@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 116259 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.5 ----




ข่าวการบุกทลายปาร์ตี้เซ็กส์หมู่ในครั้งนั้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและระดับประเทศเนื่องจากหลายคนในนั้นเป็นคนดังระดับเซเล็บของจังหวัด แม้ผมจะไม่ถูกจับกุมตัวเนื่องจากตรวจฉี่แล้วไม่พบสารเสพติด แต่ชื่อและหน้าของผมก็ปรากฎหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อทราบข่าว ม๊าของผมร้องไห้จนเป็นลม ส่วนป๊าซึ่งเป็นคนมารับผมที่โรงพักไม่พูดกับผมเลยแม้แต่คำเดียวตลอดทางกลับบ้าน

"ป๊าผิดหวังในตัวปรินซ์มาก รู้ใช่ไหม?"

นี่คือสิ่งแรกที่ป๊าพูดกับผมเมื่อกลับถึงบ้าน ผมก้มลงกราบเท้าป๊าทั้งน้ำตา ป๊าผมเบือนหน้าหนีแต่ผมก็ทันเห็นน้ำตาแห่งความผิดหวังที่เอ่อคลอดวงตาของป๊าผม

"ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว"

ผมสะอื้นฮั่กๆ ป๊าหันมาสบตาผม

"เราทำให้ป๊าคิดว่าที่ผ่านมาป๊าเลี้ยงเราผิดไปหรือเปล่า ปล่อยปละละเลยไปหรือเปล่าจนทำให้เราทำเรื่องแบบนี้"

น้ำเสียงสั่นเครือของป๊าผมทำให้ผมแทบใจสลาย ผมมันเห็นแก่ตัวที่คิดแค่จะหนีความรู้สึกตัวเองแต่ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมาถึงครอบครัว

"ป๊าปล่อยเราตามสบายมาตลอด แต่ในวันนี้ป๊าคงต้องขอทำโทษเราแล้วนะ ต่อไปนี้หลังร้านปิด เราต้องตรงกลับบ้านห้ามไปไหน"

ผมนั่งก้มหน้านิ่งรับโทษโดยดุษฎี พ่อของผมยกมือปาดน้ำตา มันยิ่งทำให้ใจผมร้าวรานมากขึ้น

"และเรื่องเรียนต่อที่เราขอป๊าไว้ ถือเป็นโมฆะ"

ผมตะลึง ในทีแรกผมได้ขอตามซันซันไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียในปีการศึกษาที่จะถึงนี้ พ่อผมก็ได้อนุญาตเรียบร้อยแล้ว แต่พอมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมก็ต้องยอมรับผลของการกระทำของตัวเอง



นับจากวันนั้น ผมทำตามคำสั่งของป๊าอย่างเคร่งครัด ผมมาทำงานและกลับบ้านทันทีเป็นเวลาหลายเดือนจนที่บ้านเห็นถึงความตั้งใจและยกเลิกโทษนั้น ระหว่างนั้นผมมีอาการถอนยา แม้ผมจะเคยใช้โคเคนเพียงครั้งเดียว แต่ผมมักใช้ยาอีเมื่อเข้าร่วมกลุ่มเซ็กส์หมู่ การถอนยาทำให้ผมเกิดอาการซึมเศร้าและอาการข้างเคียงอื่นๆ จนต้องไปพบแพทย์และนักบำบัดอยู่พักใหญ่จนกระทั่งอาการดีขึ้น

ในระหว่างนั้น ผมเห็นได้ชัดว่าใครกันที่รักและเป็นห่วงผม กลุ่มเพื่อนใหม่ของผมนอกจากคนที่โดนจับดำเนินคดีไป คนอื่นก็เรียกว่าหายเรียบและไม่มีใครคิดติดต่อผมเลย แต่คนที่รีบมาหาผมถึงบ้านเมื่อรู้ข่าวก็คือเจและครีม ทั้งคู่ โดยเฉพาะไอ้เจก็แวะเวียนมาหาผมที่บ้านแทบทุกครั้งที่มันว่าง โดยคอยมาพูดคุยด้วย บางครั้งมันก็พาพี่นพซึ่งเป็นคู่กินข้าวของมันมาด้วยจนผมสนิทกับพี่เขาไปด้วยอีกคน ยิ่งพอรู้ว่าพี่เขาเป็นเด็กย่านกาดหลวงเหมือนกันและรู้จักกันดีกับที่บ้านผมกับไอ้ซัน ผมยิ่งสนิทกับพี่เขามากขึ้น พี่นพเองก็ได้ช่วยพูดกับป๊าของผมจนป๊ายอมปล่อยให้ผมออกไปกินข้าวนอกบ้าน หรือว่าดูหนังกับเจและพี่นพบ้าง

อีกคนที่คอยอยู่เคียงข้างผมก็ไม่ใช่ใครนอกจากไอ้อ้วนของผม ซันซันรีบสไกป์มาหาผมทันทีที่ได้ข่าวและมันโทรมาหาผมทุกวันนับจากวันที่เกิดเรื่อง บางครั้งอาจจะแค่สองสามนาที แต่มันก็ทำเพื่อให้ผมรู้ว่ามันยังไม่หนีผมไปไหน สำหรับผมแล้วนี่คือความปรารถนาสูงสุด ผมคงจะไม่ขออะไรมากไปกว่านี้แล้ว



"งั้นกูไปก่อนนะ ไงก็ฝากมึงดูเจมันด้วย"

ซันซันพูดทิ้งท้าย พ่อของเจเพิ่งเสียอย่างกระทันหันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งก็หลังจากเจกับผมกลับมาคุยกันได้ไม่ถึงสองเดือนดี ตอนนั้นไอ้เจยังดูเศร้าอยู่มากและทำใจไม่ได้ที่เสียพ่อไป มันก็เป็นคราวของผมที่ต้องดูแลเพื่อนคนนี้บ้าง

"อืมม์ ไม่ต้องห่วง แล้วกูจะบอกมันให้ว่ามึงคิดถึง..."

ผมตอบซันซัน

"ว่าแต่คืนนี้มึงนอนดึกอีกแล้วนะ แตงไม่อยู่อีกแล้วเหรอ?"

ซันซันพยักหน้า

"อืมม์ ช่วงนี้เขางานเยอะเลยต้องไปค้างบ้านเพื่อนเพื่อทำงานน่ะ..."

ผมขมวดคิ้วและบ่นคู่หมั้นของซันซันเบาๆ ช่วงนี้แตงไม่อยู่บ้านบ่อยครับ ไอ้อ้วนของผมหัวเราะและบอกผมว่าไม่ต้องห่วง

“แล้วมึงน่ะ ปรินซ์ ช่วงนี้ฟิตหุ่นฟิตหน้าให้หล่อๆ ไว้ซะ เดี๋ยวพอกูกลับไปมึงก็เตรียมตัวเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้แล้ว”

ผมยิ้มละไมให้กับคำพูดของมัน หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา ในตอนนี้ผมทำใจได้แล้วครับ ผมเข้าใจแล้วว่าไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหน ผมก็ยังสามารถอยู่เคียงข้างซันซันได้ สุดท้ายแล้วมันไม่สำคัญหรอกว่าผมจะต้องได้ตัวมันหรือไม่ หากใจมันยังคิดถึงผม ไม่ว่าเป็นในฐานะเพื่อนหรืออะไร ผมก็พร้อมจะยอมรับไว้ ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ มันไปแบบนี้ก็พอ



"มึงจะกลับมาเดือนไหนนะ?"

"อืมม์ กูฝึกงานเสร็จปลายเดือนกันยา ก็คงกลับประมาณต้นตุลาฯ เลย กูเองอ่ะยังอยากอยู่เที่ยวต่อ แต่อาม่าเร่งให้กูกลับยิกๆ ละ"

ซันซันพูดเสียงอ่อยๆ ตลอดเวลาสองปีนี้ มันกลับมาบ้านแค่หนหรือสองหนเองครับ ที่บ้านมันใช้วิธีบินไปเยี่ยมโดยถือโอกาสไปเยี่ยมคุณป้าของซันซันซึ่งแต่งงานอยู่ที่ซิดนีย์ด้วย คนที่ไปบ่อยที่สุดคืออาม่าซึ่งทนคิดถึงหลานชายคนโปรดไม่ไหว บางครั้งท่านก็ไปอยู่กับลูกสาวที่ออสเตรเลียหลายสัปดาห์เลย

"แล้วแตงล่ะ? "

ซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่

"หนูแตงยังเหลือต้องเรียนต่ออีกเกือบปีน่ะ กว่าจะจบก็มิถุนาฯ หน้า จริงๆ กูอยากอยู่กับเขา แต่ทางบ้านก็อยากให้กูกลับแล้ว แตงเขาก็บอกว่าเขาอยู่ได้ บอกว่าจะไปอยู่หอใกล้ม. กับเพื่อนคนไทย มันก็โออ่ะนะ แต่กูก็...”

ซันซันบ่นเรื่องนี้ต่อ

“ห่วงเมียล่ะสิ”

ผมขัดขึ้นและอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของมัน

“แตงเค้าเก่งอยู่แล้ว อยู่เองได้หรอกน่า มึงไม่ต้องห่วงเขาหรอก ห่วงตัวเองก่อนเหอะ ไอ้ซัน พรุ่งนี้เข้ากะเช้าไม่ใช่เหรอ? นี่จะตีหนึ่งที่นู่นแล้ว มึงไปนอนเถอะ”

ไอ้อ้วนของผมดูนาฬิกาแล้วจึงร่ำลาผม ผมโบกมือลามันก่อนจะตัดสายไป ผมปิดคอม ปิดไฟห้องแล้วเอนกายลงนอน ผมแทบรอเวลาที่มันจะกลับมาไทยไม่ไหวแล้ว



“ยินดีต้อนรับกลับบ้านว่ะ ซันซัน”

ผมรอจนซันซันทักทายพ่อแม่ญาติพี่น้องเสร็จแล้วจึงดึงร่างท้วมที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างหน้ามากอดประทับอก หลังจากเกือบสองปีที่จากกันไกล ในที่สุดไอ้อ้วนของผมกลับมาแล้วครับ

“เออๆ กูก็คิดถึงมึง”

ซันซันตบหลังผมเบาๆ เมื่อผมบอกว่าผมคิดถึงมันด้วยเสียงที่สั่นเครือ ผมดันร่างมันออกและใช้นิ้วไล้ที่แก้มกลมใสของมันเบาๆ ยามที่คนในครอบครัวมันไม่ได้มองมา

“ลิปสติกติดว่ะ”

ผมกระซิบบอกมันเบาๆ ซันซันรีบควานหากระดาษทิชชู่ในกระเป๋าส่งให้ผมเช็ดให้ทันที

“เวร ของอาม่าชัวร์ เมื่อกี้จูบแก้มกูซะจ้วบใหญ่”

ไอ้อ้วนของผมบ่นพึมพำตอนผมบรรจงเช็ดลิปสติกสีแดงเข้มบนแก้มมันออกให้

“กูลืมนึกไป รู้งี้กูแอบถ่ายรูปลิปบนแก้มมึงแล้วส่งให้หนูแตงดีกว่า”

ผมพูดยิ้มๆ ไอ้อ้วนของผมด่าผมโขมงโฉงเฉงเหมือนวันเก่าๆ ผมโคตรมีความสุขเลยครับ คุณผู้อ่าน ในตอนนั้นผมรู้ซึ้งแล้วว่าผมไม่ต้องการอะไรจากซันซันทั้งนั้น แค่ขอให้ผมสามารถมีวันเวลาแบบนี้กับมันไปได้เรื่อยๆมก็พอ ต่อให้มันหมายถึงว่าผมต้องเห็นมันแต่งงานมีครอบครัวไปก็ตาม ผมตัดสินใจที่จะรักครอบครัวใหม่ของมันไปพร้อมๆ กับที่รักมัน และนั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำ



“งั้นเดี๋ยวผมกลับกับปรินซ์นะ คันนั้นเต็มแล้ว”

ซันซันตะโกนบอกคนที่บ้าน แล้วมุดตัวขึ้นนั่งบนเบาะหน้าของรถผม

“นั่งเบนซ์สบายๆ ไม่ชอบ จะมานั่งรถญี่ปุ่นเสียงดังๆ ทำไมวะ”

ผมบ่นเบาๆ ตอนนั้นผมขับรถอย่าง Subaru Impreza ที่เอาไปแต่งซิ่งมาเต็มที่ มันนั่งไม่สบายหรอกครับ เสียงเครื่องเสียงท่อก็ดัง แต่ซันซันก็ยังอยากมานั่งรถผมอยู่ดี ไอ้ข้ออ้างว่ารถเต็มของมันนั้นฟังไม่เข้าทีมากครับ ต่อให้มารับซันกันทั้งบ้านทั้งพ่อ แม่ อาม่า และน้องเจด แต่เบาะหลังรถเบนซ์เอสคลาสของบ้านมันก็นั่งสามคนได้สบายๆ อยู่แล้ว

“ก็กูอยากคุยกับมึงนี่หว่า ไม่ได้คุยแบบเจอตัวเป็นๆ กันตั้งนาน"

"เออๆ มะ มีอะไรจะคุยจะเม้ากับกูก็เม้ามา อะไรที่เล่าที่บ้านไม่ได้ มึงก็เล่ามาซะตอนนี้"

ผมพูดยิ้มๆ แล้วถอยรถออกจากซองจอด ไอ้อ้วนของผมก็เริ่มเล่านั่นนี่ให้ฟังไม่หยุดปาก ผมคุยกับมันพลางขับรถ ผมคิดถึงวันเวลาแบบนี้เหลือเกิน ต่อให้หลังๆ มาพวกเราคุยกันทุกวัน มันก็ไม่เหมือนกับการที่ได้คุยกันต่อหน้าแบบนี้

"เออ เสาร์อาทิตย์นี้มึงว่างไหมวะ?"

"อืมม์ ถ้าช่วงกลางวันก็ได้อยู่ ตอนเย็นกูต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านน่ะ"

"หืมม์? มึงยังติดเคอร์ฟิวอยู่เหรอวะ กูนึกว่าที่บ้านมึงเขายอมให้มึงออกบ้านแล้ว"

ซันซันขมวดคิ้ว ผมเล่าให้มันฟังทุกอย่างครับ

"ไม่ๆ ที่บ้านกูเขาปล่อยให้กูออกบ้านอิสระได้พักหนึ่งแล้ว แต่กูอยากทำแบบนี้ต่อเอง กูอยากให้เขาเห็นว่ากูเปลี่ยนไปแล้ว และจะไม่กลับไปเหลวแหลกแบบนั้นอีก"

ผมพูดอย่างหนักแน่น ผมพอกับชีวิตแบบนั้นแล้วครับ ตอนนี้ผมออกบ้านบ้างถ้าเจมันชวนช่วงสุดสัปดาห์ ผมจำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมาเละเทะอีก ส่วนเรื่องผู้หญิง เป็นศูนย์ครับ

"กูจะชวนมึงช่วงกลางวันนั่นแหละ กูว่าจะไปตระเวนดูโรงแรมที่จะใช้จัดงานแต่งหน่อย"

ผมอึ้งไปพักหนึ่งก่อนที่พยักหน้าตกลง ผมควรดีใจที่มันไว้ใจให้ผมช่วยเรื่องสำคัญแบบนี้



"เฮ้อ เลือกยากชิบ ที่นั่นก็ดี ที่นู่นก็ดี เอาที่ไหนดีวะ?"

ซันซันบ่นพึมพำ พวกผมนั่งทอดหุ่ยกันอยู่ในร้านเค้กของรีสอร์ทห้าดาวแห่งหนึ่งซึ่งโด่งดังเรื่องขนมมาการอง ผมยกโบรชัวร์ที่เซลล์สาวซึ่งนั่งคุยกับพวกเราจนถึงเมื่อครู่นี้ทิ้งไว้ให้ขึ้นมาดูอีกครั้ง

"ที่นี่ก็โอเคนี่มึง มีแห่ขันหมากกลางทุ่งนาด้วย ตอนคราวงานหมั้นมึงจัดแค่ในครอบครัว ไม่ได้มีแห่ขันหมากยกพานสินสอดอะไรพวกนี้ใช่ไหมล่ะ? มึงก็ค่อยมาจัดสวยๆ ตอนงานแต่งสิ ของที่นี่ถ่ายรูปมาสวยสุดแล้ว"

"อืมม์ มันก็ใช่ แต่ของที่นี่ห้องจัดเลี้ยงมันเล็กไปสิ บ้านกูกับบ้านแตงแขกเยอะทั้งคู่ ห้องจัดเลี้ยงของที่นี่มันจะไม่พอเอา"

ผมหัวเราะเบาๆ ทั้งสองบ้านนี้ต่างเป็นผู้กว้างขวางทั้งคู่ แขกของทั้งสองฝ่ายๆ รวมๆ กันไม่น่าจะต่ำกว่าห้าหกร้อยคน

"มึงก็จัดกลางสนามเลยสิ"

ผมพูดแซวมันเล่นๆ แต่มันทำท่าครุ่นคิดจริงจัง

"อืมม์ ก็น่าสนนะมึง แต่ถ้าฝนตกมันก็จะลำบากสิ เดือนกรกฎานี่มันกลางหน้าฝนเลยนะ"

"เฮ้ยๆ ใจเย็นๆ อย่าพึ่งคิดมาก คิ้วชนกันแล้ว ยังมีเวลาเลือกอีกหลายเดือน ค่อยๆ เลือกไป"

ผมตบหลังเพื่อนเบาๆ

"ว่าแต่ ทำไมต้องจัดเดือนกรกฎาวะ? ปกติกูเห็นคนเค้าแต่งกันต้นปีหรือปลายปี"

"อืมม์ แตงเขาจะเรียนจบกลับมาเดือนมิถุนาฯ น่ะ ทีนี้ที่บ้านกูเขาไม่อยากให้แตงต้องรอนานกว่านั้น คือ พวกกูก็อยู่กินกันมาปีกว่าแล้วใช่ไหมล่ะ? จะให้เขารออีกก็น่าเกลียด ก็เลยจะให้แต่งเลย ที่จริงที่บ้านกูเขาอยากให้แต่งตั้งแต่เดือนมีนาซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมเล็กของแตง แต่แตงเขาท้วงว่ามันปิดแค่สัปดาห์เดียว เขาคงทำอะไรไม่ทัน ก็เลยเลือกเป็นเดือนกรกฎาแทน"

ผมพยักหน้ารับคำ คอร์สที่คู่หมั้นของซันซันลงเรียนนั้นแบ่งออกเป็นปีละสี่เทอม โดยสามารถเริ่มเรียนในเทอมใดก็ได้ และเรียนต่อไปอีกแปดเทอมจึงจะจบการศึกษา



"แตงเขาจะมีเวลามาช่วยกูจัดงานก็ตอนปิดเทอมใหญ่ช่วงเดือนธันวาน่ะ ตอนนี้กูก็เลยต้องเตรียมข้อมูลไว้ให้เขาตัดสินใจอีกที"

"เออๆ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูช่วยมึงหาตัวเลือกไว้ให้เขาเอง เราก็ตัดๆ กันจนเหลือสักสองสามที่แล้วกันนะ"

"ได้ๆ งั้นเดี๋ยวเราจะไปดูที่ไหนต่อดี?"

ผมล้วงสมุดโน้ตเล่มเล็กที่ผมจดๆ ชื่อโรงแรมที่น่าสนใจมาดู

"เราไปที่โรงแรม S ที่ถนนช้างคลานไหม? ที่นี่ห้องบอลรูมใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่แล้ว จุได้พันกว่าคนเลยมั้ง จากนั้นก็ค่อยเลยไปดูที่โรงแรม E ที่นั่นมี Convention Center ที่สร้างสำหรับจัดงาน Event โดยเฉพาะ ที่นั่นเขาก็ว่าดีเหมือนกัน"

ซันซันหัวเราะ

"มึงนี่ข้อมูลปึ้กจริงๆ ว่ะ ทำการบ้านมาดีกว่าเจ้าบ่าวอย่างกูอีก นี่ถ้าถึงคราวมึงมั่งก็คงสบายเลยสิ ไม่ต้องมาหาข้อมูลเพิ่มแล้ว"

ไอ้อ้วนของผมพูดยิ้มๆ ผมหลบสายตาที่จ้องมาและเสทำเป็นมองสาวที่เดินผ่านข้างนอกจนซันซันต้องพูดซ้ำ

"โอ๊ย สำหรับกูน่ะอีกนาน เผลอๆ ลูกมึงจะได้แต่งก่อนกูอีกมั้ง"

ผมทำพูดติดตลก

"มึงก็ว่าไปนั่น นี่ยังไม่เจอใครถูกใจสักนิดเลยเหรอวะ?"

"เจอสิ..."

ผมพูด ซันซันทำตาโตรอฟัง ผมอยากบอกมันเหลือเกินว่าคนๆ นั้นนั่งอยู่ตรงหน้าของผมนี่เอง

"...เจอเพียบเลย ไปเที่ยวทีไรก็เจอมันคืนละสองสามคนจนเลือกไม่ถูกเลย"

"ห่านนี่ กูก็อุตส่าห์รอฟัง เอาแบบจริงๆ จังๆ สิวะ คนที่มึงอยากแต่งงานใช้ชีวิตด้วย ไม่ใช่คนที่อยาก เอ่อ อยากเอา"

 ซันซันลดเสียงลงเบาจนเป็นเสียงกระซิบ ผมหัวเราะพลางโคลงหัวปฏิเสธ

"ยังไม่เจอว่ะ และยังไม่คิดหาด้วย มึงไม่ต้องรอมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของกูหรอก"

ผมยิ้มกริ่มและส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้เพื่อนตี๋อ้วนของผม

"แต่ถ้ามึงมีลูกสาวก็ไม่แน่นะ กูอาจจะยกขันหมากไปขอก็ได้"

ซันซันว๊ากผมลั่นเลยครับ มันบอกว่ามันไม่มีวันยกลูกสาวให้เพลย์บอยตัวพ่ออย่างผมเป็นอันขาด พวกเราคุยเล่นกันอีกพักหนึ่งแล้วจึงย้ายไปดูโรงแรมอื่น



ช่วงเกือบสองเดือนก่อนที่ว่าที่เจ้าสาวของซันซันจะกลับมา พวกผมก็ใช้ชีวิตกันเหมือนเมื่อวันวาน พวกผมกลับมาตัวติดกันอีกครั้ง พอกลับจากเฝ้าร้าน บางวันผมก็ไปกินข้าวบ้านมัน บางวันมันก็กินข้าวบ้านผม ยามค่ำบางครั้งซันซันก็จะแวะเวียนมาห้องผมเพื่อเล่นเกมหรือพูดคุยกัน นอกเหนือจากนั้น พวกเราก็ได้ไปตระเวนดูโรงแรม จากนั้นก็ไปติดต่อคุยกับออกาไนเซอร์หลายๆ เจ้า รวมถึงเลือกชุดแต่งงาน บางวันก็มีเจซึ่งตอนนี้ออกจากงานโรงแรมมาทำงานฟรีแลนซ์มาช่วยเลือกด้วย

"แม่ง ฮาชิบเลยว่ะ ออกาไนเซอร์เจ้าเมื่อกี้เขาคิดว่าเป็นงานแต่งมึงสองคนเหรอวะ?"

ไอ้เจนั่งหัวเราะคิกคักแซวพวกผม ซันซันทำหน้ามุ่ย

"เออ สิ คุยกันเป็นวรรคเป็นเวร สุดท้ายเอาแบบชุดผู้ชายมาให้เลือกอย่างเดียวซะงั้น ไอ้นี่ก็พาซื่อ เลือกด้วยซะเสร็จสรรพ"

ไอ้อ้วนของผมหันมาบ่นและชกแขนผมเบาๆ

"เอ๋า ก็กูนึกว่าเขาให้เลือกชุดเพื่อนเจ้าบ่าวด้วย กูจะรู้ไหมว่ามันสำหรับเจ้าบ่าวสองคน ใครจะไปรู้ว่าออกาไนเซอร์สมัยนี้ก็รับจัดงานแต่งเกย์ด้วย"

ผมพูดยิ้มๆ ไอ้อ้วนของผมบ่นอุบอิบว่าอย่างมันดูยังไงก็ไม่ใช่เกย์ อ้าวๆ คุณผู้อ่านครับ คุณอย่ามามองว่าผมซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบที่ซันซันมองสิครับ ผมรู้หรอกน่าว่าร้านเขาเข้าใจผิด ผมก็แค่อยากแกล้งเพื่อนรักของผมเล่นแค่นั้น



"เออ เป็นกู กูก็นึกว่าพวกมึงสองคนจะแต่งงานกัน ปกติเรื่องแบบนี้ต้องเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาติดต่อพร้อมกันสิวะ"

พูดดีมากไอ้เจ ผมงี้แทบยกนิ้วโป้งให้มัน ซันซันทำหน้าเบ้

"ไม่ไหวว่ะ กูนึกภาพกูกับไอ้ปรินซ์ไม่ออก..."

ไอ้อ้วนของผมทำท่าครุ่นคิด แล้วก็ทำกายสะท้านขึ้นมา

"บรื๋อ นึกแล้วขนลุกว้อย ใช่ไหมมึง?"

ผมยิ้มน้อยๆ แล้วเสชวนคุยไปเรื่องอื่นต่อ

"แล้วแตงจะมาเมื่อไหร่นะ? สัปดาห์หน้าหรือเปล่า? มึงจะไปรับไหม? กูขับรถไปส่งได้นะ"

ซันซันยกมือปฏิเสธ

"เขาจะบินตรงจากกรุงเทพฯ เข้าเชียงรายเลยน่ะ พ่อแตงเขาจะไปรับเอง เขาคงอยู่บ้านสักพักแล้วค่อยมาเชียงใหม่"

"อ้าว แล้วมึงจะไม่ไปหาเขาเหรอวะ?"

เจถามด้วยความสงสัย ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ

"กูก็อาจจะแวะไปหาเขาที่บ้านหน่อยน่ะ แต่รอให้เขาหายเหนื่อยจากการเดินทางก่อน เห็นช่วงนี้บ่นว่าไม่ค่อยสบายด้วย"

ซันซันพูดด้วยใบหน้าเป็นกังวล

"งั้นมึงก็ยิ่งต้องเตรียมเรื่องงานแต่งให้พร้อมว่ะ ไอ้ซัน แตงเขาจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยคอยวิ่งติดต่อด้วย"



"งั้นเราไปแวะไหนต่อดี? โรงแรมที่ไอ้ครีมมันทำงานอยู่ดีมะ?"

ผมเสนอขึ้น ครีมเพื่อนสาวหนึ่งเดียวในก๊วนของผมเพิ่งได้งานใหม่ในโรงแรมของเพื่อนพี่นพซึ่งเพิ่งจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งไปเมื่อกว่าสองสัปดาห์ที่แล้ว ไอ้เจทำหน้าบูดทันทีที่ผมพูดถึงโรงแรมดีไซน์เก๋ใจกลางเมืองแห่งนั้น

"ฮึ พวกมึงไปกันเองแล้วกันนะ กูไม่ไปอ่ะ"

"อ้าว ทำไมอ่ะ ไปด้วยกันสิ จะได้เจอไอ้ครีมด้วย ตั้งแต่กลับมากูยังไม่เจอมันเลย"

"ไม่ไป! เหม็นความรัก!"

เจทำจมูกย่นพร้อมพูดกระแทกเสียงหนักๆ ผมหัวเราะก๊ากออกมาทันทีที่นึกได้ ซันซันทำหน้างงจนกระทั่งผมหันไปเล่าให้มันฟังเรื่องที่พี่กัญจน์เจ้าของโรงแรมกับไอ้ครีมเริ่มคบหากัน ก็ที่ไอ้เจเคยเล่าให้ป๋าฆาบี้กับพวกคุณฟังนั่นแหละครับ

"ไปด้วยกันนี่แหละ ไอ้เจ กูรู้หรอกว่ามึงทำเป็นพูดไปงั้น"

ซันซันลุกขึ้นพร้อมกับดึงไอ้ตัวแสบให้ลุกขึ้นตาม เจมันก็ทำสะบัดสะบิ้งพองามแล้วก็เดินต้อยๆ ตามพวกผมขึ้นรถไป ผมรู้หรอกครับว่าใจจริงแล้วไอ้ตัวดีมันรู้สึกดีใจที่เห็นคนที่มันเคยชอบมีความสุข มันก็เหมือนผมที่ดีใจเมื่อเห็นไอ้ซันมีความสุขนั่นแหละครับ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.5 (ต่อ) ----




"เดี๋ยวนะ ซันซันเคยแต่งงานงั้นเหรอ? แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยเจอแฟนเขาเลยล่ะ? แถมเท่าที่ฟังเจเล่ามา ซันซันคนนั้นดูเหมือนเป็นคนละคนกับที่ฉันเคยเจอเลยนะ"

ฆาเบียร์ถามด้วยความสับสน ซันซันที่เขารู้จักนั้นขี้เมาแถมยังบ้าผู้หญิงอีกต่างหาก หนุ่มตี๋อ้วนลูกร้านเพชรมักทำท่ากะหลิ่มกะเหลี่ยสาวๆ ที่เขาเจอในผับ ไม่ได้มีทีท่าเขินอายหรือเรียบร้อยเหมือนที่เจเล่าให้เขาฟังเลย

"ผมบอกว่าซันซัน 'จะ' แต่งงาน ไม่ได้บอกว่าแต่งนะครับ และที่นิสัยมันเปลี่ยนไปนั้นก็เพราะเรื่องนี้แหละครับ"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

"พอแฟนซันซันกลับมา มันก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นครับ..."





ก็ตามที่เจมันว่าครับ เรื่องวุ่นวายที่ว่าเกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่งของเดือนธันวาคม ไม่กี่วันหลังจากที่แตงกลับถึงบ้านที่เชียงรายครับ

"ครับ แม่ เดี๋ยวผมจะรีบกลับเข้าไปครับ"

ซันซันกดตัดสายด้วยสีหน้าหนักใจ

"มีอะไรวะ? "

ผมที่กำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากเงยหน้าขึ้นมาถาม พวกผมพักเบรคจากการเฝ้าร้านและออกมากินข้าวเที่ยงกัน

"แม่กูบอกว่าที่บ้านแตงโทรมาคุยด้วย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียสแล้วไม่อยากคุยให้ฟังทางโทรศัพท์ อยากให้กูรีบกลับบ้านมาคุยกัน"

ไอ้อ้วนของผมมีท่าทางกระวนกระวาย ผมก็เลยพาลกินข้าวไม่ลงไปด้วย

"งั้นเรากลับเข้าไปเลยเถอะ เดี๋ยวกูไปอยู่เป็นเพื่อนมึงด้วย"

ซันซันพยักหน้าและสั่งคิดเงิน

"กูแค่สงสัยว่าทำไมแตงเขาไม่โทรมาคุยกับกูเองวะ ทำไมต้องให้ที่บ้านโทรมา แล้วมันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย"

ไอ้อ้วนของผมนั่งกุมขมับ ผมเอื้อมมือไปตบไหล่มันเบาๆ

"ใจเย็นๆ มึง มันอาจจะไม่ร้ายแรงเท่าที่คิดก็ได้"



ผมรีบขับรถพามันกลับไปที่ร้าน เมื่อไปถึง ซันซันก็รีบเดินเข้าไปในร้าน ผมจอดรถแล้วรีบเดินตามเข้าไป ผมได้ยินเสียงโห่เฮแสดงความดีใจของคนหลายๆ คน เมื่อเข้าไปถึงห้องหลังร้าน ผมก็เห็นซันซันถูกญาติผู้ใหญ่รุมสวมกอดอยู่

"ปรินซ์ มาก็ดี มายินดีกับซันมันหน่อยสิ"

อาม่าของซันซันกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา

"เพื่อนเราจะเป็นพ่อคนแล้วนะ ร้ายกาจจริงๆ ไอ้ลูกชาย"

พ่อของซันหันมาบอกผมพร้อมตบไหล่ซันซันที่ยังยืนงงอยู่ดังป้าบ

"ที่บ้านของแตงโทรมาจ้ะ บอกว่าเขาอยากให้เลื่อนงานแต่งเข้ามาเป็นสักเดือนมีนาหรือก่อนหน้านั้น เพราะว่าแตงเขาท้องแล้ว"

ผมอ้าปากค้างพร้อมหันไปมองหน้าเพื่อนรัก ซันซันยังคงมีทีท่างงงวยอยู่ ผมปรี่เข้าไปกอดมันเพื่อแสดงความยินดีด้วย มันกอดตอบผมแน่น ผมหันไปถามรายละเอียดก็ได้ความว่าหลังจากแตงมาถึงบ้านได้สองสามวัน แม่ของแตงก็สังเกตเห็นอาการผิดปกติของลูกสาว แตงดูอ่อนเพลียและวิงเวียนศีรษะตลอดเวลา แถมยังมีการอาเจียนบ้าง เช้าวันนี้แม่ของแตงจึงได้หาชุดตรวจการตั้งครรภ์มาให้ลูกสาวลองตรวจดู

"ผลปรากฎว่ามีน้องแล้วจ้ะ ดีนะที่เราหมั้นหมายกันไว้ก่อนแล้ว ทางบ้านเขาจะได้สบายใจว่าซันซันจะไม่เบี้ยวงานแต่งแน่นอน นี่เห็นเค้าว่าเย็นนี้ไม่ก็พรุ่งนี้จะพาหนูแตงไปฝากท้องไว้ก่อน แม่ก็เลยบอกไปว่าพรุ่งนี้พวกเราจะไปเชียงรายกันเพื่อไปคุยเรื่องงานแต่งกับบ้านของแตงด้วย"

แม่ของซันซันยิ้มให้ผมและลูกชาย ส่วนคนที่หน้าบานที่สุดก็คงไม่แคล้วเป็นอาม่าของซันซัน

"ดีแล้วๆ อาม่าเองก็อยากอุ้มเหลนเต็มแก่แล้ว จริงๆ ถ้าทันแต่งเดือนมกราเลยก็ได้"

พ่อกับแม่ซันซันท้วงขึ้นทันทีว่าน่าจะจัดงานไม่ทัน และควรมีเวลาเตรียมงานเพื่อให้งานออกมาสมเกียรติเจ้าสาว



ตลอดเวลาที่ผู้ใหญ่คุยปรึกษากันเรื่องงานแต่ง ไอ้อ้วนของผมกลับนิ่งเงียบ มันพยักหน้ารับคำและตอบคำถามที่พ่อแม่ถามมาเพียงสั้นๆ เท่านั้น

"มึงเป็นอะไรวะ ไอ้ซัน มีอะไร?"

ผมถามขึ้น หลังจากพูดคุยปรึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงกำหนดการแต่งงานเสร็จ ซันซันก็ขอตัวขึ้นไปพักบนห้องนอนเดิมของมันซึ่งตอนนี้เก็บไว้เป็นห้องทำงานและพักผ่อนส่วนตัว ไอ้อ้วนของผมไม่ตอบคำถาม แต่กลับทรุดแปะลงบนเตียงเดย์เบ้ด

"เฮ้ย ไอ้ซัน มึง เป็นอะไร?"

ผมรีบปรี่เข้าไปหาเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลพร่างพรูออกจากดวงตาของเพื่อนรัก

"ลูก ลูกของแตง..."

ซันซันพูดพลางสะอื้นอย่างแรง ผมรีบนั่งลงเคียงข้างมันและโอบไหล่มันให้เข้ามาอิงซบร่าง ซันซันซบหน้าลงแล้วปล่อยโฮออกมา มันพูดหลายๆ อย่างออกมาแต่ฟังไม่ได้ศัพท์เลย ผมพยายามเงี่ยหูฟัง และสิ่งที่ผมได้ยินทำให้ผมตัวชา

"...ไม่ใช่ลูกกู ไม่ใช่"

ผมกอดรัดร่างเพื่อนของผมไว้แน่นและปล่อยให้มันระบายความรู้สึกออกมาจนพอใจ หลังจากร้องไห้อยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายซันซันก็สงบลง



"มึงกินน้ำก่อน"

ผมส่งแก้วน้ำเย็นในมือให้เพื่อนรัก ซันซันรับมาถือไว้อย่างใจลอย ผมต้องเตือนมันซ้ำ มันถึงยกขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ผมลงนั่งเคียงข้างมันอีกครั้ง

"กูทำตามที่มึงสอนตลอดเลยนะไอ้ปรินซ์ รู้ไหม?"

ซันซันพูดด้วยท่าทีเหม่อลอย

"...ที่ว่าให้คุมน่ะ กูคุมทุกครั้ง กูใส่ถุงยางทุกครั้งที่มีอะไรกัน ไม่เคยขาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว"

ซันซันหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มเศร้าๆ ผมใจหายวาบ ในเมื่อมันยืนยันเช่นนี้ แล้วแตงท้องได้อย่างไร

"แล้วก่อนกูกลับไทย เราไม่ได้มีอะไรกันมาเกือบสี่เดือนแล้วเพราะกูมัวแต่ยุ่งเรื่องฝึกงาน เขาเองก็ยุ่งกับการทำงานส่ง เราแทบไม่ได้เข้านอนเวลาเดียวกันด้วยซ้ำ"

"แล้วนั่นลูกใครวะ?"

ผมหลุดปากออกมาเบาๆ ถ้าเป็นอย่างที่ซันซันว่า ถ้าเป็นลูกมันจริง แตงก็ควรท้องไม่ต่ำกว่าห้าหกเดือนแล้ว ไอ้อ้วนของผมยิ้มหยัน

"กูก็อยากรู้เหมือนกัน ไอ้ปรินซ์ กูก็อยากรู้เหมือนกัน..."

ซันซันพูดด้วยน้ำเสียงรวดร้าวแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมดึงมันเข้าไปกอดแน่นอีกครั้ง



"มึงต้องบอกพ่อแม่มึงนะ ไอ้ซัน มึงปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้"

ผมจับไหล่ของเพื่อนเขย่า

"แล้วจะให้กูบอกว่าอะไรวะ? บอกว่าว่าที่ลูกสะใภ้คนดีของพ่อกับแม่ท้องกับใครก็ไม่รู้งี้เหรอ? กูทำไม่ลงว่ะ ปรินซ์"

"เฮ้ย นี่หมายความว่ามึงจะยังยอมแต่งงานกับแตงทั้งๆ ที่รู้ว่าลูกในท้องมันเป็นของคนอื่นเหรอวะ?"

ผมเอ็ดมันเบาๆ

"ก็ถ้าแตงเขายืนยันว่าเป็นลูกกู มึงจะให้กูค้านหัวชนฝาเหรอวะ? แล้วผู้ใหญ่เขาจะเชื่อกูเหรอ?"

ซันซันขึ้นเสียงกับผมดังลั่นจนผมต้องรีบจุ๊ปากให้มันเงียบเสียงลง

"ถ้าแตงเขาบอกที่บ้านเขาว่าเป็นลูกกู เขาก็คงมีเหตุผลของเขา เขาอาจจะไม่มีทางออกอื่นแล้วจริงๆ ก็ได้"

ไอ้อ้วนของผมลดเสียงลง ผมอยากจะจับมันเขย่าคอจริงๆ ครับ พวกผมทั้งคู่นั่งจมอยู่ในความคิดของตัวเองเงียบๆ จนกระทั่งซันซันส่งเสียงขึ้น



"กูขอล่ะ ปรินซ์ อย่าบอกที่บ้านกูเรื่องนี้จะได้ไหม?"

ผมหันไปสบตามันนิ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่และพยักหน้ารับคำ ในเมื่อเป็นความต้องการของมัน ผมก็พร้อมจะทำตาม

"กูขออีกอย่างได้ไหม?"

ซันซันพูดเสียงเครือ ผมเลิกคิ้วถาม

"คืนนี้ กูขอไปค้างบ้านมึงหน่อย กูไม่อยากอยู่คนเดียวให้ฟุ้งซ่าน แล้วก็ยังไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ด้วย กูกลัวกูอดไปร้องไห้ให้เขาเห็นไม่ได้"

แน่นอนว่าผมต้องยอมให้มันมาอยู่แล้วครับ ผมบอกที่บ้านซันซันว่าผมขอยืมตัวมันไปฉลองเรื่องลูก แต่ก็สัญญาว่าจะให้มันกลับบ้านไปตอนเช้าเพื่อให้ทันออกเดินทางไปเชียงราย



"ไอ้ซัน พอแล้ว มึงดื่มเยอะไปแล้ว"

ผมแย่งแก้วเหล้าออกมาจากมือซันซัน มันดื่มแบล็คเข้าไปคนเดียวกว่าครึ่งขวดแล้วครับและยังไม่มีทีท่าจะหยุด

"ไอ้ปรินซ์ แบบนี้ไม่ไหวแน่ว่ะ กูว่ามึงหาทางพามันกลับบ้านเถอะ"

เจซึ่งมานั่งกับผมด้วยพูดขึ้นด้วยความไม่สบายใจ ผมแอบกระซิบเรื่องนี้ให้มันฟังก่อนหน้านี้แล้ว มันถึงขั้นยอมทิ้งสาวมานั่งเฝ้าไอ้ซันกับผมด้วย

"ให้กูไปกับมึงด้วยเอาไหม?"

"ไม่เป็นไร กูไหวอยู่ว่ะ..."

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจตบไหล่ผมเบาๆ เพื่อปลอบใจ ซันซันฟุบไปแล้วครับ ผมคงต้องพามันกลับเสียที

"...งั้นเดี๋ยวพวกกูกลับก่อนนะ ไว้จะคอยอัพเดทเรื่องราวให้มึงฟังเรื่อยๆ แล้วกัน"

ผมพูดพลางพยายามประคองร่างอวบของซันซันที่คอพับคออ่อนไปมาขึ้น เจเข้าช่วยประคอง

"เฮ้อ ไม่น่าเชื่อเลยว่าแตงจะเป็นแบบนี้ ดูเรียบร้อยหงิมๆ แท้ๆ "

เจพูดออกมาเบาๆ

"แตง หนูแตงของกู ทำไมล่ะ แตง ทำไมทำกับซันแบบนี้"

ซันซันคร่ำครวญออกมาอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อคู่หมั้น ผมหันไปตบกะโหลกไอ้เจป้าบใหญ่ ไอ้ตัวดีทำหน้ายู่ยี่แล้วลูบหัวตัวเองเบาๆ

"ปรินซ์ มึงดูมันดีๆ นะ ช่วงนี้อย่าปล่อยมันให้อยู่คนเดียว กูเห็นมันเป็นงี้แล้วไม่สบายใจเลยว่ะ"

เจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมพยักหน้ารับคำก่อนที่จะโบกมืออำลามันไป



"แตง ซันรักแตงนะ รักจริงๆ อย่าทิ้งซันนะ อย่าทิ้ง..."

ไอ้อ้วนของผมพึมพำออกมาทั้งที่หลับตา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมพามันเข้าบ้านผมอย่างทุลักทุเล จากนั้นเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ เปลี่ยนเป็นชุดนอนและปล่อยให้มันหลับไป ผมปิดไฟแล้วขึ้นไปนอนเคียงข้างมัน ไม่นานนักไอ้อ้วนของผมก็พลิกกายมากอดผมแน่น ใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของมันซุกเข้าที่อกของผม ผมยังรู้สึกถึงแรงสะอื้นทั้งๆ ที่มันหลับไปแล้ว ผมอดน้ำตาไหลออกมาไม่ได้ ผมอยากช่วยแบกรับความทุกข์ของมันจริงๆ แต่ผมรู้ดีว่าไม่มีใครจะสามารถช่วยมันจัดการกับความรู้สึกนี้ได้ ตัวมันต้องหาทางก้าวข้ามความเจ็บปวดนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง

"ไม่ต้องห่วงนะ ซันซัน ยังไงกูก็จะไม่ทิ้งมึงไปไหน กูจะอยู่กับมึงตรงนี้ เข้มแข็งไว้นะ"

ผมกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูมันและหวังว่ามันจะได้รับรู้ ผมกอดร่างอวบของมันไว้แนบอกและเข้าสู่ห้วงนิทรา



"ซันซัน!"

ผมลุกพรวดขึ้นเมื่อพลิกกายไปด้านข้างแล้วพบแต่ความว่างเปล่า ผมรีบร้องหาเพื่อนรักแล้วก็ต้องระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากในห้องน้ำ ไม่นานนักซันซันก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าผ่องใส

"แม่กูโทรมาบอกว่าเดี๋ยวบ้านแตงเขาจะมาหาที่เชียงใหม่ แม่บอกว่าให้รีบอาบน้ำแต่งตัว จะได้ไปเจอกัน"

มันพูดด้วยท่าทีที่ร่าเริงขึ้น ผมดึงมือมันมาให้นั่งลงบนเตียง

"แล้วมึงโอเคแล้วเหรอวะ?"

ซันซันพยักหน้าเบาๆ

"อืมม์ กูโอเคแล้ว..."

มันยิ้มให้ผม

"กูตัดสินใจแล้วว่ะ ไม่ว่าเด็กในท้องจะเป็นลูกใคร กูก็จะรับเป็นลูกของตัวเอง..."

"ไอ้ซัน แต่..."

ผมพยายามจะทักท้วง แต่มันยกมือห้ามไว้

"ฟังก่อน...มึงอาจจะคิดว่ากูโง่ที่ทำแบบนี้ แต่กูรักแตงนะปรินซ์ ต่อให้เราจะทะเลาะกันบ้าง หรือมีบางอย่างที่เข้ากันไม่ได้บ้าง แต่กูก็รักเขามากและพร้อมจะทำทุกอย่างให้ชีวิตคู่ของเรามันเวิร์ค..."

มันถอนหายใจน้อยๆ และจ้องตาผม ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นแววตาจริงจังของมัน

"กูเชื่อว่าแตงเขารักกู แล้วนั่นก็อาจจะเป็นความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว ไม่งั้นเขาคงไม่กลับมาหากูที่ไทยหรอกใช่ไหม?"

ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน

"มึงว่าไง กูก็ว่างั้นว่ะ งั้นรอกูแป๊บนึง เดี๋ยวกูจะเดินไปส่งมึงที่บ้าน"

ผมรีบอาบน้ำอาบท่า จากนั้นพาไอ้อ้วนของผมเดินกลับไปยังบ้านของมัน



ซันซันบอกลาผมที่ต้องไปอยู่เฝ้าร้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากบ่ายวันนั้น ม่ะม๊าของผมก็มาตามผมและบอกให้รีบไปที่โรงพยาบาล

"ซันซันล้มไป ลูกรีบไปเร็ว"

ผมถามรายละเอียดจากแม่แล้วรีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปยังโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังของเชียงใหม่ด้วยใจร้อนรน ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนรักของผม

"ซันซันเป็นอะไรไปครับ?”

ผมถามขึ้นหลังจากยกมือไหว้พ่อแม่ของซันซันที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทั้งสองคนดูมีสีหน้าลำบากใจและไม่อยากตอบอะไร แต่สุดท้ายน้องเจด น้องสาวของซันซันก็โพล่งตอบออกมา

"บ้านยัยพี่แตงมาขอยกเลิกงานแต่งค่ะ เฮียปรินซ์"

ผมใจหายวาบ ผมนึกไปถึงใบหน้าเปี่ยมสุขของมันเมื่อเช้านี้ ไอ้อ้วนของผมจะรู้สึกอย่างไรกันนะ พ่อของซันซันถอนหายใจเฮือกใหญ่และเล่าเรื่องราวให้ฟัง



บ้านของแตงติดต่อบ้านของซันซันมาในตอนเช้าโดยบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา แต่พวกเขาจะเป็นฝ่ายมาพบซันซันเองที่บ้าน

"พอมาถึง อาก็เห็นได้จากสีหน้าของลุงเปรมเขาแล้วล่ะว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ แตงเองก็ตาบวมเหมือนผ่านการร้องไห้หนักมา..."


ครอบครัวของแตงนำของหมั้นมาคืนพร้อมกับคำขอโทษอย่างสุดซึ้ง พ่อของแตงพูดด้วยความเจ็บช้ำว่าเมื่อวานพวกเขาพาลูกสาวไปฝากท้องแต่ก็ต้องใจแทบขาดรอนๆ เมื่อรู้ว่าอายุครรภ์ของลูกสาวนั้นเพียงแค่หกสัปดาห์เท่านั้น หากซันซันกลับมาไทยได้เกือบสองเดือนแล้ว เมื่อคาดคั้นหนักๆ เข้า แตงก็ยอมสารภาพว่าลูกในท้องของตัวเองนั้นไม่ใช่ลูกของซันซัน

"เปรมเขาบอกว่าเขาจะไม่ยอมให้ซันต้องมารับผิดชอบกับความผิดพลาดของลูกสาวเขา"

พ่อของซันเล่าต่อว่าในตอนนั้นซันซันยังยืนกรานที่จะขอรับเด็กในท้องไว้เป็นลูกของตัวเองครับ มันบอกว่ามันรักแตงและพร้อมที่จะให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอดีตไป

"ซันรักแตงนะ เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ปล่อยให้มันแล้วกันไป เรามาสร้างครอบครัวด้วยกันเถอะ ซันจะรักลูกของแตงเหมือนลูกของตัวเอง"

ไอ้อ้วนของผมพูดประมาณนั้นครับ แต่แตงก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่ตอบอะไร

"พวกอาก็ไม่รู้จะพูดยังไง เอาจริงๆ นะ เจอแบบนี้อาก็อยากยกเลิกงานแต่งแล้วล่ะ แต่ซันซันเขาพูดมาแบบนี้ อาก็พูดไม่ออก"

พ่อของซันถอนหายใจเฮือก แต่สุดท้ายแตงก็เปิดปากพูด



"แตงขอโทษจริงๆ ซันซัน แตงขอโทษที่เรื่องนี้มันเกิดขึ้น แต่จะให้แตงแต่งงานกับซันซัน แตงก็ทำไม่ได้..."

ซันซันตะลึงงัน คู่หมั้นของซันซันกำมือแน่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเพื่อนรักของผม

"...เพราะแตงไม่ได้รักซันแล้ว ตอนนี้แตงรักคนอื่น"

เท่านั้นแหละครับ ไอ้อ้วนของผมก็หมดสติล้มตึงไป ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความอลหม่าน ครอบครัวของซันซันขอให้เปรมรีบพาลูกสาวกลับไป ส่วนน้องสาวของซันก็รีบพาซันส่งโรงพยาบาล

"หนูโคตรอยากตบยัยพี่แตงเลยอ่ะ เฮียปรินซ์ ถ้าไม่ติดว่าพ่อเขาเป็นเพื่อนพ่อนะ หนูจัดการแน่"

เจด น้องสาวของซันซันกระซิบกับผมอย่างเจ็บแค้น ผมอยากจะบอกน้องเขาจริงๆ ว่าให้เข้าแถวต่อจากผมมาได้เลย ถ้าผมอยู่ในเหตุการณ์ในตอนนั้นผมคงต้องติดคุกข้อหาทำร้ายร่างกายแน่ๆ ครับ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.5 (ต่อ) ----




หลังจากได้สติและให้หมอประเมินอาการอยู่หลายชั่วโมง ไอ้อ้วนของผมก็ถูกปล่อยตัวกลับบ้าน ผมขอมาอยู่กับมันเพื่อคอยเฝ้าดูไม่ให้มันทำอะไรบ้าๆ แต่หลังจากผ่านไปสองสามวัน ซันซันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำอะไร มันกลับดูเยือกเย็นและเหมือนจะรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ทุกคนจึงได้เบาใจขึ้น

แต่พายุยังไม่สงบลงง่ายๆ หรอกครับ เมื่อเวลาผ่านไปสามวัน ซันซันก็โทรมาเรียกผมที่บ้านตั้งแต่เช้า

“มึง เดี๋ยวส่งกูไปข้างนอกหน่อยสิ”

ตอนนั้นซันซันไม่มีรถใช้ครับ มินิคันเก่าของมัน มันก็เอาให้น้องสาวไปใช้ตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้วแล้ว ตอนกลับมาใหม่ๆ อาม่าว่าจะซื้อรถใหม่ให้มัน แต่มันก็ยังเลือกมาก ตัดสินใจไม่ได้ ผมเลยอาสาเป็นสารถีให้มันไปก่อน วันนี้ก็เช่นกันครับ

“ได้ดิ มึงจะไปไหนอ่ะ เดี๋ยวขอกูอาบน้ำก่อน”

ซันซันไม่ตอบแต่บอกให้ผมรีบๆ เข้า ผมจัดการตัวเองเสร็จแล้วก็ลงมาชั้นล่าง

“อ้าว มารอเลยเหรอ ใจร้อนจริงนะมึง”

ผมกระเซ้าไอ้อ้วนของผมที่มานั่งรออยู่ในบ้านแล้ว มันไม่พูดอะไรแต่รีบลุกขึ้นเดินไปที่รถของผม

“แล้วเราจะไปไหนกันวะ?”

“สตาร์บัคส์นิมมานฯ”

ซันซันพูดสั้นๆ และเหม่อมองออกนอกกระจกรถ

“ไม่ไปสาขาเซ็นเฟสล่ะ ใกล้บ้านกว่าตั้งเยอะ กูอยากไปลองของใหม่ด้วย”

ในตอนนั้นห้างเซ็นทรัล เฟสติวัลสาขาเชียงใหม่เพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการได้ไม่ถึงเดือนครับ แต่ไอ้อ้วนของผมส่ายหัวและบอกว่าจะไปสาขานิมมานเหมินท์เท่านั้น

“งั้นเดี๋ยวกูโทรเรียกไอ้เจออกมาด้วย มันน่าจะอยู่ที่คอนโด”

ผมทำท่าจะหยิบหูฟังบลูทูธขึ้นมาเสียบหูแต่ซันซันคว้าข้อมือผมไว้

“ไม่ ปรินซ์ อย่าเรียกมันมา”

ผมชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงเว้าวอนจากเพื่อนรัก

“แค่มึงกับกู สองคน”

ผมพยักหน้าตอบรับ ซันซันปล่อยมือและหันหน้าออกนอกหน้าต่างอีก พวกเรานั่งเงียบกันแบบนี้จนถึงจุดหมายปลายทาง ผมเริ่มรู้สึกเสียใจแล้วว่าผมไม่น่ายอมพามันออกบ้านมาเลย



หลังจากสั่งกาแฟอะไรแล้ว ซันซันเดินนำผมขึ้นไปยังชั้นสองของร้าน มันเลือกโต๊ะที่มีสี่ที่นั่ง จากนั้นลงนั่งข้างผมโดยหันหน้าออกไปทางบันได ผมพอเดาได้แล้วว่าซันซันคงมาเพื่อพบใครบางคน และไม่นานเกินรอ คนๆ นั้นก็มา เป็นแตงตามที่ผมคาดจริงๆ แต่เธอไม่ได้มาคนเดียว ด้านหลังเธอมีชายหนุ่มต่างชาติตัวสูงใหญ่เดินตามมาด้วย ซันซันพยายามทำท่าทางเยือกเย็น แต่ผมเห็นได้จากม่านตาที่เบิกขยายและมือที่กำแน่นจนข้อนิ้วขาวว่าไอ้อ้วนของผมจวนสติแตกแล้ว

“So it was you all along, Nick?”

ซันซันถามชายหนุ่มซึ่งหน้าตาดูเป็นลูกครึ่งเอเชียกับตะวันตกคนนั้น มันได้แต่อ้ำอึ้ง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ายอมรับเงียบๆ ผมหันขวับไปหาแตงทันที มันกล้าดีพาชู้มาถึงเชียงใหม่และกล้าพามาหาซันซันของผมด้วย ทั้งสองคนนั้นหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นสายตาเย็นเยียบของผม

“แตง เธอนี่มัน…”

ผมอดรนทนไม่ได้จนต้องลุกพรวดและโวยออกมา แต่ซันซันยกมือขึ้นแตะแขนของผม

“อย่า ปรินซ์ กูขอคุยเอง”

น้ำเสียงของมันสงบเยือกเย็นจนผมอดขนลุกไม่ได้ ผมกระแทกตัวลงนั่งกอดอกและจ้องมองทั้งคู่ไม่วางตา



“นานแค่ไหนแล้ว?”

“…เดือน”

แตงก้มหน้าและพึมพำออกมาเบาๆ

“ซันไม่ได้ยินครับ ตอบออกมาชัดๆ กว่านี้ซิ”

ซันซันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แตงสูดหายใจเข้าและเงยหน้าขึ้นพูดด้วยเสียงดังฟังชัด

“เจ็ดเดือนแล้ว ซันซัน แตงกับนิคคบกันได้เจ็ดเดือนแล้ว”

ผมขบกรามแน่น แต่ในเมื่อซันซันเองยังมีทีท่าสงบนิ่ง ผมในฐานะคนนอกก็ได้แต่ดูอยู่เงียบๆ จากที่ฟังในวันนั้นและจากข้อมูลที่ได้มาทีหลัง นิค หนุ่มลูกครึ่งออสเตรเลีย อินโดนีเซียคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนป.โทกับแตง ทั้งคู่คบหากันในฐานะเพื่อนก่อน แต่ความใกล้ชิดทำให้อะไรๆ มันเลยเถิด

“ทีแรกตอนก่อนกลับไทยรอบนี้ แตงตัดสินใจเลิกกับเขาแล้ว และตัดสินใจจะไม่เก็บเด็กไว้”

ซันซันตาลุกวาว เช่นเดียวกับผมที่แทบหยุดหายใจ แตงรู้ตัวว่าท้องตั้งแต่ก่อนกลับมาแล้ว

“แตงตั้งใจจะกลับมาแอบทำแท้งที่บ้าน แต่แตงทำไม่ลง แตงฆ่าลูกไม่ลงจริงๆ”

แตงซบหน้าลงร้องไห้กับโต๊ะโดยมีคนรักใหม่ของเธอคอยโอ้โลมปฏิโลม ผมมองภาพนั้นด้วยความขัดเคือง พวกมันไม่นึกถึงใจไอ้อ้วนของผมเลยสักนิด แตงสะอื้นและเล่าต่อว่าพอกลับมาได้สองสามวัน เธอก็ได้รับข้อความจากนิค เขาตามเธอมาถึงเชียงรายและต้องการพบเธอ หลังจากบ่ายเบี่ยงอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจไปพบคนรักเพื่อจบเรื่อง



“แต่นิคเขาร้องไห้และบอกว่าเขาอยู่โดยขาดแตงไม่ได้ เขารักแตงและพร้อมที่จะสร้างครอบครัวกับแตง พอเห็นแบบนั้นมันทำให้แตงรู้ว่าแตงเองก็รักเขา และอยู่โดยขาดเขาไม่ได้เหมือนกัน”

ซันซันขบกรามแน่น

“แล้วซันล่ะ แตง ที่ผ่านมาแตงไม่เคยรักซันเลยเหรอ?”

แตงอ้ำอึ้งก่อนที่จะตอบออกมาเบาๆ

“แตงรักซัน ไม่สิ แตงเคยรักซันนะ ตอนที่เราคบกันใหม่ๆ ที่ไทย แต่พอเริ่มอยู่ด้วยกันที่ซิดนีย์แล้ว แตงก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว”

แตงระบายลมหายใจออกเฮือกใหญ่

“แตงรู้ว่าซันรักแตง ซันถนอมแตง แต่มันทำให้แตงอึดอัด ซันเอาใจแตงทุกอย่าง บางครั้งเวลามีปัญหากัน ทะเลาะกัน ซันก็เป็นฝ่ายทนไม่พูดไม่ทำอะไรให้แตงเสียใจ แต่แตงไม่อยากได้แบบนั้น แตงไม่เคยรู้เลยว่าซันคิดอะไรอยู่ ไม่เคยรู้ว่าที่แตงทำไปนั้นซันชอบมันจริงๆ หรือแค่เอาใจแตง แบบนี้มันไม่ใช่ชีวิตคู่แล้ว ซันซัน”



แตงหยุดพักหอบหายใจ ซันซันได้แต่นิ่งเงียบ หากหางตาของมันเริ่มมีน้ำตาหยาดน้อยๆ หยดออกมา ผมอยากเข้าไปกอดมัน ปลอบมัน แต่ก็ทำไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้

“นิคไม่เหมือนซัน เราทะเลาะกัน เราเถียงกัน แต่มันทำให้แตงรู้สึกได้ว่าแตงรู้จักตัวตนของเขามากกว่าที่แตงรู้จักซันอีกด้วยซ้ำ”

“แล้วทำไมแตงไม่บอกซัน ไม่คุยกับซันล่ะ การที่ซันต้องการถนอมน้ำใจของแตงหรือว่าเอาใจแตงมันผิดนักเหรอ? ถ้านี่คือข้ออ้างของแตง ซันรับไม่ได้!”

ไอ้อ้วนของผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ แตงกัดริมฝีปากเหมือนชั่งใจอะไรบางอย่าง

“ที่จริงแตงก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่ในเมื่อซันอยากได้ความจริงทั้งหมด ได้ แตงจะตอบให้หมด…”

แตงยิ้มหยัน

“นิคเขาตอบสนองแตงเรื่องทางกายได้มากกว่าด้วย…”

ซันซันหน้าแดงก่ำ ส่วนผมเองก็หัวร้อนไปหมด

“แตงไม่ได้หมายถึงเรื่องเซ็กส์อย่างเดียวนะ แต่หมายถึงสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ การแสดงความรักที่ทำให้แตงรู้สึกว่าถูกรักอยู่ แต่กับซันมันไม่มีแบบนั้นเลย ตอนอยู่ซิดนีย์ เราอยู่ด้วยกันแบบเป็นผัวเป็นเมียกันแล้วนะซันซัน ขาดแค่งานแต่งเท่านั้น แต่ซันก็ยังทำเหมือนเราแค่เป็นแฟนกัน เวลาออกไปนอกบ้าน ทำไมซันต้องกลัวที่จะแสดงความรักกับแตงขนาดนั้น ไอ้ประเภทหอมแก้ม จับมือ จูบ ก็ทำไปสิ ยังจะต้องอายอะไรอีก? หรืออย่างเวลาอยู่บ้าน ตอนเราจะมีอะไรกัน ซันต้องรอให้แตงเป็นฝ่ายเริ่มก่อนตลอด จนบางทีแตงก็ท้อใจนะว่าแตงไม่มีเสน่ห์พอที่จะทำให้ซันเกิดอารมณ์ได้เลยเหรอ? แล้วที่ซันไปช่วยตัวเองในห้องน้ำน่ะ คิดเหรอว่าแตงไม่ได้ยิน? ในฐานะเมีย ซันรู้ไหมว่าแตงเสียใจแค่ไหน?”

แตงพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น ผมลอบมองหน้าไอ้อ้วนของผม หน้ามันเปลี่ยนจากแดงเป็นซีดขาว



“แตงคิดแบบนี้ตลอดมาเลยเหรอ? ซันทำให้แตงทุกข์ขนาดนี้เลยเหรอ? ซันเลวขนาดนั้นเลยเหรอ”

ซันซันพึมพำออกมา แตงสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ เธอเอื้อมมือไปกุมมือของซันซันแต่ไอ้อ้วนของผมก็ชักมือออกทันควัน

“แตงไม่ได้ว่าซันเป็นคนไม่ดี ซันเป็นคนดี ดีเกินไปด้วยซ้ำ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่แตงต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่แตงตามหา ซันเข้าใจใช่ไหม?”

ซันซันนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะพยักหน้าและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

“เข้าใจแล้ว ขอบใจนะที่แตงมาเคลียร์กับซันในวันนี้ และในเมื่อแตงเลือกแล้ว ซันก็เคารพการตัดสินใจของแตง”

ซันซันเงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มให้แตง

“ซันขอให้แตงมีความสุขและไม่ต้องห่วงซัน ซันโอเคแล้วจริงๆ”

ผมทนดูทนฟังไม่ไหวแล้วจริงๆ ครับ ดูหน้าไอ้ซันมันสิ โอเคกะผีสิครับ ปากมันพูดแบบนั้น หน้ามันยิ้มแบบนั้น แต่แววตามันไม่ได้บอกแบบนั้นเลย ผมลุกพรวดขึ้นแล้วฉุดมันให้ลุกขึ้นตาม

“พอ! เสร็จธุระแล้ว กลับได้แล้วซันซัน”

ไอ้อ้วนของผมหันมามองผมด้วยสายตาว่างเปล่า มันพยักหน้าเบาๆ แล้วปล่อยให้ผมฉุดให้เดินไปตามใจ ผมลาแตงกับไอ้เวรนั่นลวกๆ แล้วจึงพาซันซันเดินลงบันไดไป



กว่าจะถึงรถ ต้องเรียกว่าผมแทบจะต้องประคองมันเดินครับ มันขาอ่อนทำท่าจะทรุดฮวบลงกับพื้นได้ทุกขณะ เรียกได้ว่าแทบจะลากผมตกบันไดไปด้วยกันด้วยซ้ำ สุดท้ายผมก็สามารถจับมันขึ้นนั่งรถและคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย

“ปรินซ์…”

“มีอะไรวะ?”

“พากูไปอ่างเกษตรที”

ซันซันพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ผมพยักหน้าแล้วขับรถพามันไปยังอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เชิงดอยสุเทพอันเป็นที่เดินเล่นและพักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่งของชาวม.ช. และชาวเชียงใหม่

"ขับเข้าไปอีก"

ซันซันพูดเบาๆ ผมขับรถลัดเลาะตามถนนสองเลนบนสันอ่างเก็บน้ำไปจนถึงจุดที่ค่อนข้างเปลี่ยวจุดหนึ่ง

"จอดตรงนี้เลยมึง"

ผมจอดรถหลบตรงที่สามารถจอดได้ ซันซันลงรถ ผมรีบลงตาม ไอ้อ้วนของผมทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าเหนือขอบอ่างเก็บน้ำ ผมลงนั่งเงียบๆ เคียงข้างมัน ลมเย็นที่พัดเฉื่อยฉิวไม่ได้ทำให้ใจผมที่ร้อนรุ่มดั่งไฟเย็นลงเลย ยิ่งซันซันนั่งเงียบ ผมยิ่งร้อนใจ



"ซันซัน..."

"รู้ไหม..."

ผมเปิดปากพูดขึ้นพร้อมๆ กับที่มันโพล่งทำลายความเงียบขึ้น ซันซันเหลือบมองผมแว่บหนึ่งแล้วหันไปทอดตามองผิวน้ำที่ต้องแดดเป็นประกายระยิบระยับและระลอกคลื่นที่ก่อตัวขึ้นเพราะแรงลม

"มึงรู้ไหมว่ากูเคยพาแตงมานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ..."

ผมส่ายหัวบอกว่าไม่รู้

"กูจูบเขาครั้งแรกที่นี่..."

น้ำตาไหลพรากออกมาจากตาของซันซันอีกครั้ง ผมโอบแขนรอบไหล่มันและดึงกายมันให้เข้ามาซุกในอ้อมอก ซันซันพังทลายและร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง มันคร่ำครวญถึงความรักที่จางหายไป ถึงผู้หญิงคนนั้น คนที่ตอนนี้ผมเกลียดชังสุดหัวใจ ผมโอบมันไว้แน่น น้ำตาผมไหลออกมาด้วยความคับแค้นใจที่ผมไม่สามารถทำอะไรให้มันได้เลย ผมได้แค่คอยรับฟังเท่านั้น



"ที่จริงกูก็เคยสงสัยว่าเขามีคนอื่น ช่วงหลังๆ มา เราห่างเหินกันมาก จริงๆ มันมีสัญญาณหลายอย่างที่บอกว่าเขานอกใจ แต่กูก็พยายามปิดหูปิดตาไม่รับรู้..."

มันพูดซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายอย่าง หลังจากคร่ำครวญอยู่พักใหญ่ ซันซันก็เริ่มโทษตัวเอง

"...ถ้ากูใส่ใจเขาสักหน่อย เขาก็คงไม่ต้องไปหาคนอื่น"

"ซันซัน! หยุด! มึงหยุดคิดแบบนี้เดี๋ยวนี้! มันไม่ใช่ความผิดมึง เข้าใจไหม?!"

ผมบีบไหล่มันแน่นจนมันขมวดคิ้ว ผมจะยอมให้มันคิดแบบนี้ไม่ได้

"ถ้าเขาไม่พอใจมึง เขาควรจะบอกมึงตรงๆ ไม่ใช่ไปแอบมีคนอื่นแบบนี้ มันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น มึงไม่ได้ผิดอะไรเลยที่เขานอกใจมึง จำไว้ มึงไม่ผิดเลยสักนิด!"

ผมตวาดลั่น ซันซันตะลึงงัน ผมได้สติและรีบปล่อยมือ

"กูขอโทษ กู...เฮ้อ"

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

"กูพูดแรงไป กูไม่น่าพูดแบบนั้นเลย"

ซันซันส่ายหัวและยกมือปาดน้ำตา ผมดึงมันเข้ามากอดแน่นอีกครั้งและตบหลังมันเบาๆ



"กูโอเคขึ้นแล้วว่ะ ปรินซ์"

ซันซันพูดเบาๆ หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง พร้อมกับดันตัวออกจากอ้อมอกของผม

"แน่นะ? "

ผมจ้องตามันที่ซ่อนอยู่หลังแว่น มันหลบตา ผมลอบถอนหายใจ มันไม่ง่ายหรอกที่จะทำใจ แต่ในเมื่อมันพูดแบบนั้น ผมก็จะเชื่อมันสักครั้ง

"งั้น เรากลับกันเถอะ ออกมานานแล้ว เดี๋ยวที่บ้านมึงจะเป็นห่วง"

 ผมลุกขึ้น ปัดๆ กางเกงแล้วยื่นมือให้ไอ้อ้วนของผมจับ ผมอดคิดไม่ได้ว่ามือของมันเย็นเหลือเกินครับ ซันซันลุกขึ้นตามแรงฉุดของผม พวกเราพากันเดินไปขึ้นรถ

"ปรินซ์ อย่าบอกที่บ้านกูเรื่องวันนี้นะ"

ซันซันสำทับผมด้วยท่าทีจริงจัง ผมรับคำมัน ผมจะไม่บอกที่บ้านมันหรอกครับ แต่ผมจะบอกป๊ากับม๊าผม ส่วนท่านจะเอาไปเล่าให้บ้านมันฟังหรือเปล่านั้น ก็เป็นเรื่องของพวกท่าน



"คืนนี้มึงจะให้กูไปค้างด้วยไหม?"

ผมถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นมันยังคงมีท่าทางเหม่อลอย

"ไม่ต้องอ่ะมึง กูไม่เป็นไรแล้วจริงๆ คืนนี้เดี๋ยวกูจะกินยานอนหลับที่หมอให้มาแล้วก็จะหลับยาวๆ สักหน่อย มึงไม่ต้องห่วงนะ"

ซันซันยิ้มให้ผม แม้มันจะดูฝืน แต่อย่างน้อยมันก็ยังพอยิ้มออกได้ แต่ทำไมผมยังรู้สึกไม่สบายใจนะ อาจจะเป็นเพราะผมไม่คิดว่ามันจะมีท่าทางทำใจได้เร็วขนาดนั้นกระมัง

ผมส่งมันถึงหน้าบ้าน รอดูจนมันเข้าบ้านเรียบร้อยแล้วจึงกลับไปที่บ้านผมซึ่งอยู่ข้างบ้านมัน ผมรีบบอกกับป๊าม๊าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ และกำชับให้แน่ใจว่าพ่อแม่ของซันซันจะรู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

"ผมว่าให้บ้านนู้นเค้าเฝ้าดูอาการมันหน่อยก็ดีครับ ผมว่ามันนิ่งเกินไปตอนทีี่คุยกับแตง แต่เฝ้าดูห่างๆ อย่าให้มันรู้ว่ารู้เรื่องกันแล้ว"

ป๊ากับม๊าผมรับปาก คืนนั้นผมเปิดผ้าม่านที่ห้องทิ้งไว้เพื่อให้เห็นห้องนอนของมันได้ชัด ผมเฝ้าดูความเคลื่อนไหวในห้องของมันจนผลอยหลับไปเอาตอนใกล้รุ่งสาง



"ปรินซ์! ตื่นเร็วลูก เกิดเรื่องแล้ว!"

ผมสะดุ้งตื่นเมื่อม๊ามาเคาะประตูห้องผมและร้องเรียกอย่างร้อนใจ ผมรีบลุกพรวดไปเปิดประตู

"ซันซันหายไป เร็ว! รีบมาช่วยกันหาหน่อย"

ผมรีบใส่เสื้อผ้าและวิ่งตามม่ะม๊าไปที่บ้านของซันซัน ที่นั่นเต็มไปด้วยความอลหม่าน แม่กับน้องของซันซันกำลังพัดวีอาม่าที่นอนไม่ได้สติอยู่บนโซฟา ส่วนป๊าของผมทำหน้าเครียดอยู่ข้างๆ พ่อของซันซันที่กำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่

"ป๊า เกิดอะไรขึ้น?"

ป๊าของผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเล่าให้ฟังเบาๆ ว่าทุกคนตื่นขึ้นมาและพบว่าซันซันหายออกจากบ้านไปโดยขับรถมินิคันเก่าของตัวเองออกไป ตอนนี้ที่บ้านซันซันกำลังถามไปที่ยามหน้าหมู่บ้านว่าซันซันออกไปตั้งแต่กี่โมง



"ต๋ายฮ่าละ ปื๋นฮาหาย!"

พ่อของซันซันซึ่งเดินหายเข้าไปในห้องของตัวเองรีบวิ่งหน้าตื่นออกมาโวยวายลั่นว่าปืนของตัวเองที่เก็บไว้ในกล่องหายไป ในหัวของผมขาวโพลนไปหมดครับ ป๊าของผมรีบเผ่นพรวดเข้าไปดู แม่ของซันซันร้องไห้โฮออกมา ทุกคนเหมือนจะเสียสติกันไปหมดแล้ว ป๊าของผมที่สติดีกว่าคนอื่นรีบบอกให้พ่อของซันซันลองนึกดูว่าซันซันน่าจะไปที่ไหน และบอกให้ม๊าของผมช่วยแม่ของซันพาอาม่าไปส่งโรงพยาบาลก่อน

"พ่อ หนูแอบได้ยินพี่ซันโทรคุยกับอีนั่นเมื่อวานเย็น"

น้องเจดพูดขึ้นมา

"พี่ซันถามว่ามันจะเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมกี่โมง แล้วอยากได้คนไปส่งไหม หนูว่าพี่เค้าอาจจะไปหาอีนั่นที่โรงแรม แต่หนูไม่รู้ว่าโรงแรมอะไร"

ผมตาลุกวาวเมื่อได้ยินอย่างนั้น

"ป๊า ผมว่าโรงแรมน่าจะอยู่แถวนิมมานฯ แน่ๆ เพราะเมื่อวานแตงมันนัดเจอพวกผมแถวนั้น เดี๋ยวผมจะเอามอเตอร์ไซค์ออกไปตามหามันดูก่อนนะ อาเคียวลองโทรถามที่บ้านแตงดูนะว่าเขาพักที่ไหน เผื่อจะรู้ ถ้ารู้แล้วโทรมาบอกด้วย"

ผมรีบวิ่งกลับบ้านไปเอามอเตอร์ไซค์คู่ใจ มันคล่องตัวกว่ารถยนต์ครับ ผมหยิบหูฟังบลูทูธมาเสียบติดหูไว้และรีบบิดคันเร่งออกไปจากหมู่บ้านโดยเร็ว



ผมจอดรถที่หน้าโรงแรมใหญ่ใกล้ร้านวอร์มอัพ ที่บ้านของซันแจ้งมาว่าแตงเข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ ผมรีบกวาดตาดูรถที่ลานจอดแต่ก็ไม่เห็นมินิน้อยสีเหลืองของมันเลย ผมรีบรุดเข้าไปถามยามที่เฝ้าอยู่ที่ป้อม ได้ความว่ามีรถมินิสีเหลืองทะเบียนตรงกับรถของซันซันมาจอดติดเครื่องอยู่หน้าโรงแรมเป็นเวลานาน แต่เมื่อยามเดินเข้าไปเคาะกระจกรถเพื่อจะถาม รถคันนั้นก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว

"ก็ ประมาณเกือบชั่วโมงได้แล้วครับ"

ผมใจสั่นระรัว นี่ผมมาช้าเกินไปหรือเปล่านะ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในเวลาแค่นั้น ผมพยายามนึกๆๆ ว่ามันจะไปอยู่ที่ไหน หากมันคิดสั้นขึ้นมาจริงๆ มันน่าจะไปในที่ๆ มีความหมายกับมัน ที่ๆ มันและแตงเคยใช้เวลาด้วยกัน ความคิดหนึ่งวาบขึ้นมาในหัวของผม ผมรีบขึ้นรถและขี่ออกไปโดยมีจุดหมายคืออ่างเกษตร ม.ช.

ระหว่างนั้นผมพยายามกดโทรออกหามันตลอดเวลา สายเหล่านั้นดังจนตัดไปทุกครั้ง จนกระทั่งผมขี่มาถึงปากทางเข้าถนนบนสันอ่าง สุดท้ายผมก็ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของมันดังลอดออกมาจากลำโพงหูฟัง



"ปรินซ์...กู กูไม่ไหวแล้ว มึงปล่อยกูไปเถอะ"

เสียงอันสั่นเครือนั้นทำให้ผมแทบใจสลาย ผมตะโกนเรียกชื่อมันซ้ำๆ

"ซันซัน มึงอย่าคิดเชียว อย่านะ"

มันไม่ตอบอะไรกลับมา มีแค่เสียงร่ำไห้ที่ทำให้ใจของผมแทบขาดรอนๆ ผมเร่งความเร็วรถเพื่อให้ไปถึงจุดที่มันพาผมมาเมื่อวาน ปากของผมก็ตะโกนแข่งกับเสียงลม

"อย่าทำอะไรบ้าๆ นะซันซัน กูขอร้อง"

"เขาไม่รักกูแล้ว ปรินซ์ กูไม่รู้จะอยู่เพื่ออะไร เขาไม่รักกูแล้ว"

ซันซันคร่ำครวญออกมาอย่างไร้สติ ผมตาวาวเมื่อเห็นรถของมันจอดอยู่ลิบๆ

"มันไม่รักมึงแล้วไงวะไอ้ซัน ยังมีคนอีกตั้งเยอะตั้งแยะที่รักมึง พ่อแม่มึง อาม่า น้องเจด พวกเขาจะอยู่ยังไงถ้ามึงไม่อยู่แล้ว..."

ผมกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่เอ่อคลอออกมา ผมเร่งความเร็วขึ้นอีกเพื่อไปให้ถึงรถสีเหลืองคันนั้น

"...แล้วกูล่ะ ซันซัน กูจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีมึง กูก็รักมึง...เฮ้ย!"

ผมร้องลั่นเมื่อมอเตอร์ไซค์ CBR650 ของผมที่ขี่มาด้วยความเร็วสะดุดหลุมที่อยู่บนพื้นถนน มันสะบัดจนทำให้ตัวผมลอยข้ามราวกั้นไปและตกลงบนพื้นหญ้า ร่างของผมกลิ้งหลายตลบลงลาดเนินชันของอ่างเกษตร ผมได้ยินเสียงซันซันเรียกชื่อผมดังลั่น มันทำให้ผมหวนนึกไปถึงตอนที่ผมขาหัก ในที่สุดร่างผมก็หยุดนอนแน่นิ่งอยู่ที่ตีนเนินซึ่งลึกลงไปจากขอบถนนหลายเมตร ในยามที่สติเลือนลาง ผมเห็นใบหน้าที่เปรอะน้ำตาของไอ้อ้วนของผมลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ผมยกมือขึ้นลูบแก้มมันเบาๆ ก่อนที่ภาพจะตัดวูบไป




---------------------------------------------


จบห้าตอนไม่ลงอีกแล้ว อะไรกั๊น? ตอนแรกคิดว่างั้นจะให้ตอนนี้ยาวๆ หน่อยก็ได้ แต่ปรากฏว่าเขียนไปเขียนมามันก็ยังได้แค่สักครึ่งของเรื่องที่เตรียมไว้สำหรับตอนนี้เอง ก็...ต่อตอนหน้าอีกตอนแล้วกันนะคะ แต่คงตามมาอีกไม่นานนี้เพราะเขียนตุนไว้บ้างแล้วค่ะ

ว่างๆ ก็แวะมาเม้ากันได้ที่ช่องทางต่อไปนี้นะคะ

เพจค่ะ https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/

ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH
[/b]



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.6 ----





"มึงอย่าเป็นอะไรไปนะปรินซ์ มึงต้องไม่เป็นอะไร กูขอโทษ ปรินซ์ กูขอโทษ!"

ในหูผมได้ยินเสียงพร่ำรำพันนั้นตลอดเวลาที่ผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ผมฟื้นขึ้นมาอีกทีในห้องพักฟื้นโดยมีไอ้อ้วนของผมนั่งฟุบหน้าหลับอยู่กับตัวผม ผมบีบมือที่จับมือผมไว้แน่นนั้น ซันซันผวาเฮือกแล้วชันกายขึ้น มันร้องไห้โฮออกมาทันทีที่เห็นผมลืมตาและยิ้มให้มัน ผมยันตัวขึ้นนั่งแล้วดึงตัวมันมากอดไว้แน่น

"มึงหายบ้าหรือยัง ไอ้อ้วน หา? มึงหายบ้าหรือยัง?"

ผมด่ามันลั่นทั้งที่ยังกอดมันแน่น มันกอดผมตอบพร้อมกับสะอื้นจนตัวโยน ผมก็น้ำตาไหลพราก แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจที่เห็นมันยังอยู่ พวกผมกอดกันร้องไห้แบบนั้นอยู่ครู่ใหญ่จนในที่สุดซันซันก็ค่อยสงบลง

“โอเคขึ้นหรือยัง ซันซัน?”

ผมถามขึ้น มันพยักหน้าน้อยๆ

“ดี งั้นมึงปล่อยกูก่อน กูเจ็บ”

ผมพูดเสียงอ่อยๆ ไอ้อ้วนของผมสะดุ้งเฮือกแล้วรีบปล่อยผมที่เหงื่อกาฬเต็มหน้าออกทันที ผมกลับลงนอนอีกครั้ง อาการเจ็บตามเนื้อตัวที่ดูเหมือนจะหายไปชั่วครู่นั้นกลับมาอีกครั้ง ถึงจะโชคดีที่ตัวผมตกลงบนเนินที่ปกคลุมด้วยกอหญ้าสูง อีกทั้งผมยังสวมหมวกกันน็อคอย่างดีทำให้เลี่ยงการบาดเจ็บหนักไปได้ แต่ตัวผมก็ฟกช้ำดำเขียวและถลอกปอกเปิก แถมมีร่องรอยของใบหญ้าบาดและกิ่งไม้ขูดขีดอยู่เต็มตัว

“มึงต้องมาเจ็บตัวเพราะกูแท้ๆ ไอ้ปรินซ์ กูขอโทษ ขอโทษจริงๆ”

ซันจับมือผมไว้และพร่ำขอโทษอีกครั้ง ผมยกมือขึ้นปิดปากมัน

“พอ หยุด เลิกขอโทษได้แล้ว กูเจ็บแค่นี้แต่ทำให้มึงไม่ทำอะไรบ้าๆ ลงไปได้ กูก็ว่ามันคุ้มเจ็บแล้ว”

“มึงว่ากูบ้า มึงบ้ากว่ากูอีกนะ ไอ้เตี้ย! มันคุ้มแล้วเหรอวะ? นี่เมื่อกี้ถ้ามึงตกลงกระแทกพื้นถนนแทนพื้นหญ้า มึงตายห่าไปแล้วนะเว้ย!”

ซันซันเอ็ดผมลั่น ผมบีบมือที่สั่นระริกของมัน มันปาดน้ำตา



“มึงจะเอาชีวิตมึงมาแลกกับชีวิตพังๆ ของกูทำไมวะ?”

ไอ้อ้วนของผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

“ใครว่าชีวิตมึงพังวะไอ้ซัน ชีวิตมึงยังมีอะไรมากกว่าแตงนะเว้ย มึงจำคำของมึงที่บอกกูตอนที่กูรูัตัวว่าจะเล่นฟุตบอลเหมือนเดิมไม่ได้อีกได้ไหม? หืมม์?”

ผมตะปบมือไปที่แก้มทั้งสองของมันและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่มีแววโศกหลังแว่นคู่นั้น มันอึ้งไป ผมรู้ว่ามันยังจำได้

“กูยังจำคำของมึงได้แม่น มึงบอกว่าอยากให้กูมองว่ากูยังมีชีวิตด้านอื่นอีกที่ไม่ใช่ฟุตบอล กูยังมีครอบครัว มีร้าน และกูก็ยังมีมึงอยู่ มึงจำคำพูดของตัวเองได้ไหม ซันซัน?”

ไอ้อ้วนของผมพยักหน้า น้ำตาหยาดน้อยๆ ไหลออกจากตามันอีกครั้ง

“กูจะไม่พยายามพูดหรอกนะว่ากูเข้าใจว่ามึงเจ็บปวดขนาดไหน เพราะกูก็ไม่เคยโดนแบบนี้กับตัว”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แต่ถ้าการหมดอนาคตกับการเล่นฟุตบอลของกูมันจะพอเทียบได้กับเรื่องนี้บ้าง กูก็อยากให้มึงดูกูเป็นตัวอย่างไว้ซันซัน ถ้ากูยังอยู่ได้ มึงก็ต้องอยู่ได้ และกูก็พร้อมจะช่วยมึงผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ เข้าใจไหม?”

ซันซันร้องไห้โฮออกมาอีกครั้งและฟุบหน้าลงบนตัวผม

“ช่วยกูด้วยปรินซ์ ช่วยกูให้หลุดออกจากความรู้สึกนี้ที”

ผมลูบหัวมันเบาๆ

“ต่อแต่นี้ไป ต่อให้มึงเจอเรื่องร้ายแค่ไหน กูจะอยู่ข้างมึง ต่อให้มึงไม่อยากให้กูอยู่ กูก็จะไม่ไปไหน โอเคนะ?”

มันเงยหน้าขึ้นมามองผมและพยักหน้าน้อยๆ ผมยิ้มให้มันและรู้สึกอุ่นวาบที่หัวใจเมื่อได้รับรอยยิ้มกลับมา



“เฮ้ย ชิบหายแล้ว ไอ้ซัน มึงโทรบอกที่บ้านหรือยังว่ามึงโอเคอยู่”

ผมอุทานออกมาเมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คสภาพแล้วเห็นมิสคอลล์จำนวนมากจากที่บ้านของผมและบ้านของซันซัน

“กูไม่กล้าโทร แล้วกูก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ในรถที่อ่างเกษตรด้วยอ่ะ”

ซันซันพูดด้วยเสียงอ่อยๆ หลังเห็นว่าผมยังมีชีวิตอยู่ มันรีบปีนเนินกลับขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากรถที่ผ่านมาซึ่งเขาก็ช่วยโทรเรียกรถกู้ภัยให้ ซันซันที่สติแตกไปเรียบร้อยทิ้งทุกอย่างไว้ที่อ่างเกษตรและนั่งจับมือผมมาตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล

“โทรไปเลย ห่านนี่ บอกด้วยว่ามึงอยู่ไหน”

ผมปลดล็อคแล้วโยนโทรศัพท์ของผมให้มัน ไอ้อ้วนของผมอิดออดครู่หนึ่งก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นโทรกลับไปหาที่บ้าน

“มานี่ กูพูดเอง”

ผมแย่งโทรศัพท์กลับมาจากมัน เมื่อเห็นมันอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้าพูดและปล่อยให้ปลายพูดฮัลโหลๆ อยู่ได้

“ครับ ปรินซ์ครับ ตอนนี้ผมอยู่กับซันซัน มันปลอดภัยดีครับ”

ผมพูดกับพ่อของซันซันที่อยู่ปลายสาย ผมแจ้งให้ทางนั้นรู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหนและสถานการณ์เป็นยังไง ซันซันหน้าจ๋อยคอยฟังผมกับพ่อมันคุยกัน มันกระซิบให้ผมบอกเรื่องรถที่มันจอดทิ้งไว้ที่อ่างเกษตรและอื่นๆ

“แล้ว เอ่อ ปืนก็อยู่ในรถด้วย”

มันกระซิบเบาๆ เพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน หือ? ครับ มีคนไข้คนอื่นด้วย ก็ผมนอนพักฟื้นในห้องรวมครับ ไอ้ตอนพวกผมดราม่าร้องไห้โฮเมื่อกี้นี่ คนมองตรึมเลยครับ โดยเฉพาะป้าเตียงข้างๆ ที่ทำหูผึ่งเป็นจานดาวเทียมเลย พอพวกผมนึกได้ถึงต้องรีบรูดม่านปิดและลดเสียงลงหน่อย



“ซัน กูถามจริงๆ มึงคิดจะทำอย่างงั้นจริงๆ เหรอวะ”

ผมกระซิบถามมันเบาๆ ไอ้อ้วนของผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ถ้ามึงยังไม่อยากพูดถึงมัน มึงก็ไม่ต้องเล่า”

ผมยกมือขึ้นลูบผมมันเบาๆ ซันเม้มปากแน่น

“ตอนแรกกูกะจะไปยิงไอ้อีสองตัวนั่น แล้วก็ยิงตัวตายตาม”

ไอ้อ้วนของผมพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ ผมใจหายวาบ ความเจ็บแค้นทำให้เพื่อนของผมที่ปกติจิตใจดี สดใสและไม่เคยคิดทำร้ายใครกลายเป็นแบบนี้

“กูว่าจะขึ้นไปจัดการพวกนั้นที่ห้อง กูไปจอดรถที่หน้าโรงแรมแล้วโทรเข้ามือถือแตงกะจะถามเขาว่าอยู่ห้องไหนโดยอ้างว่าจะมาคุยเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอได้ยินเสียงเขากูก็ทำไม่ลงว่ะ กูเลยไม่พูดอะไรแล้วชิงตัดสายไป แต่สักพักเขาก็รีบลงมาหา เขาคงเห็นรถกูจากบนห้อง”

ซันซันถอนหายใจ แต่แทนที่แตงจะลงมาคนเดียว นิคกลับตามลงมาด้วย มือของทั้งสองที่เกาะกุมกันทำให้ซันซันขาดสติ

“ตอนนั้นกูรู้สึกว่า งั้น แทนที่กูจะฆ่าพวกมัน กูจะตายให้พวกมันดู ให้มันได้รู้สึกผิดกันไปตลอดชีวิต กูนั่งรอให้สองคนนั้นเดินมาหาที่รถ แต่ตอนนั้นยามโรงแรมเขาคงสังเกตเห็นว่ามันผิดปกติเลยเดินมาเคาะกระจกรถกู กูตกใจเลยขับรถออกมาก่อน”

ผมหลับตาลงด้วยความสยองใจ ถ้ายามไม่เข้ามาเคาะกระจก ผมคงต้องเสียมันไปแล้ว



“หลังจากนั้นกูก็ขับรถวนไปวนมา คิดแต่ว่ากูจะต้องตายให้พวกมันได้รู้สำนึก แต่กูจะตายที่ไหนดี มันต้องเป็นที่ๆ เรามีความหลังด้วยกัน ในที่สุดกูก็ก็นึกถึงอ่างเกษตร”

ซันซันยิ้มเศร้าๆ

“แต่กูก็ดันลืมไปว่ากูเพิ่งพามึงมา ถ้ากูนึกได้ กูก็คงเลือกที่อื่น”

“ซัน…”

ผมจับแขนมันแน่นและหวังว่ามันจะไม่คิดทำแบบนั้นอีก มันตบหลังมือผมเบาๆ

“ไม่ต้องห่วงๆ กูเลิกคิดแล้ว”

ไอ้อ้วนของผมยิ้มน้อยๆ ให้ผม

“มึงรู้ไหม ช่วงที่มึงโทรมารัวๆ น่ะ กูอมปากกระบอกปืนไว้แล้วนะ”

ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“แต่เสียงโทรศัพท์ของมึงมันรบกวนกู กูต้องการความสงบก่อนที่จะไป สุดท้ายกูก็เลยจะกดตัดสายและปิดเครื่อง แต่มือกูพลาดไปกดรับสาย…”

ซันซันมองหน้าผม

“พอได้ยินเสียงมึง กูก็อดพูดกับมึงไม่ได้ กูว่ากูคงอยากบอกลามึงมั้ง”

ไอ้อ้วนของผมน้ำตาร่วงอีกครั้ง ผมเองก็น้ำตาคลอเบ้า

“กูกะว่าลามึงเสร็จกูก็จะไป แต่พอกูได้ยินเสียงรถมึงเข้ามาใกล้ก็เลยหันไปดู…”

ซันซันเสียงเครือ

“พอกูเห็นมึงลอยข้ามราวกั้นเท่านั้นแหละ กูทิ้งแม่งทุกอย่าง เชี่ยเอ๊ย อิเนินห่านั่นก็โคตรชัน กว่ากูจะลงไปถึงตัวมึงได้”

ไอ้อ้วนของผมปาดน้ำตา



“มึงห่วงกูขนาดยอมทิ้งปืนเลยเหรอ? งั้นที่กูเจ็บตัวนี่ก็คุ้มแล้วว่ะ”

ผมยิ้มกว้าง ไอ้เพื่อนสุดที่รักของผมทำหน้าบูด

“มึงไม่ต้องมาทำหน้าเป็นไอ้ปรินซ์ มึงรู้ไหมว่าในตอนนั้นกูกลัวแค่ไหน ตอนเห็นมึงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้วรู้ไหม? ถ้ามึงตายขึ้นมาจริงๆ กูก็ได้ตายตามมึงไปแน่ๆ”

ผมไม่พูดอะไร หากจับมือมันกระชับมั่น มันบีบมือผมตอบ ในใจผมคิดดีใจที่เหตุการณ์มันไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น

“แล้วรถกูพังเยอะไหมวะ”

ผมบ่นเบาๆ ถึงบิ๊กไบค์คันโปรดที่ผมเก็บเงินผ่อนเอง

“อือ ก็เยอะอยู่ แถมไม่ได้พังคันเดียว มันกระเด็นมาชนรถกูกระจกแตกกับกันชนเยิน กลับไปมึงต้องซ่อมรถให้กูด้วย”

“อ้าว เฮ้ย ได้ไงวะ ที่เป็นงี้เพราะกูมาตามหามึงนะเว้ย”

ผมโวยออกมาอย่างลืมตัว

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงมึงก็ต้องซ่อมให้กู”

ผมจ้องหน้ามันพร้อมกับทำตาปริบๆ ซันซันทำหน้าตูมใส่ผม พวกเราจ้องตากันเขม็ง หากสุดท้ายก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะลั่นกันออกมา



“มึงมันบ้าชิบ ไอ้ปรินซ์ จะมาห้ามกูไม่ให้ตาย แต่ก็เสือกมาเกือบตายซะเอง”

ซันซันเช็ดน้ำตาป้อยๆ

“แล้วมึงล่ะ ไอ้ซัน ขนาดจะตายอยู่แล้ว มึงยังอุตส่าห์ห่วงกูอีกเหรอวะ?”

ผมถามกลับไป มันอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วก็ผงกหัวรับคำ หัวใจผมพองโตเหมือนมีใครมาสูบลมเลยครับ

“แล้วที่กูพูดๆ ไป มึงได้ฟังไหม?”

ผมโพล่งถามออกไป ซันซันทำท่าครุ่นคิด

“กูก็เบลอๆ ว่ะตอนนั้น จำไม่ได้หรอกว่ามึงพูดว่าอะไร กูจำได้แค่ว่าได้ยินเสียงเครื่องรถมึง เลยหันไปดู จากนั้นก็เห็นมึงสะดุดหลุม”

ผมลอบถอนหายใจ แสดงว่ามันคงไม่ได้ยินที่ผมบอกรักมัน แต่ก็ดีแล้วครับ ผมจะได้ยังทำตัวเป็นเพื่อนของมันต่อไปได้

“แล้วมึงพูดว่าอะไรเหรอ?”

ซันซันทำท่าสงสัย ผมก็เสตอบไปว่าไม่ได้มีอะไรสำคัญ ก็แค่คำพูดปลุกใจธรรมดา มันขมวดคิ้วและทำท่าจะซักถามเพิ่ม แต่พ่อแม่ของพวกเราก็เข้ามาเสียก่อน พวกเราจึงได้หยุดบทสนทนาไว้



พ่อแม่ของซันซันขอบอกขอบใจผมยกใหญ่เลยครับที่ช่วยตามหามันจนเจอ แถมยังหยุดไม่ให้มันทำอะไรตัวเองลงไปได้ ส่วนไอ้อ้วนของผมก็ร้องไห้โฮออกมาตอนเจอหน้าพ่อแม่จนทั้งสองคนต้องพามันออกไปคุยข้างนอกห้อง ม๊าผมที่ทำเนียนไปนั่งฟังด้วยก็แอบมาเล่าให้ฟังว่าทั้งสองคนก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรลูกชาย และทำแค่รับฟังสิ่งที่มันระบายออกมาและบอกซันซันให้รีบไปหาอาม่าที่นอนพักฟื้นอยู่ที่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซันซันร้องไห้โฮอีกครั้งเมื่อรู้ว่าอาม่าต้องล้มป่วยลงเพราะมัน

หลังจากพ่อแม่ของซันซันพาลูกชายกลับไปหาผู้เป็นย่า ม๊ากับป๊าของผมก็หาห้องพิเศษให้ผมย้ายขึ้นไปพักแทนห้องรวม

“ซันเค้าบอกว่าเขารอดมาได้เพราะลูกนะ ถ้าลูกไม่ไหวตัวทันและหาเขาจนเจอ ป่านนี้ก็คงได้จัดงานศพแล้ว”

ม๊าของผมพูดเมื่อย้ายห้องแล้ว ส่วนป๊าที่ยืนอยู่ข้างๆ เตียงก็ตบไหล่ผมเบาๆ และบอกว่าป๊าเองก็ภูมิใจในตัวผมมาก ผมอดตื้นตันขึ้นมาไม่ได้ เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ผมเพิ่งจะเห็นแววตาที่แสดงความผิดหวังในตัวผมของป๊า แต่ในวันนี้ ผมสามารถทำให้ป๊ากลับมาภูมิใจในตัวผมได้อีกครั้ง



หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผมอยู่โรงพยาบาลอีกสองคืนเพื่อประเมินอาการให้แน่ใจว่าไม่มีการกระทบกระเทือนอะไรที่จะทำให้เกิดอันตรายภายหลัง ครอบครัวของซันซันเป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ผมทั้งหมด โดยซันซันมาอยู่เฝ้าผมทั้งสองคืน พอออกโรงพยาบาลไป ผมก็ได้รู้ว่าอาม่าของซันได้ซื้อมอเตอไซค์ใหม่ให้ผมเพื่อแทนที่คันเก่าที่พังไป

“ชิ หมั่นไส้คนเห่อมอไซค์ใหม่โว้ย”

ซันซันตะโกนมาจากข้างรั้วเมื่อเห็นผมบรรจงล้างรถมอเตอไซค์คันใหม่ที่ผมกำลังเห่อนักหนา ผมหันไปเอาน้ำฉีดใส่มันแล้วก็ถูกด่าโขมงโฉงเฉงกลับมา ไอ้อ้วนของผมดูเหมือนจะกลับมาร่าเริงอีกครั้ง หากผมรู้ดีว่ารอยแผลในครั้งนั้นมันกรีดลึกลงไปในใจซันซันแค่ไหน

"ซันยังนอนฝันร้ายอยู่เหรอครับ อามณี?"

ผมถามแม่ของซันซัน

"ใช่จ้ะ กลางคืนบางทีอาก็ได้ยินเสียงเขาร้องไห้ นี่มันผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แล้วนะ"

แม่ของซันซันถอนหายใจเบาๆ

"แล้ว หมอบอกว่าไงมั่งครับ?"

"หมอก็บอกว่ายังไม่น่าถึงขั้นเป็น PTSD นะ แต่ก็ให้คอยสังเกตอาการไว้  อยากให้คอยพูดคุยด้วย ให้ทำอะไรที่ทำให้เขาลืมเรื่องที่เกิดขึ้นบ้าง ปรินซ์พาเขาออกไปเที่ยวบ้างก็ได้นะ อาไม่ว่า"

ผมถอนหายใจ ผมคงต้องเฝ้าดูอาการมันอีกหน่อย





"เอ๊า คุณ เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม?"

เจนยุทธทักคนรักที่นั่งน้ำตาไหลพรากอยู่ที่อีกซีกโลก ฆาเบียร์เช็ดน้ำตาและสูดน้ำมูกเบาๆ

"ฉันไม่นึกเลยว่าซันซันจะเคยผ่านอะไรแบบนั้นมาก่อน การถูกนอกใจนี่เป็นเรื่องที่ส่งผลต่อชีวิตคนเราจริงๆ นะเจ มันคือการหักหลังและทำลายความไว้ใจกันอย่างร้ายกาจที่สุด"

คนที่เคยผ่านเหตุการณ์คล้ายคลึงกันมาพูดเบาๆ เขายังจำความเจ็บช้ำที่ได้รับในวันที่เห็นอเล็กซ์กับควอเตอร์แบ็คคนนั้นได้ดี และนั่นแค่เป็นการถูกคนรักหักหลัง แต่สำหรับซันซัน การถูกคนที่กำลังจะแต่งงานกันอยู่มะรอมมะร่อแล้วสวมเขาให้นั้นคงกัดกินเขาทั้งเป็น เจเกาหัวเมื่อเห็นคนรักมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราวของเพื่อนของเขา

"เออ นั่น มาอินกันซะงั้น แต่ที่คุณพูดก็ถูกครับ เหตุการณ์นี้ส่งผลกับชีวิตซันซันมากจริงๆ "

เจถอนหายใจเบาๆ เมื่อนึกถึงซันซันในตอนนั้น เขามารู้เรื่องเอาก็เมื่ออีกหลายวันให้หลัง ในตอนนั้น เจบ่นปรินซ์ยกใหญ่ที่ไม่ยอมเรียกเขาให้มาช่วยตามหาซันซันด้วย

"หลังจากวันนั้น ซันซันก็เปลี่ยนไปครับ จากที่มันเคยเป็นเด็กดี ไม่กินเหล้า ไม่จีบหญิง ไม่ค่อยเที่ยวกลางคืน มันก็หันมาทำทุกอย่าง มันบอกผมว่า ในเมื่อเป็นคนดีแล้วผู้หญิงเขาก็ไม่รักมันอยู่ดี มันก็จะขอใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงเหมือนกับพวกผมบ้าง..."





อืมม์ เจมันก็พูดถูกส่วนหนึ่งครับ หลังจากนั้น ซันซันก็เริ่มออกเที่ยวกับพวกผม แต่นั่นคือสิ่งที่ผมได้หารือกับที่บ้านของมันแล้ว เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ

"ปรินซ์ มึงตอบกูหน่อยซิ..."

ซันซันที่นอนพลิกไปพลิกมาข้างผมถามขึ้น

"อะไรวะ?"

"ทำไมผู้หญิงถึงชอบผู้ชายเลวๆ กันนักวะ"

ผมอึ้งไป มันจะให้ผมตอบอะไรล่ะครับ?

"...ทีอย่างมึง อย่างไอ้เจล่ะ ผู้หญิงติดตรึม"

"อ้าวๆ เชี่ยละ อยู่ๆ ด่าพวกกูเลวซะงั้น..."

ผมบ่นพึมพำ ไอ้อ้วนของผมหัวเราะแหะๆ เมื่อนึกได้ว่าตัวเองพูดผิดไป ผมยิ้มกริ่มแล้วพูดตอกกลับไป

"...ของอย่างนี้มันอยู่ที่หนังหน้าโว้ย"

"อ้าว ห่านนี่ หาว่ากูไม่หล่องิ?"

ซันซันทำหน้าบูดใส่ผม

"กูไม่ได้ว่างั้น มึงอ่ะหน้าเหมือนคนดัง สาวๆ น่าจะชอบ"

"เหรอๆ กูหน้าเหมือนใคร? "

ซันซันรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็ต้องด่าผมลั่นเมื่อผมบอกมันว่ามันเหมือนคนในเครื่องแบบสุดเท่ที่ดังไปทั่วโลกอย่างผู้พันแซนเดอร์ผู้ก่อตั้งร้านเคเอฟซี ผมหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นมันทำหน้าหงิก



"โอเคๆ ไม่พูดเล่นแล้วก็ได้ เฮ้อ ว่าไงดี กูว่ามันแล้วแต่คนมากกว่าว่ะซันซัน ผู้หญิงที่เขาชอบคนแบบมึงก็คงมี เพียงแต่ว่ามึงยังหาคนๆ นั้นไม่เจอแค่นั้น..."

ผมหันไปสบตาเพื่อนรัก ผมอยากแสดงให้มันเห็นเหลือเกินว่าคนที่รักคนอย่างมันนั้นอยู่ตรงหน้ามันนี่เอง แต่ก็นะ ผมมันไม่ใช่ผู้หญิงครับ ทำให้เห็นไปก็เท่านั้น ระหว่างเรามันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ผมพูดกับมันต่อถึงสิ่งที่ผมและเจเป็น

"...อีกอย่างนะ ซันซัน ผู้ชายอย่างพวกกู ที่มึงบอกว่าเป็นผู้ชายเลวๆ น่ะมักจะรู้วิธีเอาใจผู้หญิงเพราะเราผ่านมาเยอะ อย่างกู บางทีกูก็ไม่เลือกวิธีการนะ ถ้ากูอยากได้ บางทีกูก็ไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีแฟนหรือยัง หรือจะต้องแกล้งบอกรัก หรือโกหก แค่ขอให้ได้ก็พอ"

ซันซันหรี่ตามองผม ผมถอนหายใจเบาๆ ด้วยความละอายในชีวิตเสเพลของตัวเองในอดีต

"แต่สุดท้าย มันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้หญิงด้วย ถ้าเขาหนักแน่นและไม่เล่นด้วย หรือไม่สนคำหวานแบบนั้น พวกกูก็ทำอะไรไม่ได้"

"แต่คนที่ชอบแบบนั้นมันก็มีสินะ..."

ซันซันพูดพลางหน้าสลด มันคงนึกถึงแตงขึ้นมา

"ถ้ากูเป็นแบบมึงมั่ง กูจะหาแฟนได้ไหมวะ? ไอ้ปรินซ์"

ผมเกาหัว

"มึงคิดอะไรบ้าๆ อีกแล้ววะ? มึงเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่ ไม่รู้นะ สำหรับกู ถ้ากูจะรักใครสักคน กูไม่แคร์หรอกว่าคนๆ นั้นจะเป็นยังไง จะไม่ดีพร้อมหรือไม่สมบูรณ์แบบก็ไม่เป็นไร ถ้ากูรักก็คือรัก ถ้าปากบอกว่ารักแต่ก็บอกว่าไม่ชอบตรงนั้น ไม่ชอบตรงนี้ อยากให้เปลี่ยนแบบนั้นแบบนี้ มันไม่ใช่รักแล้ว แล้วไอ้ที่แตงพูดอ้างนั่นอ้างนี่กับมึง มันก็แปลว่าเขาไม่ได้รักในสิ่งที่ตัวมึงเป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"

พูดออกไปแล้วผมแทบอยากตบปากตัวเองเมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในตาซันซัน มันนิ่งเงียบไปพักใหญ่



"กูอยากกินเหล้า!"

มันพูดโพล่งออกมาดังๆ

"ห๊ะ? ตอนนี้อ่ะนะ?"

ผมยกนาฬิกาขึ้นดู มันเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว

"เห้ย มึง มันดึกแล้ว ร้านเค้าปิดกันหมดแล้ว"

ผมพยายามเปลี่ยนใจมัน

"มึงไม่ต้องเลย ไอ้ปรินซ์ กูรู้ว่ามันมีที่เที่ยวที่เปิดแทบจะยันสว่างอยู่ แล้วมึงก็รู้ดีว่ามีที่ไหนมั่ง ไม่รู้ล่ะ กูอยากกินเหล้า กูอยากเที่ยว มึงพากูไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นกูจะไปของกูเอง"

ไอ้อ้วนของผมบทจะเอาแต่ใจมันก็ดื้อจนใครพูดอะไรไม่ฟังเลยครับ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เอ้า ไปก็ไป งั้นมึงกลับบ้านไปแต่งเนื้อแต่งตัวให้หล่อๆ ก่อนไป กูให้เวลาสิบห้านาที"

มันทำท่าดีใจแล้วรีบกลับบ้านไป ส่วนผมก็รีบครับ รีบโทรไปหาพ่อมัน ที่บ้านมันบอกผมให้คอยสังเกตอาการมันไว้และให้โทรรายงานเมื่อมีอะไร



"ผมว่าผมจะตามใจมันครับ อาเคียว เพราะดูทรงแล้ว ถึงผมไม่พามันไป มันก็จะไปเองอยู่ดี"

ผมพูดเมื่ออาเคียวพ่อของซันซันพูดแสดงความกังวลออกมา

"ในตอนนี้ ผมว่าใครห้ามอะไรมันก็คงไม่ฟังแล้วครับ ซันซันมันคิดไปแล้วว่ามันไม่อยากจะเป็นเด็กดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว"

จากที่ผมคุยกับมันมาหลายๆ วันนี้ มันเริ่มมีทีท่าจะใจแตกเอาแล้วครับ นอกเหนือจากที่มันพูดมาเมื่อกี้ มันยังบอกอีกว่า มันเป็นเด็กดีของพ่อแม่มานานแล้ว ตอนนี้มันอยากจะทำอะไรสุดเหวี่ยงตามใจตัวเองบ้าง

"ผมเลยว่าจะมาขออนุญาตอาครับ ผมจะขอพาซันซันออกเที่ยวกลางคืนกับผมและเจ ผมจะทำให้มันรู้สึกว่าตัวเองมีอิสระ ได้กินเหล้า ได้จีบผู้หญิง แต่ผมจะเป็นคนคอยกำกับดูแลทั้งหมดให้เอง..."

"จะดีเหรอ ปรินซ์? มันจะไม่เสียคนไปเลยงั้นเหรอ?"

พ่อของซันซันพูดด้วยความกังวล ผมก็พอจะเข้าใจครับ แต่ให้มันไปเสเพลกับผมยังดีกว่าปล่อยให้มันไปเอง

"ไม่ต้องห่วงครับอา ผมผ่านเรื่องพวกนี้มาหมดแล้ว  ผมเห็นมาหมดแล้วว่าอะไรทำได้ทำไม่ได้ ผมขอสัญญาเลยว่าผมจะดูแลซันซันให้ดีที่สุดและไม่ให้มันได้ไปเจออะไรที่อันตรายแน่ๆ "

ทางปลายสายอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนที่จะส่งเสียงถอนหายใจออกมา



"ได้ งั้นอาฝากซันซันด้วยนะ ปรินซ์ อาไว้ใจเรานะ"

ผมรับคำ และนั่นคือสิ่งที่ผมทำอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ออกเที่ยวด้วยกัน ผมไม่เคยกินเหล้าจนเมาและจะพามันกลับบ้านโดยสวัสดิภาพเสมอ หรือถ้าคืนไหนผมเกิดอยากดื่มขึ้นมา พวกผมก็จะไปอาศัยนอนค้างที่คอนโดของเจ ส่วนเรื่องผู้หญิงนั้น ผมเป็นคนหาให้ซันซันเองทั้งนั้น สาวๆ ที่มันเข้าใจว่าตัวเองจีบได้หลายคนเป็นสาวๆ ไซด์ไลน์ที่ผมรู้จักและชัวร์ว่าปลอดภัยแน่ หลายคนก็เป็นเด็กๆ ที่ผมเคยสนิทสนมด้วย บางส่วนก็เป็นผมเป็นคนจีบมาให้ตอนที่มันเมามากจนจำไม่ได้

แต่ผมก็ไม่ได้ควบคุมมันไปทั้งหมดครับ หลังๆ มา บางทีผมก็จะปล่อยให้มันไปจีบสาวเองบ้าง แต่ผมก็จะคอยสกรีนดูว่าโอเคจริงๆ ไม่ใช่พวกที่จะมาจ้องจับ ถ้าดูไม่โอเค ผมก็จะชิงจีบตัดหน้ามันแบบที่มันชอบบ่นผมบ่อยๆ นี่คือสิ่งที่ผมทำตลอดมาจนถึงปัจจุบัน บางทีไอ้เจมันก็บ่นผมเรื่องนี้ครับ มันบอกว่าผมทำกับซันซันเหมือนเป็นปลาในตู้อควาเรียมขนาดใหญ่หรือสิงโตในซาฟารี คือเหมือนให้อิสระแต่ก็มีการควบคุมทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ผมก็บอกมันไปแล้วว่าผมคุมเฉพาะเรื่องสาวๆ ในที่เที่ยว แต่ถ้านอกเหนือจากนั้น มันจะไปเจอใครอื่นที่มันสนใจ ผมก็จะไม่ห้ามอะไรเลย ไอ้เจมันก็ได้แต่เบะปากใส่ผม


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.6 (ต่อ) ----




เอาล่ะๆ พอเรื่องนี้กันดีกว่านะ คุณจะตัดสินผมก็ได้ว่าผมโรคจิต ต้องการเก็บมันไว้หรือปกป้องมันเกินเหตุอะไรก็ช่างเถอะ ผมไม่ว่าหรอกครับ เอาเป็นว่าอย่างน้อยมันก็จะได้ทำตัวอย่างที่ตัวเองอยากทำ แต่ไม่ต้องมากลัวว่าจะเจ็บช้ำเพราะผู้หญิงอีกแล้ว เอางี้นะ ผมจะเล่าเรื่องคืนวันแรกที่ผมพาซันซันออกเที่ยวอีกครั้งให้คุณฟังก่อนดีไหม?

ในคืนนั้น ผมพาซันซันไปยังที่เที่ยวซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเปิดจนถึงใกล้รุ่ง  ต่อให้เป็นเวลาดึกดื่นหลังเที่ยงคืนแล้ว คนก็ยังคงคับคั่ง คงเพราะมันใกล้ช่วงปีใหม่ด้วยแล้วครับ ผมโทรชวนเจมาด้วย ไอ้ตัวดีนั้นเพิ่งออกจากห้องสาวมา แต่มันก็อุตส่าห์ลากสังขารมาหาพวกผม ที่นั่นผมทักทายพวกนักเที่ยวที่คุ้นๆ หน้ากัน สาวๆ หลายคนที่เคยคั่วอยู่กับผมก็เข้ามาทักทายว่าผมหายไปนาน

"เอ้า ชน!"

พวกผมสามคนยกแก้วเหล้าในมือขึ้นชนกัน ซันซันยกแก้วของมันขึ้นกระดกรวดเดียวจนเกือบหมด ก็ตามใจมันเลยครับ ผมชงให้มันอ่อนกว่าของผมอยู่แล้ว ผมยกแก้วในมือขึ้นทำท่าจิบ แต่ถ้าคุณสังเกตจะเห็นว่ามันแทบไม่พร่องครับ ผมเองก็ยังพยายามรักษาสัญญาที่ผมให้กับพ่อเรื่องจะไม่กลับไปเสเพลเหมือนเดิมเช่นกัน

"ป่ะ ไปเต้นกันดีกว่า"

ซันซันลุกพรวดขึ้นและดึงให้ผมลุกขึ้นด้วย ส่วนเจนั้นขอผ่านเพราะมันเพิ่งไปออกแรงมา ไอ้อ้วนของผมลากผมเข้าไปในห้องตื๊ดและเริ่มขยับร่างกายไปตามจังหวะเสียงเพลง มันมีทีท่าเก้ๆ กังๆ ในตอนแรกครับ แต่สักพักมันก็เริ่มชินและปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงในห้องที่เต็มไปด้วยนักท่องราตรี ผมเองก็ขยับร่างกายไปอย่างสนุกสนานจนไปชนเข้ากับสาวคนหนึ่ง

"อ้าว พี่ปรินซ์ สวัสดีค่ะ"

สาวสวยระดับพริตตี้คนหนึ่งยกมือไหว้ผมทันทีที่หันมาเจอ ผมจำได้ว่าเธอคือน้องแองจี้ หนึ่งในสาวไซด์ไลน์ที่เคยแฮงก์เอาท์กับกลุ่มพวกพี่อาร์ต เธอก็รอดจากการถูกจับในงานปาร์ตี้เซ็กส์หมู่เพราะไม่ได้เสพยาและไม่มีใครรู้ว่าเธอมา “ทำงาน” ในคืนนั้นและคิดว่าเธอเป็นแค่สาวรักสนุก ผมทักทายกับเธอตามประสาพี่น้องท้องชนกัน คุยกันได้สักพัก ผมก็ต้องสะดุ้งเพราะมีใครสักคนมาสะกิด



"มึง แนะนำให้กูรู้จักน้องเขาหน่อยสิ"

ซันซันยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ ตัวผม ผมลอบถอนหายใจเบาๆ และแนะนำสองคนนั้นให้รู้จักกัน เมื่อครู่ผมได้คุยกับแองจี้ไว้คร่าวๆ แล้วครับเรื่องซันซัน คืนนี้ผมจะจัดให้เพื่อนของผมได้มีความสุขสุดยอดสักครั้ง

"นี่ๆ มึงถามอะไรให้กูหน่อยได้ป่าว?"

ซันซันกระซิบผมตอนที่แองจี้ไปเข้าห้องน้ำ ผมพาน้องแองจี้มานั่งดื่มที่โต๊ะเพื่อให้ทำความรู้จักกับซันซัน เธอทำทีเป็นสาวรักสนุกที่ถูกใจไอ้อ้วนของผมและชวนไปต่อกันที่คอนโดของเธอ

"คือ กูไม่ค่อยมั่นใจว่ะ กลัวจะให้ความสุขน้องเขาได้ไม่พอ คือ นอกจากกับแตงแล้ว กูก็ไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นอีก"

เพื่อนของผมพูดเสียงอ่อยๆ ผมขมวดคิ้ว แล้วมันจะให้ผมทำอะไร

"มึงอยู่เป็นเพื่อนกูหน่อยได้ไหม?"

"เดี๋ยว หมายความว่าไงวะ?"

"มึงช่วยถามน้องเขาให้หน่อยได้ไหม ว่าทำแบบ 3P ได้หรือเปล่า?"

ผมมองหน้ามันเหมือนเห็นมนุษย์ต่างดาว ไอ้ซันซันที่เคยเขินอายม้วนต้วนต่อหน้าผู้หญิงเปลี่ยนไปแล้วครับ สุดท้ายผมก็ต้องทำตามมันขอ ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาครับ ผมก็แค่จ่ายเธอเพิ่มอีกแค่นั้น



เมื่อไปถึงคอนโดของแองจี้ พวกเราก็ไม่รอช้า ไม่นานพวกเราก็เปลือยกายกอดก่ายกันบนเตียงนุ่ม ซันซันจูบริมฝีปากอ่อนนุ่มของสาวน้อยคนสวยอย่างกระหาย

"ใจเย็นๆ ซัน"

ผมกระซิบบอกเมื่อมันตะโบมบีบหน้าอกเต่งตึงจนแองจี้อดนิ่วหน้าไม่ได้ ผมเข้าประกบปากกับเธอต่อจากซันซันซึ่งตอนนี้ง่วนอยู่กับถันคู่งาม ใจผมอดนึกไปถึงริมฝีปากของมันไม่ได้ นี่ผมกำลังจูบริมฝีปากที่ไอ้อ้วนของผมเพิ่งจูบไปเลยนะ ความคิดที่ว่าผมกำลังจูบมันทางอ้อมนั้นทำให้ผมตื่นตัวเต็มที่

"ปรินซ์ อูย กูเสียวมากเลยว่ะ"

ซันซันสูดปากและร้องครางลั่น ผมเองก็ขบกรามแน่นพร้อมกับเหนี่ยวสะโพกของแองจี้และกระแทกกายเข้าหนักๆ หากสายตาผมจับจ้องไปที่ซันซัน ใบหน้ามันเต็มไปด้วยความเสียวซ่านเมื่อแก่นกายมันถูกริมฝีปากของแม่สาวไซด์ไลน์ครอบครองไว้​

"ดีใช่ไหม ซันซัน เยี่ยมไปเลยจ้ะ แองจี้"

ผมครางกระเส่าและหลับตาและจินตนาการว่าตัวเองกำลังส่งแก่นกายเข้าช่องทางด้านหลังของไอ้อ้วนของผม เสียงครางด้วยความเสียวกระสันของมันยิ่งทำให้อารมณ์ของผมเตลิดไปไกล

"แหม พี่ปรินซ์ วันนี้เร็วเชียว"

แองจี้หัวเราะคิกคักแซวผมซึ่งหอบหนักๆ อยู่ ผมตบสะโพกกลมกลึงของเธอจนเจ้าตัวร้องออกมาเบาๆ

"พอๆ เลิกแซวแล้วไปจัดการเพื่อนพี่ต่อหน่อย สุดฝีมือเลยนะ"

แองจี้รับคำและผลักไอ้อ้วนของผมให้ลงนอน เธอฉีกซองถุงยางใส่ให้ซันซันและขึ้นคร่อมทันที ผมขยับกายลงจากเตียงมานั่งดูซันซันจนกระทั่งมันถึงจุดสุดยอด



หลังจากคืนนั้น ผมก็พาซันซันออกท่องราตรีทุกครั้งที่มันต้องการ ส่วนมากมักจบลงด้วยการที่มันเมาและผมก็เป็นฝ่ายขับรถพามันกลับมาที่บ้าน แต่ถ้าคืนไหนมันเมามากจนหลับคาผับ ผมก็จะพามันมานอนที่บ้านผม เพราะไม่อยากให้อาม่ามันเห็นสภาพของมัน หากคืนไหนที่มันได้สาว มันก็มักต้องพ่วงผมไปด้วยเสมอ เอ่อ ก็ไม่ได้หมายความว่าไป 3P แบบนั้นทุกครั้งหรอกนะครับ โดยมากเป็นแบบเปิดโรงแรมห้องข้างกันบ้าง แล้วก็มีแบบแลกคู่กันบ้าง เป็นแบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ครับ

นั่นคือชีวิตยามราตรีของพวกเรา ซึ่งก็มักจะออกเที่ยวกันช่วงสุดสัปดาห์ ส่วนชีวิตในด้านอื่นของซันซันกับผมก็ถือว่ากลับมาเป็นปกติแล้วครับ การที่ซันซันได้ปลดปล่อยตัวเองทำให้มันได้ระบายความเครียดและความเจ็บช้ำจากเรื่องของแตงไปได้บ้าง ถึงร่องรอยของความเจ็บปวดจะยังปรากฎให้เห็นได้ด้วยการที่มันปฏิเสธไม่คบหาผู้หญิงคนไหนแบบจริงจังอีก แต่อาการก็ถือว่าดีกว่าที่ครอบครัวของมันเป็นกังวลไว้เยอะครับ ส่วนช่วงกลางวัน มันก็มาช่วยงานที่ร้านเพชรของที่บ้านแทนที่จะไปทำงานในสายครัวแบบที่เรียนมา



"กูยังไม่พร้อมทำอาหารให้ใครกินตอนนี้ว่ะ"

มันเคยเปรยกับผมเมื่อยามมันเมา ในคืนนั้นพวกผมกลับมาจากปาร์ตี้ปีใหม่ที่ผับ xxxx ปีนั้นบ้านพี่จืดยังไม่ได้เริ่มจัดงานปีใหม่ประจำปีครับ พวกผมก็เลยไปสังสรรค์กันกับเพื่อนๆ ที่ผับนั่น หลังเคาท์ดาวน์เสร็จ พวกผมก็ตรงกลับบ้านทันที คืนนั้นซันซันของผมก็เมาเพียบอีกตามเคย ผมพามันกลับมานอนที่ห้องของผมเหมือนที่ทำเป็นประจำ หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว ซันซันก็นอนแผ่หมดสภาพอยู่บนเตียงโดยมีผมนั่งเล่นเกมในมือถืออยู่ข้างๆ ผมจำไม่ได้ว่าถามอะไรมันไป แต่มันก็นำมาสู่เรื่องที่ว่าทำไมมันถึงยังไม่คิดกลับไปเข้าครัวจริงจังอีก

"มึงรู้ไหม กูเคยทำอาหารให้ไอ้ห่านิคนั่นมันกินด้วยนะ หลายครั้งด้วย แตงเขาชอบชวนพวกเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาที่บ้าน พอมีแขกมากูก็ลงครัวเองตลอด มันแม่งชมกูด้วยนะว่าทำอาหารอร่อย กูก็อุตส่าห์ปลื้ม ตอนนี้พอกูมานึกถึงแล้วกูแม่งเสียดายที่ไม่ได้ถุยน้ำลายลงอาหารให้มันกิน"

ซันซันกระแทกเสียงหนักๆ มันบอกว่าเมื่อมานึกดูแล้ว ในตอนนั้นทั้งคู่นั้นน่าจะเริ่มคบหากันเรียบร้อยแล้ว

"ตอนนี้กูก็เลย ไม่หวายว่ะ กูไม่มีกะใจทำใจทำอาหารให้คนอื่นๆ ที่กูไม่รู้จักกินแล้ว กูคิดว่าต่อไปนี้กูจะทำอาหารให้แค่คนที่กูรักกินแค่นั้น"

มันพล่ามต่ออีกยืดยาวตามประสาคนเมา



"แล้วกูล่ะ มึงจะทำให้กูกินไหม?"

ผมถามขึ้นเบาๆ ซันซันจ้องหน้าผมแล้วยิ้มหวานให้

"ทำสิวะ กูก็รักมึงด้วยนี่ไอ้ปรินซ์"

โอย ไม่ไหวครับ ใจผมเต้นโครมครามจนแทบหลุดออกมาจากอก ต่อให้ผมรู้ว่าคำว่ารักของคนเมานั้นมันหมายถึงรักฉันท์เพื่อนก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมชุ่มชื่นหัวใจได้

"แล้วมึงอยากกินอาราย เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ากูทำให้กิน แต่เอาแบบไม่ต้องใช้มีดนะ อาม่ากูห้ามกูจับมีดเด็ดขาด"

ซันซันหัวเราะคิกคัก นอกจากห้ามยุ่งกับของมีคมแล้ว อาม่าของมันยังห้ามไม่ให้มันอยู่ในครัวโดยลำพังด้วยกลัวว่ามันจะคิดสั้นอีก มันจึงทำได้แค่ช่วยแม่ทำอาหารก๊อกๆ แก๊กๆ ไป แค่นั้น

"กูก็บอกว่ากูเลิกคิดแล้ว ม่าก็ไม่เชื่อกู..."

"ก็มึงดันซุ่มซ่ามวันนั้นเองนี่หว่า"

ผมโคลงหัว เรื่องของเรื่องคือหลังจากเกิดเรื่องได้สักสองสามวัน ไอ้ซันมันก็เข้าครัวครับ แต่ด้วยความที่ยังเบลอ สติสตังยังไม่อยู่กับร่องกับรอยดี มันเผลอทำมีดบาดตัวเอง แผลไม่ใหญ่หรอกครับ แต่อาม่ามันคิดไปว่ามันพยายามจะคิดสั้นอีกครั้ง ทีนี้มันก็เลยโดนคุมแจ

"กูก็ไม่ได้คิดแล้วจริงๆ ตอนนั้นมันแค่อารมณ์ชั่ววูบ พอตอนนี้กูมานึกๆ แล้ว มันไม่คุ้มเลยที่จะเอาชีวิตกูไปแลกกับพวกนั้น ไม่คุ้มจริงๆ..."

ไอ้อ้วนของผมพูดเสียงเครือ

"ขอบใจมึงจริงๆ นะปรินซ์ ที่ช่วยกูไว้ กูจะไม่ลืมเลย ไม่ลืมเลย"

ซันซันน้ำตาร่วง มันพลิกตัวมากอดผมที่นั่งอยู่และซบหน้าลงสะอื้นเบาๆ ผมนั่งตัวแข็ง ก็ตำแหน่งที่ไอ้คนเมามันซบหน้าลงมามันคือกลางลำตัวผมพอดีครับ ลมหายใจอุ่นๆ ของมันที่เป่ารดผ่านกางเกงนอนเนื้อบางทำให้ผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว



"ซันซัน..."

ผมเขย่าตัวมัน แต่ไอ้อ้วนของผมมันนอนหลับหมดสภาพไปแล้วครับ ผมค่อยๆ ขยับมันให้กลับไปนอนบนหมอนเหมือนเดิม ผมลงนอนเคียงข้างและจ้องมองใบหน้ากลมๆ ที่ผมคุ้นเคยมาตลอดชีวิต ผมเกือบเสียมันไปแล้วครับ เกือบไปแล้วจริงๆ ใจผมแทบขาดเมื่อหวนนึกถึงภาพมันอมปากกระบอกปืนไว้และรอเหนี่ยวไก ผมจะไม่ยอมให้เกิดอะไรแบบนี้กับมันอีกเป็นอันขาด ผมจะดูแลมันและปกป้องมันเท่าที่ผมจะทำได้

"ซันซัน...ไอ้อ้วนของกู..."

ผมไล้มือไปตามกรอบหน้าของมัน ใบหน้ายามหลับของมันช่างดูสงบเหลือเกิน

"ปีใหม่นี้ กูขอสัญญา กูจะอยู่เคียงข้างมึงและคอยดูแลมึงแบบนี้ไปตลอดนะ"

ผมกระซิบที่ข้างหูมัน และโดยไม่รู้ตัว ผมประทับจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากที่เผยอน้อยๆ ของมันเพื่อเป็นการตอกย้ำคำสัญญาของผม คำสัญญาที่ผมให้มันทุกวันปีใหม่นับจากวันนั้นเป็นต้นมา



วันเวลาของผมกับมันผ่านไปเรื่อยๆ ครับ นับตั้งแต่เรื่องยุ่งๆ ในครั้งนั้น พวกเราใช้ชีวิตไปกับการทำงานเต็มตัว ผมเข้ามาดูแลเรื่องบัญชีของร้านโดยมีพี่คิงเป็นคนจัดการเรื่องการตลาดและการซื้อขายทอง ป๊าของผมเริ่มที่จะวางมือทีละน้อย ส่วนอากงของผมก็ปล่อยร้านให้อยู่ในมือลูกหลานแล้วครับ ท่านมีความสุขไปกับการไปรำไท่จี๋ชี่กงกับกลุ่มผู้สูงอายุที่ลานสามกษัตริย์ในตอนเช้า ส่วนบ่ายๆ มาท่านก็ไปขลุกอยู่ที่ศาลเจ้าปุงเถ่ากงที่หลังกาดดอกไม้ ไม่ก็ที่สมาคมจีนสักที่ ผมก็ไม่แน่ใจครับว่าที่ไหน ท่านชอบบอกว่าไปหาเพื่อน แต่จริงๆ ก็เป็นอันรู้กันครับว่าท่านไปเพื่อเล่นไพ่นกกระจอก นอกจากทำร้านแล้ว ผมก็เริ่มสนใจเรื่องการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือกองทุนต่างๆ ซึ่งก็ทำเงินให้ผมได้ดี ผมรู้สึกว่าผมมีหัวด้านนี้ครับ

ส่วนซันซันนั้น ตลอดหลายปีมานี้ มันก็ยังคงไม่ยอมกลับไปทำงานด้านการครัวอย่างเต็มตัวเหมือนเดิม มันไปช่วยที่โรงแรมของแฟนไอ้ครีมบ้างเวลาที่มีจัดอีเวนท์เพื่อที่จะได้ไม่ลืมวิชา อาชีพหลักของมันในตอนนี้คือเป็นคนเอนเตอร์เทนอาม่าครับ มันคอยขับรถพาท่านไปนั่นมานี่ ไปซื้อของ ไปทำผมทำเล็บ อาชีพรองของมันก็เหมือนกับผมคือคอยช่วยดูเรื่องบัญชีซึ่งมันก็ได้พื้นฐานมาจากตอนเรียนจัดการการโรงแรม ส่วนคนที่ก้าวเข้ามาช่วยพ่อแม่ของมันจัดการร้านจริงๆ จังๆ คือน้องเจดที่เรียนจบด้านอัญมณีวิทยาจากมช. มาครับ



ทุกวันหลังร้านปิดตอนหกโมง ผมก็จะกลับมากินข้าวกับที่บ้านซึ่งผมทำเป็นกิจวัตร เว้นแต่จะมีเพื่อนชวนออก แต่ถ้าวันไหนซันซันนึกครึ้มอกครึ้มใจลงครัวทำมื้อใหญ่ มันก็จะเชิญบ้านผมมากินข้าวที่บ้านมันด้วย เหมือนอย่างวันนี้

"บีฟ เวลลิงตันครับ"

ซันซันยกถาดเหล็กใส่เนื้อสันอบซึ่งหุ้มด้านนอกด้วยแป้งพาย ไอ้อ้วนของผมเสิร์ฟอาหารของมันวันนี้แบบตะวันตก มันเริ่มคอร์สด้วยเมล่อนพันด้วยปาร์มาแฮมซึ่งเสิร์ฟให้คนละชิ้น  ตามด้วยซุปแครอทเนื้อเนียนรสชาติเยี่ยมและสลัดผักโครงการหลวงใส่ชีสนมแพะราดด้วยน้ำสลัดมัสตาร์ดน้ำผึ้ง จากนั้นก็ถึงเวลาของเมนคอร์สซึ่งมันเพิ่งยกออกมานี้

ซันซันหั่นเนื้อสันก้อนงามที่พอกด้วย Paté หรือตับบดที่มันบอกว่าทำมาจากฟัวกราส์ตับเป็ด จากนั้นหุ้มด้วยแป้งพายแล้วนำไปอบจนเป็นสีเหลืองทอง มันตัดแบ่งเนื้อที่ยังเป็นสีชมพูสวยด้านในใส่ลงจานให้แต่ละคนในขณะที่ลูกมือของมันอย่างน้องเจดก็ยกจานปลากะพงอบสมุนไพรและเลม่อนมาให้อาม่าซึ่งคุมอาหารอยู่

"ยังจัดเต็มเหมือนเดิมเลยนะมึง"

ผมกระซิบเพื่อนรักที่นั่งเคี้ยวผลงานของตัวเองตุ้ยๆ อยู่ข้างๆ

"ก็นานๆ กูลงครัวที จะให้มาทำนิดๆ หน่อยๆ อย่างสองอย่างเหรอวะ"

มันจิ้มเครื่องเคียงของเนื้ออบอย่างมะเขือเทศอบบัลซามิคเข้าปาก แล้วเอ่ยปากชมออกมาเบาๆ มันบอกว่ามันปล่อยให้น้องสาวทำเครื่องเคียงนี้เอง

"ตอนนี้กูกำลังสอนยัยเจดมันทำอาหาร พอแต่งงานไปจะได้ทำอะไรอร่อยๆ ให้ผัวกินมั่ง ไม่ใช่ให้กินแต่ไข่เจียว"

"เฮ้ย พี่ซัน หนูได้ยินนะ ไม่ต้องเม้าเลย"

น้องสาวคนสวยของซันซัน ว่าที่เจ้าสาวซึ่งมีกำหนดแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนนี้โวยข้ามโต๊ะอาหารมา แฟนของเจดซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกและว่าที่อาจารย์ของสาขาวิชาอัญมณีวิทยายิ้มเขินๆ เมื่อถูกพาดพิง ทุกคนบนโต๊ะอาหารยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปกับการโต้เถียงของพี่น้องคู่นี้ ผมมองภาพแห่งความสุขนี้ด้วยความอิ่มเอมใจ มันลบภาพแห่งความทุกข์และความขมขื่นเมื่อเกือบห้าปีที่แล้วไปได้จนหมด ชีวิตของซันซันดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทางอีกครั้งทั้งด้านการงานและชีวิตส่วนตัว มันกระทั่งเริ่มเดทอีกครั้ง แต่ก็ดูเหมือนว่ามันยังไม่เจอใครถูกใจ



"วันนี้อร่อยโคตรเลยว่ะ เนื้อนิ้มนิ่ม ตับห่านก็อร่อย มันบดก็เนื้อเนียนมาก แล้วบัตเตอร์เค้กที่เสิร์ฟตอนสุดท้ายก็หอมเนยสุดๆ ไหนมึงว่าไม่ถนัดทำขนมไงวะ?"

"เค้กน่ะ ฝีมือแม่กู กูทำขนมได้เรื่องซะที่ไหนล่ะ ที่กูไปเรียนก็เน้นแต่อาหาร"

ซันซันหัวเราะเบาๆ ตามันจ้องอยู่กับไอแพด​ ผมพยักหน้ารับคำแล้วก็หยิบเอาโน้ตบุ้คขึ้นมาเปิดงานของร้านที่ทำค้างไว้ขึ้นมา คืนนี้ผมมาค้างบ้านไอ้ซันแทนที่มันจะไปค้างบ้านผม

"เฮ้ย!"

ไอ้อ้วนอุทานขึ้นมาเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอ ซันซันรีบส่งไอแพดของมันให้ผมทันที

"ปรินซ์ มึงดูนี่สิ นี่มันไอ้เจใช่ไหม?"

ผมรับมาดู คุณผู้อ่านคงพอเดาได้ว่ามันเอาอะไรให้ผมดู ใช่ครับ มันคือคลิปแรกที่ป๋าถ่ายไอ้เจแล้วเอามาลงเพจ Valentin de la Rosa นั่นแหละครับ

“กูก็รู้นะว่าสาวๆ เค้าชมไอ้เจว่ามันหน้าตาน่ารัก แต่กูไม่เคยมองมันแบบนั้น แต่ในคลิปนี้ มันน่ารักสุดๆ เลยว่ะ ทำไมมันดูยั่ว ดูน่ากินขนาดนี้วะ เพื่อนกู”

ไอ้ซันพึมพำเบาๆ ผมรีเพลย์คลิปนั้นอีกครั้ง จริงอย่างซันซันว่าครับ เจที่ดูมีท่าทางเขินอายผิดกับเวลาที่อยู่กับพวกผมช่างดูน่ารักนัก ไหนจะขาขาวๆ ของมันที่โผล่พ้นเสื้อยืดตัวโคร่งออกมากับป๋าที่ใส่แค่กางเกงนอนทำให้คนคิดไปไกลเลยครับ

“ซัน แล้วไอ้ฝรั่งนั่นใครวะ? มึงไปเอาคลิปนั่นมาจากไหน?”

ผมถามอย่างสงสัย ผมดูฉากหลังแล้ว คลิปจากยูทูบนั้นถ่ายที่ห้องคอนโดไอ้เจนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินนะว่ามันคบหาฝรั่งที่ไหนอยู่ แถมยังเป็นผู้ชายอีกต่างหาก

“เห็นจากหน้าเฟซบุ๊คของเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่ออสอ่ะ กูกำลังส่งไปถามมันอยู่ว่าได้มาจากไหน”

ซันซันพิมพ์ข้อความโต้ตอบกับเพื่อนฝรั่งของมัน ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมากดคลิปที่ซันซันแชร์มาให้ดูอีกครั้ง ดูหน้าแดงๆ ของมันตอนที่ป๋าพูดชมมันที่โต๊ะกินข้าวสิ มันเป็นสีหน้าที่พวกผมไม่เคยเห็นมาก่อน



“ฮึ่ย ไอ้ปรินซ์ ส่งเข้าไลน์กลุ่มของสาขาฯ จะดีเหรอวะ?”

ซันซันจุ๊ปากเมื่อเห็นผมส่งคลิปนั้นเข้าไลน์กลุ่มเพื่อนที่เรียนการโรงแรม

“น่า กูอยากรู้ว่าไอ้เจมันจะว่าไง หนอยๆ ไม่นานนี้ยังฟัดสาวอยู่กับกูแท้ๆ จู่ๆ จะมาหนีไปมีผัวแล้วเหรอวะ”

ผมพูดกลั้วหัวเราะพลางพิมพ์โต้ตอบกับเพื่อนๆ บางคนที่ยังเข้าเวรกะดึก เชื่อว่าภายในตอนเช้าไลน์กลุ่มนี้คงแทบระเบิดเลยทีเดียว

"งั้นกูแชร์ด้วย"

ซันซันพูดยิ้มๆ แล้วกดแชร์เพจจากหน้าเพื่อนขึ้นหน้าเฟซของตัวเอง ที่เขาว่าคลิปหลุดหรืออะไรที่ออนไลน์แล้วมันจะแพร่ไปอย่างเร็วและจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์นี่คงเป็นความจริงครับ เจมันถึงได้เมสเสจกับถูกแท็กเป็นร้อยในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นไงครับ



"แล้วเพื่อนมึงบอกมาไหมว่าไอ้ฝรั่งล่ำนั่นมันเป็นใคร?"

ผมถามไอ้อ้วนของผมอีกครั้ง

"อ๋อ เพื่อนกูว่าเป็นบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวกับไลฟ์สไตล์ที่เขียนลงเว็บ xxxx อ่ะ ดังอยู่ คนตามเยอะเชียว"

ผมครุ่นคิดนิดหนึ่ง ในตอนนั้นผมก็ใช้บริการเว็บของป๋าแกบ่อยเวลาหาข้อมูลเรื่องโรงแรมกับตั๋วเครื่องบินครับ

"กูว่ากูเคยอ่านผ่านๆ ว่ะ ที่เป็นเกย์ไฮโซใช่ไหม?"

ซันพยักหน้า

"น่าจะคนนั้นแหละ ไอ้เจไปรู้จักเขาได้ไงวะ?"

"อืมม์ เห็นเจมันว่าช่วงนี้มันไม่ว่าง มีเพื่อนพี่นพมาค้างที่ห้องแล้วมันต้องพาเขาเที่ยวด้วย ก็สงสัยจะคนนี้ล่ะมั้ง?"

ซันซันทำท่านึกได้

"กูว่า ไม่ศุกร์ก็เสาร์นี้เรานัดเจอไอ้เจสักทีดีไหม? กูอยากเผือก"

ผมรับคำมันและจัดการนัดเจตอนที่มันโทรมาด่าผมเรื่องแปะคลิปลงไลน์กลุ่มครับ ผมกับซันซันเจอป๋าฆาเบียร์ครั้งแรกก็คราวนั้น ตอนแรกผมก็เขม่นแกเล็กๆ ล่ะครับ เป็นเกย์แท้ๆ แต่ก็ดันมาส่งฟีโรโมนฟุ้งจนสาวๆ หันมามองกันเป็นแถว มันน่าหมั่นไส้ไหมล่ะครับ



คืนนั้นจบลงยังไงไอ้เจคงเล่าให้พวกคุณฟังแล้ว พวกผมที่นั่งดื่มกันอยู่ข้างนอกงงเป็นไก่ตาแตกกันเมื่อเจมันรีบวิ่งตามป๋าฆาเบียร์ออกไป

"เมีย? กูนึกว่ามันเป็นเมียเค้าซะอีกนะเนี่ย"

ผมพูดด้วยความมึนงงเมื่อเจมันบอกว่ามันจะรีบไปง้อเมีย ก็ดูรูปร่างสิครับ ไอ้ตัวเล็กๆ บางๆ อย่างไอ้เจเนี่ยนะจะเป็นฝ่ายกดป๋าที่หุ่นงามล่ำสันขนาดนั้น ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ ครับ ส่วนไอ้ซันพอหายงงแล้วมันก็หัวเราะหึๆ

"ใครจะผัวจะเมียกูก็ไม่รู้ละ แต่กูรู้ว่าไอ้เจเพื่อนกูตกถังข้าวสารแน่นอน"

"หือ? ทำไมมึงว่างั้นวะ? ไอ้ฝรั่งคนนี้มันรวยมากเลยเหรอวะ?"

ผมถาม ตอนนั้นผมดูเสื้อผ้าที่ป๋าแกใส่แล้ว มันก็เป็นของยี่ห้อแหละครับ แต่ผมก็ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ฝรั่งจะซื้อเสื้อผ้าแพงๆ ใส่ หากซันซันบอกผมว่าไม่ใช่ที่เสื้อผ้าที่บอกว่าป๋าแกมีตังค์

"ถ้าตากููไม่พลาด ไอ้ตุ้มหูสีน้ำเงินนั่นน่ะ ไม่ใช่พลอยแน่ๆ เม็ดนั้นมีสักกะรัตกว่าๆ ชัวร์!"

ซันซันพูดอย่างมั่นใจ ผมตาเหลือกเมื่อได้รู้ว่าไอ้ที่ผมนึกว่าเป็นพลอยเม็ดเบ้งนั้นน่าจะเป็นเพชร ผมมั่นใจในสายตาซันซันครับ มันเรียนรู้ทุกอย่างมาจากแม่มันซึ่งเป็นที่ร่ำลือว่าตาแหลมคมดูอัญมณีเก่งอันดับต้นๆ ของวงการ และผมเองก็พอรู้มาบ้างว่าเพชรสีโดยเฉพาะที่เห็นสีสดชัดเจนนั้นราคาสูงแค่ไหน แล้วไอ้เม็ดนั้นน่ะเข้มจนเหมือนไพลินเลยครับ



"ไอ้เจมันคงจริงจังกับฝรั่งคนนี้น่าดูเลยว่ะ"

ซันซันเปรยขึ้นมาเบาๆ หลังเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ หัวข้อสนทนาของพวกเราก็ยังคงเกี่ยวกับเจและ "เมีย" ฝรั่งของมัน

"นั่นสิ กูไม่เคยเห็นมันมีท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน"

ต่อให้ไอ้เจมันคบหาแต่ผู้หญิงที่รักสนุกเหมือนกับมัน แต่ก็มีบ้างที่ผู้หญิงบางคนเขาเกิดจริงจังขึ้นมาและมีการหึงหวงกันขึ้นเวลาที่เห็นเจไปกับคนอื่น ฉะนั้นไอ้ภาพคล้ายๆ เมื่อกี้แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินน้ำตาคลอหนีไอ้เจกับสาวอีกคน หรือไม่ก็มาด่า หรือกระทั่งเอาเหล้าสาดหน้าน่ะ เป็นเรื่องที่พวกผมเคยเห็นกันมาบ้าง ไอ้เจมันก็ไม่ค่อยแสดงอาการอะไร อย่างมาก็แค่ยักไหล่แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร หรืออาจจะบ่นเล็กๆ น้อยๆ แต่ไอ้ที่วิ่งตามไปง้อน่ะ เพิ่งเคยเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยครับ

"กูหวังว่ามันจะง้อได้สำเร็จว่ะ..."

ซันซันพูดขึ้นเบาๆ และยกแก้วขึ้นจิบ

"ไม่รู้นะ ถึงได้เจอกันแป๊บเดียว กูก็ว่ากูถูกชะตากับฝรั่งคนนี้อยู่"

ผมพยักหน้าเบาๆ ต่อให้ผมหมั่นไส้ป๋าแกเล็กๆ ในตอนแรก แต่พวกเราก็ได้คุยกันบ้างก่อนที่ป๋าเขาจะเข้าไปตามเจในห้องเต้น แกคุยสนุกอยู่ครับ

"ขอให้มันง้อเมียมันสำเร็จแล้วกันนะ"

ผมยกแก้วในมือขึ้นชนกับซันซัน

"อืมม์ ขอให้มันได้แฟนเป็นตัวเป็นตนซักทีแล้วกัน จะได้ไม่ต้องมาแย่งสาวๆ กับกูอีก"

ไอ้ซันพูดยิ้มๆ ผมหัวเราะเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก



"ไอ้ซัน..."

ผมเรียกซันซันเบาๆ ตอนที่ผมกำลังขับรถพามันกลับบ้าน

"หือ? ว่าไง มีอะไรวะ?"

มันที่กำลังเคลิ้มจะหลับสะดุ้งตื่นขึ้นและหันมาหาผม

"ถ้าไอ้เจมีแฟนเป็นผู้ชายจริงๆ มึง คิดว่าไงวะ? รับได้ไหม?"

มันมองหน้าผมงงๆ

"รับได้สิ ถามแปลกๆ นะมึง หรือว่ามึงรับไม่ได้? เป็นโฮโมโฟเบียเหรอ มึงอ่ะ?"

"เห้ยๆ ไม่ใช่แบบนั้น กูแค่สงสัยเฉยๆ..."

ผมถอนหายใจและไม่ถามอะไรต่ออีก

"อืมม์ กูก็สงสัยเหมือนกัน..."

ซันซันพูดทำลายความเงียบขึ้น

"สงสัยว่าคนที่ชอบผู้หญิงมาตลอดชีวิตอย่างไอ้เจ อยู่ๆ มันจะมาจริงจังกับผู้ชายน่ะ เป็นไปได้เหรอวะ?..."

มันหันขวับมาหาผม

"แล้วมึงล่ะ ไอ้ปรินซ์? มึงเคยคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชายได้หรือเปล่า?"

"มึงเมาจนพูดเลอะเทอะแล้วซัน นอนไปเหอะ"

ผมรีบตัดบท มันทำหน้าบูดใส่ผมแล้วก็หลับตาลง ผมขับรถต่อไปเงียบๆ ถ้าผมบอกมันว่าได้ มันจะคิดยังไงกับผมกันนะ



"แต่สำหรับกูนะ ไอ้ปรินซ์ ถ้ากูเจอคนที่รักกูจริง และกูก็รักเขา กูไม่สนหรอกว่าจะเป็นเพศอะไร อายุเท่าไหร่ หน้าตารูปร่างแบบไหน ถ้าจริงใจกับกูและจะไม่หักหลังกูเหมือนที่แตงทำ กูก็พร้อมจะจริงใจด้วย"

ซันซันพูดอ้อแอ้ออกมาทั้งที่หลับตา ผมแอบเห็นน้ำตาหยดน้อยๆ ที่หางตามัน มันขยับปากพูดต่อ

"...อย่างมึงอ่ะไอ้ปรินซ์ ดีกับกูขนาดนี้ ถ้าจีบกูนะ กูรักตายเลย"

ผมรีบพารถเข้าจอดข้างทางทันที หัวใจผมมันสั่นระรัวจนระงับไม่อยู่ ผมรีบหันกลับไปหามัน แต่ก็พบว่ามันกรนคร่อกไปแล้วครับ ผมถอนหายใจเบาๆ ผมไม่ควรจะไปใส่ใจคำพูดของคนเมามากนัก วันพรุ่งนี้มันคงจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้

"กูก็อยากบอกนะว่ากูรักมึง ซันซัน"

ผมพึมพำออกมาเบาๆ

"แต่มึงจะรักกูตอบได้จริงๆ เหรอ? ไอ้อ้วน?"

ผมไล้นิ้วไปตามแก้มกลมๆ ของมัน และหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมันยกมือปัดด้วยความรำคาญ ผมปรับเบาะมันให้เอนนอนและออกรถพามันกลับบ้านไป



กว่าเดือนหลังจากผมเจอเจกับป๋าฆาเบียร์ในวันนั้น ผมก็ไม่ค่อยได้เจอมันอีก มันบอกว่าช่วงนี้มันงานยุ่งเพราะรับงานแปลมาเยอะ แต่ช่วงหลายวันมานี้ มันกลับมาออกเที่ยวกับพวกผมแทบทุกคืนครับ คือปกติพวกผมจะออกเที่ยวกันสัปดาห์ละสองสามคืน แต่ช่วงนี้มันโทรเรียกพวกผมออกมาแทบทุกคืน พอมาเจอหน้ากัน มันก็ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา เอาแต่ซดเหล้าโฮกๆ แล้วก็นั่งซึม ไม่ไปหาสาวเหมือนทุกที

"ผิดปกติว่ะ ไอ้ปรินซ์ ไอ้เจมันดูอาการไม่ดีเลย"

ซันซันแอบบ่นกับผม ปกติมันจะเป็นคนที่ซดเหล้าจนเมามากกว่า ไม่ใช่เจ

"กูก็ว่า ทุกทีมันต้องไปเต้นๆๆ แล้วก็หลีสาวแล้ว แต่นี่มันกะมาเมาอย่างเดียว"

"อือ อาการเหมือนกูตอนนั้นเลย"

ซันซันพูดถึงช่วงวิกฤติชีวิตของมัน ผมเม้มปากแน่นและคิดว่าไอ้ฝรั่งเวรคนนั้นคงทิ้งเพื่อนผมไปแล้วแน่ๆ

"กูว่าเราคงต้องถามมันแล้วว่ะ ให้มันเล่าออกมาให้หมด ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ "

ซันซันพยักหน้า พวกเรานัดแนะกันว่าคืนนี้เราจะชวนเจออกบ้านมาอีกครั้ง




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- [SP] P.S. แอบรัก Pt.6 (ต่อ) ----



"ไอ้เจ สาวโต๊ะนู้นเหล่มึงอ่ะ"

ซันซันใช้ศอกสะกิดเจให้หันไปมองสาวหุ่นเซี๊ยะที่โต๊ะข้างๆ สาวคนนั้นชูแก้วทักทายเจ แต่มันทำเมินเลยครับ ผมกับซันซันมองหน้ากัน

"มึงเป็นอะไรวะ ไอ้เจ แล้วนี่เมีย เอ๊ย เพื่อนมึงไปไหน?"

ผมตัดสินใจถามมันตรงๆ เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เขาหนีกูไปแล้ว"

มันตอบเสียงเครือ พวกผมลนลานทำอะไรไม่ถูกตอนที่น้ำตามันเริ่มไหลพราก ผมไม่เคยเห็นมันอาการหนักขนาดนี้มาก่อน ตอนที่มันกับครีมตัดสินใจเป็นแค่เพื่อนกันและพยายามฝังความรู้สึกที่มีให้ต่อกัน อาการมันยังไม่หนักขนาดนี้เลยครับ แล้วนี่อีกฝ่ายเป็นผู้ชายทั้งแท่ง จะให้ผมปลอบมันยังไงดีครับ



"กูรู้สึกดีกับเขามากๆ เลยนะ พวกมึงรู้ไหม? "

ไอ้เจพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่พวกผมรู้ดีว่ามันกรึ่มมากจนจะฟุบอยู่แล้ว

"อือ กูรู้ๆ มึงเอาคีย์การ์ดมึงมาก่อน ไอ้เจ"

เจตบๆ กระเป๋าแล้วหยิบคีย์การ์ดออกมา ผมใช้มันแตะที่หน้าประตูแล้วประคองมันเข้าห้องไป พอถึงห้อง

"เขาก็บอกว่าเขาชอบกู รู้สึกดีกับกู แต่ทำไมอยู่ๆ ก็มาหายไปวะ..."

เจน้ำตาไหลพรากอีกครั้ง ตอนที่ผมกับซันซันพยายามเปลี่ยนชุดให้มัน

"หรือผู้ชายด้วยกันมันจะได้แค่นี้? แค่สนุกด้วยกันแค่นั้น รักกันจริงจังไม่ได้? กูไม่เข้าใจว่ะ"

ผมอึ้งไปเมื่อได้ยินคำว่ารักจากปากของเจ มันจริงจังกับผู้ชายที่มันอยู่ด้วยแค่เดือนเดียวขนาดนั้น ซันซันเองก็แอบสบตากับผม

"มึงรักเขาเหรอวะ เจ?"

ซันซันแอบถาม มันพยักหน้า

"ใช่ กูรักเขา รักจริงๆ นะ รักโคตรๆ เลย ฆาบี้ของกู เมียของกู แต่กูไม่เคยบอกเขา กูไม่กล้าบอก..."

มันพูดพึมพำๆ อีกสองสามประโยคแล้วก็กรนคร่อกออกมา ผมกับซันซันมองหน้ากัน เราค่อยๆ คลี่ผ้าห่มคลุมตัวให้มันและเฝ้าดูอยู่พักหนึ่งให้แน่ใจว่ามันหลับแล้วแน่ๆ จึงออกจากห้องมันมา ตลอดทางกลับบ้าน ผมเอาแต่นั่งคิดที่เจมันพร่ำเพ้อออกมา กับผู้ชายด้วยกันมันจะได้แค่นี้จริงๆ หรือ? เพราะพวกเราไม่สามารถแต่งงานอยู่กินสร้างครอบครัวแบบผู้หญิงได้ จึงทำให้ความรักของเรามันด้อยค่ากว่ารักของชายหญิงจริงๆ อย่างนั้นหรือ ผมเถียงมันอยู่ในใจครับ ผมมั่นใจว่าความรักที่ผมมีให้ซันซันนั้นแข็งแกร่งมั่นคงแน่นอน แต่แค่ว่าผมต้องเก็บงำมันไว้และแสดงออกไม่ได้



"มึงคิดไหมว่าผู้ชายด้วยกันจะรักกันได้จริงๆ "

จู่ๆ ซันซันก็พูดโพล่งขึ้นมาตอนผมจอดส่งมันที่หน้าประตูบ้าน ผมอึ้งและหันไปมองหน้ามัน

"ไม่รู้สิ แล้วมึงล่ะ คิดว่าไง?"

ผมไม่ตอบแต่ย้อนถามกลับไป ไอ้อ้วนของผมครุ่นคิดนิดหนึ่ง

"อืมม์ ถ้าเป็นเมื่อก่อน กูไม่เชื่อว่ะ แต่ในตอนนี้ พอเห็นโลกมามากขึ้น กูคิดว่าเป็นไปได้"

มันพูดอย่างหนักแน่น ผมพิจารณาดูมันอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่มันพูดเรื่องความรักของคนเพศเดียวกันกับผม หากคืนนี้มันไม่ได้เมาเพียบเหมือนคราวที่แล้ว

"อย่างไอ้เจ กูไม่รู้นะว่ามันจะแค่หลงของใหม่หรือว่ามันรักของมันจริงๆ แต่ในความคิดของกูแล้ว ถ้าสักวันมันเจอรักแท้ของมันจริงๆ ไม่ว่าคนที่มันรักจะเป็นอิตาฆาเบียร์คนนี้ หรือว่าเป็นผู้หญิงที่ไหน กูก็ดีใจกับมันทั้งนั้น มึงคิดเหมือนกูป่าว?"

ผมพยักหน้า แน่นอนครับ สำหรับคนที่เป็นเพื่อนอย่างผม ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แต่ถ้ามันทำให้ไอ้เจมีความสุขเหมือนช่วงที่แล้วได้ ผมก็ยินดีกับมันทั้งนั้น

"ถ้างั้นเราคงต้องช่วยมันหน่อยอ่ะ"

ซันซันพูดกับผม สุดท้ายพวกเราก็ไลน์ไปหาพี่นพเพื่อเล่าอาการของไอ้เจให้ฟัง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เขาไปจัดการกับมันยังไง แต่ผมคิดว่าพวกคุณๆ คงรู้กันแล้ว ผมรู้แค่ว่าสุดท้ายไอ้เจก็ต้องเดินทางด่วนไปฮ่องกงและใช้เวลาอยู่ที่นั่นนับสิบวัน มันกลับมาพร้อมความสดใสและท่าทางของคนที่มีสุขในความรัก มันเล่าให้พวกผมฟังถึงตัวตนและหน้าที่การงานที่แท้จริงของป๋าฆาเบียร์อีกทั้งข้อตกลงที่มันทำไว้กับป๋า มันบอกว่ามันออกจะหนักใจเรื่องความต่างชั้นระหว่างมันกับเขาพอสมควร แต่มันก็พร้อมจะโดดเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์นี้

"แต่กูก็ยังไม่ได้ยืนยันกับเขานะว่าเราเป็นอะไรกัน กูอยากรอดูไปอีกนิด"

มันพูดเสียงอ่อยๆ แต่ผมรู้ว่าใจมันนั้นยกให้เขาไปทั้งดวงแล้ว



จากวันนั้นในช่วงปลายเดือนกรกฎา ผมก็เฝ้ามองดูความสัมพันธ์ของมันกับป๋าฆาเบียร์เป็นตัวอย่าง ผมเฝ้าดูต้นรักที่งอกเงยขึ้นของคนทั้งสองจนถึงช่วงหลังเจกลับมาจากสมุยในเดือนพฤศจิกา เมื่อผมได้เจอกับป๋าฆาเบียร์อีกครั้งตอนที่เจจัดงานเลี้ยงวันขอบคุณพระเจ้าที่บ้านของมัน ผมก็เห็นได้ชัดแล้วว่าทั้งสองคงได้ยืนยันความรักที่มีให้กันแล้ว โดยเห็นได้จากต่างหูแพงระยับซึ่งป๋าให้ไอ้เจไว้ใส่ติดหูข้างนั้น สำหรับผมแล้ว ผมไม่มีความรู้สึกใดนอกจากความรู้สึกยินดีให้กับเพื่อนรักของผมคนนี้

การได้เห็นความรักของเจกับป๋าฆาเบียร์ทำให้ผมมองความรักของเพศเดียวกันใหม่ สำหรับเด็กเชียงใหม่แล้ว ไม่แปลกที่จะรู้จักคนที่ถูกเรียกว่าเกย์ ตุ๊ดหรือกะเทยสักคนในชีวิต แต่ผมไม่ได้มีโอกาสพูดคุยคบหาพวกนั้นอย่างจริงจังและได้มองลึกเข้าไปในชีวิตของพวกเขา แต่การได้พูดคุยคบหากับป๋าฆาเบียร์ ทำให้ผมรู้ว่าคนที่พวกผมเรียกว่าเกย์นั้นแท้ที่จริงมีชีวิตไม่ได้ต่างไปจากพวกผมเลย ผมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปแต่งตัวจัดหรือประโคมเครื่องสำอางหรือมีจริตจะก้าน ผมสามารถยังเป็นผมแต่ก็รักซันซันไปในขณะเดียวกัน แต่กระนั้นผมก็ยังคิดว่าผมยังจะปฏิบัติตัวเหมือนเดิมที่เป็นมาและไม่คิดจะเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจให้มันรู้



หากผมไม่นึกเลยว่าชีวิตรักของเจและป๋าฆาเบียร์จะนำพาให้ความรู้สึกของผมที่มีให้กับซันซันมาตลอดเกือบสามสิบปีต้องเปลี่ยนโฉมหน้าไป



ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นเพราะพวกผมแอบตามเจกับป๋าฆาเบียร์ที่ทำตัวเป็นคนแปลกหน้ากันเข้าไปในห้องน้ำชายในผับ xxxx ในคืนนั้นนั่นแหละครับ มันเป็นครั้งแรกที่ซันซันได้รู้เห็นถึงเซ็กส์ระหว่างผู้ชายด้วยกัน ไอ้เจมันคงไม่ทันได้สังเกตว่าที่ประตูห้องน้ำน่ะมีช่องว่างระหว่างประตูเล็กน้อย ผมกับซันซันผลัดกันเอาตาแนบดูและหูแนบฟังไอ้เพื่อนตัวดีของผม สิ่งที่พวกผมได้เห็นและยินมันเร้าอารมณ์มากครับ หลังจากไอ้เจเปิดออกมาเจอแล้วมาไล่เตะพวกผมออกห้องน้ำไป มันกับป๋าก็มานั่งพลอดรักกันต่อหน้าพวกผมอีก พูดจริงๆ นะครับ ผมเคยเห็นไอ้เจจีบสาวหรือป้อสาวมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้พวกผมเขินได้เท่ากับตอนที่มันอยู่กับป๋า ยิ่งตอนที่มันเอาซิการ์มวนน้อยของมันไปต่อไฟกับมวนของป๋าฆาเบียร์ ผมงี้ใจเต้นตึกตักเลยครับ

"มึง..."

ซันซันพูดขึ้นมาเบาๆ ตอนที่ผมกำลังคาดเข็มขัดให้มัน คืนนี้มันก็เมาเละเหมือนกับทุกคืนที่ออกเที่ยว

"เซ็กส์กับผู้ชายด้วยกันมันดีขนาดนั้นเลยเหรอวะ?"

ผมกุมขมับ ไอ้อ้วนของผมถามอะไรที่ตอบยากขึ้นมาอีกแล้ว

"มึงถามกู แล้วกูจะไปถามใครล่ะวะ?"

ผมปดไป ถึงผมจะจำรายละเอียดไม่ได้เพราะฤทธิ์ยา แต่ผมจำความรัดรึงของช่องทางด้านหลังของพี่อาร์ตที่ผมใช้แทนตัวซันซันได้ดี

"นั่นสินะ..."

มันพูดแล้วก็หยุดเพื่อครุ่นคิด มันไม่พูดอะไรกับผมอีกจนกระทั่งผมจอดรถที่หน้าบ้านของผม



"ถ้าเป็นมึง มึงว่ามึงจะจูบผู้ชายด้วยกันลงป่าววะ"

ไอ้อ้วนของผมพึมพำขึ้นมาเบาๆ เมื่อผมพามันที่เมาเพียบแล้วขึ้นนั่งบนเตียงแล้วนั่งลงเคียงข้าง ไวกว่าความคิด ปากของผมก็ตอบออกไปว่า

"ไม่รู้สิ มึงอยากจะลองดูไหมล่ะ?"

ซันซันหันขวับมามองหน้าผม ผมก็จ้องหน้ามันกลับ ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัว คนเมาตรงหน้าผมก็ชะโงกหน้าเอาริมฝีปากมาแตะปากผมเบาๆ

"นี่ไง กูทำละ"

มันพูดด้วยเสียงอ้อแอ้พร้อมกับริมฝีปากที่ยิ้มพราย เท่านั้นแหละครับ คุณผู้อ่าน สติของผมก็ปลิวหายไป ผมดึงคอมันเข้ามาจูบอย่างหนักหน่วง ผมทำใจแล้วว่าคงต้องโดนมันผลักกระเด็นแน่ๆ แต่มันกลับโอนอ่อนผ่อนตาม มันดูดดึงริมฝีปากของผมอย่างกระหาย ผมไม่ยักรู้ว่ามันจูบเก่งขนาดนี้แล้ว ไม่นานนักผมก็ดันร่างมันลงกับเตียงและบดจูบลงไปอีกให้สมกับที่ต้องเก็บความรู้สึกมาตลอดชีวิต



"ปรินซ์..."

ซันซันหอบหายใจเมื่อผมปล่อยริมฝีปากมันให้เป็นอิสระ มันยกนิ้วขึ้นไล้ริมฝีปากที่แดงก่ำของตัวเองเบาๆ

"กูแข็งเลยว่ะ มึงจูบเก่งชิบ"

มันหัวเราะฮิฮะตามประสาคนที่เมาไม่รู้เรื่อง ผมได้สติแล้วรีบดันตัวออก ผมจะมาฉวยโอกาสกับคนเมาไม่ได้ ผมรีบลุกแล้วดึงมันให้ลุกขึ้น

"ไปๆ งั้นมึงไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยซะ"

ผมดันมันไปทางห้องน้ำ หากมันขืนตัวไว้

"กูขี้เกียจทำเองอ่ะ เราทำแบบที่เราเคยทำกันเมื่อก่อนได้ป่าว"

โอย ใจผมแทบขาดครับ ผมพยายามแทบตายเพื่อที่จะไม่ทำเรื่องที่เสี่ยงต่อการทำลายความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของเราทั้งสอง แต่ไอ้อ้วนมันยั่วผมจริงๆ ครับ สุดท้ายผมก็พยักหน้ารับคำ ซันซันนั่งลงข้างๆ ผมและปลดปล่อยแท่งลำที่พองตัวของมันออกมา ผมก็ทำเช่นเดียวกัน เราเริ่มแตะต้องตัวกันเหมือนตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น แต่สำหรับผมแล้วครั้งนี้มันต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิงครับ



"อูย ปรินซ์ มือมึงยังดีเหมือนเดิมเลยว่ะ"

ซันซันครางกระเส่า ผมเองก็ขบกรามแน่น ผมแทบลืมสัมผัสของมืออวบนิ่มอันแสนอบอุ่นของมันไปแล้ว ผมอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าที่มันยอมให้ผมทำให้ในคราวนี้เป็นเพราะมันต้องการผม เพราะไม่อย่างนั้นมันก็คงไปหาผู้หญิงสักคนเพื่อระบายออกแล้ว แต่อีกใจหนึ่งของผมก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไรมากไปกว่าความอยากรู้อยากลองของคนเมาเท่านั้น แต่ผมก็ไม่สนใจแล้วครับ ตอนนี้ขอแค่ผมได้สัมผัสมันเป็นพอ

"อื้อ ปรินซ์"

มันอุทานออกมาเมื่อผมดึงมันเข้าไปประกบปากแน่นอีกครั้ง มันดูดปากผมอย่างรุนแรงก่อนที่จะปลดปล่อยออกมาจนเต็มมือผม ผมเองก็ตามมันไปติดๆ เช่นกัน ไอ้อ้วนของผมลงนอนแผ่หราบนเตียงและหลับไปอย่างรวดเร็ว ผมถอนหายใจและรีบทำความสะอาดตัวเอง จากนั้นก็จัดการทำความสะอาดให้ซันซันและแต่งตัวให้มันใหม ผมลงนอนก่ายหน้าผากครุ่นคิดอะไรหลายๆ อย่างจนกระทั่งผลอยหลับไป



นับจากคืนนั้น หลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปสำหรับผมครับ ถึงในตอนเช้าซันซันจะมีทีท่าจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่สำหรับผมที่จากเดิมพยายามข่มใจไม่แสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อมัน จากที่ผมเคยคิดว่าผมพอใจกับการเป็นเพื่อนกันไปแบบนี้ แต่จากเหตุการณ์ในคืนนั้น หลังจากที่ได้กลับมาสัมผัสมันอีกครั้ง หลังจากที่ได้ลิ้มรสริมฝีปากของมัน ร่างกายของผมมันก็เกิดทรยศผมขึ้นมาแล้วครับ ทุกครั้งที่มันเมาจนหลับคาผับและผมให้มันค้างที่บ้าน ผมเข้านอนเคียงข้างมันด้วยความทรมาน ร่างอวบๆ นิ่มๆ ของคนเมาที่มาก่ายกอดผม ลมหายใจร้อนๆ ของมันที่เป่ารดซอกคอหรือแผงอกทำให้ผมเกิดอารมณ์ทุกครั้ง แล้วก็เหมือนแกล้งครับ หลังจากวันนั้น มันก็เริ่มกลับมาขอให้ผมช่วยมันเหมือนตอนเป็นวัยรุ่นบ่อยขึ้นด้วย มันยิ่งทำให้ผมแทบคลั่งตาย

"ไม่ไหวว่ะ กูมาวเกิน หาสาวไปก็คงล่ม มึงทำให้กูหน่อยดิ๊"

มันพูดหน้าตาเฉยและแกะกระดุมกางเกงรอ แล้วจะให้ผมทำไงครับคุณผู้อ่าน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าผมจะไม่ยอมพอใจอยู่แค่ตำแหน่งเพื่อนสนิทแล้ว ยิ่งมองดูความสัมพันธ์ของไอ้เจกับป๋าฆาบี้ ผมก็ยิ่งคิดว่าความรู้สึกของผมที่มีให้กับซันซันมาตลอดเกือบสามสิบปีนั้นเข้มข้นไม่น้อยหน้ากว่าคู่นั้นแน่ๆ



แต่คุณผู้อ่านครับ ผมยังคงไม่อาจสรรหาโอกาสหรือความกล้าที่จะมาบอกรักมันตรงๆ ได้เลยครับ ผมจึงใช้วิธีค่อยหยอดมันทีละเล็กทีละน้อยเพื่อดูปฏิกิริยาของมัน ซึ่งคุณคงเคยเห็นผมทำไปบ้างแล้วนะครับ ผลก็คือตามคาด ซันซันก็โวยลั่นบ้าง โมโหผมบ้างที่ผมพูดอะไรที่ส่อไปในทางที่ชวนให้เข้าใจผิดแบบนั้น แล้วแบบนี้คุณจะให้ผมสารภาพรักกับมันเหรอครับ ผมไม่คิดว่าเป็นความคิดที่ดีหรอก แม้ไอ้เจที่เริ่มระแคะระคายเรื่องของผมกับซันซันจะบอกผมว่าให้มาคุยกับมันได้ทุกเรื่องก็เถอะ ผมก็ยังไม่คิดและไม่กล้าที่จะไปปรึกษามัน จริงอยู่ว่าผมผ่านวันเวลาที่บอกรักและป้อนคำหวานกับผู้หญิงมานับไม่ถ้วน แต่กับไอ้อ้วนเพื่อนรักตั้งแต่วัยเด็กของผมคนนี้ ผมกลับไม่กล้าที่จะเอ่ยแม้แต่คำว่าชอบกับมัน ผมเริ่มได้สติกลับมาคิดอีกครั้งว่าสุดท้ายแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องบอกรักมันก็ได้ ผมจะอยู่กับมันเหมือนเดิมและไม่แสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเอง



หากสุดท้าย ผมก็ทำลงไปอยู่ดี



โอกาสของผมมาถึงเมื่อตอนวาเลนไทน์ที่ผ่านมาเมื่อตอนที่ป๋าฆาบี้ส่งกุหลาบมาถมห้องไอ้เจแต่ไอ้ตัวดีส.ใส่เกือกบินไปฮ่องกงเพื่อทำเซอร์ไพรส์ป๋าแกนั่นแหละครับ ตอนที่พี่นพชวนผมกับซันซันไปจัดการกับกุหลาบห้าพันดอกนั้น ผมก็ไม่นึกว่าจะเปิดห้องไปเจอภาพที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังโรแมนติกสักเรื่อง

เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่พวกผมรู้สึกได้คือกลิ่นหอมหวานจนแทบจะทำให้พวกผมอึดอัด ตามด้วยภาพของทะเลดอกกุหลาบสีแดงก่ำที่วางอยู่ทั่วทั้งห้อง สมที่เป็นป๋าฆาเบียร์จริงๆ ครับ กุหลาบพวกนั้นดอกใหญ่ก้านแข็งยาวเป็นเมตร เห็นพี่นพบอกว่ามันเป็นกุหลาบจากฮอลแลนด์ครับ ผมไม่อยากนึกเลยว่าทั้งหมดนี้มันจะกี่แสนกัน

"งั้นเอาไงดี พี่นพ? เจมันให้เราจัดการหมดจริงๆ อ่ะ?"

ผมถาม  พี่นพพยักหน้า

"อือ มันว่าให้เอาไปขายดอกห้าบาทสิบบาทก็ได้ ให้เก็บไว้ให้มันซักห้าสิบหรือร้อยดอกก็พอ"

พวกผมจัดการเคลียร์ดอกใส่ถังน้ำที่เตรียมมา ส่วนซันซันทำหน้าที่คัดเลือกดอกที่สวยๆ เก็บไว้ให้เจ



"เรียบร้อย กูเก็บไว้ให้ร้อยดอกนะ"

ผมหันไปดูตามเสียงพูดของซันซัน คุณครับ ภาพของไอ้อ้วนของผมที่หอบกุหลาบสีแดงไว้เต็มอ้อมแขนนั้นทำให้ผมใจละลาย หน้ากลมๆ ของมันแดงระเรื่อน้อยๆ เพราะความเหนื่อย แต่มันก็ยิ้มร่า ผมเห็นมันก้มลงสูดดมกลิ่นหอมรัญจวนของกุหลาบชั้นดีนั้น

"ชอบเหรอ ซันซัน? เก็บไว้เองมั่งก็ได้นะ เอาไปแจกสาวๆ มั่งก็ได้ ไอ้เจมันบอกว่าโอเค"

พี่นพพูดยิ้มๆ พร้อมส่งถังน้ำให้ซันซันใส่ดอกหอบนั้น

"ก็ชอบอ่ะพี่ ผมว่ามันหอมดี แต่ไม่เอาดีกว่าอ่ะ ผมไม่รู้ว่าจะเอาไปแจกใคร อีกอย่างมันของซื้อของขาย ผมไม่อยากไปเอาของมันฟรีหรอก"

ซันซันวางดอกในอ้อมแขนตนลงในถังน้ำและแจกันที่ถูกนำมาเรียงรายไว้ในห้อง มันเอียงคอดูซ้ายดูขวาแล้วพูดออกมา

"อืมม์ ผมว่ามันดูน้อยไปหน่อย พี่ว่าไหม? เก็บให้มันเพิ่มอีกหน่อยดีไหมอ่ะ?"

พี่นพเองก็เห็นด้วยกับมัน สุดท้ายพวกเราก็เก็บดอกให้เจเพิ่มเป็น 500 ดอกซึ่งมากพอที่จะถมห้องนอนมันเต็มได้และช่วยกันขนที่เหลือใส่รถกะบะของพี่นพไปที่ผับ xxxx อีกส่วนหนึ่งก็ใส่รถกะบะของที่บ้านซันซันไปที่วอร์มอัพ



"พี่นพ พี่จะขายดอกพวกนี้เท่าไหร่นะ? "

"ดอกละ 15 บาท ทำไมเหรอ?"

"ผมขอซื้อหน่อยสิพี่ ขอซักร้อยดอก..."

ผมกระซิบกับพี่นพตอนที่ซันซันมัวแต่ไปทำอย่างอื่น

"ก็เอาสิ เดี๋ยวเราก็เอาไปได้เลย คัดที่สวยๆ ไปได้เลย"

พี่นพพูดพร้อมทำท่าจะหาถังมาแยกใส่ดอกให้ผม ผมอึกอักเล็กน้อยก่อนจะพูดออกไปตรงๆ

"ไม่ครับ เดี๋ยวผมจะมารับเอาทีหลัง ไว้หลังจากขายเสร็จแล้วก็ได้ ผมแค่ขอให้พี่เก็บไว้ให้ผมหน่อยซักร้อยดอก..."

ผมนัดแนะกับพี่นพว่าขอให้พี่เขาทำทีว่ามันเป็นดอกไม้ที่ขายเหลือ

"ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากขนาดนั้นด้วยล่ะ หืมม์?"

พี่นพถามขึ้นพร้อมด้วยสายตาคาดคั้น ผมรู้ตัวเลยว่าหน้าผมในตอนนี้คงแดงมากๆ แน่ๆ

"ผม เอ่อ ผมว่าจะเอาให้ไอ้ซันมัน เห็นมันชอบดอกซะขนาดนั้น แต่ถ้าซื้อให้มันก็คงไม่เอา ไอ้นี่มันงก ไม่ค่อยชอบเอาเงินไปลงกับพวกดอกไม้หรือของขวัญแบบนี้"

"อ๋อ เข้าใจแล้ว ได้สิๆ เดี๋ยวพี่เก็บไว้ให้ ว่าแต่ ร้ายเหมือนกันนะเรานี่"

พี่นพทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ผม ไม่เสียทีที่ไอ้เจชอบเรียกแกลับหลังว่าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ครับ แกคงรู้ความรู้สึกของผมไปถึงไหนต่อไหนแล้วล่ะ แต่ในตอนนี้ผมก็ไม่แคร์แล้วครับ



เรื่องมันก็เหมือนที่คุณๆ รู้กันน่ะครับ เมื่อผมกับซันซันกลับมาจากขายดอก ผมเอาเงินมาให้พี่นพ พี่นพแบ่งให้พวกผมคนละพันห้าเป็นค่าเหนื่อย จากนั้นผมก็ทำเป็นถามว่าดอกในถังนั้นคือของเหลือเหรอและขอซื้อเอาไว้เอง พี่นพก็ถามผมตามบทว่าผมจะเอาไปทำอะไร

"นั่นสิ มึงจะเอาไปทำอะไรเยอะแยะ กิ๊กมึงเยอะนักเหรอ?"

ผมแอบยิ้มในใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงจิกกัดจากซันซัน ผมอยากจะเข้าข้างตัวเองจริงๆ ว่ามันพูดออกมาเพราะหวงผม ผมยิ้มร่าแล้วตอบไปว่ากิ๊กผมแถวนี้มีเยอะแยะมากมายนัก ไอ้อ้วนของผมย่นจมูกให้ผมเมื่อได้ฟังคำกล่าวอ้างนั้น ผมทำเป็นนับมือนับเท้าแล้วทำท่าขัดใจว่ามันไม่น่าจะพอแจก สุดท้ายผมก็ทำอย่างที่ผมตั้งใจไว้

"...กูให้มึงแทนแล้วกันนะ ซันซัน"

ผมยกกุหลาบหอบใหญ่นั้นส่งให้ไอ้อ้วนของผม มันรับมาอย่างงงๆ แล้วก็พลันคลี่ยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ ฟันขาวๆ ในริมฝีปากอิ่มของมันทำให้ผมใจอ่อนยวบ รอยยิ้มของมันนั้นคุ้มกับทุกสิ่งที่ผมทำไปจริงๆ

"ให้กูเหรอ? ให้กูจริงๆ นะ?"

มันทำท่าลิงโลดใจและก้มลงดูกุหลาบหอบใหญ่นั้นอย่างถูกใจ มันสูดดมกลิ่นหอมจรุงแล้วยิ้มกว้างออกมาอีก ผมใจพองโตที่เห็นมันชอบครับ



"...มึงไม่เอาแล้วแน่นะ? ดีเลย กูจะได้เอาไปแจกสาวๆ ต่อ ขอบใจนะมึง งั้นเดี๋ยวกูมา..."

ซันซันพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมพยักหน้าอย่างงงๆ นี่ผมลืมพูดบอกอะไรไปสินะ มันถึงเข้าใจไปคนละทิศคนละทางกับผมขนาดนี้

"...เดี๋ยวกูจะเอาไลน์สาวๆ มาฝากมึงด้วย"

ซันซันเดินหอบช่อดอกไม้เดินหายไป ผมหันหน้ามาหาพี่นพอย่างจนปัญญา

"พี่นพ ผมทำอะไรผิดไปวะ? ทำไมมันไม่เก็ตผมเลยสักนิด? ผมไม่รู้จะทำยังไงให้มันรับรู้ความรู้สึกของผมแล้วพี่"

ผมทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดกำลัง

"ทำไมไม่ลองพูดความจริงกับซันซันดูล่ะปรินซ์"

เพื่อนรุ่นพี่ของไอ้เจพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง

"สุดท้าย ความจริงคือสิ่งที่ดีที่สุดนะ"

"แต่ผมกลัวอ่ะพี่ ผมกลัวว่ามันจะไม่คิดเหมือนผม กลัวว่ามันจะรังเกียจผม"

พี่นพตบหลังผมเบาๆ

"พี่คงไปพูดไปบอกไม่ได้หรอกว่าให้เราทำแบบนั้นแบบนี้ แต่ละคู่ย่อมมีวิธีจัดการกับความสัมพันธ์ของตัวเองแตกต่างกันไป ปรินซ์คงต้องหาวิธีที่เวิร์คกับตัวเองที่สุดดู ที่พี่จะบอกคือให้ปรินซ์ลองไปหาวิธีของตัวเองดู คู่ของปรินซ์อาจจะไม่ต้องการการคบหากันแบบคู่รักเหมือนไอ้เจกับฆาบี้ บางทีการเป็นเพื่อนกันไปตลอดแบบนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเรามีความสุขที่สุดก็ได้ ลองค่อยๆ หาวิถีของตัวเองดูนะ..."

พี่นพพูด ผมคิดตามคำพูดของพี่เขาและมันคือสิ่งที่อยู่ในใจผมอยู่ตลอดเวลาจนถึงวันนี้ คำถามที่ว่าผมต้องการอะไรจากซันซันกันแน่ ผมอยากเป็นอะไรกับมัน ผมอยากไปถึงขั้นไหนกับมัน และผมพอใจที่จะหยุดอยู่ที่ตรงไหน ผมยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ครับ



อ๊ะ ขอโทษนะครับ มือถือผมดัง ขอผมรับสายแป๊บนึงนะครับ

"ฮัลโหล เออ ว่าไงมึง หือ?  เออๆๆ เดี๋ยวกูไปเดี๋ยวนี้แหละ รอแป๊บนะ"

เฮ้อ ไอ้อ้วนของผมโทรมาครับ เมื่อไม่กี่วันที่แล้วมันลื่นตกบันไดแขนเดาะต้องใส่เฝือกและต้องเข้าโรงพยาบาลไปหลายวัน แล้ววันนี้มันกลับมาบ้านแล้วแต่ที่บ้านมันไม่มีใครอยู่เลย แม่กับพ่อมันพาอาม่าไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อคืนนี้ ส่วนน้องเจดที่กำลังท้องอ่อนๆ ก็อยู่บ้านสามี ตอนนี้มันขอให้ผมไปช่วยมันอาบน้ำแต่งตัวหน่อย งั้นผมไปก่อนนะครับ



หือ? ว่าไงนะครับ? แล้วเรื่องของพวกผมมันจบลงยังไงเหรอ? โํธ่ ใจเย็นๆ สิครับคุณผู้อ่าน ผมพูดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ได้หรอกครับ ผมรู้แค่ว่าผมรักมัน และกำลังพยายามหาสถานะที่ทำให้ผมและมันสามารถอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตได้โดยที่ผมไม่ต้องทรมานตัวเอง และมันก็ไม่ต้องอึดอัดว่าต้องมาคบหากับเพศเดียวกัน พวกคุณก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ

งั้น ผมต้องไปจริงๆ แล้วครับ ไอ้อ้วนมันเริ่มตะโกนเรียกผมแล้ว

"เออ เดี๋ยวกูไป รอแป๊บนึง"

ผมขอลาพวกคุณไปก่อนแล้วกันครับ ไว้ถ้ามีความคืบหน้าอะไร ผมจะมาเล่าให้พวกคุณฟังอีกนะครับ สวัสดีครับ



-------------------------------------------------

อย่าด่าคนเขียนนะคะ พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส ไม่ได้ตั้งใจให้จบค้างคา แต่เหลือเรื่องไว้ให้ซันซันได้เล่าบ้างเด้อ เอาไว้คั่นเรื่องของเจกับฆาบี้ในตอนหน้านะคะ ให้เรื่องของสองคนนี้มันเดินไปพร้อมกับเรื่องหลักด้วยแล้วกันเนาะ

ว่างๆ แวะคุย ติ ชม บ่นคนเขียนได้ที่

เพจค่ะ https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/

ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH (เน้นชมบ่าว ฮ่าๆๆ)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-10-2018 01:26:08 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ซันซื่อไม่เลิก

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- When We're Apart ----





"คุณดูเหนื่อยๆ นะฆาบี้ คืนนี้ผมไม่กวนคุณดีกว่า ไปนอนเถอะครับ"

เจพูดอย่างกังวลเมื่อเห็นหน้าตาของคนรัก ฆาเบียร์ดูอิดโรยกว่าทุกครั้ง แม้ว่าเวลาที่สหรัฐฯ จะแค่สี่ทุ่ม แต่ฆาเบียร์ดูเหมือนจะหลับได้ตลอดเวลา

"ไม่เป็นไรจ้ะ ต่อให้เจไม่คุยกับฉัน ฉันก็ยังนอนไม่ได้อยู่ดี เดี๋ยวมีเอกสารต้องอ่านอีก"

คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบอกว่าเขาล้าทางความคิดมากกว่าทางกาย

"เรื่องดีลขายบริษัทน่ะ เจ มันไม่ลงตัวซักที ทางนั้นเขาเห็นว่าเราอยากขายก็เลยจะบีบให้ขายราคาต่ำกว่าที่เสนอไป"

"ถ้างั้นเราก็ไม่ต้องขายไม่ได้เหรอครับ?"

เจถาม

"ถ้าเป็นบริษัทของฉันเองเลย ฉันก็คงไม่ขายหรอก มาบีบกันขนาดนี้ แต่ว่าบริษัทนี้มันก็ยังมีผู้ถือหุ้นคนอื่นอยู่อีก ถึงเขาจะถือหุ้นน้อยกว่าเรา แต่ฉันกับอาปาคุยกันแล้วว่ายังไงเราก็ต้องให้ค่าเสียงของพวกเขา ก็เลยต้องมาปวดหัวอยู่นี่ไง"

ฆาเบียร์บ่นพึมพำ เขามาเสียเวลาอยู่ที่สหรัฐฯ กว่าสามสัปดาห์แล้วเพราะไอ้ดีลบ้าๆ นี่



"นี่เรามีนัดเจรจากันรอบสุดท้ายอีกสามวันข้างหน้า ถ้าคราวนี้ยังตกลงกันไม่ได้อีก ฉันก็ว่าจะยกเลิกการซื้อขายนี้มันซะ ฉันอยากกลับบ้านเต็มทนแล้ว"

คนตัวโตยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ เขาออกจากเชียงใหม่มาเกือบเดือนครึ่งแล้ว

"เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ก็อีสเตอร์แล้ว เป็นวันหยุดยาว ฉันอยากจะจบอะไรๆ ให้เรียบร้อยก่อนหน้านั้น เพราะไหนจะต้องกลับไปเคลียร์งานที่ฮ่องกงอีก ไม่งั้นจะกลายเป็นว่ารอบนี้ฉันจะออกบ้านมารวมตั้งเกือบสองเดือนเลยนะ"

ฆาเบียร์บ่นกะปอดกะแปด ยิ่งนึกถึงระยะเวลาที่เขาอยู่ห่างเจนยุทธ เขายิ่งแทบคลั่ง เขาอยากกอดมันใจแทบขาดแล้ว

"หยุดเลย ฆาบี้ หยุดคิดเลยครับ"

เจทำเสียงดุใส่คนรัก ขืนพ่อเจ้าประคุณเริ่มคิดมากแบบนี้เดี๋ยวก็จะพาลสติแตกกันก่อนพอดี

"มาเล่าให้ผมฟังก่อนดีกว่า ไอ้เจ้าบริษัทที่คุณมาจัดการเนี่ย ตกลงมันเป็นบริษัทอะไรแน่ คุณยังไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยนะครับ"

 เจนยุทธพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของคนรักให้ออกห่างจากเรื่องตัวเขา



"อืมม์ เจเคยได้ยินคำว่า CRM ไหม?"

เจพยักหน้า เด็กบริหารอย่างเขาย่อมรู้จักคำว่า Customer Relation Management หรือการจัดการลูกค้าสัมพันธ์อยู่แล้ว

"แล้วเจรู้ใช่ไหมว่าสมัยนี้เขามีซอฟท์แวร์ที่ช่วยเรื่อง CRM เช่นนำมาเก็บข้อมูลของลูกค้าเช่นพวกเบอร์โทร ที่อยู่ รวมไปถึงช่วยวิเคราะห์และติดตามพฤติกรรมของลูกค้าและคนที่อาจเป็นลูกค้าในอนาคต เช่นการเข้ามาใช้บริการเว็บไซต์ การส่งเมล์อะไรพวกนี้..."

เจพยักหน้า เขาพอจะนึกภาพออกแล้ว ซอฟท์แวร์แบบนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดต่อและใช้งานข้อมูลของลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"บริษัทที่ฉันมาร่วมลงทุนนี้ เขาเป็นบริษัทที่พัฒนาระบบแบบนี้นี่แหละ แต่เขาเป็นแบบที่ใช้เทคโนโลยีคลาวด์ร่วมด้วย คือผู้ซื้อผลิตภัณฑ์นี้ไปใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งตัวซอฟท์แวร์ลงเดสก์ท็อปหรือว่าเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องตัวเองอย่างเดียว แต่สามารถอัพโหลดทุกอย่างขึ้นคลาวด์ ทำให้คนในองค์กรสามารถดึงข้อมูลไปใช้ได้อย่างง่ายดายไม่ว่าจะใช้จากแพลทฟอร์มไหนก็ตาม..."

ฆาเบียร์เล่าให้ฟังอีกว่านอกเหนือจากการเก็บข้อมูลแล้ว บริษัทประเภทนี้ยังนำเสนอการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้นำไปใช้กับกลุ่มลูกค้าได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย และยังช่วยคัดกรองคนที่จะมาเป็นลูกค้าในอนาคตเพื่อที่เซลส์ของธุรกิจที่ใช้บริการจะสามารถติดต่อว่าที่ลูกค้าเหล่านั้นได้อีกด้วย

"บริษ้ทหนึ่งที่เป็นผู้นำด้าน CRM Solution นี้คือบริษัท Salesforce เจอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว..."

เจนยุทธพยักหน้าแล้วบอกว่าเขาเคยอ่านเจอในพวกข่าวธุรกิจ

"นอกจากเรื่องเก็บข้อมูลแล้ว บริษัท Salesforce นี้ยังให้บริการช่วยทั้งด้านการขาย การบริการและการตลาด มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ สารพัด คือฉันจะไม่ลงลึกเรื่องรายละเอียดล่ะนะ เอาเป็นว่าบริษัทที่ฉันลงทุนด้วยนี้ ถ้ามีการพัฒนาอย่างถูกต้อง มันอาจจะสามารถโตไปเป็นอย่างไอ้เจ้า Salesforce นี้"

ฆาเบียร์เล่าให้เจฟังต่อทั้งเรื่องบริษัท Salesforce และบริษัทที่เขาร่วมลงทุน เจฟังคนรักของเขาเล่าอย่างเพลิดเพลิน การมีพื้นฐานทั้งทางไอทีและการบริหารทำให้เจสามารถทำความเข้าใจในสิ่งที่ฆาเบียร์เล่าได้ไม่ยากนัก



"อินเตอร์เน็ตนี่ทำให้การทำธุรกิจมันเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ นะครับ อะไรๆ มันก็ง่ายขึ้นจริงๆ"

เจเปรยขึ้นมาเมื่อฟังคนรักเล่าจบ

"ใช่จ้ะ สมัยก่อน การที่ธุรกิจหนึ่งจะได้รับการบริการแบบนี้ ต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียวในการจ้างคนมาทำการวิเคราะห์ตลาดและเก็บข้อมูลนั่นนี่ แล้วไหนจะต้องมาคอยดูว่าต้องส่งเมล์หรือโทรไปเสนอขายนั่นนี่ให้ใครบ้าง แต่ตอนนี้ธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ อย่างพวกสตาร์ทอัพหรือ SME ก็สามารถใช้บริการแบบนี้ได้ในราคาที่ประหยัดลงมากโขทีเดียว ฉันถึงได้เลือกลงทุนกับบริษัทนี้เพราะมันมีแนวโน้มจะเติบโตไปได้อีกเยอะ"

"แล้วคุณจะมาขายทิ้งตอนนี้ ไม่เสียดายเหรอครับ?"

เจถามอย่างสงสัย

"อืมม์ ฉันกับอาปาดูแล้วคิดว่าขายตอนนี้ดีที่สุดจ้ะ เพราะมันเริ่มสุดขีดความสามารถของผู้พัฒนาระบบคนปัจจุบันแล้ว มันถึงเวลาที่จะให้บริษัทที่ใหญ่กว่าซึ่งมีกำลังทรัพย์หรือกำลังคนที่จะพัฒนามันให้เติบโตขึ้นมากกว่านี้เข้ามาจับแล้ว แล้วก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้านี้มาสนใจพอดี"

"แบบนี้ก็น่าเสียดายเหมือนกันน้า ฟังที่คุณพูดแล้ว ผมก็ว่ามันน่าสนใจที่จะลงทุนอยู่ เนี่ยๆ ถ้าบริษัทใหญ่ซื้อบริษัทนี้ไปแล้วและเอาไปเข้าตลาดหุ้นทีหลัง ผมก็อยากซื้อหุ้นมันเก็บไว้มั่งอ่ะ"

เจบ่นเบาๆ

"หุ้นเหรอ?"

ฆาเบียร์ครุ่นคิด ตัวเขาเองก็เสียดายไม่น้อยเช่นกันที่จะต้องปล่อยบริษัทนี้ไป แต่การเปรยขึ้นมาของเจทำให้เขาได้คิดอะไรบางอย่าง

"นายนี่ฉลาดจริงๆ เจ ขอบใจนะ"

เจนยุทธมีท่าทีงุนงง ฆาเบียร์บอกเจว่าเขาต้องขอวางสายก่อน แล้วจะติดต่อเจไปอีกที เจพยักหน้าและตัดการติดต่อไป เขานั่งครุ่นคิดบางอย่างก่อนที่จะยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ตอนนี้ที่ฮ่องกงน่าจะเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว เขายกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรผ่านเฟซบุ๊ค

"ฮัลโหล เมลิน่า เจเองนะครับ ผมมีเรื่องจะขอรบกวนนิดนึง..."



"ไงเจ รอพวกกูนานไหม?"

ปรินซ์และซันซันโบกไม้โบกมือให้เจซึ่งนั่งรอพวกเขาอยู่ในร้านอาหารเก่าแก่แห่งหนึ่งบนถนนราชมรรคาในเขตคูเมือง

"ไม่นานๆ กูเพิ่งมาถึง"

เจยิ้มให้เพื่อนทั้งสองซึ่งลงนั่งตรงกันข้ามกับเขา ซันซันหันมองไปรอบๆ ร้านซึ่งเป็นแบบโอเพ่นแอร์

"โหย กูไม่ได้มาร้านนี้ตั้งนาน นี่ถ้าแม่กูรู้ว่ามาร้านมิตรใหม่แล้วไม่ยอมบอกนะ กูโดนโวยแหงๆ "

ซันซันพูดยิ้มๆ ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านอาหารจีนยูนนานร้านเก่าแก่ของจังหวัดเชียงใหม่โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2519 ร้านนี้เป็นร้านโปรดของแม่ซันซันซึ่งเป็นคนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

"แม่กูบอกว่าอาหารร้านนี้รสมือคล้ายกับที่บ้านแม่น่ะ"

หนุ่มลูกร้านเพชรบอกเพื่อนๆ ของเขาก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาแม่เพื่อรับออเดอร์ซื้อกลับบ้าน

"แล้วมึงจะกินอะไรวะ ไอ้ปรินซ์? กูจะสั่งมันฝรั่งผัดผักกาดดองอย่างนึงล่ะ แล้วก็สามชั้นผัดแห้ง"

เจทำท่าปาดน้ำลาย ไอ้เจ้าสามชั้นสไลซ์บางทอดจนกรอบและนำไปคลุกเคล้ากับกระเทียมและพริกที่เจียวจนหอมนั้นเป็นของที่เขาสั่งทุกครั้งยามมากินร้านนี้

"อืมม์ กูไม่ค่อยได้มาร้านนี้ว่ะ ให้ไอ้ซันมันสั่งแล้วกัน มันชอบอะไร กูก็ชอบแบบนั้นน่ะ"

ปรินซ์หันไปยิ้มให้กับเพื่อนรัก ซันซันหลบตาและทำเป็นอ่านเมนู หากเจสังเกตเห็นสีเลือดฝาดที่ปรากฎชัดเจนบนแก้มกลมใสของเพื่อนหนุ่ม เขาสัมผัสได้ว่าน่าจะเกิดอะไรสักอย่างขึ้นระหว่างเพื่อนรักทั้งสองของเขา แต่เขาจะยังไม่ซักถามอะไรและรอจนกว่าทั้งคู่จะยอมเล่าให้ฟัง



"อืมม์ ฟองนมทอดนี่ก็อร่อยนะ มันเหมือนฟองเต้าหู้ทอดกรอบๆ แต่ที่จริงมันคือฟองนม รสมันจะออกเปรี้ยวนิดๆ เหมือนชีสอ่ะมึง..."

ซันซันเงยหน้าบอกเพื่อนๆ และรับหน้าที่เป็นคนสั่งอาหารให้เพื่อนๆ

"สั่งอะไรก็สั่งมาเถอะ กูหิวไส้จะขาดแล้ว นี่กูยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วอ่ะ"

เจนยุทธโอดครวญอย่างน่าสงสาร เขามัวแต่คุยโทรศัพท์กับฆาเบียร์และเมลิน่า กว่าจะเรียบร้อยและโทรชวนเพื่อนทั้งสองออกมากินข้าวกลางวัน เวลาก็ผ่านล่วงเลยเข้าไปหลังบ่ายโมงแล้ว

"เออๆ งั้นเอาข้าวมาโถนึงเลยแล้วกันนะ กับข้าวอีกซักสามอย่าง รวมกับฟองนมทอดกับสามชั้นของมึง เป็นหกอย่าง เครนะ?"

ซันซันเรียกเด็กเสิร์ฟมาสั่งอาหาร ไม่นานนักอาหารของพวกเขาก็ทะยอยมา เจหยิบแผ่นฟองนมทอดขึ้นแทะอย่างถูกใจ รสชาติของมันเหมือนเอาชีสมาทอดเหมือนที่ซันซันว่าจริงๆ

"นี่ถ้าฆาบี้ได้กินน่าจะชอบแน่ๆ เลยว่ะ รายนั้นเขาชอบชีส เจอทีไรตบะแตกทุกที"

เจพูดถึงคนรักด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข เพื่อนทั้งสองของเจนยุทธแอบสบตากัน



"นี่ รอบนี้ป๋าไปซะนานเลย มึงไม่คิดถึงเหรอวะ?"

ปรินซ์ถามอย่างสงสัย ปกติพอฆาเบียร์ไปทำงานนานๆ เจก็มักจะออกอาการซึมเซาและบ่นคิดถึงคนรัก

"คิดถึงสิ โคตรคิดถึงเลยมึง..."

เจถอนหายใจเบาๆ

"แต่กูก็กำลังพยายามทำใจให้ชินกับการที่ต้องห่างกันน่ะ จะมานั่งเศร้าทุกครั้งที่จากกันก็คงไม่ไหว ถ้ารู้ตัวแล้วว่าไงๆ ก็ต้องคบกันทางไกล มันก็ต้องทำใจให้ได้อ่ะ เพราะพวกกูคงต้องคบหากันไปแบบนี้อีกนาน แล้วยิ่งถ้าฆาเบียร์ต้องกลับไปกินตำแหน่งประธานที่สหรัฐฯ ด้วยแล้ว ถึงตอนนั้นก็คงจะยิ่งห่างกัน"

เจพูดเบาๆ เขาเองก็พยายามทำให้ตัวเองร่าเริงและคุ้นชินกับการที่คนรักไม่อยู่ แต่นานๆ ทีเมื่อความเปลี่ยวเหงาเริ่มเข้าครอบงำ เขาก็อดที่จะน้ำตาร่วงออกมาไม่ได้

"กูก็ถึงต้องพยายามหาอะไรทำอยู่นี่ไง ช่วงนี้งานเข้าเยอะ กูก็ทำงานไป แล้วก็ไหนจะยังต้องเขียนเรื่องลงบล็อกให้ฆาเบียร์ด้วย เออ พูดถึงบล็อกแล้วกูก็เกือบลืมไป"

เจรีบยกมือถือขึ้นถ่ายรูปอาหารบนโต๊ะ เขาถ่ายรูปสามชั้นทอดของโปรด ฟองนมทอด เต้าหู้ผัดน้ำมันพริก มันฝรั่งผัดผักกาดดอง และต้มส้มยอดมะพร้าวใส่หมูสับและเต้าหู้ หนุ่มตี๋อ้วนจัดการตักต้มส้มใส่ถ้วยแบ่งให้เพื่อนๆ

"เออ อร่อยดีว่ะ ไอ้ซัน กูไม่เคยสั่งเมนูนี้กินซักที"

เจชมเปาะ รสชาติมันไม่ได้เผ็ดเหมือนต้มส้มไทย แต่รสชาติเหมือนซุปที่มีรสเปรี้ยวน้อยๆ ของมะนาวและผลไม้บางชนิด

"เขาใส่มะละกอตากแห้งลงไปด้วยน่ะ รสมันเลยจะแปลกกว่าใส่แค่มะนาว"

ซันซันควานหาชิ้นมะละกอแห้งขึ้นมาให้เจดู

"จริงๆ เมนูขึ้นชื่อของที่นี่คือต้มส้มยอดมะพร้าวใส่สมองหมู แต่กูคิดว่าพวกมึงไม่น่ากินกันก็เลยไม่สั่งมา"

ปรินซ์ทำหน้าเบ้ทันทีเมื่อซันซันพูดถึงสมองหมู แต่เจนยุทธทำตาโต เขากินแอ่บอ่องออหรือสมองหมูคลุกเครื่องเทศแล้วนำไปห่อตองย่างได้ เขาก็น่าจะกินต้มสมองหมูนี้ได้เช่นกัน



"เอ๊ะ ไอ้นี่มันอะไรน่ะ ซันซัน นี่กูไม่เคยกินว่ะ"

เจชี้ไปที่อาหารชนิดหนึ่งซึ่งดูเหมือนอะไรสักอย่างป่นผัดใส่สมุนไพรอย่างขิงและพริกสด

"ถั่วเน่าทรงเครื่องน่ะ"

ซันซันตอบยิ้มๆ นี่คืออาหารโปรดอย่างหนึ่งของแม่เขา

"มันคือถั่วเน่าแบบยูนนานคั่วกับพวกขิง พริกแล้วก็มีหนังหมูเป็นเส้นๆ ด้วย อร่อยนะมึง จานนึงนี่กินข้าวได้เป็นโถเลย ข้าวผัดถั่วเน่าของที่นี่ก็อร่อยนะ ไว้คราวหน้าค่อยลองกัน"

เจรีบตักอาหารที่เขามองว่าแปลกชนิดนั้นโรยบนข้าวทันที ปรินซ์เองก็ตักด้วยเช่นกัน

"เฮ้ย อร่อยจริงๆ ด้วย ซันซัน มันได้รสเค็มมันของถั่วเน่า แต่ก็กลิ่นไม่ฉุนเกิน กินง่ายจริงๆ งี้สงสัยข้าวโถเดียวจะไม่พอหรือเปล่าวะ?"

หนุ่มลูกร้านทองหันไปคุยกับเพื่อนหนุ่ม ซันซันพยักหน้าแล้วหันไปตักมันฝรั่งซึ่งหั่นมาเป็นเส้นเล็กๆ แล้วนำไปผัดกับผักกาดดองใส่จานให้เพื่อนรัก

"นี่ก็อร่อยนะ มันฝรั่งผัดผักกาดดอง มึงลองชิมสิ"

เจซ่อนยิ้มเมื่อเห็นปรินซ์หน้าแดงน้อยๆ และพูดขอบใจเบาๆ ในลำคอ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะตักอาหารใส่จานให้เพื่อน แต่ในวันนี้เพื่อนของเขาทั้งสองกลับมีท่าทีแปลกๆ กันขึ้นมาเสียอย่างนั้น



"ซันซันจ๊ะ ตักเต้าหู้ผัดน้ำมันพริกให้กูด้วยสิ กูตักไม่ถึง"

เจยื่นจานข้าวของตัวเองและขอให้ซันซันตักให้ตัวเองบ้าง แต่กลับเป็นปรินซ์ที่รีบตัดหน้าตักเต้าหู้ขาวผัดใส่มะเขือเทศหั่นชิ้นเล็กๆ และพริกแห้งให้เจแทน เจหัวเราะหึๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร

"ซัน อินี่มันก็คือเต้าหู้หม่าผ่อนั่นแหละใช่ไหม? "

เจพูดถึงอาหารที่แพร่หลายอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกอย่างเต้าหู้ผัดพริกเสฉวนที่ญี่ปุ่นเรียกว่ามาโปโทฟู หรือมาปาดูบูในภาษาเกาหลี หนุ่มตี๋อ้วนที่คลุกคลีอยู่กับวงการอาหารคิดนิดหนึ่งแล้วให้คำตอบ

"อืมม์ ก็คล้ายๆ แต่ถ้าเป็นเต้าหู้หม่าผ่อแบบที่เคยเห็นกันทั่วไปต้องใช้โต้วป้านเจียงหรือซอสที่ทำจากถั่วหมักใส่พริกหมาล่า ส่วนจานนี้มันใส่แค่น้ำมันพริกกับพริกแห้ง กูไม่แน่ใจว่ามันเป็นสูตรยูนนานหรือว่ามันแค่เป็นอาหารที่ปรับขึ้นเพื่อให้คนไทยกิน แต่กูว่ามันอร่อยดีนะ เหมือนกินน้ำพริกอ่องแต่ใส่เต้าหู้แทนหมู"

ซันซันพูดยิ้มๆ พร้อมตักเต้าหู้ผัดพริกใส่จานตัวเองและกินอย่างเอร็ดอร่อย เขาหันไปสั่งอาหารเพิ่มอีกอย่าง แล้วหันมาบอกเพื่อนๆ

"กูสั่งของอร่อยมาเพิ่มอีกอย่างแล้วกันนะ"



ไม่นานของอร่อยของซันซันก็มาถึง

"หัวไชเท้าสดเนี่ยนะ? จะอร่อยเหรอมึง?"

ปรินซ์ถามขึ้นเมื่อเห็นหัวไชเท้าขูดเป็นเส้นเล็กบางกองโตจานหนึี่ง บนนั้นมีคางหมูต้มแผ่นบางจำนวนพอสมควรวางโปะมาด้วยพร้อมกับถั่วลิสงป่นจำนวนหนึ่ง มันมาพร้อมกับถ้วยน้ำซอสสีน้ำตาลใสๆ ซึ่งน่าจะเป็นซอสถั่วเหลืองและเครื่องปรุงอีกพวงหนึ่ง เจที่เคยกินอาหารจานนี้แล้วหัวเราะเบาๆ

"เดี๋ยวสิมึง นี่คือยำหัวไชเท้ากับคางหมู แต่เขาจะให้เราปรุงเองตามชอบ มึงปล่อยไอ้ซันมันยำก่อน"

ซันซันจัดการปรุงน้ำยำโดยการใส่น้ำมันพริก พริกป่นผัดน้ำมันและหมาล่าป่นลงไป ก่อนจะบีบมะนาวที่มีมาให้ 3-4 ซีกลงไป เขานำหัวไชเท้าลงไปคลุกเคล้ากับน้ำยำและตั้งทิ้งไว้ครู่หนึ่ง

"ปล่อยให้น้ำหัวไชเท้ามันออกมาอีกหน่อยนะ รับรองว่าเด็ด"

หนุ่มลูกร้านเพชรเลื่อนถ้วยยำออกไปแล้วจัดการกินอาหารอย่างอื่นต่ออย่างเอร็ดอร่อย เจอดไม่ไหวและตักหัวไชเท้าที่เริ่มสลดในถ้วยนั้นขึ้นมากินทันที

"อูย ใส่พริกซะเยอะเลยนะมึง..."

เจนยุทธบ่นซันซัน ตี๋แว่นใส่พริกคั่วน้ำมันไปถึงสามช้อนชาและผงหมาล่าอีกจำนวนหนึ่ง

"...แต่ก็อร่อยว่ะ"

เจสูดปาก แต่ก็ก้มหน้าก้มตากินหัวไชเท้ายำรสจัดจ้านเข้าไป ปรินซ์ลองตักมาชิมบ้าง หัวไชเท้านั้นยังมีรสขื่นน้อยๆ แต่ก็ถูกกลบไปด้วยรสเผ็ดของพริก แต่ส่วนที่อร่อยที่สุดคือน้ำยำ หลังเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หัวไชเท้าก็คายน้ำออกมาและทิ้งรสหวานอร่อยไว้ในน้ำซอสที่ใช้เป็นน้ำยำนั้น

"น้ำออกมาเยอะเลย นี่ตักซดเป็นซุปได้เลยนะเนี่ย ไอ้เจ้าคางหมูนี่ก็อร่อยนะ กรุบๆ ดึ๋งๆ ดี อร่อยจริงว่ะมึง"

ปรินซ์ออกปากชม






(หารูปยำหัวไชเท้าตอนยังไม่ได้ยำไม่ได้ ขอใช้รูปยำผักโอวซุนแทนแล้วกันนะคะ)




"จะว่าไป อาหารร้านนี้รสชาติคล้ายอาหารบ้านแม่มึงจริงๆ ว่ะ ซันซัน"

หนุ่มลูกร้านทองพูดขึ้น เขาเคยไปเที่ยวบ้านตาของซันซันและรู้สึกได้ถึงความคล้ายคลึง ซันซันพยักหน้า

"ใช่ เพราะว่าเป็นอาหารของคนจีนจากทางมณฑลยูนนานเหมือนกันน่ะ รสชาติมันจะต่างกับอาหารจีนแบบแต้จิ๋วหรือกวางตุ้งที่คนไทยคุ้นเคยกัน จะออกเผ็ดเค็มมันกว่า จะว่าไป มันจะคล้ายๆ กับอาหารเสฉวนน่ะ"

ซันซันหันไปรับอาหารที่ทางร้านจัดใส่ถุงกลับบ้านให้ เขาเอาให้เพื่อนทั้งสองของเขาดู

"เนี่ย ของโปรดแม่กู ขาหมูกับหมั่นโถวทอด"

เจกับปรินซ์ชะโงกดูในถุงและเห็นขาหมูพะโล้หน้าตาน่ากินกับหมั่นโถวทอดสีเหลืองทอง

"เห็นขาหมูแล้วกูก็นึกถึงตอนพวกเราไปเที่ยวแม่สลองกับที่บ้านมึงว่ะไอ้ซัน บนนั้นก็มีขาหมูอร่อย นั่นก็เป็นอาหารยูนนานเหมือนกันใช่ป่าว? แล้วทำไมที่เชียงรายถึงได้มีอาหารยูนนานให้กินหลายร้านขนาดนั้นวะ?"

เจนยุทธถามขึ้น ซันซันหันไปพยักเพยิดกับปรินซ์

"เอ้า ไหน มึงตอบไอ้เจมันหน่อยสิปรินซ์"

ปรินซ์กระแอมเบาๆ แล้วเล่าให้เจนยุทธฟัง



"ที่เชียงรายมีคนจีนยูนนานอพยพมาอยู่เยอะน่ะ ผ่านทางชายแดนพม่าซึ่งก็มีพรมแดนติดกับมณฑลยูนนาน..."

ผู้อพยพชาวยูนนานซึ่งเป็นที่รู้จักที่สุดก็คงไม่พ้นเหล่าทหารกองพลที่ 93 ของนายพลต้วนซึ่งเคยสังกัดกองทัพก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ค ภายหลังจากที่เจียงไคเช็คพ่ายแพ้ให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2492 และหนีไปอยู่ไต้หวันแล้ว กองพลที่ 93 ของนายพลต้วนซึ่งปฏิบัติภารกิจอยู่ในแถบพม่าก็ถูกกดดันให้ถอยร่นลงมาจนในที่สุดได้ทำการขอลี้ภัยในประเทศไทยในปี 2504 โดยแลกกับการช่วยไทยทำภารกิจต่อต้านการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ตะเข็บชายแดน โดยมีกองบัญชาการอยู่บนดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย

หากภายหลังจากสงครามกับคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลงและชาวยูนนานเหล่านี้ได้สิทธิ์ในการอยู่อาศัยบนดอยแม่สลอง ผู้อพยพมาใหม่เหล่านี้หลายคนอย่างเช่น ขุนส่า กลับเข้าไปพัวพันกับการค้าฝิ่นและเฮโรอีนทำให้พื้นที่แถบนี้กลายเป็นแหล่งปลูกและค้ายาเสพติดในที่สุด หลังการปราบปรามอย่างหนักและความพยายามในการฟื้นฟูพื้นที่แถบนี้จากทุกฝ่าย และด้วยพระเมตตาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จย่า ในที่สุดดอยแม่สลองก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของจังหวัดเชียงรายโดยมีจุดเด่นอยู่ที่วิถีชีวิตของผู้คนบนดอยที่ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในส่วนหนึ่งของประเทศจีน



"คนจีนกลุ่มนี้คือที่คนบ้านเราเรียกว่าจีนฮ่อใช่ป่าว?"

เจถาม ซันซันพยักหน้า

"ใช่แล้วมึง ที่อยู่กันเยอะๆ แถวเชียงรายกับอำเภอฝางของเชียงใหม่นั่นแหละ รวมถึงกลุ่มจีนมุสลิมที่อยู่แถวถนนช้างคลานด้วย..."

เจร้องอ๋อ แถวๆ ถนนช้างคลานมีชุมชนมุสลิมใหญ่และมีมัสยิดอยู่หลายแห่ง แต่ที่เป็นที่รู้จักที่สุดแห่งหนึ่งได้แก่มัสยิดเฮดายาตุ้ล หรือ มัสยิดบ้านฮ่อในย่านไนท์บาซาร์

"แต่ว่าคนจีนฮ่อมุสลิมที่นี่กับที่อยู่แถวแม่สายบ้านแม่กูเป็นกลุ่มที่อยู่ในไทยมานานกว่าพวกที่อยู่บนดอยแม่สลองนะ"

ซันซันขยายความเพิ่มเมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าสงสัย

"คือถ้าพูดถึงจีนฮ่อ เราจะไปนึกถึงพวกกองพลที่ 93 ที่อยู่บนแม่สลองกับแถวฝางและไชยปราการใช่ไหมล่ะ? แต่ที่จริงแล้วกลุ่มชาวจีนยูนนานนั้นเดินทางเข้ามาในไทยเป็นร้อยปีแล้วผ่านทางขบวนคาราวาน..."

ชาวจีนยูนนานกลุ่มที่ซันซันพูดถึงนี้ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าเร่ที่เดินทางค้าขายระหว่างประเทศจีนและประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอนบนอย่างไทย ลาว พม่าและเวียดนาม โดยเดินทางกันมาเป็นกองคาราวานและเข้ามาในไทยผ่านทางอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

"ครอบครัวของแม่กูเป็นกลุ่มนี้แหละ ทวดของกูก็เป็นพ่อค้าเร่ชาวจีนยูนนานที่มาแต่งงานกับสาวเชียงรายและตั้งรกรากอยู่ที่แม่สายโดยยึดอาชีพขายพลอย..."



ส่วนชาวจีนฮ่ออีกกลุ่มหนึ่งที่อพยพเข้ามาอยู่ในไทยตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 ได้แก่กลุ่มชาวมุสลิมในมณฑลยูนนานหรือชาวหุยซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวเปอร์เซีย อาหรับ และเอเชียกลางในจีน ชนกลุ่มนี้พยายามตั้งรัฐอิสระในจีนช่วงราชวงค์ชิงและถูกทางการปราบปรามจนต้องถอยร่นลงมาในไทยและพม่า

"กลุ่มที่ถนนช้างคลานก็คงเป็นพวกนี้อ่ะ"

ซันซันพูดพลางตักสามชั้นทอดคำสุดท้ายเข้าปาก เจนยุทธมองตามอย่างเจ็บใจ เขามัวแต่ฟังซันซันเล่าเพลินจนโดนฉกคำสุดท้ายไปจนได้

“แต่แม่กูก็บอกนะว่าเค้าไม่ค่อยชอบให้เรียกว่าจีนฮ่อเท่าไหร่”

“แล้วต้องเรียกว่าไงอ่ะ?”

เจถามพร้อมกับตีมือปรินซ์ที่จะมาฉกเอาฟองนมทอดชิ้นสุดท้ายที่เขาเก็บไว้ในจาน

“คนจีนยูนนานก็ได้มั้ง ไม่ก็คนจีนมุสลิม สำหรับคนที่นับถือมุสลิม”

ซันซันพูด

“แล้วที่มึงเคยเล่าให้ฟังอะ ว่าตอนแรกเหล่ากงมึงไม่อยากให้พ่อแต่งงานกับแม่ นั่นก็เพราะว่าบ้านแม่มึงเป็นคนยูนนานเหรอ?”

เจนยุทธถาม บ้านเขาเป็นชาวจีนซึ่งอพยพมาอาศัยอยู่ทางภาคเหนือได้หลายชั่วอายุคนแล้วและไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างตรงนี้มากนัก ส่วนบ้านซันซันและปรินซ์นั้น ทวดทางปู่ของทั้งคู่เป็นชาวจีนที่อพยพมาภายหลังแบบที่คนไทยชอบเรียกว่ามาแบบเสื่อผืนหมอนใบ ซันซันผงกหัว

“ใช่ๆ คือพวกคนจีนแบบอากงกูถึงจะเป็นคนแต้จิ๋วที่เกิดในไทย แต่เค้าก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนจีนฮั่น แต่ทางยูนนานน่ะ มีชนเผ่ากลุ่มเล็กกลุ่มน้อยเยอะ ทั้งพวกชาวหุยที่เป็นมุสลิม ชาวไป๋ ชาวไต เยอะแยะอ่ะ พวกจีนฮั่นเค้าจะมองพวกนี้เป็นคนนอก แต่พ่อกูเค้าพูดใส่หน้าอากงว่าที่นี่เมืองไทย จะจีนอะไร สุดท้ายลูกหลานที่เกิดมาก็เป็นไทยเหมือนกัน อากงกูถึงได้ยอมในที่สุด”



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- When We're Apart (ต่อ) ----




“ไอ้อ้วนมันถึงชื่อซันซันไง เป็นชื่อภาษาจีนกลาง ไม่ใช่แต่จิ๋ว เพราะทางบ้านแม่มันเป็นคนตั้งให้”

ปรินซ์เสริมขึ้น เจร้องอ๋อ ชาวจีนยูนนานในไทยนั้นใช้ภาษาจีนกลางหรือภาษาแมนดารินเป็นหลัก ต่างกับคนจีนส่วนใหญ่ในไทยที่ใช้ภาษาแต้จิ๋วหรือกวางตุ้ง

“แล้วมึงพูดจีนกลางหรือแต้จิ๋วได้ป่าววะ?”

เจถามเพื่อนของเขา ซันซันหัวเราะ

“กูพูดจีนกลางได้นิดหน่อย แต่แต้จิ๋วนี่ไม่เอาเลย ที่บ้านกูเขาก็ไม่ได้บังคับให้เรียนด้วย ก็อย่างที่พ่อกูบอกน่ะ ไม่ว่าจะจีนไหน สุดท้ายกูก็กลายเป็นคนไทยอยู่ดี”

“ไม่ต้องมามองหน้ากู กูก็พูดไม่ได้”

ปรินซ์ปฏิเสธลั่นเมื่อเจนยุทธหันมามองเป็นเชิงถาม

“พวกเรานี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ นะ ลูกหลานคนจีน แต่พูดจีนไม่ได้”

ซันซันบ่นเบาๆ

“ไม่ต้องภาษาจีนหรอก คำเมืองพวกมึงยังพูดไม่ได้เลย”

เจพูดกลั้วหัวเราะ บ้านของเขาเป็นจีนแต้จิ๋วที่เข้ามาในไทยตั้งแต่ช่วงต้นยุครัตนโกสินทร์และอพยพขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ในช่วงรัชกาลที่ 5 แม้ญาติผู้ใหญ่อย่างอากงเล็กของเขานั้นพูดจีนได้ แต่พวกท่านก็ใช้คำภาษาเหนือหรือคำเมืองในชีวิตประจำวันมากกว่า ส่วนรุ่นพ่อของเขานั้นก็เป็น “คนเมือง” เต็มตัวแล้ว ส่วนรุ่นของเจนั้นยังคงใช้ภาษาเหนือได้อย่างแคล่วคล่องเพราะใช้พูดกับแม่ แต่ทางสองหนุ่มปรินซ์กับซันซันซึ่งครอบครัวย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ในรุ่นปู่นั้น แม้พ่อของทั้งคู่จะใช้ภาษาเหนือคุยกันเองเพราะติดจากเพื่อนๆ ที่โรงเรียน แต่ก็ใช้ภาษาไทยกลางคุยกับครอบครัว ส่วนเด็กรุ่นใหม่อย่างปรินซ์และซันซันกลับพูดคำเมืองแทบไม่ได้เลย

“เอาน่า อย่างน้อยกูก็ฟังรู้เรื่อง แต่เจอสำเนียงที่ไม่ค่อยคุ้นอย่างพวกยองหรือทางพะเยา แพร่ น่าน กูก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน”

ปรินซ์พูดเสียงอ่อยๆ พลางยกมือเรียกเด็กเสิร์ฟให้คิดเงิน



“เดี๋ยวพวกมึงกลับบ้านเลยหรือเปล่า?”

เจซึ่งนั่งอยู่บนเวสป้าของเขาถามหนุ่มลูกร้านทอง ปรินซ์ส่ายหัว

“เดี๋ยวกูจะพาไอ้อ้วนมันไปโรงพยาบาลก่อน ไปเช็คแขนรอบสุดท้าย”

ซันซันซึ่งยังใส่เฝือกอ่อนที่แขนซ้ายยังคงต้องไปหาหมอเพื่อดูอาการให้แน่ใจว่ากระดูกส่วนที่ร้าวประสานกันได้ดี และในวันนี้ปรินซ์จะทำหน้าที่เป็นคนพาไปเอง

“อือ กูก็หวังว่ามันจะหายดี มึงจะได้มีโอกาสจัดการมันซักที”

ปรินซ์ซึ่งกำลังเปิดล็อครถของตัวเองหันขวับมาหาเจนยุทธ

“มึงพูดอะไรวะ?”

เจยิ้มเผล่

“มึงไม่ต้องมาทำไขสือ ไอ้ปรินซ์ ตอนอยู่ที่ร้านเมื่อกี้กูเห็นท่าทางพวกมึงสองคนอยู่ ตกลงมันอะไรยังไงกันวะ? นี่ได้คุยกับมันแล้วเหรอ?”

ปรินซ์หน้าแดงซ่านและพูดอะไรไม่ออก เจหัวเราะเบาๆ

“เออๆ ยังไม่อยากเล่าก็ยังไม่ต้องเล่า ไว้พร้อมเมื่อไหร่มึงค่อยบอกกูแล้วกัน จำไว้ กูเป็นกำลังใจให้พวกมึง และถ้าอยากปรึกษาอะไร ก็มาปรึกษากูได้ ทุกเรื่องเลยนะ”

เจเน้นคำว่าทุกเรื่อง นั่นยิ่งทำให้หนุ่มล่ำลูกร้านทองหน้าแดงขึ้นไปอีก

“เจ มึง กูขออย่างสิ…”

ปรินซ์พูดขึ้นเบาๆ

“เรื่องนี้มึงอย่าเพิ่งไปถามไปซักไอ้ซันมัน โอเคไหม?”

ปรินซ์พูดถึงเพื่อนรักซึ่งยังคงรอเขาอยู่ที่ร้าน ปรินซ์ซ้อนท้ายเจมาเอารถที่จอดไว้ค่อนข้างไกลร้านแล้วค่อยไปรับซันซัน เขาไม่อยากให้ไอ้อ้วนของเขาต้องเดินไกลนัก

“โอเค กูจะไม่ถามไม่ซักมัน ไม่ต้องห่วง”

เจทำท่ารูดซิปปากก่อนที่จะโบกมืออำลาเพื่อนเพื่อกลับไปที่คอนโด



"มาแล้วๆ "

เจรีบปิดก๊อกน้ำที่ซิงค์และเผ่นพรวดมานั่งหน้าโน้ตบุ๊คของเขาซึ่งเปิดโปรแกรมไลน์ไว้ที่เคาเตอร์บาร์ เขารีบกดรับวีดีโอคอลของฆาเบียร์ทันควัน

"ไงครับ ทำไมวันนี้คอลล์มาซะเช้าเชียว ที่นู่นเพิ่งจะหกโมงเองไม่ใช่เหรอครับ"

เจถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฆาเบียร์ส่งข้อความมาบอกเจก่อนหน้านี้ว่าเขาตื่นแล้วและอยากคุยกับเจนยุทธ แต่โดยปกติ ถ้าฆาเบียร์โทรมาตอนเช้าของสหรัฐฯ ก็มักจะเป็นตอนก่อนออกไปทำงานไม่ก็ช่วงที่ไปถึงออฟฟิศแล้ว แต่ถ้าคนรักของเขาติดต่อมาเวลานี้ โดยมากก็เพราะมีจุดประสงค์อื่น

“เจจ๋า นี่นายยังไม่เข้าห้องนอนอีกเหรอ?”

คนตัวโตที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เจนยุทธส่ายหัว

“เพิ่งสองทุ่มเองครับ ผมเพิ่งกินข้าวเสร็จ อิ่มชะมัดเลย เดี๋ยวว่าจะนั่งดูทีวีซักหน่อย”

เจแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาแอบสังเกตอาการคนตัวโตที่ทำหน้าเจื่อนไป ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าฆาเบียร์ต้องการที่จะพลอดรักกับเขา

“เจ อย่าแกล้งฉันเลย ฉันคิดถึงเจ อยากกอดเจจะแย่อยู่แล้วนะ แล้วนี่มันก็หลายวันแล้ว”

คนตัวโตโอดครวญ ด้วยเวลาที่ต่างกันถึง 14 ชั่วโมงทำให้กลางวันและกลางคืนของพวกเขาสลับกันอีกทั้งเรื่องงาน ทำให้ไม่สะดวกหลายๆ อย่าง บางครั้งเขาต้องกลับบ้านมาตอนดึกดื่น เนื่องจากต้องประชุมเครียดกับที่ทำงานหรือไปออกงานสังคมกับคริส และเมื่อถึงบ้านก็หมดสภาพอยากนอน เขาจึงได้แต่โทรไปทักทายสั้นๆ กับเจซึ่งกำลังกินมื้อเที่ยง ส่วนเมื่อเจเข้าห้องนอนแล้ว ทางเขาก็เป็นเวลาที่ต้องออกไปทำงานหรืออยู่ที่ทำงานแล้ว ฉะนั้นช่วงเวลาเดียวที่พอจะสะดวกสำหรับพวกเขาที่จะพลอดรักก็คือช่วงเวลานี้

“ครับๆ ไม่แกล้งก็ได้ คุณรอแป๊บนึงนะ ขอผมเก็บข้าวของให้เรียบร้อยก่อน”

เจยิ้มหวานให้คนรักและขอตัวไปเก็บนั่นนี่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คของเขาไปวางบนโต๊ะคอมที่ยื่นเข้ามาเหนือเตียง เจหยิบหูฟังบลูทูธมาเสียบหูและขึ้นไปนั่งบนเตียง



"ใจเย็นๆ สิครับ ฆาบี้ จะไม่พูดไม่จาอะไรกันก่อนเหรอ?"

เจพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นภาพบนหน้าจอ คนรักของเขาดูจะรอไม่ไหวและกำลังใช้มือรูดไล้ส่วนสงวนที่ตื่นตัวเต็มที่แล้วของตัวเองไปพลางๆ

"ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้น่า ไหน มาให้ฉันดูหน่อยซิว่าคนดีของฉันพร้อมหรือยัง"

ฆาเบียร์ส่งสายตาฉ่ำเยิ้มให้คนรัก เจขบริมฝีปากน้อยๆ เสียงที่แหบกระเส่าของฆาบี้ช่างเร้าอารมณ์เขานัก

"ถอดเสื้อออกสิ เจ ให้ฉันเห็นตัวนายหน่อย"

เจยิ้มกริ่ม เขาค่อยๆ ถอดเสื้อออกช้าๆ ฆาเบียร์เม้มปากแน่นเมื่อเห็นแผงอกแข็งแรงของคนรัก เขาไม่ได้ลูบไล้ผิวขาวเนียนนั้นนานกว่าเดือนครึ่งแล้ว และมันกำลังทำให้เขาแทบคลั่ง เจค่อยๆ ไล้นิ้วไปตามแผงอกของตัวเองเพื่อยั่วเย้าคนรัก เขาเขี่ยวนที่ตุ่มไตสีทับทิมเบาๆ ฆาเบียร์แทบหยุดหายใจเมื่อเห็นมันค่อยๆ ชูชันขึ้นตามสัมผัส

"ทำตามผมหน่อยสิ ฆาบี้"

เจเชิญชวนคนรัก เขาค่อยๆ ปลดซิปกางเกงที่ใส่อยู่ลงแล้วถอดมันออกจนเหลือแต่ชั้นในสีขาว เขาสัมผัสแท่งลำภายใต้กางเกงผ้าเนื้อบางนั้นจนกระทั่งมันชูคอเด่นจนเห็นเป็นลำชัดเจน ฆาเบียร์ค่อยๆ ลากนิ้วของตนไปตามแผงอกกว้างของตัวเองเพื่อเลียนแบบท่าทางของเจนยุทธ เขาสูดปากเบาๆ เมื่อสัมผัสตุ่มไตของตัวเอง มืออีกข้างของเขายังคงสัมผัสแก่นกายตนไปเรื่อยๆ เจจ้องมองริมฝีปากบางของคนรัก เขาอยากจูบฆาเบียร์ใจแทบขาดและคิดถึงปากนิ่มๆ ของเมียตัวโตของเขาเหลือเกิน เจอดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นลูบริมฝีปากของคนรักที่เห็นในจอคอม

"ผมคิดถึงคุณจัง ฆาบี้"

เจหลุดปากพูดออกมาเบาๆ ฆาเบียร์สะท้อนใจ น้ำเสียงที่แฝงด้วยความเปลี่ยวเหงาและคะนึงหาของเจนยุทธทำให้เขาอยากบินกลับไทยเสียตั้งแต่วันนี้ การได้สัมผัสกันเพียงแค่คำพูดนั้นเหมือนจะไม่พอเพียงเสียแล้ว หากเจเหมือนจะรู้ตัวว่าตัวเองได้พูดทำลายอารมณ์รักของคนตัวโตลงและรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เขาชักชวนให้ฆาเบียร์สัมผัสกายเขาและกระตุ้นอารมณ์จนเขาทั้งสองพากันเสร็จสมอารมณ์หมาย



"พอใจหรือยังครับ ที่รัก? นี่เดี๋ยวจะไปทำงานสายหรือเปล่า?"

เจพูดกับฆาเบียร์ที่ยังหอบเบาๆ อยู่

"ไม่หรอก นี่ยังไม่เจ็ดโมงเลยเจ เดี๋ยวฉันรีบอาบน้ำแล้วค่อยออกไปสักแปดโมงกว่าๆ ก็ได้ วันนี้กว่าจะประชุมกับบอร์ดบริษัทก็ช่วงบ่ายแล้ว"

 ฆาบี้กล่าวกับคนรักที่กำลังทำความสะอาดตััวเอง เจยิ้มหวานแล้วพูดเย้าแหย่คนรัก

"งั้นอีกรอบก็ยังไหวใช่ไหมครับ?"

"อย่าท้านะ เจนยุทธ"

ฆาเบียร์คำรามเบาๆ เจหัวเราะเสียงใสแล้วบอกคนรักว่าเขาแค่ล้อเล่น

"เรามาคุยกันดีกว่าครับ ฆาบี้ เนี่ย วันนี้ผมไปกินอาหารยูนนานมา เจอของอย่างหนึ่งที่คุณต้องชอบแน่ๆ "

เจเล่าให้ฆาเบียร์ฟังถึงเรื่องฟองนมทอดที่เขาได้กินในวันนี้และเล่าถึงเรื่องอื่นๆ อีก คนตัวโตฟังคนรักของเขาอย่างเพลิดเพลิน พวกเขาทั้งสองเหมือนไม่เคยหมดเรื่องที่จะพูดคุยกันเลยสักครั้ง



"...ตามนั้นแหละคุณ ผมว่ามันผิดปกติจริงๆ อย่างตักอาหารแล้วบังเอิญมือไปชนกัน หรือตอนตักอาหารให้กัน ก็มีท่าเขินกันขึ้นมา แล้วไอ้ปรินซ์มันก็ไม่ได้พูดหยอดพูดแกล้งซันซันเหมือนทุกที ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ "

"งั้นเหรอ? ฉันนี่อยากไปเห็นกับตาจริงๆ ถ้ามีอะไรคืบหน้า สัญญานะว่าต้องเล่าให้ฉันฟังด้วย"

ฆาเบียร์มีท่าทีตื่นเต้นเมื่อเจเล่าให้เขาฟังเรื่องปรินซ์และซันซัน​ เจหัวเราะเบาๆ ให้กับความเผือกของเมียตัวโตของเขา

"ผมก็เลยว่าจะมาขออะไรคุณซักอย่างอ่ะครับ..."

"ขออะไรล่ะ?"

"อืมม์ ที่ตอนแรกเราแพลนกันว่าจะไปกระบี่ช่วงเดือนกรกฎาฯ แล้วคุณเกิดติดธุระไปไม่ได้ขึ้นมาน่ะ..."

"จ้ะ ใช่ ช่วงนั้นฉันไม่ว่าง แล้ว?..."

"คือบุคกิ้งโรงแรมสองที่ๆ เราจองไว้น่ะครับ ตอนแรกที่เราว่าจะแคนเซิล ผมว่าจะเอาไปยกให้สองคนนั่น ดีไหม?"

ฆาเบียร์ทำท่าครุ่นคิดตาม

"ได้สิ ไม่มีปัญหา แล้วเจจะบอกสองคนนั้นว่าไง?"

"ผมก็จะบอกว่าจองไปแล้วยกเลิกไม่ได้ ให้สองคนนั้นไปพักแทนไง ให้มันหาแค่ตั๋วเครื่องบินกันก็พอ"

คนตัวโตพยักหน้ารับคำ

"เจจัดการตามใจเลยจ้ะ นายเป็นคนจ่ายค่าโรงแรมที่หนึ่งอยู่แล้วนี่นา ส่วนอีกที่ฉันก็ได้เป็นของฟรีมา ฉะนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"

ทั้งสองคุยตกลงกันเรื่องนี้และคุยนั่นนี่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ฆาเบียร์จะยกนาฬิกาขึ้นดู

"งั้น ฉันไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนล่ะนะ ไว้ฉันจะโทรมาอีกทีตอนก่อนเข้าประชุมบ่าย แต่ถ้าเจจะนอนแล้ว ก็นอนไปก่อนได้เลยนะ ไปก่อนนะ Mi rey"

คนตัวโตยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากและแตะไปที่เลนส์กล้อง เจนยุทธทำเช่นเดียวกันก่อนที่จะตัดการสนทนาไป



"ฮัลโหล"

เจนยุทธรับโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเตียงด้วยน้ำเสียงง่วงงุน

"หลับแล้วเหรอ? "

เจกดเปิดสปีคเกอร์แล้วขยับนอนตะแคงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบนั้น เขาเอามือถือวางพิงหมอนอีกใบให้คนรักได้เห็นหน้าของเขา

"ครับ แต่เพิ่งนอนได้แป๊บเดียวเอง คืนนี้ไม่มีงานแปลผมเลยนอนเร็ว นี่กี่โมงแล้ว?"

เจหาวหวอดๆ แล้วส่งยิ้มกว้างให้คนรัก ฆาเบียร์ยิ้มตอบกลับมา

"สิบเอ็ดโมงจ้ะ ที่ไทยน่าจะซัก เอ่อ ตีหนึ่งมั้ง? งั้นถ้านายนอนแล้ว ฉันไม่กวนดีกว่านะ"

"ไม่เป็นไรครับ ไหนๆ ผมก็ตื่นมาแล้ว คุยกันต่อได้"

"งั้นคุยแป๊บเดียวแล้วกันนะ เพราะเดี๋ยวฉันก็ต้องออกไปกินข้าวกับอาปาเหมือนกัน"

เจพยักหน้าและเริ่มพูดคุยกับเมียตัวโตของเขา



"...ก็อย่างที่เจพูดเมื่อวานนั่นแหละ หุ้น ฉันลองคุยกับอาปาคร่าวๆ ดูว่า เราอาจจะยอมรับข้อเสนอเรื่องราคาของเขา แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าบริษัทนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อไหร่ ซึ่งดูทรงแล้วทางนั้นเอาเข้าแน่ เราจะขอเป็นหุ้นในบริษัทนั้นจำนวนหนึ่ง หรือขอเป็นสิทธิ์จองซื้อหุ้นในราคาเดียวกับที่ให้คนในหรือผู้มีอุปการะคุณของบริษัทซื้อก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ อะไรประมาณนี้ อาปาก็เห็นด้วยแล้ว แต่เดี๋ยววันนี้ฉันจะไปโน้มน้าวผู้ถือหุ้นคนอื่นด้วย แล้วก็มากำหนดว่าเราจะขอเขาเป็นจำนวนเท่าไหร่..."

เจนยุทธทำตาแป๋วฟังคนตัวโตอธิบายและพยายามทำความเข้าใจตาม

"...แต่ฉันก็กลัวว่าคนอื่นอาจจะไม่เห็นด้วย เพราะเขาอาจจะอยากได้เป็นเงินสดมากกว่าได้หุ้น"

"แล้วคุณทำแบบนี้ไม่ได้เหรอครับ? อย่างเสนอซื้อสิทธิ์นั้นต่อจากผู้ถือหุ้นคนอื่น ก็ทำสัญญากันไว้ให้เรียบร้อยว่าจะซื้อในราคาไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ เขาจะได้รู้ว่าถ้ายอมรับดีลนี้ก็จะได้เงินก้อนแน่ๆ แต่ถ้ามันแพงเกินกว่างบคุณ คุณก็ปล่อยเขาขายของเขาไป"

เจลองเสนอไปตามความคิดของเขา ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ ถึงคนตัวเล็กของเขาจะบอกว่าตัวเองไม่ค่อยมีหัวด้านธุรกิจเมื่อเทียบกับเพื่อนสนิทของเขาอย่างปรินซ์และซันซัน แต่เท่าที่เห็นเขาไม่คิดเช่นนั้น สิ่งที่เจเพิ่งเสนอมาคือสิ่งหนึ่งที่เขาคิดไว้ในใจและได้ปรึกษากับอาปาของเขาแล้วว่าจะลองเสนอในที่ประชุมดู ไม่แน่ว่าในอนาคตเจอาจจะสามารถยืนเคียงคู่เขาได้ทั้งในฐานะพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจและพาร์ทเนอร์ชีวิต

"เจ ไปนอนเถอะ ฉันไม่กวนนายแล้ว"

ฆาเบียร์พูดเมื่อเห็นเจเริ่มสัปหงกน้อยๆ คนตัวเล็กขยี้ตาแล้วยิ้มหวานให้คนรัก

"งั้นผมไปนอนก่อนนะครับ mi alma รักนะครับ คนดีของผม"

เจส่งจูบให้คนรัก ฆาเบียร์ก็ส่งจูบและบอกรักกลับคืนก่อนที่จะตัดสายไปอีกครั้ง



สองวันผ่านไป การเจรจาของฆาเบียร์กับบรรดากรรมการบริษัททั้งทางบริษัทของเขาและของบริษัทสตาร์ทอัพที่พวกเขาไปลงทุนไว้นั้นเป็นไปอย่างราบรื่น หากเขาก็ยังรู้สึกกดดันกับการเจรจากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ระหว่างที่เขากำลังอ่านเอกสารและจดโน้ตอย่างเคร่งเครียด เสียงอินเตอร์คอมของเขาก็ดังขึ้น

"คุณมาร์ติเนซคะ มีดอกไม้มาส่ง ให้เอาเข้ามาเลยไหมคะ?"

"ดอกไม้? จากใคร? เอ่อ ช่างเถอะ เอาเข้ามาเลยก็ได้"

ฆาเบียร์ตอบทั้งที่ยังก้มหน้าอ่านเอกสารอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาดูเมื่อเลขาของเขาที่สำนักงานใหญ่นี้เปิดประตูเข้ามาในห้อง เขาต้องงงไปเมื่อเห็นว่าในมือของเธอนั้นไม่ใช่แจกันหรือช่อดอกไม้ แต่มันเป็นตะกร้าปิคนิคที่ทำจากหวายสานขนาดใหญ่ ฝาด้านหนึ่งของมันเปิดไว้เผยให้เห็นดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสันที่จัดไว้อย่างงดงาม

"มีการ์ดมาด้วยนะคะ คุณมาร์ติเนซ"

เลขาของเขายื่นการ์ดลวดลายสวยงามใบหนึ่งให้แล้วจึงขอตัวออกห้องไป ฆาเบียร์เปิดการ์ดใบนั้นดูแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ บนนั้นเขียนไว้ว่า



'You can do it , My Tough Cookie! Believe in yourself and go kick those big corporate guys' asses!"



ตัวอักษรที่ถูกปรินท์ด้วยเครื่องปรินท์บนการ์ดใบนั้นเป็นลายมือของเจนยุทธ เจ้าตัวดีคงสแกนมันเป็นไฟล์ภาพแล้วส่งเมล์ให้กับร้านดอกไม้และคงไม่แคล้วมีเมลิน่าเป็นคนช่วยประสานงานให้ ฆาเบียร์เปิดตะกร้าออกดูแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ในนั้นมีกล่องเหล็กใส่คุกกี้ช็อคโกแลตชิพยี่ห้อโปรดของเขาและมีแชมเปญ Veuve Clicquot ขวดเล็กขนาด 375 ml. อีกหนึ่งขวด บนขวดมีโพสต์อิทซึ่งเขียนด้วยลายมือของคนอื่นติดอยู่ บนนั้นเขียนไว้ว่า

'For tomorrow'

ฆาเบียร์หยิบขวดแชมเปญออกมาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน เขาเปิดกล่องเหล็กออกแล้วหยิบคุกกี้ออกมา เขาจ้องมองดูคุกกี้ช็อคโกแลตชิพชิ้นนั้น เจเรียกเขาเป็น tough cookie หรือผู้เข้มแข็ง ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกัดกินคุกกี้แสนอร่อยชิ้นนั้นเข้าไปพลางคิดถึงคนรักที่อยู่ห่างไกล กำลังใจของเขาเต็มเปี่ยมและพร้อมที่จะเข้าชนกับปัญหาใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว



-------------------------------------

ตอนนี้ก็เสนอชีวิตของสองคนนี้ตอนที่อยู่ห่างกันนะคะ เนื้อเรื่องช่วงนี้ยังไม่มีอะไรมากนัก แต่ก็มีของกินมานำเสนออีกหนึ่งร้าน คือร้าน "มิตรใหม่" ร้านอาหารจีนยูนนานที่คนเขียนไปกินบ๊อยบ่อยอีกร้านหนึ่งค่ะ ที่ชอบก็มีตามที่เขียนในเรื่อง สามชั้นผัดแห้งนั้นคือที่หนึ่งในดวงใจค่ะ อย่างอื่นที่ชอบก็มียอดผักซาโยเต้ผัดไข่ เขาผัดได้แห้งและรสชาติดีจริงๆ ค่ะ จริงๆ มีอย่างหนึ่งที่อยากกินของร้านนี้คือหม้อไฟยูนนาน แต่เห็นว่าต้องสั่งก่อนล่วงหน้าและไปกันอย่างต่ำสี่คนเพราะว่าหม้อมันใหญ่ค่ะ สองคนกินไม่ไหว

ลิงค์รีวิวร้านค่ะ

จาก Wongnai  http://bit.ly/2QAM1zu

จากข่าวสดค่ะ http://bit.ly/2E57Rts

เรื่องดีลธุรกิจอะไรของฆาบี้นั้น ขอสารภาพว่ามั่วเอาซะเยอะ แหะๆ มันจะทำแบบนี้ได้จริงหรือเปล่าไม่รู้ ส่วนอิเจ้า CRM Solution แบบคลาวด์นั้นถือเป็นความรู้ใหม่ที่คนเขียนอ่านเจอ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจมันถูกไหม เรื่องของเรื่องคือไปหาเรื่องของบริษัท Salesforce อ่านนั่นแหละค่ะ เพราะมีเพื่อนอเมริกันที่สวยและรวยมากคนหนึ่ง เธอเคยทำงานเป็นพีอาร์ให้กับที่นี่ เธอพยายามอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นแบบไหนแต่เราก็ไม่เก็ต ก็เลยไปหาอ่านเองดู ก็ได้ไอเดียคร่าวๆ มาแบบนี้ค่ะ ก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียว แต่พอดีว่างานที่คนเขียนทำอยู่มันไม่จำเป็นต้องอาศัยการขายแบบนี้ก็เลยคิดว่าคงไม่ได้ใช้ค่ะ

Salesforce https://sforce.co/2y4smkE



ส่วนเรื่องชาวจีนยูนนานนั้น กลุ่มซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คงเป็นชาวหมู่บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) ส่วนหนึ่งของกองพลที่ 93 แห่งพรรคก๊กมินตั๋งค่ะ บนนั้นเหมือนเป็นเมืองจีนย่อมๆ เลยทีเดียวค่ะ แต่คนเขียนเองก็ไม่ได้ขึ้นไปนานแล้วไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง จำได้ว่าตอนเด็กๆ พ่อมาที่นี่บ่อยและจะต้องซื้อขาหมูกับหมั่นโถวของร้านอาหารบนนั้นกลับไปทุกครั้ง

กลุ่มอื่นๆ ที่เป็นที่รู้จักก็คือชาวจีนมุสลิมซึ่งอาศัยอยู่ในย่านกองฮ่อหรือบ้านฮ่อแถบไนท์บาซาร์ ร้านข้าวซอยกองฮ่อ หรือข้าวซอยอิสลามที่โด่งดังก็ตั้งอยู่ในตรอกน้อยๆ นี้ค่ะ พูดถึงข้าวซอย อาหารเหนือยอดนิยมนี้ก็ถือกำเนิดมาจากชุมชนชาวจีนมุสลิม​ในแถบภาคเหนือของไทยค่ะ ถ้าเป็น "ข้าวซอย" ของลาวเหนือ สิบสองปันนาและเชียงตุงจะเป็นแบบที่ใช้เส้นก๋วยเตี๋ยว ไม่ใช่เส้นบะหมี่ไข่แบบของทางบ้านเราค่ะ

นอกจากนั้นก็ยังมีชุมชนจีน "บ้านรักไทย" ในปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน เหล่าชาวจีนแถวอ. แม่สาย และไชยปราการเป็นต้นค่ะ





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ปี๋ใหม่เมือง ----




"ฮัลโหล เครื่องลงแล้วเหรอครับ? ผมรอคุณอยู่ที่สตาร์บัคส์นะ ได้กระเป๋าแล้วก็ออกมาได้เลย"

เจตอบรับเสียงทุ้มแหบที่ทักทายเขาอย่างอารมณ์ดี เขามานั่งรอฆาเบียร์ที่ร้านสตาร์บัคส์หน้าประตูฝั่งขาเข้าภายในประเทศของสนามบินเชียงใหม่

"เจ เอ่อ ฉันอยู่ที่ฝั่งอินเตอร์ฯ นะ"

เจนยุทธแทบสำลักกาแฟที่เขาจิบอยู่

"อ้าว เฮ้ย! ก็ไหนคุณขึ้นเครื่องมาจากกรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ? ก็ตอนจะขึ้นเครื่องคุณบอกว่าคุณผ่านตม. จากกรุงเทพฯ มาแล้ว"

"ใช่ แต่กระเป๋าฉันต้องมาผ่านศุลกากรที่เชียงใหม่ไงจ๊ะ เลยต้องไปรับกระเป๋าที่ฝั่งอินเตอร์ฯ "

คนตัวโตพูดอย่างอารมณ์ดี เจบ่นอุบอิบไปตามเรื่อง

"งั้นเดี๋ยวผมไปวนรถมารับคุณที่ฝั่งอินเตอร์แล้วกัน จวนได้กระเป๋าหรือยังครับ?"

"ไม่ต้องรีบก็ได้ เดี๋ยวถ้ากระเป๋าฉันออกมาแล้ว ฉันมายืนรอเจที่หน้าตึกก็ได้ Take your time, mi amor"

เจโคลงหัว นานๆ ทีฆาเบียร์จะทรานสิทที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อมาลงที่เชียงใหม่ที โดยปกติแล้ว ถ้าเขามาจากฮ่องกง เขามักบินตรงมาลงเชียงใหม่เลย แต่ช่วงนี้เป็นช่วงสงกรานต์ ตั๋วเครื่องบินหาได้ยาก ตัวฆาเบียร์เองก็ซื้อตั๋วค่อนข้างกระชั้นเพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะเคลียร์งานที่ฮ่องกงเสร็จวันไหน ทำให้หาตั๋วบินตรงมาเชียงใหม่ไม่ได้ คนรักของเขาจึงใช้วิธีบินลงที่กรุงเทพฯ และต่อเครื่องขึ้นมาที่เชียงใหม่แทน เขาจึงมาถึงเชียงใหม่เอาตอนเกือบห้าทุ่มแทนที่จะเป็นช่วงหัวค่ำเหมือนทุกครั้ง



เจนยุทธรีบเดินไปที่รถของเขาและขับวนไปยังอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ที่นั่นเมียตัวโตของเขายืนรออยู่แล้วพร้อมกระเป๋าเดินทางใบน้อย

"ทำไมทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะจ๊ะ?"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะเมื่อเปิดประตูรถมาเจอคนตัวเล็กทำหน้าบอกบุญไม่รับใส่ เจย่นจมูกใส่คนรักที่ไม่ได้นัดแนะกับเขาให้ดีก่อนว่าให้รับที่ไหน เขากะจะกอดเมียตัวโตของเขาแน่นๆ ให้สมใจตั้งแต่ตอนที่พ่อเจ้าประคุณเดินออกมาจากประตูทางออก แต่ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่จุ๊บเร็วๆ ก่อนที่ยามจะเดินมาไล่รถของเขาที่จอดอยู่หน้าจุดรับส่งเท่านั้น

"ชื่นใจ"

ฆาเบียร์พูดหลังจากแอบหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่เมื่อเจจอดรถที่ลานจอดของคอนโด เจนยุทธหันไปหาคนรักและดึงตัวเข้ามาป้อนจูบอย่างดูดดื่มให้ทันที ฆาเบียร์จูบตอบคนรักอย่างไม่ยอมแพ้กัน เวลาสองเดือนที่ต้องอยู่ห่างกันทำให้พวกเขาต้องการกันและกันมากเหลือเกิน

"ขึ้นห้องกันเถอะ เจ"

คนตัวโตกระซิบเสียงกระเส่า เจนยุทธพยักหน้า ริมฝีปากอันร้อนผ่าวของฆาเบียร์ทำให้เขารู้สึกเร่าร้อนขึ้นมา เขาดับเครื่องและรีบยกกระเป๋าของฆาเบียร์ลงจากรถ ฆาบี้ยื่นมือให้คนรักเกาะกุมและพากันเดินเข้าลิฟท์



"ผมคิดถึงคุณจัง"

เจพูดเบาๆ และเบียดกายเข้ากับกายอุ่นของคนรัก ฆาเบียร์ยกแขนขึ้นโอบกระชับไหล่ของเจนยุทธและก้มลงหอมเรือนผมนิ่มเบาๆ

"ฉันก็คิดถึงเจนะ คิดถึงมากๆ "

เจหันไปจ้องมองแววตาแพรวพรายของคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและกระซิบข้างๆ หูคนตัวเล็กของเขาเบาๆ

"คืนนี้ฉันขอกอดเจทั้งคืนให้หายคิดถึงได้ไหม?"

หากฆาเบียร์ก็ต้องแปลกใจเมื่อเจส่งเสียงเบาๆ ในลำคอเป็นการตอบรับ เขาคิดไว้ว่าเจน่าจะโวยวายแล้วบอกว่าตัวเองต่างหากที่จะเป็นฝ่ายกอด แต่คนรักของเขากลับมีท่าทียินยอมพร้อมใจ

"ผมเตรียมตัวไว้แล้วครับ ฆาบี้ คืนนี้ผมจะปรนนิบัติคุณเอง"

เจนยุทธหันมาบอกคนรักเมื่อพวกเขาออกจากลิฟท์ เจต้องการจะเอาใจคนตัวโตที่ต้องตรากตรำทำงานหนักตลอดช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ฆาเบียร์แทบรอให้เจเปิดประตูไม่ไหว ทันใดที่ประตูห้องปิดลง คนตัวโตก็ทิ้งของและปรี่เข้าหาคนรัก เขาบดจูบลงบนริมฝีปากรูปกระจับที่เผยอรออยู่แล้ว เจยกมือโอบคอของฆาเบียร์ไว้และสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของคนตัวโต เรียวลิ้นของทั้งสองพันไล้เกี่ยวเกาะกัน มือของทั้งคู่ช่วยกันถอดดึงเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกจากตัว



"ฆาบี้!"

เจอุทานออกมาเบาๆ เมื่อคนตัวโตอุ้มร่างที่เกือบเปลือยของเขาขึ้นและพาเดินเข้าในห้องนอน ฆาเบียร์ค่อยๆ วางร่างของคนรักลงบนเตียงและลงนอนทาบทับ เจโอบรับร่างคนรักไว้ด้วยความยินดี ริมฝีปากของทั้งคู่ล็อคติดกันอีกครั้ง คนตัวโตจูบพรมไปทั้งร่างของคนรักให้สมกับความคะนึงหา เขาทิ้งรอยรักไว้เป็นทาง เจสะท้านกายเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวของเมียตัวโตของเขาดูดดุนที่เม็ดทับทิมที่แดงก่ำเพราะแรงอารมณ์ของเขา ฆาเบียร์ใช้ลิ้นสะกิดเขี่ยตุ่มไตที่ชูชันขึ้นมา เขากำลังพยายามข่มใจไม่ให้ทำรุนแรงลงไป แต่ก็เหมือนจะอดไม่ได้ เจซี้ดปากออกมาเมื่อคนรักขบเบาๆ ที่ยอดอกของเขา

"คุณครับ ใจเย็นๆ นะ ผมไม่หนีไปไหนหรอก"

เจพูดกลัวหัวเราะและลูบผมสีน้ำตาลเข้มที่ดูเหมือนจะยาวขึ้นจนเกือบประบ่าแล้ว คนตัวโตคงโหมทำงานจนไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง

"คืนนี้ฉันไม่ให้นายได้นอนแน่ เจนยุทธ"

คนตัวโตขู่เบาๆ พร้อมกับพรมจูบไล่ลงมาตามแผงอก ท้องและลงไปสู่ท้องน้อย เจครางออกมาเบาๆ เมื่อฝ่ามือของคนรักสัมผัสกับส่วนอ่อนไหวที่แข็งตัวขึ้นจนเขาเริ่มปวดแล้ว

"ฆาเบียร์ นั่นแหละครับ ตรงนั้น"

เจส่งเสียงดังออกมาพร้อมกับยกสะโพกขึ้นอย่างลืมตัว นอกจากจะใช้ปากให้ความสุขเขาแล้ว ฆาเบียร์ยังใช้นิ้วที่ชุ่มเจลชำแรกเข้าไปกดย้ำๆ ที่จุดเสียวภายในช่องทางด้านหลังของเจ

"ตอดนิ้วฉันใหญ่เลยนะ เจ เสียวมากเลยเหรอ?"

คนตัวโตผละออกจากแท่งลำขนาดเกินตัวของคนรักและเงยหน้าขึ้นถามคนที่บิดกายเร่าๆ อยู่

"เสียวสิครับ ทำต่อสิ ฆาบี้ ผมจวนแล้ว"

เจนยุทธโอดครวญพร้อมดันหัวเมียตัวโตลง ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและบริการคนรักของเขาต่อ เจสูดปากลั่น โพรงปากของฆาเบียร์ในวันนี้ร้อนกว่าที่เคย มันทำให้เขารู้สึกมากเหลือเกิน ไม่นานนักเจก็คำรามหนักๆ ออกมา ฆาเบียร์กลืนกินทุกหยดหยาดของคนรักและขยับตัวขึ้นนั่ง เขาดันขาทั้งสองของเจให้อ้ากว้างออก แต่ก่อนที่จะทันทำอะไรต่อ ฆาเบียร์กลับรู้สึกมึนหัววูบขึ้นมา



"ฆาบี้ เป็นอะไรหรือเปล่า?"

เจรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินี้เช่นกัน เขายันกายขึ้นนั่งและถามคนตัวโตที่หลับตานิ่ง

"เจ ฉัน ฉันขอโทษ คืนนี้ฉันคงไม่ไหวแล้ว"

ฆาเบียร์พูดด้วยเสียงแผ่วเบาก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างคนรัก เจใจหายวาบเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของคนรัก เขารีบลุกมาดูอาการของฆาเบียร์ คนตัวโตนอนหลับตานิ่งและก่นด่าตัวเองเบาๆ เป็นภาษาแม่ ไอ้ยาเจ้ากรรมที่เขากินก่อนขึ้นเครื่องเมื่อประมาณสิบกว่าชั่วโมงที่แล้วดันหมดฤทธิ์เสียได้

"ตัวร้อนจี๋เลย ฆาบี้ คุณมีไข้นี่?"

เจเอามืออังหน้าผากและซอกคอของฆาเบียร์แล้วร้องลั่นออกมา เมื่อสักครู่ที่เขารู้สึกว่าตัวคนรักร้อนกว่าปกตินั้นเป็นเพราะพิษไข้ ไม่ใช่เพราะอารมณ์ใคร่แต่อย่างใด เจนยุทธรีบลุกขึ้นเปิดไฟและถามไถ่อาการคนรัก และได้ความว่าพ่อเจ้าประคุณเริ่มมีไข้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เขาก็ยังฝืนไปทำงานเพื่อเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จก่อนขึ้นเครื่อง



“คุณนอนพักไปก่อน เดี๋ยวผมจะไปหายาลดไข้มาให้”

เจจับคนตัวโตนอนห่มผ้าและรีบลุกไปค้นยาจากกระเป๋ายามาให้ ฆาเบียร์รับมันมากินแล้วเอนกายลงนอนอีกครั้ง เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ฉันขอโทษจริงๆ นะเจ ฉันนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ”

คนตัวโตบ่นตัวเองอีกยกใหญ่ เจนยุทธอุตส่าห์เตรียมตัวไว้ให้เขา แต่เขากลับตอบสนองมันไม่ได้

“โอ๊ย ไม่ต้องคิดมากหรอกคุณ รักษาตัวให้หายก่อนดีกว่าน่า คุณนอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ หลับไปก่อนเถอะนะ โอเค๊?”

ฆาเบียร์พยักหน้าแล้วหลับตาลงอย่างว่าง่าย เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกถึงความชื้นของผ้าที่ลูบไล้ไปทั่วกายเขา

“คุณนี่นะ ไม่สบายก็ยังอุตส่าห์…”

เจบ่นเบาๆ เมื่อเช็ดไปจนถึงบริเวณขาหนีบของคนรักแล้วพบว่าส่วนสำคัญของฆาเบียร์ยังคงตื่นตัวเต็มที่

“ก็โดนเจลูบไปลูบมาแบบนี้ ใครจะไปทนไหวล่ะ”

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ



“เจจ๋า…”

เมียตัวโตของเจนยุทธเรียกชื่อเขาด้วยเสียงอ่อนหวาน พร้อมกับดึงมือของคนรักให้ไปเกาะกุมส่วนสงวนของตัวเอง

“ช่วยฉันทีเถอะนะ ไม่งั้นฉันคงนอนไม่หลับแน่ๆ”

คนตัวเล็กตอบรับด้วยการกระทำ เขาขยับมือช้าๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ใช้ปากนิ่มครอบลง ฆาเบียร์แอ่นกายขึ้นเพราะความเสียวซ่าน เขาอดครางเบาๆ ออกมาไม่ได้ เจใช้เวลาไม่นานก็จัดการคนป่วยจอมหื่นของเขาจนครางลั่นออกมา

“ไหวไหมครับคุณ?”

เจนยุทธถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นคนตัวโตทำท่าหมดเรี่ยวแรง ฆาเบียร์พยักหน้าเนือยๆ ในหัวเขาว่างเปล่าไปหมดซึ่งไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะรู้สึกดีเกินไปก็ไม่รู้ได้ เจประคองคนรักให้ลุกไปเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย จากนั้นจับฆาเบียร์ใส่เสื้อยืดและกางเกงนอนซึ่งโดยปกติไม่ค่อยได้ใส่เท่าไหร่นักและพากลับมานอนบนเตียง ไม่นานนักคนป่วยก็ผลอยหลับไป

“อย่าฝืนตัวเองเกินไปสิครับ คุณมาร์ติเนซ”

เจกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของคนรัก เขาลูบผมสีน้ำตาลเข้มที่แผ่สยายบนหมอนและจ้องมองใบหน้าคมเข้มแบบหนุ่มละตินของฆาเบียร์อย่างหลงใหล คนรักของเขากลับมาหาเขาแล้ว

“ฝันดีนะครับ คนดีของผม”

เจนยุทธจูบแผ่วๆ ที่หน้าผากของฆาเบียร์และและลงนอนเคียงข้างร่างใหญ่กำยำนั้นและเข้าสู่ห้วงนิทรา



ฆาเบียร์ตื่นขึ้นมาโดยยังรู้สึกหนักหัวและหน้าตาอยู่เล็กน้อย เขาพลิกตัวไปควานหาคนข้างกาย แต่ก็พบว่าเจนยุทธได้ลุกไปแล้ว เขาหยิบนาฬิกามาดูแล้วเห็นว่ามันสายโด่งแล้ว คนตัวโตขยับกายขึ้นนั่งและตะโกนเรียกคนรักเบาๆ เขาได้ยินเสียงตอบรับจากนอกห้องนอน ไม่นานเจนยุทธก็เปิดประตูเข้ามา

"คุณยังไม่ต้องรีบลุกก็ได้ครับ ฆาบี้ นอนต่อเถอะ"

เจดันร่างคนรักที่ทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียงให้นอนลงเหมือนเก่า

"จะสิบเอ็ดโมงแล้วนะเจ ไหนว่าวันนี้เราจะไปบ้านแม่กันไง? ต้องไป happy Thai new year แม่ไม่ใช่เหรอ?"

ฆาเบียร์ถาม เจบอกเขาตั้งแต่ก่อนมาถึงแล้วว่าจะพาเขากลับไปบ้านที่แม่แตง

"ไปน่ะไปแน่ครับ แต่ถ้าคุณยังไม่ไหวก็นอนพักก่อนเถอะ เราไปบ่ายๆ เย็นๆ ก็ได้"

เจดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายฆาเบียร์ หากคนตัวโตไม่ยอมนอนง่ายๆ เขาฉุดข้อมือคนรักไว้และดึงจนเจเสียหลักเซล้มลงบนเตียง

"เฮ้ๆ เดี๋ยวก็ไข้ขึ้นอีกหรอกคุณ"

เจย่นจมูกใส่เมียตัวโตที่พลิกกายขึ้นคร่อมร่างของเขา ฆาเบียร์ไม่ตอบแต่บรรจงจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากของสุดที่รักของเขา เจจูบตอบ ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความรู้สึกกันอย่างอ่อนโยนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ฆาเบียร์จะทิ้งกายลงนอนเคียงข้างคนรัก เขารู้ตัวดีว่าถึงไข้จะลดแล้ว แต่เขาคงยังจะให้ความสุขเจนยุทธได้ไม่เต็มที่ในตอนนี้และตัดสินใจจะรออีกหน่อย เจพลิกกายมานอนซบอกคนรักและจูบเบาๆ ที่อกซ้ายของฆาเบียร์ เขาเอาหูแนบเพื่อฟังเสียงหัวใจของคนรัก คนตัวโตโอบร่างของเจนยุทธไว้และจูบหน้าผากเนียนอย่างอ่อนโยน



"ผมรักคุณนะ ฆาบี้"

เจพูดงึมงำกับแผงอกกว้างของคนตัวโต

"ฉันก็รักเจจ้ะ"

ฆาเบียร์จูบเรือนผมนิ่มและกระชับวงแขนเข้าอีก เขาคิดถึงร่างอุ่นๆ นี้เหลือเกิน ความรู้สึกที่เอ่อท้นขึ้นมาทำให้เขารัดร่างเจแน่นจนอีกฝ่ายทำหน้านิ่ว

"ฆาเบียร์ครับ..."

เจกระซิบเบาๆ ฆาบี้รีบคลายวงแขนของเขาออกเมื่อรู้ตัว

"ขอโทษจ้ะ ฉัน เอ่อ ฉันเผลอไปหน่อย"

"ไม่เป็นไรครับ ฆาบี้ ว่าแต่คุณโอเคนะ?"

เจลูบแผงอกคนรักเบาๆ เขาเข้าใจความรู้สึกของพ่อคนอ่อนไหวคนนี้ดี คนตัวเล็กขยับยันกายขึ้นแล้วจุ๊บเบาๆ ที่ปลายคางของคนรัก

"ป่ะ ไหนๆ คุณก็ตื่นแล้ว เราอาบน้ำอาบท่าแล้วกินข้าวกันดีกว่า ผมหิวแล้ว"

เจนยุทธโดดลงเตียงแล้วดึงคนตัวโตให้ลุกขึ้นและรุนหลังให้เข้าไปในห้องน้ำ

"อาบน้ำเองไหวใช่ไหมครับ หรือว่าต้องให้ผมไปช่วยอาบให้?"

ฆาเบียร์ลากคนรักเข้าไปในห้องน้ำแทนคำตอบ เสียงน้ำดังขึ้นพร้อมกับเสียงอุทานของเจและเสียงหัวเราะกระหึ่มของฆาเบียร์



"นายจะไม่ใจอ่อนจริงเหรอ? mi vida"

คนตัวโตทำเสียงออดอ้อน เขาเปลี่ยนใจและพยายามทวงสัญญาที่เจให้ไว้เมื่อวานนี้ แต่คนตัวเล็กก็ไม่ยอมใจอ่อน

"ไม่ต้องเลย เดี๋ยวสักพักจะไปบ้านแม่แล้ว ไว้คืนนี้แล้วกันนะครับ ฆาบี้ ถ้าคุณจะไม่ไข้ขึ้นอีกรอบนะ เอ้า นี่ กินโจ๊กก่อน"

เจตอบยิ้มๆ แล้วส่งถ้วยโจ๊กให้ฆาเบียร์ เขาออกไปซื้อโจ๊กจากร้านโจ๊กศรีพิงค์ที่ตลาดต้นพยอมมาไว้ตั้งแต่ก่อนฆาเบียร์จะตื่น และตอนนี้เขาอุ่นมันร้อนๆ ให้คนรัก ฆาเบียร์รับถ้วยโจ๊กมา โจ๊กของไทยรสชาติแตกต่างจากโจ๊กฮ่องกง แต่เขาก็ชอบกินมัน โดยเฉพาะเจ้าหมี่กรอบที่โรยหน้านั้นเป็นของโปรดของเขาทีเดียว ฆาเบียร์ตักเนื้อโจ๊กที่ข้าวจะยังเป็นเม็ดกว่าโจ๊กฮ่องกงขึ้นกิน โดยปกติเจมักจะซื้อโจ๊กหมูใส่ไข่ให้เขา ส่วนตัวเจนั้นจะกินโจ๊กหมูใส่ตับและมักจะพ่วงมาด้วยต้มเลือดหมูอีกถ้วยหนึ่ง เจเคยพยายามชวนเขาให้ชิมเจ้าซุปที่ใส่ทั้งเลือดและเครื่องใน แต่เขาก็ปฏิเสธทุกครั้งจนเจ้าตัวเลิกถาม

"ปาท่องโก๋ไหมครับ? แต่มันไม่ร้อนแล้วนะ"

เจส่งถุงกระดาษใส่ปาท่องโก๋ให้เขา ฆาเบียร์รับเอาเจ้าแป้งทอดที่เขารู้จักในชื่อภาษากวางตุ้งว่า 'โหย่วจาไกว๋' นี้มาชิ้นหนึ่ง เขาเคยถามเจเรื่องชื่อของขนมชนิดนี้ แต่เจก็บอกว่ามันน่าจะเป็นเรื่องความเข้าใจผิดหรือความสับสนระหว่างชื่อขนมทำให้คนไทยเรียกมันว่าปาท่องโก๋แทนที่จะเรียกชื่อจริงๆ ของมัน เจบอกว่าเขาเคยอ่านเจอว่า 'ปาท่องโก๋' ที่แท้จริงนั้นทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมน้ำตาลแล้วนำไปนึ่ง โดยจะได้ออกมาเป็นขนมสีขาวเนื้อพรุนเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันกลายมาเป็นชื่อเรียกของไอ้เจ้าแป้งทอดชนิดนี้ไปได้อย่างไร

"ผมเดาว่าเมื่อก่อนมันอาจจะเคยขายคู่กัน แล้วคนซื้อก็สับสนและพาลเรียกชื่อเดียวกันไปหมด"

เจนยุทธเคยคาดเดาไว้เช่นนั้น และฆาเบียร์ก็เห็นว่ามันน่าจะเป็นสมมุติฐานที่เป็นไปได้



“นี่ mi amor เดี๋ยวพอถึงบ้านแม่แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง?”

ฆาเบียร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย เขาไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติในวันปีใหม่ของชาวไทยเลยแม้แต่นิดเดียว อันที่จริงเขาเคยเข้าใจว่าวันสงกรานต์นั้นเป็นเพียงเทศกาลชาวไทยออกมาสาดน้ำเล่นเพื่อคลายร้อนกันเสียด้วยซ้ำ

“อืมม์ ว่าไงดี…”

เจซึ่งกำลังขับรถพาคนรักออกจากเมืองครุ่นคิดก่อนจะตอบไป

“เทศกาลสงกรานต์ก็อย่างที่ผมบอก มันคือปีใหม่ของคนแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ โดยยึดการคำนวนทางดาราศาสตร์ ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าคำนวนตามอะไร แต่มันคือการที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ อันที่จริงมันก็มีเคลื่อนบ้างเป็นปีๆ ไป แต่ทางการไทยกำหนดวันชัดเจนว่าเป็นวันที่ 13-15 เมษายน…”

เจอธิบายต่อไปว่าสำหรับชาวล้านนา เทศกาลสงกรานต์เริ่มต้นด้วยวันสังขานต์ล่องซึ่งถือเป็นวันสิ้นสุดศักราชเก่า

“ในวันนี้ คนล้านนาเชื่อกันว่าเป็นวันที่ตัวสังขานต์ซึ่งมีรูปร่างเป็นตาแก่ยายแก่จะล่องแพมาเก็บเอาความสกปรก ความโชคร้าย ความไม่ดีของปีเก่าไปทิ้งมหาสมุทร ในวันนี้คนล้านนาเราก็จะตื่นแต่เช้าแล้วทำการยิงปืน จุดพลุ จุดประทัดให้ความเสนียดจัญไรต่างๆ มันหลบหนีออกไปจากบ้านพร้อมกับปู่ย่าสังขานต์…”

แต่เจว่าปัญหาที่ตามมาในช่วงหลังนี้คือปัญหาเรื่องกระสุนปืนที่ตกใส่บ้านเรือนคนอื่น

“ฉะนั้น ถ้าจะทำตามธรรมเนียมนี้ ก็ควรใช้ประทัดดีกว่าครับ”

เจพูดยิ้มๆ เขาอยากจะอธิบายเพิ่มเติมว่าธรรมเนียมเรื่องปีใหม่เมืองของคนทางเหนือนั้นต่างจากชาวภาคกลาง คนเหนือนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนางสงกรานต์หรือท้าวกบิลพรหมเลย แต่เน้นไปเรื่องของตัวสังขานต์มากกว่า ส่วนการที่มีนางสงกรานต์นั่งรถแห่นั้นเป็นการทำตามแบบของภาคกลางที่แพร่เข้ามาภายหลัง แต่ว่าเรื่องเหล่านี้มันก็อาจจะดูเข้าใจยากสำหรับชาวต่างชาติอย่างฆาเบียร์ไปสักหน่อย เขาจึงไม่ได้เล่าไป



“วันนี้จะเป็นวันที่ผู้คนช่วยกันทำความสะอาดบ้านเรือน ซักผ้าห่มที่นอนหมอนมุ้งเพื่อรับการมาของปีใหม่ ผมก็ซักผ้าไปหมดแล้วล่ะ คุณได้สังเกตหรือเปล่า”

ฆาเบียร์พยักหน้า ต่อให้ไม่สบาย เขาก็ยังได้กลิ่นหอมของผ้าซักใหม่ เจบอกว่าในวันที่ 13 เขาตื่นมาทำความสะอาดห้องแต่เช้า จากนั้นหอบบรรดาผ้าห่มและอื่นๆ ไปที่บ้านแม่เพื่อเอาไปซักตากที่นั่นหลังจากช่วยแม่ทำความสะอาดบ้านแล้ว

“ในวันที่ 13 ในเมืองก็จะมีการแห่พระพุทธสิหิงค์องค์จำลองซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ไปตามถนนท่าแพ ไปสู่วัดพระสิงห์ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานครับ ระหว่างทางคนก็จะมาทำการสรงน้ำพระกัน เอ่อ ก็คือการเอาน้ำมารดองค์พระครับ ถ้าไม่ทันขบวน ก็ไปสรงต่อที่วัดได้ เขาจะเปิดให้คนได้สรงน้ำพระในช่วงสามสี่วันนี้”

ฆาเบียร์บ่นเสียดายที่เขาพลาดไม่ได้เห็นขบวนแห่พระพุทธรูปที่เจว่า ถึงตัวเขาจะเป็นแคธอลิค แต่เขาก็มีความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนาอื่น



“วันที่สองของสงกรานต์ซึ่งก็คือเมื่อวาน เรียกว่าวันเนาว์ หรือที่บางคนเรียกวันเน่าครับ ถือเป็นวันคาบเกี่ยวระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ ในทางโหราศาสตร์แล้วถือเป็นวันไม่ดี ในวันนี้จะห้ามด่าทอหรือพูดจาไม่ดีใส่กัน เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปากเน่า”

“มันก็มีส่วนคล้ายกับตรุษจีนเหมือนกันนะเจ แต่ตรุษจีน วันที่ห้ามพูดจาไม่ดีคือวันตรุษเลย”

เจพยักหน้า

“ใช่ครับ อีกส่วนหนึ่งที่คล้ายคือ วันนี้จะเป็น 'วันดา' หรือวันที่คนเหนือไปจับจ่ายใช้สอยของที่ตลาดเพื่อมาเตรียมใช้ในวันปีใหม่ และมีการเตรียมทำอาหารไว้เลี้ยงอีกด้วย เทียบได้กับวันจ่ายของคนจีนครับ แล้วของทางตะวันตกเหมือนแบบนี้หรือเปล่าครับ?"

เจนยุทธถามคนรักผู้ใช้ชีวิตอยู่ในหลายวัฒนธรรม

"เออ นั่นสิ ฉันก็ไม่ได้สังเกตเสียด้วยสิ ทางตะวันตกไม่น่าจะมีธรรมเนียมอะไรแบบนี้เหมือนทางเอเชียนะ ถ้ามีก็น่าจะเป็นช่วงคริสตมาสเลยมากกว่าที่คนมารวมตัวกันเพื่อเตรียมอาหาร อะไรพวกนี้ ส่วนปีใหม่ก็เหมือนจะเป็นแค่วันสังสรรค์เท่านั้น..."

ฆาเบียร์บอกว่าโดยปกติแล้ว พ่อแม่เขาและอาปาก็มักจะฉลองกันเงียบๆ ที่บ้าน ไม่ก็ไปตามงานเลี้ยงที่บริษัทนั้นนี้เชิญมา แต่เขานั้นมักจะไปฉลองและเมาอยู่ตามสถานบันเทิงไม่ก็บ้านเพื่อนมากกว่า



"อ๋อ มีธรรมเนียมอย่างหนึ่งที่ฉันเคยทำตอนเด็กๆ คือ พอนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนปุ๊บ พวกเราก็จะต้องกินองุ่น 12 ลูกจนหมดก่อนนาฬิกาจะหยุดตี มันเป็นธรรมเนียมที่ทางละตินอเมริกาได้มาจากประเทศสเปนจ้ะ"

"โหย ไม่ติดคอกันแย่เหรอครับ?"

เจหัวเราะคิกเมื่อนึกภาพคนรีบเคี้ยวองุ่น 12 ลูกให้หมดในเวลา 12 วินาที

"ตอนเด็กๆ นี่ฉันต้องซ้อมกินก่อนด้วยนะ เพราะผู้ใหญ่เขาขู่ไว้ว่าถ้าทำไม่ทันปีนั้นจะซวยไปทั้งปี"

ฆาเบียร์ทำเสียงจริงจัง เจยิ่งหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพหนุ่มน้อยฆาบี้ฝึกฝนกินองุ่น

"ตอนเลี้ยงปีใหม่ปีหน้าเราก็ชวนทุกคนทำแบบนี้มั่งดีไหมคุณ? จะได้มีกิจกรรมทำเพิ่มขึ้นอีก"

"ก็ได้จ้ะ เตรียมองุ่นลูกเล็กๆ หน่อยแล้วกัน จะได้กินทัน"

"อ้าว เฮ้ย แบบนี้มันขี้โกงแล้วคุณ!"

เจโวยขึ้น ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อเห็นท่าทีจริงจังของคนรัก



"เอ้า ไหน เล่าเรื่องวันสิ้นปีของไทยต่อซิ เจนยุทธ นอกจากเตรียมอาหารแล้วต้องทำอะไรอีกมั่ง?"

"กิจกรรมอีกอย่างที่คนนิยมทำในวันเนาว์คือการขนทรายเข้าวัดครับ"

"หือ? ขนไปทำไมล่ะ?"

เจครุ่นคิดและพยายามเรียบเรียงคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ การพยายามอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ให้ชาวต่างชาติฟังไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

"สมัยก่อน วัดถือเป็นศูนย์กลางของชุมชน แล้วในวัดของภาคเหนือ รอบอุโบสถมักจะเป็นลานที่ปูด้วยทราย สาเหตุส่วนหนึ่งคือเพื่อเอาไว้ใช้เวลาต้องก่อสร้างอะไรเพิ่มเติม อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อความสะอาดครับ คือสมัยก่อนคนจะเดินเท้าเปล่าใช่ไหม? ก็อาจจะติดฝุ่นหรือขี้โคลนอะไรมา แล้วพอมาเดินบนทราย ทรายจะช่วยขัดเอาสิ่งสกปรกออกก่อนที่ขึ้นไปบนตัวอุโบสถ"

"ว้าว นี่เรียกว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณเลยนะ เจ นายนี่รู้มากจริงๆ"

เจยิ้มอายๆ และบอกว่าเขาไปหาอ่านมาเพื่อมาอธิบายให้ฆาเบียร์ฟังโดยเฉพาะ



"แล้วทำไมต้องขนทรายมาในช่วงสงกรานต์ล่ะ? ทำไมไม่ขนมาในช่วงอื่น"

คนตัวโตถามอย่างสงสัย

"มันก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งครับ คือช่วงเดือนเมษายนเนี่ยมันเป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำลำคลองก็จะตื้นเขิน ทำให้คนไปขุดลอกเอาทรายจากในแม่น้ำขึ้นมาได้โดยง่าย อีกทั้งช่วงนี้เป็นช่วงที่ว่างเว้นจากการทำงานอยู่แล้ว ก็ถือว่าได้อาศัยแรงจากคนหนุ่มสาวไปเอาทรายมาให้ที่วัด คนก็เต็มใจขนมาให้เพราะถือว่าเป็นการนำทรายที่อาจจะเหยียบติดเท้าออกวัดไปในช่วงปีที่ผ่านมามาคืนวัด"

เจนยุทธบอกว่าสำหรับคนรุ่นใหม่ การขนทรายเข้าวัดนั้นเหลือแค่เป็นกิจกรรมหนึ่งในช่วงสงกรานต์เท่านั้นและคงไม่ได้นึกไปถึงที่มาที่ไปของมัน เพียงแต่รู้ว่ามันได้บุญ ได้อานิสงส์มากแค่นั้น

"พอเราขนทรายเข้าไปในวัดแล้วก็จะเอาไปก่อเป็นเจดีย์ทรายครับ นี่มันก็มีที่มาเหมือนกันว่าทำไมต้องทำเป็นรูปเจดีย์ แต่ผมจำไม่ได้แล้ว"

เจหัวเราะแหะๆ เขาอ่านมาเยอะจนตีกันไปหมดแล้ว

"พอก่อเสร็จ ในวันพญาวันหรือวันขึ้นปีใหม่ซึ่งก็คือวันนี้ เราก็จะเอาตุงหรือธงที่ทำจากกระดาษสาไปปักครับ สมัยก่อนตุงพวกนี้คนเฒ่าคนแก่และหนุ่มสาวจะนั่งทำเอง ตัดเองที่บ้านในวันก่อนหน้า แต่สมัยนี้เหรอครับ นู่นครับ ซื้อกาดหลวง"

เจพูดยิ้มๆ เขาบอกว่าในกาดวโรรสเหลือร้านขายตุงอยู่เพียงร้านเดียวเท่านั้น ตอนเขาเด็กๆ เขาชอบไปนั่งดูยายเจ้าของร้านตัดตุงไส้หมูและยังขอให้สอนเขาด้วย แต่พอโตขึ้นเขาก็ลืมวิธีทำไปหมดแล้ว



"พูดถึงขนทราย ผมก็ไม่ได้ทำมาหลายปีดีดักแล้ว ปีนี้ก็ไม่ได้ทำ"

สำหรับเด็กรุ่นใหม่อย่างเจ เทศกาลสงกรานต์ก็คงเป็นแค่วันที่ไปสาดน้ำเล่นอย่างสนุกสนานเท่านั้น

"ปีหน้าถ้าทำได้ คุณมาให้ตรงช่วงเริ่มเทศกาลสงกรานต์สิฆาบี้ ผมจะพาคุณไปทำให้ครบเลย ทั้งสาดน้ำ สรงน้ำพระแล้วก็ขนทรายเข้าวัดด้วย"

เจบอกว่านอกจากขนทรายเข้าวัดแล้ว สิ่งที่คนล้านนายังนิยมเอาไปถวายวัดคือตุงหลากหลายแบบ ทั้งตุงเทวดา ตุงสิบสองนักษัตร และตุงไส้หมู อีกทั้งยังมีการนำไม้ค้ำโพธิ์ หรือที่คนล้านนาเรียกว่าไม้ก๊ำสะหลีไปถวายวัดอีกด้วย

"ผมก็เดาว่าของพวกนี้ก็คงเป็นของที่วัดจะเอาไปใช้งานได้ภายหลังทั้งนั้นแหละครับ"

เจพูดยิ้มๆ เขาเชื่อว่าทุกธรรมเนียมนั้นมีเหตุผลของมันเสมอ



"แล้วทำไมต้องสาดน้ำกันวันสงกรานต์ด้วยล่ะ? เพื่อให้คลายร้อนงั้นเหรอ?"

คนตัวโตถามอีก

"อืมม์ ก็คงงั้นแหละ คือช่วงปีใหม่เมืองนี้ เรามีอีกธรรมเนียมสำคัญอย่างการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ มันถือเป็นการอวยพรปีใหม่ ทางเหนือจะถือว่าการดำหัวเป็นการชำระล้างสิ่งไม่ดีออกจากตัว โดยทั่วไปจะเป็นเรื่องที่ทำกันในครอบครัว อย่างวันนี้ ผมก็จะพาคุณไปดำหัวแม่..."

เจเดาว่าการสาดน้ำสงกรานต์นั้นก็คงเป็นการปรับเอาแนวความคิดการดำหัวนี้ให้เป็นการรดน้ำผู้อื่นเพื่อเป็นการอวยพรปีใหม่

"ผมเคยถามแม่ว่าสมัยแม่สาวๆ เค้าเล่นน้ำสงกรานต์กันแบบนี้ไหม แม่บอกว่าเขาก็เล่นกันนะ แต่มันไม่ได้สาดกันโครมๆ เป็น water war เหมือนสมัยนี้หรอกนะ โอเค ก็มีการออกไปเล่นน้ำกันตามถนนเพื่อคลายร้อนแหละ แต่ก็ใช้วิธีถือขันน้ำกันคนละใบ แล้วก็มีขันเล็กเอาไว้ตักน้ำในขันรดบ่า รดหลังคนอื่น เวลาจะรดก็ต้องขอก่อนโดยเฉพาะเพศตรงข้าม จะมีพวกห่ามๆ ที่สาดน้ำกันบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เหมือนทุกวันนี้ แต่ผมน่ะ โตมากับยุคที่สงกรานต์เป็นแบบตอนนี้แล้ว ไม่เคยเห็นภาพแบบที่แม่ว่าเลย"

เจพูดกลั้วหัวเราะ ตาเขายังคงจ้องมองถนน ช่วงนี้เขาต้องขับรถด้วยความระมัดระวังเนื่องจากมีคนต่างถิ่นขับรถเข้ามาในเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องระวังคนที่เมาตั้งแต่หัววันอีกด้วย




(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- ปี๋ใหม่เมือง (ต่อ) ----




"สมัยก่อนสงกรานต์เป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะพูดคุยกัน ได้จีบกัน ส่วนสมัยนี้เหรอ หนุ่มสาวก็พบปะกันเหมือนกัน แต่ก็คงไม่ใช่แค่จีบกันอ่ะ สงกรานต์ทีไร ผมก็ได้ 'สาดน้ำ' ให้สาวยันเช้าตลอด อุ๊บ"

เจรีบตะครุบปากตัวเอง แล้วหันไปหัวเราะแหะๆ ให้กับคนรักที่ทำหน้าเคร่งเครียด

"แล้วปีนี้ล่ะ เจนยุทธ พอฉันไม่อยู่ นายได้ไป 'สาดน้ำ' กับใครอีกหรือเปล่า"

ฆาเบียร์ถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

"โหย คุณครับ จะให้ไปสาดกับใครที่ไหนอีกล่ะ ออกบ้านยังไม่ได้ออกเลย ผมไปบ้านแม่ตั้งแต่วันที่ 13 เพิ่งกลับมาก็ตอนก่อนไปรับคุณเมื่อวานเองนะ"

"แน่นะ?"

"แน่สิครับ อย่างอนนะครับ คนดี ผมกะรอเล่นน้ำกับคุณคนเดียวเลยนะ ไอ้สองตัวแสบนั่นมันชวนไปเล่นน้ำแถวคูเมืองกับไปเที่ยวเมื่อคืนวานผมยังไม่ไปเลย"

 เจถือโอกาสช่วงติดไฟแดงเอนกายซบไหล่คนรักอย่างเอาใจ ฆาเบียร์ซ่อนยิ้ม

"ดี! งั้นคืนนี้นายเตรียมรับน้ำฉันให้เต็มที่แล้วกันนะ เจนยุทธ"

คนตัวโตไม่พูดเปล่า แต่ยังเอื้อมมือไปขยำบั้นท้ายหนั่นแน่นของคนรัก เจสะดุ้งเฮือกแล้วรีบดึงมือแสนซุกซนของฆาเบียร์ที่ทำท่าจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น

"พอๆๆ คุณนี่นะ เผลอไม่ได้จริงๆ"

เจบ่นกะปอดกะแปดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เขาอดนึกไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ไม่ได้

"ว่าแต่ปากเก่งบอกว่าจะสาดน้ำผมเนี่ย ไหวแล้วเหรอ?"

คนตัวเล็กอดกระเซ้าไม่ได้ ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ

"ไหวไม่ไหว นายก็รอดูเองคืนนี้แล้วกัน แต่ท้าฉันมากๆ นักน่ะ ระวังจะลุกไม่ขึ้นนะ"

คนตัวโตยิ้มกริ่ม เจบ่นเบาๆ เป็นภาษาไทยแล้วพยายามไม่สนใจตาลุงจอมหื่นของเขาอีก



"เอ้า ถึงแล้วครับ ฆาเบียร์ ตื่นๆ"

เจเขย่าปลุกคนรักตัวโตของเขาที่ผลอยหลับไปหลังจากหยอกล้อกันเมื่อครู่ ฆาเบียร์ดูจะยังอ่อนเพลียจากอาการไข้เมื่อคืนวานอยู่บ้าง

"เดี๋ยวกินยาแล้วไปนอนพักก่อนไหมครับ ฆาบี้? "

เจนยุทธถามอย่างเป็นห่วง คนตัวโตส่ายหน้า

"ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันไม่มีไข้แล้ว แค่ง่วงนิดหน่อยแค่นั้นเอง ช่วงก่อนกลับเชียงใหม่นี่ฉันนอนไม่ค่อยพอเท่าไหร่ ต้องประชุมทางไกลกับทางสหรัฐฯ ดึกๆ แทบทุกวัน ไหนจะอ่านเอกสารนั่นนี่อีก ยุ่งไปหมด"

หนุ่มละตินยกมือลูบหน้าตัวเองแรงๆ ให้หายง่วง การเจรจากับบริษัทยักษ์ใหญ่ประสบความสำเร็จด้วยดี พวกเขาสรุปออกมาได้เป็นข้อตกลงที่ทำให้ทุกฝ่ายพอใจ ตอนนี้ก็เป็นช่วงของการจ่ายเงินและเตรียมโอนถ่ายทรัพย์สิน

"แล้วคุณต้องกลับไปที่นู่นอีกไหมครับ?"

เจถาม

"ก็คงต้องกลับไปอีกนะ แต่ก็จะเป็นช่วงสั้นๆ มีกำหนดวันชัดเจน ก็คงกลับบ้านได้ตามที่กำหนดไว้จ้ะ"

คนตัวโตยิ้มให้คนรักของเขา เจพยักหน้ารับคำแล้วชวนฆาเบียร์ให้ลงรถไป



"เดี๋ยวฉันต้องทำอะไรมั่งน่ะเจ? "

ฆาเบียร์ยืนมองเจนยุทธจัดการข้าวของที่เขาเตรียมมาเพื่อการดำหัวแม่ของเขา เจจัดของดำหัวลงในถาด เขาอธิบายให้ฆาเบียร์ฟังเป็นอย่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง ในวันนี้เจเตรียมไว้ทั้งกรวยใบตองที่ใส่ดอกเก็ตถวาและธูปเทียน หมากพลู ข้าวตอกดอกไม้ หอมแดงและกระเทียม​ ผลไม้ประจำฤดูกาลอย่างมะยงชิดและมะม่วงสุก ขนมอย่างข้าวแต๋นหรือที่คนไทยเรียกว่าขนมนางเล็ดและข้าวเกรียบ และท้ายที่สุดคือซิ่นผ้าไหมอย่างดีสองผืน

"ที่รักครับ..."

เจหันไปยิ้มหวานให้ฆาเบียร์พร้อมกับส่งซองขาวให้ซองหนึ่ง

"ขอตังค์หน่อย"

คนตัวโตรีบหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองออกมาทันที

"เท่าไหร่ดีล่ะเจ? หมื่นนึงพอไหม? ฉันมีติดตัวมาแค่นี้ หรือจะเอาเป็นดอลลาร์"

"เฮ้ยๆๆ ไม่ต้องเยอะขนาดนั้น ใส่พอเป็นพิธีเฉยๆ "

เจรีบห้ามคนรักที่ทำท่าจะเทเงินทั้งหมดในกระเป๋าออกมา โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้ใช้เงินเป็นของดำหัวให้แม่เท่าไหร่ เพราะแม่ของเขามักไม่ค่อยยอมรับไว้ แต่ในวันนี้เขาอยากให้เมียตัวโตของเขาได้มีส่วนร่วมบ้าง ฆาเบียร์ทำท่าอิดออดเมื่อเจหยิบใบสีเทาไปเพียงแค่ใบเดียว เขาแอบเอาใส่เพิ่มเข้าไปอีกสองใบเมื่อเจไม่ทันเห็น



"แค่นี้เหรอ? "

ฆาเบียร์ถามเจนยุทธ เจส่ายหน้าและยื่นสะหลุงหรือขันเงินใบไม่ใหญ่นักที่เขาซื้อมาในราคาแพงพอสมควรให้คนรักไปเติมน้ำมาครึ่งขัน

"เอ้า คุณเทของในถุงนี้ลงไป"

คนตัวโตยกของในมือขึ้นดู มันมีฝอยดอกไม้และฝักแห้งๆ ของต้นอะไรสักอย่าง

"น้ำนี่เค้าเรียกว่าน้ำขมิ้นส้มป่อยครับ อย่าถามผมว่าในถุงนี้มันคืออะไรบ้าง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เจพูดพลางใช้มือคนๆ น้ำในขันเงิน เขาบอกว่ารู้แค่ว่าไอ้เจ้าฝักแห้งนี่คือส้มป่อย แต่ฝอยดอกสีเหลืองๆ นั้นเขาไม่รู้ว่ามันคือดอกอะไร เขาหยิบขวดน้ำอบไทยมาเขย่าและเทลงไปในน้ำก่อนที่จะส่งขวดให้ฆาเบียร์ลองดมดู

“สมัยก่อนคนไทยใช้นี่ประพรมร่างกายครับ ใช้แทนแป้งด้วย หอมดีนะ”

เจรับขวดคืนมาและเทลงบนมือ จากนั้นเอาป้ายฉับเข้าที่แก้มของคนรัก เขาหัวเราะคิกเมื่อเห็นคราบแป้งสีขาวติดบางๆ บนโหนกแก้มสูงของคนรัก คนตัวโตบ่นอุบเมื่อเห็นหน้าตัวเองในกระจก แต่ก็ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น เขาหยิบขวดน้ำอบมาเทใส่มือตัวเองแล้วไล่ป้ายแก้มคนรักบ้าง เจพยายามวิ่งหนี แต่สุดท้ายก็ถูกคว้าตัวไว้ได้และถูกกดร่างลงกับโซฟา



“ไม่เอา ฮ่าๆๆ คุณ โอ๊ย ผมจั๊กจี้”

เจหัวเราะลั่นเมื่อคนรักใช้แก้มที่เริ่มมีหนวดขึ้นถูไถที่ซอกคอ ฆาเบียร์จูบพรมไปที่พวงแก้มและซอกคอของคนตัวเล็ก

“หอมไปทั้งตัวเลยนะ mi alma”

คนตัวโตสูดดมกลิ่นหอมจรุงของน้ำอบที่ติดตามกายของเจ เมื่อครู่เขาใช้มือที่เปียกน้ำอบลูบไล้ไปตามผิวเนื้อใต้ร่มผ้าของคนรัก และตอนนี้เขากำลังไล่ดอมดมมันอย่างย่ามใจ เจผวากายขึ้นเมื่อคนรักเริ่มรุกเร้า ริมฝีปากอุ่นๆ ของฆาเบียร์เริ่มซุกซนไปทั่วแล้ว

“ฆาบี้ครับ พอก่อน เราไปดำหัวแม่ก่อน นะครับ”

เจนยุทธร้องขอ คนตัวโตถอนหายใจเบาๆ และปล่อยร่างเพรียวให้เป็นอิสระ พวกเขาหยิบข้าวของทีีจัดเตรียมไว้และออกจากเรือนน้อยของเจเพื่อไปยังเรือนใหญ่



มาซักทีนะ เห็นรถจอดนานแล้ว มัวแต่เถลไถลอะไรกัน

อิ่มแซวน้องชายเป็นภาษาไทย เธออมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมาของเจนยุทธ เธอแค่แซวเล่นไปอย่างนั้น แต่ดูท่าทางพ่อน้องชายกับฆาเบียร์จะ “เถลไถล” กันมาจริงๆ ฟองนวลรับไหว้ลูกชายและคนรักของเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เจดึงฆาเบียร์ให้นั่งลงบนพื้นซึ่งคนตัวโตก็ทำตามอย่างดี


“แม่คับ วันนี้ผมกับอ้ายฆาบี้มาขอดำหัวแม่เนื่องในโอกาสวันขึ้นปี๋ใหม่เมืองคับ ขอหื้อแม่มีสุขภาพแข็งแรงและมีแต่ความสุขก๋ายสุขใจ๋ ถ้าในปี๋ตี้ผ่านมามีเรื่องอันใดตี้หมู่ผมเกยล่วงเกิน เกยทำผิดไปด้วยกาย วาจ๋า ใจ๋ ตึงตี้ตั้งใจ๋และบ่ได้ตั้งใจ๋ ก่อขอสุมาลาโต้ด และขอหื้อแม่จ้วยปั๋นศีลปั๋นปอนหื้อเป๋นศิริมงคลต่อตั๋วผมและอ้ายฆาเบียร์โตยครับ”

"แม่ครับ วันนี้ผมกับอ้ายฆาบี้มาขอดำหัวแม่เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่เมืองครับ ขอให้แม่มีสุขภาพแข็งแรงและมีแต่ความสุขกายสุขใจ ถ้าในปีที่ผ่านมามีเรื่องอันใดที่พวกผมเคยล่วงเกิน เคยทำผิดไปด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ก็ขอขมาลาโทษ และขอให้แม่ช่วยอวยพรให้เป็นศิริมงคลต่อตัวผมและอ้ายฆาเบียร์ด้วยครับ"



เจพูดตะกุกตะกักเป็นภาษาเมือง โดยปกติแล้วเขาจะแค่ยกถาดมาวางแล้วยกมือไหว้ขอพรเลย แต่ปีนี้เขาอยากทำให้ถูกต้องตามประเพณีเพื่อแสดงให้คนรักดู เจไปหาคำพูดที่ต้องพูดตอนขอพรมาซึ่งมีทั้งคำเมืองและภาษาบาลี แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ เขาก็ลืมเสียหมดจึงได้พูดไปตามที่จำได้แค่นั้น

“คุณก็ช่วยเจยกถาดของให้แม่เลยค่ะ”

อิ่มใจกระซิบบอกคนรักของน้องชายเบาๆ เมื่อครู่เธอคอยแปลสิ่งที่เจพูดให้หนุ่มละตินซึ่งนั่งพนมมือแต้อยู่ข้างๆ เจฟัง อาจารย์สาวเหลือบมองดูของดำหัวในถาดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ทุกปีไอ้เจ้าน้องชายของเธอจะมาดำหัวโดยซื้อชุดของดำหัวที่จัดสำเร็จจากในห้างฯ มา ซึ่งจะมีแค่น้ำขมิ้นส้มป่อย ขันอลูมิเนียมเล็กๆ ข้าวตอก และผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดตัว ที่เจซื้อเพิ่มจะมีแค่กรวยดอกไม้กับผลไม้เล็กน้อย แต่ที่เขาซื้อมาตลอดไม่เคยขาดเลยคือผ้าใหม่ เจจะซื้อผ้าซิ่น เสื้อพื้นเมืองหรือผ้าลูกไม้สวยๆ มาให้แม่ของเขาตลอด หากปีนี้เจจัดของดำหัวมาเต็มเพียบตามธรรมเนียม ส่วนหนึ่งคงเพราะเจต้องการโชว์ให้คนรักของเขาได้เห็นธรรมเนียมปฏิบัติแบบล้านนา แต่อีกส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะเจต้องการขอขมาแม่ที่เขาพาว่าที่ลูกเขยเข้าบ้านแทนที่จะเป็นลูกสะใภ้



“แม่ครับ ผมก็ขอสวัสดีปีใหม่ไทยแม่ด้วยครับ ขอให้แม่มีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขตลอดปีครับ”

ฆาเบียร์อวยพรตามแบบของเขาและยกมือขึ้นจบที่หน้าผากตามที่เขาเห็นเจทำ ฟองนวลยิ้มละไมและรับถาดมาวางไว้ข้างตัว เธอรับขันเงินบรรจุน้ำขมิ้นส้มป่อยมา เธอใช้นิ้วจุ่มน้ำในขันและนำน้ำมาลูบลงบนศีรษะตัวเอง จากนั้นแตะน้ำอีกรอบแล้วสลัดมือเพื่อพรมน้ำขมิ้นส้มป่อยลงบนศีรษะของเจนยุทธและฆาเบียร์ นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้การดำหัวแบบล้านนาแตกต่างไปจากแบบไทยซึ่งผู้มารดน้ำดำหัวเทน้ำรดลงบนมือของผู้ใหญ่โดยตรง จากนั้นฟองนวลก็เริ่มให้พรลูกชายและคนรักของเขา


"วันนี้เป๋นวันดี เป็นสะหลีอันประเสริฐ เหตุว่าปี๋เก่าได้ล่วงเลยไปและปี๋ใหม่ก่อได้มาลอดมาเติง ในยามนี้เจกับฆาเบียร์ก่อได้มาทำก๋านดำหัวเพื่อเป๋นก๋านฮักษาฮีตฮอยป๋าเวณีอันดีของตางล้านนาเฮา และเพื่อเป๋นก๋านมาขอสุมาลาโต้ด แม้นว่าปี๋เก่าตี้ล่วงเลยไปหมู่ลูกจะได้ยะก๋านล่วงล้ำตึงก๋าย วาจ๋า ใจ๋ใดๆ แม่ก่ออโหสิและยกโต้ดหื้อตึงหมดตึงมวล และขอหื้อหมู่ลูกตึงสองมีความสุขความเจริญ ปราศจากโรคภัย เป๋นตี้ฮักของคนตึงหลายตึงหมู่ ยะก๋านสิ่งใดก่อขอหื้อสำเร็จลุล่วงด้วยดี..."

"วันนี้เป็นวันดี เป็นศรีประเสริฐ ด้วยว่าปีเก่าได้ล่วงเลยไปและปีใหม่ก็ย่างเข้ามา และในยามนี้ เจและฆาเบียร์ก็ได้มาทำการดำหัวเพื่อเป็นการรักษาจารีตประเพณีอันดีของทางล้านนา และเพื่อเป็นการมาขอขมาลาโทษ แม้นว่าปีเก่าที่ผ่านล่วงเลยไปพวกลูกจะได้ทำการล่วงล้ำทั้งกาย วาจา ใจใดๆ แม่ก็อโหสิและยกโทษให้ทั้งหมดทั้งมวล และขอให้พวกลูกทั้งสองมีความสุข ความเจริญ ปราศจากโรคภัย เป็นที่รักของผู้คนทั้งหลาย ทำงานสิ่งใดก็ขอให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี..."



โดยปกติแล้วแม่ของเจจะจบการอวยพรไว้ที่ตรงนี้ แต่วันนี้เธอไม่หยุดเพียงแค่นั้น ฟองนวลซ่อนยิ้มและอวยพรต่อ

"...แล้วแม่ก่อขอหื้อลูกตึงสองฮักกั๋นยืนยาว มีความเข้าอกเข้าใจ๋กั๋น อะหยังตี้เป๋นเรื่องกระทบกระทั่งกั๋นหน้อยๆ หนิดๆ ก่อขอหื้ออภัยกั๋น หื้ออู้จ๋ากั๋นด้วยเหตุผลเน่อ"

"...และแม่ก็ขอให้ลูกทั้งสองรักกันยืนยาว มีความเข้าอกเข้าใจกัน อะไรที่เป็นเรื่องกระทบกระทั่งกันเล็กๆ น้อยๆ ก็ขอให้อภัยกัน ให้พูดจากันด้วยเหตุผลนะ"


เจนยุทธหน้าแดงซ่าน คำอวยพรนี้ของแม่เขาฟังดูไม่ใช่คำอวยพรสำหรับวันปีใหม่เลย มันเหมือนกับเป็นการใช้อวยพรและสอนสั่งในโอกาสอื่นเสียมากกว่า ฆาเบียร์เองเมื่อได้ฟังคำแปลจากอิ่มใจผู้มีใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วก็ยิ้มร่าออกมา พร้อมกับรับปากแม่ของคนรักอย่างเป็นมั่นเหมาะว่าเขาจะทำตามคำสอนของแม่อย่างแน่นอน



"แม่คับ วันนี้มีอะหยังกิ๋นพ่อง เจหิวแล้ว"

อิ่มใจโคลงหัวเมื่อเจ้าน้องชายตัวดีเกาะแขนแม่แล้วปะเหลาะขอของกิน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว เธอกับแม่ได้กินอาหารกลางวันไปแล้วเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนสองคนนั้นจะมาถึง

"ยังบ่ได้กิ๋นข้าวตอนมาเตื้อกา?"

"ยังไม่ได้กินมื้อกลางวันมาอีกเหรอ?"


ฟองนวลถามลูกชายคนเล็กของเธอ

"วันนี้พวกผมตื่นสายครับ ก็เลยยังไม่ได้กินมา กินแค่โจ๊กตอนก่อนออกห้องมา"

เจตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเพ่ื่อให้ฆาเบียร์เข้าใจด้วย ฟองนวลพยักหน้าแล้วหันไปเรียกเด็กให้จัดสำรับมาให้ทั้งสองคน​ คนตัวโตหัวเราะหึๆ โจ๊กหมูพิเศษใส่ตับและไข่กับต้มเลือดหมูอีกถ้วยใหญ่ที่กินก่อนออกคอนโดฯ มาคงเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยสำหรับเจนยุทธเท่านั้น

"วันนี้ที่บ้านไม่ได้ทำอะไรมาก มีแค่กับข้าวง่ายๆ กับของที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นนะจ๊ะ เพราะว่าเมื่อเที่ยงนี้มีแค่แม่กินกับอิ่มเขาสองคน"

ฟองนวลหันไปบอกคนรักของลูกชาย ฆาเบียร์รีบโบกไม้โบกมือบอกว่าเขากินได้ทุกอย่าง

"อ้าว แล้วบ้านพี่จืดล่ะแม่?"

เจถามแล้วก็ได้ความว่าหลังจากดำหัวแม่เสร็จในตอนเช้า พี่ชายกับพี่สะใภ้ก็ได้พาเด็กๆ ไปเล่นน้ำสงกรานต์ในเมือง เจพยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบลากคนรักให้ลุกขึ้นเมื่อเห็นเด็กนำอาหารมาวางบนโต๊ะ



"แก๋งผักปั๋ง คั่วจิ๊นส้มใส่ไข่ ผัดผักซาโยเต้ เอ้า สามอย่างนี่คุณน่าจะกินได้ฆาบี้"

เจเลื่อนจานอาหารสามอย่างที่คนรักน่าจะกินได้ไปให้ ฆาเบียร์เมียงมองแกงผักหน้าตาแปลกๆ แล้วตักชิม รสชาติของมันออกเปรี้ยวเค็ม ส่วนตัวผักที่มีช่อเม็ดกลมๆ ติดอยู่บ้างนั้นทิ้งสัมผัสลื่นๆ ไว้ในปากเล็กน้อย

"นี่เรียกว่าแกงผักปั๋งครับ เป็นแกงของทางภาคเหนือ รสออกเปรี้ยวเพราะปรุงรสด้วยน้ำมะนาวแล้วยังใส่แหนมด้วย"

เจตักชิ้นแหนมขึ้นมาให้คนรักดู เขาชอบแกงผักปั๋งหรือที่ทางภาคกลางเรียกว่าผักปลังนี้มากเพราะรสชาติที่จี๊ดจ๊าดของน้ำแกง

"เครื่องแกงมันก็เหมือนกับแกงเมืองที่แม่เคยสอนคุณ เอ่อ อ้ายครับ..."

เจหัวเราะแหะๆ เมื่อแม่หันมากำชับให้เขาพูดเพราะๆ กับคนรัก

"...มีกะปิ หอมแดง กระเทียม พริกชี้้ฟ้าโขลกเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ต้มน้ำ ใส่เครื่องแกง ตามด้วยแหนมหรือจิ๊นส้ม ของบ้านผมแม่จะใช้แบบที่เรียกว่าจิ๊นส้มหม้อ มันจะมีส่วนประกอบของหนังหมูมากกว่าแบบแท่ง ผมงี้เลือกกินแต่หนังเลย"

เจตักแผ่นหนังชิ้นค่อนข้างใหญ่ขึ้นกิน ส่วนเมียตัวโตของเขากินแต่ส่วนที่เป็นเนื้อเท่านั้น เจบอกว่าจิ๊นส้มนั้น แปลเป็นไทยได้ตรงตัวได้ว่าเนื้อเปรี้ยว



"ผมเคยบอกอ้ายแล้วเนาะว่ามันคือเนื้อสัตว์ที่นำไปหมักกับข้าวเหนียว เกลือและกระเทียมจนเปรี้ยว ส่วนใหญ่ก็ใช้เนื้อหมูสับแหละครับ ก็เป็นวิธีถนอมอาหารของคนโบราณอีกแบบหนึ่ง จิ๊นส้มแบบดั้งเดิมก็คือไอ้เจ้าจิ๊นส้มหม้อหรือแหนมหม้อนี่แหละครับ..."

เจตักคั่วจิ๊นส้มใส่ไข่หรือแหนมผัดไข่ใส่จานให้คนรักลองชิม

"แหนมหม้อคือแหนมที่หมักใส่หม้อหรือกะละมังไว้ครับ หนังมันจะชิ้นใหญ่กว่าแหนมที่ขายเป็นแท่งที่เราเห็นในตลาด สมัยก่อนแม่ค้าจะทำแหนมดิบไปขายที่ตลาดโดยใส่ไว้ในหม้อ เอ่อ คำว่าดิบที่ว่านี่ คือยังหมักไม่ได้ที่นะ..."

เจเล่าว่าเมื่อมีคนมาซื้อ แม่ค้าก็จะตักแหนมที่คลุกเครื่องหมักไว้แล้วนั้นใส่ใบตอง ห่อและใช้ตอกรัดไว้ คนซื้อก็เอาไปหมักต่อเองว่าจะให้มันเปรี้ยวขนาดไหน

"แต่ผมเกิดไม่ทันยุคนั้นหรอกนะ ผมเกิดมาก็เจอแหนมที่ใส่ในห่อพลาสติกแบบที่ขายในกาดแล้ว ส่วนแหนมหม้อแบบที่แม่ใช้นี่ก็เป็นแหนมก้อนใหญ่ที่น่าจะหมักในหม้อหรือกะละมังจนได้ที่แล้วก็ตัดเป็นชิ้นใหญ่ๆ ใส่ถุงขาย ไม่ใช่ให้เรามาหมักเองเหมือนสมัยก่อน"

เจบอกฆาบี้ว่าแหนมหม้อนั้นเหมาะกับการเอามาทำอาหารมากกว่าแหนมแบบแท่ง เพราะให้ชิ้นหนังที่ใหญ่กว่า และเนื้อสัมผัสก็ไม่ได้เนียนละเอียดจนเกินไปทำให้บี้เป็นชิ้นๆ ได้ง่ายกว่าแหนมแท่ง



"ฆาบี้ครับ ผมว่าคุณ เอ่อ อ้ายอย่ากินแกงผักปั๋งกับแหนมผัดไข่มากนักเลย ผมกลัวอ้ายท้องเสีย เอ ผมว่าผมคงต้องหาอย่างอื่นให้กินดีกว่า เอาไข่เจียวไหม? เดี๋ยวผมให้เด็กเจียวให้"

เจบอกฆาเบียร์เบาๆ เขาลืมไปว่าคนรักเพิ่งมาจากต่างประเทศและอาจจะยังกินอาหารรสจัดนักไม่ได้ แล้วไหนอาหารมื้อนี้ยังมีของหมักดองแบบแหนมอีก

"ไม่ต้องหรอกเจ ฉันว่าฉันกินได้นะ แล้วไอ้เจ้านี่คืออะไร?"

ฆาเบียร์ชี้ไปที่อีกถ้วยหนึ่งซึ่งเจนยุทธไม่ได้ส่งมาให้เขาชิมด้วย ในนั้นมีพืชบางอย่างที่ผ่านกรรมวิธีทำจนแหลกเป็นกองสีเขียวเขละๆ แลดูไม่น่ากินเลย เจเกาหัว เขาจะอธิบายไอ้เจ้าอาหารหากินยากที่ชื่อเป็นแกงแต่ไม่มีน้ำซุปให้ซดสักหยดชนิดนี้ว่าอย่างไรดีนะ

"นี่เขาเรียกว่าแกงบอนครับ บอนเป็นพืชที่ขึ้นริมน้ำชนิดหนึ่งครับ เอ้า ดูรูปซะ"

เจเปิดภาพบอนให้ฆาเบียร์ดู คนตัวโตดูแล้วก็ยังนึกภาพไม่ออกว่าเจ้าพืชล้มลุกใบใหญ่ชนิดนี้กลายมาเป็นกองเขียวเขละๆ แบบที่อยู่ในถ้วยนั้นได้อย่างไร

"เรากินส่วนก้านมันครับ เอามาปอกเปลือกแล้วนึ่งจนเละ จากนั้นก็ผัดเครื่องแกง ก็เครื่องแกงมาตรฐานครับ พริกแห้ง กระเทียม หอมแดง ตะไครั กะปิ..."

ฟองนวลซึ่งนั่งฟังลูกชายอยู่ห่างๆ ส่งเสียงบอกมาว่าเธอใส่น้ำปลาร้าและเกลือด้วย เจก็ถ่ายทอดความให้คนรักฟังตามนั้น

"เติมข่า ตะไคร้ซอยลงไปในเครื่องแกงที่ผัดจนหอมแล้ว จากนั้นเติมเครื่องอย่างหูหมูต้มหั่นบาง อ้อ แล้วปรุงรสให้ออกเปรี้ยวนิดด้วยน้ำมะขามเปียก จากนั้นก็ถึงใส่บอนที่นึ่งจนเละแล้วลงไปผัดจนเข้ากันครับ"

ฆาเบียร์ไม่รอช้า เขารีบตักอาหารหน้าตาประหลาดชนิดนั้นชิมทันที



"อร่อยดีนี่นา เจ ทำไมนายถึงไม่อยากให้ฉันกินล่ะ?"

เจอึกอัก

"ก็ เอ่อ บอนน่ะ บางคนกินแล้วจะคันคออ่ะครับ ผมก็เลยไม่อยากให้อ้ายกิน"

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ ตัวเขาดันตักชิมไปเสียคำใหญ่แล้ว

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แม่นึ่งบอนจนสุกสนิทแล้ว รับรองว่าไม่คันคอแน่ เรานี่ก็ไปขู่ฆาบี้เขา กลัวเขาแย่งกินล่ะสิ"

 อิ่มใจซึ่งเดินออกมาจากในครัวหันไปดุน้องชายเบาๆ เจบ่นอุบอิบว่าเขากลัวคนรักจะแพ้จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะกั๊กของอร่อยไว้กินเองแต่อย่างใด อิ่มหัวเราะเบาๆ แล้วส่งจานในมือให้น้องชาย

"เอ้า หมูทอดกับไส้อั่วร้านดำรงค์ แม่กลัวฆาบี้จะกินอย่างอื่นไม่ได้เลยให้พี่ไปเอามาให้ แล้วเราน่ะ อย่าไปแย่งอ้ายเขากินล่ะ"

อิ่มใจพูดยิ้มๆ แม่ของเธอกลัวลูกชายคนใหม่จะกินอาหารไม่ได้จึงให้อิ่มใจไปแบ่งเอาหมูทอดที่เธอซื้อมาฝากแม่กับพี่จืดมาให้ เจบ่นกะปอดกะแปดว่าแม่ของเขาเลือกปฏิบัติ ส่วนคนตัวโตก็ยิ้มกริ่มและจัดการกินหมูทอดของโปรดของเขา เขายังตักแกงบอนกินอีกเล็กน้อยพร้อมกับอาหารอย่างอื่น ส่วนเจ หลังจากอธิบายนั่นนี่หมดแล้วก็ไม่พูดไม่จาและจัดการสวาปามอาหารที่เตรียมไว้ให้จนหมดเกลี้ยงทุกอย่าง








(ล้นจนได้...ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- ปี๋ใหม่เมือง (ต่อ) ----




"เจจ๊ะ นอกจากดำหัวแล้ว วันนี้เราต้องทำอะไรอีกไหม?"

คนตัวโตถามเจนยุทธหลังจากเดินออกมาจากเรือนใหญ่ หลังกินข้าวเสร็จ พวกเขานั่งคุยกับแม่และอิ่มใจอีกครู่ใหญ่จึงได้ขอตัวมาพักผ่อนในเรือนของตัวเอง

"เอ ก็ไม่มีอะไรแล้วนะครับ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คงไปวัดมั้ง? แต่สำหรับผม ปกติก็จะกลับเข้าเมืองไปเล่นน้ำ ช่วงปีหลังๆ นี่ พอห้างฯ เซ็นเฟสเปิด พวกผมก็ไม่ค่อยออกไปเล่นน้ำสงกรานต์กลางวันละ เพราะมันร้อน เราจะรอไปเล่นที่หน้าห้างฯ ตอนเย็นๆ ค่ำๆ แทนเพราะว่ามันมักจะมีคอนเสิร์ตไม่ก็ดีเจมาเปิดเพลงด้วย มีปาร์ตี้โฟมด้วยมั้ง สนุกสุดๆ ครับ"

เจทำตาลอย เขานึกถึงบรรยากาศอันสนุกสนานและเร่าร้อน หนุ่มสาวที่มาเที่ยวต่างเล่นน้ำพร้อมกับเต้นกันอย่างสนุกสนาน เขาเล่าให้ฆาเบียร์ฟังว่าหนุ่มๆ อย่างเขาและเพื่อนก็ถือโอกาสได้ปะแป้งและจีบสาวๆ แต่พวกเขาก็ไม่เคยฉวยโอกาสลวนลามใคร และจะขอทุกครั้งก่อนที่จะปะแป้งใคร

"มันเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาทุกปีครับ เรื่องผู้หญิงถูกลวนลามช่วงสงกรานต์ ไม่ว่าจะถูกปะแป้งหรือจับนั่นจับนี่ คือมันก็ใช่ว่าผู้หญิงบางคนเขาแต่งตัวค่อนข้างล่อแหลมมาเล่นน้ำสงกรานต์ แต่ผมก็เห็นว่าเขาจะแต่งยังไงก็ช่าง ต่อให้เขาใส่บิกินี่ออกมา คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปลวนลามเขา ไม่ใช่มาอ้างว่าแต่งตัวล่อตะเข้แสดงว่าอยากโดน มันไม่ใช่อ่ะ สำหรับผมนะ ผมถือคติว่าดูแต่ตา มืออย่าต้อง ถ้าไม่ได้รับอนุญาต"

เจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเล่าอีกว่าปีๆ หนึ่งมีการกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้งระหว่างคนที่ลวนลามกับแฟนหนุ่มของผู้หญิงเหล่านั้น บางครั้งก็เป็นเรื่องใหญ่โตจนมีการเสียเลือดเสียเนื้อ หรือถึงขั้นเสียชีวิตกันเลยก็มี



"นายนี่เป็นเด็กดีจริงๆ นะ เจนยุทธ"

คนตัวโตดึงแก้มคนรักเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว

"อีกแล้ว ดึงแก้มอีกแล้ว คนนะ ไม่ใช่ตุ๊กตา!"

เจบ่นอุบอิบพร้อมกับลูบแก้มของตัวเองเบาๆ

"ผมมันก็ไม่ใช่เด็กดีอะไรหรอกฆาบี้ ถึงผมจะไม่แตะ แต่ผมก็มองนะ คือผมถือว่าคุณแต่งตัวขนาดนั้นออกบ้านมา ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าจะมีคนมอง ถ้าใครมาด่าผมว่าผมไปมองนมหล่อน ผมก็ด่ากลับจริงๆ นะ"

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ แล้วเล่าให้ฟังว่าตัวเขาเองก็เคยเจอสถานการณ์คล้ายๆ กันในสถานบันเทิง เขาเคยถูกชายหนุ่มที่เป็นแฟนของหญิงสาวที่แต่งตัวทั้งรัดทั้งสั้นแถมหน้าอกยังล้นทะลักมาเกือบทั้งเต้าเข้ามาหาเรื่อง ชายหนุ่มที่เมาเพียบคนนั้นกล่าวหาว่าเขาไปมองหน้าอกแฟนของตัวเองทั้งๆ ที่เขานั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ดูเป็นเกย์กันทั้งโต๊ะ



"อ้าว เฮ้ย แล้วคุณทำไงอ่ะ? แล้วตกลงคุณได้มองจริงหรือเปล่า? "

เจถาม เขานึกสงสัยว่าตาคนนั้นคงเมามากจนสังเกตไม่ออกว่าคนตัวโตคนนี้นั้นแผ่ออร่าไม่สนผู้หญิงออกมาอย่างชัดเจน

"ฉันก็ยอมรับไปตรงๆ ว่าฉันมองจริง..."

เจอ้าปากค้าง เขาไม่เคยคิดว่าคนรักของเขาจะชายตามองผู้หญิงที่ไหน ฆาเบียร์ซ่อนยิ้ม

"ฉันบอกเขาไปว่า แต่ที่ฉันมองน่ะคือกล้ามอกของคนที่เข้ามาหาเรื่องฉันต่างหาก"

คนตัวโตไม่ได้เล่าให้คนรักฟังว่าในตอนนั้นเขายังยกนิ้วลูบแผงอกกว้างของผู้ชายคนนั้นไปเบาๆ อีกต่างหาก ผลคือชายหนุ่มที่ค่อนข้างเมามากคนนั้นหน้าซีดและมีทีท่าหายเมาเป็นปลิดทิ้ง เขารีบหันหลังเดินกลับไปลากแฟนของตัวเองไปห่างๆ ฆาเบียร์และผองเพื่อน

"แต่เอาเข้าจริงๆ ฉันก็มองนมแม่นั่นจริงๆ แหละ"

คนรักของเจพูดกลั้วหัวเราะ

"ฉันกับเพื่อนกำลังเถียงกันว่านมคัพ E นั่นน่ะของจริงหรือของปลอม หรือว่าเป็นการใส่บราดันขึ้นมา"

เจหัวเราะก๊ากออกมาดังๆ ในฐานะคนที่ผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วน เขาเจอความพยายามในการอัพไซส์มาทุกรูปแบบแล้วและมันก็ทำให้เขาเซ็งทุกครั้งที่ได้เจอ



"เฮ้ย!"

เจร้องออกมาดังลั่นเมื่อเปิดประตูเรือนเล็กของเขาเข้าไปเจอไอ้เจ้าหมาหมูนั่งน้ำลายยืดรออยู่ที่หน้าประตู เจทำหน้าเซ็งเมื่อมันทำเสียงงี้ดง้าดและกระโดดเข้าใส่เมียตัวโตของเขาอย่างลิงโลด ฆาเบียร์หัวเราะร่าและรับการทักทายของเจ้าหมาดำ เขาลงนั่งคุกเข่าเล่นกับมันโดยไม่รังเกียจที่โดนมันเลียหน้าเลียตา เจยืนยิ้มมองภาพนั้น ยิ่งนานวัน ฆาเบียร์ยิ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา เขาเป็นที่รักของทุกคนในบ้าน กระทั่งหลานๆ ของเจที่ไม่ค่อยได้เจอกันก็ยังถามหาอาฆาเบียร์ทุกครั้งที่เจอเจเมื่อตอนที่คนตัวโตหายหน้าไปสองเดือน เจนยุทธนึกภาพไม่ออกเลยว่าหากวันหนึ่งคนๆ นี้หายไปจากชีวิตเขา ตัวเขานั้นจะยังสามารถใช้ชีวิตเป็นปกติได้อยู่หรือไม่

"หืมม์? มีอะไรจ๊ะ?"

ฆาเบียร์หันไปถามคนรักที่อยู่ๆ ก็เดินเข้ามากอดเอวและซบหลังเขา เจไม่ตอบหากยิ่งกอดรัดแน่นขึ้น เขาแนบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างและสูดดมกลิ่นกายที่เขาแสนคิดถึง

"Te extraño​ mucho, mi corazo​n"

เจกระซิบแผ่วๆ กับแผ่นหลังกว้างนั้นว่าเขาคิดถึงเมียตัวโตของเขามากแค่ไหน ฆาเบียร์หันกายมาหาคนรักของเขาและโอบร่างเพรียวเข้าไว้ในอ้อมอก

"ฉันกลับมาหานายแล้วนะ เจนยุทธ กลับมาแล้ว"

คนตัวโตพูดโดยมีน้ำตาคลอเบ้า เขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองมาตลอดทั้งวันแล้ว ตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา เขาคิดถึงเจมากเหลือเกิน การแสดงความรักกันเมื่อคืนที่ผ่านมาก่อนที่เขาจะหลับไปเพราะพิษไข้ ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกคนึงหาของเขานั้นลดลงเลย ยามห่าง แม้จะได้พูดคุยกันออนไลน์แทบทุกวัน แต่มันก็เทียบเท่าไม่ได้กับการได้สัมผัสร่างอุ่นๆ ในอ้อมอกเหมือนอย่างเช่นตอนนี้ คนทั้งสองยืนกอดและแลกจูบอันอ่อนโยนให้แก่กัน

"เจจ๊ะ..."

คนตัวโตกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเจนยุทธ เจหน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาแพรวพรายที่ฉายแววเว้าวอนแล้วพยักหน้าเบาๆ ฆาเบียร์ยิ้มร่าและรีบโอบเอวคนรักพาเดินเข้าไปในส่วนห้องนอนของเรือนเล็กทันที




------------------------------------------------

และแล้วก็ตัดเข้าโคมไฟเลยดีไหมหนอ? การเดินทางของสองคนนี้มาถึงเดือนเมษายนแล้วนะคะ อีกไม่นานจะถึงช่วงที่วางไว้ให้มีการเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์สำคัญของเนื้อเรื่องแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นfก็มาเดินเตาะแตะช้าๆ ไปกับสองหนุ่มนี้ไปก่อนนะคะ

วันนี้ก็มาพูดถึงธรรมเนียมช่วงปีใหม่เมืองหรือว่าสงกรานต์ของชาวล้านนานิดหน่อยนะคะ หลายๆ คนอาจจะเคยรู้แล้ว แต่หลายๆ คนก็อาจจะไม่รู้ว่ามันมีความแตกต่างจากธรรมเนียมปฏิบัติของทางภาคกลาง คนเขียนเองก็เป็นพวกรู้บ้างไม่รู้บ้าง ทำนั่นนี่ไปตามสะดวก ขนทรายเข้าวัดนี่เคยทำเฉพาะตอนเด็กๆ หลังๆ มานี่ทำแค่ดำหัวญาติผู้ใหญ่แค่นั้น เล่นน้ำยังไม่ออกไปเล่นเลยค่ะ เป็นเทศกาลนอนอยู่บ้านที่แท้ทรู

ในส่วนธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงปี๋ใหม่เมืองก็มีรายละเอียดแตกต่างจากทางของภาคกลางบ้างตามนี้เลยค่ะ

Wiki - ปี๋ใหม่เมือง http://bit.ly/2OmacoB

ถ้าอยากอ่านแบบละเอียดก็เชิญที่เพจประเพณีล้านนาของห้องสมุดมช. ได้เลยนะคะ ในลิงค์จะเป็นเรื่องวันพญาวัน แต่ยังอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลปี๋ใหม่เมืองได้จากลิงค์ด้านล่างของหน้านะคะ http://bit.ly/2Ot1GnJ

ส่วนเรื่องคำกล่าวและคำปั๋นปอน (ให้พร) ในการดำหัวนั้น จริงๆ แล้วก็ต่างกันไปค่ะ ในเรื่องคนเขียนก็ดัดแปลงเอาจากคำปั๋นปอนของญาติผู้ใหญ่ที่บ้าน เท่าที่จำได้นะคะ ส่วนบางบ้านก็อาจจะจัดเต็มแบบมีคำบาลีด้วย จะคล้ายๆ พรของพระทางเหนือตอนที่เราถวายสังฆทานแล้วค่ะ หาอ่านได้ในลิงค์ข้างบนเช่นกัน

เรื่องอาหารวันนี้มีนิดๆ หน่อยๆ แกงผักปั๋งนี่เป็นหนึ่งในแกงโปรดของคนเขียน แต่กลับหารูปในสต็อคไม่เจอเลย คงเพราะช่วงหลังไม่ค่อยได้กิน ไม่ก็ไม่ได้ถ่ายไว้ ก็ดูรูปจากในสูตรแล้วกันนะคะ

แก๋งผักปั๋ง http://bit.ly/2EidaWI

ส่วนคั่วจิ๊นส้มใส่ไข่กับผัดผักซาโยเต้นี้ก็คงไม่จำเป็นต้องลงสูตร แต่ขอลงวิธีทำแหนมให้แทนแล้วกันนะคะ คนเขียนดูแล้วคิดว่าซื้อกินเหมือนเดิมดีกว่าค่ะ

วิธีทำจิ๊นส้ม http://bit.ly/2QQOHZF

ในรูปที่ลงไว้ข้างบนเป็นรูปจิ๊นส้มหมก ที่เรียกว่าจิ๊นส้มหมกก็เพราะเป็นการเอาจิ๊นส้มห่อใบตองแล้วนำไปหมกในขี้เถ้าร้อนๆ ค่ะ แต่สมัยนี้ก็เอาไปย่างไฟเฉยๆ ค่ะ พบได้ตามร้านขายอาหารเมืองทั่วไป บางเจ้าก็ตอกไข่ใส่ลงไปก่อนย่างด้วย

จิ๊นส้มหมก http://bit.ly/2Eiy4F3


ว่างๆ แวะเมาท์กับคนเขียนได้ตามนี้นะคะ

เพจค่ะ https://www.facebook.com/LaVidaSinTuAmor/

ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/VidaSinTuAmorTH



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-10-2018 07:09:00 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ chouxcream

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาดันกระทู้รอค่า
 :-[ :-[

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- I 'Larb' You ----




"มีอะไรครับ ฆาบี้ หยุดทำไม?"

 เจถามคนรักที่กำลังเล้าโลมเขาอยู่ดีๆ ก็หยุดกึกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

"รู้สึกไม่สบายขึ้นมาอีกเหรอครับ?"

เจนยุทธถามและมองใบหน้าที่มีแววกังวลของร่างกำยำที่คร่อมกายเขาอยู่

"ไม่จ้ะ แต่ เอ่อ เจ โรซ่ามันจ้องฉันใหญ่เลยน่ะ"

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ พร้อมกับมองไปที่ข้างเตียง เจมองตามแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ไอ้หมาหมูของเขามันมานั่งชิดขอบเตียงแล้วจ้องพวกเขาแสดงความรักกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

"ไป๊ๆ โรซ่า ไปนอนที่โซฟานู่น"

เจโบกมือไล่ลูกสมุนตัวดีของเขา แต่นอกจากจะไม่ไปแล้ว มันยังโดดขึ้นมาบนเตียงและนอนเอาคางเกยต้นขาพ่อเจ้าประคุณของเขาที่ลงไปนอนแผ่ด้วยความเซ็งอยู่ข้างกายเจ

"เฮ้ยๆๆ ชักจะเกินไปแล้ว ไอ้หมูโรซ่า!"

เจว๊ากลั่น ฆาเบียร์รีบดึงผ้าห่มมาปิดส่วนสงวนที่ยังไม่ยอมสงบลงของเขาเมื่อเจ้าหมาดำเริ่มดมฟุดฟิดแล้วทำท่าสนใจ หนวดแข็งๆ ของมันที่ทิ่มแถวต้นขาทำให้เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้

"ไม่ไหวเลย เรานี่ ทำฉันหมดอารมณ์แล้วนะ"

ฆาเบียร์ดึงแก้มห้อยๆ ของเจ้าหมาดำอย่างมันเขี้ยว มันครางในคอเบาๆ แล้วนอนหงายท้องให้คนตัวโตเกา เจส่ายหัวบ่นพึมพำ ฆาบี้ยิ้มแล้วหันไปจุ๊บเบาๆ ที่ปากของคนรักที่นั่งหน้าตูมอยู่ เจจูบตอบเบาๆ แล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ในที่สุด อารมณ์ปรารถนาของพวกเขาทั้งสองถูกไอ้เจ้าหมาอ้วนทำลายลงไปเรียบร้อย



"มานี่ ไอ้ตัวดี มาให้จัดการซะดีๆ "

เจเอ็ดเบาๆ พร้อมกับซุกหน้าไปที่พุงเต่งของเจ้าหมาดำแล้วลงมือเกาท้องและตัวของมันอย่างเมามัน เจ้าหมาตัวแสบบิดตัวไปมาด้วยความฟิน ฆาเบียร์นั่งยิ้มดูเจกอดปล้ำกับเจ้าหมาหมู เขาทั้งสองยังพอมีเวลาพลอดรักกันอยู่อีกหลายวัน

“เรานี่มันตัวยุ่งจริงๆ เลย”

เจบ่นเบาๆ พร้อมกับลูบหัวไอ้หมาหมูตัวดีที่มานอนซบตักเขา

“ส่วนนี่ก็ตัวยุ่งเหมือนกัน ใช่ไหมครับ?”

เจซึ่งนั่งขัดสมาธิพิงหัวเตียงอยู่หันไปจับคางของคนที่หนุนขาอีกข้างของเขาสั่นเบาๆ ฆาเบียร์พยายามไล่งับนิ้วเรียวของคนรัก

“นั่นๆ ยั่วอีก เดี๋ยวก็ได้มาอาบน้ำเย็นกันอีกรอบหรอก”

เจบ่นคนที่อมนิ้วเขาเข้าแล้วรูดเข้าออกปากอย่างเพลิดเพลิน ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มพลางใช้ปลายลิ้นเขี่ยดุนปลายนิ้วคนรัก แล้วค่อยๆ ตวัดลิ้นไล้ตามเรียวนิ้วของเจนยุทธ คนตัวเล็กนั่งตัวเกร็ง คนตัวโตซ่อนยิ้มเมื่อเหลือบตาเห็นส่วนสงวนภายใต้กางเกงในสีขาวของเจเริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นอีกครั้ง



“โอ๊ย ไม่ไหวแล้วโว้ย! โรซ่า หลบ! ฆาบี้ มานี่!”

เจว๊ากลั่น เขาดันหัวทั้งคนทั้งหมาลงจากตักแล้วลุกพรวดขึ้นยืน เขาดึงคนรักให้ลุกขึ้นแล้วลากข้อมือให้เข้าไปในห้องน้ำ เขาห้ามไอ้เจ้าหมาดำให้ตามเข้ามาแล้วดึงประตูปิดตาม

“ยั่วผมเหรอครับ เมีย? แน่ใจนะ?”

เจผลักร่างที่เกือบเปลือยของคนรักติดผนังห้องน้ำและกระชากผ้าเช็ดตัวที่พันกายคนตัวโตออก ฆาเบียร์หายใจหอบกระชั้นขึ้นเพราะความตื่นเต้น เจจูบพรมไปทั่วแผงอกกว้างของเขา แถมยังงับเบาๆ ไว้เป็นที่ๆ คนตัวโตผวากายขึ้นเมื่อฝ่ามือร้อนผ่าวตะปบเข้าที่กลางลำตัวของเขา

“เจ…อืมม์ ดี”

ฆาเบียร์ครางกระเส่าเมื่อฝ่ามืออุ่นกอบกุมแท่งลำของเขาและชักรูดอย่างมีชั้นเชิง ริมฝีปากนิ่มๆ ของเจซุกไซร้ดูดดุนตุ่มไตสีแทนของเขาอย่างแรงจนเริ่มเจ็บ แต่มันเป็นความเจ็บที่ยิ่งกระตุ้นให้เขารู้สึกตื่นเต้นและเสียวซ่านมากขึ้น

“เจ ไหนนายบอกว่าจะให้ฉัน...”

คนตัวโตอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเจนยุทธพลิกกายเขาให้หันหน้าเข้ากำแพง

“ก็คุณมัวแต่ชักช้าเองนี่!”

เสียงพูดกลั้วหัวเราะของเจดังอยู่ที่ข้างหูพร้อมสัมผัสจากริมฝีปากที่คลอเคลียจูบคลึงอยู่แถวใบหูและต้นคอ คนตัวโตถอนหายใจแผ่วเบา ระหว่างอยู่บ้านแม่เขาคงมัดผมโชว์ต้นคอไม่ได้อีกตามเคย เจผละออกจากร่างคนรักครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมเจลและถุงยางจากตู้ในห้องน้ำ



“หุบขาหน่อยสิครับ ฆาบี้”

เจกระซิบบอกคนรัก ฆาเบียร์หันหน้ามามองคนรักและมีทีท่างุนงง

“อ้าว ฉันนึกว่าเจจะเข้า...”

เจนยุทธส่ายหัว

“ผมยังรักษาสัญญากับคุณหรอกน่า อีกอย่าง คุณก็ยังไม่ได้เตรียมตัวไม่ใช่เหรอ? มันตั้งสองเดือนแล้ว ผมยังไม่อยากทำคุณเจ็บหรอกครับ”

เมียตัวโตของเจยิ้มกริ่มแล้วเอี้ยวตัวมาดึงเจนยุทธเข้าไปจูบอย่างหนักหน่วง จากนั้นเอื้อมมือมาจับแก่นกายของเจจ่อเข้ากับช่องทางของตัวเองแล้วค่อยๆ ดันสะโพกไปข้างหลัง เจซี้ดปากเบาๆ เพราะความคับแน่น หากเขาก็รู้สึกได้ว่าช่องทางนั้นผ่านการเตรียมความพร้อมมาแล้ว

“ขี้โกงนี่ครับ เมีย ไหนพูดโอ่นักหนาว่าจะกอดผมไม่ใช่เหรอ?”

เจกระซิบเสียงกระเส่าข้างหูคนรัก อกของเขาแนบชิดกับแผ่นหลังกว้างของฆาเบียร์ ท่อนล่างของเขาเริ่มขยับ ในเมื่อคนรักพร้อม เขาก็ยินดีสนองให้เต็มที่ คนตัวเล็กเดินหน้าป้อนความสุขให้เมียตัวโตของเขาอย่างแข็งขัน

“ฉันเตรียมเผื่อไว้ก่อน อ๊ะ...แรงๆ อีก เจ ขอลึกๆ ...อืมม์ เตรียม…ฉันเตรียมตอนที่เข้าห้องน้ำเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว”

คนตัวโตพูดแทบไม่เป็นภาษา เขาเด้งกายรับแท่งลำที่ประเคนเข้ามาถี่ยิบ เจรู้ดีเหลือเกินว่าต้องเน้นย้ำตรงไหนเพื่อทำให้เขารู้สึกหฤหรรษ์ที่สุด เจเม้มปากแน่น แม้ฆาเบียร์จะจัดการเตรียมช่องทางของเขาแล้ว แต่ความคับแน่นจากช่องทางที่ไม่ได้ถูกแตะต้องมาสองเดือนทำให้ส่วนนั้นของเขาถูกบีบรัดอย่างรุนแรงและเหมือนจะถูกดูดให้เข้าลึกไปทุกที ฆาเบียร์จูบหลังมือของคนรักที่ค้ำยันผนังห้องน้ำไว้เพื่อทรงตัว แรงดูดแผ่วๆ ด้วยความปรารถนานั้นทำให้เจกายสะท้าน



"ฆาบี้ ฆาบี้ครับ ผมจะไม่ไหวแล้วนะ เดี๋ยว เปลี่ยนท่าก่อน"

เจครางเสียงสั่นและจัดการพลิกกายคนรักให้หันมาเผชิญหน้ากัน ฆาเบียร์ยกขาแข็งแรงข้างหนึ่งของเขาขึ้นเกี่ยวเอวของคนรักที่ย่อตัวลงน้อยๆ เจใช้มือประคองใต้สะโพกของคนรักและเริ่มขยับต่อ คนตัวโตสบถดังๆ ออกมาด้วยความเมามันในอารมณ์และตัดสินใจเป็นฝ่ายคุมเกมเอง เขาบดกายลงบนแก่นกายของคนรักอย่างหนักหน่วง เจพยายามตบสะโพกคนรักให้ช้าลงอีกหน่อย แต่เมียตัวโตของเขาไม่ฟังแล้ว เจขบกรามแน่นและพยายามข่มกลั้นไว้โดยปล่อยให้ฆาเบียร์ขยับอยู่ฝ่ายเดียว เขารู้ได้จากเล็บที่จิกแน่นบนหลังของเขาและแรงกอดรัดของคนที่ฝังใบหน้าไปบนบ่าของเขาว่าฆาเบียร์จวนจะถึงจุดเต็มแก่แล้ว

“ที่รักครับ พร้อมกันนะครับ”

เจกระซิบที่ข้างหูของคนตัวโตพร้อมลมหายใจที่หอบถี่ เขาสุดจะกลั้นแล้ว เจเสยสะโพกหนักๆ ขึ้นอีกไม่กี่ครั้งก็ต้องแผดเสียงออกมา ฆาเบียร์เองก็กายสะท้านเฮือกและปลดปล่อยออกมาเช่นกัน



“ฆาบี้ครับ ฆาเบียร์ คุณ ไหวไหม?”

เจตบเบาๆ ไปที่แก้มของคนรัก ฆาเบียร์แลดูหมดแรงแข้งขาอ่อนและทิ้งน้ำหนักลงมาบนตัวเขา เจประคองคนตัวโตมานั่งที่เก้าอี้อาบน้ำ

“เป็นอะไรมากไหมครับ? หน้ามืด มึนหัว หรืออะไรหรือเปล่า?”

เจนยุทธถามอย่างร้อนใจ แต่คนตัวโตที่ยังหายใจหอบถี่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอนหลังพิงผนังห้องน้ำ

“ไม่เป็นไรจ้ะ แค่ แค่มันรู้สึกดีมากจนฉันหัวโล่งไปหมดแล้ว”

เจหัวเราะคิกและใช้นิ้วสางเรือนผมที่ยุ่งเหยิงเพราะมือเขาเบาๆ เซ็กส์ที่สุดยอดเป็นการแสดงความรักแก่กันอย่างหนึ่งของพวกเขา ยิ่งฆาเบียร์สุขสมมากเพียงใด เจนยุทธก็ยิ่งพึงใจมากเพียงนั้น

“งั้นนั่งพักไปนะครับ เดี๋ยวผมอาบน้ำก่อน”

เจถอดเครื่องป้องกันทิ้งถังขยะแล้วจุ๊บแผ่่วๆ ที่หน้าผากของคนรักที่นั่งหมดแรงอยู่บนเก้าอี้

“ไม่ได้ นายต้องอาบให้ฉันด้วยสิ”

เจเกาหัวแกร่กๆ เมียตัวโตของเขาทำท่าเอาแต่ใจขึ้นมาอีกครั้ง



“เอ้า มาๆ ถ้าลุกไหวก็ลุกมาเลยครับ”

เจโคลงหัวและฉุดฆาเบียร์ให้ลุกขึ้นยืน คนตัวโตแกล้งทำตัวอ่อนระทวยแข้งขาอ่อนและเซไปพิงร่างเพรียวของเจ เจนยุทธบ่นพึมพำและพยายามประคองร่างใหญ่กำยำของคนรัก

“ฆาบี้! นี่คุณไม่ใช่ตัวเบาๆ นะ! เดี๋ยวก็ล้มหรอกครับ”

เจนยุทธบ่นพึมพำ เขาโอบร่างที่ทั้งสูงใหญ่และหนากว่าไว้ในอ้อมอก

“เอ๊ะ ที่รักครับ คุณผอมลงหรือเปล่า?”

เจขมวดคิ้วและลูบคลำไปตามร่างกายของคนรัก เมื่อคืนและเมื่อเช้าเขาไม่ทันได้รู้สึก แต่ในตอนนี้ เขาเริ่มสัมผัสได้ว่าฆาเบียร์ตัวเพรียวลง เขาสงสัยว่าช่วงสองเดือนที่ผ่านมานั้น คนตัวโตของเขาคงไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองนัก

“นี่ไม่ยอมกินข้าวกินปลาอีกแล้วใช่ไหม?”

เจบ่นเบาๆ พร้อมกับเปิดก๊อกให้สายน้ำอุ่นๆ สาดรดตัวพวกเขาทั้งสอง

“ก็…ก็ บางทีงานมันติดพัน ฉันก็กินเลทบ้าง หรือก็กินแค่มื้อเบาๆ บ้าง”

คนตัวโตพูดอ้อมแอ้ม อันที่จริงตอนอยู่สหรัฐฯ นอกเหนือจากมื้อเช้าและมื้อที่ต้องออกไปกินกับอาปาคริส เขากินเพียงอาหารง่ายๆ จากโรงอาหารพนักงาน หรือบางครั้งก็กินแค่แซนวิชคู่เดียว เมื่อกลับมาฮ่องกง แม้จะมีเมลิน่าคอยเคี่ยวเข็ญให้เขากินอาหารครบมื้อ แต่เขาก็กลับไปกินเหมือนแมวดมอีกครั้ง ความอยากอาหารของเขาจางหายไปเมื่อไม่มีคนรักอยู่ร่วมโต๊ะอาหารด้วย



“ไม่ได้นะครับ ต่อให้กินน้อยยังไง คุณก็ต้องกินให้ครบมื้อ โธ่ ดูสิ ผอมไปจนรู้สึกได้เลยนะ”

เจฟอกสบู่ไปตามแผงอกและข้างลำตัวคนรัก แล้วก็ถอนหายใจออกมาดังๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อที่หายไป

“ฉันไม่ค่อยได้เข้ายิมด้วยน่ะ กล้ามเลยหายไปบ้าง หลังจากนี้ฉันก็จะพอมีเวลาว่างแล้ว ว่าจะกลับไปเข้ายิมใหม่ โอเคไหม?”

“ดีครับ!”

เจตอบสั้นๆ เมื่อคนรักบอกว่าจะกลับไปเข้ายิมอีกครั้ง หลังจากคบหาเจนยุทธอย่างเป็นทางการ ฆาเบียร์ก็ไม่คิดจะไปบริหารเสน่ห์ของเขาที่ไหนอีก คนตัวโตจึงค่อนข้างละเลยการเข้ายิมเพื่อเพาะกล้ามเนื้อซึ่งเขาเคยใช้ดึงดูดใจหนุ่มๆ ยิ่งเขาง่วนกับงานมากขึ้น เขายิ่งปล่อยตัวและรักษารูปร่างโดยระวังเพียงเรื่องการอาหารการกินและออกกำลังกายแบบคาดิโอเท่านั้น

“ผมคุณสวยจริงๆ ฆาบี้ ผมช้อบชอบ”

เจฟอกฟองนุ่มไปทั่วกายคนตัวโตและสระผมสลวยที่ยาวเลยบ่าแล้วให้ เขาใช้นิ้วสางและม้วนพันผมเงางามเล่น ผมสีน้ำตาลเข้มของฆาเบียร์มีเหลือบสีน้ำตาลทองจางๆ ทำให้ดูมีมิติ เจอดเทียบไม่ได้ว่าคนผมสีดำสนิทอย่างเขาถ้าไว้ผมยาวบ้างคงไม่ดูดีขนาดนี้

“กลับไปฮ่องกงคราวนี้ฉันว่าจะเล็มผมซักหน่อยหน่อย ชักยาวเกินแล้ว รำคาญ”

คนตัวโตบอก เจบ่นเสียดาย แต่ก็บอกว่าควรตัดจริงๆ เขาเปิดน้ำอีกครั้งเพื่อล้างฟองออกจากตัวเขาทั้งสอง ฆาเบียร์ดึงคนตัวเล็กให้เข้ามาแนบกาย เขาประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงระเรื่อของเจนยุทธ เจจูบตอบ พวกเขายืนจูบกันใต้สายน้ำอีกครู่หนึ่งจึงได้ผละออกจากกัน



“ฆาบี้ครับ…”

เจเงยหน้าขึ้นจากมือถือและเรียกคนรักของเขาที่กำลังจะแต่งตัว

"ในตู้ที่นี่คุณมีเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ของยี่ห้อไหม?"

"มีสิ ทำไมเหรอ?"

"งั้นใส่มาเลยครับ เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น หรืออะไรก็ได้ ด่วนเลย!"

ฆาเบียร์หยิบเสื้อยืดลำลองกับกางเกงผ้าขาสั้นออกมาใส่ เขาหันไปดูเจก็เห็นว่าคนตัวเล็กใส่เสื้อยืดกับกางเกงบอลที่เขามีไว้ใส่ก่อนนอน เจหันไปอธิบายเมื่อเห็นท่าทีสงสัยของคนรัก

"พี่อิ่มไลน์มาครับ บอกว่าพี่จืดกับเด็กๆ กลับมาแล้ว และไอ้พวกตัวแสบก็รอเล่นน้ำกับคุณอยู่น่ะ"

เจพูดยิ้มๆ เขาคุยกับพี่สาวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าอยากให้คนรักได้ลองเล่นสงกรานต์ดู อิ่มก็ได้ไปชวนพวกเด็กๆ ซึ่งก็ตอบรับคำชวนอย่างเต็มใจ และตอนนี้พวกเขาเตรียมตัวสาดน้ำอาฆาบี้เต็มที่แล้ว

"ว่าแต่คุณไหวไหมครับ? ยังมีไข้อยู่ไหม? ถ้ายังรู้สึกครั่นเนื้้อครั่นตัว ผมจะได้บอกให้เด็กๆ เก็บอาวุธซะ"

คนตัวโตส่ายหน้าแล้วบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองป่วยแล้ว

"ฉันพร้อมแล้วเจ ไหน นายจะให้ฉันทำอะไรมั่ง บอกมาเลย"

เจยิ้มร่า เขาเปิดตู้เก็บของและหยิบปืนฉีดน้ำขนาดใหญ่สองกระบอกที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมา ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อเห็นว่าคนรักของเขาเตรียมพร้อมแค่ไหน ทั้งคู่จัดการเติมน้ำในปืนฉีดน้ำของตัวเองแล้วจึงออกจากห้องไป



"เฮ้ยๆๆๆ เดี๋ยวก่อนๆ!"

เจว๊ากลั่น ยังไม่ทันถึงเรือนใหญ่ พวกเขาก็ถูกพวกเด็กๆ ซุ่มโจมตีที่หน้าบ้าน พวกเขาโดนเอแคลร์กับอันปังและแกงค์เพื่อนๆ อีกสามสี่คนที่ไปเล่นน้ำด้วยกันมาเมื่อตอนกลางวันรุมฉีดน้ำยกใหญ่ คนตัวโตที่ชอบเอาชนะก็ไม่ยอมให้เด็กเลยสักนิด เขากับเจไล่ฉีดน้ำเด็กๆ ทุกคนอย่างสนุกสนานโดยมีอิ่มใจยกมือถือคอยบันทึกภาพไว้โดยละเอียด เจลอบมองใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะการออกแรงของคนรักที่เปียกปอนไปทั้งตัวแล้วก็ต้องอดยิ้มออกมาไม่ได้ ถึงจะบอกว่าไม่ถนัดการเล่นกับเด็ก แต่เท่าที่เห็น คนตัวโตกับเข้ากับหลานๆ ของเขาได้เป็นอย่างดี และดูจะไม่ขัดเขินหรือขุ่นเคืองยามที่เด็กๆ เล่นแรงๆ ด้วย และยังดูสนุกกับการไล่ฉีดน้ำเจ้าทะโมนพวกนั้นไม่ใช่น้อย

"เฮ้ อันปัง ลงมา!"

เจตะโกนเรียกหลานชายวัยเจ็ดขวบที่กระโดดขึ้นขี่หลังคนรักของเขา พวกเขาเล่นน้ำกันที่ชานบ้านจนหนำใจแล้ว และตอนนี้กำลังจะพาเด็กๆ กลับไปที่เรือนใหญ่

"ไม่เป็นไร เจ หลานนายตัวเบาอยู่..."

ฆาเบียร์โบกไม้โบกมือให้คนรัก ถึงเขาจะฟังที่เจเอ็ดหลานไม่ออก แต่ก็พอจะเข้าใจได้

"...นายตัวหนักกว่าตั้งเยอะ ฉันยังอุ้มไหวเลย"

เจนยุทธทำตาโตและยกนิ้วชี้แตะริมฝีปาก

"ชู่ว์ คุณนี่ พูดออกมาได้ไง ไอ้เด็กพวกนี้มันฟังภาษาอังกฤษออกนะเฟ้ย!"

เจว๊ากออกมาเบาๆ คนตัวโตคงลืมไปว่าหลานๆ ของเขานั้นเรียนแผนภาษาอังกฤษ เช่นเดียวกับพวกเพื่อนๆ ที่มาเล่นน้ำด้วยกัน และตอนนี้เจ้าพวกตัวแสบก็กำลังเงี่ยหูฟังเขาทั้งสองคุยกันอย่างตั้งอกตั้งใจ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แก้เก้อ แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงให้หลานชายของเจลงจากหลัง อันปังวิ่งปรู๊ดกลับไปหัวเราะคิกคักกับพี่สาวและบรรดาเพื่อนพ้องทันที



"ขอโทษจ้ะ ฉันลืมไป"

เขากระซิบเบาๆ เจรีบดันคนตัวโตที่ทำท่ากระแซะเข้ามาใกล้เกินให้ออกห่างอีกสักนิด เขากับฆาเบียร์คุยกันแล้วว่าจะไม่เผลอแสดงท่าทีใกล้ชิดกันมากนักเวลาอยู่ต่อหน้าเด็กๆ

"ไม่ได้ๆ ไอ้เจ้าพวกนี้นี่เผลอไม่ได้เลยคุณ หูไวตาไว พลาดไปโดนพวกมันเอาไปแซวแย่"

เจใช้ไหล่กระแทกไหล่คนรักเบาๆ ระหว่างที่เดินไปหาอิ่มใจซึ่งนั่งรอพวกเขาอยู่หน้าเรือนใหญ่

"จ้ะๆ ฉันจะระวัง แต่ตอนนี้พวกเด็กๆ เข้าบ้านแล้ว ทำแบบนี้ได้ใช่ไหม?"

คนตัวโตยกมือขึ้นโอบไหล่เจนยุทธและหอมแก้มฟอดใหญ่ เจหน้าแดงก่ำและรีบดันคนรักให้ออกห่าง ต่อให้เด็กๆ เข้าบ้านไปหมดแล้ว แต่พี่สาวของเขายังนั่งทำตาโตดูพวกเขาทั้งคู่อยู่ ฆาเบียร์หัวเราะร่าและหันไปขยิบตาให้อิ่มใจที่เอามือปิดปากและทำท่าเขินอาย เจบ่นพึมพำแล้วผลักคนรักพลั่กใหญ่แล้วรีบเดินตุปัดตุป่องไปหาพี่สาว



"หน้างอเป็นม้าหมากรุกแล้วนะเรา"

อาจารย์สาวแซวน้องชายที่มานั่งแปะข้างเธอเบาๆ เจใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่พี่สาวยื่นให้เช็ดตัวเช็ดผม พลางบ่นคนรักจอมลวนลามของตัวเอง

"ไม่ไหวอ่ะ พี่อิ่ม พี่แกไม่ระวังเลย เดี๋ยวโดนพวกไอ้แสบแซวแย่"

เจบ่นดังๆ เป็นภาษาอังกฤษให้คนรักที่นั่งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ใกล้ๆ ได้ยินด้วย อิ่มใจหัวเราะเบาๆ

"ว่าแต่เขาไม่ระวัง ตัวเราเองก็ไม่ระวังเถอะ ทำอะไรตั้งแต่ยังกลางวันแสกๆ รู้ไหมว่าห้องน้ำของตัวเองน่ะมันไม่เก็บเสียงเท่าไหร่เลยนะ"

คู่รักซึ่งเพิ่งจะมีช่วงเวลาแสนหฤหรรษ์ในห้องน้ำใจหายวาบและมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

"เฮ้ย จริงๆ เหรอพี่อิ่ม? ตายห่านล่ะ! แล้วมัน เอ่อ มันดังมากไหมอ่ะ? "

เจนยุทธระล่ำระลักถามพี่สาว

"ก็ไม่รู้สินะ เฮ้อ ไปหาแม่ดีกว่า"

อิ่มใจลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินยิ้มกริ่มกลับเข้าไปในบ้าน ถึงเสียงที่เธอได้ยินตอนเดินผ่านเรือนพักของน้องชายจะไม่ได้ดังชัดเจนมากนัก แต่ก็พอจะเดาออกได้ว่าเป็นเสียงอะไร และมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงลอดออกมาจากห้องน้ำของน้องชาย แต่เนื่องจากคราวนี้มันเป็นตอนกลางวันแสกๆ เธอจึงต้องเตือนคู่รักสุดร้อนแรงคู่นี้ให้รู้ตัวเอาไว้บ้าง



"ชิบเป๋งละ ฆาบี้ นี่สงสัยผมต้องทำห้องน้ำใหม่แล้วมั้งเนี่ย?"

เจพูดพร้อมทำหน้าเจื่อนๆ ฆาเบียร์เองก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกพอๆ กัน

"ฉันว่าเราคงต้องเพลาๆ เรื่องอะไรๆ กันที่บ้านแม่แล้วล่ะ เจนยุทธ"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ ต่อให้เขาเป็นชาวตะวันตก แต่การที่ให้ญาติของคนรักมาได้ยินเสียงตอนประกอบกิจกรรมกันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

"นั่นสิ นี่ยังดีนะ ที่เป็นอิป้าสาววายนั่น ถ้าเป็นแม่ หรือถ้าเป็นเด็กๆ มาได้ยิน ผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ไหน"

เจทำหน้าเครียดทำให้คนตัวโตพลอยเครียดไปด้วย

“ฉันขอโทษจริงๆ นะเจ ฉันไม่น่าเริ่มก่อนเลย”

เจส่ายหัว

"ไม่หรอกครับ ถ้าคุณเสนอแต่ผมไม่สนอง มันก็เท่านั้น ว่าแต่..."

คนตัวเล็กหันไปส่งยิ้มจนตาหยีให้คนรัก

"แสดงว่าเมื่อกี้คุณรู้สึกดีมากใช่ไหมครับเมีย ถึงได้เสียงดังขนาดนั้น?"

"เจ นายนี่มัน..."

ฆาเบียร์โคลงหัวเมื่อเห็นใบหน้าแสนทะเล้นของคนรัก เขาอดไม่ได้ต้องยื่นมือไปหยิกแก้มป่องๆ ของเจ้าตัวแสบที่ทำตาแป๋วรอคำตอบ เจว๊ากลั่นอีกตามเคย คนตัวโตหัวเราะเบาๆ และยกแขนโอบไหล่ร่างเพรียวที่ทำท่าจะลุกหนี เขามองซ้ายมองขวาและหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่เมื่อแน่ใจว่ารอบข้างไม่มีคนแล้ว

"รู้สึกดีสิ เจ ดีสุดๆ เลย..."

คนตัวโตกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของคนรัก

"...แต่ฉันจะยิ่งรู้สึกดีมากถ้าคืนนี้เจจะยอมให้ฉันกอดบ้าง ได้ไหมจ๊ะ vida mia?"

เจหน้าแดงซ่านและรีบลุกหนีคนรักเข้าห้องทันที ฆาเบียร์ยิ้มร่าและลุกขึ้นเดินตามโดยมีเจ้าหมาหมูโรซ่าที่นอนเฝ้าเขาอยู่เดินตามต้อยๆ ไปอีกที



หลังจากกลับไปล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาอีกรอบ เจนยุทธก็พาฆาเบียร์ไปที่เรือนใหญ่อีกครั้ง คนตัวโตทำหน้าพิพักพิพ่วนเมื่อหันไปสบตากับอิ่มใจ ดวงตากลมหวานคู่นั้นมีรอยยิ้มปรากฎอยู่ชัดเจน เจหันไปแลบลิ้นให้พี่สาวเมื่อเห็นแววตานั้นเช่นกัน

"เล่นอะหยังเป๋นละอ่อนกั๋นแหมละ สองคนปี้น้องนี่"

"เล่นอะไรกันเป็นเด็กอีกแล้ว สองคนพี่น้องนี่"

ฟองนวลซึ่งเดินออกจากครัวมาเจอสองพี่น้องใช้หมอนอิงฟาดกันเหมือนเด็กๆ โดยมีฆาเบียร์นั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ

"เจมันแกล้งอิ่มก่อนเจ้า อิ่มบ่ได้ยะอะหยังหื้อมันซักน่อย"

"เจมันแกล้งอิ่มก่อนค่ะ อิ่มไม่ได้ทำอะไรให้มันซักหน่อย"

เจทำหน้าบูดใส่พี่สาวซึ่งรู้ว่าเขาไม่กล้าบอกแม่แน่ๆ ว่าเอาหมอนไล่ตีตัวเองเพราะอะไร แม่ของเจโคลงหัว สองศรีพี่น้องนี้ต่อให้อายุห่างกันเกือบสิบปี แต่ด้วยความที่สนิทกันมากและมีนิสัยขี้เล่นทั้งคู่ทำให้หลายๆ ครั้งทั้งคู่ยังคงเล่นกันเหมือนตอนเป็นเด็ก หากจืด พี่ชายคนโตซึ่งอายุต่างจากอิ่มใจเพียงแค่สองปีกลับมีนิสัยเงียบขรึมและเป็นการเป็นงานกว่า ทำให้เขาดูจะไม่ค่อยมาสุงสิงเล่นหัวกับน้องๆ มากนัก

"พวกเด็กๆ ไปไหนกันแล้วครับแม่?"

เจถามเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนตัวโตเข้าใจด้วย

"เล่นกับพวกเพื่อนๆ อยู่ในห้องน่ะ จะให้แม่เรียกมาให้ไหม?"

ฟองนวลตอบ เจส่ายหัว เขาถามเพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่องคุยเท่านั้น



​"พรุ่งนี้แม่จะไปดำหัวกู่กับไปดำหัวอากงเล็กที่บ้านวัดเกต เจจะไปด้วยไหม?"

"ไปครับ ไปทั้งผมแล้วก็อ้ายฆาบี้ด้วย"

เจตอบรับแม่ของเขา

"กู่คือใครเหรอ เจ?"

คนตัวโตถามเบาๆ ด้วยความสงสัย เจอธิบายคำว่า "ดำหัว" ให้เขาฟังแล้ว และเขาก็รู้จักคำว่า "อากงเล็ก" แล้วว่าหมายถึงน้องชายปู่ของเจ แต่เขาไม่รู้ว่า Goo ที่แม่พูดถึงนั้นคือใคร เจหัวเราะคิกเมื่อได้ยินคำถามนั้น

"กู่ไม่ใช่คนหรอกครับฆาเบียร์ แต่เป็นสถานที่ มันคือที่ๆ คนทางล้านนาใช้เก็บเถ้ากระดูกของญาติที่ล่วงลับไปแล้วน่ะ"

"Oh, I see... งั้น การ 'ดำหัวกู่' ก็คือการไปเคารพญาติซึ่งเสียชีวิตไปแล้วใช่ไหม? แล้วเรียกว่าดำหัวนี่ เราต้องเอาน้ำรดด้วยเหรอ?"

เจพยักหน้า คนรักของเขาเข้าใจถูกต้องแล้ว

"ใช่ค่ะ พรุ่งนี้พวกเราก็จะเตรียมน้ำขมิ้นส้มป่อยไปราดรดบนที่เก็บกระดูกของญาติผู้ใหญ่ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณก็ได้เห็นเองค่ะ"

อิ่มใจอธิบายให้ฟังเพิ่มเติม ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำและบอกแม่ว่าเขาจะไปด้วยแน่นอน

"งั้นพรุ่งนี้แม่จะไปกู่ก่อน หรือไปบ้านอากงเล็กก่อนครับ?"

"แม่บอกว่าจะไปที่บ้านอากงเล็กก่อนน่ะ แล้วค่อยรวมตัวกันไปที่กู่พร้อมกันกับพวกญาติๆ บ้านนั้นด้วย"

อิ่มใจทำหน้าที่แปลคำพูดของแม่มาให้ฆาเบียร์ฟัง

"งั้นพวกผมจะไปเจอแม่กับพี่อิ่มที่บ้านอากงเล็กนะ จะออกมากันซักกี่โมงครับ?"

"อ้าว แล้วคืนนี้พวกเจไม่ค้างที่นี่เหรอ?"

อิ่มใจย้อนถามยิ้มๆ เจพยายามไม่สบสายตารู้ทันของพี่สาวและหันไปบอกแม่ว่าเขามีนัดกับพวกเพื่อนๆ ไว้และไม่อยากขับรถกลับมาที่แม่แตงตอนดึกๆ ฟองนวลพยักหน้ารับรู้และนัดแนะเวลากับลูกชายจนเรียบร้อย เจกับฆาเบียร์นั่งคุยกับแม่และพี่สาวอีกพักใหญ่ก่อนจะอำลาเพื่อกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- I 'Larb' You (ต่อ) ----





"ตอนแรกฉันก็นึกว่าเจจะค้างที่บ้านแม่ซะอีก เห็นเอาเสื้อผ้ามาเผื่อแล้วนี่นา"

คนตัวโตถามเมื่อขึ้นนั่งบนรถแล้ว เจหันมาย่นจมูกให้คนรัก

"ทีแรกผมก็ว่าจะค้างอยู่หรอกครับ แต่พออิเจ๊บอกเรื่องนั้นแล้วผมก็เลยคิดว่าเรากลับไปนอนที่ห้องเราดีกว่า..."

"หืมม์? เรื่องอะไรเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ที่ยังตามความคิดคนรักไม่ทันถามขึ้นอย่างสงสัย

"เฟ้ย! ก็เรื่องเสียงลอดนั่นไง คุณก็!"

คนตัวเล็กทำท่าขัดใจ คนตัวโตร้องอ๋อออกมาดังๆ

"งั้นแปลว่า คืนนี้..."

"ฆาบี้ ถ้าไม่อยากให้รถชนก็อย่ามือซนครับ"

เจนยุทธพูดแทรกขึ้นพลางเหลือบตาลงมองฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้ต้นขาเขาอย่างจนปัญญา คนตัวโตยักไหล่และยอมยกมือออกแต่โดยดี เจโคลงหัวน้อยๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป



”โอ๊ย ฆาบี้ พอแล้ว หนัก!”

เจนยุทธว๊ากลั่นและพยายามดิ้นขลุกขลักหนีออกจากใต้ร่างของตาลุงหื่นที่จับเขากดลงกับโซฟาแล้วปล้ำจูบทันทีที่กลับถึงห้อง เขาพยายามดันร่างใหญ่กำยำออกแต่ฆาเบียร์ก็ฝืนตัวไว้และกดร่างคนรักไว้ไม่ให้หนีไปไหน เจหัวเราะออกมาลั่นเมื่อตอหนวดบนคางและแก้มของฆาเบียร์ถูเข้ากับเนื้ออ่อนๆ ที่ซอกคอของตน

“โอเคๆ ฮ่าๆๆ ผมยอมแล้ว ฆาบี้ ยอมแล้ว จะทำอะไรก็เชิญเลย”

เจหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาสบสายตากับเจ้าของดวงตาแพรวพรายตรงหน้า ริมฝีปากบางของคนรักค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงมา เจนยุทธเผยอปากรับ

“อืมม์…”

เจส่งเสียงเบาๆ ออกมาจากลำคอ รสจูบของคนรักนั้นตราตรึงเสมอ เขายกแขนขึ้นโอบรัดแผ่นหลังกว้างและดึงรั้งให้อกของเมียตัวโตของเขาแนบชิดกับอกตนจนแทบได้ยินเสียงหัวใจเต้น หากจูบอันดูดดื่มนี้ไม่ได้นำไปสู่การปลดเปลื้องเสื้อผ้าเหมือนอย่างเคย ทั้งคู่เพียงแค่อยากจะแสดงความรักและความคนึงหากันให้สมกับที่ต้องห่างกันนานถึงสองเดือน



‘เมื่อไหร่เราถึงจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปนะ เจนยุทธ?’

คำถามนี้ดังก้องอยู่ในใจของหนุ่มละตินร่างใหญ่ หากเขายังไม่กล้าถามออกไปด้วยยังไม่อยากกดดันคนรัก จะว่าไปแล้วพวกเขายังรู้จักกันได้ไม่ถึงหนึ่งปีดีด้วยซ้ำ ส่วนระยะเวลาที่ได้คบหาและอยู่ด้วยกันจริงๆ นั้นสั้นยิ่งกว่า ถึงเขาจะรู้เต็มอกว่าพวกเขารักกันแค่ไหน และตัวเขาพร้อมเต็มที่ที่จะรับอีกฝ่ายมาเป็นคู่ชีวิต แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นพร้อมแค่ไหน

“คิดอะไรอยู่ครับ ฆาบี้?”

เจนยุทธซึ่งนอนอิงแอบในอ้อมอกของคนตัวโตถามขึ้นเมื่อเห็นคนรักนิ่งเงียบไป ฆาเบียร์ตื่นจากภวังค์

“ไม่มีอะไรจ้ะ คิดเรื่องงานน่ะ…”

เขาตอบปัดไปทางอื่น และบอกว่าไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไรเมื่อเห็นคนรักมีท่าทางเป็นกังวล

“…แล้วสองหนุ่มนั่นว่าไงมามั่ง? เดี๋ยวจะนัดเจอกันกี่โมง?”

“อืมม์ พวกมันว่าน่าจะไปถึงร้านประมาณทุ่มนึงครับ ถึงแล้วก็จะสั่งกันก่อน งั้นเราไปกันเลยดีกว่า นี่ก็เกือบทุ่มแล้ว”

เจลุกขึ้นพร้อมกับดึงคนรักให้ลุกตาม ฆาเบียร์ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าที่ยับไปบ้างให้เรียบร้อย เจนยุทธเดินหายเข้าไปในห้องนอนและกลับออกมาพร้อมกับกล่องเล็กๆ ในมือ



"ฆาบี้ครับ..."

"ว่าไงจ๊ะ?"

“ผมกะจะให้นี่คุณตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาส…”

คนตัวโตแอบใจสั่นเมื่อเห็นของในมือและที่ท่าเขินอายของคนรัก ในใจเขาแอบคิดเตลิดไปไกล เจยื่นกล่องกำมะหยี่ในมือส่งให้เมียตัวโตของเขาซึ่งรับมันมาด้วยมืออันสั่่นเทา

"ต่างหูเหรอ?"

ฆาเบียร์พึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเห็นต่างหูแบบติดหูที่เรียกว่า ear stud ขนาดจิ๋วรูปดอกกุหลาบทำจากเงินรมดำคู่หนึ่ง เขาพยายามข่มไม่ให้น้ำเสียงผิดหวังน้อยๆ หลุดรอดออกมา แต่คนตัวเล็กก็ยังรู้สึกได้อยู่ดี

"เอ่อ คุณไม่ชอบเหรอครับ?"

เจหน้าเสียและถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คนตัวโตใจหายแว๊บเมื่อเห็นท่าทางนั้น เขายกมือโอบไหล่คนรักพร้อมกับหอมแก้มเบาๆ

"ชอบสิจ๊ะ น่ารักดี ว่าแต่นายคิดยังไงซื้อต่างหูให้ฉัน?"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ก็...ก็ไอ้ต่างหูข้างที่คุณให้ผมอ่ะ ผมไม่กล้าใส่มันครับฆาบี้ ผมกลัวจะไปทำมันตกหายที่ไหน...เดี๋ยวๆ ฟังก่อนครับ"

เจยกมือห้ามเมื่อคนรักทำท่าจะพูดอะไรออกมา

"...แล้วผมก็คิดว่าบางสถานการณ์ อย่างตอนอยู่เชียงใหม่ ตอนไปที่คนเยอะๆ พลุกพล่าน ผมก็ไม่อยากให้คุณใส่มันด้วย เพราะมันอาจจะไปสะดุดตาคนบางประเภทได้ เข้าใจใช่ไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ ตัวเขาไม่เคยคิดถึงอะไรแบบนี้และคิดแค่ว่ามันเป็นแค่ของดูต่างหน้าแม่เท่านั้น เจนยุทธพูดต่อ

"แต่เวลาไปไหนมาไหน ผมก็ยังอยากใส่ต่างหูคู่กับคุณอ่ะ ผมก็เลยไปสั่งให้เขาทำนี่มา..."

ฆาเบียร์ร้องอ๋อ เขารีบถอดต่างหูเพชรสีน้ำเงินออกวางในกล่องแล้วหยิบต่างหูเงินในนั้นออกมาข้างหนึ่ง



"เดี๋ยวครับ ฆาบี้..."

เจดึงมือคนรักที่กำลังจะใส่ต่างหูให้ตัวเองไว้

"ขอผมใส่ให้คุณได้ไหม? "

คนตัวโตยิ้มกว้าง เขาส่งมันให้เจนยุทธทันที เจบรรจงใส่ต่างหูข้างน้อยนั้นบนติ่งหูขวาของคนรัก จากนั้นฆาเบียร์ก็หยิบอีกข้างหนึ่งออกมาและใส่มันลงไปบนติ่งหูซ้ายของเจนยุทธบ้าง

"ฉันจะใส่มันติดหูตลอดแน่ๆ จ้ะ"

ฆาเบียร์ลูบต่างหูเงินอันน้อยนั้นเบาๆ ถึงมันจะยังไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด แต่มันก็คือสิ่งที่เจตั้งใจสั่งทำมาให้เขา

"โอ๊ย ไม่ต้องหรอกครับ มันไม่ใช่ของแพงของดีอะไร ผมเอามาให้ใส่ช่วงที่ไปที่คนเยอะๆ อะไรเฉยๆ เวลาปกติ หรือตอนอยู่เมืองนอก คุณก็ใส่ต่างหูของแม่ไปเถอะนะ ผมไม่ซีเรียสครับ จริงๆ"

เจโบกไม้โบกมือปฏิเสธด้วยความเกรงใจ หากฆาเบียร์ยืนยันว่าเขาจะใส่มันติดหูแทนต่างหูของแม่แน่นอน

"ฉันก็ไม่ค่อยอยากใส่ของราคาขนาดนั้นเดินไปเดินมาเท่าไหร่หรอก..."

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขายกมือถือขึ้นมาเปิดกล้องหน้าเพื่อส่องดูต่างหูใหม่ของตนอย่างถูกใจ



"ทำไมต้องเป็นรูปกุหลาบล่ะ?"

"ก็ให้เข้ากับนามสกุลแม่ของคุณไงล่ะครับ คุณ de la Rosa"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ คนตัวโตตาเป็นประกาย เขาหันกลับมาจุ๊บริมฝีปากคนรักเบาๆ

"ขอบใจจ้ะ เจ แล้วนายเองก็ต้องใส่มันติดตัวตลอดด้วยนะ"

เจพยักหน้ารับคำ ฆาเบียร์เดินเอาต่างหูของแม่ไปใส่ไว้ในเซฟในห้องนอนของเจนยุทธ เจตะโกนไล่หลังไป

"เอ่อ คุณครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ คุณเอาต่างหูแม่ของคุณคืนไปเลยดีกว่าไหม? เอาไว้ที่นี่ ผมกลัว..."

"ไม่ได้! "

ฆาเบียร์ว๊ากลั่นออกมา เขาเดินหน้าตึงกลับออกมาและปฏิเสธเสียงแข็ง อีกทั้งยังยืนยันว่าเมื่อเขาเอาให้เจนยุทธไปแล้วเขาจะไม่มีวันเอามันคืนเด็ดขาด

"ฉันบอกนายแล้วว่ามันคือตัวแทนของครึ่งหนึ่งของหัวใจและวิญญาณของฉัน ถ้านายส่งมันคืน แสดงว่านายไม่ต้องการฉันแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น นายจะเอาไปโยนทิ้งขว้างที่ไหนก็แล้วแต่นายเถอะ แต่ฉันจะไม่รับคืนแน่นอน!"

เจลอบถอนหายใจ คนตัวโตช่างเอาแต่ใจจริงๆ เขาได้แต่รับปากว่าจะเก็บมันไว้อย่างดี

"งั้น เราไปกันเถอะครับ เดี๋ยวสองคนนั้นจะรอนาน"

เจดูนาฬิกาแล้วรีบดึงแขนคนที่เอียงซ้ายเอียงขวาดูต่างหูใหม่ให้ออกห้องไปด้วยกัน



"เวรเอ๊ย รถติดชิบ รู้งี้ออกเส้นคันคลองไปดีกว่า"

เจนยุทธบ่นกะปอดกะแปดอีกทั้งสบถโขมงโฉงเฉงเป็นภาษาไทยเมื่อรถเขาติดนิ่งอยู่ที่ปากทางเข้าสู่กองบิน 41

"ทำไมวันนี้รถมันติดขนาดนี้ล่ะ เจ?"

คนตัวโตถาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจพาเขานั่งรถผ่านเข้าเส้นทางลัดซึ่งตัดผ่านเขตทหารที่ต้องทำบัตรผ่านเข้าออกรายปีแห่งนี้ และโดยปกติการจราจรในนี้ไม่เคยติดขัด

"ผมลืมไปสนิทเลยครับ ปกติแล้วช่วงปีใหม่เมืองเขาจะเปิดให้รถผ่านเข้าออกได้โดยไม่ต้องตรวจบัตร ฉะนั้นรถที่ไม่อยากผ่านแถวคูเมืองก็เลยจะมาวิ่งเส้นนี้แทน มันก็เลยติดครับ เดี๋ยวผมโทรบอกสองคนนั้นก่อนว่าจะไปเลท"

เจใช้ปุ่มควบคุมที่พวงมาลัยเลือกเบอร์โทรปรินซ์จากหน้าจอที่ฉายขึ้นกระจกรถของเขาและกดโทรออก ไม่นานเสียงของหนุ่มลูกร้านทองก็ลอดออกมาจากลำโพงในรถ



"ไงมึง ถึงไหนแล้ว ใกล้ยัง?"

เจถอนหายใจ

"ยังเลยว่ะ ยังรถติดอยู่ในกองบินฯ พวกมึงถึงร้านแล้วใช่ไหม? แล้วไอ้ซันมันบ่นอะไรของมัน"

เจถามเมื่อได้ยินเสียงของซันซันบ่นอู้อี้ลอดออกมา หนุ่มลูกร้านทองหัวเราะเบาๆ

"มันบ่นว่าวันนี้อาหารช้า มันหิวแล้ว"

ปรินซ์บอกว่าพวกเขามาถึงครู่ใหญ่และสั่งอาหารไปหลายอย่างแล้ว แต่เนื่องจากคนแน่นเต็มร้านเพราะเป็นช่วงเทศกาล อะไรๆ ก็เลยช้า

"เอาน่ะ บอกมันว่าให้ทนหน่อย สักพักพวกกูคงถึงละ ตอนนี้รถเริ่มไหลๆ แล้ว..."

เจพูดตอบโต้โดยตาเขายังจ้องเป๋งบนท้องถนนและคอยระวังรถด้านหน้าที่อาจจะเบรคกะทันหัน

"เออ แล้วมึงช่วยสั่งไข่เจียวหมูสับกับปีกไก่ทอดเกลือให้ด้วย ฆาบี้จะได้กินได้"

เจพูดกับเพื่อนต่ออีกสองสามประโยคแล้วจึงวางสาย



"เจจ๊ะ เดี๋ยวจะไปกินอะไรกัน ทำไมต้องสั่งอาหารให้ฉันเป็นพิเศษด้วย?"

คนตัวโตถาม เจคุยกับเพื่อนๆ ของเขาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้คนรักได้เข้าใจ ส่วนสองคนนั้นก็ไม่ขัดที่จะใช้ภาษาอังกฤษกับเพื่อนเพราะต้องการปัดฝุ่นทักษะด้านภาษาของตน

"ที่ผมจะพาคุณไปมันเป็นร้านลาบครับ แบบบ้านๆ พอสมควร ไอ้สองคนนั่นมันอยากกิน ตอนแรกมันบอกว่าเราไม่ต้องมาก็ได้ แต่พวกผมก็อยากเจอมันไง คุณเข้าใจใช่มะ?"

เจหันมายิ้มให้คนรัก ฆาเบียร์ทำตาเป็นประกาย

"จ้ะ ฉันก็อยากเจอทั้งสองคนเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะกินอะไรไม่ได้นะเจ กลางวันเรากินนั่นนี่มากันเยอะ ฉันยังไม่หิวเท่าไหร่หรอก"

"ก็อย่างน้อยมีไข่เจียว คุณคงพอกินได้เนาะ เดี๋ยวค่อยไปดูเมนูกันอีกทีครับ...อ๊ะ เพลงนี้เพราะ ผมชอบ"

เจกดเร่งเสียงเพลงที่เปิดไว้แผ่วๆ ให้ดังขึ้น



"เพลงนี้คุณเอาใส่ไว้ใช่ไหมครับ? เพราะจัง"

"จ้ะ เพลง Prometo ของ Pablo Alboran นักร้องสเปน เพิ่งออกอัลบั้มใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว"

ฆาเบียร์เงี่ยหูฟังเพลงที่เขาชอบทันทีได้ยินเพลงนี้ เขาและเจแชร์แอคเคาท์แอพฟังเพลงกัน เดิมทีเขาใช้แอพอย่าง apple music แต่คนรักของเขานั้นใช้แอพที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนักอย่าง deezer เจสมัครแบบที่สามารถสร้างโพรไฟล์คนฟังได้ถึง 6 โพรไฟล์ โดยพวกเขาทั้งคู่มีเพลย์ลิสต์เพลงโปรดของตัวเองไว้ฟังต่างหาก แล้วก็มีเพลย์ลิสต์กลางซึ่งพวกเขาเอาเพลงที่ตัวเองชอบและคิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะชอบด้วยมาใส่ไว้เพื่อที่จะเอาไว้ฟังด้วยกันอย่างเช่นตอนที่กำลังนั่งรถด้วยกันนี้ และในระหว่างที่อยู่ไกลกัน บางครั้งพวกเขาก็เอาเพลย์ลิสต์ของอีกฝ่ายมาฟังเพื่อให้คลายความคิดถึงกันอีกด้วย



"Prometo que no pasarán los años,

arrancaré del calendario las despedidas grises,

los días más felices no han llegado.

Te prometo olvidar mis cicatrices

y devolver lo que he robado

a tus dos ojos tristes.

Te prometo que nos mudaremos pronto

del fracaso y desconcierto,

a la calle del silencio,

te prometo que vamos a volvernos eternos."



ฉันสัญญาว่าเดือนปีเหล่านั้นจะไม่ผ่านเลยไป

ฉันจะฉีกเอาการบอกลาอันแสนหมองหม่นพวกนั้นออกไปจากปฏิทิน

วันเวลาอันแสนสุขกว่านั้นยังมาไม่ถึงหรอก

ฉันสัญญาว่าจะลืมรอยแผลของฉัน

และส่งคืนสิ่งที่ฉันได้ขโมยไป

จากดวงตาแสนเศร้าของเธอ

ฉันสัญญาว่าอีกไม่นาน

เราจะย้ายจากความล้มเหลวและความสับสน

ไปสู่ถนนอันเงียบงัน

ฉันสัญญากับเธอว่าเรานั้นจะเป็นนิรันดร์..."



Prometo – Pablo Alboran (เวอร์ชั่นเปียโนและเครื่องสาย)
https://www.youtube.com/watch?v=hXA3NaNO26c



ฆาเบียร์ฮัมเพลงตามเสียงสดใสจากในลำโพงและแปลเนื้อให้คนรักฟังบางส่วน เจฮัมทำนองตาม เขาฟังมันบ่อยจนจำทำนองอันติดหูของเพลงนี้ได้

"คนนี้เขาดังพอสมควรเลยนะที่สเปนแล้วก็ขายได้ดีในแถบละตินอเมริกาด้วย อีกเพลงที่ฉันชอบก็จากอัลบั้มปี 2013 เจน่าจะเคยได้ผ่านหูแล้วเพราะฉันเอาใส่ไว้ในลิสต์ด้วย"

คนตัวโตหมุนปุ่มควบคุมตรงคานกั้นกลางระหว่างคนขับและคนนั่งเพื่อเลือกเพลง เขาเปิดเพลงที่ชื่อ El Beso หรือ The Kiss ให้เจฟังอีก



"อ๊ะ เพลงนี้ผมชอบ ฟังแล้วอยากเต้นรำเลย ทำนองมันออกไปทางนั้น แล้วพวกนักร้องสเปนหลายคนนี่เขาร้องเอื้อนเสียงเนาะ อย่าง David Bisbal ก็อีกคน"

เจพูดถึงนักร้องชื่อก้องของสเปนซึ่งโด่งดังมาจากเวทีประกวด เพลงของเขาอย่าง Digale ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดของเจที่มาจากเพลย์ลิสต์ของฆาเบียร์

"ฉันคิดว่าเสียงเอื้อนพวกนี้คงมีพื้นฐานมาจากการร้องเพลงที่ใช้ประกอบการเต้นฟลาเมงโก้จ้ะ เพลงพื้นบ้านแนวนี้ของสเปนจะเน้นการร้องเอื้อนเพื่อแสดงอารมณ์ เจอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว"

เจนยุทธพยักหน้ารับคำ

"น่าจะเป็นแบบนั้นครับ ผมว่ามันแปลกดี ทำให้เพลงของพวกนักร้องสเปนหลายๆ คนมันต่างออกไปจากนักร้องชาติอื่นๆ ถ้าจะมีคล้ายๆ กันก็พวกนักร้องละตินเนาะ ซึ่งก็น่าจะมีพื้นฐานมาจากแบบเดียวกัน"


El Beso – Pablo Alboran

https://www.youtube.com/watch?v=8P6Afvo37ns



พวกเขาทั้งสองฟังเพลงไปและพูดคุยกันเรื่องเพลงเหล่านั้นจนกระทั่งเจขับมาถึงแยกหนองหอย เขาเลี้ยวออกจากถนนมหิดลที่สี่แยกใหญ่และหักเลี้ยวซ้ายอีกครั้งแทบจะทันทีที่เห็นป้ายชื่อร้าน "ร้านป้าแก้ว หลู้ ลาบ" ที่หน้าซอยน้อยๆ

"ร้านนี้เหรอ?"

ฆาเบียร์เปิดประตูลงจากรถ เจจอดรถในลานดินขนาดใหญ่พอสมควร ในนั้นมีรถจอดอยู่เต็มแสดงถึงความเป็นที่นิยมของร้านนี้

"ครับ กินไหวไหมคุณ?"

เจถามคนรัก ร้านนี้ไม่ได้เป็นร้านหรูหราอะไร มันเป็นร้านลาบแบบเพิงทั่วไป เพียงแต่พื้นที่อาจจะใหญ่กว่าร้านอื่นบ้าง ในร้านมีโต๊ะเก้าอี้ไม้เรียงรายกันอยู่เกือบยี่สิบโต๊ะ เจพาคนรักเดินบนสะพานน้อยๆ ซึ่งข้ามทางน้ำแคบๆ เข้าสู่ตัวร้าน

"ไง มึง กินหมดไปกี่อย่างแล้ว?"

 เจทักเพื่อนทั้งสองที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ ซันซันซึ่งกำลังจกลาบใส่ปากยกมือทักทายโดยไม่หันหน้ามามอง ปรินซ์ขยับย้ายที่เพื่อที่เตรียมที่ให้เจและฆาเบียร์



"ขยับไปหน่อยสิ ไอ้อ้วน นั่งกินที่เชียววะ"

ปรินซ์ลงนั่งเคียงข้างเพื่อนของเขาพลางใช้สะโพกเบียดสะโพกหนาของซันซันซึ่งนั่งอยู่กลางม้านั่งยาว

"ไม่ มึงพูดไม่เพราะ กูไม่ย้ายให้"

หนุ่มตี๋อ้วนหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนรัก

"ซันซันครับ ขยับหน่อยนะครับ ขอกูนั่งข้างๆ มึงหน่อยได้ไหมครับ เพื่อนรัก?"

ปรินซ์พูดเสียงหวานหยดพร้อมกับเอนกายซบไหล่ของซันซันอย่างลืมตัว หนุ่มลูกร้านเพชรหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำห้อยท้ายพร้อมกับรีบขยับขยายที่ทางให้เพื่อนตัวล่ำของเขาได้นั่งสบายๆ ทันทีพร้อมกับบ่นดังๆ

"ไม่ต้องมาเบียดกู ร้อน!"


เจซ่อนยิ้มเมื่อเห็นทีท่าของคนทั้งสอง ส่วนฆาเบียร์ก็หันมาแอบสบตากับคนรัก ถึงเขาจะฟังสิ่งที่ทั้งสองพูดไม่ออก แต่ดูท่าทางแล้วมัน "มี" อะไรในกอไผ่เต็มๆ อย่างที่เจว่าจริงๆ เขายังได้ยินคำคุ้นหูอย่างคำว่า "รัก" ตรงท้ายประโยค แม้จะไม่แน่ใจว่าคำข้างหน้าจะแปลว่าอะไร แต่ดูจากหน้าแดงๆ ของซันซันแล้ว สิ่งที่ปรินซ์พูดคงทำให้เพื่อนหนุ่มเขินอายไม่น้อย



"อะไรๆ กูไม่เจอพวกมึงวันเดียว เรียกกันที่รักแล้วเหรอวะ?"

"ไอ้เจ ไอ้หูตึง กูบอกว่าเพื่อนรักโว้ย ไม่ใช่ที่รัก!"


ปรินซ์ว๊ากออกมาเบาๆ พร้อมกับแอบเหลือบมองเพื่อนหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ซันซันทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้และจิ้มของที่อยู่บนโต๊ะกินอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งสองก็หันมายิ้มให้กันเมื่อเห็นว่าหนุ่มตี๋อ้วนนั้นหน้าแดงไปถึงใบหูแล้ว

"เออๆ เพื่อนรักก็เพื่อนรัก วู้ แค่นี้เองต้องด่ากูด้วย ขี้ใจน้อยจริง มะ ไหน กูขอดูหน่อยว่ามึงสั่งอะไรไปแล้วมั่ง"

คนขี้แกล้งอย่างเจนยุทธหัวเราะเบาๆ เขากวาดตาดูอาหารบนโต๊ะ ฆาเบียร์มองตามแล้วก็ต้องทำตาปริบๆ เขาเห็นอาหารที่รู้จักอย่างลาบคั่ว ไข่เจียว และปีกไก่ทอดที่เจสั่งไว้ให้เขา แต่อย่างอื่นนั้นเขาไม่คุ้นตานัก มีของย่างที่หน้าตาดูเป็นเครื่องในอยู่สองจาน มีตับและหมูคลุกน้ำปรุงรสอย่างละจาน และอาหารประเภทต้มที่ใส่แค่ตีนไก่



“กินอะไรได้มั่งครับ?”

เจมองตามสายตาคนรักและเริ่มอธิบายอาหารให้ฆาเบียร์ฟัง

“นี่หมูมะนาวครับ คุณน่าจะกินได้ เป็นหมูคลุกน้ำยำ เปรี้ยวเผ็ดนำ กินกับคะน้าดิบ ลองชิมดูครับ”

เจตักหมูมะนาวใส่จานให้ฆาเบียร์และบรรยายอาหารอื่นต่อซึ่งมีทั้งตับหวาน ต้มซุเปอร์ตีนไก่ และไส้-ลิ้นย่าง เขาหยิบทุกอย่างมาวางตรงหน้าคนรักเพื่อให้ชิมจนซันซันกระแอมออกมาดังๆ

“อะแฮ่มๆ ไอ้เจ แหม เอาใจแต่ผัวนะมึง ให้พวกกูได้แดกบ้างอะไรบ้าง”

ซันซันบ่นพร้อมเอื้อมมือไปหยิบจานตับหวานของโปรดคืนมา เจทำหน้าบูดและกำลังจะอ้าปากเถียง แต่ก็ถูกคนตัวโตจิ้มชิ้นหมูมะนาวใส่ปากให้ก่อนที่เจจะหลุดปากเรียกเขาว่าเมียออกมาอีก

“คืนนี้ฉันไม่ปล่อยให้นายเรียกแบบนั้นตามอำเภอใจอีกแน่นอนนะ เจนยุทธ”

คนตัวโตกระซิบเบาๆ พร้อมใช้นิ้วไล้วนเบาๆ ที่เข่าของคนรักที่โผล่พ้นยีนส์ขาสั้นออกมา เจแอบกลืนน้ำลายลงคอ สายตาที่ส่อแววยั่วเย้าของคนรักที่จ้องมองมาทำให้เขาหน้าร้อนผ่าว



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- I 'Larb' You (ต่อ) ----




“นี่ คุณ ชิมนี่ก่อน เดี๋ยวจะให้ทายว่าคืออะไร”

เจหันไปจิ้มเนื้อสัตว์ย่างที่อยู่ในจานใส่ปากคนรัก ฆาเบียร์กลั้นใจเคี้ยวด้วยไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ก็ต้องทำตาโตเมื่อรับรู้ถึงความอร่อยของมัน

“โอ้ ใช้ได้เลยนี่ เจ มันคืออะไรน่ะ? น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของหมูใช่ไหม? แต่สัมผัสมันหยุ่นๆ แปลกดีนะ มัน แต่ก็ไม่ถึงขนาดมันที่แทรกในสามชั้น แปลกแต่ก็อร่อย”

“มันคือ ‘แป้งนม’ ครับ เป็นส่วน…”

“จิ๊นส้มหมกเจ้า…อ้าว สวัสดีเจ้าอ้าย บ่ได้มาเมินเลยน่อ”

เจหน้าเจื่อนเมื่อหันไปเจอ “แป้งนม” ที่พุ่งตระหง่านใต้เสื้อรัดๆ ของสาวเสิร์ฟหน้าตาจิ้มลิ้มที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เขาหันไปทักทายสาวเสิร์ฟคนนั้นสองสามคำก่อนที่เธอจะถูกเรียกไปที่โต๊ะอื่น ฆาเบียร์มองตามสาวเสิร์ฟคนนั้นไปอย่างงงๆ เมื่อเขาเห็นเธอเดินเจ๊าะแจ๊ะตามโต๊ะต่างๆ พูดคุยบ้าง ชงเหล้าบ้าง คนตัวโตซึ่งเริ่มชินกับการเห็นสาวเชียร์เบียร์ตามสถานบันเทิงก็จึงเข้าใจได้ว่าสาวเสิร์ฟในชุดกางเกงสั้นบ้าง เสื้อรัดรูป เอวลอยบ้างนั้นก็คงทำหน้าที่เอนเตอร์เทนลูกค้าหลักของร้านซึ่งก็คือผู้ชายที่มากินลาบแกล้มเหล้า แต่เขาแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเจนยุทธถึงต้องมีท่าทีอึดอัดด้วย







“เจ นี่นายยุ่งกับเด็กเสิร์ฟด้วยเหรอ?”

คนตัวโตหันใปถามคนรักด้วยใบหน้าขึงขัง

“เฮ้ย! ไม่ใช่เว้ย!..."

เจเผลอว๊ากลั่นออกมา แล้วรีบลดเสียงลงเมื่อโต๊ะข้างๆ หันมามอง

"ผม เอ่อ ผมก็แค่เคยทักทายกับน้องเขาบ่อยๆ เขาเลยจำได้ มีคุยเล่นบ้างแต่ไม่ได้ทำแล้ว คุณอย่าโกรธผมนะ"

คนตัวเล็กทำหน้าจ๋อย เขาเกรงใจและกลัวว่าเมียตัวโตของเขาจะนึกน้อยใจขึ้นมาอีก

"ป๋าครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ ไอ้เจมันดีแต่เห่า มันพูดจาหมาหยอกไก่แทะโลมน้องเขาไปวันๆ แค่นั้นครับ..."

ซันซันพูดกลั้วหัวเราะ เจหันไปทำตาขวางใส่เพื่อน เขาพยายามไม่พูดว่าตัวเองชอบมาขายขนมจีบหยอกๆ หยอดๆ สาวๆ แถวนี้เล่นบ่อยๆ แต่ไอ้เพื่อนหนุ่มลูกร้านเพชรก็ดันพูดออกมาแบบนี้



"ชิชะ มึงก็กล้าพูดนะ ซันซัน คนที่จะกินลาบเมื่อไหร่ก็ร้องจะมาร้านนี้ทุกทีก็มึงไม่ใช่เรอะ? แถมให้ทิปมือน้องเขาทีไรก็ลูบมือน้องเขา ลูบแล้วลูบอีก ใช่ไหมปรินซ์?"

เจหันขวับไปถามเพื่อนหนุ่มตัวล่ำทันที ปรินซ์โคลงหัวแล้วก็ตอบกลับมา

"มึงร้อนตัวไปเองแล้วก็อย่าไปพาลไอ้ซันมันสิวะ มันก็ทำรุ่มร่ามนิดๆ หน่อยๆ ตามประสาผู้ชาย ทำยังกะมึงไม่เคยทำ ปล่อยมันไปเถอะ"

เจอ้าปากค้าง ฆาเบียร์หัวเราะออกมาเมื่อเห็นทีท่าของทั้งสามคน เขายกแขนขึ้นโอบไหล่เจและตบเบาๆ

"น่าๆ ไม่ต้องคิดมากหรอก เจเป็นผู้ชายก็ต้องชอบดูอะไรสวยๆ งามๆ ฉันเข้าใจดี แค่อย่าให้มันเกินเลยจากการมองดูเป็นใช้ได้..."

คนตัวโตลูบหัวคนรักที่ยังมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เมื่อเริ่มคบกันใหม่ๆ เขาเคยคิดมากเมื่อเห็นเจเผลอมองสาวๆ หน้าตาจิ้มลิ้มหรือมีสัดส่วนเตะตาในที่เที่ยวกลางคืน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเขามั่นใจในความสัมพันธ์ของพวกเขามากขึ้น สิ่งนี้ก็ไม่ได้มารบกวนใจเขาอีก กลับเป็นเจ้าตัวเล็กเสียอีกที่ดูจะเกรงใจเขามากยามที่ตัวเองเผลอตัวไป คนตัวโตหันไปยิ้มให้เจที่ยังทำหน้าจ๋อยอยู่และเหลือบมองสองหนุ่มเพื่อนรักของเจนยุทธแล้วพูดต่อ

"...แล้วไม่ต้องไปพาลซันซันเขา ไม่ต้องไปว่าเรื่องทิปมืออะไรนั่นหรอก ขนาดปรินซ์เองเขายังไม่ว่าเลย พวกเราก็ว่าอะไรเขาไม่ได้หรอก"

เจหัวเราะคิกออกมาเมื่อได้ยินประโยคจบท้ายของฆาเบียร์

“นั่นสิครับ ปรินซ์มันยังไม่กล้าว่าเลยเนอะ”

เจหันไปพยักเพยิดกับเพื่อนตัวล่ำ ทีนี้สองหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เป็นฝ่ายหน้าแดงก่ำขึ้นมาบ้าง



"เอ้าๆ เลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ เจยังไม่ได้บอกฉันเลยนะ ว่าไอ้เจ้า Pangnom นี่คืออะไร?"

ฆาเบียร์เปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเห็นว่าพวกเขาได้หยอกล้อกับสองหนุ่มนั้นพอแล้ว

"มันคือเนื้อส่วนท้องของแม่หมูครับ ต้องเป็นหมูที่มีลูกแล้วเท่านั้นนะ"

"เอิ่ม เจ งั้นหมายความว่ามันคือ..."

"ครับ ถูกต้อง มันคือเต้านมของหมูนั่นเอง"

ฆาเบียร์ทำหน้าแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบ้าง แต่ในที่สุดเขาก็จิ้มมันกินอีกชิ้นหนึ่งจนได้ เจยิ้มมองดูคนรักที่ดูท่าทางจะเจริญอาหารอีกครั้ง ต่อให้เขาบอกว่าฆาเบียร์คงกินหลายๆ อย่างไม่ได้ แต่คนตัวโตก็พร้อมจะลองชิมดู ฆาบี้ตักน้ำซุปของต้มซุเปอร์มาซดแล้วก็ต้องถูกใจกับน้ำซุปรสเปรี้ยวเผ็ดหวานที่เจือรสพะโล้จางๆ นั้น แต่เขาก็เลี่ยงไม่กินตีนไก่ในนั้น ส่วนอีกสองอย่างที่เขาไม่แตะคือตับหวานซึ่งเจบอกว่าตับร้านนี้จะลวกมาแบบมีเดียมแรร์ และไส้ย่างซึ่งเขาไม่ชอบนัก



"ชอบเหรอครับ?"

เจถามคนรักที่ตักแหนมหมกกินอีกคำใหญ่

"จ้ะ นี่คือแหนมแบบที่แม่เอามาผัดไข่เมื่อตอนกลางวันใช่ไหม? "

"ครับ นี่คือแหนมหมก เขาใช้แหนมห่อใบตองแล้วเอาลงไปหมกในขี้เถ้าร้อนๆ จนสุก ถ้าชอบเอาอีกจานไหมคุณ?"

เจเรียกพนักงานมาสั่งแหนมหมกอีกจานโดยไม่รอคำตอบ เขายังสั่งแป้งนมย่างที่คนตัวโตกินไปเกือบเกลี้ยงมาอีกจานด้วย เขาเรียกขอเมนูเพื่อสั่งอาหารเพิ่ม

"เอ่อ ฉันว่านี่ก็เยอะแล้วนะ จะสั่งอีกเหรอ?"

"โอ๊ย ไม่เยอะหรอกครับ ดูไอ้ซันสิ ท่าทางมันยังไม่อิ่มหรอก ซันกูจะสั่งลาบดิบ กินด้วยกันไหม?"

เจถามเพื่อนซึ่งทำมือบอกมาว่าโอเค

"พวกของย่างมึงไม่ต้องเอามาแล้วนะเจ วันนี้ไส้กับลิ้นแข็งโคตร"

หนุ่มตี๋ล่ำลูกร้านทองบ่น เขามีปัญหาประเภทย่างรวมของร้านนี้บ่อยครั้ง หลายครั้งที่สั่งมาแล้วมักจะเหนียวจนกินไม่หมด เจพยักหน้ารับคำ เขาสั่งอาหารเพิ่มอีกหลายอย่างคือลาบดิบ ต้มแซ่บซี่โครงหมู ก้อยเนื้อและส้มตำ สามอย่างหลังนั้นเขามองว่าคนตัวโตน่าจะพอกินได้บ้าง







"เจจ๊ะ อาหารร้านนี้รสต่างจากอาหารเหนือที่แม่ทำนะ"

ฆาเบียร์ถามขึ้นเมื่อลองชิมก้อยเนื้อและต้มแซ่บ รสชาติอาหารที่เจสั่งมาหลายๆ อย่างออกไปในทางเปรี้ยวเผ็ด ซึ่งต่างจากอาหารเหนือที่เน้นเผ็ดเค็ม หรือถ้าเปรี้ยวก็จะไม่จัดจ้านมาก

"เอ่อ อาหารร้านนี้มันก็ไม่เชิงเป็นอาหารเหนือทุกอย่างหรอกครับป๋า..."

ซันซันเป็นผู้อธิบายข้อนี้ให้ฆาเบียร์ฟังแทน เขาบอกว่าสำหรับคนเหนือแล้ว ร้านลาบก็เป็นเหมือนร้านกินดื่มที่เหล่าพ่อบ้านมาสังสรรค์ดื่มเหล้ากัน อาหารที่ขายในร้านลาบจึงเน้นเป็นพวกของที่กินเป็นกับแกล้มเสียส่วนมาก จึงได้รวมเอาอาหารอีสานที่มีรสชาติเปรี้ยวนำอย่างพวกลาบ ก้อย ต้มแซ่บ และส้มตำเข้าไปในเมนูด้วยด้วย

"แล้วก็ยังมีพวกยำด้วยนะครับ นั่นก็เป็นอาหารแกล้มเหล้าของคนไทย"

เจพูดยิ้มๆ เขาจัดการเทเหล้าแบล็คเลเบิลที่วางอยู่บนชั้นข้างโต๊ะลงในแก้ว แต่ก่อนจะทันเทโซดา สาวเสิร์ฟที่เดินผ่านมาก็รีบเข้ามาช่วยรับแก้วจากเจไปเทโซดาและส่งคืนให้ เธอเอื้อมมือมาเพื่อหยิบแก้วของซันซันที่ว่างเปล่าแล้วเช่นกันแต่หนุ่มตี๋อ้วนรีบยกมือห้ามไว้

"เดี๋ยวพี่ชงเองก็ได้ ไม่เป็นไรจ้ะ"

ซันซันปฏิเสธไป สาวเสิร์ฟรับคำแล้วก็เดินต่อไปยังโต๊ะอื่น



"จ้องอะไรกูวะ?!"

หนุ่มตี๋อ้วนแว๊ดเบาๆ เมื่อเห็นสายตาแฝงรอยยิ้มของเพื่อนหนุ่ม เจพยายามซ่อนยิ้ม วันนี้ซันซันไม่แม้กระทั่งจะเหลือบมองสาวๆ นุ่งสั้นหรือใส่เสื้อรัดๆ แบบที่เขาเคยชอบเลย

"เปล๊า ไม่มีอะไร ฆาบี้ครับ เอาเหล้าหน่อยไหม เดี๋ยวผมชงให้"

"ก็ได้จ้ะ"

คนตัวโตพยักหน้าแล้วส่งแก้วให้ เจหันไปชงเหล้าให้คนรักแก้วหนึ่ง

"เหล้าที่เจชงอร่อยจริงๆ ยิ่งกินกับ Larb ยิ่งอร่อย"

ฆาเบียร์ชมขึ้นและหันไปยิ้มให้กับคนรัก เจส่งยิ้มกลับไปพร้อมคิดในใจว่าคนตัวโตช่างรับมุกเขาดีจริงๆ เขาตั้งใจอ้อนคนรักเพราะอยากเห็นอะไรบางอย่าง

"กินลาบแล้วฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ฉันอยากพูดแบบนี้กับเจมาตั้งนานแล้ว..."

คนตัวโตที่เพิ่งตักลาบคั่วเข้าปากพูดขึ้น

"พูดอะไรเหรอครับ ฆาบี้?"

"I larb you"

คนตัวโตส่งสายตาหวานเยิ้มให้กับคนรักของเขา เจแทบสำลักเหล้าเมื่อคนรักยกเอาประโยคจากหนังเรื่อง Spider-man Homecoming ที่ทำให้ลาบแบบอีสานของไทยโด่งดังไปทั่วโลกมาพูดกับเขาหน้าตาเฉย

"คุณนี่มันสมกับเป็น geek เก่าจริงๆ"

เจโคลงหัว คนรักของเขานั้นแม้ตอนนี้จะมีภาพลักษณ์เป็นผู้บริหารใหญ่ แต่ใครจะรู้ว่าอดีตหนุ่มไอทีคนนี้มีโทนี่ สตาร์คหรือ Iron Man แห่งจักรวาล Marvel เป็นไอดอล เขาเคยเล่าให้เจฟังว่าที่บ้านของเขามีการ์ตูน Iron Man เล่มแรกสภาพเยี่ยมเข้ากรอบไว้ด้วยซึ่งเขาเสียเงินไปนับหมื่นเหรียญกว่าจะได้มันมาครอง มันเป็นของราคาแพงชิ้นแรกๆ ที่เขาซื้อให้กับตัวเองหลังจากเริ่มเข้าทำงานแล้ว เขายังสั่งซื้อรถ Audi R8 Spyder ทันทีที่เห็นมันในหนังเรื่อง Iron Man ภาค 2 และเขายังตามดูหนังของมาร์เวลทุกเรื่องที่ออกมาถ้ามีโอกาส

"แล้วเจล่ะ larb ฉันหรือเปล่า?"

คนตัวโตอ้อนคนรักของเขา เจหน้าแดงซ่านและเลื่อนจานลาบตรงหน้าส่งให้ฆาเบียร์แทนคำตอบ



"โอ๊ย เลี่ยนว่ะ นี่ซัน ชงเหล้าให้กูแก้วสิ กูจะได้ดื่มตัดเลี่ยน"


ปรินซ์ส่งแก้วของเขาที่ยังไม่หมดดีให้ซันซัน เขาชักหมั่นไส้คู่รักเลิฟๆ คู่นี้แล้ว

"อะไรของมึง ของเก่ายังไม่หมดเลยนี่"

หนุ่มตี๋อ้วนถาม ปรินซ์รีบยกดื่มจนหมดแล้วส่งให้อีกครั้ง ซันซันเกาหัว

"มึงก็ชงเองสิวะ นั่งอยู่ใกล้กว่าไม่ใช่เหรอ?"

"เอ้า นี่ กูยกมาให้แล้ว"

ปรินซ์จัดแจงยกถังน้ำแข็ง เหล้าโซดามาวางไว้เพื่อนของเขาเสร็จสรรพ ซันซันโคลงหัวและจัดการชงเหล้าให้เพื่อนหนุ่มตัวล่ำของเขา ปรินซ์รับแก้วมายกขึ้นดื่มและหันไปยิ้มให้คนชง

"เหล้าที่มึงชงก็อร่อยสุดๆ เหมือนกันนะ ซันซัน"

เขาพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เข้าใจกันทั้งโต๊ะ หนุ่มลูกร้านเพชรหน้าแดงซ่านถึงใบหูอีกครั้งเมื่อเห็นคู่รักที่นั่งตรงข้ามพากันซุบซิบและหัวร่อต่อกระซิกกันทันทีที่ได้ยินเพื่อนของเขาพูดแบบนั้น

"เฮ้ยๆๆ อย่ามัวแต่เม้า กินโว้ยกิน แมงวันตอมจนจะไข่ได้แล้ว"

ซันซันว๊ากขึ้นมาพร้อมกับยกมือปัดๆ แมลงที่ไม่ได้มีอยู่จริง เจหัวเราะเบาๆ เขาจิ้มแป้งนมย่างอีกชิ้นและส่งเข้าปากคนรักที่อ้ารออยู่ หนุ่มลูกร้านเพชรถลึงตาใส่เพื่อนรักที่ทำท่าอยากให้เขาป้อนบ้าง ปรินซ์ทำหน้าเจื่อนๆ แล้วตักอาหารใส่จานเพื่อนแทนเพื่อเอาใจ



พวกเขาทั้งสี่คนกินไปคุยเรื่องสัพเพเหระกันไป ปรินซ์และซันซันก็ถือโอกาสซักถามฆาเบียร์เรื่องการลงทุน รวมถึงแนวโน้มและปัจจัยของตลาดนอกที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นของไทย ฆาเบียร์เองก็ตอบคำถามของทั้งสองเท่าที่ตอบได้โดยไม่เกี่ยงงอน เจนั่งฟังไปยิ้มไปเมื่อเห็นคนรักสามารถเข้ากับเพื่อนของเขาได้เป็นอย่างดี

"เจจ๊ะ เดี๋ยวฉันขอเป็นคนจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ได้ไหม?"

คนตัวโตกระซิบถามคนรัก เจหันไปถามเพื่อนทั้งสอง แต่ทั้งคู่ก็ปฏิเสธเสียงแข็งกลับมา

"งั้นพวกกูขอออกค่าน้ำกับมิกเซอร์แล้วกันนะ พวกมึงหอบเหล้ามาแล้ว เออ ค่าไข่เจียวกับไก่ทอดของฆาบี้ด้วย"

เจตัดบท เขาหยิบบิลมาดูแล้วควักเงินจ่ายไป จากนั้นก็จึงหารและมาเก็บเงินเพื่อนๆ และฆาเบียร์ซึ่งรีบควักจ่ายให้ทันทีก่อนที่เจจะเปลี่ยนใจมาจ่ายให้เขา



"เจจ๊ะ หารกันคนละสองร้อยกว่านี่ นายคิดถูกแน่แล้วเหรอ?

ฆาเบียร์ถามเจเมื่อพวกเขากลับขึ้นมานั่งบนรถแล้ว

"ถูกแล้วครับ บิลมันประมาณพันนึง นี่รวมทิปแล้วนะ"

"อาหารเยอะขนาดนี้เนี่ยนะ?"

เจนยุทธพยักหน้า ร้านลาบมักเป็นที่พบปะของเขาและเพื่อนในช่วงที่อยากกินอาหารราคาย่อมเยา

"ร้านอื่นๆ ก็ราคาประมาณนี้แหละครับ ตอนเรียนอยู่ ช่วงไหนบ่จี๊ก็นัดกินเหล้ากันร้านลาบนี่แหละ มิกเซอร์ไม่แพง กับแกล้มถูก แค่ไม่มีแอร์กับนั่งไม่สบายเท่านั้นเอง"

เจพูดพลางสตาร์ทรถและขับออกจากร้านลาบกลับไปยังที่พัก



"คุณครับ ไหวไหม? ไปโรงพยาบาลไหม?"

เจตบประตูห้องน้ำเพื่อถามอาการของคนรัก หลังกินข้าวเสร็จและกลับมาห้องได้พักหนึ่ง ฆาเบียร์ก็ต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันทีและเข้าต่อเนื่องอีกสองสามครั้ง

"ไม่เป็นไรจ้ะ ยังไหวอยู่"

ไม่นานนัก คนตัวโตก็เดินกะปลกกะเปลี้ยออกมานอนแผ่อยู่บนเตียง เจตามมานั่งข้างๆ พร้อมกับแก้วน้ำผสมผงเกลือแร่ ORS ฆาเบียร์ยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงและดื่มน้ำที่คนรักส่งให้ เจถามย้ำอีกครั้งว่าฆาเบียร์จะไปหาหมอไหม

"ไม่ต้องก็ได้จ้ะ มันไม่ได้ท้องเสียร้ายแรงขนาดนั้น ไม่ได้อ้วกหรือดูจะมีการติดเชื้ออะไร น่าจะแค่กินของผิดสำแดงเข้าไปเท่านั้น ปล่อยร่างกายขับมันออกให้หมดก็พอแล้ว นี่ก็น่าจะหมดแล้ว"

"เนี่ยน้า ผมบอกแล้วว่าคุณไม่ต้องลองชิมลาบดิบของผมก็ได้ แต่คุณก็ดื้อจะชิม"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วบ่นคนรักของเขา ฆาเบียร์เคยพูดไว้ว่าจะไม่กินลาบดิบเป็นอันขาดเพราะมันผสมเลือดสดๆ แต่ลาบดิบของร้านลาบป้าแก้วนั้นดูไม่ได้โชกเลือดเหมือนที่เขาเคยเห็น คนตัวโตเลยอยากลองชิมดูสักนิดให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร



"ฉันกินแค่นิดเดียวเองนะ ไม่น่าจะมีผลขนาดนี้เลย"

ฆาเบียร์บ่นกระปอดกระแปดและกลับลงไปนอนต่ออย่างหมดเรี่ยวแรง เจหัวเราะคิก

"เจอฤทธิ์ลาบแบบนี้ คุณยังจะ larb ผมไหวอีกเหรอครับ? หมดแรงแบบนี้ สงสัยคืนนี้คุณจะอดซะละมั้ง?"

คนตัวเล็กลงนอนกอดหมอนข้างใบโตของเขาและใช้นิ้วเขี่ยไรขนบนอกคนตัวโตเล่นเบาๆ

"Larb ไหวอยู่จ้ะ ไม่ต้องคิดเบี้ยวฉันเลยนะ เจนยุทธ ฉันแค่ขอนอนพักซักงีบให้พอมีแรงแล้วจะตื่นมาจัดการนายให้หัวเราะไม่ออกเลยแล้วกัน! "

คนตัวโตก้มลงงับแก้มเต่งของเจเบาๆ เจย่นจมูกให้คนรัก

"นอนไปเถอะครับฆาบี้ ดีเลย ผมจะได้อ่านเพชรพระอุมาให้จบ"

เจยกหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่ให้ฆาบี้ดู คนตัวโตโคลงหัว เจเอาหนังสือนิยายชุดนี้ซึ่งเจบอกว่าเป็นนิยายเดินป่าและผจญภัยเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยมากองไว้เต็มข้างเตียง คนตัวเล็กอ่านมันมาหลายวันแล้ว

"แบบนั้นก็ได้ ถ้านายอ่านจบเล่ม ไม่ก็อ่านพอแล้วก็ปลุกฉันหน่อยนะ อย่าลืมล่ะ"

คนตัวโตสำทับ คืนนี้ยังไงๆ เขาก็จะไม่ปล่อยเจ้าตัวดีให้หลุดมือไปได้

"ค้าบๆ นอนไปเถอะคุณ"

เจพูดทั้งๆ ที่ตายังจ้องอยู่กับหนังสือ ฆาเบียร์ส่ายหน้าและยกมือขึ้นลูบหัวคนรักเบาๆ เจหันมายิ้มหวานและจุ๊บปลายคางคนรักเบาๆ ก่อนจะปล่อยให้คนตัวโตนอนพักผ่อนไป



"เจ เจจ๊ะ"

ฆาเบียร์ที่นอนหลับพักผ่อนจนเต็มอิ่มแล้วเขย่าปลุกเจนยุทธที่หลับไปทั้งๆ ที่หนังสือยังกางคว่ำอยู่บนอก แต่นอกจากจะไม่ตื่นแล้ว เจยังทำท่าปัดมือเขาอย่างรำคาญ ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ เขาหยิบหนังสือขึ้นมาและหาที่คั่นมาเสียบไว้ จากนั้นดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างพวกเขาทั้งสองและปล่อยเจให้หลับไปโดยไม่กวนอีก




-----------------------------------------------


ลากยาวเฟื้อยอีกแล้ว ให้อ่านยาวๆ ก่อนเพราะคนเขียนจะขอลาไปแอ่วกินปลาดิบวันที่ 29 ต.ค. - 6 พ.ย. ค่ะ ตอนแรกว่าจะจบช่วงที่ฆาเบียร์มาเชียงใหม่รอบนี้ให้ได้ก่อน แต่ก็จบไม่ทัน ก็ขอยกยอดไปไว้หลังกลับมาแล้วกันนะคะ จริงๆ อยากแต่งให้จบอีกสักตอน แต่ว่าจะเดินทางแล้วยังไม่ได้หาข้อมูลแล้วก็เตรียมกระเป๋าเลย หนาวไม่หนาวไงก็ยังไม่รู้เลย ฮ่าๆๆ จะได้เรื่องไหม? ถ้าเป็นไปได้ช่วงว่างๆ ตอนไปแอ่วก็อาจจะจิ้มๆ ไอแพดแต่งนิยายบ้าง แต่ไม่การันตีว่าจะมีตอนใหม่มาเสิร์ฟทันทีที่กลับมานะคะ อาจจะมาอีกทีเกือบกลางๆ เดือนหน้าเลย กระซิกๆ

ตอนจบของตอน คนอ่านอาจจะรู้สึกคุ้นๆ จำตอนพิเศษ "[SP] ฝันกลางฤดูร้อน" ได้หรือเปล่าคะ? ตอนพิเศษซึ่งเป็นเรื่องในความฝันของเจที่ว่าตัวเขาหลุดเข้าไปกลางป่าดงเหมือนกับในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่ เหตุการณ์ในตอน I 'Larb' You นี้คือเหตุการณ์ที่นำเข้าไปสู่ฝันนั้นค่ะ แล้วในตอนต่อไปจะเป็นเช้าที่ต่อจากตอน "[SP] ฝันกลางฤดูร้อน - Lost&Found" ค่ะ ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน ก็แวะไปอ่านเล่นได้นะคะ เป็นเหมือนอีกเรื่องหนึ่งที่ตัวละครเป็นอีกชุดหนึ่งไปเลยค่ะ

[SP] ฝันกลางฤดูร้อน Pt. 1

https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61240.msg3751468#msg3751468



ส่วนร้านอาหาร ในตอนนี้คนเขียนขอนำเสนอร้าน "ลาบป้าแก้ว" ร้านลาบมาตรฐานที่อยู่ใกล้เมือง จอดรถสบาย ที่นั่งไม่แย่เกิน เป็นอีกร้านหนึ่งที่กินบ่อย ลาบและอาหารร้านนี้ไม่ได้อร่อยที่สุด แต่ก็เรียกว่าใช้ได้ค่ะ ลาบร้านนี้ถือว่ารสอ่อนถ้าเทียบกับร้านอื่นๆ ถ้ารสจัดให้บอกเลยว่าเอาเผ็ดๆ นะคะ ที่ไม่ค่อยแนะนำให้สั่งก็คือพวกย่างรวม เพราะบางครั้งเขาย่างทิ้งไว้นานไปจนเหนียวแข็งไปค่ะ แต่แป้งนมถือว่าใช้ได้อยู่ ถึงจะยังสู้แป้งนมทอดของร้านลาบไก่สะเมิงไม่ได้ก็ตาม ข้อดีของร้านลาบพวกนี้คือราคาไม่แพงค่ะ กินจนอิ่มแน่นมากก็ยังราคาเบาๆ วันนั้นคนเขียนไปกันสองคนกับเพื่อนกินข้าวซึ่งพวกเรากินจุทั้งคู่ สั่งลิ้น-ไส้ย่าง แป้งนมย่าง ตับหวาน หมูมะนาว ลาบคั่ว ต้มซุเปอร์ แหนมหมก ข้าวสองกระติ๊บและน้ำ หมดไป 420 ค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นกินขนาดนี้ก็อาจจะกินกันสี่คน หารกันคนละร้อยนิดๆ ไรงิค่ะ

ร้านป้าแก้ว หลู้ ลาบ เป็นร้านที่หารีวิวอ่านยากค่ะ เอาที่เขาเขียนในวงในไปดูก่อนแล้วกันนะคะ http://bit.ly/2PQhe1y



ตบท้ายด้วยคลิปน่ารักๆ ค่ะ เจอตอน search หาเพลง El Beso


เต้นรำเพลง El Beso

https://www.youtube.com/watch?v=gqiv3X1MWFQ








CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - I 'Larb' You (23/10/61)
« ตอบ #409 เมื่อ: 23-10-2018 09:10:19 »





ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- วัดเกต ----




"เจ ทำอะไรน่ะ?"

ฆาเบียร์สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักต้วของคนรักที่ทาบกายลงบนกายตน อีกทั้งรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นๆ ที่ไล่ประทับทำรอยสีกุหลาบไว้ตรงนั้นตรงนี้

"ผมจะลักหลับคุณมั่งอ่ะ"

เจตอบอย่างเซ็งๆ เขาไม่นึกว่าคนตัวโตจะตื่นง่ายขนาดนี้

"อะไรกัน เจนยุทธ นี่ยังงอนฉันไม่หายอีกเหรอ?"

คนตัวโตหัวเราะพลางใช้สองแขนโอบรัดร่างที่ขึ้นมานอนพังพาบบนร่างเขาจนคนตัวเล็กกระดิกไปไหนไม่ได้

"...ฉันก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ลักหลับ เจชวนฉันทำแล้วจำไม่ได้เองต่างหาก"

เจนยุทธทำหน้าง้ำ เมื่อคืนเขาสะดุ้งตื่นมาโดยพบว่าตัวเองนอนซบอยู่บนร่างของคนตัวโตโดยยังมีบางส่วนของฆาเบียร์คาอยู่ในตัว แถมยังมีร่องรอยว่าพวกเขาเพิ่งจะมีเซ็กส์กันมา แต่ตัวเขากลับจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว หากเมียตัวโตยืนยันว่าเจเป็นฝ่ายเริ่มก่อน



"ผมไม่เห็นจำได้เลยสักนิด ไม่รู้แหละ คุณอ่ะ ลักหลับผม เดี๋ยวผมจะเอาคืนมั่ง"

เจดิ้นขลุกขลักจนฆาเบียร์ยอมปล่อย เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจจะทำอะไรต่อไป

"นอนนิ่งๆ ไปเลยคุณอ่ะ หลับไปเลยก็ได้"

เจดันคนรักให้นอนราบลง คนตัวโตหัวเราะเบาๆ แล้วหลับตา เขาจะปล่อยให้มันทำตามใจตัวเองดู จะว่าไปเมื่อคืนเขาก็กึ่งๆ ลักหลับเจ้าตัวเล็กของเขาจริงๆ

"เจ นายจะไม่ให้ฉันดูจริงๆ เหรอ?"

ฆาเบียร์ประท้วงออกมาเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากที่ซุกไซ้ตามกาย เขาสูดปากเมื่อถูกริมฝีปากอุ่นๆ ขบเม้มยอดอกที่เริ่มแข็งเป็นไต เขารู้สึกถึงมือของคนตัวเล็กที่ค่อยๆ นวดเฟ้นจนแก่นกายของเขาผงาดขึ้นเต็มที่ มันถูกกระตุ้นเร้าและรูดไล้จนเขาต้องหลุดปากครางออกมา เขาเดาว่าอีกไม่นานคนตัวเล็กคงจะใช้ปากให้จนเขาเสร็จสักครั้งก่อนที่จะรุกล้ำช่องทางด้านหลังของเขา



"What the...!"

คนตัวโตอุทานออกมา เจครอบครองส่วนสงวนของเขาจริง หากไม่ใช่ด้วยริมฝีปากนิ่ม ฆาเบียร์ลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความคับแน่นที่ค่อยๆ กดลงมาบนแก่นกาย

"จะลืมตาทำไมล่ะคุณ!"

เจนยุทธโวยขึ้น ฆาเบียร์รีบเอื้อมมือไปเปิดไฟที่หัวเตียง แม้จะรุ่งสางแล้ว แต่ในห้องที่มีผ้าม่านปิดทึบยังคงมืดอยู่ เขาอยากเห็นชัดๆ ว่าเจทำอย่างที่เขาคิดอยู่หรือไม่ เมื่อไฟสว่างขึ้น สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ คนตัวเล็กกำลังนั่งคร่อมแก่นกายของเขาที่ชำแรกเข้าไปในตัวของเจกว่าครึ่งลำแล้ว ใบหน้าของเจแดงก่ำ ส่วนหนึ่งเพราะความเขินอาย แต่อีกส่วนก็เพราะความแน่นตึงที่ช่องทางของเขา แม้เขาจะผ่านการร่วมรักกับฆาเบียร์มาแล้วเมื่อคืน แต่การอะไรๆ กับพ่อม้าของเขานั้นก็ไม่เคยง่ายเลยสักครั้ง

"เจ..."

"ไหวครับ ฆาบี้ ผมไหว"

เจกัดฟันพูด เขาสะดุ้งเฮือกและเผลอร้องออกมาเมื่อฆาเบียร์กระแทกเอวสวนขึ้นมาจนสุด คนตัวโตกอดร่างเพรียวที่ฟุบลงกับอกตนไว้แน่น เขาจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากแดงก่ำของเจนยุทธ

"ให้ฉันทำให้เถอะนะเจ"

คนตัวโตลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่สั่นน้อยๆ ของเจ เจนยุทธส่ายหัว ในเมื่อเขาพูดไว้ซะใหญ่โตว่าจะลักหลับคนรัก เขาก็ต้องเป็นฝ่ายจัดการเอง เขายันกายขึ้นนั่งหลังตรงแล้วค่อยๆ ขยับจนอยู่ในท่าที่ถนัด ฆาเบียร์ซี้ดปากเมื่อคนรักค่อยๆ โหย่งกายขยับขึ้นลงช้าๆ ช่องทางอันรัดรึงของเจเสียดสีกับแก่นกายของเขาจนทำให้เกิดเป็นความเสียวซ่านที่ทำให้เขาแทบทนไม่ได้ เจเอนกายไปด้านหลังน้อยๆ และใช้มือยันท่อนขาของคนรักเพื่อช่วยในการทรงตัว ความคับแน่นอึดอัดในช่องท้องเขาทีแรก กลายเป็นความหฤหรรษ์เมื่อเขาขยับถูกท่าจนแก่นกายของฆาเบียร์กระทบกับจุดเสียวที่ภายในอย่างเต็มที่



"เจ ฉันจะคลั่งตายอยู่แล้วนะ ขอฉันได้สัมผัสตัวนายหน่อยเถอะ"

ฆาเบียร์อ้อนวอนเสียงสั่น คนตัวเล็กสั่งห้ามเขาไม่ให้แตะตัวและให้ทำเหมือนคนหลับ แต่เขาไม่อยากนอนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่ฝ่ายเดียวแล้ว เขาอยากกอด อยากตอบสนองและให้ความรักแก่ร่างเพรียวที่เด้งกายขึ้นลงตักเขา เจส่ายหัว แต่คนตัวโตไม่ยอมอยู่นิ่งแล้ว เขายกมือขึ้นเหนี่ยวสะโพกของเจและกระแทกกายสวนขึ้นไปตามจังหวะของคนรัก

"ฆาบี้ครับ ไม่เอา...อื้ม"

เจครางลั่นเมื่อคนรักเร่งจังหวะเองตามอำเภอใจ ความเสียวซ่านทำให้เขาอ่อนระทวยไปทั้งตัว แถมฆาเบียร์ยังไม่ปล่อยมือให้ว่าง เขาใช้มืออีกข้างเกาะกุมรูดไล้แก่นกายที่แข็งจนแทบระเบิดของเจนยุทธจนกระทั่งคนตัวเล็กปลดปล่อยออกมา เจฟุบกายลงบนอกของคนรักและหอบหนักๆ

"หมดแรงแล้วเหรอ เจนยุทธ"

คนตัวโตพูดกลั้วหัวเราะ เขาโอบร่างเพรียวบนอกแล้วดันกายลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็พลิกร่างเพรียวให้ลงนอนคว่ำหน้าบนเตียงนุ่ม เจจนปัญญาและต้องปล่อยคนรักให้ทำตามใจ

"โอ ฆาเบียร์ครับ หนักกว่านี้อีก แรงๆ ครับ ลึกๆ เลย"

เจครางระงมและฝังใบหน้าลงไปกับหมอน คนตัวโตใช้แขนยันตัวไว้และนอนคร่อมร่างคนรักที่นอนคว่ำอยู่ เขาฝังแก่นกายย้ำๆ ลงในช่องทางแสนรัดรึงของเจนยุทธ เจผวากายเมื่อฆาเบียร์ดึงแขนของเขาให้ลุกขึ้นมานั่งบนตักทั้งๆ ที่กายยังเชื่อมต่อกัน เจหันหน้าไปบดจูบกับคนรักอย่างหนักหน่วง ฆาเบียร์ยังคงขยับช่วงล่างอย่างขันแข็ง เขาอยากให้ความสุขคนรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



"ที่รักครับ ผมจะไม่ไหวแล้ว"

เจหอบกระเส่า เขาคุกเข่ายกสะโพกขึ้นสูงเพื่อรับการบดกระแทกจากคนตัวโต มือหนึ่งของเขายึดหัวเตียงไว้แน่น อีกมือหนึ่งเกาะกุมแก่นกายที่จวนระเบิดของตน ฆาเบียร์ทาบแผงอกกว้างไปกับแผ่นหลังของเจนยุทธ เขาจูบคลึงพวงแก้มของคนรักและย้ายไปงับใบหูเบาๆ เจซี้ดปากด้วยความเสียว เขาผวากายเยือกเมื่อฆาเบียร์ดูดหนักๆ ที่หลังคอเขาและค่อยๆ ไล่ทำรอยมาตามแนวสันหลัง

"เจจ๊ะ รออีกนิดนะ ฉันก็จวนแล้ว"

ฆาเบียร์กระซิบเสียงสั่น เขายึดข้อมือคนรักที่กำลังรูดไล้แก่นกายตัวเองไว้และเปลี่ยนเป็นคนคุมจังหวะเอง เจหันไปจูบแลกลิ้นกับคนรักอีกครั้ง คนตัวโตกระแทกกายหนักเข้าช่องทางที่ตอดรัดแน่นของคนรักอีกไม่กี่ครั้งแล้วก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเจนยุทธ

"เยี่ยมไปเลย เจ"

ฆาเบียร์กระซิบเสียงกระเส่าและฝังใบหน้าลงกับเรือนผมดำขลับของคนรักซึ่งนอนตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมอกของเขา เจพูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกดีจนแทบจะหมดสติอยู่แล้ว ฆาเบียร์ทำให้เขาแทบขาดใจทุกครั้งที่ร่วมรักกันไม่ว่าจะในบทบาทใดก็ตาม เขาพลิกกายกลับไปเผชิญหน้ากับคนรักและจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากบางอีกครั้ง



"คุณไม่ได้ลักหลับผมจริงๆ แหละ ฆาบี้..."

เจพูดยิ้มๆ

"ไม่มีทางที่ผมจะไม่ตื่นตอนที่มีเซ็กส์กับคุณแน่ๆ "

คนตัวโตหัวเราะร่าแล้วจูบหน้าผากคนตัวเล็กเบาๆ

"เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้ลักหลับนาย"

"แต่ ทำไมผมจำไม่ได้สักนิดเลยล่ะคุณ? "

เจนยุทธยังคงสงสัยอยู่ดี ฆาเบียร์เสชวนคนรักคุยไปเรื่องอื่นแทน

"ก็นายมัวแต่ไปจำเรื่องฝันอะไรก็ไม่รู้ของนายน่ะสิ นี่ฉันน้อยใจนะที่นายจำคนในฝันได้มากกว่าเรื่องที่นอนกับฉันน่ะ”

คนตัวโตแกล้งทำท่ามึนตึง เจกอดร่างหนั่นแน่นของคนรักและเบียดกายเข้าหาอย่างเอาใจ

“อย่างอนสิครับ คนในฝันผมก็หน้าตาเหมือนคุณนั่นแหละ…”

เจพูดกลั้วหัวเราะ เขาไล้นิ้วไปตามแผงอกกว้างของฆาเบียร์ จนถึงตอนนี้เขายังจำรูปลักษณ์ของกษัตริย์หนุ่มในฝันของเขาได้

“…แต่มันก็แปลกนะ ปกติผมจำเรื่องที่ตัวเองฝันไม่เคยได้ซักที แต่ฝันของผมเมื่อคืนมัน มันชัดเจนมาก มันสมจริง ทั้งความรู้สึกตื่นเต้น เจ็บปวด ทุกอย่าง มันเหมือนตัวผมคือพรานหนุ่มคนนั้นจริงๆ “

เจพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและยกมือลูบอกซ้ายของตน ความรู้สึกเจ็บปวดจากคมมีดที่ปักเข้าสู่กลางดวงใจนั้นยังคงเหลือให้สัมผัสอยู่จางๆ



“เจ เป็นอะไร?”

ฆาเบียร์มองหน้าคนรักเมื่อสัมผัสถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเจ เจนยุทธตื่นจากภวังค์และหัวเราะเบาๆ

“ไม่มีอะไรครับ ผมคงอ่านนิยายมากไปอย่างที่คุณว่าจริงๆ คงต้องพักๆ บ้างละ”

เจพูดด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนปกติ ฆาเบียร์ดึงคนรักให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกอีกครั้ง เขาโอบแขนรอบร่างเพรียวและจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผาก เขารู้ดีว่าทำไมเจถึงจำฝันเมื่อคืนได้เด่นชัด แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเล่าอะไรที่ทำให้คนตัวเล็กสับสนออกไปและตัดสินใจจะเก็บสิ่งที่เขาได้รับรู้ไว้กับตัว

“เราไปอาบน้ำกันดีกว่านะ แม่บอกว่าจะออกบ้านเก้าโมงใช่ไหม? นี่ก็แปดโมงแล้ว”

ฆาเบียร์ยกมือถือขึ้นดูเวลา เจยันกายขึ้นนั่งและอดต้องซี้ดปากออกมาเบาๆ ไม่ได้

“ไหวไหม? ฉันทำนายเจ็บอีกแล้วเหรอ?”

คนตัวโตถามอย่างร้อนใจ เจรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“ไม่เจ็บครับ ไม่เจ็บ ผมแค่…”

เจหน้าแดงก่ำ เขารู้สึกระบมบ้างจากเซ็กส์อันเร่าร้อนเมื่อครู่ แต่อีกอย่างที่เขายังรู้สึกคือความเสียวซ่านที่ไม่จางหายไปง่ายๆ เขายังรู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งของฆาเบียร์ยังคงอยู่ในตัวเขา

“แน่นะ?”

ฆาเบียร์ยังไม่หายห่วง เขาประคองร่างเพรียวให้ยืนขึ้น เจชักศอกใส่คนรักที่ทำท่ายิ้มกริ่มเมื่อเห็นเขาค่อยๆ กระย่องกระแย่งเดินเพื่อไม่ให้สิ่งแปลกปลอมจากเจ้าตัวไหลออกมา

“อิ่มไหมจ๊ะ?”

คนตัวโตถามยิ้มๆ พร้อมใช้ฟองน้ำในมือลูบไล้ฟองเนียนนุ่มไปบนร่างคนรัก เจย่นจมูกให้คนตัวโต แล้วก็ต้องร้องออกมาเมื่อโดนคนรักขยำบั้นท้ายอย่างมันเขี้ยว ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อเจ้าตัวยุ่งของเขาทำตาเขียวใส่และบ่นพึมพำเป็นภาษาไทย เขาพอจะจับคำคุ้นๆ หูอย่าง “ตาลุง” ได้ หลังจากเทียวไปเทียวมาหลายต่อหลายครั้ง ฆาเบียร์ก็เริ่มคุ้นหูกับภาษาไทยและพอเริ่มจับคำที่คุ้นๆ หูได้บ้างแล้ว



“เจจ๊ะ…”

“ครับ?”

เจหันไปหาคนรักที่ยืนแต่งตัวอยู่ข้างๆ

“อ้ายฮักเจนะ”

เจหน้าแดงระเรื่อ พ่อเจ้าประคุณของเขาชอบโพล่งบอกรักออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย อาจะเป็นเพราะอารมณ์โรแมนติกแบบชาวละตินของเขานั่นเอง

“Yo tambien te amo”

เจตอบกลับด้วยภาษาแม่ของอีกฝ่าย คนตัวโตยิ้มกริ่มและเขยิบเข้าใกล้คนรัก เขากระซิบอีกหนึ่งประโยคที่เพิ่งเรียนรู้มา



“Chan yark y** Jay”

“เฮ้ย!!”

เจร้องลั่นออกมาพร้อมใบหน้าแดงก่ำและชักศอกใส่คนรักอีกครั้ง ฆาเบียร์ทำหน้าเหรอหรา

“ฉัน ฉันพูดอะไรผิดเหรอเจ? หรือว่าฉันออกเสียงผิด?”

“ใครสอนคุณพูดแบบนั้น ฆาบี้?!”

เจเอ็ดคนรักลั่น

“เอ่อ นพ นพสอนฉัน…”

ฆาเบียร์หน้าเสีย เพื่อนรักของเขาน่าจะหลอกให้เขาพูดอะไรผิดๆ ออกมาอีกแล้ว

“พี่นพบอกคุณว่าไงครับ?”

“ฉันขอให้เขาสอนบอกรักเป็นภาษาไทยให้ นพก็บอกว่าให้พูดแบบนี้”

เจหัวเราะหึๆ คนรักของเขาโดนจิ้งจอกเฒ่าหลอกมาอีกแล้ว



“แล้วมันแปลว่าอะไรเหรอเจ? มันเป็นคำไม่ดีเหรอ?”

คนที่เคยหลอกให้เพื่อนต่างวัฒนธรรมคนนั้นพูดคำด่าหรือคำลามกเป็นภาษาสเปนมาก่อนตอนยังเป็นนักศึกษาถามเสียงอ่อยๆ เขาคงโดนนพเอาคืนเข้าให้แล้ว เจกัดริมฝีปากเบาๆ เขาไม่แน่ใจว่าควรจะสอนให้คนตัวโตรู้จักคำสั้นๆ นี้ดีไหม

“มันแปลว่า I wanna f*** you ครับ”

ฆาเบียร์อุทานออกมาเบาๆ และอึ้งไปพักหนึ่ง แต่อะไรๆ ก็เป็นไปตามที่เจคาด เมื่อรู้ถึงความหมายแล้ว คนตัวโตก็ดึงร่างเพรียวเข้าไปหาและกระซิบประโยคนั้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ด้วยน้ำเสียงที่แฝงความปรารถนา เจหน้าแดงซ่านและดันตัวออกจากอ้อมอกกว้าง

“ไม่ได้ครับ ไม่ได้ พูดคำนี้ไม่ได้ มันฮาร์ดคอร์ไปหน่อย”

เจยกมือขึ้นปิดปากบางที่ทำท่าจะพูดคำสั้นๆ นั้นออกมาอีก

“แล้วฉันต้องพูดว่ายังไงล่ะ สอนฉันทีสิ เจ”

“ไม่เอา ไม่สอนครับ ถ้าคุณอยากเรียนแค่คำพวกนี้นะ แต่ถ้าอยากเรียนพูดภาษาไทยจริงจังน่ะ ผมสอนได้ อยากเรียนไหม?”

เจนยุทธพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฆาเบียร์ยิ้มร่าและตอบรับด้วยความยินดี

“เรียนจ้ะ เรียน ฉันก็ว่าจะหาเรียนที่ฮ่องกงอยู่เหมือนกัน ที่ออฟฟิศเราก็มีคนไทยทำงานอยู่หลายคนเหมือนกันนะ บูมเองก็เคยเปรยกับฉันว่าจะมาสอนให้ แต่รายนั้นเขางานยุ่ง ฉันไม่คิดว่าเขาน่าจะมีเวลามาสอนให้นักหรอก”

เจพยักหน้ารับคำ เขาตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะสอนภาษาไทยง่ายๆ ให้ฆาเบียร์ ทุกวันนี้เมียตัวโตของเขาก็พอพูดประโยคง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างเช่น “คิดตังค์” “ราคาเท่าไหร่” และยังรู้ตัวเลขและคำทักทายง่ายๆ ส่วนตัวเขาก็ได้เรียนทั้งภาษาสเปนและกวางตุ้งอย่างง่ายเพื่อใช้ในเวลาที่ต้องไปอยู่ในถิ่นของคนรักเช่นกัน



“งั้นเอาประโยคนี้ไปก่อนนะ ‘ฉันคิดถึงนาย’ ไหน พูดตามสิครับ”

“Chan kid tueng nai”

ฆาเบียร์พูดตาม เจอดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้ ถึงจะยังออกเสียงแปร่งๆ แบบคนต่างชาติ แต่ก็นับว่าเมียตัวโตของเขาพูดได้ชัดกว่าฝรั่งอเมริกันทั่วไป

“It means ‘I miss you’, right?”

ฆาเบียร์ถาม เขาเคยได้ยินคำนี้มาก่อน เจพยักหน้า คนตัวโตพูดย้ำประโยคภาษาไทยนั้นอีกครั้ง พร้อมกับดึงร่างคนรักเข้ามากอดไว้แนบอก

“ผมก็คิดถึงคุณครับ”

เจพูดงึมงำออกมาเป็นภาษาไทยและซุกหน้าเข้ากับบ่าของคนรัก ฆาเบียร์ลูบผมสีดำขลับของคนในอ้อมอกเบาๆ ในตอนนี้เขาเข้าใจสิ่งที่เจมักเผลอละเมอพูดออกมาหรือแอบกระซิบข้างหูเขาตอนที่ตัวเขาเคลิ้มหลับแล้วเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งประโยค



Rrrrrrr

เสียงจากมือถือของเจดังขึ้นทำลายความเงียบที่ก่อตัวขึ้นในห้อง เจปล่อยมือจากร่างกำยำและถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งออกจากริมฝีปากบางที่เขากำลังลิ้มชิมความหวาน

“คับ แม่ กำลังจะออกบ้านกั๋นแล้วกา? หมู่ผมกำลังใส่ผ้าคับ…”

“ครับ แม่ กำลังจะออกบ้านกันแล้วเหรอ? พวกผมกำลังแต่งตัวครับ…”

เจเหลือบมองคนรักและเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษ

“ครับ งั้นอีกไม่เกินชั่วโมงเจอกันที่บ้านวัดเกตครับ”



“ทางนั้นออกมากันแล้วเหรอ?”

ฆาเบียร์ถามคนรักพร้อมกับหยิบเสื้อโปโลสีพาสเทลมาใส่กับกางเกงชิโน่เนื้อค่อนข้างหนาสีคาราเมล เจย่นจมูกให้คนรัก

“ร้อนจะตาย คุณทนใส่กางเกงขายาวได้ไงเนี่ย?”

คนตัวโตขมวดคิ้ว

“จะไปเคารพสุสานบ้านเจ ฉันก็ต้องแต่งตัวสุภาพหน่อยสิ”

เจยิ้มน้อยๆ

“ไม่ซีเรียสหรอกครับคุณ จะใส่กางเกงขาสั้นก็ได้ เมืองไทยมันร้อน ถ้าไม่ถึงขั้นใส่กางเกงบอลหรือบ๊อกเซอร์ไป ก็ไม่เป็นไรหรอก”

ฆาเบียร์หันไปค้นตู้เสื้อผ้าที่แทบจะกลายเป็นของเขาทั้งตู้ แล้วดึงเอาเสื้อผ้ามาถามเจนยุทธจนแน่ใจ เขาจบลงที่กางเกงผ้าขาสั้นเท่าเข่าทรงเบอร์มิวด้าสีครีมและเสื้อโปโลสีชมพูอ่อนพร้อมคาดเข็มขัดเส้นเรียวเล็กสีน้ำตาล เจอดมองกล้ามแขนแน่นๆ ที่โผล่พ้นแขนเสื้อโปโลไซส์พอดีตัวนั้นไม่ได้ ผิวสีแทนของฆาเบียร์นั้นไม่ขัดกับเสื้อสีชมพูอ่อนตัวนั้นเลยสักนิด แต่กลับทำให้คนรักของเขาดูโดดเด่นขึ้น



“ผมชอบคุณแต่งตัวแบบนี้จริงๆ ฆาบี้”

เจนยุทธอดชมออกมาไม่ได้ โดยปกติแล้ว ฆาเบียร์มักแต่งกายภูมิฐานเน้นความเรียบหรูเนื่องจากหน้าที่การงาน แต่โดยเนื้อแท้แล้วเขาชอบเสื้อผ้าที่ฉูดฉาดมีสีสันและรายละเอียดอย่างเสื้อผ้าของแบรนด์ Dolce&Gabbana และ Balmain เจเองก็รู้สึกว่าเสื้อผ้าแบบนั้นเหมาะกับความเป็นหนุ่มละติโน่เจ้าเสน่ห์ของฆาเบียร์มากกว่า ส่วนตัวเจนั้นชอบเสื้อผ้าแบบฉูดฉาดเช่นกัน วันนี้เขาเลือกใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นทรงเดียวกันกับฆาเบียร์และเสื้อกล้ามสีขาวโดยมีเสื้อฮาวายลายดอกปักษาสวรรค์สวมทับข้างนอกอีกชั้นหนึ่ง

“เราต้องเตรียมของดำหัวอะไรไปหรือเปล่า?”

ฆาเบียร์ถามคนรัก เจบอกเขาว่าพวกเขาจะถือโอกาสไปดำหัวญาติผู้ใหญ่อย่างอากงเล็กของบ้านวัดเกตด้วยเลย

“ไม่ต้องแล้วครับ ผมคุยกับแม่แล้ว แม่บอกว่าทางแม่จะเป็นคนเตรียมของไปให้เอง พวกเราไม่ต้องหาอะไรไป”

คนตัวเล็กปฎิเสธ ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ เขาตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าอีกครั้งก่อนจะชวนเจเดินออกจากห้องนอน



“คุณครับ ยังพอมีเวลาเหลือ คุณจะกินข้าวเช้าก่อนหรือเปล่า?”

เจซึ่งนึกได้ว่าพวกเขาทั้งสองยังไม่ได้กินมื้อเช้าถามขึ้นระหว่างทางลงลิฟท์มาที่รถ คนตัวโตส่ายหน้า

“ฉันยังไม่หิวน่ะ ว่าแต่นายเถอะ หิวแล้วใช่ไหม?”

คนตัวโตถามยิ้มๆ เจหัวเราะแหะๆ แล้วบอกว่าท้องน้อยๆ ของเขาเริ่มประท้วงนิดๆ แล้ว ทั้งสองตัดสินใจแวะแม็คโดนัลด์และใช้บริการแบบไดรฟ์ทรู


“แฮ้ปปี้แล้วล่ะสิ?”

ฆาเบียร์ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถหันไปมองคนรักที่กัดแฮชบราวน์แผ่นใหญ่และเคี้ยวตุ้ยๆ หลังจากจัดการ double sausage mcmuffin ชิ้นโตในชุดอาหารเช้าของแมคโดนัลด์หมดไปแล้วชิ้นหนึ่ง เจหันมายิ้มหวานให้กับเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องยกมือลูบผมดำขลับของคนรัก ไอ้เจ้ากระรอกปลอมของเขาช่างน่ารักนักโดยเฉพาะเวลาที่แก้มป่องๆ ของเจขยับเคี้ยวอาหาร

“คุณไม่กินจริงๆ เหรอครับ กาแฟแก้วเดียวพอเหรอ?”

เจขมวดคิ้วและเหลือบมองแก้วกระดาษใบน้อยที่ใส่กาแฟดำของคนรัก

“พอสิ ตอนอยู่สหรัฐฯ ตอนเช้าฉันก็กินแค่นี้แหละ ชินแล้ว”

ฆาเบียร์หลุดปากพูดออกมา แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจนยุทธเอ็ดเขาลั่น

“โอ๊ย มิน่าล่ะ คุณถึงผอมไปหมดแบบนี้! ไม่ได้นะครับ! มื้อเช้านี่สำคัญนะ อย่างน้อยก็ควรมีขนมปังอะไรบ้าง”

คนตัวโตทำหน้าเจื่อน เขาเหลือบมองคนรักที่ทำหน้าง้ำ

“บางทีฉันก็ไม่มีเวลาหาอะไรกินน่ะ ต้องรีบออกไปทำงาน”

“คุณครับ บ้านอาปาก็มีแม่บ้านคอยจัดการนั่นนี่ให้ไม่ใช่เหรอครับ ใช่ว่าคุณต้องมาเตรียมอะไรเองซะที่ไหน แค่หยิบๆ อาหารที่เขาเตรียมให้ใส่ปากไม่ได้ยากอะไรเลยนะ แล้วผมก็ได้ยินมาว่าที่บ้านนู้นเขาเตรียมมื้อเช้าให้แต่คุณไม่ยอมกินเอง...”

คนตัวเล็กบ่นต่ออีกยืดยาว ฆาเบียร์เถียงไม่ออก ดูท่าว่าจะมีคนแอบมา “ฟ้อง” เรื่องของเขาให้เจฟังเสียแล้ว

“...ไหนคุณบอกผมว่าคุณจะรักษาสุขภาพและไม่ทำอะไรที่ฝืนตัวเองเกินไปไงล่ะครับ? อาปาท่านก็เป็นห่วงคุณนะ ฆาบี้ ผมก็เป็นห่วงคุณ”

นั่นปะไร คนตัวโตลอบถอนหายใจ สปายของเจไม่ใช่ใครแต่เป็นอาปาของเขานั่นเอง เขามองหน้าน้อยๆ ที่สลดลงแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้ง

“จ้ะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ฝืนตัวเอง แล้วก็ดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้”

“ดีครับ!”

คนตัวเล็กกระแทกเสียงหนักๆ

“คุณผอมไปแบบนี้ กอดแล้วไม่แน่นเหมือนเดิม เนี่ย ดูสิ กล้ามหายแล้ว”

เจเอื้อมมือมาขยำกล้ามอกของคนรักแล้วก็หัวเราะคิกคักเมื่อคนตัวโตที่กำลังขับรถอยู่สะดุ้งเฮือกขึ้น



“เจ!”

ฆาเบียร์คำรามเบาๆ พร้อมหันไปทำตาเขียวใส่คนตัวเล็กที่หัวเราะร่วนอยู่ หากเจ้าตัวดีของเขายังคงไม่หยุดแกล้ง มือเรียวของเจนยุทธยังคงเปะป่ายอยู่ที่อกของคนที่ชะลอรถเพื่อจอดที่ไฟแดง ฆาเบียร์เม้มปากเมื่อปลายนิ้วของคนรักเริ่มซุกซน มันสะกิดเขี่ยไล้ตุ่มไตไม่รักดีของเขาที่เริ่มชูชันจนดันผ้าเนื้อบางของเสื้อโปโลที่เขาใส่อยู่

"พอแล้ว เจนยุทธ! มันอันตรายนะ รู้ไหม?!"

ฆาเบียร์ตวาดเบาๆ และตะปบมือที่ทำท่าจะเลื้อยลงต่ำผ่านกล้ามท้องของเขาลงไป เจทำหน้าจ๋อยและค่อยๆ ชักมือกลับเมื่อเห็นคนรักทำท่าไม่ค่อยสบอารมณ์ เขายกแฮชบราวน์ในมือที่ยังเหลือกว่าครึ่งขึ้นกัดกินเงียบๆ

"อื๊อ!"

เจอุทานเบาๆ เมื่อริมฝีปากของคนรักพลันประกบเข้ากับปากเขาและฉกเอาแฮชบราวน์ที่เขากัดค้างไว้ไปเคี้ยวกิน คนตัวโตขยิบตาให้คนตัวเล็กที่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ

"อร่อยดีนี่ งั้นฉันขอนะ"

คนตัวโตยื่นมือมาฉวยแฮชบราวน์ที่เหลือในมือของเจนยุทธไป เจโคลงหัวแล้วบ่นเบาๆ เป็นภาษาไทย เขาหยิบแฮชบราวน์อีกแผ่นออกมาจากถุงกระดาษและยกขึ้นกินต่อจนหมด ฆาเบียร์แอบยิ้มบางๆ บางทีเขาก็ต้องทำดุเพื่อกำราบเจ้าตัวดีที่ชอบแกล้งเขาบ้าง​



"อ๊ะ แม่มาถึงแล้วนี่"

เจพูดเมื่อเห็นรถของอิ่มจอดอยู่นอกรั้วบ้านวัดเกตเช่นเดียวกับรถของจืด ฆาเบียร์นำรถเข้าไปจอดต่อท้ายรถทั้งสองคัน

"สวัสดีครับแม่"

ฆาเบียร์ยกมือไหว้แม่ของคนรักรวมถึงบรรดาญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่นั่งพูดคุยกันอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน เจมองเมียตัวโตของเขาด้วยความภูมิใจ ฆาบี้ไม่เคยเกี่ยงงอนที่จะเรียนรู้และทำตามธรรมเนียมปฏิบัติแบบไทยทุกครั้งที่เขาอยู่ที่เชียงใหม่ ฟองนวลยกมือรับไหว้คนรักของลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มละไม

"นี่ฆาเบียร์ค่ะ เป็นแฟนของเจ"

เธอหันไปแนะนำฆาเบียร์ให้กับญาติบางคนที่ยังไม่เคยได้พบหนุ่มละตินร่างใหญ่คนนี้ ทุกคนไม่ได้ดูแปลกใจในสถานะของฆาเบียร์ที่ฟองนวลประกาศออกมา เรื่องที่เจมีแฟนเป็นผู้ชายนั้นเป็นอันรู้กันในหมู่ญาติพี่น้องตั้งแต่ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมาแล้ว เจยิ้มและมองดูเมียตัวโตของเขาทักทายญาติๆ เหล่านั้น คนรักของเขาจัดการโปรยเสน่ห์ใส่ญาติๆ ของเขาจนทุกคนประทับใจในตัวคนตัวโตได้ในที่สุด เจนยุทธเดินเข้าไปสมทบกับฆาเบียร์เมื่อถูกกวักมือเรียกตัวให้เข้าไป เขาหน้าแดงระเรื่อเมื่อโดนบรรดาญาติๆ แซวเรื่องแฟนหนุ่ม

"งั้นเดี๋ยวพวกเราไปดำหัวอากงเล็กก่อนไหม?"

อิ่มใจถามขึ้นเมื่อเห็นน้องชายเริ่มเขินจัดจนทำอะไรไม่ถูก เจหันไปส่งสายตาขอบคุณให้พี่สาว ครอบครัวของเจรวมทั้งพี่สะใภ้และหลานๆ พากันขึ้นไปหาอากงเล็กของพวกเขาที่ห้องด้านบนซึ่งจัดส่วนรับรองแขกไว้เรียบร้อย เจดึงฆาเบียร์ให้ลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นเช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยทำตอนไปดำหัวแม่ แต่ที่ต่างไปคือในตอนนี้แม่ของเขาทำหน้าที่เป็นตัวแทนครอบครัวในการทำพิธีดำหัวและกล่าวขอพรจากญาติผู้มีอาวุโสสูงสุดคนนี้



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- วัดเกต (ต่อ) ----




"หลังจากนี้เราก็จะไปที่วัดต่อใช่ไหม?"

ฆาเบียร์ถามเจหลังจากรับศีลรับพรจากอากงเล็กเรียบร้อยแล้ว

"ใช่ครับ กู่ของญาติฝั่งผมส่วนหนึ่งอยู่ในวัดเกต บ้างก็อยู่ที่วัดอื่นแล้วแต่ว่าบ้านของญาติคนนั้นจะอยู่ใกล้วัดไหน"

สำหรับคนเชียงใหม่ในอดีตแล้ว ไม่แปลกที่จะนำอัฐิของผู้วายชนม์ไปไว้ที่วัด ว่ากันว่าเมื่อเหล่าลูกหลานได้มาทำการปัดกวาดเช็ดถูดูแลกู่หรือสุสานของญาติผู้ใหญ่แล้ว ก็มักจะทำการช่วยดูแลความสะอาดของวัดนั้นไปด้วย

"เดียวหมู่เฮาจะปากั๋นเตียวไปตี้วัดเน่อ สำหรับหมู่คนเฒ่าตี้เตียวบ่ไหวก่อจะหื้อนั่งรถกั๋นไป"

"เดี๋ยวพวกเราจะพากันเดินไปที่วัดนะ ส่วนพวกคนแก่ที่เดินไม่ไหวก็จะให้นั่งรถไปกัน"


ญาติของเจซึ่งเป็นคนนำขบวนตะโกนบอกทุกคน บรรดาลูกหลานก็พากันถือของกันคนละไม้คนละมือและพากันออกเดินจากบ้านไปยังวัดเกตการามซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก เจจูงมือคนรักให้เดินตามญาติๆ เขาไปเป็นขบวนโดยมีหนูน้อยเอแคลร์และอันปังมากระโดดโลดเต้นอยู่ไม่ห่างและคอยคุยกับอาฆาเบียร์ของพวกเขา



เมื่อไปถึงที่วัด เหล่าเด็กๆ ก็พากันไปเตรียมน้ำที่จะใช้ในการดำหัวกู่และให้ญาติผู้ใหญ่ได้นั่งพักกันบนศาลาวัด เจเปิดน้ำรองใส่ถังน้ำขนาดพอประมาณและเทฝักส้มป่อยและกลีบดอกไม้แห้งลงไปในนั้น เขานำถังน้ำส้มป่อยไปวางไว้ข้างสถูปปูนซึ่งทาสีขาว จากนั้นหยิบแก้วพลาสติกออกมาวางเรียงกันไว้ เจดึงคนรักของเขาให้มาอยู่หน้าสถูปสีขาวซึ่งสูงท่วมหัวของฆาเบียร์และชี้ให้ดูป้ายหินอ่อนที่ติดไว้บนนั้น บนป้ายเขียนไว้ทั้งภาษาไทย ภาษาล้านนาและภาษาจีน

“นี่เป็นกู่ของต้นตระกูลผมครับ พวกท่านย้ายขึ้นมาจากกรุงเทพฯ ช่วงกลางยุครัตนโกสินทร์ ก็น่าจะซักร้อยกว่าปีมาแล้ว กู่นี้เก็บอัฐิของต้นตระกูลผมสองคนกับลูกๆ ท่าน”

ฆาเบียร์อ่านภาษาจีนที่ติดอยู่ที่สถูปนั้น

“สุสานตระกูลเจิ้งเหรอ?”

คนตัวโตถามขึ้น เจเกาหัว

“เอ ที่คุณอ่านนี่เป็นจีนกลางใช่ไหมครับ แต่ถ้าทางบ้านผมเราเรียกตัวเองว่าเป็นคนแซ่แต้ น่าจะเป็นภาษาแต้จิ๋วนะ”

เจอ่านชื่อบรรดาบรรพชนของเขาเป็นภาษาไทยให้ฆาเบียร์ฟัง พวกเขาขยับย้ายมายืนด้านข้างเพื่อให้ทางเหล่าญาติผู้ใหญ่ที่ทยอยกันมาจุดธูปไหว้กู่ จากนั้นก็ตักน้ำส้มป่อยในถังราดรดลงไปบริเวณป้ายหินอ่อน เมื่อเหล่าญาติๆ ทำการรดน้ำเสร็จแล้ว เจก็ชวนคนรักให้ทำตามบ้าง เขายกแก้วพลาสติกในมือที่มีน้ำส้มป่อยอยู่เต็มขึ้นจรดหัวและอธิษฐานขอขมาลาโทษและขอพรจากเหล่าบรรพชนก่อนจะราดรดน้ำลงไป คนตัวโตก็ทำท่าทางตามเจนยุทธอย่างไม่มีผิดเพี้ยน



“เดี๋ยวเราไปรดน้ำกู่อื่นต่อครับ”

เจหันไปบอกคนรัก เขาตักน้ำส้มป่อยจากถังใหญ่ใส่ถังใบน้อยที่หิ้วติดมือมาและพาฆาบี้เดินไปยังอีกมุมหนึ่งของวัดซึ่งมีกู่สีขาวน้อยใหญ่อีกหลายองค์ คนตัวโตหันมองไปรอบๆ อย่างประหลาดใจ

“นี่คือญาติของเจหมดเลยเหรอ?”

“ไม่ใช่ครับ ที่วัดนี้มีกู่ของตระกูลอื่นๆ อีกหลายตระกูล เดี๋ยวผมจะพาไปรดน้ำญาติๆ ผมนะ”

เจพาฆาเบียร์ไปไหว้และรดน้ำกู่อีกสองสามแห่ง ก่อนที่จะพาไปสมทบกับแม่ของเขาที่กำแพงด้านหนึ่งของวัด ฆาเบียร์อุทานออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เขานึกว่าเป็นกำแพงที่จริงแล้วคือที่บรรจุอัฐิเป็นช่องๆ

“คนรุ่นหลังๆ จะไม่ค่อยสร้างกู่แล้วครับ แต่จะมาเก็บไว้แบบนี้มากกว่าเพื่อให้ประหยัดที่และดูแลง่าย”

เจพาฆาเบียร์เดินเข้าไปหาแม่และพี่ๆ ของเขาซึ่งกำลังยืนสงบนิ่งอยู่ที่หน้าช่องหนึ่ง

“พ่อผมครับ”

เจนยุทธพูดสั้นๆ ฆาเบียร์กลั้นหายใจเมื่อได้สบตากับภาพถ่ายขาวดำของชายวัยกลางคนหน้าตาใจดีที่ติดอยู่บนแผ่นหินอ่อน พ่อของเจหน้าตาคล้ายคลึงกับจืดมากกว่าลูกชายคนเล็ก หากรอยยิ้มละไมนั้นช่างละม้ายกับรอยยิ้มของคนรักของเขานัก



“ฟองไปก่อนเน่อ ไว้จะปาหมู่ละอ่อนมาแอ่วหาใหม่”

“ฟองไปก่อนนะ ไว้จะพาพวกเด็กๆ มาเที่ยวหาใหม่”


ฟองนวลไล้นิ้วไปบนรูปถ่ายของสามีขณะที่เธอพูดคุยกับเขา แม้เวลาจะผ่านไปกว่าห้าปี มันก็ยังยากที่จะทำใจว่าเลอลาภได้จากเธอไปแล้ว ฆาเบียร์แอบเหลือบมองใบหน้าของคนข้างกาย เขาอดไม่ได้ต้องยกแขนขึ้นโอบไหล่เพรียวของเจนยุทธ เจของเขาช่างดูเศร้าเหลือเกิน เช่นเดียวกับแม่ของเขา เจเองก็ยังทำใจรับเรื่องการตายอย่างกะทันหันของพ่อไม่ได้นัก

"มาครับ ฆาบี้ ไปไหว้พ่อผมกัน"

เจหันไปฉุดมือคนรักให้เข้ามายืนตรงหน้าที่เก็บอัฐิของบิดา ฆาเบียร์รับธูปหนึ่งดอกจากเจมาจุดไฟ เขาประนมมือเสมออกและก้มหน้าลงอธิษฐาน ก่อนหน้านี้เขาเพียงทำท่าตามเจเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเหล่าญาติๆ ของเจ แต่ไม่ได้มีการรำลึกถึงหรืออธิษฐานอันใด หากในตอนนี้ เขาตั้งจิตอธิษฐานโดยหวังให้มันสื่อถึงดวงวิญญาณของบิดาของคนรัก

'ผมชื่อฆาเบียร์ครับ เป็นคนรักของเจ...'

คนตัวโตแนะนำตัวเองอยู่ในใจพร้อมกับขอขมาลาโทษที่เขาได้พาเจให้มาเดินในเส้นทางนี้ด้วยกัน

'แต่ผมรักลูกชายของคุณพ่อด้วยใจจริง ผมขอสัญญาว่าผมจะรักและดูแลเจไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่'

ฆาเบียร์ให้คำสัตย์ต่อหน้าเถ้ากระดูกของเลอลาภ เจเหลือบมองคนรักที่ใช้เวลาไหว้กู่ของพ่อเขานานกว่าของคนอื่นๆ คนตัวเล็กอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคนตัวโต หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ฆาเบียร์ก็ยกมือที่พนมขึ้นจรดศีรษะและปักธูปลงไปในกระถาง

"นี่ครับ น้ำส้มป่อย"

เจส่งแก้วพลาสติกใส่น้ำขมิ้นส้มป่อยให้คนรัก ฆาเบียร์นำมันไปบรรจงราดรดแผ่นป้ายหินอ่อนขนาดใหญ่หน้าช่องบรรจุอัฐินั้น



"คุยอะไรกับพ่อผมนักหนา หืมม์?"

เจใช้ไหล่ตนกระแทกไหล่กว้างของคนรักเบาๆ ระหว่างเดินตามแม่ของเขากลับมารวมตัวกับญาติๆ ที่ศาลาวัด ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และยกมือขึ้นโอบไหล่เจนยุทธ

"ไม่มีอะไรจ้ะ ฉันแค่แนะนำตัวนิดหน่อยเอง"

เจพยักหน้ารับรู้ เมื่อคนตัวโตไม่ยอมเล่า เขาก็ไม่ซักถามอะไรต่อ

"เจจ๊ะ ฉันเพิ่งนึกอะไรออกอย่างหนึ่ง"

ฆาเบียร์ทำท่านึกอะไรขึ้นได้เมื่อเขาเดินผ่านกู่ขาวๆ เหล่านั้น

"ตอนมาเชียงใหม่แรกๆ เจเคยพาฉันไปที่วัดสวนดอก ที่นั่นก็มีกู่ขาวๆ แบบนี้เหมือนกัน แต่ใหญ่กว่ามากใช่ไหม?"

เจพยักหน้า

"ใช่ครับ ที่วัดสวนดอกนั้นเป็นที่ตั้งของกู่เจ้านายฝ่ายเหนือครับ..."

เจเล่าให้คนตัวโตฟังอีกครั้งว่าเดิมทีสุสานของเจ้านายฝ่ายเหนือนั้นตั้งอยู่บนที่ซึ่งเป็นกาดวโรรส ณ ปัจจุบัน หากภายหลัง พระราชชายาเจ้าดารารัศมีเห็นว่าพื้นที่เดิมนั้นคับแคบและไม่เหมาะสม จึงได้ย้ายพระบรมอัฐิและพระอัฐิของเหล่าเจ้าหลวงและเชื้อพระวงศ์มายังลานวัดสวนดอก

"จริงๆ นอกจากที่วัดสวนดอกแล้ว ตามวัดเก่าแก่ของเชียงใหม่ก็มีกู่ของหลายๆ ตระกูลอยู่นะ ถ้าไปเดินๆ ดูก็จะเห็นมีกู่ทั้งแบบที่เป็นสถูปแล้วก็เป็นที่เก็บกระดูกแบบคอนโดเหมือนของพ่อผม แต่ไม่มีที่ไหนที่เป็นเจดีย์ใหญ่เบิ้มเรียงๆ กันเหมือนที่วัดสวนดอก"

เจบอกว่าเหล่ากู่สีขาวขนาดใหญ่อันงามวิจิตรเหล่านั้นถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเชียงใหม่อีกจุดหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาเดินถ่ายภาพ

"ผมว่าบางคนอาจจะมาถ่ายรูปโดยไม่รู้ว่ามันเป็นสุสานก็ได้นะ"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เขาเองก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น เจอาจเคยได้บรรยายให้เขาฟังแล้วในตอนนั้นว่าที่นั่นคือสุสานหลวง แต่ตัวเขานั้นจำไม่ได้เพราะมัวแต่หลงไปกับแก้มแดงๆ และรอยยิ้มพริ้มพรายของไกด์กิติมศักดิ์ของเขาในวันนั้น ​ฆาเบียร์อดนึกถึงช่วงแรกๆ ที่เขามาถึงเชียงใหม่ไม่ได้ เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มหลงใหลร่างเพรียวนี้จนหัวปักหัวปำ 

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                               

"เฮ้ เหม่ออะไรครับ?"

เจตบแก้มของคนรักเบาๆ เมื่อเขาพูดบางอย่างไปแล้วคนตัวโตไม่มีการตอบรับ ฆาเบียร์ตื่นจากภวังค์แล้วหันไปยิ้มให้เจนยุทธ

"ไม่มีอะไรจ้ะ เมื่อกี้เจว่าไงนะ?"

"ผมบอกว่านอกจากเก็บกระดูกไว้ที่วัดแล้ว หลายตระกูลใหญ่ที่มีญาติมากๆ ก็ยังนิยมซื้อที่สร้างสุสานส่วนตัวครับ อย่างบ้านพี่นพ บ้านนั้นก็มีสุสานประจำตระกูลที่สร้างแบบล้านนา ญาติๆ พี่นพที่อยู่นั่นก็เกือบครึ่งร้อยแล้วมั้ง แต่บางตระกูลที่ยังคงความเป็นจีนอยู่ ก็สร้างเป็นฮวงซุ้ยแทนที่จะเป็นกู่"

เจยกตัวอย่างบ้านของปรินซ์และซันซันซึ่งเพิ่งมาอยู่เชียงใหม่ได้เพียงสามชั่วคน ทั้งสองบ้านซื้อที่สร้างฮวงซุ้ยไว้ติดกันอีกเช่นเคย

"ตอนนี้ก็ยังคงมีแค่ฮวงซุ้ยของอากงของซันซันและอาม่าของปรินซ์ที่อยู่ที่นั่นครับ"

เจเล่าใหัฟังว่าทั้งคู่ต้องไปไหว้ฮวงซุ้ยของญาติผู้ใหญ่ตามธรรมเนียมจีนอย่างเช่นตอนเชงเม้งหรือสาทรจีนต่างๆ แต่สำหรับบ้านเขาซึ่งกลายเป็นคนล้านนาไปแล้วนั้น พวกเขาจะมีการทำบุญและมาไหว้ญาติผู้ใหญ่ถึงที่วัดแค่ช่วงปีใหม่เมืองเท่านั้น

"นอกนั้นก็แค่ต่างคนต่างมาเยี่ยมญาติใครญาติมันครับ อย่างแม่ผมบางทีถ้าเข้าเมืองมาก็จะมาแวะเอาดอกไม้มาวางให้พ่อ ผมก็นานๆ มาที"

 ฆาเบียร์นึกไปถึงสุสานอันเป็นที่พำนักสุดท้ายของพ่อแม่ของเขา เขาไม่ได้แวะไปเยี่ยมเยียนพวกท่านทั้งสองมานานพอสมควรแล้ว

"ไว้สักวันฉันจะพาเจไปหาพ่อกับแม่ฉันบ้าง ดีไหม?"

คนตัวโตพูดออกมาเบาๆ เจยิ้มกว้างและรีบพยักหน้ารับคำด้วยแววตาเป็นประกาย

"ดีครับ คุณสัญญาแล้วนะ ต้องพาผมไปจริงๆ นะ"

เจกุมมือคนรักไว้ ฆาเบียร์บีบมือเพรียวนั้นกลับเพื่อเป็นการให้คำมั่น



"เจ เดี๋ยวพี่กับแม่จะเดินกลับกันแล้ว เราจะกลับด้วยเลยไหม หรือจะพาอ้ายฆาบี้ไปเดินดูพิพิธภัณฑ์ของวัดก่อน?"

อิ่มใจเดินเข้ามาถามน้องชายที่นั่งคุยกระจุ๋งกระจิ๋งกับคนรักอยู่ในศาลาวัด เจทำท่าครุ่นคิด

"เออ นั่นสิ ผมก็ลืมไปเลยว่าที่วัดนี้มีพิพิธภัณฑ์ คุณอยากดูไหม ฆาบี้?"

เจหันไปถามคนรัก ฆาเบียร์พยักหน้าบอกว่าเขาอยากดู

"งั้นรีบๆ ดูล่ะ อย่าเพลินมาก ไม่งั้นไม่ทันกินมื้อเที่ยงนะ"

อิ่มขู่น้องชาย ฆาเบียร์อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางอิดออดของเจยามได้ยินคำว่ามื้อเที่ยง คนตัวเล็กรีบดึงมือคนรักให้ลุกขึ้นและเดินลิ่วไปยังพิพิธภัณฑ์ของวัด



“วัดเกตการามนี้เป็นวัดเก่าแก่ครับ สร้างมาเกือบ 600 ปีแล้วมั้ง…”

เจบรรยายให้คนตัวโตซึ่งใช้บ่าของเขาเป็นที่พักแขนฟัง เขาพาฆาเบียร์เดินเข้าไปยังเรือนไม้ทรงล้านนาที่อยู่ค่อนไปทางหลังวัด

“ส่วนของพิพิธภัณฑ์เนี่ย แรกเริ่มเดิมทีเกิดจากการที่ทางวัดบูรณะกุฏิเก่าทรงจีนอายุกว่าร้อยปีของวัดเมื่อซักเกือบ 20 ปีก่อน ตอนนั้นพวกเขาเอาพวกหน้าบันอะไรต่างๆ นานามาเก็บไว้ที่โรงแห่งนี้ ตอนหลังมาชาวบ้านในย่านนี้ก็พากันเอาข้าวของต่างๆ มาให้ที่นี่ จนเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุดครับ”

ฆาเบียร์มองไปรอบๆ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นแบบที่เรียกว่าพิพิธภัณฑ์ชุมชนซึ่งเก็บรวบรวมข้าวของเบ็ดเตล็ดจำนวนมากไว้ ไม่ได้มีชิ้นงานศิลปะหรูหรา หรือมีการจัดแสดงเป็นนิทรรศการเหมือนพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ

“ในนี้มีทั้งภาพถ่ายโบราณที่หาดูได้ยาก พระพุทธรูป ผ้าเก่า ถ้วยชามโบราณ ของใช้แบบพื้นบ้านที่อาจจะไม่มีให้เห็นทั่วไปแล้ว…”

เจพาคนรักเดินผ่านตู้และแท่นวางที่ใช้แสดงวัตถุนับหมื่นชิ้นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ฆาเบียร์ดูสิ่งของเหล่านั้นด้วยความสนใจ หลายอย่างเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เช่นพระพุทธรูปเก้าเศียร คัมภีร์ใบลานที่จารด้วยอักษรล้านนา หรือเครื่องใช้หลายๆ อย่างที่ดูแปลกตา รวมถึงไม้แกะสลักที่ดูออกว่าเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาคารโบราณที่ถูกนำมาติดไว้ตามฝาผนังทั้งด้านนอกและด้านในของอาคารแห่งนี้



“นี่ๆ ฆาบี้ เนี่ย ธงช้างเผือก”

เจดึงคนรักให้มาดูธงเก่าคร่ำคร่าผืนหนึ่งซึ่งมีรูปช้างเผือกตัวใหญ่บนพื้นสีแดงก่ำซึ่งจัดแสดงไว้ในกรอบพลาสติก

“นี่คือธงชาติไทยก่อนที่เราจะเปลี่ยนเป็นธงไตรรงค์ครับ”

“ธงสมัย King Rama VI เหรอ?”

ฆาเบียร์อ่านป้ายภาษาอังกฤษที่เขียนด้วยมือเหนือกรอบนั้น

“ครับ รอแป๊บนะ ผมขอหาข้อมูลนิดนึง…”

เจเปิดมือถือขึ้นมาค้นข้อมูลและสรุปให้คนรักฟัง

“ธงนี้ใช้มาตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่ 3 จนถึงรัชกาลที่ 6 ครับ หลังจากนั้น ร. 6 ท่านก็ทรงเปลี่ยนให้เป็นธงไตรรงค์แบบในปัจจุบันเพื่อให้ดูเป็นสากล”

ฆาเบียร์รับคำ เขาเดินดูรอบๆ ด้วยความสนใจอีกพักใหญ่ก่อนที่เจนยุทธจะชวนให้เขากลับไปยังบ้านวัดเกต



“เป็นวัดที่น่าสนใจทีเดียวเลยนะ…”

คนตัวโตตอบเมื่อเจนยุทธถามเขาว่าเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับวัดเกต ก่อนกลับออกมาเจพาคนรักไปเดินดูอุโบสถและองค์พระธาตุที่มียอดเอียงน้อยๆ อีกครู่ใหญ่

“ตอนดูที่อุโบสถ ก็เห็นได้ชัดเลยว่าวัดนี้มีการผสมผสานของศิลปะแบบจีนเข้าไปด้วย”

“ครับ คงเพราะย่านนี้เป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวจีนที่อพยพมาอยู่เชียงใหม่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนด้วย ศรัทธาของวัดนี้ก็เป็นชาวจีนเสียเยอะ”

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาได้เห็นภาพวาดฝาผนังอันแสนงดงามที่เป็นฝีมือของช่างจีนเมื่อสมัยเกือบร้อยปีที่แล้วบนผนังของศาลาบาตรของวัด แม้ว่ามันจะถูกกาลเวลาทำลายไปบ้าง แต่ทางชุมชนก็ได้พยายามบูรณะให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับของเดิมให้มากที่สุด

"ผมเสียดายอย่างเดียวครับ ฆาบี้...อ๊ะ ระวังครับ"

เจพูดกับคนรักที่เดินทอดน่องเคียงข้างเขาไปตามทางสายน้อยที่พาพวกเขากลับไปยังบ้านของอากงเล็ก เขาดันกายฆาเบียร์ให้แนบไปกับกำแพงและใช้ตัวบังไว้เมื่อมีรถขับเฉียดใกล้พวกเขา

"...เอ่อ ผมเสียดายแค่ว่าการจัดการพิพิธภัณฑ์เขายังเป็นแบบบ้านๆ ไปนิด ก็อย่างที่คุณเห็น บางจุด ป้ายบรรยายยังเป็นตัวหนังสือเขียนมืออยู่เลย มันก็ดูมีเสน่ห์อยู่หรอก แต่ผมก็อยากให้มันเป็นระบบระเบียบกว่านี้"

"จริงของเจนะ ฉันก็หวังว่าในอนาคตจะมีคนเข้ามาช่วยจัดการให้มันดียิ่งขึ้นไปอีก"

"ครับ ในตอนนี้คนดูแลพิพิธภัณฑ์ก็ล้วนแต่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน ถ้ามีคนรุ่นใหม่หรือกลุ่มหนุ่มสาวเข้ามาช่วยสืบทอดก็คงจะช่วยได้อีกมาก"

ฆาเบียร์พยักหน้าเห็นด้วย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะคงอยู่ต่อได้ยากหากขาดการสืบทอดจากคนรุ่นหลัง



"อ๊ะ มากันแล้ว พี่กำลังจะโทรตามพอดี"

อิ่มใจทักน้องชายที่เดินเข้าประตูบ้านมา เธอกำลังช่วยแม่และญาติๆ จัดโต๊ะสำหรับอาหารมื้อกลางวัน

"ผมบอกแล้วนะว่าจะกลับมาทันกินมื้อเที่ยงแน่นอน"

เจหันไปทำหน้าเป็นใส่พี่สาว อิ่มได้แต่หัวเราะหึๆ ให้กับความเห็นแก่กินของน้องชาย

"ให้ผมช่วยนะครับ"

เมียตัวโตของเจปราดเข้าไปช่วยญาติผู้พี่คนหนึ่งของคนรักซึ่งกำลังยกหม้อใบใหญ่ที่ใส่น้ำเงี้ยวออกมาจากครัว เจมองตามหลังฆาเบียร์ด้วยความอิ่มใจ เมื่ออยู่กับเขาและครอบครัว คนตัวโตก็จะถอดหัวโขนของนักธุรกิจใหญ่ข้ามชาติออกและปฏิบัติต่อญาติของเขาอย่างนอบน้อมและเป็นกันเองเสมอ

“ป่ะ ฆาบี้ เราไปช่วยในครัวกันเถอะ”

คนตัวโตเดินตามเจนยุทธเข้าไปในครัว พวกเขาช่วยยกจานชามและหม้อใส่อาหารออกมา วันนี้มีเหล่าญาติๆ มารวมตัวกันอยู่มาก ทางบ้านวัดเกตจึงจัดเลี้ยงพวกเขาแบบบุฟเฟต์




“อ้ายเปิ้นกิ๋นอะหยังได้พ่องน่ะ เจ คัวกิ๋นวันนี้มีก้าคัวเผ็ดๆ เน่อ”

“พี่เขากินอะไรได้มั่งน่ะ เจ อาหารวันนี้มีแต่ของเผ็ดๆ นะ”

อาสะใภ้คนหนึ่งของเจเอ่ยปากถามขึ้นอย่างกังวล เจหันไปบอกคนตัวโตซึ่งพยักหน้ารับคำ

“That’s OK. Kin phed dai krab”

ฆาเบียร์หันมาตอบเป็นภาษาไทยใส่อาสะใภ้ของเจคนนี้ซึ่งเขารู้ว่าพูดอังกฤษไม่ค่อยได้

“อ้าว พูดไทยได้ด้วยเหรอคะ?…”


เจหัวเราะคิกคักเมื่อคนรักของเขาทำท่าไปไม่เป็นแล้วหันมาขอความช่วยเหลือเมื่ออาของเขาพูดภาษาไทยใส่รัวๆ

“อาคับ อ้ายเปิ้นอู้ไทยได้เป๋นกำๆ บ่ดายคับ”

“อาครับ พี่เขาพูดไทยได้เป็นคำๆ ไปแค่นั้นครับ”

อาสะใภ้ของเจร้องอ๋อ

“หันเปิ้นออกเสียงชัด อาก่อเลยนึกว่าเปิ้นอู้ได้ สอนเปิ้นเฮี๋ยเน่อจะได้คุยกับหมู่อาฮู้เรื่อง”

“เห็นเขาออกเสียงชัด อาก็เลยนึกว่าเขาพูดได้ สอนเขาซะนะจะได้คุยกับพวกอารู้เรื่อง”


อาของเจพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะกลับเข้าไปจัดการนั่นนี่ในครัวต่อ เจหันมาถ่ายทอดคำพูดของอาสะใภ้ให้คนรักฟังต่อ

“ฉันคงต้องเรียนพูดไทยจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ”

คนตัวโตทำท่าฮึดสู้ เจได้แต่หัวเราะหึๆ แล้วได้แต่คิดว่าคนที่ยุ่งตลอดเวลาอย่างฆาเบียร์คงจะมีเวลาเรียนหรอก




“ไหน ขอดูหน่อย คุณกินอะไรได้มั่งน่ะ”

เจชะโงกดูจานของคนรัก ต่อให้เจ้าตัวบอกว่ากินเผ็ดได้ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าคนตัวโตจะกินได้แค่ไหน

“ฮ่าๆ คุณนี่ สุดท้ายก็ต้องไปแย่งหลานกิน”

เจหัวเราะก๊ากออกมาเมื่อเห็นว่าในจานของคนตัวโตที่ปากดีบอกว่ากินเผ็ดได้มีมะกะโรนีผัดไก่ที่ทำไว้ให้พวกเด็กๆ กินอยู่ถึงครึ่งจาน ที่เหลือ นอกเหนือจากพวกหมูทอดจากกาดวโรรสและผัดผักแล้วก็มีอาหารเมืองที่เผ็ดไม่มากนักอย่างน้ำพริกอ่องและแกงฮังเล ฆาเบียร์ทำหูทวนลมและทำท่าไม่ใส่ใจคนตัวเล็กที่แซวเขายกใหญ่ เจแอบยิ้มเมื่อเห็นเมียตัวโตของเขาทำท่ากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

“กินเยอะๆ นะครับ ฆาบี้ ถ้ายังผอมกลับไป เดี๋ยวทางฮ่องกงเขาจะว่าผมเลี้ยงเมียไม่ดี อ๊ะ..”

เจหัวเราะแหะๆ และขอโทษคนรักเบาๆ เมื่อเผลอตัวเรียกเจ้าตัวว่าเมียเสียดังลั่นต่อหน้าญาติๆ หลายคนที่นั่งกินอาหารด้วยกันในครัว แม้จะไม่ได้มีใครสนใจ แต่เจก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี หากคนตัวโตก็ดูไม่ได้มีทีท่าขัดเคืองอะไร ในทางกลับกัน กลับเป็นเจที่ต้องหน้าแดงซ่านเมื่อฆาเบียร์โอบไหล่ของเขาและดึงเข้ามาหอมเรือนผมเสียฟอดใหญ่ต่อหน้าทุกคน

"เรียกได้เรียกไปเถอะ เจนยุทธ แต่อย่าลืมแล้วกันว่าเมื่อคืนใครกันแน่ที่เป็นเมีย"

คนตัวโตกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของคนปากดี เจบ่นอุบอิบแล้วรีบดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมแขนของคนรัก เขาเขยิบเก้าอี้ออกห่างแล้วก้มหน้าก้มตากินโดยพยายามไม่สนใจสายตาพริบพรายที่จ้องมองมาอย่างขบขัน ฆาเบียร์จ้องมองแก้มแดงๆ ของคนที่รีบตักอาหารเข้าปากอย่างเร็วตรงหน้าด้วยความหลงใหล เขาอยากเก็บเจ้าของใบหน้าที่แสดงอารมณ์หลากหลายนี้ไว้ข้างกายตลอดเวลาเหลือเกิน



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ นึกว่าคำจะไม่ล้นแล้ว ฮืออออออ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- วัดเกต (ต่อ) ----




"เหม่ออะไรครับ ฆาบี้? กินข้าวๆ แมลงวันตอมแล้วเนี่ย"

เจบ่นพลางปัดแมลงวันที่บินวนเวียนเหนือจานข้าวของคนตัวโต ฆาเบียร์รีบตักอาหารในจานกินต่อ เขากินมะกะโรนีผัดซอสมะเขือเทศรสชาติเด็กน้อยขึ้นกิน

"อื้ม รสชาติโอเคนี่ ตอนแรกฉันนึกว่าจะเป็นแบบผัดเคทชัปหวานๆ เสียอีก"

คนตัวโตชมออกมา เขานึกว่ามันจะเป็นแบบเดียวกับที่เคยกินในร้านอาหารแบบแฟมิลี่เรสตัวรองท์ของญี่ปุ่นที่มักจะติดหวาน แต่ของที่บ้านเจทำยังมีความเปรี้ยวของมะเขือเทศหลงเหลืออยู่บ้าง

"ถ้าพูดถึงมะกะโรนีผัดแบบไทยที่ขายกันตามร้านก็จะเป็นแบบที่คุณว่าครับ..."

เจตอบ เขาบอกว่าสำหรับคนไทยแล้ว มะกะโรนีผัดซอสคือมะกะโรนีแบบข้อสั้นต้มและผัดกับซอสมะเขือเทศหรือเคทชัป ผัดใส่ไข่โดยใส่ผักอย่างแครอท พริกหวานและมะเขือเทศหั่น

"แบบนั้น ผมก็ชอบกินนะ อย่าไปคิดว่ามันเป็นมะกะโรนี คิดซะว่าเป็นอาหารไทยอย่างหนึ่ง ผมติดกินแบบนั้นมาจากตอนกินข้าวสั่งที่โรงเรียน แต่สำหรับบ้านผมแล้ว ถ้าพูดถึงผัดมะกะโรนี ก็ต้องเป็นแบบนี้"

ฆาเบียร์ก้มลงดูมะกะโรนีเส้นยาวผัดในจาน มันใส่เพียงอกไก่และหอมหัวใหญ่ที่ผัดจนใสและซอสมะเขือเทศเท่านั้น

"ก่อนอื่นก็ต้มเส้นแล้วพักไว้ครับ จากนั้นผัดไก่กับหอมใหญ่และกระเทียมจนหอมใหญ่เริ่มใส แล้วก็ใส่มะเขือเทศบดเข้มข้นแบบกระป๋องลงไป บ้านผมใช้ยี่ห้อไมก้าเท่านั้นครับ ผัดจนซอสมันเริ่มเดือดแล้วถึงเอาเส้นลงคลุก ปรุงเกลือ พริกไทย ง่ายๆ แค่นี้เลยครับ"

เจบอกว่าหลังๆ มา แม่เขาจะเพิ่มรสชาติด้วยการใส่มะเขือเทศโรม่าแบบกระป๋องลงไปด้วย แต่ใส่ในปริมาณไม่มากและมักจะยีจนแตก หากสำหรับเจแล้ว เขาชอบรสชาติดั้งเดิมแบบที่แม่เคยทำให้กินสมัยยังเด็กมากที่สุด

"ส่วนแบบที่ผัดใส่ไข่กับซอสมะเขือเทศหวานๆ นั่น ผมก็นานๆ กินทีครับ ไว้ผมจะลองทำให้คุณกินสักวันนะ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์พยักหน้าตอบรับ หากคิดในใจว่าตัวเองคงไม่ชอบแบบนั้นแน่ๆ



คนตัวโตใช้ส้อมจิ้มมะกะโรนีเส้นยาวเข้าปากอีกคำใหญ่และกินต่อจนอาหารในจานหมดเกลี้ยง แต่ก่อนจะรวบช้อนส้อมและเก็บจาน เจก็ส่งข้าวเหนียวปั้นจิ้มอาหารชนิดหนึ่งส่งเข้ามาถึงปากของเขา

"หืมม์? อะไรน่ะ เจนยุทธ?"

"ต๋ำบะหนุนครับ คุณเคยกินแล้วนี่?"

ฆาเบียร์พูดทวนชื่อเบาๆ พร้อมกับทบทวนความจำของตัวเอง

"อ๋อ ที่ใช้ขนุนอ่อนทำใช่ไหม? อืมม์? ฉันชอบ อร่อยดี"

เขานึกถึงอาหารที่ทำจากการนำขนุนอ่อนไปตำรวมกับเครื่องแกงและนำไปผัด ฟองนวลเคยทำอาหารชนิดนี้ขึ้นโต๊ะให้เขาชิมมาก่อนหน้านี้แล้ว

"งั้นกินนี่อีกอย่างครับ แก๋งบะหนุน"

เจส่งแกงขนุนอ่อนที่เขาตักใส่ถ้วยใบน้อยมาให้คนรัก

"ฉันอิ่มแล้วน่ะเจ ไม่กินแล้วได้ไหม?"

คนตัวโตทำอิดออด

"กินหน่อยเถอะครับ for good luck"

ฆาเบียร์ทำหน้างง ขนุนมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องโชคลางกัน เจยิ้มและอธิบายต่อ

"สำหรับคนเหนือแล้วเราจะกินแกงหรือตำขนุนเพื่อเอาเคล็ดในวันปากปี๋ หรือวันแรกของปีครับ ซึ่งก็คือวันนี้"

คนตัวโตนั่งฟังคนรักอธิบายด้วยความสนใจ เจบอกว่าในภาษาไทยแล้ว คำว่า ขนุน นั้นมีเสียงคล้ายคลึงกับคำว่า อุดหนุน หรือ เกื้อหนุน คนเมืองจึงต้องกินแกงหรือตำขนุนเพื่อที่ว่าจะได้มีโชคดีคอยเกื้อหนุนตลอดปีที่จะมาถึง

"ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันก็ต้องกินสินะ"

ฆาบี้พูดยิ้มๆ พร้อมกับตักขนุนอ่อนชิ้นโตในถ้วยเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ เจอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นคนรักพยายามเรียนรู้และทำตามธรรมเนียมของบ้านเขา



"ญาติๆ ผมชมคุณใหญ่เลยนะ ฆาบี้"

เจบอกคนตัวโต เมื่อสักครู่เขาปล่อยฆาเบียร์ไว้กับญาติๆ ส่วนตัวเองลุกไปตักขนมจีนน้ำเงี้ยวจานโตมากินต่อ เมื่อกลับมาเขาก็ต้องยิ้มเมื่อเห็นฆาเบียร์ไปช่วยญาติๆ ของเขาเก็บกวาดและล้างจานอย่างเป็นกันเอง หลังจากนั้น เหล่าญาติๆ ของเขาก็พากันมากระซิบชมเชยคนรักตัวโตของเขา ฆาเบียร์ยิ้มอย่างพึงใจเมื่อได้ยินเจนยุทธกล่าวเช่นนั้น เขาพยายามเต็มที่เพื่อที่จะให้ครอบครัวและญาติของคนรักมองข้ามไปว่าตัวเขานั้นเป็นผู้ชายและยอมรับในตัวเขา

"หลังจากนี้เราต้องทำอะไรต่อเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถามเมื่อเจกินข้าวเสร็จและพวกเขาออกมานั่งกันต่อที่ส่วนนั่งเล่นของบ้าน ญาติของเจบางส่วนเริ่มทยอยกลับกันไปแล้ว เช่นเดียวกับจืดที่จะพาลูกเมียไปเดินห้างต่อ ส่วนฟองนวลและอิ่มใจก็กำลังพูดคุยกับญาติซึ่งเป็นเจ้าของบ้านแห่งนี้

"อืมม์ ไม่มีอะไรต่อแล้วครับ ส่วนของพิธีอะไรก็หมดแล้ว งั้น เราไปแล้วไหม?"

เจเหลือบมองข้อมือตัวเองเพื่อดูเวลาแล้วก็ลุกขึ้นยืน ฆาเบียร์ลุกขึ้นตาม คนตัวเล็กพาคนรักเดินไปบอกแม่และพี่สาวว่าเขาและฆาเบียร์จะไปกันแล้ว จากนั้นก็ขึ้นไปกราบลาอากงเล็กของเขาและกล่าวลาเหล่าญาติๆ ซึ่งต่างก็ให้ศีลให้พรและบอกเจให้พาฆาเบียร์มาหาอีกบ่อยๆ โดยทั้งคู่ก็ได้กล่าวรับปากเป็นมั่นเหมาะก่อนที่จะออกมาจากบ้านนั้น



"เดี๋ยวจะไปไหนต่อเหรอ กลับบ้านกันเลยไหม?"

คนตัวโตที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกง่วงนิดๆ ถาม ข้าวเหนียวที่เขากินเข้าไปพอสมควรเริ่มออกฤทธิ์แล้ว เจซึ่งตอนนี้เป็นฝ่ายขับรถส่ายหน้าเบาๆ ฆาเบียร์อ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำตอบของคนตัวเล็ก

"ไม่ครับ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปกินขนมต่อ"




--------------------------------------------------


หายไปตั้งสามสัปดาห์ คิดถึงกันบ้างหรือเปล่าคะ? ตอนนี้อาจจะป่วงๆ นิดหนึ่งนะคะ พอไม่ได้เขียนนานๆ ก็ชักสนิมขึ้น กำลังพยายามปรับให้เข้าที่เข้าทางอยู่ค่ะ

ในตอนนี้พูดถึงวัดสำคัญอีกวัดหนึ่งของเชียงใหม่อย่างวัดเกต วัดแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเกือบหกร้อยปีมาแล้ว และเป็นศูนย์กลางของชุมชนเก่าแก่ซึ่งในตอนนี้นับเป็นชุมชนที่เข้มแข็งที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่อย่างชุมชนวัดเกต คนเขียนขอสารภาพว่าแม้จะอยู่ไม่ไกลจากวัดนี้แต่ก็เข้าไปในวัดนี้นับครั้งได้ และไม่เคยได้มีโอกาสเหยียบย่างเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์อันเลื่องชื่อของวัดเกตเลย ได้เห็นก็ตอนที่หาข้อมูลเพื่อเขียนนี่แหละค่ะ ตอนนี้ก็เลยคิดว่าจะหาโอกาสเข้าไปเดินดูสักวัน ตอนนี้ก็ชมภาพจากรีวิวของคนอื่นไปก่อนแล้วกันนะคะ

วัดเกตการาม https://pantip.com/topic/38078988


ในวัดเกตนี้มีกู่ของคนในชุมชนอยู่หลายองค์เหมือนกัน แต่แบบที่เป็นกำแพงที่คนเขียนใส่ไว้ในเรื่องนั้น คนเขียนขออนุญาตมโนขึ้นมาเองนะคะ โดยอ้างอิงจากที่เคยเห็นจากในวัดอื่น แหะๆๆ​

ตอนหน้าจะมาให้เร็วกว่านี้ค่ะ ไม่น่าเกินสัปดาห์นึงเหมือนเดิมค่ะ




ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Coffee, Tea & Sweetest Thee ----





"เจ นี่นายยังกินขนมไหวอยู่เหรอ? "

คนตัวโตที่ตอนนี้อิ่มขึ้นมาถึงคอหอยแล้วประท้วงขึ้น เจยิ้มกว้างแล้วตอบ

"แหม คุณ กระเพาะของหวานกับกระเพาะของคาวมันแยกกันครับ"

ฆาเบียร์โคลงหัวให้กับหลักอนาโตมั่วของเจนยุทธอีกครั้ง เจหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางของคนรัก

"จริงๆ ผมนัดพี่นพไว้น่ะครับ เมื่อกี้พี่เขาไลน์มาบอกว่าตอนนี้อยู่ที่ร้านชาหลังสตาร์บัคส์เชียงใหม่ราม ก็เลยว่าจะไปหาสักหน่อย มาคราวนี้คุณยังไม่ได้เจอพี่นพเลยใช่ไหม? "

คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ ฆาบี้พยักหน้ารับคำ เจขับรถมาตามถนนเส้นเลียบคูเมือง ผ่านหน้าโรงเรียนวัฒโนฯ และมุ่งหน้าไปยัง Chiang Mai Ram Health Center เขารับบัตรและจอดรถไว้ในลานจอดอันแสนกว้างขวางของโครงการที่มีทั้งศูนย์การแพทย์และร้านกาแฟแห่งนี้

"ฉันเคยมาแต่สตาร์บัคส์แฮะ ที่นี่มีร้านชาด้วยเหรอ? "

คนตัวโตรำพึง สตาร์บัคส์สาขาเชียงใหม่รามเป็นที่นั่งทำงานประจำของเจ เขาเองก็เคยมานั่งกับเจนยุทธอยู่หลายครั้ง

"มีสิคุณ ร้านห้องกระจกเล็กๆ ที่ตึกนี้ไง ที่เรายังเคยคุยกันเลยว่าร้านเขามาเปิดหลังสตาร์บัคส์นี่จะได้ขายเหรออ่ะ"

ฆาเบียร์ร้องอ๋อเมื่อนึกถึงร้านที่ภายนอกไม่ได้ดูดึงดูดอะไรออก

"ปรากฎว่ามันเวิร์คเลยทีเดียวครับ พี่นพเคยพาผมมาครั้งหนึ่ง ขนมอร่อยเลยแหละ แถมชาก็ยังคุณภาพดีด้วย เสียดายที่นั่งนั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่"



เจพาคนรักเปิดประตูเข้าไปในร้านชา "Tea Leaf Lab" ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ฆาเบียร์กลับตื่นตาตื่นใจกับครัวเปิดขนาดใหญ่ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือแบบมืออาชีพ ไหนจะเครื่องทำชาและกาแฟแบบ Cold Brew ที่ทำจากแก้วขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนเคาเตอร์กลางร้าน มันดูเหมือนหลอดทดลองที่มีท่อแก้วขดๆ สูงกว่าเมตร

"ใช้ได้เลยนี่นา"

ฆาเบียร์กระซิบกับเจเบาๆ เจนยุทธพยักหน้าแล้วพาคนรักเดินไปหานพซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ นพเงยหน้าขึ้นทักทายเพื่อนทั้งสองของเขา

"สั่งอะไรไปมั่งแล้วอ่ะ พี่นพ วันนี้มีขนมอะไรมั่ง? "

เจถามพี่ชายคนสนิทของเขา

"มีหลายอย่างอ่ะ กูจองไว้บ้างละ กะจะกินพร้อมมึงแหละ แล้วก็สั่งพายมันฝรั่งไว้ให้ด้วย กินไหวไหม? เห็นว่าอิ่มมาแล้วนี่? "

นพซึ่งสั่งแค่โกโก้เย็นมาดื่มก่อนตอบ เจตอบว่าเขากินไหวแน่นอน

"นี่อะไรวะ นพ? โกโก้เย็นเหรอ? "

ฆาเบียร์มองแก้วตรงหน้าเพื่อนของเขาอย่างสนใจ ในแก้วทรงกลมมนนั้นมีน้ำแข็งกลมใสขนาดใหญ่กว่าลูกกอล์ฟเล็กน้อยอยู่ น้ำแข็งแบบนี้จะละลายช้าและให้ความเย็นจัดแก่เครื่องดื่ม จึงทำให้เครื่องดื่มมีอุณหภูมิที่พอเหมาะโดยไม่จืดจางไปเสียก่อน มักนิยมใช้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชั้นดี ส่วนโกโก้ในแก้วนั้นก็ดูข้นหนืดซึ่งบอกได้ถึงรสชาติอันเข้มข้นของมัน เพียงแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าเหตุใดร้านนี้จึงสามารถแข่งขันกับร้านกาแฟดังอย่างสตาร์บัคส์ได้



"ป่ะ เราไปสั่งเครื่องดื่มกันดีกว่า"

เจชวนคนรักไปที่เคาเตอร์ ที่นั่น เจ้าของร้านสาวยืนรอต้อนรับพวกเขาอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอทักทายฆาเบียร์ด้วยภาษาอังกฤษอย่างชัดเจนและแนะนำเครื่องดื่มต่างๆ ที่มี เจเลือกดื่มชาดอกเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ใส่น้ำเชื่อมส้มยูสุ ส่วนฆาเบียร์เลือกกาแฟอเมริกาโน่

"ที่นี่เค้ามีน้ำเชื่อมโฮมเม้ดด้วยนะคุณ"

เจชี้ให้ฆาเบียร์ดูลิสต์น้ำเชื่อมของทางร้านซึ่งมีทั้งกลิ่นดอกไม้อย่างเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ มะลิ ลาเวนเดอร์หรือผลไม้อย่างส้มยูสุ แต่ที่เตะตาเมียตัวโตของเจคือตองก้า บีน

"นี่คุณใช้ตองก้าบีนแท้ๆ มาทำเลยเหรอครับ? "

คนตัวโตถาม ตองก้าบีนเป็นเมล็ดของพืชตระกูลถั่วซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นของทางอเมริกากลางและตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ มันให้กลิ่นคล้ายกับวนิลา ฆาเบียร์หันไปบอกเจว่าเขาแทบไม่เคยกินอะไรที่ใช้ตองก้าบีนเป็นตัวให้กลิ่นเลย

"ใช่ค่ะ ทางร้านเราใช้เม็ดตองก้าบีนมาต้มกับน้ำเชื่อม"

เจ้าของร้านสาวหันไปบอกเชฟชาวต่างชาติผู้เป็นสามีให้หยิบกล่องเหล็กใส่เม็ดตองก้าบีนมาให้ทั้งสองคนดู คนตัวโตดูและยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้ด้วยความตื่นเต้น ที่สหรัฐฯ ตองก้าบีนถือเป็นอาหารควบคุมเนื่องจากมีสารซึ่งอยู่ในบัญชีต้องห้าม เขาจึงไม่เคยได้มีโอกาสลิ้มลองบ่อยนัก หากน้ำหอมที่เขาใช้อยู่หลายๆ ตัวนั้นล้วนมีกลิ่นที่สกัดจากตองก้าบีนผสมอยู่



"งั้นผมขอเติมน้ำเชื่อมตองก้าบีนในกาแฟด้วยครับ"

ฆาเบียร์สั่งเติมน้ำเชื่อมราคา 45 บาทซึ่งนับว่าแพงนั้นไปโดยที่ไม่ต้องคิด เขาและเจนยุทธเดินกลับมานั่งรอที่โต๊ะ ไม่นานนักเครื่องดื่มและขนมที่นพสั่งไว้ให้ก่อนแล้วก็ทยอยมาเสิร์ฟ คนตัวโตได้แต่กระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นขนมที่นพบอกว่าสั่งไว้ไม่กี่อย่าง มันมีทั้งพายมันฝรั่งสองชิ้น ทาร์ตช็อคโกแลต คลาฟูตีซึ่งเป็นขนมฝรั่งเศสชนิดหนึ่ง คุกกี้ชิ้นหนึ่ง ขนมที่หน้าตาเหมือนฟรุ้ตเค้กชิ้นเล็กๆ และมูสอะไรสักอย่างที่มาในถ้วยเซรามิค มันเสิร์ฟมาพร้อมกับชอร์ตเบรดรสช็อคโกแลต

"ฆาบี้ครับ กาแฟคุณนี่กลิ่นคุ้นๆ มากเลย"

คนตัวเล็กที่แอบชิมกาแฟของคนรักไปก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้ดื่มพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ แน่นอนล่ะที่เจจะต้องคุ้นกับกลิ่นของมัน

"ต้องคุ้นอยู่แล้วสิ ก็น้ำหอม Tobacco Vanille กลิ่นโปรดของเจก็ใส่ตองก้าบีนด้วยนี่"

เจอุทานออกมาเบาๆ เมื่อนึกได้ถึงความคล้ายคลึงนั้น ฆาเบียร์ยกกาแฟของเขาขึ้นจิบแล้วต้องยิ้มออกมา กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งมักใช้เสริมกลิ่นวนิลาและกลิ่นใบยาสูบในน้ำหอมทำให้กาแฟแก้วนี้อร่อยขึ้นอีกมาก เขายังรู้สึกได้ว่าร้านนี้ใช้เมล็ดกาแฟดีสมกับราคาที่แทบไม่ต่างหรืออาจจะดีกว่าร้านกาแฟแบรนด์เนมซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าเลย



"เจอกาแฟคุณเข้าไป ชาผมกลิ่นจางไปเลยอ่ะ"

เจบ่นเบาๆ เมื่อจิบชาของตัวเอง เขาส่งให้เมียตัวโตของเขาลองชิมดู ฆาเบียร์ยกแก้วทรงกลมที่มีน้ำแข็งกลมใสนั้นขึ้นดื่มแล้วก็ต้องชมเปาะออกมา กลิ่นเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ในชานี้อ่อนเบากว่าแบบที่ขายในท้องตลาด ทำให้รู้ได้ว่าได้ใช้ดอกแห้งมาทำเป็นชาจริงๆ ไม่ได้เกิดจากการเติมกลิ่นสังเคราะห์ลงไป คนตัวโตส่งแก้วกาแฟทรงสูงของเขาส่งให้เจนยุทธ

"แลกกันก็ได้นะเจ ถ้านายชอบกาแฟฉันมากกว่า"

เจรับแก้วใส่กาแฟมาจิบอีกอึกหนึ่งแล้วส่งกลับให้คนรัก

"ไม่เป็นไรครับฆาบี้ คราวหน้าผมค่อยมาสั่งเองก็ได้ คุณกินเองเหอะ"

คนตัวเล็กหันไปจิ้มพายมันฝรั่งตรงหน้ากิน

"อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ? "

ฆาเบียร์ถามคนรักที่ทำท่าเต้นดุ๊กๆ ดิ๊กๆ บนเก้าอี้ เจพยักหน้าและตัดอีกคำหนึ่งส่งใส่ปากคนตัวโต

"หืมม์? นี่มันใช้ได้เลยนี่เจ ว้าว แน่ใจเหรอว่ามันใส่แค่มันฝรั่งแล้วก็ครีมจริงๆ? "

คนตัวโตใช้ส้อมเขี่ยๆ ดูส่วนผสมภายใต้หน้าชีสสีทองอร่าม พายที่ดูเรียบง่ายนี้กลับเต็มไปด้วยรสอร่อยอันเกิดจากการปรุงรสที่พอเหมาะ เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันมันเลี่ยนเกินไปหรือจืดเกินไป กลิ่นรสของมันฝรั่งก็ชัดเจนโดยไม่ถูกส่วนผสมอื่นกลบไป



“ฉันว่ารสชาติมันคุ้นๆ จัง เหมือนฉันเคยกินแบบนี้ที่อังกฤษ ฉันจำได้เพราะตอนนั้นฉันก็รู้สึกแปลกใจเหมือนตอนนี้ว่าใส่แค่มันกับครีมแล้วทำไมถึงอร่อยได้ขนาดนี้”

ฆาเบียร์พูดกับเจนยุทธด้วยความฉงน

“เชฟเจ้าของร้านเขาเคยทำงานอยู่อังกฤษน่ะ เดี๋ยวมึงลองถามน้องเขาสิว่าแฟนเค้าเคยทำงานอยู่ที่ไหน”

นพตอบแทนพลางยกมือเรียกคุณเกดเจ้าของร้านสาวเข้ามาหาและจัดการถามไถ่ให้จนเสร็จสรรพ

“เชพเคยทำงานเป็น Executive sous chef ที่โรงแรม Rosewood ลอนดอนค่ะ และพายมันฝรั่งนี่ก็เป็นสูตรเดียวกับที่นั่น ใช่ที่ๆ คุณเคยไปกินหรือเปล่าคะ?”

เมียตัวโตของเจร้องอ๋อออกมา เขายังจำทีรูมของโรงแรมชื่อก้องนั้นได้ จากการพูดคุยกับเจ้าของร้านทำให้รู้ว่าเชฟ Roman Sturn ผู้เป็นคนลงมือทำขนมทุกชิ้นในร้านเองเคยทำงานกับร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังหลายแห่งในอังกฤษและยุโรป

“ชาของร้านเรามีทั้งชานำเข้าและชาที่ปลูกในไทยค่ะ ชาที่ปลูกในไทยของเราส่วนหนึ่งมาจากไร่ของชาวเยอรมันที่ปลูกจำนวนจำกัดในอำเภอเชียงดาว อีกส่วนหนึ่งเป็นชาของโครงการหลวง ส่วนชานำเข้าก็เป็นชาออร์แกนิคทั้งหมด ส่วนผลไม้ที่ใช้ทำขนมนั้นส่วนมากมาจากสวนของเกดเอง เป็นแบบออร์แกนิคหมดเหมือนกันค่ะ”

คุณเกดพูดพลางส่งชาที่ว่ามาจากไร่ของชาวเยอรมันให้พวกเขาลองดมดู พวกเขาคุยกับเจ้าของร้านสาวครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะขอตัวไปดูแลลูกค้าคนอื่น




"ฆาบี้ๆ ชิม Clafoutis นี่สิ อร่อยนะ"

เจสะกิดคนรักให้ชิมขนมสัญชาติฝรั่งเศสที่อยู่ในถ้วยกระดาษไข

"เจ ฉันอิ่มจริงๆ นะ นายยังกินไหวอยู่เหรอ? "

คนตัวโตนิ่วหน้า เจยักไหล่แล้วหันไปส่งจานคืนให้นพ ฆาเบียร์โคลงหัว เจ้าตัวเล็กของเขาคงจะมีกระเพาะของหวานแยกจริงๆ เขามองดูคนรักและอดีตคนเคยรักของเขาที่กินขนมไปคุยเล่นหัวร่อต่อกระซิกกันไปแล้วก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้

"พวกนายนี่ชอบมานั่งกินขนมกันเหมือนสาวๆ จริงๆ นะ"

ฆาเบียร์แซวยิ้มๆ หลายครั้งแล้วที่เขาเห็นในโซเชียลมีเดียว่านักกินคู่นี้ตระเวนกินขนมตามร้านนั้นร้านนี้ โดยจะสั่งพวกเค้กหรือขนมหวานมาเต็มโต๊ะ

"ไม่เห็นแปลกเลยคุณ ก็ของมันอร่อยนี่นา คุณไม่กินก็อย่าแซวสิ"

เจย่นจมูกใส่คนรัก เขารู้ว่ามันยากที่จะเห็นผู้ชายสองคนตั้งใจมานั่งกินขนมหวานกันเองโดยไม่ได้มากับสาวๆ แต่ทั้งเขาและนพต่างก็เป็นนักกินตัวยง เพื่อของอร่อยแล้วพวกเขาไม่แคร์ว่าจะมีใครมองว่าพวกเขาแปลก

"จ้ะๆ ไม่แปลกก็ได้ เอ้า ไหน อยากให้ฉันลองชิมอะไร? "

เจตัด Clafoutis ขนมสัญชาติฝรั่งเศสที่มีเนื้อสัมผัสคล้ายกับคัสตาร์ดส่งใส่ปากคนตัวโตแทนคำตอบ

"เขาใส่ผล fig สดแทนเชอรี่นี่? อร่อยดีนะ"

ฆาเบียร์ชมเปาะ สัมผัสนิ่มๆ และรสชาติเฉพาะตัวของมะเดื่อฝรั่งที่ใส่มาเต็มที่ทำให้ขนมชิ้นนี้อร่อยสมราคาเกือบ 200 บาท เจใช้นิ้วปาดเช็ดเศษขนมที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากของคนรัก คนตัวโตจับมือคนรักไว้แล้วจูบปลายนิ้วเรียวนั้นเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาหวานเชื่อมให้



"โอ๊ย หมั่นไส้ว่ะ มึงแขนเจ็บเหรอวะไอ้ฆาบี้ ถึงกินเองไม่ได้ต้องให้ไอ้เจมันป้อน เอ้า! แล้วนี่ กระดาษ ไม่ต้องใช้นิ้วเช็ดให้หรอกมึง"

คนที่อยู่ไกลแฟนอดโวยขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองจู๋จี๋กันต่อหน้า มันทำให้เขาคิดถึงแฟนหน้ามึนของตัวเองที่ไม่ได้เจอหน้ากันสองสามเดือนแล้ว เจหันมาทำหน้าเป็นให้พี่ชายคนสนิท

"เอาขนมมานี่เลย พวกมึงไม่ต้องกินก็เบาหวานจะแดรกตายอยู่แล้วมั้ง ชิ! "

หนุ่มร่างอวบบ่นกะปอดกะแปดพร้อมกับดึงจานขนมที่เหลือเข้ามาหาตัว เจรีบตะครุบจานทาร์ตช็อคโกแลตไว้ได้

“อย่าพาลสิวะ นพ กูไม่ได้เจอเจตั้งสองเดือน ก็ต้องหวานกันหน่อย ใช่ไหมจ๊ะ ที่รัก? นายนี่หวานไปทั้งตัวจริงๆ นะเจนยุทธ”

ฆาเบียร์หันไปเชยคางคนรักที่ถือโอกาสตอนพวกเขาคุยกันตัดทาร์ตช็อคโกแลตแสนอร่อยเข้าปากเสียคำใหญ่

“โอ๊ย เหม็นความรักโว้ย! เฮ้ย ไอ้เจ มึงไม่ต้องเนียนเลย เอามานี่!”

นพทำหน้าบูดพร้อมดึงจานทาร์ตมากินบ้าง



“พวกมึงไม่เจอกันแค่สองเดือน จิ๊บๆ ของกู อิพี่วัฒน์มันหายหัวไปจะสามเดือนแล้ว คุยกันยังแทบไม่ได้คุยเลย”

อดีตรูมเมทของฆาเบียร์บ่นอุบอิบพร้อมกับกรอกโกโก้ลงคอ เจทำตาปริบๆ มองหน้าหนุ่มรุ่นพี่ที่เลือกเมาโกโก้แทนเหล้า

“พี่นพยังไม่ชินอีกเหรออ่ะ? พี่วัฒน์แกก็เป็นของแกแบบนี้อ่ะ”

เจนยุทธเลื่อนจานคลาฟูตีส์ที่ยังเหลือส่งให้พี่ชายคนสนิทอย่างเอาใจ

“ก็ชินแล้วแหละ แต่บางทีกูก็อดน้อยใจไม่ได้”

นพใช้ส้อมขูดเศษขนมที่เหลือบนแผ่นกระดาษไขด้วยความเซ็ง เจหัวเราะเบาๆ

“ก็พี่วัฒน์เขาขอแต่งงานตั้งกี่รอบแล้ว ชวนไปอยู่กรุงเทพฯ ด้วยก็แล้ว พี่นพก็ไม่ยอมไปนี่”

เพื่อนรุ่นพี่ของเจหน้าแดงระเรื่อ ไอ้เด็กที่เปรียบเหมือนน้องชายของเขาคนนี้ล่วงรู้เรื่องราวทุกอย่างของเขาจริงๆ



“หืมม์? วัฒน์เคยขอมึงแต่งงานด้วยเหรอวะ? แล้วทำไมมึงถึงไม่ตกลงไปซะวะ?”

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว นพหัวเราะหึๆ

"จะให้ตกลงได้ยังไงละมึง พวกกูจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าจริงจังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กูก็ยังติดเรื่องนั่นนี่ที่บ้านอยู่ จะให้ลงไปอยู่กับแกได้ยังไงกัน แถมอีพี่วัฒน์มันก็พูดเองว่าจะมาอยู่เชียงใหม่เมื่อเกษียณ สวนกันไปสวนกันมาแบบนี้ มันคงจะอยู่ด้วยกันรอดหรอก"

หนุ่มร่างอวบบ่นด้วยอารมณ์น้อยใจเล็กๆ เจเกาหัวแกร่ก

"โอ๊ย พี่นพ พี่วัฒน์แกพูดเรื่องนี้ไว้เมื่อไหร่นะ? สามสิบปีที่แล้ว? พี่ก็ยังเอามาคิดมากอีก"

"ไอ้หมาเจ สิบกว่าปีโว้ย สิบกว่าปี ไม่ใช่สามสิบปี ชอบเพิ่มอายุให้กูจริงนะ"

นพว๊ากลั่นใส่ไอ้เด็กเวรขี้แกล้ง เจนยุทธหันไปหัวเราะคิกคักกับคนรักที่ก็ทำหน้านิ่ว

“เจ นายก็พูดเกินไปน่า”

คนตัวโตบ่นเบาๆ เพราะสะเทือนใจเล็กๆ ที่เพื่อนวัยเดียวกันถูกแซวเรื่องอายุ เจกลั้นยิ้มด้วยรู้ทันแต่ก็หันไปขอโทษขอโพยพี่ชายคนสนิทของตัว เขาชวนนพเปลี่ยนเรื่องคุยพร้อมกับกินขนมที่เหลือต่อจนหมด









“ร้านเมื่อกี้ขนมอร่อยจริงๆ นะ เจ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมยังเปิดแข่งกับสตาร์บัคส์ได้”

ฆาเบียร์ซึ่งนอนอ่านงานจากแท็บเล็ตของเขาอยู่บนโซฟาพูดขึ้น เขาบอกเจว่าเขายังติดใจรสชาติของ Lime Posset อันเป็นขนมซึ่งมีที่มาจากเครื่องดื่มโบราณของอังกฤษจากยุคศตวรรษที่ 16 ในปัจจุบันมันคือขนมที่ทำจากครีม น้ำตาลและน้ำมะนาวหรือเลม่อนโดยให้เนื้อสัมผัสคล้ายพันนาคอตต้าของอิตาลีแต่เหลวกว่า คนตัวโตบอกว่าเขาชอบที่ Lime Posset ของร้านนี้ก็ไม่ได้หวงมะนาวเลยแม้แต่น้อย

“รสมันเปรี้ยวถึงใจจริงๆ นะเจ แล้วฉันชอบเจ้าอัลมอนด์แผ่นเคลือบน้ำตาลกรอบๆ ที่เขาโรยหน้ามาจริงๆ มันช่วยตัดเปรี้ยวได้ดีเลย”

“ผมชอบชอร์ตเบรดช็อคโกแลตที่เขาไว้ให้กินคู่กันครับ ขมเข้มดีจริงๆ พอมันบวกเข้ากับรสเปรี้ยวจี๊ดของ posset แล้วก็รสหวานจัดของอัลมอนด์เคลือบน้ำตาลนะ…โอย อยากกินอีก”

เจทำท่าปาดน้ำลาย ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

“เราไปกินอีกทีพรุ่งนี้ก็ได้นี่ ฉันก็อยากกินอีกสักถ้วยเหมือนกัน”

เจนยุทธส่ายหัวปฏิเสธทันควัน

“คงไม่ได้หรอกครับ ขนมของร้านนี้เขาเปลี่ยนไปวันต่อวัน นานๆ จะวนมาเหมือนกันสักที ต้องเช็คเฟซบุ๊คร้านดูน่ะครับว่าวันนี้เขาทำอะไร ที่มีประจำก็คือพายมันฝรั่งครับ”

คนตัวโตทำท่าเสียดาย เจยังบอกด้วยว่าปกติขนมร้านนี้จะหมดเร็ว ถ้าอยากกินอะไรก็ควรโทรเข้าไปจองไว้ก่อน

“อยู่กับพวกนายนี่ฉันน้ำหนักขึ้นแน่ๆ”

คนตัวโตลูบหน้าท้องตัวเองแล้วบ่นขึ้นเบาๆ เขาที่กะจะมาแค่ดื่มกาแฟนั้นอดรนทนไม่ได้ต้องกินขนมไปเสียหลายคำเมื่อเห็นเจนยุทธและนพทำท่ากินอย่างเอร็ดอร่อย

“ดีแล้วครับ อยู่ห่างตาผมคุณก็กินน้อย กลับมาบ้านทีก็ต้องขุนกันที”

เจบ่นเบาๆ พลางใช้มือนวดคลึงฝ่าเท้าให้กับคนตัวโตที่เขาจับเท้าขึ้นมาพาดตักเพื่อตัดเล็บให้เมื่อครู่ ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ ในลำคอด้วยความจั๊กจี้ แต่เขาก็ปล่อยให้คนตัวเล็กนวดให้เขาต่อ



“ฟังที่นพพูดเรื่องวัฒน์แล้วก็สงสารคู่นี้เหมือนกันนะ คบกันมาตั้งเกือบยี่สิบปีแต่ก็ยังไม่ลงเอยกันซะที”

คนตัวโตเปรยขึ้นมาเบาๆ เขานึกถึงคำบ่นของอดีตรูมเมทตอนยังอยู่ในร้านขนม หากเป็นเมื่อปีสองปีที่แล้ว เขาคงกำลังเนื้อเต้นด้วยเห็นช่องทางเข้ามาสอดแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง แต่ในตอนนี้เขามีให้เพียงความห่วงใยเท่านั้น หากคนที่ใกล้ชิดกับนพและรู้นิสัยของเจ้าตัวดีกว่าอย่างเจนยุทธกลับหัวเราะหึๆ

“พี่นพเขาก็บ่นแบบนี้มาตลอดแหละครับ นานๆ ทีแกก็น้อยใจขึ้นมาที แต่แกก็รักของแกแล้วก็คงไม่ปล่อยมือง่าย แกจะปล่อยมือกรณีเดียวเท่านั้น…”

เจทิ้งช่วงแล้วแอบเหลือบมองหน้าคนรักที่ทำท่าอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

“ในกรณีไหนเหรอ เจนยุทธ?”

ฆาเบียร์ถามออกมา

“ในกรณีที่พี่วัฒน์เจอผู้หญิงที่แกอยากแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยครับ พี่นพเคยเปรยกับผมว่าถ้าวันหนึ่งพี่วัฒน์ต้องการมีครอบครัว พี่เขาก็จะปล่อยมือ”

“โธ่ นพเอ๊ย…”

คนตัวโตอุทานออกมาด้วยความสงสารเพื่อน

“ผมคิดว่านี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ตลอดมานี้พี่นพยังไม่ยอมรับคำขอแต่งงานของพี่แก ส่วนหนึ่งเพราะเมื่ออยู่ไกลกันตลอดเวลาแบบนี้ มันยากที่จะรู้ว่าที่อีกฝ่ายรู้สึกอยู่นั้นมันเป็นของจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ความยึดติด…”

เจถอนหายใจ ลึกๆ ในใจเขาก็ยังเป็นกังวลเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฆาเบียร์พัฒนาไปอย่างรวดเร็วก็จริง แต่เขาก็ยังอดเผื่อใจไว้ไม่ได้



“...อีกอย่างคุณก็รู้ว่าพี่นพเขาเป็นพวก realist ไม่ใช่พวกโรแมนติกอย่างคุณ แกมองความสัมพันธ์โดยคิดถึงความเป็นไปได้และคาดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า แถมยังดันมองความรักอย่างมีอคติอีกต่างหาก”

เจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาต่อ ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เช่นเดียวกับคนรักของเขา แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป เขาอดเป็นห่วงเพื่อนของเขาไม่ได้ เพราะนี่คือสิ่งหนึ่งในตัวนพที่ต่างออกไปจากเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้วจนเขาสัมผัสได้ รูมเมทตัวกลมของเขาในวันนั้นมองความรักด้วยสายตาเป็นประกาย ถึงจะทำได้เพียงแค่แอบรู้สึกดีๆ กับรุ่นน้องที่ล่วงลับไปคนนั้น แต่เขาก็ยังมีความสุขกับการได้แอบรัก ได้ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ โดยไม่ได้สนใจว่าเจ้าตัวจะเห็นหรือไม่

“เป็นเพราะไอ้เวรนั่นสินะ”

คนตัวโตชักสีหน้าเมื่อนึกถึงคนที่ทำให้นพหมดศรัทธาในความรัก

“ใช่ เพราะไอ้พี่ภูมินั่นแหละ”

เจอดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้เมื่อนึกถึงชายคนนั้น ถึงเขาจะรู้จักนพหลังจากที่หนุ่มรุ่นพี่คนนี้เลิกรากับคนที่เล่นสนุกกับใจของคนอื่นไปนานปีแล้ว ความเจ็บช้ำนั้นยังคงอยู่ให้เจได้รู้สึก เมื่อครั้งที่พวกเขายังออกท่องราตรีด้วยกัน บางคราที่นพเมามาย เขาก็อดที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจฟังไม่ได้ และมักจบลงด้วยน้ำตาของพี่ชายคนสนิทของเขา


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Coffee, Tea & Sweetest Thee (ต่อ) ----




“กูยังทำใจเชื่อคำว่ารักของพี่วัฒน์ไม่ได้จริงๆ ว่ะ พวกเราอยู่ห่างกันขนาดนั้น ถ้าเกิดวันหนึ่งแกเป็นแบบพี่ภูมิขึ้นมา กูจะทำยังไง? กูทนรับการหลอกลวง การหักหลังแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว”

คำพูดทั้งน้ำตานั้นทำให้เจเจ็บใจแทนพี่ชายคนสนิทของเขาทุกครั้ง และมันทำให้เขาเคยพาลเกลียดชังอีกคนหนึ่งไปด้วย

“โอ๊ย เจ ทุบขาฉันทำไม?”

คนตัวโตทำหน้านิ่วเมื่อโดนคนรักที่นวดเท้าให้เขาอยู่ดีๆ ทุบเปรี้ยงเข้าให้ที่หน้าขา

“เพราะคุณนั่นแหละ ฆาบี้ ไปทำแบบนั้นกับพี่นพ”

ฆาเบียร์เกาหัวแกร่กๆ

“นายหมายถึงอะไร เจ ฉันทำอะไร?”

เจนยุทธอ้ำอึ้ง เขาดันอินจัดจนเผลอหลุดปากโทษคนรักออกไปเสียอย่างนั้นทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าคนตัวโตเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแค่ไหน ฆาเบียร์หน้าสลดลงเมื่อคิดได้ว่าเจพูดถึงอะไร เขาขยับกายขึ้นนั่งตัวตรงด้วยทีท่าเซื่องซึม



“นายหมายถึงเรื่องนั้นสินะ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงความผิดที่เคยกัดกินใจเขามาเกือบยี่สิบปี

“คุณครับ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะโทษคุณ”

เจนยุทธพูดแผ่วเบาพร้อมขยับเข้ามานั่งชิดร่างใหญ่กำยำ ฆาเบียร์เอนกายพิงไหล่คนรัก

“จ้ะ ฉันรู้”

คนตัวโตตอบสั้นๆ และไม่พูดอะไรอีก เขาได้แต่นั่งนิ่งและปล่อยให้เจลูบหัวลูบไหล่อยู่อย่างนั้น

“แต่ผมว่า อะไรๆ ระหว่างพี่นพกับพี่วัฒน์อาจจะดีขึ้นนะคุณ…”

เจนยุทธพูดทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นช่วงสั้นๆ เมื่อครู่

“…เมื่อช่วงปีใหม่ พี่นพไปคุยกับพี่จืดเรื่องทำไร่ครับ พี่เขาว่าเขาไปซื้อบ้านไร่ของเพื่อนไว้ และกำลังเตรียมหาความรู้เรื่องทำเกษตรอินทรีย์ แกบอกว่าแกเตรียมไว้เผื่อวันที่พี่วัฒน์จะขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ ทางนั้นเขาเคยเปรยไว้ว่าอยากมาทำไร่เล็กๆ แบบพอเพียงน่ะครับ”

“งั้นเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี ก็แปลว่านพมันเองก็พร้อมใช้ชีวิตคู่กับวัฒน์แล้ว ที่มันพูดวันนี้ก็คงแค่น้อยใจเฉยๆ ล่ะมั้ง”

ฆาเบียร์ซึ่งมีสีหน้าดีขึ้นพูดยิ้มๆ กับเจ คนตัวเล็กหันมายิ้มหวานและผงกหัวตอบรับ คนตัวโตอดไม่ได้ที่ต้องหยิกปากน้อยๆ ที่ชอบเผลอพูดทำร้ายจิตใจเขาบางครั้งและต้องหัวเราะออกมาเมื่อริมฝีปากนั้นไล่งับนิ้วของเขาเหมือนลูกนกตัวน้อยๆ



“ผมว่าเราคงต้องสวีทกันน้อยลงหน่อยตอนอยู่ต่อหน้าแก ไม่งั้นจะโดนตาลุงนั่นบ่นเหม็นความรักอีก”

เจหัวเราะคิกเมื่อนึกถึงเพื่อนรุ่นพี่ขี้บ่นคนนั้น ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ

"นพนี่มันก็ตลกนะ ทำมาเป็นหมั่นไส้เรา ทั้งๆ ที่ก็เป็นคนจัดฉากให้พวกเรามาเจอกันแท้ๆ "

คนตัวโตที่รู้สึกตัวเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้วพูดออกมา เจทำตาโต

"คุณก็คิดเหมือนกันเหรอ? ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าไอ้ที่เราเจอกันครั้งแรกในวันนั้นน่าจะเป็นการวางแผนของพี่นพให้พวกเราได้รู้จักกัน แต่...ผมแม่งก็ดัน เอ่อ เฮ้อ คุณอย่าโกรธพี่นพเขานะ"

เจนยุทธหน้าแดงก่ำเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนทำลงไป คนตัวโตมองคนรักที่พูดอ้ำๆ อึ้งๆ แล้วยกมือขึ้นโอบไหล่เพรียวนั้นและดึงเข้ามาให้แนบกาย

"เจ ฉันบอกแล้วไงให้เลิกคิดถึงเรื่องในวันนั้น ฉันไม่ได้คิดโกรธอะไรนายหรือนพเลย โอเคไหม? "

คนตัวเล็กซุกหน้ากับอกคนรัก สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและฆาเบียร์ในคืนนั้นคงเกินความคาดหมายของตาลุงจิ้งจอกเฒ่าคนนั้นไปมาก



"เจจ๊ะ…”

ฆาเบียร์ดันกายคนรักออกจากอ้อมอกและประสานสายตากับเจนยุทธนิ่ง

“…ฉันอยากให้นายรู้ว่าถึงเรื่องที่ทำให้เรามาเจอกันจะเป็นการจัดฉาก แต่ความรู้สึกของฉันที่มีให้นายนั้นเป็นของจริง เข้าใจไหม? "

เมียตัวโตของเจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนรัก เขาพยักหน้าตอบรับ

"ผมก็อยากให้คุณรู้เหมือนกันว่าผมรักคุณจริงๆ นะครับ ฆาบี้ ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปในวันนั้น ขอคุณมั่นใจในตัวผมด้วย"

เจพูดอย่างหนักแน่น เมียตัวโตของเขายิ้มกว้างและดึงร่างเพรียวมากอดประทับแนบอก

"อ้ายก็ฮักเจ y siempre te amare"

"และจะรักนายตลอดไป"

นั่นคือคำสัญญารักที่ฆาเบียร์มอบให้เจนยุทธอีกครั้งพร้อมจุมพิตอันอ่อนโยน คนตัวเล็กจูบตอบ เขาไม่เคยเบื่อริมฝีปากอันแสนหวานของคนรักเลย



"เดี๋ยวเย็นนี้นายนัดปรินซ์กับซันซันไว้ใช่ไหม? "

ฆาเบียร์ถามคนรักที่นั่งอิงแอบเขาอยู่บนเก้าอี้เปียโนตัวยาว หลังจากพร่ำพรอดบอกรักกันครู่ใหญ่ เขาที่เกิดอยากเล่นเปียโนขึ้นมาก็ลากเจนยุทธเข้ามานั่งฟังเขาบรรเลงเพลงอยู่พักใหญ่ หลังจากวันเกิดเจที่ทำให้เขาได้แตะเปียโนอีกครั้งหลังจากไม่ได้แตะมานาน เขาก็เกิดอารมณ์สุนทรีย์อยากบรรเลงดนตรีแบบนี้บ่อยครั้งขึ้น

"ครับ เห็นพวกมันไลน์มาว่าจะมาเดินเล่นกันที่ One Nimman แล้วก็จะไปนั่งดื่มกันต่อ เราจะไปเจอพวกนั้นที่ผับเลยหรือว่าไงครับ? "

เจซึ่งนั่งจิ้มๆ คีย์เปียโนเล่นอย่างไม่เป็นเพลงถาม คนตัวโตครุ่นคิดเล็กน้อย

"เอ One Nimman เหรอ? ที่เพิ่งเปิดเมื่อปลายปีที่แล้วใช่ไหม? ฉันยังไม่เคยไปเดินสักหนเลยนะ เราไปเจอพวกนั้นที่นั่นก็ได้"

ฆาเบียร์นึกถึงโครงการไลฟ์สไตล์มอลล์ขนาดใหญ่บนที่ดินหัวถนนนิมมานเหมินท์ เจเคยเล่าให้เขาว่า ในอดีต ที่ดินผืนนี้เป็นที่ตั้งของโรงแรมรินคำ โรงแรมสี่ดาวระดับมาตรฐานสากลแห่งแรกๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเปิดทำการเมื่อเกือบห้าสิบปีที่แล้ว ปัจจุบันมันถูกรีโนเวทจนไม่เหลือเค้าเดิมและเปิดทำการภายใต้ชื่อโรงแรม U Nimman เมื่อต้นปีที่แล้ว ส่วนของพลาซ่านั้นเพิ่งสร้างแล้วเสร็จและเปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาและเพิ่งจะมีงาน Grand Opening อย่างยิ่งใหญ๋ไปเมื่อต้นเดือนเมษายน

"ได้ครับ ก็ดี ผมเองก็ไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่เหมือนกัน เดี๋ยวผมจะไลน์ไปนัดเวลากับพวกมันก่อน"

เจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจิ้ม ส่วนฆาเบียร์ก็พรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนต่อ เสียงเพลงอันไพเราะเพราะพริ้งจากเปียโนไฟฟ้าที่เจหรี่ไว้จนเบาสุดนั้นคุ้นหูจนเจต้องทักขึ้น

"Moonlight Sonata ของบีโธเฟ่นเหรอครับ? "

แม้เขาจะไม่ได้ฟังเพลงคลาสสิคมากนัก แต่เจนยุทธก็รู้จักเพลงของคีตกวีชื่อก้องเพลงนี้ดีเพราะเคยต้องปวดหัวกับมันตอนเรียนเปียโนมาแล้ว ฆาเบียร์หันมาพยักหน้าให้เจและบรรเลงต่อจนจบช่วง จากนั้นก็ลุกขึ้นและชวนคนรักให้ออกห้องไปโดยไม่ลืมหย่อนเงินลงในกระปุกที่เจนำเอามาตั้งไว้บนเปียโนด้วย



"เจนัดสองคนนั้นไว้ที่ไหนล่ะ? "

ฆาเบียร์ถาม เขาถอดหมวกกันน็อคออกแล้วส่งให้เจนยุทธ เจพาเขาซ้อนท้ายเวสป้าสีเขียวแจ๋นของตัวเองมาแทนที่จะขับรถเพราะ One Nimman นี้อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของพวกเขา มันตั้งอยู่บนที่ดินเลขที่หนึ่งถนนนิมมานเหมินท์ อันเป็นเหตุให้โครงการนี้ใช้ชื่อ One Nimman คนตัวเล็กหันมาบอกคนรักว่าเขานัดเพื่อนๆ ของเขาไว้ที่ร้านกาแฟ Graph

"ร้านนี้ก็มาเปิดที่นี่เหมือนกันเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้มากินบ่อยๆ ได้"

ฆาเบียร์พูดอย่างดีใจ เจเคยพาเขาแวะไปที่ร้านกาแฟชื่อดังของเชียงใหม่นี้หนหนึ่ง แต่ในคราวนั้นพวกเขาแวะไปที่สาขาแรกในเขตคูเมือง เขาติดใจในรสชาติอันแปลกใหม่ของกาแฟที่ถูกนำไปผสมกับส่วนผสมอื่นๆ จนคล้ายกับค้อกเทล แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสแวะไปอีก เจพาคนรักของเขาเดินจากลานจอดรถเข้าไปยังส่วนของพลาซ่า

"ว้าว เขาทำซะสวยเลยนะ"

คนตัวโตมองไปรอบๆ ลานโล่งซึ่งปูด้วยหินก้อนเล็กๆ สีเทาแบบเดียวกับที่ใช้ปูตามท้องถนนและพื้นจัตุรัสในยุโรป ล้อมรอบลานนั้นคือกลุ่มอาคารอิฐและปูนสูงสามชั้น ส่วนที่โดดเด่นที่สุดของพลาซ่านี้ก็คงจะเป็นหอนาฬิกาที่สูงตระหง่าน แม้จะไม่เหมือนเป๊ะ แต่มันก็ทำให้คนตัวโตนึกถึงหอระฆังของวิหารเซนต์มาร์คส์ในเวนิซ



"อื้อหือ นี่ก็เหมือนยุโรปเชียว"

ฆาเบียร์เอ่ยปากชมขึ้นอีกครั้งเมื่อเจพาเขาเดินเข้าไปในโถงทางเดินขนาดใหญ่ที่กระหนาบด้วยร้านค้าสองข้างทาง ด้านบนของโถงทางเดินเป็นช่องแสงซึ่งกรุด้วยกระจกใสตลอดแนว เหล่าร้านค้าสองข้างทางก็มีด้านหน้าเป็นซุ้มโค้งซึ่งทำให้ดูเหมือนร้านรวงในเขตเมืองเก่าของอิตาลี เขาอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของโครงการนี้คงได้ลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อยกส่วนหนึ่งของยุโรปมาไว้บนถนนแสนฮิปแห่งนี้ แม้มันจะไม่ได้เหมือนเปี๊ยบเฉกเช่นเดียวกับยุโรปปลอมแห่งอื่นๆ ที่เขาเคยเห็นทั่วเอเชีย แต่มันก็ตอบสนองกระแสความชอบถ่ายรูปเซลฟี่ของคนที่มาเที่ยวได้ดี



“ปกติที่นี่คนเยอะแบบนี้เหรอ?”

ฆาเบียร์ถามพร้อมกับมองดูคนจำนวนมากที่รายล้อมรอบตัวเขา แทบทุกคนต้องหยุดถ่ายรูปที่กลางลานกับหอนาฬิกา ไม่ก็ถ่ายรูปกับโถงทางเดินแบบยุโรป

“ก็เยอะครับ แต่ช่วงนี้เยอะเป็นพิเศษเพราะเป็นช่วงเทศกาล แถมที่นี่ก็เพิ่งจัดงานเปิดตัวไป ใครๆ ก็อยากมาถ่ายรูปกับของใหม่"

เจบอกว่าที่นี่เปิดตัวไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้วก็จริง แต่ยังมีร้านค้ามาเปิดไม่เต็ม หากตอนนี้เรียกได้ว่าเต็มเกือบครบทุกยูนิตแล้ว เขาชวนฆาเบียร์เข้าไปในร้านกาแฟเมื่อเห็นคนตัวโตเริ่มยกโบรชัวร์สักอย่างที่เขาหยิบติดมือขึ้นมาพัดวีเพราะคลื่นความร้อนของเดือนเมษาฯ



"กว่าจะเข้าร้านได้ ต้องรอเจ๊นั่นถ่ายรูปตั้งนาน"

เจนยุทธบ่นอุบอิบ หน้าร้านกาแฟที่เขานัดกับสองหนุ่มไว้นั้นเป็นที่ถ่ายรูปยอดนิยมของบรรดาผู้ที่มาเที่ยว พวกเขาต้องรอสาวจีนนางหนึ่งซึ่งยืนบิดซ้ายบิดขวาให้แฟนหนุ่มถ่ายรูปอยู่หน้าร้านเป็นนานสองนานกว่าจะเข้าในมาในร้านนี้ได้ เจทักทายเพื่อนทั้งสองซึ่งนั่งทอดหุ่ยอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่างก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง

"ไงมึง อะไรอร่อย? "

เจถามเพื่อนซึ่งมีกาแฟอยู่ตรงหน้ากันคนละแก้ว เขาไม่ค่อยได้มากินกาแฟร้านนี้เท่าไหร่นักจึงไม่รู้ว่าต้องสั่งอะไรบ้าง

"กูมาดื่มกาแฟที่นี่ไม่บ่อย แนะนำอะไรไม่ได้ว่ะ แต่บอกได้แค่ว่าไม่ต้องสั่งขนมก็ได้"

ซันซันพูดยิ้มๆ เขาลองสั่งครัวซองต์อัลมอนด์มาชิ้นหนึ่งแม้จะคิดว่าหน้าตามันไม่ผ่านก็ตาม และพบว่ารสชาติของมันเป็นไปตามคาด

"อือ ถูกของไอ้ซันมัน กินแค่กาแฟก็พอละ"

ปรินซ์เสริมมา เขาเป็นฝ่ายต้องจัดการครัวซองต์ชิ้นนั้นแทนเพื่อน เจดึงคนตัวโตให้ลุกขึ้นไปสั่งกาแฟที่เคาเตอร์ ระหว่างที่ยืนรอคิว ฆาเบียร์กวาดสายตาสำรวจรอบร้านที่ตกแต่งสไตล์อินดัสเทรียล แม้ในร้านจะเต็มไปด้วยสีเทาและดำ แต่ก็ไม่ได้ดูมืดทึมนักเพราะมีการจัดแสงไฟอย่างดี เขาอดไม่ได้ต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้หลายรูป



"เอ้า คุณ อย่ามัวแต่ถ่ายรูปครับ เลือกกาแฟได้หรือยัง? จะถึงคิวเราแล้วนะ"

ฆาเบียร์รับเมนูเล่มโตมาจากคนรักและดูรายการเครื่องดื่มในนั้นอย่างสนใจ เมล็ดกาแฟของที่นี่เป็นกาแฟไทยจากหลายๆ แหล่ง สำหรับคนที่เป็นคอกาแฟจริงจังแล้วคงจะสั่งกาแฟแบบดริป แต่สำหรับตัวเขาในวันนี้คงต้องขอเป็นแบบอื่น

"ตอนแรกฉันก็ว่าอยากลองกาแฟร้อนของเขานะ แต่เจออากาศร้อนๆ แบบเมื่อกี้เข้า ฉันว่าฉันขอกาแฟเย็นดีกว่า อืมม์ อะไรดีนะ? "

คนตัวโตพลิกๆ ดูกาแฟเย็นซึ่งบางแก้วมีส่วนประกอบหลักเป็นกาแฟสกัดเย็นหรือที่เรียกว่าโคลด์บรูว์ หากของร้านนี้มีความพิเศษตรงที่มีการเติมไนโตรเจนลงไปในกาแฟสกัดเย็น จากนั้นจึงกดออกมาจากแท็ปเหมือนเบียร์เพื่อให้ความเย็นจัดและรักษากลิ่นรสอันสดชื่นของกาแฟไว้ ฆาเบียร์บอกเจว่ากาแฟแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศ กระทั่งสตาร์บัคส์ยังมีกาแฟแบบนี้เสิร์ฟในสาขาที่เป็น Starbucks Reserve อันเป็นแบรนด์พรีเมียมของสตาร์บัคส์

"ผมขอ Graph No. 18 แล้วกันครับ"

คนตัวโตสั่งกาแฟไนโตรโคลด์บรูว์ที่ผสมกับน้ำผลไม้รสเปรี้ยวอย่างมะนาวและส้ม ส่วนเจนยุทธเลือก Over Land ซึ่งเป็นกาแฟเอสเปรสโซ่ผสมกับน้ำส้มและจินเจอร์เอล ทั้งสองแก้วราคาสูงพอสมควรคือแก้วละร้อยต้นๆ แต่เจก็ยอมจ่ายเพื่อให้ได้ลองของแปลกใหม่



"มึงสั่งอะไรวะซัน กูขอชิมหน่อยได้ป่าว? "

เจกะลิ้มกะเหลี่ยขอชิมกาแฟในแก้วทรงน่ารักของเพื่อน ซันซันรีบส่งให้ทันที

"อ่ะ ชิมเลย วันนี้กูคงไม่มีดวงกับร้านนี้ว่ะ กินอะไรก็ไม่ถูกใจ"

หนุ่มลูกร้านเพชรส่งกาแฟ Graph No. 29 ซึ่งเขาสั่งมาลองชิมเป็นครั้งแรกให้เจ เขาเคยลองกาแฟของร้านนี้มาสามสี่หนแล้ว แต่หนนี้เป็นครั้งที่เขาถูกใจน้อยที่สุด

"หืมม์? แปลกดีว่ะ ใส่อะไรวะเนี่ย? "

เจนยุทธทำปากแจ๊บๆ เพื่อชิมรสกาแฟเย็นแก้วน้อยนั้นซึ่งมีรสหวานอมเปรี้ยวที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย ฆาเบียร์รับมาจิบน้อยๆ แล้วก็ส่งคืนทันที

"สัปปะรดจ้ะ ชัดเลย"

คนตัวโตบอกคนรักซึ่งอุทานออกมาเบาๆ เจยกใบบรรยายเครื่องดื่มที่วางในถาดมาด้วยขึ้นอ่านแล้วก็พบว่าเป็นตามนั้นจริงๆ

"สัปปะรดกับมะนาวล่ะครับ! เฮ้ย ไอ้ซัน มึงอย่าเนียน! "

เจหันไปบอกฆาบี้ แล้วก็ต้องหันไปว๊ากใส่เพื่อนที่แอบสลับเอากาแฟแก้วของเขาที่เพิ่งดื่มไปได้อึกเดียวไปไว้หน้าตัวเอง

"น่า ขอกูจิบล้างปากหน่อยเหอะ"

ซันซันพูดอย่างน่าสงสาร เจหัวเราะหึๆ แล้วปล่อยให้เพื่อนรักดื่มกาแฟของเขาไปตามใจชอบ ส่วนตัวเขาไม่ได้คิดว่ารสชาติของกาแฟใส่น้ำสัปปะรดแก้วนั้นมันแย่ขนาดที่เพื่อนของเขาว่า มันให้รสชาติสดชื่นเหมือนดื่มค้อกเทลแบบทะเลใต้ หากซันซันดูจะไม่ชอบมันเอาจริงๆ



"เออ อินี่กูชอบ ใส่จินเจอร์เอลใช่มะ? อร่อยดี"

หนุ่มลูกร้านเพชรชมเครื่องดื่มของเพื่อน เจพยักหน้า

"ใช่ๆ กูก็ว่าเวิร์คอยู่ รสขิง ส้มกับกาแฟเข้ากันได้เฉย แถมยังซ่าๆ ดีด้วย แล้วของคุณล่ะครับ ฆาบี้ อร่อยไหม? "

เจนยุทธหันไปถามฆาเบียร์ซึ่งทำท่าดื่มด่ำกับกาแฟใส่ส้มและมะนาวของเขา

"อร่อยจ้ะ หอมส้มกับมะนาวแต่ก็ไม่ได้กลบรสกาแฟไป กาแฟไนโตรโคลด์บรูว์ของที่นี่ใช้ได้เหมือนกันนะ ฉันชอบ เสียดายแค่แก้วมันเล็กไปหน่อย"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขายังอยากดื่มมันอีกสักนิด เขาถามเพื่อนของเจว่าอยากจะชิมไหม แต่ซันซันปฏิเสธและบอกว่าเมนูที่ฆาเบียร์ดื่มนั้นเป็นเมนูที่เขาเคยดื่มแล้ว



"Over Land ครับ"

พนักงานเสิร์ฟนำกาแฟอีกแก้วหนึ่งมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ เจกับซันซันมองหน้ากันอย่างงงๆ

"เอ๊ะ พวกผมไม่ได้สั่งนะครับ"

"อ๋อ ของคุณคนนี้ครับ"

พนักงานวางแก้วลงตรงหน้าของปรินซ์ซึ่งเพิ่งกลับมานั่งที่เมื่อสักครู่

"เอ๋า มึงไปสั่งกาแฟเพิ่มมาเหรอ? กูก็นึกว่ามึงไปส้วม"

ซันซันถามงงๆ และเหลือบมองถ้วยกาแฟร้อนซึ่งยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งของเพื่อนรัก ปรินซ์ยิ้มบางๆ แล้วเลื่อนแก้วกาแฟเย็นนั้นส่งให้เพื่อนวัยเด็กของเขา

"ของมึงน่ะ ซัน กูเห็นมึงอยากกินเลยไปสั่งมาให้ใหม่"

เจและฆาเบียร์ซ่อนยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่ขึ้นสีน้อยๆ ของหนุ่มลูกร้านเพชร ซันซันพูดขอบใจเบาๆ ในลำคอก่อนจะยกกาแฟแก้วนั้นขึ้นจิบและยิ้มออกมาอย่างพึงใจ

"แหมๆ มึงนี่ก็ช่างตามใจไอ้ซันมันจริงๆ นะ แบบนี้มันจะไปไหนรอดวะ? หืมม์ ใช่ไหม ซันซัน? "

เจหัวเราะคิกคักแล้วแซวเพื่อนทั้งสอง คราวนี้กลับเป็นปรินซ์ที่มีท่าทางประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกบ้าง ซันซันก็ได้แต่บ่นอุบอิบในลำคอเป็นภาษาไทยแล้วก้มหน้าก้มตาดื่มเครื่องดื่มของเขาไป

"เอ้าๆ เลิกแซวเพื่อนแล้วดื่มกาแฟซะ เดี๋ยวมันจะอุ่นเสียหมด"

คนตัวโตตัดบทแล้วดันแก้วกาแฟส่งให้คนรักรวมทั้งแก้วกาแฟสัปปะรดของซันซันด้วย เจยักไหล่และจัดการกาแฟแก้วนั้นแทนเพื่อนจนหมด พวกเขาดื่มกาแฟไป คุยกันไปอีกครู่หนึ่งแล้วจึงลุกออกจากร้านไป









"เดี๋ยวมึงจะไปไหนต่อกันวะ? "

ปรินซ์ถามเพื่อนของเขา

"เดี๋ยวกูว่าจะพาฆาบี้เดินเล่นแถวนี้อีกหน่อยน่ะ พวกมึงจะไปไหนกันต่อหรือเปล่า? "

เพื่อนทั้งสองของเจส่ายหน้าและตัดสินใจจะไปเดินดูนั่นนี่ต่อด้วยกัน พวกเขาเดินตามทางโถงทางเดินเข้าไปเพื่อดูร้านรวงต่างๆ ซึ่งมีทั้งร้านเสื้อผ้าแบบพื้นเมืองประยุกต์ กระเป๋าผ้าและกระเป๋าหนังทำมือ ร้านตัดผมหน้าตาเก๋ไก๋ ร้านน้ำหอมไทย แต่ที่สะดุดตาพวกเขาที่สุดคือร้านที่อยู่เกือบในสุดของโถงทางเดินนั้น ร้านเล็กๆ ขนาดหนึ่งคูหานั้นมีการตกแต่งหน้าร้านจนเหมือนบ้านเล็กๆ ซึ่งมีทั้งกระถางต้นไม้ปลอม กระจกเหลี่ยมแบบเบย์วินโดว์ แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือเงื้อมหลังคาที่ยื่นออกมา หลังคาที่ทำจากแป้นไม้เล็กๆ เรียงต่อกันนั้นคดโค้งเหมือนแบบที่เห็นได้ในการ์ตูน ทั้งสี่คนเดินเข้าไปหาร้านนั้นทันที


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Coffee, Tea & Sweetest Thee (ต่อ) ----




"ร้านกล่องดนตรี! "

เจอ่านป้ายหน้าร้านแล้วหันไปบอกคนรักของเขา

"Wami Studio ใช่ที่เดียวกับที่นายทำกล่องดนตรีให้ฉันกับอาปาหรือเปล่า? "

ฆาเบียร์อ่านชื่อร้านและถามเจนยุทธ

"เอ ผมก็ไม่แน่ใจครับ โรงงานที่ผมทำกล่องดนตรีให้คุณนั้นเหมือนจะชื่อ Chiang Mai Music Box แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะมีร้านกล่องดนตรีร้านอื่นในเชียงใหม่อีกนะ"

เจขมวดคิ้ว เขามองเข้าไปในร้านและเห็นว่ามีลูกค้าแน่นร้าน โดยมากเป็นผู้หญิงและเด็ก



"เจ ร้านนี้เขาเป็นสตูดิโอสอนทำกล่องดนตรีน่ะ"

ซันซันซึ่งยืนอ่านกระดานดำที่วางอยู่หน้าร้านหันมาบอกเพื่อนของเขา เขาอธิบายต่อเมื่อเจถาม

"คือเขาให้มึงเลือกเพลงเอง เลือกแบบกล่องแล้วก็มีตุ๊กตุ่นตุ๊กตาตกแต่งให้ อะไรแบบนี้อ่ะ เข้าไปดูเองไหมล่ะ? "

ซันซันลากข้อมือเจนยุทธเข้าไปในร้านโดยมีปรินซ์และฆาเบียร์เดินตามเข้าไปติดๆ พวกเขาเดินดูในร้านที่ขนาดไม่ใหญ่นักนั้นและพบว่ามันเป็นตามที่หนุ่มร้านเพชรบอกจริงๆ ตรงกลางร้านมีโต๊ะสำหรับให้ลูกค้าได้นั่งประดิษฐ์กล่องดนตรี ส่วนด้านข้างมีชั้นและตู้ซึ่งวางกล่องดนตรีทั้งที่ทำสำเร็จแล้วและที่ยังไม่ได้ประกอบวางเรียงราย อีกด้านหนึ่งของร้านเป็นตุ๊กตาเรซิ่นและเซรามิคตัวน้อยรูปสัตว์ต่างๆ ตั้งโชว์อยู่



"ฆาบี้ครับ ร้านนี้เป็นร้านเดียวกับที่ผมทำกล่องดนตรีให้คุณล่ะ"

เจหันมาบอกคนรักเมื่อเห็นภาพถ่ายที่ติดอยู่บนฝาผนัง เขาชี้ให้ฆาเบียร์ดูภาพชายคนหนึ่งบนนั้น

"นี่คือพี่เจ้าของร้านครับ เขาเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนของพี่นพ คราวที่แล้วที่สั่งกล่องดนตรีให้คุณผมก็ฝากพี่นพสั่งให้"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับคำ เขาบอกเจว่าเขาถูกใจกับกล่องดนตรีที่เจให้เขาไว้มาก คนตัวโตนำมันไปวางไว้ข้างเตียงของเขาที่ฮ่องกงและนำมาเปิดฟังบ่อยครั้ง

เจเดินดูภาพและของต่างๆ ในร้าน จากนั้นเดินเข้าไปถามรายละเอียดของกล่องดนตรีจากพนักงานที่เพิ่งเสร็จจากการช่วยลูกค้าทำกล่องดนตรี



"เขาบอกว่า กล่องดนตรีที่นี่เริ่มที่ราคา 590 ครับ คือมีกล่อง ตุ๊กตาหนึ่งตัวและกลไก ลิสต์เพลงก็ตามนี้ครับ..."

คนตัวโตอ่านรายชื่อเพลงที่ร้านมี มันมีตั้งแต่เพลงคลาสสิคอันเป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่าง Fur Elise ของบีโธเฟ่น Polonaise op.53 ของโชแปง หรือ Clair de Lune ของเดอบุสซี่ ไปจนถึงเพลงสากลที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่าง My Heart Will Go On หรือ My Way กระทั่งเพลงคริสต์มาสอย่างจิงเกิล เบลหรือเพลงการ์ตูนอย่างเพลงจากเรื่อง Tonari no Totoro ก็ยังมี

"...ราคาแต่ละชุดจะต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัสดุของกล่องที่เลือกและจำนวนของตุ๊กตาครับ ถ้าเราอยากได้ตุ๊กตามากกว่าหนึ่งตัวก็จ่ายเพิ่มไปตามนั้น..."

เจบอกว่าเมื่อเลือกตุ๊กตาแล้ว ลูกค้าก็สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองตกแต่งกล่องดนตรีของตนได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะติดหญ้าเทียม ระบายสี เขียนข้อความและอื่นๆ จนทำให้มันกลายเป็นกล่องดนตรีที่มีชิ้นเดียวในโลก

"นอกจากนั้นยังมีกล่องโมเสคซึ่งจะมีแผ่นสีเล็กๆ ให้เราติดเป็นลวดลายตามชอบ แล้วก็มีกล่องหุ่นยนต์ที่ให้คนทำเอาไม้รูปร่างต่างๆ มาต่อกันเองได้ด้วยนะครับ แบบนี้จะเหมาะกับผู้ชายหน่อย"

เจพูดยิ้มๆ เขานึกภาพตัวเองและคนตัวโตนั่งทำกล่องดนตรีที่มีตัวตุ๊กตาน่ารักน่าเอ็นดูติดอยู่ไม่ออกเลย หากเป็นแบบกล่องหุ่นยนต์ที่ต้องเลื่อยไม้ชิ้นเล็กๆ เองนั้นก็น่าจะยังพอไหว

"คุณจะลองทำดูไหมครับ? ถ้าอยากทำก็บอกนะผมจะได้บอกเขา"

คนตัวเล็กถามคนรักของเขา หากฆาบี้ส่ายหน้าปฏิเสธ

"ยังดีกว่าจ้ะ ไว้โอกาสหน้าเราค่อยมาทำให้อาปาสักกล่องแล้วกันนะ ขอไปคิดแบบก่อน"

เจรับคำ เขาหันไปคุยกับเพื่อนทั้งสองเป็นภาษาไทย จากนั้นก็โบกมือไม้อำลากันและพาคนตัวโตเดินออกร้านมา









“สองคนนั่นไม่มากับเราด้วยเหรอ?”

ฆาเบียร์ถาม เจส่ายหน้า

“ไอ้ซันมันอยากทำกล่องหุ่นยนต์ครับ คงใช้เวลาสักพัก มันบอกให้เราไปเดินเล่นกันต่อได้เลย ถ้าจะกลับหรือถ้าหิวจะกินข้าวอะไรก็ให้โทรบอกพวกมันอีกที”

เจพูดพลางยื่นมือไปเกาะกุมมือคนรัก ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ หลังๆ มาเจนยุทธมักเป็นฝ่ายยื่นมือมาหาเขาเองและไม่เขินอายที่จะแสดงออกในที่สาธารณะเหมือนครั้งคบกันใหม่ๆ

"งั้นเรากลับบ้านกันก่อนก็ได้นะเจ ฉันชักเริ่มหิวแล้ว...หิวเจนะ"

คนตัวโตยิ้มพรายพร้อมกับยกมือเรียวที่ประสานกับมือเขาขึ้นจูบเบาๆ ใบหน้าที่ขึ้นสีทันทีของเจทำให้เขายิ่งรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งคนรัก

"คุณอ่ะ คนตั้งเยอะตั้งแยะ! ..."

คนตัวเล็กที่หน้าแดงก่ำพยายามสะบัดมือออก แต่คนรักของเขาไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แถมยังดึงมือเขามาโอบเอวเจ้าตัวไว้อีกต่างหาก สุดท้ายเจก็ได้แต่ยอมจำนนและเดินโอบเอวคนรักเดินไปตามทางเดินปูหิน เขาพาคนตัวโตเดินขึ้นไปดูร้านรวงบนชั้นสอง แต่ก็ไม่ได้เห็นว่ามีอะไรที่น่าสนใจมากนักจึงกลับลงมาด้านล่างอีกครั้ง



"คุณครับ..."

เจนยุทธหันมายิ้มหวานจ๋อยให้คนรัก ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ เจ้าตัวเล็กมันคงอยากได้อะไรสักอย่างอีกแล้ว ซึ่งก็คงไม่แคล้วอยากกินอะไรสักอย่าง

"อยากแวะกินอะไรก็แวะสิ เจ หรือจะโทรหาสองคนนั้นแล้วชวนกินข้าวเลย? "

คนตัวเล็กส่ายหัว เขาแค่อยากหาอะไรรองท้องก่อนมื้ออาหารเท่านั้น

"แวะร้านนี้แป๊บนึงนะครับ"

เจลากคนตัวโตเดินไปยังร้านขนมสุดโปรดของเขาอย่าง Volcano คนตัวโตมองอย่างจนปัญญาเมื่อเห็นคนรักสั่งของแสลงของเขาอย่างชีสโทสต์ทุเรียนอีกครั้ง เจหันมายิ้มจนตาหยีให้เมียตัวโตของเขา

"คราวที่แล้วที่ไปกินกับพี่บูมคุณบอกว่าไม่เหม็นใช่ไหมครับ? "

"จ้ะ ไม่เหม็น"

ฆาเบียร์กัดฟันพูด คราวที่แล้วเขาดันพลาดบอกแบบนั้นออกไป ก็คงต้องรับผลของการกระทำตัวเอง

เมื่อได้ขนมแล้ว เจก็นั่งลงกินชีสโทสต์ของตัวเองอย่างเปรมปรีดิ์ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมอง เขาก็กัดขนมปังแล้วดึงชีสออกมายืดยาวแล้วส่งซองขนมปังให้ฆาเบียร์ถือ คนตัวเล็กทำท่าพยักเพยิดให้คนรักของเขา คนตัวโตที่รู้ทันความคิดของเจ้าตัวเล็กของเขาก็ยิ้มน้อยๆ และอ้าปากกัดขนมปังตรงที่ชีสยืดออกนั้น เขาค่อยๆ ใช้ลิ้นม้วนเส้นชีสรสทุเรียนนั้นเข้า จนกระทั่งปากของเขาบรรจบกับปากแดงระเรื่อของเจนยุทธ

"นายนี่ช่างยั่วจริงๆ นะ"

คนตัวโตกระซิบกับคนรักหลังจากจุ๊บเบาๆ บนริมฝีปากที่ยิ้มพรายนั้น จูบนั้นมีรสทุเรียนแต่เขาไม่ได้รังเกียจมันแม้แต่น้อย



"เราจะไปผับกันกี่โมงกันน่ะ เจนยุทธ? "

ฆาเบียร์ถามเจหลังจากเจ้าตัวกินชีสโทสต์หมดไปสองอันกับบัตเตอร์เบียร์อีกหนึ่งแก้ว

"เอ ก็น่าจะสองสามทุ่มเหมือนทุกครั้งนะครับ ทำไมเหรอ ฆาบี้? "

เจนยุทธถาม คนตัวโตดูนาฬิกาแล้วลุกขึ้นยืน

"เพิ่งจะหกโมงกว่าเอง งั้น เรากลับไปรอที่บ้านกันดีไหมจ๊ะ? "

"เอ่อ จะไม่กินข้าวกับสองคนนั้นเหรอครับคุณ? แต่ถ้าเบื่อแล้ว จะกลับก็ได้นะ"

เจถามงงๆ เมื่อคนรักของเขาทำท่าทางอยากกลับบ้านขนาดนั้น

"ก็ ไม่เชิงเบื่อหรอก แต่ฉันอยาก..."

คนตัวโตที่มีทีท่ากระสับกระส่ายกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเจ เจนยุทธหัวเราะก๊ากออกมาทันที เขาจัดการโทรหาเพื่อนๆ ของเขาและพาพ่อเจ้าประคุณแสนเรื่องมากของเขากลับห้อง



"สบายตัวหรือยังครับ? "

เจถามยิ้มๆ คนตัวโตที่เพิ่งเดินออกห้องน้ำมาหน้าแดงระเรื่อ ชีสกับทุเรียนเมื่อสักครู่ทำเขาท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาจนได้ เขาลงนั่งบนเก้าอี้บาร์ในครัวเคียงข้างกับเจและเสชวนคนรักคุยเรื่องอื่นแทน

"เดี๋ยวสองคนนั้นจะตามมาหาเราที่ห้องใช่ไหม? "

เจตอบรับ เพื่อนของเขาสองคนบอกว่าจะหาอะไรกินแถวๆ นั้นจากนั้นจะมาขอนั่งเล่นต่อที่ห้องของพวกเขา ฆาเบียร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วชะโงกหน้าไปดูที่หน้าจอคอมของเจ เจนยุทธกำลังเอาภาพที่เขาถ่ายที่ One Nimman ลงในคอมพิวเตอร์

"คุณครับ ขอความเห็นเรื่อง One Nimman หน่อยสิ"

เจถามคนตัวโตเจ้าของเพจที่เขากำลังจะโพสต์ภาพลง ฆาเบียร์ทำท่าครุ่นคิด

"อืมม์ รวมๆ ฉันก็ว่าโอเคนะ ทำออกมาได้ค่อนข้างดี การจัดแสง บรรยากาศอะไรก็ดูเป็นยุโรปดี..."

ตอนเขากับเจออกมา ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วจึงได้เห็นว่าที่ลานโล่งตรงกลางมีไฟหลอดไส้แขวนโยงกันอยู่หลายสาย เมื่อเปิดไฟแล้วมันให้บรรยากาศเหมือนงานแฟร์กลางจัตุรัสในยุโรป



"...ถึงร้านค้าจะยังไม่ค่อยเต็มนัก แต่ก็มีอะไรให้ดูให้ทำพอสมควร โดยเฉพาะร้านกล่องดนตรีนั่น น่าสนใจมากเลยนะ"

ฆาเบียร์กล่าวชม เขาถามเจว่านอกจากร้านค้าต่างๆ แล้วยังมีกิจกรรมน่าสนใจอะไรที่นั่นอีกบ้าง

"อืมม์ ถ้าผมจำไม่ผิด ทุกวันเสาร์เขามีสอนเต้นสวิงแดนซ์ด้วยนะครับ ผมเคยไปเจอเค้าเต้นกันครั้งนึง โอ้โห เหมือนเมืองนอกเลยคุณ มีสาวๆ ใส่กระโปรงบานมาเต้นกัน ดูสนุกมากเลย และเหมือนเค้ายังจะจัดกิจกรรมอย่างอื่นอยู่เรื่อยๆ ด้วย อย่างมีกาดหมั้วมั่ง มีงานนั่นนี่มั่ง ก็มีสีสันดีครับ"

ฆาเบียร์ทำท่าสนใจคลาสเต้นรำที่เจว่าขึ้นมาทันที เขาบอกว่าตอนเรียนป.ตรี ที่คอลเลจที่เขาเรียนอยู่นั้นก็มีกิจกรรมเต้นหลากหลายชนิด และเขามักไม่พลาดที่จะเข้าร่วมกับทุกงานแม้จะเป็นแนวที่เขาไม่ถนัดนักอย่างการเต้นสวิงซึ่งเป็นการเต้นรำที่พัฒนาควบคู่กันมากับดนตรีแจ๊ซช่วงปี 1920 - 1950

"ฉันเคยไปเต้นสวิงอยู่สองสามครั้ง สนุกดีนะ ได้เหงื่อดี ยิ่งถ้าได้คู่เต้นเก่งๆ ด้วยนะ เอาไว้คราวหน้าถ้าฉันมาตรงกับวันเสาร์ เราไปลองเต้นกันดูก็ได้นะ ไว้ฉันจะเป็นคู่เต้นกับนายเอง"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เจได้แต่เกาหัวแกร่กๆ และแบ่งรับแบ่งสู้ว่าเขาอาจจะลองดู







"คุณหิวหรือยังครับ? นี่สองทุ่มแล้วนะ เรายังไม่ได้กินข้าวกันเลย จะออกไปหาอะไรกินกันหรือเปล่า? "

เจนยุทธเงยหน้าขึ้นถามคนรักของเขาที่ยกคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คมานั่งทำงานเช่นกัน ตัวเจเองเพิ่งจัดการเขียนบทความรีวิวร้านชา Tea Leaf Lab เสร็จและจัดการโพสต์ลงเพจของฆาเบียร์เรียบร้อยและกำลังเริ่มจัดการรูปที่เขาถ่ายไว้ที่ One Nimman หากกระเพาะน้อยๆ ของเขาก็ได้ประท้วงขึ้นมาเสียก่อนเขาจึงได้รู้ว่าตัวเองทำงานเพลินจนถึงตอนนี้แล้ว ฆาเบียร์ที่ใส่แว่นสายตาเงยหน้าขึ้นสบตากับคนรักที่นั่งทำตาแป๋วอยู่ตรงหน้า

"เจจ๊ะ ฉันยังไม่หิวสักนิดเลย วันนี้กินนั่นนี่ไปหลายอย่างแล้วนะ"

คนตัวโตขมวดคิ้วน้อยๆ อันที่จริงเขาก็รู้สึกหิวน้อยๆ แต่เมื่อนึกถึงทั้งอาหารและขนมที่ตัวเองกินเข้าไปเมื่อตอนเที่ยงและบ่าย เขาก็พาลกินอะไรไม่ลงแล้ว เจถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกไปค้นหาอะไรกุกๆ กักๆ จากในตู้เย็น เขาดึงทับเปอร์แวร์กล่องหนึ่งออกมาจากช่องฟรีซแล้วเปิดดู



"ผมมีสตูว์แบบปูเอร์โตริโกเหลืออยู่หน่อย คุณสนใจไหมครับ? ผมทำไว้เมื่อซักสามสัปดาห์ก่อนแล้ว แต่ก็เอาแช่ฟรีซไว้ตลอดนะ"

ฆาเบียร์ทำท่าสนใจทันที เจยิ้มและจัดการอุ่นมันทันที คนตัวโตจัดการปิดคอมและเข้าไปช่วยคนรักของเขาในครัว ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ข้าวมันราดสตูว์ร้อนๆ มากินกันคนละจาน

"สลัดไหมครับ ฆาบี้? "

เจเลื่อนสลัดผักชามโตราดน้ำมันมะกอกและบัลซามิคให้คนรักของเขา คนตัวโตตักมาใส่จานแบ่งตรงหน้า เขาตักข้าวมันที่เจฟรีซไว้เช่นเดียวกันเข้าปาก รสชาติแบบไทยๆ ของมันกับสตูว์จากบ้านเกิดของพ่อของเขาเข้ากันได้อย่างไม่มีที่ติ รสชาติที่คุ้นเคยของสตูว์ทำให้เขาอบอุ่นใจขึ้นมา ยิ่งเขาได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขายิ่งรู้สึกสุขใจเหมือนตัวเองได้กลับไปนั่งกินอาหารกับครอบครัวของเขาอีกครั้ง



"เจจ๊ะ..."

ฆาเบียร์ยื่นมือไปกุมมือนิ่มของเจนยุทธ

'ฉันอยากให้นายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของฉันและอยู่เคียงข้างฉันตลอดไปจะได้ไหม? '

คนตัวโตคิดดังๆ อยู่ในใจ หากนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาพูดออกไป เขายังไม่อยากกดดันและเร่งรัดความสัมพันธ์กับเจนยุทธและตัดสินใจที่จะรอไปอีกสักหน่อย

"อาหารอร่อยมาก ขอบใจนายมากนะที่ช่วยรักษารสมือของแม่ฉันเอาไว้"

นั่นคือสิ่งที่เขาพูดกับคนตัวเล็กที่ทำหน้าฉงนกับท่าทีแปลกๆ ของเขา เจนยุทธยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคนรักชม

"ไม่เป็นไรครับ คุณอยากให้ผมทำให้กินอีกกี่ครั้งก็ได้นะ ผงเครื่องเทศที่อาปาส่งมาให้ก็ยังเหลือ หรือวันหลังคุณให้คนทางนู้นส่งมาให้อีกก็ได้..."

ฆาเบียร์จ้องมองปากน้อยๆ ที่ขยับพูดจ้ออย่างหลงใหล

"...เอางี้ไหม ผมจะทำไอ้เจ้าสตูว์นี้ติดตู้เย็นไว้ จะต้องมีแช่ฟรีซไว้กล่องนึง...อืมม์"

เจครางเบาๆ ในลำคอเมื่อคนรักชะโงกตัวข้ามเคาเตอร์มาปิดปากเขาไว้ด้วยริมฝีปากของตนเอง เขาตอบรับจุมพิตอันอ่อนโยนนั้นด้วยความอ่อนหวาน



"รักนะ คนดีของฉัน"

ฆาเบียร์กระซิบบอกรักคนในอ้อมอก พวกเขาขยับย้ายมาพลอดรักกันต่อที่โซฟา เขากระชับวงแขนที่โอบรัดร่างคนรักให้แน่นขึ้น เจเองก็ซุกหน้าลงกับแผงอกกว้างและจูบเบาๆ ที่ตำแหน่งของหัวใจ

"ผมก็รักคุณครับ ฆาบี้"

เจกระซิบแผ่วๆ กับอกของคนรัก ในใจเขายังพร่ำบอกกับใจของเมียตัวโตของเขาว่าเขานั้นสุดแสนจะคิดถึงความอบอุ่นของอ้อมอกนี้นัก หากคนตัวเล็กก็ได้แต่เก็บมันอยู่ในใจ เขาไม่อาจเอื้อมที่จะพูดมันออกมาดังๆ ให้คนรักของเขาได้เป็นกังวล แม้คนตัวโตจะกลับมาหาเขาแล้ว แม้พวกเขาจะจูบ จะกอด จะสัมผัสและร่วมรักกันกี่ครั้งก็ตาม มันก็ไม่อาจเติมเต็มความปรารถนาที่จะได้คนรักมาอยู่เคียงข้างกายอย่างถาวรได้ หากตัวเจนยุทธก็ยังไม่อยากที่จะพูดหรือทำอะไรเพื่อเป็นการผูกมัดคนรักซึ่งยังมีภาระหน้าที่อันใหญ่หลวง เขาทำได้เพียงรอคอยอยู่ตรงนี้เพื่อทำหน้าที่เป็นบ้าน เป็นที่พักใจให้กับคนที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานคนนี้ จนกว่าวันที่ฆาเบียร์จะพร้อมรับเขาไปอยู่เคียงข้างเต็มตัว



ฆาเบียร์ลูบหลังคนรักที่นอนซบในอ้อมอก เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคะนึงหาที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของเจนยุทธ มันทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก พวกเขาทั้งสองได้แต่นอนแลกจูบและสัมผัสอันอ่อนโยนกันอย่างเงียบงันอยู่อย่างนั้น มีเพียงเสียงเพลงรักแผ่วๆ จากลำโพงที่ลอยอยู่ในอากาศคอยขับกล่อมคนที่อยู่ในห้วงรักทั้งสอง

"อีกสองคืนเองใช่ไหมครับ? "

เจนยุทธพึมพำออกมาเบาๆ ฆาเบียร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และพยักหน้าตอบรับ เขารัดร่างคนรักในอ้อมอกแน่นขึ้นและฝังหน้าลงไปกับผมดำขลับ เจหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อให้กลิ่นกายของคนตัวโตประทับเข้าไปในความทรงจำของเขา เขาอยากบอกฆาเบียร์เหลือเกินว่าอย่าจากเขาไปอีกเลย แต่ใจเขารู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้

"นายรู้ใช่ไหมเจว่านายขอให้ฉันอยู่ต่อได้นะ"

คนตัวโตที่อ่านใจคนรักออกพูดขึ้นเบาๆ หากเจส่ายหน้า เขาไม่อยากจะเรียกร้องอะไรจากฆาเบียร์มากนักและคิดว่าที่เขาได้รับทุกวันนี้ก็ดีถมถืดแล้ว คนตัวโตขยับปากจะพูดอะไรต่ออีกหากเสียงมือถือของเจดังขึ้นเสียก่อน เจรีบยันกายขึ้นจากอ้อมอกของคนรักและคว้าโทรศัพท์ของตนมา เขาคุยกับปลายสายเป็นภาษาไทยครู่หนึ่งแล้วหันมาบอกฆาเบียร์ที่ลุกขึ้นนั่งเช่นกัน

"ปรินซ์กับซันซันมาแล้วครับ เดี๋ยวผมเปิดประตูให้พวกมันก่อนนะ"

ฆาเบียร์เดินมองตามร่างคนรักที่เดินไปที่ประตู เขาลูบคลำอกเสื้อด้านซ้ายของตนอย่างเหม่อลอย มันเปียกชื้นเล็กน้อยด้วยน้ำตาของคนที่หนุนอกเขาเมื่อสักครู่ ในใจของคนตัวโตรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ฆาเบียร์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาสัญญากับตัวเองว่าจะทำทุกทางเพื่อพิสูจน์ให้เจนยุทธได้เห็นว่าเขาพร้อมแล้วที่จะอยู่กับเจ้าตัวตลอดไป




------------------------------------------------


ตอนนี้มาช้านิดนึง คนเขียนยังโอ้เอ้และอยู่ในโหมดพักร้อนอยู่ เลยอาจจะต่อนยอนไปบ้างนะคะ

วันนี้สองหนุ่มกินเยอะหน่อยค่ะ แหะๆ เจอของอร่อยมาก็ต้องมาเล่าให้ฟัง ช่วงนี้คนเขียนกำลังติดขนมของร้าน Tea Leaf Lab ค่ะ อย่างที่บอกว่าเป็นร้านขนมเล็กๆ แต่เชฟเก่งมาก ขนมของเขาโดนเกือบทุกตัวและสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในการทำค่ะ ขนมร้านนี้จะเน้นผลไม้เป็นหลัก โดยเป็นผลไม้ที่มาจากโครงการหลวงและสวนของคุณเกด เขาว่ามีอะไรสุกก็เอามาทำขนม ส่วนเรื่องชา เชฟจะเก่งเรื่องชาที่เป็นดอกไม้และสมุนไพรค่ะ เพราะที่บ้านของเชฟที่เยอรมันเป็นร้านขายยาและมีใบอนุญาตเรื่องสมุนไพร หลายๆ อย่างก็จะส่งมาจากที่นั่น แต่ที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็นพายมันฝรั่งอย่างที่บอกไว้ในเรื่องค่ะ



ร้าน Tea Leaf Lab

FB http://bit.ly/2AjFwdE

Review by CityLife http://bit.ly/2FLLJVE



One Nimman แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นที่ถ่ายรูปและเช็คอินฮิปๆ แถมยังมีร้านอาหารและคาเฟ่น่าสนใจอีกหลายๆ ร้าน รวมถึงร้านกาแฟอย่าง Graph Cafe ร้านชา Monsoon Tea และชาตรามือ ร้านอาหารไทยเขียวไข่กาซึ่งโด่งดังมาจากกทม. (แต่คนเขียนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ค่ะ) ร้านขนม Volcano และ Melt Me ร้าน Ginger Farm และที่เปิดใหม่ล่าสุดคือร้านพิซซ่า La Pizza และอีกไม่นานร้านอาหารจีนเจี่ยท้งเฮงก็จะตามมา แต่ที่เด็ดคือโซน Street Food ที่รวบรวมร้านอาหารแนวสตรีทฟู้ดที่ถูกและดีหลายๆ ร้านของเชียงใหม่มาไว้โดยราคาไม่ได้แพงเลยค่ะ ล่าสุดได้ยินว่ามีร้านหอยทอดชาวเลจากหน้าเชียงใหม่แลนด์มาเปิด และยังจะมีนิวสุกี้สนามกีฬามาอีก ไว้ว่างๆ คงต้องไปทัศนาสักวัน ส่วนกิจกรรมเด่นที่มีของที่นี่นอกจากคลาสเต้นรำสวิงแดนซ์แล้ว ยังมีโยคะตอนเช้า คลาสเต้นแทงโก้คืนวันเสาร์ และเต้นซัลซ่าคืนวันอาทิตย์ค่ะ วันนั้นคนเขียนไปวันเสาร์เจอคลาสแทงโก้ อยากลองมากเลยแต่เวลาไม่ได้ ยังคิดว่าถ้าคนที่ไปเจอเป็นฆาบี้คงไม่ยอมพลาดโอกาสเต้นแน่ๆ

One Nimman https://www.facebook.com/onenimman/

คลาสเต้นและอื่นๆ http://bit.ly/2KrOcDw


ร้านกาแฟ Graph Cafe ร้านนี้ดังมานาน ไม่เคยได้ไปที่ร้านใหญ่สักที เหตุผลก็เพราะไม่มีที่จอดรถนั่นแหละค่ะ พอมาเปิดที่ One Nimman ก็ค่อยได้ไปหน่อย กาแฟที่เด่นก็คงเป็นกาแฟผสมที่ใส่กาแฟสกัดเย็นไนโตรโคลด์บรูว์ ก็ลองดูๆ ได้จากรีวิวและเฟซบุ๊คค่ะ

Graph Café One Nimman - http://bit.ly/2Ad9qQR

FB - https://www.facebook.com/graphonenimman/



ตบท้ายด้วยร้านกล่องดนตรี Wami Studio เคยพูดถึงไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ตอนนั้นพูดถึงแค่กล่องแบบสั่งทำค่ะ แต่คราวนี้มานำเสนอแบบที่คนซื้อลงมือทำเองได้ค่ะ จะทำตั้งแต่ไขน็อตติดตั้งกล่องเลยก็ได้ แต่คนเขียนขี้เกียจ แต่งแค่ฝากล่องก็หมดพลังละ ที่เหลือก็ให้น้องๆ ที่นั่นช่วยทำให้ค่ะ ขั้นตอนก็ตามที่เขียนไปในเรื่องค่ะ

Wami Studio https://www.facebook.com/studio.wami/




ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- คนขี้แกล้ง ----





“เออ กูว่าจะถามมึงวันนั้นแล้วก็ลืม”

ปรินซ์ที่กำลังเคี้ยวแหนมซี่โครงทอดหยับๆ พูดขึ้น

“พรุ่งนี้เย็นมึงว่างไหม? ไอ้พวกก๊วนบอลมันเร่งยิกๆ แล้วว่าเมื่อไหร่มึงจะว่างไปเตะบอลกับพวกมัน ไอ้โต้งมันจะกลับเยอรมันแล้วนะ”

หนุ่มอดีตนักฟุตบอลตัวจังหวัดพูดถึงเพื่อนตัวแสบของเขา แม้เขาหมดโอกาสได้รับทุนฟุตบอล และไม่ได้เล่นฟุตบอลให้กับโรงเรียนอีก เขาก็ยังคงติดต่อกับกลุ่มเพื่อนนักบอลของเขาจนถึงปัจจุบัน ในบรรดาเพื่อนรุ่นเดียวกัน มีหลายคนที่ได้โอกาสรับทุนกีฬาเพื่อเข้าเป็นนักกีฬาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หนึ่งในคนที่มีอนาคตที่สุดคือโต้ง เพื่อนแก่แดดของเขา หากหลังจากเล่นกับทีมในลีกรองของไทยได้สามสี่ปี เขาก็ตัดสินใจเบนสายไปทำงานเบื้องหลังแทนและไปเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เยอรมนี

“อ้าว อะไรวะ ทำไมรีบกลับนัก มันเพิ่งมาได้แป๊บเดียวเองนี่?”

เจถาม

“อ๋อ เมียแหม่มมันใกล้คลอดละ เลยต้องรีบมารีบกลับ ว่าไง มึงว่างไหม?”

“ว่างก็ว่างอยู่หรอก แต่...”

เจหันไปมองเมียตัวโตของเขาที่กำลังคุยอยู่กับซันซันอย่างออกรสออกชาติ



“...ฆาบี้เขาจะกลับวันมะรืนแล้วน่ะสิ กูต้องอยู่กับเขาหน่อย”


เจพูดเบาๆ เป็นภาษาไทยด้วยไม่อยากให้คนรักได้ยิน แต่เพื่อนตัวล่ำของเขานั้นไม่ให้ความร่วมมือด้วย ปรินซ์พูดตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“มึงก็พาป๋าเขาไปด้วยสิวะ ไม่ใช่แค่ไอ้โต้งนะ ไอ้พวกเพื่อนๆ โรงเรียนมึงก็โทรมาจิกที่กูนี่แล้วว่าเมื่อไหร่มึงจะพาป๋าไปเจอพวกมันซักที พวกมันฝากบอกมาด้วยว่าพวกมันพยายามติดต่อมึงหลายรอบแล้ว แต่มึงไม่ยอมตอบกลับเลย”

เจทำหน้าเจื่อนๆ แม้ในช่วงมัธยมเขากับปรินซ์และซันซันจะอยู่คนละโรงเรียนกัน หากด้วยนิสัยร่าเริงและเข้ากับคนง่ายของเจทำให้เขาเข้ากับกลุ่มเพื่อนเก่าของเพื่อนๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา แถมยังนำพาให้เพื่อนๆ ของทั้งสองคนนั้นมารู้จักกับเพื่อนๆ ของเขาอีกด้วย จนตอนนี้พวกเพื่อนๆ ของทั้งสองฝ่ายกลายเป็นก๊วนเดียวกันไปแล้ว แต่ช่วงหลังมานี้เจกลับถอยห่างออกจากกลุ่มเพื่อนๆ เนื่องจากภาระงานที่เพิ่มมากขึ้นของเขา อีกทั้งเพื่อนๆ หลายคนก็มีครอบครัวหรือย้ายไปทำงานต่างจังหวัด จะว่างได้พบเจอกันก็แค่ช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาว แต่เมื่อมันไปตรงกันกับช่วงที่เมียตัวโตของเจมา เจก็เลือกที่จะอยู่กับคนรักมากกว่าที่จะไปหาเพื่อนๆ ของเขา



“เมื่อกี้พูดอะไรพาดพิงถึงฉันหรือเปล่า?”

คนตัวโตส่งเสียงถามมา ปรินซ์หันไปเล่าสถานการณ์ให้ฆาเบียร์ฟังทันที ฆาเบียร์อย่างยินดี

“เจ ไปสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย ดีซะอีก ฉันจะได้ทำความรู้จักเพื่อนคนอื่นๆ ของเจมั่ง”

“ขี้ฟ้องจริงนะมึง”

เจนยุทธหันไปบ่นอุบอิบใส่เพื่อนตัวล่ำที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่เป็นภาษาไทย

“ไม่ต้องไปว่าปรินซ์เขาหรอกน่า หรือว่าที่เจไม่อยากให้ฉันไปก็เพราะไม่อยากจะแนะนำฉันให้รู้จักกับเพื่อนๆ?”


“เฮ้ย ไม่ใช่ยังงั้น!”

คนตัวเล็กปฏิเสธทันควันเมื่อเห็นคนรักของเขามีสีหน้าสลดลง

“ผมกลัวคุณจะเบื่อน่ะ ผมกับไอ้พวกนั้นไปเตะบอลกันทีไรก็ไม่ได้เล่นเป็นจริงเป็นจังอะไร ส่วนใหญ่ก็เตะแป๊บๆ แล้วก็มานั่งกินเหล้า เม้าคน จีบน้องๆ สาวเชียร์เบียร์อะไรพวกนั้นมากกว่า”

เจนยุทธหลุดปากพูดออกไปอีกครั้ง เขารู้ตัวว่าตัวเองพลาดไปแล้วเอาเมื่อซันซันรีบโบกมือไม้ห้ามเขาไว้



“อ๋อ ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะนายถึงไม่อยากให้ฉันไปด้วย...”

คนตัวโตพยักหน้าเบาๆ เจหน้าซีดเป็นไก่ต้มเมื่อเห็นคนรักมีทีท่าเย็นชาขึ้นมาทันที

"มะ ไม่ใช่นะครับ เมีย ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น..."

เจรีบระล่ำระลักอธิบาย เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อหาแนวร่วม

“เอ่อ ป๋าครับ เมื่อก่อนเจมันอาจจะทำแบบนั้นจริงครับ แต่ตอนนี้มันไม่ทำแล้ว”

ซันซันรีบช่วยเพื่อนของเขาแก้สถานการณ์ ปรินซ์เองก็ช่วยเสริมเช่นกัน

“ใช่ครับ มันไม่ได้ไปเตะบอลกับพวกผมมาพักใหญ่แล้วครับ เอ่อ ก็ตั้งแต่มันเริ่มคบกับป๋า มันก็แทบไม่ไปเลยครับ พวกเพื่อนๆ เขาถึงถามหากัน หรือถึงมันไป มันก็ไม่ได้ไปหลีสาวที่ไหนเลยครับ"

“เชื่อเถอะนะครับ ฆาบี้ ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ แต่เชื่อไอ้สองตัวนี้มันเถอะ...เอ่อ เอางี้ พรุ่งนี้คุณไปกับผม ไปถามพวกเพื่อนคนอื่นเลยก็ได้ว่าผมไม่ได้เหลวไหลแบบนั้นแล้ว”

เจจับแขนคนรักของเขาแน่นจนคนตัวโตต้องขมวดคิ้วน้อยๆ



“ถ้าฉันไป พวกนายจะสนุกกันเหรอ เจนยุทธ?”

คนตัวโตที่ซ่อนยิ้มไว้จนมิดถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย อันที่จริงเขาไม่ได้คิดมากอะไรเรื่องที่เจพูดเลยสักนิดเพราะคนตัวเล็กเคยเกริ่นๆ ให้เขาฟังแล้ว เขาแค่รู้สึกสนุกไปกับการปั่นหัวคนตัวเล็กเล่นเท่านั้น

“สนุกสิครับ ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณคุยเก่งจะตาย พวกเพื่อนผมมันก็พูดอังกฤษได้ จบนอกกันก็หลายคน รับรองว่าไม่น่าเบื่อแน่นอน คุณ..."

"จ้ะๆ ๆ ฉันเข้าใจแล้ว"

ฆาเบียร์ยื่นมือไปปิดปากคนที่มีท่าทีร้อนรนจนเขาเริ่มรู้สึกสงสาร

"พรุ่งนี้ฉันจะไปกับนายด้วย แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่ง..."

เจนยุทธนั่งตัวตรงและรอรับฟังเงื่อนไขของคนรักด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

"...พวกนายต้องให้ฉันลงเล่นด้วย"



"ฮ้า?! จะไหวเหรอคุณ? "

เจหลุดปากอุทานออกมาดังลั่น ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว ถ้าเขาจะเคืองอะไรคนตัวเล็ก ก็คงเป็นเพราะน้ำเสียงที่ฟังดูตกอกตกใจมากของเจนยุทธนั่นแหละ คนตัวเล็กหัวเราะแหะๆ เมื่อนึกขึ้นมาได้

"แหะๆ ผมหมายถึงว่าคุณร้างสนามไปนานแล้ว จะไหวเหรอ? ไม่ได้หมายถึงอายุ เอ๊ย อย่างอื่นนะครับ"

ฆาเบียร์โคลงหัวให้กับความทะลึ่งของคนรัก

"ไหวไม่ไหวพรุ่งนี้ก็รู้กัน ว่าไง ปรินซ์ ซันซัน ให้ฉันลงเล่นด้วยคนได้ไหม? "

เพื่อนของเจทั้งสองรีบพยักหน้ารับ

"ได้ทุกเมื่อครับ มาลงทีมผมก็ได้ เห็นเจว่าป๋าเคยเล่นฟุตบอลจริงจังตอนม.ปลาย ของแบบนี้มันไม่ลืมกันหรอกครับ”

“เฮ้ยๆ ได้ไงวะ ทีมมึงมีแต่อดีตตัวจังหวัดกับตัวเขต ทีมกูมีแต่พวกเล่นก๊อกๆ แก๊กๆ ไม่แฟร์โว้ย”

เจนยุทธประท้วงลั่น



“อ้าว นี่ไม่ได้เล่นทีมเดียวกันหรอกเหรอ?”

ฆาเบียร์หันไปถามซันซัน หนุ่มตี๋แว่นส่ายหน้า

“เป็นครั้งๆ ไปครับ แต่รอบนี้คนมาเยอะเลยแบ่งเป็นทีมโรงเรียน มีโรงเรียนผมกับโรงเรียนเจ ไอ้เจมันบ่นมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”

ซันซันหัวเราะ เพื่อนๆ ในทีมของเขาเป็นอดีตนักกีฬากันเยอะ แต่ฝั่งเจมีอย่างมากก็ตัวโรงเรียน ไม่ก็พวกเล่นทุกอย่างแบบเจนยุทธ

“ก็เลยกำหนดกันว่าให้มีนักกีฬาอาชีพหรือกึ่งอาชีพอยู่ในสนามได้ไม่เกินทีมละคน แต่แบบป๋า แบบผมนี่ไม่นับ ใช่ไหม เจ?”

ปรินซ์เสริมมาพร้อมหันไปถามเพื่อนของเขา ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วปฏิเสธว่าตัวเขาไม่ได้เก่งขนาดที่จะมีผลต่อการแข่งขันได้ขนาดนั้น



“เสี้ยมนักนะมึง..."

เจนยุทธแยกเขี้ยวใส่เพื่อนตัวดีและกลับไปทำหน้าอ้อนวอนใส่ฆาเบียร์

"คุณจะไม่อยู่ทีมผมจริงๆ เหรอครับ? มาอยู่กับผมแล้วช่วยกันกินพวกนั้นให้เรียบเลยดีกว่า”

“หืมม์? มีลงเดิมพันกันด้วยเหรอ?”

คนตัวโตที่ชอบความตื่นเต้นเริ่มสนใจเมื่อได้ยินว่ามีการพนันขันต่อเล็กๆ ด้วย

"ครับ ทีมแพ้ต้องเลี้ยงเหล้าทีมชนะ แล้วบางทีก็มีกองกลางนิดหน่อย แล้วแต่ใครจะหิ้วอะไรมา บางทีก็ลงตังค์ บางทีก็เป็นเหล้า ถ้าไป พรุ่งนี้ผมก็อาจจะเอาเหล้าในสต๊อคไปสักขวด ไรงิ"

"ห้ามต่ำกว่าแบล็คนะเว้ย อย่าลืม กูกินเร้ดไม่ได้ ปวดหัว"

ซันซันสำทับมา เจหันไปทำหน้าบูดใส่เพื่อนตัวอวบรสนิยมสูงของเขา

"หนอย กะชนะเต็มที่เลยนะมึง คราวนี้กูไม่ยอมแล้วโว้ย"

เจนยุทธว๊ากเบาๆ ทีมเขายังครองสถิติแพ้รวดเมื่อเจอกับทีมของปรินซ์ แต่พวกเพื่อนๆ ของเขามันก็ไม่เคยเข็ดและมักจะร่ำร้องอยากแก้มือเสมอไป



"ฉันตัดสินใจแล้ว..."

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ

"ฉันจะอยู่ทีมปรินซ์กับซันซันแล้วกัน"

"อ้าว เฮ้ย ไหงงั้นล่ะคุณ? "

เจโวยลั่น ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วหยิกแก้มป่องๆ ของคนรักที่ทำหน้ามุ่ยอย่างอดไม่ได้

"ก็เพราะฉันอยากลงเดิมพันกับเจไงล่ะ"

คนตัวโตยิ้มกริ่ม

"นายกลัวว่าฉันจะเตะบอลไม่ไหวใช่ไหม แล้วถ้าฉันบอกนายว่าฉันเตะไหวและจะทำประตูให้ได้ด้วย นายจะกล้ารับพนันหรือเปล่า? "

เจทำตาปริบๆ คนรักของเขาช่างมั่นใจอะไรเบอร์นั้น



"ว่าไง เจนยุทธ กล้าไหม? "

ฆาเบียร์ถามสำทับมาอีกครั้ง เจกัดปากเบาๆ คนตัวโตมองฟันขาวๆ บนริมฝีปากแดงระเรื่อของคนรักแล้วนึกอยากจะจุ๊บปากน้อยๆ นั่นเข้าสักที

"ได้ ฆาบี้ คุณกล้าท้า ผมก็กล้ารับ ว่าแต่ถ้าคุณแพ้ผมจะได้อะไร? "

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ


"นายไม่คิดว่าฉันจะทำได้สักนิดเลยเหรอ เจนยุทธ? ฉันต้องถามมากกว่าว่าถ้าฉันทำได้ นายจะให้อะไรฉัน"

เจทำท่าครุ่นคิดอีกครั้ง

"ถ้าคุณทำได้ คุณอยากได้อะไรผมจะทำให้หมดเลย เครมะ? "

"ได้ ของฉันก็เหมือนกัน ถ้าฉันทำประตูไม่ได้ นายอยากได้อะไรฉันจะให้หมด โอเคไหม? "

"งั้นผมขอเลยได้ไหม ฆาบี้? "

เจถามทันควัน คนตัวโตโคลงหัว เจ้าตัวเล็กของเขาช่างใจร้อนนัก

"ผมอยากให้คุณได้ฟังก่อน เผื่อคุณทำตามไม่ได้จะได้ไม่ต้องมาพนันกับผม"

"นี่นายมั่นใจว่าฉันไม่มีปัญญาทำประตูขนาดนั้นเลยเหรอ หืมม์? "

ฆาเบียร์โอบไหล่คนรักเขย่าเบาๆ เจย่นจมูกให้คนรัก คนตัวโตหัวเราะเบาๆ

"เอ้า ได้ ว่ามา นายอยากได้อะไร? "



"ผมอยากให้คุณอยู่ต่อกับผมอีกคืนหนึ่ง"

เจหลุดปากพูดความในใจออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา ฆาเบียร์อึ้งไป เขาเกือบจะอ้าปากบอกคนรักไปแล้วว่าเขายินดีที่จะอยู่ต่อหากเจร้องขอโดยที่ไม่ต้องมีการเดิมพัน หากเมื่อเขาเห็นแววตามุ่งมั่นของคนตัวเล็กแล้วเขาก็ต้องกลืนคำพูดนั้นลงท้องไป เขารู้ดีว่าคนรักไม่อยากจะรบกวนหรือขออะไรเขาอีก

"ได้ เจนยุทธ ถ้าฉันพลาดทำประตูไม่ได้ ฉันจะอยู่ต่อกับนายอีกคืนหนึ่ง พอใจไหม? "

เจนยุทธยิ้มร่า เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคนรักของเขาที่ร้างสนามมานานแล้วไม่น่าจะยิงประตูฝ่ายเขาได้ เขายังไม่ได้บอกฆาบี้ว่าคนที่เป็นโกลฝ่ายเขานั้นเคยเป็นโกลเยาวชนมือหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่มาแล้ว แม้ตอนนี้เพื่อนของเขาคนนี้จะต้านทานเพื่อนนักบอลที่เคยเล่นอาชีพหรือกึ่งอาชีพของปรินซ์ไม่ได้ แต่ก็ไม่น่าจะเสียทีให้ตาลุงที่ไม่ได้จับบอลมาเกือบยี่สิบปีของเขา



"คุณสัญญาแล้วนะครับ ฆาบี้ ต้องทำตามสัญญาด้วยล่ะ"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขายกมือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความ จากนั้นส่งให้เจดู มันเป็นข้อความที่เขาส่งให้เมลิน่าเพื่อให้เคลียร์คิวงานและหาตั๋วกลับฮ่องกงในวันที่ 19 ให้

"ฉันให้เมลิน่าเคลียร์งานและหาตั๋วไว้ให้เลย ถ้าฉันยิงประตูได้ก็ค่อยแคนเซิลตั๋วไป ดีไหม? "

"เอ่อ ถ้าคุณมีงาน คุณไม่ต้องพนันกับผมก็ได้นะ ผมก็พูดไปงั้นแหละ"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ เขาลืมไปเสียสนิทว่าคนรักของเขานั้นไม่ได้มีเวลาว่างเหลือเฟือเหมือนเช่นตัวเขา หากฆาเบียร์ส่ายหัว

"ไม่ได้มีงานอะไรสำคัญจ้ะ คุยงานออนไลน์ได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าไง จะพนันกับฉันอยู่ไหม? "

เจยิ้มกว้างและหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่

"พนันครับ พนัน ขอบคุณครับ ฆาบี้ ผมรับรองว่าคุณไม่ต้องได้แคนเซิลตั๋วแน่ๆ "

"หึๆ นายมั่นใจเหลือเกินนะ เจนยุทธ ว่าแต่นายพร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่ฉันต้องการจริงๆ หรือเปล่า? พอถึงเวลาจริงๆ ก็อย่าเบี้ยวล่ะ"

เจรับคำอย่างหนักแน่น ปรินซ์และซันซันแอบหันไปสบตากัน



"กูว่าป๋าล้มบอลชัวร์..."


ซันซันพูดเบาๆ พร้อมดูคู่รักเพี้ยนๆ เบื้องหน้าเขาหยอกล้อพลอดรักกัน

"ไม่มั้ง? เดิมพันของไอ้เจยั่วใจกว่าเห็นๆ "

ปรินซ์แสดงความเห็นบ้าง ถ้าซันซันเดิมพันแบบนี้กับเขาบ้าง เขาคงอยากจะให้มันทำอะไรตามใจเขามากกว่า เขาลอบมองหน้าเพื่อนรักสลับกับมองเจนยุทธกับฆาเบียร์แสดงความรักให้กัน

"เฮ้อ เมื่อยจังวุ้ย วันนี้"


ปรินซ์บ่นขึ้นดังๆ พร้อมยกแขนขึ้นทำท่าบิดขี้เกียจ เจนยุทธแอบเหลือบมองเพื่อนทั้งสองแล้วก็ต้องยิ้มบางๆ เมื่อเห็นเพื่อนตัวล่ำของเขาทำเนียนยืดแขนออกไปโอบไหล่ซันซัน หนุ่มลูกร้านเพชรเองก็เหลือบมองมือของเพื่อนที่โอบหมับเข้าที่ไหล่เขาแว่บหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป



"งั้นเดี๋ยวกูไปเอาเบียร์เพิ่มหน่อย พวกมึงจะเอาอะไรกันไหม? คุณล่ะครับ ฆาบี้? เอาอะไรเพิ่มไหม? "

เจนยุทธหันไปถามทุกคน ปรินซ์และซันซันปฏิเสธไม่เอาอะไร แต่ฆาเบียร์บอกว่าเขาขอแบล็ครัสเชี่ยนแก้วหนึ่ง

"ป๋าครับ ปล่อยไอ้เจไปเอาเหล้าคนเดียวนี่จะดีเหรอครับ? "

ปรินซ์ถามคนตัวโตหลังจากเจเดินห่างโต๊ะไปแล้ว เขาจำได้ว่าฆาเบียร์เคยไม่ไว้ใจให้เจไปสั่งเครื่องดื่มเองด้วยรู้ว่าไอ้ตั้ม บาร์เทนเดอร์หนุ่มซึ่งเป็นน้องรหัสของเจนั้นคอยจ้องเพื่อนของเขาอยู่ตาเป็นมัน

"ไม่เป็นไรหรอก ปรินซ์ ฉันกับเจคุยกันแล้ว ฉันจะไม่มาคอยหวงเขาเรื่องเด็กคนนี้อีก"

คนตัวโตพูดอย่างหนักแน่น เขากับเจเคยได้คุยกันเรื่องนี้มาก่อนแล้ว และเพื่อความสบายใจของเจนยุทธ เขาตัดสินใจที่จะเลิกหึงหวงเด็กคนนั้นเสียที ในเมื่อเขาไว้ใจในตัวเจและเชื่อมั่นว่าความรู้สึกของคนตัวเล็กหนักแน่นและมั่นคงพอ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียสมองเรื่องนี้อีก



"ว่าไง ไอ้น้อง วันนี้ยุ่งป่าววะ? "

บาร์เทนเดอร์หนุ่มรีบหันไปตามเสียงเรียก เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นพี่รหัสของเขานั่งเท้าคางจ้องหน้าเขาเป๋งอยู่ที่บาร์

"หวัดดีครับ พี่เจ ไม่ยุ่งครับ ไม่ยุ่ง คืนนี้คนเริ่มน้อยแล้ว แต่สองสามวันก่อนยุ่งมากๆ "

ตั้มร่ายยาวพร้อมกับแอบรินน้ำเย็นส่งให้พี่รหัสผู้ครอบครองพื้นที่ในดวงใจของเขา

"พี่เจมากับพี่ปรินซ์กับพี่ซันเหรอครับ? "

"อืมม์ ใช่"

บาร์เทนเดอร์หนุ่มถามพร้อมรีบลงมือทำออเดอร์ที่ยังคั่งค้างอยู่ เจตอบสั้นๆ และดูน้องรหัสผสมเครื่องดื่มต่ออย่างเพลิดเพลิน เขาชวนหนุ่มรุ่นน้องคุยเล่นตามประสาโดยไม่ได้สังเกตสายตาคมปลาบของรุ่นน้องที่จ้องมองใบหน้าของตนอย่างหลงใหล



ตั้มแอบเหลือบมองพี่รหัสคนสนิทของเขาเป็นระยะๆ นับตั้งแต่วันที่เขาเริ่มหันมามองพี่รหัสคนนี้ในแบบที่มากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องอีกครั้งหลังจากเก็บงำความรู้สึกมานานเกือบสิบปี เขายิ่งรู้สึกว่าเจนยุทธมีเสน่ห์เย้ายวนขึ้นทุกที ยิ่งได้เจอหน้าเจน้อยครั้งลง ไฟในใจของเขากลับยิ่งลุกโชนมากขึ้น ยิ่งเขาได้เห็นพี่รหัสแสดงความรักกับแฟนหนุ่มต่างชาติ เขายิ่งรู้สึกเจ็บใจขึ้นทุกครั้ง มันทำให้เขายิ่งรู้สึกเสียดายโอกาสที่จะได้ผูกสัมพันธ์กับเจตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา ในตอนนั้นเขาเลือกที่จะตัดใจจากเจเพราะเห็นแล้วว่าพี่ชายคนนี้สนใจแต่ผู้หญิงเท่านั้น อีกทั้งยังกลัวที่จะโดนเจรังเกียจหรือหมางเมินถ้าเขาแสดงความชื่นชอบออกไป ในตอนนี้ เขาได้แต่นึกเสียใจว่าหากเขารู้ว่าเจไม่รังเกียจที่จะคบหาผู้ชายด้วยกัน เขาก็คงจะรวบรวมความกล้าแสดงความรู้สึกออกไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

"เป็นอะไรวะ ไอ้ตั้ม อยู่ๆ ก็ไม่พูดไม่จา? "

เจนยุทธชะโงกหน้าไปถามหนุ่มรุ่นน้อง ตั้มสะบัดหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัวแล้วหันไปยิ้มให้พี่รหัสที่ยื่นหน้าเข้ามาถามไถ่ และบอกไปว่าไม่มีอะไร

"ช่วงนึ้มึงแปลกไปจริงๆ น้า ไอ้น้อง โกรธอะไรกูหรือเปล่าวะ? "

เจนยุทธถามเบาๆ รุ่นน้องของเขาดูไม่ค่อยเฮฮาเล่นหัวเหมือนที่เคยเป็น มันเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เขาเริ่มคบหากับฆาเบียร์

"หรือที่มึงไม่ยอมคุยเล่นกับกูเพราะว่ากลัวฆาบี้เขาจะโกรธ? ถ้าเรื่องนั้น มึงไม่ต้องกลัวไปแล้วล่ะ..."

เจที่ตีความท่าทางของตั้มผิดไปแบบนั้นพยายามพูดให้น้องรหัสของเขาสบายใจ เขากำลังจะบอกว่าเขากับฆาเบียร์คุยกันเรียบร้อยแล้ว และคนตัวโตจะไม่มาทำทีท่าหึงหวงอีก แต่บาร์เทนเดอร์หนุ่มกลับเข้าใจเรื่องราวผิดไปถนัด


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด