@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 115099 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- เช้านี้เจกินอะไร (ต่อ) ----




“สำหรับผม Han Solo ก็ต้องแฮริสัน ฟอร์ดอ่ะ พอคนอื่นแสดงแล้ว อืมม์ มันดูไม่ใช่อ่ะ”

เจพูดพลางยกแก้วใส่กาแฟอเมริกาโนเย็นขึ้นดื่ม พวกเขากำลังนั่งถกเรื่องภาพยนตร์ที่เพิ่งดูกันอยู่ไปในร้านสตาร์บัคส์

“แหม ให้ปู่แกมาแสดงเป็นหนุ่ม ๆ อีกก็คงไม่ไหวแล้วนะ”

คนตัวโตยิ้มน้อย ๆ สำหรับตัวเขาซึ่งเกิดในปีเดียวกับที่ภาคแรกของภาพยนตร์ในตำนานนี้ออกฉายก็ถือได้ว่าโตมากับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งพ่อของเขาและอาปาคริสต่างก็คลั่งไคล้ในเรื่องราวอันสนุกสนานและเทคนิคการถ่ายทำที่ถือว่าล้ำสมัยในยุคนั้น เขาเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ให้เจนยุทธฟัง

“พ่อฉันชอบสตาร์ วอร์สมาก โดยเฉพาะพวกเรื่อง Visual Effects ต่าง ๆ”

ในยุคที่ความสามารถของคอมพิวเตอร์ยังจำกัด จอร์จ ลูคัสได้สร้างจักรวาลของสตาร์ วอร์สขึ้นในโรงถ่ายโดยใช้แบบจำลองและฉากสีฟ้าหรือบลูสกรีน สิ่งที่ทำให้อันเดรสที่งและได้เล่าให้ลูกของเขาฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือการใช้กล้องถ่ายหนังซึ่งใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมถ่ายยานอวกาศจำลองที่แขวนอยู่นิ่ง ๆ ให้ดูเหมือนเคลื่อนที่ได้ในฉากการต่อสู้ในอวกาศ

“เขาถ่ายโดยใช้คอมพิวเตอร์บังคับกล้องให้เคลื่อนไปรอบ ๆ ยาน ถ้าใช้คนบังคับก็จะถ่ายแบบนี้ไม่ได้ แต่พอใช้คอมพ์เข้าช่วย มันก็ทำให้สามารถเคลื่อนไหวรอบ ๆ ยานทุกลำได้ในความเร็วที่เท่ากัน ทำให้ดูเหมือนยานกำลังเคลื่อนที่  สมัยนั้นทำได้แค่นี้ก็หรูแล้วและมันก็ทำให้เด็กคอมพ์อย่างพ่อฉันตื่นเต้นมาก”

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่แม่ของเขาเคยแอบเล่าให้ฟัง เมื่อสตาร์ วอร์สภาคแรกออกฉาย อันเดรสซึ่งประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากเคยคิดที่จะเบนสายไปศึกษาต่อด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิก แต่ก็ถูกทั้งภรรยาและเพื่อนสนิทอย่างคริสทัดทานเอาไว้ก่อน



“แม่ฉันเบรกพ่อฉันซะหัวทิ่มเลยโดยให้เหตุผลว่าอะไรรู้ไหม?”

เจนยุทธส่ายหน้า

“แม่บอกว่าไปไม่รอดหรอกเพราะพ่อฉันไร้หัวด้านศิลปะโดยสิ้นเชิงยังไงล่ะ เอาเป็นว่า พ่อวาดรูปเป็นแค่บ้าน ต้นไม้ พระอาทิตย์ นกเป็นเส้น ๆ แค่นั้น เรื่องการใช้สี การจัดวางองค์ประกอบอะไรต่าง ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง...”

ฆาเบียร์หยุดเล็กน้อยเพื่อจิบกาแฟอึกสุดท้ายของเขาจนหมด

“...แต่จริง ๆ มันก็มีงานด้านอื่นที่ไม่ต้องใช้ความสามารถหรือเซนส์ทางศิลปะอย่างพวกด้านโปรแกรมมิ่ง แต่ในตอนนั้นพ่อฉันก็คงรู้ตัวดีล่ะว่าอยู่สายเดิมเหมาะกับตัวเองกว่า แล้วก็คงไม่อยากขัดใจแม่ของฉันด้วย ก็เลยพับโครงการนี้ไป”

“อืมม์ ถ้าพ่อคุณไปสายนั้นจริง ป่านนี้คุณคงเดินสายเดียวกันไปแล้วมั้งเนี่ย?”

“เป็นไปได้จ้ะ เพราะพ่อมีอิทธิพลกับความคิดและวิถีชีวิตฉันหลาย ๆ ด้านทีเดียว”

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำหลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง

“อย่างที่ฉันเรียนสายวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ก็เพราะพ่อฉันเป็นต้นแบบ ส่วนอาปาก็สอนฉันด้านธุรกิจแล้วก็ช่วยแม่ฉันสอนเรื่องการวางตัว มารยาทสังคม การแต่งเนื้อแต่งตัว อะไรพวกนี้”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ พอมาถึงเรื่องการเข้าสังคม ใครจะสอนเขาได้ดีไปกว่าคุณหนูและคุณชายที่ผ่านการอบรมจากสังคมชั้นสูงอย่างคาตาลิน่าและคริส



“พูดถึงเรื่องการมีอิทธิพล อีกอย่างหนึ่งที่ฉันได้รับมาจากพ่อคือความชอบในการ์ตูนมาร์เวล เรียกได้ว่าตอนยังเล็ก ๆ พ่อจะพาฉันนั่งตักแล้วอ่านการ์ตูนอย่างกัปตันอเมริกา ไอรอนแมน หรือสไปเดอร์แมนให้ฟังจนแม่ฉันต้องดุเพราะว่ามันมีฉากรุนแรงเยอะ”

“มิน่า คุณถึงได้ชอบดูหนังมาร์เวลนัก ก็เล่นอ่านมาแต่เด็กอ่ะเนาะ”

“พ่อฉันก็อ่านมาตั้งแต่เด็กเหมือนกันนะ จำได้ใช่ไหมว่าพ่อฉันโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของโบสถ์ที่ปูเอร์โต ริโก...”

เจนยุทธพยักหน้ารับคำ แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าการที่อันเดรสโตมากับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาเกี่ยวอะไรกับการ์ตูนซุเปอร์ฮีโร่ แต่ฆาเบียร์ก็ไขข้อข้องใจให้เขาทันควัน

“...ที่นั่นก็จะมีคนจากสหรัฐฯ บริจาคของมาให้พวกเด็ก ๆ อยู่บ่อย ๆ ซึ่งก็รวมถึงพวกหนังสือการ์ตูนเก่า ๆ ด้วย”

สำหรับอันเดรสแล้ว การตูนมาร์เวลนั้นสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เขามาก แม้ที่ห้องสมุดของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะมีการ์ตูนแบบนี้อยู่ไม่มากนัก อีกทั้งเรื่องราวก็ไม่ต่อเนื่อง แต่เขาก็เฝ้ารอที่จะได้เข้าไปสู่โลกของซุเปอร์ฮีโร่อย่างใจจดใจจ่อ

“พ่อฉันเรียนภาษาอังกฤษจากไอ้เจ้าการ์ตูนพวกนี้ด้วยนะ แล้วฉันก็ไม่แน่ใจว่าที่พ่อขวนขวายหาทางมาเรียนที่สหรัฐฯ นี่ก็เพราะอยากมาอ่านการ์ตูนด้วยหรือเปล่า”

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

เจทำตาโตเมื่อนึกภาพตาม

“อืมม์! นายรู้ไหม? พ่อฉันนะ เขา...”

เจนยุทธอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคนรักที่กำลังเล่าเรื่องพ่อของตนให้เขาฟังอย่างสนุกสนาน พอคบหากันนานเข้า ฆาเบียร์ก็เริ่มเล่าเรื่องปูมหลังของเขาให้เจฟังมากขึ้น รวมถึงเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กและเรื่องของพ่อแม่ผู้ล่วงลับซึ่งเจ้าตัวเคยเลี่ยงที่จะเล่าให้ใครอื่นฟัง แต่กับคนรักของเขาคนนี้ ฆาเบียร์กลับรู้สึกอยากให้เจได้มีโอกาสได้รู้จักกับพ่อกับแม่ของเขาผ่านความทรงจำของตัวเขาเอง



“จริง ๆ ฉันก็เสียดายนะ ที่พ่อไม่ทันได้ดูหนังชุดจักรวาลมาร์เวล ไม่งั้นพ่อต้องมีความสุขมากแน่ ๆ”

เจใจหายวาบเมื่อได้ยินคนรักถอนหายใจน้อย ๆ เมื่อพูดถึงผู้เป็นพ่อ แต่เขาก็ต้องเบาใจลงเมื่อฆาเบียร์ไม่ได้แสดงอาการเศร้าซึมออกมา

“ฉันไม่เป็นไรจ้ะ แค่คิดถึงเขาขึ้นมานิดหน่อย”

ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเจนยุทธ เขาลูบหลังมือของเจที่วางอยู่บนโต๊ะเบา ๆ เจพลิกมือมาเกาะกุมมือของฆาเบียร์ไว้แล้วบีบกระชับแน่น ฆาเบียร์บีบตอบก่อนที่จะปล่อยมือออก เขาเล่าต่อพร้อมรอยยิ้ม

“พวกหนังจักรวาลมาร์เวลนี่เริ่มจาก Iron Man ในปี 2008 แต่พ่อแม่ฉันตายปี 2006 เลยไม่ทันดู แต่อย่างน้อย พ่อก็ทันดูสตาร์ วอร์ส Prequel Trilogy จนจบนะ”

ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงท่าทีลิงโลดของผู้เป็นพ่อเมื่อรู้ว่าจะมีการสร้าง Prequel Trilogy หรือไตรภาคต้นของสตาร์ วอร์ส เรื่องแรกจาก 3 เรื่องในภาคนี้ออกฉายในปี 1999 มันเป็นเหตุการณ์ก่อนเรื่องราวใน Original Trilogy หรือไตรภาคเดิม ซึ่งออกฉายครั้งแรกในปี 1977 เมื่อเริ่มเขียนบท ผู้สร้างได้แบ่งสตาร์ วอร์สออกเป็น 9 ภาค หรือ 3 ไตรภาค ซึ่งเรียกกันว่า “Skywalker Saga” โดยไตรภาคต้นเป็นเรื่องของ Anakin Skywalker ไตรภาคเดิมเป็นเรื่องของ Luke ส่วน Sequel Trilogy หรือไตรภาคต่อเป็นเรื่องของรุ่นหลานอย่าง Kylo Ren แต่เมื่อครั้งจะสร้างเป็นหนัง ผู้สรรสร้างและผู้กำกับอย่าง George Lucas เล็งเห็นว่าเทคโนโลยีการถ่ายทำในยุค 1970 นั้น ไม่สามารถจะถ่ายทอดเรื่องราวการต่อสู้ในอวกาศอันยิ่งใหญ่นี้ออกมาทั้งหมดได้ จึงเลือกหยิบยกเอาภาคเรื่องราวของ ลุค สกายวอล์คเกอร์ซึ่งถูกเรียกเป็นไตรภาคดั้งเดิมมาสร้างก่อนและออกฉายในช่วงปี 1977 – 1983



“ไอ้เจ้าไตรภาค Prequel นี่คือที่ออกฉายปี 1999 ใช่ไหมครับ? ทิ้งช่วงไปตั้งสิบกว่าปีเลยนะเนี่ย”

“ใช่จ้ะ แต่ถ้านับตั้งแต่ภาคแรกสุดนี่ก็ 20 กว่าปีเลยนะ แล้วนึกถึงว่าภายในเวลาแค่ 20 ปี จากโยดาที่ต้องใช้หุ่นคนเชิด กลายมาเป็นตัวละครที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ ก็ถือว่าเทคโนโลยีมันไปเร็วมากจริง ๆ”

ฆาเบียร์พูด นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนที่มาจากสายคอมพ์อย่างพ่อของเขาน้ำตาซึมเมื่อได้ดูภาพยนตร์ Star Wars Episode 1 : The Phantom Manace ซึ่งเป็นเรื่องแรกในไตรภาคต้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เริ่มเอากล้องถ่ายภาพยนตร์แบบดิจิตอลมาใช้ในการถ่ายทำบางฉากเพื่อทดลองก่อนที่จะใช้ถ่ายทำทั้งเรื่องใน Episode 2 และ 3 หลายฉากที่เกิดจากการใช้ CGI หรือ Computer-Generated Imagery แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ทำให้พ่อของเขาอดส่งเสียงอุทานอย่างตื่นเต้นออกมาไม่ได้

“ถึงภาคนี้จะโดนคนด่าอยู่ในหลาย ๆ ด้านรวมถึงตัวละครบางตัวที่ไม่ถูกใจคนดู รวมถึงบทที่น่าเบื่อไปบ้าง แต่สำหรับพ่อฉันแล้ว มันคือความมหัศจรรย์ที่นำไปสู่ยุคใหม่ของการถ่ายทำหนังเลยนะ”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ เขาบอกเจว่าตัวเขาในตอนนั้นซึ่งอยู่ในวัย 21 ปีก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับมันไปด้วย

“The Phantom Menace นี่เป็นเรื่องแรกที่ใช้ CGI เป็นพัน ๆ ช็อตเลยนะ ไม่ใช่แค่ตัวละครหลักหรือแบ็คกราวด์ แต่ยังมีการเอาตัวละคร CG มาใส่รวมกับนักแสดงจริงให้ดูเหมือนเป็นฝูงชน หรือกระทั่งรถราหรือยานอวกาศที่แล่นไปมา ก็เป็น CG ซะเยอะ”

“โห ตอนผมดูนี่ ผมไม่ได้สังเกตขนาดนั้นเลยอ่ะ แค่รู้ว่ามันสนุก แต่ก็รำคาญไอ้ตัวพูดมากนั่น ชื่ออะไรนะ?...”

เจนยุทธทำท่าครุ่นคิดแล้วก็ต้องผงกหัวรับเมื่อฆาเบียร์ส่งเสียงบอกชื่อตัวละครตัวนั้นมา

“ใช่ ๆ จาร์ จาร์ บิงส์ มันพูดมาก ผมรำคาญ แต่อย่างอื่นนี่ผมไม่ค่อยสังเกตแฮะ แต่อย่างว่า ตอนนั้นผมแค่ 10 ขวบเอง...”

ฆาเบียร์หุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นเจพูดพลางส่งสายตายียวนมาให้ เขาจิ๊ปากเบา ๆ เพราะเข้าใจถึงความหมายแฝงของคนรัก

“พอเลย ไม่ต้องมาโยงเรื่องนี้ นายนี่มันทะเล้นจริง ๆ”

“อ่ะ ดีดหน้าผากผมอีกแล้ว!”

เจนยุทธว๊ากเบา ๆ เมื่อถูกคนตัวโตใช้นิ้วดีดเข้ากลางหน้าผาก ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วใช้นิ้วคลึงจุดที่ตนเพิ่งดีดไปเบา ๆ อย่างเอาใจ



“เมื่อกี้ฉันพูดถึงไหนนะ? อ้อ สตาร์ วอร์ส ไตรภาคต้น…”

คนตัวโตทำท่าครุ่นคิดแล้วเล่าต่อ

“ก็อย่างที่บอก พ่อฉันได้ดูครบทั้งสาม Episodes รวมไปจนถึงไตรภาคเดิมที่เป็น Special Edition ด้วย”

ฆาเบียร์อธิบายต่อให้เจซึ่งไม่เคยดูภาคพิเศษนั้นว่าในปี 1997 ได้มีการฉายภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส Episode IV – VI หรือไตรภาคเดิมซึ่งผ่านการปรับปรุงและแต่งภาพให้แนบเนียนขึ้นโดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิคเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 20 ปีของผลงานชิ้นเอกนี้

“พ่อฉันไม่เคยพลาดที่จะหาตั๋วในรอบพรีเมียร์ของทุกเรื่องมา เอ่อ หมายถึงที่โรงแถวบ้านนะ ไม่ใช่รอบเปิดตัวที่ฮอลลีวู้ด แล้วก็จะลากฉันกับอาปาไปดูด้วยทุกครั้ง”

“อ้าว แล้วแม่คุณไม่ได้ไปด้วยเหรอครับ?”

เจนยุทธถามอย่างสงสัย ฆาเบียร์ส่ายหน้า

“แม่ฉันไม่ค่อยชอบหนังแนวไซไฟอวกาศพวกนี้เท่าไหร่น่ะ บอกว่าดูแล้วไม่อิน อาปาเล่าว่าตอนที่ไตรภาคเดิมออกฉาย แม่ก็จะปล่อยให้พ่อกับอาปาไปดูกันสองคน ส่วนแม่อยู่เลี้ยงฉันที่บ้าน อาปาก็พยายามคะยั้นคะยอให้แม่ไปด้วย แต่แม่ก็จะบอกตลอดว่าให้ไปมี Boys’ night out กันซะ”

“เหรอครับ? อืมม์ ๆ”

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงัก หากสีหน้าของเขาทำให้ฆาเบียร์ต้องหัวเราะน้อย ๆ ออกมา

“ใช่ไหม? ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันล่ะ”

ฆาเบียร์หันไปยิ้มอย่างรู้ทันให้กับเจนยุทธ โดยส่วนตัวเขาแล้ว เขาคิดว่าแม่ของตนไม่ได้ไม่ชอบหนังเรื่องจนถึงขนาดไม่อยากไปดูอย่างที่เคยพูดไว้ แต่เธอแค่อยากจะเปิดโอกาสให้เพื่อนรักของเธอได้มีเวลาส่วนตัวเพื่อทำในสิ่งที่ชอบด้วยกันกับอันเดรสบ้าง

“แล้วนายรู้อะไรไหม? จนถึงทุกวันนี้ เวลาที่หนังสตาร์ วอร์สไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหน เอพิโซดไหนเข้าโรง อาปาก็จะจองที่นั่งในรอบพรีเมียร์โดยจะจองเกินมาอีกหนึ่งที่ แล้วพอถึงเวลา อาปาก็จะเอารูปพ่อฉันวางไว้ที่เก้าอี้ที่ว่างนั่น ทำแบบนี้ ทุกครั้งที่ได้ไปดู”

เจนยุทธนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาก้มหน้าลงดูดน้ำจากน้ำแข็งที่ละลายแล้วในแก้วกาแฟเพื่อกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกขึ้นมาในลำคอ ฆาเบียร์ซึ่งสังเกตท่าทีของคนรักออกยกมือขึ้นลูบหัวเจนยุทธเบา ๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

 

“ฉันว่าสำหรับเรื่อง Han Solo ที่เราเพิ่งดูไปนี่ อาปาคงไม่ได้พาพ่อฉันไปดูด้วยแล้วล่ะ”

ฆาเบียร์ซึ่งกำลังเคลื่อนรถออกจากซองจอดในห้างเซ็นทรัล เฟสติวัลพูดโพล่งออกมา หลังจากพูดเรื่องอาปากับรูปพ่อของเขาออกไป เจก็ลุกขึ้นลากเขาออกจากร้านสตาร์บัคส์ทันทีดูดน้ำหมดแก้วโดยบอกว่าอยากรีบไปซื้อไวน์กับชีส

“ฆาบี้ครับ เราไม่ต้องคุยเรื่องนี้กันแล้วก็ได้”

เจนยุทธรีบห้ามคนรัก เมื่อครู่นี้เขาก็ได้ตัดบทไม่ให้คนรักต้องเล่าในสิ่งที่อาจจะกระทบใจตัวเองออกมาไปแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าตัวก็ยังพยายามดึงหัวข้อสนทนานี้กลับมาอีก

“เจ ฉันไม่เป็นไร พูดถึงเรื่องนี้ได้ โอเคนะ?”

ฆาเบียร์ยิ้มพร้อมกับตบเบา ๆ ไปที่หลังมือของคนรัก

“แน่นะ?”

คนตัวเล็กถามย้ำ

“แน่สิ ไม่เป็นไรจริง ๆ”

ฆาเบียร์พยักหน้ารับ

“งั้น เล่ามาครับ ทำไมอาปาถึงไม่ได้พาพ่อคุณไปดูเรื่อง Han Solo แล้ว? หรือเพราะอาปาคิดเหมือนผมว่าคนแสดงคนนี้ไม่เหมาะ?”

เจถามทันที ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ ในลำคอแล้วเริ่มเล่าต่อ



“ปีนี้อาปาไม่ว่างไปดูหนังรอบพรีเมียร์หรอกจ้ะ...”

“อ๋อ ที่คุณบอกว่าช่วงนี้อาปางานยุ่ง ก็เลยต้องส่งคุณมางานแต่งที่กรุงเทพฯ แทนนั่นใช่ไหม?”

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงักเมื่อนึกถึงสิ่งที่คนรักเคยเล่าให้ฟัง

“ก็ ทั้งใช่และไม่ใช่ล่ะนะ”

“เอ๊า แล้วมันยังไงล่ะครับ? เล่ามา ให้ไวเลย”

เจนยุทธเร่งคนที่ทำท่าอมพะนำจนน่าหมั่นไส้

“แหม ๆ ใจเย็นสิ รอฉันขับรถก่อนไม่ได้เหรอ? โอเค ๆ ก็ได้จ้ะ เล่าก็ได้...”

ฆาเบียร์เย้าแหย่คนรักที่ทำหน้ามุ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ เขาหมุนพวงมาลัยเพื่อพาน้องอัซซูรี่ของเจที่เขาทำหน้าที่เป็นพลขับบ้างบางครั้งขึ้นสู่ถนนซุเปอร์ไฮเวย์เพื่อมุ่งหน้าไปซื้อไวน์ตามที่เจบอก



“ตอนแรกที่ตอบรับทางเจ้าภาพที่กรุงเทพฯ ไปว่าฉันจะมาแทนน่ะ อาปาไม่ว่างจริง ๆ แต่พอใกล้ ๆ งาน ทางคู่ค้าที่อาปาจะไปเจรจาด้วยก็ขอเลื่อนกะทันหัน อาปาก็เลยพยายามเคลียร์งานและตั้งใจว่าจะมาที่งานแต่งเอง...”

“อือ ฮึ แล้วไงต่อครับ?”

“พอทุกอย่างเรียบร้อย อาปาก็เลยรีบหาตั๋วบินมาที่ฮ่องกง กะว่าจะมาเจอกันก่อนแล้วไปกรุงเทพฯ พร้อม ๆ กันกับฉัน แต่ก็ยังไม่ได้แจ้งทางเจ้าภาพไป กะว่ามาถึงฮ่องกงแล้วจะบอกไปอีกที”

“อ๋อ ก็เลยไม่ทันได้ดูหนังรอบพรีเมียร์?”

เจนยุทธพูดเป็นเชิงถาม ฆาเบียร์พยักหน้าน้อย ๆ

“จะว่างั้นก็ได้จ้ะ ส่วนหนึ่งเพราะหนังรอบพรีเมียร์ที่ฮ่องกงมันคือวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพออาปามาถึงฮ่องกงวันพุธปุ๊บ วันพฤหัสฯ คนของลุงหลงจากมาเก๊าก็มารับอาปาไปลงเรือยอทช์เลย”

“นั่น มาลักพาตัวกันไปเล่นไพ่เฉ๊ย”

เจหัวเราะคิกคักเมื่อนึกถึงคุณลุงตัวแสบเพื่อนรักของอาปาคริส หากฆาเบียร์ยกยิ้มแล้วส่ายหน้า

“ไม่ได้ลักพาตัวไปเล่นไพ่ อันที่จริง ช่วงนี้ลุงหลงไม่ได้อยู่มาเก๊าด้วยซ้ำ”

“อ้าว ยังไงครับเนี่ย? เฮ้ย รู้แบบนี้แล้วคุณก็ยังปล่อยให้อาปาไปด้วยเนี่ยนะ?! ไม่อันตรายเหรอคุณ?!”

เจนยุทธเผลอเอ็ดลั่นรถ

“ฮ่ะ ๆ เจจ๊ะ จะอันตรายอะไรล่ะ? ในเมื่อ ‘คนของลุงหลง’ ที่มารับน่ะก็คือส่วนหนึ่งของทีมการ์ดที่ลุงเดวิดส่งไปให้ดูแลลุงหลงช่วงที่อยู่มาเก๊าและฮ่องกง”

ฆาเบียร์หันไปยิ้มให้เจนยุทธที่ทำตาวาวขึ้นมาทันที



“งั้นแปลว่า?...”

“ใช่จ้ะ คนที่รออาปาบนเรือก็คือลุงเดวิดนั่นแหละ อีกอย่างหนึ่ง ตัวอาปาเองก็ไม่ได้ดูแปลกใจตอนที่มีคนมารับ ฉะนั้นแปลว่าพวกเขาก็คงนัดแนะกันแล้ว...”

ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอเมื่อนึกถึงใบหน้าแดงระเรื่อและท่าทีเขินอายของพ่อบุญธรรมตอนที่มาบอกเขาว่าตนอาจจะไปงานแต่งงานที่กรุงเทพฯ กับฆาเบียร์ไม่ได้แล้ว

“...ก็เห็นอาปาบอกว่าคงไม่ได้ล่องเรือไปไหนไกลมากนัก อาจจะแค่วน ๆ อยู่ในน่านน้ำสากลแถว ๆ รอยต่อ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ประมาณนี้...”

คนตัวโตตอบคำถามคนรักที่ว่าอาปาของเขานั้นจะล่องเรือไปที่ใด

“อาปาบอกว่าน่าจะใช้เวลาประมาณเจ็ดถึงสิบวัน อาจจะแวะขึ้นฝั่งถ้าไม่แถวเกาะคิวชูของญี่ปุ่นก็อาจจะเป็นไต้หวัน แต่รับรองได้ว่าน้ำทะเลแถวนั้นได้กลายเป็นน้ำหวานหมดแน่ ๆ”

“เฮ้อ ถ้าไม่ใช่ว่าเมาเรือ ผมก็อยากไปล่องเรือเหมือนกันน้า”

เจนยุทธทำหน้าเคลิ้มเมื่อนึกถึงภาพการล่องเรือยอทช์ที่เคยเห็นตามสื่อต่าง ๆ

“ไว้สักวันฉันจะขอลุงหลงพานายไปลงเรือ เรือลุงลำใหญ่ ไม่เมาหรอก”

“โอย ไม่ไหวครับคุณ เรือเฟอรี่ข้ามฝั่งไปมาเก๊าก็ลำใหญ่ ผมยังเมาเลย...”

เจนยุทธทำท่าผะอืดผะอมทันที

“...เนี่ย แค่นึกถึงผมก็ยังอยากอ้วกแล้ว”

เจพูดเสียงอ่อย ๆ ฆาเบียร์โคลงหัวแล้วยื่นมือมาลูบหัวคนรักอย่างเอ็นดู

“งั้นเราต้องหาอะไรทำไม่ให้เมาเรือ ดีไหม?”

“เฮ้ ๆ ตั้งใจขับรถดี ๆ ครับ อย่าพึ่งมือซน ฮึ่ย!”

เจนยุทธทำตาโตแล้วโวยใส่คนที่เริ่มมือซุกซนทันทีที่จอดติดไฟแดงที่สี่แยก หากก็ยอมเอียงแก้มรับปลายจมูกของคนที่เนียนดึงตัวเองเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่อย่างมันเขี้ยว

 

“พอขึ้นเรือไปแล้วอาปาติดต่อคุณมาอีกบ้างหรือเปล่าครับ?”

เจหันไปถามคนรักที่กำลังลำเลียงถุงช้อปปิ้งลงจากท้ายรถ ฆาเบียร์พยักหน้าน้อย ๆ แล้วส่งถุงไวน์กับพวกชีสและโคลด์คัทให้เจที่ยื่นมือมารับ เจทำท่าตั้งอกตั้งใจฟัง เมื่อครู่พวกเขาถึงร้านไวน์ก่อนจะคุยกันจบเรื่องและไม่ได้คุยกันต่อจนกระทั่งเจนึกได้ขึ้นมาเมื่อครู่

“จ้ะ ก็มีติดต่อมานิดหน่อย ถ้าสะดวกแล้วก็อาจจะมีส่งรูปอะไรมาเพิ่มบ้าง ไว้ฉันเอาให้เจดูนะ”

“อืมม์ ๆ ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมเข้าใจว่าไปครั้งนี้อาปาไปแบบเงียบ ๆ เป็นการส่วนตัว ที่จริงคุณบอกอาปานะว่าไม่ต้องติดต่อมามากก็ได้...”

ในฐานะคนที่ดูหนังและซีรีส์สืบสวนสอบสวน สายลับและแนวหักเหลี่ยมเจ้าพ่อมามาก ในใจเจคิดไปแล้วว่าการที่คริสติดต่อมาที่ฆาเบียร์บ่อย ๆ ในขณะที่กำลังเดินทางแบบ “ลับ ๆ” กับคนที่ทำงานอยู่ในโลกใต้ดินแบบเดวิด จิวนั้น อาจทำให้คนที่ไม่หวังดีสามารถตามรอยและรู้ได้ว่าทั้งสองคนนี้กำลังคบหากันอยู่

“นี่ ๆ นายดูหนังมากไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า อาปาก็เซฟตัวเองอยู่ อีกอย่าง ถ้าไม่มั่นใจ ลุงเดวิดเขาไม่ทำอะไรที่จะทำให้อาปาเดือดร้อนหรอก”

ฆาเบียร์ยิ้มบาง ๆ เขายังไม่ได้บอกคนรักให้เป็นกังวลว่าตั้งแต่คริสเริ่มคบหากับเดวิด จิว ตัวเขาเองก็เริ่มรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในหนังสายลับ เริ่มจากการที่เขาได้รับโทรศัพท์เครื่องสีดำที่เอาไว้ใช้ติดต่อกับเดวิด จิวโดยเฉพาะมาเช่นกัน เขาอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้เมื่อนึกถึงข้อความที่เดวิดมักส่งมาหา



‘ถ้าส่งดอกไม้หาบ่อย ๆ อาปาเราจะคิดว่ามันเลี่ยนไปไหม?’

‘อาปาเราพูดถึงลุงว่ายังไงบ้าง?’

‘วันนี้ทำไมอาปาเราเงียบหายไปทั้งวันเลย งานยุ่ง หรือไม่สบายหรือเปล่า?’

หรือ

'อาซิงยังชอบกินช็อคโกแลตไส้เหล้าเหมือนเมื่อก่อนอยู่ไหม?'



‘ลุงจะขอยืมตัวอาปาของเราสักสัปดาห์นะ อาปาเราชอบไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า?’

“อนเซนครับ อาปามีที่โปรดอยู่แถวคิวชู ลุงลองพาไปแถวนั้นก็ได้นะ ผมว่าพาล่องเรือไปก็โรแมนติกดีนะ”

นั่นคือสิ่งที่ฆาเบียร์พิมพ์ตอบเดวิด จิวไปก่อนที่อีกฝ่ายจะมา “ลักพาตัว” อาปาของเขาไปจากบ้าน เขาพยายามไม่คิดว่าการที่คู่ค้าของอาปายกเลิกนัดกะทันหันนั้น อาจมีต้นเหตุมาจากใครบางคนที่เฝ้ารอให้อาปาของเขามีเวลาว่างก็ได้



‘ขอบใจสำหรับคำแนะนำ อาซิงแฮ้ปปี้มาก ไว้จะให้ส่งรูปให้ดูนะ’

ข้อความสั้น ๆ ที่เขาได้รับจากเดวิด จิวก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินมาเชียงใหม่ ภาพอาปาของเขาที่ยืนด้วยท่าทีผ่อนคลายบนดาดฟ้าเรือโดยมีฉากหลังเป็นท้องน้ำสีคราม รวมถึงรอยยิ้มกว้างที่เขาส่งให้คนหลังกล้อง ทั้งหมดนี้ทำให้ฆาเบียร์รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก เขาได้แต่หวังว่าอาปาของเขาจะมีรอยยิ้มแบบนี้ไปได้อีกนานแสนนาน

 


“ยืนยิ้มอยู่นั่นแหละคุณ ลิฟท์มาแล้วครับ”

เสียงกลั้วหัวเราะของเจปลุกฆาเบียร์ตื่นจากภวังค์ เขาหันไปยิ้มให้คนที่เป็นความสุขและรอยยิ้มในชีวิตของเขาก่อนที่จะยื่นมือไปเกาะกุมมือของอีกฝ่ายและพากันขึ้นลิฟท์ไปยังห้องพัก



----------------------------------------


มาแล้วค่ะ มาแล้ว คนเขียนยังอยู่ค่ะ ไม่ได้ละลายไปกับแดดและสายฝน ตอนนี้ไม่สั้นไม่ยาวและมีแต่สองหนุ่มเน้น ๆ หวังว่าจะทำให้คนอ่านได้ผ่อนคลายได้บ้างนะคะ

ในตอนนี้ไม่มีอะไรมาก หวาน ๆ กันไป ตกลงตอบกันได้ไหมว่าอิเจมันกินอะไรเป็นอาหารเช้า? บอกแล้วว่าอิเด็กเรามันร้ายยยย ;-)

ของอ่านเล่นตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ มีวิธีทำ sausage and eggs เอ๊ย cheesy scrambled eggs ให้ดูเล่น ๆ สูตรนึงค่ะ จะใส่ทั้ง Monterey Jack และ Cheddar แบบเขาหรือใส่แค่เชดดาร์ก็อร่อยเหมือนกัน ในเรื่องไม่อธิบายวิธีทำไว้เพราะเหมือนไข่กวนธรรมดาที่เคยเขียนถึงแล้วในตอน "ทะเลาะ" (https://bit.ly/2Pk6cmE) ค่ะ

Cheesy Scrambled Eggs  https://bit.ly/3gmrThT



เรื่องสตาร์ วอร์ส ในเรื่องจะพูดถึงเรื่อง Han Solo ซึ่งฉายวันแรกในไทยวันที่ 24/5/2018 เพราะในเรื่อง timeline ของเรายังอยู่ที่ปี 2018 อยู่ค่ะ เผื่อใครงง แหะ ๆ ส่วนตัวไม่ได้เชี่ยวเรื่องนี้มาก ข้อมูลผิดเพี้ยนโปรดอภัย แต่โดยส่วนตัวแล้วทึ่งกับการพัฒนาในวงการภาพยนตร์มากค่ะ

บทความอ่านประกอบ How The Making of 'Star Wars' Changed Hollywood Forever  - https://bit.ly/3i1d3xI

ลืมลงรูปที่เป็นแรงบันดาลใจของฉากห้องครัววันนี้ไปซะสนิทเลยค่ะ...คุณของอิฉันยังคงน่ากินเหมือนเดิม





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2020 08:22:55 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
น่าเอ็นดูมาก ความรักแบบผู้สูงวัย

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Places to Remember ----



 

“ไง มาถึงนานแล้วเหรอ?”

ฆาเบียร์ส่งเสียงทักทายนพที่นั่งอ่านเมนูอยู่ที่โต๊ะของร้านอาหาร Cafe de Nimman บนถนนศิริมังคลาจารย์ ซอย 13 อันเป็นจุดนัดพบของพวกเขาในวันนี้

“เพิ่งมาถึงได้สักพักนะ ยังไม่ทันได้สั่งอะไร...”

นพลุกขึ้นยืนต้อนรับเพื่อนของเขาที่ส่งเสียงทักมาแต่ไกลพร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปให้ เขายื่นมือไปสัมผัสมือของอีกฝ่ายแต่ก็ถูกดึงเข้าไปกอดตามความเคยชินแบบหนุ่มละตินของอีกฝ่าย

“ไม่ได้เจอมึงซะนานเลยนะ เป็นไงมั่ง?”

ฆาเบียร์ถามไถ่ทุกข์สุขของเพื่อน แม้ช่วงหลังเขาจะมาเชียงใหม่บ่อยครั้ง แต่ด้วยเวลาที่ไม่ตรงกัน เขากับนพจึงไม่ได้พบหน้ากันบ่อยและอาศัยติดต่อกันทางสื่อออนไลน์มากกว่า

“เออ ๆ กูสบายดี ว่าแต่มึงอยู่ห่าง ๆ กูหน่อยก็ได้ กูเกรงใจไอ้เจมัน”

เพื่อนหนุ่มรุ่นพี่ของเจลดเสียงลงจนแทบจะกระซิบแล้วค่อย ๆ ยกแขนของอดีตรูมเมทที่โอบไหล่ตนอยู่ออก ฆาเบียร์หน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าเจนยุทธอาจจะยังคิดมากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนพ

“อะแฮ่ม มึงไม่ต้องคิดมากหรอกน่า นพ เจเขาเข้าใจพวกเราดีอยู่หรอก ใช่ไหมจ๊ะ ที่รัก?”

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อนหวานแล้วหันไปยิ้มให้เจนยุทธที่ลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว

“หืมม์? คุณว่าอะไรนะครับ? ผมไม่ทันฟัง มัวแต่อ่านเมนูอ่ะ แหะ ๆ”

เจนยุทธเงยหน้าขึ้นมาจากเมนูอาหารแล้วถามอย่างงง ๆ ฆาเบียร์ทำตาปริบ ๆ แล้วหันไปมองอดีตรูมเมทที่กลั้นหัวเราะจนหน้าแดง

“ไม่ไหวล่ะ ไอ้ฆาบี้ ไร้พ่ายอย่างมึงยังสู้ของกินไม่ได้เลย ฮ่า ๆๆ”

“เออ มึงก็ไม่ต้องหัวเราะขนาดนั้นก็ได้ กูรู้ตัวดีอยู่แล้วล่ะ”

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบ เขามองหน้าเพื่อนที่หัวเราะจนไหล่สั่นสลับกับเจที่ก้มหน้าก้มตาอ่านเมนูต่อแล้วส่ายหัวอย่างจนใจ เจนยุทธที่ซ่อนใบหน้าไว้หลังเมนูยกยิ้มน้อย ๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นท่าทีสนิทสนมแบบถึงเนื้อถึงตัวกันของคนรักและเพื่อนรุ่นพี่ที่เคยมีอดีตกับฆาเบียร์มาก่อน แต่ตัวเขานั้นไม่ได้คิดมากเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งสองอีกแล้วและไม่ได้รู้สึกว่าท่าทีนั้นขัดหูขัดตาแต่อย่างใดจึงไม่ได้แสดงท่าทีใดออกไป เขาเหลือเพียงแค่ความรู้สึกอยากเย้าแหย่คนรักเล่นเท่านั้น

“ให้ตายสิ บางทีฉันก็คิดนะ ว่าถ้าเกิดต้องเลือกขึ้นมาจริง ๆ ระหว่างฉันกับของกิน เจก็อาจจะเลือกของกินก็ได้ ใช่ไหม? ตัวยุ่ง?”

คนตัวโตหันไปโคลงหัวใส่คนที่ส่งรอยยิ้มยียวนกลับมาให้เขา

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอร่อยสู้ของกินนั้นได้หรือเปล่าครับ”

คำตอบนั้นทำให้นพหัวเราะก๊ากออกมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำเป็นภาษาสเปนของคนที่ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตนจะยัง “อร่อย” สำหรับคนรักอยู่หรือไม่

 

“ทำไมฆาบี้เขาทำหน้าตูมแบบนั้นล่ะ เจ?”

อิ่มใจที่เพิ่งมาถึงทรุดกายลงนั่งข้างน้องชายแล้วกระซิบถามเบา ๆ เป็นภาษาไทย เจไม่ตอบแต่ส่งเมนูอาหารให้พี่สาวด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“สั่งอาหารก่อน เจ๊ เจหิวจะตายแล้ว เรื่องอื่นเดี๋ยวค่อยคุย”

“ไอ้เรามันก็บ่นหิวได้ทั้งวันนั่นแหละ แล้วก็พูดภาษาอังกฤษด้วยย่ะ ฆาบี้จะได้เข้าใจ”                                  

อิ่มใจบ่นน้องชายเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดูอาหารในเมนูแต่ก็ดูเหมือนจะเลือกไม่ได้ เธอจึงเงยหน้าขึ้นถามคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเป็นภาษาอังกฤษ

“เอ่อ พี่นพอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ? หรือมีอะไรแนะนำหรือเปล่า? อิ่มไม่ค่อยได้มาร้านนี้บ่อยเท่าไหร่นัก”

“อืมม์ นั่นสินะ พี่ก็ไม่ได้แวะมาสักพักแล้วเหมือนกัน น้องอิ่มมีอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า?...”

นพตอบอิ่มใจกลับมาด้วยภาษาอังกฤษเช่นกัน พวกเขาเคยชินแล้วกับการที่ต้องสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ฆาเบียร์เข้าใจแม้จะคุยกันในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเจ้าตัวเลยก็ตาม เจย่นจมูกดูพี่สาวที่ยิ้มแป้นแล้นคุยกับชายในดวงใจกว่ายี่สิบปีของเธอ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์อะไรลงในมือถือของตน จากนั้นก็หันไปทำท่าพยักเพยิดให้ฆาเบียร์ดูโทรศัพท์ที่สั่นเตือนขึ้น

 

‘ไม่ได้มาบ่อยกะผีสิครับ ร้านนี้อ่ะร้านโปรดของเจ๊กับเพื่อนอาจารย์ของนางเลย’

 

คนตัวโตยกโทรศัพท์มือถือของตนของดูแล้วก็ต้องกลั้นยิ้มเมื่อเห็นข้อความนินทาต่อหน้าของเจนยุทธ เขากดส่งสติกเกอร์รูปหมาลาบราดอร์ดำหัวเราะคิกคักกลับไปให้คนรักก่อนจะทำหน้าตายยกเมนูขึ้นมาดูอีกครั้ง

“ยำแฮมสดของที่นี่ก็อร่อยนะพี่นพ ผมว่ามันคล้าย ๆ กับของโป่งแยงแอ่งดอยสมัยก่อนอ่ะ”

เจนยุทธเอียงคอเข้าไปแนะนำอาหารให้แทนพี่สาวที่มัวแต่กระบิดกระบวนไม่ยอมตัดสินใจเสียที

“เออ ใช่ ๆ จำได้เหมือนกันว่าอร่อย งั้นเอานี่จานนึง แล้วอะไรอีกดีนะ? ส้มตำทูน่าฟูดีไหม?”

นพถาม พลางชี้ให้ฆาเบียร์ดูรูปอาหารที่เขาเพิ่งเอ่ยชื่อออกไป เจพยักหน้าระรัว

“ดี ๆๆ นี่ผมก็ชอบ งั้นเอานี่ด้วยดีกว่า นี่ด้วย”

เจนยุทธชี้ ๆ สั่งอาหารอีกสี่ห้าอย่างในเมนูกับพนักงานเสิร์ฟ

“เฮ้ ๆๆ พอก่อน สั่งมาเยอะขนาดนั้นจะกินไหวเหรอเรา?”

อิ่มใจรีบเบรกน้องชายที่ทำท่าจะสั่งอาหารมามากเกินไปโข แล้วโบกมือบอกพนักงานให้เอารายการไปส่งได้ก่อนจะหันกลับมาบ่นเจนยุทธต่อ

“ปกติเค้ามีแต่ให้สั่งกับข้าวตามจำนวนคน +1 จาน นี่มันจะ +3 +4 แล้วมั้ง?”

“ไม่นับสิพี่อิ่ม นี่ก็กับแกล้ม นั่นก็กินเล่น ไม่ใช่กับข้าวซักหน่อย โอ๊ย! ฆาบี้ พี่อิ่มทำร้ายร่างกายผมอ่ะ”

เจหันไปฟ้องคนรักทันทีเมื่อถูกพี่สาวสับมะเหงกเข้าเบา ๆ ที่หน้าผาก แต่ก็ต้องทำหน้าง้ำเมื่อคนตัวโตยักไหล่แล้วทำท่าไม่ยอมช่วย

“ทะเล้นนัก อาหารร้านนี้จานไม่เล็กนะ เดี๋ยวก็เหลือหรอก”

อิ่มใจดุน้องชายตัวดีเบา ๆ เจหัวเราะแหะ ๆ แล้วหันไปปะเหลาะพี่สาว

“น่า ๆ นาน ๆ มากินที แล้วไม่ต้องห่วงนะ ถึงฆาบี้จะกินน้อย แต่ลืมไปแล้วเหรอว่าผมกับพี่นพก็กินเท่ากับ 4 คนแล้ว ฉะนั้นสั่งมาเท่านี้ไม่เยอะเกินร้อก”

“เฮ้ย ๆ ไม่ต้องมาโยนให้กู ช่วงนี้กูไดเอ็ทอยู่”

นพรีบส่งเสียงทักท้วงทันที

“หือ? อารมณ์ไหนถึงคิดจะไดเอ็ทอ่ะพี่?”

เจนยุทธถามพี่ชายคนสนิทที่รักการกินพอ ๆ กับเขา

“ไอ้นี่ ลืมแล้วเหรอ? เดี๋ยวเดือนหน้ากูจะไปนอร์เวย์กับพี่วัฒน์ ก็ต้องเตรียมตัวหน่อย”

“อ๋อ ผมก็ลืมไปซะสนิท...”



“เอ่อ แล้วอิ่มเป็นยังไงมั่ง ช่วงนี้? สบายดีไหมครับ?”

ฆาเบียร์หันมาชวนพี่สาวของคนรักสนทนาแทนเจที่หันไปชวนนพคุยเรื่องการท่องเที่ยวอย่างออกรสออกชาติ

“เรื่อย ๆ ค่ะ ช่วงนี้เพิ่งส่งเกรดเด็กเสร็จไป ถือว่าว่างเต็มตัวแล้วซักที”

อาจารย์สาวยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มที่เป็นประหนึ่งอัลฟ่าตัวท็อปในอุดมคติของเธอ ฆาเบียร์พยักหน้ารับรู้และซักถามต่อถึงเรื่องการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยรวมถึงเรื่องสรรเพเหระต่าง ๆ เจที่กำลังคุยกับนพแอบเหลือบมองคนรักกับพี่สาวของตนแล้วก็ต้องยิ้มบาง ๆ ออกมา ฆาเบียร์ของเขาช่างสมกับที่โชกโชนในด้านการเข้าสังคม เขาสามารถสนทนาได้แทบทุกเรื่องอย่างลื่นไหลและไม่รู้สึกขัดเขิน นพเองหลังจากคุยเรื่องแผนเที่ยวของเขากับเจ พวกเขาทั้งสองก็กลับเข้ามาร่วมวงสนทนากับฆาเบียร์และอิ่มใจต่อจนกระทั่งอาหารที่สั่งเริ่มทะยอยมาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

“โอย ยำแฮมสดนี่รสจัดดีแท้ พี่นพค้าบ ผมจะสั่งเบียร์ พี่แชร์ด้วยไหม?”

เจนยุทธหันไปถามเพื่อนรุ่นพี่ที่พยักหน้าตอบมาอย่างไม่ลังเล จริงอย่างที่เจนยุทธพูด อาหารที่พวกเขาสั่งมานั้น หลายจานเป็นเหมือนกับแกล้มหรือของกินเล่นมากกว่าที่จะเป็นกับข้าว อย่างยำแฮมสดรสจัดจ้านที่เจจิ้มเอา ๆ อย่างถูกใจจานนี้เป็นต้น

“คุณไม่ดื่มเบียร์ใช่ไหม ฆาบี้?”

เจรินเบียร์เย็นเจี๊ยบใส่แก้วของเขาและนพก่อนจะหันไปถามฆาเบียร์ คนตัวโตที่ไม่ค่อยอยากเพิ่มพุงเบียร์ให้ตัวเองนักส่ายหน้าปฏิเสธแล้วหันไปหยิบขวดไวน์แดงที่เขาเปิดทิ้งไว้ครู่หนึ่งแล้วมารินใส่แก้วของตน

“แล้วจะไม่ถามพี่หน่อยเหรอว่าจะเอาเบียร์ไหม?”

หญิงสาวเพียงคนเดียวในโต๊ะบ่นกะปอดกะแปดเมื่อน้องชายรินเบียร์ที่เหลือใส่แก้วที่พร่องลงของตัวเองและนพ เจทำหน้าเหรอหราทันที

“อ้าว เจก็นึกว่าเจ๊ไม่ชอบเบียร์”

“อือ ก็ไม่ชอบแหละ แค่อยากบ่นเรา”

อิ่มพูดหน้าตายแล้วยกแก้วไวน์ที่ฆาเบียร์รินส่งมาให้ขึ้นชูให้คนรักของน้องชาย ฆาเบียร์หัวเราะหึ ๆ เขาพอเดาได้แล้วว่าเจได้นิสัยขี้เล่นมาจากใคร เขาอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้เมื่อเห็นอิ่มใจแยกเขี้ยวแล้วทำท่าจะเขย่าคอน้องชายที่พูดอะไรบางอย่างออกมาเป็นภาษาไทย เขาหันไปถามนพเบา ๆ แล้วก็ต้องโคลงหัวเมื่อรู้ว่าเจ้าตัวดีได้แซวพี่สาวในเรื่องอ่อนไหวของสาว ๆ อย่างเรื่องอายุอีกครั้ง

“ว่าน้องอิ่มแก่นี่ กระทบทั้งโต๊ะนะเว้ยเฮ้ย!”

นพทำหน้าขึงขังใส่เจนยุทธที่ยิ้มแหย ๆ เมื่อนึกได้ว่าผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนนั้นล้วนอายุมากกว่าพี่สาวของเขาทั้งนั้น เขาทำท่าปะเหลาะแล้วเลื่อนถ้วยซุปที่เพิ่งตักเสร็จส่งไปให้ทุกคน

“แหะ ๆ ไม่แก่ ๆ ไม่มีใครแก่ทั้งนั้น มีแต่สาว ๆ หนุ่ม ๆ เนาะ”

เจพูดยิ้ม ๆ แล้วหันไปขยิบตาให้คนรัก ฆาเบียร์จิ๊ปากเบา ๆ แล้วหันมาให้ความสนใจกับของในถ้วยซุป

 

“นี่อะไรเหรอ เจ? ทำไมถึงสั่งก๋วยเตี๋ยวมากินกับข้าวล่ะ?”

ฆาเบียร์ถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นเส้นใสแจ๋วที่ม้วนจนกลายเป็นหลอดกลมในน้ำซุปใสที่มีซี่โครงอ่อนอยู่

“ลองชิมก่อนครับแล้วจะรู้ว่าทำไมถึงต้องกินกับข้าว”

เจพูดพลางยกช้อนที่มีน้ำซุปอยู่เต็มขึ้นซดแล้วทำท่าเข็ดฟัน ฆาเบียร์ตักซุปขึ้นมาเต็มช้อนแล้วซดบ้าง หากเขาก็ต้องไอโขลกออกมาเพราะรสชาติเผ็ดเปรี้ยวของเมนูนี้

เซี่ยงไฮ้ต้มยำซี่โครงอ่อนครับ แต่เป็นต้มยำน้ำใสนะ ไม่ได้ใส่น้ำพริกเผา”

“Shanghai?”

ฆาเบียร์เลิกคิ้วอย่างสงสัยเมื่อได้ยินคำภาษาไทยที่เขารู้จักว่าคือชื่อเมือง เจหัวเราะแหะ ๆ แล้วอธิบายต่อ

“เอ่อ ผมหมายถึงเส้นก๋วยเตี๋ยวแบบนี้ครับ ที่ต้มแล้วจะม้วนเป็นหลอด ๆ แบบนี้ คนไทยเรียกว่าเส้นเซี่ยงไฮ้...เฮ้ เหลือให้ผมมั่ง”

เจหยุดพูดเพื่อแย่งนพจิ้มแฮมสดที่เหลือไม่มากเข้าปาก

“...จริง ๆ ไอ้เส้นม้วนเป็นหลอดนี่จะมีเส้นก๋วยจั๊บอีกอย่าง ที่ผมเคยซื้อกลับมาเป็นอาหารเช้าแต่คุณไม่ชอบอ่ะ”

เจนยุทธพูดถึงอาหารเช้ายอดนิยมชนิดหนึ่งของคนไทยที่เขาเคยซื้อมาเป็นมื้อเช้าให้ฆาเบียร์ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในฐานะแขกของนพที่เขาต้องช่วยดูแลเมื่อเกือบหนึ่งปีที่แล้ว

“อ๋อ ใช่ ฉันจำได้ ที่ใส่เครื่องใน เลือดแล้วก็น้ำพะโล้ใช่ไหม? ฉันไม่ชอบรสชาติแป้งหนืด ๆ ในนั้นน่ะ กลิ่นแป้งมันแรงเกินไป แต่ไอ้เจ้าเส้นเซี่ยงไฮ้นี่โอเค ฉันกินได้”

คนตัวโตพูดพลางตักชิ้นปลาทอดสมุนไพรที่อยู่ตรงหน้าเขาแจกจ่ายให้กับเพื่อนร่วมโต๊ะ

“เส้นก๋วยจั๊บทำมาจากแป้งข้าวเจ้าค่ะ ส่วนเส้นเซี่ยงไฮ้ทำมาจากถั่วเขียว ก็เลยไม่มีกลิ่นแป้งแรงเท่า”

“เอ๋? งั้นเหรอ พี่อิ่ม นี่ผมก็เพิ่งรู้นะเนี่ย มิน่ามันถึงได้หนึบ ๆ คล้าย ๆ วุ้นเส้นเลย”

เจนยุทธหันไปพูดกับพี่สาวทั้ง ๆ ที่ยังเคี้ยวปลาทอดตุ้ย ๆ ในปากจนโดนอิ่มใจดุเบา ๆ เขาแลบลิ้นน้อย ๆ ให้พี่แล้วหันไปจิ้มปลาทอดเพิ่มอีกชิ้น

 

“ปลาทอดนี่อร่อยดีจังครับ เขาทอดดีเลยทีเดียว ข้างนอกกรอบแต่เนื้อด้านในไม่แห้งเกินไป พวกสมุนไพรนี่ก็ดี ไม่ได้แข็งจนเคี้ยวไม่ได้...”

เจบรรยายอาหารออกมาตามความเคยชินจนโดนนพแซวว่าพูดได้ดีจนน่าจะไปเปิดช่องรีวิวอาหารในยูทูบได้แล้ว

“แหม ผมยังเป็นเด็กหัดใหม่อยู่อ่ะ พี่นพ ยังบรรยายได้ไม่ลื่นไหลหรือให้ความรู้ได้เท่าคนนู้นเค้าหรอก”

เจพูดพลางทำท่าโบ้ยไปให้ทางฆาเบียร์

“แต่เจกินดูน่ากินกว่าฉันเยอะนะ กินอะไรก็ดูอร่อยไปหมด”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ

“อ้าว แบบนี้หาว่าผมกินไม่เลือกเหรอคุณ?”

เจนยุทธแกล้งโวยเบา ๆ แล้วเนียนจิ้มเอากุ้งในกุ้งอบมาม่าที่ฆาเบียร์เพิ่งตักมาวางบนจานไป

“แล้วมึงจะเถียงว่ามึงไม่ใช่แบบนั้นเรอะ?”

นพแซวเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นคู่กินข้าวของเขามาเป็นเวลานานอย่างรู้ทัน เจจิ๊ปากเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้เถียงต่ออะไรอีก เขากลับก้มหน้าก้มตาแกะกุ้งที่จิ๊กมาจากจานของเมียตัวโตของเขาเมื่อสักครู่ ฆาเบียร์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าแทนที่เจจะเอาไปกินเองทั้งหมด เขากลับแกะเปลือกแล้วแบ่งส่งคืนมาให้ฆาเบียร์ครึ่งตัว

 

“เอ้า นี่ครับ ส้มตำทูน่าฟู อร่อยนะ ลองชิมสิ”

เจตักอาหารจากจานสุดท้ายที่พนักงานเสิร์ฟเพิ่งยกมาให้ใส่ลงในจานคนรัก ฆาเบียร์ตักแพเนื้อปลาทอดฟูกรอบที่คนรักตักให้ขึ้นชิม

“นี่คือแบบเดียวกับที่ร้านที่เจพาฉันกับอาปาไปกินตอนช่วงปีใหม่เหรอ?”

คนตัวโตถาม เขายังจำยำปลาดุกฟูซึ่งเป็นอาหารจานปลาที่แปลกที่สุดจานหนึ่งที่เขาเคยกินมาได้

“ครับ แต่นั่นเอาเนื้อปลาดุกย่างมาโขลกแล้วทอด แต่ของที่นี่น่าจะใช้เนื้อทูน่ากระป๋องแทน”

เจอธิบายพลางตักส้มตำไทยรสชาติไม่จัดนักที่เสิร์ฟคู่กับเนื้อทูน่าฟูเพิ่มให้เมียตัวโตของเขา

“ลองกินกับส้มตำดูครับ ผมนะ ชอบเอาน้ำส้มตำราดให้มันโชก ๆ หน่อย ทิ้งไว้ให้เนื้อปลาทอดมันซับน้ำส้มตำเข้าไปนะ อร่อย”

“ฮ่า ๆ เจจ๊ะ แบบนั้นมันก็หายกรอบหมดสิ”

คนตัวโตหัวเราะเบา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ลองทำตามที่เจนยุทธบอก

“อืมม์ ก็อร่อยดีเหมือนกัน แต่ฉันชอบแบบกรอบ ๆ มากกว่า”

ฆาเบียร์พูดแล้วตักทูน่าฟูและส้มตำเข้าปากไปอีกคำ รสชาติสดชื่นของส้มตำช่วยตัดความมันของปลาทูน่าฟูได้เป็นอย่างดี แต่กระนั้นเขาก็เลือกที่จะกินมันอีกเพียงสองสามคำและไม่แตะเพิ่มอีก เจยิ้มน้อย ๆ อย่างเข้าใจ แม้ฆาเบียร์จะเริ่มกินนั่นนี่มากขึ้นเมื่ออยู่กับเขา แต่เจ้าตัวที่อายุแตะหลักสี่แล้วก็ยังพยายามที่จะรักษาวินัยในการกินเมื่อทำได้

 

“เอ้า นี่ครับ ผัดกะเพราขาหมูทอด ผมเลือกชิ้นที่ไม่ติดมันติดหนังให้แล้ว”

เจตักเนื้อขาหมูทอดสไตล์เยอรมันที่เสิร์ฟมาทั้งขาให้ฆาเบียร์ลองชิม

“เออ นี่แปลกดี ฉันไม่เคยเห็นกะเพราขาหมูทอดมาก่อนเลย”

“ใช่มะ? ผมเคยกินครั้งแรกก็ที่นี่เมื่อซักเกือบสิบปีก่อนนี่แหละครับ แต่เสียดายว่ามันติดหวานไปหน่อย”

เจบ่น แม้ความเผ็ดและความหอมของผัดกะเพราจะยังอยู่ครบ เขาก็ยังคงรู้สึกว่าซอสที่ใช้ผัดของร้านคาเฟ่ เดอ นิมมานนี้ยังติดหวานไปบ้าง แต่เมื่อกินกับข้าวแล้วก็ยังถือว่าใช้ได้ ที่สำคัญ มันยังมีของโปรดของเจอย่างใบกะเพราทอดกรอบโรยหน้ามาอย่างจุใจ

“ผมว่าจานนี้ สำหรับผมแล้วนะ คุ้มค่าที่จะสั่งเพราะว่าได้เยอะ ขาหมูขาเบ้อเริ่ม ราคาแค่ 175 บาท แต่ถ้าเทียบรสชาติกับจานอื่นแล้ว ผมก็ว่ามันยังจะด้อยไปหน่อย แถมหนังหมูเวลาเจอซอสกะเพราแล้วยังหายกรอบอีกด้วย”

“บ่นจริง มึงนี่ กูก็เห็นเกลี้ยงจานตลอด”

นพส่งเสียงแซวน้องคนสนิท

“ฮึ่ย เขาเรียกว่ากินอย่างรู้คุณค่า ไม่กินทิ้งกินขว้าง ถ้าอย่างไอ้เจกินอะไรไม่หมด แสดงว่ามันแย่เกินจะทานทน มนุษย์ทั่วไปไม่ควรจะกินแล้วนะครับ ขอบอก”

เจยืดอกแล้วตบเบา ๆ อย่างภูมิใจซึ่งท่าทีนี้เรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคนในโต๊ะ

 

“กุ้งอบมาม่าอีกไหม? ฆาบี้”

นพเลื่อนหม้อใส่กุ้งอบมาม่ามาให้เพื่อนของเขา ฆาเบียร์ไม่ปฏิเสธ คราวนี้เขาตักเส้นบะหมี่มาชิมเล็กน้อยและเลื่อนหม้ออบนั้นส่งคืนให้เพื่อนของเขา

“กูชิมแค่นี้พอแล้วกัน กินข้าวไปแล้ว ไหนจะของทอดอีก”

คนตัวโตพูดเสียงอ่อย ๆ เขาเผลอตัวกินของที่ถูกใจนักหนาอย่างทูน่าฟูไปเสียเยอะจึงต้องมาตัดลดอย่างอื่นแทน

“มึงพูดงี้กูรู้สึกผิดเลยว่ะ ฮ่า ๆ เอ้า นี่ ผักของมึง กินไปซะ”

นพหัวเราะร่าและดันจานยำยอดมะระหวานหรือซาโยเต้สดส่งให้ฆาเบียร์ ถึงปากเขาจะบอกว่าตนอยากจะคุมน้ำหนัก แต่นิสัยเก่าเลิกยากของเขาทำให้เขากับเจช่วยกันกวาดอาหารบนโต๊ะไปกว่าครึ่ง

“อืมม์ ยำนี่อร่อยดีนะครับ อิ่ม เลือกได้ดีมากครับ”

ฆาเบียร์หันไปชมพี่สาวของคนรัก หลังจากได้ยินรายการอาหารซึ่งเต็มไปด้วยเนื้อและแป้งที่เจนยุทธเป็นคนเลือก อิ่มใจก็จัดการยึดอำนาจในการสั่งและจัดการเปลี่ยนยำสามกรอบเป็นยำยอดมะระหวานกุ้งสดแทน

 

“มันต้องมีผักบ้างค่ะ...”

อาจารย์สาวตอบแล้วหันไปคุยเจ๊าะแจ๊ะกับฆาเบียร์ต่อโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญจากน้องชายว่าส้มตำในจานทูน่าฟูนั้นก็ถือเป็นผัก ส่วนยำแฮมสดที่ใส่ผักแต่งจานมาเพียบก็ถือเป็นจานผักเช่นกัน

“หึ ใจร้าย เปลี่ยนกระเพาะปลากรอบ ๆ ของผมเป็นผักไปซะงั้น จะเปลี่ยนเป็นยำเนื้อมะเขือเปราะมาให้หน่อยก็ไม่ได้”

เจนยุทธบ่นกะปอดกะแปด

“ยำซาโยเต้นี่แหละ อร่อย เชื่อพี่ ไอ้เจ้ายำเนื้อน่ะ ไม่ค่อยเวิร์คหรอก เพิ่งกินมาเมื่อวานซืน อุ๊บ”

อิ่มใจยกมือขึ้นตะครุบปาก ก่อนหน้านี้เธอบอกนพไว้เสียดิบดีว่าตนไม่ค่อยได้มาร้านนี้เท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายก็เผลอหลุดปากสารภาพความจริงออกมาเสียจนได้

“โอ๊ย ชักอยากกินโป๊ะแตกขึ้นมาแล้วสิ”


เจแซวพี่สาวเป็นภาษาไทยและกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกพี่สาวแอบหยิกสีข้างเข้าหมับหนึ่ง ส่วนนพนั้นได้ยินที่รุ่นน้องสมัยมัธยมของตนหลุดปากออกมาชัดเจนเต็มสองรูหู แต่เขาก็ยังคงทำท่าไม่รู้เรื่องและชวนเพื่อนของเขาคุยไปอย่างนั้น

“อ่า มันก็อร่อยดีนะ พี่อิ่ม”

เจพูดพลางเคี้ยวยอดผักซาโยเต้สดหยับ ๆ

“ใช่ไหม? พี่ชอบหอมเจียวที่เขาโรยหน้ามาเต็ม ๆ ที่สุดเลย น้ำยำก็กลมกล่อมกำลังดี”

“ใช่ ๆ ปกติผมจะชอบยำที่หนักเปรี้ยวและไม่ชอบยำหวาน ๆ แต่ของที่นี่ถึงจะติดหวาน มันก็หวานแค่พอดี ๆ และเข้ากับความเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ชอบอ่ะ”

“เฮ้ ๆ น้อย ๆ หน่อย พี่สั่งมาให้ฆาบี้ย่ะ”

อิ่มรีบดึงจานยำออกห่างจากน้องชายที่ทำท่าจะตักเพิ่มอีก เจบ่นอุบอิบว่าอิ่มเห็นคนหล่อดีกว่าน้องชาย ก่อนจะหันไปตักปลาทอดสมุนไพรมากินแทน






ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Places to Remember (ต่อ) ----





“เออ มึง ทางนั้นเค้าส่งไฟล์งานที่จะให้แก้มาให้แล้วนะ กูส่งเข้าเมล์ให้มึงเรียบร้อยแล้ว”

นพพูดขึ้น เจนยุทธเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารแล้วพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน

“โอเค เดี๋ยวผมรีบแก้ให้คืนนี้เลยครับ”

“ได้ ๆ ขอก่อนเช้าพรุ่งนี้แล้วกัน…”

นพถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงงานที่จู่ ๆ ก็งอกมา

“จริง ๆ กูก็เกรงใจมึงอยู่ ฆาบี้อุตส่าห์มาหาทั้งที ถ้าไม่ใช่ว่างานตัวเองก็ยังล้นมืออยู่ กูก็จะช่วยแก้ให้แล้ว”

นพพูดด้วยท่าทีลำบากใจ เจรีบโบกไม้โบกมือ

“ไม่เป็นไร ๆ พี่ แค่นี้เอง ทำแป๊บ ๆ ก็เสร็จแล้ว”

“งานเข้าเหรอ? งั้นเดี๋ยวเรารีบกินรีบกลับกันก็ได้นะ”

ฆาเบียร์ส่งเสียงถามมา เจนยุทธส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอกครับ แค่ว่าสคริปต์ที่ผมได้มามันน่าจะเป็นเวอร์ชั่นเก่าหรือไงนี่แหละ มันมีส่วนที่ไม่ตรงกับตัวเนื้อหนังอยู่หน่อยนึง จริง ๆ ผมแปลตามที่ฟังจากในหนังไปก่อนแล้วล่ะ ส่วนสคริปต์ใหม่ที่ได้มานี่ผมจะเอามาเช็คเปรียบเทียบอีกที...”

เจนยุทธอธิบายให้คนตัวโตฟังถึงการทำงานของเขา

 

“...ฉะนั้น ไม่มีอะไรซีเรียสครับ ทำแป๊บ ๆ ก็เสร็จแล้ว เรานั่งไปเรื่อย ๆ จนร้านปิดเลยก็ได้ ใช่ไหมพี่นพ?”

เจหันไปพยักเพยิดกับพี่ชายคนสนิทที่กำลังง่วนอยู่กับการซดน้ำต้มยำเซี่ยงไฮ้จนหยดสุดท้าย

“อือ ใช่ งานสบาย ๆ ไม่ต้องรีบ กูก็ไม่ได้มาร้านนี้ตั้งนาน ขอนั่งให้หายคิดถึงหน่อย”

นพพูดยิ้ม ๆ และขยายความให้เพื่อนของเขาฟังต่อ

“เมื่อก่อนตอนบ้านกูยังอยู่แถวนี้ กูกับไอ้เจมานั่งร้านนี้บ่อย แต่พวกเรานั่งที่ร้านเดิมก่อนที่เขาจะย้ายมาที่นี่น่ะ”

“ใช่ ๆ แต่ก็เป็นช่วงก่อนร้านเก่าปิดไม่นานใช่ไหมพี่?”

“อืมม์ น่าจะเป็นช่วงเรารู้จักกันใหม่ ๆ ตอนนั้นงานกูยังไม่ยุ่งเท่าตอนนี้เลยมีเวลาว่างเที่ยวกลางคืน จำได้ว่าตอนนั้นเราออกมาด้วยกันแทบทุกวีคเอนด์เลยนี่”

นพหัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงคราวที่เขาและเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ยังตระเวนท่องราตรีด้วยกัน

“เมื่อก่อนร้านนี้อยู่ตรงข้ามวอร์มอัพน่ะ เปิดมาร่วม 20 ปีแล้วมั้ง อยู่ในโครงการที่เรียกว่าเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ที่แรก ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่เลย”

หนุ่มร่างท้วมเล่าให้เพื่อนต่างชาติฟัง โครงการ The Rooms ซึ่งตอนนี้ปิดตัวไปแล้วตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านวอร์มอัพ ในโครงการเล็ก ๆ นั้นประกอบด้วยร้านขายสินค้าอย่างเสื้อผ้าและเครื่องประดับเก๋ ๆ ร้านอาหารอย่าง Café de Nimman รวมไปถึงร้านนั่งดื่มอีกสองสามร้าน

 

“เราไปที่นั่นบ่อย ๆ ช่วงไหนนะ? ช่วงปี 2011 12 อะไรงี้มะ?”

“อืมม์ น่าจะใช่นะ พี่นพ ผมกับพี่รู้จักกันช่วงนั้นแหละ ผมเรียนจบได้ซักปี ปีกว่ามั้ง”

“ใช่ ๆ พี่ก็จำได้ว่าประมาณนั้น 2011 หรือเปล่า?”

อิ่มพูดเสริมขึ้นมา เธอจำช่วงที่น้องชายพบเจอเพื่อนใหม่ผ่านเว็บพันxปได้ดี ทีแรกเธอยังห่วงว่าน้องชายจะไปเจอคนแปลก ๆ จากในโลกอินเตอร์เน็ต แต่ก็เปลี่ยนเป็นดีใจจนแทบร้องไห้เมื่อพบว่าสังคมออนไลน์ของเชียงใหม่นั้นแคบจนน้องชายที่อายุอ่อนกว่าเธอถึงเกือบสิบปีกลายไปเป็นเพื่อนสนิทของหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นชายในดวงใจของเธอตั้งแต่สมัยมัธยมได้

“ในตอนนั้นบ้านพี่นพเขายังอยู่ที่ถนนนิมมานเหมินท์ครับ พอถึงเวลานัด ผมก็ขี่รถมอ’ไซค์มาจอดไว้ที่บ้านพี่เค้า แล้วเราก็จะพากันเดินไปที่ The Rooms”

“บ้านกูอยู่ห่างที่นั่นไปซอยเดียว เดินแป๊บ ๆ ก็ถึง ไม่ต้องไปแย่งที่จอดกับใครด้วย”

นพพูด เขาอดนึกถึงบ้านเก่าของเขาขึ้นมาไม่ได้

“บางทีก็จะกินข้าวกันที่คาเฟ่ เดอ นิมมานหรือเดินไปกินอย่างอื่นแถว ๆ นั้น บางวันนัดเจอเพื่อนก็เดินไปวอร์มอัพต่อ แต่ถ้ามากันแค่สองคน พวกกูก็จบที่บาร์ในโครงการนั้นแหละ ดื่มกันสองสามแก้วแล้วก็กลับบ้าน ส่วนเจมันก็ไปหาสาว เอ๊ย หาเพื่อนต่อ”

นพหันไปพยักเพยิดกับเจนยุทธที่ทำหน้าเลิ่กลั่กขึ้นมาทันทีที่หนุ่มรุ่นพี่พูดถึงวันเวลาเก่า ๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อเจ้าตัวดีอดีตคนเสเพลหันมาทำหน้าจ๋อยใส่เขา

“ฉันไม่ว่าอะไรหรอก รู้หรอกน่าว่าเป็นเรื่องสมัยก่อน”

คนตัวโตยกมือขึ้นขยี้ผมนิ่มของคนรักเบา ๆ เจหัวเราะแหะ ๆ แล้วหันมาคุยกับนพต่อ

 

“พูดถึงบาร์แล้วก็คิดถึงจัง เสียดายว่าร้านโปรดของเราอย่างร้าน Glass Onion เขามาก่อนกาลไปนะครับ ถ้ายังเปิดอยู่ถึงตอนนี้ก็น่าจะมีลูกค้าเยอะอยู่”

เจนยุทธพูดอย่างเสียดาย เขาเล่าให้ฆาเบียร์ฟังว่า The Glass Onion Bar&Lounge นั้นเป็นค็อกเทลบาร์ที่แรกที่เขาเคยไป

“ปกติผมจะเน้นกินเหล้าใช่มะ? ตามประสาเด็กมหา’ลัย แต่พอรู้จักพี่นพ พี่เค้าแก่...โอ๊ย พี่อิ่มอ่ะ...”

เจอุทานลั่นพลางหันไปย่นจมูกใส่พี่สาวที่หยิกเขาเข้าจั๋งหนับที่หน้าขา

“ชิ ว่านิดว่าหน่อยก็ไม่ได้...โอเค ๆ พี่เค้าเป็นผู้ใหญ่หน่อยก็เลยดื่มค็อกเทลหรือไวน์ ผมพอเที่ยวกับพี่นพก็เลยได้หัดดื่มพวกนี้ไปด้วย อ่ะ พี่นพเล่าต่อดีกว่า”

เจโยนหน้าที่ให้เพื่อนรุ่นพี่ของเขาเป็นฝ่ายเล่าต่อ

“อ๋อ อืมม์ คือร้าน Glass Onion เนี่ย กูก็ได้ยินมาสักพักแล้วว่ามันดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสไปลองทั้ง ๆ ที่ใกล้บ้านเพราะได้ยินมาว่ามันแพง แล้ววันนึงพวกเพื่อนต่างชาติกูเค้านัดกันที่นี่ กูก็เลยลองไปดู สรุป ติดใจเลยว่ะ”

นพยิ้มและนึกถึงวันเวลาดี ๆ ที่เขาเคยมีในบาร์เล็ก ๆ ที่ปิดตัวไปแล้วแห่งนั้น



“ตอนเริ่มเที่ยวใหม่ ๆ กูเคยกินแค่ค็อกเทลของตามผับซึ่งมันก็จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมีแต่ค็อกเทลที่ใช้แค่เตกิล่า ว้อดก้า รัม ผสมกับน้ำผลไม้หรือใส่เกรนาดีนวน ๆ ไป แต่ที่นี่ เขาเป็นค็อกเทลบาร์จริงจัง มีเหล้าแปลก ๆ หลายตัว กูได้ลองดื่ม Frangelico เป็นครั้งแรกก็ที่นี่”

“ใช่ ๆ ผมก็ด้วย”

เจที่เพิ่งจิ้มแฮมชิ้นสุดท้ายและผักสลัดในยำแฮมสดเข้าปากยกมือบอกคนรัก เขาติดอกติดใจเหล้าหวานรสเฮเซลนัทขวดนั้นมากจนทุกวันนี้มันกลายเป็นเครื่องดื่มที่เขาต้องมีติดบ้านไว้ตลอด

“พวกเหล้าซิงเกิลมอลท์ด้วยครับ ผมเคยได้มาดื่มจริงจังก็ที่นี่ แต่ที่ผมชอบมากกว่าคือบรรยากาศ มันไม่ใช่ร้านเหล้าแบบที่ผมเคยเข้าอ่ะ แต่มันมีความเป็นผู้ใหญ่ ความเท่ ความคูล...”

เจบรรยายถึงสถานที่ในความทรงจำของเขา ร้านที่ตกแต่งด้วยโทนสีแดงนั้นประกอบด้วยส่วนบาร์ที่มีเก้าอี้นวมเอนได้แบบหนานุ่มนั่งสบายสามสี่ตัวแทนเก้าอี้บาร์แข็ง ๆ และส่วนโต๊ะนั่งที่ประกอบด้วยชุดโซฟา และโต๊ะสำหรับสองคนอยู่สองสามชุด

“ถ้ามากันหลายคน พวกผมก็ไปนั่งโซฟา แต่ถ้ามากับพี่นพสองคน พวกผมก็จะไปนั่งที่บาร์ เก้าอี้นวมเขาเป็นแบบเอนได้ สบายสุด ๆ เลยครับ นั่งจิบค็อกเทลไป คุยกับบาร์เทนเดอร์ไป เพลินมาก”

เจยิ้มบาง ๆ ความสนุกของหนุ่มที่เคยเรียนด้านการจัดการเครื่องดื่มมาคือได้คุยกับคนที่ทำงานจริง เขาบอกฆาเบียร์ว่าเขาได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกมากจากบาร์เทนเดอร์ฝีมือดีที่ทำงานในร้านเล็ก ๆ แห่งนี้

“ที่ผมชอบอีกอย่างคือด้วยความที่ที่นี่มีเหล้าเยอะ ผมก็จะหอบตำราค็อกเทลที่ผมมีมาบ้าง หรือเปิดหาสูตรจากในเน็ตมาให้เขาลองทำให้ชิมบ้าง ถ้าของในร้านมีพี่บาร์เทนเดอร์เขาก็ทำให้นะ ก็คิดราคาไปตามเหล้าที่ใช้”



“ฟังดูคล้ายพวกร้านค็อกเทลแถวบ้านฉันเลย อยากกินอะไรก็บอก ถ้าของมีก็ทำให้ ไม่ก็บอกเขาไปว่าวันนี้อยากได้ค็อกเทลรสประมาณนี้ ๆๆ เขาก็จะทำมาให้ตามนั้น”

ฆาเบียร์พูด

“ครับ คงเป็นเพราะเจ้าของร้านคนแรกเขาเป็นชาวต่างชาติมั้งก็เลยทำออกมาได้แบบนี้”

“คุณคริส เจ้าของร้านคนแรกเคยเปิดร้านอยู่ที่สหรัฐฯ น่ะ ชื่อเดียวกันเลย แต่กูไม่แน่ใจว่าอยู่รัฐไหน พอย้ายมาอยู่ไทย ก็เลยเปิดโดยใช้ชื่อเดิม”

นพเสริม คนตัวโตเลิกคิ้วด้วยความทึ่งเมื่อรู้ว่าบาร์ในความทรงจำของเจและนพนั้นมีเจ้าของเป็นชาวเกาหลี-อเมริกัน

“แต่ตอนผมมากับพี่นพบ่อย ๆ นั่นเป็นช่วงที่เขาเปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้ว ยังคงคอนเซปต์เดิม แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว จนเขาปิดถาวรไปช่วงกลาง ๆ ปี 2012”

เจพูดอย่างเสียดาย แม้เขาจะมาไม่ทันช่วงรุ่งเรืองที่สุดของร้าน เขาก็ยังสามารถรู้สึกได้ถึงความสนุกและการเอาใจใส่ในเรื่องการทำค็อกเทลของร้านนี้ หากคู่แข่งที่มีมากขึ้นในย่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นไวน์บาร์หรือร้านเหล้าอื่น ๆ ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่มากกว่า ทำให้ร้านโปรดร้านนี้ของเจต้องปิดตัวลงไปในที่สุด



“ค็อกเทลบาร์ในเชียงใหม่ตอนนั้นเป็นที่นิยมอยู่แค่ในวงแคบ ๆ น่ะ นักเที่ยวส่วนใหญ่จะมองว่ามันแพง กูไปทีไรก็เจอแต่คนหน้าเดิม ๆ แล้วก็พวกชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่ ตอนหลังพอมีร้านใหม่เปิด เขาก็แบ่งไปร้านใหม่ ๆ บ้าง ก็เลยอยู่ยาก”

นพอธิบายให้เพื่อนของเขาฟัง

“อย่างผม ตอนนั้นเพิ่งจบใหม่ ๆ  กินเหล้าแก้วละ 200 กว่าผมก็คิดว่ามันแพง ถ้าผมไปวอร์มอัพกับเพื่อน เหล้าขวดเดียวหารกันได้ทั้งวง บวกมิกเซอร์อะไรแล้ว บางคืนผมจ่ายไปแค่ร้อยกว่าบาท แต่ที่ร้านนี้ มาทีก็ควักใบม่วงแล้ว”

เจนยุทธบอกว่านี่คือสาเหตุที่เขามาร้านนี้ได้บ่อยที่สุดคือสัปดาห์ละครั้ง

“บางทีถ้ากูฟีลอยากดื่มจริง ๆ แล้วหาคนมาด้วยไม่ได้ กูก็จะลากไอ้เจมาแล้วก็เลี้ยงมันดริงค์นึงเป็นค่านั่งเป็นเพื่อน”

นพเสริมขึ้น

“ตอนนั้นมันคือตอนที่คนไปดื่มเพื่อสังสรรค์กันจริง ๆ อ่ะครับ พวกเด็ก ๆ นักศึกษาหรือคนเริ่มทำงานที่เน้นเมาอย่างเดียวเลยก็ไม่เที่ยวร้านแบบนี้ แต่พอเป็นสมัยนี้ที่ทุกคนเที่ยวแล้วก็ต้องอัพรูปลงโซเชียลมีเดีย พวกร้านเก๋ ๆ ค็อกเทลสวย ๆ ก็เลยเป็นที่นิยมขึ้นมา แก้วละ 300 ก็ยังเห็นจ่ายกันได้ ผมถึงได้บอกว่าร้านนี้เขามาก่อนกาล”

“กูก็คิดแบบนั้น แล้วอีกอย่างเหมือนคนรุ่นใหม่จะรู้จักสุนทรีย์ในการดื่มมากขึ้น ไม่ได้สักแต่จะดื่มให้เมาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อย่างตามไวน์บาร์ มึงก็จะเห็นว่ามีพวกคนอายุน้อย ๆ พวกจบใหม่มานั่งดื่มมากขึ้น อาจจะเพราะเห็นตัวอย่างและได้รับข้อมูลจากสื่อออนไลน์จนทำให้รู้ว่าพวกไวน์หรือค็อกเทลนี่ไม่ใช่ของที่เข้าถึงยากเหมือนสมัยก่อน"

อิ่มใจฟังที่นพพูดแล้วก็ต้องพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นก็พูดเสริมขึ้นเบา ๆ

“อิ่มก็คิดแบบนั้นค่ะพี่นพ ตอนอิ่มจบใหม่ ๆ ค็อกเทลกับไวน์นี่ดูเป็นของไกลตัวนะ ไม่รู้จะไปดื่มที่ไหนหรือต่อให้ได้ไปไวน์บาร์หรือค็อกเทลบาร์ก็จะสั่งไม่เป็น แต่สมัยนี้บางทีแอบดูไอจีพวกเด็ก ๆ ที่เคยสอนก็เห็นเขาโพสต์รูปไปนั่งค็อกเทลบาร์หรือไวน์บาร์กัน...”



“แล้วอิ่มเคยไปร้านที่เจกับนพพูดถึงนี้ไหมครับ?”

ฆาเบียร์ถาม อิ่มใจพยักหน้า

“เคยไปสองสามหนค่ะ แต่พวกเพื่อนที่เที่ยวด้วยตอนนั้นคนนึงเขาบอกว่าไม่ใช่แนวเขา ก็เลยไม่ได้แวะไปอีก จริง ๆ ก็เสียดายนะคะเพราะบรรยากาศและเพลงดี๊ดี เขาเปิดเพลงแนวแจ๊ซ เฮาส์ เลาจ์ ชิลเอาท์อะไรแบบนี้ ของชอบอิ่มเลย”

พี่สาวของเจหัวเราะเขิน ๆ แล้วตอบคำถามของฆาเบียร์ที่ว่าทำไมเพื่อนของอิ่มถึงไม่ชอบร้านนี้

“จะตอบยังไงดีล่ะ? อืมม์ เพื่อนอิ่มคนนั้นเขาบอกว่าร้านนี้เกย์เยอะเกินค่ะ เขาไม่ชอบ”

อิ่มใจเบะปากน้อย ๆ เมื่อพูดถึงอดีตเพื่อนที่ตอนนี้ไม่ได้คบหากันอีกแล้ว ฆาเบียร์เบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำตอบนั้น เขาหันไปหานพที่กลั้นหัวเราะอยู่ข้าง ๆ แล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ร้านที่ว่าน่ะ ในยุคนั้นเป็นที่รวมตัวของเกย์ในเชียงใหม่ ก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นบาร์เกย์อะไรหรอกนะ เรียกว่า gay friendly ดีกว่า ส่วนหนึ่งก็เพราะคุณเจ้าของทั้งคนแรกและคนที่สองต่างก็เป็นเกย์ที่นิสัยดีน่าคบมาก ๆ แถมยังช่างคุย ก็เลยทำให้ลูกค้าติดและสบายใจที่จะมาเที่ยวที่นี่”

“บาร์เทนเดอร์ที่นี่ก็มีแต่หนุ่มหน้าตาดี พูดจาดี คุยเก่งด้วยครับ...”

เจนยุทธเสริม

“พูดจริง ๆ นะ ตอนช่วงแรก ๆ ที่มาผมก็ยังเขิน ๆ นะ เพราะเพิ่งเคยมาร้านแนวนี้เป็นครั้งแรก แต่พอมาบ่อย ๆ ก็ติดใจมันในฐานะบาร์ดี ๆ แล้วก็เลยมองข้ามเรื่องอื่นไป”

สำหรับเจนยุทธ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับสังคมชาวเกย์ในเชียงใหม่ ถึงเขาและนพจะไม่ได้เข้าไปร่วมพูดคุยสนทนากับใครอื่นมากนัก แต่ก็ได้เห็นการปฏิสัมพันธ์ของเขาเหล่านั้นอย่างชัดเจน

“ตอนแรกที่ผมยังไม่รู้จักพี่นพนะ ผมก็นึกภาพไม่ออกหรอกว่าสังคมของชาวเกย์เขาเป็นแบบไหน ตอนอยู่โรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย ที่เคยเห็นคือพวกเจ้ ๆ ที่เขาออกสาวกันชัดเจน ภาพในหัวผมสังคมเกย์ก็คงเป็นประมาณนั้น วี้ด ๆ ว้าย ๆ เหมือนสาว ๆ เค้าคุยกัน แต่พอมารู้จักพี่นพ ได้รู้จักพวกเพื่อนพี่เขา ได้มาร้านนี้ เห็นทั้งเกย์ไทยและต่างชาติ เวลาเขาพูดคุยมีปฏิสัมพันธ์กัน ก็ไม่ต่างจากพวกผมเวลาอยู่กับเพื่อนเลย มีทุกรูปแบบจริง ๆ”

สำหรับเพลย์บอยหนุ่มน้อยวัยยี่สิบต้นที่แปะป้ายชายแท้ติดตัว มันคือการเปิดโลกทัศน์และทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะคบหาและมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่เขาเคยมองว่า “แตกต่าง” ได้อย่างไม่ขัดเขิน

“นอกจากไอ้ตั้มแล้ว พี่นพก็เป็นเพื่อนเกย์คนแรกที่ผมคบหาสนิทด้วยครับ เอ๊ะ ๆ หรือที่จริงแล้วผมต้องนับไอ้ปรินซ์กับซันซันด้วยนะ?”

เจนยุทธหัวเราะคิกคักเมื่อนึกถึงเพื่อนหนุ่มทั้งสองที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับที่บ้านไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว ส่วนฆาเบียร์ทำหน้าตูมไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของคนที่เขาไม่อยากได้ยินเท่าไหร่นัก เขาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยไปก่อนที่เจจะพูดถึงบาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนั้นขึ้นมาอีก

 

“แล้วค็อกเทลของที่นั่นอร่อยไหม?”

“อร่อยครับ อย่างที่บอก เขาเป็นบาร์แบบจริงจัง มีเหล้าหลากหลาย ผมจำได้ว่าเขาเด่นมีค็อกเทลที่มีไวน์เป็นเบส มีทั้งไวน์แดงไวน์ขาว สำหรับผมคือมันแปลกมากเพราะไม่นึกว่าจะเอาไวน์มาทำค็อกเทลได้ด้วยนอกเหนือจากซังเกรีย”

“เออ กูจำได้ ตัวนึงน่าจะชื่อว่านิมมานฯ ยัปปี้ เป็นไวน์แดง แต่จำไม่ได้ว่าใส่กับอะไร ส่วนอีกตัวชื่อ เอ่อ น่าจะโรมีโอ แอนด์ จูเลียตมั้ง ตัวนี้จำส่วนผสมได้แม่น เพราะสั่งบ่อย เป็นไวน์ขาวใส่ Crème de Cassis”

นพเสริมขึ้น เขายังบอกอีกว่าเขาติดใจถึงขั้นเอาไปลองทำดื่มเองที่บ้านด้วย

“อีกอย่างที่ผมชอบก็ ช้อกโกแลต มาร์ตินี่ ที่ใส่ช้อกโกแลตซอสกับผงโกโก้ลงไปในมาร์ตินี่ด้วยครับ สำหรับผมนี่ถือว่าแปลกเลยล่ะ”

เจนยุทธบอกว่าสมัยนั้นแม้จะเคยผ่านวิชาการจัดการเครื่องดื่มมาแล้ว แต่เขาก็รู้จักและเคยลองชิมแค่ค็อกเทลมาตรฐานเท่านั้น

“พอมาเจอร้านนี้ ก็สนุกผมล่ะ นอกจากเจอเครื่องดื่มแปลก ๆ ที่ทางร้านคิดขึ้นแล้ว ผมยังเอาตำรามากางดูว่าอยากลองชิมอะไรอีกมั่งแล้วก็ขอเขาทำให้”

ฆาเบียร์พยักหน้า ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความชมชอบและความรู้ด้านค็อกเทลของเจนั้นมาจากที่ใด

“พอพี่นพเห็นว่าผมเริ่มกินเป็น ทีนี้เราก็เริ่มตระเวนไปตามบาร์โรงแรมด้วย อย่างราตรีบาร์ที่ผมเคยพาคุณไป แล้วก็ยังมีฮอร์นบาร์ของรร. ดาราเทวี แล้วที่ที่เป็นที่สิงใหม่ของพวกผมหลังจาก Glass Onion ปิดก็คือศิลปะไทยบาร์ของแชงกรีล่า แต่เสียดายว่าพวกร้านที่พูด ๆ ถึงนี่ตอนนี้ปิดแล้วทั้งนั้น ยกเว้นราตรีบาร์นะ”

เจทำหน้าเซ็งเมื่อพูดถึงบาร์โรงแรมที่พวกเขาเคยใช้เวลาสังสรรค์

“จริง ๆ มีอีกที่ ๆ ผมชอบแต่ไม่ได้ไปนานแล้วคือ The Service 1921 ของรร. Anantara ที่นี่ก็สวย เป็นตึกเก่าของกงสุลอังกฤษประจำจังหวัดเชียงใหม่ ไว้สักวันผมจะพาคุณไปนะ”

ฆาเบียร์พยักหน้ารับ เขามองตามริมฝีปากแดงระเรื่อที่ขยับพูดจ๋อย ๆ ตรงหน้าและชักรู้สึกอยากกลับบ้านขึ้นมาในทันใด

 





“พูดถึงเหล้าแล้วก็นึกได้ ไอ้นั่นแช่จนเย็นได้ที่หรือยังอ่ะครับ? แหะ ๆ”

เจหัวเราะแหะ ๆ พลางพยักเพยิดไปที่ขวดแชมเปญซึ่งแช่อยู่ในถังน้ำแข็งข้างตัวของฆาเบียร์ คนตัวโตพยักหน้า เขาเรียกพนักงานมาเพื่อขอแก้วแชมเปญมาสี่ใบ

“อื้อหือ นี่เปิดดอม โรเซ่เลยเหรอวะ? เนื่องในโอกาสอะไรน่ะ?”

นพถามเมื่อเห็นขวดแชมเปญที่ฆาเบียร์กำลังยกรินแจกพวกเขาทุกคน

“เจไม่ได้บอกมึงตอนชวนเหรอ?”

ฆาเบียร์เลิกคิ้ว นพส่ายหน้าแล้วบอกว่าเจแค่ชวนเขามากินข้าวด้วยแค่นั้น

“แหะ ๆ ผมไม่ได้บอกครับ”

เจนยุทธหัวเราะแหะ ๆ เขามัวแต่เม้ามอยกับพี่ชายคนสนิทเพลินจนลืมบอกถึงจุดประสงค์ของมื้อนี้ไปเสียสนิท

“นายนี่มันขี้ลืมจริง ๆ นะ เจนยุทธ...”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตอบข้อสงสัยของเพื่อน

“กูเปิดดอมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบปีที่กูกับเจได้เจอกัน”

ฆาเบียร์ขยับมือไปเกาะกุมมือของคนที่ส่งยิ้มหวานมาให้เขา นพร้องอ๋อเบา ๆ

“อ๋อ ฉลองย้อนหลังใช่มะ? กูจำได้ว่ามัน...”

“เอ่อ พวกผมตัดสินใจกันว่าจะเลือกวันนี้ครับ...”

เจขัดขึ้น ด้วยไม่อยากให้นพพูดถึงวันแรกที่เขาและฆาเบียร์เจอกันจริง ๆ

“...เพราะมันเป็นวันที่ผมพาฆาบี้ไปเจอแม่กับพี่อิ่มเป็นครั้งแรกด้วย”

คนตัวเล็กหันไปยิ้มให้พี่สาวซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มอันอ่อนโยนกลับมา

“กูก็เลยให้เจชวนทั้งมึงและอิ่มมากินข้าวด้วยกันด้วย”

ฆาเบียร์พูดพร้อมกับยกแก้วแชมเปญในมือขึ้นชู

“ขอบใจนะนพ ที่ทำให้พวกกูได้เจอกัน ขอบใจจริง ๆ”

นพยิ้มกว้างและยกแก้วในมือขึ้นชนเบา ๆ กับเพื่อนทั้งสองที่เขามีแต่ความรักและปรารถนาดีให้

“...และอิ่มครับ ขอบคุณอิ่มและแม่ที่ยอมรับผม”

ฆาเบียร์หันไปค้อมหัวน้อย ๆ ให้พี่สาวของคนรักพร้อมกับยกแก้วในมือขึ้นชนกับแก้วของอาจารย์สาว

 

“หูย อร่อย นี่กูไม่เคยลองดอม โรเซ่มาก่อนเลย ตอนบินไปนอร์เวย์คงต้องจัดมาซักขวด”

“สองขวดเลย พี่นพ เผื่อผมด้วย!”

เจพูดพร้อมทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ย

“พอ ๆ ไม่ต้องไปกวนนพ เดี๋ยวเดือนหน้าฉันก็มาอีก จะให้ซื้อมาไว้ให้เดือนละขวดเลยก็ได้”

ฆาเบียร์โคลงหัวให้กับเจ้าตัวดีของเขา แต่เจหันมาทำหน้ายู่ใส่

“ไม่เอาอ่ะ คุณซื้อมาทีไรก็ไม่เคยเก็บตังค์ ให้ผมจ่ายเองเมื่อไหร่จะยอมฝากซื้อ เครนะ?”

เจพูดแล้วยกเครื่องดื่มโปรดที่เขาติดใจมาตั้งแต่ที่ฮ่องกงขึ้นจิบแล้วทำท่าอิ่มเอม

“โอเค ๆ ฉันจะให้นายจ่ายด้วย โอเคไหม? ไหน ๆ ก็ดื่มด้วยกันอยู่แล้ว”

ฆาเบียร์พูด พลางคิดในใจว่าเขาจะให้เจจ่ายเองแค่สักสิบหรือยี่สิบเปอร์เซ็นต์แค่นั้น

“ครึ่ง ๆ โอเค๊? ถ้าไม่ยอมก็ไม่ต้องซื้อมาครับ”

เจนยุทธพูดพร้อมทำหน้าจริงจัง คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยอมพยักหน้าอย่างโดยดี

“อื้อหือ เหลวละ ไอ้ฆาบี้ มึงเป็นนักธุรกิจไม่ใช่เหรอวะ? ยอมง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?”

นพแอบกระซิบเพื่อนระหว่างที่สองพี่น้องที่นั่งฝั่งตรงข้ามกำลังหันหน้าไปคุยกัน

“ก็ต้องยอมสิ ดีลนี้กูได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง จ่ายเงินน้อยลง แถมเจก็แฮ้ปปี้ ทำไมต้องไม่ยอมด้วยล่ะ”

ฆาเบียร์ตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นพหัวเราะหึ ๆ แล้วไม่พูดอะไรต่ออีก

 

“เจจ๊ะ จะให้เด็กเอานั่นออกมาหรือยัง?”

“อืมม์ ก็ได้ครับ”

เจพยักหน้าแล้วหันไปกระซิบกับพนักงานที่เดินมาเก็บจานที่หมดแล้วออก พนักงานพยักหน้ารับคำ ไม่นานนักไฟในร้านก็ถูกหรี่ลง จากนั้นพนักงานก็เดินออกมาพร้อมกับจานเค้กในมือ

“ไม่มีเพลงแฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์นะเจ๊ รู้ว่าไม่ชอบ”

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ หลังจากพนักงานวางเค้กชิ้นน้อยที่จุดเทียนไว้ตรงหน้าอิ่มใจ อิ่มยิ้มกว้าง เธอไม่เคยชอบและรู้สึกเก้อเขินทุกครั้งที่มีคนห้อมล้อมเพื่อร้องเพลงแฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์ให้ในร้านอาหาร

“ที่เปิดแชมเปญฉลองก็เพราะจะฉลองวันเกิดให้อิ่มด้วยไงครับ”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ แล้ววางแก้วที่เขายกไปเติมเครื่องดื่มพรายฟองสีส้มอมชมพูให้ใหม่ลงตรงหน้าพี่สาวของคนรัก

“เอ๊ะ วันเกิดอิ่มวันนี้เหรอ? พี่นึกว่าผ่านมาแล้ว”

นพขมวดคิ้ว อิ่มหันไปยิ้มหวานให้คนที่เธอแอบปลื้มมานานด้วยใจพองโตที่อีกฝ่ายจำวันเกิดของเธอได้

“ค่ะ วันจันทร์ที่แล้ว พี่นพยังอวยพรอิ่มทางเฟซอยู่เลย”

“ย้อนหลังครับ ย้อนหลัง”

เจรีบตอบคำถามทันที

“ฆาบี้เขาบอกว่าเขายังไม่ได้อวยพรวันเกิดพี่อิ่มเลย ก็เลยถือโอกาสนี้มาฉลองย้อนหลังให้ด้วย”

เจนยุทธพูดพลางหันไปยิ้มให้คนรัก ฆาเบียร์ยิ้มเจื่อน ๆ ช่วงนี้เขางานยุ่งจนลืมไปเสียสนิทว่าเจนยุทธเคยพูดให้ฟังก่อนกลับจากฮ่องกงว่าตนอยู่ต่อไม่ได้เนื่องจากต้องกลับมางานวันเกิดพี่สาว กว่าเขาจะจำได้ก็เลยวันมาเสียนานแล้ว

“ขอบคุณมากค่ะ ฆาบี้”

อิ่มใจยิ้มกว้างแล้วยกแก้วแชมเปญในมือขึ้นชนกับคนรักของน้องชาย จากนั้นหันมาสนใจกับเค้กตรงหน้า เนื่องจากไม่ได้เตรียมสั่งเค้กก้อนใหญ่ไว้ล่วงหน้า เจและฆาเบียร์จึงไปซื้อเค้กเป็นชิ้น ๆ มาแทน

 

“เค้กจาก Tea Leaf Lab ใช่ไหมนั่น?”

นพซึ่งเป็นลูกค้าประจำร้านขนมเล็ก ๆ แต่โปรไฟล์ดีร้านนี้ถาม อันที่จริงเขารู้คำตอบตั้งแต่เห็นเค้กของอิ่มซึ่งเป็นแบบเดียวที่เขาเพิ่งแวะไปกินเมื่อตอนกลางวัน

“ใช่ ๆ เอ้า พี่นพ เอาชิ้นไหน เลือกไปเลย”

เจส่งกล่องเค้กสองกล่องที่ฝากพนักงานแช่ตู้เย็นไว้ให้นพเลือกเค้กที่ต้องการ

“กินด้วยกันนี่แหละ เอามาซักสองชิ้นพอ ที่เหลือพวกมึงเอาเก็บไปกินที่บ้านเถอะ กูอิ่มแล้ว”

นพพูดแล้วดันกล่องเค้กคืน เจพยักหน้าแล้วหยิบเอาเค้กที่ทำรูปร่างเหมือนไอศกรีมแท่งกับทาร์ตที่มีลิ้นจี่สดตกแต่งออกมาใส่จานที่พนักงานเตรียมไว้ให้ สำหรับเค้กที่ปักเทียนให้พี่สาว เขาเลือกเค้กพีชเมลบาที่มีพีชญี่ปุ่นครึ่งลูกผ่าครึ่งโปะไว้ข้างบน

“เป่าเลย ๆ อย่ามัวแต่ถ่ายรูป”

เจเตือนพี่สาวที่มัวแต่หมุนจานเพื่อหามุมถ่ายรูป อิ่มวางโทรศัพท์แล้วก้มหัวอธิษฐานในใจก่อนจะเป่าเทียนจนดับ เธอจัดการแบ่งเค้กแล้วส่งส่วนใหญ่คืนให้น้องชายนำไปแบ่งให้คนอื่นต่อ

“อื้อหือ เจ พีชนี่หอมจัง สีสวยด้วย”

อิ่มชมหลังจากกัดกินชิ้นพีชสีชมพูสวยเข้าไป

“ใช่มะ? อันนี้เป็นเค้กที่ทำเลียนแบบพีช เมลบาครับ เห็นว่าเอาพีชญี่ปุ่นไปต้มในน้ำราสเบอรี่หรืออะไรนี่แหละ จากนั้นวางบนฐานที่เป็นเค้กอัลมอนด์สอดไส้ราสเบอรี่ puree แล้วก็บีบครึมวานิลลา”

เจนยุทธบรรยายอย่างแคล่วคล่อง เชฟโรมันแห่งร้าน Tea Leaf Lab ได้ยกเอาจุดเด่นของขนมหวานคลาสสิคของรร. Savoy แห่งกรุงปารีสอย่างพีช เมลบาอันประกอบด้วยลูกพีชเชื่อม ไอศกรีมวานิลลาและซอสราสเบอรี่มาใส่ในเค้กชิ้นนี้ได้อย่างลงตัว ถ้าจะขาดก็คงขาดสัมผัสเย็นสดชื่นของไอศกรีมที่ใช้วิปครีมเป็นตัวแทนแล้ว

“แหม บรรยายเก่ง ไหน บอกกูหน่อยซิว่าชิ้นนี้เป็นเค้กอะไร?”

นพกระเซ้ามาแล้วเลื่อนเค้กรูปร่างเหมือนไอศกรีมไปไว้ตรงหน้าเพื่อนรุ่นน้องของเขา

“ลืมแล้ว ไม่ได้ท่องมา”

เจนยุทธพูดหน้าตาเฉยแล้วจัดการตัดเค้กเข้าปากคำโต นพโคลงหัวแล้วรีบตัดเค้กกินก่อนที่จะถูกเจกวาดเรียบ


 




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Places to Remember (ต่อ) ----



“งั้นเดี๋ยวกูกลับก่อนนะ ถ้ามึงแปลงานเสร็จก็ไลน์บอกหน่อยจะได้เช็คให้อีกรอบ”

นพพูดขึ้นก่อนที่จะขับรถออกจากลานจอดฝั่งตรงข้ามร้าน อิ่มใจโบกมือลาชายในดวงใจของเธอก่อนจะหันมาหาน้องชายแล้วยื่นถุงผ้าใบใหญ่ที่เธอเพิ่งหยิบออกมาจากเบาะหลังรถ

“เอ้า นี่ ที่สัญญาไว้ อ่านถนอม ๆ หน่อยล่ะ”

“ค้าบ ผมจะดูแลของรักของหวงของเจ๊ยิ่งชีพเลย”

เจนยุทธรีบตะครุบถุงใบนั้นมากอดไว้ด้วยใบหน้าแช่มชื่น ฆาเบียร์มองอย่างสงสัยแต่เจทำท่าบอกคนรักว่าเขาจะเอาให้ดูทีหลัง

“งั้น อิ่มขอตัวเลยแล้วกันนะคะ”

อิ่มใจค้อมหัวน้อย ๆ ให้คนรักของน้องชาย ฆาเบียร์ยิ้มกว้างแล้วดึงร่างอาจารย์สาวมากอดหลวม ๆ เพื่อเป็นการลา

“ฝากความระลึกถึงให้แม่ด้วยนะครับ มารอบนี้คงไม่ทันได้เจอกัน ไว้คราวหน้าผมจะไปหาแน่นอน”

ฆาเบียร์ส่งยิ้มให้พี่สาวของเจ อิ่มใจพยักหน้ารับคำและบอกว่าจะบอกแม่ของเธอให้แน่นอน ฟองนวลยังจะอยู่กับครอบครัวของลูกชายคนโตอีกหลายวันและจะกลับมาหลังจากที่ฆาเบียร์กลับฮ่องกงไปแล้ว

“ไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันคราวหน้า”

อิ่มใจขึ้นรถแล้วโบกมือลาชายทั้งสองก่อนจะขับรถออกไป เจหันไปพยักเพยิดกับคนรักแล้วจึงพากันเดินไปขึ้นรถ

 

“อิ่มเอาอะไรให้เจมาน่ะ หืมม์?”

ฆาเบียร์ถามอย่างสงสัยและพยายามชะโงกหน้าดูในถุงผ้าใบนั้น แต่เจก็รีบยกหลบและไม่ยอมให้อีกฝ่ายดู

“เดี๋ยวค่อยดูครับ คุณไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่า แช่น้ำไหมครับ? เดี๋ยวผมเปิดน้ำร้อนใส่อ่างไว้ให้”

เจพูดพลางจัดแจงวางข้าวของในมือไว้บนเคาเตอร์ครัว เขาจัดการเอาเค้กที่เหลืออีกสองชิ้นใส่ไว้ในตู้เย็นและเอาถุงที่อิ่มใจให้มาวางแอบไว้ใต้เคาเตอร์ครัว

“แล้วเจไม่อาบกับฉันเหรอ?”

ฆาเบียร์ถามด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เจส่ายหน้าน้อย ๆ

“ไม่ล่ะครับ อ่างเล็กนิดเดียว คุณแช่คนเดียวสบาย ๆ ไปเถอะครับ เดี๋ยวผมจะรีบแก้งานให้พี่นพก่อน จะได้ไม่ต้องมาเร่งทำดึก ๆ”

เจพูดพลางเดินไปหยิบเอาคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปของตนออกมากางเพื่อเตรียมทำงาน ฆาเบียร์พยักหน้า เขาโบกไม้โบกมือปฏิเสธเมื่อเจถามว่าจะให้ไปช่วยเปิดน้ำรอไว้ไหมและบอกว่าจะจัดการเอง

“ได้จ้ะ ทำงานไปเถอะ ก็ดี ฉันจะได้แช่น้ำนาน ๆ หน่อย”

“อย่าหลับคาอ่างแล้วกันครับ”

เจนยุทธพูดอย่างเป็นห่วง ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงตอนที่ตนหมดสภาพเพราะเหนื่อยจากการทำงานจนหลับคาอ่างไปอย่างไม่รู้ตัวเมื่อคราวก่อน

“ไม่หลับจ้ะ ไม่หลับ ไม่ต้องห่วง”

คนตัวโตกดจูบลงบนเรือนผมของคนรักแผ่ว ๆ แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอนเล็กที่เจเปลี่ยนเป็นห้องออกกำลังกาย เจยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาแก้งานของเขาต่อ




-------------------------------------------------------

หายไปนาน ขออภัยจริง ๆ ค่ะ แถมมาแบบไม่ยาวมากอีกต่างหาก จริง ๆ เขียนไว้ยาวกว่านี้เยอะ แต่ดูท่าทีว่าจะไม่จบตอนง่ายเลยตัดเอาเท่าที่ตัดได้มาลงให้ก่อน ที่เหลือเป็น NC ไว้ลงตอนหน้า ตอนนี้ปวดหัวจริงเพราะมีปัญหาว่าไม่ได้เขียน NC นาน เขียนไม่ออก ฮ่า ๆ มาลุ้นกันค่ะว่าจะไหวไหม

ตอนนี้มาเบา ๆ เม้าไปกินไปตามประสานุ้งเจค่ะ ร้านแรก Cafe de Nimman ร้านเก่าแก่ที่หวังว่าจะอยู่รอดไปอีกนาน ๆ เรื่องอาหารของร้านนี้ไม่มีปัญหาเลยเพราะยังคงรสชาติเดิมได้แม้จะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม แต่ที่น่าห่วงนิดหน่อยคือตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ระบาด ดูคนน้อยลงไปมาก สองครั้งหลังไป ยำแฮมสดก็ไม่มีแล้ว ไม่รู้เพราะเลี่ยงไม่อยากเสิร์ฟแฮมสดช่วงนี้หรือเปล่า ก็หวังว่าร้านจะฟื้นตัวได้เร็ว ๆ นะคะ

Facebook ร้าน Cafe de Nimman https://bit.ly/34mFeD3

รีวิวปี 2019 โดย Review Chiang Mai https://bit.ly/3dNXKrf


อีกร้านที่พูดถึงในวันนี้ และเป็นเมนหลักของตอนนี้เลยคือ The Glass Onion (ปิดแล้ว) ที่บอกว่าเป็นเมนหลักเพราะตอนนี้เขียนขึ้นเพราะความคิดถึงร้านนี้ล้วน ๆ เลยค่ะ อยู่ ๆ ก็นึกถึงขึ้นมา ร้านนี้กับ Cafe de Nimman นอกจากจะมีจุดร่วมกันที่ว่าเคยอยู่ในโครงการเดียวกันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกันคือเจ้าของร้านคนเดิมไม่อยู่แล้วทั้งคู่ คนเขียนก็อดนึกถึงวันเวลาดี ๆ ที่เคยพบเจอและพูดคุยกับเจ้าของร้านทั้งสองคนนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะคุณคริสที่ยังคงระลึกถึงทุกครั้งที่ได้ไปนั่งร้านค็อกเทลดี ๆ สักร้านค่ะ

พูดถึงร้านค็อกเทล ช่วงหลังมานี้คนเขียนก็ไม่ค่อยได้ออกไปดื่มกลางคืนแล้วเลยไม่แน่ใจว่าร้านไหนอินบ้าง ก็ยกเอาที่เคยได้ยินและเคยแวะไปมาให้ซักหน่อยแล้วกันนะคะ

The Service 1921 บาร์และร้านอาหารของโรงแรม Anantara ที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในยุคโคโลเนียล ตัวอาคารคืออดีตกงสุลอังกฤษประจำจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ จริง ๆ มีแพลนว่าอาจจะเขียนถึงร้านนี้ในตอนสองตอนหน้า แต่ยังไม่ชัวร์ว่าจะได้แวะไปไหม ถ้าได้ไปก็จะเขียนถึง ถ้าไม่ได้ไปก็ ตัดทิ้ง ฮ่า ๆ https://www.service1921.com/

Drinksmith & Co. ร้านค็อกเทลเก๋ไก๋ในโครงการ CHOC ใกล้ ๆ ห้างโรบินสัน แอร์พอร์ต ร้านนี้ค็อกเทลอร่อยจริง มีค็อกเทลซิกเนเจอร์แปลก ๆ มากมาย แต่ราคาก็ไม่ถูกค่ะ ตามคุณภาพ การตกแต่งร้านก็เก๋ค่ะ ถ่ายรูปมาสวยแน่ ๆ นับเป็นอีกหนึ่งร้านฮ้อตของเชียงใหม่ ใกล้ ๆ กันก็มีร้านเบียร์อย่าง The BEER และร้านทาปาสอย่าง ยี่ปั๊ว (Yeepua) ที่ยิ่งสั่งมากจานราคาก็จะถูกลงค่ะ เรียกได้ว่ามาที่เดียวแวะได้สามร้านเลย https://bit.ly/2Tj9EA4

Looper Co. ร้านนี้เก๋ที่สุด กลางวัน (10 โมง ถึง 5 โมงเย็น) เป็น Espresso bar กลางคืน (6 โมงเย็น ถึงเที่ยงคืน) เป็นร้านค็อกเทล คนเขียนเคยไปแต่ร้านกาแฟ (ที่ไม่ทิ้งลายร้านค็อกเทล มีกาแฟผสมแอลกอฮอล์อยู่ 2-3 ตัว) ติดใจพอสมควรเลยค่ะ https://bit.ly/3mqLJv5

The White Rabbit ร้านนี้อยู่ใน wish list น่าจะเพิ่งเปิดไม่นาน แต่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาเยอะว่าเด็ด ว่ากันว่าเป็นร้านลับอยู่ในซอกข้างร้านก๋วยเตี๋ยวอ๋อง และเป็นร้านที่อาจจะถึงขั้นต้องจองกันเลยทีเดียว ถ้าใครได้ไปลองก่อนมาเล่าให้ฟังด้วยนะคะว่าเป็นยังไง https://bit.ly/2FV96gA

นอกจากนี้ยังมีร้านอื่นที่น่าสนใจทั้ง Caravan Bar ถ. นิมมานเหมินท์ ซ. , Nophaburi Bar (นพบุรี บาร์) ที่เขาว่าเป็นค็อกเทลสไตล์ไทย และร้านอื่น ๆ ว่าแล้วก็ชักอยากกลับเข้าวงการค็อกเทลอีกซักรอบแฮะ


ส่วนเค้กร้าน Tea Leaf Lab เคยพูดถึงร้านนี้ไปแล้วก็ไม่ขยายความต่อแล้วกันค่ะ รูปแค่เอาลงมาเป็น reference แต่หารูปทาร์ตลิ้นจี่ไม่เจอ เอารูปทาร์ตแอปเปิลไปก่อนน้า (เอ๊ะ หรือแพร์กับวอลนัทหว่า? ลืมแล้ว กินขนมร้านนี้เยอะเกิน)

ตอนใหม่จะมาเร็ว ๆ นี้ค่ะ เพราะเขียนไปเยอะแล้ว ยังไงเรื่องนี้ต้องจบค่าาา ไม่ค้างแน่นอน

อ้อ คนเขียนเปลี่ยนโปรแกรมทำรูปใหม่นะคะ ทำในแอพมือถือแทนจะได้หารูปง่าย ๆ หน่อย แต่ถ้ามีปัญหาดูรูปยังไง รูปไม่ชัด ใหญ่ไป เล็กไป บอกได้นะคะ




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
อยากตามไปกินมั่งเลย

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



ลงตอนนี้ใน RAW มาเดือนกว่าแล้ว เพิ่งนึกได้ว่าลืมลงในนี้ ขอโทษด้วยค่าาาา



---- มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ ----


 


“เจจ๊ะ อ้าว ไปไหนแล้วล่ะ?”

ฆาเบียร์ถามอย่างงง ๆ เมื่อออกจากห้องน้ำมาแล้วไม่เจอเจนยุทธอยู่ที่เคาเตอร์บาร์ เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมตัวเองที่เปียกหมาด ๆ พลางเดินมายังส่วนครัว

“สงสัยจะทำงานเสร็จแล้ว”

คนตัวโตรำพึงเบา ๆ เมื่อเห็นแล็ปท็อปที่ปิดไว้แล้วบนเคาเตอร์บาร์ เขารู้ได้ว่าเจคงกำลังอาบน้ำจากเสียงน้ำที่ดังออกมาจากห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ ฆาเบียร์เดินเข้าไปในห้องนอนและหยิบชั้นในตัวใหม่มาสวมก่อนจะพันผ้าเช็ดตัวทับตามเดิม จากนั้นเปิดกระเป่าแล้วหยิบแล็ปท็อปของตนออกมาเพื่อเช็คดูงานที่ต้องสะสางต่อบ้าง

“ตัวเย็นมาเชียว”

ฆาเบียร์บ่นเบา ๆ เมื่อสัมผัสถึงเนื้อตัวเย็น ๆ ของคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จที่ทาบลงบนแผ่นหลังเปลือยของเขา เจหอมแก้มเมียตัวโตของเขาฟอดใหญ่แล้วใช้คางเกยไหล่ของอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อดูว่าฆาเบียร์กำลังทำอะไรอยู่

“อะไรจ๊ะ จะมาสอดแนมอะไร?”

คนตัวโตพูดแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าจอ เจนยุทธใจหายวาบแล้วรีบถอยกายออกอย่างรวดเร็ว

“โอ๊ะ ขอโทษครับ ผม เอ่อ ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูนะ”

เจพูดเสียงอ่อย ๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งจ๋องบนเก้าอี้บาร์ข้าง ๆ คนรัก ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นลูบผมนิ่มที่ยังเปียกชื้นอยู่บ้าง

“ฉันพูดเล่น ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ แล้วหันหน้าจอคอมให้เจดู

“เอ้า ดูได้ตามใจเลย ไม่มีอะไรมากมายหรอก”

เจมองกราฟและตัวเลขเป็นแผงบนจอแล้วทำหน้าเบ้

“ดูหุ้นอยู่เหรอครับ?”

“จ้ะ แค่เช็ค ๆ ข้อมูลหุ้นที่โบรคเกอร์เขาเสนอมาให้น่ะ ลองอ่านดูหน่อยไหม?”

เจนยุทธกวาดตาดูบรรดาข้อมูลอย่างผลประกอบการย้อนหลัง สถิติของหุ้นและอื่น ๆ ที่แสดงบนหน้าจอแล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่ดูดีกว่าครับ เดี๋ยวยาว”

เจที่เพิ่งหัดเล่นหุ้นหัวเราะแหะ ๆ ในอดีตเขามักซื้อและขายตามคำแนะนำของเพื่อนที่มีประสบการณ์สูงอย่างปรินซ์กับอดีตคู่ขาอย่างแตงโม ส่วนในปัจจุบันแม้จะขยับไปเล่นตลาดต่างชาติบ้าง เขาก็จะใช้บริการโบรคเกอร์ที่คนรักเป็นฝ่ายแนะนำให้แทนที่จะมานั่งเฝ้าหน้าจอดูเองตลอดเวลา



“นั่นสินะ ฉันก็เปิดดูฆ่าเวลารอเจแค่นั้นแหละ”

ฆาเบียร์ส่งยิ้มละไมให้คนรัก เขากดปิดเครื่องแล้วดึงอีกฝ่ายให้ขึ้นนั่งคร่อมตัก

“นายมาแล้ว จะเสียเวลาไปกับอย่างอื่นทำไม”

คนตัวโตพูดแล้วจรดจูบแผ่ว ๆ ลงไปบนริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยอน้อย ๆ เหมือนรอคอยเขา เจนยุทธจูบตอบอย่างอ่อนโยน สักพักจูบอย่างแผ่วเบาก็กลายเป็นจุมพิตดูดดื่ม เจส่งลิ้นของเขาเข้าไปพันพัวกับลิ้นร้อนผ่าวของอีกฝ่าย ฆาเบียร์เองก็ดูดดึงขบเม้มริมฝีปากอันหอมหวานของคนรัก เสียงครางเครือเบา ๆ ในลำคอของเจกระตุ้นอารมณ์ของเขาจนแทบทนไม่ไหว

“ผมคิดถึงคุณ”

เจกระซิบเสียงกระเส่าหลังจากอีกฝ่ายถอนจูบออก

“ฉันก็ ‘kid tueng’ เจนะ”

เจเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า “คิดถึง” เป็นภาษาไทยชัดแจ๋วดังออกมาจากปากคนรัก

“พูดชัดเชียว ใครสอนมาล่ะครับเนี่ย?”

“บูมสอนจ้ะ”

ฆาเบียร์ยิ้มอย่างภูมิใจเมื่อได้ยินคำชมจากคนรัก

“ไหน พี่บูมสอนอะไรอีก พูดให้ฟังหน่อยครับ”

เจนยุทธดันกายออกจากอ้อมกอดของคนรักแล้วนั่งกอดอกตัวตรงบนเก้าอี้บาร์ ฆาเบียร์ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพูดคำหวานที่ลูกพี่ลูกน้องของเจนยุทธเป็นคนสอน



“Chan rak Jay”

“คำนี้เคยพูดบ่อยแล้ว ผ่าน”

“Jay narak tee sood”

“อ่ะ ‘หล่อ’ สิ น่ารักอะไรล่ะ ไม่ก็ ‘เท่’ อ่ะ ไหน พูดตามซิ”

เจนยุทธย่นจมูกให้คนรัก แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อคนตัวโตพูดเป็นภาษาไทยว่าเขานั้นหล่อและเท่

“Yark gord Jay”

“ครับ ๆ เดี๋ยวให้กอด พูดต่อสิ”

เจปัดมือคนตัวโตที่ทำท่าจะเอื้อมมาคว้าตัวเขาเข้าไปกอด ฆาเบียร์พูดต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะยกยิ้มร้าย เขาเอนกายเข้าไปใกล้คนรักแล้วกระซิบบางอย่างเบา ๆ

 

“เฮ้ย! อันนี้พี่บูมก็สอนคุณด้วยเรอะ?”

เจนยุทธสะดุ้งเฮือกแล้วโวยลั่น ฆาเบียร์กลั้นหัวเราะเมื่อเห็นเจโคลงหัวและบ่นพี่ชายเป็นภาษาไทยยาวเหยียด เขาลุกขึ้นแล้วขยับกายเข้าใกล้คนรัก

“Please!”

คนตัวโตโอบแขนทั้งสองรอบเอวของเจและร้องขอซ้ำด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เจกัดปากน้อย ๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

“อุตส่าห์ขอเป็นภาษาไทยแล้ว ได้ครับได้”

เจนยุทธลุกจากเก้าอี้แล้วทำท่าจะดึงฆาเบียร์เข้าไปในห้องนอน แต่คนตัวโตขืนกายไว้

“ที่นี่ก็ได้น่า”

ฆาเบียร์พูด เจย่นจมูกแล้วดันคนรักให้ยืนพิงเคาเตอร์ครัว ส่วนตัวเองลงไปนั่งคุกเข่าต่อหน้า เขาเลิกชายผ้าเช็ดตัวที่พันกายของคนรักขึ้นแล้วดึงขอบชั้นในของอีกฝ่ายลงก่อนจะค่อย ๆ ใช้มือโลมไล้แท่งลำของฆาเบียร์จนมันค่อย ๆ ผงาดง้ำขึ้น เขาจรดริมฝีปากลงที่ส่วนปลายแล้วตวัดลิ้นเขี่ยวนรอบส่วนปลายที่แดงก่ำ คนตัวโตพริ้มตาลงและปล่อยใจไปกับความเสียวซ่านที่ได้รับจากปลายชิวหาของคนรัก

“เจ ทำอะไรของเจน่ะ?”

คนตัวโตลืมตาขึ้นและถามอย่างงงงวยเมื่อเจหยุดการเคลื่อนไหวหลังจากห่อปากรับแก่นกายเขาเข้าไปแล้วปล่อยมันออกมาเพียงหนึ่งครั้ง จากนั้นจัดการดึงกางเกงชั้นในกลับขึ้นห่อหุ้มแก่นกายที่ชูชันจนน่าสงสารของเขา

“อ้าว ก็คุณบอกว่า ‘Om hai tee’ ไม่ใช่เหรอ? ผมก็ทำแล้วไง อม ‘ที’ เดียว”

คนหัวหมอหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจเมื่อสามารถใช้การพลิกแพลงคำมาหยอกเย้ากับคนรักได้ ฆาเบียร์เกาหัวแกร่กเมื่อรู้ว่าสิ่งที่บูมสอนนั้นถูกคนรักตีความเป็น put it in your mouth once ไปเสียเรียบร้อย

“เจ้าเล่ห์นักนะเรา”

ฆาเบียร์คำรามเบา ๆ แล้วคว้าคนรักเข้ามาปล้ำจูบและจั๊กจี้ด้วยความมันเขี้ยว เจหัวเราะลั่นแล้วพยายามดิ้นหนีจนมือไปปัดโดนถุงผ้าที่อิ่มให้มาจนตกจากโต๊ะ

 

“เวร เดี๋ยว ๆ หยุด ๆ เก็บของก่อน...”

เจรีบดันกายออกจากอ้อมอกของคนรักแล้วทรุดกายลงเก็บหนังสือการ์ตูนที่ตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้นครัว

“ยับมาพี่อิ่มด่าผมตาย”

เจบ่นเบา ๆ ฆาเบียร์ก้มกายลงช่วยหยิบการ์ตูนเล่มน้อยขึ้นมาส่งให้เจ แต่ก็ต้องชักมือกลับเมื่อเห็นภาพบนหน้าปก

“เดี๋ยว เจ นี่มันอะไรน่ะ?”

คนตัวโตถามพร้อมกับพลิกดูอย่างสนใจ ภาพวาดสีสันสดใสบนหน้าปกนั้นเป็นภาพของชายหนุ่มกึ่งเปลือยที่ทอดกายอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มอีกคนด้วยท่าทีล่อแหลม

“เจ นี่มัน porn ไม่ใช่เหรอ?”

ฆาเบียร์อุทานเมื่อเห็นภาพฉากเซ็กส์โจ๋งครึ่มภายในการ์ตูนเล่มนั้น เขาหยิบเล่มอื่น ๆ มาดูแล้วก็พบว่าแทบทั้งหมดมีฉากติดเรทสอดแทรกอยู่ไม่มากก็น้อย

“นี่อิ่ม อิ่มอ่านอะไรแบบนี้เหรอ?”

คนตัวโตที่เพิ่งนึกได้ว่าเจได้การ์ตูนถุงนี้มาจากไหนถามอย่างงง ๆ สำหรับเขาแล้ว อิ่มใจดูเรียบร้อยเกินกว่าที่จะอ่านการ์ตูนที่มีฉากติดเรทสุดวาบหวามขนาดนี้

“ก็บอกแล้วไง ว่าเจ๊เขาเป็นสาว y อ่ะ การ์ตูนวายมันก็ประมาณนี้แหละคุณ”

เจนยุทธหัวเราะหึ ๆ พลางพลิก ๆ ดูการ์ตูนที่พี่สาวส่งมาให้เขาได้ศึกษา

“คุณไม่เคยอ่านการ์ตูนพวกนี้มาก่อนเหรอครับ?”

เจถามเมื่อเห็นคนรักเปิดดูภาพลายเส้นในเล่มอย่างสนใจ

“ไม่เคยเลยจ้ะ ฉันก็รู้นะว่าทางเอเชียเขานิยมอ่าน manga แบบนี้ แต่ฉันไม่เคยได้อ่านแบบจริงจังสักที จะว่าไปฉันก็ไม่ค่อยได้อ่านอะไรแบบนี้มากเท่าไหร่ จะมีก็อ่านที่เป็นนิยายเกย์บ้าง แต่ก็ไม่มาก”

“หึ ก็แหงล่ะครับ ชีวิตคุณมันก็เหมือนกับนิยายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอ่านเพื่อเติมเต็มแฟนตาซีของตัวเองแล้วนี่นา”

“แหม เจจ๊ะ นิยายเกย์มันก็ไม่ได้มีแค่เรื่องเซ็กส์อย่างเดียว มันก็มีพล็อตเรื่องหลากหลายเหมือนกับนิยายทั่วไป แค่ว่าตัวเอกเป็นเพศเดียวกัน ไม่ใช่เป็นชายกับหญิง...”

ฆาเบียร์พูดแล้วหยิบการ์ตูนอีกเล่มมาเปิดผ่าน ๆ แล้วก็ทำตาโต



“อื้อหือ เล่มนี้แรงไม่ใช่เล่นเลยนะ”

คนตัวโตเดาะลิ้นเมื่อเปิดไปไม่กี่หน้าก็เจอฉากบนเตียงที่เร่าร้อนรุนแรง เขาพลิก ๆ ดูหน้าต่อไปอย่างสนใจ เจนยุทธยื่นหน้าไปดูหน้าปกของการ์ตูนเล่มที่ฆาเบียร์บอกว่าแรง

“อ๋อ เรื่องนี้...ฮ่ะ ๆๆ”

เจนยุทธหัวเราะร่าออกมาเมื่อเห็นการ์ตูนวายชื่อดังที่อยู่ในมือของฆาเบียร์

“นี่เรื่องโปรดของพี่อิ่มเลยนะคุณ เห็นเจ๊แกว่าเป็นหนึ่งในตำนานการ์ตูนวายเลยนะ”

เจหยิบมือถือของเขามาจิ้ม ๆ หาข้อมูลของการ์ตูนเรื่องนั้นแล้วส่งให้ฆาเบียร์ดู

“Viewfinder งั้นเหรอ?”

ฆาเบียร์อ่านชื่อเรื่องที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ เจนยุทธพยักหน้าแล้วบอกฆาเบียร์ว่ามีคนนำการ์ตูนเรื่องนี้ฉบับแปลภาษาอังกฤษไปสแกนลงในอินเตอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว

“แต่ถ้าคุณอยากอ่านจริง ๆ แล้วหาเล่มลิขสิทธิ์ได้ คุณก็ซื้อเล่มเถอะนะ อุดหนุนคนขายเขาหน่อย แต่ของไทยน่ะ เห็นออกมาเป็นเล่ม ๆ แบบนี้ก็ยังน่าจะเถื่อน แหะ ๆๆ”

เจนยุทธเล่าว่าอิ่มใจเคยพูดให้ฟังว่าการ์ตูน Yaoi หรือ Boy’s Love ที่ขายในไทยตั้งแต่สมัยเธอเริ่มอ่านใหม่ ๆ เมื่อยี่สิบปีที่แล้วนั้นมักเป็นแบบไพเรทหรือแบบที่ไม่ได้รับลิขสิทธิ์ถูกต้องจากสำนักพิมพ์ต้นฉบับ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยังไม่เป็นที่ยอมรับแพร่หลาย


“เจ๊บอกว่าสมัยก่อนนี่แทบจะเป็นหนังสือใต้ดินกันด้วยซ้ำ เพราะอย่างที่เห็นว่าภาพมันล่อแหลมมาก โดนจับทีก็เปลี่ยนชื่อสำนักพิมพ์กันที แถมโดยมากก็ตีพิมพ์เถื่อนแบบไม่ได้ขอลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์ที่ญี่ปุ่น มีช่วงหลังนี่แหละครับที่มีการขอลิขสิทธิ์กันมาอย่างถูกต้อง แต่ก็จะแพงกว่าแบบที่เป็นไพเรทเยอะเหมือนกัน”

“แหม รู้เยอะเชียวนะ อ่านจนปรุแล้วล่ะสิท่า”

คนตัวโตกระเซ้าคนรัก เจนยุทธหน้าแดงซ่าน

“ไม่ได้อ่านเยอะอะไรขนาดนั้นซักหน่อย...”

คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ

“เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก รู้แค่เจ๊อ่านการ์ตูนวาย แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่ง เอ่อ กระทั่ง...”

“กระทั่งอะไรจ๊ะ?”

ฆาเบียร์ถามยิ้ม ๆ เขาพอจะนึกออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรัก

“ก็ตั้งแต่พาคุณไปหาแม่วันนั้นแหละ! ฮึ่ย!”

เจนยุทธกระแทกเสียงเบา ๆ นับตั้งแต่วันที่พี่สาวของเขาได้พบหน้าฆาเบียร์และรู้ว่าน้องชายมีชายหนุ่มมาติดพัน อิ่มใจก็ขนการ์ตูนตั้งใหญ่มาให้เขาแทบจะทันทีที่เจอหน้ากันอีกครั้ง

“เจ๊บอกว่าให้ศึกษาไว้ ผมเปิดดูแล้วแทบช็อค”

“ขนาดนั้นเชียว? นายตกใจกับเรื่องความสัมพันธ์ของผู้ชายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

คนตัวโตที่ยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่คนรักต้องการสื่อถามอย่างสงสัย หากเจนยุทธส่ายหน้า

“ผมไม่ได้ช็อคเรื่องนั้น แหม มันการ์ตูนวาย ผมก็รู้แหละว่าตัวเอกมันต้องเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ที่ช็อคคือ เล่มที่ผมเปิดอ่านก็ไอ้เจ้าเรื่องที่คุณอ่านอยู่นี่แหละ เปิดมาก็เจอฉากปั่มปั๊มกันแล้ว...”

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาที่เคยอ่านแต่การ์ตูนผู้ชายไม่เคยนึกเลยว่าการ์ตูนที่ตีพิมพ์มาเพื่อให้สาว ๆ อ่านจะมีฉากบนเตียงที่โจ๋งครึ่มและรุนแรงได้แบบนี้



“ผมก็นึกว่าการ์ตูนที่พวกผู้หญิงอ่านนี่คือใส ๆ รักวัยไฮสกูล ทำยังไงจะได้จูบแรกกันนะ อะไรแบบนี้...”

คนตัวเล็กโคลงหัว

“เออ นั่นสินะ ฉันเปิดมาก็งงเหมือนกัน ปกติการ์ตูนแนวนี้จะเน้นฉากแบบนี้เหรอ?”

ฆาเบียร์ถามแล้วหยิบเล่มอื่นที่ไม่ได้อยู่ในซีรีส์ Viewfinder ขึ้นมาดู

“ตอนแรกผมก็คิดว่างั้นครับ แต่พออ่าน ๆ ไปหลาย ๆ เรื่องก็ได้รู้ว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการ์ตูนทั่วไปนะ จริงอยู่ที่มีหลายเรื่องที่เน้นขายความฟิน บางเรื่องคือแทบไม่มีตอนใส่เสื้อใส่ผ้า เนื้อเรื่องแทบไม่มี แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เน้นเนื้อเรื่อง เน้นพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกโดยแทบไม่มีเรื่องเซ็กส์โจ๋งครึ่ม มันก็เหมือนที่คุณบอกว่านิยายเกย์ก็คือนิยายทั่วไปแค่เปลี่ยนตัวละครแค่นั้นแหละ...”

เจหยุดแล้วค้น ๆ กองการ์ตูนที่พี่สาวให้ยืมมาแล้วดึงออกมาเล่มหนึ่ง

“อย่างเรื่องนี้ เป็นการ์ตูนทำอาหารที่มีตัวเอกเป็นคู่เกย์ เรื่องนี้ดีมาก ๆ ครับ ถ้าคุณจะหาอ่านผมขอแนะนำเลย คุณลอง search หา What Did You Eat Yesterday? ดูนะ”

เจนยุทธส่งการ์ตูนเรื่อง “เมื่อวานเจ๊ทานอะไร” ที่เขากำลังอ่านติดพันให้คนรักดู เขาบอกว่านอกจากเรื่องอาหารแล้ว นิยายเรื่องนี้ยังนำเสนอเรื่องปัญหาและความสัมพันธ์ของคนที่เปิดตัวเป็นเกย์กับสังคมรอบข้างในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

"ว้าว นี่มันแทบจะเป็นการ์ตูนทำอาหารอยู่แล้วนี่ เจ ไม่เห็นมีฉากโรแมนติกหรืออะไรเท่าไหร่นะ"

ฆาเบียร์เปิดดูการ์ตูนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของอาหารมื้อค่ำประจำวันของเกย์หนุ่มสองคนอย่างสนใจ

"ครับ การ์ตูนเล่มนี้ตีพิมพ์ในไทยโดยสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์การ์ตูนแนวทั่วไป ไม่เน้นวาย จริง ๆ ผมก็เคยอ่านเรื่องนี้นานแล้วด้วย ในฐานะการ์ตูนทำอาหารนะ ไม่ใช่การ์ตูนวาย ตอนนั้นอ่านเพราะชอบงานเรื่องอื่นของนักเขียนคนนี้ที่เขาเอาไปทำเป็นซีรีส์ครับ"

เจเล่าต่อว่าก่อนหน้านี้เขาเคยติดซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง Antique Bakery อย่างงอมแงมจึงได้มาหาการ์ตูนที่เป็นต้นฉบับของ Yoshinaga Fumi อ่าน ในตอนหลัง เมื่อเห็นลายเส้นอันคุ้นตานี้บนแผงหนังสืออีกครั้งเขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะซื้อ "เมื่อวานเจ๊ทานอะไร" เพราะรู้ว่าเขาจะไม่มีวันผิดหวังแน่นอน



"เรื่อง Antique Bakery ที่ผมว่านั้นมีการเอาไปทำเป็นแบบใช้คนแสดงอยู่ 2 เวอร์ชั่นครับ ของญี่ปุ่นเป็นทีวีซีรีส์ จะมีการดัดแปลงจากต้นฉบับไปพอสมควร หลัก ๆ คือไม่เน้นว่าตัวเอกที่เป็น patissier นั้นเป็นเกย์ ไม่พูดถึงปมความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่น ๆ ในร้าน แต่เน้นเรื่องราวของลูกค้าที่มาที่ร้านและมิตรภาพของคนในร้านมากกว่า..."

เจหยุดพักเพื่อเปิดข้อมูลในมือถือแล้วส่งให้ฆาเบียร์อ่าน"

"...แต่เวอร์ชั่นเกาหลีที่เป็นหนังและใช้ชื่อว่า Antique นั้นแทบจะตรงกับต้นฉบับเป๊ะ ๆ เกย์ก็บอกว่าเกย์ มีฉากเลิฟซีนด้วย แต่ที่เหมือนกันของทั้งสองเวอร์ชั่นคือทำตัวร้านขนมออกมาได้สวยมาก ขนมก็น่ากินจนผมแทบจะเลียจออยู่แล้ว"

เจพูดว่าอิทธิพลของซีรีส์เรื่องนั้นทำให้เขาต้องแวะเวียนไปเบเกอรี่ของโรงแรมดาราเทวีที่ในตอนนั้นมีขนมหน้าตาใกล้เคียงกับขนมฝรั่งเศสในเรื่องที่สุดอยู่บ่อยครั้ง

"นายก็หาเรื่องกินตลอดนั่นแหละ"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะพลางอ่านข้อมูลที่เจส่งให้

"เฮ้ ๆ ฉันว่าฉันเคยดูเวอร์ชั่นเกาหลีนะ ใช่ ๆ ฉันจำคนที่เป็นคนทำขนมได้"

คนตัวโตโพล่งออกมาหลังจากได้ดูทีเซอร์หนังที่เจหามาให้ดู เขาจำดาราหนุ่มคิมแจอุคในลุคของปาติซิเยร์หนุ่มผมยาวที่ดูเซื่อง ๆ ยามอยู่ที่ร้าน แต่จะแปลงร่างเป็นควีนแสนแซ่บในยามออกท่องราตรีได้

"ตอนนั้นฉันกำลังคบ เอ่อ อ่า เพื่อนเกาหลีอยู่คนนึง แล้วเขาเคยเอาดีวีดีเรื่องนี้มาเปิดให้ดู"

"ครับ ๆ เพื่อนก็เพื่อน"

เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นท่าทีอึกอักของคนที่หลุดปากพูดถึงคนที่เคยควงในอดีตออกมา เขาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้คนตัวโตรู้สึกเก้อเขินไปมากกว่านี้



“อีกเรื่องที่พี่อิ่มแนะนำให้ผมก็เรื่องนี้เลย ผมไม่แน่ใจว่าภาษาอังกฤษใช้ชื่ออะไร”

เจหยิบการ์ตูนเล่มหนาอีกเล่มหนึ่งมาให้ฆาเบียร์ดู ชื่อภาษาไทยของมันคือ “ตราบสิ้นอรุณโศก” โดย Hidaka Shoko

“เรื่องนี้ดราม่าจัด ๆ เลยครับ เป็นเรื่องขุนนางญี่ปุ่นช่วงยุคไทโช เอ่อ ก็ช่วงต่อระหว่างยุคเมจิกับโชวะอ่ะนะ ตัวเอกเป็นขุนนางหนุ่มวัยเรียนที่ต้องขึ้นสืบทอดตำแหน่งแทนพ่อกับพ่อบ้านที่อายุมากกว่า นอกจากดราม่าเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเอกสองคนกับเรื่องการเติบโตของตัวละครแล้ว ยังมีเรื่องการเมืองในยุคนั้น การสืบทอดและแย่งชิงอำนาจในตระกูล การเอาตัวรอดของตระกูลขุนนางและเรืองอำนาจของตระกูลพ่อค้าในสังคมที่ระบอบศักดินาเริ่มเสื่อมอำนาจแล้ว สนุกครับ”

เจนยุทธร่ายยาวพร้อมกับเปิดหาชื่อเรื่องภาษาอังกฤษไปด้วย

“อ้อ เรื่องนี้ครับ Blue Morning ลองหาอ่านดูนะ แล้ว...อิอิ”

คนตัวเล็กทำท่ากรุ้มกริ่ม

“...ฉากบนเตียงเรื่องนี้ก็เด็ดอยู่ครับ”

“จ้ะ ๆ ไว้จะหาดู ไว้นายลิสต์ ๆ มาให้ฉันหน่อยแล้วกันว่าเรื่องไหนน่าสนใจ เผื่อฉันเอาไว้อ่านแก้เครียด”

“คุณจะอ่านจริงอ่ะ? ผมก็แนะนำไปงั้นนะนั่น นึกว่าคุณจะอ่านการ์ตูนแบบนี้ไม่เป็นซะอีก”

เจนยุทธทำตาโต เขาไม่นึกว่าชาวตะวันตกอย่างฆาเบียร์จะมีความสนใจจริงจังกับการ์ตูนแบบมังงะของญี่ปุ่น

“โธ่ เจ ฉันก็โตมากับ comics นะ แล้วฉันเป็นเด็กสายคอมพ์ ถึงตัวฉันจะไม่เคยอ่าน manga อย่างจริงจัง แต่ก็มีเพื่อนและลูกน้องที่ติดการ์ตูนญี่ปุ่นแบบที่ถ้ามีออกมาเมื่อไหร่ก็ตามซื้อเมื่อนั้น ฉะนั้นก็จะผ่านตามาบ้าง”

ฆาเบียร์บอกว่าที่ออฟฟิศของเขาที่สหรัฐฯ ก็มีคนที่ติดการ์ตูนญี่ปุ่นทั้ง manga และ anime อยู่จำนวนมาก

“ที่ดัง ๆ เลยก็ Naruto One Piece Dragonball Z หรือกระทั่งการ์ตูนผู้หญิงอย่าง Sailor Moon”

คนตัวโตยิ้มเมื่อนึกถึงโต๊ะทำงานของหนุ่มฝรั่งหัวใจญี่ปุ่นเหล่านั้นที่เต็มไปด้วยฟิเกอร์และของสะสมจากอนิเมชั่นญี่ปุ่น



“ฉะนั้น ส่งลิสต์มา รับรองว่าหาอ่านได้แน่จ้ะ”

ฆาเบียร์พูดพลางหยิบ Viewfinder เล่ม 3 ซึ่งเป็นการ์ตูนเล่มแรกที่เขาเปิดดูค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อ เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นคนรักทำท่าทางอ่านการ์ตูนที่มีชื่อไทยว่า "ล่ารักอันตราย" อย่างจริงจัง

“แล้วนี่อ่านรู้เรื่องเหรอครับ?”

เจขยับเก้าอี้ของตนเข้าไปชิดกายคนรักแล้วเอาคางเกยไหล่อีกฝ่ายไว้พร้อมยกมือโอบเอวไว้หลวม ๆ

“อ่านไม่ออกหรอก แต่เดาได้”

ฆาเบียร์ไล่นิ้วไปตามลายเส้น ชายหนุ่มร่างเพรียวบางถูกกดหน้าลงกับโต๊ะโดยมีชายหนุ่มผมยาวดำในชุดสูทยืนประกบด้านหลัง

“He is raped”

คนตัวโตพลิกผ่านไปอีกสองสามหน้า แม้จะมีการเซ็นเซอร์ส่วนเครื่องเพศ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฉากที่เขากำลังดูอยู่นี้คือฉากข่มขืน

“อ๊ะ มีปืนด้วย? น่าสนใจ”

ฆาเบียร์ถามอย่างสนใจเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าสวยผมยาวดำขลับคนนั้นเล็งปืนไปที่อีกฝ่าย เขาพลิกไปอีกหน้าหนึ่งก็เจอหนุ่มผมดำร่างกำยำในชุดสูทอีกคนเข้าประตูมาพร้อมกับเล็งปืนมาที่หนุ่มผมยาวคนนั้น



“อ้อ คนนี้พระเอก?”

คนตัวโตพูดงึมงำ เขาจำได้ว่าคนที่มาทีหลังคนนี้คือคนเดียวกับที่อยู่บนเตียงในตอนต้นเล่มกับหนุ่มร่างเพรียวที่โดนข่มขืนไปคนนั้น

“อ่ะ เดาเก่ง ใช่ครับ คนนี้พระเอก แล้วพอจะเข้าใจเนื้อเรื่องไหมครับ?“

“อืมม์ ไม่เข้าใจหรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นแน่ ๆ แต่นี่น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกมาเฟียใช่ไหม?”

“ครับ คนนี้มาเฟียฮ่องกง ส่วนคนนี้ก็มาเฟียญี่ปุ่น ในเรื่องไม่ได้บอกว่าเป็นยากูซ่านะ เพราะไม่ได้มีแก๊ง แต่ว่าเป็นพวกเจ้าพ่อคุมโลกใต้ดิน อะไรประมาณนี้”

“อ๋อ เป็นพวก triads นี่เอง โอ๊ะ เปลี่ยนใส่ชุดจีนแล้ว”

ฆาเบียร์พูดงึมงำเมื่อเปิดไปเจอภาพชายหนุ่มผมยาวในชุดกางเกงและเสื้อคลุมตัวยาวแบบจีนปักลายหงสา

“แหม แต่หนุ่มผมยาวคนนี้ฉันดูแล้วคุ้น ๆ ยังไงก็ไม่รู้”

คนตัวโตพูดยิ้ม ๆ มันทำให้เขาอดคิดถึงหนึ่งในหยกแฝดตระกูลจิวขึ้นมาไม่ได้ เพียงแต่ลู่ฟางไม่ได้มีสีหน้าเย็นชาตลอดเวลาเหมือนกับมาเฟียหนุ่มผมยาวคนนั้นเลย



“นี่ ๆ เล่มนี้มีตอนไปฮ่องกงด้วยนะ”

เจนยุทธส่งการ์ตูนเล่มต่อให้ฆาเบียร์ คนตัวโตรับมาเปิด ๆ ดูพอให้เห็นแล้วหันไปหยิบเรื่องอื่นมาดูต่อ เจอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นทีท่าเหมือนเด็กเจอของเล่นใหม่ของคนรัก เขาปล่อยให้ฆาเบียร์อ่านนั่นนี่ไป ส่วนตัวเองก็ลุกไปเปิดตู้แล้วหยิบแก้วแบบสั้นออกมาสองใบ

“Neat, straight up or on the rock?”

ฆาเบียร์เงยหน้าขึ้นมาดูเมื่อเจถามว่าเขาต้องการเหล้าแบบไหน

“Hibiki? Neat, please…umm, make it double”

“ครับ ๆ ดับเบิลช็อตนะ ผมกะ ๆ เอา ไม่ตวงนะ ขี้เกียจล้าง jigger”

เจนยุทธพยักหน้าหงึกหงักรับคำคนรักที่บอกมาว่าเขาต้องการเหล้าเพียว ๆ ปริมาณ 2 ถ้วยตวงเหล้า หรือเท่ากับ 3 ออนซ์ เจจัดการเทเหล้าวิสกี้สัญชาติญี่ปุ่นที่อยากลองมานานลงในแก้วสั้นให้เมียตัวโตของเขา ส่วนแก้วของตัวเองนั้น เขาได้เอาน้ำแข็งใส่ลงไปสองก้อน จากนั้นเทเหล้าปริมาณเท่า ๆ กับที่เทให้ฆาเบียร์ลงไป เขายกแก้วขึ้นแกว่งเบา ๆ สองสามทีแล้วจึงคีบน้ำแข็งออกทิ้งในอ่างล้างจาน

“เล่นง่ายนี่เรา”

คนตัวโตที่หยุดอ่านการ์ตูนชั่วคราวกระเซ้าเจนยุทธ วิธีเสิร์ฟแบบ straight-up ที่ถูกต้องนั้นเจควรที่จะรินกรองเอาแต่น้ำเหล้าลงในแก้วใบใหม่ ไม่ใช่คีบน้ำแข็งออกแบบนี้

“เอาน่า เย็นเหมือนกัน เป็นอาจารย์วิชาการจัดการเครื่องดื่มเหรอครับ ฮึ่ย!”

เจแกล้งทำท่ากระฟัดกระเฟียดจนอีกฝ่ายอดหัวเราะเบา ๆ ออกมาไม่ได้ คนตัวเล็กหันไปแลบลิ้นให้คนนั่งเท้าคางดูเขาอย่างเพลิดเพลินแล้วจึงหันกลับมาจัดการกับเครื่องดื่มของตนต่อ เจจัดแก้วทั้งสองใบใส่ในถาดใบใหญ่ จากนั้นหยิบจานใบเล็กสองใบกับส้อมสองคันมา



“หืมม์? เอาจานมาทำอะไร?”

ฆาเบียร์เลิกคิ้ว ตัวเขานั้นยังไม่ได้รู้สึกหิวสักนิด เจไม่ตอบแต่หันไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบกล่องเค้กที่เหลือจากมื้อเย็นมา

“ของแกล้มเหล้าครับ เห็นเค้กในเรื่อง Antique เมื่อกี้แล้วหิว”

เจนยุทธพูดหน้าตาเฉย ฆาเบียร์โคลงหัวอย่างอ่อนใจ

“เจ เค้กกับวิสกี้นี่จับคู่กันยากหน่อยนะ”

“ก็ผมอยากกินอ่ะ เก็บไว้หลายวันมันจะไม่อร่อยกันพอดี”

เจพูดแล้วแลบลิ้นเลียปาก

“โอเค ๆ กินก็กิน มะ ยกมาเลยจ้ะ”

ฆาเบียร์เก็บการ์ตูนที่วางเกลื่อนบนโต๊ะออกแล้วนำมาตั้งซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ เจวางถาดลงบนโต๊ะแล้วส่งแก้วเหล้าให้ฆาเบียร์

“Salud!”

ทั้งสองยกแก้วขึ้นชนกันเบา ๆ

“หูย รสมันนุ่ม”

เจนยุทธส่งเสียงอืออาอย่างพึงใจออกมาเบา ๆ วิสกี้ชั้นดีจากญี่ปุ่นขวดนี้ทำให้เขาพึงใจอยู่มิน้อย

“ดีใช่ไหม? ไว้วันหลังฉันจะหาแบบที่ดีกว่ามาให้”

ฆาเบียร์พูดแล้วก็บ่นกะปอดกะแปดว่าเขาน่าจะเลือกแบบที่หมักบ่มนานกว่านี้มาให้เจนยุทธ

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร แพงเกินไปเสียเปล่า สำหรับผมแค่นี้ก็อร่อยแล้วน่ะ”

เจรีบห้ามคนรัก สำหรับเขา วิสกี้ฮิบิกิแบบธรรมดาที่สุดอย่าง Japanese Harmony ที่กรุ่นกลิ่นไม้โอ๊คจากถังบ่มก็ถือว่าดีกว่าเหล้าที่เขากินกับเพื่อน ๆ อยู่อักโขแล้ว

 

“เค้กไหมครับ?”

เจนยุทธเลื่อนจานที่มีเค้กชิ้นสวยวางอยู่สองชิ้นไปให้คนรัก ฆาเบียร์ส่ายหน้า เขายังอิ่มจากมื้อเย็นอยู่มาก เจยักไหล่แล้วจัดการกินเค้กทั้งสองชิ้น

“เจจ๊ะ ครีมติดปาก”

ฆาเบียร์เรียกคนรักที่นั่งเคียงข้างให้หันหน้ามาหา เขาใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยครีมที่ติดขอบปากของอีกฝ่ายออกอย่างแผ่วเบา หากเมื่อเขาจะดึงมือกลับ เจนยุทธกลับฉุดรั้งข้อมือของฆาเบียร์ไว้ เขาจรดริมฝีปากลงบนนิ้วที่เลอะครีมแล้วแลบลิ้นออกเลียครีมนั้นกลับเข้าปากของตน

“เสียดายของอ่ะ”

เจนยุทธพูดยิ้ม ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาคนรักอย่างท้าทาย เขายิ้มอย่างสมใจเมื่อเห็นไฟที่ลุกโชนในตาของอีกฝ่าย

“อ๊ะ เค้กผม คุณจะทำอะไรอ่ะ...อืมม์”

เจร้องออกมาเบา ๆ เมื่อคนรักใช้นิ้วป้ายครีมบนเค้กขึ้นมาอีก เขาต้องส่งเสียงแผ่ว ๆ ออกมาเบา ๆ เมื่อฆาเบียร์ใช้นิ้วเปื้อนครีมค่อย ๆ ถูไล้ไปบนริมฝีปากของเขา เจส่งลิ้นออกมากวาดเลียครีมที่ริมฝีปากรวมไปถึงปลายนิ้วที่ขยับเย้าแหย่อยู่ ฆาเบียร์ค่อย ๆ ดันนิ้วของเขาเข้าไปทีละนิ้วจนโพรงปากของเจเต็มแน่นไปด้วยนิ้วยาว ๆ กายของคนตัวโตค่อย ๆ ร้อนผ่าวขึ้นตามความปรารถนาที่ลุกโชนขึ้นเมื่อเรียวลิ้นของเจเลียไล้วนรอบนิ้วที่เขาชักเข้าออกปากของอีกฝ่าย



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2021 21:11:01 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1





---- มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (ต่อ) ----





“อร่อยไหม?”

คนตัวโตถามคนรักเสียงกระเส่าหลังจากถอนนิ้วออกจากโพรงปากของอีกฝ่าย เจพยักหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบ รอยยิ้มพรายบนใบหน้าของคนรักทำให้ฆาเบียร์อดไม่ได้แล้วต้องดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาบดจูบอย่างดุดัน

“หวาน”

เขาพึมพำเบา ๆ รสชาติหวานหอมของครีมสดที่ใส่วานิลลาชั้นดีอาบอยู่ในโพรงปากอันอบอุ่นของเจนยุทธ หากฆาเบียร์พลันก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อสัมผัสได้ถึงควานเย็นลื่นที่ยอดอก

“เฮ้ ๆ จะทำอะไร?”

คนตัวโตท้วงเบา ๆ เมื่อเจ้าตัวดีใช้นิ้วปาดครีมบนเค้กที่เหลืออยู่อีกไม่มากมาป้ายเข้าที่ตุ่มไตสีน้ำตาลอ่อนบนอกเปลือยเปล่าของเขา

“ไม่ได้เหรอครับ?...”

เจยิ้มหวานให้ด้วยสีหน้าที่ฆาเบียร์รู้ทันทีว่าตนต้องลำบากแน่นอน

“...จริง ๆ ผมก็อยากป้ายที่อื่นหรอกน้า แต่ครีมมันไม่พอ”

เจพูดแล้วก็ต้องหัวเราะคิกออกมาเมื่อจินตนาการถึงสิ่งที่ตัวเองอยากทำ

“พอเลย ๆ เอ้า มา รับผิดชอบซะ ไหนบอกว่าจะไม่เอาของกินมาเล่นไง”

ฆาเบียร์โคลงหัวน้อย ๆ แล้วแกล้งทำเสียงเขียว เจหัวเราะแหะ ๆ

“ครับ ๆ รับผิดชอบเดี๋ยวนี้แหละครับ รับผิดชอบทั้งตัวและหัวใจเลย”

คนตัวโตหน้าร้อนวาบขึ้นมาเมื่ออยู่ ๆ คนรักก็พูดประโยคหวานเลี่ยนแบบนี้ออกมาหน้าตาเฉย เจยกนิ้วที่เปื้อนครีมขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ถูไล้ครีมจนเคลือบตุ่มไตสีแทนเป็นวงกว้าง จากนั้นก็เพลินไปกับการหยอกเย้ายอดอกที่ค่อย ๆ แข็งเป็นไตขึ้นตามสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา

 

“ชอบไหมครับ?”

เจนยุทธถามลอย ๆ หากก็ไม่ได้หยุดเพื่อฟังคำตอบ เขาแทนที่ปลายนิ้วของตนด้วยปลายลิ้นที่ค่อย ๆ กวาดเลียเอาคราบครีมที่เหลือให้เห็นเป็นฝ้าสีขาวจาง ๆ เข้าปาก ฆาเบียร์แอ่นกายขึ้นตามแรงดูดเบา ๆ ของเจ เจนยุทธใช้มือสะกิดเขี่ยยอดอกข้างที่ไม่ได้โดนเขาป้ายครีมไว้

“อื๊อ อย่าซนสิ”

คนตัวโตที่กำลังเพลิน ๆ กับการละเล่นเล็ก ๆ ของเจสะดุ้งเฮน้อย ๆ เมื่อเจ้าตัวดีใช้ท้องนิ้วบิดบี้ยอดอกชูชันของเขาอย่างแรง เจหัวเราะคิกแล้วเปลี่ยนมาเป็นคลึงเคล้าอย่างนุ่มนวล ฆาเบียร์ลูบผมดำขลับของคนรักเบา ๆ อย่างเอ็นดู เขาค่อย ๆ ขยับมือไล้ลงมาตั้งแต่ต้นคอลงมาตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงบั้นท้ายกลมกลึงของเจนยุทธ เขาลงน้ำหนักคลึงเคล้นอย่างสนุกมือไปบนก้อนเนื้อทั้งสองของคนที่กำลังจูบไล่เลาะตามแผ่นอกและหน้าท้องของเขา

“เจจ๊ะ เดี๋ยวก่อน...”

ฆาเบียร์เรียกชื่อคนรักกระเส่าเมื่อเจนยุทธปลดผ้าเช็ดตัวและดึงขอบกางเกงในของเขาลงเพื่อปลดปล่อยแก่นกายที่เริ่มขยายตัวของเขาออกมาอีกครั้ง

“ว่าไงครับ?”

เจเงยหน้าขึ้นมาถาม

“ฉัน เอ่อ ฉันอยากทำแบบนี้”

ฆาเบียร์กระมิดกระเมี้ยนพูดพลางส่งการ์ตูนเล่มที่เขาอ่านค้างไว้ให้เจนยุทธดู เจรับมาดูแล้วต้องโคลงหัวน้อย ๆ ในนั้นเป็นฉากเลิฟซีนในครัวของตัวละครสองตัวโดยฝ่ายหนึ่งนั้นใส่เพียงผ้ากันเปื้อนตัวเดียวเท่านั้น



“ชอบแบบนี้เหรอครับ ได้ ไม่มีปัญหา”

เจยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วลุกขึ้นไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาจากในลิ้นชัก

“ใส่เลยครับ ที่รัก เดี๋ยวเจจะบริการคุณให้ถึงใจเอง”

คนตัวเล็กโยนผ้ากันเปื้อนผืนนั้นให้ฆาเบียร์ซึ่งรับมาอย่างงง ๆ

“เฮ้ ๆ เดี๋ยว ฉันจะให้เจเป็นคนใส่ผ้ากันเปื้อนนะ...”

คนตัวโตเกาหัวแกร่ก แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“เฮ้อ แต่...”

ฆาเบียร์กำลังจะพูดบอกว่า แต่ถ้าคนรักอยากให้ตนใส่ เขาก็ไม่ติดขัดอันใด หากก็ต้องกลืนคำพูดของตนลงท้องไปเมื่อเจฉวยผ้ากันเปื้อนผืนนั้นกลับมาคล้องคอตัวเองไว้แล้วมัดเชือกที่เอวเสร็จสรรพ

“ผมหยอกคุณเล่นหรอกน่า ฆาบี้ คืนนี้ ผมตั้งใจให้คุณกอดอยู่แล้ว”

เจนยุทธพูดพลางส่งสายตาหวานเชื่อมให้เมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์คำรามเบา ๆ แล้วดึงคนรักให้มาอยู่ในอ้อมอก เขาใช้มือทั้งสองประคองใบหน้าน่ารักของเจไว้แล้วก้มลงไปชิมรสริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยอรอไว้ เจจูบตอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนก่อนจะดันตัวออก

“อยากเล่นโรลเพลย์ไม่ใช่เหรอครับ? งั้นไปตรงนู้นเลย”

เจรุนหลังฆาเบียร์ให้ไปยืนที่นอกพื้นที่ครัว ส่วนตัวเองยกถาดเค้กไปวางไว้ที่ซิงค์ ก่อนจะไปยืนตรงเคาเตอร์ส่วนเตรียมอาหารแล้วหันหลังให้ฆาเบียร์โดยทำท่าเตรียมอาหารก๊อก ๆ แก๊ก ๆ คนตัวโตโคลงหัวน้อย ๆ แล้วตัดสินใจเล่นตามน้ำไป

 

“อ๊ะ ฆาบี้ ระวังหน่อยครับ”

เจทำท่าสะดุ้งเมื่อถูกสวมกอดจากด้านหลัง เขาพยายามทำท่าทางเหมือนไม่สนใจริมฝีปากที่ซุกไซ้อยู่บริเวณพวงแก้ม

“คุณครับ ผมทำมื้อค่ำอยู่นะ อย่าเพิ่งกวนสิ”

คนตัวเล็กแกล้งทำเสียงแข็ง ตาของเขาเหลือบมองไปยังการ์ตูนเล่มที่พ่อเจ้าประคุณของเขาใช้เป็นตัวอ้างอิง

“ก็ทำไปสิจ๊ะ ฉันแค่อยากดูว่านายทำอะไรกินบ้าง”

เจนยุทธกรอกตาแล้วหันไปถามคนรัก

“นี่ คุณอ่านภาษาไทยไม่ออกแน่นะ? ที่คุณพูดนี่แทบจะตรงกับที่ตัวละครพูดแล้วนะ”

คนตัวเล็กนอกบทด้วยความสงสัย ฆาเบียร์หัวเราะแล้วจูบหนัก ๆ ที่แก้มป่อง ๆ ของคนรักอย่างมันเขี้ยว

“อ่านไม่ออกจริง ๆ ฉันแค่เดาเอาน่ะ มันตรงเหรอ?”

“จินตนาการล้ำเลิศจริง ๆ เลย คุณนี่ อ่ะ ต่อ ๆ ...”

เจนยุทธโคลงหัวแล้วทำท่าคนอาหารทิพย์ที่อยู่ในหม้อใบใหญ่ต่อ



“วันนี้ผมทำแกงกะหรี่ น่ากินไหม? แต่มันยังไม่ได้ที่หรอกนะครับ ต้องเคี่ยวต่ออีกหน่อย ชิมไหมครับ?”

เจทำท่ายกทัพพีที่เขาใช้คนหม้อที่ว่างเปล่าส่งให้คนรัก

“อืมม์ ฉันรอกินตอนเสร็จแล้วดีกว่าจ้ะ แต่หอมมากเลยนะ น่ากินมาก”

ฆาเบียร์ตอบพร้อมแอบนึกขำในใจ ตอนแรกที่เขาบอกว่าอยากเล่นโรลเพลย์ เขาก็นึกว่าเจจะแค่ยืนทำท่านั่นนี่ที่เคาเตอร์ไป แต่คนตัวเล็กกับจริงจังถึงขั้นหยิบหม้อและทัพพีมาเป็นของประกอบฉาก

“อ๊ะ คุณ ไหนว่าจะยืนดูเฉย ๆ”

เจนยุทธว๊ากลั่นเมื่อคนตัวโตเริ่มไม่ยืนดูเปล่า มืออุ่น ๆ ของเจ้าตัวที่โอบเอวเขาอยู่ก่อนหน้านี้เริ่มจะซุกซนไปทั่ว ฆาเบียร์สอดมือเข้าใต้ผ้ากันเปื้อนแล้วค่อย ๆ ไล้ขึ้นไปตามช่วงเอวแล้วขึ้นไปยังแผงอกเนียนแต่แข็งแรงของเจนยุทธ

“ฆาบี้ อย่าครับ ผมยังทำแกงไม่เสร็จเลย”

เจห้ามเสียงสั่นเมื่อมืออีกข้างของพ่อมือปลาหมึกเริ่มมาป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ กลางลำตัวส่วนหน้าของเขา แถมเขายังรู้สึกถึงสิ่งแข็งขืนที่ถูกบดเบียดเข้ากับบั้นท้ายของเขาอย่างจงใจ

“เจจ๊ะ ช่างแกงไปเถอะ ตอนนี้ฉันหิวเจมากกว่า”

ฆาเบียร์พูดแล้วประทับรอยฟันจาง ๆ ไว้บนลาดไหล่ของคนรัก

“อืมม์ อร่อย ทั้งหอมทั้งนุ่ม”

“เฮ้ ๆ นี่คนนะ ไม่ใช่ขนมปัง แล้วรอไปก่อนเลยครับ ผมขอเคี่ยวต่ออีกนิด”

เจพูดพลางทำท่าคน ๆ ของที่ไม่มีอยู่จริงในหม้อ ฆาเบียร์ยักไหล่แล้วทำการลวนลามคนตรงหน้าต่อ



“อ๊ะ...คุณ...”

เจหลุดอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อฆาเบียร์ดึงกางเกงชั้นในของเขาจนหลุดพ้นสะโพก เจดันสะโพกไปข้างหลังน้อย ๆ อย่างจงใจเมื่อสัมผัสได้ถึงแก่นกายแข็งที่พยายามสอดแทรกเข้ามาถูไถระหว่างต้นขาที่เบียดชิดของเขา ฆาเบียร์ค่อย ๆ ขยับสะโพกช้า ๆ ริมฝีปากของเขาเคล้าคลึงอยู่ที่หลังคอและใบหูของอีกฝ่าย มือของเขากอบกุมและหยอกเย้าอยู่กับแท่งลำที่ขยายเต็มที่ของอีกฝ่าย เจนยุทธเริ่มหมดความสนใจกับมื้อค่ำปลอม ๆ และเพริดไปกับสัมผัสที่คนรักปรนเปรอให้

“ไม่เคี่ยวแกงต่อแล้วเหรอจ๊ะ?”

ฆาเบียร์ถามกลั้วหัวเราะหลังจากอีกฝ่ายหมดความอดทนแล้วหันกายมาดึงเขาเข้าไปจูบอย่างหนักหน่วง

“ไม่ทง ไม่ทำมันแล้วครับ ยั่วกันขนาดนี้”

เจพูดงึมงำกับซอกคอของอีกฝ่ายก่อนจะโน้มคอเมียตัวโตของเขาลงมาป้อนจูบให้อีกครั้ง ทั้งสองกอดจูบกันอยู่ที่หน้าเตาอีกครู่หนึ่งก่อนที่ฆาเบียร์จะกระซิบเบา ๆ ที่หูของอีกฝ่าย เมื่อเจพยักหน้ารับคำ คนตัวโตก็ลดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นทันที

“สลับกันกับเมื่อเช้าเลยนะ”

ฆาเบียร์ยิ้มร่าเมื่อนึกถึงมื้อเช้าแสนเซ็กซี่ของพวกเขา เจย่นจมูกให้คนรักแล้วค่อย ๆ เลิกชายผ้ากันเปื้อนของเขาขึ้นจนถึงเอว จากนั้นปล่อยมันลงให้คลุมศีรษะของคนรักที่มุดเข้ามาหา เขาเอนตัวน้อย ๆ พิงเคาเตอร์แล้วปล่อยให้คนรักจัดการกับส่วนสงวนที่แข็งเกร็งของตน



“ฆาบี้ครับ อย่าเน้นตรงนั้นมากสิ ผม...อ๊ะ”

เจผวากายเยือกขึ้นเมื่อเมียตัวโตของเขาใช้ลิ้นยั่วเย้ากับแก่นกายเขาราวกับมันเป็นอมยิ้มแสนอร่อย ทักษะอันแพรวพรายของฆาเบียร์ทำให้เจแทบทนไม่ไหวและเผลอโยกสะโพกเข้าปากอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้ หากคนที่ผ่านสังเวียนมามากอย่างฆาเบียร์ก็เจนจัดพอที่จะจับจังหวะของคนรักได้และไม่เร่งเร้าให้เจได้ปลดปล่อยออกมาเร็วจนเกินไป แต่กลับค่อย ๆ โลมเล้าให้คนรักได้เพลิดเพลินกับโอษฐกามครั้งนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“คุณ คุณครับ อย่าแกล้งผมอีกเลย ผมเสียวจะตายแล้ว”

เจครางเสียงกระเส่า เขาบิดกายเร่าด้วยความรู้สึกเจียนคลั่งเมื่อฆาเบียร์ผ่อนจังหวะอีกเป็นครั้งที่สาม ฆาเบียร์ได้แต่ยิ้มในใจอย่างพอใจ เขาปล่อยมือที่ช่วยรูดรั้งออกจากแก่นกายร้อนผ่าวของอีกฝ่ายและย้ายไปบีบเคล้นก้นแน่น ๆ ของเจแทน

“อ๊ะ คุณ ทำอะไร?”

เจนยุทธที่ตาลอยด้วยความสุขสม สะดุ้งเฮือกเมื่อคนรักเปลี่ยนท่ากะทันหัน

“ตรงนี้มันไม่ถนัด ย้ายดีกว่าจ้ะ”

ฆาเบียร์ลุกขึ้นยืนและดึงแขนคนรักมาที่เคาเตอร์บาร์กลางห้องครัวแทน เขาทรุดกายลงนั่งคุกเข่าแทบเท้าคนรักอีกครั้ง แต่คราวนี้เขามุดกายเข้าแทรกกลางหว่างขาเจนยุทธแล้วใช้ไหล่ดันต้นขาของอีกฝ่ายขึ้นพาดไหล่

“เจจ๊ะ ยันตัวขึ้นหน่อยได้ไหม?”

 เจพยักหน้าและทำตามอย่างทันกัน เขาใช้แขนยันร่างตนให้ลอยขึ้นอีกเล็กน้อยจนแทบจะเอนนอนไปกับเคาเตอร์บาร์ คนตัวโตยิ้มบาง ๆ แล้วจัดการปรนนิบัติคนรักต่อ เจสูดปากเบา ๆ เมื่อริมฝีปากอุ่นของฆาเบียร์จูบไล้แก่นกายแล้วค่อย ๆ ลดลงต่ำสู่ถุงเนื้อ เขาครางออกมาเมื่อรู้สึกถึงแรงดูดดึงและปลายลิ้นที่ทำให้เขาแทบคลั่ง



“อ๊ะ คุณ...”

เจนยุทธสะดุ้งเฮือกขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วที่ค่อย ๆ กดคลึงอยู่ที่ปากทางเข้าด้านหลัง

“มะ ไม่ต้องทำก็ได้ครับ!”

คนตัวเล็กอุทานออกมาดัง ๆ แล้วพยายามดึงสะโพกหลบตามสัญชาตญาณเมื่อสัมผัสถึงความชื้นแฉะจากปลายลิ้นที่พยายามซอกซอนผ่านช่องทางคับแคบ หากคนตัวโตที่คุ้นชินกับเรื่องแบบนี้มากกว่าก็ไม่ยอมให้คนรักถอยหนี

“นายอุตส่าห์เตรียมตัวพร้อมเพื่อฉันทั้งที ฉันก็ต้องขอชิมให้เต็มที่สิ”

ฆาเบียร์พูดยิ้ม ๆ เมื่อได้สัมผัสคนรักด้วยปลายนิ้วเขาก็ต้องใจพองฟูเมื่อรู้สึกได้ว่าเจนยุทธได้จัดการเตรียมช่องทางของตนมาพร้อมเพื่อให้เขาล่วงล้ำได้ทันทีอีกครั้ง ช่วงหลังมานี้ แม้เจ้าตัวจะประกาศปาว ๆ ว่าจะเป็นฝ่ายกอด แต่เขาก็รู้ดีว่าก่อนขึ้นเตียงด้วยกันทุกครั้ง เจก็มักจะเตรียมร่างกายให้พร้อมรับตัวเขาเสมอ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ตัวเขาเองก็ทำด้วยเช่นกัน

“นิ่มมาเชียวนะ แอบทำอะไรมา หืมม์?”

ฆาเบียร์กระเซ้าหลังสอดนิ้วที่สองเข้าในกายคนรัก เจนยุทธพูดไม่ออกเมื่อนิ้วที่สามตามเข้ามาติด ๆ พร้อม ๆ กับปลายลิ้นที่โลมไล้ปากทางที่ไวต่อสัมผัส

“คุณ อ๊ะ คุณครับ ดี ตรงนั้น”

เจครางระงมเมือฆาเบียร์ควงคว้านนิ้วเรียวยาวจนกระแทกเข้ากับจุดเสียวของเขา คนตัวโตยกยิ้ม เขารู้จักร่างกายของเจดีพอที่จุรู้ว่าต้องสัมผัสที่ใดจึงจะทำให้คนรักหฤหรรษ์ได้ถึงขีดสุด



“ฆาบี้ครับ ไม่เอาแล้ว พอแล้ว...”

เจนยุทธทนไม่ไหวจนต้องร้องขอ วันนี้ฆาเบียร์ค่อย ๆ ใช้เวลาในการเล้าโลมจนเขาปลดปล่อยไปบนผ้ากันเปื้อนที่ยังคาอยู่บนตัวแล้วครั้งหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความต้องการของเขาลดลง

“แล้วเจอยากได้อะไร หืมม์ บอกฉันมาสิ”

คนตัวโตที่เป็นฝ่ายคุมเกมอย่างสมบูรณ์แบบกระซิบเสียงกระเส่าข้างหูคนรัก เขาบดเบียดแก่นกายเข้ากับบั้นท้ายของเจนยุทธที่ลงมายืนโก้งโค้งเกาะเคาเตอร์บาร์

“ผมอยากได้ของคุณ ฆาบี้”

เจนยุทธหันมาส่งสายตาฉ่ำเยิ้มให้คนรัก ฆาเบียร์ส่งเสียงเบา ๆ ในลำคอ ใบหน้าน่ารักที่เขาชอบนักหนาของเจนยุทธแดงระเรื่อด้วยแรงปรารถนา มันชวนให้เขาอยากรังแกเจ้าตัวดีที่ส่ายสะโพกบดเบียดกับส่วนที่แข็งจนเริ่มปวดของเขาขึ้นมาทันที

“เจจ๊ะ ไหน ๆ อยู่ในครัวแล้ว ฉันก็ขอนี่หน่อยแล้วกันนะ”

คนตัวโตหันซ้ายหันขวาหาตัวช่วยเพื่อให้การ “รังแก” คนรักของเขาเป็นไปได้ด้วยความราบรื่น เขาขยับไปหยิบขวดน้ำมันมะกอกที่เจอวางอยู่ตรงใกล้ ๆ เตามายื่นให้เจดู

“เฮ้ย! ไม่ได้ครับ! ขวดนี้ผสมทรัพเฟิลออยล์ แพง!”

เจรีบคว้าขวดน้ำมันของรักของหวงของเขามาวางหลบไว้ทันที



“เปิดลิ้นชักริมสุดเลยครับ”

เจชี้ลิ้นชักริมสุดของเคาเตอร์บาร์ ฆาเบียร์เปิดออกแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเจอทั้งเจลหล่อลื่นหลอดเล็กและกล่องถุงยางทั้งขนาดของเขาและเจอยู่พร้อมพรัก

“เตรียมพร้อมขนาดนี้ กะไว้แล้วว่าเราต้องมามีอะไรกันในครัวสักวันเหรอจ๊ะ?”

คนตัวโตกระซิบเบา ๆ พลางขบเม้มใบหูของคนรักที่เริ่มทำตัวเกร็งเพราะถูกนิ้วยาว ๆ ของเขาล่วงล้ำอีกครั้ง

“ก็คุณอ่ะ อ๊ะ ทำ ทำมันจะครบทุกห้องแล้วนี่”

เจตอบเสียงหอบกระเส่าเมื่อปลายนิ้วชุ่มเจลของฆาเบียร์บดคลึงเข้าที่จุดเสียวของเขาอีกครั้ง

“จะเข้าไปแล้วนะจ๊ะ”

ฆาเบียร์เตือนก่อนที่จะค่อย ๆ ดันแก่นกายเข้าในช่องทางของเจนยุทธ เจฟุบหน้าลงกับเคาเตอร์ ความคับตึงทำให้เขาแทบพูดอะไรไม่ออก คนตัวโตขบกรามแน่นและพยายามยั้งตัวเองไม่ให้ทำตามความปรารถนาดิบเถื่อนในใจ ภายใต้แสงไฟในครัว บั้นท้ายขาวของเจที่ขึ้นสีแดงน้อย ๆ เพราะถูกเขาคลึงเคล้นตอนที่นัวเนียกันเมื่อครู่ทำให้เขาแทบคลั่ง

“ฆาบี้ครับ ผม อื้ม เสียว”

คนตัวเล็กส่งเสียงครางในลำคอเมื่อคนรักค่อย ๆ เร่งจังหวะจากช้าเนิบนาบเป็นเร็วขึ้นอีกนิด เขายึดขอบบาร์ไว้และเด้งกายสอดประสานรับกับจังหวะของคนรัก ฆาเบียร์คำรามด้วยความสะใจ เขาก้มลงจูบไล่ตามแผ่นหลังของเจโดยทิ้งรอยสีกุหลาบไว้ตามทาง เจซี้ดปากเมื่อมือแสนซนของคนรักขยับเขี่ยเม็ดทับทิมของเขาเล่น



“คุณ คุณครับ อย่า เดี๋ยวจะออกก่อน”

เจพยายามปัดมือของฆาเบียร์ที่มาเกาะกุมแก่นกายของตน

“อยากให้เจเสร็จก่อนอีกซักรอบ ดีไหม?”

ฆาเบียร์ถามโดยไม่ได้หยุดสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่เลย เจพูดไม่ออก ความรู้สึกเสียวซ่านที่ได้รับจากทั้งสองทางกำลังทำให้เขาจวนจะปลดปล่อยออกมาแล้ว เขาพยักหน้าระรัวและฟุบหน้าลงกับบาร์ ไม่นานเขาก็ส่งเสียงครางหนัก ๆ ออกมา

“ระวังหน่อยนะ”

คนตัวโตร้องเตือน ก่อนจะขยับเปลี่ยนท่า เจอุทานเบา ๆ เมื่อคนตัวโตจับเขาหันมาประจันหน้ากันแล้วยกตัวเขาจนลอยขึ้น

“ถนัดไหมจ๊ะ?”

ฆาเบียร์ถามคนที่นอนเปลือยอวดโฉมอยู่บนเคาเตอร์บาร์ เจขยับจัดท่าแล้วส่งท่อนขาทั้งสองไปเกี่ยวกระหวัดกับเอวของคนที่ยืนรออยู่เบื้องหน้าแล้วดึงรั้งเข้าหาตัวอย่างอดรนทนไม่ได้

“Your supper is ready”

เจนยุทธพูดแล้วขยับปากทำท่าส่งจูบให้อีกฝ่ายแถมยังกระดิกนิ้วอย่างเชิญชวน คนตัวโตหัวเราะกระหึ่มแล้วลงมือจัดการกับมื้อค่ำแสนยั่วที่ทอดกายรอให้เขาลิ้มชิมรสอยู่บนเคาเตอร์บาร์ เขายกสะโพกที่ล้ำออกมาจากขอบเคาเตอร์ขึ้นแล้วค่อย ๆ ดันกายเข้า เจสูดปากและเปลี่ยนเป็นส่งเสียงครางตามจังหวะการบดเบียด ฆาเบียร์ใช้มือยันกับบาร์โดยกักร่างของเจไว้เบื้องใต้และเริ่มเร่งจังหวะ



“ฆาบี้ คุณครับ เบา ๆ หน่อย”

เจขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกที่หนักขึ้นจนเขาเริ่มเจ็บมากกว่าเสียว ฆาเบียร์ใจหายวาบแล้วผ่อนจังหวะลง เมื่อครู่ ตอนที่เขายันแขนคร่อมร่างคนรักไว้ เขาอดนึกถึงตอนที่วีดีโอคอลมาแล้วเห็นร่างกำยำของคนที่เขาชังน้ำหน้ายืนอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกันกับที่เขายืนอยู่ตอนนี้ไม่ได้ ภาพติดตาที่ร่างนั้นยืนคร่อมหลังและเอามือเท้าโต๊ะกักร่างของเจไว้ในอ้อมแขนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจนเผลอทำรุนแรงกับคนรักไปโดยไม่รู้ตัว

“ขอโทษจริง ๆ จ้ะ เอ่อ เจไม่เจ็บใช่ไหม?”

คนตัวโตหยุดทันควันและซบหน้าลงกับอกของเจนยุทธ เขากอดร่างเพรียวไว้แน่นและขอโทษไม่หยุดปาก เจถอนหายใจแล้วลูบผมสลวยสีน้ำตาลของคนรักเบา ๆ

“ไม่เจ็บครับ ไม่เจ็บ เฮ้! นี่ จะหยุดแค่นี้จริงเหรอคุณ”

คนตัวเล็กแหวขึ้นเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะถอดใจและถอนกายออกเอากลางคัน

“แต่ เจ...”

“ไม่มีแต่ครับ ห้ามหยุด มันค้าง โอเค๊!”

เจดันหน้าพ่อคนอารมณ์อ่อนไหวที่ซบหน้านิ่งอยู่กับอกเขาให้เงยหน้าขึ้น ฆาเบียร์ดันกายขึ้นก่อนที่ก้มหน้าลงตามแรงแขนที่โน้มน้าวคอเขาลง ทั้งคู่แลกจูบอย่างอ่อนโยนกันครู่หนึ่ง ก่อนที่เจจะดันฆาเบียร์ออกเล็กน้อยแล้วใช้มือตะปบไปบนแก้มทั้งสองข้าง

"จัดการให้เรียบร้อยครับ คุณมาร์ติเนซ คุณจะมาปล่อยให้ผมค้างเติ่งแบบนี้ไม่ได้นะ"

คนตัวเล็กทำเสียงเข้มแล้วจ้องลึกไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่คมที่ตอนนี้มีแววโศกให้เห็น

“งั้น ฉันต่อได้ไหม?”

คนตัวโตยิ้มอาย ๆ แล้วขยับสะโพกเบา ๆ เพื่อให้อะไร ๆ เข้าที่เข้าทาง

“ตามสบายครับ ห้ามหยุดอีกล่ะ”

เจหัวเราะหึ ๆ เขารู้สึกได้ว่าถึงพ่อเจ้าประคุณของเขาจะสลดไปครู่หนึ่งแต่อะไร ๆ ที่ฝังอยู่ในกายเขานั้นก็ยังไม่ได้หดเหี่ยวไปตามความรู้สึกของอีกฝ่าย ฆาเบียร์ยิ้มร่า เขาจูบคนรักอีกฟอดใหญ่แล้วเริ่มเล้าโลมเจอีกครั้ง



“เกาะดี ๆ นะ”

ฆาเบียร์เตือนก่อนจะยกร่างของคนรักขึ้น เจใช้มือเกี่ยวคอคนตัวโตไว้แน่น เขาครางลั่นเมื่อน้ำหนักตัวของตนถ่วงให้ช่องทางด้านหลังของเขากลืนกินส่วนแข็งเกร็งของอีกฝ่ายลึกเข้าไปอีก

“ฆาบี้ ผมเสียว จะออก”

เจร้องแทบไม่เป็นภาษาเมื่อแต่ละย่างก้าวของฆาเบียร์ทำให้เขารู้สึกดีจนแทบหยุดหายใจ เจปลดปล่อยออกมาอีกครั้งก่อนที่ฆาเบียร์จะพาเขาก้าวล้ำเข้าสู่ห้องนอนด้วยซ้ำ คนตัวโตค่อย ๆ วางคนรักที่หอบหายใจหนัก ๆ ลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล เขารอจนอีกฝ่ายสงบลงแล้วจึงทอดกายลงทาบทับ เจตอบรับด้วยจูบร้อน ๆ ก่อนที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายพาเขาถึงฝั่งฝันอีกครั้ง

“ผมรักคุณนะครับ ฆาบี้”

เจกระซิบด้วยเสียงแหบแห้งที่ข้างหูของคนที่นอนหอบอย่างหมดสภาพบนอกของเขา

“ฉันก็รักเจ รักที่สุดเลย”

ฆาเบียร์จูบหนัก ๆ ที่แก้มแดงเปล่งปลั่งของเจนยุทธ เขากอดร่างเพรียวไว้แน่นแล้วพร่ำกระซิบคำรักในทุกภาษาที่เขารู้จัก เจยิ้มบาง ๆ และลูบผมสีน้ำตาลอมทองที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเบา ๆ พวกเขานอนพร่ำพรอดกันอีกพักหนึ่งจนคลายเหนื่อยแล้วจึงลุกไปชำระล้างร่างกาย

 

“ให้ตายสิ พี่อิ่มจะบ่นผมไหมเนี่ย”

เจบ่นเบา ๆ หลังจากอาบน้ำอาบท่าแล้ว เขาก็ลากคนรักที่ทำท่าอยากนอนเต็มแก่แล้วมาจัดการกับครัวที่ถูกพวกเขาใช้เป็นสังเวียนรักจนข้าวของตกกระจุยกระจาย เขาค่อย ๆ เก็บการ์ตูนที่ถูกปัดตกเกลื่อนบนพื้นมาพลิกดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีรอยยับหรือติดคราบอะไร ๆ ไปให้พี่สาวได้กรีดร้องใส่ทีหลัง

“พรุ่งนี้เราต้องซักผ้ากันเปื้อนสองผืนเลยนะ”

ฆาเบียร์พูดแล้วโยนผ้ากันเปื้อนผืนของเจที่เขาถอดมาปูรองเคาเตอร์บาร์ลงในตะกร้าผ้ารวมกับผืนที่เขาใส่เมื่อตอนเช้า เขาหันไปหาเจแล้วก็ต้องหัวเราะน้อย ๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวกำลังเก็บพวกหม้อและทัพพีที่ตัวเองเอาออกมาใช้ประกอบฉากเข้าตู้

“แกงกะหรี่ก็ต้องใส่ตู้เย็นสิ ว่าแต่อร่อยไหม ฉันยังไม่ได้ชิมเลย”

คนตัวโตกระเซ้าคนที่เมื่อครู่เข้าถึงบทบาทเสียเหลือเกิน เจหันมาย่นจมูกให้

“อร่อยสิครับ ฝีมือผมซะอย่าง ไว้คราวหน้าก่อนคุณมาผมจะทำไว้ให้แล้วกัน ต้องเคี่ยวซ้ำซักสามวันถึงจะอร่อยพอดี”

เจพูดพลางเขย่งเพื่อเอาหม้อแกงขึ้นเก็บบนตู้ชั้นบนสุด ฆาเบียร์รีบเดินเข้าไปช่วย เขายืนซ้อนหลังแล้วยืดแขนดันหม้อใบใหญ่ให้เข้าที่

“ไม่ต้องทำไว้รอก็ได้จ้ะ ฉันอยากดูตอนเจทำมากกว่า”

ฆาเบียร์พูด

“ฮึ ผมว่ามันจะทำไม่เสร็จเอาน่ะสิ”

เจส่งเสียงขัดคนที่ตีเนียนยืนโอบเอวเขาจากด้านหลังไม่ปล่อย ฆาเบียร์หัวเราะเบา ๆ แล้วฝังใบหน้าลงกับกลุ่มผมนิ่ม เจหันกลับมาป้อนจูบแผ่ว ๆ ให้คนรัก ทั้งสองแลกเปลี่ยนความรู้สึกคะนึงหากันอีกครู่หนึ่งแล้วจึงจูงมือกันกลับเข้าห้องนอน

 

“เมื่อกี้ ตอนอยู่ที่ครัว คุณ เอ่อ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ? มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม?”

เจนยุทธพูด ถึงจะง่วงเต็มทีแล้ว แต่เขาก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาได้และตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยมันผ่านไป ฆาเบียร์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเล่าเรื่องไม่สบายใจที่ติดอยู่ในใจของตนออกไป เขาได้เล่าความรู้สึกของตนตอนที่เห็นบาร์เทนเดอร์หนุ่มรุ่นน้องทำท่าเหมือนจะกอดกักเจนยุทธไว้ แต่กระนั้น ฆาเบียร์ก็ไม่ได้เล่าถึงสายตาท้าทายที่อีกฝ่ายส่งมา เพราะเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตนเห็นจริง ๆ หรือคิดอคติไปเอง

“มันงี่เง่า ฉันรู้ ฉันต้องขอโทษเจจริง ๆ”

ฆาเบียร์พูดอย่างรู้สึกผิด

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ฆาบี้ โธ่ เป็นผมถ้าเห็นแบบนั้นก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน”

คนตัวเล็กที่ไม่ได้รู้ตัวมาก่อนเลยว่าภาพในจอที่ออกไปนั้นมันทำให้คนรักหึงจนแทบบ้าพูดเสียงอ่อย ๆ

"ฉันก็ไม่อยากเป็นคนรักที่หึงงี่เง่าแบบนี้หรอกนะ แต่พอมาอยู่ที่ครัวเหมือนกัน ทำท่าคล้าย ๆ กัน มันก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ ฉันนี่มันแย่จริง ๆ"

คนตัวโตยกมือขึ้นลูบหน้าแรง ๆ แล้วบ่นพึมพำว่าในอดีตตัวเองนั้นมักจะเบื่อหน่ายเวลาที่คู่ควงแสดงอาการหึงหวงจนเกินงาม แต่ในตอนนี้ตัวเขากลับมาเป็นฝ่ายทำแบบนี้เสียเอง

“ไม่หรอกครับ ฆาบี้ คุณไม่ได้หึงอะไรเวอร์เลย ทุกวันนี้คุณปล่อยผมมาก ๆ แล้วด้วยซ้ำ"

เจนยุทธถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าเทียบกับบรรดาแฟน ๆ และเมีย ๆ ของเพื่อนรอบกาย ฆาเบียร์นั้นถือว่าแทบจะไม่แสดงอาการหึงหวงออกมาให้เห็นจัง ๆ เลยด้วยซ้ำ แม้จะมีบางครั้งที่เขาพอจะกระสากลิ่นอายความไม่พอใจจากคนรัก แต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะนิ่งเงียบแทนที่จะออกอาการให้เสียบรรยากาศ หรืออาจจะมีการส่งสัญญาณบางอย่างพอให้เจรู้ว่าเขานั้นรู้สึกไม่ค่อยพอใจแทนที่จะพูดหรืออาละวาดออกมาโต้ง ๆ



"ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้ตั้มมันขึ้นมาที่ห้องแล้วละกัน โอเคไหมครับ? แล้วก็จะพยายามระวังตัวให้มากกว่านี้”

เจนยุทธพูดเบา ๆ ไม่ใช่เขาจะไม่รู้ว่าหนุ่มรุ่นน้องนั้นมีความรู้สึกอย่างไรกับเขา แต่คนตัวเล็กก็คิดง่าย ๆ ว่าตัวเองได้แสดงให้ตั้มเห็นชัดพอแล้วว่ามีคนรัก และในสายตาเขาอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะยอมรับได้ดี มันจึงไม่ควรจะมีปัญหาอะไรอีก แต่เขาก็ลืมนึกถึงส่วนของฆาเบียร์ว่าเจ้าตัวจะรู้สึกอึดอัดใจแค่ไหนที่เขายังคงมีท่าทีสนิทสนมถึงเนื้อถึงตัวกับคนที่รู้ทั้งรู้ว่าหมายปองตนเองอยู่

"ทำตามที่เจสะดวกเถอะจ้ะ ฉันไม่ได้อยากจะไปบังคับกะเกณฑ์ว่าเจต้องเลิกคบกับคนนั้นคนนี้เพื่อฉัน แต่แค่ว่า เอ่อ ถ้าอยู่ต่อหน้าฉัน เจก็อยู่ห่างเด็กนั่นนิดนึงแล้วกัน"

"ครับ ไม่ต้องแค่ตอนคุณอยู่หรอก ตอนคุณไม่อยู่ผมก็จะเว้นระยะหน่อยแล้วกัน"

เจพูดอย่างขึงขัง ฆาเบียร์ยิ้มกว้างแล้วจรดจูบลงบนแผ่นอกที่เขาใช้หนุนนอน เจจูบตอบบนเรือนผมของคนตัวโตที่มานอนออดอ้อนซุกอกเขาอยู่

"งั้นนอนเถอะครับ คนดี ผมโคตะระง่วงแล้ว ฮ้าวววว"

เจนยุทธหาวออกมาดัง ๆ อย่างอ่อนเพลีย ฆาเบียร์ "กิน" พลังทั้งร่างของเขาจนหมดแทบไม่เหลือหลอแล้ว

"จ้ะ ๆ นอนเถอะ พรุ่งนี้เรายังต้องไปดูเฟอร์นิเจอร์เข้าห้องอาปาอยู่ใช่ไหม?"

"ใช่ครับ ฉะนั้น นอนดี ๆ ครับ คุณฆาเบียร์ หนักมากเลย"

เจพูดงึมงำพลางพยายามผลักหัวของอีกฝ่ายออก คนตัวโตขยับหัวลงจากอกอุ่นอย่างเสียดาย เขาดึงร่างเพรียวเข้ามาตระกองกอดอย่างหวงแหน เจพึมพำเบา ๆ แล้วเบียดกายซุกเข้ากับอกอีกฝ่ายอย่างเคยชิน ฆาเบียร์ลูบผมดำขลับเบา ๆ ก่อนจะหลับตาลง



------------------------------------------

Talk ตอนนี้ขอยกยอดไปทีหลังแล้วกันนะคะ ช่วงนี้ไฟมอด แล้วจะรีบเข็นตอนใหม่ออกมาค่ะ

 


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ดีใจได้อ่านแล้ว  เฝ้ารอคิดถึงเจ ฆาบี้ ที่สำคัญเมนูอาหารทั้งหลาย  ถ้าอยู่เชียงใหม่มีหวังตามไปกินแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด