพิราบ ใช่ไหมคุณ?”

เจมองนกตัวไม่เล็กนักที่อยู่ในจานตรงหน้า

“ใช่ แล้วก็เชื่อฉัน ยังไงก็หมด จริงๆ ฉันอยากสั่งให้คนละตัวด้วยซ้ำ แต่สองคนนั้นไม่เอา”

ฆาเบียร์โบ้ยไปที่ริคกี้ซึ่งกำลังตักนกพิราบชิ้นที่เนื้อเยอะๆ ให้เจ่เจ้ของเขา

“อร่อยขนาดนั้นเชียว?”

เจพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อ เขาเคยกินนกพิราบหันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในมาเก๊า มันก็อร่อยใช้ได้ แต่เขารู้สึกว่าเนื้อมันน้อยและกลิ่นติดจะสาบไปหน่อย หากนกย่างของร้านนี้มาพร้อมน้ำซอส มันอาจช่วยตัดกลิ่นสาบได้บ้าง



“อร่อย!”

เจร้องโพล่งออกมาจนฆาเบียร์สะดุ้งเฮือก เจรู้ตัวและหัวเราะแหะๆ ด้วยความเขิน

“คุณเอ๊ย อร่อยจริงๆ ด้วยอ่ะ ผมชอบมากเลย”

เจเลิกใช้มีดส้อมกินเจ้านกน้อยตัวนี้ เขายกมันขึ้นแทะอย่างเมามัน เจต้องยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อหันไปเห็นว่าคนรักกำลังทำแบบเดียวกัน

“ซอสของเขาหอมมากเลยครับ รสมันเป็นซอสรสซีอิ๊วติดหวานหน่อย แต่มันหอมถั่วกว่าซอสไหนๆ ที่ผมเคยกินมาเลย”

เจพูดไปแทะไป เขากินหมดไปครึ่งตัวอย่างรวดเร็ว เนื้อของนกพิราบที่นี่ช่างนุ่มนวลและเนื้อหนากว่าที่เขาเคยกินครั้งก่อน มันมีกลิ่นสาบน้อยๆ แต่รสชาติอันกลมกล่อมและกลิ่นถั่วเหลืองหอมๆ ของซอสช่วยตัดลดกลิ่นนั้นไปได้มาก เจแทะต่ออย่างมีความสุข ฆาเบียร์ส่ายหัวน้อยๆ เมื่อเห็นกองกระดูกนกมันแว๊บในจานของเจ เจ้าตัวเล็กของเขากินได้เกลี้ยงเกลาแบบที่เรียกว่าหมาสะอื้นเลยทีเดียว

“แบ่งของฉันไปก็ได้นะเจ”

ฆาเบียร์ส่งจานของเขาซึ่งเหลืออีกสองสามชิ้นให้คนรัก เจมองตาละห้อยแต่ตัดใจเลื่อนจานกลับคืน

“ไม่เป็นไรครับ คุณชอบก็กินเถอะ เจอของที่ชอบก็กินเยอะๆ ไม่ต้องห่วงผมนะ กินแค่นี้พอแล้ว”



เจหันไปตักอาหารอย่างสุดท้ายบนโต๊ะใส่จาน เขาเอื้อมมือไปหยิบจานอีกสามใบที่พนักงานสาวชาวฟิลิปปินส์นำมาเปลี่ยนกับจานเก่าที่เปื้อนซอสมาเพื่อตักข้าวผัดปลาค้อดเค็มใส่ให้คนอื่นๆ

“ไม่ต้องเยอะนะคะ คุณเจ พวกเรายังอิ่มจากตอนกลางวันอยู่”

เมลิน่ารีบเบรคเจนยุทธ ฆาเบียร์ก็แย่งจานของตัวเองมาแล้วตักข้าวผัดใส่แค่สองช้อนกินข้าว

“เหลืออีกครึ่งจาน เจกินเลย ฉันรู้ว่านายกินไหว”

เจทำท่าเขินอาย

“แหม งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ”

เจนยุทธตักข้าวผัดที่เหลือใส่จานของตัวเองและตักกินอย่างมีความสุข ข้าวผัดแบบจีนนั้นนั้นรสชาติดี แถมยังมีเนื้อ bacalhau หรือปลาค้อดเค็มเพียบ หากรสของมันไม่ได้เค็มจัดจนเกินไป



“ฮ้า อิ่มอร่อยสบายพุง”

เจนยุทธเอนกายลูบพุงที่ป่องขึ้นมาน้อยๆ ของตัวเอง

“แฮ้ปปี้แล้วใช่ไหม?”

ฆาเบียร์ลูบหัวคนรักเบาๆ เจยิ้มตาหยีให้เมียตัวโตของเขาและพยักหน้าน้อยๆ

“ครับ ผมชอบร้านนี้นะ คือมันไม่ได้อร๊อย อร่อยไปหมดทุกอย่าง แต่รวมๆ ก็โอเค แต่ถ้าผมจะกลับมาอีกรอบก็เพราะไอ้เจ้านกพิราบนั่นแหละ”

เจคิดในใจว่าถ้ามาคราวหน้าเขาจะยอมทุ่มเงินสั่งสักสองตัว ถึงมันจะราคาสูงถึงตัวละ 160 ปาตากาส หรือ ประมาณ 600 กว่าบาท แถมต้องบวกเซอร์วิสชาร์จอีกตั้ง 10% แต่มันก็คุ้มแสนคุ้มเพราะเป็นของที่หากินแถวบ้านไม่ได้

“คนจำนวนมากก็คิดแบบเจ ถึงอาหารร้านนี้อาจจะไม่ได้อร่อยที่สุดแล้ว แต่นกพิราบของที่นี่ก็ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งเหมือนเมื่อร้อยปีก่อนนะ”

ฆาเบียร์พูดและบุ้ยปากให้เจดูโต๊ะข้างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นลูกค้าประจำเช่นกัน โต๊ะนั้นสั่งนกพิราบคนละตัวและสั่งเพียงข้าวผัดมาลงตรงกลาง

“ฉันฟังจากที่เขาคุยกับคุณตาคนเสิร์ฟ เหมือนว่าพวกนั้นจะมาจากฮ่องกง พอมาที่นี่ทีไรก็ต้องมากินพิราบย่างที่ร้านนี้”

คนตัวโตกระซิบเบาๆ เจยิ้มขำๆ เมื่อได้เห็นความเผือกของคนรัก


​(อาหารร้าน Fat Siu Lau)
https://www.picz.in.th/images/2018/04/18/YgAluk.jpg


“ยืนยิ้มอะไรอยู่ล่ะ มาช่วยกันเก็บของหน่อยสิคุณ”

เจบ่นคนรักที่เอาแต่ยืนมองเขาพับเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบใหญ่ที่พวกเขาเอามาจากฮ่องกง พวกเขากลับมาถึงห้องเอาตอนห้าทุ่มกว่าๆ และเจกำลังเร่งเก็บกระเป๋า

“เจเก็บเองน่าจะเร็วกว่าให้ฉันช่วยนะ”

ฆาบี้พูดยิ้มๆ เจนยุทธตีหน้ายักษ์ใส่คนรัก

“ก็คุณเล่นยัดๆ ผ้าลงกระเป๋าอย่างเดียวไม่พับไม่จัดเลยนี่!”

เจบอกคนตัวโตให้มาคอยส่งของให้เขา เจพับเก็บเสื้อผ้าที่เขาเอามากองรวมกันบนเตียง จากนั้นเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยแยกใส่กระเป๋าจัดของหลายใบ เสื้อตัวไหนใช้แล้วเขาก็พลิกกลับตะเข็บเพื่อที่จะได้ไม่ปนกับผ้าที่ยังไม่ได้ใช้ เขารู้ดีว่าพอกลับถึงห้องพ่อเจ้าประคุณก็คงเปิดกระเป๋าทุกใบและเทผ้ามากองรวมกัน จากนั้นค่อยส่งซักทั้งหมด เขาจึงต้องทำแบบนี้เพื่อที่เมลิน่าหรือริคกี้ซึ่งจะเป็นคนส่งผ้าซักให้อีกทีสามารถแยกใหม่ให้ได้

“โอเค กระเป๋านี้เสร็จแล้ว ผมเตรียมสูทให้คุณใส่กลับนะ เป็นชุดที่ใส่ไปกินโรบุชงวันนั้น ให้โรงแรมซักแห้งให้แล้ว คุณจะได้ไปทำงานต่อได้เลย แค่ขึ้นไปเปลี่ยนรองเท้ากับใส่ไท”

เจนยุทธยกกระเป๋าใบโตลงจากม้านั่งปลายเตียงและหันมาจัดการกระเป๋าของเขาต่อ เขากางกระเป๋าลากใบเล็กออกวางบนม้านั่งและแพ็คเสื้อผ้าที่เขาเอามาจากเชียงใหม่ไม่กี่ตัวลงถุงผ้าซัก จากนั้นใส่รองเท้าอีกคู่ลงไป เขาเก็บชั้นในใช้แล้วทั้งหมดใส่ลงไปในถุงน้อย เจขมวดคิ้ว

“เอ๊ะ มันหายไปไหนอีกตัววะ?”

เขาพึมพำเป็นภาษาไทย เจคุ้ยๆ หาแล้วก็หันขวับไปหาคนตัวโตที่ทำท่าทางมีพิรุธอยู่

“เอาคืนมาเลย!”

เจทำหน้าบูดและเอ็ดใส่คนตัวโตพร้อมแบมือออก

“อะไร เจ? ฉันไม่รู้เรื่อง นายลืมนับตัวที่ใส่อยู่หรือเปล่า?”

คนตัวโตพูดอย่างมีพิรุธ เจหยุดคิดพักหนึ่งแล้วก็ส่ายหัว เขานับดีแล้ว

“อย่าให้ผมต้องไปค้นตัวคุณนะ คุณมาร์ติเนซ!”

เจทำเสียงแข็ง คนตัวโตบ่นเบาๆ เป็นภาษาแม่ของเขาแล้วกระมิดกระเมี้ยนดึงชั้นในอาร์มานี่สีขาวของเจออกมาจากกระเป๋ากางเกง เจพุ่งพรวดไปคว้าแต่คนตัวโตเบี่ยงหลบและโอบรัดร่างเพรียวของคนตัวเล็กไว้กับอก เจดิ้นขลุกขลักแต่อ้อมกอดของคนตัวโตนั้นรัดแน่นเหลือเกิน เขาโดนปล้ำจูบจนในที่สุดก็ต้องยกแขนทั้งสองโอบรอบคอฆาเบียร์และตอบสนองต่อจูบอันดื่มด่ำ เจครางเบาๆ จากลำคออย่างสุขสม



“แกล้งผมอีกแล้วนะ ฆาบี้”

เจหอบเบาๆ รสจูบของคนรักทำให้เขาเคลิบเคลิ้มเหมือนลอยอยู่บนฟ้าเสมอ

“ไม่แกล้งก็ได้ แต่ยกให้ฉันนะ”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ และทำท่าจะยัดกางเกงของเจกลับเข้ากระเป๋า เจนยุทธว๊ากลั่นและรีบฉวยมันออกจากมือของคนตัวโต

“ไม่ได้ แพง แล้วนี่จะเอาไปทำไม?”

คนตัวโตหน้าแดงซ่าน เขาอึกอักไม่กล้าตอบ เจเองก็พูดไม่ออกเมื่อเห็นอาการเขินอายของคนรัก

“คุณนี่มันเหลือเกินจริงๆ! ทำตัวเป็นพวกลุงแก่โรคจิตแอบสอยกางเกงในสาวอยู่ได้!”

คนตัวโตทำหน้าจ๋อย เจถอนหายใจเบาๆ เขาถอดเสื้อยืดสีดำที่กำลังใส่อยู่โยนให้คนรัก

“เอ้า นี่ ผืนใหญ่กว่า กลิ่นยังไม่ทันจางด้วย เชิญเอาไปนอนกอดให้พอใจ เอาไปใส่ให้หมอนก็ได้นะคุณ แต่กรุณาอย่าทำเปื้อน”

คนตัวโตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และกอดเสื้อเจไว้แนบอก

“ไว้ถ้ากลิ่นจางแล้วฉันจะไปขอตัวใหม่มาดูต่างหน้าเจแทนนะ”

เจหัวเราะหึๆ

“ดูต่างหน้าหรือใช้แทนตัวกันแน่”

เจพูดอย่างรู้ทัน คนตัวโตหน้าร้อนผ่าว เขาอุบอิบบอกว่าเขาจะไม่ทำอะไรให้เลอะเทอะเสื้อเจนยุทธแน่นอน



“พอใจแล้วนะ งั้นผมกลับไปจัดของต่อก่อนนะ ดึกแล้ว”

เจหันกลับไปจัดการของๆ เขาต่อ คนตัวโตเดินออกห้องนอนไป เจคุ้ยๆ ของออกจากถุงพลาสติกหลายถุงที่เขาหอบหิ้วขึ้นมาด้วยเมื่อสักครู่ ก่อนกลับห้อง เจแวะซื้อขนมที่ร้าน Koi Kei สาขาถนนแห่งความสุขซึ่งเปิดถึงห้าทุ่มครึ่ง เขาเน้นซื้อของที่แพ็คง่ายอย่างพวกเนื้อและหมูแผ่น

“ดื่มหน่อยไหม เจ?”

คนตัวโตส่งแก้วบรั่นดีให้เจนยุทธ เขารินมาไม่เยอะนักเพราะรู้ว่าวันนี้เจดื่มมากแล้ว เจหันไปขอบคุณและรับแก้วมาจิบคอนญัคราคาแพงระยับไปเล็กน้อย เขาส่งแก้วคืนและก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ

“ซื้อพวกเนื้อแผ่นไปเยอะเลยนะ กินทันเหรอเจ?”

เจซื้อไปทั้งเนื้อและหมูแผ่น ทั้งแบบที่เป็นเนื้อล้วนๆ และทั้งแบบเนื้อบดปรุงรสแล้วทำเป็นแผ่น พวกมันปรุงรสหลากหลายแบบ ทั้งแบบพริกไทยดำ ซอสบาร์บีคิว อบน้ำผึ้ง ผสมพริกป่นและอื่นๆ เจซื้อมาแทบทุกอย่าง อย่างละหลายๆ ชิ้น

“ผมไม่ได้ซื้อกินเองหมดอ่ะ ผมเอาไปฝากที่บ้านกับเพื่อนๆ ด้วย”

ฆาบี้ขมวดคิ้ว ของพวกนี้ราคาไม่ได้ถูกนัก ขีดหนึ่งก็ห้าหกสิบปาตากาสไปจนถึงเกือบร้อย ที่เจซื้อไปทั้งหมดนี้รวมกันก็สองสามกิโลแล้ว รวมกับขนมอย่างอื่นและอาหารทะเลแห้งที่ซื้อวันก่อนแล้ว เจหมดค่า “ของฝาก” ไปเฉียดห้าหลักแล้ว

“ฉันเข้าใจที่เจว่าละว่าคนไทยและคนจีนชอบซื้อของฝากน่ะ”

ฆาเบียร์ตบไหล่เจเบาๆ เขาเดินไปหยิบของที่เจซื้อมาจากซุเปอร์มาให้ เจดึงปลาเค็มทั้งสี่ตัวออกมา จัดการเอาฟิล์มใสพันห่อมันไว้แน่นทับชั้นกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ร้านห่อมาให้ จากนั้นเอากระดาษหนังสือพิมพ์ของเขาห่ออีกชั้น เขาจัดการมันหมดทั้งสี่ตัวและพยายามยัดมันลงในกระเป๋า ในที่สุดก็ทำสำเร็จ เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาคิดผิดที่เอากระเป๋าไซส์เล็กมาจริงๆ



“รู้งี้ผมเอากระเป๋าใบกลางมาก็ดีอ่ะคุณ”

เจบ่นพึมพำ กระเป๋าใบเล็กเขาแน่นไปหมดแล้ว เขาตัดสินใจดึงรองเท้าออกมาเพื่อใส่กระเป๋าที่เขาจะถือขึ้นเครื่อง เจเอากระเป๋าสำรองมาอีกใบ

"จะใส่ของพอเหรอเจ ยังมีน้ำหอม แล้วไอ้พวกขนมพวกนี้อีกนะ"

ฆาเบียร์มองอย่างเหนื่อยใจ เจซื้อพวกคุกกี้อัลมอนด์และ wife's cake หรือขนมเปี๊ยะแบบฮ่องกงไปอีกหลายกล่อง ต่อให้กระเป๋าผ้าไนล่อนยี่ห้อ Longchamp ใบใหญ่ของเจจะดูใหญ่แต่เขาไม่แน่ใจว่าจะใส่พอ

"พอๆ ใบนี้มันขยายได้"

เจจัดแจงรูดซิปที่พาดกลางรอบกระเป๋า จากนั้นดึงจัดทรงเล็กน้อย ฆาเบียร์อุทานออกมาเมื่อเห็นว่ากระเป๋านั้นขยายความสูงได้อีกเกือบฟุต

"เออ สะดวกดีแฮะ ฉันคงต้องหามาใช้สักใบแล้วมั้ง?"

"เอาสิ คุณ ถ้าคุณได้ไปแถวยุโรปก็ลองดู เผลอๆ ที่ฮ่องกงก็น่าจะมี ไม่ได้แพงอะไรมากนักด้วย มันพับได้ด้วยนะ พับมาแล้วเหลือขนาดเล็กกว่ากระดาษเอสี่อีก แต่หนานิดนึง ส่วนสายสะพายก็ดึงออกแล้วม้วนๆ เก็บไว้"

เจจัดการพับกระเป๋าใบโปรดของเขาให้ฆาเบียร์ดู คนตัวโตมองอย่างพึงใจ กลับไปเขาคงต้องไปลองเดินตามหาดูสักใบแล้ว



เมื่อตอบคำถามเจ้าหนูจำไมเสร็จ เจก็จัดการเก็บของต่อ เขาหยิบกล่องทัปเปอร์แวร์ขนาดใหญ่ที่เอาติดกระเป๋ามาด้วยออกมา

"ผมเตรียมมาใส่ทาร์ตไข่ แต่คงไม่พอ เอามาใส่อย่างอื่นแทนแล้วกัน"

เจหยิบกระปุกซอสเอ็กซ์โอที่ได้จากเชฟเหลียงออกมาอย่างทะนุถนอม เขาใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อมันอย่างแน่นหนา จากนั้นใส่ถุงซิปปิด เขาทำเช่นเดียวกันกับกระปุกไข่กุ้งแห้งทั้งสามกระปุกที่ซื้อมาจากร้าน Wong Kun Sio Kung เขาลองจัดๆ มันใส่ในกล่องทัปเปอร์แวร์ โชคดีว่าใส่ได้พอดี เขาเอาเสื้อผ้านิ่มๆ ยัดลงไปสักสองสามตัวจากนั้นก็ปิดฝากล่อง เขายัดมันลงไปในกระเป๋าเดินทางใบเล็กของเขาจนได้

"ทำแบบนี้ก็ไม่น่าแตกนะ ผมยัดผ้าลงไปให้แน่นจะไม่กระทบกันแล้ว"

เจพูดอย่างห่วงเล็กๆ แต่ถึงแตก มันก็ยังมีถุงซิปและกล่องทัปเปอร์แวร์รองรับอีก เขาใส่พวกของเหลวที่ไม่ต้องกลัวแตกลงไปในถุงซิปและจัดลงในกระเป๋าเดินทาง จากนั้นเขาหัดมาจัดกระเป๋าขึ้นเครื่องต่อ เขาใส่รองเท้าลงในกระเป๋าสำหรับรองเท้าเพื่อที่จะไม่เปื้อนกระเป๋า เขาใส่น้ำหอมที่ฆาเบียร์ให้ลงไปในถุงซิป

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเอาของใช้ในห้องน้ำมาใส่เพิ่มครับ"

เจหมายถึงสเปรย์ดับกลิ่นตัว อาฟเตอร์เชฟและครีมโกนหนวดของเขา ส่วนพวกสบู่ แชมพูและแปรงสีฟันยาสีฟัน เขาใช้ของโรงแรมเพื่อที่จะได้ไม่ต้องหอบหิ้วไปๆ มา เขาหยิบกล่องขนมลงเรียงในกระเป๋าจนหมด

"เออ ยังเหลือที่อีกด้วยแฮะ กระเป๋านี้จุได้เยอะจริงๆ”

เจนยุทธพูดกับตัวเอง เขาจัดการปิดกระเป๋าและวางมันไว้ข้างกระเป๋าลากใบเล็กของเขา



“พรุ่งนี้ฉันค่อยให้ริคกี้มาเอาคอนญัคกับแชมเปญที่โรงแรมแถมให้ลงไปแล้วกันนะ ฉันจะเอามันไปเก็บไว้ที่ฮ่องกงแล้วกัน แล้วคราวหน้ากลับไทยถ้าทำได้จะหอบกลับไปให้”

ฆาเบียร์พูดบอกมา เขาส่งแก้วบรั่นดีให้เจ คนตัวเล็กนั่งลงบนเตียงและจิบคอนญัครสเลิศที่เหลือในแก้วจนหมด เขาปาดเหงื่อ ต่อให้แอร์ในห้องจะเย็นฉ่ำแค่ไหน ขยับตัวไปๆ มาๆ แบบนี้ก็ทำให้ร้อนอยู่ดี

“คุณครับ อย่าซนสิ ตัวผมเหม็นเหงื่อนะ”

เจพยายามปัดป้องริมฝีปากและจมูกซนๆ ที่มาซุกไซร้และดอมดมซอกคอและร่างกายที่เปลือยท่อนบนของเขา

“ไม่เห็นเหม็นเลย ฉันว่ากลิ่นมันเซ็กซี่ดีออก”

คนตัวโตเปลี่ยนมาเอนกายหนุนตักของคนรักแทน เจลูบผมสีน้ำตาลที่สยายอยู่บนท่อนขาของเขา เขากลั้นใจเมื่อฆาเบียร์พลิกกายนอนตะแคงเข้าหาตัวเขา ลมหายใจอุ่นๆ และตอหนวดที่สัมผัสกายที่ใส่เพียงแค่ชั้นในสีขาวตัวน้อยช่างกระตุ้นเร้ากำหนัดเขา เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ถี่ขึ้นของฆาเบียร์เช่นกัน

“คุณว่าเซ็กซี่แต่ผมรับตัวเองไม่ได้อ่ะ

เจตอบคนตัวโตด้วยเสียงที่สั่นน้อยๆ เขาดันหัวสวยๆ นั้นให้ลงจากตักและลุกขึ้นยืน

“เอ้า ไป อาบน้ำกันเถอะ ดึกแล้วครับ พรุ่งนี้ผมว่าจะตื่นเร็วหน่อย”

ภารกิจสุดท้ายของเจคือซื้อทาร์ตไข่ร้านลอร์ดสโตว์ในเวเนเชียน เขาคิดจะตื่นแต่เช้าและขอคนรถไปส่งซื้อ ต่อให้ไฟลท์เขาออกเกือบสี่โมง แต่เขาก็อยากจัดการให้มันเสร็จตั้งแต่ช่วงเช้า เจส่งมือไห้คนตัวโตและพยายามจะฉุด เขาส่งสายตาดุๆ ให้เมื่อคนรักทำท่าอิดออดไม่ยอมลุก สุดท้ายเจปล่อยมือและหันหลังเดินเข้าห้องน้ำไป ฆาเบียร์รีบเด้งกายขึ้นจากเตียงและตามเข้าไปทันที



“ฆาบี้ ดีครับ เร่งอีกนิด”

เจครางกระเส่า เขาสูดปากลั่นเมื่อฝ่ามือใหญ่ที่เกาะกุมแก่นกลางกายของเขาเร่งเร้าหนัก ฆาเบียร์ขบเม้มใบหูและซุกไซร้ซอกคอคนรักที่ยืนระทวยพิงอกเขา พอเข้าห้องน้ำมา ฆาเบียร์ก็จับเจจัดการแทบจะทันที เจบิดกายเร่าเมื่ออารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด เขาหอบหนักๆ และปลดปล่อยออกมา

“เยอะเลยนะเจ แข็งแรงดีจริงๆ”

เจนยุทธหน้าแดงซ่านเมื่อเห็นสายตากรุ้มกริ่มที่มองมา คนตัวโตยกมือที่เปื้อนขึ้นเลียด้วยท่าทางยั่วเย้า เจกัดปากเบาๆ

“งั้นเดี๋ยวผมทำให้คุณมั่ง”

เจทำท่าจะดันฆาเบียร์ให้นั่งลงบนแท่นหินอ่อนในส่วนอาบน้ำ แต่ฆาเบียร์ฝืนตัวไว้ เขาดึงเจเข้ามาจูบแผ่วๆ และค่อยๆ เพิ่มดีกรีความร้อนแรง เจเผยอปากรับลิ้นร้อนๆ ที่รุกล้ำเข้ามา จูบของฆาเบียร์หอมหวานเสมอ เจนยุทธสะดุ้งเฮือกเมื่อนิ้วของคนตัวโตบดบี้เบาๆ ที่ตุ่มไตบนอกเปลือยของเขา มือใหญ่ทั้งสองข้างเลาะเลื้อยลงเกาะกุมและคลึงเคล้นก้อนเนื้อแน่นทั้งสองของเจนยุทธ

“คุณ จะทำเหรอ ผมไปเอาเจลมาก่อน”

เจพูดเสียงสั่น ต่อให้เขาเริ่มชินแล้ว แต่เขาไม่แน่ใจว่าจะสามารถรองรับคนรักได้หากไร้ตัวช่วย คนตัวโตหัวเราะเบาๆ

“ไม่ต้องหรอกเจ แค่ข้างนอกน่ะ โอเคไหม?”

เจพยักหน้าน้อยๆ ฆาเบียร์หอมพวงแก้มแดงๆ ของคนรักก่อนจะปลุกเร้าอารมณ์เจอีกครั้ง



“อูย เจจ๋า เสียวสุดๆ เลย นายนี่เยี่ยมทั้งตัวเลยจริงๆ”

คนตัวโตสูดปากลั่น เขารัวสะโพกและส่งแก่นกายเขาไประหว่างท่อนขาที่เบียดชิดกันแน่นของเจนยุทธ เจเองก็ครางกระเส่าสัมผัสอันรุนแรงนั้น เขาจวนถึงจุดแล้วเช่นกัน ฆาเบียร์เอื้อมมือไปช่วยป้อนความสุขให้คนรัก เจสะดุ้งเฮือกเมื่อนิ้วเรียวยาวของคนตัวโตชำแรกเข้าช่องทางของเขา เขาครางออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อมันสัมผัสเข้ากับจุดเสียวของเขาอย่างจัง คนรักของเขาช่ำชองและรู้จุดของเขาเป็นอย่างดี เพียงขยับนิ้วไม่กี่ครั้ง เจก็ปลดปล่อยออกมาเต็มกำแพง

“คุณครับ จะเข้ามาก็ได้นะ”

เจหันหน้ามาหาคนรักและพูดอย่างลืมเจ็บ หากฆาเบียร์ส่ายหัว

“ไม่จ้ะ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”

คนตัวโตจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากของคนรัก เขาบีบคลึงบั้นท้ายแน่นของเจเบาๆ คนตัวเล็กหันหน้าเข้าผนังอีกครั้งอย่างรู้งาน คราวนี้ฆาเบียร์วางแก่นกายของเขาลงในรอยแยกระหว่างก้อนเนื้อทั้งสองนั้น เจโยกสะโพกเบาๆ รับกับจังหวะขยับของคนรัก ไม่นานฆาเบียร์ก็ครางยาวและปล่อยน้ำรักออกมาบนหลังของเจ



“คุณนี่ไม่ไหวจริงๆ เลย ผมว่าจะไม่สระผมก่อนนอนแล้วเชียว”

เจบ่นลั่น ฆาเบียร์ที่กำลังสระผมให้คนตัวเล็กของเขาพยายามกลั้นหัวเราะ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ต้องปล่อยก๊ากออกมา

“ไม่ต้องมาขำเลย ความผิดคุณ!”

เจว๊ากลั่น คนตัวโตเผลอปล่อยอะไรๆ พุ่งเลอะขึ้นมาจนถึงผมของเขา

“สระให้เอี่ยมเลยนะ!”

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เมื่อเจ้าตัวเล็กสั่งเขาฉอดๆ เขาสระผมนุ่มของเจนยุทธจนสะอาดหมดจดและตามด้วยครีมนวดเล็กน้อย เจนั่งให้คนรักนวดหัวให้อย่างสบายอารมณ์ เมื่อสระผมอาบน้ำเสร็จสรรพ พวกเขาก็เช็ดเนื้อตัว และเจก็มานั่งให้คนตัวโตเป่าผมให้ที่หน้ากระจก ฆาเบียร์ก้มลงหอมผมดำขลับของคนรักที่เขาเป่าจนแห้งแล้ว เจเงยหน้าขึ้นรับจูบแผ่วๆ จากเมียตัวโตของเขา

“ฆาบี้ครับ…”

เจอ้ำอึ้ง ตาของเขาแดงน้อยๆ อีกครั้ง ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ เขาดึงคนรักให้ยืนขึ้นและกอดกระชับไว้แนบอก เจกอดเมียตัวโตของเขาไว้แน่นและซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง ทั้งคู่ยืนกอดกันเงียบๆ แบบนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ใจของทั้งสองคิดไปถึงวันคืนที่ต้องอยู่ห่างกันอีกครั้ง



เจระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และดันตัวออกจากอกของคนรัก เขาปั้นยิ้มอันสดใสให้คนรัก

“เฮ้อ สบายใจละ ป่ะ คุณออกไปรอที่เตียงก่อน ผมขอหยิบของแป๊บนึง”

ฆาเบียร์รับคำ เขาเดินออกไปนั่งรอบนเตียงนุ่ม ไม่นานเจก็เดินตามออกมา

"คุณครับ ขอมือหน่อย"

"นี่ฉันไม่ใช่โรซ่านะ จะมาขอมือกันทำไม"

คนตัวโตพูดเบาๆ แต่ใจเขาแอบเต้นเบาๆ เจดึงมือซ้ายของฆาเบียร์ขึ้นมา ใจของคนตัวโตเต้นแรงขึ้น

"เล็บยาวแล้วนะ เดี๋ยวผมจัดการตัดให้"

ใจที่พองโตของฆาเบียร์ห่อเหี่ยวลงเมื่อเจหยิบอุปกรณ์ทำเล็บที่เขาเพิ่งซื้อใหม่เมื่อหัวค่ำออกมา เจจัดการตัดแต่งเล็บมือเล็บเท้าของคนรักอย่างคล่องแคล่ว เขาบรรจงทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ฆาเบียร์เจ็บตัว เขาใช้ตะไบแต่งขอบเล็บให้จนเรียบร้อย



"เอ้า เสร็จแล้ว ทีนี้จิกหลังผมได้ตามใจชอบเลย"

ฆาเบียร์หน้าแดงก่ำ เขาสังเกตเห็นรอยช้ำที่เกิดจากเล็บของเขาบนแผ่นหลังของเจนยุทธเช่นกัน

"ฉันทำนายเจ็บเหรอ?"

เจส่ายหัวน้อยๆ มันก็เจ็บบ้าง แต่ก็ทำให้เขาได้รู้ถึงระดับอารมณ์ของคนรัก เขารวบมือทั้งสองข้างของคนรักขึ้นมาจูบแผ่วๆ และดึงมากุมไว้แนบตำแหน่งของหัวใจตน ความโศกเศร้าเอ่อล้นขึ้นท่วมใจเขาอีกครั้ง

"เจ..."

ฆาเบียร์เรียกคนรักเบาๆ เจปล่อยมือคนตัวโตเป็นอิสระ เขาฝืนยิ้มให้เมียตัวโตของเขา

"เดี๋ยวผมเอากรรไกรตัดเล็บไปเก็บในกระเป๋าคอมคุณนะครับ มันเอาขึ้นเครื่องบินไม่ได้ ผมก็ขี้เกียจเปิดกระเป๋าลากที่จะโหลดลงใต้ท้องเครื่องแล้ว"

เจลุกพรวดขึ้นจากเตียง ฆาเบียร์ทันเห็นคนรักปาดน้ำตาหยาดน้อยๆ ที่เอ่อล้นออกมา คนตัวโตกลั้นก้อนสะอื้นไว้ในอก เขาเองก็ไม่อยากปล่อยเจให้กลับไปเลย​



เมื่อเจกลับมาที่เตียง เขาก็พบว่าฆาเบียร์ได้ปิดไฟในห้องเกือบหมด เหลือเพียงแต่ไฟอ่านหนังสือที่หัวเตียง เจขมวดคิ้วน้อยๆ ปกติยามก่อนนอน คนตัวโตมักชอบมานัวเนียกับเขาโดยเปิดไฟในห้องไว้สว่างจ้า เขาให้เหตุผลว่าเขาอยากเห็นเรือนร่างของเจให้ชัดเจนที่สุด

"ทำไมปิดไฟแล้วล่ะคุณ?"

"เจจ๊ะ คืนนี้ฉันอยากนอนคุยกับเจจนหลับไปน่ะ ได้หรือเปล่า?"

เจนยุทธคลี่ยิ้ม เขาผงกหัวน้อยๆ

"ได้สิ แต่จะมาบ่นทีหลังไม่ได้นะว่าขาดทุนผม"

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหัว

"ไม่บ่นหรอก เอ้า ขึ้นมาสิ"

ฆาเบียร์เปิดผ้าห่มและตบที่นอนเบาๆ เจทิ้งกายลงบนฟูกหนานุ่ม คนตัวโตห่มผ้าให้ร่างเปลือยเปล่าของคนรัก เจซุกกายเข้าในอ้อมอกอุ่น

"ไหน อยากคุยอะไรกับผม ว่ามาซิ?"

"นั่นสิ เรามาคุยเรื่องที่คิดว่ายังไม่รู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายดีกว่า"



--------------------------------------------

ปิดสงกรานต์ซะหลายวัน ตอนแรกกะว่าจะได้สักสองตอน ที่ไหนได้ ขี้เกียจนอนกลิ้งไปกลิ้งมา สุดท้ายได้มาแค่นี้ค่ะ ไว้จะขยันให้มากกว่านี้ค่ะ แต่ช่วงนี้รู้สึกป่วยๆ เล็กน้อยคงเพราะอากาศที่แย่สุดๆ ของเชียงใหม่ช่วงที่ผ่านมา ก็จะพยายามรักษาสุขภาพค่า

แจ้งอีกนิดว่าเดือนหน้าช่วงตั้งแต่ 5-15 พฤษภาคมและหลังจากนั้นอีกหน่อยอาจจะไม่ได้อัพนิยายนะคะ เพราะจะไปทัวร์ตุรกี แอบหวั่นนิดๆ เรื่องซีเรียแต่ก็...จะไปอยู่ดี ฮ่าๆๆ ก็จะพยายามจบภาคมาเก๊าให้ได้ภายในสิ้นเดือนค่ะ (น่าจะได้เพราะกะๆ แล้วน่าจะอีกตอนเดียวจบ)

แจกลิงค์ต่อค่ะ

ร้าน Fat Siu Lau เป็นร้านที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1903 เป็นร้านที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังเปิดทำการติดต่อกันมาของมาเก๊า ก็ตามประสาร้านเก่าแก่ค่ะ ไม่ได้เป็นที่ป็อปปูลาร์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว หลายคนบอกว่าอาหารตกลงมากและไปแข่งกับร้านใหม่ๆ ยาก บางคนบอกว่าร้าน Fat Siu Lau สาขา 3 ที่ไทปาอร่อยกว่าร้านดั้งเดิมและยังอร่อยสู้ร้าน Dragon Restaurant ร้านเก่าแก่อีกร้านที่อยู่ใกล้กันไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือ นกพิราบย่างของที่นี่ยังคงอร่อยเหลือร้ายจริงๆ ค่ะ ในรูปไม่ได้ลงรูปข้าวผัดปลาค้อดเค็มไว้นะคะ เพราะวันนั้นกินกันไม่ไหวเลยห่อกลับ เอามากินเย็นๆ อีกวันหนึ่งยังอร่อยเลยค่ะ

Fat Siu Lau http://bit.ly/2H6VVoc

วิสกี้ Johnnie Walker&Sons Diamond Jubilee ค่ะ ตอนเห็นที่มาเก๊านี่เรียกว่าช็อคกับราคาจริงๆ ว่าของแพงขนาดนี้เล่นเอามาตั้งกลางซุเปอร์ฯ เลยเร้อ? ไม่ได้ไปดูนานแล้วว่ายังอยู่ไหม แต่คิดว่าไม่น่าอยู่แล้วเพราะไปอ่านในเว็บฝรั่งเขาบอกว่าตอนนี้หาไม่ได้แล้ว http://bit.ly/2HuN17q

กระเป๋า Longchamp Le Pliage Travel Bag ใบนี้แข็งแรงทนทาน พับได้ขยายได้ ผู้หญิงใช้ได้ผู้ชายใช้ดี เหมาะกับพกพาติดตัวไปเป็นกระเป๋าลูกมากค่ะ ข้อเสียอย่างเดียวคือพอขยายแล้วมันใบใหญ่พอสมควร ถ้าคนตัวเล็กเอาสะพายไหล่ก็แทบจะลากพื้นเลยทีเดียวค่ะ  http://bit.ly/2JSIXMA




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ข้อมูลเพียบ ยาว อ่านสนุกมาก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด