@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: @@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - มื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟแล้วครับ (5/1/64)  (อ่าน 115995 ครั้ง)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1
o13...ขอแสดงความชื่นชมในฝีมือการเขียนและสปิริตของคุณนักเขียนเป็นอย่างยิ่งครับ... o13

 :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:


แหะๆ ฝีมือไม่ค่อยมี ภาษาไม่ค่อยดี แต่ใจมาเต็ม เขียนเองสนุกเองค่า หวังว่าคนอ่านจะสนุกกับมันไปด้วยเนาะ

ต้องขอบคุณคุณ ommanymontra ที่ติดตามมาตลอดนะคะ

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



​---- กินดื่มที่ท่าเรือ#16 ----




"ฆาบี้ โอย! คุณ ปล่อยผมเหอะ ไม่เอา! พอแล้ว! ผมจะตายแล้ว!"

เจน้ำตาร่วง หลัง 'อาบน้ำ' ในอ่างกันจนเสร็จสมอารมณ์หมายทั้งสองคนแล้ว พวกเขาก็มานัวเนียกันต่อบนเตียง กลิ้งไปกลิ้งมาสักพัก คนตัวโตก็มานอนทับเขาทั้งตัวและจั๊กกะจี้เอวเขา เขาพยายามดิ้นหนีแต่ก็สู้แรงเมียตัวโตของเขาไม่ได้ จนในที่สุดเจก็แกล้งสลบนิ่งไป

"เจ เป็นอะไรไป เจ เจนยุทธ"

คนตัวโตผละออกทันควัน เขาเขย่าร่างคนรักที่นอนตัวอ่อนปวกเปียกบนเตียง​ เขาตบแก้มเจเบาๆ แต่เจนยุทธก็ยังนิ่ง เขาเรียกดังขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน เจรีบลืมตาและลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นไห้และรู้สึกถึงแรงตบและแรงเขย่าที่เริ่มแรงขึ้น

"ฆาบี้ๆ ใจเย็นๆ ผมไม่เป็นอะไร..."

เจใจหายวาบ เขาลืมนึกถึงอาการของคนรักไปเสียสนิท

"ฆาบี้ครับ ดูผมนะ มองหน้าผม ใจเย็นๆ นะ หายใจลึกๆ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว เห็นไหม?"

เจบีบไหล่คนตัวโตซึ่งมีทีท่าสติแตกขึ้นมาอีก เมียตัวโตของเขาน้ำตานองหน้าและตัวสั่นเทา เจดึงร่างนั้นเข้ามากอด ฆาเบียร์รัดร่างเขาแน่นจนรู้สึกเจ็บแต่เจก็ไม่ปริปากบ่น ตัวเขาผิดเองที่เล่นอะไรบ้าๆ แบบนี้ ฆาเบียร์หายใจเข้าออกเป็นจังหวะตามที่เจคอยบอก สักพักอาการของเขาก็ดีขึ้น แต่ปากของเขาก็ยังพร่ำถาม

"ไม่เป็นไรจริงๆ นะ เจ? จริงๆ นะ? ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ ฉันน่าจะหยุดตามที่เจบอก..."

เจลูบหลังคนรักที่ซบหน้าลงบนไหล่ของเขา

"ไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ ฆาบี้ อย่าร้องนะ อย่าโทษตัวเองด้วย ผมผิดเอง ผม...เอ่อ...แกล้งคุณเล่นเฉยๆ ก็คุณไม่ยอมหยุดจี๋ผมอ่ะ"

เจนยุทธพูดเสียงอ่อยๆ แต่แล้วฆาเบียร์ก็พลันผลักอกเขาอย่างแรงจนแทบตกเตียง



"บ้า! เจ เล่นบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไง! รู้ไหมว่าฉันตกใจแค่ไหน! งี่เง่า!"

เจหน้าซีด คนตัวโตสบถและตวาดดังจนเขารู้สึกกลัว ฆาเบียร์ดูโกรธกว่าคราวที่เขาไปนัวเนียกับแม่สาวเล็บคมในห้องน้ำผับกับตอนที่เข้าใจผิดเรื่องขนของเจ้าหมาหมูโรซ่าเสียอีก หน้าของฆาเบียร์แดงก่ำไปด้วยแรงโทสะ ก่อนที่เจจะทันรู้ตัวฝ่ามือใหญ่ของคนรักก็สะบัดเข้าที่หน้าของเขา เจเบี่ยงหลบตามสัญชาตญานแต่ก็ยังโดนเข้าจนหน้าหัน เจกุมแก้มตัวแข็งทื่อและเหม่อมองคนตัวโตของเขา

"ฆาบี้ ผม...ผม..."

เจได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออกจนในที่สุดก็น้ำตาร่วงเผาะออกมา ฆาเบียร์ที่อารมณ์พลุ่งพล่านอยู่เมื่อครู่ก็ตะลึงมองฝ่ามือตัวเอง เขารีบดึงคนตัวเล็กที่กำลังเสียขวัญเข้ามากอดทันที เจร้องไห้สะอึกสะอื้นขดตัวอยู่ในอ้อมอกของฆาเบียร์ ปากเขาพร่ำขอโทษที่ทำให้คนรักตกใจ คนตัวโตรีบพรมจูบไปตามรอยแดงที่แก้มของคนรัก

"เจ ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ"

ฆาเบียร์ระล่ำระลักพูดพร้อมพลิกหน้าเจเพื่อดูร่องรอยชัดๆ เจนยุทธส่ายหัวแล้วพูดด้วยเสียงสลด

"ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ ผมไม่น่าเล่นแบบนี้เลย ผมน่าจะรู้ดีว่ามันจะทำให้คุณตกใจขนาดนี้"

ฆาเบียร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาดันร่างคนรักออกและจ้องมองตานิ่ง

"ฉันขอล่ะ เจนยุทธ ห้ามเล่นบ้าๆ แบบนี้อีกนะ"

ฆาเบียร์พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เจปาดน้ำตาและพยักหน้ารับ เขาเข็ดแล้วจริงๆ

"นายจะแกล้งเรื่องอะไรก็แกล้งไป แต่เรื่องนี้ ฉันขอ"

เสียงทุ้มแหบของคนตัวโตสั่นเครือ

"...เว้นแต่นายอยากให้ฉันเป็นบ้าไป เพราะฉันคงทนไม่ได้แน่ๆ ถ้าต้องเสียนายไปอีกคนนะ เข้าใจไหม?"

ฆาเบียร์บีบไหล่ทั้งสองของเจแน่นจนคนตัวเล็กรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่กล้าบ่นอะไร เขารู้ตัวดีว่าตัวเองผิดเต็มประตู รู้ทั้งรู้ว่าเมียตัวโตของเขาอ่อนไหวและมีปมเรื่องที่ต้องเสียพ่อแม่ไปอย่างกะทันหัน เขาก็ยังดันเอาเรื่องตายมาล้อเล่นอีก ก็ควรแล้วที่ฆาบี้จะโกรธเขา ตอนนี้เขาก็ต้องมารับกรรมที่ตัวเองก่อไว้



ฆาเบียร์อบรมคนรักของเขาอีกยาวยืด เจได้แต่นั่งก้มหน้า ทริปของเขาสองคนเริ่มต้นไม่สวยเสียแล้ว

"ผมขอโทษจริงๆ ฆาบี้ ผมจะไม่เล่นแบบนี้แล้ว จริงๆ ให้สาบานเลยก็ได้"

ฆาเบียร์ถอนหายใจ ไอ้เจ้าตัวเล็กนี่มันขี้เล่น เดี๋ยวสักพักมันก็เผลอเล่นอีก

"ไม่ใช่อะไรนะ เจ ที่ไม่อยากให้เล่นแบบนี้ เพราะฉันไม่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริง เกิดเล่นแบบนี้บ่อยๆ แล้วเกิดวันหนึ่งนายสลบไปจริงๆ แบบที่เคยหน้ามืดไป ฉันก็อาจคิดไปว่านายกำลังเล่นอยู่แล้วไม่ได้สนใจก็ได้"

เจอดยิ้มไม่ได้ ถึงฆาเบียร์จะพูดแบบนั้น แต่เขารู้ใจคนรักของเขาดีว่าไม่มีทางที่คนตัวโตของเขาจะทำนิ่งเฉยไม่สนใจได้ แต่เขาก็จะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้วเพราะเขาทนเห็นสีหน้าที่เหมือนจะขาดใจตายตามของฆาเบียร์ไม่ได้ เขารับปากกับเมียตัวโตของเขาอย่างหนักแน่นว่าเขาจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีก

"เจ็บไหม เจ?"

ฆาเบียร์ไล้นิ้วไปตามรอยแดงจางๆ บนหน้าคนตัวเล็ก เขาปวดใจเหลือเกินที่เผลอตัวลงมือลงไม้กับคนรักไป

"ไม่เจ็บอ่ะ ผมหลบทัน ไม่ได้โดนเต็มๆ"

เจยิ้มหวานให้คนรัก มันก็เจ็บแปล๊บๆ นิดหน่อย แต่ก็ดีกว่าโดนทั้งฝ่ามือ ฆาเบียร์จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของคนตัวเล็ก เจซี้ดปากเล็กน้อยอย่างลืมตัว แรงตบเมื่อครู่ทำให้ข้างในปากเขากระแทกกับฟันและเป็นแผลขึ้นเล็กน้อย ฆาเบียร์หน้าซีดและทำท่าเหมือนจะขาดใจลงตรงนั้น เจหาทางปลอบคนรักของเขา เขากอดร่างกำยำที่ทำท่าหมดแรงซวนซบอยู่ในอกเขาและดันลงนอนก่อนจะป้อนจูบอันอ่อนหวานให้



"ฆาบี้ครับ ผม เอ่อ ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?"

"ขออะไรเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็กซึ่งนอนจ้องหน้าเขาบนหมอนใบเดียวกัน เจถอนหายใจและหลบตาแพรวพรายที่จ้องลึกเข้ามาในตาเขา เขาพูดสิ่งที่อยู่ในใจเขาด้วยเสียงแผ่วเบา

"ถ้าวันหนึ่ง เกิดผม เอ่อ..."

เจอ้ำๆ อึ้งๆ เขาไม่อยากพูดให้คนรักเป็นกังวล แต่ก็เป็นสิ่งที่เขาอยากบอกออกไป

"ถ้าวันหนึ่งผมไม่ได้อยู่ข้างคุณแล้ว เกิดผมต้องจากคุณไป ไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย สัญญาได้ไหม ฆาบี้ ว่าคุณจะต้องเข้มแข็งและอยู่ต่อไป"

"เจ...พูดอะไรบ้าๆ แบบนี้!"

ฆาเบียร์พูดด้วยเสียงสั่นเครือ เจยกมือขึ้นลูบแก้มคนรักเบาๆ

"เมียครับ ฟังผมก่อน ที่พูดน่ะเพราะผมเองก็ผ่านการเสียพ่อไปอย่างกะทันหันเหมือนกัน มันทำให้ผมรู้ว่าอะไรๆ ในชีวิตคนเราน่ะ มันไม่แน่นอน..."

"สิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและเราก็ไปควบคุมมันไม่ได้ ที่เราคุมได้ก็แค่ความรู้สึกของเราเท่านั้น..."

"...จากที่ผมเห็นในวันนี้ มันทำให้ผมห่วงคุณ ฆาเบียร์ ผมห่วงจริงๆ"

เจพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฆาเบียร์มีทีท่าจะรับความสูญเสียไม่ได้เลย ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับเขาหรือกับคริส คนตัวโตที่ดูเหมือนเข้มแข็งคนนี้คงต้องพังทลายลงหรืออาจถึงขั้นคิดสั้นได้



"รับปากผมได้ไหม ว่าถ้ามันเกิดขึ้น คุณจะ...อย่างน้อย...ลองพยายามมีชีวิตต่อไปโดยไม่มีผม ผมอยากเห็นคุณเข้มแข็งและก้าวหน้าต่อไปได้ รับปากผมได้ไหม?"

เจพยายามจ้องลึกเข้าไปในตาของคนรัก คราวนี้ฆาเบียร์เป็นฝ่ายหลบตาบ้าง

"ฉัน เอ่อ ฉันรับปาก ฉันจะเข้มแข็ง เจไม่ต้องห่วงนะ"

คนตัวโตของเจอ้อมแอ้มรับปาก เจถอนหายใจ ต่อให้เขารู้ว่านั่นคือคำโกหกแต่อย่างน้อยเขาก็ได้บอกความในใจของเขากับเมียตัวโตของเขาแล้ว เขาข่มใจก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้ฆาบี้และลูบผมสีน้ำตาลเข้มนั้นเบาๆ

"That's my boy!"

'นี่สิ หนุ่มน้อยของผม'


ฆาเบียร์จิ๊ปาก คนตัวเล็กนี่ทำท่าวางโตลูบหัวเขาเหมือนเขาเป็นเด็กเล็กเสียได้

"hey, hey...I'm not just a boy. I'm a 'big' boy!"

คนตัวโตยักคิ้วให้เจก่อนจะดึงมือเจลงไปพิสูจน์ คนตัวเล็กหน้าแดงก่ำ

"เออ รู้แล้วว่าใหญ่ ไม่ต้องจับมาเทียบกันได้ไหม!"

เจสะบัดเสียงอย่างน้อยใจ คนตัวโตหัวเราะร่วน เขาจูบหนักๆ ที่ปากของเจนยุทธ เจจูบตอบ ชีวิตของคนเรามันสั้นและอะไรก็ไม่แน่นอน เขาจึงอยากใช้ทุกนาทีของเวลาที่มีกับเมียตัวโตของเขาคนนี้ให้คุ้มค่าที่สุด



"ตายล่ะ นี่ผมหลับไปเหรอ?"

เจงัวเงียตื่นขึ้นมา เขาเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ฆาเบียร์โคลงหัวและบ่นคนตัวเล็กที่อยู่ๆ ก็หลับไปทั้งๆ ที่ลิ้นเขายังคาปากและมือเจ้าตัวยังคาอยู่ที่บางส่วนของเขาโดยทิ้งให้เขาอารมณ์ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น เจหัวเราะแหะๆ และโทษยาแก้เมาที่กินไปเมื่อหลายชั่วโมงที่แล้ว วันนี้เขาตื่นเช้ากว่าปกติอีกด้วย แถมเตียงของโรงแรมโซฟิเทลนี่ก็แสนนุ่มทำให้เขาเผลอหลับไปอย่างไม่น่าให้อภัย

"แล้วนี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย?"

"จะสี่โมงแล้ว เจ"

"ตายห่านแล้ว!"

คนตัวเล็กอุทานดังลั่น เขารีบเด้งตัวขึ้นจากเตียงแล้วลากแขนคนตัวโตให้ลุกขึ้นตาม

"เร็วๆๆ แต่งตัวเร็วๆ ฆาบี้ เดี๋ยวจะหมดเวลาซะก่อน!"

ฆาเบียร์ลุกขึ้นแต่งตัวอย่างงงๆ

"อะไรหมดเวลาเหรอ เจ?"

"อาฟเตอร์นูน ที ไง เค้าเสิร์ฟถึงแค่สี่โมงครี่ง"

ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา เขาก็นึกว่าเจจะรีบไปไหน ที่แท้มันก็ห่วงกิน ฆาเบียร์ใส่ชุดเดิมตอนขึ้นเรือ เช่นเดียวกันกับเจนยุทธ พอแต่งตัวเสร็จเจก็รีบลากเมียตัวโตของเขาออกห้องแล้วเดินลิ่วไปยัง Club Millesime ซึ่งเป็นคลับเลาจ์ของโรงแรมสัญชาติฝรั่งเศสแห่งนี้ ห้องของพวกเขาอยู่ห่างคลับไปเพียงไม่กี่สิบก้าวเท่านั้น เมื่อไปถึงพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพนักงาน โชคดีที่คนส่วนใหญ่ลุกกันไปหมดแล้ว พวกเขาจึงได้ที่นั่งข้างหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองเก่ามาเก๊าอย่างชัดเจน



"ขอบคุณครับ

เจหันไปขอบคุณพนักงานที่นำเอาชุดน้ำชายามบ่ายมาเสิร์ฟ เจสั่งกาแฟคาปุชิโน่ร้อน ส่วนฆาเบียร์ขอเป็นกาแฟดำ ทั้งคู่รสชาติมาตรฐาน เจหันไปให้ความสนใจกับชุดชายามบ่าย เขาเริ่มกินจากชั้นล่างสุดซึ่งได้แก่แซนวิชแตงกวากับซาลามี่และแซนวิชทูน่าชิ้นน้อยที่มาอย่างละ 2 ชิ้น ฆาเบียร์ยกแซนวิชทูน่าของเขาให้เจซึ่งมีท่าทางหิวจัด

"ไม่ต้องเลย เจ ชิ้นนี้ฉันไม่แบ่งนายเด็ดขาด"

ฆาเบียร์คว้าขนมปังฝรั่งเศสชิ้นบางซึ่งมีชีสบรีวางอยู่ด้านบนมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นคนตัวเล็กทำท่าจะเนียนฉกมันไป ถึงเขาจะห่วงรูปร่าง แต่ชีสเล็กน้อยแค่นี้เขารับได้

"งกชะมัด"

เจบ่นอุบอิบและหยิบแป้งชู หรือแป้งเอแคลร์ที่มีน้ำตาลเคลือบด้านนอกที่อยู่บนชั้นที่สองของชุดชายามบ่ายมากิน แล้วทำหน้าฟิน ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นไปยีหัวเจ้าตัวยุ่งของเขา

ฆาเบียร์หยิบทาร์ตช็อคโกแลตชิ้นน้อยในจานชั้นบนสุดมาชิม มันไม่ได้อร่อยล้ำอะไรมากนัก แต่ก็กินได้ เขาตักเค้กช็อคโกแลตที่ครึ่งบนเป็นมูสสีส้มส่งให้เจ

"อ่ะ เจ ฉันให้ กินส่วนของฉันได้เลยนะ"

คนตัวโตยิ้มหวานให้เจนยุทธ เจหัวเราะหึๆ เค้กที่ดูกินแล้วอ้วนก็ส่งมาให้เขาล่ะสินะ คุณฆาเบียร์ เจจิ้มกินไปคำนึงแล้วก็ชมเปาะ เนื้อมูสด้านบนนั้นเป็นมูสส้มซึ่งเข้ากับรสขมเข้มของเนื้อเค้กและครีมช็อคโกแลตชั้นล่าง ฆาเบียร์มองตาปริบๆ แล้วตักเค้กแบบเดียวกันอีกชิ้นที่เหลือใส่จานของตัวเองหน้าตาเฉย

"เฮ้ย นั่นของผม!"

เจโวยลั่น ฆาเบียร์ไม่ใส่ใจและตัดเค้กชิ้นนั้นเข้าปากทันควันและยิ้มออกมาเมื่อมันอร่อยอย่างที่เจว่าจริงๆ หรือมันอาจจะอร่อยเพราะได้แย่งกินกับคนตัวเล็กที่บ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งอยู่ตรงหน้าเขานี่ก็ได้



] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/18/afternoontea-L.jpg[/img)


"เจ..."

"อะไรอีกล่ะ"

คนตัวเล็กหน้าง้ำ

"กินข้าวกับใครก็ไม่อร่อยเท่ากินกับเจนะ"

เจนยุทธหน้าแดงระเรื่อ คนตัวโตคนนี้บทจะหยอดคำหวานก็พูดออกมาได้หน้าตาเฉย เขาก้มหน้าก้มตาตอบรับด้วยความเขิน​

"อือ...ผมก็ชอบกินข้าวกับคุณนะ แต่..."

คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับคนรัก ดวงตาเขาฉายแววเจ้าเล่ห์ ฆาเบียร์กลั้นใจรอฟัง

"...แต่ ถ้ากินข้าวด้วยอร่อยที่สุดก็คงต้องเป็นพี่นพนะ ไม่ใช่คุณ ฮ่าๆๆ"

เจพูดตามจริง พ่อคนห่วงอ้วนนี่ขี้บ่นนัก อันนี้ก็ไม่ดี อันนี้ก็อย่าสั่ง นี่กินแล้วอ้วน แถมกินน้อยไม่ค่อยช่วยเขากินเท่าไหร่ สู้กินกับคนที่ชอบกินเหมือนกันไม่ได้ ฆาเบียร์หุบยิ้มทันที

"พูดงี้ฉันควรเป็นห่วงไหม เจ?"

เจนยุทธกระพริบตาปริบๆ แล้วถามว่าห่วงเรื่องอะไร

"ก็ห่วงว่าเจจะไปตกหลุมรักนพน่ะสิ"

คนตัวโตกระแทกเสียงหนักๆ เจนยุทธหัวเราะก๊ากออกมาทันที

"บ้า! ไม่มีทางเลย ผมไม่มีทางคิดอะไรกับตาลุงนั่นมากกว่าเพื่อนแน่ๆ นอนกอดกันทั้งคืนก็กอดมาแล้ว ผมไม่มีอารมณ์อื่นกับพี่นพแน่นอน"

เจหลุดปากพูดถึงช่วงที่เขาไปเที่ยวกับนพบ่อยๆ

"เฮ้ยๆๆ อะไรนะ เจ? พวกนายนอนกอดกันงั้นเหรอ?"

คนตัวโตทำหน้ายักษ์ใส่คนรัก เจเกาหัวแล้วบอกว่าพวกเขาติดหมอนข้างกันทั้งคู่ บางทีกลางคืนนอนๆ ก็เผลอคว้าอีกฝ่ายมากอดเป็นหมอนข้างเป็นเรื่องปกติ

"แต่ตั้งแต่คบคุณ ผมก็ไม่ได้ไปค้างที่ไหนกับพี่นพอีกแล้วนะ อย่างอนนะครับ คนดี"

ฆาเบียร์บ่นพึมพำ เขาบอกว่าเมื่อก่อนเจอาจจะไม่คิดอะไรเพราะเจยังไม่ได้คุ้นชินกับสัมผัสของกายชาย แต่ถ้าเป็นตอนนี้เขาไม่แน่ใจ เจก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ และไม่ต่อความยาวสาวความยืด เขาพอเข้าใจความรู้สึกของฆาเบียร์ ช่วงที่แล้วเขาก็เคยกังวลในเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อเขารู้ใจฆาเบียร์แน่ชัดแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาในใจของเขาอีก แต่เขาก็ไม่นึกว่าคนตัวโตจะมาพาลหวงเขาเอาเสียได้



เจเอาบิสกิตแท่งยาวจุ่มซอสช็อคโกแลตในถ้วยน้อยและส่งให้ฆาเบียร์ คนตัวโตทำท่าปฏิเสธ

"อร่อยนะ ไม่กินจริงๆ เหรอ?"

เจใช้แท่งบิสกิตเปื้อนซอสนั้นไล้เบาๆ ที่ปากของคนรักอย่างยั่วเย้า ฆาเบียร์หน้าแดงน้อยๆ พนักงานเริ่มมาจัดโต๊ะสำหรับมื้อค้อกเทลและคานาเป้ตอนห้าโมงครึ่งแล้ว แต่เจก็ยังกล้าทำแบบนี้ ในเมื่อเจกล้าเล่นเขาก็กล้าเหมือนกัน คนตัวโตของเจใช้ลิ้นเลียซอสช็อคโกแลตที่ติดเปื้อนบนปากของตัวเอง

"อืมม์ อร่อยนี่ เจ ขออีกหน่อยสิ"

เจที่กัดบิสกิตไปจนจะหมดแท่งแล้วดึงแท่งใหม่ออกมาจุ่มซอสจนชุ่มและส่งให้ฆาเบียร์อีก คราวนี้ฆาบี้อ้าปากรับบิสกิตแต่โดยดี แต่เขาไม่ได้กัดมันเข้าไป เขาใช้ลิ้นตวัดเลียซอสออกแถมยังห่อปากเข้ารูดไล้แท่งบิสกิตจนซอสช็อคโกแลตหายหมด เจทำตาปริบๆ และค่อยๆ ดึงแท่งบิสกิตออกจากปากคนตัวโตที่เห็นอาหารเป็น ‘ของเล่น’ ไปเสียแล้ว

“อย่ายั่วนะ ฆาบี้ ผมขอเตือนไว้ก่อน”

เจพูดยิ้มๆ แต่ฆาเบียร์ดูจะไม่ได้ใส่ใจคำเตือนนั้น

“แล้วจะทำไมเหรอ เจ?”

เมียตัวโตของเจพูดพร้อมส่งสายตายียวนให้ เขาใช้นิ้วจิ้มกวาดซอสช็อคโกแลตในถ้วยแล้วทาไล้ไปตามริมฝีปากก่อนจะส่งปลายนิ้วเข้าปากแล้วดึงออกมาช้าๆ จากนั้นค่อยๆ ใช้ลิ้นเลียไล้ซอสช็อคโกแลตบนริมฝีปากของตัวเอง เจหัวเราะหึๆ เขากอดอกนั่งพิงพนักเก้าอี้ดูเมียตัวโตยที่พยายามยั่วเขา

“ไม่ทำไมหรือทำอะไรหรอก ยั่วได้ยั่วไป…"

‘แค่ตอนนี้นะ…’

เจนยุทธคิดในใจ เขาหันไปให้ความสนใจกับขนมขบเคี้ยวอย่างคุกกี้ ถั่วเคลือบแป้งรสวาซาบิและเอ็มแอนด์เอ็มที่เขาตักมาไว้ก่อนหน้านี้ ฆาเบียร์ก็เลิกยั่วเย้าเมื่อเห็นเจทำท่าสนใจขนมมากกว่าเขา เจส่งเม็ดช็อคโกแลตสีจัดจ้านอย่างเอ็มแอนด์เอ็มเข้าปากของคนรัก



“นี่ฉันไม่ได้กินมันมานานมากแล้วนะเนี่ย จำไม่ได้แล้วว่านานแค่ไหน”

ฆาเบียร์โยนช็อคโกแลตสีๆ เม็ดหนึ่งขึ้นแล้วใช้ปากรับเหมือนที่เคยทำสมัยยังหนุ่ม ช็อคโกแลตแบบนี้คือศัตรูของคนรักษาหุ่นอย่างเขา แต่เขาก็ตบะแตกไปบ้างตอนที่ต้องอยู่กับคนช่างกินอย่างนพ เขาเล่าให้เจฟังว่าเขาติดกินช็อคโกแลตพวกนี้ตอนเป็นรูมเมทกับหนุ่มน้อยร่างอวบจากไทยที่เขาเคยมีใจให้คนนั้น

“ช่วงเทศกาลอย่างคริสต์มาสและอีสเตอร์ ช็อคโกแลตยี่ห้อนี้จะออกลิมิเต็ดเอดิชั่นมา คือทำเป็นสีประจำเทศกาล คริสต์มาสก็มีสีเขียวแดง ส่วนอีสเตอร์ก็เป็นสีพาสเทล ทีนี้พอหมดเทศกาลปุ๊บ ตามร้านก็จะขนของพวกนี้มาลดราคา บางร้านลดถึง 50%…”

หนุ่มน้อยนพอาศัยโอกาสนี้ซื้อช็อคโกแลตพวกนี้มาตุนไว้จำนวนมาก ส่วนหนึ่งเอาไว้กินเอง อีกส่วนหนึ่งขนกลับเมืองไทยเป็นของฝากญาติและเพื่อนฝูง

“…แล้วเวลากินมันไม่กินคนเดียว แต่ดันเอามายัดเยียดให้ฉันกินด้วยสิ”

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบ เขาในตอนนั้นก็ทนลูกตื๊อของมันไม่ได้ต้องช่วยมันกิน จนเขาพลอยติดรสชาติของมันไปด้วยอีกคน

“เหอะ แสดงว่าก็กินไปเยอะแล้วสินะ งั้นพอ ไม่ต้องกินละ”

เจแกล้งทำกะฟัดกะเฟียดแล้วดึงจานใส่ช็อคโกแลตสีสดใสมาจากด้านหน้าของคนตัวโต ฆาเบียร์ที่ก็ดูออกว่าเจแกล้งงอนเพื่อเนียนเก็บไว้กินคนเดียวก็ดันจานส่งให้แต่โดยดี ทั้งสองนั่งคุยเล่นกันจนกระทั่งถึงเวลาค้อกเทล


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- กินดื่มที่ท่าเรือ#16 (ต่อ) ----




“เอ้า นี่ bubbly ของคุณ”

เจเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมเครื่องดื่มมีพรายฟองสองแก้วในมือ สาเหตุหนึ่งที่เจเลือกจองห้องรวมคลับก็เพราะช่วงค้อกเทลนี้ ในเรื่องของแอลกอฮอล์ โซฟิเทลมาเก๊าไม่ทำให้เขาผิดหวัง มุมเครื่องดื่มของที่นี่มีสารพัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วางเรียงราย มีทั้งวิสกี้ รัม วอดก้า เตกิล่า เบอร์เบิ้น จิน เวอร์มุธและเหล้าหวานอีกหลายชนิด อีกทั้งยังมีน้ำผลไม้ โซดาและซอฟท์ดริงค์ ที่บาร์ยังมีอุปกรณ์ผสมเครื่องดื่มอย่างกระบอกตวงและแก้วค้อกเทลหลายชนิด รวมทั้งของตกแต่งอย่างมะนาวเหลืองฝานที่เสียบไม้ติดไว้กับเชอรี่ดองเพื่อที่แขกจะสามารถผสมคัอกเทลของตัวเองได้ตามใจชอบ หรือจะเรียกให้พนักงานผสมให้ก็ได้ ในส่วนของไวน์ก็มีทั้งไวน์ขาวและแดงอย่างละ 2-3 ตัว และสปาร์คลิ่งไวน์ยี่ห้อไม่คุ้นตาอีกหนึ่งขวด

“ผมไม่ทันอ่านฉลากดีว่าเป็นแชมเปญหรือสปาร์คลิ่งไวน์ พอดีมีคนรอต่อคิวอยู่เลยรีบๆ เทมา”

ความต่างของแชมเปญและ Sparkling wine หรือไวน์สีเหลืองทองที่มีพรายฟองคือแชมเปญนั้นเป็นสปาร์คลิ่ง ไวน์ที่ทำในแคว้นชองปาญ (Champagne) ของฝรั่งเศส และต้องทำจากองุ่น Chardonnay, Pinot Noir และ Pinot Meunier เท่านั้น สำหรับขวดนี้แล้วเจเดาว่าเป็นสปาร์คลิ่ง รสชาติของมันไม่เลวนักแม้จะออกรสเปรี้ยวแหลมและฝาดไปหน่อยสำหรับเขา

แต่ที่เจค่อนข้างผิดหวังคือส่วนของอาหารว่างที่กินแกล้มกับคัอกเทลซึ่งมีให้เลือกไม่เยอะและไม่ค่อยอร่อย หลายอย่างดูรู้ว่าคือของโฟรเซ่น อย่างเช่นทอดมันปลาและเกี๊ยวซ่าที่เขาตักมานี้ ฆาเบียร์ก็บ่นว่าหมี่ผัดที่เขาตักมารสชาติจืดชืด พวกแฮมและชีสก็ไม่ค่อยหลากหลายเท่าไหร่

"สู้ของที่อินเตอร์คอนกรุงเทพไม่ได้เลยอ่ะ"

เจบ่นเบาๆ ฆาเบียร์หัวเราะ

"แหม เจ ราคามันต่างกันเป็นเท่า แล้วก็ต่างกับริทซ์ คาร์ลตันฮ่องกงตั้งหกเจ็ดเท่า แค่นี้ฉันก็ว่าใช้ได้แล้วล่ะ"



"นี่ครับ ผมผสมให้คุณเป็นพิเศษเลยนา"

เจยื่นค้อกเทลสีเหมือนน้ำชาใส่น้ำแข็งในแก้วทรงสูงให้ฆาเบียร์ คนตัวโตยกขึ้นชิมแล้วก็ต้องทำหน้าเบ้ออกมา

"เจ Long Island Iced Tea ของเจชงแก่มาก นี่จะมอมเหล้าฉันเหรอ?"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ เขาบอกว่าเขาจำอัตราส่วนมันไม่ได้ ก็เลยใส่เหล้าหนักมือไปหน่อย

"เจลืมใส่ sour mix นะ"

ฆาบี้หมายถึงน้ำมะนาวผสมกับน้ำเชื่อม เจทำท่านึกได้ เขาใส่แค่ว้อดก้า รัม จิน เตกิล่าและทริปเปิล เซ็คโดยเทโค้กตบท้ายลงไปเท่านั้น

"แล้วนี่อะไรล่ะ?"

ฆาเบียร์ชี้เครื่องดื่มสีเหลืองในแก้วค้อกเทล

"นี่ผมผสมมั่วๆ เอาน่ะ มีน้ำสัปปะรด มาลิบูแล้วก็รัม จากนั้นเขย่าในกระบอกเช้ค"

ฆาเบียร์ยกขึ้นชิมแล้วก็เอาสลับกับแก้วของเขาทันที เจจนใจต้องรับความผิดพลาดของตัวเองมาดื่มแต่โดยดี ในฐานะอดีตนักศึกษาการโรงแรมที่ได้ A วิชาการจัดการบาร์และเครื่องดื่มมา เขาแอบเสียหน้าเล็กน้อยและหวังว่าจะแก้มือได้ในแก้วถัดไป



พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าหลังหมู่ตึกที่เป็นสัญลักษณ์ของเขตเมืองเก่ามาเก๊า เจและฆาเบียร์นั่งคุยกันถึงเหล่าคาสิโนและโรงแรมในมาเก๊า เจบ่นเสียดายที่จากโรงแรมโซฟิเทลแห่งนี้ไม่สามารถมองเห็นโรงแรมและคาสิโน Lisboa ที่เป็นตำนานโรงแรมคาสิโนของมาเก๊าตั้งแต่ยุค 1970 มันปรากฎอยู่ในภาพถ่ายโฆษณาของเกาะแห่งนี้แทบทุกชิ้น

ฆาเบียร์เล่าให้เจฟังว่าเจ้าของโรงแรมคาสิโนซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของมาเก๊าแห่งนี้ได้แก่ Stanley Ho ผู้มีฉายาว่าราชาแห่งการพนัน เขาเป็นผู้ก่อตั้ง SJM Holding ซึ่งเคยได้สิทธิ์ผูกขาดใบอนุญาตการพนันแต่เพียงผู้เดียวในมาเก๊า หากหลังจากปี 2002 ทางการมาเก๊าได้อนุญาตให้คาสิโนยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ อย่างกลุ่ม Sands และ MGM เข้ามา แต่กระนั้น SJM ก็ยังเป็นเจ้าของคาสิโนถึง 14 แห่งจาก 30 แห่ง และในจำนวน 30 แห่งนี้ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นของกลุ่มบริษัทที่ก่อตั้งโดยทายาทของสแตนลี่ย์ โฮเองด้วย

"เจรู้ไหม โรงแรมโซฟิเทลที่ Ponte 16 นี้ก็เป็นของเครือ SJM ถึง 51% นะ ส่วนเรือเทอร์โบเจ็ทที่เรานั่งมาก็เป็นของกลุ่มบริษัท Shun Tak ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทของคุณสแตนลี่ย์ โฮที่ฮ่องกง อาคาร Shun Tak ที่เป็นที่ตั้งท่าเรือก็ใช่ หรือถ้าเจจะนั่ง ฮ. มา บริษัท Sky Shuttle ก็เป็นของเขาเหมือนกัน"

"แสดงว่าถ้าจะมามาเก๊าก็แทบหนีคุณโฮนี่ไม่ได้เลยสินะ"

"ใช่ ไม่ว่าไง เจก็ต้องเสียตังค์ให้เขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง รู้ไหม?"

เจพยักหน้ารับรู้ ไหนๆ เขาก็เสียตังค์ให้ลุงโฮแล้ว ก็ขอให้สิทธิ์ให้คุ้มหน่อย เจนยุทธลุกขึ้นไปทำอะไรก๊อกๆ แก๊กๆ ที่บาร์ก่อนจะกลับมาพร้อมเครื่องดื่มสองแก้ว



"เอ้า แก้วนี้ไม่พลาดแน่...Cuba Libre น่ะ"

เจส่งค้อกเทลซึ่งเป็นส่วนผสมของรัม โค้กและน้ำมะนาวให้ฆาเบียร์ เขาบอกว่ามันอาจจะติดหวานไปหน่อยเพราะที่นี่ไม่มีน้ำมะนาวสดให้ เขาเลยต้องใส่ซาวร์ มิกซ์ซึ่งมีน้ำเชื่อมแทน ฆาบี้รับมาจิบแล้วยิ้มออกมา แก้วนี้ใช้ได้ แต่เจก็ยังหนักเหล้าอีกเหมือนเคย เจวางแก้วไวน์ที่มีเครื่องดื่มสีแดงใสลงตรงหน้า เขาพยายามจะทำ Kir Royale ซึ่งได้แก่แชมเปญผสมกับเหล้ารสแบล็คเคอเรนท์อย่าง Creme de cassis แต่หาไม่ได้เลยใส่เหล้าสตรอเบอรี่แทน ส่วนสปาร์คลิ่งไวน์ก็หมด เหลือแต่ไวน์ขาว เขาก็เลยใช้ไวน์ขาวแทน มันก็ดูน่าจะแทนกันได้

"มา ดื่มให้คุณโฮเค้าหน่อย Salud!"

เจกล่าวคำชวนดื่มเป็นภาษาสเปนและยกแก้วขึ้นชนกับแก้วฆาเบียร์

"โอ๊ย รสชาติห่วยแตก"

เจทำท่าผะอืดผะอม ไอ้เจ้าเครื่องดื่มมั่วๆ ของเขานี่ไม่ได้เรื่องเอาเลย ตอนแรกเขาจะผสมเครื่องดื่มที่ใช้กระบอกเช้ค แต่มันมีแต่กระบอกใช้แล้วที่ยังไม่ได้เอาไปล้าง เขาเลยต้องทำแบบที่เทผสมกันในแก้วแทน ฆาเบียร์ยกขึ้นชิมแล้วทำหน้าพิพักพิพ่วนแล้วมองหน้าเจ

"เก่งมากเลยนะเจที่ผสมของรสชาติแบบนึ้ขึ้นมาได้"

ฆาเบียร์รีบยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มเพื่อล้างรสชาติติดปากของเครื่องดื่มแก้วนั้น กลิ่นมันเหมือนสตรอเบอรี่ปลอมๆ ที่มีรสหวานปะแล่มๆ ผสมกับความเปรี้ยวฝาดของไวน์ขาว เจทำหน้าเจื่อนๆ และรีบเดินไปรินน้ำเปล่ามาให้คนรักล้างปาก



"ฉันว่า แก้วหน้าเราขอให้เขาทำให้ดีกว่านะ"

ฆาเบียร์ทำท่าขนลุกขนพอง เจพยักหน้าอย่างยอมแพ้

"ที่เรียนมาผมเอาคืนอาจารย์ไปหมดแล้วอ่ะ..."

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์ลูบหัวคนรักเบาๆ ด้วยความเอ็นดู เขาหน้าตึงขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของเจ

"เดี๋ยวกลับเชียงใหม่ผมไปให้ไอ้ตั้มมันสอนชงเหล้าดีกว่าอ่ะ..."

"ไม่ต้องหรอกเจ จะไปเรียนทำไมกัน?"

ฆาเบียร์ถามเสียงแข็ง คนตัวเล็กยิ้มหวานให้เขาและเกาะแขนอย่างเอาใจ

"ก็ผมอยากชงค้อกเทลอร่อยๆ ให้คุณกินมั่งอ่ะ"

ฆาเบียร์ถอนหายใจแล้วบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น และเขาก็ไม่ได้ชอบค้อกเทลขนาดนั้น

"อือ ไม่เรียนก็ไม่เรียน งั้นก็กินแบบนี้ไปแล้วกัน"

เจดันแก้วค้อกเทลรสชาติประหลาดของเขาไปให้ฆาเบียร์ ฆาบี้รีบดันคืนมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาดันไปดันมาจนในที่สุดตัดสินใจทิ้งมันไว้ตรงกลางโต๊ะและไม่แตะต้องมันอีก เจปิดหน้าและบ่นลั่นเมื่อฆาเบียร์ถ่ายรูปมันคู่กับหน้าเขาไว้เป็นที่ระลึกถึงความผิดพลาดของเขา


]​ (ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/18/cocktails16-L.jpg[/img)


"รู้ป่าว ว่านั่นตึกอะไร?"

เจชี้ให้ฆาเบียร์ดูตึกรูปทรงประหลาดที่ดูเหมือนเปลวไฟพุ่งขึ้นจากพื้น​ มันสูงเด่นกว่าตึกอื่นและประดับด้วยไฟวิ่งเป็นสีๆ อย่างสวยงาม

"รู้สิ เจ โรงแรม Grand Lisboa ไงล่ะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจนยุทธคิดยังไงมาถามคนที่เคยมามาเก๊าหลายต่อหลายครั้งอย่างเขา เจยังคงไม่ยอมแพ้ถามต่อไป

"แล้วรู้ไหมไอ้โดมๆ ข้างบนนั้นมีอะไรอยู่?"

เจหมายถึงโดมทรงรีที่อยู่ด้านบนสุดของอาคาร

"เอ ไม่รู้สินะ เจบอกฉันหน่อยสิ"

ฆาเบียร์ซ่อนยิ้ม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เขาพอจะเดาออกแล้วว่าเจจะตะล่อมคุยกับเขาเรื่องอะไร แต่เขาจะแกล้งทำไม่รู้เรื่องไปก่อน

"อะไร ไม่รู้ได้ไง คุณอ่ะ ทำงานในวงการนี้แท้ๆ"

เจนยุทธบ่นอุบอิบ

"มีนั่นไง ภัตตาคาร Robuchon au Dome อ่ะ"

เจพูดถึงภัตตาคารที่ได้ดาวมิเชแลง 3 ดวงติดต่อกันมา 9 ปีซ้อนของเชฟชื่อก้องอย่าง Joel Robuchon ผู้ได้ชื่อว่ามีดาวมิเชแลงในมือมากที่สุดในโลก

"อ๋อ ฉันลืมนึกถึงไปเลย ไปนึกแต่ว่ามันปิดไปแล้ว ทำไมเหรอ เจ อยากกินข้าวที่นั่นเหรอ?"

เจถอนหายใจเบาๆ เขานึกว่าฆาเบียร์พาเขาไปกินข้าวมื้อหรูที่นั่นเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าคนตัวโตของเขาจะไม่ได้หมายถึงที่นั่น เขาพยักหน้าน้อยๆ



"งั้นเดี๋ยวฉันลองถามพนักงานที่นี่ก่อนนะ เผื่อเขาจะหาทางจองให้ได้"

ฆาเบียร์เรียกพนักงานคนหนึ่งที่เดินผ่านมา เจนั่งเหม่อดูวิวจนไม่ได้สนใจว่าฆาเบียร์คุยกับพนักงานเป็นภาษากวางตุ้งแทนภาษาอังกฤษ พนักงานคนนั้นเดินหายไปพักหนึ่งก่อนจะเดินกลับมาบอกเป็นภาษาอังกฤษว่าช่วงนี้ที่ภัตตาคารนั้นถูกจองเต็มตลอดเวลา ฆาเบียร์มีทีท่าเสียใจและบอกเจว่าจะพาไปกินที่อื่นแทน

"ไม่เป็นไร ฆาบี้ ไว้เราค่อยมากันวันหลังก็ได้ ผมรู้อ่ะว่าร้านแบบนี้ถ้าไม่จองมาก็คงไม่ได้กิน..."

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ ฆาเบียร์แอบซ่อนยิ้ม เขาบอกพนักงานสาวคนนั้นถึงสถานการณ์ของเขาและขอให้เธอพูดแบบนั้นเอง แต่เขาก็หุบยิ้มทันทีเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของเจ

"...คราวที่แล้วที่มากับพี่นพ พี่เขาต้องจองล่วงหน้ามาตั้งเป็นเดือน แถมต้องจ่ายมัดจำมาก่อนอีกต่างหาก"

"เอ่อ เจเคยกินที่นั่นแล้วเหรอ? ดีไหม?"

คนตัวโตถามด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เจตอบว่าเขาเคยมากินอาหารเซ็ตมื้อเที่ยงและประทับใจเป็นอย่างมาก ฆาเบียร์แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเจก็จะยังน่าจะเซอร์ไพรส์กับสิ่งที่เขาเตรียมไว้ให้



"ฆาบี้ รีบดื่มแก้วนี้ให้หมดเถอะ เดี๋ยวเราจะไปข้างนอกกัน"

เจยกมาร์ตินี่ที่ขอพนักงานทำให้ขึ้นจิบอึกสุดท้าย

"เอ่อ จะไปไหนเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถาม เขายกนาฬิกาของเขาขึ้นดู ทุ่มกว่าแล้ว เจยังจะไปไหนอีก เขากะว่าพอหมด happy hours ตอนทุ่มครึ่งก็จะชวนคนตัวเล็กลงไปนั่งจิบที่บาร์ด้านล่างต่อ จากนั้นก็จะได้ขึ้นไปใช้เวลาส่วนตัวกันบนห้องนอน

"ไปหาอะไรกินไง"

ฆาเบียร์กระพริบตาปริบๆ เขาถามเจว่าที่กินไปนี่ยังไม่อิ่มอีกเหรอ เจส่ายหน้าและบอกว่านี่แค่เรียกน้ำย่อย เขามีมื้อเย็นในดวงใจไว้แล้ว ฆาบี้ได้แต่หัวเราะหึๆ แล้วรีบจิบสปาร์คลิ่งไวน์ในแก้วจนหมด สามวันแรกนี้เป็นของเจ ก็ปล่อยให้เจ้าตัวเล็กนำทางเขาไปแล้วกัน เจชวนฆาเบียร์ลุกและออกจากคลับเลาจ์แห่งนี้



"เอ้า ว่าไง จะพาฉันไปไหน? ให้เรียกแท็กซี่ไหม?"

ฆาเบียร์ถามคนที่จูงมือเขาเดินลิ่วๆ ลงบันไดเลื่อนไปหน้าโรงแรม

"ไม่ต้องอ่ะ เดี๋ยววันนี้เราจะเดินไป"

เจที่บังคับฆาเบียร์ให้เปลี่ยนรองเท้าแพงระยับของเขาออกและใส่รองเท้ายิมแทนบอก เขาออกเดินจากหน้าโรงแรมไปทางสะพานลอยใกล้ๆ เจเซ็งเมื่อเห็นว่าบันไดเลื่อนขึ้นสะพานลอยนั้นปิดตายไปแล้วและต้องเดินขึ้นแทน เขาพาฆาเบียร์เดินข้ามถนนเข้าสู่ตรอกน้อยๆ ที่ขนานไปกับถนนซึ่งจะนำเขาทั้งสองไปยังจัตุรัสเซนาโด

"ผมชอบเดินเส้นหลังซอยนี้ มันดูโบราณดี"

เขาจับมือฆาเบียร์เดินไป คุยไป อากาศที่มาเก๊าช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ยังถือว่าสบายๆ พวกเขาใส่แค่เสื้อแขนยาวบางๆ ตัวเดียวคลุมทับเสื้อยืดก็พอ เจพาฆาเบียร์เดินเข้าสู่ถนน Rua da Felicidade ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่แห่งหนึ่งของมาเก๊า ชื่อภาษาโปรตุเกสของถนนที่สองข้างทางเป็นแนวอาคารหินที่มีประตูและหน้าต่างสีแดงแห่งนี้แปลว่าถนนแห่งความสุข เนื่องจากในอดีตมันคือแหล่งบันเทิงที่เต็มไปด้วยสุรา นารี การพนันและโรงฝิ่น ในปัจจุบันมันเป็นที่ตั้งของร้านค้าเก่าแก่หลายแห่งของมาเก๊าทั้งร้านอาหาร ร้านขนม และอื่นๆ



"แล้วจะกินอะไรดีล่ะ เจ ร้านนี้ดีไหม?"

ฆาเบียร์ถามเจนยุทธเมื่อพวกเขาเดินผ่านร้าน Fat Siu Lau ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดของมาเก๊า มันเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1903 และผ่านการโยกย้ายที่ตั้งจนมาอยู่บนถนน Rua da Felicidade แห่งนี้ เจส่ายหัว เขาจะพาฆาเบียร์มากินอาหารสไตล์โปรตุเกสของร้านเก่าแก่แห่งนี้แน่นอน แต่ยังไม่ใช่คืนนี้ ไม่ไกลจาก Fat Siu Lau ก็คืออีกหนึ่งร้านเก่าแก่ของมาเก๊าอย่าง Dragon Portuguese Cuisine แต่เจก็พาฆาเบียร์เดินผ่านมันไปเช่นกัน เขาพาคนตัวโตเดินออกจากถนนแห่งความสุขและข้ามถนน Avenida de Almeida Ribeiro เข้าสู่จัตุรัสเซนาโดอันเป็นส่วนหนึ่งของเขตเมืองเก่ามาเก๊าซึ่งเป็นมรดกโลกของยูเนสโก

จัตุรัสแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยอาคารประวัติศาสตร์อย่าง Leal Senado ซึ่งเป็นที่พบปะของชาวโปรตุเกสและชาวจีนตั้งแต่ศตววรษที่ 16 จนถึงศตวรรษที่ 18 อาคารที่ทำการไปรษณีย์กลางของมาเก๊า และอาคาร Holy House of Mercy พื้นผิวจัตุรัสและทางเดินซึ่งปูด้วยหินสีดำขาวเป็นลายคลื่นอันเป็นสัญลักษณ์ของย่านประวัติศาสตร์มาเก๊านั้นถูกทำขึ้นในช่วงปี 1990 และทำให้ย่านนี้กลายเป็นถนนคนเดินโดยสมบูรณ์ มันเชื่อมจัตุรัสเซนาโดเข้ากับจัตุรัส St. Dominic's ซึ่งอยู่ด้านหน้าโบสถ์ St. Dominic's สีเหลืองสดใส ทางเดินนั้นยังทอดยาวไปจนถึงซากวิหาร St. Paul ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของมาเก๊า



แต่ในตอนนี้ เจพาฆาเบียร์มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านแห่งหนึ่งต้นทางเดินรูปคลื่นนั้น

"ค่ำนี้เราเริ่มกินร้านนี้ก่อนแล้วกันนะ"

ฆาเบียร์ยิ้มออกมา เจช่างเหมือนรู้ใจเขาและพาเขามาร้านบะหมี่ร้านโปรดของเขาอย่าง Wong Chi Kei

"ยิ้มแบบนี้เคยกินแล้วล่ะสิ"

ฆาเบียร์พยักหน้า เจทำหน้าไม่สบอารมณ์เล็กๆ เขากะจะพาคนตัวโตมาเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ที่ไหนได้ พี่แกเคยกินเสียแล้ว แต่ก็ช่างปะไร ของอร่อยจะกินอีกกี่ครั้งก็ได้ เจดึงมือคนตัวโตเข้าไปที่หน้าร้าน โชคดีว่ารอคิวไม่นานพวกเขาก็ได้เข้าไปนั่งในร้าน พวกเขาเปิดดูเมนูและไม่นานก็พร้อมที่จะสั่งอาหาร



] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/18/felicidade-L.jpg[/img)



------------------------------------------


เบรคตอนนี้ไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ ไม่งั้นกว่าจะกินข้าวเสร็จก็คงยาวเกิน วันนี้เวิ่นเว้ออยู่ในโรงแรมกับเดินออกไปนิดนึงก่อนนะคะ ตอนหน้าค่อยไปเดินหาของกิน


สถานที่สำคัญที่เป็นมรดกโลกย่านเมืองเก่ามาเก๊าค่ะ https://goo.gl/MRbQfQ

Long Island Iced Tea ค่ะ กินทีไร เมาทุกที https://goo.gl/kCp8so




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2018 08:42:00 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Noodles & Curry ----





"กินอะไรดีอ่ะ ฆาบี้ ผมอยากกินทุกอย่างเลยอ่ะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาพลิกเมนูแผ่นใหญ่กลับไปกลับมาหลายรอบ

"เจ เราอยู่อีกตั้งหลายวัน กินที่อยากกินก่อนแล้วค่อยมาซ้ำอย่างอื่นทีหลังก็ได้นี่นา"

คนตัวเล็กทำท่าหนักใจ เขาบอกว่าเขาอยากกินทั้งหมี่เนื้อ หมี่เป็ด หมี่คลุกไข่กุ้ง โจ๊กปูก็อยากกิน เส้นใหญ่ผัดเนื้อก็ชอบ เกี๊ยวน้ำก็ดี เขาตัดสินใจไม่ได้จริงๆ

"งั้นมานี่ ฉันสั่งให้ เจจะกินสองอย่างใช่ไหม? เดี๋ยวฉันจะสั่งหมี่เนื้อตุ๋น เจค่อยมาแบ่งกินกับฉันด้วยก็ได้"

ฆาเบียร์รวบอำนาจการสั่ง ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องนั่งรอเจเลือกอีกนานแน่ๆ เขาสั่งหมี่เนื้อให้ตัวเองและสั่งหมี่เป็ดย่างกับโจ๊กปูให้เจนยุทธ

"พอหรือยัง?"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็กที่ดูท่าทีมีความสุข เจดูเมนูแล้วพูดเสียงอ่อยๆ

"ถ้าเอาเกี๊ยวน้ำมาลงตรงกลาง คุณจะช่วยผมกินไหมอ่ะ?"

ฆาเบียร์ส่ายหัวดิก เขาหันไปสั่งเกี๊ยวน้ำให้เจอีกถ้วย

"พอแล้วแน่นะ?"

เจหัวเราะแหะๆ แล้วบอกว่าเขาชอบเกี๊ยวปลาทอดของที่นี่ด้วย แต่ในตอนนี้พอก่อนก็ได้

"ไม่งั้นเดี๋ยวไปกินอย่างอื่นไม่ไหว"

คนตัวโตเกาหัวแกร่กๆ นี่เจยังจะกินอย่างอื่นไหวอีกเหรอ



"เมียครับ...ขอเนื้อชิ้นนึงได้ไหม"

เจส่งสายตาปิ๊งๆ ให้คนตัวโตของเขา ฆาบี้คีบเนื้อตุ๋นชิ้นหนึ่งใส่ลงในถ้วยของเจและถือวิสาสะคีบเป็ดย่างที่หนังกรอบเต่งในถ้วยของเจมาชิ้นหนึ่ง

"ชิ เอาชิ้นใหญ่ไปอีกนะ"

เจบ่นกะปอดกะแปด เขาตักน้ำซุปของบะหมี่หน้าตาน่ากินนั้นขึ้นซดพร้อมกับชมเปาะ

"น้ำซุปร้านนี้อร่อยจริงๆ เห็นสีอ่อนๆ แบบนี้แต่รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นทะเลจริงๆ กินกี่ทีก็ไม่เบื่อเลย"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาตักซุปในถ้วยของเขาป้อนให้เจซด ซุปของเขาใส่น้ำเนื้อตุ๋นลงไปด้วย เขาบอกเจว่าครั้งแรกที่เขาได้มากินที่นี่ เขาไม่ได้หวังอะไรมาก เขาคิดว่ามันคงเป็นร้านดังเพราะตั้งอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยว แต่กลายเป็นว่าเขาติดใจจนตอนหลังเมื่อย้ายมาอยู่ฮ่องกงเขายังแวะไปร้านสาขาที่ฮ่องกงอยู่บ่อยๆ

"แต่ที่อร่อยที่สุดก็ต้องเป็นสาขานี้แหละ เจ"

ฆาเบียร์คีบหมี่ขึ้นสูดเข้าปาก เจแอบอมยิ้ม หนุ่มละตินร่างใหญ่คนนี้ใช้ตะเกียบกินหมี่ได้เหมือนกับคนท้องถิ่นจริงๆ มันเป็นอีกโฉมหน้าหนึ่งของคนรักที่คนนอกคงไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ เจค่อยๆ คีบบะหมี่ขึ้นกินบ้าง คนไทยอย่างเขาไม่ถนัดสูดเส้นเข้าปากดังๆ เหมือนชาวจีนหรือญี่ปุ่นนัก



"ผมชอบเส้นของที่นี่จริงๆ เลย ฆาบี้ เส้นของเขาลวกมาได้พอดี เส้นมันเล็กละเอียดแต่ก็ไม่นิ่มจนเละ"

ฆาบี้พยักหน้าเห็นด้วย เส้นบะหมี่ของร้านนี้เด้งสู้ฟันและความเพลิดเพลินในการกินได้มาก น้ำซุปและเส้นกลายเป็นตัวเอกของบะหมี่ชามนี้มากกว่าเครื่องที่ใส่มาเสียอีก แต่ไม่ใช่ว่าเนื้อตุ๋นในชามของเขาและเป็ดในชามของเจไม่อร่อย เพียงแต่ว่ามันเด่นน้อยกว่าเส้นและน้ำซุปเท่านั้นเอง

"เกี๊ยวครับ ฆาบี้"

เจตักเกี๊ยวจากถ้วยกลางโต๊ะทำท่าจะเอาหย่อนใส่ถ้วยของฆาเบียร์ แต่คนตัวโตอ้าปากรออยู่แล้ว เจจึงใช้ตะเกียบคีบมันจากช้อนและป้อนเข้าปากของฆาเบียร์ แต่เจ้าตัวที่ยิ้มทำตาหวานเยิ้มให้เขารีบดึงกระดาษทิชชู่มาปิดปากและคายเกี๊ยวที่ยังร้อนจี๋นั้นใส่จานอย่างรวดเร็ว เจหัวเราะก๊ากและรีบส่งแก้วน้ำให้ฆาเบียร์ทันที

"โอย ร้อนมาก ไม่เป่าให้ฉันหน่อยล่ะ เจ"

คนตัวโตเริ่มพาล เจยิ้มอย่างอารมณ์ดี

"ผมถึงจะเอาใส่ถ้วยไว้ให้ก่อนไง แต่ก็อยากให้ป้อนเอง ช่วยไม่ได้นี่นา"

เจนยุทธหัวเราะคิกคัก ฆาบี้บ่นอุบอิบ ดีที่เขารู้ตัวเร็วและยังไม่ได้เคี้ยว ไม่งั้นต้องปากพองมากกว่านี้แน่ๆ เขาคีบเกี๊ยวตัวนั้นกลับขึ้นมาบรรจงเป่าและกัดกิน



"อืมม์ มันก็ใช้ได้นะเจ แต่..."

"แต่คุณชอบของลุงหมักมากกว่าใช่ไหมล่ะ?"

เจดักคอ เขาบอกว่าเขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าเกี๊ยวของที่นี่ยังสู้ของ Mak's Noodle ที่ฮ่องกงไม่ได้

"คราวที่แล้วที่ผมกินเกี๊ยวที่นี่ ผมก็ว่ามันอร่อยนะ แต่หลังจากที่ได้กินเกี๊ยวลุงหมักไปแล้ว คราวนี้ผมไม่รู้สึกว่ามันอร่อยเท่าไหร่แล้วอ่ะ"

เจพูดอย่างเซ็งๆ พวกเขาทั้งคู่กินไปคุยกันไปไม่นานบะหมี่ก็หมดถ้วย ฆาบี้ที่อิ่มพอดีๆ แล้วนั่งดูเจจัดการโจ๊กปูอย่างเพลิดเพลิน เจชมเปาะว่าเนื้อของปูที่ตัวไม่ใหญ่นักนี้ช่างสดหวานดีเหลือเกิน ตัวโจ๊กก็ใช้ได้ เจที่แกะปูไม่เก่งใช้วิธีเดิม ส่วนใหนที่แกะไม่ได้เขาก็เคี้ยวๆ มันไปทั้งเปลือกแล้วค่อยมาคายเปลือกทิ้งทีหลัง

"ฮ้า อร่อยๆ"

เจลูบพุงน้อยๆ ของเขาที่ตอนนี้เลิกร้องครวญครางแล้ว เขาเรียกคิดตังค์และยกมือห้ามฆาบี้ที่ทำท่าจะดึงกระเป๋าตังค์ออกมา

"ไม่ต้องเลย ผมบอกแล้วว่าสามคืนแรกนี่ของผม โอเค๊?"

เจเดินไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์และเดินนำฆาเบียร์ออกร้านไป



]
(ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/21/wongchikei-L.jpg[/img)



"เห้ย แมคโดนัลด์ตรงนี้หายไปไหนอ่ะ?!"

เจอุทานลั่นเมื่อก้าวเดินออกมาจากร้านบะหมี่และมองไปยังตึกฝั่งตรงข้ามทางเดินรูปคลื่น ฆาเบียร์มองตามแล้วก็พบว่าแมคโดนัลด์ขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ 2 ชั้นของตึกฝั่งตรงข้ามหายไปและกลายเป็นร้านขายเครื่องสำอางและร้านเสื้อผ้าไปแล้ว

"ผมมาครั้งสุดท้ายปี 2015 มันก็ยังอยู่เลยอ่ะ"

เจเดินตรงเข้าไปพิจารณาร้านใหม่ เขาเหลือบมองแขนของคนตัวโตที่พาดหมับเข้าที่ไหล่ของเขา ฆาบี้ใช้บ่าเขาเป็นที่พักแขนอีกแล้ว เจชะโงกหน้าเข้าไปในซอยน้อยข้างร้านแมคโดนัลด์เดิมนั้นแล้วก็ต้องใจหาย

"ฆาบี้ ที่นี่เริ่มแย่แล้วเหรอ?"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เจ้าตัวเล็กหมายถึงอะไร เจบอกว่าเขาหมายถึงเขตเมืองเก่าของมาเก๊า

"ครั้งแรกที่ผมมามาเก๊ากับครอบครัวในปี 2010 แถวเซนาโด้นี่คึกคักมากเลยแม้กระทั่งตอนกลางคืน ร้านรวงเปิดไฟสว่างไสว โดยเฉพาะในซอยนี้อ่ะ"

เจบอกว่าในตอนนั้นเขาซื้อสารพัดหนังสือนำเที่ยวมาเก๊า เขาอ่านส่วนร้านอาหารอย่างสนใจและพบว่าในตรอกสั้นๆ ที่ยาวไม่ถึงร้อยเมตรนี้มีร้านอาหารแนะนำอยู่หลายร้าน มีทั้งร้านอาหารโปรตุเกสเก่าแก่สองสามร้าน ร้านหนึ่งคือร้านดังอย่าง Platao ซึ่งเจ้าของเคยเป็นเชฟประจำจวนผู้ว่าการเกาะมาเก๊า  ร้านจีน ร้านอาหารฝรั่งเศสและร้านขนมชื่อดังอย่าง Cafe Ou Mun ซึ่งว่ากันว่าเป็นร้านขนมอบที่อร่อยที่สุดในมาเก๊า จากที่เห็นจากการมามาเก๊าหลายครั้ง ซอยนี้มักมีคนเดินเข้าออกพลุกพล่านและมีแสงไฟสว่างไสวจากป้ายหน้าร้านต่างๆ ที่เปิดถึงดึกดื่น แต่มาในวันนี้มันกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง



เจนยุทธมองเข้าไปในซอยมืด มีเพียงแสงไฟจากร้านเพียงไม่กี่ร้านที่ยังเปิดอยู่แม้จะยังไม่สามทุ่มก็ตาม

"ร้านปิดเพียบเลยคุณ"

เจพึมพำ เขาจูงมือฆาเบียร์เดินเข้าไปสำรวจในซอย เขายิ่งสลดใจเมื่อเห็นหลายร้านติดป้ายให้เช่า เขารู้ว่าร้านอาหารโปรตุเกส Platao ที่เคยเป็นร้านโปรดของเขาปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2015 แล้ว เจชี้ให้ฆาเบียร์ดูสถานที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของร้านนั้น

"หอยลายอบมะเขือเทศที่นี่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมาเลยครับ ไม่มีที่ไหนเหมือนจริงๆ"

เขาเคยกินไอ้เจ้าหอยอบนั้นแค่ครั้งเดียวและหมายมั่นปั้นมือจะกลับมากินอีก แต่ร้านก็ปิดตัวลงก่อนที่เขาจะทันกลับมากินอีกครั้ง

"ฉันไม่เคยกินร้านนี้ แต่อาปาเคยพาฉันมากินอาหารฝรั่งเศสในซอยนี้หนหนึ่ง น่าจะชื่อ La Bonne Heure เชฟเป็นคนญี่ปุ่นและเคยทำงานที่ร้านโรบุชงในโตเกียว"

ฆาเบียร์บ่นเสียดายเมื่อเดินลึกเข้าไปในซอยและเห็นว่าร้านที่เขาพูดถึงก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่ปิดตัวไปแล้ว



"ผมไม่รู้คุณทันกินร้านอาหารจีนชื่อ Long Kei หรือเปล่า มันเป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาเจ็ดสิบปีแล้วมั้ง เมื่อก่อนจะตั้งอยู่ในตึกแรกที่ติดถนนอ่ะ ถ้าคุณหันหน้าเข้ามาในจัตุรัสมันจะอยู่ทางซ้ายมือ..."

เจเล่าให้ฟังว่าครั้งแรกที่เขามามาเก๊ากับที่บ้าน เขาแวะร้านนี้เป็นร้านสุดท้ายก่อนกลับไทย เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันอร่อยเป็นพิเศษ จำได้แค่ว่าแพงและคนเสิร์ฟพูดไทยได้ มันเป็นหนึ่งในร้านแนะนำเพราะความเก่าแก่เป็นตำนานและความเป็นที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าคนมาเก๊าชั้นสูง มันเป็นร้านที่มักจะเห็นมีรถหรูมาจอดรอรับเศรษฐีที่มากินอาหารที่ร้านนี้อยู่ไม่ไกล แต่มันก็พ่ายแพ้ให้กับกระแสการเปลี่ยนแปลงและกาลเวลา เจบอกฆาบี้ว่ามันปิดตัวลงไล่ๆ กันกับร้านนมตุ๋นชื่อดังอย่าง I Son ที่ตั้งอยู่ติดกัน แต่ร้านนมตุ๋นนั้นน่าจะแค่ย้ายที่ไม่ใช่ปิดไปเลยอย่าง  Long Kei

"เออ ฉันก็คุ้นๆ ว่าฉันเคยมากินร้านอะไรแบบนี้สักร้านที่เซนาโดนี่แหละ ปิดไปแล้วเหรอ? น่าเสียดายจัง"

ฆาเบียร์บอกว่าเขาเคยมากินตอนมามาเก๊าและฮ่องกงครั้งแรก ในครั้งนั้นคริสชวนพวกเขาทั้งครอบครัวมาเที่ยวที่ฮ่องกงช่วงหลังเขาเรียนจบไม่นาน คริสยังได้พาพ่อและแม่เขารวมทั้งตัวเขาข้ามฝั่งมาเที่ยวที่มาเก๊าด้วย มาเก๊าในช่วงต้นสหัสวรรษนั้นยังเฟื่องฟูอยู่แค่ย่านเมืองเก่า ฆาบี้ตื่นเต้นกับเมืองการพนันที่มีสีสันแบบตะวันออก ไม่เหมือนกับแบบลาสเวกัสที่มาเก๊าในปัจจุบันเป็น พ่อของเขาที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังเจมส์ บอนด์ 007 ก็ถึงกับเป็นปลื้มที่ได้มายังเมืองที่เคยเป็นที่ถ่ายหนังตอนโปรดของเขาอย่างตอน A Man with the Golden Gun



"คุณ เป็นอะไร?"

เจบีบมือคนรักที่ยืนนิ่งคิดถึงภาพในอดีตที่เขาเคยมาที่นี่กับพ่อแม่ มันเป็นการเดินทางมาเที่ยวไกลๆ ด้วยกันครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของพวกเขาสี่คน ฆาเบียร์ตื่นจากภวังค์และหันไปหัวเราะเบาๆ ให้กับเจ

"ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่คิดนั่นนี่นิดหน่อยน่ะ..."

เขามองไปรอบตัว

"ฉันก็จำได้ว่าแถวนี้มีอะไรให้ดูให้กินเยอะกว่านี้นะ ตอนนี้มีแต่ร้านเครื่องสำอาง ร้านผ้า ร้านยา แล้วก็พวกของฝาก"

คนตัวโตถอนหายใจ กาลเวลาทำให้อะไรๆ เปลี่ยนไปได้หมด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แห่งนี้ หรือการสูญเสียครอบครัวของเขา ฆาเบียร์ชำเลืองมองคนตัวเล็กที่อยู่ข้างกายแล้วก็อดกระชับแขนที่โอบไหล่เจเข้าไม่ได้ เขาหวังแค่ว่ากาลเวลาจะไม่ทำพวกเขาทั้งสองแปรเปลี่ยนหรือพรากจากกันไปเร็วนัก เขายังอยากอยู่กับคนๆ นี้ไปอีกนานแสนนาน



"ผมว่าเหตุหนึ่งที่ทำให้มาเก๊าเปลี่ยนก็เพราะการเข้ามาของพวกคาสิโนยักษ์ใหญ่ที่ฝั่งไทปาและการหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวของคนจีนด้วยอ่ะ"

คนที่เรียนด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมมาพูดขึ้น เขาว่าที่เห็นได้ชัดคือ คนจีนไม่ใช้จ่ายไปกับการกินที่มาเก๊ามากนัก ในอดีต กลุ่มคนที่มาที่มาเก๊าคือชาวตะวันตกและชาวเอเชียชาติอื่น คนกลุ่มนี้จำนวนมากไม่ได้มาเล่นพนัน แต่มาเที่ยวพร้อมศึกษาวัฒนธรรมไปด้วยและจะสนใจใคร่ลองอาหารพื้นเมืองของมาเก๊าที่มีการผสมผสานกันระหว่างอาหารจีนและอาหารโปรตุเกส ส่วนชาวฮ่องกงเอง นอกจากมาเพื่อเข้าคาสิโนแล้ว ยังมาเพื่อชิมของแปลกหรือมากินอาหารหรูที่บางครั้งราคาถูกกว่าที่ฮ่องกง

"แต่พวกคนจีนที่มา เค้ามาเล่นพนันอย่างเดียวเลยจริงๆ อ่ะ ฆาบี้"

เจบอกว่าเขาเห็นจากการมาเที่ยวหลายๆ ครั้ง คนจีนมักจะข้ามมาจากด่านขงปั้ก หรือมาจากท่าเรือ มาเล่นๆๆ และกินอาหารฟรีที่ทางคาสิโนมีแจกให้หรือกินถูกๆ จากนั้นก็กลับเข้าด่านไปในตอนดึกดื่นอาจจะเพราะนอนในฝั่งนั้นถูกกว่า หรือพวกที่มานอนโรงแรมคาสิโนยักษ์ใหญ่ฝั่งไทปา ก็มักจะใช้ชีวิตกินนอนช้อปเล่นอยู่แค่แถวนั้น ไม่ข้ามมาฝั่งมาเก๊าเท่าไหร่ ถ้ามาก็มาแป๊บๆ เพื่อเที่ยววันเดียว

"ผมเคยนั่งกินข้าวกับพี่นพที่ Noodle and Congee Corner ที่เป็นร้านเปิด 24 ชั่วโมงของโรงแรมแกรนด์ ลิสบัว เราสั่งอาหารกันมาเยอะมากมายหลายอย่าง นั่งกินกันอยู่เกือบสองชั่วโมงกว่าจะหมด..."

เขาบอกว่าพวกเขาสังเกตโต๊ะข้างๆ ระหว่างที่พวกเขานั่งละเลียดอาหารจำนวนมากนั้นไป โต๊ะนั้นมีคนหมุนเวียนมานั่งถึง 3 ครั้ง เขาเห็นถึงการบริโภคของชาวจีนได้ชัดเจนจากครอบครัวหนึ่ง พวกเขามากัน 4 คน แต่สั่งอาหารแค่สองอย่างคือผัดผักกับจานเนื้อและมีข้าวในมือคนละถ้วย พวกเขากินกันแค่นั้นจริงๆ และไม่ได้มีความสนใจว่าต้องไปลองกินอาหารที่เป็นของพื้นถิ่นจริงจังที่ราคาแพงกว่า เจบอกว่าพวกเขาเหมือนจะสนใจกินอาหารกินเล่นข้างถนนมากกว่าที่จะสนใจกินมื้อจริงจัง



ฆาเบียร์บอกเจว่าเขาคาดว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจหลายแห่งปิดตัวลงนั้น อาจเป็นเพราะพายุซุเปอร์ไต้ฝุ่น Hato ที่มีความแรงระดับ 10 ซึ่งพัดกระหน่ำเข้าที่ฮ่องกง มาเก๊า ภาคใต้ของจีนและเวียดนามช่วงปลายเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว มันทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจทั้งภูมิภาคกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ​ อาคารบ้านเรือนและร้านค้าจำนวนมากในมาเก๊าได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น หลายแห่งตัดสินใจปิดตัวลงถาวร

"เออ ใช่ๆ ผมจำได้ ผมยังห่วงคุณแทบตายเลยตอนนั้น มันหลังจากที่คุณมาหาผมครั้งแรกหลังงานเปิดตัวบริษัทใช่ไหม?"

เจนยุทธทำท่านึกได้ คนตัวโตเล่าว่าตอนที่ซุเปอร์ไต้ฝุ่นเข้าฮ่องกง เขาก็อยู่ที่นั่น เขาเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ก็มีคำเตือนออกมาว่าพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่กำลังจะเข้า พวกเขาต้องอยู่แต่ในที่พักจนกระทั่งพายุเคลื่อนผ่านไป เขาเปิดผ้าม่านไว้เพื่อดูเหตุการณ์แต่ก็มองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากสายฝนที่โหมกระหน่ำและสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ เมื่อพายุพัดผ่านไปเขาต้องตะลึงเมื่อลงไปยังด้านล่างและพบกับสภาพที่ยับเยินของเมือง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ฮ่องกงยังเทียบไม่ได้กับที่มาเก๊า เมืองน้อยแห่งนี้เสียประชากรไป 12 คนและบาดเจ็บอีกกว่า 200 คน ทั้งเมืองต้องเป็นอัมพาตเพราะขาดไฟฟ้าและน้ำดื่มไปอีกหลายวันและใช้เวลานานกว่านั้นเพื่อทำความสะอาดและเคลียร์สิ่งของทีี่เสียหายและกีดขวางออกไปจากท้องถนน



"เท่าที่ฉันได้ยินมา มันแย่จริงๆ เจ"

สำหรับมาเก๊าแล้ว พายุลูกนั้นร้ายแรงที่สุดในรอบ 53 ปี และมันคงได้บั่นทอนกำลังใจผู้ประกอบการหลายคนในเขตเมืองเก่าซึ่งภายหลังตัดสินใจไม่ซ่อมแซมร้านและปิดกิจการลงในที่สุด

"ตอนนั้นผมติดต่อคุณไม่ได้ไปสองสามวันเลยใช่ไหมอ่ะ? ผมกลัวมากเลย คุณรู้ไหม? ผมดูข่าวแล้วก็ได้แต่กลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไป"

เจกอดเอวคนรักและซุกตัวเข้าอิงแอบร่างใหญ่กำยำนั้น ฆาเบียร์ลูบหัวเจเบาๆ ก่อนจะโอบไหล่คนรักและพากันเดินทอดน่องไปตามซอยน้อยที่มืดสลัวนั้น อากาศยามค่ำคืนของมาเก๊าเย็นลงและลมเริ่มพัดแรง เจพาฆาบี้เลี้ยวเลาะผ่านแนวกำแพงสีเหลืองซีดด้านหลังมหาวิหารประจำมาเก๊าซึ่งมีน้ำพุเล็กๆ ติดผนังและภาพวาดบนกระเบื้องเซรามิคด้วยหมึกสีน้ำเงินบนพื้นขาวแสดงชีวิตของชาวมาเก๊าในอดีต ซอยน้อยๆ ซึ่งยาวประมาณ 30 เมตรนั้นพาพวกเขาเข้าสู่ Travessa da Se หรือที่เจนยุทธเรียกว่า...



"นี่ไง ถนนลูกชิ้น!"

ฆาเบียร์ตะลึงเมื่อเห็นคนจำนวนไม่น้อยในซอยแห่งนี้ มันช่างต่างกับอีกซอยที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาโดยสิ้นเชิง คนส่วนใหญ่ที่มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นยืนรออยู่หน้าร้านที่เปิดไฟสว่างอยู่ทางด้านซ้ายมือของพวกเขา เจดึงมือคนรักให้สาวเท้าเดินเข้าไปที่ร้านเหล่านั้นทันที ฆาบี้ยิ้มออกมาเมื่อเห็นสิ่งของที่ขายในร้านเหล่านั้น เขารู้แล้วว่าทำไมเจถึงเรียกมันว่าถนนลูกชิ้น ที่กระบะหน้าร้านแต่ละร้านเต็มไปด้วยสารพัดสิ่งอย่างที่เสียบไม้วางเรียงรายอยู่ ส่วนใหญ่ก็คือเนื้อสัตว์แปรรูปอย่างลูกชิ้นและไส้กรอกสารพัดแบบ ผักกาดขาวหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ ผักฮ่องเต้ มันฝรั่งรวมถึงไข่ต้มและเลือดต้มก้อนใหญ่ ใกล้ๆ คนขายมีหม้อขนาดใหญ่ใส่เนื้อตุ๋นและเครื่องในตุ๋นในน้ำซอสสีน้ำตาลอมเหลือง มันคือซอสแกงกะหรี่อันเลื่องชื่อของแถบนี้

"เคยกินไหม ฆาบี้?"

เจหันไปถามคนรัก คนตัวโตพยักหน้าและบอกว่าเขาเคยกินของแบบนี้แล้วที่ฮ่องกง เจลากคนตัวโตของเขาไปสั่งลูกชิ้นจากร้านหนึ่งในบรรดาเกือบสิบร้านที่เปิดให้บริการอยู่บนถนนเส้นนั้น

"เจ ไม่ต้องเผื่อฉันนะ

ฆาเบียร์ส่งถ้วยสเตนเลสใส่ลูกชิ้นและไข่นกกระทาอย่างละไม้ มันฝรั่งและผักกาดขาวซึ่งเขาเลือกแล้วมาให้เจ เจพยักหน้าหงึกหงักรับคำและจัดการถมถ้วยนั้นด้วยของที่เขาเลือก ฆาเบียร์ส่ายหัวดิก ไอ้เจ้าตัวเล็กนี่ไม่รู้จักฟังเขาจริงๆ คนตัวโตหันไปส่งภาษากวางตุ้งกับคนขายซึี่งพูดอังกฤษแทบไม่ได้ว่าให้แยกเครื่องในซึ่งเจชี้ๆ เลือกไว้อีกถ้วยหนึ่ง คนขายคิดเงินโดยนับจากจำนวนไม้ที่เขาสั่งโดยมีราคาประมาณ 7-15 เหรียญแล้วแต่ชนิด ส่วนเนื้อตุ๋นและเครื่องในนั้นคิดราคาเป็นถ้วยแล้วแต่ว่าจะเอาถ้วยเล็ก กลาง หรือใหญ่ มื้อนี้เจเป็นฝ่ายควักเงินจ่ายตามเคย ทั้งหมดทั้งมวลเขาหมดไปร่วมร้อยเหรียญฮ่องกง ซึ่งนับว่าแพงสำหรับลูกชิ้น ผักและเครื่องในต้ม แต่เขาก็ไม่เกี่ยงงอนเพราะมันเป็นสิ่งที่หากินไม่ได้ในเมืองไทยอยู่แล้ว



พวกเขาทั้งสองเดินไปเดินมาแถวนั้นระหว่างรอลูกชิ้นซึ่งใช้เวลาพอสมควรเพราะคิวค่อนข้างยาว เจสะกิดฆาบี้ให้หันไปฝั่งตรงข้ามกับร้านลูกชิ้นซึ่งเป็นอาคารสองชั้นที่มีกำแพงเป็นอิฐสีเทาท่าทางดูเก่าแก่

"คุณเคยมาที่นี่ไหม?"

เจนยุทธถาม ฆาเบียร์ส่ายหน้า

"มันคือสถานที่สำคัญอะไรเหรอ เจ?"

คนตัวโตถาม จากภายนอกมันดูเป็นแค่อาคารเก่าที่มีหน้าต่างแบบจีนเท่านั้น เจชี้ให้เขาดูป้ายเหล็กขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าอาคารนั้น ฆาเบียร์อุทานออกมาเมื่อเห็นสัญลักษณ์มรดกโลกของยูเนสโก้

"อาคารหลังนี้เป็นส่วนหนึี่งของศูนย์กลางประวัติศาสตร์มาเก๊าน่ะ"

เจพูดยิ้มๆ เขาเคยเข้ามาที่นี่ครั้งหนึ่ง เขาบอกว่าจะพาฆาเบียร์มาดูตอนกลางวัน



"เจ ลูกชิ้นเจได้แล้วล่ะ"

ฆาเบียร์สะกิดบอกเจที่กำลังอ่านป้ายหน้าบ้านนั้น ป้าเจ้าของร้านตะโกนเรียกทั้งสองคนให้มารับลูกชิ้นที่สั่งไว้ ฆาเบียร์อึ้งไปเมื่อเห็นว่ามันมาใน 2 ถ้วยโฟมใหญ่ๆ

"จะกินหมดเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถาม เขายังตื้อๆ จากบะหมี่เมื่อครู่อยู่

"น่า สบายๆ ไม่ต้องห่วง"

เจถือถ้วยโฟมอันหนักอึ้งและเต็มไปของโปรดของเขา เขาบ่นว่ามันร้อนจนฆาเบียร์ต้องมาช่วยถือให้แทน เจหันรีหันขวางหาที่นั่งกินแต่ม้านั่งหินที่เรียงรายอยู่กลางซอยก็เต็มเอี้ยดไปด้วยหนุ่มสาวชาวจีนที่ต่างก็มีถ้วยโฟมในมือคนละถ้วย เขาชวนฆาเบียร์ให้เดินย้อนกลับไปที่ซอยเลียบกำแพงมหาวิหาร พวกเขาเดินย้อนขึ้นไปตามทางเดินที่ลาดน้อยๆ ในซอยนั้นมีม้านั่งยาวอยู่สองสามตัวซึี่งว่างเปล่าไม่มีคน พวกเขาลงนั่งและเริ่มกินของที่สั่งมา


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Noodles & Curry (ต่อ) ----




"อร่อยนี่นา ฉันว่ามันอร่อยกว่าที่ฉันเคยกินที่ฮ่องกงอีกนะ"

ฆาเบียร์อุทานออกมา รสชาติอันเข้มข้นของซอสกะหรี่และรสเผ็ดจัดจ้านจากน้ำซอสเผ็ดที่เติมเพิ่มลงไปทำให้เขารู้สึกเจริญอาหาร เจสั่งซอสกะหรี่ของเขาเป็นแบบเผ็ดพิเศษซึ่งมันก็ออกมาเผ็ดสมใจคนไทยแบบเขา ส่วนถ้วยของฆาเบียร์ที่ไม่มีเครื่องในเขาก็สั่งให้มันเผ็ดน้อยลง แต่กระนั้นหนุ่มละตินร่างใหญ่ก็ยังกินไปจิบน้ำไป เจแบ่งเนื้อและเอ็นตุ๋นของเขาให้ฆาเบียร์ และฆาเบียร์ก็จิ้มก้อนเลือดต้มและลูกชิ้นของเจที่ป้าเจ้าของร้านเอาใส่มาในถ้วยเขาเพราะมันใส่ในถ้วยเดียวไม่พอคืนให้เจ เขายังตักไข่นกกระทาและผักกาดขาวที่เขาสั่งมาส่งให้เจด้วย เจเองก็ให้ฆาเบียร์เลือกๆ จิ้มลูกชิ้นในถ้วยของเขาไปด้วย

"เนี่ยๆ ไอ้ลูกสีดำนี่อร่อยนะ ฆาบี้"

เจชี้ลูกชิ้นสีดำสนิทในถ้วย เขาบอกว่ามันน่าจะเป็นลูกชิ้นหมึกปลาหมึก เจโคลงหัวเมื่อเห็นคนตัวโตอ้าปากเตรียมรอรับ เขาจิ้มลูกชิ้นและกำลังจะส่งเข้าปากฆาเบียร์แต่ก็นึกได้ เขาดึงมันกลับมาเป่าให้หายร้อนก่อนที่จะส่งเข้าปากคนตัวโต

"เออ อร่อยจริงๆ ด้วย เจ ฉันชักติดใจซะแล้วสิ"

คนตัวโตพูดขึ้น ตอนแรกเขาอิดออดไม่ยอมกินแต่ทีหลังกลับแย่งจิ้มของในถ้วยเจไปหลายชิ้นจนคนตัวเล็กแยกเขี้ยวใส่ ฆาเบียร์จิ้มเครื่องในที่เขาพอกินได้อย่างไส้เข้าปากและชมว่ามันนิ่มและแทบไม่มีกลิ่นเลยด้วยซ้ำ

"พวกผักนี่ก็อร่อยนะ ฆาบี้ ผักกาดขาวนี่ชุ่มซอสไปเลยอ่ะ"

เจกินไปยิ้มไป คราวนี้เขาสั่งพวกพืชผักมาหลายอย่างเหมือนกัน

"มันฝรั่งนี่ก็อร่อย รากบัวก็เริ่ด มันเข้ากับซอสกะหรี่มากๆ เลย แต่ที่ผมชอบที่สุดคือนี่"

เจคีบของอย่างหนึ่งให้ฆาเบียร์ดู

"หัวไชเท้า? เราสั่งด้วยเหรอเจ?"

ฆาเบียร์คุ้ยๆ ในถ้วยของตัวเองแล้วก็พบหัวไชเท้าในนั้นหลายชิ้นเช่นกัน เขาจิ้มมากัดกินแล้วก็ชมเปาะในความเปื่อยนุ่มชุ่มซอสของมัน

"ไม่ได้สั่งหรอก แต่ร้านเขามักตักมาให้ฟรี ผมว่ามันอร่อยมากเลย"

ทั้งสองใช้เวลากินพักหนึ่งกว่าที่ของซึ่งอัดแน่นในถ้วยทั้งสองจะหมด เจยกน้ำซอสในถ้วยของเขาขึ้นซดและยิ้มออกมาด้วยความสุขสม ฆาเบียร์เองก็ยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของคนรัก



] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/21/meatballst-L.jpg[/img)



"งั้นเราไปกันเถอะ ฆาบี้ จะสี่ทุ่มแล้ว เดี๋ยวยังต้องเดินไปที่อื่นต่อ"

เจดึงมือคนตัวโตให้ลุกขึ้น เขาเอาถ้วยทั้งสองทิ้งลงถังขยะที่ตั้งอยู่แถวนั้นและจับมือใหญ่ของคนรักให้ออกเดิน

"เดี๋ยวก่อน เจ"

ฆาเบียร์ดึงมือเขาให้หยุด ก่อนที่จะใช้นิ้วโป้งปาดเบาๆ ที่ใต้ริมฝีปากของเขา

"เปื้อนซอสน่ะ"

คนตัวโตเลียซอสบนนิ้วโป้งของตัวเองและส่งยิ้มอันงดงามให้เจนยุทธ แสงไฟสีส้มนวลของซอยสั้นๆ นี้ทำให้เจรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เขาพลันผลักร่างใหญ่กำยำของฆาเบียร์ติดผนังตึกแถวนั้นและเขย่งกายน้อยๆ เพื่อป้อนจูบอันดื่มด่ำให้คนรักที่ตัวสูงกว่า ฆาเบียร์ตกใจน้อยๆ ในทีแรกเมื่อถูกเจจู่โจมอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็คล้อยตามและจูบตอบอย่างดูดดื่มไม่แพ้กัน



เจทิ้งแขนที่โอบรอบคอคนรักลงและซุกหน้าลงกับแผงอกกว้างของฆาเบียร์ เขาพ่นลมหายใจออกหนักๆ อย่างไม่สบอารมณ์

“เป็นอะไรไป เจ?”

ฆาเบียร์โอบรั้งเอวเจเข้ามาจนร่างเพรียวนั้นแนบชิดอกของเขา

"ผมตัวเล็กกว่าคุณ ทำแบบนี้มันไม่เท่เลยอ่ะ"

เจบ่นอย่างเซ็งๆ มุกผลักติดผนังนี้เป็นหนึ่งในมุกหากินของเขาที่ทำให้สาวๆ ร่างเล็กตัวอ่อนระทวยเมื่อช้อนตาขึ้นมาแล้วพบกับสายตาของเขาที่จ้องมองอยู่ แต่เขาที่สูงแค่ 170 เซ็นต์ไม่สามารถจะคร่อมเหนือหัวฆาเบียร์ที่สูงกว่า 180 เซ็นต์ได้ ฆาบี้หัวเราะเบาๆ เขานึกว่ามันบ่นเรื่องอะไร เขาปล่อยมือที่โอบเอวคนรักออกและย่อกายลงให้ใบหน้าของเขาอยู่ระดับอกของเจ เจนยุทธยิ้มกว้าง เขาใช้มือยันกำแพงไว้ข้างหนึ่งส่วนอีกข้างประคองใบหน้าคมเข้มของคนรักไว้

"ผมรักคุณนะ ฆาบี้"

ฆาเบียร์ช้อนตาขึ้นมองใบหน้าน่ารักของเจ มุมมองนี้ทำให้ใจของเขาเต้นโครมคราม สายตาของเจที่มองจ้องลงมาทำให้รู้สึกแตกต่างจากทุกครั้งที่เขาเป็นฝ่ายมองลงที่คนรัก ใบหน้าของเจค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ เขาจนริมฝีปากของพวกเขาจรดกันอีกครั้ง แม้มันจะเต็มไปด้วยรสเผ็ดร้อนของซอสกะหรี่ แต่มันก็ตอกย้ำความรู้สึกของพวกเขาทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี



"เดี๋ยวเราจะไปไหนกันต่อน่ะ?"

ฆาเบียร์ถามขึ้น หลังจากแสดงความรักกันในตรอกน้อยนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เจก็พาเขาเดินออกจากซอยลูกชิ้นเข้าสู่ถนนหลัก เจบอกว่าจะพาเขาเดินไปดูซากโบสถ์เซนต์ปอล

"กลางคืนก็ยังดูได้อยู่เหรอ เจ?"

คนตัวโตที่เคยมาที่ซากโบสถ์แห่งนี้ในตอนกลางวันถามขึ้น เจพยักหน้า เขาบอกว่าตัวเขาชอบมาตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน

"คือผมไม่ได้อยากจะซื้อของฝากหรืออะไร มาเดินกลางคืนมันเดินง่ายกว่า คนน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบจนน่ากลัว อากาศก็เย็นกว่าไม่ต้องตากแดดร้อนๆ"



เจเดินโอบเอวคนตัวโตที่โอบไหล่เขาแน่น ฆาเบียร์ก้มลงหอมผมบ้าง จุ๊บแก้มคนรักของเขาบ้างเป็นระยะๆ แสงไฟสลัวสีเหลืองส้มตลอดทางสร้างบรรยากาศโรแมนติกให้ไม่น้อย พวกเขาเดินตามถนนครู่หนึ่งก็มาถึงถนนที่ลาดขึ้นเนินน้อยๆ ที่ยอดเนินคือบันไดหิน 68 ขั้นซึ่งนำพวกเขาขึ้นไปสู่ facade หรือเปลือกอาคารด้านหน้าของโบสถ์ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นด้านเดียวที่หลงเหลือจากไต้ฝุ่นและไฟที่เผาผลาญอาคารแห่งนี้จนราบในปีค.ศ. 1835

"โบสถ์นี้เคยเป็นโบสถ์แคธอลิคที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ณ ตอนนั้นเลยนะ พวกนักบวชนิกายเยซูอิตสร้างมันขึ้นโดยใช้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาด้วย"

เจบรรยายเรื่องราวความเป็นมาของโบสถ์นี้ให้คนรักฟังพร้อมๆ กับพาฆาเบียร์เดินขึ้นบันไดหินไปยังซากโบสถ์ที่ตั้งตระหง่าน ตัวซากโบสถ์ขนาด 5 ชั้นนั้นฉายไฟสีขาวนวลจนดูเรืองรองท่ามกลางแสงไฟสีส้มจากเสาไฟรอบข้าง

"ตัวโบสถ์น่ะ มีห้าชั้น ชั้นแรกเป็นทางเข้า ชั้นที่สองก็มีช่องประตูเปิดออกมาเหมือนกัน แต่ชั้นที่สามเป็นต้นไปน่ะ เป็นภาพแกะสลักนูนต่ำล้วนๆ และยังมีรูปหล่อทองแดงของเหล่านักบุญและพระเยซูอยู่ด้วย..."

เจบอกว่าจากที่เขาอ่านมา ถ้าส่องดูเหล่าภาพนูนต่ำที่อยู่บนผนังก็จะเห็นว่ามันเป็นภาพที่ผสมผสานระหว่างงานแบบตะวันตกและจีน

"อย่างสิงโตที่อยู่บนนั้นจะเป็นสิงโตจีนทั้งหมด แล้วยังมีการประดับลวดลายดอกเหมยและดอกเบญจมาศ แล้วก็ยังมีตัวหนังสือจีนอยู่หลายที่ด้วย"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับทราบ เจทำการบ้านมาดีจริงๆ เขาพาฆาเบียร์เดินผ่านประตูโบสถ์เข้าไปยังลานด้านหลังและชี้ให้คนตัวโตดูโครงสร้างคอนกรีตและเหล็กที่ค้ำซากโบสถ์แห่งนี้ไว้

"มันมีบันไดเหล็กให้เดินขึ้นไปยังชั้นสองของซากโบสถ์ได้ด้วยนะ คุณอยากขึ้นไปไหม? เดี๋ยวผมรอถ่ายรูปให้ที่อีกฟาก"

คนตัวโตส่ายหน้า เจยักไหล่ ไม่ขึ้นก็ไม่ขึ้น เขาบรรยายต่อ

"ด้านหลังนั่นเป็นพิพิธภัณฑ์นะ ในปีค.ศ. 1991 - 1995 มีการขุดสำรวจที่ซากโบสถ์แห่งนี้และได้พบโบราณวัตถุมากมายเลย..."

เจเล่าให้ฟังอย่างกระตือรือล้น เขาบอกว่ามีการพบห้องฝังศพใต้ดินที่มีโครงกระดูกของเหล่าพระชั้นผู้ใหญ่ อีกทั้งห้องเก็บสมบัติของโบสถ์ มันถูกนำมาตั้งแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ซึ่งเปิดถึงหกโมงเย็น

"ถ้าคุณอยากดู เรากลับมาอีกก็ได้นะ"

ฆาเบียร์บอกว่าเขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่งและไม่ชอบบรรยากาศหมองหม่นน่ากลัวของมันเท่าไหร่ เจบอกว่าเขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน พวกเขาตัดสินใจจะไม่กลับมาดูพิพิธภัณฑ์อีก


​]
(ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/21/St.Paul-L.jpg[/img)



เจพาฆาเบียร์เดินออกจากประตูซากโบสถ์มา ฆาบี้กระชับมือของเขาเข้ากับมือของเจแน่น เขาอยากจับมือพาเจ้าตัวยุ่งคนนี้เดินออกประตูโบสถ์จริงๆ เสียที แต่ก็คงต้องรอต่อไปจนกว่าเจจะพร้อม เจนยุทธพาคนรักตัวโตของเขาเดินลงบันไดหินแล้วตัดสินใจชวนฆาเบียร์ลงนั่งบนบันไดกว้างนั้น เขาถอดเสื้อคาร์ดิแกนของเขาออกมาปัดๆ ฝุ่นที่ขั้นบันไดและปูมันลงเพื่อรองให้ฆาเบียร์นั่ง คนตัวโตยิ้มกริ่มมองคนรักที่ตั้งอกตั้งใจบริการเขาอย่างมีความสุข มันคือความแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยได้จากใครมาก่อน

"ใส่เสื้อนี่แทนเถอะ เจ"

คนตัวโตถอดเสื้อแจ็คเก็ตผ้าทวี้ดตัวใหม่ราคาแพงระยับของเขาใส่ให้เจนยุทธที่ตัวสั่นน้อยๆ เพราะลมเย็นที่พัดโชยมา เจทำท่าอิดออดไม่ใส่และจะถอดส่งคืนให้คนตัวโตแต่ก็ถูกบังคับใส่ให้จนได้

"ลมแรงนะ คุณไม่หนาวเหรอ?"

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"ไม่หนาวเท่าไหร่หรอกเจ ฉันทนไหว อีกอย่าง ถ้าหนาวนัก ฉันกอดเจสักทีก็หายหนาวแล้ว"

เจยิ้มอายๆ เขาแก้เขินด้วยการหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเซลฟี่กับฆาเบียร์และโพสต์ Live สั้นๆ ลงที่เพจของฆาเบียร์ เขาอุทานลั่นตามเคยเมื่อถูกคนตัวโตแอบหอมแก้ม



เจขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันเสียงดังทำลายความสงบและบรรยากาศโรแมนติกของพวกเขาไปเสียหมด เขามองไปยังกลุ่มคนที่นั่งสังสรรค์ดื่มกินส่งเสียงเฮฮาที่ปลายบันไดโบสถ์ ฟังจากคำพูดแล้วคนเหล่านี้น่าจะมาจากประเทศหมู่เกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งส่งออกแรงงานภาคบริการมาสู่ฮ่องกงและมาเก๊ามากที่สุด พวกเขาเหล่านี้ก็คงเป็นพนักงานโรงแรมหรือร้านอาหารที่มารวมตัวกันหลังเลิกงาน

"ที่ฮ่องกงและมาเก๊ามีแรงงานฟิลิปปินส์อยู่มากเลยนะ ทั้งที่ทำงานตามบ้านหรือทำงานโรงแรม ฉันเคยได้ยินว่าที่พนักงานที่เวเนเชียนครึ่งหนึ่งเป็นคนฟิลิปปินส์"

เจพยักหน้าตอบรับ ที่โซฟิเทล พนักงานฝ่ายต้อนรับตั้งแต่เบลบอยจนถึงฟรอนท์ก็มาจากฟิลิปปินส์หลายคน พวกเขาได้เปรียบเรื่องพูดภาษาอังกฤษได้และบริการดีกว่าพนักงานคนจีน

"คราวที่แล้วผมนอนที่เชอราตันที่ฝั่งไทปา เจอพนักงานคนไทยด้วยนะ"

เจเล่าให้ฟัง ในฐานะอดีตเด็กการโรงแรม เขาไปยืนคุยกับสาวไทยที่ทำหน้าที่ฟรอนท์เดสก์คนนั้นอยู่พักใหญ่เพื่อถามไถ่เรื่องงาน เขาได้รู้ว่ามีคนไทยทำงานที่มาเก๊าเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่าคนไทยนั้นมีจิตบริการดีไม่แพ้คนฟิลิปปินส์ และก็เพราะมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางมาเที่ยวที่มาเก๊าเป็นจำนวนมากอีกด้วย



"ด้านข้างนี้เป็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์มาเก๊าและทางขึ้นไปป้อมปราการบน Mont Fort"

เจชี้ไปทางเนินสูงทางด้านซ้ายของเขาและเล่าถึงป้อมอันเป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ซึ่งมีไว้ยิงไล่ผู้รุกรานและโจรสลัด ที่บนนั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของตัวเมืองมาเก๊าจากมุมสูงได้

“ถ้าคุณอยากขึ้นไป ผมจะพาขึ้นไปพรุ่งนี้ เอาไหม?”

“ไม่เป็นไร เจ ฉันเคยขึ้นไปแล้ว ป้อมปราการเกีย Guia ก็เคยขึ้นแล้ว”

ฆาเบียร์พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอีกแห่งของมาเก๊าซึ่งเป็นป้อมและมีประภาคารแบบตะวันตกสีขาวคาดเหลืองซึ่งตั้งเด่นอยู่บนยอดเขา มันคือประภาคารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน มันหันหน้าออกยังทะเลและทำหน้าที่เป็นจุดสังเกตการณ์และเฝ้าระวังภัยทั้งจากข้าศึกและจากสภาพอากาศของมาเก๊ามานานหลายศตวรรษ ป้อมปราการนั้นต้้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของมาเก๊าทำให้เห็นทิวทัศน์ของมาเก๊าได้จากรอบด้าน



“โอเคๆ ไม่ไปก็ไม่ไป”

เจถอนหายใจเฮือก เขาหยิบสมุดโน้ตน้อยขึ้นมาขีดฆ่าทั้งสองที่ออกจากลิสต์ เจบ่นว่ามันเหลือที่ให้เขาพาคนตัวโตเที่ยวได้แค่ไม่กี่ที่

"เจจ๋า ไม่ต้องห่วงเรื่องพาฉันเที่ยวอะไรหรอก แค่ได้มาใช้เวลากับเจฉันก็มีความสุขแล้ว ต่อให้วันๆ ได้แค่นั่งเล่นตามร้านกาแฟหรือในเลาจ์ หรือแค่นั่งๆ นอนๆ ในห้องฉันก็พอใจแล้ว"

"โหย อยู่แต่ในห้องก็เหนื่อยตายดิ"

เจเผลอตัวบ่นอุบอิบออกมาแล้วก็หน้าแดงก่ำเมื่อหันไปสบเข้ากับสายตาแพรวพรายของคนรัก

"คิดไปถึงไหนกัน เจ นั่งดูทีวี นอนอ่านหนังสือหรือนอนคุยกันในห้องมันเหนื่อยตรงไหนเหรอ?"

เมียตัวโตของเจถามยิ้มๆ แต่แววตาเจ้าเล่ห์ที่ไม่ซื่อใสเหมือนคำถามเลยสักนิดนั้นทำให้เจหน้าร้อนวาบๆ

"ไม่เอาแล้ว ไม่คุยกับคุณแล้ว"

เจทำท่ากะฟัดกะเฟียดแล้วลุกหนีคนตัวโตแล้วรีบเดินลงบันไดหน้าซากโบสถ์ไปอย่างรวดเร็ว ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆแล้วลุกขึ้นเดินตาม คนที่ขายาวกว่าเดินตามมาทันคนตัวเล็กที่ถนนเส้นน้อยหน้าบันได เขาดึงแขนคนรักให้หันมาหาและดึงเข้ามากอดไว้โดยไม่สนใจสายตาของคนที่นั่งอยู่ตามบันไดซากโบสถ์

"ฉันอยากเหนื่อยแบบที่เจว่าแล้ว เรากลับห้องกันไหม Mi alma?"

คนตัวโตกระซิบแผ่วๆ ที่หูของคนรักและกดคลึงริมปากที่ต้นคอของเจอย่างยั่วเย้า เจถอนหายใจ

"โอเคๆ กลับก็ได้ แต่ผมขอแวะสตาร์บัคส์ซื้อของฝากแป๊บนึงนะ"



หลังจากเจนยุทธแวะไปยังสตาร์บัคส์สาขาที่ตั้งอยู่หน้าซากโบสถ์เซนต์ปอลเพื่อซื้อพวกสินค้าที่มีขายเฉพาะในมาเก๊าไปให้คนที่สะสมอย่างอิ่มและนพแล้ว เขาก็เปิดกูเกิลแม็พดูเพื่อหาทางลัดเดินกลับโรงแรม เขาพาฆาเบียร์เดินลัดเลาะเข้าตามถนนแคบเล็กที่ชื่อ Rua das Estalagens ที่ไฟไม่ค่อยสว่างนัก แต่ฆาบี้ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เขากลับยิ่งรู้สึกอบอุ่นใจ ตลอดทางเจเป็นฝ่ายเดินด้านติดถนนและคอยดันตัวฆาเบียร์ให้แนบผนังเมื่อมีรถผ่าน เมื่อรู้สึกเหมือนมีคนที่ไม่น่าไว้วางใจเดินตามหรือเดินผ่าน เขาก็จะหยุดและมีทีท่าระวังภัย พวกเขาเดินทอดน่องไปคุยไป ไม่นานนักก็โผล่ออกมายังถนนเล็กๆ ชื่อ Rua de Cinco de Outubro ที่ขนานกับถนนเส้นใหญ่หน้าโรงแรมที่เห็นอยู่ลิบๆ

"เออ ผมลืมเล่าให้คุณฟังไป เพื่อนผมที่มามาเก๊าปีที่แล้วบอกว่าถนนเส้นนี้ กับเส้นที่เราเดินผ่านมา มีร้านอาหารหรือร้านของกินแบบกลับบ้านหลายร้านที่ติดอยู่ในลิสต์แนะนำของ Michelin Guide ด้วยนะ แต่ผมก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้เดินดูจริงๆ จังๆ"

คำว่าลิสต์แนะนำหมายถึงร้านที่ไม่ได้ดีถึงขั้นติดดาวแต่เป็นร้านที่คุ้มค่าต่อการไปลองชิม โดยมากจะเป็นร้านแบบบ้านๆ หรือเป็นอาหารแบบ street food

"แต่วันนี้เราคงกินกันไม่ไหวแล้วล่ะ ไว้ค่อยมาลองกันวันหลังก็ได้..."

เจพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นสายตาตื่นตระหนกของฆาเบียร์เมื่อได้ยินคำว่าร้านอาหาร

"...ตอนนี้มีอย่างเดียวที่ผมอยากกินนะ"

เจยิ้มหวานและใช้นิ้วเขี่ยเบาๆ ที่กลางฝ่ามือใหญ่ซึ่งเกาะกุมมือเขาอยู่ คนตัวโตหัวใจเต้นแรง สัมผัสเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่นี้ของเจปลุกเร้าอารมณ์ของเขาได้ทุกครั้ง เขาโอบเอวของคนตัวเล็กแล้วแทบจะลากเดินไปอย่างเร็ว เจหัวเราะเสียงใสและรีบเร่งฝีเท้าตามจังหวะก้าวของคนรักใจร้อนของเขาไป คืนแรกของพวกเขาในมาเก๊าคงยังไม่จบลงง่ายๆ อย่างแน่นอน



------------------------------------------


นั่งทำรูปเอง หิวเองค่ะ ตอนนี้ อยากไปมาเก๊าอีกรอบแล้ว รอบที่ผ่านมาพลาดกินบะหมี่ Wong Chi Kei เพราะวันที่ว่างจะไปกินดันไปช้าแล้วไปเสียเวลากินลูกชิ้นแกงกะหรี่เสียนาน กะว่าร้านปิดห้าทุ่มไปซักสี่ทุ่มครึ่งน่าจะทัน ปรากฎว่า last order สี่ทุ่มครึ่งจ้า พลาดไปไม่กี่นาทีเอง เสียใจมาก รูปก็เลยเป็นรูปเก่านะคะ โดยส่วนตัวชอบไปกินค่ำๆ ดึกๆ เพราะจะคนน้อยไม่ต้องรอคิว แต่ข้อเสียคือบางทีของหมดบ้าง หรืออยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีบ้าง อย่างเนื้อตุ๋นอาจจะชิ้นเล็กๆ กว่าตอนกลางวันค่ะ มีคนบอกว่ามีร้านอื่นอร่อยกว่าร้านนี้แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสไปชิม

ร้านบะหมี่ Wong Chi Kei https://goo.gl/YmKpQk


ส่วนไอ้เจ้าลูกชิ้นกะหรี่นั้น กินเจ้าไหนก็อร่อย ไปเมื่อไหร่ต้องไปกินและมักเผลอสั่งเยอะจนหมดเป็นร้อยเหรียญทุกที คำเตือนคือ ถ้าจะนั่งกินตรงม้าหินหน้าร้านเลย ต้องดูดีๆ ก่อนนั่งนะคะ ม้าหินพวกนั้นมักเต็มไปด้วยหยดซอส ควรหาทิชชู่เช็ดทำความสะอาดก่อนไม่งั้นเปื้อนติดกางเกงแน่ๆ เวลาสั่ง หลายร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ใช้วิธีจิ้มเอาค่ะ


ข้อมูลเรื่องการท่องเที่ยวมาเก๊านี่สามารถหาดูได้จากเพจสำนักงานการท่องเที่ยวมาเก๊าประจำประเทศไทยได้ค่ะ ในลิงค์นี้สามารถไปดาวน์โหลดเอกสารมาได้ หรือที่เคยทำคืออีเมล์ไปขอเอกสารที่เป็นรูปเล่ม เขาก็ส่งมาให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ แต่ในปัจจุบันไม่รู้ว่ายังแจกอยู่ไหม แต่ข้อมูลหลายๆ อย่างก็อาจจะไม่ค่อยอัพเดทเท่าไหร่ อย่างเรื่องร้านอาหารในตรอกที่ว่าปิดตัวไปหลายร้านแล้วนั่นแหละค่ะ

โบรชัวร์การท่องเที่ยวมาเก๊า https://goo.gl/MxTh2n

รีวิวร้านอาหารในมาเก๊าหลายที่จากเว็บพันทิปค่ะ https://goo.gl/xmKy9s


ส่วนซากโบสถ์เซนต์พอล ถ้าอยากไปตอนคนไม่เยอะ ไปกลางคืนก็สวยดีค่ะ เดินไม่น่ากลัวแต่ก็ต้องระวังตัวอยู่บ้างค่ะ วันที่ไปเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ไปตอนเกือบห้าทุ่ม ก็ยังมีคนเดินขวักไขว่และมีคนนั่งที่บันไดตามในรูปค่ะ

ข้อมูลเรื่องซากโบสถ์เซนต์พอลค่ะ https://goo.gl/BuvBtd

นี่ก็ค่อนข้างละเอียดค่ะ https://goo.gl/H2ZbrS


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2018 06:49:29 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ออกห้องกันได้แล้ว ฆาบี้! ----




"ฆาเบียร์...ฆาบี้ครับ เดี๋ยวก่อน"

เจหอบและดันกายคนรักออก ทันทีที่ปิดประตูห้อง ฆาเบียร์ก็ลากเขาขึ้นเตียงและทาบกายลงกอดจูบซุกไซร้เขาอย่างหิวกระหาย

"จะไม่อาบน้ำอาบท่าอะไรกันก่อนเลยเหรอ?"

คนตัวเล็กโอดครวญ เขาสะท้านกายเฮือกเมื่อคนตัวโตที่ทำหูทวนลมใช้ฟันงับเบาๆ เข้าที่ตุ่มไตของเขาที่ชูชันดันเสื้อยืดเนื้อหนาเพราะอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งพล่าน เจตัดสินใจใช้ไม้ตาย

"งั้นตามใจคุณ จะจัดเลยก็ได้ ส้งเสื้อจะเปื้อนก็ช่างมันแล้วนะ"

คนตัวโตที่ทำท่าจะไม่หยุดลวนลามร่างเพรียวง่ายๆ ชะงักกึก เจจับเสื้อแจ็คเก็ต Balmain ตัวใหม่ของเขาเป็นตัวประกันหน้าตาเฉย เจที่ขยับตัวพอได้แล้วค่อยๆ ถอดเสื้อที่ฆาเบียร์ให้ยืมใส่ตัวนั้นออกอย่างยั่วเย้า เขาทิ้งมันลงบนเตียงแล้วขยับกายขึ้นนอนทับ

"เอาสิ ฆาเบียร์ มากอดผมเลย"

คนตัวเล็กอ้าแขนรอพร้อมยักคิ้วให้เมียตัวโต ฆาบี้กัดริมฝีปากก่อนจะตัดสินใจดึงร่างของเจขึ้นมาแนบอกแล้วคว้าเสื้อตัวใหม่สุดหวงของเขาเหวี่ยงทิ้งลงไปบนพื้นอย่างไม่ใยดี เจนยุทธอ้าปากค้าง ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ แล้วประทับจูบอันอ่อนโยนลงบนริมฝีปากรูปกระจับที่แดงระเรื่อคู่นั้น เขายังไม่ยอมปล่อยเจไปง่ายๆ แต่ก็ลดดีกรีความร้อนแรงลงจากเมื่อครู่ คนตัวเล็กเริ่มจูบตอบและดึงเสื้อยืดเนื้อดีของฆาบี้ให้พ้นหัว คนตัวโตลนลานสลัดกางเกงยีนส์ของตัวเองทิ้งและช่วยดึงกางเกงของเจออกพ้นจากสะโพก เจพลิกกายขึ้นคร่อมร่างของคนรักแทน เขาซุกไซร้ไล่จูบพรมที่ซอกคอของร่างกำยำนั้น กลิ่นกายปนกับน้ำหอมราคาแพงของฆาเบียร์ทำให้เขาแทบทนไม่ได้ เขาสลัดกางเกงออกให้พ้นขาพร้อมๆ กับที่ป้อนจูบให้คนรัก ฆาเบียร์หลับตาพริ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม เขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเจขยับไปดูดดึงเนื้อบริเวณคอเขาแถมยังงับเบาๆ อีกด้วย จบคืนนี้เขาคงไม่พ้นมีรอยเต็มคออีกแน่ๆ



เจรุกล้ำลงมายังแผงอกกว้างที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ เขาขยับกายขึ้นนั่งคร่อมกลางลำตัวของคนตัวโต ฆาเบียร์นิ่วหน้าแล้วบ่นขึ้นเบาๆ

"เจ ชักตัวหนักแล้วนะ"

เจสะดุ้งเฮือกแล้วหยุดทุกอย่าง เขารีบขยับกายลงจากตัวของฆาเบียร์แล้วทิ้งกายลงนอนเคียงข้างร่างกำยำของคนรัก

"งอนฉันเหรอ เจ?"

เจนิ่งเงียบจนฆาเบียร์ต้องเป็นฝ่ายพลิกกายก่ายกอดคนตัวเล็กของเขา เจถอนหายใจ แล้วหันหน้ามารับจูบของคนรักที่คลึงเคล้าอยู่แถวๆ ข้างแก้ม

"ไม่ได้งอน ว่าแต่ผมตัวหนักจริงๆ เหรอ?"

เจถามเสียงอ่อยๆ เขารีบลงจากตัวฆาเบียร์เพราะกลัวว่าจะทำให้คนตัวโตเจ็บ เจพลิกตัวมาประจันหน้ากับฆาเบียร์แล้วจ้องใบหน้าคมเข้มนั้นด้วยสายตาที่ส่อแววกังวล คนรักของเจนยุทธกลั้นยิ้ม เขาพยักหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"เราน่ะกินเยอะไปแล้วนะ รู้ไหม?"

ฆาเบียร์จิ้มๆ และลูบไล้ที่หน้าท้องของเจ

"เนี่ย เริ่มนิ่มแล้วนะ"

เขาพูดไปอย่างนั้น หน้าท้องของเจยังคงแบนราบแม้จะกินไปมากขนาดนั้นจนเขาอิจฉา เจหน้าจ๋อยและลูบหน้าท้องตัวเองตาม เขาอุปาทานคิดไปว่าพุงตัวเองเริ่มป่องออกอย่างที่คนตัวโตบอก

"แย่ละ ผมกลับไปคราวนี้ต้องไปฟิตหน่อยแล้ว ไม่งั้นแพ้คุณแน่ๆ"

เจนยุทธบ่นอุบอิบ

"ใช่ ต้องออกกำลังกายนะเจ เริ่มตั้งแต่คืนนี้เลยเป็นไง?"

คนตัวโตส่งสายตาแพรวพรายให้คนรัก จากนั้นดึงตัวเจให้กลับขึ้นมาทาบทับกายเขา

"ฆาบี้! ไหนเมื่อกี้บอกว่าผมตัวหนักไง"

เจโวยลั่น

"ถ้าไม่อยู่นิ่งก็ไม่รู้สึกหนักหรอกนะ เจ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ พร้อมขยับสะโพกส่งให้บางส่วนของเขาดันบั้นท้ายของเจเบาๆ

เจนยุทธทำตาเขียวใส่คนรักแล้วก้มลงกัดจมูกโด่งๆ ของฆาเบียร์เบาๆ คนตัวโตอุทานลั่นแล้วเอาคืนด้วยการขยำแรงๆ ที่ก้นแน่นๆ ของเจที่บดเบียดกับส่วนนั้นของเขา มันเริ่มพองตัวดันกางเกงในสีขาวจนโป่งนูน เจตะปบมือของคนตัวโตที่เริ่มซุกซนและดึงมันออกจากบั้นท้ายของเขา คืนนี้เขาไม่ยอมคนตัวโตแน่ๆ



"อาบน้ำก่อนดีกว่านะครับ คนดี ผมขอล่ะ"

เจซบกายลงกับอกของคนรัก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจัดการเมียตัวโตของเขาเร็วๆ แต่ในคืนแบบนี้เขาอยากใช้เวลาสบายๆ กับฆาเบียร์มากกว่าที่จะมีเซ็กส์แบบเร่งรีบกัน ฆาเบียร์ลูบผมนิ่มๆ ของเจ เจอน้ำเสียงและสายตาออดอ้อนแบบนี้เข้าไป เขาจะฝืนใจมันได้อย่างไร เขาถอนหายใจและดันเจให้ลุกขึ้นแล้วลุกขึ้นตาม เขาลงเตียงและเก็บเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองไปแขวนไว้

"ฆาเบียร์ครับ..."

คนตัวโตที่เตรียมตัวเดินเข้าห้องน้ำหันกลับมา ร่างเพรียวของเจพลันโผเข้ามาสวมกอดและซบหน้าลงกับอกเขา เขากอดตอบ เจกอดเขานิ่งเนิ่นนาน ฆาเบียร์สูดลมหายใจเอากลิ่นกายของคนตรงหน้าเข้า ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาเต็มหัวใจ เขาก้มลงหอมผมนิ่มของเจก่อนจะจรดริมฝีปากลงที่ริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยอรออยู่

"Te adoro, mi amor"


ฆาเบียร์กระซิบคำรักแบบที่เขาทำทุกครั้ง

"ผมก่อฮักอ้ายครับ"

เจกระซิบตอบด้วยภาษาที่สื่อความหมายสำหรับเขาที่สุด เจยังพูดสิ่งอื่นออกมา

"...nunca amaré a nadie como te amo a ti"

"ผมจะไม่รักใครแบบที่รักคุณอีกแล้ว"

ฆาเบียร์เลิกคิ้วและจ้องตาคนตัวเล็กที่ยิ้มพรายอยู่ตรงหน้า เขาถามเจว่าไปเรียนภาษาสเปนมาเพื่อสรรหาคำมาบอกรักเขาจริงๆ ใช่ไหม เจพยักหน้าและกระซิบบางอย่างเบาๆ ที่ข้างหูของคนตัวโต ฆาเบียร์ทำตาโตเมื่อได้ยินคำที่ไม่ควรพูดออกมาดังๆ คำนั้นและรีบลากคนตัวเล็กเข้าห้องน้ำไปทันที



"เจ คืนนี้ไม่ยอมฉันจริงๆ เหรอ?"

เจไม่ตอบแม้คนตัวโตจะส่งสายตาอ้อนวอน ผ่านมาสามวันกับอีกสองคืนครึ่งแล้ว เจก็ยังไม่ยอมใจอ่อนให้เขาสักที คราวนี้ก็เช่นกัน ทั้งคู่ยืนเปลือยร่างแนบชิดกันอยู่ใต้ฝักบัวติดผนัง มือของเจลูบไล้ฟองสบู่ไปตามเรือนร่างของคนตัวโตและเขากำลังรุกล้ำเข้าสู่ช่องทางแคบเล็กของคนรัก ฆาเบียร์กำไหล่คนตัวเล็กแน่น เขาเผลอแยกขาน้อยๆ เพื่อให้นิ้วเรียวของเจทำงานได้สะดวกขึ้น เขาครางออกมาเมื่อมันกระทบเข้ากับจุดเปราะบาง เจประคองร่างกำยำที่ทำท่าว่าจะแข้งขาอ่อนเสียแล้ว เขาเปลี่ยนท่าให้ฆาเบียร์ยืนโก้งโค้งใช้มือเท้าผนังไว้ เขายังคงใช้นิ้วป้อนความสุขให้คนรักพร้อมๆ กับใช้มืออีกข้างเขี่ยไล้ยอดอกที่แข็งเป็นไตสู้นิ้วของเขา ฆาเบียร์สูดปาก เขารู้สึกถึงแก่นกายแข็งของเจที่สัมผัสแนบอยู่กับต้นขาของเขา

"เจ ยังไม่เข้ามาอีกเหรอ?"

ฆาเบียร์ครางเสียงกระเส่า เขาต้องการมันจนทนไม่ไหวแล้ว เจหัวเราะเสียงใส เขายังไม่ปล่อยให้ฆาเบียร์สมใจง่ายๆ เจยั่วเย้าร่างกายของคนรักต่อ เขาสัมผัสแก่นกายของฆาเบียร์อย่างอ่อนโยนและพาเมียตัวโตของเขาล่องลอยสู่สวรรค์ชั้นฟ้าก่อนรอบหนึ่ง



"เจ เจจ๋า ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ ยังจะรออะไรอีก?"

ฆาเบียร์ที่นอนบิดกายอยู่บนเตียงนุ่มส่งเสียงอุทธรณ์ จากนั้นก็ส่งเสียงครางอย่างกลั้นไม่ได้ออกมาเมื่อลิ้นร้อนๆ ของคนตัวเล็กซอกซอนควานลึกเข้าไปในช่องทางสีแดงก่ำของเขา เจนยุทธไม่พูดไม่จา เขาตั้งใจปรนนิบัติคนรักของเขาอย่างเต็มที่ มือของเจกำรูดลำกายร้อนของฆาเบียร์ไว้ เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อมือใหญ่่ของคนรักขยุ้มผมเขาอย่างแรงจนเขาต้องตบบั้นท้ายที่ขยับดันตามจังหวะรูดไล้ของเขาอย่างลืมตัว เจถอนปากออกจากช่องทางแคบนั้น เขาขยับไปหยิบบางอย่างมาจากถุงที่หัวเตียง ฆาเบียร์ที่หายใจหอบถี่ยันกายขึ้นมาดูเมื่อได้ยินเสียงหึ่งๆ ของมอเตอร์

"อะไรน่ะ เจ?"

ฆาเบียร์เลิกคิ้วเมื่อเห็นของหน้าตาประหลาดในมือเจ เจนยุทธปิดสวิตช์แล้วใช้เจลชะโลมของเล่นใหม่ของเขา มันหน้าตาคล้ายหนังสติ๊กที่มีด้ามสั้นและปลายอวบขนาดยาวไม่เท่ากัน 2 แง่ง เจนำแง่งที่ยาวกว่าจ่อเข้ากับช่องทางที่เริ่มขยายตัวแล้วของฆาเบียร์แล้วค่อยๆ ดันมันเข้า ฆาเบียร์ซี้ดปากออกมาเพราะความคับแน่น เจดันจนมันเข้าไปสุดความยาวและขยับมันไปมา

"ดีไหม ฆาบี้?"

คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ยิ้มฝืนๆ และบอกว่ามันก็โอเคอยู่ แต่ขนาดของมันเทียบไม่ได้กับแท่งลำของเจนยุทธ และเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันพิเศษอะไร

"เหรอ แล้วแบบนี้ล่ะ?"

เจกดเปิดสวิตช์ที่ปลายด้าม ร่างใหญ่กำยำของฆาเบียร์กระตุกเฮือกขึ้นพร้อมกับเสียงครางและคำพูดหยาบโลนที่ดังออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขารีบปิดปากตัวเองเมื่อเจส่งสัญญาณบอกว่ามันชักจะดังเกิน ไอ้เจ้าแท่งนั้นสั่นกระตุ้นเข้าที่ต่อมเสียวของเขาพอดี ส่วนไอ้เจ้าแง่งเล็กอีกแง่งหนึ่งซึ่งก็สั่นได้เช่นกันกดแนบเข้ากับบริเวณฐานของถุงเนื้อของเขา แรงสั่นสะเทือนจากทั้งสองทางของมันทำให้เขาแทบคลั่ง ไม่เพียงแค่นั้น เจยังใช้ริมฝีปากนิ่มๆ ของเขาครอบลงไปบนแก่นกายของฆาเบียร์และตั้งหน้าตั้งตาโจมตีส่วนที่ไวต่อสัมผัส



"เจ ฉันไม่ไหวแล้ว จะตายแล้ว"

ฆาเบียร์ดิ้นพล่าน เขาเสียวจนตัวเกร็งไปหมดแล้ว ไม่ถึง 5 นาทีคนตัวโตก็คำรามลั่นและปลดปล่อยออกมาเต็มโพรงปากของคนรัก เจรีบกดปิดสวิตช์ของเล่นใหม่ของเขาและดึงมันออกช้าๆ คนรักของเขานอนระทดระทวยอยู่บนเตียงอย่างหมดแรง

"อื้อหือ ไอ้เจ้าของเล่นใหม่นี่คงดีจริงๆ คุณถึงเป็นขนาดนี้นะ ฆาบี้"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ที่ยังคงหอบกระเส่าโน้มคอคนรักลงมาจูบหนักๆ

"นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ เจ ไปสรรหาของแบบนี้มาจากไหนกัน"

ฆาเบียร์หยิบของเล่นใหม่ซึ่งสร้างความเสียวสุดยอดให้กับเขามาดู เจหัวเราะเบาๆ

"แหม ผมจะไปมีปัญหาหามาจากไหน มีคนให้ผมมาหรอก"

ฆาเบียร์ทำตาโตและถามเสียงแข็งว่าได้มาจากใคร คำตอบที่ได้ทำให้เขาต้องส่ายหัวอย่างระอา คนๆ นั้นไม่ใช่ใครนอกจากยัยเลขาตัวแสบของเขา

"เจ นายยังไม่ได้ทำเลยนะ ไม่ค้างเหรอ?"

ฆาเบียร์หันไปกอดคนรักที่ลงนอนเคียงข้าง

"รอก่อนก็ได้ ฆาบี้ คุณเพิ่งเสร็จไป อีกอย่าง เมื่อกี้คุณดูฟินมาก เกิดผมทำต่อแล้วสู้ของเล่นไม่ได้ผมก็เสียความมั่นใจหมดสิ"

เจนยุทธทำหน้าจริงจัง ฆาเบียร์หัวเราะก๊ากออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาพลิกกายขึ้นทาบทับร่างคนรักและป้อนจูบอันอ่อนหวานให้ มือไม้ของเขาเริ่มซุกซน ไม่นานนักเขาก็ปลุกแก่นกายของเจที่สงบนิ่งลงไปเมื่อครู่ขึ้นมาด้วยริมฝีปากและลิ้นร้อนๆ ของเขา



"อูย เมียครับ นั่นแหละ แบบนั้นแหละ ดี"

เจครางลั่นออกมาเมื่อฆาเบียร์ค่อยๆ ใช้ช่องทางที่อ่อนนุ่มแล้วครอบลงมาบนแท่งลำที่แข็งเกร็งของเขา สัมผัสร้อนๆ ของข้างในกายคนรักรัดรึงแก่นกายเขา เจซี้ดปากเมื่อฆาเบียร์กระแทกสะโพกลงมาอย่างดุดัน คนตัวโตเองก็สะบัดหน้าครางลั่นด้วยความเสียวซ่าน ความรู้สึกที่ได้จากเมื่อสักครู่ยังคงอยู่ ความร้อนและการเสียดสีจากแท่งลำของเจที่ชำแรกเข้าลึกในช่องทางของเขายิ่งทำให้เขาสุขสุดยอดมากขึ้น

เจขยับกายขึ้นนั่ง เขาอยากสัมผัสร่างของคนรักขณะที่ร่วมรักกัน เขาตบๆ สะโพกฆาเบียร์ให้ยกตัวขึ้นเล็กน้อยจนเขาสามารถนั่งคุกเข่าได้ เจใช้มือรั้งสะโพกของคนตัวโตเข้าหาตัวพร้อมกับขยับกาย ฆาเบียร์กระแทกกายลงตามจังหวะ เขาใช้มือโอบรั้งแผ่นหลังที่ชุ่มเหงื่อของเจนยุทธ เจบดริมฝีปากของตนเองเข้ากับปากคนตัวโตเมื่อเสียงของฆาเบียร์ชักเริ่มดังขึ้น คนตัวโตที่เสียวซ่านไปทั้งตัวจนตาลอยหงายหลังลงนอน เขาขยับเองไม่ไหวแล้ว เจนยุทธดันต้นขาของคนรักให้อ้ากว้างและทาบกายทับลงกับร่างกำยำนั้น



"ฆาบี้ครับ ที่รัก ผมจวนแล้วนะ"

เจครางลั่น เขาดึงร่างคนตัวโตที่นอนคว่ำหน้ายกสะโพกเด่นอยู่ตรงหน้าให้ชันกายขึ้นแนบกับตัวของเขา ฆาเบียร์เอนกายพิงร่างคนรัก เขาหันหน้ามารับจูบร้อนๆ จากเจก่อนที่จะสะท้านกายเฮือกและปลดปล่อยออกมาบนมือของเจ เจนยุทธเองก็รัดร่างคนรักไว้แน่นและกระแทกหนักๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะทิ้งกายฮวบลงกับหลังของฆาบี้ ฆาเบียร์รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของคนรัก เขาค่อยๆ ดันกายออกและหันไปกอดรัดคนตัวเล็กของเขา

"ไหวไหม เจ? เอาผ้าชุบน้ำหรือน้ำเย็นสักแก้วไหม?"

ฆาเบียร์ถามอย่างเป็นห่วง เจที่ยังรู้สึกดีจนพูดไม่ออกโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ในหัวของเขาขาวโพลนไปหมดแล้ว ฆาเบียร์ช่วยถอดเครื่องป้องกันออกจากแก่นกายของเจ เขารีบลุกขึ้นแล้วก็ต้องนั่งกลับลงมาช้าๆ

"คุณ เป็นอะไร?"

เจถามด้วยความเป็นห่วง เขายันกายขึ้นเพื่อจะดูอาการของเมียตัวโต ฆาเบียร์ยกมือห้ามไว้ และบอกว่าเขาแค่แข้งขาหมดแรงเพราะความเสียวซ่านเมื่อสักครู่เท่านั้น

"แน่ใจนะ? ถ้าปวดหลังปวดเอวอะไรก็บอกนะ เดี๋ยวผมจะนวดยาให้"

คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ และหัวเราะคิกคักเมื่อคนตัวโตหันมาแยกเขี้ยวใส่เมื่อได้ยินคำพูดที่ส่อไปในทางที่จะวกเข้าหาเรื่องอายุอานามและสังขารของเขา ฆาเบียร์ปล่อยให้เจนอนพักส่วนเขาเข้าไปทำความสะอาดเนื้อตัวในห้องน้ำ

คนตัวโตกลับออกมาพร้อมผ้าชุบน้ำ เขาบรรจงเช็ดเนื้อตัวให้คนรัก เจนยุทธนอนยิ้มกริ่มปล่อยให้เมียตัวโตของเขาเป็นฝ่ายบริการเขาบ้าง



"ซักหน่อยไหม เจ?"

ฆาเบียร์เปิดกระป๋องเบียร์ Hoegaarden Radler Agrum สีฟ้าพาสเทลซึ่งมีรูปส้มติดอยู่ที่หน้ากระป๋องแล้วส่งให้เจ ปกติเขาไม่ชอบกินเบียร์เท่าไหร่นักเพราะมันมักจะลงไปสะสมอยู่ที่พุงของเขา แต่หลังจากเซ็กส์ร้อนๆ แบบในคืนนี้เขาต้องการเบียร์เย็นๆ สักอึก เจรับเบียร์ที่แช่จนเย็นเจี๊ยบกระป๋องนั้นมาจิบอึกหนึ่งแล้วก็ทำตาวาว เขาดื่มมันเข้าไปอีกอึกใหญ่ก่อนจะส่งคืนให้ฆาเบียร์ คนตัวโตรับมาดื่มแล้วก็ชมเปาะออกมา

"ว้าว อร่อยทีเดียวนะเจ หอมส้มกับเกรปฟรุต แต่ไม่ติดขมเท่าไหร่เลย กินแล้วสดชื่นดีจริงๆ"

ฆาเบียร์ดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่ ตอนแรกเขาหวั่นๆ ว่ามันจะออกมาติดขมแบบน้ำเกรปฟรุ้ต แต่นี่มันอร่อยกว่าที่คิดมาก เขายิ้มอย่างถูกใจและบอกคนตัวเล็กว่าคราวนี้เลือกได้ดี สำหรับเจแล้ว การมาเที่ยวก็เหมือนการมาอัพเดทและลองของกินใหม่ๆ ที่เมืองไทยไม่มีจากในซุเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านสะดวกซื้อ ของที่เขามักซื้อมาลองคือพวกขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มโดยเฉพาะเบียร์ หลายครั้งที่เขามักเซ็งกับของที่เลือกๆ หยิบมา แต่ไม่ใช่กับเบียร์กระป๋องนี้

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะลงไปซื้อมาอีก"

คนตัวเล็กที่ติดอกติดใจเบียร์กระป๋องนี้เข้าแล้วพูด เขาได้มันมาจากร้านสะดวกซื้ออย่าง Circle K ที่อยู่ด้านหน้าโรงแรม ฆาเบียร์พยักหน้าและบอกเจให้ซื้อเผื่อเขาด้วยอีกกระป๋องหนึ่ง พวกเขาทั้งคู่กินเบียร์กระป๋องนั้นจนหมดก่อนที่จะลงนอนบนเตียงนุ่มและพร่ำพลอดบอกรักกันต่อ



"เจจ๋า..."

"ครับ เมีย?"

เจตอบรับพร้อมก้มลงหอมกลุ่มผมของคนที่คืนนี้มานอนอิงซบไหล่ของเขา

"ฉันอยากเข้านอนพร้อมเจแบบนี้ทุกคืนเลยนะ"

เสียงเศร้าๆ ของฆาเบียร์ทำให้หัวใจน้อยๆ ของเจนั้นร้าวราน เขาจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของคนรักแทนคำตอบ ฆาเบียร์ถอนหายใจน้อยๆ เขาไม่อยากให้มีสิ่งใดมากั้นขวางระหว่างเขากับเจเลย แต่ด้วยภาระหน้าที่ซึ่งต้องกระทำนำพาให้พวกเขาต้องห่างไกลกัน เจโอบร่างใหญ่กำยำนั้นเข้ากับอ้อมอก

"ฉัน...ฉันไม่อยากอยู่ห่างนายเลย ฉันปวดใจทุกครั้งที่ต้องไป เจรู้ใช่ไหม?"

เสียงเมียตัวโตของเจสั่นเครือ เจถอนหายใจและดันร่างของคนรักออกจากอ้อมอก

"ฆาบี้ครับ อย่าเศร้าไปเลย ตอนนี้ผมก็มาอยู่กับคุณแล้วนี่นา เรามาใช้เวลาที่เรามีด้วยกันในตอนนี้ให้มีแต่ความสุขดีกว่านะครับ คนดีของเจ"

เจนยุทธประคองใบหน้าคมเข้มของคนรักและจ้องลึกเข้าไปในดวงตีสีน้ำตาลอ่อนที่มีหยาดน้ำคลอหน่วยอยู่ เขาจูบแผ่วๆ ที่เปลือกตาของคนตัวโต ฆาเบียร์คลี่ยิ้มให้เจและจูบหนักๆ ที่แก้มของคนที่นำพาความสุขเข้ามาในชีวิตของเขา


"Solo a tu lado soy tan feliz..."

'ฉันมีสุขล้นได้เมื่ออยู่ข้างกายนายเท่านั้น...'

"...Gracias por aparecer en mi vida...เจนยุทธ"

'ขอบใจที่เข้ามาในชีวิตฉันนะ...เจนยุทธ'


ฆาเบียร์กระซิบแผ่วๆ ที่หูของคนรักที่หลับตาพริ้มพร้อมส่งเสียงกรนเบาๆ เขาตระกองกอดร่างเพรียวนั้นไว้แนบอกและหลับตาลง



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ออกห้องกันได้แล้ว ฆาบี้! (ต่อ) ----




"ฆาบี้ ฆาเบียร์ครับ ตื่นได้แล้ว สิบโมงแล้วนะ"

คนตัวโตงัวเงียตื่นขึ้นเมื่อถูกเขย่าตัวแรงๆ เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อยังรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวอยู่บ้าง เขาหันไปหยิบนาฬิกามาดู มันสิบโมงแล้วจริงๆ เขาหันไปหาเจแล้วก็ต้องงงเมื่อเห็นเจในเสื้อยืด กางเกงขาสั้นและรองเท้าผ้าใบ คนตัวเล็กของเขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อที่หน้าและยิ้มให้เขา

"ผมไปวิ่งผ่านน้ำก่อนนะ คุณลุกมาแปรงฟันก่อนก็ได้แล้วค่อยมาอาบน้ำทีเดียวหลังกินข้าว"

"เดี๋ยว เจ ทำไมเหงื่อเต็มตัวงี้ล่ะ?"

ฆาเบียร์ดึงชายเสื้อเจนยุทธไว้และถามด้วยความงุนงง

"ผมไปวิ่งมาน่ะ..."

เจหัวเราะแหะๆ เขาลงไปวิ่งบนสายพานและออกกำลังกายที่ยิมของโรงแรมมาชั่วโมงนึงก่อนจะกลับขึ้นมาหาฆาเบียร์

"...ก็คุณบอกว่าผมตัวหนักแล้ว ผมก็เลยต้องออกกำลังกายหน่อยอ่ะ"

เจพูดอ้อมๆ แอ้มๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ ออกมา เขานึกว่าเจจะไม่คิดอะไร แต่ที่ไหนได้ พ่อคนกินเก่งคนนี้ก็แอบคิดมากเรื่องรูปร่างของตัวเองเหมือนกัน

"แล้วนายไม่ปลุกฉันล่ะ เจ?"

"ผมปลุกแล้ว แต่คุณไม่ยอมตื่น แถมยังละเมอพูดอะไรไม่รู้อีกเยอะแยะ"

เจหัวเราะเมื่อนึกถึงท่าทางของเมียตัวโตของเขาเมื่อเช้า ฆาเบียร์ที่หลับตาอยู่โอดครวญว่าเขาปวดเนื้อปวดตัว แล้วยังทำท่าจะดึงเจให้กลับลงมานอนด้วยกันต่อ คนตัวโตเกาหัวแกร่กๆ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจมาปลุกเขาเมื่อเช้านี้

เจนยุทธก้มลงจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากของคนรักและบอกให้เจ้าตัวไปแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย

"ผมหิวแล้ว เร็วๆ นะ ไม่งั้นผมไม่รอจริงๆ ด้วย"


เจดูเมนูอาหารเช้าแล้วก็ถอนหายใจออกมา มันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย อาหารจานร้อนที่มีให้เลือกก็มีแค่พวกจานไข่มาตรฐานอย่างไข่ดาว ไข่ต้ม ไข่ลวก ไข่กวน และที่ยากขึ้นมาหน่อยอย่างออมเล็ต egg benedict  และ egg florentine ซึ่งก็คือเอ้กเบเนดิกที่ใส่ผักโขมแทนแฮม แล้วก็ประเภทแป้งอย่างเฟรนช์โทสต์ วาฟเฟิล เครปและแพนเค้ก เจสั่ง egg benedict เครปและเฟรนช์โทสต์มา เขาชิมทุกอย่างและไม่สั่งเพิ่มอีก

"ไม่อร่อยเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ซึ่งกำลังละเลียดออมเล็ตใส่แซลมอนรมควันของเขาอยู่ถามขึ้น เจส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ เขาเดินไปดูไลน์อาหารซึี่งมีไม่มากนักและเดินหน้าระรื่นกลับมาพร้อมโจ๊กหมูถ้วยหนึ่งพร้อมเครื่องเคียงอย่างถั่วลิสงและผักกาดดอง เขายังโปะน้ำมันพริกมาอีกด้วย อีกมือหนึ่งเขาถือจานใส่เบค่อนและแซลม่อนรมควัน

"รับสปาร์คลิ่งไวน์เพิ่มอีกไหมคะ?"

พนักงานสาวเดินมาถามพร้อมขวดไวน์ในมือ สองหนุ่มส่งแก้วของพวกเขาให้ทันที แม้อาหารจะไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เจแฮ้ปปี้ก็คือบนคลับเลาจ์แห่งนี้เสิร์ฟสปาร์คลิ่งไวน์ไม่อั้นตอนมื้อเช้าด้วย อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เจนยุทธถูกใจก็คือครัวซองต์ ไม่เสียทีที่โรงแรมนี้เป็นโรงแรมสัญชาติฝรั่งเศส ครัวซองต์มื้อเช้าของที่นี่ถือว่าอร่อยใช้ได้ทีเดียว



"เจ ครัวซองต์กับเนยถั่วเนี่ยนะ?"

ฆาเบียร์ถามเมื่อเห็นของในจานของเจ เขาไม่อยากนึกถึงจำนวนแคลอรี่ของมันเลย เจพยักหน้าพร้อมฉีกครัวซองต์ชิ้นน้อยๆ ป้ายเนยถั่วเล็กน้อยส่งให้ถึงปากของคนรัก ฆาบี้จำใจต้องอ้าปากรับ เขาเคี้ยวๆ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เจอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อสุดท้ายคนตัวโตก็ลุกขึ้นไปหยิบครัวซองต์และเนยถั่วมา

"เมื่อคืนฉันออกแรงเยอะ ก็ต้องเติมเข้าไปเพิ่ม"

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ ก่อนที่จะตักนูเตลล่าที่เขาตักมานอกเหนือจากเนยถั่วทาลงไปบนครัวซองต์แล้วส่งเข้าปาก เจนยุทธทำตาปริบๆ ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายออกแรง เขานั่งยิ้มมองคนตัวโตกินของอ้วนๆ อย่างมีความสุขอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นไปตักสลัดผักและแซลม่อนรมควันมาเพิ่มให้เมียตัวโตของเขา

"เอ้า กินผักสดกับปลาเพิ่มไปด้วย จะได้รู้สึกผิดน้อยลง"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ยิ้มตอบและรีบจัดการกับอาหารบนจานของตัวเอง



]​ (ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/24/breakfastponte16-L.jpg[/img)



"วันนี้เราจะไปไหนบ้างน่ะ เจ?"

ฆาเบียร์ที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกตะโกนถามเจที่อาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ คนตัวเล็กไม่ยอมอาบน้ำพร้อมกับเขาเพราะกลัวว่าจะเสียเวลาเที่ยว

"เดี๋ยวจะพาคุณไปกินข้าวเที่ยงก่อน..."

"หา? อะไรนะ เจ! นี่เราเพิ่งกินข้าวเช้าไปนะ"

ฆาเบียร์อุทานเสียงดัง เขาส่ายหัวเมื่อได้ยินเสียงเจหัวเราะคิกคักอยู่ในห้องน้ำ เจ้าตัวเล็กคงล้อเขาเล่นอีกตามเคย เจเปิดประตูห้องน้ำเดินออกมา ฆาเบียร์กัดริมฝีปากเมื่อเห็นร่างขาวๆ ในผ้าเช็ดตัวที่พันหมิ่นเหม่อยู่ระดับสะโพก

"เฮ้ย ฆาบี้ ไม่เอา!"

เจร้องลั่นเมื่อคนตัวโตดึงร่างของเขาเข้าแนบอก ฆาเบียร์ก้มลงหอมผมดำขลับที่ยังเปียกชื้นของเจ

"เจจ๋า...เรานั่งๆ นอนๆ เล่นอยู่ในห้องเฉยๆ ไม่ได้เหรอ?"

เมียตัวโตของเจอ้อน เจรีบดันตัวออก เขาจะใจอ่อนไม่ได้ ขืนอยู่แต่ในห้องมันคงจะไม่ใช่แค่นอนเล่นแน่นอน

"ถ้าเป็นวันของคุณน่ะ คุณจะนั่งๆ นอนๆ ก็ตามใจ แต่สองวันนี้ต้องตามโปรแกรมผม โอเคไหม?"

คนตัวโตถอนหายใจแล้วปล่อยร่างของคนรัก แต่เจก็เป็นฝ่ายกอดและจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากของเมียตัวโตของเขาแทน ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและจูบตอบ ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความรู้สึกกันอยู่พักใหญ่



"หือ? คุณแต่งตัวงี้เป็นด้วย?"

เจดันตัวคนรักออกและกวาดสายตาสำรวจดู เขาเพิ่งสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่คนตัวโตเลือกใส่ ฆาเบียร์อยู่ในกางเกงจ็อกเกอร์ผ้ายืดสีกากีและเสื้อกล้ามแสนรัดรึงสีขาว แต่ที่ทำให้ดูแปลกตาที่สุดคือเสื้อฮู้ดดี้แขนกุดผ่าหน้าสีกรมท่า

"จะได้เข้ากับรองเท้าสนีคเกอร์ขาวไง"

ฆาเบียร์ดึงฮู้ดของเสื้อที่ปกติเขาใส่ไปยิมขึ้นมาคลุมหัวและหยิบแว่นตาดำมาใส่ เขาทำท่าทางเหมือนพวกแร็ปเปอร์

"Hey, hey...What's up, Bro!"


เขาพูดกลั้วหัวเราะ เจก็หัวเราะก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อเห็นคนที่พยายามทำตัวเป็นหนุ่มฮิปฮอป

"นี่ฉันไม่ได้แต่งตัวแบบนี้มาตั้งแต่เรียนจบแล้วนะเนี่ย"

ฆาเบียร์หันหน้าเข้ากระจกอีกครั้งและจัดเสื้อผ้าของตัวเอง เขาเบ่งกล้ามแขนน้อยๆ อย่างพอใจ เสื้อผ้าแบบนี้ทำให้เขาสามารถโชว์ไบเส็บส์ที่เขาลงแรงเพาะมาอย่างชัดเจน

"ตั้งแต่เรียนจบ? โห ตั้งแต่ยุค 80 เลยเหรอ คุณ?"

ฆาเบียร์หุบยิ้มและหันไปแว๊ดใส่คนตัวเล็กที่พยายามบวกอายุให้เขาไปอีกเกือบยี่สิบปี เจหัวเราะคิกคักและเข้ามานัวเนียลูบไล้กล้ามแขนและกล้ามท้องของเขาเล่น เขาอดไม่ได้ต้องดึงตัวคนรักเข้ามาประทับจูบอย่างดูดดื่มอีกครั้ง



"เอ่อ ฆาบี้ครับ ผมว่าคุณเปลี่ยนกางเกงดีกว่าไหม?"

เจหน้าแดงก่ำและดันตัวคนรักออกแล้วพยักเพยิดให้ฆาเบียร์ดูกางเกงสีกากีของตัวเอง คนตัวโตก้มลงมองแล้วก็ต้องหน้าแดงตามไปด้วย เขาเกิดอารมณ์ขึ้นน้อยๆ เพราะจูบของคนรักและบางส่วนของเขามันก็ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองเสียเหลือเกิน มันพองตัวแค่เพียงเล็กน้อยก็จริง แต่กระนั้นก็ยังเห็นเป็นลำเด่นชัดภายใต้ผ้าเนื้อบางของกางเกงจ็อกเกอร์สีกากีตัวนั้น

"ไม่เอาล่ะ ฉันขี้เกียจเปลี่ยนแล้ว จะเป็นแบบนี้ก็ช่างมันแล้วกัน"

ฆาเบียร์พูดอย่างปลงๆ ถ้าจะเปลี่ยนเอายีนส์มาใส่ มันก็จะเหมือนใส่เสื้อผ้าซ้ำไปซ้ำมา ซึี่งเขารับไม่ได้ เจบ่นกะปอดกะแปด

"ผมไม่อยากให้คนอื่นเห็นอ่ะ"

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มที่เจแสดงท่าทางหวงเขาออกมา

"น่า มีของดีก็ต้องอวดหน่อย"



เจถอนหายใจ เขาเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบๆ เลือกๆ เสื้อผ้าที่เอามาแขวนไว้ เขาใส่ชั้นในและเสื้อยืดสีขาว จากนั้นใส่กางเกงจ็อกเกอร์สีเทาที่หยิบติดกระเป๋ามาเหมือนกันมาใส่ จากนั้นใส่เสื้อฮู้ดดี้แขนยาวสีดำทับ ฆาเบียร์ขมวดคิ้วมองกางเกงจ็อกเกอร์ของเจอย่างขัดใจ บางส่วนของเจก็เด่นชัดภายใต้กางเกงตัวนั้นเช่นกัน เจหันไปยิ้มหวานให้คนรัก

"ก็คุณว่ามีของดีก็ต้องอวด ใช่ไหม?"

คนตัวโตพูดไม่ออกและต้องปล่อยเจนยุทธแต่งตัวตามใจชอบไป

"เราสองคนจะได้ดูคล้ายๆ กันด้วย"

ฆาเบียร์หัวเราะหึๆ แล้วบอกว่ามันจะคล้ายกันยังไง เจดูเหมือนหนุ่มน้อยนักศึกษาที่หลุดออกมาจากแคตาล็อกของเสื้อผ้าสัญชาติอเมริกันอย่าง Abercrombie  & Fitch ส่วนตัวเขาดูเหมือนหนุ่มละติโน่จากเก็ตโต้ในแอลเอ เจมองคนรักอย่างหมั่นไส้ ถึงจะบอกแบบนั้น คนรักของเขาก็ยังเปล่งออร่าความแพงออกมาทั้งตัวแม้จะอยู่ในเสื้อผ้าลำลองแบบนี้​ แค่แว่นกันแดดยี่ห้อ Dolce & Gabbana ที่ฆาเบียร์ใส่อยู่ก็ทำให้หน้าตาคมเข้มของฆาเบียร์ดูราวกับหลุดออกมาจากรันเวย์แฟชั่นสักแห่ง

"นี่คุณมีแว่นกันแดดกี่อันกันแน่เนี่ย ผมเห็นใส่ไม่เคยซ้ำกันเลย"

เจถามอย่างสงสัย เขายกมือบอกฆาเบียร์ว่าไม่ต้องตอบแล้วเมื่อเห็นคนตัวโตทำท่ายกมือไม้ขึ้นมานับ



"งั้น เราจะไปกันได้ยัง? เล่นแต่งตัวกันไปๆ มาๆ นี่จะบ่ายโมงแล้วนะ"

เจมองคนตัวโตที่ยืนสำรวจความเรียบร้อยของผมเผ้าที่หน้ากระจกอย่างหมั่นไส้ปนระอา พ่อคนเจ้าสำอางคนนี้พยายามจะทำตัวเซอร์ให้รับกับเสื้อผ้า ฆาเบียร์รวบผมยาวปรกคอของเขาขึ้นเป็นหางม้าเล็กๆ  มันรับกับใบหน้าซึ่งเริ่มมีหนวดเคราขึ้นน้อยๆ

"เออ หล่อแล้ว พอแล้ว ไปเหอะ ออกห้องกันได้แล้ว ฆาบี้"

คนตัวเล็กลากคนตัวโตที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะถูกชมว่าหล่อออกห้อง ทั้งสองลงลิฟท์ไปยังล็อบบี้และลงบันไดเลื่อนไปยังจุดรอรถที่หน้าโรงแรม เจปฏิเสธเมื่อฆาเบียร์ถามว่าจะรอคิวแท็กซี่ไหม

"ผมบอกแล้วไงว่าจะพาคุณมาลำบาก"

เจตอบยิ้มๆ เขาพาคนตัวโตข้ามถนนไปที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม เขาเปิดจิ้มๆ มือถือดูและเช็คกับสายรถที่ติดอยู่บนกงล้อที่ติดอยู่กับเสา เขาหมุนๆ หาสายรถที่ต้องการ



"เดี๋ยวเราต้องขึ้นรถหมายเลข 26 นะคุณ เอ้า นี่ บัตร Macau Pass"

เจยื่นบัตรแข็งสีเขียวเขียนคำว่า Macau Pass ให้ฆาเบียร์ เขาซื้อมันไว้ตั้งแต่เมื่อวานที่ร้านสะดวกซื้อหน้าโรงแรมเมื่อ เขาบอกฆาบี้ว่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นรถเมล์ไปไหนมาไหน มาเก๊าพาสถือเป็นความสะดวกหนึ่งที่ควรมี บัตรนี้หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อโดยต้องจ่าย 130 มาเก๊าปาตากาส โดยแบ่งเป็นเงินที่ใช้ได้ 100 ปาตากาส ค่ามัดจำ 25 และค่าธรรมเนียมกินเปล่า 5 ปาตากาส ที่จริงแล้วมันเหมาะสำหรับคนที่คิดจะใช้รถเมล์เยอะๆ เพราะเมื่อคืนบัตรก็จะได้คืนแค่ค่ามัดจำ 25 ปาตากาสเท่านั้น ฉะนั้นจึงต้องใช้เงินในบัตรให้หมดก่อนที่จะคืน

"เราจะได้นั่งรถเมล์เยอะกันขนาดนั้นเลยเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถาม พวกเขาอยู่ที่นี่แค่ไม่กี่วัน คงไม่ได้ใช้บัตรนี้จนหมดแน่นอน

"ไม่ขนาดนั้นหรอก ฆาบี้ แต่ผมว่ามันสะดวกดี..."

เจบอกคนรักตัวโตของเขาว่าแม้ค่ารถที่มาเก๊านี้จะถูก นั่งสุดสายก็ประมาณ 5 ปาตากาส แต่การใช้มาเก๊าพาสก็ทำให้พวกเขาไม่ต้องมาคอยพกเหรียญและคุ้ยหาเศษเหรียญเวลาขึ้นรถ แค่เอาบัตรแตะก็ขึ้นได้เลย แถมยังมีส่วนลดค่ารถอีกด้วย มันเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างตัวเขาที่อาจจะมีปัญหาในการสื่อสารกับคนขับหรือไม่รู้ราคาค่ารถแน่ชัด



"อ้าว แล้วถ้าเงินในบัตรเหลือล่ะ เจ?"

ฆาเบียร์ถามอย่างงงๆ เจจะยอมทิ้งเงินอีกหลายร้อยบาทเพียงเพื่อแลกกับความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ เลยเหรอ? เจหัวเราะ

"บัตรนี้ยังใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้ด้วยครับ ถ้าใช้ไม่หมดเราก็เอาไปซื้อขนมซื้อเบียร์ซะ แป๊บๆ ก็หมดแล้ว"

ฆาเบียร์พยักหน้ารับรู้ เจบอกว่าไม่งั้นเขาก็อาจจะทิ้งบัตรไว้ให้คนอื่นที่สำนักงานของฆาเบียร์ใช้ก็ได้ เพราะถ้าเติมเงินสม่ำเสมอก็จะยืดอายุการใช้บัตรไปได้เรื่อยๆ

"ผมมีบัตรนี้อยู่หลายใบเลย ซื้อทีก็เอากลับบ้านเพราะขี้เกียจไปทำเรื่องคืนและคิดว่าจะเอามาใช้ใหม่ แล้วก็เก็บลืมจนหายไม่ก็ลืมเอามาด้วยทุกที"

ข้อเสียของบัตรนี้คือ ถ้าจะคืนบัตรและรับเงินมัดจำคืนต้องไปคืนที่สำนักงานของบัตรที่จัตุรัสเซนาโดเท่านั้น



"อ๊ะ รถมาแล้ว เราขึ้นกันเถอะ"

เจโบกมือหยอยๆ ให้รถหยุด จากนั้นดึงแขนฆาเบียร์ให้ขึ้นรถบัสสาย 26 ที่จะมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านโคโลอาน แต่ในตอนนี้พวกเขาจะแวะเที่ยวที่อื่นก่อน ทั้งสองคนแตะบัตรมาเก๊าพาสของตัวเองที่กล่องแตะบัตรด้านข้างคนขับ พวกเขาเดินเข้าไปด้านในรถ เวลานี้คนใช้รถค่อนข้างเยอะและพวกเขาต้องยืนเบียดเสียดกับคนอื่นพอสมควร เจบ่นกะปอดกะแปดว่าสาย 26 นี้แพงกว่าสายอื่น

"จริงๆ ที่ผมจะพาคุณไปเนี่ย นั่งสาย 1 หรือสาย MT4 ก็ได้ ค่ารถถูกกว่า แต่อิเจ้าสาย 26 มันมาถึงก่อน ก็จ่ายแพงไปแล้วกันเนาะ"

ฆาเบียร์หัวเราะ แพงของเจคือ 5 ปาตากาส ส่วนอีกสองคันนั้นราคา 3.2 และ 4.2 เจนยุทธเซน้อยๆ เมื่อเขาปล่อยมือจากห่วงที่เกาะมาหยิบโทรศัพท์เขี่ยๆ ดู คนตัวโตรีบคว้าเอวคนรักไว้และรั้งเอาไว้แนบตัว เจหันมายิ้มหวานให้เขาและก้มหน้าก้มตาดูมือถือต่อ



"ดูอะไรน่ะ เจ เดี๋ยวก็เวียนหัวหรอก"

คนตัวโตดุคนขี้เมารถเรือ

"ผมดูป้ายที่เราต้องลงน่ะ"

เจชูมือถือให้ฆาเบียร์ดู เขาบอกว่าเขาดาวน์โหลดแอพสายรถของมาเก๊ามา

"เดี๋ยวลงรถแล้วผมจะเอาให้คุณดู ตอนนี้คุณช่วยผมดูป้ายก่อน ป้ายชื่อ Templo A-Ma หรือ A-Ma Temple นะ น่าจะอีกสักห้าป้าย"

เจชูชื่อป้ายให้ฆาเบียร์ดู คนตัวโตพยักหน้ารับคำ พวกเขารอฟังประกาศบนรถซึี่งมีสี่ภาษาคือโปรตุเกส จีนกวางตุ้ง จีนแมนดารินและอังกฤษ เสียงของมันค่อนข้างอู้อี้อยู่บ้างดังนั้นทั้งสองคนจึงต้องคอยดูป้ายไฟที่มีตัวหนังสือวิ่งประกอบด้วย

"ฆาบี้ ป้ายนี้แหละ กดเลย"

ฆาเบียร์กดปุ่มหยุดตามที่เจบอก รถบัสค่อยๆ หยุดที่ป้ายและเปิดประตูให้เขาและผู้ร่วมทางอีกหลายคนลง เจหันมายิ้มและส่งมือให้เขา คนตัวโตจับกระชับมือเรียวของคนรัก

"โอเค ฆาบี้ วันนี้เราจะมาเริ่มทัวร์กันที่วัดอาม่านะ"



--------------------------------------

ตอนนี้ผ่านไปหลังเที่ยงแล้วก็ยังไม่ได้เริ่มเที่ยว สองคนนี้ชิลล์จริงๆ

มาแจกข้อมูลการท่องเที่ยวค่ะ การเดินทางในมาเก๊านั้นง่ายดายมาก สำหรับคนขี้เกียจอย่างคนเขียน ถ้าเป็นไปได้ก็จะเรียกแท็กซี่ไปนั่นมานี่ มาเก๊าเมืองไม่ได้ใหญ่มาก การนั่งแท็กซี่ก็อยู่ในราคาที่รับได้ ไม่ได้โหดเหมือนญี่ปุ่น แต่สำหรับคนที่เดินทางไปหลายที่แล้วไม่อยากเสียค่าแท็กซี่มากหรือขี้เกียจต้องมาโดนแท็กซี่ปฏิเสธ (ไม่ค่อยต่างจากไทยค่ะ ใกล้ๆ ไม่ไป)

อีกวิธีหนึ่งที่คนใช้กันมากคือรถฟรีของคาสิโนต่างๆ มันจะสะดวกถ้าต้องเดินทางระหว่างคาสิโนหรือโรงแรมต่างๆ ในฝั่งไทปาไปยังสนามบินหรือท่าเรือที่ฝั่งไทปา ถ้าสำหรับข้ามฝั่งมาลงฝั่งเมืองเก่ามาเก๊า ก็มักจะจอดที่ลิสบัว (รถของโรงแรมลิสบัว) และที่ท่าเรือมาเก๊า แต่ไม่จอดตามสถานที่ท่องเที่ยวค่ะ

การใช้รถประจำทางก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายและค่อนข้างครอบคลุม จะขอแนะนำแอพชื่อ Macau Bus Guide & Offline Map ค่ะ มีทั้งสำหรับแอนดรอยด์และ ios ใช้งานไม่ยาก บอกข้อมูลละเอียดพร้อมแผนที่และสามารถ search หาโดยใช้ชื่อสถานที่ๆ เราอยากไปได้ ไม่เหมือนกับเว็บของทางขนส่งมาเก๊าซึ่งต้องจำชื่อป้ายเอา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอแนะนำให้ดูรายละเอียดสายรถที่ป้ายรถเมล์ประกอบอีกทีหนึี่งเพื่อความชัวร์ค่ะ

โดยปกติแล้วรถเมล์มาเก๊าไม่ค่อยแน่นยกเว้นสายยอดนิยม สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ถ้าเลี่ยงช่วง rush hour ได้ก็ควรเลี่ยงค่ะ เพราะแน่นเป็นปลากระป๋องทุกคัน และอย่างที่บอกว่าเสียงประกาศในรถบางทีก็ค่อนข้างอู้อี้ ฉะนั้นคอยดูป้ายไฟวิ่งจะดีกว่า แต่ถ้าจะให้ชัวร์ก็นับป้ายด้วย เพราะเคยเจอลุงคนขับลืมกดประกาศมาแล้ว

เรื่องการเดินทางในมาเก๊าและการใช้ app ที่กล่าวถึงข้างบนอ่านรายละเอียดได้จากรีวิวนี้ค่ะ ค่อนข้างละเอียดทีเดียว  https://pantip.com/topic/36513395

ส่วนเรื่องมาเก๊าพาส ก็ตามที่เขียนถึงในเนื้อเรื่องค่ะ เหมาะสำหรับคนที่คิดว่าจะนั่งรถประจำทางเยอะแต่ไม่อยากยุ่งยากเรื่องแลกเหรียญและคิดว่าจะซื้อของในร้านสะดวกซื้ออยู่แล้ว

บัตรมาเก๊าพาสค่ะ https://goo.gl/TLRciw

ที่จริงมีการเดินทางอีกแบบหนึ่งคือรถบัสแบบเปิดหลังคา ข้อดีของรถแบบนี้คือตระเวนไปตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ หลายแห่งพร้อมกับมีเสียงบรรยายภาษาอังกฤษและจีนให้ฟังอีกด้วย การที่เปิดโล่งด้านบนยังทำให้ถ่ายรูปได้ง่าย แต่ข้อเสียคือรถมีน้อยและมาทุกๆ 45 นาที และพาเราวนไปจนครบรอบทัวร์ ซึ่งใช้เวลา 70 นาที จึงเหมาะกับการนั่งวนรอบเดียว จากนั้นเลือกลงเป็นจุดแล้วหาวิธีกลับวิธีอื่นดีกว่าค่ะ

รถบัสแบบเปิดหลังคาค่ะ https://goo.gl/jHmCjU

เพจของบริษัทเดินรถค่ะ https://goo.gl/8e8sCZ

แต่ในเพจของบริษัทไม่เห็นมีตั๋วแบบสองวันแล้วนะคะ เห็นแต่วันเดียว เลยไม่แน่ใจว่ามีตั๋วสองวันขายอยู่ไหม ข้างล่างนี้คือรูปที่ได้จากรถ open top นะคะ ถ่ายจากบนสะพาน เป็นมุมที่ถ้านั่งรถมีหลังคาก็จะถ่ายออกมาไม่ได้แบบนี้ค่ะ



] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/24/fromopentop.jpg[/img)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Temple & Tower ----




"สวัสดีครับ ผมบาเลนติน เด ลา โรซ่า วันนี้ผมก็ยังคงอยู่ที่มาเก๊า วันนี้ผมพาพวกคุณมาเที่ยวที่วัดอาม่า.."

ฆาเบียร์ยิ้มให้กล้องซึ่งเจเป็นคนถือถ่ายด้วยรอยยิ้มธุรกิจแบบที่เขาใช้ทุกครั้งยามที่ต้องสวมหัวโขนบล็อกเกอร์หนุ่มคนนี้ เจนยุทธมองคนตัวโตของเขาอย่างหมั่นไส้เล็กๆ เขาอยากหยิกปากบางๆ ที่ยิ้มแบบปลอมๆ นั้นจริงๆ ฆาเบียร์พูดถึงเรื่องการเดินทางมาที่วัดแห่งนี้ พูดถึงรถเมล์ที่เจพาเขาขึ้นมาสักครู่ จากนั้นพาคนดูเดินผ่านอาคารสีเขียวเข้มที่หัวมุมเข้าสู่ลานกว้างซึ่งปูด้วยหินก้อนเล็กๆ สีขาวและชมพู มันเรียงกันเป็นรูปคลื่นโดยมีหินสีดำเป็นเส้นแบ่งระหว่างทั้งสองสี จัตุรัสขนาดไม่เล็กนั้นนี้มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ใต้ต้นไม้มีโต๊ะเก้าอี้ที่มีคนนั่งพักผ่อนดื่มเครื่องดื่มกันอย่างสบายอารมณ์

"เฮ้ย ไม่ต้องถ่ายผมก็ได้"

เจอุทานอย่างลืมตัวเมื่อฆาเบียร์หันกล้องมาทางเขา ฆาเบียร์พยักเพยิดให้เขาทักทายกับผู้ติดตามที่ดูการ live สดอยู่

"เอ่อ สวัสดีครับ เจเองครับ..."

เขาหันไปกระซิบถามคนตัวโตที่ยืนหน้าระรื่นอยู่หลังกล้องว่าจะให้เขาพูดอะไร

"เอ่อ วัดอาม่านี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 ครับ เป็นศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า เป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพธิดาแห่งท้องทะเลหรือที่คนมาเก๊าเรียกว่าอาม่า..."

ตำนานของอาม่านั้นแพร่หลายไปในหลายประเทศที่มีคนจีนซึ่งนับถือลัทธิเต๋าอาศัยอยู่ ในประเทศไทย เทพธิดาองค์นี้เป็นที่รู้จักในนาม “เจ้าแม่ทับทิม” วัดอาม่าของมาเก๊าแห่งนี้ก็เป็นวัดชื่อดังที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดากว่า 1,500 แห่งใน 26 ประเทศทั่วโลก ตำนานกล่าวว่าหญิงสาวนางหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยนของจีนต้องการขออาศัยเรือเพื่อข้ามฝั่งมายังเกาะน้อยแห่งนี้ แต่ไม่มีใครยอมรับเธอขึ้นเรือนอกจากชาวประมงยากจนผู้หนึ่ง เรือทั้งหลายที่ออกฝั่งในวันนั้นถูกพายุพัดอับปางหมดยกเว้นเรือน้อยลำนั้นลำเดียว เมื่อเรือเข้าฝั่ง หญิงสาวนางนั้นก็ขึ้นมายังฝั่งมาเก๊าและลอยหายขึ้นฟ้าไป เชื่อกันว่าเธอคือเทพธิดาแห่งท้องทะเลซึ่งคอยปกป้องเหล่าผู้เดินเรือ และวัดแห่งนี้สร้างขึ้นในที่ซึ่งคาดกันว่าหญิงสาวคนนั้นขึ้นฝั่ง

"วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1488 ในสมัยราชวงค์หมิงครับ..."

เจเล่าต่อ เขาแอบดูโพยเป็นระยะๆ ตอนฆาเบียร์แพนกล้องไปถ่ายที่อื่น

"ว่ากันว่าตอนพวกโปรตุเกสมาถึงที่นี่ช่วงกลางศตวรรษที่ 16 พวกเขาถามคนพื้นเมืองว่าที่นี่เรียกว่าอะไร แต่ชาวพื้นเมืองเข้าใจผิดว่าถามว่าศาลนี้ชื่ออะไร เลยตอบไปว่า Maa Gok หรือศาลอาม่า หรือบางกระแสก็บอกว่าเขาตอบว่า A Ma Gau หรืออ่าวอาม่า ซึ่งเพี้ยนไปเป็นคำว่า มาเก๊า ในภายหลังครับ"

ในปัจจุบันคนกวางตุ้งเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า Ou Mun หรือ เอ้าเหมิน ที่แปลว่าช่องทางเข้าออกอ่าว



"งั้น เรามาเข้าไปในวัดกันเลยนะครับ"

ฆาเบียร์หันไปพูดกับคนดูของเขา เขาและเจพาคนดูเดินไปยังบันไดเล็กๆ ไม่กี่ขั้นที่นำพวกเขาขึ้นไปสู่ประตูหินสีเทา ที่เชิงบันไดนั้นมีสิงโตจีนคู่หนึ่ง เจบอกฆาเบียร์ว่าเชื่อกันว่าถ้าสามารถหมุนลูกแก้วในปากสิงโตได้สามครั้งก็จะโชคดี ฆาเบียร์ชะโงกดูในปากสิงโตแต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นลูกหินอะไรในนั้น

"ผมว่าทางการคงเอาออกไปแล้วล่ะ ไม่งั้นคนก็จะมายืนออรอหมุนกันอยู่ทั้งวัน"

เจพูดกลั้วหัวเราะ เพื่อโชคดีแล้ว คนเรายอมเสียเวลาทำได้ทุกอย่าง เจดึงมือฆาเบียร์และพาเดินขึ้นไปยังชั้นแรกของวัดอาม่า ที่ชานกว้างมีหมู่อาคารใหญ่น้อยตั้งอยู่หลายหลัง บางหลังต้องเดินผ่านซุ้มประตูรูปวงกลมเข้าไป เจพาฆาเบียร์เดินเข้าไปในอาคารหลังที่ใหญ่ที่สุดอันเป็นหอสักการะหลักของวัดนี้

"เอ๊ะ ทำไมมันดูแปลกๆ ไปนะ? ฆาเบียร์ คุณถามคนเฝ้าให้หน่อยได้ไหม"

เจพูดขึ้นอย่างสะกิดใจ มีหลายอย่างที่แปลกตาไป พวกเขาจบการ live ก่อนที่ฆาเบียร์จะเดินไปถามคนที่เหมือนจะเป็นคนเฝ้าด้วยภาษากวางตุ้ง พวกเขาต้องใจหายเมื่อได้รับคำตอบ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2016 ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นในหอสักการะแห่งนี้และได้เผาผลาญอาคารนี้จนเสียหายพอสมควร โชคดีที่รูปปั้นอาม่าไม่ได้รับความเสียหายมาก แต่เหล่าเครื่องเรือน แผ่นตกแต่งผนังและแท่นบูชาก็มอดไหม้ไปมาก ทางการมาเก๊าได้ทำการบูรณะตัวหอสักการะขึ้นมาใหม่จนเสร็จสมบูรณ์ในช่วงต้นปีที่แล้ว ฆาเบียร์ถามต่อถึงความเสียหายที่วัดนี้ได้รับตอนช่วงไต้ฝุ่นฮาโตะเข้า แล้วก็ต้องโล่งอกเมื่อรู้ว่าไม่ได้เกิดความเสียหายมากมายอะไร



เจและฆาเบียร์ยืนถ่ายรูปหอสักการะและผู้คนที่มาสักการะอยู่ห่างๆ จริงอยู่ที่วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่สุดแห่งหนึ่งของมาเก๊า แต่ก็ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในด้านจิตใจอีกด้วย

"ผมเคยอ่านรีิวิวที่คนไปโพสต์ไว้ใน Trip Advisor อ่ะ บางคนเขียนว่าผิดหวังเพราะวัดเล็ก ไม่สวย ไม่อลังการเหมือนวัดจีนที่อื่นๆ แต่สำหรับผม ผมว่ามันไม่ใช่ประเด็นไหมอ่ะ..."

เจบอกว่าสำหรับเขา วัดแห่งนี้มีคุณค่าทางวัฒนธรรมพอๆ กับคุณค่าทางจิตใจ วัดแห่งนี้เป็นที่เคารพและเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวมาเก๊าพอๆ กับชาวจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลที่มาเยือน

"ผมว่าหน้าที่ๆ แท้จริงของวัด โบสถ์ วิหาร มัสยิดหรือศาสนสถานทั้งหลายก็คือการเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สวยงามอลังการหรือว่าเรียบง่าย ถ้าตอบสนองหน้าที่ตรงนี้ได้ ผมก็ถือว่าทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้วทั้งนั้น..."

ฆาเบียร์พยักหน้าเห็นด้วย เขาเห็นได้จากจำนวนคนที่แวะเวียนกันเข้ามาจุดธูปสักการะที่หอแห่งนี้ น้อยคนนักที่จะมาแค่เดินๆ ถ่ายรูปแล้วจากไป​ จากที่ถามคนดูแลมา ช่วงที่หอสักการะของวัดนี้ปิดซ่อมแซม คนจำนวนมากก็ยังมาที่นี่เพียงเพื่อปักธูปบูชาในกระถางขนาดใหญ่หน้าประตูศาลที่ปิดสนิท



“งั้น เราไปดูจุดอื่นต่อดีกว่านะ ฆาบี้”

เจดึงคนตัวโตให้ออกจากหอสักการะ พวกเขาเดินเคียงคู่กันอย่างสำรวมไปตามลาน เจพาฆาเบียร์เดินไปดูจุดขายธูปซึ่งมีตั้งแต่ธูปขนาดเล็กขนาดเท่านิ้วไปจนถึงแท่งใหญ่เหมือนกระบอง ราคาของมันก็แพงขึ้นไปตามขนาด​ เขาชี้ให้ฆาเบียร์ดูธูปที่ขดวนขึ้นไปจนเหมือนรูปกรวย มันแขวนเรียงรายเต็มในหอสักการะและที่ศาลาน้อยด้านนอก เขาบอกว่าเขาอยากเอากลับไปฝากแม่เพื่อไว้ใช้ตอนไหว้พระเพราะขดนึงน่าจะจุดได้นานโข แต่ดูๆ แล้วคงไม่สามารถขนกลับไทยได้

เจพาฆาเบียร์ไปดูหินก้อนใหญ่ที่มีสีวาดเป็นภาพเรือใบไว้ เขาเปิดโพยที่จดมาแล้วเล่าให้ฆาเบียร์ฟัง

“เขาว่าตรงหินนี่คือจุดที่อาม่าขึ้นฝั่งและลอยหายไป ก็เลยมีการวาดรูปเรือไว้ที่หินนี้เพื่อทำเป็นสัญลักษณ์”

"...เรือแบบนี้เรียกว่า Lorcha เป็นเรือที่พวกโปรตุเกสริเริ่มต่อไว้ใช้งานในประเทศจีน เป็นการนำเอาลำเรือแบบยุโรปมาใส่โครงเสาและใบแบบจีน ที่ไทยก็มีเรือแบบนี้เหมือนกัน เรียกว่าเรือโป๊ะจ้าย"

เจบรรยายต่อ ฆาเบียร์ฟังอย่างสนใจและจดโน้ตไว้ เขายังถ่ายรูปหินนี้ไปอีกหลายภาพ



"ทำการบ้านมาดีเหมือนกันนี่ เก่งมาก เจ"

ฆาเบียร์ตบไหล่ชมคนรักเบาๆ เจยืดอกบอกว่าเขาหาข้อมูลมาจากหลายเว็บแต่พลาดไปนิดตรงที่ไม่รู้ว่าที่นี่ไฟไหม้

“ว่าแต่ เจ ก่อนหน้านี้นายว่าไปอ่านรีวิวจากเว็บไหนนะ?”

ฆาเบียร์แกล้งทำหน้าไม่สบอารมณ์ เจหัวเราะแหะๆ แล้วเอ่ยชื่อเว็บนกฮูกเขียว

“นายนี่มันจริงๆ เลย ไปอ่านเว็บคู่แข่งแต่ไม่อ่านจากเว็บของฉันงั้นเหรอ?”

“เห้ย ยีหัวกันอีกแล้ว”

เจทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกคนตัวโตยีหัวจนยุ่งเพื่อทำโทษเล็กๆ ฆาบี้อมยิ้มเมื่อเห็นทีท่าของคนรัก ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในวัดเขาคงจับมันหอมแก้มซักฟอดใหญ่ไปแล้ว



“ไปๆ เราเดินขึ้นไปบนเนินกันดีกว่า บนนั้นมีศาลเล็กศาลน้อยอีกหลายศาลนะ”

เจนำฆาเบียร์เดินขึ้นบันไดหินเตี้ยๆ ไปยังศาลขนาดเล็กทาสีชมพูดูเก่าแก่หลังหนึ่งซึ่งสร้างอยู่ระหว่างกลางหินใหญ่สองก้อน บนหินทั้งสองสลักกลอนภาษาจีนไว้ ศาลนั้นเล็กจนต้องกั้นไม่ให้คนเข้าไปข้างใน ภายในศาลมีรูปบูชาที่ห่มคลุมผ้าสีเหลืองตั้งอยู่บนแท่นไม้ บนผนังสองข้างของแท่นเป็นรูปนูนต่ำของหญิงสาวในชุดจีนอยู่

“นี่คือศาลอาม่าหลังดั้งเดิมที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1488 น่ะ แต่เทวรูปอาม่าตอนนี้ย้ายลงไปอยู่ที่หอสักการะด้านล่างแล้ว”

เจไม่ได้จุดธูปแต่แค่ยกมือไหว้เหมือนกับที่เขาทำด้านล่าง เขายิ้มน้อยๆ เมื่อหันมาเห็นฆาเบียร์ยกมือขึ้นไหว้ตามเขา แม้คนรักของเจจะโตมาในครอบครัวที่เป็นแคธอลิค แต่ในฐานะคนที่ต้องทำงานกับคนและสถานที่จากหลากวัฒนธรรม เขาก็เรียนรู้ที่จะปรับตัวตามสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเมื่อเขาเองก็โตมากับพ่อบุญธรรมชาวเอเชียอย่างคริส



“ป่ะ เราขึ้นไปข้างบนต่อดีกว่า”

เจชวนฆาเบียร์เดินขึ้นบันไดหินที่แคบและคดเคี้ยวขึ้นสูงไปยังวิหารด้านบนสุดซึ่งเป็นวิหารของเจ้าแม่กวนอิม สองข้างทางเป็นหินผาที่มีตัวหนังสือสลักไว้ตามทาง มีความเก่าใหม่ต่างกันไป บ้างเป็นตัวอักษรจีนตัวใหญ่ตัวเดียวที่ทาสีแดงฉาน ฆาเบียร์บอกเจว่าพวกมันคือโคลงกลอนที่เหล่ากวีหลายยุคสมัยสลักไว้

“เขาลูกนี้มีชื่อว่าเขา Barra..."

"...คุณรู้ไหม ผมขึ้นมาบนนี้เป็นครั้งแรกเลยนะ”

เจหันมาพูดกับฆาเบียร์แล้วก็ต้องยิ้มอย่างเขินๆ เมื่อเห็นคนตัวโตยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเขายามเผลอ ฆาเบียร์ยิ้มให้คนรัก เขาอดถ่ายรูปเจนยุทธที่ยืนชมวิวอ่าวที่เห็นลิบๆ เบื้องหน้าด้วยแววตาเป็นประกายไม่ได้ แก้มที่แดงก่ำด้วยเลือดฝาดทำให้เขาอยากรวบตัวเจนยุทธมาหอมแก้มและประทับจูบบนปากสีแดงจัดที่แย้มยิ้มพรายนั้นเหลือเกิน เจหันมาเรียกเขาให้มายืนชมวิวด้วยกัน

“ทำไมเจไม่เคยขึ้นมาบนนี้ล่ะ?”

“ก็ผมมาทีไรก็มากับพี่นพ แล้วตาลุงนั่นยอมเดินที่ไหนล่ะ เห็นบันไดหน่อยก็ยอมแพ้แล้ว ผมก็ขี้เกียจขึ้นมาคนเดียวก็เลยไม่ได้ขึ้นมาสักที”

เจบ่นอุบอิบ ฆาเบียร์หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เขานึกถึงหน้าและท่าทางของอดีตรูมเมทของเขาออกเลยทีเดียว ฆาเบียร์ยกมือปัดปอยผมที่ปลิวระหน้าผากคนตัวเล็กเพราะแรงลม เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว เจนยุทธหันมามองคนรัก เขายิ้มน้อยๆ และแตะนิ้วกับริมฝีปากตัวเองและประทับมันเข้ากับปากเมียตัวโตของเขา

“เอ้า เอาไปแค่นี้ก่อน รอออกไปพ้นวัดก่อนนะคุณ”

เขาส่งยิ้มหวานจ๋อยให้คนรักที่ดูออกได้ชัดเจนว่าเกิดอยากแสดงความรักกับเขาขึ้นมา ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและประทับจูบบนนิ้วตัวเองและแตะที่ปากเจเช่นกัน เขาทั้งคู่ออกเดินชมอาคารบนชั้นบนสุดของกลุ่มวัดอาม่าแห่งนี้อีกพักหนึ่งก่อนจะเดินกลับลงไปด้านล่าง พวกเขาใช้เวลาที่วัดอันเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกเมืองประวัติศาสตร์มาเก๊าประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ



]​ (ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/29/Ama-L.jpg[/img)



"งั้นเดี๋ยวไปไหนกันต่อ? ขึ้นรถเมล์ต่ออีกไหม?"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็กที่ถูกเขาดึงมือมากุมไว้ทันทีที่พ้นวัด

"ยังก่อนๆ บอกแล้วไงว่าจะพามาเดิน"

เจบีบมือเขาแน่นก่อนจะพาเขาเดินลงมายังลานกว้างหน้าวัด

"อ๊ะ ไอติมไหมคุณ?"

เจถามฆาเบียร์เมื่อเห็นลุงรถเข็นไอศกรีมที่กลางลาน นักท่องเที่ยวหลายคนยืนต่อคิวรอกินสั่งอยู่ ฆาเบียร์ส่ายหัวปฏิเสธ บอกว่าเขายังไม่หิว แต่ถ้าเจสนใจจะสั่งเขาก็รอได้ เจนยุทธส่ายหัวเหมือนกัน

"ผมว่าดูท่าทางแล้วลุงน้ำใสแถวกาดหลวงน่าจะอร่อยกว่า"

เจพูดยิ้มๆ เมื่อพูดถึงลุงไอติมรสถีบคนโปรดของเขาที่ชอบเรียกตัวเองว่าศรราม

"งั้น เราไปต่อกันเลยไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้า เจเดินจับมือคนรักเดินไปตามถนนเส้นน้อยด้านหลังอาคารสีเขียวเข้ม เจตาวาวเมื่อเห็นร้านขนมที่มีเปิดทุกหัวระแหงอย่าง Koi Kei Bakery เขาลากคนตัวโตเข้าไปที่ร้าน เจหยิบคุกกี้อัลมอนด์แบบจีนที่ถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ วางไว้ในกระด้งหน้าร้านมาชิ้นหนึ่ง

"ลองชิมดูสิคุณ"

เจบอกฆาเบียร์ว่าคุกกี้พวกนี้เขาตัดไว้ให้ชิม เขาชอบร้านขนมที่มาเก๊าตรงที่มีให้ชิมแทบทุกรสทุกแบบ ฆาเบียร์ชิมดูแล้วก็บอกว่ามันก็อร่อยดี แต่ออกจะแห้งและฝืดคอไปนิด เจหยิบขนมอีกอย่างที่มีตัดแบ่งไว้ให้ชิมและกำลังจะชวนฆาเบียร์เดินไป แต่เขาก็มาหยุดอยู่ที่ตู้ขายเนื้อแผ่น ป้าคนขายรีบตัดให้เขาชิมอย่างไม่เกี่ยงงอน ยิ่งรู้ว่าฆาเบียร์ที่เป็นฝรั่งพูดกวางตุ้งได้ป้าก็ยิ่งหานั่นหานี่มาให้ลองชิม ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าที่ฆาเบียร์จะลากเจออกมาจากร้านขนมได้



"เจ ไปทันซื้อมาเมื่อไหร่?"

คนตัวโตเกาหัวเมื่อเห็นทาร์ตไข่ชิ้นหนึ่งในมือของเจนยุทธ เจยิ้มหวานส่งมันให้คนรักชิม ตั้งแต่เหยียบขึ้นเกาะมาเก๊ามาเขายังไม่ได้กินทาร์ตไข่เลยสักชิ้น

"ก็กลางๆ เนาะ?"

เจถามความเห็นของคนรัก แต่ฆาเบียร์ที่ไม่ค่อยกินขนมหวานมากนักบอกว่าสำหรับเขามันก็ถือว่ากินได้ รสชาติแป้งกับไส้ก็ไม่ได้แย่มากนัก

"เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะพาคุณไปชิมของอร่อยถึงแหล่งเลย"

เจพูดยิ้มๆ เขามีแผนสำหรับมื้อเย็นนี้เรียบร้อยแล้ว เจกินทาร์ตไข่ที่อยู่ในมือจนหมดตั้งแต่ที่หน้าร้านและทิ้งซองกระดาษที่ใส่มาลงถังขยะเรียบร้อยก่อนที่จะชวนคนตัวโตออกเดินต่อ เขาเสียเวลากับร้านขนมไปพอสมควรแล้ว



"เจ หันมาหน่อยซิ"

ฆาเบียร์เรียกคนตัวเล็กของเขาที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เมื่อครู่พวกเขาเดินผ่านอาคารที่อยู่อาศัยขึ้นไปตามถนนปลอดคนซึ่งค่อนข้างลาดชันจนถึงยอดเนิน เมื่อเจนยุทธหันมาตามที่คนตัวโตเรียก ฆาเบียร์พลันดันร่างคนตัวเล็กติดกับกำแพงหินขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างทาง เขาประกบปากลงกับริมฝีปากแดงระเรื่อของเจ เขาลากลิ้นไล้เลียที่ริมฝีปากคู่นั้นแผ่วๆ คนตัวเล็กที่ตกใจเล็กน้อยในคราแรกเผยอปากน้อยๆ รับลิ้นร้อนๆ ของคนรัก เจดูดดึงริมฝีปากของฆาเบียร์ซึ่งเมียตัวโตของเขาก็สนองตอบอย่างทันควัน พวกเขาแลกจูบกันครู่หนึ่งจนได้ยินเสียงคนจากโค้งถนนจึงผละออกจากกัน

"คัสตาร์ดติดปากน่ะ เจ...ฉันกะจะเอาออกให้แต่เจมาจูบฉันเองนะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ บอกคนตัวเล็กที่ยืนหน้าแดงบ่นเขาเมื่อคนเดินผ่านไปหมดแล้ว เจใช้ข้อศอกกระทุ้งชายโครงคนตัวโตที่หาข้ออ้างจูบเขากลางถนนตอนกลางวันแสกๆ ได้หน้าตาเฉย ฆาเบียร์ครางอู้แล้วทำตัวงอเดินไม่ไหว เจไม่สนใจและเดินลิ่วๆ ไป ฆาเบียร์จึงรีบสาวเท้าเดินตามจนทันและจับมือเจไว้

"เจจ๋า งอนฉันเหรอ?"

เจก้มหน้างุดแต่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ ฆาเบียร์เชยคางคนรักขึ้น ใบหน้าของเจนยุทธแดงก่ำและประดับด้วยรอยยิ้มเอียงอาย สิ่งที่ฆาเบียร์ทำเมื่อครู่ทำให้ใจเขาเต้นรัวไม่หยุด เขารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่คนรักรุกเร้าเขาหนักๆ แบบนี้ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ และกอดคนตัวเล็กไว้แนบอก ก่อนจะพากันออกเดินต่อ เขาโอบไหล่เจไว้ส่วนเจก็อิงแอบซุกกายกับอ้อมอกคนรัก



"นี่ตึกอะไรเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์แหงนขึ้นมองอาคารสีเหลืองสดขลิบลายตกแต่งปูนสีขาว มันตั้งอยู่บนกำแพงหินที่ทอดตัวเป็นแนวยาวซึ่งพวกเขาใช้เป็นที่แสดงความรักกันเมื่อครู่ เจขมวดคิ้ว เขาชวนฆาเบียร์ให้เดินต่ออีกหน่อยจนมาถึงหน้าอาคาร อาคารนั้นเป็นอาคารชั้นเดียวที่สร้างเป็นแนวยาวตามแนวกำแพงหิน ลักษณะของมันเหมือนป้อมค่ายที่มีช่องประตูรอบด้าน อาคารแห่งนี้ดูแปลกไปจากอาคารแห่งอื่นๆ ในมาเก๊าที่เป็นแบบชิโน-โปรตุกีส คือตะวันตกผสมจีน ไม่ก็เป็นแบบตะวันตกไปเลย แต่อาคารแห่งนี้ให้ความรู้สึกแบบสถาปัตยกรรมอาหรับ

"อ๋อ รู้แล้ว..."

เจอุทานออกมาเมื่อเขาเดินไปเจอป้ายแสดงรายละเอียดของสถานที่แห่งนี้

"ที่นี่คือ Moorish Barracks แหละคุณ"

เจอ่านข้อความบนป้ายให้คนรักฟัง ฆาเบียร์บอกเจว่าในวันนี้เจเป็นไกด์ ฉะนั้นเจต้องเล่าให้เขาฟัง เจบอกว่าที่แห่งนี้เป็นค่ายพักของกองกำลังแขกมัวร์จากเมือง Goa ในอินเดียส่วนที่เคยเป็นของโปรตุเกส กองกำลังนี้มาเพื่อเสริมทัพให้กับกองตำรวจแห่งมาเก๊า ค่ายแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1874 และออกแบบโดยได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม ค่ายแห่งนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความเป็นเมืองพี่เมืองน้องของมาเก๊าและ Goa ในฐานะเมืองในเส้นทางเดินเรือเก่าแก่ของโปรตุเกส

"ก่อนที่จะมีการสร้างพวกตึกแถวและอพาร์ทเมนท์พวกนี้ขวางนะ ตึกนี้ถูกใช้เป็นที่สังเกตการณ์เรือที่ผ่านเข้าออกปากแม่น้ำเพิร์ลเข้าสู่อ่าวใน..."

สถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นกองบัญชาการของสำนักงานน้ำและการเดินเรือของมาเก๊าตั้งแต่ปี 1905 และให้ชมได้เฉพาะภายนอกอาคารเท่านั้น เจนยุทธและฆาเบียร์ถ่ายรูปและเดินๆ ดูภายนอกของอาคารเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อไป เจบ่นเสียดายว่าสภาพของที่นี่ดูทรุดโทรมกว่าที่เขาเคยเห็นในรูปถ่าย คนตัวโตของเขาก็เห็นอย่างนั้นเช่นกัน พวกเขาเดินคลอเคลียกันต่อไปตามถนนที่ตัดผ่านตึกรามบ้านช่องซึ่งเป็นอพาร์ทเมนท์เสียส่วนใหญ่ แต่ข้อดีของมาเก๊าคือทางเท้าของที่นี่ค่อนข้างเรียบและไร้สิ่งกีดขวาง มันทำให้พวกเขาเดินได้อย่างสบายใจ



"คุณ มานี่ มาเดินข้างในดีกว่า"

เจดึงตัวคนรักเข้ามาเดินด้านที่ติดกับตัวอาคาร ส่วนตัวเขาเดินกันให้ภายนอก

"ตัวคุณใช่เล็ก เดี๋ยวจะโดนรถเฉี่่ยวเอา"

ฆาเบียร์โคลงหัวแต่ก็ยอมเข้ามาเดินด้านในแต่โดยดี แต่กระนั้นเขาก็พยายามรั้งตัวคนตัวเล็กของเขาให้มาอยู่ติดตัวเขาเช่นกันเพราะทางเท้าแถวนี้ค่อนข้างแคบเล็ก พวกเขาดันกันไปดึงกันมาจนในที่สุดเจก็รุนหลังคนตัวโตให้ไปเดินข้างหน้าและเขาเดินปิดท้าย แบบนี้น่าจะดูปลอดภัยกับทั้งพวกเขาทั้งคู่มากกว่า พวกเขาเดินตามถนนไปอีกระยะหนึ่งจนมาถึงจุดหนึ่งซึ่งอพาร์ทเมนท์และตึกแถวหายไป พวกเขามายืนอยู่ด้านหลังของกลุ่มอาคารแบบจีนสูงประมาณสองชั้นซึ่งอยู่หลังรั้วปูนเตี้ยๆ ที่ทอดยาว

"นี่ไงๆ ผมจะพาคุณมาดูที่นี่"

เจพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น ฆาเบียร์มองตามหมู่อาคารที่ทอดตัวยาวไปตามแนวถนน

"ใหญ่เหมือนกันนี่ เจ"

เจนยุทธพยักหน้า เขาพาฆาเบียร์เดินต่อไปอีกนิดจนมาหยุดอยู่ที่จัตุรัสขนาดเล็กที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นร่มรื่น พื้นของจัตุรัสแห่งนี้ก็ปูด้วยหินก้อนน้อยสีขาวสลับชมพูและขลิบด้วยหินสีดำเป็นลายคลื่นเช่นเดียวกับที่หน้าวัดอาม่า



"นี่คือจัตุรัส Lilau ครับ เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกเขตเมืองเก่ามาเก๊าเช่นกัน"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาดูออกจากป้ายของยูเนสโกที่ตั้งอยู่หน้าจัตุรัส เจนยุทธเปิดโพยของเขามาอ่านให้ฆาเบียร์ฟัง

"เขาว่าที่นี่เป็นบริเวณแรกๆ ที่มีชาวโปรตุเกสมาอาศัยอยู่ในมาเก๊านะ..."

เขาอ่านต่อและชี้ไปยังน้ำพุที่ตั้งอยู่สุดจัตุรัส

"เขาว่าเดิมทีน้ำบาดาลของจัตุรัสนี้เคยเป็นแหล่งน้ำพุธรรมชาติหลักของมาเก๊า คนโปรตุเกสสมัยก่อนมีคำกล่าวว่า 'ถ้าได้ดื่มน้ำจากลิเลาก็จะไม่มีวันลืมมาเก๊า'... แหม น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีน้ำให้เราดื่มแล้วเนาะ"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ เขาอ่านเจอว่าน้ำพุที่มีอยู่ตอนนี้เป็นน้ำพุจำลองเนื่องจากแหล่งน้ำพุธรรมชาติเก่าของที่นี่ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว น้ำที่มีในตอนนี้ก็คงไม่แคล้วเป็นน้ำปะปา เขาชวนฆาเบียร์ลงนั่งหย่อนอารมณ์บนที่นั่งซึ่งสร้างล้อมต้นไม้ใหญ่ในจัตุรัสอันร่มรื่นแห่งนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาชอบมาเก๊าคือพื้นที่สาธารณะอันร่มรื่นอย่างเช่นสวนและจัตุรัส มันเป็นพื้นที่ซึ่งใช้งานได้จริงและเป็นแหล่งรวมผู้คนในชุมชน อย่างที่จัตุรัสแห่งนี้เขาเห็นผู้สูงอายุมานั่งพักผ่อนหย่อนอารมณ์กันหลายคน เขาพูดคุยเรื่องนี้กับฆาเบียร์และบอกว่าเขาอยากให้ที่เชียงใหม่มีพื้นที่แบบนี้หลายๆ แห่งบ้าง ทุกวันนี้ที่บ้านเขามีพื้นที่ๆ พยายามจะจัดทำให้เป็นพื้นที่สาธารณะก็จริง แต่ก็เข้าถึงได้ยาก บางที่ก็ล้อมรั้วเสียมิดชิดทำให้คนไม่อยากเข้าไปใช้ หรือไม่ได้มีการดูแลรักษาให้สวยงามหรือดูปลอดภัยเมื่อเข้าไปใช้



"บางทีผมก็สงสัยนะ เห็นออกมาดูงานกันปีละหลายๆ หนเนี่ย มาดูอะไรกัน? กลับไปก็ไม่เห็นทำอะไรให้มันดีขึ้นเลย"

เจบ่นดังๆ ด้วยความเซ็ง ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เขาโอบไหล่คนรักและจูบเบาๆ บนเรือนผมดำขลับ เจหน้าแดงดันตัวออกเมื่อเห็นผู้เฒ่าที่นั่งพักผ่อนอยู่ไม่ไกลแอบจ้องมองพวกเขาสองคน

"คุณนี่! ซนจริงๆ อายยายมั่งสิ"

คนตัวโตถอนหายใจ ความรู้สึกน้อยใจเอ่อล้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน

"เจอายที่อยู่กับผู้ชายอย่างฉันเหรอ?"

"หา?! บ้าน่า ผมไม่ได้อายเพราะอยู่กับคุณนะ!"

เจที่พูดออกมาแบบไม่ได้คิดอะไรในตอนแรกรีบปฏิเสธทันควัน เขารู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่แสดงความน้อยใจของเมียตัวโตของเขา เขาจับมือใหญ่ของคนรักขึ้นจรดกับริมฝีปาก

"...อย่าได้เข้าใจผิดไปนะครับเมีย ผมไม่เคยอายที่มีคุณเป็นคนรัก ไม่เคยคิดเลยสักนิด แต่ผมเกรงใจยายเขา เข้าใจไหม? มากอดๆ หอมๆ กันต่อหน้าผู้ใหญ่มันไม่ดี"

คนตัวโตกัดริมฝีปากน้อยๆ เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอันสดใสของเจนยุทธแล้วก็ต้องยอมแพ้ เขาแสดงความรักกับเจบ่อยจนลืมไปว่าอย่างไรเสียเจก็โตมาในวัฒนธรรมเอเชีย ต่อให้คนตัวเล็กจะเผลอตัวทำอะไรประเจิดประเจ้อตามใจเขาไปบ้าง แต่โดยปกติแล้ว เจมักจะระมัดระวังตัวเวลามีผู้อาวุโสมากๆ อยู่ใกล้ๆ



"เข้าใจแล้วจ้ะ ฉันขอโทษนะ เจ"

ฆาเบียร์ส่งยิ้มให้สุดที่รักของเขา

"คุณนี่นะ ขี้น้อยใจจริงๆ เลย”

เจจับคางของคนรักสั่นเบาๆ ฆาเบียร์ยิ้มเขินๆ แต่ก็แอบประท้วงในใจว่าคนที่ขี้งอนขี้น้อยใจน่ะคือเจ้าตัวเล็กของเขาต่างหาก

"งั้นเราไปดูบ้านหลังนั้นกันเถอะ"

ฆาเบียร์ดูนาฬิกาแล้วลุกขึ้นยืน เจลุกขึ้นยืนตาม ฆาเบียร์ออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกคนตัวเล็กฉุดแขนไว้ เมื่อเขาหันกลับมา เจก็โน้มคอเขาลงมาและจุมพิตแ่ผ่วๆ ที่ริมฝีปาก

"ยายไปแล้ว จูบได้"

เจพูดยิ้มๆ คนตัวโตเหลือบมองก็เห็นว่าคุณยายคนนั้นลุกขึ้นเดินไปทางอื่นแล้ว เขาก้มหน้าลงจุ๊บแผ่วๆ ที่หน้าผากนวลเนียนของคนรักก่อนจะจูงมือกันเดินเข้าไปยังตรอกน้อยที่อยู่ตรงข้ามจัตุรัสลิเลา



] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/29/lilau.jpg[/img)


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

@@@The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา - Temple & Tower (29/1/61)
« ตอบ #249 เมื่อ: 29-01-2018 08:46:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Temple & Tower (ต่อ) ----




พวกเขาเดินเข้าไปไม่กี่สิบเมตรก็ถึงทางเข้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง มันดูเหมือนทางเข้าบ้านธรรมดาๆ หากที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของเขตศูนย์กลางประวัติศาสตร์มาเก๊า

"ที่นี่คือ Mandarin House ครับ ฆาบี้ มันเป็นบ้านเก่าของขุนนางชาวจีนที่มีอายุประมาณ 150 ปีเลยนะ เฮ้ย!"

เจนยุทธอุทานลั่น ทางเข้านั้นปิดประตูลงกลอนไว้เรียบร้อย เจอ่านป้ายที่ติดไว้ที่หน้าประตูแล้วก็ต้องสบถออกมาเบาๆ ฆาเบียร์มองหน้าคนตัวเล็กแล้วอดหัวเราะไม่ได้ ไกด์กิตติมศักดิ์ของเขาทำท่าเหมือนจะร้องไห้ที่ตัวเองพลาดลืมดูวันเปิดปิดทำการของที่แห่งนี้มาอย่างจัง ปรากฎว่าบ้านแมนดารินแห่งนี้ปิดทำการในวันพุธและวันนักขัตฤกษ์

"โอ๊ย ห่านเอ๊ย ผมลืมดูซะสนิท ขอโทษนะครับฆาบี้ เดินเสียเที่ยวเปล่าเลย"

เจนยุทธบ่นลั่น จากวัดอาม่าเดินมาที่นี่ก็ครึ่งกิโลแล้ว นี่เขาพาคนตัวโตเดินมาอย่างเสียเวลาเปล่าแท้ๆ

"ไม่เสียเวลาหรอก เจ สนุกดีออก"

ฆาเบียร์โอบไหล่เจกระชับเข้ากับตัวแล้วลูบต้นแขนคนรักเบาๆ เพื่อปลอบใจ เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาด้วยความเซ็ง

"งั้น เดี๋ยวเราจะทำอะไรต่อกัน เจ?"

"เราเดินย้อนกลับไปวัดอาม่าเพื่อขึ้นรถไปที่อื่นครับ"

ที่จริงจากบ้านแมนดารินพวกเขาสามารถไปขึ้นรถที่จุดอื่นได้เช่นกัน แต่ที่วัดอาม่าเป็นแหล่งรวมรถหลายสาย เจจึงอยากไปขึ้นรถที่นั่นมากกว่า ทั้งสองคนเดินย้อนกลับไปทางเดิม พวกเขาเดินกระหนุงกระหนิงคุยเล่นหยอกล้อกันไปจนกระทั่งถึงลานกว้างหน้าวัดอาม่า



"เจหิวหรือยัง?"

ฆาเบียร์ถามขึ้น นี่ก็เกือบบ่ายสามแล้ว เจ้าตัวเล็กที่กินมื้อเช้าไปเมื่อ 11 โมงน่าจะเริ่มท้องไส้ปั่นป่วนได้แล้ว แต่เจกลับส่ายหัวบอกว่าเขาไม่หิว เขายังเซ็งจนกินอะไรไม่ลงแล้ว สุดท้ายคนตัวโตก็พาเจเข้าไปหาซื้อขนมจากร้าน Koi Kei เพื่อกินรองท้องและนั่งกินตรงลานหน้าวัดอาม่า

"แล้วคุณไม่หิวเหรอ ฆาบี้?"

เจนยุทธที่เคี้ยวเนื้อแผ่นหยับๆ ถามคนตัวโต

"ฉันกินแค่นี้ก็โอเคแล้วน่ะ วันนี้เราก็กินข้าวเย็นกันเร็วหน่อยแล้วกันนะ"

เจพยักหน้าตอบรับ เขากินเนื้อแผ่นหมดไปแผ่นหนึ่งแล้วโดยแบ่งฆาเบียร์นิดหน่อย แถมยังกินคุกกี้อัลมอนด์แบบจีนไปอีกจำนวนหนึ่ง เนื้อของมันจะแข็งแต่ร่วนคล้ายขนมโก๋ คนตัวโตไม่ค่อยชอบมันนักเพราะว่ากินแล้วแห้งคอ แต่เจนยุทธกินมันอย่างเอร็ดอร่อย เขาบอกว่าเขาชอบเพราะกลิ่นมันคล้ายกับของโปรดเขาอย่างเหล้าอะมาเร็ตโต้ ฆาเบียร์กินขนมซึ่งเรียกว่า Wife's cake ไปสองชิ้น มันคล้ายกับขนมเปี๊ยะโดยมีไส้ฟักเหมือนกัน แต่แป้งเป็นแป้งร่วนๆ เหมือนแป้งพายฝรั่ง ฆาเบียร์เล่าให้เจฟังว่ามันเป็นขนมท้องถิ่นของกวางตุ้ง ในฮ่องกงเองก็มีร้านขนมหลายร้านท่ี่ขายขนมชนิดนี้ แต่ที่ดังที่สุดก็คงจะเป็นของร้าน Wing Wah



เจลุกขึิ้นปัดๆ เศษขนมที่ตกบนตักตัวเองและฆาเบียร์ออก เขาเอาห่อขนมที่กินหมดแล้วไปทิ้งถังขยะที่อยู่แถวนั้น จากนั้นฉุดคนตัวโตให้ลุกเดินไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถ

"จะไปไหนต่อล่ะ เจ?"

"มาเก๊าทาวเวอร์ เคยขึ้นหรือยังคุณ?"

เจถาม เขาคิดว่าฆาเบียร์คงเคยขึ้นไปแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามคาด คนตัวโตเคยขึ้นไปแล้ว แต่เขาก็บอกว่าเขาไม่รังเกียจที่จะขึ้นไปอีกรอบ

"ได้ดูวิวสวยๆ ของมาเก๊าพร้อมกับเจ ฉันพลาดไม่ได้หรอกนะ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ

“อีกอย่าง ฉันอยากไปเดินเล่นที่ขอบหอคอยมาเก๊าด้วย ไปเดินด้วยกันนะเจ”

ฆาเบียร์พูดด้วยสายตาเป็นประกาย เขามัวแต่นึกถึงความตื่นเต้นที่เขาได้รับจากตอนที่ทำแบบนั้นครั้งก่อนจนลืมสังเกตใบหน้าที่ซีดเผือดของเจ

“ตามใจคุณเลยครับ อยากทำอะไรก็เอาเลย”

เจพูดพร้อมฝืนส่งยิ้มให้คนตัวโต ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้ว่าเสียงของเจสั่นน้อยๆ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไรเจก็ลากแขนเขาเดินไปที่รถเมล์สาย 5 ซึ่งกำลังชะลอจอด



“ป้ายเดียวครับ เดี๋ยวก็ลงละ คุณนั่งเถอะ”

เหลือที่นั่งเพียงที่เดียว เจบอกให้คนตัวโตของเขานั่ง แต่ฆาเบียร์ไม่ยอมนั่ง พวกเขาทั้งคู่จึงยืนจนรถเมล์เข้าจอดป้ายที่หอคอยมาเก๊า

“ผมซื้อตั๋วไว้แล้ว เราไม่ต้องรอคิวนาน”

เจหยิบตั๋วเข้าหอคอยมาเก๊าที่เขาซื้อออนไลน์ออกมา พวกเขาลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นล่างสุดซึ่งเป็นที่เข้าคิวขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นสังเกตการณ์ วันธรรมดาแบบนี้คิวไม่ยาว ที่จริงแล้วเรียกได้ว่าแทบไม่มีคิวเลย

“เจ เราขึ้นไป adventure deck เลยดีไหม ฉันอยากเล่นแล้ว”

ฆาเบียร์พูด เจพยักหน้า พวกเขาแสดงบัตรและถูกพาขึ้นลิฟท์ไปยัง adventure deck หรือชั้นกิจกรรมสุดเสี่ยงบนชั้น 61 ที่ความสูง 233 เมตร หอคอยมาเก๊าแห่งนี้มีความสูงถึงปลายยอดเสารวม 338 เมตร และเป็นหอคอยที่สูงเป็นอันดับ 10 ของโลก ที่หอคอยนี้มีกิจกรรมสุดท้าทายหลายอย่างสำหรับผู้เสพติดอะดรีนาลีนโดยผู้ให้บริการชื่อก้องโลกอย่าง A.J. Hackett หนึ่งในนั้นคือการบันจี้จัมพ์ซึ่งถูกกินเนส บุ๊คบันทึกไว้ว่าเป็นบันจี้จัมพ์ที่สูงที่สุดในโลก นอกจากนั้นยังมี Sky Jump ซึ่งคล้ายกับบันจี้จัมพ์ แต่มีการใช้สลิงยึดแขนและขาทั้งสองข้างไว้ทำให้เหมือนนอนคว่ำหน้าลงมาตรงๆ ไม่ใช่การดิ่งปักหัวลงมาเหมือนบันจี้จัมพ์ สำหรับผู้ชอบการปีนป่ายนั้นสามารถปีนท้าล้มขึ้นบันไดเหล็กสูง 100 เมตรไปยังยอดบนสุดของหอคอยเพื่อชมทิวทัศน์ 360 องศาของมาเก๊าที่ความสูง 338 เมตรได้



แต่ที่ฆาเบียร์ติดใจนักหนานั้นคือ Sky Walk ซึ่งก็คือการเดินรอบส่วนชมวิวของหอคอยบนแท่นทางเดินกว้าง 1.8 เมตรที่ยื่นออกไปในอากาศ คนที่เดินนั้นจะถูกสลิงยึดตัวไว้กับราวด้านบนเพื่อความปลอดภัย เขาเล่าให้เจนยุทธฟังด้วยความตื่นเต้น

"มันสุดๆ เลยนะ เจ ตอนที่เขาพาเราเดินไปตามขอบมันก็หวาดเสียวอยู่นะ ลมบนนี้แรงทีเดียว..."

ฆาเบียร์จับมือคนรักเดินรอบชั้น adventure ตรงส่วนซื้อตั๋วนั้นคิวยังยาวอยู่ พวกเขาจึงมาเดินเล่นดูรอบๆ ก่อน

"...แต่ที่เสียวสุดๆ ก็คือตอนที่เขาให้เราทำนั่นนี่ อ๊ะ นั่นไง มีคนเล่น Sky Walk แล้ว"

คนตัวโตชี้ให้เจนยุทธดูกลุ่มคนที่เดินอยู่ด้านนอกราวกั้น เจหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นผู้นำเดินให้คนที่เดินยืนหันหน้าเข้าแท่นและทิ้งตัวไปด้านหลัง เขาใช้ขายันแท่นไว้และกางแขนทั้งสองออกโดยมีสลิงรั้งลำตัวไว้ บางคนที่กล้าๆ หน่อยก็หันหน้าออกแทน เจนยุทธยิ่งแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นผู้นำเดินให้คนเดินวิ่งและกระโดดให้ตัวลอยล้ำออกไปในอากาศโดยปล่อยให้สลิงซึ่งรั้งตัวไว้ทำหน้าที่ของมัน



"เจ ทำไมมือเย็นจัง หนาวเหรอ"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้วและหันหน้ากลับมาหาคนรัก ชั้น adventure นี้เปิดโล่งรับลมหนาวของมาเก๊าอย่างเต็มที่  เขาใจหายวาบเมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดขาวเหมือนกระดาษของเจ คนรักของเขาตัวสั่นน้อยๆ และมีที่ท่าเหมือนจะเป็นลม

"นายเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า? มานี่ นั่งพักก่อนเถอะ"

ฆาบี้ประคองตัวเจมานั่งยังม้านั่ง คนตัวเล็กของเขาทำท่าเหมือนจะขาดใจตายลงตรงนั้น เขาโอบกระชับร่างเพรียวนั้นเข้ากับอกและลูบหลังเบาๆ เขาสังเกตอาการของคนรักแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ

"เจ...หรือว่านายจะกลัวความสูง?"

เจนยุทธหน้าจ๋อยและพยักหน้ารับเบาๆ คนตัวโตโคลงหัว

"แล้วทำไมไม่บอกฉัน หือ?"

"ก็...ก็เห็นคุณอยากเล่น ผมก็ไม่อยากขัดอ่ะ ผมอยากให้คุณได้ทำของที่อยากทำ"

"แล้วนายจะไปเล่นกับฉันทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นแบบนี้เนี่ยนะ?"

เจพยักหน้าแล้วก็เปลี่ยนใจส่ายหัว

"ตอนแรกผมคิดว่าไหว แต่พอมาเห็นของจริงแบบนี้ ผมคงทำไม่ได้ครับ ผมขอโทษจริงๆ คุณเล่นคนเดียวได้ไหม?"

เจพูดเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องยกมือขึ้นดึงแก้มป่องๆ ทั้งสองข้างของคนรักด้วยความมันเขี้ยว



"เจ็บอ่า"

เจบ่นเบาๆ แล้วยกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเองพร้อมกับบ่นอุบอิบเป็นภาษาไทย

"ถ้านายไม่เล่น ฉันก็ไม่เล่นแล้ว เดินคนเดียวโดยที่ไม่มีเจเดินด้วย มันก็เท่านั้น"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ และบอกว่าเขาเพียงอยากจะหากิจกรรมทำเป็นที่ระลึกการมาเที่ยวด้วยกันของเขาสองคนแค่นั้นเอง เขายกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากเจนยุทธเมื่ออีกฝ่ายพูดเสียงสั่นว่าเขาจะเล่นด้วยก็ได้

"นายไม่ต้องมาฝืนตัวเองเพื่อฉันหรอกนะ เจ นี่ฉันเคืองนะที่นายไม่ยอมบอกฉันว่านายกลัวความสูง..."

"...ถ้าเกิดนายฝืนตัวเองแล้วไปเป็นลมเป็นแล้งหรือช็อคเป็นอะไรไปที่ข้างนอกนั่น แล้วฉันจะทำยังไง? คิดว่าฉันจะยกโทษให้ตัวเองได้เหรอ?"

คนตัวโตทำหน้าเคร่งเครียด เจนยุทธหน้าจ๋อยแล้วบอกว่าเขาจะไม่ปิดบังอะไรแบบนี้อีกแล้ว

"ดี งั้นเราลงไปชั้นชมวิวในร่มกันเถอะ อยู่บนนี้ฉันชักหนาวแล้ว"

ฆาเบียร์ซึ่งใส่เสื้อแขนกุดมาดึงแขนคนตัวเล็กของเขาให้ลุกขึ้น เขาประคองเจไว้ในอ้อมแขนและพาลงลิฟท์ไปยังชั้น 58 ซึ่งเป็นชั้นชมวิวในร่ม



ชั้นชมวิวหรือ observation deck นี้มีความสูง 223 เมตร รอบข้างของมันกรุด้วยผนังกระจกใสสูง 3 ชั้นเมื่อเดินรอบก็จะเห็นทิวทัศน์ 360 ของมาเก๊าและฝั่งจูไห่ของจีนแผ่นดินใหญ่ได้อย่างชัดเจน เจและฆาเบียร์เดินดูรอบๆ อย่างเพลิดเพลิน พวกเขาชี้ชวนกันดูตรงนั้นตรงนี้ เจมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นว่าฝั่งแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามนั้นมีอาคารใหม่ๆ แสนสวยงามผุดขึ้นมามากมาย

"นี่ผมไม่ได้มาแค่สองปี ฝั่งนู้นตึกใหม่เพียบเลยคุณ...ดูตึกนั้นสิ หน้าตายังกับตึก IFC ของฮ่องกง"

เจหมายถึงอาคาร International Finance Centre ซึ่งเป็นอาคารสูงอันดับสองของฮ่องกงรองจากอาคาร ICC ซึ่งเป็นที่ตั้งของออฟฟิศของฆาเบียร์ มันคือตึกแท่งสูงริมอ่าววิคตอเรียฝั่งฮ่องกงซึ่งปรากฎให้เห็นบ่อยครั้งในภาพยนตร์ที่ใช้ฮ่องกงเป็นฉาก



"เจ ลงมาตรงนี้สิจะได้ถ่ายรูปชัดๆ"

ฆาเบียร์ซึ่งยืนอยู่ชิดกระจกใสซึ่งกรุเป็นผนังล้อมรอบห้องชมวิวนั้นเรียกเจซึ่งยืนถ่ายรูปอยู่ จุดที่ฆาเบียร์ยืนอยู่ต้องเดินลงบันไดเตี้ยๆ ไปอีกสองขั้น พื้นของส่วนที่เขายืนอยู่นั้นบางส่วนเป็นคานโลหะสลับกับแผ่นกระจกใสแจ๋วที่ทำให้มองเห็นพื้นด้านล่างซึ่งอยู่ต่ำลงไปสองร้อยกว่าเมตร เจก้าวลงบันไดไปแล้วก็หยุดอยู่ตรงคานเหล็ก เขากลับมาหน้าซีดอีกครั้งและทำท่าจะทรุดลงนั่งแปะลงบนบันได ฆาเบียร์รีบสาวเท้าเข้ามาประคองตัวเจไว้ เขาขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น

"นี่เป็นขนาดนี้เลยเหรอ?"

เจพยักหน้า เขาเกาะไหล่ฆาเบียร์และกลั้นใจเดินไปตามแนวคานเหล็กโดยไม่ก้มลงมองพื้นเบื้องล่าง ท้องไส้เขาปั่นป่วนไปหมดแม้มันจะเป็นเพียงระยะสั้นๆ เขาระบายลมหายใจยาวออกมาเมื่อมายืนบนแนวพื้นทึบริมผนังกระจก

"เจ นายกลัวความสูงขนาดนี้ ทำไมตอนไปเดินเล่นที่ Sky 100 กับตอนอยู่ที่ห้องโรงแรมของฉันแล้วถึงไม่เป็นอะไร? ตอนนี้ก็เหมือนกัน ทำไมนายไม่ได้ดูกลัวเหมือนเมื่อกี้แล้วล่ะ?"

ฆาเบียร์ถามอย่างสงสัย อาคาร ICC ที่เขาพักอยู่นั้นสูงกว่าหอคอยมาเก๊าเสียอีก โดย Sky 100 ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่บนชั้น 100 สูง 393 เมตรและห้องของเขาบนชั้น 109 นั้นสูงขึ้นไปกว่านั้นอีก แต่ดูเหมือนว่าเมื่ออยู่ริมผนังกระจก เจก็สามารถมองดูวิวเบื้องล่างได้เหมือนปกติ เจครุ่นคิดก่อนจะตอบออกมา

"ผมจะมีอาการแบบนี้ตอนเห็นพื้นที่อยู่ข้างล่างครับ แต่ถ้าเป็นที่สูงแบบที่มองเห็นลิบๆ ไกลๆ หรือว่ามีราวกั้นสูงเท่าเอว หรือมีที่ให้พิงให้เกาะจนรู้สึกปลอดภัยผมก็โอเค แต่ถ้าเป็นพื้นกระจกโล่งๆ หรือเดินบนสะพานที่ไม่มีราวกั้น หรือไต่บันไดลิงอะไรแบบนี้ก็จะออกอาการทันที"



อาการของเจนั้นคล้ายกับฆาเบียร์ตอนมีอาการแพนิคคือมือเท้าเย็น เหงื่อออก หัวใจเต้นเร็วและหายใจติดขัด ตอนชมวิวที่ Sky 100 กับที่ห้องของฆาเบียร์ เจพยายามมองทอดตาไปไกลๆ และไม่มองลงไปเบื้องล่างตรงๆ จึงไม่เกิดอาการเหล่านี้

"ผมว่าอาการของผมน่าจะเป็นการกลัวการตกจากที่สูงมากกว่ากลัวความสูงเฉยๆ นะ"

เจบอกว่าเขาเคยมีอาการแม้เป็นการเดินบนสะพานไม้ไร้ราวกั้นสูงแค่ไม่ถึงสองเมตรก็ตาม

"...ผมหมายถึงสะพานอย่างไอ้เจ้าสะพานเทียบเรือที่อินเตอร์คอนสมุยน่ะ ไอ้แบบนั้นเลยที่ผมกลัว แต่ในวันนั้นมันมีเรื่องอื่นผมก็เลยลืมความกลัวไปหมด..."

เจหน้าแดง เขานึกถึงตอนตัวเองวิ่งทั้งน้ำตาไปบนสะพานนั้น เขาก้มหน้างุดด้วยความเขินอายเมื่อนึกต่อไปถึงตอนที่ตัวเองตะโกนบอกรักคนตัวโตคนนี้ ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม จิตเขาประหวัดถึงจุมพิตอันแสนดื่มด่ำที่เขาป้อนให้เจเป็นครั้งแรกในฐานะของคนรัก



"เจจ๋า..."

ฆาเบียร์เรียกคนรักด้วยเสียงอ่อนหวาน

"May I kiss you, mi vida?"

เขากวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็เห็นมีผู้เฒ่าสองสามคนเดินดูวิวอยู่แถวนั้นจึงต้องขออนุญาตคนตัวเล็กของเขาก่อน เจพยักหน้าตอบรับเบาๆ ฆาเบียร์ขยับตัวให้บังร่างของเจไว้ไม่ให้คนที่ยืนด้านหลังเห็นยามเขาก้มลงสัมผัสริมฝีปากของคนรัก เจจูบเมียตัวโตของเขาตอบอย่างอ่อนโยน

"อ้ายฮักเจนะ และจะรักตลอดไป"

ฆาเบียร์บอกรักในทั้งภาษาแม่ของเจและภาษาอังกฤษ

"ํYo te amo tambien, mi corazon."

เจก็บอกรักดวงใจของเขาเป็นด้วยภาษาแม่ของอีกฝ่าย เขาจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากบางเฉียบของฝ่ายก่อนที่จะซุกหน้าลงกับอกกว้างนั้น ฆาเบียร์หอมผมดำขลับของคนรักและกอดกระชับไว้ในอกอีกครู่หนึ่งก่อนที่จะจูงมือพาเจเดินชมวิวรอบชั้นชมวิวนั้นอีกรอบ คราวนี้พวกเขาเดินเลาะริมผนังกระจก ฆาเบียร์เดินบนพื้นใส ส่วนเจเดินบนส่วนที่เป็นพื้นทึบ เขารู้สึกกลัวน้อยลงมากเมื่อมีมือใหญ่ของคนรักเกาะกุมมือเขา พวกเขาใช้เวลาชี้ชวนกันดูสถานที่ต่างๆ ในเมืองอีกพักใหญ่ก่อนที่จะกลับลงสู่ชั้นล่างของหอคอยเพื่อเดินทางไปที่อื่นต่อ


]
(ftp://www.picz.in.th/images/2018/01/29/macautower-L.jpg[/img)



--------------------------------------


เพื่อความสมจริง ข้าม Mandarin House ไปก่อน ไว้จะพากลับมาวันอื่นนะคะ

ข้อมูลของหอคอยมาเก๊าค่ะ สำหรับคนที่สนใจบันจี้จัมพ์และอื่นๆ ในนั้นมีรายละเอียดครบค่ะ สนนราคาสำหรับบันจี้จัมพ์ก็ประมาณ 4,000 เหรียญฮ่องกง รวมใบประกาศฯ บัตรสมาชิก เสื้อยืดและอื่นๆ มีแพ็คเกจแบบรวมวีดีโอและภาพถ่ายตอนกระโดดให้ด้วย ส่วน Sky Jump น่าจะประมาณ 3,000 เหรียญ และ Sky Walk นี่ก็ประมาณ 800 เหรียญ ค่ะ https://www.macautower.com.mo/

ตอนไปเที่ยวคนเขียนก็ซื้อตั๋วขึ้นหอคอยมาเก๊าไปก่อนเพื่อที่จะไม่ต้องไปเข้าคิวซื้อตั๋วค่ะ ใช้บริการเอเจนซี่เจ้านี้ แต่ก็ลองเทียบราคากับทางเพจขอหอคอยมาเก๊าก่อนด้วยนะคะ https://goo.gl/HpmhEg


ส่วนวัดอาม่าก็ตามที่เขียนไปค่ะ สำหรับคนที่ชอบไปไหว้พระขอพร วัดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งที่ๆ คุ้มต่อการไปแวะชม ต้องบอกก่อนว่าวัดอาม่าเป็นคนละที่กับ A-Ma Cultural Village ที่มีรูปปั้นอาม่าสูงที่สุดในโลกอยู่นะคะ ที่หลังนี่อยู่บนเกาะโคโลอาน เป็นของสร้างใหม่แต่ใหญ่อลังการมากค่ะ

เพจนี้ให้ข้อมูลวัดอาม่าค่อนข้างละเอียดเลยค่ะ https://goo.gl/UqAAbe

วัดอาม่าและที่เที่ยวแถวนั้นค่ะ https://goo.gl/FR8eqe


สำหรับคนไทยหลายๆ คนแล้ว การไปมาเก๊าคือเพื่อไปไหว้พระขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ค่ะ ในมาเก๊ามีวัดให้ไปไหว้ได้หลายวัด ถ้าดังๆ ก็มีวัดอาม่า ศาลกวนอูข้างเซนาโด ศาลนาจาข้างซากโบสถ์เซนต์พอล วัด Kun Iam หรือวัดกวนอิมซึ่งคนไทยชอบไปบูชาปี่เซียะมาเพื่อเสริมโชคลาภ

รีวิวไหว้พระ 9 วัดที่มาเก๊าค่ะ https://goo.gl/MKkCKF





ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ทาร์ตไข่ หมูหันและซังเกรีย ----



"นั่งสาย 26 เหมือนเดิมเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถาม เขาหมุนๆ ดูสายรถที่ป้ายรถเมล์ เจหยิบเอาสมาร์ทโฟนของเขาออกมาแล้วเปิดแอพส่งให้ฆาเบียร์ดู

"ใช่แล้ว คุณดูจากแอพนี่ก็ได้"

แอพที่เจใช้ชื่อ Macau Easy Go หรือชื่อใน play store คือ Macau Bus Guide&Offline Map เขาจิ้มๆ หน้าจอให้ฆาเบียร์ดูฟังก์ชั่นการใช้งานของมัน

"ที่สะดวกคือคุณใส่ต้นทางและปลายทางลงไป หรือสถานที่สำคัญที่อยู่ใกล้แถวนั้นที่สุดในกรณีที่ๆ คุณอยากไปมันไม่มีในฐานข้อมูล มันก็จะแสดงให้เห็นเลยว่ามีรถสายไหนไปบ้าง ป้ายไหนใกล้สุด ต้องนั่งกี่ป้าย ราคาเท่าไหร่ แล้วยังบอกรายละเอียดของรถสายนั้นด้วย เช่นมีกี่ป้าย แล้วป้ายอยู่ตรงไหนบ้าง..."

เจบอกว่าอย่างตอนนี้เขาจะพาฆาบี้ไปหมู่บ้านโคโลอานบนเกาะโคโลอาน เขาก็เลือกฟังก์ชั่น Point-to-Point planner จากนั้นพิมพ์ Macau Tower ลงไปตรงช่อง Enter your origin และพิมพ์ Coloane Village ลงไปที่ Enter your destination จากนั้นกดค้นหา เจเลือก day-time route หรือสายรถตอนกลางวัน

"นี่ไง มันก็ขึ้นมาให้สามตัวเลือก สองอันหลังเป็นแบบต้องไปต่อรถ ฉะนั้นเราก็ไม่ดู อันแรกที่ขึ้นมานี่คือสายตรงซึ่งก็คือสาย 26"



"...อ๊ะ รถมาละ เดี๋ยวผมจะให้คุณดูต่อบนรถแล้วกันนะ"

เจนยุทธลากฆาเบียร์ขึ้นรถ ดีที่มีคนลงที่นี่หลายคนพวกเขาจึงได้นั่ง

"อ่ะ ดูต่อ ทีนี้มันก็จะมีรายละเอียดให้ดู ตรงนี้ บอกว่าเราต้องจ่าย 5 ปาตากาส แล้วต้องนั่งรถไปอีก 24 ป้ายถึงจะกดลงจากนั้นก็ต้องเดินต่ออีกหน่อยเพื่อให้ถึงหมู่บ้านโคโลอาน เอ้า ลองมาดูรายละเอียดของสายนี้กัน"

เจกดเข้าไปดูรายละเอียดของสายรถ แอพนี้บอกละเอียดตั้งแต่ว่ารถวิ่งตั้งแต่หกโมงถึงห้าทุ่มครึ่งและมาทุกๆ 16-25 นาที เจกดเข้าไปให้ดูป้ายทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะได้รู้ว่าป้ายก่อนหน้าที่พวกเขาจะลงคือป้ายไหน จากนั้นเขากดเข้าไปดูแผนที่ออฟไลน์ที่มีให้ในแอพเพื่อให้รู้ว่าป้ายนั้นจะอยู่ตรงไหนและเขาต้องเดินไปไหนต่อ

"สะดวกดีเหมือนกันนะ เจ"

ฆาเบียร์ยิ้มให้เจนยุทธ เจพยักหน้า เขาบอกว่าเขาเพิ่งเคยใช้มันเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ครั้งที่แล้วๆ มาที่เขามาเขาหาข้อมูลโดยเปิดเข้าเว็บของขนส่งมาเก๊า แต่มันไม่ได้บอกละเอียดแถมยังต้องรู้ชื่อป้ายรถถึงจะค้นหาได้ แอพแบบนี้ทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้นเยอะจริงๆ



"ครั้งแรกที่ผมมากับพี่นพนะคุณ ตอนนั้นน่าจะปี 2011 โอย อะไรๆ ก็ยากไปหมด เรื่องใช้เน็ตยังยากเลย ตอนนั้นเรามาเปิดซิมที่มาเก๊า กว่าจะหาร้านขายซิมเจอก็ปาไปครึ่งวัน กว่าจะงมหาวิธีใช้อีกเพราะคุยกับคนที่ร้านไม่รู้เรื่อง แถมยังเปิดดูอะไรได้แค่จากพวกเว็บ เพราะยังไม่มีแอพอะไรให้ใช้สะดวกๆ แบบทุกวันนี้..."

ส่วนในตอนนี้เจเปิดใช้ซิมโรมมิ่งที่มีแพคเกจอินเตอร์เน็ตให้พร้อมจากค่ายสีเขียว

"...ยิ่งไอ้รอบแรกที่มากับที่บ้านนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ตอนนั้นใช้แต่หนังสือไกด์บุ๊คกับแผนที่ครับ แต่บางทีผมก็คิดถึงการเที่ยวแบบนั้นนะ หลงทางบ้าง ได้ลองอะไรใหม่ๆ บ้าง ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นจริงๆ แต่จะไม่สนุกก็ตอนจะตีกันตายนี่แหละ"

เจหัวเราะคิกเมื่อนึกถึงว่าเขากับพี่อิ่มเถียงกันตลอดทางเรื่องเส้นทางซึ่งก็ผลัดกันพาที่บ้านหลง แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ดีสำหรับทุกคน โดยส่วนตัวเขาคิดว่าเขาจำอะไรแบบนั้นได้มากกว่าในตอนนี้ สมัยนี้ซึ่งหาข้อมูลทุกอย่างได้จากอินเตอร์เน็ต มันกลับทำให้ความตื่นเต้นในการเที่ยวของเขาลดลง บางทีอาจเป็นเพราะเขาเห็นและรู้ทุกอย่างมาจากในเน็ตแล้ว มันทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของเขาน้อยลงและบางครั้งก็แวะดูแค่ผ่านๆ เพียงแค่เพื่อถ่ายรูปให้รู้ว่ามาถึงแล้ว แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดในส่วนนี้ให้คนรักซึ่งเป็นคนพัฒนาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการรีวิวการท่องเที่ยวได้เสียใจ



"นึกๆ ดูมันก็ยังไม่ถึง 10 ปีเลยนะ จากตอนนั้นถึงตอนนี้ แต่เทคโนโลยีนี่เปลี่ยนโลกไปเยอะจริงๆ ผมต้องขอบคุณพวก geek อย่างคุณจริงๆ นะ ฆาบี้"

เจเอียงหัวซบลงบนไหล่คนรักซึ่งอยู่ในวงการคอมพิวเตอร์และไอที เขาหัวเราะคิกคักเมื่อนึกถึงภาพคนตัวโตที่อยู่ในโหมดหนุ่ม geek ที่เขาเคยเห็นจากอัลบั้มรูปของฆาเบียร์ เขาบอกฆาเบียร์ว่าเขาแทบไม่เชื่อเลยว่าหนุ่มแว่นหัวฟูในเสื้อยืดกางเกงยีนส์โทรมๆ คนนั้นจะเป็นคนเดียวกับพ่อหนุ่มสำอางที่มักใส่เสื้อผ้าแฟชั่นจ๋าที่นั่งอยู่ข้างเขาคนนี้ได้

"เฮ้ ตอนนั้นฉันไม่ได้อยู่ในสภาพนั้นตลอดเวลาหรอกนะ เจ ฉันทำตัวแบบนั้นแค่ตอนไปทำงานจะได้กลมกลืนกับคนอื่นหน่อย"

คนตัวโตทำหน้าบูดใส่คนรัก จริงอยู่ที่ในช่วงแรกที่เขาเข้าทำงานด้านระบบของบริษัทเขามักหมกตัวอยู่หน้าคอมและอยู่ในสภาพที่เจว่า แต่ในยามว่าง เขามักใช้เวลาค่ำคืนตามสถานบันเทิงและใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง และในเวลานั้นเขาก็จะแปลงโฉมเป็นหนุ่มทรงเสน่ห์แบบที่เขาเป็นในตอนนี้ ทุกวันนี้แม้เขาจะยังคิดถึงช่วงเวลาที่เขาทำงานและทำตัวตามสบายเต็มที่โดยไม่ต้องมาห่วงภาพลักษณ์ของตัวเอง แต่เขาก็ไม่คิดจะกลับไปเป็นแบบนั้นอีก ในตอนนี้ เขาจะผ่อนคลายได้ใกล้เคียงกับตอนนั้นที่สุดก็คือตอนที่เขาอยู่เชียงใหม่กับเจนยุทธซึ่งเป็นที่พักใจของเขา เขาพูดได้เต็มปากแล้วว่าในเวลานี้เขาหาสมดุลของชีวิตเจอแล้ว แต่มันจะดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ถ้าเขาได้เจมาอยู่เคียงข้างตลอดไป



รถเมล์พาพวกเขาทั้งสองข้ามสะพานไปยังฝั่งไทปาอันเป็นที่ตั้งของเหล่าคาสิโนยักษ์ใหญ่ รถขับผ่านไปยังย่านที่อยู่อาศัย มีคนขึ้นรถมากขึ้นๆ สองหนุ่มสะกิดกันแล้วลุกขึ้นยืนโหนราวแทน ฆาเบียร์ดันเจให้พิงผนังรถในส่วนที่เว้นว่างให้คนยืน เขาใช้ตัวบังคนตัวเล็กไว้ เขายิ้มกริ่มเมื่อก้มหน้าลงไปเห็นใบหน้าของเจแดงซ่าน คนตัวเล็กคงรู้สึกเหมือนโดนเขาจับกดติดผนัง

คนขึ้นรถมากขึ้นทุกทีจนรถแน่นเอี้ยด ฆาเบียร์เขยิบเข้าจนชิดตัวเจ ลมหายใจอุ่นๆ ของเจที่เป่าเข้าที่ซอกคอของเขาทำให้เขาอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้

"เฮ้ย!"

เจอุทานขึ้นมาเบาๆ เป็นภาษาไทย เขาส่งสายตาดุๆ ไปให้คนตัวโตเมื่อรถเบรคแล้วฆาเบียร์เสียหลักเบียดทับตัวเขา ในตอนนั้นเจรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ทิ่มหน้าขาเขา คนตัวโตของเขายักไหล่พร้อมส่งสายตาเหมือนจะบอกว่าเขาห้ามตัวเองไม่ได้ เขาใช้มือข้างที่ว่างจากการโหนโอบเอวคนตัวเล็ก เจนยุทธสะดุ้งเฮือก ฆาเบียร์ไม่โอบเปล่าแต่มือของเขาเลื้อยลงต่ำทุกทีจนแทบจะเกาะกุมก้นเขาอยู่มะรอมมะร่อ เจรีบคว้ามือแสนซุกซนของเมียตัวโตของเขาไว้และดิ้นหนีออกจากอ้อมอกแน่นๆ นั้น



"อย่าซนสิครับเมีย บนรถเมล์ก็ไม่เว้นนะคุณ"

เจว๊ากใส่คนรักเบาๆ ฆาเบียร์หัวเราะร่วน เขาแค่แหย่เจ้าตัวเล็กให้โมโหเล่นเฉยๆ เขาเขยิบไปแทนที่เจและให้เจนยุทธยืนด้านนอกแทน หากเหมือนแกล้ง แทนที่เจจะยืนหันหน้าเข้าหาเขา เจกลับยืนเอาหลังมาแนบอกเขาแทน

"เจ...เจจ๋า นี่นายจงใจแกล้งฉันใช่ไหม?"

คนตัวโตโอดครวญแผ่วๆ ที่ข้างหูของคนตัวเล็ก เขาเกร็งไปทั้งตัวแล้วตอนนี้ ทุกครั้งที่รถเบรคหรือออกตัว บั้นท้ายแน่นๆ ของเจก็จะถูเข้ากับบางส่วนของเขา บางครั้งต่อให้รถขับตามปกติ เขาก็รู้สึกเหมือนเจจงใจดันสะโพกเข้าหาเขา เจนยุทธไม่พูดอะไร เขาทำแค่หันมายิ้มจนตาหยีให้กับเมียตัวโตของเขา เขาถอดเสื้อฮู้ดแขนยาวของเขาส่งให้ฆาเบียร์เมื่อคนเริ่มลงไปมากแล้ว

"เอ้า เอามัดเอวซะคุณ"

ฆาเบียร์รีบคว้าเสื้อมามัดเอวโดยให้แขนเสื้อห้อยลงบังบางส่วนของเขาที่ยังตื่นมาชูคอดี๊ด๊าให้เห็นอย่างชัดเจน

"ผมบอกแล้วนะ ว่าให้เปลี่ยนกางเกงน่ะ"

เจพูดยิ้มๆ หากคนตัวโตของเขาที่หน้าแดงระเรื่อก็ก้มลงกระซิบเบาๆ ที่หูของคนตัวเล็ก

"เจ...เจเองก็เก็บอาการด้วยนะ"

เจนยุทธใจหายวูบ เขาก้มลงสำรวจตัวเองแล้วรีบยืนหันหลังเข้าผนังทันที ถึงมันจะไม่เห็นเด่นชัดทะลุกางเกงเท่าของฆาบี้ แต่กางเกงจ๊อกเกอร์ก็ทำให้อะไรๆ มันเด่นชัดกว่าปกติ



"อ๊ะ ฆาบี้ๆ หอไอเฟล!"

เจที่ยืนหันหน้าไปทางหน้าต่างรถอุทานอย่างตื่นเต้น เขามัวแต่แกล้งคนตัวโตจนลืมสังเกตว่ารถพาพวกเขามาถึง Cotai Strip หรือถนนเส้นหลักของย่านคาสิโนใหม่บนฝั่งไทปา แผ่นดินส่วนนี้เกิดจากการถมทะเลครั้งใหญ่ซึ่งเชื่อมเกาะไทปาและเกาะโคโลอานเข้าด้วยกัน โรงแรมและคาสิโนคอมเพล็กซ์แห่งแรกที่เปิดบนโคไต สตริปแห่งนี้คือ The Venetian ซึ่งบริหารโดยกลุ่มแซนด์สจากลาส เวกัส

ฆาเบียร์ผู้อยู่ในวงการธุรกิจเล่าให้เจฟังว่าชื่อ Cotai Strip นั้นตั้งขึ้นเพื่อให้คล้ายคลึงกับถนนสายคาสิโนของลาสเวกัสอย่าง Las Vegas Strip นั่นเอง และโครงการมูลค่าสูงเสียดฟ้านี้ก็ตั้งใจให้ถนนเส้นนี้ออกมาคล้ายกับถนนอันโด่งดังเส้นนั้นอีกด้วย ปัจจุบัน บน Cotai Strip มีคาสิโนและ Entertainment Complex ขนาดยักษ์กว่า 10 แห่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมชื่อดังอีกกว่า 20 โรง กว่าครึ่งมีบริษัทของคนในครอบครัวของ Stanley Ho เป็นเจ้าของ ส่วนที่เหลือเป็นของบริษัทคาสิโนดังจากสหรัฐฯ อย่าง Sands MGM และ Wynn



"ไม่ได้มาแค่สองปี โรงแรมใหม่ๆ เปิดเพียบจริงๆ คุณ"

เจมองโรงแรมและคอมเพล็กซ์เปิดใหม่อย่าง The Parisian ซึ่งมีหอไอเฟลขนาดครึ่งหนึ่งของหอจริงตั้งอยู่ด้านหน้า คราวที่แล้วที่เขามาหอแห่งนี้ยังขึ้นแค่โครงของส่วนขาอยู่เลย เจตะลึงมองดูโรงแรมขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้าง The Parisian ตึกที่ดูเหมือนกำแพงขนาดใหญ่น้้นเจาะทะลุเป็นช่องรูปเลข 8 ขนาดยักษ์

"Studio City น่ะ เจ"

ฆาเบียร์เล่าต่อว่ามันคือ Entertainment Complex ซึ่งมีทั้งโรงแรม สวนสนุกและห้างสรรพสินค้าในธีมภาพยนตร์ เครื่องเล่นเด่นของที่นี่คือเครื่องเล่นซิมูเลเตอร์ประกอบภาพยนตร์อย่าง Batman Dark Flight และชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ที่สูงถึง 130 เมตร

"ไอ้เลข 8 นั่นคือชิงช้าสวรรค์เหรอคุณ?"

เจถามอย่างตื่นเต้น

"ใช่แล้วเจ อยากนั่งเหรอ?"

เจพยักหน้าระรัว

"แล้วเจไม่กลัวเหรอ? มันใสนะ"

เจนยุทธชะงักกึก เขาลืมนึกถึงความกลัวของตัวเองไปเสีียสนิท เขากัดริมฝีปากครุ่นคิดพักหนึ่งก็ตอบออกมาเสียงอ่อยๆ

"ถ้ามีที่นั่งให้ผมได้นั่งนิ่งๆ ผมก็จะยอมขึ้นเลย"

"ได้ ถ้าเจอยากนั่งฉันก็จะพามาวันที่เราย้ายมานอนฝั่งนี้แล้วกันนะ"

คนตัวโตหลุดปากบอกแพลนของเขาออกมานิดหน่อย เจเลิกคิ้วแล้วถามว่าฆาเบียร์จะพาเขาไปนอนที่ไหน แต่คนตัวโตมองเมินและไม่ตอบอะไรเพิ่มอีก

"ชิ งก บอกนิดบอกหน่อยก็ไม่ได้"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ พร้อมยกมือขึ้นหยิกแก้มป่องๆ ของพ่อแสนงอนที่ทำท่างอนเขาอีกแล้ว



"เจ ที่นั่งว่างแล้ว นั่งกันไหม"

ฆาเบียร์ดึงคนตัวเล็กของเขาลงนั่งข้างหน้าต่างแล้วนั่งลงเคียงข้าง พวกเขายืนมาพักใหญ่จนเริ่มเมื่อยแล้วเช่นกัน จากหอคอยมาเก๊ามาจนถึงหมู่บ้านโคโลอานใช้เวลาประมาณกว่าครึ่งชั่วโมง ยิ่งในช่วงเย็นซึ่งเป็นชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้พวกเขาใช้เวลาเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว พอข้ามเข้าเกาะโคโลอาน บริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยสลับกับดงต้นไม้ที่ดูร่มรื่น

"คุณๆ ลงป้ายนี้นี่แหละ Municipal Market of Coloane...ตลาดเทศบาลโคโลอาน"

เจสะกิดคนรักตัวโตที่ทำตาปรือซบอยู่บนไหล่เขา เจกดกริ่งหยุดรถ และลากคนตัวโตไปยืนรอที่ทางลงรถ

"โอย กว่าจะถึง"

เจบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยขบ ที่เมื่อยนี่เพราะช่วงท้ายๆ ของการเดินทางพ่อเจ้าประคุณของเขาเล่นมานั่งอิงซบไหล่เขาหลับ แล้วหัวพี่แกเบาๆ เสียที่ไหน

"จะพาฉันไปไหนต่อล่ะ เจ?"

"ผมจะพาคุณไปซื้อปลาเค็ม"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ เขาพาฆาเบียร์ออกเดินผ่านวงเวียนขนาดใหญ่ที่มีสวนตรงกลางและมุ่งหน้าไปยังถนนริมทะเล

"ปลาเค็ม? ในเมืองมีขายเยอะแยะนี่ เจทำไมต้องมาซื้อแถวนี้ด้วย?"

มาเก๊านั้นมีชื่อเสียงด้านปลากุเลาเค็มอย่างดี มันเป็นหนึ่งในของฝากยอดนิยมและมีขายกระทั่งในร้านขนมอย่าง Koi Kei เจบอกว่ามันเป็นอย่างหนึ่งที่แม่เขาฝากซื้อทุกครั้งที่เขามามาเก๊า เขามักซื้อให้แม่สองตัว ตัวแรกแม่จะห่อกระดาษและเก็บใส่ตู้เย็นไว้ แม่เขาจะใช้มันให้หมดในเวลาไม่นาน ส่วนตัวที่สองฟองนวลจะตัดปลาเค็มตัวยาวเท่าศอกนั้นหั่นเป็นชิ้นๆ และแช่ในโหลใส่น้ำมัน วิธีนี้ทำให้แม่เขาเก็บมันไว้ใช้ได้นาน หากรสชาติและเนื้อสัมผัสจะสู้ตัวที่เก็บแบบแรกไม่ได้ ส่วนตัวเขานั้นถ้าอยากกินก็จะไปขอแบ่งมาจากแม่เท่าที่ต้องการ



"หยุดๆๆๆ แวะนี่แป๊บนึงนะ"

เจเบรคเอีี๊ยดเมื่อได้กลิ่นหอมๆ ลอยมาเตะจมูก เขาพยายามทำใจแข็งไม่ให้แวะร้านนี้แล้วแต่ก็อดใจไม่ไหว

"ผมรู้ว่าเดี๋ยวเราก็จะกินข้าวกันแล้ว แต่ผมขอทาร์ตไข่ซักชิ้นก่อนได้ไหมอ่ะ?"

เจทำตาละห้อยจ้องหน้าร้าน Lord Stow's Bakery สาขาดั้งเดิม ร้านเล็กๆ ตรงข้ามวงเวียนในหมูบ้านโคโลอานแห่งนี้คือต้นกำเนิดของตำนานทาร์ตไข่มาเก๊า ร้านแห่งนี้เปิดขึ้นในปี 1989 โดยอดีตเภสัชกรชาวอังกฤษชื่อแอนดรูว์ สโตว์ เขาตัดสินใจเปิดร้านขนมฝรั่งขึ้นในชุมชนที่ไม่คุ้นชินกับการกินขนมปังนัก ช่วงปี 1980 แอนดรูว์เดินทางไปโปรตุเกสและได้ลิ้มรสขนมโปรตุเกสชื่อ Pasteis de nata หรือทาร์ตไข่แบบโปรตุเกส เขาตัดสินใจนำมันมาเป็นขนมชูโรงของร้าน เขาทดลองและปรับปรุงสูตรจนกลายมาเป็นทาร์ตไข่สไตล์มาเก๊าที่รู้จักกันทั่วเอเชียทุกวันนี้



"ทุกวันนี้ร้านนี้ขยายสาขาไปอีกหลายร้านเลยนะ เฉพาะในโคโลอานนี้ก็มีซัก 4 สาขามั้ง สองสาขามีไว้ซื้อกับบ้าน ส่วนอีกสองสาขาที่อยู่แถวๆ วงเวียนนั้นเป็นร้านนั่งกิน ผมเคยอ่านเจอนะว่ามีร้านนึงเสิร์ฟอาหารไทยด้วยนะ เชฟเป็นคนไทยมาจากเมืองไทย น่าจะร้านที่ชื่อ Garden Cafe มั้ง..."

เจพูดพลางกัดทาร์ตไข่ร้อนๆ ในมือไปพลาง คนตัวเล็กบอกว่าจะขอกินสักชิ้น แต่สุดท้ายเขาก็ซื้อแบบกล่อง 6 ชิ้นมาจนได้ พวกเขานั่งลงที่เก้าอี้ยาวหน้าร้านและลิ้มรสทาร์ตไข่ต้นตำรับของมาเก๊า

"สำหรับผมนะ ฆาบี้ กินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่ากับมานั่งกินบนม้านั่งตัวนี้ ยิ่งอากาศเย็นๆ แบบนี้ด้วยนะ นั่งกินทาร์ตไข่ร้อนๆ ในสายลมเย็นๆ ชิลดูวิวสวน ดูทะเลที่อยู่ลิบๆ ดูคน...เพอร์เฟ็คท์"

ฆาเบียร์นึกภาพตาม เจของเขาช่างมีวิธีหาความสุขให้ตัวเองอย่างเรียบง่ายจริงๆ เขากัดทาร์ตไข่คำหนึ่งและก็ต้องยิ้มออกมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้กินขนมขึ้นชื่อของมาเก๊าชนิดนี้ แต่นี่เป็นครั้งที่เขารู้สึกว่ามันอร่อยที่สุดจริงๆทาร์ตนั้นยังอุ่นเพราะเพิ่งออกจากเตา ตัวแป้งทาร์ตชั้นบางๆ รวมกันเป็นฐานที่กรอบแต่ไม่แข็ง มันเหมือนแป้งพายหรือครัวซองต์ชั้นดีมากกว่า ไส้คัสตาร์ตที่หน้าเกรียมน้อยๆ หากข้างในนิ่ม ชุ่มฉ่ำและหอมไข่แดงทำให้เขาอยากกินมันเพิ่ม ฆาเบียร์หันไปมองคนตัวเล็กที่ฮัมเพลงออกมาอย่างมีความสุข เจ้าตัวดีกินเลอะเทอะจนคัสตาร์ดติดปากอีกแล้ว แต่ฆาบี้ก็ไม่กล้าทำอะไรตะกรุมตะกรามให้คนตัวเล็กได้โมโหอีก เขาใช้นิ้วป้ายเศษคัสตาร์ดที่ข้างปากของเจเบาๆ คนตัวเล็กสะท้านกายน้อยๆ สัมผัสอันนุ่มนวลนั้นทำให้เขาใจสั่นได้เสมอ



"เจจ๋า..."

ฆาเบียร์กระซิบเบาๆ ที่หูของคนรัก เจตอบรับเสียงแผ่วเบา

"...ขอฉันอีกชิ้นได้ไหม?"

ฆาเบียร์ยิ้มอายๆ ให้คนตัวเล็กของเขา เจหัวเราะออกมา ตอนแรกพวกเขาตกลงแบ่งกัน 4:2 คือเขากินสี่ชิ้น และฆาเบียร์กินสอง แต่ดูท่าทางคนตัวโตของเขาจะหยุดไม่อยู่เสียแล้ว เจหยิบทาร์ตชิ้นสุดท้ายที่กะกินเองออกมาป้อนให้คนรักซึ่งอ้าปากรับทันที

"คุณเคยกินทาร์ตไข่แบบโปรตุเกสแท้ๆ ไหม ฆาบี้?"

"หือ? เคยสิ ฉันเคยกินที่ลิสบอนทั้งจากร้าน Casa Pasteis de Belem ซึ่งเป็นร้านแรกที่ทำ pasteis de nata ออกมา กับจากร้าน Mantegaria ที่ว่ากันว่าอร่อยที่สุดในลิสบอน...ฉันชอบทั้งคู่นะ"

ฆาเบียร์เล่าให้เจฟังว่าคนโปรตุเกสเรียกทาร์ตไข่ว่าทาร์ตครีม มันทำขึ้นครั้งแรกโดยนักบวชในอารามเจโรนิโมในย่าน Belem ช่วงศตวรรษที่ 18 เพื่อกำจัดไข่แดงที่เหลือจากการนำไข่ขาวไปใช้ในการลงแป้งผ้า ในช่วงปี 1820 เกิดการปฏิวัติเสรีนิยมและเหล่าอารามและคอนแวนต์ทั้งหมดถูกปิด เหล่านักบวชก็เริ่มขายขนมชนิดนี้ที่โรงน้ำตาลที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อหาเงิน ในตอนหลังเจ้าของโรงน้ำตาลซื้อสูตรนี้จากนักบวช และในปี 1837 เขาก็ได้เปิดร้านเพื่อขายขนมชนิดนี้โดยใช้ชื่อว่าขนม Pasteis de Belem มันได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและกลายเป็นขนมขึ้นชื่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา



"ผมอยากกินมั่งจัง..."

เจบ่นเบาๆ ฆาเบียร์ลูบหัวคนตัวเล็กของเขาแล้วบอกว่าสักวันเขาจะพาเจไปลิสบอนเพื่อกินขนมชนิดนี้

"แล้วมันต่างกับของมาเก๊าตรงไหนล่ะ ฆาบี้?"

"อืมม์ ของที่โปรตุเกสไส้จะเหลวกว่านะ ของที่มาเก๊าคุณแอนดรูว์ สโตว์ทำทาร์ตไข่โดยผสมความเป็นอังกฤษลงไปและทำไส้ให้เหมือนไส้พายคัสตาร์ดของอังกฤษซึ่งจะเนื้อหนักกว่าและไม่เหลวมากนัก..."

เจนึกถึงไส้คัสตาร์ดที่เขาเพิ่งกินใปเมื่อครู่ ต่อให้มันนิ่ม แต่เนื้อมันจะออกคล้ายไข่ตุ๋นญี่ปุ่น อาจจะเหลวกว่านิดหน่อยแต่ไม่ได้ออกครีมหนักเหมือนที่ฆาเบียร์บอก

"...ของที่โปรตุเกส ตอนฉันกินเขาโรยซินนามอนที่หน้าทาร์ตด้วยนะ แบบรสช็อคโกแลตก็มี ไม่ได้มีแค่รสไข่แดง"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจขมวดคิ้ว เขานึกรสชาติซินนามอนบนทาร์ตไข่ไม่ออกเลย

"แล้วเจรู้ใช่ไหมว่าจีนก็มีทาร์ตไข่เหมือนกัน"

เจตอบว่าเขาเคยกินในร้านติ่มซำและไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทาร์ตไข่แบบจีนนั้น แป้งทาร์ตเป็นแป้งหนักๆ เหมือนทาร์ตทั่วไป ส่วนไส้นั้นไม่ได้นุ่มนิ่มชุ่มฉ่ำเหมือนทาร์ตไข่แบบมาเก๊า ออกจะแข็งเสียต้วยซ้ำ เขาไม่ชอบเลย

"นั่นก็คงได้รับอิทธิพลจากขนมฝรั่งมาเช่นกันนะ แต่ก็จริงอย่างที่เจว่า ฉันเองก็ไม่ชอบมันเท่าไหร่"



"เห้อ หมดแล้วเฉยเลย"

เจมองกล่องกระดาษที่ว่างเปล่าลงอย่างรวดเร็ว

"ทาร์ตไข่ร้านนี้อร่อยก็จริงแต่ผมว่ามันยังมีกลิ่นมาการีนหนักไปหน่อย แต่ก็ถือว่าสมกับราคา ที่ผมชอบที่สุดคือของร้าน Ka-Nom ที่ไทยซึ่งจะหอมเนยกว่า แต่อย่างว่า มันแพงกว่ากันเยอะ..."

ในตอนที่ยังมีร้าน Ka-Nom ในเชียงใหม่เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ทาร์ตไข่ของร้านนั้นราคา 45 บาทต่อชิ้น ในขณะที่ของร้าน Lord Stow's ในขณะนั้นราคาเพียง 8 ปาตากาสหรือประมาณ 32 บาท ปัจจุบันเจบอกว่าเขาไม่ได้ตามแล้วว่าร้าน Ka-Nom นั้นราคาเท่าไหร่และยังอร่อยเหมือนเดิมไหม แต่ทาร์ตไข่ของลอร์ดสโตว์ขึ้นราคาเป็น 9 ปาตากาสหรือ 36 บาทกว่าๆ ซึ่งก็ยังถูกอยู่ดี แถมถ้าซื้อเป็นกล่อง 6 ชิ้นก็ยังได้ลดอีก เว้นแต่จะซื้อในสาขาเวเนเชียนซึ่งราคา 10 ปาตากาสทุกชิ้นโดยไม่มีส่วนลด ฉะนั้นต่อให้มีกลิ่นมาการีนแรงเจก็ยอม

เจจับมือคนรักเดินออกจากร้านลอร์ดสโตว์เบเกอรี่ ตอนนี้ห้าโมงกว่าแล้ว แต่เจยังอยากจะแวะไปดูร้านขายปลาเค็มเจ้าประจำของเขาอีกสักหน่อย เขาพาฆาเบียร์เดินไปตามทางเท้ามุ่งหน้าไปยังริมทะเลซึ่งอยู่ไม่ไกล จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านอาคารพาณิชย์และบ้านคนหลังเตี้ยๆ เลียบริมทะเลไปอีกประมาณเกือบ 200 เมตร ฆาเบียร์เริ่มเห็นร้านค้าที่มีอาหารทะเลแห้งขายอยู่ เจหยุดดูที่ร้านหนึ่ง เขามีทีท่าสนใจกังป๋วยหรือหอยเชลล์แห้งที่วางขายอยู่ แต่เขาก็ยังไม่ซื้อและเดินต่อไปยังร้านประจำที่เขาซื้อทุกที



"อ้าว เห้ย ปิดซะงั้น"

เจร้องขึ้นมาด้วยความเซ็งเมื่อร้านประจำที่เขามาซื้อทุกครั้งนั้นปิดประตูหน้าเสียเรียบร้อย มันตั้งอยู่ข้าง Ponte Cais de Coloane หรือสะพานเทียบเรือของเกาะโคโลอาน เจเกาหัวด้วยความหงุดหงิด

"งั้นไปซื้อร้านอื่นก็ได้นี่ เจ ร้านที่เจไปถามราคากังป๋วยเมื่อกี้ก็ได้นี่"

"ผมเคยดูๆ ราคาแล้ว รู้สึกว่าร้านข้างสะพานปลาน่ะถูกกว่า อีกอย่างผมก็มาซื้อบ่อย ป้าคนขายก็คุ้นๆ หน้ากันแล้ว บางทีก็ได้ลด..."

"...เอางี้ ตารางคุณพอจะมีว่างสักวันไหม? ผมว่าจะกลับมาซื้อเอาวันก่อนกลับ จะได้ไม่ต้องไปเหม็นในโรงแรมอีกหลายวัน"

คนตัวโตพยักหน้าและบอกว่าเดี๋ยวพวกเขาค่อยมาอีกรอบก็ได้ ตารางของเขานั้นปรับเปลี่ยนได้อยู่แล้ว

"ดีเลย งั้นรอเมลิน่ากับริคกี้ด้วย จะได้มาเดินเที่ยวกันที่นี่ เย็นนี้ผมว่าเราน่าจะเลทไปหน่อยแล้ว เดินไม่ทัน"

"ตามนั้นเลยก็ได้ เจ งั้นเดี๋ยวเราไปไหนต่อ กลับโรงแรมเหรอ?"

เจส่ายหัว

"จะกลับได้ไงคุณ ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ผมหิวแล้วเนี่ย"

ฆาเบียร์ได้แต่กรอกตา ทาร์ตไข่สามชิ้นคงเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยสำหรับเจนยุทธ



] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/02/02/coloane-L.jpg[/img)




"เดี๋ยวเราต้องขึ้นรถสาย 26A นะคุณ นั่งสุดสาย"

เจเข้าไปดูตารางรถที่ติดในซุ้มนั่งรอที่ป้ายรถเมล์ เขาเปิดดูในแอพแล้วงง เพราะมันบอกว่าป้ายที่ต้องขึ้นคือ Coloane Residents' Association แต่เขาดูแผนที่แล้วมันคือที่เดียวกับป้ายที่เขาลงในตอนขามา เขาเลยเข้าไปดูเพื่อให้แน่ใจ สรุปว่ามันคือป้ายเดียวกัน พวกเขานั่งรอไม่ถึง 10 นาทีรถก็มา ตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว ฟ้ากำลังเริ่มมืด เจเริ่มกังวลว่าพวกเขาอาจไปถึงร้านช้าไป พวกเขานั่งรถเมล์ไปยัง Praia de Hac Sa หรือชายหาด Hac Sa ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเกาะโคโลอาน หาดแห่งนี้เป็นหาดธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของมาเก๊า

"ลงตรงนี้แหละ ฆาบี้"

เจนยุทธเดินนำคนรักลงที่ป้ายรถเมล์ที่เรียงรายกันอยู่สองสามป้าย ท้องฟ้ามืดเกือบสนิทแล้ว เจพ่นลมหายใจออกจากปากเบาๆ อย่างขัดใจ เขาบ่นตัวเองที่มัวแต่เสียเวลานี่นั่นจนไม่ทันพาฆาเบียร์มาเดินเล่นริมหาด

"ไม่เป็นไรหรอกเจ หาดนี้มันไม่ได้สวยอะไรอยู่แล้ว"

คนตัวโตหัวเราะคนที่มาจากประเทศที่มีหาดทรายสวยติดอันดับโลกแต่ดันจะพาเขามาดูหาดที่ไม่ค่อยสวยนักที่มาเก๊า

"อ้าว ก็ในหนังสือบอกว่ามันเป็นหาดทรายดำอ่ะ ผมก็อยากพาคุณมาดู"

เจลากแขนคนรักให้เดินจากป้ายรถไปชะโงกดูชายหาดที่ห่างออกไปไม่ไกล ถึงปากเขาบอกแบบนั้น แต่ใจเขาก็ยังคงสงสัย เขามาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ไม่เห็นว่าทรายที่นั่นมันจะดำตรงไหน มันก็สีออกเหลืองๆ เหมือนทรายบนหาดหลายๆ ที่ของไทย สุดท้ายเจก็หยิบมือถือออกมาเขี่ยๆ หาข้อมูลดู



"ห่านเอ๊ย!"

ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม คำไทยที่คุ้นหูนี้โผล่มาทีไร แสดงว่าเจ้าตัวกำลังเซ็งกับอะไรบางอย่าง

"โอ๊ย บ้าบอมาก คุณรู้ไหม ทรายเหลืองๆ ที่เราเห็นในตอนนี้ไม่ใช่ทรายดำที่โด่งดังของหาดนี้นะ มันเป็นทรายที่ทางการเอามาถมเพราะว่าหาดนี้มันถูกกัดเซาะไปมาก เลยเอาทรายเหลืองมาถมเติม ส่วนทรายดำน่ะอยู่ใต้น้ำ แล้วก็จะถูกคลื่นซัดขึ้นมาบ้างทำให้หาดมันดูกระดำกระด่าง..."

"...งั้น ถ้าอยากดูทรายดำ ผมว่าเราก็ต้องมาช่วงที่น้ำลง น่าจะเห็นชัดกว่าตอนนี้"

เจถอนหายใจ เขาพลาดอีกแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญที่ทำให้เขามาที่หาดฮักซาแห่งนี้ไม่ใช่ตัวหาดแต่เป็นอย่างอื่น



(ต่อคอมเมนท์หน้าค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- ทาร์ตไข่ หมูหันและซังเกรีย (ต่อ) ----




"หิวหรือยัง ฆาบี้?"

"ฉันยังไหวนะ เจ แต่ถ้าเจหิวเราเข้าเมืองไปกินข้าวแล้วก็ได้"

เจส่ายหน้า

"ไม่ต้องเข้าเมืองหรอก ฆาเบียร์ ตามผมมาสิ"

เจจับมือคนตัวโตและดึงให้เดินตามเขากลับไปยังลานจอดรถ เขาพาฆาเบียร์เดินลงไปยังซุ้มต้นไม้ทางด้านขวามือที่นำไปสู่อาคารอิฐชั้นเดียวหลังหนึ่ง

"ร้าน Fernando's ครับ เป็นร้านโปรดของผมกับพี่นพเลยนะ และเป็นร้านดังของย่านนี้ หวังว่าจะยังมีโต๊ะนะ"

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้านและสอบถามว่ามีโต๊ะว่างไหม โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดาจึงยังมีโต๊ะว่างสำหรับพวกเขาทั้งคู่ เจถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาบอกฆาเบียร์ว่ามีปีหนึ่งพวกเขามาที่นี่ช่วงเทศกาลและต้องรอโต๊ะถึงเกือบหนึ่งชั่วโมง จะกลับก็เหมือนกับมาเสียเที่ยวก็ต้องแขวนท้องรอไป



พนักงานพาพวกเขาเดินเข้าไปในส่วนหลังของร้านและให้นั่งลงที่โต๊ะซึ่งปูผ้าลายตารางสีแดงขาว ผนังอิฐและการตกแต่งร้านทำให้บรรยากาศในนั้นเหมือนอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ ในยุโรปไม่มีผิด อีกอย่างที่เหมือนก็คือร้านนี้ไม่มีติดเครื่องปรับอากาศ เจบอกฆาเบียร์ว่าเขาเคยมาที่นี่ช่วงหน้าร้อนและแทบจะร้อนตาย ฉะนั้นจึงเป็นการดีที่จะมาที่นี่ตอนฤดูหนาวแบบนี้

ฆาเบียร์เปิดดูเมนู เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่เป็นอาหารแบบไหน

"อ๋อ ร้านอาหารโปรตุเกสเหรอ?"

"อ้าว เออ ผมลืมบอกไป แหะๆๆ ขอโทษด้วยครับ"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ

"งั้น เอาซังเกรียมาก่อนเลยเจ ฉันชักเปรี้ยวปากแล้วสิ"

ฆาเบียร์พูดขึ้นเมื่อเห็นสาวโต๊ะข้างๆ ยกซังเกรียเหยือกใหญ่ขึ้นเท ต่อให้มันเป็นเครื่องดื่มของสเปน แต่คนโปรตุเกสเองก็ดื่มมันเช่นกัน เจยกมือเรียกบริกรมาสั่งซังเกรีย เขายังสั่งอาหารโดยไม่ต้องดูเมนูอีกสองอย่างคือ pasteis de bacalhau หรือปลาค็อดเค็มและมันฝรั่งปั้นก้อนทอดกับ Leitao assado no forno หรือหมูย่างสไตล์โปรตุเกส



"กินอะไรอีกดี ฆาบี้ ผมอยากกินไปหมดทุกอย่างเลย กุ้งก็อยากกิน หอยก็อยากกิน สเต๊กก็อร่อย ผมเลือกไม่ถูกแล้ว"

"ก็สั่งมันทั้งสองอย่างเลยก็ได้นี่ เจ เขามีแบบจานเล็กด้วยนี่"

เจบ่นอุบอิบว่าจานเล็กซึ่งเขียนบอกว่าคือครึ่งจานใหญ่นั้นถูกกว่าจานใหญ่ไม่ถึงครึ่ง

"ก็ดีกว่าเอามาแล้วเหลือนะ เจ ถ้าเป็นที่เชียงใหม่ฉันไม่ว่าหรอกเพราะเราเอากลับบ้านได้ แต่ที่นี่เราก็ยอมสั่งแพงไปเถอะ"

เจคิดตามแล้วก็ต้องยอมตามที่คนรักว่า

"สเต๊กผมก็ชอบนะคุณ ไอ้เจ้า Drunken Steak เนี่ย ถ้าจำไม่ผิดซอสมันเป็นซอสบรั่นดีไม่ก็วิสกี้นี่แหละ"

ฆาเบียร์ตกลงใจสั่งทันที เขาเรียกบริกรมาแล้วสั่งอาหารเพิ่มซึ่งได้แก่หอยลายมาเก๊าอบ กุ้งผัดซอสพริกกระเทียมและสเต๊กขี้เมา รวมกับที่สั่งไปแล้วเป็น 5 จาน ฆาเบียร์เริ่มชินแล้วกับการที่เจสั่งอาหารทีละเยอะๆ เพราะเขารู้ดีว่ายังไงไอ้เจ้าตัวเล็กที่เหมือนมีหลุมดำในกระเพาะคนนี้ก็กินหมดแน่นอน



พวกเขานั่งรอไม่นานซังเกรียเหยือกใหญ่ก็ถูกวางลงตรงหน้าพร้อมกับขนมปังร้อนๆ ก้อนโต เจฉีกตัดขนมปังแบ่งให้เขา

"อร่อยนี่นา"

ฆาเบียร์อุทานออกมา ขนมปังของร้านนี้รสชาติและเนื้อสัมผัสดีมากๆ เจบอกเขาว่าอย่าพึ่งกินไปเยอะ

"เหลือไว้จุ่มกับน้ำหอยลายด้วยนะคุณ รับรองว่าเด็ด"

เจเทซังเกรียใส่แก้วให้คนรักจากนั้นเทให้ตัวเอง พวกเขายกแก้วขึ้นชนกันเบาๆ

"แด่ความรักของเรา"

เจหน้าแดง เมียตัวโตของเขาพูดอะไรน้ำเน่าออกมาเสียดังอีกแล้ว ฆาเบียร์ยิ้มกริ่มและยกแก้วขึ้นดื่ม

"อืมม์ ใช้ได้นะ ถึงจะอร่อยน้อยกว่าที่ฉันทำเองก็เถอะ..."

เจย่นจมูกใส่คนตัวโตที่ชมตัวเองหน้าตาเฉย เขาจิ้มก้อนปลาค้อดเค็มใส่จานและตัดแบ่งออกมา เป่าให้หายร้อนและส่งเข้าปากคนรักที่อ้าปากรอ

"อืมม์ อร่อยจริงๆ นะ เจ หอมปลาค้อดเค็มมาก ทอดดีด้วย กรอบนอกนุ่มใน เยี่ยมจริงๆ"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เคี้ยวมัน มีเจคอยป้อนแบบนี้ อะไรก็อร่อยไปหมด เจส่ายหัวด้วยความหมั่นไส้ เขาว่ามันไม่ได้อร๊อยอร่อยเว่อร์ขนาดนั้น แต่ก็เป็นของที่เขาสั่งทุกทีเพราะมันเข้ากับซังเกรียดี เขาจิ้มส่งให้พ่อคนขี้เกียจกินเองอีกคำแล้วจึงลงมือกินเองบ้าง



"เฮ้ๆ เหลือให้ฉันบ้างสิ เจ"

ฆาเบียร์ประท้วงขึ้น เผลอแป๊บเดียวเจกินหมดไปสามจากห้าลูกแล้ว เจทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

"อยากกิน ก็จิ้มกินเองสิคุณ ผมไม่ป้อนแล้ว"

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบแล้วจิ้มอีกสองลูกที่เหลือใส่จานตัวเอง เจทำตาปริบๆ นี่สงสัยพี่แกจะชอบจริงๆ ไม่ใช่พูดเอาใจเขา

"ชอบจริงๆ เหรอ ฆาบี้?"

เจนยุทธถามคนตัวโตที่เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ ฆาเบียร์ยกซังเกรียขึ้นดื่มอึกใหญ่และพยักหน้าให้เจ

"อือ ชอบสิ ฉันว่ารสมันเข้ากับซังเกรียมากเลย แต่ถ้ากินเฉยๆ ก็จะติดเค็มไปหน่อย"

เจยิ้ม คนตัวโตพูดเหมือนใจเขาคิด

"งั้นเอาอีกจานไหม?"

ฆาเบียร์ส่ายหน้า ยังเหลืออาหารอีกหลายอย่างที่พวกเขาต้องจัดการ



ไม่นานนักอาหารที่เหลือทยอยมาเสิร์ฟจนครบ

“กินนี่ก่อนเลยคุณ เดี๋ยวหนังจะหายกรอบเสียก่อน”

เจตักหมูหันหนังกรอบสไตล์โปรตุเกสชิ้นหนึ่งให้ฆาเบียร์ ในจานนี้มีหมูหันชิ้นยาวเกือบคืบและกว้างประมาณนิ้วเศษอยู่ 5 ชิ้น หนังสีน้ำตาลทองของมันนั้นกรอบกรุบจนแตกออกอย่างง่ายดายเมื่อใช้ช้อนเคาะ

“อร่อยอ่ะ ผมกินกี่ทีก็ชอบ”

เจนยุทธใช้มือจับหมูหันชิ้นหนึ่งขึ้นแทะอย่างไม่กลัวเปื้อน มันปรุงรสไว้อย่างดีและมีกลิ่นเครื่องยาจีนนิดๆ ผสมกับเครื่องเทศแบบฝรั่ง ฆาเบียร์บอกว่าเขาชอบเพราะมันไม่เลี่ยนเลย ทางร้านย่างมันอย่างดีจนไล่มันใต้หนังส่วนมากออกไปได้ เจหยิบมันฝรั่งทอดชิ้นโตที่วางรองใต้หมูย่างเข้าปาก เขาชอบมันทอดที่ทางร้านทำเองแบบนี้จริงๆ ส่วนคนตัวโตจิ้มผักสลัดแก้วหั่นฝอยในจานนั้นกินจนหมด เจนยุทธไม่สั่งจานผักมาเลยสักอย่าง แต่อย่างน้อยก็มีผักที่แถมมาในจานเนื้อแบบนี้ให้เขาได้กินบ้าง



“ฉันไม่รู้ว่าที่โปรตุเกสเป็นยังไงนะ แต่ฉันเคยไปร้านดังที่ขายหมูหันแบบนี้ที่เมือง Segovia ในสเปน ที่นั่นเขาใช้จานตัดแบ่งหมูด้วยนะ”

เจขมวดคิ้ว ใช้จานตัดแบ่งหมูงั้นเหรอ คนตัวโตอธิบายว่าทางร้านจะยกลูกหมูย่างหนังกรอบตัวขนาดกำลังดีออกมา จากนั้นเชฟก็จะใช้ขอบจานแบนสับแบ่งเนื้อหมูตัวนั้นลงไปตรงๆ จนขาดเป็นท่อนเพื่อโชว์ความกรอบกรุบของหนังและความนุ่มนวลของเนื้อหมูย่าง การสับหมูโชว์นี้จบด้วยการปาจานให้แตกเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันคือจานกระเบื้องจริงๆ

“น่าสนุกจัง!”

เจอุทานออกมา เขาบอกว่าเขาอยากไปกินอาหารในร้านที่มีธรรมเนียมแปลกๆ หรือมีตำนานเล่าขานอย่างร้านทาร์ตไข่ที่ลิสบอนดูจริงๆ เขาอิจฉาคนตัวโตที่ได้มีโอกาสท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ และได้สัมผัสกับร้านเหล่านั้นจริงๆ

“แหม เจ ร้านแต่ละร้านมันก็มีเรื่องเล่าและตำนานของมันนะ อยู่ที่ว่าเราจะใส่ใจมันไหม”

ฆาเบียร์ยกตัวอย่างร้านแซนวิช บาร์ที่เชียงใหม่ นั่นก็เป็นตำนานร้านอาหารแบบไดเนอร์ซึ่งทำอาหารเลียนแบบอาหารฝรั่ง

“...หรืออย่างร้านทาร์ตไข่ลอร์ดสโตว์ที่เราเพิ่งกินเมื่อกี้ มันก็คือต้นกำเนิดของทาร์ตไข่สไตล์มาเก๊าเลยใช่ไหมล่ะ เจ มันก็ไม่ต่างจากร้าน Casa de Pasteis de Belem หรอกนะ”

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาบิขนมปังก้อนใหญ่จิ้มน้ำซอสจากจานหอยลายผัดและส่งเข้าปากแล้วก็ยิ้มน้อยๆ กลิ่นของซอสสูตรพิเศษของร้านผสานกับกลิ่นของกระเทียมทำให้เขาน้ำลายสอ ขนมปังอันแสนอร่อยของทางร้านก็โอบอุ้มน้ำซอสที่มีรสอันเข้มข้นของหอยลายไว้และเกิดเป็นรสที่ทำให้เขากินได้เรื่อยๆ เจเองก็รีบแย่งขนมปังก้อนที่เหลือมาก่อนที่เขาจะไม่ได้กิน เขาจับฝาหอยขึ้นมาดูดกินเนื้อมันแล้วใช้ฝาเปล่านั้นตักน้ำซอสขึ้นมาซดแล้วทำหน้าฟิน แต่มันก็ยังไม่เหมือนรสชาติที่เขาลืมไม่ลงในครั้งนั้น



“คุณรู้ไหม หอยอบที่นี่อร่อยก็จริง แต่มันก็ยังไม่ใช่ที่สุดสำหรับผม”

"...สำหรับผม ไม่มีหอยลายจานไหนที่สู้หอยลายผัดมะเขือเทศของร้าน Platao"

เจเล่าว่าปีนั้นเขากับนพมามาเก๊าในช่วงเดือนมีนาคมและแวะไปที่ร้านโปรดอย่าง Platao ที่ปิดตัวไปแล้ว บริกรแนะนำว่าช่วงนี้เป็นฤดูที่ดีที่สุดของหอยลายและแนะนำให้พวกเขาลองสั่งดู

"รสชาติมันวิเศษมากเลย คุณ รสเปรี้ยวของมะเขือเทศสับกับกลิ่นรสของกระเทียมเข้ากับไวน์ขาวที่เป็นเบสของซอสมาก แล้วที่เยี่ยมที่สุดก็คือตัวหอยอ่ะ เนื้อมันหนานุ่มแล้วก็หวานมาก...หอมทะเลสุดๆ เลยคุณเอ๊ย"

เจปาดน้ำลาย เขาได้รู้ซึ้งถึงความยอดเยี่ยมของการกินอาหารตามฤดูกาลก็คราวนี้ เขาบอกว่าปีถัดมา เขาแวะมาที่ร้านเดินอีกและสั่งเมนูเดิม แต่ในตอนนั้นเขากลับไปในช่วงเดือนอื่นซึ่งไม่ใช่ฤดูของหอยลาย รสชาติของซอสยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แต่เนื้อหอยนั้นถึงจะสดแต่รสชาติก็ไม่เหมือนกับที่เขาได้กินในช่วงเดือนมีนาคมนั้น



เจยกหมูหันชิ้นสุดท้ายขึ้นแทะ เขายกสองชิ้นใหญ่ให้ฆาบี้และตัวเองกินสามชิ้นที่ขนาดย่อมลงมา ฆาเบียร์โคลงหัวเมื่อเห็นเจดูดนิ้วอย่างเสียดายเมื่อหมูชิ้นนั้นหมดลง

"หมูหันนี่ก็เป็นอาหารที่มีร่วมกันหลายชาติเหมือนกันเนาะ มีของจีน สเปน โปรตุเกส พวกทางเยอรมันก็น่าจะมี ผมยังเคยกินหมูหันที่บาหลีด้วยนะ เรียกว่า Babi Guling กินที่ร้านดังในอูบุด..."

เจเล่าให้ฆาเบียร์ฟังถึงหมูหันจากร้านที่ต้องนั่งกินบนพื้นอย่าง Ibu Oka หมูหันหนังกรอบรสเลิศจัดวางมาในกระจาดหวายขนาดเล็ก ทางร้านใช้กระดาษไขปูรองและเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างผัดผักและผักดอง ส่วนหมูนั้นมีทั้งเนื้อหมูย่างกับส่วนหนังกรอบๆ จำนวนหนึ่งและไส้กรอกเลือด อีกกระจาดหนึ่งคือข้าวเปล่า

"ผมว่ามันคือข้าวขาหมูเวอร์ชั่นหมูหันชัดๆ เลยคุณ หมูของที่นั่นหอมเครื่องเทศมาก แต่ผมเหมือนจะไปท้องเสียกับไอ้เจ้าผักเคียงที่เขามีมาให้อ่ะ เลยเข็ดนิดหน่อย"



"พูดถึงบาหลีฉันก็อยากไปเหมือนกันนะ ไม่ได้ไปนานมากแล้ว ฉันเคยไปหาดทรายดำที่นั่น มันดำสนิทจริงๆ เลยเจ ไม่ใช่กระดำกระด่างเหมือนที่นี่"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจทุบขาคนรักเบาๆ ด้วยความเขินที่โดนแซวเรื่องพาเขามาดูหาดทรายกระดำกระด่าง ฆาเบียร์บอกว่าทรายที่หาดโลวิน่าของบาหลีนั้นเป็นทรายภูเขาไฟจึงออกมาสีดำสนิทได้จริงๆ

"ผมไม่ได้ไปบาหลีนานแล้วจริงๆ ช่วงที่แล้วผมไปบ่อยตอนที่ยังพอหาตั๋วถูกจากแอร์เอเชียได้ ผมไปที่นั่นกับพี่นพซักสามครั้งได้มั้ง แต่อยู่แค่ที่อูบุดและหาดอย่าง Nusa Dua กับ Kuta แล้วก็ไปดูวัด ไปดูภูเขาไฟ อะไรประมาณนั้น"

เจกับนพเลิกไปบาหลีเมื่อแอร์เอเชียออกเที่ยวบินตรงจากเชียงใหม่ไปมาเก๊าและฮ่องกง สำหรับพวกเขาทั้งสองนั้น เมืองอย่างฮ่องกงและมาเก๊าน่าสนใจในด้านอาหารมากกว่าบาหลี



"ตอนไปบาหลีพวกนายนอนโรงแรมไหนกันมั่ง?"

เจตอบชื่อโรงแรมที่พวกเขาเคยพัก

"นี่พวกนายพักแต่โรงแรมโรแมนติก โรงแรมฮันนีมูนทั้งนั้นเลยนะ บรรยากาศดีๆ ไม่มีอารมณ์พาไปอะไรมั่งหรือไง"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เจหัวเราะก๊ากออกมา คนตัวโตคิดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว

"นี่ คุณ พวกผมเป็นเพื่อนกันนะ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น อยู่ในห้องก็ได้แต่กินเหล้าเฮฮา ถ้าพักพูลวิลล่าก็ลงเล่นน้ำแช่น้ำไปตามเรื่อง ไม่ได้มานัวเนียกันเหมือนอยู่กับคุณนี่..."

ฆาเบียร์บ่นอุบอิบว่าไอ้ตอนนั่งกินเหล้ากันนั่นแหละที่เขากลัว ตัวเขาเองก็มีสัมพันธ์กับทั้งสองคนนี้ก็เพราะแอลกอฮอล์ทั้งนั้น เจทำหน้าเอือมและพูดต่อ

"...ผมไม่ได้นิยมกอดผู้ชายนะ ทำอะไรพี่นพไม่ลงหรอกน่า แค่คิดก็รับไม่ได้แล้ว ผมมีอารมณ์ก็กับคุณคนเดียวนั่นแหละ จำไว้ด้วย"

เจเน้นเสียงหนักๆ ฆาเบียร์ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เจเผลอตัวพูดเสียดังจนสาวโต๊ะข้างๆ หันมามอง เมียตัวโตของเจจิ้มกุ้งกระเทียมที่เจแกะใส่จานไว้ให้ใส่ปากเพื่อแก้เขิน

"อร่อยใช่ไหมล่ะ? ผมก็ชอบนะ หอมกระเทียมจัง กุ้งก็เนื้อดี๊ดี แต่มันก็คล้ายๆ กับของที่หากินได้ในไทยอ่ะเนาะ"

เจใช้มือแกะกุ้งส่งให้เมียตัวโตของเขาที่กินเอาๆ อย่างมีความสุข ฆาเบียร์ยิ้มหวานมองคนรักบริการเขาอย่างสุขใจเช่นกัน เจช่างเอาใจเขาจริงๆ คนตัวโตตัดกุ้งที่แกะแล้วในจานและจิ้มส่งให้คนมือเปื้อนกิน เขาอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นเจจัดการเลียซอสกระเทียมที่ติดมือจนหมดโดยไม่ต้องใช้ทิชชู่ เจ้าตัวแสบของเขาบางทีก็เหมือนเด็กไม่มีผิด



"กินสเต๊กหน่อยไหม ฆาเบียร์"

เจหันไปถามคนตัวโตที่นั่งหน้าแดงน้อยๆ พิงเก้าอี้อยู่เพราะฤทธิ์ซังเกรีย เขาทำท่าจะตักสเต๊กหนึ่งในสองชิ้นส่งใส่จานให้เมียตัวโตแต่ฆาเบียร์รีบยกมือห้ามไว้ เขาอิ่มตื้อพอสมควรแล้วเพราะพิษขนมปังก้อนใหญ่ที่เขาใช้ปาดซอสของหอยผัดจนหมดอย่างลืมอ้วน ถ้าใส่เนื้อลงไปอีกชิ้นตอนนี้เขาคงไม่ไหวแน่ๆ

"ฉันขอชิมนิดเดียวพอแล้ว เจ ว่าแต่เจกินไหวไหม?"

ฆาเบียร์มองหน้าคนรักแล้วก็ต้องคิดว่าตัวเขาไม่น่าถามเลย มันเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าอาหารแค่นี้ไม่สะเทือนกระเพาะหลุมดำของเจ เจนยุทธหั่นเนื้อสเต๊กชิ้นไม่หนานักซึ่งราดซอสอันชุ่มฉ่ำมาด้วย เขาตัดมันฝรั่งทอดแท่งยาวที่เป็นเครื่องเคียงออกเป็นชิ้นเล็กๆ และใช้มันป้ายซอสจนโชก เจจิ้มมันฝรั่งและเนื้อส่งใส่ปากให้คนรักที่แทบไม่อยากขยับตัวไปไหน ฆาเบียร์กินมันเข้าไปแล้วอุทานออกมาอย่างถูกใจ กลิ่นของบรั่นดีหอมกำซาบไปทั่วโพรงปากของเขา มิน่าล่ะมันถึงเรียกว่า drunken steak รสของกระเทียมที่ใส่มาอย่างจุใจในซอสและพริกไทยที่เพิ่มรสเผ็ดร้อนให้ซอส ทำให้มันขึ้นแท่นเป็นซอสที่อร่อยที่สุดชนิดหนึ่งที่เขาเคยกินมา



"เสียดาย เนื้อเหนียวไปหน่อยเนาะ"

เจบ่นออกมาเบาๆ สเต๊กของร้านนี้ออกจะสุกไปนิดและเนื้อไม่ได้คุณภาพดีมากนัก แต่ด้วยซอสแสนอร่อยนี้ทำให้ทุกอย่างออกมาโอเค เจหัวเราะเบาๆ เมื่อฆาเบียร์ดึงจานสเต๊กมาแล้วตัดให้ตัวเองอีกชิ้นไม่น้อย

"นี่ แล้วอย่ามาบ่นนะว่าผมทำให้คุณกินเยอะน่ะ ตัวเองกินเองแท้ๆ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์หน้าแดงน้อยๆ อยู่กับเจแล้วเขาเจริญอาหารจริงๆ เขาตัดสเต๊กส่งให้คนรักแล้วก็ต้องหน้าแดงก่ำมากขึ้นเมื่อเจค่อยๆ ใช้ลิ้นแตะเลียซอสจากสเต๊กและตวัดไล้มันด้วยท่าทางที่ทำให้เขาร้อนไปทั้งตัว ปากน้อยๆ และลิ้นสีชมพูของมันทำให้เขาอดคิดลามกขึ้นมาไม่ได้ เจงับสเต๊กชิ้นนั้นไปเคึ้ยวเมื่อเห็นว่าเขาปั่นหัวคนรักได้สำเร็จ มันทำให้เขานึกถึงเช้าหลังจากที่เขาได้ลิ้มรสฆาเบียร์เป็นครั้งแรกจริงๆ



"ฆาบี้ครับ...คืนนี้ผมจะไม่ยอมให้คุณได้นอนสบายๆ นะ"

เจชะโงกหน้ามากระซิบเบาๆ ที่หูของคนตัวโต

"ใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายลำบาก ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะนะ เจนยุทธ"

เมียตัวโตของเจส่งยิ้มกวนๆ กลับมาให้เขา เจหัวเราะหึๆ ก็ให้มันรู้ไป

"ซังเกรียเพิ่มอีกไหม ฆาบี้?"

เจถามฆาเบียร์ คนรักของเขาเพิ่งกระดกเครื่องดื่มสีทับทิมอึกสุดท้ายลงคอไป ส่วนตัวเจก็เพิ่งกินสเต๊กคำสุดท้ายหมดไป ทุกอย่างบนโต๊ะหมดเกลี้ยงเหลือแต่เปลือกหอยและกุ้ง กระทั่งผักที่รองจานกุ้งมาก็ถูกฆาเบียร์จับกินหมด เขายิ้มอย่างพึงใจเพราะมันเต็มไปด้วยรสอร่อยของกุ้งผัดซอสพริกกระเทียมจานนั้น คนตัวโตส่ายหน้าปฏิเสธ ถ้าเอารถมาเองเขาก็คงจะนั่งดื่มต่ออีกสักนิด แต่คราวนี้นั่งรถเมล์มา ถ้าสั่งซังเกรียต่ออีกเหยือกก็คงไม่แคล้วได้หลับเลยป้ายแน่ๆ เจนยุทธสั่งคิดเงินและเป็นฝ่ายจ่ายเองตามเคย อาหารมื้อนี้ไม่ได้ถูกนักแต่ก็อิ่มเอมสมใจเจ


]
(ftp://www.picz.in.th/images/2018/02/02/Fernandos-L.jpg[/img)



"งั้นเรากลับกันเลยไหม?"

ฆาเบียร์ถามเจนยุทธ เจพยักหน้า พวกเขาเดินไปขึ้นรถเมล์ซึ่งจอดรอที่ป้ายอยู่แล้วและนั่งรอครู่หนึ่งจนได้เวลารถจึงออก

"ผมขอแวะหมู่บ้านโคโลอานแป๊บนึงนะ"

เจบอกฆาเบียร์ก่อนที่จะกดกริ่งขอลงที่หมู่บ้าน เจให้ฆาเบียร์นั่งรอที่ป้ายรถส่วนตัวเองวิ่งไปที่ร้านลอร์ดสโตว์ เขาเดินยิ้มกริ่มกลับมาพร้อมทาร์ตไข่อีกหกชิ้น โชคดีที่มันยังไม่หมดไปเสียก่อน

"ร้านยังเปิดอยู่เหรอ เจ"

"ครับ เขาเปิดถึงสี่ทุ่ม ผมยังเคยมานั่งกินทาร์ตไข่หน้าร้านตอนสามทุ่มกว่าอยู่เลย ก็ประมาณวันนี้น่ะ กินอิ่มที่แฟร์นันโดส์มา แล้วก็มาแวะซื้อทาร์ตไข่กล่องนึงกินต่อกับพี่นพ"

เจจำได้ อากาศในคืนนั้นก็หนาวเย็นไม่แพ้คืนนี้ แต่ทาร์ตไข่ร้อนๆ และฤทธิ์ซังเกรียทำให้เขาอุ่นได้ เจนั่งลงเคียงข้างคนรักในซุ้มรอรถที่ว่างเปล่า



"ซักชิ้นไหม ฆาบี้?"

เจเปิดกล่องหยิบทาร์ตไข่อุ่นๆ ออกมา ฆาเบียร์ทำท่าจะปฏิเสธตอนแรกแล้วก็เปลี่ยนใจ เขาอ้าปากกัดทาร์ตที่ฉ่ำเยิ้มนั้นจากมือคนรัก จากนั้นดึงกายเจเข้ามาในอ้อมอกและใช้ปากป้อนทาร์ตคำนั้นให้คนตัวเล็กของเขา เจขัดขืนลิ้นร้อนๆ ของคนรักที่ส่งเข้ามาในปากเขาพร้อมคัสตาร์ดนิ่มๆ พวกนั้นไม่ได้เลย แต่ฆาเบียร์ก็ไม่ได้รุกรานอะไรเขามาก เขาถอนริมฝีปากและปล่อยให้เจเคี้ยวกลืนทาร์ตคำนั้นลงไปก่อนเพราะกลัวเจ้าตัวจะสำลัก จากนั้นเขาจึงจูบเพื่อรับรสหวานของทาร์ตจากปากเจอีกครั้ง เจโน้มคอคนรักลงมาป้อนจุมพิตให้อย่างดูดดื่ม แสงไฟสีส้มนวล อากาศเย็นๆ และความเงียบสงัดไร้ผู้คนของหมู่บ้านแห่งนี้ทำให้เขาปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความเอาแต่ใจของคนตัวโต

พวกเขาผละออกจากกันเมื่อได้ยินเสียงเครื่องของรถใหญ่ที่เคลื่อนใกล้เข้ามา เจรีบจัดการกินขนมในมือจนหมด เขาบ่นพึมพำเพราะไอ้เจ้าขนมนั้นเละอยู่ในมือของเขาที่กำลังเคลิ้มไปกับรสจูบของเมียตัวโต เจหยิบกระดาษเปียกในมือมาเช็ดคราบคัสตาร์ดจนหมด



"เจ เราต้องขึ้นคันนี้หรือเปล่า?"

ฆาเบียร์ถามขึ้นเมื่อเห็นรถเมล์ที่มาจอด เจส่ายหน้า นี่คือสาย 26 ที่เขานั่งมาก็จริงและมันก็จอดที่หน้าโรงแรม แต่เขาอยากจะไปนั่งรถชมวิวเมืองต่ออีกหน่อยซึ่งต้องขึ้นอีกสายหนึ่ง เขาลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นรถสาย 26A ที่วิ่งตามมา

ทั้งสองคนขึ้นนั่งบนรถ ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ไม่ค่อยมีใครขึ้นรถ พวกเขาก็ได้นั่งกันสบายๆ หน่อย เจบอกว่าพวกเขาต้องนั่งกันยาว 20 ป้าย

"ห้ามหลับนะคุณ ขืนหลับทั้งคู่นี่มีหวังไปโผล่อีกทีก็อู่จอดรถแน่ๆ"

หากขึ้นรถไม่ทันไรเมียตัวโตของเขาก็ใช้ไหล่เขาเป็นหมอนเสียเรียบร้อย เจถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะจัดท่าให้ฆาเบียร์อิงแอบได้สบายที่สุด ตัวเขายกโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเกมเพื่อไม่ให้ตัวเองหลับ เขาแอบยกกล้องขึ้นถ่ายเซลฟี่พวกเขาสองคนและถ่ายตอนที่ตัวเองแอบหอมแก้มคนตัวโตไว้ด้วย



เจเขย่าปลุกฆาเบียร์เบาๆ เมื่อรถเมล์วิ่งผ่านเกาะไทปาและเริ่มข้ามสะพานกลับสู่ฝั่งเมืองเก่ามาเก๊า ฆาเบียร์บิดขี้เกียจแล้วหันมายิ้มเขินๆ ให้คนรัก

"จะถึงแล้วเหรอ เจ?"

"อีกสี่ห้าป้ายน่ะ แต่ผมปลุกคุณมาดูแสงสีซะหน่อย"

เจพูดยิ้มๆ รถกำลังจะเคลื่อนผ่านคาสิโนที่เป็นสัญลักษณ์ของมาเก๊าอย่าง The Lisboa ฆาเบียร์โคลงหัวเบาๆ

"เจ ฉันเห็นมันหลายรอบแล้วล่ะ"

"แหม รู้น่า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คุณเห็นมันพร้อมกับผมใช่ไหมล่ะ?"

ฆาเบียร์อึ้งไป ใช่สินะ นี่เป็นประสบการณ์อีกครั้งที่พวกเขาจะมีร่วมกัน เขาขอโทษขอโพยคนรักที่ทำท่าไม่ใส่ใจ เขาจับมือเจแน่นเมื่อรถหยุดตรงวงเวียนใหญ่หน้าคาสิโนแห่งนั้นอันเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนรถใหญ่ของมาเก๊า ที่ตรงนี้มีป้ายรถเมล์เรียงรายกันหลายสาย คนตัวโตหอมแก้มเจเบาๆ เมื่อพวกเขาทั้งคู่แหงนหน้ามองโรงแรมที่ประดับไฟสีๆ แพรวพราว



"เสียดาย ตรงนี้มองเห็นหมอนปักเข็มไม่ชัด"

เจพูดขึ้น ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกภาพตาม เจพูดถึงโดมรูปหัวหอมที่อยู่หน้าส่วนของคาสิโน บนโดมนั้นมีแท่งเหล็กที่มีปลายเป็นตุ้มกลมๆ ปักอยู่หลายอัน เมื่อดูไกลๆ แล้วมันคือรูปหมอนปักเข็มจริงๆ

"มันคือหมอนปักเข็มจริงๆ อย่างที่เจว่านั่นแหละ อาปาเล่าให้ฉันฟังว่ามันทำขึ้นเพื่อช่วยเรื่องฮวงจุ้ยล้วนๆ เลย..."

อาปาของเขาบอกว่า รูปหมอนปักเข็มนั้นตั้งอยู่บนปากทางเข้าคาสิโน รูปเข็มพวกนั้นคือสิ่งที่คอยทิ่มแทงดวงของนักเสี่ยงโชคให้อ่อนแอลง ส่วนตัวอาคารนั้นออกแบบให้คล้ายกับกรงนกที่กักโชคของนักพนันไว้ภายใน ฆาเบียร์ชี้ให้เจดูเมื่อรถเคลื่อนที่ผ่านส่วนคาสิโนของโรงแรม​

"ตรงทางเข้านี้ถ้าดูดีๆ เขาว่าจะเหมือนกับหัวเสือ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อทำให้คนมาเล่นเสียเยอะๆ"

ฆาเบียร์หัวเราะเมื่อนึกถึงว่านักพนันก็ยังแห่แหนมาที่นี่ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าทางนี้เล่นของ แต่ละคนก็หาสารพัดวิธีมาเพื่อแก้ดวง



"ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกันฆาบี้ ผมได้ยินมาว่าน่าจะที่ลิสบัวนี่แหละมีรูปปั้นลิงอยู่หน้าทางเข้า นัยว่าลิงมันมือไวจะได้ฉกเงินจากกระเป๋านักพนัน ทีนี้พวกคนไทยก็มีวิธีแก้เคล็ด คนไทยมีความเชื่อว่าลิงเกลียดกะปิ พวกเขาก็จะพกกะปิติดตัวมา พอกำลังจะเข้าก็ควักกะปินี่แหละป้ายเข้าไปที่รูปปั้นลิง จนตอนหลังเขาต้องห้ามเอากะปิเข้าเพราะมันเหม็นนะ ไม่ใช่เพราะอะไร"

คนตัวโตขำก๊ากออกมาเมื่อนึกภาพตาม พวกเขาสองคนคุยกันเรื่องความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยอื่นๆ ของบรรดาคาสิโน ทั้งของประดับรูปไซดักปลาบนเพดานคาสิโนลิสบัว หรือการสร้างตึกเพื่อข่มฮวงจุ้ยกันระหว่างลิสบัวและแซนด์สและอื่นๆ

"ที่รักครับ เตรียมลงได้แล้ว จะถึงแล้ว"

เจดึงฆาเบียร์ให้ยืนขึ้นเมื่อรถเคลื่อนที่ผ่านจตุรัสเซนาโดและมองเห็นตึกโรงแรมโซฟิเทลอันโอ่อ่าอยู่ไม่ไกล คนตัวโตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเจเรียกเขาว่าที่รัก นานๆ คนรักจะเผลอใช้คำนี้เรียกเขาที พวกเขากดกริ่งและลงรถเมื่อมันจอดที่ป้ายหน้าโรงแรม ทั้งสองเดินจับมือกันขึ้นไปบันไดเลื่อนไปยังล็อบบี้โรงแรม



-------------------------------------------

เขียนเอง อ่านเอง หิวเอง ทรมานจริงๆ ค่ะ

เว็บร้าน Lord Stow’s ค่ะ https://goo.gl/xqmF9A

เว็บร้าน Fernando’s  ค่ะ รายละเอียดน้อยจริง https://goo.gl/fVkGir

กำเนิดทาร์ตไข่แบบโปรตุเกส https://goo.gl/SLu3u8



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2018 14:49:00 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Am I Worth Your Bet? ----




“Salud!”

ฆาเบียร์ยกขวดเบียร์โคโรน่าของเขาขึ้นชนกับของเจ พวกเขานั่งอยู่ที่บาร์ Rendez-Vous ของโรงแรมโซฟิเทลซึ่งอยู่ข้างล็อบบี้ บรรยากาศในบาร์นี้ไม่ได้ดีเด่อะไรมากนัก บนคลับเลาจ์ยังดีกว่า แต่ว่าพวกเขามาใช้สิทธิ์ welcome drink ของทางโรงแรมซึ่งได้เบียร์ ไวน์ หรือซอฟท์ดริงค์คนละแก้ว พวกเขาทั้งคู่เลือกเบียร์ Corona ของเม็กซิโกซึ่งดูจะเป็นตัวเลือกที่โอเคที่สุดแล้ว

"ฉันคงดื่มซักครึ่งขวด ที่เหลือเจเอาไหม?"

ฆาเบียร์ถาม เขาไม่ได้นิยมเบียร์นัก เจพยักหน้ารับ เพิ่มเบียร์ไปอีกครึ่งขวดไม่ได้ทำให้เขาสะเทือนแต่อย่างไร

"กลัวมันลงไปสะสมในพุงล่ะสิ ฆาบี้"

คนตัวโตหน้าแดงน้อยๆ

"ฉันเลขสี่แล้วนะเจ จะเป็นชายวัยกลางคนแล้ว ก็ต้องระวังเรื่องกินเพิ่มขึ้นอีก"

"เมียครับ แค่นี้คุณก็กินน้อยจะแย่อยู่แล้วนะ"

"อย่าเอามาตรฐานเจมาวัดสิ ฉันไม่ได้กินน้อยหรอก เจกินเยอะไปแล้วต่างหาก"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้วและบ่นขึ้นเบาๆ เขาล่ะเป็นห่วงหลอดเลือดและตับไตของเจนยุทธจริงๆ เจหัวเราะแหะๆ แล้วบอกว่าเขาเช็คสุขภาพเป็นประจำ และจะคุมอาหารเมื่อตัวเลขมันขึ้นมาเกินเกณฑ์



"ตอนคุณไม่อยู่ผมก็ออกกำลังกายเป็นประจำนะ วิ่ง เวท ไปว่ายน้ำบ้าง อะไรบ้าง แค่เว้นไปตอนคุณอยู่"

"อ้าว ทำไมล่ะ ทำไมตอนฉันอยู่นายถึงงดออกกำลังกาย"

เจยิ้มกริ่มและกระดิกนิ้วเรียกให้คนตัวโตเอนตัวเข้ามาใกล้ๆ

"ก็แค่ออกกำลังกายกับคุณ ผมก็หมดแรงแล้วไงล่ะ"

เจกระซิบเบาๆ ข้างหูเมียตัวโตของเขาที่หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งหน้าแดงขึ้นไปใหญ่เมื่อเจ้าตัวเล็กไล้มือไปตามต้นขาของเขา นิ้วเรียวๆ ของเจไต่เดียะไปใกล้จุดอันตราย เขารีบคว้าข้อมือของคนตัวเล็กไว้ทันที

"อย่าพึ่งซนสิ เจ..."

ฆาเบียร์พูดเสียงต่ำๆ เขากระซิบบอกเจว่าเขาคิดว่าเขาเห็นคนรู้จักนั่งดื่มอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง เจสะดุ้งรีบยกมือออกและนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวทันที เขาลืมไปว่ามาเก๊านั้นไม่ได้ไกลจากฮ่องกงเลยและพ่อเจ้าประคุณคนนี้ก็กว้างขวางนัก จึงไม่แปลกที่จะเจอคนรู้จักสักคนสองคน ฆาเบียร์ขอตัวไปทักทายคนๆ นั้น เจนั่งดื่มต่อเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งจนเบียร์หมดขวด ฆาเบียร์ก็ยังไม่กลับมาที่โต๊ะ เขาหันไปมองหาคนรักแล้วก็เจอเมียตัวโตของเขานั่งคุยกับชายชาวตะวันตกวัยเดียวกันท่าทางภูมิฐาน

เจอดร้อนในอกไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางสนิทสนมที่คนๆ นั้นแสดงออกมา ร่างที่นั่งตรงข้ามกับฆาบี้นั้นเอนเข้าหาคนรักของเขาอย่างเห็นได้ชัด มือของคนๆ นั้นบางครั้งก็สัมผัสแตะอยู่ที่เข่าของคนตัวโตเมื่อบทสนทนาเริ่มออกรสออกชาติ จากสายตาของคนนอกอย่างเขา มันค่อนข้างชัดเจนว่าคนๆ นี้คงเคยเป็นมากกว่าคนรู้จักของฆาเบียร์

ฆาเบียร์ขยับขาหลบมือที่แตะลงมาอีกครั้งอย่างอึดอัดเล็กน้อย การสนทนาของพวกเขาที่วกเข้าเรื่องงานทำท่าจะยาวนานกว่าที่คิด เขาแอบชำเลืองมองคนตัวเล็กแต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเจนยุทธเหลือบมองมาที่พวกเขาเช่นกัน ดวงตากลมโตของเจที่มีแววไหวหวั่นน้อยๆ ทำให้ฆาเบียร์ใจหาย หากเจเลือกที่จะนิ่งเฉยและไม่เข้ามายุ่มย่าม



'เดี๋ยวผมขึ้นไปรอที่ห้องนะ คุณมีคีย์การ์ดแล้วใช่ไหม?'

ฆาเบียร์เหลือบอ่านข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ของเขา เขาชำเลืองมองและเห็นคนตัวเล็กกำลังเก็บของและเตรียมจะลุกออกไป ฆาเบียร์จึงขอตัวกับคู่สนทนาและเดินเข้าไปหาเจนยุทธ

"เจ มากับฉันก่อนนะ"

โดยไม่รอฟังคำตอบ เขาลากแขนคนรักเดินลิ่วกลับไปหาคนที่เขานั่งคุยด้วย

"คุณเพเทรลลี่ครับ ผมขอแนะนำให้รู้จักคนรักของผม เจ เจนยุทธครับ"

ชายวัยเดียวกับฆาเบียร์คนนั้นที่ขนาดผู้ชายอย่างเจยังคิดในใจว่าหล่อยิ่งกว่าดารามีสีหน้างุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็มีรอยยิ้มกว้างจะผุดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลานั้น เขายื่นมือไปจับกระชับและเขย่ามือของเจที่ยื่นมาอย่างแรง

"เหรอ แฟนนายจริงๆ เหรอ มาร์ติเนซ นี่ฉันนึกว่านายจะลอยชายไปมาจนแก่เสียอีก..."

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"นั่นคุณพูดถึงตัวเองแล้วครับ คุณเพเทรลลี่..."

เขาหันไปหาเจนยุทธ

"เจจ๊ะ นี่คุณโดเมนิโก้ เพเทรลลี่ บริษัทของคุณเพเทรลลี่เป็นพาร์ทเนอร์รายใหญ่รายนึงของบริษัทเรา พ่อของคุณเพเทรลลี่เป็นเจ้าของเครือโรงแรมใหญ่ในอิตาลีและอีกหลายประเทศในยุโรป คุณเพเทรลลี่ยังเป็น influencer ที่ทำงานร่วมกับเว็บของเราด้วย..."

Influencer ที่ฆาเบียร์พูดถึงคือคนที่มีอิทธิพลต่อผู้ติดตามในการบริโภคสินค้าต่างๆ มักเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งจนทำให้คนเชื่อถือได้ ฆาเบียร์บอกเจว่าคุณเพเทรลลี่คนนี้เป็นทายาทนักธุรกิจด้านการท่องเที่ยวที่ประสบความสำเร็จและมีหน้าตารูปลักษณ์เป็นของแถม อินสตาแกรมของหนุ่มอิตาเลียนรูปงามคนนี้มีคนติดตามไม่น้อยกว่าของเขาเลยด้วยซ้ำ เจกล่าวคำทักทายอีกครั้ง ทั้งสามคนนั่งสนทนากันอีกครู่หนึ่งก่อนที่เจจะขอตัวไปก่อน

"ผมขึ้นไปที่ห้องก่อนนะ ฆาบี้ คุณคุยงานต่อเถอะ ไม่ต้องรีบนะ"

เขาจุ๊บเบาๆ ที่แก้มของคนรักก่อนที่จะหันไปจับมือลากับหนุ่มรูปงามที่อยู่ฝั่งตรงข้าม คนตัวโตยิ้มน้อยๆ เจคงดูออกจริงๆ แม้เจ้าตัวไม่ได้แสดงทีท่าหึงหวงอะไรออกมาแต่ก็ยังแอบสร้างแลนด์มาร์คเล็กๆ ไว้ก่อนไป



เจนอนหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์อยู่ในอ่างอาบน้ำ เขาเปิดม่านที่ผนังกระจกใสไว้เพื่อให้มันดูโปร่งโล่ง เขาใส่เกลืออาบน้ำหอมๆ ที่พกมาจากบ้านลงไปในอ่างด้วย เจระบายลมหายใจออกปากอย่างมีความสุข น้ำร้อนที่โอบรอบกายเขาอยู่นี้ช่างทำให้เขารู้สึกสบายดีเหลือเกิน โรงแรมโซฟิเทลนี้ยังรู้ใจคนชอบแช่น้ำด้วยการจัดเตรียมหมอนน้อยๆ ที่เปียกน้ำได้สำหรับไว้หนุนคอให้ด้วย เขาเปิดเพลงจากไอแพดและซิงค์มันกับเจ้าลำโพงน้อยที่เขามักพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วย เสียงเปียโนอันเพราะพริ้งและความสบายตัวบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์น้อยๆ ทำให้เจเคลิ้มหลับไปอย่างรวดเร็ว

"เจๆ ตื่นสิ! เจ!"

เจนยุทธสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามือของคนตัวโตที่ตบเบาๆ เข้าที่หน้า เขาลืมตาขึ้นก็เห็นฆาเบียร์ที่ลงมานั่งคร่อมเขาทั้งตัวในอ่าง เจกระพริบตาปริบๆ

"คุณทำอะไรของคุณน่ะ ฆาบี้ ทำไมลงมาทั้งเสื้อผ้าแบบนี้ล่ะ...โอ๊ย!"

เจร้องลั่นเมื่อคนตัวโตดึงเขาเข้าไปกอดไว้แน่นจนเจ็บ คนตัวโตตัวสั่นจนเจรู้สึกได้

"ฆาเบียร์ คุณเป็นอะไร"

"เจ วันหลังนายห้ามนอนแช่น้ำคนเดียวอีกนะ!"

คนตัวโตดันร่างเขาออกแล้วเอ็ดลั่น เขากลับเข้าห้องมาก็ต้องแทบช็อคเมื่อเห็นตัวเจแช่อยู่ในน้ำโดยที่หน้ามุดลงไปอยู่ใต้น้ำกว่าครึ่งหน้าแล้ว เจนยุทธที่หลับไม่รู้เรื่องเองก็ตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเกือบไปสวรรค์โดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว อ่างที่ห้องของเขาที่เชียงใหม่มันสั้นและตื้นกว่านี้จึงไม่ค่อยมีปัญหาว่านอนแล้วตัวเลื่อนลง หากอ่างที่นี่ยาวและลึกกว่า เมื่อเข้าเข้าสู่ภวังค์แล้ว ตัวของเขาก็ค่อยๆ เลื่อนไหลลงจนหน้าอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ เจกอดตอบคนรักที่ยังตัวสั่นน้อยๆ เพราะความตระหนก เขาลูบหลังฆาเบียร์เบาๆ เพื่อคลายความตึงเครียดในใจของคนตัวโต



"ไม่เป็นไรแล้วนะครับ คนดี ผมสัญญา ผมจะไม่แช่น้ำอีกแล้วถ้าคุณไม่อยู่ในห้องด้วย โอเคไหม?"

ฆาเบียร์พยักหน้า เขาเองก็เคยเผลอหลับไปแบบนี้บ่อยๆ เวลาแช่น้ำ แต่ด้วยความที่ตัวเขายาวกว่าจึงไม่ค่อยมีปัญหานี้ เขากอดรัดร่างเพรียวไว้ในอกอีกครั้ง เจตบหลังคนตัวโตเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ

"นี่ คุณ ไปถอดเสื้อถอดผ้ามาตากซะเถอะ เปียกหมดแล้ว แล้วนี่เอากระเป๋าตังค์ มือถืออะไรออกหรือยังน่ะ?"

เจถามอย่างเป็นห่วง ฆาเบียร์พยักหน้าว่าเขาโยนกระเป๋าตังค์ไว้บนโต๊ะทีวีแล้วตั้งแต่ตอนเข้าห้องมา จากนั้นเขาถึงหันมาเห็นเจผ่านทางผนังกระจกใส

"ดีนะที่เจเปิดม่านไว้ ไม่งั้นฉันคงเห็นไม่ทันกาล เห้ย!"

ฆาเบียร์อุทานออกมาดังลั่นเมื่อควานเจอโทรศัพท์มือถือของเขาในกระเป๋ากางเกงที่เปียกโชก เขาสบถลั่นเป็นภาษาสเปนแล้วรีบเอาผ้าขนหนูมาห่อเช็ดภายนอกมันจนแห้ง เจที่ขึ้นจากน้ำตามมาชะโงกหน้ามาดูอย่างเป็นห่วง เขายิ้มออกมาเมื่อเห็นหน้าจอมันยังแสดงผลเหมือนปกติ คนตัวโตเพิ่งเปลี่ยนมือถือใหม่เป็นรุ่นเดียวกับเขาซึ่งกันน้ำลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที ฆาเบียร์ยิ้มออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่ามันยังใช้งานได้เหมือนเดิม



"ฆาบี้ครับ...ขอบคุณนะ"

เจสวมกอดคนรักจากด้านหลัง เขาซบหน้าลงบนเสื้อที่เปียกชื้นของคนรัก คนตัวโตหันกลับมา เขาเชยคางคนรักขึ้นและจุมพิตแผ่วๆ ที่ริมฝีปากคู่งาม เจนยุทธจูบตอบ จูบของพวกเขาทั้งคู่เริ่มร้อนแรงขึ้น ฆาเบียร์ถอดเสื้อฮู้ดแขนกุดของเขาแล้วโยนทิ้งไว้บนพื้น เจช่วยคนรักถอดเสื้อกล้ามออก เขาจูบไล่ไปตามแผงอกกว้าง ฆาเบียร์ซี้ดปากออกมาเมื่อนิ้วเรียวของเจสัมผัสกับยอดอกสีน้ำตาลอ่อนของเขา เจเขี่ยคลึงมันอย่างชำนาญจนแข็งชูชันเป็นไต คนตัวโตสลัดกางเกงจ็อกเกอร์ออก เผยให้เห็นส่วนสงวนที่อัดแน่นอยู่ในกางเกงชั้นใน เจเอื้อมมือไปเขี่ยไล้ส่วนหัวที่เขาดันให้พ้นขอบกางเกงในขึ้นมา

"เจ...อย่าแกล้งกันสิ"

คนตัวโตครางออกมาเบาๆ เมื่อเจใช้ปลายนิ้วสะกิดไล้ไปที่รูตรงปลายยอดแถมยังใช้นิ้วโป้งเขี่ยวนอยู่ตรงใต้รอยหยัก ฆาเบียร์สูดปาก เจเน้นทั้งสองจุดนี้ทำให้สติเขาแทบจะหลุดลอย ฟันขาวๆ ที่กัดริมฝีปากแดงระเรื่อของเจก็ทำให้เขาแทบคลั่งไปเช่นกัน เจจูบหนักๆ ที่ปากของคนรักที่ทำท่าจะเข่าอ่อนยวบเมื่อถูกเขาสัมผัสเข้าที่จุดอ่อนไหว ฆาเบียร์ดูดดึงริมฝีปากของคนตัวเล็กของเขาอย่างกระหาย เจอาจไม่ใช่คู่นอนที่จูบเก่งที่สุดของเขา แต่สัมผัสจากริมฝีปากของคนตัวเล็กทำให้เขารู้สึกสบายใจและต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆ



"ฆาเบียร์ครับ..."

"อะไรเหรอ เจ?"

"ลงอ่างกันอีกรอบไหม?"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เมื่อกี้เขาดึงจุกปล่อยน้ำออกหมดแล้ว ถ้าลงอ่างตอนนี้กว่าจะเปิดน้ำเต็มก็คงอีกหลายนาที

"ไม่ต้องมีน้ำก็ลงอ่างได้นะ ฆาเบียร์"

เจยิ้มอายๆ ให้คนรักตัวโตของเขา เขารุนหลังให้ฆาเบียร์ลงนั่งเอนกึ่งนอนในอ่างอาบน้ำโดยให้หนุนหมอนอาบน้ำนิ่มๆ นั้นไว้ ตัวเขาเองนั่งคร่อมอยู่ข้างบนและเปิดน้ำอุ่นลงมาในอ่างจำนวนหนึ่งและวักน้ำรดตัวคนรักให้เปียกชื้น เขาเทเจลอาบน้ำลงบนใยขัดตัวที่ทางโรงแรมมีให้ขยี้ให้เกิดฟอง จากนั้นใช้มันค่อยๆ ขัดตัวให้คนตัวโตของเขา ฆาเบียร์นอนยิ้มกริ่มปล่อยให้คนรักถูสบู่ให้เขา เจไม่เพียงแค่ขัดตัว เขายังจูบไล้ไปตามเนื้อตัวของคนรักก่อนที่จะขัดถูในบริเวณนั้นๆ ฆาเบียร์ครางแผ่วๆ เมื่อเจประทับจูบร้อนๆ เลาะไล้ไปตามต้นขาด้านในของเขา เจไล้ใยขัดตัวไปตามต้นขาและเลี้ยวเลาะไปยังบั้นท้ายแน่นหนั่น ฆาเบียร์แยกขาออกน้อยๆ อย่างลืมตัว เขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อเจฟอกฟองสบู่ลื่นๆ ไปที่รอยแยกระหว่างก้อนเนื้อแน่นทั้งสอง

"อูย เจ นั่นแหละ..."

ฆาเบียร์ครางออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อนิ้วเรียวของเจนยุทธชำแรกเข้าสู่ช่องทางแคบ เขาชินกับการถูกเจล่วงล้ำแล้ว ยิ่งมีริมฝีปากร้อนๆ ของเจคอยปรนนิบัติเขาพร้อมๆ กันเหมือนอย่างที่กำลังทำตอนนี้ เขาก็ไม่ขัด ฆาเบียร์ขยุ้มกลุ่มผมดำขลับนั้นและเสยสะโพกน้อยๆ รับความเสียวซ่าน เจกระแทกนิ้วย้ำๆ ไปยังจุดที่เขารู้ว่าสร้างความหฤหรรษ์ให้คนรัก ฆาเบียร์ต้องใช้มืออุดปากตัวเองเมื่ออารมณ์ของเขาพุ่งขึ้นสูงสุด เจดูดกลืนน้ำสีขาวขุ่นที่ฉีดเข้ามาในปากเขาทุกหยด



"ไม่ทำต่อเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถาม เจส่ายหัว เขาทำฟองสบู่เพิ่มและฟอกฟองลงบนตัวของคนรักจากนั้นใช้ร่างกายตัวเองถูไล้กับตัวของฆาบี้ คนตัวโตขบกรามเมื่อรู้สึกถึงตุ่มไตบนอกของเจที่รูดไล้ไปกับลำตัวเขา จากความชูชันของมันเขารู้ได้ว่าเจกำลังมีอารมณ์มากๆ ฆาเบียร์ใช้มือดีดดุนมัน เจสะดุ้งน้อยๆ ฆาเบียร์ยิ้มเมื่อได้ยินเสียงครางแผ่วๆ จากปากคนรัก

เจนยุทธเปลี่ยนมาขึ้นนั่งคร่อมแก่นกายของคนรักที่เริ่มชูคอขึ้นน้อยๆ อีกครั้ง เขาจับมันแนบไปกับร่องแยกที่บั้นท้ายและร่อนสะโพกไปมา ฆาเบียร์ซี้ดปากเบาๆ มือของเขากอบกุมแท่งลำของเจไว้และให้ความสุขกับคนรัก เจซบหน้าไปกับไหล่ของฆาเบียร์ และปล่อยให้คนรักเป็นฝ่ายขยับเอง

"คุณ!"

คนตัวเล็กอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อรู้สึกถึงการล่วงล้ำ เขาพยายามดันตัวออกแต่ถูกรัดตัวไว้แน่น

"แค่นิดเดียวนะเจ แค่ส่วนปลาย โอเคไหม?"

ฆาเบียร์กระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหูคนรัก เจเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าตกลง ฆาเบียร์ดันตัวขึ้นและพลิกตัวเจนยุทธให้คุกเข่าหันหลังให้เขา เขาถูไถส่วนสงวนของตัวเองไปกับรอยแยกระหว่างก้อนเนื้อแน่นทั้งสอง มือของเขาช่วยให้ความสุขเจไปด้วย จนเมื่อเขาเห็นว่าเจถึงจุดสุดยอดไปแล้วเขาจึงเร่งเร้าตัวเองจนเกือบถึงที่ จากนั้นเขาดันแท่งลำของตัวเองเข้าในกายเจเพียงเล็กน้อยและขยับเบาๆ เจสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกส่วนปลายของแก่นกายคนรักที่ถูกดันผ่านช่องทางเข้ามา หากฆาเบียร์ก็ทำตามที่พูดไว้จริงๆ ฆาเบียร์ขยับอีกไม่กี่ทีแล้วก็คำรามลั่นออกมา เขารีบถอนกายออกและปลดปล่อยบนบั้นท้ายแน่นๆ ของเจ คนตัวโตซบหน้าบนหลังของคนรัก เขาขยับกายไปจูบคนตัวเล็กผู้ใจดีของเขา หากฆาเบียร์ก็ต้องใจหายวาบเมื่อเห็นน้ำตาหยดน้อยๆ ที่หางตาของเจ

"เจ ฉันขอโทษ นายเจ็บมากเลยเหรอ?"

"ไม่เลย ฆาเบียร์ ไม่เจ็บ"

เจรีบปาดน้ำตาทิ้งไปและปั้นยิ้มหวานให้คนรัก คนตัวโตถอนหายใจ มันจะไม่เจ็บได้ยังไง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาล่วงล้ำเจโดยที่ไม่ได้ใช้เจลหล่อลื่นช่วย มีเพียงแค่ความลื่นจากสบู่เท่านั้นซึ่งก็แทนกันไม่ได้ เขานึกด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เขาดึงร่างเพรียวให้ลุกขึ้นแล้วประคองพาไปอาบน้ำชำระกายที่ส่วนชาวเวอร์



"เจจ๋า...ฉันรักนายที่สุดเลย นายรู้ใช่ไหม?"

ฆาเบียร์จูบแผ่วๆ ลงที่หน้าท้องแบนราบของคนรัก เจที่นั่งเอนพิงหัวเตียงลูบหัวคนรักที่ใช้พุงน้อยๆ ของเขาเป็นหมอน เขาใช้นิ้วม้วนผมสีน้ำตาลที่ยาวปรกคอของคนรักเล่น

"ผมก็รักคุณนะ ฆาบี้"

เจยิ้มและดึงมือของคนรักมาจูบ

"วันหลังเจไม่ต้องตามใจฉันทุกเรื่องก็ได้นะ"

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ เขายังรู้สึกผิดที่ฝืนใจและกายคนรักไปเมื่อครู่

"ไม่เป็นไรหรอก ฆาเบียร์ แค่นี้ผมยังพอไหว แต่ถ้าคุณทำมากกว่านั้นผมร้องโรงแรมแตกแน่..."

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ยิ้มแหยๆ เขาเชื่อว่าเจคงทำอย่างนั้นจริงๆ แน่

"เอ๊ ผมบอกแล้วว่าอย่า คุณนี่ ซนจริง"

เจตีมือคนรักและเขยิบหนีคนตัวโตที่พยายามจะก้มหน้าลงสำรวจความเสียหายที่ตัวเองทำไว้

"เจจ๋า...ไหนๆ เราก็มาอยู่บนเตียงแล้ว เจลอะไรก็พร้อมแล้ว ฉันขอ...อุ๊บ"

ฆาเบียร์ร้องออกมาเมื่อโดนเจนยุทธเอาหมอนฟาดหน้า

"ไม่ได้ สามวันนี้เป็นวันของผม ผมต้องเป็นฝ่ายกอด"

เจใช้หมอนในมือตีคนตัวโตต่อ ฆาบี้คว้าหมอนของเขามาไล่ตีคนตัวเล็กบ้าง เสียงหัวเราะของทั้งคู่กลายเป็นเสียงจูบ ร่างเปลือยทั้งสองร่างกระหวัดเกี่ยวกอดกันบนเตียงนุ่ม ไฟรักของทั้งสองยังคงไม่ถูกดับลงง่ายๆ



"ฆาบี้ครับ"

เจเรียกชื่อคนรักเบาๆ คนตัวโตที่กำลังเพลินกับการจูบไล้ไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนรักที่นอนหันหลังให้เขาหยุดกึก เขาสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงแปลกของคนรัก

"มีอะไรเหรอ เจ"

เจนยุทธพลิกตัวมาซบอกคนรัก

"ผมถามอะไรหน่อยสิ คุณอย่าหาว่าผมงี่เง่านะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาพยายามข่มใจไม่ให้พูดเรื่องนี้แต่ก็อดไม่ได้ ฆาเบียร์ถอนหายใจ เขาว่าเขารู้แล้วว่าเจจะถามอะไร

"เอ้า อยากรู้อะไร ถามมา"

คนตัวโตขยับขึ้นนั่ง เขาจับเจนอนหนุนตัก เจนยุทธจ้องตาเขาเป๋ง ตากลมใสของเจแฝงแววอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

"คุณเพเทรลลี่อ่ะ เอ่อ คุณกับเขา..."

ฆาเบียร์ลูบผมดำที่นุ่มราวเส้นไหมเบาๆ

"ก็แค่สนุกกันนานๆ ทีน่ะ เจ"

ฆาเบียร์ก้มลงจูบหน้าผากเนียนของคนรัก ระหว่างเขากับหนุ่มอิตาเลียนรูปงามคนนั้นไม่มีอะไรกันมากไปกว่าเรื่องเซ็กส์และธุรกิจเท่านั้น



"ผมว่าเขาหล่อมากเลยนะคุณ ผู้ชายอย่างผมยังตะลึงเลย โปรไฟล์ดีมากๆ ด้วย คุณไม่เคยคิดจะคบหาเขาจริงจังมั่งเหรอ?..."

เจหยุดพูดเมื่อเห็นแววตาที่เริ่มขุ่นมัวของฆาเบียร์ เขาใจหายวาบ

"ขอโทษจริงๆ ครับฆาเบียร์ ผมไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ"

เจละล่ำละลักขอโทษเมียตัวโตของเขา เขาไม่ควรไปยุ่งเรื่องความสัมพันธ์ในอดีตของคนตัวโตเลย ฆาเบียร์ชักสีหน้า

"นี่นายกล้าชมผู้ชายคนอื่นว่าหล่อต่อหน้าฉันเหรอ เจ"

เจนยุทธกระพริบตาปริบๆ นี่เมียตัวโตของเขาเคืองเรื่องนี้หรอกหรือ

"เอ่อ ที่ชมนี่ผมไม่ได้คิดอะไรนะ ผมก็พูดไปตามจริง เหมือนเห็นดาราหล่อหรืออะไร"

"ฉันไม่ยอมจริงๆ นะ"

คนตัวโตทำหน้าบึ้ง เขาดึงแก้มป่องๆ ของคนรัก

"โอ๊ยๆๆ ดึงแก้มผมอีกแล้วอ่ะ..."



"...นี่แกล้งทำงอนกลบเกลื่อนอะไรหรือเปล่าเนี่ย หือ? ว่าไง คุณมาร์ติเนซ"

คนตัวเล็กทำท่าสงสัย

"เห้ย ฉันไม่ได้ปิดบังอะไรเลยนะ นายอยากฟังอะไรถามมาได้เล้ย ฉันเล่าให้นายฟังได้หมด จะให้ไล่เรียงมาเลยก็ได้ว่าฉันเคยเดทเคยคบหาใครบ้าง เฉพาะคนที่ฉันจำได้นะ"

คนตัวโตพูดเสียงดังพร้อมทำท่าจริงจัง เจยกมือห้ามไว้

"อย่าเลยคุณ เท่าที่เห็นๆ มา คนในอดีตของคุณมีแต่โปรไฟล์สูงๆ ไม่ก็เป็นคนดัง รู้ไปผมก็มีแต่รู้สึกถึงความต่ำต้อยของตัวเอง"

เจพูดอย่างน้อยใจในตัวเองเล็กๆ คนตัวเล็กสารภาพว่าเขาเองก็แอบไปหารูปคนในอดีตของฆาเบียร์ดูบ้าง ซึ่งหาไม่ยากเลย แค่เอาชื่อคนตัวโตไปหาดูในเน็ต บางทีมันก็เด้งรูปตัวคนรักของเขาพร้อมกับคู่เดทของเจ้าตัวในขณะนั้นขึ้นมา บางคนก็เป็นนักกีฬาชื่อดัง หนุ่มไฮโซหรือดารา นายแบบก็ยังมี หรือต่อให้ไม่ได้เป็นคนดัง หนุ่มๆ เหล่านั้นก็ต่างหน้าตาดีและดูดี ดูจากรูปพวกนั้นแล้วเห็นได้ชัดว่าเมียตัวโตของเขานั้น "งานยุ่ง" ทีเดียว

"...ยิ่งมาเห็นคุณกับคุณเพเทรลลี่วันนี้ พวกคุณดูสมกันมากเลย รู้ไหม?"

เจไม่ได้พูดเกินจริง เขามองภาพชายหนุ่มสองคนที่หน้าตา บุคลิกและการแต่งตัวภูมิฐานเหมือนกัน บทสนทนาที่เป็นการเป็นงาน บรรยากาศสูงส่งรอบตัวคนทั้งสองนั้น มันเหมือนกับคนทั้งคู่อยู่คนละจักรวาลกับเขา กับคนที่เขาเคยเจอแล้วเช่นฌอง ริเชลิเยอหรือกระทั่งจอช ก็ล้วนแต่ดูสมกับฆาบี้มากกว่าเขาทั้งนั้น

“…แล้วพอผมเห็นรูปตัวเองที่ถ่ายคู่กับคุณ ผมมันเด็กกะโปโลชัดๆ เลยอ่ะ…โอ๊ย!”

เจร้องลั่นเมื่ิอคนตัวโตใช้นิ้วดีดกลางหน้าผากเขา ฆาเบียร์ดึงคนตัวเล็กขึ้นมานั่งประจันหน้ากับเขา

“คิดบ้าๆ อะไรอีกแล้ว เจนยุทธ ไม่ต้องมาคิดเลยว่านายด้อยกว่าคนนั้นคนนี้ แค่ว่าฉันรักนายแบบที่ไม่เคยรักใครมาก่อน นายก็น่าจะมั่นใจได้แล้วไม่ใช่เหรอ”



“...ฉันขอล่ะ เจ ช่วยมองข้ามพวกเรื่องฐานะอะไรไปได้ไหม? ช่วยมองฉันเป็นเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ ขอร้องเจให้รักฉัน”

เจนยุทธมองลึกเข้าไปในดวงตาแพรวพรายของคนรัก

“ฆาบี้ครับ…”

เจนยุทธยื่นมือไปกอบกุมมือใหญ่ของคนรัก

“ก๊อปเรื่อง Notting Hill มาหน้าด้านๆ เลยนะคุณ”

เจหัวเราะคิกออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อคนรักดัดแปลงประโยคดังอย่าง “I’m also just a girl, standing in front of a boy, asking him to love her” ที่ดาราสาว Anna Scott ในเรื่องซึ่งแสดงโดย Julia Roberts พูดกับ Hugh Grants ซึ่งแสดงเป็นหนุ่มเจ้าของร้านหนังสือเก่าเล็กๆ ในน็อตติง ฮิลล์

“ยังอุตส่าห์จำได้อีกนะ”

คนตัวโตบ่นอุบ เขาไม่นึกว่าเจจะจำประโยคจากหนังรักน้ำเน่าเก่าๆ เรื่องนี้ได้ เจยิ้มบางๆ ฆาเบียร์ดูถูกคนที่ยามว่างก็ต้องเปิดทีวีดูอย่างเขาเสียแล้ว เจมักเปิดทีวีทิ้งไว้เพื่อดูคอยดูสำนวนการแปลจากทั้งหนัง ซีรีส์และสารคดี แล้วไอ้เจ้าเรื่อง Notting Hill นี่ก็เพิ่งผ่านตาเขาไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง



"งั้น เอาใหม่..."

"...Fear not, my love. My heart will never ever change no matter what. That's because I've already surrendered all my heart, my love and my life to you"

'อย่ากลัวเลย ที่รัก ไม่ว่าอย่างไรหัวใจฉันจะไม่มีวันเปลี่ยน นั่นก็เพราะฉันได้ยินยอมมอบทั้งหัวใจ ความรักและชีวิตของฉันให้นายไปแล้ว'

เจยิ้มเยาะ นี่คงไม่แคล้วมาจากหนังสักเรื่องอีก

"หึ น้ำเน่าอีกแล้วนะคุณ ทีนี้จากเรื่องอะไรอีกล่ะ"

ฆาเบียร์ยิ้มกว้างและจูบเบาๆ บนหน้าผากของคนรัก

"จาก La Historia del Amor de Javier y Jay จ้ะ"

เจนยุทธหน้าแดงก่ำเมื่อคนตัวโตบอกว่ามันมาจาก 'เรื่องราวความรักของฆาเบียร์และเจ'​ คนๆ นี้น่าจะไปแต่งบทละครน้ำเน่าจริงๆ



คนตัวโตจับมือคนรักขึ้นจูบแผ่วๆ

"เจจ๋า ฉันขอล่ะ อย่ามองความรักของฉันเป็นอย่างอื่นไปเลยนะ ฐานะ หน้าที่การงาน หน้าตาหรืออะไรมันไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยสำหรับฉัน ฉันไม่เคยเอามันมาตัดสินความสัมพันธ์ของเราเลย"

เจถอนหายใจออกมาเบาๆ ใช่สินะ ตัวเขาเองก็เคยพูดไว้ว่าเขาไม่เคยมีคนรักจริงจังเพราะยังหาใครที่จะมองข้ามหน้าตา ฐานะและอื่นๆ ของเขาไปได้ แต่ในตอนนี้เขาเองกลับนำเรื่องเหล่านี้มาตัดสินคนรักของตัวเอง

“แล้วคุณเองก็จะมองผมเป็นแค่ชายคนหนึ่งที่รักคุณด้วยใช่ไหม?”

"ใช่ เราจะเป็นแค่ชายสองคนที่รักกัน ผูกพันกันด้วยใจและจิตวิญญาณ..."

"...และกายด้วย"

เจพูดแทรกขึ้นเบาๆ เขาจูบแผ่วๆ ที่ริมฝีปากของคนรักซึ่งจูบตอบอย่างอ่อนโยน ฆาเบียร์ดึงร่างเพรียวของเจขึ้นมานั่งบนตัก เขาโอบกระชับคนรักเข้าแนบอก ริมฝีปากของเจช่างหวานนัก มันดึงดูดให้เขาเลาะเล็มจูบไล้ได้ไม่เบื่อ

"เจ...อยากทำอีกเหรอ?"

ฆาเบียร์กระซิบถามคนตัวเล็กที่หอมซ้ายหอมขวาเขา แม้เจจะจัดการเขาไปรอบหนึ่งแล้วเมื่อก่อนหน้านี้หลังออกมาจากห้องน้ำ แต่เขาก็รู้ดีว่าความต้องการของคนรักนั้นล้นเหลือแค่ไหน หากเจสั่นหัวปฏิเสธ เขาบอกว่าเขาแค่อยากนัวเนียกอดๆ หอมๆ ฆาเบียร์แบบนี้เฉยๆ

"ก็คุณทำตัวน่ารักนี่นา ขอฟัดเล่นหน่อยได้ไหมอ่ะ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ เจพูดซะเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหมาหมูโรซ่าเลยทีเดียว



"เจ เจจ๋า พอก่อนดีกว่าไหม? เดี๋ยวฉันจะทนไม่ไหวก่อนนะ"

คนตัวโตขอร้องคนรักที่กอดปล้ำจูบเขาเล่นอย่างสนุกสนาน เจอาจจะแค่อยากจะนัวเนียกับเขาเฉยๆ แต่สัมผัสร้อนๆ แบบนี้ทำให้ฆาเบียร์เองชักจะทนไม่ไหวแล้ว เจรีบปล่อยร่างคนรักทันที เขาเองก็ยังไม่อยากลำบากเช่นกัน

"พอแล้วก็ได้..."

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบนาฬิกาที่ถอดไว้ข้างเตียงมาดู

"ตีหนึ่งกว่า จะนอนแล้วไหม ฆาเบียร์?"

"นอนแล้วก็ได้เจ ง่วงแล้วใช่ไหมล่ะ?"

เจนยุทธส่ายหัว เขายังไม่เชิงง่วงซะทีเดียว เขาตัดสินใจลุกขึ้นแต่งตัว

"นายจะไปไหน?"

คนตัวโตชันกายลุกขึ้นนั่ง

"ผมจะลงไปหยอดสล็อตแป๊บนึง คุณไม่ต้องลงไปกับผมก็ได้ ผมเอาตังค์ไปนิดเดียว เดี๋ยวก็หมดละ"

ทุกครั้งที่มามาเก๊า เจไม่เคยลงไปเล่นอะไรจริงจังในบ่อน เขาแค่ชอบหยอดสล็อตแมชีนเล่นโดยรู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางได้เงิน เขาแค่เล่นให้ได้รู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ เท่านั้น

"เดี๋ยวฉันไปด้วย"

ฆาเบียร์รีบโดดลงเตียง เขาหยิบกางเกงยีนส์และเสื้อยืดมาใส่พร้อมกับรองเท้าลำลองคู่แพงระยับของเขา เจใส่กางเกงผ้าขาสั้นกับเสื้อยืดและรองเท้าแตะรัดส้น เจหยิบซองจดหมายเล็กๆ ซองหนึ่งออกมาจากซองใส่เอกสารเดินทางทั้งหลายของเขา เขาหยิบเงินออกมา 100 ดอลลาร์ฮ่องกงหรือประมาณ 400 กว่าบาท

"ผมจะเล่นแค่นี้พอนะ"

เขาบอกฆาเบียร์ว่าเขาจะตั้งลิมิตของตัวเองไว้และหยิบเงินลงไปเพียงแค่นั้น เขาเอาซองนั้นใส่กลับเข้าไปในตู้เซฟพร้อมกระเป๋าเงินและของมีค่าอื่นๆ



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Am I Worth Your Bet? (ต่อ) ----





"เจแลกเงินมาเล่นโดยเฉพาะเลยเหรอ?"

คนตัวโตถามขณะที่พวกเขาลงลิฟท์มาที่คาสิโนบริเวณชั้นล็อบบี้ของโรงแรม เขาเห็นจากในซองว่ามีเงินในนั้นประมาณเกือบ 500 เหรียญฮ่องกง เจหัวเราะออกมา

"อ๋อ เงินนั้นเหรอ? ฮ่าๆ คืองี้..."

ก่อนเดินทางมาฮ่องกง เจถูกล็อตเตอรี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ถึงจะเป็นแค่เลขท้ายสองตัวเขาก็มองว่ามันเป็นลางดีและเอาเงินจำนวนที่ได้มานั้นไปแลกเป็นเงินฮ่องกงเพื่อเอามาหยอดสล็อตโดยเฉพาะ

"มันอาจจะทำให้ผมรวยเลยก็ได้นะ..."

เจพูดแล้วก็หัวเราะออกมา เขาบอกฆาบี้ว่าใจจริงเขาไม่ได้คิดว่ามันจะได้ตังค์คืนหรอก เขาแค่คิดว่าอย่างน้อยก็เหมือนได้เล่นสล็อตฟรีโดยเสียไปแค่ 100 บาทค่าซื้อหวยเท่านั้น



"มะ เลือกให้ผมหน่อย ตู้ไหนดี"

เจเลือกแต่ตู้ราคาถูกคือ 10 เซ็นต์ เขาบอกว่าถ้าหา 5 เซ็นต์เจอเขาก็จะเล่น 5 เซ็นต์

“อืมม์...ตู้นี้ก็ได้นะ”

ฆาเบียร์ดึงเก้าอี้ให้เจนั่งหน้าตู้สล็อตตู้หนึ่งหลังจากก้มๆ เงยๆ อ่านอะไรที่ข้างตู้พักหนึ่ง

“คุณดูอะไรน่ะ?”

เจนยุทธถามอย่างสงสัย คนตัวโตชี้ให้เขาดูมาตรวัดเล็กๆ ที่ข้างตู้ มันแสดงตัวเลขสองสามชุดบนนั้น

“นี่เป็นเหมือนเกจ์วัดไมล์ของรถยนต์น่ะเจ มันแสดงว่าเครื่องนี้ได้เงินไปเท่าไหร่และจ่ายออกไปเท่าไหร่ เราก็เลือกตู้ที่ดูว่าจ่ายเงินออกไปเยอะหน่อยเมื่อเทียบอัตราส่วนกับเงินที่มันได้รับ”

หากสิ่งหนึ่งที่ทุกตู้เหมือนกันคือมันรับเงินเข้าไปมากกว่าที่จ่ายมากโข



เจนยุทธหยิบเงินออกมา 100 เหรียญและป้อนมันเข้าไปในตู้และกดปุ่ม bet เขาเลือกตู้ถูกเพราะจะได้สามารถลงเงินได้ทีละหลายๆ แบบ ตู้ 10 เซ็นต์นั้นหมายถึงลงเงินขั้นต่ำ 10 เซ็นต์ หมายถึงพนันเลขตรงกันแค่แถวเดียว หากในการหมุนหนึ่งครั้ง เขาสามารถเลือกได้หลายแบบว่าจะให้เรียงเลขแบบทะแยงและอื่นๆ แล้วแต่ๆ ละตู้จะกำหนดซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการได้เงิน เขายังสามารถเพิ่มเงินพนันต่อเส้นได้ถึงสิบเท่า ฉะนั้นหากลงครบทุกอย่างหมายความว่าเจอาจต้องลงเงินเกือบสิบดอลลาร์ต่อการหมุนครั้งหนึ่ง

หากเจไม่เลือกลงเยอะขนาดนั้น เขาลงไปประมาณ 2 ดอลลาร์ต่อการหมุนครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เขาเล่นได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่มันก็เหมือนกับการพนันชนิดอื่นๆ แม้จะได้เงินบ้างพอให้ตื่นเต้น แต่สุดท้ายมันก็มีแต่เสีย เจเปลี่ยนเครื่องไปสามสี่เครื่อง พอรู้สึกว่ามันเริ่มไม่จ่าย เขาก็เปลี่ยน มีครั้งที่ได้เงินมาหลายสิบเหรียญ แต่เมื่อเจไม่หยุด เงินที่ได้คืนมานั้นก็หมดอย่างรวดเร็ว



เจกดปุ่ม cash out ไอ้เจ้าเครื่องที่เล่นอยู่กินตังค์เขาไปเกือบหมดแล้ว เครื่องพิมพ์ตั๋วเงินออกมาให้เขาใบหนึ่ง

“ยี่สิบสุดท้ายละ เครื่องไหนดี?”

เจมองมูลค่าที่แสดงบนตั๋ว

“ลองเครื่องนั้นไหม?”

ฆาเบียร์ชี้ไปที่ตู้ที่มีรูปยักษ์ในตะเกียงจากเรื่องอะลาดินซึ่งตั้งอยู่เกือบกลางห้อง เจนั่งลงและสอดตั๋วเงินเข้าไปเขาลงเงินจำนวนกลางๆ และนั่งเล่นไปเรื่อยๆ

“เห้ยๆ มันให้ทำอะไรอ่ะคุณ?”

เจหมุนได้เล่นเกมโบนัสหมุนฟรี 15 ตา เจ้ายักษ์โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอและให้เขาทำอะไรสักอย่าง

“อ๋อ มันให้เจถูตะเกียงน่ะ”

ฆาเบียร์อ่านตัวหนังสือจีนบนหน้าจอแล้วชี้ที่ตะเกียงพลาสติกที่ติดอยู่เหนือจอสล็อต มันกำลังส่องแสงสีทองออกมา เจอึ้งไป เขาเพิ่งรู้ว่ามันมีสล็อตแบบ interactive แบบนี้ด้วย เขายกมือขึ้นถูมัน เกมหมุนไปเรื่อยๆ เขาได้หมุนฟรีซ้ำๆ อีกหลายครั้ง เสียงกระดิ่งจากเครื่องที่ดังรัวๆ ทำให้เขาใจเต้น



“เห้ยๆๆ สามร้อยกว่าเหรียญแล้วคุณ!”

เจอุทานอย่างตื่นเต้น

“…คุณต้องเป็นตัวนำโชคของผมแน่ๆ”

เจหันไปจูบมือใหญ่ที่เกาะกุมบ่าเขา

“เล่นต่อไหม เจ?”

เจนยุทธเม้มปากแน่น กฏเหล็กของการพนันคือควรเลิกตั้งแต่ยังมือขึ้น แต่เขากะเล่นเอาสนุกแต่แรกอยู่แล้ว ฉะนั้น…

“เล่น!”

เจผงกหัว เขากดปุ่ม bet อีกครั้ง ทีนี้ลงหนักกว่าเดิม แล้วก็จริงดั่งคาด เขาแทบไม่ได้อะไรเพิ่มอีกเลย



“โอเค พอละ”

เจกดปุ่ม cash out เขาเหลือเงินในตั๋วขึ้นเงินนั้น 0.69 เซ็นต์

“เฮ้อ เงินพนันนี่มาเร็วไปเร็วจริงๆ เนาะ”

เจส่องดูกระดาษที่เขาได้มาและส่งมันให้ฆาเบียร์

“เอ้า เอาไป ของที่ระลึกการเข้าคาสิโนด้วยกันครั้งแรกของพวกเรา”

ฆาเบียร์รับตั๋วเงินใบนั้นมาดู บนนั้นมีทั้งชื่อคาสิโน วันที่และเวลาปรินท์ใบออกมาเสร็จสรรพ

“ผมมามาเก๊าทีไรก็ได้ไอ้พวกนี้กลับไปเก็บไว้เป็นที่ระลึกทุกทีแหละ ไปเล่นที่ใหม่ก็ได้ใบมาเก็บไว้”

"ฮ้า หมดตัวละ สบายใจ หลับได้ ไปกันเถอะฆาบี้"



ทั้งสองคนพากันเดินผ่านโต๊ะพนันที่มีนักพนันจีนนั่งหน้าตาคร่ำเครียดอยู่เต็มแทบทุกโต๊ะ เจมองคนเหล่านั้น นี่ก็ตีสองกว่าแล้ว เหล่านักพนันพวกนี้ก็ยังคงไม่หลับไม่นอน พวกเขามาที่นี่เพื่อเล่นเพียงอย่างเดียวและหวังจะได้รับโชคกลับไปบ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่สมหวังแล้วได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากของเหล่านี้

"อย่ามาหวังรวยจากคาสิโนเลย เจ"

ฆาเบียร์พูดเหมือนรู้ใจเขา เจพยักหน้า มันไม่มีคนที่มือขึ้นตลอดเวลาหรอก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สารพัดอุปกรณ์ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์แล้ว เขาพูดสิ่งที่เขาคิดให้ฆาเบียร์ฟัง

"ใช่ ตอนนี้อะไรๆ ก็เป็นอีเล็คทรอนิคส์ไปหมด สล็อตก็อย่างหนึ่งละ ฉันเลิกเล่นตั้งแต่มันไม่ใช่แบบเป็นวงล้อที่ใช้แขนโยกจริงๆ แล้ว มันไม่ได้ฟีลเหมือนตอนที่ค่อยๆ นั่งหยอดเหรียญและฟังเสียงเหรียญตกกระทบถาดรอง

"โห...ผมเกิดไม่ทันสล็อตแบบนั้นอ่ะ"

ฆาเบียร์โวยลั่นเมื่อคนตัวเล็กวกมาแซวเขาเรื่องอายุอีกแล้ว เขาบ่นกะปอดกะแปดว่ามันไม่ได้นานขนาดนั้น แค่ตอนเขาเป็นนักศึกษาเอง

"มันก็จะยี่สิบปีแล้วนะคุณ ตอนนั้นผมเจ็ดแปดขวบเองนะ"

เจนยุทธหัวเราะคิกคักและซบหน้าลงกับไหล่ของคนรักที่โอบเอวเขาอยู่ ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ออกมาพ้นส่วนคาสิโนแล้ว เจรู้สึกสะดวกใจที่จะแสดงท่าทีใกล้ชิดกับคนตัวโตมากกว่าตอนอยู่ในนั้น พวกเขาขึ้นลิฟท์กลับไปที่ห้องนอนของพวกเขา



"ทำไมเจชอบเล่นสล็อตเหรอ? ยังไงก็มีแต่เสีย"

"อืมม์ อย่างแรกเลยคือ มันถูก ถ้าเล่นอย่างอื่นมันบังคับลงขั้นต่ำก็เหรียญนึงละ แต่สล็อต ถ้าตังค์น้อยแล้วอยากแค่กดๆ เล่น ก็เล่นแค่ทีละสิบเซ็นต์ให้แค่ได้จิ้มๆ แค่นั้น"

เจเล่นสล็อตแมชีนเพื่อให้ได้รู้สึกว่าเล่นบางอย่าง แค่นั้น แม้จะรู้ว่าเปอร์เซ็นต์ได้เงินมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก เขาก็แค่อยากตื่นเต้นเล็กๆ แค่นั้น

"แล้วผมชอบเสียงมันอ่ะ ตอนมันได้รางวัลอะไรพวกนั้น เหมือนเล่นเกมดี"

เจนึกถึงตอนที่เขาได้รางวัลพิเศษจากตู้อะลาดิน เสียงกระดิ่ง เสียงเพลง เสียงหมุนวงล้อมันทำให้เขาตื่นเต้นไปหมด

“แล้วอย่างอื่นมันเป็นโต๊ะๆ ดูยาก ผมเล่นไม่เป็นอ่ะ”

เขาเคยไปด้อมๆ มองๆ ดูตามโต๊ะบัคคาร่าแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเล่นยังไง กระทั่งรูเล็ตต์ที่เหมือนจะง่ายก็ยังมีวิธีเดิมพันหลากหลายจนเขาไม่คิดจะเล่น สุดท้ายเขาก็กลับมาที่สล็อตแมชีนเหมือนเดิม



"แล้วคุณล่ะ ฆาบี้ คุณชอบเล่นอะไร?"

เจนยุทธพลิกกายขึ้นนอนพังพาบบนแผงอกกว้างของคนตัวโต ตาใสๆ ของเจจ้องเป๋งไปยังใบหน้าคมสันของคนรักเพื่อรอคำตอบ

"สำหรับฉันกับอาปาก็ต้องโป๊กเกอร์ ฉันชอบเล่นกับคนมากกว่ากับพวกเครื่องนะ"

เจพยักหน้าหงึกหงัก เขาเห็นฝีมือเมียตัวโตของเขาแล้วเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาตอนฆาเบียร์กวาดเงินจากวงโป๊กเกอร์ที่บ้านไร่ของเขาจนเกลี้ยง

"เคยเล่นไหม เจ สนุกนะ"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เจทำหน้าเบ้

"ไม่ไหวอ่ะ เคยลองแล้ว แพ้ตลอด ยิ่งเล่นกับเจ๊พลอยนะตายสนิท"

คนตัวโตหัวเราะหึๆ คนตัวเล็กของเขาเก็บอาการไม่เก่งและแสดงทุกอย่างออกทางสีหน้าเสียหมด ไม่แปลกที่จะเล่นเกมไพ่ที่ต้องอาศัยการบลัฟฟ์กันชนิดนี้ไม่ได้ แต่ฆาเบียร์เองก็ต้องชักสีหน้าเมื่อเจนยุทธเจื้อยแจ้วต่อ



"...บางทีไม่ได้เล่นลงตังค์จริง เล่นเป็นโป๊กเกอร์แก้ผ้าแทน ผมงี้หมดตัวก่อนเขาเพื่อนทุกที"

เจหัวเราะแหะๆ แต่ฆาเบียร์นั้นหน้าตึง

"ห้ามเล่นแบบนี้อีกนะ เจ ไอ้พวกไพ่แก้ผ้าน่ะ ฉันขอล่ะ"

"โหย โดยมากก็เล่นกับพวกเพื่อนผู้ชายด้วยกันน่า อย่างตอนเรียนอ่ะ เล่นบ่อย​ แพ้แก้ผ้ามั่ง กินเหล้ามั่ง ปนๆ กันไป ไอ้ตั้มอ่ะเก่งสุด เล่นทีไรผม ไอ้ซัน ไอ้ปรินซ์แพ้มันทุกที ผมว่าคงเพราะมันอยากดูผู้ชายแก้ผ้าเลยพยายามชนะจนได้"

เจหัวเราะคิกคักเมื่อนึกถึงชีวิตวัยหนุ่มตอนอยู่มหาวิทยาลัย พวกเขายังแซวรุ่นน้องหนุ่มที่ไม่นิยมหญิงเรื่องนี้จนทุกวันนี้

"นี่เจแก้ผ้าให้ไอ้เด็กบาร์เทนเดอร์นั่นดูด้วยเหรอ?"

เจนยุทธงงวูบ คนตัวโตของเขาตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ

"เห้ยๆๆ โกรธอะไรอ่ะ คุณ มันก็ผู้ชายเหมือนกับผมอ่ะ ตอนไปค่ายก็อาบน้ำด้วยกัน ไม่เห็นต้องคิดมากเลย"

"ฉันก็ผู้ชายเหมือนกับเจนะ แต่ฉันก็ทำแบบนี้กับเจได้"

ฆาเบียร์ดันร่างคนตัวเล็กลงกับเตียงแล้วบดจูบลงไปบนปากรูปกระจับนั้นอย่างรุนแรง เจดันหน้าคนตัวโตออกและพยายามเบี่ยงหน้าหลบ



"อื้อ อย่า!...เอ๊ะ ฆาบี้! ผมบอกว่าอย่า!"

เจตวาดเบาๆ ด้วยความเกรงใจห้องข้างๆ แต่มันเพียงพอที่จะทำให้ฆาเบียร์หยุด คนตัวโตตะลึงมองเจนยุทธ น้ำเสียงของเจทำให้เขาได้สติ เขารีบพลิกตัวลงไปยืนข้างเตียง

"เจ ฉัน...ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ"

ฆาเบียร์ตัวสั่นและทรุดฮวบลงนั่งกับพื้น เขาเผลอตัวทำรุนแรงกับเจอีกแล้ว เจนยุทธถอนหายใจและยันกายลุกขึ้นนั่ง เขาขยับกายไปนั่งห้อยขาที่ข้างเตียงและส่งมือให้คนตัวโต ฆาเบียร์มองมือที่ยื่นมาด้วยสายตาว่างเปล่า เขาละอายจนไม่กล้าสัมผัสตัวเจแล้วด้วยซ้ำ

"มานี่สิ ฆาบี้ มาให้ผมกอดหน่อย"

เจเรียกคนรักเบาๆ คนตัวโตค่อยๆ ยื่นมือมาให้คนรักอย่างกล้าๆ กลัวๆ เจกระชากร่างคนรักขึ้นมาจากพื้น ฆาเบียร์เสียหลักล้มลง เจรับร่างใหญ่กำยำนั้นไว้ในอ้อมอก เขากอดรัดร่างใหญ่นั้นไว้แน่น ฆาเบียร์กอดตอบ เจลูบหลังคนรักที่นั่งคร่อมตักเขาเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงหยาดน้ำตาอุ่นๆ ที่หยดลงบนบ่า

"อย่าโกรธฉันเลยนะ เจ ฉันขอโทษจริงๆ"

ฆาเบียร์พูดเสียงอ่อยๆ น้ำตาร่วงพรูจากตาคู่งามนั้น

"ฉันงี่เง่าไปเองจริงๆ ฉันเสียใจ เสียใจจริงๆ"

"โอ๋ๆๆ อย่าร้องไห้เลยนะครับ เมีย อย่าร้อง"

เจลูบหลังคนรักขี้แยของเขา

"ถือซะว่าวันนี้เรางี่เง่ากันไปคนละครั้งแล้วกันนะ"

เจพูดถึงตอนที่เขาถามฆาเบียร์ถึงเรื่องคุณเพเทรลลี่



"แต่ฆาเบียร์ครับ ผมขอเถอะนะ เรื่องหึงผมกับไอ้ตั้มเนี่ย มันไม่มีอะไรจริงๆ"

เจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาจะทำให้คนตัวโตเข้าใจได้ยังไงว่าระหว่างเขากับบาร์เทนเดอร์หนุ่มรุ่นน้องนั้นไม่มีอะไรกันจริงๆ

"ผมไม่ได้คิดอะไรกับมันแบบนั้นเลยนะ แล้วตลอดเกือบสิบปีนี้มันก็ไม่เคยมีทีท่าจะมาสนใจอะไรผม ฉะนั้นขอเถอะ ฆาบี้ อย่าให้มันต้องทำให้เราต้องเคืองกันเลยนะ"

เจจ้องเข้าไปในดวงตาที่มีน้ำตาคลอหน่วยของคนรัก ตาที่แพรวพรายของฆาบี้มีแววหม่นหมอง

"ฉันเข้าใจแล้วเจ ฉันแค่...แค่ไม่ไว้ใจเด็กนั่นเลย แต่ถ้าเจต้องการแบบนั้น ฉันก็จะพยายามไม่ให้เรื่องนี้มาเป็นประเด็นอีก"

ฆาเบียร์ยิ้มเศร้าๆ เขาดูออกจากสายตาของหนุ่มบาร์เทนเดอร์คนนั้น ในอดีตเขาอาจไม่เคยคิดอะไรกับเจจริง หากทุกวันนี้เหมือนอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว แต่ถ้าเรื่องนี้จะทำให้เขากับเจมีปัญหากัน เขาขอเลือกนิ่งเงียบไว้ดีกว่า



"ฉันแค่ขออย่างเดียวนะ เจ ฉันขอให้เจระวังตัวไว้บ้าง อย่าได้ไว้ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เวลาเปลี่ยนคนได้ ขอแค่นี้ได้ไหม?"

เจนยุทธเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับคำ เขาสวมกอดร่างกำยำตรงหน้าไว้อีกครั้งแล้วงับเบาๆ ที่บ่าของคนรักอย่างมันเขี้ยว

"คุณนี่ก็ใจร้อนเหมือนกันนะเนี่ย แบบนี้เล่นโป๊กเกอร์เก่งได้ไงเนี่ย?"

เจกระเซ้าคนรักที่อาการดีขึ้นบ้างแล้ว ฆาเบียร์หน้าร้อนวูบ

"ปกติฉันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องของเจ ไม่รู้ทำไมฉันถึงข่มใจไว้ไม่ได้เลย"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ

"ก็เพราะผมหล่อขั้นเทพแบบนี้ คุณถึงหวงขนาดนั้นใช่ไหมล่ะ?"

เจพูดยิ้มๆ เขาพยายามทำให้คนรักอารมณ์ดีขึ้น

"อื้อ หือ กล้าพูดจริงๆ นะ เจ...อย่างนายน่ะ ไม่เรียกว่าหล่อหรอก"

ฆาเบียร์เผลอยิ้มกว้างออกมา

"อย่านะ อย่า อย่าคิดพูดคำนั้นออกมาเลย"

เจใช้นิ้วจิ้มหน้าผากคนรัก ฆาเบียร์จูบแผ่วๆ ที่แก้มป่องๆ ของเจนยุทธ

"อย่างเจน่ะ น่ารัก น่ารัก น่ารักที่สุดแล้ว"

ทุกคำว่าน่ารักของฆาเบียร์มาพร้อมจูบอุ่นๆ บนใบหน้าของคนรักตัวเล็กของเขา

"โอ๊ย หล่อยังกะติ๊ก เจษฎาภรณ์ คุณยังเรียกผมว่าน่ารักอีก ไปเลย ไม่ต้องมานั่งตักผมแล้ว หนัก!"

ฆาเบียร์หัวเราะก๊าก เขาไม่รู้หรอกว่าคนที่เจพูดชื่อออกมาเป็นภาษาไทยนั้นหล่อเหลาแค่ไหน แต่เขาขำทีท่างอนตุ๊บป่องของคนรัก เจ้าตัวจะรู้ไหมนะว่าท่าทางของตัวเองนั้นมันน่ารักน่าเอ็นดูแค่ไหน


แทนที่ฆาเบียร์จะลุก เขากลับค่อยๆ ขยับสะโพกถูไถไปตามตักของคนตัวเล็ก เขาพยายามให้บั้นท้ายแน่นๆ ของตัวเองสัมผัสกับแก่นกายของคนรัก เจขบกรามแน่น เขาค่อยๆ ขยับตัวเพื่อให้คนตัวโตนั่งคร่อมเขาได้ถนัด

"ฆาบี้ครับ..."

เจกระซิบเสียงแหบพร่า

"อืมม์..."

คนตัวโตที่เพลินกับการปลุกอารมณ์คนรักตอบรับเบาๆ

"ตีสามกว่าแล้วนะ...ถ้าทำตอนนี้ ได้นอนเช้าแน่คุณ"

คนตัวโตชะงักไป เขาก้มลงดูข้างล่างแล้วมองหน้าคนรัก

"แต่ถ้าหยุด เจจะค้างหรือเปล่า?"

คนตัวเล็กส่ายหน้า

"ไม่เป็นไรหรอก ฆาบี้ ผมแค่อยากนอนกอดคุณทั้งคืน โอเคนะ? ว่าแต่คุณเถอะ ไหวไหม?"

เจไม่ต้องก้มลงมองก็รู้สึกได้ถึงแก่นกายของฆาเบียร์ที่ทิ่มหน้าท้องเขาอยู่

"ถ้าเจไม่ทำ ฉันก็ไม่ทำ ไม่เป็นไร"

ฆาเบียร์ขยับตัวลุกขึ้นจากตักเจ เจขมวดคิ้ว

"เมียครับ ดึงผมลุกหน่อยดิ...ขาผมชาไปหมดแล้ว"

คนตัวโตถลึงตาใส่คนตัวเล็กที่บ่นกะปอดกะแปดว่าเขาตัวหนัก เขาอุ้มร่างเจขึ้นแล้วโยนลงไปกลางเตียงก่อนที่จะโถมตัวลงไปกอดปล้ำจั๊กกะจี้เจ ทั้งคู่กอดปล้ำเล่นกันไปมาจนสุดท้ายนอนหอบหายใจอิงแอบกัน ทั้งคู่หันมาหัวเราะให้กันและแลกจุมพิตอันอ่อนหวาน เจแอบนิ่วหน้านิดๆ ริมฝีปากเขาช้ำหน่อยๆ ตอนที่ฆาเบียร์บดริมฝีปากลงมาด้วยแรงอารมณ์ แต่เขาจะไม่บ่นให้คนตัวโตได้คิดมากอีก



"เจจ๋า"

ฆาบี้เรียกคนรักด้วยเสียงอ่อนโยน

"ครับ เมีย?"

เจที่นอนกกกอดเมียตัวโตของเขากระซิบตอบรับที่ข้างหู เขาจูบคลึงต้นคอแข็งแรงสีแทนของฆาเบียร์

"นายคือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉันเลยนะ เจ"

ฆาเบียร์ไม่ได้พูดเกินจริง สำหรับเขาที่ไม่เคยคิดจริงจังกับใคร การเอาความรักของเขามาทุ่มให้กับคนที่รู้จักกันได้ไม่นานอย่างเจนั้นเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ของชีวิต

"แล้วมันคุ้มค่าไหม? ฆาเบียร์"

เจนยุทธถามด้วยเสียงจริงจัง

"คุณเคยคิดเสียใจไหมที่รักผม"

ฆาเบียร์พลิกกายมาจูบริมฝีปากแดงก่ำที่อยู่ตรงหน้า

"ไม่เลยสักนิด เจนยุทธ นายคุ้มค่าเกินกว่าใจเน่าๆ ของฉันที่ให้นายไปมากนัก"

เจจรดจูบลงบนตำแหน่งที่ตั้งของหัวใจคนรัก จูบนั้นทิ้งรอยสีกุหลาบจางๆ ไว้

"ใจคุณไม่เน่าสักนิดเลย ที่รัก มันสวยจะตาย สวยจนผมไม่มีวันยกให้ใครแน่นอน!"

เจรัดร่างคนรักไว้แน่นอย่างหวงแหน

"คุณก็เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของชีวิตผมเหมือนกัน เอ๊ะ ฆาบี้ อย่าซน คนกำลังจะทำซึ้ง!"

เจตีมือคนตัวโตที่รุกรานลงต่ำไปทุกที

"เจจ๋า..."

"อะไรอีกล่ะ!"

"ก้นนิ่มจัง อ้วนขึ้นหรือเปล่า?..."

เจหน้าแดงแปร๊ด เขารีบดึงมือคนตัวโตที่สำรวจความฟิตแอนด์เฟิร์มของบั้นท้ายเขาออกแล้วรีบนอนหันหลังให้ เขานึกได้ว่าตัวเองพลาดเสียแล้วเมื่อถูกรัดร่างแน่นและมีความอุ่นของแก่นกายฆาเบียร์ซุกเข้ามาระหว่างก้อนเนื้อหนั่นแน่นของเขา

"ฆาบี้ อย่า..."

เจเสียงสั่น เขายังไม่พร้อม คนตัวโตที่ซุกหน้าลงกับต้นคอขาวผ่องของคนรักหัวเราะเบาๆ

"ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกเจ ขออยู่นิ่งๆ แบบนี้ก็พอ อุ่นดี"

เจถอนหายใจดังเฮือก เขาดึงมือคนรักให้มากอบกุมส่วนสงวนของตัวเองเพื่อไม่ให้ขาดทุน เขาหันหน้าไปจุ๊บที่ริมฝีปากบางของฆาเบียร์

"เอ้า นอนได้แล้ว ไม่งั้นพรุ่งนี้ตื่นไปไม่ทันร้านติ่มซำที่จองไว้"

เจพูดเสียงเครียด ฆาบี้อดยิ้มออกมาไม่ได้ เรื่องกินนี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจจริงๆ เขาจูบเบาๆ ที่ต้นคอคนรักอีกครั้งและหลับตาลง เจเองก็ยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินคนรักกรนออกมาเบาๆ ในที่สุด ฆาเบียร์หลับได้สนิทเหมือนเด็กทุกครั้งที่ได้นอนร่วมเตียงกับเขา เขาเองก็หวังว่าสักวันพวกเขาจะได้เข้านอนและตื่นพร้อมกันทุกวันโดยที่ไม่ต้องพรากจากกันอีก เจหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงภวังค์ในไม่ช้า


--------------------------------------


หาสาระไม่ได้เลยค่าวันนี้ นัวเนียกันไป ฟ่อดๆ แฟ่ดๆ กัน ไว้ตอนหน้ากลับมากินกระหน่ำเหมือนเดิมค่า ส่วนเรื่องคาสิโน มาเล่าให้ฟังเฉยๆ ค่า ไม่ได้ต้องการมาชี้ชวนนะคะ อย่าสล็อตนี่ เล่นเมื่อไหร่ไม่เคยได้เงิน ต่อให้ได้ ก็มักจะเล่นต่อจนหมดตลอด บรรยากาศมันจะชวนให้เราเสียตังค์ตลอดเวลา ฉะนั้นถ้าใจไม่แข็งอย่าเข้าค่ะ เอาตังค์ไปละลายกับช้อปปิ้งยังจะได้ของติดมือกลับมาบ้าง

ช่วงนี้จะอัพช้าหน่อยนะคะ แต่ตอนก็จะยาวขึ้นด้วย ช่วงแรกๆ อัพถี่แต่ตอนสั้นกว่า ตอนนี้ก็รออ่านตอนยาวๆ กันไปแล้วกันค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2018 04:10:36 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- กิ๊กเก่า ติ่มซำและบ้านโบราณ ----





"เจ เดี๋ยว เจ พอก่อน อ๊ะ อ๊า...เจ"

ฆาเบียร์คำรามลั่นออกมาพร้อมกับกายที่ผวาเยือกขึ้น มือของเขากำผมดำขลับของเจไว้แน่น เจกลืนน้ำขุ่นข้นของคนรักไปจนหมด ก่อนที่จะขยับไปยังอีกจุดที่สร้างความเสียวกระสันให้เมียตัวโตของเขา ฆาบี้ต้องครางระงมอีกครั้งเมื่อเจใช้นิ้วที่ชุ่มเจลสำรวจช่องทางแคบเล็กของเขา

"เจ อ๊ะ ไหนว่าจะไปกินข้าวไง"

คนตัวโตซี้ดปาก เขาตื่นมาด้วยสัมผัสที่กระตุ้นเร้าและพบกับเจนยุทธที่กำลังดูดกลืนส่วนสงวนของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจและสุดท้ายเจก็กินเขาเป็นอาหารเช้าไปจนได้

"เมียครับ อย่าดิ้นสิ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์ดิ้นพล่านเมื่อเจงัดเอาของเล่นชิ้นใหม่มาใช้อีกครั้ง แต่เจใช้มันแค่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงออกและส่งแก่นกายของเขาเข้าไปแทน ฆาเบียร์รัดร่างคนรักไว้แน่น ไอ้เจ้าของเล่นนั้นกระตุ้นเร้าความรู้สึกในช่องทางเขาจนตื่นตัวและไวต่อสัมผัสเต็มที่และมันทำให้เขารู้สึกถึงแท่งลำของเจได้มากขึ้นกว่าทุกครั้ง

"เจ ดีๆ แบบนี้ดีมากเลย โอย เสียวสุดๆ เลย"

"ฆาบี้ อื้อหือ ข้างในคุณรัดผมแน่นมาก"

เจครางออกมาเมื่อช่องทางของฆาเบียร์กระตุกถี่ยิบรัดส่วนสงวนของเขาจนแทบจะดันมันหลุดออกมา เจดึงร่างคนรักที่บิดเกร็งขึ้นมาแนบอก เขาจูบปากบางคู่นั้นอย่างดุดัน ฆาเบียร์ผวาเฮือกขึึ้นเมื่อเจกระแทกสะโพกถี่ๆ เขาซบหน้าลงกับไหล่คนตัวเล็ก



“อูย เบาๆ หน่อยสิคุณ เสียวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เจบ่นอุบเมื่อฆาเบียร์ทั้งกัดทั้งดูดที่บ่าและคอของเขา คอเขาคงลายเป็นตุ๊กแกแล้วแน่ๆ

“จวนหรือยังครับ คนดี ผมจวนแล้วนะ”

เจกระซิบเสียงกระเส่าที่ข้างหูเมียตัวโตของเขา ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ

“งั้นผมขออะไรอย่างได้ไหม?”

เจกระซิบบางอย่างข้างหูคนรัก ฆาเบียร์หน้าแดงก่ำ ไอ้ตัวเล็กของเขานี่มันร้ายนัก แต่เขาก็พยักหน้าอนุญาตเจจนได้ เจจูบหนักๆ ที่ปากบางนั้นด้วยความลิงโลดก่อนดันตัวฆาเบียร์ลงนอน เขายกขาแข็งแรงทั้งสองข้างของคนตัวโตขึ้นพาดแขนและเร่งเร้าสุดตัว เจคำรามออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อรู้สึกถึงการตอดรัดถี่ยิบ คนตัวโตเองก็คำรามยาวและสะท้านกายเฮือกใหญ่ เจรีบถอนกายออกจากช่องทางที่รัดรึงนั้นและขยับตัวไปนั่งคุกเข่าคร่อมอกของคนรัก เขาถอดเครื่องป้องกันออกและใช้มือรูดไล้ส่วนแกร่งเกร็งของตัวเองไม่กี่ครั้งก่อนที่จะสูดปากลั่นและปลดปล่อยออกมาบนใบหน้าและอกกว้างของฆาเบียร์



“อืมม์ เต็มหน้าฉันเลยนะ”

คนตัวโตตัดพ้อเล็กๆ หากก็ใช้นิ้วป้ายร่องรอยความรักของเจนยุทธบนใบหน้าก่อนจะใช้มันไล้ริมฝีปากตัวเองและส่งนิ้วที่ชุ่มน้ำรักนั้นเข้าปากแล้วดึงออกช้าๆ เจที่คุกเข่าคร่อมอกคนรักอยู่มองภาพนั้นด้วยความเสียวซ่านในอก

แม่งเอ๊ย เซ็กซี่ชิบ…

เขาหลุดปากอุทานเป็นภาษาไทยออกมาอย่างลืมตัว ทั้งริมฝีปากบางที่แดงก่ำและแก้มตอบที่มีสีเลือดฝาดของคนตัวโตต่างก็เปรอะไปด้วยน้ำขาวขุ่นของเขา ดวงตาอันฉ่ำเยิ้มไปด้วยความสุขสมที่ชะม้ายมองมาที่เขาทำให้เขาแทบคลั่ง เขาเคยทำแบบนี้กับสาวๆ นับไม่ถ้วนแต่เขาไม่เคยเห็นใครเซ็กซี่เท่าเมียตัวโตของเขามาก่อน อาจเพราะใบหน้าคมเข้มสมชายที่เปรอะน้ำรักนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนได้มีอำนาจเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง เหมือนว่าคนร่างใหญ่ที่ดูองอาจสมชายนี้ได้ยอมสยบให้เขาโดยสิ้นเชิงแล้ว

ฆาเบียร์ยิ้มบางๆ ถึงเจจะพึมพำออกมาเป็นภาษาไทย แต่เขาเข้าใจคำว่าเซ็กซี่ เมื่อครู่เขาอึ้งไปนิดหนึ่งเมื่อเจขอปลดปล่อยบนใบหน้าของเขา ไม่เคยมีใครทำกับเขาแบบนี้มาก่อน แต่สุดท้ายเขาก็อนุญาตเพราะมันเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาเองก็เคยและชอบทำกับคู่นอนของตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกมีอำนาจเหนืออีกฝ่าย แล้วทำไมเขาจะให้เจซึ่งเป็นเจ้าหัวใจของเขาทำไม่ได้ ถ้ามันทำให้เจมีความสุข เขายอมทุกอย่าง



เจคว้าทิชชู่ที่อยู่ข้างเตียงมาเช็ดทำความสะอาดให้คนรักก่อนจะล้มตัวนอนลงข้างๆ เขาซุกกายเข้าที่อกกว้างและกอดรัดร่างคนตัวโตของเขาเหมือนเป็นหมอนข้าง

“ดีไหมเจ?”

“อือ ดีโคตรเลยคุณ ฟินสุดๆ”

คนตัวเล็กพูดงึมงำ

“คุณโคตรเซ็กซี่เลยอ่ะ ผมทำแบบนี้มาหลายรอบแล้ว ไม่มีใครเหมือนคุณเลย ยั่วชิบ

เจพึมพำตบท้ายเป็นภาษาไทย เขาจุ๊บเบาๆ ที่รอยบุ๋มบนคางของเมียตัวโตของเขา ฆาบี้ชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเจบอกว่าเขาเคยทำแบบนี้กับคนอื่นมาก่อนแล้ว แต่ก็ต้องลอบถอนหายใจเบาๆ เขาเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน เขาตัดสินใจปล่อยความขุ่นมัวเล็กน้อยนั้นให้ผ่านไปเสีย เขาหันมายั่วเย้าคนรักของตนแทน

“ดี คราวหน้าฉันจะทำแบบนี้มั่งนะ”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขาคาดว่าไอ้ตัวเล็กคงโวยวายแน่ แต่ผิดคาด เจพยักหน้าอย่างว่าง่าย

“ได้สิ ฆาบี้ ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกดี ได้เสมอ”

ดวงตากลมที่จ้องแป๋วมาที่เขามีแววจริงจัง ฆาเบียร์รู้สึกวาบหวามขึ้นมาในอก

“…แล้วก็ไม่ใช่ว่าคุณไม่เคยทำนี่ คุณเคยปล่อยใส่หน้าผมแล้วไง ตอนอาบน้ำด้วยกันแล้วผมใช้ปากให้คุณ…”

เจ้าตัวเล็กเจื้อยแจ้วไป ฆาเบียร์หยุดคำพูดนั้นด้วยริมฝีปากร้อนผ่าวของเขา เจครางเบาๆ เมื่อลิ้นของฆาเบียร์ตวัดพันเกี่ยวไล้กับลิ้นเขา จูบของฆาบี้ทำให้เขาแทบขาดใจทุกครั้ง

“ไม่เหมือนกันนี่เจ…”

มือร้อนๆ ของคนตัวโตซุกซนไปทั่ว

“…ไหนๆ นายก็อนุญาตแล้ว ฉันขอใช้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ”

เจอุทานลั่นแล้วพยายามดันตัวคนรักออกแต่สู้แรงคนที่ตัวใหญ่กว่ามากไม่ได้ สุดท้ายเขาต้องยอมให้คนตัวโตจูบพรมไปทั่วร่างและลวนลามเขาจนหนำใจ หากฆาเบียร์ก็หยุดไว้แค่การกอดจูบลูบคลำ ความต้องการของเขาถูกตอบสนองไปเต็มที่แล้วเช้านี้



“เจ…”

ฆาเบียร์ผลักหัวของคนตัวเล็กที่นอนซบอกเขาเบาๆ

“อย่าพึ่งหลับสิ ไม่กินข้าวเช้าแล้วเหรอ?”

“ไม่กินแล้ว เมื่อกี้ผมกินคุณไปจนอิ่มแล้ว”

เจนยุทธพูดอย่างง่วงงุน

“จะแปดโมงแล้วนะจองติ่มซำไว้สิบโมงไม่ใช่เหรอ?”

เจลืมตาโพลงแล้วลุกพรวดขึ้น

“หา จะแปดโมงแล้วเหรอ ตายๆๆๆ ผมนึกว่าซักเจ็ดโมงอยู่”

เจตื่นมาทำทะลึ่งกับคนรักตั้งแต่หกโมง แต่เขาไม่คิดว่าเขาใช้เวลากับฆาเบียร์ไปนานถึงขนาดนั้น เขาตาลีตาเหลือกฉุดคนตัวโตลุกขึ้นจากเตียงแล้วลากเข้าห้องน้ำ



"สายแล้วๆๆๆ"

เจบ่นพึมพำ กว่าพ่อเจ้าประคุณของเขาจะอาบน้ำแต่งตัว ประโคมครีมต่างๆ นานาเสร็จก็เกือบเก้าโมง แพลนของเขาตอนแรกคือตื่นไปกินข้าวเช้าที่เลาจ์ซักแปดโมง นั่งดื่มสปาร์คลิ่งไวน์ชิลๆ แล้วกลับมาเข้าห้องน้ำห้องท่า จากนั้นก็ไปกินติ่มซำซักสิบโมง แต่ตอนนี้เขาคงทำได้แค่แวะดื่มเร็วๆ ซักแก้วเท่านั้น

เจเคี้ยวครัวซองต์ทาเนยถั่วตุ้ยๆ ในปาก เขายกครัวซองต์ที่เหลือชูให้ฆาบี้ดูพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม คนตัวโตพยักหน้ารับ คนตัวเล็กฉีกครัวซองต์ในมือแล้วเอานูเตลล่าป้าย จากนั้นส่งเข้าปากคนตัวโตที่อ้ารออยู่ เจก้มหน้าก้มตากินต่อ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ คนรักของเขาแทบไม่พูดกับเขาสักคำตั้งแต่ลงนั่งกินข้าวเช้าที่เลาจ์แห่งนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ขัดเคืองอะไรเพราะรู้ว่าเจนยุทธกำลังเร่งทำเวลาในการจัดการกับมื้อเช้า หนุ่มละตินหยิบแก้วเปล่าของเขาและเจแล้วเดินไปเทสปาร์คลิ่งไวน์ที่บาร์มาเพิ่ม

"อ้าว ไง มาร์ติเนซ เจอกันอีกแล้วนะ!"

ฆาเบียร์สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงนุ่มๆ ที่คุ้นหู เขาปั้นหน้ายิ้มแล้วหันไปหาพ่อหนุ่มอิตาเลียนที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ด้านหลัง

"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณเพเทรลลี่ เจอกันอีกแล้ว"

ปากเขาทักทายพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของเขา แต่ตาเขานั้นเหลือบมองไปยังคนตัวเล็กที่นั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะ เจเงยหน้ามามองเขาแว่บหนึ่งแล้วก้มหน้าลงไปกินนั่นนี่ต่อ หนุ่มอิตาเลี่ยนเจ้าเสน่ห์มองตามแล้วยิ้มน้อยๆ

"นั่นแฟนนายนี่ ชื่อเจใช่ไหม? เดี๋ยวขอฉันไปทักทายหน่อยนะ"

ร่างงามนั้นเดินไปหาเจนยุทธโดยไม่รอฟังคำตอบ ฆาเบียร์รีบสาวเท้าตามไป ในใจเขาอดกังวลไม่ได้ เขารู้ดีว่าพ่อหนุ่มนักรักคนนี้ห่ามแค่ไหน พวกเขามักมีเซ็กส์อย่างสุดเหวี่ยงกันและบางครั้งก็มีคู่ขาของอีกฝ่ายหรือคนที่เขาควงอยู่ช่วงนั้นเข้ามาร่วมวงด้วย ไม่ก็เป็นการแลกคู่



"ไงครับ เจ เจอกันอีกแล้วนะ จำผมได้ไหม?"

เจนยุทธรีบวางมีดส้อมและเช็ดไม้เช็ดมือ เขายกมือขึ้นสัมผัสกับมือนุ่มๆ ของชายหนุ่มที่เขามองว่าหล่อสุดๆ คนนั้น

"สวัสดีครับ คุณเพเทรลลี่ แน่นอนครับ ผมจำคุณได้แน่"

เจยิ้มหวานให้ชายหนุ่มผู้เป็นคู่ค้ากับคนรักของเขา

"แหม ผมดีใจนะที่เจจำผมได้"

ปากอิ่มสีแดงระเรื่อนั้นแย้มยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวๆ

"เจเขาความจำดีครับ"

ฆาเบียร์พูดเสียงเรียบๆ ขึ้นขัด เขาวางแก้วลงบนโต๊ะดังกึกและลงนั่ง เขายืนมองทั้งคู่มาครู่หนึ่งแล้ว ดูท่าแล้วพ่อหนุ่มนักรักคนนี้คงคิดว่าเขาจะยอมปล่อยเจให้ไปทำกิจกรรมแบบเราสามคนอย่างที่เคยทำมา เจทำหน้างงๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงของคนรักที่ฟังดูเหมือนขัดเคืองอะไรสักอย่าง แต่หนุ่มอิตาเลียนรูปงามที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่นั้นเหมือนจะไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของฆาเบียร์ เขายังทำหน้าระรื่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน



"เดี๋ยวฉันมานั่งกินข้าวกับนายดีกว่า มาร์ติเนซ จะได้คุยกันต่อเรื่องเมื่อวาน"

โดเมนิโก้ถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่งร่วมโต๊ะกับทั้งสอง เมื่อคืนทั้งเขากับฆาบี้นั่งคุยงานกันอยู่พักใหญ่จนอีกฝ่ายขอตัวขึ้นไปดูคนรัก ฆาเบียร์ทำท่าอึกอัก

"เอ่อ ตอนนี้ผมยังไม่สะดวกครับ เดี๋ยวเจเขาจองร้านติ่มซำไว้ตอนสิบโมง ตอนนี้ก็เก้าโมงกว่าแล้ว เดี๋ยวพวกผมต้องเดินไปที่นั่นอีก"

"โอ๊ย ไม่เป็นไร ฆาบี้ เดี๋ยวผมแคนเซิลก็ได้ คุณจะคุยงานไม่ใช่เหรอ? ไว้เราค่อยหาอย่างอื่นกินก็ได้"

เจโบกไม้โบกมือ เขาไม่อยากให้คนตัวโตเสียงาน ฆาเบียร์แทบอยากกุมขมับ เจไม่ให้ความร่วมมือกับเขาเลย

"เจ แต่นายอยากกินร้านนี้จริงๆ ไม่ใช่เหรอ?"

เจทำตาปริบๆ จ้องตาเมียตัวโตของเขาที่แอบเตะหน้าแข้งเขาเบาๆ

"เอ่อ อ่า...มันก็ใช่อ่ะนะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ แล้วส่งสายตาถามฆาเบียร์ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน

"เหรอ? อืมม์...น่าเสียดายจัง ฉันนึกว่าจะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับแฟนของนายซักหน่อย"

โดเมนิโก้พูดยิ้มๆ เขาสังเกตท่าทางของฆาเบียร์ออกว่าไม่อยากให้คนของตัวเองได้ปฏิสัมพันธ์กันกับเขา ยิ่งหนุ่มละตินรูปงามที่เคยร่วมเตียงกันมาก่อนทำท่าหวงของแบบนี้เขายิ่งอยากแกล้ง



"เอางี้ ถ้าพวกนายไม่รังเกียจ ขอฉันตามไปกินติ่มซำด้วยได้ไหม? เพิ่มขึ้นอีกคนคงไม่เป็นอะไรมั้ง?"

สองหนุ่มมองหน้ากัน แต่ก่อนที่จะทันตอบอะไรก็มีเสียงหวานๆ ติดสำเนียงสเปนของหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น

"คุณเพเทรลลี่ครับ อยู่ที่นี่เอง หนีผมมากินข้าวก่อนอีกแล้วนะ"

หนุ่มหน้าสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาโอบคอและหอมแก้มของหนุ่มอิตาเลียน โดเมนิโก้หันไปจุ๊บปากคู่ขาที่เขาทิ้งให้นอนพักในห้องเบาๆ

"อ้าว ฆาบี้!"

เสียงหวานๆ นั้นอุทานขึ้นเมื่อหันไปเห็นคนตัวโต

"ฆาเบียร์..."

เมียตัวโตของเจพูดสวนออกมาด้วยน้ำเสียงกระด้าง เขาไม่นึกว่าจะมาเจอกับนักบัลเลต์หนุ่มคนนี้ไกลถึงมาเก๊าแถมยังมากับคู่ค้าที่ก็เคยมีอะไรๆ กับเขาอีกด้วย อะไรจะโลกกลมขนาดนั้น เจนยุทธที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยหันหน้ามองคนนั้นคนนี้ด้วยความสับสน



"Wow...Ha pasado mucho tiempo desde la última vez que nos encontramos..."

"ว้าว นี่มันก็นานแล้วนะตั้งแต่เราเจอกันครั้งสุดท้าย"

เฟลิเป้หนุ่มนักบัลเลต์ชาวสเปนซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์คพูดขึ้นเบาๆ ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเจอกันคือที่ห้องชุดสุดหรูของฆาเบียร์ในเรซิเดนซ์ของโรงแรมแมนดาริน โอเรียนทอล นิวยอร์ค

"Ingles, por favor"

"พูดอังกฤษเถอะ"

คนตัวโตพูดตอบห้วนๆ แม้น้ำเสียงเขาจะอ่อนลง แต่ก็ยังเจือความดุดัน เจนยุทธปรายตาเป็นเชิงตำหนิไปยังคนรัก

"มาซะทีนะ เฟลิเป้ ดีที่ทันเจอฆาบี้ พวกนายไม่ได้เจอกันนานแล้วนี่"

โดเมนิโก้พูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า แต่ก่อนที่ฆาเบียร์ที่ทำหน้าพิพักพิพ่วนจะทันตอบโต้อะไร เจก็ชิงทักทายหนุ่มสเปนคนนั้นก่อน

"สวัสดีครับ ผมชื่อเจ คุณชื่ออะไรครับ?"

เฟลิเป้จ้องใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหนุ่มเอเชียหน้าตาน่ารักที่อยู่ตรงหน้า เขานึกในใจว่านี่คงเป็นคู่ควงคนใหม่ของฆาเบียร์ที่เอเชีย

"สวัสดี ฉันชื่อเฟลิเป้"

เขายื่นมือไปสัมผัสกับมือเรียวของเจนยุทธที่ยื่นมาตรงหน้าเบาๆ เขาจ้องมองใบหน้าที่ยิ้มละไมนั้นอย่างไม่ถูกชะตานัก เขาจำหนุ่มหน้าอ่อนคนนี้ได้แล้ว ใบหน้าที่ยิ้มละไมนี้คือใบหน้าเดียวกับที่เขาเห็นอยู่เต็มฟีดเพจของฆาเบียร์ในตอนนี้

'ยิ้มไปเถอะ เดี๋ยวนายก็จะถูกเขาเขี่ยทิ้งเหมือนฉัน'

หนุ่มหน้าสวยคิดในใจ เขาเคยเป็นคู่เดทคนโปรดของฆาเบียร์อยู่พักหนึ่ง จนเขาแอบคิดในใจว่าในที่สุดเขาอาจกลายเป็นตัวจริงของประชาสัมพันธ์หนุ่มรูปงามคนนั้น แต่หลังจากฆาเบียร์มาประจำที่เอเชีย เฟลิเป้ก็ไม่สามารถติดต่อหนุ่มร่างใหญ่คนนี้ได้อีกจนกระทั่งเห็นข่าวว่าที่จริงเขาคือผู้บริหารของอาณาจักรไอทีที่ตัวเองสร้างภาพว่าเป็นแค่ประชาสัมพันธ์นั้น



"เจจ๊ะ นี่ใกล้จะสิบโมงแล้วนะ นายจะไม่ไปจริงๆ เหรอ?"

ฆาเบียร์หันไปเร่งคนรัก เจหรี่ตามอง ดูท่าทางคนตัวโตของเขาอึดอัดและอยากออกไปจากที่นี่เต็มแก่แล้ว เขาถอนหายใจเบาๆ

"เออ ไปก็ไป ยุ่งจริง คุณนี่"

เจบ่นกะปอดกะแปด

"คุณเพเทรลลี่ครับ งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่า ถ้าช้าเดี๋ยวโดนตัดโต๊ะ แต่ถ้าไม่รังเกียจ เรามาดื่มกันต่อตอนกลางคืนก็ได้ครับ คืนนี้คุณยังอยู่มาเก๊าใช่ไหมครับ?"

เจชวนออกไปเพราะเขาอยากรู้ว่าหนุ่มอีกคนหนึ่งนั้นเป็นใคร และอยากรู้ว่าหนุ่มอิตาเลียนรูปงามคนนี้จะมาไม้ไหน

"ได้สิ เจ เอ้า นี่ นามบัตรของฉัน เผื่อจะติดต่อกันทีหลัง แล้วนี่เบอร์ห้องของฉัน ถ้าพวกนายกลับมาแล้วยังอยากดื่มด้วยกันอยู่ก็โทรเรียกได้ ฉันคงไม่ออกไปไหนมากนักหรอกวันนี้"

เขาหันไปเชยคางคู่ขาแล้วจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปาก เฟลิเป้ทำท่ายั่วยวนและซุกเข้าในอกกว้างของคู่ขา เขาแอบเหลือบมองฆาเบียร์แต่ก็ต้องร้อนในอกเมื่อเห็นว่าคนๆ นั้นไม่ใส่ใจอะไรเลย เจอำลาคนทั้งสองแล้วพยักเพยิดชวนให้ฆาเบียร์ซึ่งนั่งทำหน้าเรียบเฉยลุกขึ้น คนตัวโตรีบลาคู่ค้าของเขาและเดินนำคนรักออกไปอย่างรวดเร็ว



"ฆาบี้ เดี๋ยว จะรีบไปไหน"

เจนยุทธสาวเท้าเดินตามจังหวะก้าวของคนรัก เมื่อครู่ฆาเบียร์ลากแขนเขาเดินดุ่มๆ เข้าลิฟท์ แล้วตอนนี้กำลังลากเขาเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อไปยังร้านอาหารจีนที่จองไว้

"คุณเป็นอะไรของคุณ ไม่อยากให้ผมเจอกับพวกกิ๊กเก่าของคุณขนาดนั้นเลยเหรอ?"

ฆาเบียร์หยุดกึกแล้วหันไปมองหน้าคนรัก เจคงดูออกว่าเขาเคยยุ่งกับทั้งสองคนนั้นมาก่อน

“คุณนี่แน่จริงๆ นี่ฟาดเรียบมาแล้วทั้งสองคนเลยเหรอ?”

เจแซวคนตัวโตของเขา

"เจ...ฉัน"

คนตัวโตทำตาแดงๆ เขาไม่อยากให้เจได้มารู้เห็นตัวตนเก่าของเขาเลย เจจุ๊บแผ่วๆ ที่แก้มของคนรักก่อนจะจูงมือเขาเดินต่อ

"ฆาบี้ คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ผมมันก็เคยมีสาวเยอะเหมือนกับที่คุณหนุ่มเยอะนั่นแหละ ผมเข้าใจดี ถึงตอนนี้แล้วจะเจอเด็กคุณสักสามสี่คน สิบคนหรือร้อยคน ผมก็ไม่สะเทือนหรอกน่า ว่าแต่มีถึงร้อยไหม? หรือว่ามากกว่านั้น?"

เจพูดยิ้มๆ เขาดูท่าหนุ่มคนเมื่อกี้แล้ว ฆาเบียร์คงใช้งานหนุ่มคนนั้นแค่เรื่องเซ็กส์จริงๆ ถ้าแค่นั้นจริงเขาก็ไม่กลัวอะไร เขากลัวคนที่ฆาเบียร์เคยผูกพันทางใจด้วยอย่างเช่นนพมากกว่า



"...ว่าแต่รีบไปกันเหอะ ผมหิวแล้ว ตะกี้คนเยอะผมกินไม่ลง อายเค้า"

เจพูดเสียงอ่อย ฆาเบียร์หัวเราะออกมาดังๆ เขาเห็นคนตัวเล็กกระมิดกระเมี้ยนกินมื้อเช้าอย่างไม่มีความสุขนักเมื่อมีคนแปลกหน้ามาร่วมโต๊ะ คนตัวโตโอบกระชับเข้าที่ไหล่ของคนรักและพากันรีบเดินไปยังร้าน Tou Tou Koi บนถนน Travessa do Mastro ซึ่งตัดกับถนนแห่งความสุข พวกเขามาถึงที่หน้าร้านอาหารจีนซึ่งมีตู้ปลาใส่ปลาเป็นๆ ที่ว่ายอยู่เนือยๆ ให้ลูกค้าได้เลือกเอาไปปรุงอาหาร

“ไม่ต้องคิดสั่งปลาที่ยังว่ายอยู่มาให้ผมเลยนะ ผมไม่กิน”

เจห้ามลั่น ต่อให้เขาชอบกินแค่ไหนและรู้ว่าปลาหรือซีฟู้ดสดๆ มันอร่อยแค่ไหน เขาก็ทำใจชี้ๆ เลือกสั่งตายแบบนี้ไม่ลง ถ้าไม่เห็นหน้าเห็นตาแบบสั่งปูนึ่งแล้วเขาไปหยิบจากอ่างหลังร้านมาโดยที่เขาไม่เห็นก็ยังพอทำเนาเพราะเขาไม่ได้รู้เห็นด้วยว่านั่นคือปูเป็นหรือตาย แต่ถ้าให้ไปหยิบจับเลือกเอาที่ยังเป็นๆ นั้นเจทำไม่ลง ยิ่งพวกปลาตาแป๋วที่ว่ายอยู่ในตู้นั้น เขาแค่มองตามันก็อยากซื้อไปปล่อยแล้ว

เจเล่าให้ฆาเบียร์ฟังว่านั่นคือสิ่งหนึ่งที่เขาติดมาจากผู้เป็นแม่ ฟองนวลจะปฏิเสธไม่ยอมทำอาหารประเภทปู เว้นแต่จะได้ปูตายมา และเธอไม่เคยซื้อปลาที่ยังเป็นๆ เธอบอกว่าสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีวิธีทำให้เนื้อสัตว์สดอย่างตู้เย็นหรือแช่น้ำแข็ง ไม่มีความจำเป็นต้องไปกินเนื้อสดเพิ่งฆ่าเลย ฆาเบียร์คิดในใจว่าเจคงช็อคถ้าเจอร้านอาหารญี่ปุ่นที่เชฟโชว์เทคนิคการแล่ปลาเป็นๆ แบบที่ว่าแล่เนื้อเสร็จแล้วโยนซากปลาที่เหลือแต่ก้างติดหัวและหางลงน้ำแล้วมันยังว่ายต่อได้อีกแป๊บหนึ่ง



“ไม่กินพวกซีฟู้ดสดก็ได้เจ วันนี้เราจะกินแค่ติ่มซำกันใช่ไหม?”

“ใช่ครับ สั่งเลยไหม?”

เจถูฝ่ามือเข้าด้วยกันอย่างมุ่งมั่น เขาเคยมากินร้านอาหารที่เปิดมากว่า 80 ปีนี้สองครั้งในการเดินทางมามาเก๊าครั้งแรกๆ ครั้งหนึ่งมากับครอบครัว อีกครั้งมากับนพ แต่ช่วงหลังๆ เขาไม่ได้มากินแล้วเพราะคิวยาว ยิ่งร้านนี้ติดเป็นร้านแนะนำในลิสต์อาหารน่าลองอย่าง Bib Gourmand ของมิเชแลงไกด์ก็ยิ่งคิวยาวไปใหญ่ เขาซึ่งขี้เกียจจองก็อดกินไป วันนี้ที่ร้านซึ่งมีหลายชั้นหลายห้องก็อัดแน่นไปด้วยคนเหมือนเช่นเคย

“เดี๋ยวผมจะสั่งเอง คุณไม่ต้องช่วยนะ”

เจยิ้มร่าและหยิบใบสั่งติ่มซำขึ้นมาดู เขาบอกฆาบี้ว่านี่เป็นช่วงโปรดของเขาคือช่วงเสี่ยงดวงว่าอาหารที่เขาจิ้มๆ เลือกจากเมนูภาษาจีนที่อ่านไม่ออกสักตัวนั้นคืออะไรบ้าง

“อ้าว! ว้า เซ็งเลย”

เจอุทานอย่างผิดหวัง ด้วยความเป็นที่นิยมของร้านในปัจจุบัน ใบสั่งอาหารของที่นี่จึงเพิ่มภาษาอังกฤษเข้าไปด้วย เจติ๊กเลือกอาหารสองสามอย่างอย่างเซ็งๆ แล้วส่งใบให้คนตัวโตเลือกต่อ

“คุณเลือกๆ เลยแล้วกัน อย่าเยอะล่ะ เดี๋ยวกินเที่ยงไม่ไหว”

“เดี๋ยวนะ ฉันนึกว่านายจะกินมื้อนี้ควบเป็นมื้อเที่ยงเลย”

“โน้วววว ผมแค่อยากกินติ่มซำของที่นี่ มื้อเที่ยงเรากินบ่ายหน่อยก็ได้ ใช้มื้ออาหารแบบคนสเปนดีไหมคุณ?”

เจยิ้มจนตาหยีให้คนรัก ฆาเบียร์ได้แต่ส่ายหัวและก้มหน้าก้มตาสั่งอาหารไป



“มาแล้วๆ!”

เจทำตาลุกวาวดูติ่มซำที่ทยอยวางลงบนโต๊ะ เขาขยับตะเกียบในมือไปมาอย่างใจร้อน เมื่อลงครบแล้ว เขาคีบขนมจีบไข่กุ้งลูกใหญ่และกำลังจะส่งเข้าปากทั้งลูก

“เจ เดี๋ยวก่อน”

ฆาเบียร์ดึงมือข้างที่ถือตะเกียบของเจนยุทธไว้และดึงเข้ามาหาตัว เขาเป่าขนมจีบที่ยังมีควันฉุยนั้นจนแน่ใจว่าเย็นพอแล้ว เจยิ้มให้คนตัวโตที่ทำตัวน่ารักเหลือเกิน

“ขอบคุณครับ ฆาบี้…เฮ้ยๆๆ!”

เจร้องลั่นเมื่อฆาเบียร์อ้าปากงับขนมจีบที่เย็นลงแล้วบนตะเกียบของเขาไปหน้าตาเฉย

“อร่อยจัง ขอบใจที่ป้อนนะ”

เจทำท่าจนปัญญามองหน้าคนรัก

แม่ง กวนตีนใหญ่ละ เมียกู

เจพึมพำออกมาเป็นภาษาไทย

Mang Kuanteen...What does it mean?

เจสะดุ้งเมื่อฆาเบียร์พูดตามและถามความหมายสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไป คนตัวโตออกเสียงชัดใช้ได้เลยทีเดียว

“โอ๊ย คุณ อย่ารู้เลย มันไม่ใช่คำสุภาพ”

คนตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ เขาคีบฮะเก๋าลูกโตในเข่งขึ้นมาเป่าแล้ววางบนจานให้คนตัวโตอย่างเอาใจ ฆาเบียร์เม้มปาก ยิ่งไม่บอกเขายิ่งอยากรู้



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2018 07:49:19 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- กิ๊กเก่า ติ่มซำและบ้านโบราณ (ต่อ) ----




"ฮัลโหล นพ อ้าว มึงยังหลับอยู่เหรอ? เออๆ ขอโทษที่โทรมากวน กูแค่มีเรื่องอยากถามนิดนึงน่ะ..."

เจอ้าปากค้างมองคนรัก เขานึกไม่ถึงเลยว่าคนตัวโตจะอยากรู้อยากเห็นขนาดที่กล้าโทรไปถามพี่นพเลยทีเดียว

"...เออ นั่นแหละ ใช่ๆ คำนั้นแหละ แปลว่าอะไรน่ะ?"

ฆาเบียร์หัวเราะก๊ากออกมาเมื่อรู้ความหมายของมัน

"เออ ไม่มีอะไรละ ขอบใจนะเว้ย หือ? อ๋อ จะคุยกับเจเหรอ? ได้ๆ"

คนตัวโตยิ้มแป้นแล้วส่งโทรศัพท์ของเขาให้เจ เจถอนหายใจแล้วทักทายหน้ากลมๆ ของนพในจอ

"ไงครับ พี่นพ หือ? ไม่มีไรๆ เพื่อนพี่มันกวนตีนผมอ่ะ"

เจพูดอ่อยๆ เป็นภาษาไทย

"เฮ้ๆ พูดอะไรให้ฉันเข้าใจด้วยสิ"

คนตัวโตซ่อนยิ้มและโวยเบาๆ เมื่อได้ยินคำคุ้นหูนั้นอีกครั้ง เจหันมาแลบลิ้นให้คนรัก นพถามคนที่เขารักเหมือนน้องชายว่าพวกเขาอยู่ไหนกันหลังจากเห็นฉากหลังอันคุ้นตา

"เออ ทีไปมาเก๊ากับกูตั้งหลายรอบ ชวนกินทีไรก็ทำอิดออดบอกว่าขี้เกียจรอคิวมั่ง ขี้เกียจจองมั่ง ทีไปกะผัวล่ะพาไปใหญ่เชียวนะ"

นพแกล้งโวยคนที่เห็นผู้ชายดีกว่าเขาลั่น เจหน้าแดงซ่าน เขาจะเถียงกลับว่าฆาบี้เป็นเมียเขาต่างหากเหมือนสมัยคบกันแรกๆ เขาก็พูดไม่เต็มปากแล้ว เขาทำได้แค่รีบโยนโทรศัพท์คืนให้คนตัวโตเท่านั้น ฆาเบียร์ยิ้มกริ่ม เขารู้จักคำที่คู่กับคำว่าเมียคำนั้นเหมือนกัน



"คุณนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ ฆาบี้"

เจบ่นเบาๆ หลังจากคนรักวางสายเรียบร้อยแล้ว เขาคีบขนมจีบซึ่งเย็นไปบ้างแล้วขึ้นมากิน

"โอย อาอ่อย"

เจทำหน้าฟินและครางออกมาทั้งที่ขนมจีบลูกเท่าลูกกอล์ฟนั้นยังอยู่ในปาก ขนมจีบหมูกุ้งของที่นี่รสชาติไม่แพ้ที่ไหนน แต่เขากลับรู้สึกฮะเก๋าหน้าตาดูดีของที่นี่ธรรมดานักเมื่อเทียบกับหลายๆ ร้านในไทย เจหันไปคีบของขึ้นชื่อของทางฮ่องกง มาเก๊าซึ่งหากินในเชียงใหม่ไม่ค่อยได้อย่างลูกชิ้นเนื้อนึ่ง

"ว้าว หอมมากเลย ฆาบี้ เขาใส่ผิวส้มด้วยใช่ไหม?"

เจอุทานออกมาเบาๆ เนื้อที่บดไม่ละเอียดนักแต่ยังนุ่มนวลนั้นปรุงรสมาอย่างดี กลิ่นหอมๆ ของเปลือกส้มแห้งนั้นยั่วน้ำลายได้ดีจริงๆ เจบอกฆาเบียร์ว่าที่เชียงใหม่มีร้านหนึ่งที่เสิร์ฟลูกชิ้นเนื้อแบบนี้คือที่ร้าน Hong Kong Lucky แต่ก็ยังอร่อยไม่เท่ากับของที่นี่



"เจชิมนี่ด้วยสิ"

ฆาเบียร์คีบลูกชิ้นสีขาวซึ่งมีเส้นดำๆ ของสาหร่ายเส้นผมแทรกอยู่ส่งให้ เขากินมันไปแล้วลูกหนึ่ง คนตัวเล็กมองอย่างแหยงๆ เขาบอกฆาเบียร์ว่าเขาจำได้ว่าเจ้านี่คือลูกชิ้นปลา Dace ซึ่งอยู่ในวงค์ปลาตะเพียน เขาเคยกินมันครั้งหนึ่งที่ร้าน Tim Ho Van สาขาดั้งเดิมที่ปิดไปแล้ว ในครั้งนั้นเขาและนพทนความคาวของมันไม่ไหวจนกินไม่หมด ขนาดร้านที่ติดดาวมิเชแลงมาแล้วยังทำไม่อร่อย แล้วร้านนี่จะอร่อยได้ยังไง

"เอาน่า ลองชิมอีกทีสิ รีบกินก่อนมันจะเย็นล่ะ"

เจนยุทธจนปัญญาต้องคีบลูกชิ้นที่คนรักคีบใส่จานให้ขึ้นมาหลับหูหลับตากิน

"อ๊ะ ใช้ได้นี่นา ไม่คาวเลย"

เจอุทานเบาๆ เขาคีบที่เหลือใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาตัดแบ่งอีกลูกที่เหลือไป

"เห็นไหม บอกแล้วว่าอร่อย สั่งเพิ่มไหม?"

เจนยุทธยิ้มหวานให้คนรัก แต่เขาก็บอกว่าไม่ต้องสั่งเพิ่มแล้ว เขาหันไปให้ความสนใจกับอย่างอื่นแทน เจแกะใบบัวที่ห่อข้าวเหนียวยัดไส้ไว้ จานนี้รสชาติมาตรฐาน แต่เจก็ชมเปาะว่าเขานึ่งข้าวได้นิ่มดีจริงๆ จานถัดมาที่เจชอบนักชอบหนาคือตีนไก่นึ่งซีอิ๊ว



"เอ้านี่ ที่รักครับ ตีน"

เจพูดยิ้มๆ และพูดถึงอวัยวะส่วนนั้นเป็นภาษาไทย ฆาเบียร์จิ๊ปาก ตอนนี้เขารู้ความหมายมันแล้ว เขาคีบตีนไก่ชิ้นอวบนั้นขึ้นมาดู

“อื้อหือ ชิ้นใหญ่ดีนะ ดูยังกะเท้าโรซ่าเลย”

“หมดกัน คุณ เปรียบแบบนี้ ตอนนี้ผมเห็นมันเป็นตีนไอ้หมาหมูแล้ว”

เจบ่นพึม เขาคีบมันขึ้นมาดูแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ มันมีส่วนคล้ายนิดๆ จริงๆ เจคีบก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้กุ้งกุ้ยช่ายขาวใส่จานให้คนรักพร้อมกับคะน้าก้านโต ฆาเบียร์คีบผักกินก่อน เจเองก็คีบผักกินก่อนเช่นกัน เขาชอบคะน้าของฮ่องกงและมาเก๊าจริงๆ แม้จะดูก้านใหญ่แต่ไม่ได้รสชาติออกขมเหมือนกับคะน้าไทย ส่วนตัวก๋วยเตี๋ยวหลอดนั้นรสชาติกลางๆ แป้งมันติดจะออกหนาไปเมื่อเทียบกับของร้าน Tim Ho Van ไส้กุ้งและกุ้ยช่ายนั้นปรุงออกมาใช้ได้



คนตัวโตหยิบอาหารอย่างสุดท้ายที่เขาสั่งมาบิกิน

“อื้อ ซาลาเปานี่ใช้ได้เลยนะ”

แป้งซาลาเปาหมูแดงของที่นี่นิ่มนวลดี แต่ที่ทำให้มันอร่อยมากๆ คือหมูแดงรสเลิศของร้านนี้ เจหยิบซาลาเปาอีกลูกที่เหลือในเข่งมากินบ้าง เขาเคยกินแล้วก็จริงแต่ก็ลืมรสมันไปแล้ว เขาชมเปาะเมื่อได้ลิ้มรสของหมูแดงหอมๆ ที่อยู่ด้านใน

“งั้นสั่งหมูแดงเปล่ามาอีกจานไหมคุณ?”

“พอเลย เจ ไม่ต้องสั่งแล้ว ไหนว่าเดี๋ยวต้องไปกินอย่างอื่นอีกไง?”

คนตัวโตรีบเบรคไว้ทันที เจทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้

“เออ ช่าย งั้น เราคิดเงินกันดีกว่า เดี๋ยวไปที่อื่นไม่ทัน”

เจยกนาฬิกาขึ้นดู ตอนนี้สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว พวกเขาควรขยับย้ายที่กันได้แล้ว เขากวาดทุกอย่างบนโต๊ะจนหมดแล้วจึงสั่งคิดเงิน


ftp://



“เดี๋ยวไปไหนต่อเหรอ?”

คนตัวโตถามขึ้น เจพาเขาไปตามถนนแห่งความสุข ฆาเบียร์ต้องคอยดึงเจที่ทำท่าอยากแวะชิมร้านนั้นร้านนี้ที่ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทางของถนนแห่งความสุข เจแวะถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้ จากนั้นก็พาเขาเดินขึ้นเนินและลัดเลาะตามซอยเล็กซอยน้อยจนมาโผล่ที่หน้าอาคารสีเขียวหม่นซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคแห่งหนึ่ง

“นี่คือโรงละครดอม เปโดรที่ห้า เป็นโรงละครแบบตะวันตกที่แรกๆ ของเอเชียตะวันออกเลยนะ”

เจบรรยายตามโพยที่เขาแอบอ่านเมื่อครู่ โรงละครแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1860 และเป็นที่พบปะของชาวโปรตุเกสและชาวมาเก๊าในยุคนั้น มันยังถูกใช้เป็นที่หลบภัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย โรงละครแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกศูนย์กลางประวัติศาสตร์มาเก๊าเช่นกัน

"เขาว่ามันเป็นที่เปิดแสดงรอบปฐมทัศน์ในเอเชียของละครโอเปร่าเรื่องมาดาม บัตเตอร์ฟลายด้วยนะ คุณเคยดูเรื่องนี้หรือเปล่า?"

เจพูดถึงอุปรากรเลื่องชื่อของจาโคโม่ ปุชชินี่ อันเป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักของสาวชาวญี่ปุ่นกับทหารเรือหนุ่มชาวอเมริกันในนางาซากิช่วงต้นศตวรรษที่ 20

"เคยดูนะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะที่เวียนนา"

เจจิ๊ปากด้วยความหมั่นไส้พ่อหนุ่มไฮโซของเขา ตัวเขานั้นเคยได้ยินแค่เพลง Un Bel Di Vedremo หรือ One Fine Day ซึ่งเป็น Aria หรือบทร้องเดี่ยวที่โด่งดังที่สุดจากเรื่องนี้



"คุณรู้ไหม ที่ไทยมีละครร้องที่แต่งโดยใช้เค้าโครงจากเรื่องนี้ด้วยนะ"

เจเล่าให้คนรักฟังถึงละครร้องเรื่องสาวเครือฟ้าซึ่งประพันธ์โดยพระเจ้าบรมวงค์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงดัดแปลงให้เป็นเรื่องราวของเครือฟ้า สาวงามชาวเชียงใหม่กับร้อยตรีพร้อม ทหารหนุ่มจากกรุงเทพฯ เจเล่าให้คนรักฟังถึงเรื่องราวนั้นพลางพาฆาเบียร์เดินต่อไปยังจัตุรัสเซนต์ออกุสติน

"สักวันคุณจะเป็นเหมือนร้อยตรีพร้อมหรือเรือเอกพิงเกอร์ตันคนนั้นหรือเปล่า ฆาบี้?"

เจหยุดเดินและหันมามองคนรัก ท่าทีเย็นชาของฆาเบียร์ที่แสดงออกต่อพ่อหนุ่มหน้าหวานอย่างเฟลิเป้นั้นกวนใจเขานัก ถ้าสักวันคนตัวโตหมดรักเขาและแสดงทีท่าแบบนั้นกับเขาขึ้นมา เจนยุทธไม่แน่ใจว่าเขาจะทนรับมันได้หรือไม่ ฆาบี้สะท้อนใจเมื่อเห็นแววเศร้าและหวั่นไหวในสายตาของคนรัก เขาจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของคนตัวเล็กและโอบร่างนั้นไว้

"เจ นายไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลย ฉันต่างหากที่จะเป็นฝ่ายมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดนายไป รู้ไหม?"

ฆาเบียร์ใช้มือยีหัวคนรักจนยุ่งด้วยความเอ็นดู เจ้าตัวเล็กของเขาทำหน้าตาน่าสงสารจนเขาอยากแกล้งขึ้นมาเสียจริงๆ

"โอ๊ย อีกแล้ว ผมยุ่งหมด"

เจบ่นกะปอดกะแปดพร้อมใช้มือตบๆ ผมตัวเองให้เป็นทรงเหมือนเดิม เขาส่งมือให้คนตัวโตซึ่งฆาเบียร์ก็จับมือเรียวนั้นไว้และบีบกระชับมั่นให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ไปอย่างเด็ดขาด



จากโรงละครเจพาเขาเดินชมกลุ่มอาคารตะวันตกแถวนั้นรวมถึงโบสถ์ออกุสตินและห้องสมุดเซอร์โรเบิร์ต โฮ ตุงผู้เป็นพี่ชายปู่ของสแตนลี่ย์ โฮ จากนั้นเขาพาคนตัวโตของเขาเดินลงเนินจนมาโผล่หน้าจัตุรัสเซนาโด

“จะกินบะหมี่อีกรอบเหรอ?”

เจนยุทธส่ายหัว

“ไม่ใช่ๆ คุณนี่นะ เห็นผมตะกละขนาดต้องกินแหลกตลอดเวลาขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เจบ่นแล้วชกต้นแขนคนรักเบาๆ เมื่อเห็นฆาเบียร์ครุ่นคิดนิดหนึ่งแล้วพยักหน้าตอบรับ

“ผมจะพาคุณมาดูตึกที่อยู่ตรงข้ามร้านลูกชิ้นวันนั้นอ่ะ”

เจพาคนรักเดินเข้าถนนลูกชิ้นตามที่เขาเรียก เขาพาคนตัวโตเดินเข้ายังอาคารโบราณที่อยู่ตรงข้ามกับร้านลูกชิ้นทันที

“บ้านเก่านี่ ว้าว สวยเชียว”

ฆาเบียร์อุทานเบาๆ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน แม้ภายนอกมันจะดูเป็นอาคารอิฐสีเทาที่ดูหม่นหมอง แต่ภายในกำแพงนั้นคือบ้านสไตล์จีนที่ตกแต่งอย่างงดงาม

"ที่นี่คือคฤหาสน์หลู่เกาครับ เป็นบ้านของหลู่เกา พ่อค้าชาวจีนเจ้าของอสังหาฯ หลายแห่งในเมืองนะ"

เจอ่านโพยตามเคย

"บ้านนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของสถาปัตยกรรมแบบซิกวนช่วงราชวงค์ชิงครับ"

สถาปัตยกรรมแบบซิกวนคือบ้านแบบที่นิยมสร้างในเมืองกวางโจวช่วงปลายราชวงค์ชิง โดยมักเป็นบ้านของเหล่าพ่อค้าหรือผู้ลากมากดีชาวจีนที่ประยุกต์เอาการตกแต่งแบบตะวันตกมาใช้กับบ้านแบบจีน



ฆาเบียร์มองไปรอบๆ เขาเห็นงานไม้แกะสลักแบบจีนที่ประดับอยู่กับคาน บานประตูและหน้าต่างก็เป็นไม้แกะสลักแบบจีน แต่เมื่อดูด้านบนของประตูและทางเข้า เขาเห็นซุ้มโค้งที่ทำจากปูนปั้น หากลายปูนปั้นนั้นกลับเป็นลวดลายแบบจีนผสมตะวันตก บนหน้าต่างและประตูบางบานก็ประดับด้วยกระจกสีแบบตะวันตก

คฤหาสน์หลังนี้ไม่ใหญ่นัก พวกเขาเดินไม่นานก็ดูครบรอบแล้ว เจพาฆาเบียร์เดินกลับมาที่ข่วงกลางบ้านซึ่งมีช่องแสงโปร่งทะลุลงมาจากชั้นบน

"ชอบไหม?"

เจถามยิ้มๆ คนตัวโตของเขาที่เคยไปมาแล้วรอบโลกดูมีท่าทางตื่นเต้นกับบ้านเล็กๆ หลังนี้

"ชอบสิ ดูรายละเอียดพวกนี้สิ สวยมากเลยเจ"

คนตัวโตดึงเจนยุทธไปดูปูนปั้นเหนือซุ้มประตูบานหนึ่ง เขาบอกเจว่าความละเอียดของงานนั้นสู้ไม่ได้เลยกับเหล่าวิหารอายุนับพันปีในยุโรป แต่ความงามของมันคือการผสมผสานระหว่างสองวัฒนธรรมอย่างลงตัว เขาชี้ให้เจดูลวดลายที่มีอักษรจีนที่ประทับไว้รวมกับลายแบบยุโรปอย่างรูปดอกกุหลาบ

"นี่...อย่างนกตัวนี้ หน้าตามันก็คือนกในงานแบบจีนนะ"

คนที่เห็นโลกมาเยอะบอก เจพยักหน้ารับคำ

"ผมชอบคฤหาสน์นี้มากกว่าบ้านแมนดารินที่เราอดดูเมื่อวานอีกนะ ผมว่าในด้านการตกแต่งอะไรแล้วที่นี่ทำออกมาได้ดีกว่า แต่อาจจะเป็นเพราะว่าบ้านแมนดารินมันถูกทิ้งให้ทรุดโทรมมาก่อนก็ได้ ไว้ผมพาคุณไปแล้วคุณค่อยตัดสินว่าคุณชอบที่ไหนมากกว่า"

เจบอกว่าที่ไทยก็มีบ้านที่ผสมผสานความเป็นจีนและตะวันตกแบบนี้โดยเฉพาะที่ภูเก็ตซึ่งเป็นแหล่งรวมของสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส







"บ้านอาปาที่พีคนี่เป็นแบบไหนนะคุณ? โคโลเนียลใช่ไหม?"

"ใช่จ้ะ น่าจะเป็นบ้านเก่าของพวกชาวตะวันตก สร้างซักปลายศตวรรษที่ 19 พ่อของอาปาซื้อต่อมาจากพวกนั้นอีกทีหนึ่ง"

"เก่าขนาดนั้นเลยเหรอ?"

เจพูดเสียงอ่อยๆ

"งั้น มีผีป่าวเนี่ย?"

ฆาเบียร์หัวเราะก๊ากเมื่อเจบ่นอุบอิบว่าทีนี้แทนที่เขาจะกลัวแค่เตียง เขากลับต้องมาระแวงทั้งบ้านแทน

"ป่ะ ดูพอละ ไปที่อื่นกันต่อดีกว่า"

เจฉุดมือคนตัวโตให้กลับออกไปสู่โลกปัจจุบัน พอก้าวเท้าออกสู่ถนน เจก็ทำจมูกฟุดฟิด กลิ่นซอสกะหรี่จากเหล่าร้านลูกชิ้นฝั่งตรงข้ามช่างยั่วยวนชวนให้เขาตบะแตกเหลือเกิน

"ฆาบี้ครับ ผมขอแวะกินลูกชิ้นหน่อยนะ ไม่เยอะหรอก สามสี่ไม้"

ฆาเบียร์ขมวดคิ้ว เจปล่อยมือคนตัวโตและกำลังจะเดินไปสั่งลูกชิ้น

"เดี๋ยวก่อน..."

คนตัวโตดึงแขนเจไว้

"...ฉันขอลูกชิ้นหมึกดำกับมันฝรั่งด้วยนะ"

เจนยุทธยิ้มกว้าง เขาชอบจริงๆ เวลาฆาเบียร์ทำท่าอยากกินอะไรขึ้นมา เขามีความสุขเมื่อเห็นเมียตัวโตของเขามีความสุขกับการกิน เขาได้ยินมาจากคริสเช่นกันว่าช่วงหลังมานี้ฆาบี้ดูสนใจเรื่องอาหารการกินและดูเจริญอาหารขึ้น จากแต่เดิมที่กินน้อยเหมือนแมวดม เขาตั้งใจว่าจะทำให้ฆาเบียร์เป็นคู่กินข้าวที่ดีไม่แพ้พี่นพให้ได้



"คุณอ่ะ กินไปครบสี่ลูกแล้วนะเฟ้ย ลูกนี้ของผม!"

เจนยุทธรีบตัดหน้าจิ้มลูกชิ้นหมึกดำลูกสุดท้ายในถ้วยมา คนตัวโตของเขายิ้มกริ่ม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเจนับลูกไว้เรียบร้อยแล้ว เขาแค่อยากจะ 'kuanteen' คนรักของเขาเล่นแค่นั้น ฆาเบียร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อนึกถึงศัพท์ใหม่ที่เขาได้เรียนรู้มาในวันนี้ เขากำลังพยายามเรียนรู้คำศัพท์ภาษาไทยและกำลังคิดว่าจะหาคนมาสอนภาษาไทยง่ายๆ ให้เขา ถึงจะยากแต่เขาก็อยากที่จะพูดภาษาของคนรักได้

"เอ้า นี่ ยกให้ก็ได้"

ฆาเบียร์สะดุ้งเมื่อลูกชิ้นหมึกดำลูกที่เจจิ้มไปถูกส่งมาที่ปากของเขา

"ทำงงอีก จะกินหรือเปล่า คุณ ถ้าไม่กินผมเอาคืนนะ"

คนตัวเล็กแกล้งทำหน้างอ ฆาเบียร์รีบงับลูกชิ้นที่ถูกเป่าจนเย็นพอดีแล้วเข้าปาก รสชาติเผ็ดร้อนของซอสกะหรี่นั้นช่างกระตุ้นความอยากอาหารของเขาได้จริงๆ



"เหลืออะไรที่ฉันกินได้อีกมั่งน่ะ?"

เขาก้มลงดูในถ้วยโฟมแล้วใช้ไม้จิ้มไข่นกกระทาเข้าปาก

"อ้าว แย่งอีก คลอเรสเตอรอลสูงนะคุณ ไอ้เจ้าไข่นกกระทาเนี่ย"

"ลูกเดียวน่า เจ เดี๋ยววันนี้เราต้องเดินเยอะใช่ไหม?"

เจทำตาปริบๆ มองคนเคยกลัวอ้วน

"นี่คุณเป็นใครเนี่ย? เอาฆาเบียร์ของผมไปทิ้งไว้ไหน?"

เจพูดยิ้มๆ ฆาบี้หัวเราะเบาๆ แล้วโอบกระชับไหล่ของคนรัก

"ทำไมเหรอ เจ ถ้าฉันเกิดกินเยอะขึ้นมาแล้วเจจะไม่รักฉันแล้วเหรอ?"

"บ้า ดีซะอีกสิ กินเยอะๆ เลยนะคุณ จะได้กินเป็นเพื่อนผม"

"ถ้าฉันอ้วนขึ้นมาก็อย่ามาบ่นแล้วกันนะเจ"

เจหัวเราะหึๆ อย่างฆาเบียร์คงไม่อ้วนง่ายๆ แน่เพราะพี่แกคงกินแบบนี้แค่ตอนอยู่กับเขา ส่วนตอนอยู่คนเดียวก็คงกลับไปเข้าโหมดกินน้อยเหมือนเดิม



"เอ้า เอาไป มันฝรั่งชิ้นสุดท้าย ไม่ต้องมาทำจดๆ จ้องๆ"

เจส่งถ้วยโฟมให้คนตัวโตจิ้มมันฝรั่งชุ่มซอสชิ้นสุดท้าย ฆาเบียร์ทำท่าเอร็ดอร่อยไปกับมันฝรั่งชิ้นนั้น เจอดยิ้มออกมาไม่ได้ คนตัวโตของเขาเปลี่ยนไปเหมือนที่คริสว่าจริงๆ ฆาเบียร์หันเอาถ้วยโฟมไปทิ้งที่ถังขยะข้างๆ กับม้านั่งที่พวกเขานั่งอยู่ พอเขาหันกลับมาก็เจอกับรอยยิ้มของคนรัก เขายิ้มตอบและโอบไหล่เพรียวนั้น จริงๆ เขาอยากจะหอมแก้มมันซักฟอดหรือจูบหนักๆ สักที แต่ตอนกลางวันแสกๆ และคนล้อมรอบอีกหลายสิบแบบนี้ ถ้าขืนทำแบบนั้นเจคงได้งอนเขาไปถึงเย็นแน่ๆ

"เจจ๋า เจรู้ไหมว่าอยู่กับเจแล้วฉันมีความสุขแค่ไหน"

เขากระซิบแผ่วๆ

"...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกับนาย อะไรเล็กๆ น้อยๆ กระทั่งมันฝรั่งชิ้นเมื่อกี้ก็ทำให้ฉันมีความสุขไปหมดเลยนะ"

"ผมก็เหมือนกัน ฆาบี้ ขนาดนั่งข้างไอ้เจ้าถังขยะเหม็นๆ นี่ผมยังมีความสุขเลย"

เจพูดยิ้มๆ พลางเอามืออุดจมูก ฆาเบียร์หัวเราะก๊ากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ถังขยะใบนี้มันเหม็นจริงๆ เขาฉุดมือคนตัวเล็กของเขาให้ลุกขึ้น พวกเขาพากันออกเดินต่อ



"ฆาบี้ครับ"

เจนยุทธเรียกคนรักเบาๆ

"หือ มีอะไรเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์หันหน้ามาหาคนรักแล้วก็ต้องรู้สึกอุ่นวาบขึ้นที่แก้ม เจแอบจุ๊บแก้มเขาเบาๆ แล้วก็ก้มหน้างุดด้วยความขวยเขิน คนตัวโตฉีกยิ้มกว้าง เขาโอบไหล่เจเข้ามาแล้วจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากของคนที่ยอมแสดงความรักกับเขากลางถนนที่มีคนพลุกพล่านตอนกลางวันแสกๆ

"รักคุณนะ"

เจพูดเสียงแผ่วเบา เขาเบียดกายเข้ากับอกของคนรัก คนตัวโตกระชับวงแขนแน่น

"รักเหมือนกันจ้ะ"

ฆาเบียร์กระซิบตอบ เจยิ้มหวานให้คนรักตัวโต

"...เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะแสดงให้เจดูว่าฉันรักเจแค่ไหน รับรองว่าพรุ่งนี้เจลุกไม่ขึ้นแน่นอน"

เจนยุทธหุบยิ้มแทบไม่ทัน เขากระทุ้งศอกเข้าที่ชายโครงคนรักเบาๆ และรีบผละเดินหนีจากเมียตัวโตจอมหื่นของเขา ฆาเบียร์อมยิ้มแล้วรีบสาวเท้าเดินตามคนตัวเล็กขี้งอนของเขาไปอย่างเร็ว



------------------------------------------


จะพากินเที่ยวอย่างเดียวก็กลัวเบื่อ เปิดตัวกิ๊กเก่าอีกคนของฆาบี้เล่นๆ ดีกว่า แต่โผล่มาแป๊บๆ ค่ะ ตอนหน้าก็ไปละ ถ้าใครจำได้ ฮีคือหนุ่มคนที่โผล่มาในตอนเปิดเรื่องนี้เลยค่ะ ไหนๆ ก็เคยเขียนถึงละ เอามาใช้ประโยชน์ต่อละกัน

มาถึงที่เที่ยวกันต่อ

คฤหาสน์หลู่เกาค่ะ  https://goo.gl/JgLnk5

โดยส่วนตัวชอบมากกว่า Mandarin House เพราะมันเล็กกะทัดรัดแต่รายละเอียดเยอะและสวยกว่าค่ะ แต่บ้านแมนดารินจะใหญ่โอ่อ่า มีบริเวณมากกว่า แล้วจะเอารูปมาให้ดูทีหลังค่ะ

ลิสต์ของสถานที่ซึ่งเป็นมรดกโลกนะคะ เผื่อใครจะอยากเก็บให้ครบ https://goo.gl/BXmEeU

ร้าน Tou Tou Koi ค่ะ https://goo.gl/bfDGKi

คนเขียนไม่ได้ไปกินร้านนี้นานพอสมควรแล้วค่ะ เพราะขี้เกียจรอคิว ฉะนั้นแนะนำให้จองไปก่อน ติ่มซำโอเค แต่ยังไม่เคยลองอาหารอย่างอื่นของเขาค่ะ เห็นว่าพวกซีฟู้ดอร่อย คราวหน้าถ้าได้ไปอีกก็ว่าจะไปลองดูค่ะ





ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Eat-All-Day Jay ----



“หื่นตลอดเลยนะ คุณอ่ะ”

เจนยุทธบ่นเบาๆ เมื่อครู่เขาเดินหนีมาได้ไม่ไกลก็ถูกคนตัวโตที่ขายาวกว่าเดินไล่ตามมาจนทัน จากนั้นเขาก็โดนเมียตัวดีของเขาลากเข้ามุมปลอดคนแล้วปล้ำจูบจนพอใจ ตอนนี้พวกเขากำลังเดินเบียดเสียดฝูงคนเพื่อมุ่งหน้าไปยังซากโบสถ์เซนต์พอลอีกครั้ง

"ก็ความผิดเจทั้งนั้นนะ"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขาโอบคนรักไว้แนบกายและดึงให้หลบเวลามีคนจะมาชนหรือเบียด

"เอ๊า มาโทษผมอีก ผมทำอะไร?"

เจนยุทธขมวดคิ้ว

"ก็นายไม่ค่อยยอมฉัน ฉันก็อัดอั้นมั่งสิ"

"ฮึ ไม่ต้องเลย อัดอั้นอะไรมิทราบ ผมก็เห็นฟินตลอด อย่างเมื่อเช้าก็ออกจะเสียงดังลั่นห้องนะคุณ ผมรู้ว่าคุณรู้สึกดีจะตาย จริงไหมล่ะ เมียจ๋า"

ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือก คนตัวเล็กไม่พูดเปล่า เขายังใช้มือตะปบหมับไปที่บั้นท้ายแน่นๆ ของคนตัวโตแล้วบีบคลึงเบาๆ  ถนนช่วงนี้มีผู้คนเบียดเสียดกันแน่น ไม่มีใครมาสนใจที่เขาเล่นแผลงๆ แบบนี้​

"เจ กลางถนนเลยนะ!"

คนตัวโตโวยเบาๆ เจยิ้มกริ่มเมื่อเห็นใบหน้าของคนรักแดงระเรื่อ หากฆาเบียร์ก็ไม่ได้ปัดมือเขาออกแต่อย่างใด

"โอเคๆ ไม่แกล้งก็ได้"

เจนยุทธปล่อยมือจากก้อนเนื้อแน่นๆ ของคนรัก แต่ก็ถูกมือใหญ่ทาบทับตรึงมือเขาไว้และค่อยๆ เลื่อนให้มาเกาะกุมที่ข้างสะโพกแทน เจหันมายิ้มหวานให้คนรัก เขาดึงมือฆาเบียร์ให้มาเกาะกุมไว้ที่ระดับสะโพกของเขาเช่นกัน เจอุทานเบาๆ และตีมือซนๆ ของคนตัวโตที่ล้วงเลื้อยลงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหลังของเขา ฆาเบียร์โคลงหัวแล้วเปลี่ยนมาโอบระดับเอวของคนรักแทน ทั้งคู่พากันเดินไปตามทางซึ่งปูด้วยหินทีจะนำพวกเขาไปสู่ซากโบสถ์เซนต์พอล



หลังจากขึ้นไปถ่ายรูปบนซากโบสถ์ โพสต์ไลฟ์สั้นๆ ฆาเบียร์ก็ตามถ่ายคลิิปเจที่เพลิดเพลินกับการไล่ชิมขนมตามร้านขายของฝากชื่อดังของมาเก๊าอย่าง Koi Kei Bakery และ Choi Heong Yuen ทั้งสองร้านขายสินค้าคล้ายๆ กัน แต่ที่ขายดีก็คงไม่แคล้วคุกกี้อัลมอนด์ ทองพับและพวกขนมเพสตรี้แบบจีนที่คล้ายๆ ขนมเปี๊ยะของไทย

"ร้านพวกนี้ผมว่าเหมือนพวกร้านขายของฝากที่ไทยเลยครับ ถ้าเทียบก็คงเหมือนวนัสนันท์ของเชียงใหม่หรือร้านอย่างแม่กุหลาบของนครสวรรค์..."

เจอธิบายถึงร้านขายของฝากของไทยให้ฆาเบียร์ฟัง ร้านพวกนี้มักเริ่มต้นจากการขายของที่ผลิตเองไม่กี่อย่าง แต่ตอนหลังก็ขยายกิจการและกลายเป็นร้านของฝากที่รวบรวมของดีของท้องถิ่นอย่างอื่นๆ มาขายร่วมด้วย อย่างร้าน Koi Kei ที่เขาเพิ่งเข้าไปก่อนหน้านี้ก็มีขายแม้กระทั่งปลาเค็ม กังป๋วยและซอสเอ็กซ์โอ กระทั่งพวงกุญแจก็ยังมีขาย หากเจยังไม่ซื้ออะไรเพราะเขายังมีเวลาอยู่ทีนี่อีกสี่วัน และร้านพวกนี้ก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง



จากร้านของฝาก เขาพาฆาเบียร์เดินย้อนกลับมายังโบสถ์เซนต์โดมินิค ระหว่างทาง เขาพาคนตัวโตเข้าซอยเล็กๆ ระหว่า่งทางเพื่อซื้อของโปรดของเขาอย่างซาลาเปาอบไส้หมูพริกไทยดำ ร้าน Dijun Taiwan Pepper Cake คนตัวโตแอบชิมไปคำหนึ่งแล้วก็ต้องติดใจกินต่อไปอีกสองสามคำ

"ข้างๆ ร้านนี้จริงๆ เคยเป็นร้านขนมพื้นถิ่นมาเก๊าอย่างทองพับนะ ร้านนี้มีคนขายเป็นคุณยายแก่ๆ กับลูกชายหรือหลานชายก็ไม่รู้ แกจะทาส่วนผสมแป้งลงบนแผ่นเหล็กกลมบางๆ มีด้ามจับแล้วใช้อีกแผ่นประกบปิด จากนั้นเอาไปปิ้งบนเตาถ่าน มันก็จะออกมาเป็นแป้งกรอบๆ แผ่นกลมๆ ขายไม่ใช่ถูกนะนั่น..."

เจบอกว่าเขาเคยซื้อกินตามไกด์บุ๊คตอนที่มามาเก๊าครั้งแรกๆ แต่ก็ไม่ถูกปากเพราะรสมันออกจืดๆ ไม่ได้ออกหวานเหมือนทองม้วนและทองพับของไทย แต่ขนมชนิดนี้จากทั้งไทยและมาเก๊าก็แสดงถึงอิทธิพลของโปรตุเกสต่อภูมิภาคนี้ได้อย่างชัดเจน



"ไทยก็เหมือนมาเก๊าครับ ขนมของไทยได้รับอิทธิพลจากโปรตุเกสมาหลายชนิด อย่างพวกขนมที่ทำจากไข่ทั้งหลาย เช่นสังขยา ทองม้วน และพวกขนมตระกูลทองทั้งหลาย..."

ฆาเบียร์อมยิ้มฟังคนรักของเขาบรรยายเรื่องอาหารการกินต่อ

"...ที่เหมือนเป๊ะเลยคือฝอยทอง หรือที่โปรตุเกสเรียกว่า Fios de Ovos ผมเคยกินฝอยทองในร้านขนมโปรตุเกสที่มาเก๊าด้วยนะ หน้าตาเหมือนกันเด๊ะเลย แต่กลิ่นอาจจะไม่คล้ายเพราะไทยจะใส่กลิ่นอย่างพวกใบเตย เทียนอบ มะลิหรือนมแมวด้วยเพื่อกลบกลิ่นไข่เป็ด"

เจอธิบายต่อถึงการแต่งกลิ่นในอาหารไทยว่าถ้าเป็นสมัยก่อนก็จะใช้พวกน้ำลอยดอกไม้อย่างดอกนมแมวหรือดอกมะลิ แต่สมัยนี้คนมักใช้กลิ่นสังเคราะห์ซึ่งบางครั้งก็ฉุนเกินทำให้เสียรสขนมไปเสียหมด

"ก็คงเหมือนวนิลาน่ะ เจ วนิลาสังเคราะห์ยังไงก็สู้ฝักวนิลาจริงๆ ไม่ได้แต่ราคาก็ต่างกันโขอยู่เหมือนกัน"

"สำหรับผมนะ ผมว่าบางทีผมยอมจ่ายเพื่อให้ได้ของที่คุณภาพดีกว่า แต่บางคนที่ไม่ได้เห็นแก่กินอย่างผมก็อาจจะคิดว่าไงก็ได้มั้ง"

เจนยุทธหัวเราะแหะๆ รายได้เขาหมดไปกับการกินเสียเยอะ



"ผมเคยซื้อพวกขนมทองๆ พวกนั้นให้คุณกินหรือยังน่ะ?"

เจหันมาถามคนตัวโตที่เดินจับมือเขาแน่น

"เอ ไม่แน่ใจนะ คิดว่ายังนะ"

"งั้นกลับไปคราวหน้าผมจะซื้อมาให้ชิมนะ ผมว่าอย่างคุณน่าจะเคยกินของต้นตำรับมาแล้ว ไว้มาลองชิมของไทยดูมั่ง"

ฆาเบียร์พยักหน้า เจพูดถูกเรื่องที่ว่าเขาเคยกิน Fios de Ovos ที่โปรตุเกสมาแล้ว

เจนยุทธหยุดยืนที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง เขากวาดตาดูไปรอบๆ

"ย่านนี้เปลี่ยนไปทุกครั้งที่ผมมาเลยนะ"

เจพูดถึงย่านการค้าแถวจัตุรัสเซนาโดไปจนถึงซากโบสถ์เซนต์พอล

"ผมมาติดๆ กันแทบจะทุกปี ทุกครั้งก็จะต้องมีร้านใหม่ผุดขึ้นหรือร้านเก่าปิดตัวลง"

เจชี้ร้านขนม Mok Yi Kei Durian King ให้ฆาเบียร์ดู

"เนี่ย ร้านนี้ผมว่าน่าจะเปิดใหม่ มันเป็นสาขาของร้านขนมดังจากถนนอาหารที่ฝั่งไทปานะคุณ"

ร้าน Gelatina Mok Yi Kei เป็นร้านขายขนมหวานซึ่งเปิดมากว่า 80 ปีใน Rua do Cunha หรือถนนสายอาหาร ของดังของร้านนี้คือไอศกรีม serradura และไอศกรีมทุเรียน ว่ากันว่าร้านนี้เป็นแห่งแรกที่ขายไอศกรีมทุเรียนในมาเก๊า



"แล้วสักสี่ห้าปีที่แล้วมีร้านไวน์จากฮ่องกงมาเปิดที่แถวๆ หน้าซากโบสถ์ ร้าน Watson's Wine คุณรู้จักไหม? ตอนนี้ร้านนั้นกลายเป็นร้านรองเท้าไปละ"

ฆาบี้ตอบรับว่าเขารู้จัก เขายังซื้อไวน์จากร้านนี้ในฮ่องกงบ่อยครั้งเช่นกัน

"นั่นแหละ ทุกครั้งที่ผมมามาเก๊ากับพี่นพ พวกผมต้องหาซื้อไวน์ฝรั่งเศสไม่ก็แชมเปญ เพราะมันถูกกว่าไทยมากๆ แต่เราก็จะเปิดดื่มกันที่ห้องโรงแรมเลยโดยไม่หอบกลับไทย..."

เขาเล่าว่าเขามักไปซื้อของกินแกล้มไวน์อย่างพวกแฮมหรือชีสและผลไม้นอกจากซุเปอร์มาร์เก็ตที่ห้างนิวเยาฮัน ซึ่งก็ถูกกว่าที่ไทยอีกเช่นกัน

"พอเจอราคาเหล้าไวน์ที่นี่นะคุณ ผมแทบซื้อที่ไทยไม่ลงเลยอ่ะ แพงจริงๆ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ เขาเคยเจอแชมเปญ Dom Peringon ลดราคาจนเหลือไม่ถึงแปดพันบาทเมื่อเทียบกับหมื่นกว่าบาทในไทย หรือเหล้าจอห์นนี่ วอล์คเกอร์ บลูเลเบิล ราคาห้าพันกว่าๆ ในขณะที่ราคาเมืองไทยก็ดีดไปกว่าแปดพันแล้ว ส่วนพวกไวน์ Grand Cru Classes en 1855 นั้น ตัวล่างๆ หรือปีที่ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ เขาเคยเจอขวดละสองสามพันเลยด้วยซ้ำ

"หรือเอาง่ายๆ นะ ไวน์ยอดนิยมของคนไทยอย่าง Mouton Cadet อ่ะ ที่ไทยขายขวดละเฉียดพันไม่ก็พันต้นๆ ผมซื้อที่นี่ขวดหกร้อย"

"งั้นวันหลังฉันกลับบ้านจะหิ้วไวน์ไปฝากครั้งละขวดแล้วกันนะ"

"เอางั้นก็ได้คุณ คุณซื้อพวกไวน์ดีๆ ที่คุณชอบมาเก็บไว้ในตู้เก็บไวน์ ส่วนที่ไทยก็ซื้อเฉพาะพวกไวน์ไม่แพงเอาไว้ดื่มเล่นๆ ไม่ก็ตอนกินข้าว แต่ผมจะไม่ยุ่งนะ ถ้าคุณไม่อยู่ผมก็จะไม่เอามาดื่ม"

"...แต่ขออย่างเดียว อิพวกแพงจัดๆ อย่าง La Tache Petrus อะไรพวกนั้น ไม่ต้องเอามาเก็บไว้บ้านนะ ตู้ไวน์ที่บ้านเรามันไม่ได้ดีเด่อะไรนักหนา ผมกลัวมันเสีย"

คนตัวโตโคลงหัว เจดักคอเขาไว้เสียแล้ว



"เดี๋ยวไปไหนต่อเหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็กที่พาเขาเดินตรงผ่านดงร้านลูกชิ้นซอสกะหรี่

"เดี๋ยวผมจะพาคุณไปกินหมี่ไข่กุ้ง แต่เดินไกลหน่อยนะ"

ฆาเบียร์ตอบตกลง ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบบ่ายโมงแล้ว ต่อให้เจกินขนมมาตลอดทาง เขาก็คิดว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากกินอะไรที่มันอยู่ท้องมากกว่านั้น เจนยุทธพาคนรักเดินเลาะกำแพงสีเหลืองที่เขามาอาศัยอิงแอบพลอดรักกับคนตัวโตเมื่อสองคืนก่อน มันนำเขาไปสู่ลานโล่งกว้างที่มีน้ำพุสวยงามแบบยุโรปอยู่ตรงกลาง ตรงกันข้ามน้ำพุนั้นเป็นไม้กางเขนหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เจพาฆาเบียร์เดินไปยังวิหารสร้างขึ้นจากคอนกรีตหลังหนึ่ง เขาเปิดโพยอ่านให้คนรักฟังอีกตามเคย

"นี่เป็นมหาวิหารของสังฆมณฑลมาเก๊าครับ เดิมทีเป็นโบสถ์ไม้สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 หลังจากนั้นก็มีการสร้างโบสถ์หินขนาดใหญ่ขึ้นแทนในปี 1850 หลังจากนั้นมันเกือบถูกไต้ฝุ่นทำลายลง และมีการสร้างใหม่เป็นแบบนี้ในปี 1937 ครับ"

วิหารนี้ไม่ได้สวยงามหรูหราหรือประดับประดาไปด้วยปูนปั้นและรูปปั้นนานา แต่ความเรียบง่ายของวิหารสีขาวที่มีประตูหน้าต่างสีเขียวเข้มแห่งนี้ทำให้ผู้เยี่ยมชมรู้สึกได้ถึงความเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์



ทั้งสองคนเดินชมข้างนอกพักหนึ่งแล้วก็ออกเดินต่อไป เจเปิดแผ่นที่ในมือถือแล้วพาคนตัวโตเดินไปบนถนน Rua de Sao Domingos ถนนนี้มีฟุตบาทกว้างที่ปูด้วยหินโดยมีลวดลายคลื่นอีกเช่นเคย สองข้างทางนั้นเป็นร้านรวงต่างๆ นานา ทั้งคู่เดินไปคุยไป หยุดดูนั่นนี่ไป เจเดินตามแผนที่ไปตามทางประมาณ 500 เมตรจนมาโผล่ยังถนน Rua de Campo เขาเดินต่อไปอีก 50 เมตรก็ถึงจุดหมายปลายทางของเขา

“Wong Kun Sio Kung?”

คนตัวโตอ่านชื่อป้ายภาษาจีนหน้าร้าน ร้านบะหมี่ขนาดสองคูหาแห่งนี้มีรูปภาพติดเต็มหน้าร้าน มันล้วนเป็นภาพดารากับชายคนหนึ่งซึ่งฆาบี้เดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน เจชี้ให้ดูภาพเจ้าของร้านนั่งคร่อมอยู่บนไม้ไผ่ลำยาว

“ผมอ่านไม่ออกนะ แต่เคยเห็นรูปนี้ในหนังสือนำเที่ยว เขาน่าจะพูดถึงลุงคนนี้ ถ้าจำไม่ผิดแกทำบะหมี่มา 30 กว่าปีแล้ว  ใช้ไม้ไผ่นวด อะไรประมาณนี้”

ฆาเบียร์อ่านบทความนั้นคร่าวๆ และคอนเฟิร์มว่าเจเข้าใจถูกต้องแล้ว พวกเขาเปิดประตูและหาที่นั่ง พนักงานนำเมนูมาให้พวกเขาทั้งสอง

"โห เมนูใหม่ สวยเชียว"

เจซึ่งไม่ได้มาร้านนี้หลายปีดีดักแล้วพูดขึ้นเบาๆ เมนูเดิมของที่นี่เป็นกระดาษแผ่นเดียวที่เขียนรายการอาหารเรียงกันเป็นพรืด ฆาเบียร์ดูเมนูนั้น เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นสัญลักษณ์ตุ๊กตาตัวขาวๆ ของยาง Michelin บนปกเมนูสีแดงฉาน เล่มนั้น

"เอ๊ะ ร้านนี้ได้ดาวเหรอเจ?"

"อ๋อ ไม่ครับ แต่ว่าติดลิสต์ มาตั้งแต่ปี 2013 แล้ว ปี 2018 นี่ติด The Plate Michelin มั้ง"



เจเปิดเมนูดูแล้วต้องตาเหลือก

"เห้ย อะไรวะ ติดลิสต์แค่นี้ราคาโดดขึ้นมาขนาดนี้เลยเรอะ?"

คนตัวโตขมวดคิ้วเมื่ออ่านราคาในเมนูนั้น

"เจ ราคาเอาเรื่องเลยนะ"

"โอย คุณเอ๊ย หมี่ไข่กุ้งที่เป็นของดังของร้านนี้อ่ะ ราคาเดิมตอนผมกินซักหกเจ็ดปีที่แล้ว ตอนนั้นสี่สิบห้าปาตากาสอยู่เลย ตอนนี้ขึ้นเป็นแปดสิบแล้วอ่ะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ นี่เท่ากับถ้วยละเกือบสี่ร้อยบาทไทยทีเดียว

"งั้นเราไม่ต้องกินก็ได้นะเจ ฉันก็ว่ามันแพงไป"

เจฉุดแขนคนตัวโตที่ทำท่าจะลุกจากโต๊ะ เขาเม้มปากครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจกินต่อ เขาเรียกพนักงานมาสั่งอาหารโดยสั่งเพียงสองอย่างก่อน



“ผมเห็นตอนคุณอ่านที่หน้าร้าน คุณอ่านจีนได้คล่องเลยเหรออ่ะ?”

เจนยุทธถามคนรัก เขารู้ว่าฆาเบียร์เรียนพูดกวางตุ้งจากคริส แต่ไม่คิดว่าคนตัวโตจะอ่านออกด้วย

“ใช่ อาปาเคี่ยวเข็ญให้ฉันเรียนแต่เด็ก เมื่อก่อนฉันก็ไม่ชอบเรียนหรอกเพราะมันยาก แต่พอตอนนี้ถึงเห็นประโยชน์ของมัน”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ คริสเตรียมเขาเพื่อให้พร้อมกับการเป็นทายาททางธุรกิจตั้งแต่เขายังไม่รู้ตัว

“แล้วพูดแมนดารินได้ด้วยไหม?”

ฆาเบียร์ผงกหัวรับ แต่บอกว่าเขาพูดได้ไม่คล่องเท่ากวางตุ้ง

"โหย ดีจัง ผมเคยเรียนภาษาฝรั่งเศส แต่เข้าหม้อเข้าไหคืนครูไปหมดแล้ว ตอนนี้ได้แค่ศัพท์อาหาร"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ ทำไมเขาถึงไม่แปลกใจนะ

"...แสดงว่าคุณพูดอังกฤษ สแปนิช จีนกลางแล้วก็กวางตุ้งได้คล่อง แล้วคุณพูดภาษาอะไรได้อีกอ่ะ?"

เจถามอย่างสงสัย

"อืมม์ ฉันได้เยอรมันกับฝรั่งเศสอีกนิดหน่อย แต่ก็แค่ใช้ในชีิิวิตประจำวันนะ"

"สุดยอดเลยคุณ ผมอยากพูดได้เยอะๆ แบบนี้มั่งจัง สงสัยต้องหาภาษาอื่นเรียนนอกเหนือจากสเปนมั่งแล้ว แต่มันจะตีกันหรือเปล่านะ"

เจพูดยิ้มๆ แล้วหันไปยื่นมือไปรับจานบะหมี่ที่พนักงานเสิร์ฟส่งมาให้และกล่าวขอบคุณเป็นภาษากวางตุ้งตามที่ฆาเบียร์เคยสอน คนตัวโตยิ้มกว้าง เจออกเสียงได้ชัดพอสมควร



“ดูดีนี่นา เจ อร่อยแน่ๆ เลย ฉันว่า”

คนตัวโตมองหมี่ลวกเส้นเล็กละเอียดในจาน หมี่แห้งนั้นโรยทับด้วยไข่กุ้งอบแห้งอย่างจุใจ เขาหันไปหาคนตัวเล็กที่เงียบไม่ยอมตอบรับคำพูดของเขาแล้วก็ต้องหัวเราะหึๆ เจก้มหน้าก้มตาโซ้ยหมี่ของตัวเองหมดไปเกือบครึ่งจานแล้ว มิน่าเจ้าตัวเล็กถึงเงียบไม่ยอมคุยกับเขา

“โอ๊ย ดีดหัวผมทำไมอ่ะ!”

คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาทำหน้ายุ่งเมื่อถูกคนตัวโตใช้นิ้วดีดหัวเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้

“จะรีบกินไปไหน ฮึ? เงยหน้ามาพูดจากันบ้าง”

“แหม ขาดความอบอุ่นก็ไม่บอกนะครับ เมีย”

เจหันไปส่งยิ้มหวานให้เมียตัวโตของเขาก่อนจะคีบเกี๊ยวในจานของเขาส่งให้ฆาเบียร์สองตัว เขาสั่งแบบหมี่เกี๊ยวโรยไข่กุ้งส่วนคนตัวโตสั่งแค่หมี่เฉยๆ โรยไข่กุ้ง ทั้งสองถ้วยมาพร้อมน้ำซุปสีอำพันใสไร้สิ่งเจือปนถ้วยน้อยและพริกเผาที่คล้ายพริกเผาของไทยอีกหนึ่งถ้วย

"ฉันกินตัวเดียวพอแล้ว เจ"

ฆาเบียร์คีบเกี๊ยวคืนให้คนตัวเล็ก เกี๊ยวในจานของเจนั้นมาเพียง 3 ตัว เจ้าตัวก็ยังอุตส่าห์คีบมาให้เขาถึงสองตัว



"เจ นี่มันอร่อยมากเลย!"

คนตัวโตอุทานออกมาหลังจากคีบบะหมี่ที่เขาคลุกเคล้าไข่กุ้งลงไปเคลือบเส้นจนทั่ว เขาตักน้ำซุปมาช้อนหนึ่งแล้วจุ่มเส้นลงในซุป จากนั้นคีบกินพร้อมกับซดน้ำ เส้นบะหมี่ของที่นี่เล็กละเอียดและเด้งสู้ฟัน ทางร้านลวกเส้นให้ยังกรุบๆ เล็กๆ เขาคิดว่าเผลอๆ บะหมี่ของที่นี่อาจอร่อยกว่าร้านโปรดของเขาอย่าง Wong Chi Kei เสียอีก ส่วนไข่กุ้งที่โรยมาอย่างจุใจนั้นให้ทั้งรสชาติและความหอมของกุ้ง น้ำซุปของที่นี่รสชาติเข้มข้นมีกลิ่นรสของทะเลอย่างชัดเจน

"อร่อยใช่ไหมล่ะ? ผมไม่ได้กินร้านนี้นานแล้ว แต่ผ่านไปห้าหกปีรสชาติก็ยังไม่เปลี่ยนเลย"

เจบอกว่าตอนกินครั้งแรกเขาไม่ชอบน้ำซุปของร้านนี้เพราะเมื่อซดเปล่าๆ แล้วรสอาหารทะเลแห้งมันชัดเกินไปจนรู้สึกคาว แต่มาคราวหลังเมื่อเจ้าของร้านมาสอนว่าต้องกินโดยกินหมี่พร้อมซุปไปด้วยเขาถึงรู้สึกว่ามันอร่อย รสชาติของซุปเสริมกับกลิ่นรสของไข่กุ้งอย่างยอดเยี่ยม เขาคีบเกี๊ยวขึ้นกินแล้วก็ต้องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เกี๊ยวที่มีกุ้งเต็มๆ คำทำให้เขามีความสุขจริงๆ

"กินบะหมี่จานเดียวจะอิ่มเหรอ?"

คนตัวโตถามคนกินจุ

"แหม...ไม่น่าถาม"

เจนยุทธยิ้มเขินๆ แล้วหยิบเมนูขึ้นดู เขาว่าจะสั่งเกี๊ยวน้ำมาอีกถ้วย



"ถ้าผมสั่งโจ๊กอีกถ้วย คุณจะช่วยผมกินเกี๊ยวน้ำไหมอ่ะ?"

คนตัวเล็กทำตาปิ๊งๆ มองฆาเบียร์

"เอ้า อยากกินอะไรก็เอามา ฉันเชื่อว่ายังไงเจก็กินหมดนะ"

เจหันไปสั่งเกี๊ยวน้ำและโจ๊กตับ แต่ด้วยความเบลอ เขาชี้ผิดและสั่งเกี๊ยวกุ้งกับผักมาแทนเกี๊ยวกุ้งล้วน เขากินมันด้วยความเซ็งเล็กๆ

"มันก็ไม่ได้แย่มากนักนะเจ ต่อให้ไม่ขนาดร้านลุงหมักแต่ก็ถือว่าอร่อยใช้ได้นะ อย่างน้อยตัวซุปก็อร่อย"

เจพยักหน้ารับคำ

"พอคุณพูดถึงร้าน Mak's ผมก็รู้สึกว่าหมี่ไข่กุ้งของที่นี่มันก็ไม่แพงเท่าไหร่แล้วล่ะ"

บะหมี่ไข่กุ้งของร้านลุงหมักของเจนั้นโรยไข่กุ้งมาบางๆ และโปะซอสหอยนางรมมาด้วยในราคา 50 เหรียญฮ่องกง รสของซอสกลบกลิ่นรสของไข่กุ้งไปจนหมด มันสู้ของร้านนี้ไม่ได้เลยสักนิด

"แล้วโจ๊กใช้ได้ไหม?"

คนตัวโตถือวิสาสะใช้ช้อนตักโจ๊กไปคำใหญ่ แต่เมื่อได้ชิมรสแล้วเขาก็ไม่ได้ตักเพิ่มอีก รสชาติมันไม่ได้พิเศษอะไรนัก

"ก็โอนะ จืดๆ ตามประสาโจ๊กฮ่องกงอ่ะครับ"

เจบอกว่าคนไทยชินกับการกินโจ๊กที่ปรุงรสด้วยซอสและพริกไทยอย่างเต็มที่ หากโจ๊กของทางฮ่องกงนั้น รสชาติมันอยู่ที่น้ำซุปที่อาจจะใส่ทั้งกังป๋วยและของแห้งอื่นๆ ส่วนตับของร้านนี้นั้นก็รสชาติมาตรฐาน

"จริงๆ ร้านนี้เด่นโจ๊กปูน่ะ คุณ แต่ผมขี้เกียจแทะปูละ ไว้วันหลังแล้วกัน"



ทั้งสองคนจัดการกับอาหารบนโต๊ะจนหมดแล้วสั่งคิดเงิน เจไม่ลืมซื้อไข่กุ้งแห้งที่แบ่งขายเป็นกระปุกกลับไปด้วยสองกระปุกใหญ่ ฆาเบียร์หยิบมาดูอย่างสนใจ

"กระปุกละ 288 ปาตากาสครับ แพงเหมือนกัน แต่ว่ามันเอาไปใช้ได้หลายอย่าง คลุกหมี่ โรยข้าว ใส่ข้าวผัด ใส่พาสต้าก็อร่อย ผมเคยซื้อไปครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ซื้ออีก มาคราวนี้เลยจะจัดไปซะสอง"

"สามเลยแล้วกัน เจ กระปุกนี้ฉันจ่ายให้ แล้วเจค่อยใช้มันทำให้ฉันกินจะได้ไม่ต้องไปเบียดบังของนายไง"

คนตัวโตทำท่าจะควักกระเป๋าหยิบเงินมาจ่ายให้ แต่เจนยุทธยกมือห้ามไว้

"ไม่เป็นไรคุณ ผมจ่ายให้เอง ผมบอกแล้ว สามวันนี้เป็นของผม เงินผมยังมีเหลืออยู่ แล้วไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้จ่ายเงิน อีกสามวันที่เหลือผมจะกินให้คุณหมดตัวเลย คอยดูสิ"

คนตัวเล็กพูดยิ้มๆ เขาหยิบเงินออกมาจ่ายค่าอาหารและค่าไข่กุ้ง ถึงมื้อนี้จะหมดไปกว่าสี่พันบาท อย่างน้อยเขาก็ได้ไข่กุ้งกลับบ้านไปอย่างที่ตั้งเป้าไว้



]​ (ftp://www.picz.in.th/images/2018/02/14/upload002.jpg[/img)


เจนยุทธพาคนตัวโตของเขาเดินย้อนกลับทางเดิมไปตามถนน Rua do Campo เขาไม่เข้าซอยเพื่อกลับไปไปที่เซนาโด แต่พาคนรักเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังย่านกลางเมือง พวกเขาเดินไปจนถึงสวนหย่อมน้อยๆ แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางถนนสองสาย ริมสวนมีอาคารแปดเหลี่ยมแบบจีนหลังน้อยตั้งอยู่

"นั่งเล่นกันที่นี่หน่อยไหมครับ?"

เจดึงคนรักลงนั่งบนที่นั่งซีเมนต์ที่ก่อรอบต้นลั่นทมขนาดใหญ่ที่กลางสวนน้อย สวนหย่อมกลางถนนนี้ประกอบด้วยทางเดินกว้างซึ่งปูหินสีขาวและมีโมเสคลวดลายคลื่นและสัตว์น้ำทำจากหินสีดำกับแปลงดอกไม้และต้นไม้พุ่มซึ่งปลูกและตัดแต่งจนกลายเป็นรูปทรงเลขาคณิตหลากสีอย่างสวยงาม นอกจากนั้นยังมีไม้ยืนต้นจำนวนหนึ่ง บางส่วนมีการก่อซีเมนต์ล้อมรอบจนเป็นที่นั่งพักของคน เจควักโพยในมือถือของเขามาอ่าน



"สวนหย่อมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Jardim do Sao Francisco หรือสวนซานฟรานซิสโกครับ มันเป็นสวนที่เก่าแก่ที่สุดของมาเก๊า สร้างมาตั้งแต่ปี 1580..."

คนตัวโตมองไปรอบๆ

"เอ มันเก่าขนาดนั้นเลยเหรอ เจ นอกจากตัวตึกนั่นซึ่งก็ไม่น่าเก่าถึงสี่ร้อยปี ฉันก็ไม่เห็นวี่แววว่าสวนนี้มันจะเก่านักนะ"

"แน่ะ เถียงอีก ผมมีโพยนะ"

เจพูดยิ้มๆ เขาส่งมือถือของเขาให้ฆาเบียร์อ่าน หากคนตัวโตส่งคืนมาทันควัน

"ไม่อ่าน วันนี้นายเป็นไกด์ก็ต้องเล่าใหัฉันฟังสิเจ"

เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นคนรักเริ่มงอแง เขาก้มหน้าก้มตาอ่านโพยให้ฆาเบียร์ฟังต่อ



"สวนนี้น่ะเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่โบสถ์นิกายฟรานซิสกันของสเปนในช่วงที่เริ่มมีการเผยแพร่ศาสนามายังประเทศจีน แต่ภายหลัง น่าจะช่วงศตวรรษที่ 17 หรือ 18 นี่แหละ โปรตุเกสได้ขับไล่นิกายนี้ออกไปและยึดพื้นที่ของโบสถ์มาเป็นของตัวเอง พวกโปรตุเกสเปลี่ยนสวนนี้ให้เป็นค่ายทหารและสวนสาธารณะ..."

สวนแห่งนี้เป็นที่เดินเล่นของชนชั้นสูงมาตั้งแต่สมัยก่อน อีกทั้งยังเป็นที่ชมวิวทะเลและฟังดนตรีอีกด้วย หากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของมาเก๊าทำให้สวนแห่งนี้สูญหายไปจนเกือบหมดในช่วงปี 1920

"สวนนี้น่ะไม่ได้มีแค่ไอ้เจ้าส่วนสวนหย่อมกลางถนนตรงนี้หรอกนะครับ มันยังมีส่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและบนเนินตรงนู้นด้วย..."

เจชี้ไปยังเนินที่อยู่หลังลานจอดรถฝั่งตรงข้ามถนนจากที่พวกเขานั่งอยู่ ฆาเบียร์มองตาม เขาเห็นแนวอาคารสีชมพูอยู่ไม่ไกล

"ในตอนหลังมีการตัดถนนผ่ากลางสวนและสร้างทับเวทีแสดงดนตรีซึ่งเคยเป็นจุดเด่นของสวนแห่งนี้ ถนนแบ่งสวนออกเป็นสองฝั่ง ส่วนที่เหลือจากสวนดั้งเดิมก็มีอาคารทรงโคโลเนียลสีชมพูใหญ่ๆ ตรงนั้น ซึ่งก็คือสโมสรนายทหารหรือ Clube Militar ครับ..."

สโมสรนายทหารแห่งนี้เป็นที่เลื่องชื่อเรื่องอาหารโปรตุเกสรสเลิศ เจบอกว่าถ้าจะเข้ามาใช้บริการก็ควรจองเข้ามาก่อน ที่จริงมันยังมีบาร์ที่ให้บรรยากาศเหมือนหลุดเข้าไปในยุคอาณานิคมอีกด้วย แต่เปิดให้บริการเฉพาะสมาชิกเท่านั้น นอกจากสโมสรนายทหารแล้ว ใกล้ๆ กันยังมีซุ้มโค้งสีชมพูขลิบขาวที่ประกอบกันเหมือนเป็นศาลาใกล้ๆ กับบ่อน้ำพุขนาดไม่ใหญ่ ซุ้มเหล่านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของสวนเก่าแก่แห่งนี้ เช่นเดียวกับต้นไม้เก่าแก่ขนาดใหญ่อีกหลายต้นที่ขึ้นเรียงรายกันริมถนนและบนเนินอันเป็นที่ตั้งของสวนอายุกว่าสี่ร้อยปีแห่งนี้



(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2018 03:29:32 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1




---- Eat-All-Day Jay (ต่อ) ----




"แล้วไอ้เจ้าตึกแปดเหลี่ยมนี่ล่ะ เจ มันเป็นอะไร? ฉันเห็นคนเดินเข้าเดินออกตลอดเลย"

ฆาเบียร์ถามถึงอาคารปูนสีเทาหลังคาเขียวและกรอบประตูหน้าต่างสีแดง​สดที่ตั้งอยู่ริมสวน

"ทายออกไหม ว่าเป็นอะไร?"

เจนยุทธพูดยิ้มๆ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เห็นนานมากแล้ว ฆาเบียร์ส่ายหน้า

"ห้องสมุดครับ คุณ"

"ห้องสมุดเหรอ? ว้าว ฉันไมไ่ด้เข้าห้องสมุดมานานขนาดไหนแล้วเนี่ย?"

เจหัวเราะท่าทางของคนตัวโตที่ตื่นเต้นกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ตัวเขาเองก็ไม่ได้เข้าห้องสมุดมาตั้งแต่เรียนจบแล้วเช่นกัน และไม่นึกว่าจะยังมีคนที่ไม่ใช่นักเรียนนักศึกษามานั่งอ่านหนังสือแบบจริงจังในห้องสมุดอยู่อีก แต่จากโพยของเขาห้องสมุดน้อยๆ แห่งนี้นั้น เป็นหนึ่งในห้องสมุดที่มีคนมาใช้บริการมากที่สุดของมาเก๊า ณ ตอนที่เขานั่งอยู่นั้นก็เห็นมีทั้งผู้สูงวัยไปจนถึงเด็กน้อยเข้ามาใช้บริการอยู่ไม่ขาด

"เห็นว่ามันถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1930 เพื่อเป็นห้องสมุดนั่นแหละ แต่ตอนหลังถูกเปลี่ยนเป็นร้านไวน์และบาร์สนุกเกอร์ โชคดีที่มีเศรษฐีใจดีคนหนึ่งซื้อมันและบริจาคให้หอการค้ามาเก๊าช่วงปลายยุค 40 และเปลี่ยนกลับเป็นห้องสมุดเหมือนเดิม..."



"เราไปเดินเล่นที่สวนด้านบนหน่อยไหมครับ?"

เจลุกขึ้นยืนและยื่นมือส่งให้คนรักซึ่งจับกระชับมือเขามั่น พวกเขาทั้งคู่ข้ามถนนและเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไป ทั้งคู่เดินทอดน่องขึ้นไปตามบันไดและทางลาดปูด้วยหินซึ่งมีราวระเบียงสีชมพูตีคู่ไปตลอดทางไปจนถึงชั้นบนสุดของสวน พวกเขาแลกจูบแผ่วๆ กันในมุมปลอดคนข้างอาคารทรงกลมสูงสองชั้นสีชมพูขลิบขาวรูปทรงเหมือนกรงนกพิราบ อาคารแห่งนี้ถูกบูรณะเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเหล่าทหารหาญในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ใกล้ๆ กันนั้นมีสนามเด็กเล่นขนาดเล็กอยู่

ฆาเบียร์โอบไหล่คนตัวเล็กของเขาเดินลงมาตามทางเดินใต้ร่มไม้เก่าแก่จากชั้นบนสุดของสวน ถึงสวนนี้จะไม่ใหญ่ แต่บรรยากาศสบายๆ ของมันทำให้ใจเขาสงบ เขาอดไม่ได้ต้องหอมแก้มแดงระเรื่อของคนรักเบาๆ เจหันมายิ้มให้คนตัวโตของเขาและหอมคืน

"คุณรู้ไหม อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมชอบมาเก๊าก็เพราะพวกสวนเล็กๆ พวกนี้แหละ"

นอกจากสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างสวน Camoes หรือสวนจีนอย่างสวน Lou Lim Liac และอีกหลายๆ แห่ง ในมาเก๊ายังมีสวนขนาดย่อมหรือสวนหย่อมที่ถูกดูแลอย่างดีแบบนี้กระจายอยู่เต็มไปหมด แม้จะไม่ใช่สวนที่มีต้นไม้มากมายจนเต็มพื้นที่ แต่มันก็ยังเป็นพื้นที่สีเขียวที่ใช้งานได้จริงและดึงดูดให้ผู้คนมารวมตัวกันได้ ฆาเบียร์พยักหน้า เขาบอกเจว่าเขาคุ้นเคยกับเมืองที่มีสวนและพื้นที่สีเขียวสวยๆ อย่างซาน ฟรานซิสโกและเห็นความสำคัญของมันเต็มที่ บางครั้งที่เขาเครียดเรื่องงานและบังเอิญว่าอยู่ค้างในซานฟรานพอดี เขาก็จะใช้เวลาว่างไปเดินเล่นหรือไปวิ่งที่ Palace of Fine Arts หรือ สวนชาญี่ปุ่นใน Golden Gate Park มันช่วยให้เขาผ่อนคลายได้มาก หรือแค่ไปเดินเล่นแถวถนนลอมบาร์ดอันเลื่องชื่อก็ทำให้มีความสุขแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ฮ่องกงเขาก็ถูกล้อมรอบไปด้วยตึก แม้ฮ่องกงจะมีสวนสาธารณะใหญ่ๆ หลายสวน แต่มันก็ไม่ได้เข้าถึงง่ายเหมือนพื้นที่สีเขียวที่มาเก๊า ฉะนั้นเขาจึงใช้วิธีขึ้นไปผ่อนคลายที่บ้านบนเดอะพีคของอาปาเขาแทน



"ที่เชียงใหม่ พื้นที่สีเขียวที่ใกล้บ้านเราที่สุดก็คงเป็นสวนสุขภาพของม.ช.แหละคุณ"

ฆาเบียร์ยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงสวนอันร่มรื่นที่มีเครื่องออกกำลังกายและทางเดินเล่นข้างหอประชุมของม.ช. เขาเคยตามเจไปวิ่งตอนเช้า พอวิ่งเสร็จ เจก็พาเขาวกเข้าไปนั่งในร้านที่ขายน้ำส้มคั้นสดและลูกชิ้นทอด จากนั้นเจ้าตัวดีก็สั่งของมาเพียบและกินซะเต็มคราบ เขาเลยไม่แน่ใจว่าที่เจมานั้นต้องการมาออกกำลังกายจริงๆ หรือว่ามากินลูกชิ้นทอดกันแน่ แต่สวนแห่งนั้นแม้จะมีต้นไม้ขึ้นร่มรื่น แต่ขาดการดูแลไปบ้างทำให้ไม่น่าเข้าไปนัก สวนหลายแห่งของเชียงใหม่ก็มีสภาพขาดการดูแลเช่นนี้ หากสวนสาธารณะใจกลางเมืองที่เปิดให้บริการมาเนิ่นนานอย่างสวนบวกหาดนั้น ปัจจุบันได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดีและกลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเชียงใหม่ อีกทั้งไว้จัดกิจกรรมอย่างงานไม้ดอกไม้ประดับอีกด้วย

เจนยุทธพาคนตัวโตเดินผ่านซุ้มเก่าแก่ข้างบ่อน้ำพุและสโมสรนายทหารเพื่อมุ่งหน้าไปยังใจกลางเมือง ฆาเบียร์นึกดีใจที่วันนี้เขาใส่รองเท้ายิมออกมาไม่ใช่ deck shoes คู่แพงระยับของเขา เจพาเขาเดินอย่างที่ขู่จริงๆ



]​ (ftp://www.picz.in.th/images/2018/02/14/upload001.jpg[/img)



คนตัวเล็กพาคนรักเดินข้ามถนน Avenida da Praia Grande และเข้าสู่ถนน Avenida de Dom Joao IV เจจูงมือคนตัวโตของเขาพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ อย่างมีความสุข

"ดูแฮ้ปปี้แบบนี้ จะพาฉันไปกินอะไรอีกล่ะ"

"รู้อีกนะคุณ"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แม้จะคบหากันได้ไม่นาน แต่เขาก็รู้ใจคนรักดีพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องกินแบบนี้

"...เดี๋ยวอีกแป๊บนึงก็ถึงละ รอไปดูเองแล้วกันนะ"

พวกเขาเดินผ่านร้านรวงจนเกือบถึงสี่แยกใหญ่ เจนยุทธพาคนรักเลี้ยวเข้าซอยน้อยข้างตึกแห่งหนึ่ง ในซอยนั้นเป็นดงตึกแถวที่ดูซอมซ่อ พวกเขาเดินเข้าไปหนึ่งช่วงตึกแล้วก็เห็นฝูงชนยืนออกันอยู่ที่ข้างตึกแห่งหนึ่ง พวกเขามาเพื่อรอซื้ออะไรบางอย่าง เจพาฆาเบียร์เดินไปด้านหน้าร้านแห่งนั้น คนตัวโตอ่านป้ายชื่อที่ติดหน้าร้านนั้น

“Margaret's Cafe e Nata...เฮ้ ฉันรู้จักร้านนี้นะ เพื่อนอาปาที่อยู่มาเก๊าเคยให้คนซื้อทาร์ตไข่ของร้านนี้มาให้กิน”

ฆาเบียร์เผลอตัวพูดออกมา

“…เอ่อ แต่ฉันก็ยังไม่เคยกินแบบร้อนๆ ที่ร้านนะ”

คนตัวโตรีบพูดแก้เกี้ยวเมื่อเห็นคนรักหน้าสลดลงเล็กน้อย เจยิ้มออกมาได้เมื่อได้ยินแบบนั้น เขาพาคนรักเดินไปหาที่นั่งที่หน้าร้าน ร้านแห่งนี้เน้นซื้อกลับบ้าน ที่หน้าร้านมีที่นั่งไม่มากนัก ไม่เกิน 25-30ที่ และมักต้องแชร์โต๊ะกับคนแปลกหน้า พวกเขายืนรอที่หน้าร้านครู่หนึ่งจึงได้ที่นั่ง เจกุลีกุจอพาคนตัวโตของเขาไปนั่งที่



“รอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมไปซื้อทาร์ตมาให้”

“ไม่ต้องเอามาเยอะนะ เจ ฉันยังไม่หิว”

คนตัวโตกำชับ เจพยักหน้ารับคำ เขาเดินเข้าไปรอคิวในร้านเล็กๆ แห่งนั้น กลิ่นหอมๆ ของขนมอบทำให้เขาน้ำลายสอ โชคดีที่คิวไม่ยาวนัก เขารอไม่นานก็มายืนอยู่หน้าป้าแคชเชียร์ที่หน้าไม่ค่อยรับแขกนัก เจมองข้ามไหล่คนที่รอจ่ายเงินหน้าเขาแล้วก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพที่คุ้นตาซึ่งติดอยู่หลังแคชเชียร์ เจมักมองหาภาพนั้นทุกครั้งที่มาซื้อขนมที่ร้านนี้ ภาพนั้นเป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งทรงฉายคู่กับเจ้าของร้านเมื่อตอนเสด็จพระราชดำเนินเยือนมาเก๊าเมื่อหลายปีที่แล้ว สำหรับเจนยุทธแล้ว ภาพนี้เหมือนเป็นการการันตีความอร่อยของร้านนี้

“หกชิ้นครับ”

เจสั่งขนมของเขา

"ห้าสิบห้า”

ป้าคนขายพูดห้วนๆ เหมือนทุกครั้งโดยแทบไม่เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องบริการฉับไวและความไม่ค่อยรับแขกของพนักงาน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คนมาที่ร้านนี้น้อยลงแต่อย่างใด เจยื่นเงินที่เตรียมไว้ส่งให้คนขาย เขารับเงินทอนและใบเสร็จมา จากนั้นนำใบเสร็จไปยื่นให้พนักงานที่ตู้ขนมซึ่งจัดการบรรจุขนมลงกล่องให้เขาอย่างฉับไว เจหิ้วกล่องขนมออกมาหาคนรักที่นั่งรออยู่



“มาแล้วครับ ทาร์ตไข่ป้ามาร์กาเร็ต”

เจเปิดกล่องทาร์ตไข่ที่หน้าตาคล้ายของกล่องของร้านลอร์ดสโตว์ ต่างกันที่ชื่อร้านเท่านั้น เจยกมือถือขึ้นถ่ายคลิปเมียตัวโตของเขาที่ก้มหน้าก้มตากินทาร์ตไข่ร้อนๆ ในมือ ฆาเบียร์ยิ้มเขินๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอกล้องและยิ่งหน้าแดงขึ้นไปใหญ่เมื่อเจใช้นิ้วปาดเศษแป้งที่ติดมุมปากของเขา

“ไลฟ์นะครับ ที่รัก คุณบอกคนดูหน่อยซิว่าเราอยู่ที่ไหนกัน”

ฆาบี้มองกล้องแล้วส่งรอยยิ้มละไมของบล็อกเกอร์หนุ่มบาเลนตินให้

"สวัสดีครับ ตอนนี้เจพาผมมากินทาร์ตไข่ของ Margaret's Cafe e Nata ครับ..."

คนตัวโตพูดถึงการเดินทางมายังที่นี่และเล่าถึงรสชาติของทาร์ตที่เขาได้ชิมไป



"...เทียบแล้ว ผมว่ารสชาติมันไม่หนีไปจากของร้านลอร์ดสโตว์ที่ผมกินไปเมื่อวานครับ ข้อแตกต่างคือคัสตาร์ดของที่นี่จะเหลวกว่าเล็กน้อยและรสชาติหวานน้อยกว่า กลิ่นน้ำตาลไหม้ก็จางกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยนะครับ สำหรับคนที่ไม่ชอบหวาน อาจจะชอบของร้านนี้มากกว่า แต่ผมชอบแบบติดหวานหน่อยก็จะชอบของลอร์ดสโตว์..."

เจพูดแทรกมาว่าสำหรับเขานั้นชอบของร้านมาร์กาเร็ตมากกว่า ฆาเบียร์ยิ้มให้คนรักที่อยู่หลังกล้อง แล้วพูดต่อ

"สำหรับตัวแป้งแล้ว ความบางและความกรอบของแป้งนั้นถือว่าใกล้เคียงครับ ที่ต่างไปนิดหน่อยคือแป้งของมาร์กาเร็ตจะติดเค็มกว่าหน่อย สรุปแล้ว ผมว่าทั้งสองร้านนี้อร่อยกว่าร้านอื่นๆ ในมาเก๊าครับ แต่ถ้าจะให้บอกว่าร้านไหนอร่อยว่ากัน ผมว่าก็คงอยู่ที่ความชอบส่วนตัวแล้วครับ แต่สำหรับผม ก็คงต้องของลอร์ดสโตว์"

"คุณรู้ไหมว่าทำไมทั้งสองร้านนี้ถึงรสชาติคล้ายกัน?"

เจส่งเสียงถามคนตัวโตของเขา

"ทำไมล่ะ เจ?"

ฆาเบียร์ถามกลับไป ที่จริงเขาก็พอรู้อยู่ แต่เขาต้องการให้เจเล่าให้แฟนๆ ของเพจเขาฟัง เจสลับกล้องเป็นกล้องหน้าแล้วเริ่มเล่า



"คุณมาร์กาเร็ต หว่องเจ้าของร้าน Margaret's Cafe e Nata นั้นเป็นภรรยาเก่าของคุณแอนดรูว์ เจ้าของร้านลอร์ดสโตว์ครับ พอเลิกกัน เธอก็มาเปิดร้านของตัวเองที่นี่ครับ แต่ไม่เหมือนกับร้านลอร์ดสโตว์ที่เปิดอีกหลายสาขา ร้านมาร์กาเร็ตมีสาขาเดียวเท่านั้นครับ ฉะนั้นผมแนะนำว่าถ้าไม่อยากมาแออัดนั่งหน้าร้านแบบนี้ ก็ซื้อกลับออกไปกินที่สวนสาธารณะใกล้ๆ ดีกว่าครับ"

เจจบการบรรยายของเขาและหันกล้องไปรอบๆ ให้คนดูได้เห็นบรรยากาศของร้าน เขาหันกล้องกลับมาที่ฆาเบียร์แล้วก็ต้องเผลอร้องออกมาอย่างลืมตัว

"เห้ยๆๆ จะรีบกินไปไหน รอผมก่อน!"

คนตัวโตกินทาร์ตไข่หมดไปสองชิ้นแล้ว และกำลังจะหยิบชิ้นที่สาม เจรีบหยิบส่วนของเขาขึ้นมาอย่างเร็ว

"เจ...ลืมปิดกล้องหรือเปล่า"

ฆาบี้พูดยิ้มๆ เจนยุทธรีบเอื้อมมือไปจบการไลฟ์สดของเขาก่อนจะจัดการทาร์ตไข่จากร้านโปรดของเขา พวกเขากินไปคนละสามชิ้นโดยใช้เวลาไม่นานนัก



] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/02/14/upload004.jpg[/img)



"แย่แน่ๆ เลย เจ ฉันกินไปเยอะมากเลยวันนี้"

คนตัวโตบ่นพึมพำ ตั้งแต่เช้า เขากินทั้งติ่มซำ ลูกชิ้นซอสกะหรี่ บะหมี่ไข่กุ้งและเกี๊ยวน้ำ แล้วตอนนี้เขาก็กินทาร์ตไข่ร้อนๆ รสละมุนหมดไปสามชิ้นอย่างลืมตัว แล้วอีกไม่นานเจก็คงจะลากเขาไปกินอาหารเย็นอีกอย่างแน่นอน

"แหมๆ มาเที่ยวก็ต้องกินสิคุณ ไม่ใช่จะกินแบบนี้ทุกวันซะทีไหน แล้วเราก็ยังออกแรงเดินอีก หรือถ้าคุณกลัวจะเบิร์นไม่หมด กลับไปคุณก็ไปยิมตอนกลางคืนก็ได้นี่"

"เจ...ฉันอยากออกแรงกับอย่างอื่นมากกว่านะ"

คนลามกโน้มกายมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเจนยุทธ

"โอ๊ย คุณนี่ เผลอไม่ได้ จะลากผมขึ้นเตียงตลอดเลยนะ"

เจบ่นเบาๆ เขาหันซ้ายหันขวาดูว่าคนแปลกหน้าที่นั่งร่วมโต๊ะจะได้ยินการสนทนาของพวกเขาหรือไม่

"ไม่ได้เหรอ คนดีของฉัน"

คนตัวโตส่งสายตาเว้าวอนมาให้ เจมองมือใหญ่ที่เกาะกุมมือของเขาและมองตรงไปยังตาคู่งามที่ส่งประกายเชิญชวน มันทำให้เขาอยากลากคนตัวโตคนนี้ขึ้นเตียงและจัดการให้ลุกไม่ขึ้นเสียจริงๆ เจรีบเก็บกล่องเปล่าบนโต๊ะและส่งน้ำเปล่าในขวดที่เขาพกติดไว้ในกระเป๋า messenger ให้คนรักดื่ม ก่อนที่จะชวนกันลุกออกจากร้านไป



"เดี๋ยวไปไหนต่อเหรอ?"

ฆาเบียร์ถามคนตัวเล็กที่ลากแขนเขาเดินลิ่วออกจากร้านทาร์ตไข่

"ร้านเป็ดย่าง"

เจตอบสั้นๆ

"หือ? นี่นายจะกินทั้งวันเลยเหรอ เจนยุทธ?"

เจหยุดกึกแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับฆาเบียร์

"ทำไงได้อ่ะ ฆาบี้ ผมต้องรีบจบรายการทัวร์ของผมวันนี้อ่ะ..."

"ก็ไม่เห็นต้องรีบเลยนี่ เจ ไปเรื่อยๆ ก็ได้ นี่เพิ่งจะ 4 โมงกว่าเองนะ"

"ไม่ให้รีบได้ไงล่ะ คุณ ก็ผมอยากกินของหวานเร็วๆ แล้ว"

"หา? ยังจะกินของหวานอยู่อีกเหรอ?"

คนตัวโตร้องลั่น กระเพาะเจทำจากอะไรกันแน่ เขาอยากรู้จริงๆ หากเขาต้องใจสั่นระรัวเมื่อเจยกมือขึ้นลูบแก้มเขาเบาๆ

"ใช่ ของหวานจานนี้ไง ยั่วผมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะครับ เมีย คืนนี้ผมจะกินคุณทั้งคืนเลย คอยดูสิ"

"เจ..."

ฆาเบียร์เรียกชื่อคนรักแผ่วๆ

"...งั้น เรารีบๆ ไปร้านเป็ดย่างของเจกันเถอะ"



คนตัวโตเป็นฝ่ายดึงแขนเจนยุทธออกเดินแทน เจพาคนรักของเขาเดินออกมาจากทางที่เขาเข้าไปในร้านมาร์กาเร็ต จากนั้นเลี้ยวขวาที่สี่แยกเพื่อเดินขึ้นไปตามถนนเพื่อมุ่งหน้าไปสู่จัตุรัสเซนาโด หากเดินไปได้หนึ่งช่วงตึก เจก็เลี้ยวขวาที่สี่แยกและหยุดที่หน้าตึกแถวหลังหนึ่งซึ่งมีเป็ดย่างหมูแดงแขวนอยู่เต็มหน้าร้าน

"ร้าน Chan Kong Kei Casa de Pasto ครับ"

เจหันมาบอกคนรักและพาเขาเดินเข้าไปในร้าน ในร้านนั้นมีโต๊ะเก้าอี้แบบง่ายๆ เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวหรือร้านโจ๊กของไทย เรียงรายแทบจะชิดติดกัน พนักงานมารับออเดอร์แทบจะทันทีที่พวกเขานั่งลง เจสั่งของย่างไปหลายอย่างและเกี๊ยวน้ำ เขาผิดหวังเมื่อรู้ว่าของที่เขาตั้งใจมากินอย่างห่านย่างและเลือดต้มกับผักกาดแก้วนั้นหมด

"ร้านนี้เป็นร้านโปรดของผมกับพี่นพเลยครับ ถ้ามีโอกาสพวกเราก็จะมากินตลอด ผมว่ามันอร่อยไม่แพ้ร้านไหนเลยนะ"

เจคีบเป็ดย่างพริกไทยดำส่งให้ฆาเบียร์ คนตัวโตกัดเข้าไปแล้วทำตาโต หนังเป็ดที่ย่างอย่างดีนั้นอร่อยล้ำ แม้จะไม่ได้เป็นแบบหนังกรอบกรุบเหมือนเป็ดย่างธรรมดาเพราะถูกทามาด้วยซอสพริกไทยดำ แต่ตัวซอสซึ่งรสไม่ได้แรงเกินจนกลบทุกอย่างก็ช่วยเสริมความอร่อยให้เนื้อเป็ด รสเผ็ดน้อยๆ ของพริกไทยดำกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีจริง ถ้าจะมีข้อเสียก็ตรงที่เนื้อมันแห้งไปนิด เจทยอยคีบเนื้อสัตว์ย่างชนิดอื่นให้คนรัก เขาชอบที่ได้เห็นฆาบี้กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย



"ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกันเรา?"

คนตัวโตเลิกคิ้วถามคนตัวเล็ก

"ก็เพราะคุณนั่นแหละฆาบี้ คุณรู้ตัวไหมว่าหน้าตาคุณเวลาได้กินอะไรอร่อยๆ มันดูดีแค่ไหน"

เจพูดยิ้มๆ ใบหน้าคมเข้มของคนรักที่มักปั้นให้ดูเคร่งขรึมกลับดูผ่อนคลาย ริมฝีปากบางและแก้มที่ตอบจนเห็นสันกรามที่ขยับตามแรงเคี้ยวนั้นชวนให้เขาสัมผัสนัก สีหน้าของฆาบี้ตอนที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารทำให้เขานึกภาพไปถึงตอนที่คนรักกำลัง "กิน" บางส่วนของเขาอย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งเมื่อเห็นลิ้นสีชมพูที่เลียไล้ที่ปากอย่างลืมตัวในบางครั้ง มันยิ่งทำให้เจคิดเตลิดไปไกล

"เจ...ไก่ตกแล้ว เหม่ออะไร หือ?"

ฆาเบียร์ยื่นมือมาตบๆ แก้มคนรักที่ใจลอยถือตะเกียบค้างจนไก่ย่างซีอิ๊วที่คีบไว้ตกลงในจาน เจหัวเราะแหะๆ แล้วคีบไก่ขึ้นมากินใหม่ ปกติเขาไม่เคยสั่งมันสักครั้ง แต่คราวนี้เขาอยากลองของใหม่

"อืมม์ ไก่คล้ายกับที่ฮ่องกงลัคกี้เลยครับ แต่เขาราดน้ำจิ้มมันมาเลย"

ไก่ย่างซีอิ๊วของที่นี่เสิร์ฟมาพร้อมขิงปั่นกับต้นหอม น้ำมันงาและเกลือ แต่แทนที่จะเสิร์ฟน้ำจิ้มมาในถ้วยแยก เขากลับราดมันมาเลย

"ไก่อร่อยนะ แต่เสียดาย พอเขาราดน้ำจิ้มมาก็ทำให้มันเค็มไปทีเดียว"

คนตัวโตคีบไก่กินเข้าไปอีกชิ้น ที่จริงถ้าได้ข้าวสวยรสชาติมันก็คงพอดี แต่เขากับเจตัดสินใจจะกินแต่เนื้อเปล่าๆ กันเพราะรู้สึกว่ายังอิ่มอยู่บ้างจากอาหารที่กินเข้าไปเยอะแล้วในบ่ายวันนี้



"หมูแดงหมูกรอบเป็นไงมั่งคุณ ใช้ได้ไหม?"

เจถามถึงหมูแดงหมูกรอบที่เขาสั่งรวมกันมาไซส์จานใหญ่

"อืมม์ ฉันว่ากลางๆ นะ หมูกรอบรสชาติโอเค แต่เสียดายที่น่าจะโดนน้ำราดของหมูแดง หนังมันเลยไม่กรอบนัก แต่ฉันแอบผิดหวังกับหมูแดงนิดหน่อย รสมันอ่อนไปนิด แล้วก็ติดมันเยอะ"

เจพยักหน้าเห็นด้วย หมูแดงของที่นี่เป็นแบบไม่ได้ใส่สีหรือปรุงรสอะไรมากมาย เขาที่ชินกับหมูแดงแบบไทยที่ปรุงรสมาเต็มที่ก็เลยรู้สึกว่ารสมันอ่อนไป โดยรวมๆ แล้วของย่างของที่นี่ถือว่าอร่อย แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังคือเกี๊ยวหมู รสชาติมันธรรมดาเกินกว่าที่คิด

"จริงของเจ รสชาติมันกลางๆ มีไว้แค่ซดเล่นแก้เลี่ยนเท่านั้น"

ฆาเบียร์พูดพร้อมตักเกี๊ยวตัวสุดท้ายเข้าปาก เจสำรวจดูจนแน่ใจว่าทุกอย่างหมดเกลี้ยงเรียบร้อยแล้วจึงสั่งคิดเงินอย่างไม่รีรอให้เสียเวลา ทั้งคู่เดินคลอเคลียกันกลับไปยังโรงแรม ใจของพวกเขาลอยไปถึงเตียงนุ่มๆ ที่ห้องพักของพวกเขาแล้ว


]
(ftp://www.picz.in.th/images/2018/02/14/upload003.jpg[/img)



---------------------------------



ตอนนี้พากินซะสามร้านเลย อร่อยทุกร้านค่ะ ร้านบะหมี่ไข่กุ้งนี่รูปเป็นรูปเก่านะคะ เพราะไม่ได้ไปกินหลายปีแล้ว แต่คนที่ไปมาก่อนหน้าคอนเฟิร์มว่ายังอร่อยอยู่ ส่วนเป็ดย่างกับทาร์ตไข่เพิ่งกินมาช่วงปลายปีที่ผ่านมา ยังอร่อยเหมือนเดิมค่ะ

ลิงค์รีวิวและรายละเอียดของทั้งสามร้านค่ะ

รีวิวของร้าน Margaret’s Café e Nata ค่ะ https://goo.gl/UTiXdV

ร้าน Wong Kun Sio Kung ค่ะ https://goo.gl/Mf9Dvm

ร้าน Chan Kong Kei ค่ะ https://goo.gl/EENfsa

มีข้อผิดพลาดเรื่องรูปนิดหน่อย ทำรูปมาเป็นไซส์เล็กหมด ถ้าไม่ขี้เกียจจะมาแก้ทีหลังนะคะ ดูรูปเล็กไปก่อนนะคะ


สวน S. Francisco ค่ะ https://goo.gl/Uspx62

สวนนี้คนเขียนได้แวะแป๊บๆ แค่ตรงส่วนล่าง ด้านบนนี่เคยแต่นั่งรถผ่าน มันเล็กจริงๆ ค่ะแต่ถ้ามาเดินเล่นถ่ายรูปก็สวยอยู่ สวนอื่นๆ ที่คนนิยมไปอย่างสวนคาโมสกับเลาลิมเลียคนี่ยังไม่เคยไปค่ะ จะว่าไป ไปมาเก๊านี่มัวแต่ใช้ชีวิตกับการกินซะเยอะ แทบไม่ค่อยได้เที่ยวจริงๆ จังๆ เท่าไหร่ แหะๆๆ


จริงๆ ตอนแรกกะว่าจะเขียนตอนพิเศษวันวาเลนไทน์ซะหน่อย แต่ปรากฎว่าไม่ทัน ก็รอไว้หลังเนื้อเรื่องช่วงนี้แล้วกันนะคะ แอบเสียดายเหมือนกันเพราะตอนนี้ นับๆ ดูแล้วน่าจะเป็นตอนที่ 100 ของเนื้อเรื่อง The Taste of Love...อิ่มรักรสโอชา (รวมทั้งตอนพิเศษด้วย) นึกๆ อยู่ว่าตัวเองบ้าพลังเขียนไปเยอะขนาดนี้ไหวได้ไง ก็ต้องขอขอบคุณคนอ่านทุกคนด้วยนะคะ ยังไงก็ติดตามอ่านกันไปเรื่อยๆ ด้วยนะคะ รับรองว่าไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่ะ​

สุดท้ายนี้ ขอให้คนอ่านทุกคนมีความสุขกับความรักและวันวาเลนไทน์ ไม่ว่าจะเป็นรักแบบไหนก็ตาม ทั้งแบบคนรัก ครอบครัว เพื่อนฝูง และอื่นๆ ค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2018 11:56:14 โดย La Vida Sin Tu Amor »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :L1: o13 o13 o13 :L1:


 :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2:

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Lo Siento...ฉันขอโทษ ----



"ฆาบี้ ผมว่าเราแวะนั่งเลาจ์หน่อยมะ?"

เจนยุทธที่ยังหน้าแดงน้อยๆ เพราะรีบเดินหันไปถามคนรัก แม้ระยะทาง 800 เมตรจากร้านเป็ดย่าง Chan Kong Kei มายังโรงแรมโซฟิเทลจะไม่ได้นับว่าไกลมากนัก แต่พวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินโดยที่ลืมไปว่าท้องยังอิ่มอยู่ ตอนนี้เจเริ่มจุกนิดๆ เขาสำนึกได้ว่าถ้าพวกเขาเข้าห้องตอนนี้ แล้วเกิดคนตัวโตเกิดอยากทำอะไรๆ ขึ้นมาเขาคงไม่ไหวแน่

ฆาเบียร์สังเกตท่าทางของคนรักแล้วพยักหน้าตกลง พวกเขาพากันเดินเข้าไปในคลับเลาจ์ ในขณะนี้เป็นเวลาหกโมงเศษ ในห้องขนาดไม่ใหญ่นั้นมีคนนั่งอยู่ค่อนข้างเต็ม พวกเขาทั้งสองยืนรอให้พนักงานหาที่นั่งให้

"เฮ้ มาร์ติเนซ ทางนี้ๆ"

เสียงทุ้มนุ่มของโดเมนิโก้ดังขึ้น หนุ่มอิตาเลียนโบกไม้โบกมือให้คนทั้งสอง ฆาบี้ขมวดคิ้วน้อยๆ และหันไปมองหน้าเจ แต่เจนยุทธไม่สบตาเขาและดึงมือเขาให้เดินเข้าไปหาโดเมนิโก้



"สวัสดีครับคุณเพเทรลลี่ เฟลิเป้"

เจผงกหัวทักทายคนทั้งสอง หากคนตัวโตของเขาทักเพียงแค่คู่ค้าของตนเท่านั้น เฟลิเป้พยักหน้ารับการทักทายแบบแกนๆ แต่พ่อหนุ่มอิตาเลียนนั้นยิ้มกว้างแถมยังจับมือจับไม้เจไว้อีกต่างหาก ฆาเบียร์มองตามอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ได้แสดงทีท่าอะไรออกไป

"พวกนายมาก็ดีแล้ว มานั่งด้วยกันนี่แหละจะได้ครึกครื้น"

โดเมนิโก้เรียกพนักงานให้หาเก้าอี้ให้ทั้งสองลงนั่งกับเขาซึ่งก็ได้มาอย่างรวดเร็ว โดเมนิโก้เรียกเฟลิเป้ให้มานั่งข้างเขา เจ้าตัวทำท่าทางไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ย้ายมาแต่โดยดี

"เอาสปาร์คลิ่งไวน์ไหม ฆาบี้ เดี๋ยวผมไปรินมาให้"

"ไม่เป็นไรหรอก เจ เดี๋ยวฉันไปเอาเองก็ได้"

คนตัวโตทำท่าจะลุกตามเจออกไป แต่คนตัวเล็กของเขาโบกมือห้ามไว้

"เดี๋ยวผมไปเอามาให้เอง คุณคุยกับคุณเพเทรลลี่ไปเถอะ"

เจตบแก้มคนรักเบาๆ อย่างยั่วเย้า ฆาเบียร์เผลอดึงมือเรียวนั้นมาหอมและถูกเจดุเบาๆ พวกเขาหยอกเย้ากันโดยไม่ได้สังเกตถึงสายตาของหนุ่มสเปนหน้าสวยที่นั่งอยู่ตรงข้าม เฟลิเป้กัดริมฝีปากน้อยๆ เขาสะดุดหูตั้งแต่เจเรียกคนตัวโตว่า "ฆาบี้" อย่างสนิทสนม เท่าที่เขาจำได้และรับทราบมา หนุ่มละตินคนนี้มักไม่ยอมปล่อยให้คู่ขาของเขาเรียกชื่อของเขาแบบนี้ ถ้าไม่เรียกชื่ออย่างฆาเบียร์ หรือบาเลนติน ก็ต้องเรียกนามสกุลไปเลย หากฆาเบียร์กลับปล่อยให้ไอ้เจ้าเด็กเอเชียหน้าอ่อนคนนี้เรียกชื่ออย่างสนิทสนม เขาอยากรู้จริงๆ ว่าเจมีดีอะไร

เฟลิเป้ไม่ใช่คนเดียวที่จ้องมองคนทั้งคู่ โดเมนิโก้เองก็เช่นกัน แต่สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เจอย่างพึงใจ หนุ่มเอเชียคนนี้หน้าตาน่ารักถูกใจเขา แถมอัธยาศัยของเจยังเป็นมิตรและดูจะชอบเขาอยู่ไม่น้อย แบบนี้คงไม่ยากนักสำหรับเขาที่จะเจรจาทำในสิ่งที่เขาต้องการ เขาหันไปมองฆาเบียร์ หนุ่มละตินตัวโตที่เคยร่วมเตียงกับเขาคนนี้ดูจะหลงใหลคู่ขาผมดำคนนี้ของตัวเองอยู่มาก เขาสังเกตได้จากสายตาที่ฆาเบียร์จ้องมองเจ แต่มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เดี๋ยวค่ำนี้เขาจะลองปรึกษาเรื่องนั้นกับฆาเบียร์ดู



"มาแล้วครับ สปาร์คลิ่งไวน์ ผมถือวิสาสะเทมาให้คุณสองคนด้วยนะครับ"

เจเลื่อนแก้วส่งให้เฟลิเป้และโดเมนิโก้ หนุ่มอิตาเลียนรับมันมาแล้วยกขึ้นจิบ หากหนุ่มสเปนหน้าสวยกระดกมันจนหมดรวดเดียว เขากระดิกนิ้วเรียกบริกรเพื่อเติมมันอีกแก้วแล้วแก้วเล่า โดเมนิโก้ปล่อยคู่ขาของตนให้ดื่มตามใจ ส่วนเขาชวนฆาเบียร์และเจคุยอย่างสนุกสนาน คนตัวโตของเจเริ่มผ่อนคลายและการสนทนาก็เริ่มออกรสออกชาติ พวกเขาทั้งสามกิน ดื่มและพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ในขณะที่นักบัลเลต์หนุ่มนั้นนั่งดื่มเงียบๆ เพียงอย่างเดียว

"พวกนายรู้จักกันได้ยังไงน่ะ?"

เจหันไปมองคนตัวโตและปล่อยให้ฆาเบียร์เป็นคนตอบคำถาม ฆาบี้ตอบอ้อมๆ ว่าเขารู้จักเจผ่านทางเพื่อนสมัยปริญญาตรี และเริ่มคบหากันจริงจังเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เฟลิเป้ยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินคำตอบของฆาเบียร์ ที่แท้ทั้งคู่ก็เพิ่งจะเริ่มคบหากัน หนุ่มละตินคนนี้คงกำลังอยู่ในช่วงเห่อของใหม่

'กอบโกยความสุขไปเถอะ อีกไม่นาน นายก็จะตกกระป๋องแล้ว'

หนุ่มสเปนคิดในใจพร้อมกับกระดกไวน์แดงอีกแก้วเข้าปาก เขายิ่งอยากหัวเราะเมื่อได้ยินว่าทั้งสองไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกันหากเจอกันเดือนละครั้ง เขามั่นใจว่าเขารู้จักฆาเบียร์ดีพอ อีกไม่นานพ่อหนุ่มละตินมากรักคนนี้ก็จะเริ่มรำคาญและเบื่อสถานการณ์แบบนี้ จากนั้นเขาคงยุติความสัมพันธ์เพื่อไปหาคนอื่นที่ใกล้มือกว่าเหมือนที่เคยทำๆ มาในอดีต



"แล้วคุณสองคนมามาเก๊านี่ มาเที่ยวเหรอครับ หรือว่ามาทำงาน?"

เจลองถามอ้อมๆ เผื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง

"อ๋อ คณะบัลเลต์ของเฟลิเป้มาเปิดแสดงแถวเอเชียน่ะ เขาเพิ่งแสดงที่มาเก๊าเสร็จแล้วมีวันว่าง พอดีว่าฉันเองก็ว่างเลยตามมาดูด้วย อ้อ ฉันเป็นผู้อุปถัมภ์ของเฟลิเป้น่ะ"

โดเมนิโก้หันไปอธิบายให้เจที่ทำท่างงว่าสำหรับคณะบัลเลต์ในสหรัฐฯ และทั่วโลก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้อุปถัมภ์หรือสปอนเซอร์ รูปแบบของการอุปถัมภ์นั้นขึ้นอยู่กับคณะบัลเลต์ บางแห่งการสปอนเซอร์นั้นเป็นสำหรับทั้งคณะในรูปแบบของสมาชิกรายปี บางคณะก็ให้สิทธิ์คนเลือกเป็นสปอนเซอร์ของนักเต้นที่ตัวเองชื่นชอบได้ หากคณะของเฟลิเป้ในเมืองนิวยอร์คนั้น พวกเขาเพิ่มความตื่นเต้นให้กับผู้สนับสนุนด้วยการนำนักบัลเลต์ออกประมูลเพื่อสิทธิ์ในการเป็นสปอนเซอร์รายปีของนักบัลเลต์คนนั้นๆ

การเป็นสปอนเซอร์รายปีนั้นอาจเป็นตัวเงินหลักหมื่นหรือหลายแสนเหรียญสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับความนิยมของนักบัลเลต์คนนั้น เงินนั้นไม่ใช่เป็นเงินเดือนโดยตรงของนักบัลเลต์ แต่จะเข้าสู่คณะเพื่อเป็นเกียรติแก่นักบัลเลต์คนนั้น ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์และนักบัลเลต์นั้นก็แล้วแต่ตัวบุคคล บางคนนั้นผู้อุปถัมภ์ทำตัวเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่ดูแลนักบัลเลต์เหมือนคนในครอบครัว บางคนก็เป็นเรื่องธุรกิจล้วนๆ แต่บางคนก็คบหาและมีสัมพันธ์เกินเลยกว่านั้น



"สำหรับฉัน บอกได้เลยว่าฉันถูกใจเฟลิเป้ตั้งแต่เขามาที่สหรัฐฯ เมื่อซักสามปีที่แล้ว ทั้งเรื่องความสามารถและหน้าตา ฉันพยายามจะประมูลเขาตั้งแต่แรก แต่ก็โดนตัดหน้าไปทั้งสองปี นี่ นายคนนี้แหละ ตัดหน้าฉันตลอด"

ฆาเบียร์เกือบสำลักไวน์เมื่อโดเมนิโก้ชี้นิ้วมาที่เขา เจนยุทธหันไปมองหน้าคนตัวโตของเขาที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างๆ

"อ๋อ เหรอ? ผมไม่ยักรู้แฮะว่าคุณชอบบัลเลต์"

เจพูดยิ้มๆ ดูก็รู้ว่าคนตัวโตของเขาคงไม่ได้ชอบอะไรบัลเลต์นักหรอก หากคงโดนตาหวานๆ ปากแดงๆ นั้นสะกดไว้ เท่าที่ฟังจากเมลิน่ามา ผู้ชายหน้าสวยอย่างเฟลิเป้คือสเป็คของฆาเบียร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร

"...แต่พอมาปีนี้ มาร์ติเนซไม่มาประมูลแข่งกับฉันแล้ว ก็สบายหน่อย ไม่งั้นฉันก็คงไม่ได้นายมาเก็บไว้คนเดียวหรอกนะ เฟลิเป้"

หนุ่มอิตาเลียนดึงคู่ขาเข้ามาแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่



"เจ ไปช่วยฉันทำค้อกเทลหน่อยสิ"

ฆาเบียร์ดึงแขนคนตัวเล็กที่ดูทำท่าสนใจคุยกับเฟลิเป้ให้ลุกขึ้น และลากไปที่บาร์

"เจ ฉัน เอ่อ ฉัน ฉันไม่ได้จงใจเป็นคนอุปถัมภ์เขาเองนะ ฉันทำในนามบริษัท ทั้งฉันและอาปาเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะหลายๆ แขนงน่ะ คือมันเป็นเหมือนการคืนกำไรให้สังคม และใช้เป็นหนทางโฆษณาให้บริษัทด้วย"

คนตัวโตระล่ำระลักอธิบาย เจถอนหายใจ นี่เป็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตของคนรักที่เขาไม่เคยรู้จัก

"แต่คุณก็เลือกเขาเพราะหน้าตาใช่ไหมล่ะ?"

เจแอบเหน็บเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ ฆาเบียร์ยิ่งลนลาน ในที่สุด คนตัวโตก็ถอนหายใจเฮือกและยอมพูดความจริง

"ใช่ เจ ฉันยอมรับตามตรงว่าฉันเคยติดใจหน้าตาและ เอ่อ เรื่องบนเตียงของเขา แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะฝีไม้ลายมือของเขาด้วย เฟลิเป้เป็นนักบัลเลต์ที่มีความสามารถคนหนึ่งนะ"

เจมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนรัก สุดท้ายเขาก็ยิ้มให้คนตัวโตซึ่งยิ้มตอบกลับมาอย่างโล่งอก

"เอาเถอะๆ ผมรู้น่ะว่ามาถึงตอนนี้คุณไม่ได้มีอะไรกับเขาแล้วใช่ไหมครับ เมีย?"

คนตัวโตพยักหน้าระรัว เขาดึงมือเจนยุทธขึ้นมาจูบเบาๆ

"ฉันเจอเฟลิเป้ครั้งสุดท้ายก็ตอนก่อนที่ฉันจะมาเจอนพที่ไทยนั่นแหละ ก่อนหน้านั้นฉันก็เริ่มห่างๆ เขาแล้ว นานๆ เจอกันทีจริงๆ นะ"



เจหยิบเชคเกอร์ที่บาร์ออกมาและตวงเหล้าเทใส่ลงไปแล้วยกขึ้นเขย่า เขาหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามคนรักว่าทำไมจึงตีตัวออกห่างจากหนุ่มหน้าหวานคนนั้น คนตัวโตพูดตะกุกตะกักออกมา

"ฉันเอ่อ ฉันรู้สึกว่าเฟลิเป้เขาเริ่มจริงจังเกินไปน่ะ เขาเริ่มทำตัวเป็นเหมือน เอ่อ แฟนของฉัน"

ฆาเบียร์หน้าแดงก่ำด้วยความละอาย ตัวเขาในอดีตนั้นไม่เคยคิดจริงจังกับใครเลยสักนิด ใจเขาในตอนนั้นยังยึดติดอยู่กับเพื่อนหนุ่มร่างอวบจากประเทศไทยเพียงคนเดียวเท่านั้น เจรินค้อกเทลใสไร้สีใส่แก้วมาร์ตินี่

“ไม่ต้องคิดมากน่า ผมไม่ว่าอะไรหรอก สมัยก่อนคุณกับผมมันก็แย่ไม่ต่างกันหรอกน่า ที่ถามน่ะก็แค่อยากรู้อยากเห็นนิดหน่อยแค่นั้นเอง เอ้า นี่”

เจยื่นแก้วมาร์ตินี่ส่งให้คนรัก เขาตัดสินใจปล่อยเรื่องอดีตของฆาเบียร์ให้เลยผ่านไป อีกอย่างหนุ่มหน้าสวยคนนั้นก็ดูจะมีคนอุปถัมภ์คนใหม่และไม่น่าจะมาวอแวกับคนรักของเขาอีก คนตัวโตรับแก้วมาแล้วยกขึ้นจิบ

“เอ๊ะ เจ ไม่ใส่จินใช่ไหม?”

“ครับ ใส่วอดก้าแทนจินน่ะ”

ฆาบี้จิบวอดกาตินี่ในมืออีกครั้ง เขานึกได้ว่าเจนยุทธไม่ชอบรสชาติขมเฝื่อนของจินนัก

“วันนี้ทำอร่อยแล้วนะ”

คนตัวโตพูดยิ้มๆ เขาแซวเจเรื่องเจ้าเครื่องดื่มสีแดงใสรสชาติไม่เอาอ่าวในวันนั้น เจทุบหลังคนตัวโตที่เดินนำหน้าเขากลับไปที่โต๊ะเบาๆ ฆาเบียร์หัวเราะอย่างชอบใจ เขาสบายใจขึ้นเมื่อเจไม่ได้แสดงทีท่าขุ่นเคืองเรื่องในอดีตของเขา



“อ้าว คุณเฟลิเป้เป็นอะไรไปครับ?"

เจนยุทธถามเมื่อเห็นหนุ่มนักบัลเลต์หลับตาพริ้มเอนร่างซบบนไหล่ของโดเมนิโก้

"น่าจะดื่มเยอะไปหน่อยน่ะ เมาซะแล้ว"

หนุ่มอิตาเลียนหัวเราะเบาๆ และก้มลงหอมแก้มแดงระเรื่อของเฟลิเป้ ในบรรดา "แฟนๆ" ของเขา เขาถูกใจพ่อหนุ่มนักเต้นคนนี้ที่สุด

"เอาไงดี มาร์ติเนซ ฉันว่าจะคุยงานกับนายต่ออีกสักหน่อย เรื่องที่เราคุยกันค้างไว้เมื่อวาน อยากคุยให้มันจบๆ ไปเหมือนกัน"

"งั้นพาเฟลิเป้กลับไปที่ห้องก่อนดีไหมครับ? เราไปคุยงานต่อที่ห้องคุณก็ได้"

หนุ่มอิตาเลียนขมวดคิ้ว

"ฉันนอนที่แมนชั่นของโรงแรมน่ะสิ อยู่คนละปีก ขืนต้องประคองกันไปถึงนู่นก็คงเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ..."

ส่วนแมนชั่นของโรงแรมโซฟิเทลมาเก๊าแห่งนี้เป็นห้องชุดสุดหรูจำนวน 19 ห้องในอาคารที่สร้างแยกออกมาจากส่วนหลักของโรงแรม มันดูเหมือนอาคารทรงโคโลเนียลที่ตั้งอยู่บนยอดตึก ห้องชุดเหล่านั้นมีตั้งแต่ 1-3 ห้องนอนและตกแต่งในธีมต่างๆ กันไป

"ที่จริงแค่หาที่ให้รายนี้เค้าเอนหรือนอนพักระหว่างที่เราคุยกันก็พอแล้วนะ เดี๋ยวให้นอนที่โซฟาแถวนี้ก่อนก็ได้"

"เอ่อ...งั้น ถ้าไม่รังเกียจ ให้ไปนอนรอที่ห้องเราก่อนก็ได้ครับ ห้องเราอยู่ชั้นนี้ เดินไม่ไกล"

เจเสนอขึ้น

"เอ่อ ไม่ต้องก็ได้นะ เจ ให้เขานอนแถวนี้ก็ได้"

โดเมนิโก้ดูมีท่าทางเกรงใจ

"ไม่เป็นไรครับ นอนบนโซฟามันไม่สบายอะไร ไปนอนสบายๆ ที่ห้องผมก่อนดีกว่า เดินนิดเดียวเอง ใช่ไหม ฆาบี้"

เจคะยั้นคะยอ เขาหันไปมองคนตัวโตที่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดปากไว้เมื่อเห็นสายตาออดอ้อนของคนรัก



"งั้น ฉันขอฝากหน่อยนะ เจ ไม่นานหรอก"

เจพยักหน้าตอบรับ เขาลุกขึ้นและรับตัวเฟลิเป้ซึ่งเมาพับไปแล้วมา ฆาเบียร์ทำท่าจะลุกขึ้นไปช่วยประคองแต่เจปฏิเสธ

"ไม่เป็นไรคุณ ผมประคองคนเมาบ่อยแล้ว ไอ้ซันมั่งไอ้ปรินซ์มั่ง คุณเฟลิเป้เค้าตัวบางนิดเดียว สบายมาก โอ๊ยๆๆๆ อีกแล้ว!!"

ฆาเบียร์หยิกแก้มคนรักที่ทำท่าอวดเก่งของเขาอย่างมันเขี้ยว เจแลบลิ้นให้ยาวเฟื้อย

"งั้นเดี๋ยวผมก็ไปรอในห้องเลยแล้วกันนะ ฆาบี้ คุณคุยงานไปเถอะ ไม่ต้องห่วงผม กว่าคุณจะคุยงานเสร็จ ทางนี้อาจจะสร่างเมาแล้ว"

เจหันมาบอกก่อนที่จะค่อยๆ ประคองนักบัลเลต์หนุ่มกลับไปที่ห้องของพวกเขา



"โอเค งั้นเรามาคุยเรื่องของเราต่อ..."

ฆาเบียร์ดึงเอาสมุดโน้ตที่พกติดกระเป๋าออกมา เช่นเดียวกับหนุ่มอิตาเลียนที่ดึงแท็บเล็ต Surface ของเขาออกมาเช่นกัน ทั้งคู่เปลี่ยนโหมดจากหนุ่มเจ้าสำราญเข้าสู่โหมดเป็นการเป็นงาน ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่

"งั้นก็สรุปตามนี้นะครับ เดี๋ยวอีกสี่วันผมกลับฮ่องกงแล้วจะส่งเอกสารตามไปอีกที"

ฆาเบียร์ยื่นมือไปสัมผัสกับมือของคู่ค้าหนุ่มที่เคยสนุกด้วยกันมา

"งานจบแล้ว งั้นก็สนุกได้แล้วสิ"

โดเมนิโก้ส่งสายตาหวานฉ่ำให้คนตัวโตของเจ ต่อให้เขาได้ทั้งสองแบบ แต่เขาก็ยังติดใจบทรักของฆาเบียร์อยู่ไม่คลาย เขาใช้นิ้วโป้งเขี่ยไล้หลังมือใหญ่แข็งแรงของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการเชิญชวน หากฆาเบียร์รีบดึงมือออกอย่างรวดเร็ว

"เอ่อ ขอโทษจริงๆ ครับ คุณเพเทรลลี่ ผม เอ่อ ผมไม่สะดวกที่จะทำแบบสมัยก่อนแล้ว ตอนนี้ผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วจริงๆ"

"แหม ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ มาร์ติเนซ นายก็ชวนเจมาร่วมวงด้วยแบบที่เราเคยทำกันมาไง ดีเสียอีก ฉันจะได้ช่วยปรนนิบัติแฟนนายให้หนำใจ..."

ฆาเบียร์หน้าร้อนผ่าว หน้าของเขาแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ



"...ฉันว่าเจเขาน่ารักดีนะ นายนี่ได้ของดีตลอดเลย น่าอิจฉาจริงๆ ดูท่าทางก็ซื่อๆ คงไม่ค่อยประสาเรื่องบนเตียงสินะ เดี๋ยวฉันจะช่วยนายสอนเอง ดีไหม? โอ๊ะ!"

หนุ่มอิตาเลียนอุทานออกมาเบาๆ เมื่อฆาเบียร์ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว

"หมดธุระแค่นี้ใช่ไหมครับ คุณเพเทรลลี่ ผมจะได้กลับห้อง"

คนตัวโตพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

"มาร์ติเนซ นี่นายไม่พอใจอะไรฉันหรือเปล่า?"

หนุ่มนักรักขมวดคิ้ว ร้อยวันพันปีฆาเบียร์ไม่เคยขัดใจเขาเรื่องนี้ แถมยังมีทีท่าชอบอกชอบใจที่จะแบ่งปันคู่ขากับเขาอีกต่างหาก พวกเขาทั้งคู่ต่างก็โลดโผนเรื่องบนเตียงเหมือนกันและเข้าขากันได้เป็นอย่างดี แต่ในวันนี้ฆาเบียร์มีทีท่าปฏิเสธเขาอย่างชัดเจน คนตัวโตถอนหายใจแล้วกลับนั่งลงไปเหมือนเดิม

"คุณเพเทรลลี่ครับ เจไม่ใช่แค่คู่ควงหรือคู่นอนของผมนะครับ เขาเป็นแฟน เป็นคู่รักของผม..."

"อ้าว แล้วพวกที่นายเคยควงช่วงที่แล้ว อย่างเฟลิเป้น่ะ ไม่ใช่แฟนหรือไง?"

หนุ่มคนที่เรียกคู่ควงทุกคนของตัวเองว่า "boyfriend" ถามขึ้นอย่างงงๆ เขาไม่เห็นความแตกต่างแต่อย่างใด

"พวกนั้นผมแค่สนุกด้วยเฉยๆ ครับ แต่เจนี่ผมจริงจัง เขาเป็นคนที่ผมรักและจะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับเขา เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตผม..."



โดเมนิโก้เริ่มหน้าซีดลงโดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำว่ารักออกจากปากคนที่ไม่เคยแสดงออกว่ารักใครอย่างฆาเบียร์

"...ผมเองก็เปลี่ยนไปแล้วครับ คุณเพเทรลลี่ ผมจะไม่มีใครอื่นอีกแล้วนอกจากเจ"

ฆาเบียร์พูดด้วยเสียงหนักแน่น พ่อหนุ่มอิตาเลียนมองลึกเข้าไปในตาแพรวพรายของคนที่เขาเคยสนุกด้วย ในนั้นเขาเห็นแต่ความจริงใจ

"ชิบแล้ว เฟลิเป้..."

หนุ่มนักรักอุทานออกมาเบาๆ ฆาเบียร์ใจหายวาบ

"คุณเพเทรลลี่ คุณทำอะไรลงไป?"

"ฉันขอโทษจริงๆ มาร์ติเนซ ฉันนึกว่าเจเป็นแค่คู่ควงของนายเฉยๆ ก็เลยกะว่าจะชวนมาสนุกกับฉันแล้วก็เฟลิเป้ แบบที่เราเคยทำๆ กันน่ะ แลกคู่อะไรประมาณนั้น..."

ฆาเบียร์ลุกพรวดขึ้น

"หมายความว่าไง คุณเพเทรลลี่? นี่คุณให้เฟลิเป้ไปทำอะไร?"

"ก็...ก็เหมือนที่เราทำกันทุกที"

หนุ่มอิตาเลี่ยนได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ คนตัวโตลากแขนคู่ค้าของเขากลับไปที่ห้องทันที

"โอย ตายๆๆ หวังว่าจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ"

หนุ่มอิตาเลียนบ่นพึมพำพร้อมมีทีท่ากระวนกระวาย เขาส่งเฟลิเป้เข้าไปเพื่อตีสนิทและทำการกล่อมเจให้เข้าร่วมวงกับพวกเขา และช่วยทำให้เจเครื่องติดไว้ก่อนเพื่อรอพวกเขาทั้งสอง



หลังแยกกับฆาเบียร์และโดเมนิโก้ เจค่อยๆ ประคองเฟลิเป้กลับมาห้องของเขาที่ห่างเลาจ์เพียงไม่กี่สิบก้าว เขาแตะคีย์การ์ดที่ประตูห้องและเปิดมันออก เขาประคองร่างเพรียวบางของนักบัลเลต์หนุ่มเข้าในห้องและให้เอนนอนลงบนเตียง

"คุณเฟลิเป้ครับ ไหวไหม?"

เจก้มลงถามหนุ่มหน้าสวยที่หลับตาพริ้ม หากแขนทั้งสองของเฟลิเป้พลันรัดร่างเจที่เอนเข้าหาเขาไว้ เจพยายามดันตัวออกจนหลุดออกจากอ้อมอกนั้นในที่สุด เขาส่ายหัวดิก เฟลิเป้คงคิดว่าเขาเป็นคุณเพเทรลลี่ เจนยุทธเดินเข้าห้องน้ำและหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำและบิดหมาดๆ จากนั้นเอามันมาค่อยๆ เช็ดหน้าเช็ดตาให้กับคนเมาที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง

"ฆาเบียร์ ฆาบี้ครับ..."

เจนยุทธเม้มปากแน่นเมื่อปากบางแดงระเรื่อนั้นกระซิบชื่อคนรักของเขาออกมา

"...ทำไมกัน ทำไมถึงเป็นผมไม่ได้ เราเคยแนบแน่นกันขนาดนั้นแท้ๆ"

เสียงเจือสะอื้นนั้นช่างบาดใจเหลือเกิน น้ำตาหยาดน้อยๆ ไหลออกมาจากหางตาที่ปิดสนิท เจข่มใจเช็ดหน้าเช็ดตัวให้คนเมาต่อ เขาขบกรามเมื่อคนเมาหน้าสวยละเมอเพ้อถึงรสสัมผัสของคนรักของเขา เจตัดสินใจเลิกคิดมากและเช็ดตัวให้จนเสร็จ จากนั้นเดินเอาผ้ากลับไปไว้ในห้องน้ำและดูนาฬิกา คนตัวโตของเขาอาจจะไม่กลับมาง่ายๆ เขาจึงตัดสินใจอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวและทำหัวให้โล่งก่อนที่ฆาเบียร์จะกลับมา เจปลดเปลื้องเสื้อผ้าโดยลืมไปว่าเขาไม่ได้ปิดม่านที่ผนังกระจก เขาหันไปเห็นตอนเขาเริ่มอาบน้ำในส่วนชาวเวอร์แล้วและขี้เกียจไปปิดมันอีกก็เลยปล่อยเลยตามเลยไป



หนุ่มหน้าสวยลืมตาขึ้นเมื่อเจผละจากเขาไปแล้ว เขาเมาแต่ไม่ได้เมามากนัก บทโศกเมื่อกี้เป็นแค่การแสดงเพื่อประกาศให้คนตัวเล็กรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับฆาเบียร์ เฟลิเป้แอบมองสำรวจไปรอบๆ ห้องพักขนาด 37 ตารางเมตรนี้ เขายิ้มเยาะอยู่ในใจ ฆาเบียร์คงแค่เล่นๆ กับเด็กคนนี้จริงๆ เพราะเขาไม่ลงทุนพาเจไปนอนในห้องที่หรูหรากว่านี้ ตอนฆาเบียร์อยู่กับเขา ถึงจะไม่ได้นอนร่วมเตียงกันถึงเช้า แต่เวลาที่ฆาเบียร์พาเขาไปเที่ยวหรือไปออกงาน เขาก็จะเลือกพักในห้อง Suite สองห้องนอนที่หรูที่สุดเท่าที่จะหาได้ ไม่ใช่ห้องรูหนูแบบนี้

'ฉันชักสงสารนายแล้วสินะ แต่ก็เหมาะสมดีแล้ว'

เฟลิเป้คิด กับเด็กที่ดูธรรมดาๆ และเจอกันเดือนละครั้งอย่างเจ แค่นี้คงดีถมถืดแล้ว แต่เขาก็ยังอยากรู้นักว่าเด็กคนนี้มีดีที่ไหนกัน โดยปกติแล้วคนอื่นที่ฆาเบียร์เคยควงมักจะดูดีกว่าเด็กคนนี้ ฆาเบียร์อาจจะติดใจความสดใหม่และท่าทางที่ดูไม่ค่อยประสาของเจ เขาดูๆ แล้วคิดว่าเจคงไม่ประสาเรื่องบนเตียงนัก เฟลิเป้พลิกกายนอนตะแคงแล้วก็ต้องรีบหลับตาลงเมื่อเห็นร่างของเจนยุทธในห้องน้ำอย่างชัดเจน เขาแอบหรี่ตามองร่างขาวๆ ที่กำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้า เจคงนึกว่าเขาหลับอยู่และไม่ได้ระวังตัว



“เหอะ ซ่อนรูปเหมือนกันนี่”

เฟลิเป้พึมพำเบาๆ เจไม่ได้ตัวบางอย่างที่เขาคิด เขาอกผายไหล่ผึ่งและมีกล้ามท้องและกล้ามอกที่สมส่วน เขาไม่เห็นส่วนอื่นชัดนัก แต่สักพักก็คงได้เห็นแล้ว เขาหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยสีกุหลาบเป็นจ้ำๆ ทั้งเก่าใหม่ที่กระจายทั่วแผงอกของเจ ใจจริงเขาไม่อยากจะแตะเจเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อโดเมนิโก้บอกเขาว่าให้เขามากล่อมและคอยปลุกอารมณ์เจให้พร้อมสำหรับค่ำคืนอันแสนเร่าร้อนนี้ เขาก็จะจัดการตามที่ผู้อุปถัมภ์ของเขาต้องการ

เฟลิเป้เนื้อเต้นเมื่อนึกถึงว่าคืนนี้เขาจะได้มีโอกาสร่วมรักกับฆาเบียร์อีกครั้ง เขายังนึกถึงสัมผัสของหนุ่มละตินร่างใหญ่คนนั้นอยู่มิคลาย หนุ่มนักบัลเลต์หน้าแดงน้อยๆ เมื่อนึกถึงมือใหญ่ที่เคยเกาะกุมแก่นกายของเขาและแท่งลำแกร่งที่เคยชำแรกเข้ามาในกาย เขาสูดปากเบาๆ พร้อมกับขยับมือไปตามแก่นกายของตนที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากกางเกง



“เฮ้ย!…”

เจสะดุ้งเฮือกเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วพบกับภาพของหนุ่มนักบัลเลต์กำลังปรนเปรอตัวเองอยู่ เขารีบขอโทษขอโพยแล้วหนีกลับเข้าไปในห้องน้ำ แต่กลายเป็นว่ายิ่งเห็นชัดจากผนังกระจก เขาลนลานรีบกดม่านไฟฟ้าปิดด้วยใจสั่นระรัว เขาทันได้ยินปากแดงๆ นั้นครางกระเส่าเรียกชื่อคนตัวโตออกมา เขาทรุดตัวลงนั่งบนขอบอ่างอาบน้ำอย่างหมดแรง ต่อให้ปากเขาบอกว่าโอเคและรับได้เมื่อเจอคนที่เคยมีสัมพันธ์กับฆาเบียร์ แต่นักบัลเลต์หนุ่มคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เขาเคยเจออย่างจอช ฌองหรือคุณเพเทรลลี่ หนุ่มหน้าสวยคนนี้แสดงออกชัดเจนว่ายังมีเยื่อใยและต้องการจะกลับมาสานสัมพันธ์กับคนของเขาอีก

เจล้างหน้าล้างตาอีกรอบ เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองตบแก้มตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ เขาควรจะไว้ใจฆาเบียร์แบบเดียวกับที่คนตัวโตไว้ใจเขากับพวกอดีตสาวๆ ของเขา เจถอนหายใจเฮือกใหญ่และพร้อมออกไปเผชิญหน้ากับอดีตคู่ขาของคนรักอีกครั้ง



"เอ่อ คุณเฟลิเป้ครับ ผมกำลังจะออกไปแล้วนะครับ"

คราวนี้เจส่งเสียงออกไปก่อนเพื่อให้หนุ่มหน้าสวยได้รู้ว่าเขากำลังจะออกห้องน้ำไป เขาพันผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่กระชับกับเอวแน่น ด้วยความเคยชินเขาไม่ได้หยิบเอาเสื้อผ้าใหม่มาเปลี่ยน เขาออกห้องน้ำและกำลังจะไปเดินไปเอากางเกงนอนที่โยนพาดไว้บนกระเป๋าเดินทาง ทันใดก็มีแขนแข็งแรงกระชากตัวเขาไปด้านหลัง เจอุทานด้วยความตกใจ เขาเสียหลักล้มไปบนเตียง จากนั้นร่างบางของเฟลิเป้ก็ขึ้นมานอนทาบทับตัวเขา เจนยุทธตกใจเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างที่ทับอยู่บนตัวเขานั้นแทบจะเปลือยเปล่า มีแต่เพียงกางเกงในตัวจ้อยของเจ้าตัวกับผ้าเช็ดตัวของเขาเท่านั้นที่กั้นขวางระหว่างเขาสองคน เขาพยายามดันคนตัวบางออกแต่เฟลิเป้แข็งแรงกว่าที่เขาคิด ร่างนั้นตรึงเขาไว้กับเตียงจนขยับไปไหนไม่ได้

"ทำอะไรน่ะ ปล่อยผม! เฮ้ย หยุดสิวะ!"

เจสะดุ้งเฮือกเมื่อมือของหนุ่มนักบัลเลต์เปะป่ายไปทั่วร่างกายของเขา

"ผมไม่ใช่คุณเพเทรลลี่หรือฆาบี้นะ! คุณเมาจนแยกไม่ออกเลยเหรอ?!"

หนุ่มสเปนทำหูทวนลม เขาเดินหน้าปลุกเร้าสัมผัสในกายเจต่อ ปากแดงระเรื่อของนักบัลเลต์หนุ่มซุกไซร้เลาะเล็มตามซอกคอและพวงแก้มของเจ และลากเลื้อยลงต่ำสู่เม็ดทับทิมคู่งาม เจผวาเฮือกขึ้นเมื่อลิ้นร้อนๆ ของหนุ่มสเปนสัมผัสมัน



"พอเถอะครับ เดี๋ยวสองคนนั้นมาเจอแล้วจะเข้าใจผิด"

เจนยุทธพูดเสียงสั่น เขาพยายามดิ้นจนมือหลุดมาข้างหนึ่ง เขาเตรียมจะชกหนุ่มหน้าสวยเข้าสักเปรี้ยงถ้าจำเป็น หากสิ่งที่อดีตคู่ขาของฆาเบียร์พูดออกมาทำให้เขาตะลึงไป

"ไม่ต้องห่วงหรอก ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อสองคนนั้นนั่นแหละ"

เฟลิเป้แค่นหัวเราะ เขาจ้องหน้าคนที่เขาคิดว่าไม่รู้อะไรเลยนั้นด้วยความสมเพช

"โดเมนิโก้ส่งฉันมาปลุกอารมณ์นายก่อน เดี๋ยวเขาทั้งสองก็คงตามเข้ามาถ้าคุยงานเสร็จนั่นแหละ"

เจตะลึงงัน สมองเขากำลังพยายามประมวลผลจากสิ่งที่ได้ยิน

"...งงอะไร? หรือว่านายยังไม่เคยทำแบบนี้? ซื่อจริงๆ นะ ไม่น่าเชื่อว่าฆาเบียร์ยังไม่เคยให้นายทำอะไรแบบนี้"

เจส่ายหัวด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าเฟลิเป้พูดอะไร

"เหอะๆ นายนี่คงยังไม่รู้อะไรจริงๆ ฆาเบียร์กับโดเมนิโก้น่ะแลกคู่นอนกันอยู่บ่อยๆ นายก็ทำใจให้ชินซะ..."

ในหัวเจนยุทธว่างเปล่าไปหมด หนุ่มหน้าสวยพล่ามต่อไป

"...อย่ามัวแต่ทะนงตัวคิดว่าตัวเองเป็นคนโปรด คนอย่างฆาเบียร์น่ะเขาไม่มีทางหยุดอยู่ที่คนใดคนหนึ่งหรอก แต่อย่างนายน่ะคงเป็นแค่คู่นอนชั่วคราวสินะ ดูเถอะ มาเที่ยวทั้งทีเขายังให้นายอยู่แค่ห้องกระจอกๆ นี้เลย"

เฟลิเป้หัวเราะเยาะเบาๆ ส่วนเจนั้นสมองตื้อจนตอบโต้อะไรอดีตคนร่วมเตียงของฆาเบียร์ไม่ได้

"...ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ ฆาเบียร์น่ะเขาเบื่อง่าย อะไรที่ทำแล้วเขาพอใจ ก็ทำไป เขาจะได้เรียกใช้นานๆ อย่างคืนนี้นายก็เป็นเด็กดีรอสองคนนั้นเถอะ ฉันรับรองว่านายจะได้ขึ้นสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วนแน่ๆ..."



ทันทีที่พูดจบ ริมฝีปากร้อนๆ ของหนุ่มสเปนก็ประกบลงมาบนริมฝีปากรูปกระจับของเจ เจนยุทธพยายามหุบปากแน่น แต่ลิ้นเรียวของเฟลิเป้ก็สอดแทรกเข้าในปากเขาจนได้ เจพยายามดิ้นรนแต่ก็เหมือนจะหมดแรงไปทั้งตัว สิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินไปเมื่อสักครู่เองก็ทำให้เขาเจ็บไปทั้งอก เขาไม่แน่ใจว่าฆาเบียร์รู้เห็นเป็นใจเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ ใจเขาได้แต่หวังว่าคนตัวโตจะไม่รู้ แต่ช่วงเวลามันประจวบเหมาะกันเกินไป ความน้อยใจที่ประดังประเดขึ้นทำให้เจหยุดดิ้นรน และนอนนิ่งๆ ปล่อยให้เฟลิเป้ทำตามอำเภอใจ มือเรียวของเฟลิเป้เปะป่ายไปที่กลางตัวของเขา

"เฮอะ มีของดีอยู่กับตัวเหมือนกันนี่ น่าเสียดายที่ไม่ได้ใช้ เดี๋ยวฉันจะช่วยนายก่อนทีนึงดีไหม?"

เฟลิเป้ใช้มือแแหวกผ้าเช็ดตัวที่พันกายเจออก เขากอบกุมส่วนสงวนขนาดเกินตัวของเจไว้ในมือและพยายามปลุกเร้ามัน แต่ดูจะไม่ค่อยได้ผลนัก เขาเลื่อนกายลงไปนั่งคร่อมขาเจและปลดผ้าเช็ดตัวของหนุ่มไทยออกแล้ว เขาจับแก่นกายที่ยังหลับใหลของเจและเตรียมจะใช้ลิ้นเขี่ยดุนมันเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออก


(ต่อคอมเมนท์หน้าค่ะ)



ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Lo Siento...ฉันขอโทษ (ต่อ) ----




"เฮ้ย! ทำอะไรวะ?!"

ฆาเบียร์ตวาดลั่นเมื่อเห็นภาพบาดตา คนรักของเขานอนตัวเปล่าอยู่บนเตียงโดยมีร่างเกือบเปลือยของเฟลิเป้คร่อมอยู่ที่ขา เขากระชากร่างบางของนักบัลเลต์หนุ่มออกและรีบใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมร่างเจไว้ เขาดึงคนรักมากอดแนบอกอย่างหวงแหน

"ปล่อยผม คุณมาร์ติเนซ"

เสียงเย็นเยียบที่ออกมาจากปากเจนยุทธทำให้ฆาเบียร์รีบปล่อยทันที

"เฟลิเป้บอกผมว่าพวกคุณอยากจะแลกคู่นอนกัน จริงไหม?"

ฆาเบียร์หน้าซีดเผือด หนุ่มอิตาเลียนที่เข้ามาพร้อมกันก็เช่นกัน เจหันไปยิ้มให้ทุกคน

"ถ้าพวกคุณอยากทำจริงๆ ผมก็ไม่ขัดนะ จริงๆ พูดขอกันดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องให้เฟลิเป้มาทำเป็นเมาอะไรแบบนี้ มาสิ มานอนอ้าขาเรียงหน้ากันเลย เดี๋ยวผมจะทำให้พวกคุณทุกคนร้องจนหมดเสียงเอง"

เจแย้มยิ้มและหัวเราะเบาๆ หากฆาเบียร์รู้ว่าคนรักของเขานั้นกำลังโมโหจนถึงขีดสุดและพร้อมจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ ปากของเจยิ้มอย่างอ่อนหวาน แต่ดวงตาวาวโรจน์ของเขานั้นทำให้คนตัวโตสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเจที่ลุกขึ้นนั่งไขว่ห้างห้อยขาอยู่ปลายเตียงแล้วจับมือคนรักมาจูบและดึงมาแนบแก้ม

"เจ อย่าพูดแบบนั้นเลย ฉันขอร้อง ฉันไม่เคยอยากให้นายทำแบบนั้นเลยนะ"

เฟลิเป้ที่ยังงงๆ อยู่หันไปมองคนตัวโตของเจอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เขาไม่เคยได้ยินท่าทางอ้อนวอนและน้ำเสียงสั่นเครือแบบนี้จากหนุ่มนักรักร่างใหญ่คนนี้มาก่อน เจดึงมือออกจากการเกาะกุมและยิ้มหวานให้คนรัก

"ทำไมล่ะ? มันไม่ใช่ว่าคุณไปตกลงกับคุณเพเทรลลี่มาแล้วเหรอครับ คุณมาร์ติเนซ?"

คนตัวโตส่ายหน้าระรัว

"ไม่ เจ นายเชื่อฉันนะ ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย ฉันสาบาน”

"ตามนั้นจริงๆ ครับ เจ ผมเข้าใจผิดและทำเองไปโดยพละการ ผมไม่รู้ว่าพวกนายเป็นคู่รักกันจริงๆ"



"คุณว่ายังไงนะครับ คุณเพเทรลลี่? คุณว่าสองคนนี้เป็นอะไรกันนะ?"

เฟลิเป้พูดแทรกขึ้นมาทันควันเมื่อได้ยินคำว่า couple จากปากของเพเทรลลี่ มันต้องมีการเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ ฆาเบียร์เป็นคนสุดท้ายในโลกที่เขาคิดว่าจะมีความสัมพันธ์จริงจังกับใคร

"สองคนนี้รักกัน เฟลิเป้ นายเข้าใจไหม?"

ผู้อุปถัมภ์ของเขาหันมาตะคอกใส่เขาเบาๆ หนุ่มหน้าสวยซึ่งตอนนี้ซ่อนร่างอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำที่โดเมนิโก้โยนมาให้ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง

"รัก? ไอ้เด็กคนนี้เนี่ยนะ? How?"

นักบัลเลต์หนุ่มถามอย่างงงงวย ในช่วงสองสามปีมานี้ เขาคือคนที่ฆาเบียร์คบหาด้วยนานที่สุดคนหนึ่ง บ่อยครั้งที่ฆาเบียร์ควงเขาไปออกงานสังคมจนเขาทึกทักเอาเองว่านั่นคือการยอมรับสถานะของเขา แต่พอเขาเริ่มทำตัวเป็นคนรักของฆาเบียร์และต้องการเวลาจากหนุ่มละตินคนนี้มากขึ้นหรือมีทีท่าหึงหวง เขากลับถูกตีตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว มันทำให้เขารู้ว่าที่ผ่านมานั้นเขาเข้าใจผิดไปเองมาโดยตลอด เขาเป็นแค่ของเล่นหรือตุ๊กตาชิ้นงามที่หนุ่มเจ้าสำราญคนนี้มีไว้ประดับบารมีแค่นั้น แล้วไอ้เด็กเอเชียคนนี้มันมีดีอะไรดีกว่าเขาหรือคู่ควงโพรไฟล์สูงคนอื่นๆ ของฆาเบียร์ตรงไหน



"ใช่ ฉันรักเจ..."

คนตัวโตของเจตอบด้วยเสียงเรียบๆ แต่หนักแน่น เขาหลับตาลงและรู้สึกเต็มตื้อขึ้นมาในอกเมื่อยามได้กล่าวคำว่ารักออกมา ฆาเบียร์สูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด ​

"Él es el amor de mi vida y yo no quiero estar con nadie mas que con Él"

"เขาเป็นคนที่ฉันรักที่สุดในชีวิต และฉันไม่อยากอยู่กับใครมากไปกว่าอยู่กับเขาอีกแล้ว"


ฆาบี้พูดใส่หน้าหนุ่มสเปนหน้าสวย เจนยุทธหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้ยินคำรักจากปากเมียตัวโตของเขา ความขัดเคืองของเขามลายไปหมดแล้ว แต่คนที่ฟังสเปนออกอีกคนยังคงไม่ยอมรับ

"แต่คุณไม่เคยรักใครนะ ฆาเบียร์ ผมอยู่กับคุณมาตั้งสองปีกว่า ยอมทำทุกอย่างเพื่อคุณ คุณก็ยังไม่รักผม ทำไม? ผมไม่ดีตรงไหน?..."

เฟลิเป้พูดทั้งน้ำตา แอลกอฮอล์และความเสียใจทำให้เขาเริ่มพล่ามไปเรื่อยเปื่อย

"เด็กคนนี้ คุณรู้จักไม่นาน ดูท่าทางก็ไม่ได้ดีเด่อะไร หน้าตาก็ไม่ได้เลิศเลอ มาเที่ยวกันแบบนี้คุณก็ยังให้นอนห้องเล็กๆ แบบนี้ ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาเป็นคนรักคุณจริงๆ ที่ว่ารักน่ะ คุณคงพูดเพื่อผลักไสผมแค่นั้นใช่ไหม? อย่ามาหลอกกันเลย ตอนนี้คุณก็คงแค่หลงของใหม่ใช่ไหม? ไอ้เด็กนี่ก็แค่เด็กเลี้ยงอีกคนหนึ่งของคุณใช่ไหมล่ะ?"



ฆาเบียร์ชักสีหน้า คนๆ นี้ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะไปใหญ่ แต่ก่อนที่เขาจะทันตอบโต้อะไร เสียงของเจก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

"คำก็เด็กสองคำก็เด็ก นายมีปัญหาอะไรกับฉันนักหนา เฟลิเป้..."

เจนยุทธทนสุภาพต่อไม่ไหวอีกแล้ว

"นายคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่แล้ว? ฉันจะสามสิบแล้วนะโว้ย แก่กว่านายหลายปี ไม่ต้องมาจิกหัวเรียกฉันว่า 'that kid'..."

นักบัลเลต์หนุ่มวัย 24  ตะลึงงัน เขาดูยังไงเจก็น่าจะเป็นแค่นักศึกษาวัยไม่เกิน 20-21

"ก่อนหน้านี้นายบอกฉันใช่ไหมว่าให้ทำตัวดีๆ ให้ฆาเบียร์เขาเอ็นดู ฉันจะบอกอะไรให้นะ ไอ้น้อง ฉันไม่จำเป็นต้องมาคอยเอาใจอีตานี่หรอก ระหว่างเราสองคนมันไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ต้องรอให้ใครมาเอ็นดูใคร ฉันมองฆาเบียร์ที่นิสัยใจคอ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นใคร ยิ่งใหญ่มาจากไหน ส่วนเขาก็มองฉันที่เนื้อแท้ของฉันจริงๆ ใช่ไหม? พ่อตัวยุุ่ง!"



เจฟิวส์ขาดไปเรียบร้อย ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ มองหน้าคนรัก เจตวัดสายตาดุๆ มองมาที่คนตัวโตของเขาซึ่งรีบพยักหน้ารับทันที เจพูดต่อว่าความสัมพันธ์ของเขาและฆาเบียร์เริ่มมาจากการที่เขาไม่เคยรู้แบ็คกราวด์ของคนตัวโตคนนี้มาก่อน เขามองฆาเบียร์ด้วยสายตาที่มองเพื่อนชายธรรมดาคนหนึ่ง เป็นคนที่เขาต้องดูแล ไม่ใช่อีกฝ่ายดูแลเขา

"...ว่าฉันไม่หล่อน่ะฉันไม่ว่า แต่อ่านปากฉันให้ดีนะ เฟลิเป้ และคุณด้วย คุณเพเทรลลี่ ฉัน-ไม่-ใช่-เด็กเลี้ยง-ของอีตานี่ แล้วไอ้ห้องรูหนูที่นายตินักหนาน่ะ ฉันเป็นคนเลือกเอง จ่ายเงินเอง เงินที่ฉันทำงานอย่างหนักหามานั่นแหละ ฆาเบียร์ไม่ต้องมาจ่ายให้ฉันสักเซ็นต์ และฉันก็ไม่ต้องการเงินจากหมอนี่ซักแดงเดียว เพราะฉันเบื่อเต็มทีแล้วกับการที่คนมองและปฏิบัติกับฉันเหมือนฉันจะมาเกาะเขากินโว้ย!"

เจหอบหายใจแรง เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว

"เจ ที่รักครับ ใจเย็นๆ นะ"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ คนรักของเขาปรี๊ดแตกทุกครั้งที่ถูกแตะเรื่องนี้ เจหันมายิ้มเย็นให้ฆาเบียร์

"นี่เย็นแล้ว"

เขาตอบห้วนๆ และหันไปยิ้มหวานจ๋อยให้อีกสองคนที่นั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่



"...แล้วไม่ต้องมา ‘ห่วง’ แทนหรอกนะว่าผมจะเฮิร์ทเพราะถูกเขาเขี่ยทิ้งตอนเบื่อแล้ว เห็นแบบนี้ผมเองก็ไม่ต่างจากฆาบี้หรอกนะ ถามพ่อเจ้าประคุณสิว่าได้เจอสาวๆ ของผมมากี่คนแล้ว ผมว่าถ้านับจริงๆ ผมอาจจะนอนกับผู้หญิงมามากกว่าผู้ชายของฆาบี้อีกนะ ฉะนั้นผมเข้าใจนิสัยของเขาดี…”

“…แล้วไอ้เรื่องรักเริกเนี่ย ผมเข้าใจดีว่าของแบบนี้มันมีวัฏจักรของมัน ความรู้สึกของคนเรามันเปลี่ยนกันได้ ตอนนี้เราสองคนอาจรักกันมาก แต่หากมีวันหนึ่งที่รักมันจืดจางไปแล้ว อย่างน้อยเราก็ยังจะจากกันโดยมีความทรงจำดีๆ อยู่ในใจ”

เจมองหน้าคนทั้งสองที่มีสีหน้างงงวยกับสิ่งที่เขาพูด

“…ฉันจะสอนอะไรให้นะ เฟลิเป้ ต่อให้ฆาเบียร์เขาไม่ได้รักนายหรือทำตัวเลวๆ กับนายแค่ไหน แต่ฉันว่านายคงเคยมีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเขาบ้างใช่ไหม เก็บมันไว้ให้ดีเถอะ อย่าปล่อยให้ความคิดแย่ๆ มาทำลายมันไป ความทรงจำดีๆ นั้นจะทำให้นายมีความสุข เชื่อฉัน”

เฟลิเป้น้ำตาร่วงน้อยๆ แต่อีกคนที่ต่อมน้ำตาแตกไปแล้วคือคนตัวโตของเจ

“เจ ฮึก นายอย่าพูดเรื่องเราหมดรักกันได้ไหม ฉันขอร้อง ฉันไม่อยากได้ยินมันเลยสักนิด”

เจเกาหัวดูพ่อตัวยุ่งของเขาที่มีทีท่าจะสติแตกไปแล้ว เขาดึงคนรักที่ตัวสั่นเทิ้มและทำท่าจะหายใจไม่ทันให้ขึ้นนั่งลงบนเตียงเคียงข้างเขา เขากอดร่างใหญ่กำยำนั้นไว้แนบอก



“โอ๋ๆๆ ใจเย็นๆ ครับเมีย หายใจลึกๆ ตามที่หมอสอนนะ ผมอยู่นี่ ไม่ได้ไปไหน…”

เจลูบหลังคนรักเบาๆ ก่อนจะหันไปยิ้มบางๆ ให้แขกทั้งสองคนที่นั่งตะลึงอยู่

“นี่แหละ ตัวจริงของฆาเบียร์ มาร์ติเนซ นายเคยเห็นสักครั้งไหม เฟลิเป้?”

หนุ่มสเปนที่ยังช็อคกับภาพที่ได้เห็นส่ายหน้า ส่วนโดเมนิโก้นิ่งเงียบ เขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยตาของตนเอง เจปลอบเมียตัวโตของเขาพักใหญ่ก่อนจะหันไปคุยกับโดเมนิโก้เรื่องอาการของฆาเบียร์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาให้คำมั่นกับคู่ค้าของฆาเบียร์ว่าอาการนี้ของฆาเบียร์จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของคนตัวโตคนนี้ และมันเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ฆาเบียร์ที่อาการดีขึ้นแล้วก็หันไปกล่าวขอโทษขอโพยและส่งยิ้มอย่างเขินอายให้คนที่เคยร่วมเตียงกับเขา หนุ่มอิตาเลียนถึงกับใจสั่นเพราะรอยยิ้มแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนนั้น



“ฉันเข้าใจที่นายพูดแล้วล่ะ มาร์ติเนซ ที่ว่านายเปลี่ยนไปแล้ว และฉันว่าฉันชอบนายคนใหม่นี้นะ”

เพเทรลลี่ยิ้มให้คนที่เคยใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงกับเขา วันนี้เขาได้เห็นฆาเบียร์ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“ที่ผ่านมาเราเป็นคู่ค้าและเป็นคู่ขากัน แต่จากวันนี้ไป เราคงจะได้เป็นเพื่อนกันจริงๆ ซะทีนะ”

โดเมนิโก้ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินมาส่งมือของเขาให้กับคนตัวโตของเจ ฆาเบียร์จับกระชับมือนั้นและบีบแน่น เมื่อเทียบกับฌองแล้ว เขากับเพเทรลลี่มีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกันกว่า ต่อให้ชอบนิสัยใจคอกันแค่ไหน แต่เมื่อเจอหน้ากัน เขาทั้งสองก็มีแค่เรื่องงานและเรื่องเซ็กส์ และเขาก็ยังคงต้องรักษาภาพพจน์ต่อหน้าหนุ่มอิตาเลียนคนนี้ หากพ้นคืนนี้ไป อะไรๆ ระหว่างเขาทั้งสองคงจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง

“ฆาบี้…”

เจเรียกคนรักเบาๆ เขาโบ้ยหน้าไปยังนักบัลเลต์หนุ่มที่นั่งซึมอยู่บนเก้าอี้นวม

“...คุณจัดการให้เรียบร้อยซะ”

ฆาเบียร์ถอนหายใจเบาๆ เขาลุกขึ้นและย้ายไปนั่งบนเก้าอี้วางเท้าด้านหน้าของเก้าอี้นวมตัวที่อดีตเด็กเลี้ยงของเขานั่งอยู่ เขากุมมือทั้งสองข้างที่เคยลูบไล้กายเขาไว้



“Lo siento mucho, Felipe”

‘ฉันขอโทษจริงๆ เฟลิเป้’


“…ขอโทษสำหรับทุกอย่าง สำหรับทุกความเจ็บแค้น ทุกความรู้สึกแย่ๆ ที่นายต้องรู้สึก ฉันมันขี้ขลาดที่ไม่ยอมเปิดใจรับนายทั้งๆ ที่รู้ว่านายรู้สึกกับฉันมากแค่ไหน”

นักบัลเลต์หนุ่มแทบหยุดหายใจ เขาไม่เคยนึกว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้หลุดออกมาจากปากของคนๆ นี้

“…จริงอย่างที่เจว่า แทนที่เราจะเลือกเก็บความรู้สึกแย่ๆ ไว้ เราควรเลือกเก็บแต่สิ่งดีๆ…”

สิ่งที่ฆาเบียร์พูดถัดไปทำให้หนุ่มสเปนสุดกลั้นน้ำตา

“…นายรู้ไหม ฉันยังจำได้ถึงวันที่ฉันไปดูนายแสดงหลังจากที่เรา เอ่อ มีอะไรกันครั้งแรก…”

ฆาเบียร์แอบชำเลืองมองคนรักนิดหนึ่งด้วยความเกรงใจ แต่เจพยักหน้าให้เขาพูดต่อ

“นายในวันนั้นเจิดจ้าจริงๆ แม้บทของนายจะไม่ใช่บทนำ แต่นายก็แสดงจนสุดฝีมือ…”

ฆาเบียร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้านั้น

“…แล้วรู้ไหมว่าตอนที่นายหันมาเห็นฉันและขยับปากบอกฉันว่า ‘This dance is for you’ น่ะ มันทำให้ฉันดีใจมากเลยนะ รู้ไหม?”

เฟลิเป้ทุ่มกายเข้าสู่อ้อมอกกว้างและปล่อยโฮออกมา เขาไม่คิดเลยว่าฆาเบียร์จะจำวันนั้นได้ ฆาเบียร์ลูบผมของคนที่เคยให้ความสุขเขา

“ขอบใจนะ เฟลิเป้ ที่ทนฉันมาตลอด และฉันขอโทษจริงๆ กับทุกอย่างที่ทำให้นายต้องเสียใจ”

ฆาเบียร์พูดเสียงเครือ การที่เขาได้เห็นความสัมพันธ์ของเจกับสาวๆ ของเขาทำให้เขารู้ว่าที่ผ่านมาเขาทำตัวแย่กับคนที่เขามีสัมพันธ์ระยะยาวด้วยแค่ไหน สุดท้ายมันเหมือนบีบให้ความสัมพันธ์ของเขากับหนุ่มๆ เหล่านั้นเป็นแค่เรื่องเซ็กส์และผลประโยชน์



“นายจะยกโทษให้ฉันได้ไหม?”

ฆาเบียร์ดันกายเฟลิเป้ที่สงบลงแล้วออก เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่ยังมีน้ำตาคลออยู่น้อยๆ

“เฮ้ย!”

เจอุทานออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเฟลิเป้ดึงคนรักของเขาไปจูบอย่างหนักหน่วง พ่อเจ้าประคุณของเขาก็ดันเผลอตอบสนองไปซะอีก แต่เมื่อนึกได้ฆาเบียร์ก็พยายามดันตัวออก

“ผมขอทำโทษคุณแค่นี้แล้วกัน ฆาเบียร์ และขอบคุณมากครับที่คุณยังจำเรื่องนั้นได้”

เฟลิเป้ถอนริมฝีปากออกและกระซิบที่ข้างหูของคนที่เคยอยู่ในใจเขา ม่านหมอกในใจเขาสลายไปแล้ว ต่อไปนี้ภาพฆาเบียร์ในใจเขาคือชายคนที่แย้มยิ้มกลับมาให้เขาจากที่นั่งแถวหน้าในวันนั้น นักบัลเลต์หนุ่มลุกขึ้นยืนและหยิบเสื้อผ้าที่เขาถอดกองไว้บนเตียง เขาขอใช้ห้องน้ำเพื่อแต่งตัวครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับออกมาและส่งมือให้หนุ่มอิตาเลียนผู้อุปถัมภ์คนปัจจุบันของเขา

“กลับห้องกันเถอะครับ คุณเพเทรลลี่ เรากวนเวลาของสองคนนี้มามากแล้ว”

โดเมนิโก้ลุกขึ้นยืน แต่เขายังไม่ยอมขยับไปไหน เขาหันไปหาเจและฆาเบียร์

“นายสองคน ฉันขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม…”

ทั้งสองคนทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้า

“ช่วยเป็นพยานในสิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปที…”

เขาหันไปหานักบัลเลต์หนุ่ม

“เฟลิเป้ ฉันรู้ว่าความสัมพันธ์ของเรามันเป็นแบบฉาบฉวยไม่ต่างจากของนายกับฆาเบียร์สมัยก่อน ฉันเองก็ต้องยอมรับว่าฉันติดใจเรื่องบนเตียงของนายมาก…”

“…แต่ในวันนี้ พอฉันเห็นสองคนนี้แล้ว ฉันก็รู้ใจตัวเองว่าฉันอยากให้ระหว่างเรามันมีอะไรมากกว่านั้น…”

โดเมนิโก้ เพเทรลลี่พูดด้วยใบหน้าแดงซ่าน

“…ฉันยังไม่รู้หรอกว่านี่คือความรักหรือเปล่า แต่ฉันก็พร้อมที่จะลอง…”

เฟลิเป้ยืนตะลึง หนุ่มอิตาเลียนพูดต่อพร้อมขยับกายเข้าใกล้ร่างบางนั้น

“ต่อนี้ไป...นายจะเต้นเพื่อฉันเพียงคนเดียวได้ไหม? ฉันเองก็จะมองแค่นายเพียงคนเดียวเท่านั้น…”

“คุณเพเทรลลี่!”

หนุ่มนักบัลเลต์หน้าแดงก่ำ เจและฆาเบียร์บีบมือกันแน่น เพเทรลลี่มองลึกเข้าไปในตาของนักบัลเลต์หนุ่มของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เฟลิเป้ การ์เซีย นายจะคบหากับฉันอย่างจริงจังได้ไหม?”

เฟลิเป้โผเข้าสู่อ้อมอกของหนุ่มอิตาเลียนแทนคำตอบ โดเมนิโก้จูบคนรักของเขาอย่างดูดดื่ม เจและฆาเบียร์หันมายิ้มให้กันอย่างสุขใจ



“พวกฉันคงต้องไปจริงๆ แล้ว ขอบใจพวกนายสำหรับทุกอย่างนะ”

โดเมนิโก้ที่กุมมือคนของเขาไว้แน่นพูดขึ้น

“พวกนายจะอยู่มาเก๊าถึงวันไหนน่ะ? ฉันกับเฟลิเป้จะไปญี่ปุ่นวันพรุ่งนี้เพื่อไปสมทบกับคณะบัลเลต์ที่นั่น”

“พวกผมจะอยู่มาเก๊าอีกสามคืนครับ แต่จะเช็คเอาท์จากที่นี่พรุ่งนี้ แล้วจากนั้นจะนอนไหนต่อนี่ผมก็ไม่รู้ ฆาเบียร์เขาไม่ยอมบอกผม”

เจพูดยิ้มๆ และเล่าถึงข้อตกลงของพวกเขา

“พวกผมแบ่งกันดูแลทริปนี้กันคนละครึ่ง สามคืนแรกพ่อคนติดหรูคนนี้เลยต้องทนมาอยู่ห้องเล็กๆ นี้กับผม”

เจหัวเราะเบาๆ เฟลิเป้หน้าจ๋อยและรีบขอโทษเจเรื่องที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ เจโบกไม้โบกมือว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมาก

“งั้น พรุ่งนี้เช้า เรากินมื้อเช้าด้วยกันที่คลับไหม?… ถ้า เอ่อ ถ้าพวกฉันลุกไหวนะ”

โดเมนิโก้ทำตาเยิ้มมองอดีตคู่ขาที่เลื่อนสถานะเป็นคนรัก คืนนี้เขาจะจัดหนักหนุ่มนักบัลเลต์คนนี้อย่างแน่นอน เฟลิเป้หน้าแดงก่ำและทุบเบาๆ ที่อกของคนรัก พวกเขาโบกมือลาเจ้าของห้องและเดินคลอเคลียกันจากไป



เจดันคนรักของตัวเองให้ลงนั่งบนเก้าอี้นวม ส่วนตัวเองลงนั่งคร่อมตักแข็งแรงนั้น เขาใช้สองแขนโอบรอบคอคนตัวโตของเขาไว้

“โดนจูบเมื่อกี้เคลิ้มเลยล่ะสิ?”

เจกระซิบข้างหูคนตัวโตของเขาและแอบกัดที่คอคนรักเบาๆ ฆาเบียร์ร้องลั่นด้วยความสำออย เจหัวเราะและจูบชายในดวงใจของเขาแผ่วๆ ฆาเบียร์จูบตอบอย่างอ่อนโยน

“เห้อ จูบสู้เฟลิเป้ไม่ได้เลยนะคุณ”

เจบ่นดังๆ

“อือ ใช่ เจก็สู้ไม่ได้เลยเหมือนกัน”

เจตีหน้ายักษ์ใส่คนที่ยิ้มอย่างยียวนให้เขา พวกเขามองหน้ากันแล้วก็ต้องหัวเราะให้กัน

“เด็กคุณนี่จูบเก่งจริงๆ ผมนี้แทบมีอารมณ์เหมือนกันนะ นี่เสียดายนะพวกคุณเข้ามาเร็วไปหน่อย ผมอยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะ 'ปากดี' แค่ไหน”

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์บ่นอุบอิบและโคลงหัวเบาๆ ถ้าลงเฟลิเป้ได้จัดการเจเข้าจริงๆ เขาไม่แน่ใจว่าเจจะต้านทานไหวหรือไม่ ลีลาและเทคนิคบนเตียงอันแพรวพรายของเฟลิเป้คือสิ่งที่ทำให้เขายอมผูกปิ่นโตอยู่ด้วยถึงสองปี



“นายนี่ก็ทำฉันหัวใจจะวายจริงๆ นะ เจนยุทธ”

ฆาเบียร์บ่นเป็นหมีกินผึ้ง หัวใจเขาแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นเจนอนนิ่งๆ ให้เฟลิเป้จัดการ ตอนไปกระชากร่างกิ๊กเก่าของเขาออกมา เขาแทบอยากจะตั๊นหน้าสวยๆ นั่นสักหลายๆ ที

“ไหน โดนทำอะไร โดนแตะต้องตรงไหนมั่ง บอกฉันมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย!”

ฆาเบียร์พูดเสียงจริงจัง เจกระซิบแผ่วๆ ที่ข้างหูคนรัก ฆาเบียร์เม้มปากแน่น หน้าเขาแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ

“โอ๊ย ไอ้เด็กนั่น กล้าดียังไง!”

เขาเอ็ดลั่น เจหัวเราะคิกคัก ฆาเบียร์หน้าคว่ำ เขาลุกขึ้นและอุ้มร่างคนตัวเล็กโยนลงไปกลางเตียงและโถมกายเข้าหา

“เดี๋ยวฉันจะลบกลิ่นเฟลิเป้ที่ติดตัวนายออกให้เกลี้ยงเลย เจนยุทธ!”

เมียตัวโตของเจคำรามเบาๆ เขาบดจูบลงบนริมฝีปากที่ยิ้มน้อยๆ ของคนรัก เจจูบตอบ คืนนี้ของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้นขึ้น



-----------------------------------------


ว่างจัด หาเรื่องใส่ตัวละครใหม่มาซะงั้น บันเทิงดีจริงๆ ค่ะ


เรื่องระบบอุปถัมภ์ในวงการศิลปะและดนตรีนี้มีจริงค่ะ ถ้าเป็นบ้านเราก็คงเรียกพ่อยกแม่ยก ถ้าเป็นสมัยก่อน อย่างช่วงศตวรรษที่ 19 นักเต้นหรือนักบัลเลต์(หญิง)ก็มักจะกลายเป็นเมียเก็บของผู้อุปถัมภ์ไปด้วย แต่ในปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วค่ะ การเป็นสปอนเซอร์ของคณะบัลเลต์นั้น ผู้อุปถัมภ์นอกจากจะได้ประโยชน์เรื่องการได้พบปะกับนักบัลเลต์ที่ตัวเองชอบ ได้ตั๋ววีไอพี ได้มาร่วมงานกาล่า และอื่นๆ แล้ว ยังได้ประโยชน์ด้านธุรกิจอีกด้วย นอกจากได้รับการโฆษณาในสื่อของทางคณะแล้ว การมาร่วมงานกาลาหรือมาดูบัลเลต์ก็ยังเป็นโอกาสในการได้พบปะผู้อุปถัมภ์คนอื่นซึ่งเป็นคนในวงธุรกิจหรือวงสังคมชั้นสูงด้วยค่ะ

เรื่องการ auction และการสปอนเซอร์นักบัลเลต์อิงมาจากสองบทความนี้ค่ะ

https://goo.gl/U5YfBw

https://goo.gl/TWbsJz


แต่โดยทั่วไปแล้วการสปอนเซอร์รายบุคคลไม่ได้ทำในรูปแบบการประมูลค่ะ แต่เป็นการแจ้งความจำนงค์ไปยังคณะเลยมากกว่า บางคณะยักษ์ใหญ่อย่าง New York City Ballet Houston Ballet และ San Francisco Ballet ก็ไม่สนับสนุนระบบการเป็นสปอนเซอร์แบบระบุตัวคนค่ะ ส่วนหนึ่งคือไม่อยากให้มีการเลือกปฏิบัติกันในคณะหรือเลี่ยงการที่สปอนเซอร์ที่มีอิทธิพลมากจะมามีผลต่อการตัดสินใจเลือกคนรับบทนำค่ะ




ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เกือบไปนะฆาเบียร์

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- Late Night Noodle ----



"เจ พอแล้ว ฉันจะขาดใจอยู่แล้ว ไม่ไหวแล้ว เจ"

ฆาเบียร์ครางออกมาแผ่วๆ เขาฟุบหน้าลงบนหมอนและปล่อยให้คนตัวเล็กที่มีพลังล้นเหลือจัดการตามใจชอบ เขาเพิ่งเสร็จเป็นครั้งที่เท่าไหร่นั้นตัวเขาก็จำไม่ได้ เจเองก็ทาบกายลงบนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยเหงื่อของคนรัก เขาใช้มือเหนี่ยวสะโพกแข็งแรงของฆาเบียร์และกระแทกกายอีกไม่กี่ครั้ง ก่อนที่จะสะท้านกายเบาๆ และฟุบตัวลง เขาเองก็หมดเรี่ยวแรงแล้วเช่นกัน

“เจ หนัก นายนี่ตัวไม่เบาแล้วนะ”

คนตัวโตกว่าที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับเตียงหันหน้าน้อยๆ ไปบ่นคนที่นอนหมดสภาพฟุบอยู่บนหลังเขา

“พูดอะไร ใครหนัก ผมตัวเบาจะตาย”

ริมฝีปากร้อนๆ ของเจนยุทธเริ่มซุกซนอีกครั้ง เขาซุกไซร้ที่ต้นคอสีแทนและทิ้งร่องรอยสีเข้มไว้ ฆาเบียร์สะดุ้งเฮือกเมื่อถูกงับเบาๆ เข้าที่หลังคอ คืนนี้เจดูจะรุนแรงกับเขาเป็นพิเศษ เขารู้สึกได้ว่าที่ตัวเขาคงมีทั้งรอยฟัน รอยจูบและรอยช้ำจากนิ้วมือที่ฟอนเฟ้นตัวเขาเมื่อสักครู่นี้ ฆาเบียร์ซี้ดปากเบาๆ เมื่อพยายามจะยันตัวลุกขึ้นแต่ยอดอกที่บวมน้อยๆ จากการถูกดูดดึงอย่างไม่ปราณีก็ไปครูดกับผ้าเช็ดตัวที่เจใช้ปูรองเตียงไว้ รอยรักของเจทำให้ตุ่มไตของเขาไวต่อสัมผัสขึ้นอีกมาก เจทำตาวาวเมื่อได้ยินเสียงนั้น

“ทำเสียงแบบนี้คุณจะยั่วผมอีกเหรอ ฆาบี้?”

เจแกล้งคำรามเบาๆ ใส่หูคนรัก เขากัดฟันยันตัวลุกขึ้นนั่งและดึงคนตัวโตให้ลุกขึ้นนั่งพิงอกเขา

“ไหน ผมขอดูหน่อยซิ”

เจชะโงกหน้าข้ามไหล่หนาของคนตัวโตเพื่อดูร่องรอยที่เขาทำไป

"อย่าซนสิ!"

ฆาเบียร์ตีมือคนที่ไม่แค่ดู เจใช้นิ้วโป้งสะกิดเขี่ยไล้ตุ่มไตที่แดงก่ำทั้งสองข้างของคนตัวโต ฆาบี้หลับตาพริ้มซบอกคนรักและปล่อยเจทำตามใจ ปลายนิ้วที่คีบดึงดุนอย่างชำนาญทำให้เขาเสียวซ่านไปทั้งตัว

"อ๊ะ!"

คนตัวโตสะดุ้งเฮือกเมื่อมือซนๆ ของเจเลื้อยต่ำลงล่างและคว้าหมับเข้าที่จุดอันตราย

"เจ ไม่เอา ฉันไม่ไหวแล้ว"

ฆาเบียร์พูดเสียงสั่น เขาตะปบมือเรียวที่หยอกล้อส่วนสงวนของเขา เจหยุดมือและหัวเราะเบาๆ เขาแกล้งเมียตัวโตของเขาไปอย่างนั้นเอง ตัวเขาเองก็แทบสลบแล้วเช่นกัน

"ไม่ไหวจริงๆ แน่นะ? ป่ะ งั้นไปอาบน้ำกัน"

ฆาบี้พยักหน้า คืนนี้เจเล่นงานเขาหนักจริงๆ คนตัวเล็กค่อยๆ ดันร่างคนรักให้ลุกขึ้น เขารีบใช้ผ้าซับน้ำขุ่นข้นที่ไหลเป็นทางออกมาจากหว่างขาของฆาเบียร์ เขาลอบถอนหายใจเมื่อเห็นเลือดจางๆ ปนออกมาด้วย เขาคงฝืนสังขารคนตัวโตไปจริงๆ

"เดินไหวไหม?"

เจถามอย่างเป็นห่วง ฆาเบียร์พยักหน้าบอกว่าไหว แต่ก็อดนิ่วหน้าน้อยๆ ไม่ได้เมื่อเริ่มขยับ ช่องทางของเขาระบมไม่น้อย แต่ยังไม่แย่เท่ากล้ามเนื้อต้นขา หลังและบั้นเอว เขาถอนหายใจ นี่ตัวเขาคงเริ่มแก่แล้วจริงๆ



"ไปอดอยากปากแห้งจากไหนมา เจนยุทธ เราทำกันทุกคืนแล้วไม่ใช่เหรอ?"

คนตัวโตโอดครวญ เจซบหน้าลงกับไหล่ของฆาเบียร์ซึ่งเอนหลังซบอกเขาอยู่ พวกเขากำลังแช่น้ำอุ่นกันอย่างสบายตัว

"ผมทำโทษคุณไง ฆาบี้ โทษฐานที่คุณทำให้ผมต้องเจอเรื่องเมื่อหัวค่ำ"

หนุ่มละตินนิ่งไป น้ำเสียงตัดพ้อของเจทำให้เขาพูดไม่ออก

"ตอนเฟลิเป้เขากดผมน่ะ ผมตกใจมากเลยนะ รู้ไหม? ผมดิ้นยังไงก็ไม่หลุด ไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวบางๆ แบบนั้นจะแรงเยอะ"

ฆาเบียร์ขยับกายเปลี่ยนท่าจนเจมานั่งพิงในอ้อมอกเขาแทน เขาโอบรัดร่างที่สั่นน้อยๆ นั้นไว้ เจคงเพิ่งรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของเหตุการณ์เมื่อหัวค่ำได้

"ในตอนแรกผมกลัวขึ้นมาจริงๆ นะ ต่อให้เฟลิเป้เขาจะหน้าสวย ตัวหอม ผิวเนียนยังไง เขาก็ยังเป็นผู้ชาย ผมไม่รู้เลยว่าเขาจะทำอะไรกับผม..."

สำหรับเจแล้ว สัมผัสของหนุ่มหน้าสวยคนนั้นไม่ทำให้เขารู้สึกได้เหมือนสัมผัสของคนรักเลยสักนิด แม้คนๆ นั้นจะจูบเก่งแค่ไหน แม้มืออันบอบบางนั้นจะเนียนนุ่มและสัมผัสกายเขาอย่างช่ำชองแค่ไหน มันก็ไม่สามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์ของเจได้เท่ากับที่ฆาเบียร์ทำ



"แต่ เอ่อ ตอนฉันเข้าห้องมา ฉันเห็นเฟลิเป้เค้าไม่ได้กดนายไว้แล้ว แล้วทำไมนายไม่ขัดขืนแล้วล่ะ"

ฆาเบียร์ถามเบาๆ อย่างเกรงใจคนรัก เจแค่นหัวเราะออกมา

"เหอะๆ คุณคิดว่าเพราะอะไรล่ะ คุณมาร์ติเนซ ก็คนของคุณบอกผมน่ะสิว่าที่เขากำลังทำอยู่นี่ก็เพราะคุณสองคนบอกให้ทำ เพราะพวกคุณให้เขามาเตรียมผมให้พร้อมสำหรับการสวิงกิ้งในคืนนี้น่ะสิ"

เจกระแทกเสียงหนักๆ เขาขยับกายออกห่างจากฆาเบียร์อย่างไม่สบอารมณ์

"...ก็ในเมื่อว่าแบบนั้นมา ผมก็ปล่อยให้เขาทำตามใจไปแล้วกัน แต่ในอกผมเนี่ย มันปวดไปหมดเลย รู้ไหม?"

เจพูดเสียงเครือ ฆาเบียร์ดึงกายคนตัวเล็กมากอดแนบอกอีกครั้ง

"นี่เจคิดจริงๆ เหรอว่าฉันจะปล่อยนายไปเจออะไรแบบนั้น?"

คนตัวโตถามขึ้นอย่างปวดใจ คนรักของเขาสงสัยได้อย่างไรว่าเขาจะปล่อยให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงๆ

"ก็เขารู้จักคุณมานานกว่าผม รู้รสนิยมอะไรหลายๆ อย่าง แล้วเวลามันก็ดูประจวบเหมาะเกินไป อะไรหลายๆ อย่างมันทำให้ผมคิดไปว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ"

เจพูดเสียงแผ่วเบา

"ผมก็เลยคิดว่าถ้ามันเป็นความต้องการของคุณจริงๆ ก็ช่างหัวมันละ อยากจะทำอะไรก็เชิญตามสบาย ผมกะจะนอนนิ่งๆ เฉยๆ ให้พวกคุณจัดการกันเอง"

"โธ่ เจ..."

ฆาเบียร์ครางเสียงสั่น เขาจูบแผ่วๆ ที่หน้าผากของคนรัก ก่อนแนบหน้าผากตัวเองเข้ากับหน้าผากเนียนของเจ

"ฉันไม่มีวัน ไม่มีวันปล่อยนายทำแบบนั้นเด็ดขาด แม้นายจะอยากทำเอง ฉันก็ไม่ยอม เข้าใจไหม?"

ฆาเบียร์กระซิบแผ่วๆ เขาพรมจูบไปทั่วใบหน้าของเจ เขาไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนไม่ว่าชายหรือหญิงมาแตะต้องคนที่เขารักสุดหัวใจคนนี้ได้อีก

"อือ รู้แล้วน่ะ ตอนนี้เข้าใจแล้ว ปล่อยก่อน เจ็บ ผมปวดหลังอ่ะ"

เจทำหน้านิ่ว คนตัวโตรัดตัวเขาแน่นจนเจ็บไปหมด ยิ่งแถวเอวแถวสะโพกเขายิ่งปวดเมื่อยหนัก ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ

"นายเองก็ไม่ไหวเหมือนกันเหรอ เจ ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ แล้วทีเมื่อหัวค่ำทำเก่งบอกว่าจะจัดการพวกฉันทั้งสามคนให้หมดเสียง นี่แค่ฉันคนเดียวนายก็ไม่ไหวแล้วนะ"

เจยิ้มอายๆ เขาพูดไปด้วยแรงโทสะแท้ๆ เขาทุบอกคนรักพลั่กใหญ่เพื่อแก้เขิน ฆาเบียร์ยิ้มร่าและหอมแก้มเจฟอดใหญ่



"เราขึ้นกันแล้วดีไหม? น้ำเริ่มเย็นแล้ว"

ฆาเบียร์ช่วยดึงคนรักให้ลุกขึ้น เขาดึงจุกปล่อยน้ำออก

"หายปวดตัวหรือยังคุณ?"

เจค่อยๆ ประคองคนตัวโตของเขาเดินไปที่เตียง

"ดีขึ้นแล้วล่ะ แช่น้ำอุ่นๆ แล้วดีขึ้นมาก"

"เดี๋ยวผมนวดให้ไหม?"

ฆาเบียร์ปฏิเสธทันควัน พวกเขานวดให้กันทีไรไม่เคยได้จบลงแค่นวดเฉยๆ สักที เจหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นทีท่าของคนตัวโตของเขา



เจหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นดูเมื่อเห็นไลน์เด้ง เขายิ้มออกมาแล้วพิมพ์ตอบกลับไป ฆาเบียร์แอบชำเลืองมองเจนิดหนึ่งและหันกลับไปดูหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องบางเฉียบของเขาต่อ แม้ว่าเขาหยุดพักมาเที่ยวกับเจ แต่เวลาว่างเขาก็ต้องตามงานต่อบ้าง

"ฆาบี้ครับ นี่ก็...เอ่อ เที่ยงคืนกว่าแล้วใช่ไหม?"

คนตัวโตดูนาฬิกาที่หน้าจอคอมแล้วหันไปพยักหน้ากับเจ้าตัวเล็กที่จ้องตาเขาเป๋ง

"ใช่ เที่ยงคืนกว่าแล้ว ทำไมเหรอ? ง่วงแล้วเหรอ นายนอนก่อนก็ได้นะ"

เจทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ เขาเปลี่ยนคำถาม

"เอ่อ วันนี้วันที่เท่าไหร่นะ ฆาบี้?"

"2 กุมภาฯ จ้ะ มีอะไรเหรอ?"

เจหน้าสลดลง เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็แอบถอนหายใจเบาๆ คนตัวโตอาจจะจำไม่ได้จริงๆ

"ไม่มีอะไรหรอก คุณ ผม เอ่อ ผมแค่คิดว่าอีกไม่กี่วันผมก็ต้องกลับแล้ว"

ฆาเบียร์ตบเตียงที่ข้างๆ ตัวเบาๆ เจขยับตัวเข้าไปอิงแอบอกกว้าง เขาชำเลืองมองหน้าจอของฆาเบียร์แล้วก็ทำหน้าเบ้เมื่อเห็นโค้ดเป็นแผงบนหน้าต่างที่หน้าจอ ไอ้การเขียนโค้ดนี้เป็นยาขมของเขาและคือสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเลิกเรียนสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ฆาเบียร์ยิ้มเมื่อเห็นทีท่าของคนรัก



"พอเจพูดว่าเที่ยงคืนกว่าแล้วฉันก็นึกได้..."

เจส่งสายตาปิ๊งๆ ให้คนรัก ในที่สุดฆาเบียร์ก็จำได้แล้วสินะ

"...นายไม่ได้กินอะไรตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ไม่หิวเหรอ ? แถมเมื่อกี้ออกแรงเยอะด้วย"

เจหน้าจ๋อยลงทันที

'ช่างมันเถอะ'

เขาคิดแล้วหันไปส่งสายตาละห้อยให้เมียตัวโตของเขา

"โหย คุณพูดปุ๊บ ผมงี้ท้องร้องปั๊บเลย แต่เวลานี้จะกินอะไรดี? สั่งรูมเซอร์วิสไหม?"

"อืมม์ เจรู้จักร้านอะไรที่เปิดดึกๆ มั่งไหมล่ะ? ตามโรงแรมคาสิโนมักจะมีร้านเปิด 24 ชั่วโมงใช่ไหม?"

เจครุ่นคิดนิดหนึ่ง

"มีมันก็มีอยู่หรอก แต่มันอยู่ตั้งโรงแรมแกรนด์ลิสบัวนู่นน่ะสิ คุณจะไปไหวเหรอ?"

เจนยุทธถามอย่างเป็นห่วงคนรักที่เพิ่งผ่านศึกหนักกับเขามา เขาบอกว่าที่จริงที่คาสิโนของ Ponte 16 นี้ก็มีร้านที่ว่าเช่นกัน แต่เขาไม่เคยกินและเมื่อดูจากหน้าตาร้านแล้ว มันคงมีไว้แค่กินกันตายมากกว่า

"พอไหวอยู่จ้ะ ฉันเองก็หิวแล้วเหมือนกัน อยากกินอะไรหนักๆ กว่าอาหารจากรูมเซอร์วิส"

คนตัวโตยิ้มอายๆ อยู่กับเจแล้วเหมือนกระเพาะเขาจะขยายขึ้น เขาชวนเจลุกขึ้นแต่งตัวง่ายๆ เจโทรไปที่คอนเสียจเพื่อขอให้เรียกแท็กซี่ให้ เขาบอกว่าที่จริงมีรถเมล์จากหน้าโรงแรมไปที่ป้ายรถหน้าโรงแรมลิสบัวด้วย แต่ในคืนนี้เจไม่อยากให้คนตัวโตของเขาต้องออกแรงมาก แท็กซี่จึงเป็นหนทางที่เร็วและสบายที่สุด



ทั้งสองลงมานั่งรอแท็กซี่ที่ล็อบบี้ครู่หนึ่ง ตอนลงจากห้อง เจโผล่หน้าเข้าไปดูในคาสิโน คืนนี้ก็ยังคงคึกคักและเต็มไปด้วยนักพนันเช่นคืนก่อน แถมดูจะมีคนหนาตากว่าเดิมอีกด้วย

"วันนี้วันพฤหัสฯ ใช่ไหมคุณ?"

"ใช่จ้ะ ทำไมเหรอ?"

"แปลกจัง ทำไมคนเยอะ ที่มาเก๊านี่นะ ปกติวันธรรมดาคนจะน้อย จนถึงขั้นเงียบเหงาเลย แต่พอศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี่คนจีนจะแห่แหนมาเล่นกันเยอะมากเลย อาจจะคนฮ่องกงด้วย ทุกครั้งที่ผมมาก็จะเห็นความต่างแบบนี้ทุกครั้ง"

เจบอกว่าปกติเขามักมามาเก๊าช่วงวันธรรมดาเพราะโรงแรมถูกกว่า บางครั้งถูกกว่า 20-30% และผู้คนก็บางตากว่ามาก แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้

"คราวที่แล้วที่ผมมา ก็มาต่อสุดสัปดาห์แบบนี้ ผมไปเดินเซนาโดตอนวันพฤหัสฯ กลางวัน ก็ยังชิลๆ คนน้อย เดินสบายๆ แต่พอกลับไปอีกทีบ่ายๆ วันเสาร์ โอ้โห คุณเอ๊ย ยังกะมีมหกรรมแจกของฟรี คนแออัดแน่นไปหมด แล้วเป็นพวกลุงป้าขาช้อปก็เยอะ แต่ละคนถือถุงร้าน Koi Kei ใบโตๆ กัน...อ๊ะ แท็กซี่มาละ"



"ผมว่า คนจีนกับคนไทยนี่คล้ายกันตรงที่ไปไหนต้องมีของฝากนะ"

เจนั่งคุยกับฆาเบียร์ต่อบนรถ

"ของฝากเหรอ? อืมม์ นายหมายถึงอย่างพวงกุญแจ แม็กเน็ตติดตู้เย็น อะไรพวกนั้นเหรอ?"

"โน้วววว ผมหมายถึงของแบบที่ขายในกาดวโรรส หรือที่แถวเซนาโดน่ะ ของฝากที่เป็นของกินประจำถิ่นอะไรเทือกนั้น เวลาคุณไปเที่ยวไหนคุณซื้อของฝากไหม?"

ฆาเบียร์ครุ่นคิดนิดหนึ่ง

"อืมม์ ฉันก็จะมีของฝากติดไม้ติดมือมาให้อาปาบ้าง ยัยเมลิน่าบ้าง แต่ถ้าอย่างไปยุโรป บางทีก็เป็นของแบรนด์เนม หรืออะไรพวกนั้นมากกว่า หรือไม่ก็ขนมเล็กๆ น้อยๆ หรือพวกพวงกุญแจ แต่ก็แค่นั้น ไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย"



"คนไทยนะคุณ ไปไหนก็จะขนซื้อของฝากมาฝากคนนั้นคนนี้เต็มไปหมด อย่างผมนะ ถ้าไปเที่ยวและแบกของกลับมาไหวนะ ก็จะต้องมีฝาก...เอ ผมนับก่อน แม่ พี่อิ่ม บ้านพี่จืด พี่นพ ลุงคนเฝ้าคอนโด พวกเพื่อนที่เจอกันบ่อยๆ อย่างปรินซ์ ซันซัน ไอ้...เอ่อ...อ่า หมดละมั้ง"

เจชะงักและข้ามชื่อไปชื่อหนึ่ง ฆาเบียร์เม้มปากน้อยๆ เขารู้ดีว่าเจหมายถึงใคร แต่เขาก็เลือกที่จะไม่แสดงอาการอะไร

"บางทีถ้าที่เหลือผมก็จะซื้อของเกินจำนวนไว้ อย่างพวกพวงกุญแจก็ซื้อไปเยอะๆ ถ้าเจอพวกเจ๊ๆ เขาผมก็จะเอาไปให้ด้วย"

เจพูดถึงเหล่าสาวๆ ของเขา

"แล้วยิ่งถ้าไปกับพี่นพนะ แกจะต้องเอาไปฝากคนที่ออฟฟิศแกอีก ไปๆ มาๆ ของฝากน่ะเยอะแล้วก็หนักกว่าของตัวเองอีกนะคุณ"

เจหัวเราะแหะๆ เขานึกถึงตอนไปญี่ปุ่นครั้งที่ผ่านมากับนพ พวกตุ๊กตาเกาะแก้ว พวงกุญแจและแม็กเน็ตทั้งหลายที่เขาซื้อมานั้นหนักรวมกันเป็นกิโลเลยทีเดียว แถมยังมีขนมสารพัดอีกครึ่งกระเป๋า กว่าครึ่งถูกแจกจ่ายให้ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ

"อย่างแม่ผมนะ ตอนยังอยู่บ้านในเมือง เวลาแม่ไปเที่ยวทีนึง อย่าง...ไงดี อย่างไปเที่ยวทะเลแถวระยองแบบเหมารถตู้ไป เค้าก็จะแวะตลาดของฝากอย่างตลาดหนองมนแล้วก็ซื้อของมากันเป็นกล่องๆ เลยนะ ของฝากทั้งนั้น พวกปลาแห้ง กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง ทุเรียนทอด อะไรพวกนั้น โดยมากก็แจกพวกป้าๆ เพื่อนบ้าน ไม่ก็ก๊วนไปวัดของแม่ ผมว่าบางทีมันก็สิ้นเปลืองไปอ่ะ"



เจบอกว่าแถมมีครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว เขากับแม่ไปธุระต่างจังหวัดและไม่ได้มีเวลาซื้อของฝาก พอกลับมาก็มีเสียงบ่นลอยลมจากบ้านใกล้ๆ ว่า แหม กลับมาแล้วไม่เจอหน้าเจอตาเลย สงสัยจะกลัวทวงของฝาก เจบอกว่าพอพ่อเขาได้ยิน พ่อถึงกับสั่งแม่ว่าต่อไปนี้ห้ามซื้อของมาฝากคนแถวบ้านอีก แต่แม่ของเขาก็ยังคงแอบซื้อมาอยู่ดี

"...แต่ไอ้นิสัยแบบนี้ของคนไทยและคนจีนนี่แหละครับที่มันทำให้ตลาดของฝากอย่างกาดหลวงขายได้ถึงทุกวันนี้ ต่อให้คนเข้ากาดน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเพราะหาที่จอดรถยากและถูกพวกร้านของฝากใหญ่ๆ ดักตรงทางออกเมือง แต่ช่วงเทศกาลในกาดก็ยังคนแน่นมาก..."

เจพูดยิ้มๆ เขาบอกว่าตอนที่พ่อแม่เขายังเปิดร้านในตลาด ช่วงที่ขายดีที่สุดของร้านขายเสื้อผ้าพื้นเมืองของพวกเขาคือช่วงก่อนสงกรานต์และลอยกระทงที่คนมักมาหาซื้อเสื้อผ้าพื้นเมือง และอีกช่วงหนึ่งคือช่วงก่อนปอยเดือนสิบเอ็ดหรือช่วงปีใหม่ของพี่น้องชาวไตหรือชาวรัฐฉาน หนุ่มสาวชาวรัฐฉานมักมาหาซื้อเสื้อผ้าไปเป็นของขวัญให้ผู้หลักผู้ใหญ่และร้านเขาก็จะคึกคักเป็นพิเศษ

"ผมเคยถามพวกป้าๆ ที่เขาขายของในกาดนะ ว่าการที่นักท่องเที่ยวจีนแห่แหนเข้ามาในเชียงใหม่น่ะ ทำให้ขายดีขึ้นไหม? ป้าๆ ตอบว่าขายดีขึ้นเยอะมากเลย..."

เจบอกว่าถึงจะต่อแหลกลาญแค่ไหน เช่นต่อรายชิ้นเสร็จ พอแพ็คลงกล่องแล้วยังขอต่อราคารวมอีกรอบตอนจบอีกจนแม่ค้าท้อ แต่นักท่องเที่ยวจีนเหล่านี้ก็เหมือนคนไทยคือ คือซื้อของกันเยอะ ถ้าได้ถูกสมใจแล้ว พี่แกก็จะขนหอบกันไปเยอะแยะมากมาย เผลอๆ พาเพื่อนกลับมาซื้ออีก



"ส่วนนักท่องเที่ยวฝรั่ง เขาแค่เข้ามาดูแล้วก็ซื้อขนมของกินนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ไป แต่ผมก็เข้าใจนะว่าของฝากบ้านเรามันเป็นของกินซะเยอะ จะหอบกลับก็ไม่สะดวก"

"คราวที่แล้วที่ฉันไป Kad กับเจ ฉันก็เห็นนักท่องเที่ยวฝรั่งหอบของเยอะๆ ก็มีนะ พวกเสื้อผ้าเมืองเป็นตั้งๆ เลยน่ะ"

ฆาเบียร์เริ่มใช้คำว่า กาด ตามคนรักแทนคำว่า market

"อ๋อ พวกนั้นโดยมากเป็นพวกซื้อไปขายต่อครับ อย่างมีช่วงหนึ่งที่ฝรั่งเศสฮิตสินค้าทางเอเชียที่ออกแนวซัมเมอร์ สีจัดๆ  ไอ้เจ้าที่นอนสีแดงๆ ลายดอกโบตั๋นน่ะ ขายโคตรดี ผมเห็นฝรั่งมาขนกันไปทีละหลายๆ ชิ้น..."

เจหัวเราะ เขาเปิดมือถือหารูปที่นอนแบบนั้นให้ฆาเบียร์ดู เขาบอกว่าอีกไอเท่มขายดีก็คือกางเกงสะดอสีสันสดใสหรือที่ทางภาคกลางเรียกว่ากางเกงเล

"อ๋อ แบบนั้นฉันก็มีนี่ ที่ซื้อด้วยกันจากที่กาดตอนนั้นไง"

"ใช่ๆ กางเกงสะดอผ้าบางๆ พวกนั้นแหละ ฝรั่งขายาวๆ ก้นงอนๆ อย่างคุณใส่โคตรสวย..."

"...คุณใส่ทีไร ผมนี่อยากขยำก้นคุณทุกที รู้ไหม?"

เจกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูคนรักเพื่อไม่ให้คนขับได้ยิน ก้นแน่นๆ ของฆาเบียร์ใต้ผ้าบางๆ ที่รัดรึงของกางเกงสะดอนั้นทำให้เขาเกิดอารมณ์ได้ทุกครั้ง คนตัวโตหน้าแดงก่ำ กลับไปเขาจะให้เจพาไปกาดและซื้อมาอีกหลายๆ ตัว



รถพาพวกเขามาถึงหน้าโรงแรมแกรนด์ ลิสบัวอันโอ่อ่า เจจ่ายเงินค่าแท็กซี่แล้วลงรถไปรอประคองคนตัวโตของเขาที่ยังดูมีทีท่าอ่อนเพลียและเดินขัดๆ ลงรถ เขาชวนคนรักเดินเข้าไปในล็อบบี้ที่ประดับประดาไปด้วยชิ้นงานที่โชว์ถึงศิลปะและทักษะของช่างฝีมือชาวจีน เขาลากฆาเบียร์ไปดูชิ้นโปรดของเขา ซึ่งก็คืองาช้างแมมมอธขนาดใหญ่แกะสลักเป็นฉากจากนิทานไซอิ๋วตอนเห้งเจียบุกสวรรค์ บนนั้นมีทั้งตัวลิงและเทพเซียนขนาดเล็กนับร้อยตัวและลูกท้อขนาดเล็กจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วน เจชี้ชวนให้คนตัวโตดูบัลลังก์ของฮ่องเต้ราชวงค์ชิงและของตกแต่งท้องพระโรงย่อยที่วางจัดแสดงอยู่บนยกพื้น เขาอ่านรายละเอียดจากป้ายที่ตั้งอยู่ด้านหน้า

"ว้าว นี่เขาบอกว่าเป็นบัลลังก์หนึ่งในไม่กี่ชิ้นที่หลุดมาอยู่ในมือของเอกชนนะ ลุงสแตนลี่ย์ โฮนี่รวยสุดยอด!"

พวกเขาเดินดูรอบๆ อีกครู่หนึ่ง เจจึงพาคนตัวโตของเขาขึ้นบันไดเลื่อนไปยังร้านอาหาร Noodle & Congee บนชั้น U2

"เออ เขาปรับปรุงแฮะ คราวที่แล้วที่ผมมาร้านมันไม่ได้หน้าตาแบบนี้"

เจบ่นเล็กๆ ว่าที่นั่งมันดูน้อยกว่าเดิมและบรรยากาศค่อนข้างแออัดกว่าสมัยก่อน เขาเลือกที่นั่งไม่ห่างจากครัวที่เปิดโล่งให้เห็นได้ชัดนัก



] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/02/23/treasure-L.jpg[/img)



“ไหวไหมครับ? คุณดูเหนื่อยมากเลย กินไหวไหม?”

เจถามคนรัก เขารู้สึกว่าฆาบี้ดูหน้าซีดๆ กว่าปกติ เขาเริ่มกังวลว่าฆาเบียร์อาจจะจับไข้เหมือนเขาตอนที่สมุย คนตัวโตยิ้มให้คนรักที่มีทีท่ากระวนกระวาย

“ไม่เป็นไรหรอก เจ ฉันแค่ เอ่อ หิวน่ะ”

ฆาเบียร์หน้าแดงน้อยๆ กลิ่นอาหารหอมๆ ในห้องอาหารนี้ทำให้เขาหิวขึ้นมาทันควัน

“นี่เจทำให้ฉันกลายเป็นคนตะกละไปซะแล้วนะ รู้ไหม?”

เขาจับคางคนตัวเล็กของเขาสั่นเบาๆ เจยิ้มร่า

“งั้นรีบสั่งอาหารกันเถอะคุณ ผมเองก็หิวจนแสบท้องแล้ว”

เจฮัมเพลงเบาๆ พร้อมกับเปิดเมนูดูอาหาร

​“ที่นี่เด่นด้านอาหารเส้นๆ กับโจ๊กนะครับ บะหมี่ที่นี่ทำสดตรงนู้น…”

เจชี้ไปที่ครัวที่อยู่ไม่ห่างนัก ในนั้นมีเชฟยืนทำเส้นบะหมี่อยู่อย่างขมักเขม้น



"เอ ผมจะกินอะไรดี คุณสั่งก่อนดีกว่า ฆาบี้"

ฆาเบียร์ดูเมนูซึ่งมีอาหารหลากหลายจนเขาไม่รู้จะเลือกอะไรดี เขาดูรายการอาหารเส้นๆ ซึ่งมีหลายสิบชนิด แต่เขาสนใจหน้าแรกที่บอกว่าเป็นหมี่ทำสดแบบ Shan Xi

"เจ พวกนี้เป็นเส้นแบบไหนบ้าง นายพอจะรู้ไหม? ฉันรู้จักแค่ Yi Gen Mian กับ Lan Zhou La Mian"

ในหน้านั้นมีประเภทเส้นที่ทำจากข้าวสาลีให้เลือกหกแบบ ได้แก่

Yi Gen Mian / 一根麵

Dao Xiao Mian / 刀削麵

Jian Dao Mian / 剪刀麵

Dao Bo Mian / 刀撥麵

Zhuan Pan Ti Jian / 轉盤剔尖

Lan Zhou La Mian / 蘭州拉麵



สองอย่างที่ฆาเบียร์รู้จักคือ Yi Gen Mian ซึ่งเป็นเส้นที่ทำจากหมี่เส้นยาวเส้นเดียวขนาดเท่านิ้วชี้ที่เชฟนำมาขดเป็นก้นหอยไว้ในกะละมังใหญ่ เวลาต้ม เขาสาวเส้นหมี่เส้นอ้วนนั้นออกมาจากกะละมังและดึงให้มันยืดยาวออกจนกลายเป็นเส้นเรียวเล็ก เขาโยนเส้นลงไปในกะทะที่ต้มน้ำเดือดๆ ไว้ จากนั้นเด็ดให้ขาดออกเมื่อได้ปริมาณเส้นที่เหมาะสม ส่วนหมี่หลานโจวหรือ Lan Zhou La Mian นั้นก็คือบะหมี่ดึงมืออันโด่งดังของจีนนั่นเอง ฆาเบียร์ชี้ให้เจดูเชฟที่กำลังใช้มือทั้งสองดึงแป้งให้เป็นเส้นยาว ทบครึ่ง ดึง เขาทำซ้ำไปซ้ำมาจนแป้งก้อนนั้นกลายเป็นหมี่เส้นเล็กเรียวขนาดเท่ากัน เจดูเชฟอีกคนที่กำลังใช้มีดฝานก้อนแป้งขนาดใหญ่เหนือกะทะที่ตั้งน้ำเดือดๆ ไว้ แป้งที่ตกลงไปในน้ำเดือดๆ นั้นออกมาเป็นเส้นแบนยาว

"ผมรู้แล้ว คุณ นั่นคือ Dao Xiao Mian ผมเคยได้ยินคนไทยเรียกว่าตอเสี่ยะหมี่...ส่วนไอ้เจ้า Jian Dao Mian นั้นคือเส้นที่ใช้กรรไกรตัดออกมา มันจะมีปลายแหลมๆ คล้ายๆ เกี้ยมอี๋หน่อย..."

เจอ่านสิ่งที่เขาเปิดเจอจากมือถือให้ฆาเบียร์ฟัง ว่ากันว่าเชฟชั้นยอดสามารถใช้มีดขูดเส้นออกมาได้ 200 เส้นต่อนาทีเลยทีเดียว ส่วน Dao Bo Mian นั้นคล้ายเส้นอุด้งของญี่ปุ่น ทำโดยการใช้มีดตัดแผ่นแป้งที่พับทบซ้อนกันออกเป็นเส้นเท่าๆ กัน ส่วน Zhuan Pan Ti Jian นั้น ใช้ตะเกียบแท่งหนึ่งตวัดดีดแป้งออกจากก้อนแป้งบนจานแบนโดยให้มันมีขนาดเรียวเล็กเหมือนตะเกียบ



อาหารประเภทเส้นทั้ง 6 ชนิดนั้นสามารถเลือกกินกับซุป 3 แบบคือซุปเผ็ดเปรี้ยว เจบอกฆาเบียร์ว่ามันคล้ายกับซุปเสฉวนตามร้านอาหารจีนในไทย อีกสองชนิดคือซุปกระดูกหมูและซุปเนื้อ เจเลือกสั่ง Yi Gen Mian ซุปเผ็ดเปรี้ยวพร้อมอาหารจานเคียงอีก 2 อย่างในราคา 78+ ปาตากาส

“ไอ้พวกเครื่องเคียงนี่นะคุณ ตอนที่ผมมากินที่นี่กับพี่นพครั้งแรก ผมนึกว่ามันจะมาเล็กๆ เหมือนเป็นท็อปปิ้งแปะมาบนบะหมี่ ที่ไหนได้ มันเป็นอาหารเป็นจานเลย แล้วคุณตัดสินใจได้หรือยังว่าจะกินอะไร?

“ฉันว่าฉันกินแค่โจ๊กเบาๆ ดีกว่า แค่โจ๊กโรยกังป๋วยก็พอ แต่ฉันว่าจะสั่งไก่แช่เหล้ามาเพิ่มด้วย ดีไหม?”

คนตัวโตเห็นขนาดชามบะหมี่ของโต๊ะข้างๆ แล้วตัดสินใจว่าเขาจะกินแค่โจ๊กและกับข้าวอีกสักอย่างสองอย่าง จากนั้นอาจจะต่อขนมอีกหน่อยก็คงพอแล้ว

“แหมๆ ก็ไม่น้อยนะคุณ ผมนึกว่าคุณจะกินแค่โจ๊กอย่างเดียวเสียอีก”

ฆาเบียร์หน้าแดง สมัยก่อนเวลาเขาไปกินอาหารคนเดียว ถ้ากินอาหารฝรั่ง เขาอาจจะสั่งอาหารจานเดียวง่ายๆ อาจเป็นจานเนื้อและอาจจะเพิ่มซุป หรือสลัดอีกสักอย่าง ถ้าอาหารจีน ก็มักเป็นจานเดียวไปเลย หากตั้งแต่เริ่มกินข้าวกับเจ แม้จะกินข้าวคนเดียว เขาติดต้องสั่งข้าวพร้อมกับข้าวหนึ่งหรือสองอย่าง และอาจจะติดขนมด้วยอีกหน่อย ถ้าอาหารฝรั่ง เขาก็จะสั่งซุป สลัดหรือของกินเล่น พร้อมทั้งพาสต้าหรืออาหารจานเนื้อและตบท้ายด้วยขนมหวาน เขาสนุกกับการกินมากขึ้น เพราะเขามักจะกินโดยคิดว่าชิมไว้ก่อนเผื่อคราวหน้าจะมากินกับเจ หรือคิดว่าถ้าเจมากินด้วยเจจะสั่งอะไร และบางทีเขาก็สนุกกับการถ่ายรูปสิ่งที่เขากินและส่งไปยั่วน้ำลายเจ้าตัวเล็ก


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)


ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1


---- Late Night Noodle (ต่อ) ----



“นายเอาปิศาจหิวโหยมาปล่อยใส่ท้องฉันใช่ไหม เจนยุทธ?”

ฆาเบียร์บ่นเบาๆ เจทำหน้ากรุ้มกริ่มให้คนรัก

"แหม ที่ปล่อยไว้ในท้องคุณน่ะ อย่างอื่นต่างหาก ไม่ใช่ปิศาจหิวโหย"

ฆาเบียร์หน้าแดงก่ำ คืนนี้เจปล่อยบางอย่างไว้จนเต็มท้องของเขาจริงๆ เจยื่นมือไปลูบหน้าท้องคนรักที่นั่งข้างเขาแต่คนละมุมโต๊ะ​

“พุงยังแบน กล้ามยังเป็นลูกๆ อยู่น่า เครียดอะไรนักหนา เดี๋ยวผมกลับบ้านไป คุณก็กลับมากินน้อยอีกอยู่ดี ฉะนั้นวันนี้กินๆ ไปเหอะ เดี๋ยวต้องออกแรงเยอะอีกหลายวัน...”

เจชะงักเมื่อนึกได้ว่าตัวเองได้พูดอะไรที่ชวนเข้าใจผิดออกไปเสียแล้ว คนตัวโตทำตาเยิ้มใส่เขาทันที

“งั้นพรุ่งนี้ถึงคิวฉันได้ออกแรงมั่งใช่ไหม เจ งั้นฉันขอออกแรงให้สมกับที่กินเยอะแล้วกันนะ”

“งั้นพรุ่งนี้ผมขอเข้าแต่ร้านอาหารเบาๆ นะ คุณจะได้ไม่มีแรง”

เจพูดพลางคนก๋วยเตี๋ยวของเขาและดึงเส้นยาวยืดขึ้นมา

“เออ หมี่เส้นยาวจริงๆ ด้วยอ่ะ...อืมม์ อร่อยด้วย เส้นเหนียวนุ่มดีจังเลยคุณ”

เขาตัดเส้นหมี่ยาวๆ นั้นแบ่งใส่ถ้วยน้อยให้คนตัวโต ฆาเบียร์สูดเส้นเข้าปาก

“เออ อร่อยจริงๆ ด้วย เส้นมันเล็กคล้ายๆ กับเส้นหลานโจว แต่เนื้อสัมผัสต่างกันหน่อย น้ำซุปนี่ก็แปลกดีนะ ฉันเพิ่งเคยกินอาหารประเภทเส้นในซุปเผ็ดเปรี้ยวแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่อาหารทางส่านซีนี่เด่นด้านน้ำส้มสายชูอยู่แล้ว ก็ไม่แปลกที่จะมีซุปรสออกเปรี้ยวแบบนี้”

มณฑลส่านซีอันเป็นที่ตั้งของรัฐฉินในอดีตซึ่งมีซีอานเป็นจุดศูนย์กลางนั้นมีวัฒนธรรมการกินอาหารประเภทเส้นยาวนานกว่า 3,000 ปีแล้ว สำหรับคนจีนแล้ว เมื่อพูดถึงอาหารประเภทเส้นก็ต้องนึกถึงส่านซี มันเป็นแหล่งกำเนิดของเส้นทั้งหกแบบที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เชื่อกันว่ามาร์โค โปโล นายวาณิชและนักเดินทางชื่อดังชาวอิตาเลียนช่วงศตวรรษที่ 13 ก็นำเทคนิคการทำหมี่เหล่านี้กลับไปเผยแพร่ยังบ้านเกิดจนกลายเป็นพาสต้าหลากหลายชนิดที่เห็นกันในปัจจุบันนี้



เจตักซุปข้นหนักรสชาติเข้มข้นของเขาขึ้นดู ส่วนผสมในนั้นก็ไม่ต่างจากซุปเสฉวน มันมีทั้งเต้าหู้ เห็ดหูหนู เห็ดหอม หมูเส้น หน่อไม้ และที่เขาถูกใจที่สุดคือเลือดต้มที่ตัดมาเป็นเส้นเล็กบาง

“เครื่องเคียงนี่มาซะเยอะเลยนะ”

คนตัวโตแอบคีบปลิงทะเลที่หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ในถ้วยเครื่องเคียงของเจ

“เห้ย ยิ่งมีปลิงน้อยๆ อยู่”

เจโวย เขาเลือกเครื่องเคียงที่ดูคุ้มที่สุดเช่นหมู ไก่ กุ้งผัดใส่ปลิงทะเลในซอสเผ็ด ถึงจะมีปลิงมาไม่เยอะ แต่ก็ยังมีให้เห็น อีกอย่างที่เขาสั่งคือหมูทอดพริกเกลือ หมูส่วนเนื้อสันติดกระดูกขนาดย่อมกว่าหมูทอดดำรงค์นิดหน่อยชิ้นนั้นทอดมาจนเหลืองหอมคลุกเคล้าพริกเกลือ ฆาเบียร์ก็แอบคีบไปอีกชิ้นหนึ่งเช่นกัน

“เขามีเครื่องเคียงหลายอย่าง แต่ก็ต้องเลือกน่ะคุณ คราวที่แล้วผมสั่งเนื้อตุ๋นยาจีน มันก็อร่อยนะ แต่มาแค่สามชิ้นบางๆ ไม่คุ้มเลย แต่ไอ้เจ้าเอ็นตุ๋นนี่อร่อย”

เจชี้ๆ เครื่องเคียงจานนั้นจานนี้แล้วบรรยายให้ฆาเบียร์ฟัง



“...แล้วโจ๊กคุณเป็นไงมั่ง? โจ๊กดีๆ มีไม่กิน อย่างพวกโจ๊กเนื้อ โจ๊กปลา โจ๊กหมูพวกเนี้ย หรือคุณจะกินโจ๊กเป๋าฮื้อก็กินไปสิ ผมมีตังค์เลี้ยงคุณ จะกินทำไมโจ๊กโรยกังป๋วยเนี่ย?”

เจบ่นพึมพำพลางเนียนยกช้อนตักโจ๊กในถ้วยขึ้นมาชิม มันอร่อยก็จริง แต่เมียตัวโตของเขาสั่งแค่โจ๊กถ้วยน้อยๆ โรยเศษกังป๋วยเป็นเส้นๆ ถ้วยนี้ซึ่งราคาเพียง 28 ปาตากาส ทั้งที่ร้านนี้มีโจ๊กอย่างดีอย่างโจ๊กท้องปลา โจ๊กกุ้ง โจ๊กหอยสังข์และหอยเป๋าฮื้อ ฆาเบียร์ยกมือขึ้นขยี้ผมคนรักของเขา

“ไม่เป็นไรหรอก เจ ฉันอยากกินอะไรเบาๆ ง่ายๆ แบบนี้แหละ จะได้ชิมได้หลายๆ อย่าง อาหารที่นี่เยอะดีจริงๆ นะ”

เจพยักหน้า นอกจากหมี่สไตล์ส่านซีแล้ว ที่นี่ยังมีหมี่ไข่สไตล์กวางตุ้งแบบร้าน Wong Chi Kei แบบน้ำและแห้ง หมี่หลานโจวที่มีเครื่องแบบต่างๆ โจ๊กสารพัดแบบ เกี๊ยวน้ำและติ่มซำ ข้าวผัดและก๋วยเตี๋ยวผัด นอกจากนั้นยังมีอาหารพวกเรียกน้ำย่อยอย่างไก่แช่เหล้าแมงกะพรุน ลิ้นเป็ดเย็น พวกซุปอย่างหูฉลาม และอาหารจานหลักอีกหลายสิบชนิด เมื่อรวมของหวานแล้ว เจคิดว่าในเมนูเล่มนี้น่าจะมีอาหารนับร้อยชนิด



เจพลิกๆ ดูเมนูเล่มโตนั้นและชี้ให้ฆาเบียร์ดูว่าเขาเคยกินอะไรบ้าง

“ไอ้นี่ก็อร่อย คุณ เป็นหมูสับผัดผักกาดดองและเมล็ดสน ผมสั่งมาก็นึกว่ามันมาน้อยๆ ที่ไหนได้ มันมากับแป้งทอดคลุกงาก้อนเบ้อเริ่มสองก้อน...”

แป้งทอดนั้นเป็นก้อนยาวๆ ที่มีด้านในกลวง วิธีกินก็คือตักหมูสับผัดใส่ลงไปในแป้งแล้วกิน

“จานนี้มันมาตอนท้ายๆ แล้ว ผมกับพี่นพแทบคลานออกร้านเลยอ่ะ คุณ”

เจหัวเราะ เขาบอกว่าเขาใช้เวลากินอาหารในวันนั้นประมาณสองชั่วโมง ฆาเบียร์ส่ายหัวกับความกินดุของหนุ่มทั้งสองคน



“เอ้า นี่ ของที่คุณรีเควสต์”

เจนยุทธคีบไก่แช่เหล้าชิ้นสวยเพื่อส่งเข้าปากคนรัก แต่เขาชะงักแล้วเอากลับลงมาวางในจานตัวเอง

“เดี๋ยว เจ ทำอะไร?”

“อ้าว ก็จะเอาหนังออกให้คุณไง กลัวอ้วนไม่ใช่เหรอ?”

คนตัวโตรีบใช้ตะเกียบคีบไก่ชิ้นนั้นมาทันที

“นิดๆ หน่อยๆ ฉันกินได้นะ เจ”

เจแอบจิ๊ปากอย่างขัดใจ เขากะจะเนียนกินหนังไก่ตึงๆ ที่ชุ่มเหล้าจีนหอมกรุ่นชิ้นนั้นเสียหน่อย

“อืมม์ อื้อหือ เขาใส่เหล้ามาไม่หวงเลยนะ เจ ว้าว อร่อยมาก”

ฆาเบียร์ชมเปาะ ไก่แช่เหล้าของที่นี่หอมเหล้าจริงๆ ไม่ได้ใส่แค่วิญญาณเหล้า เจพยักหน้า จานนี้เป็นอีกหนึ่งจานโปรดที่เขาสั่งทุกครั้งที่มากิน



“อ๊ะ มาแล้วๆ นี่ครับ ฆาเบียร์ ห่านย่างกับหมูหัน”

เจหันไปรับอาหารจากพนักงาน อีกอย่างที่เขาสั่งคือย่างรวม ซึ่งเขาเลือกหมูหันหนังกรอบกรุบกับห่านย่างหนังตึงเปรี๊ยะ

“ว้า มันใต้หนังห่านหนาไปหน่อย เสียดายจัง คุณไม่ต้องกินก็ได้นะ ผมว่ามันค่อนข้างเลี่ยนอ่ะ”

คนตัวเล็กบ่นอย่างเสียดาย เขาเลือกชิ้นที่ดูมันน้อยส่งให้คนรัก ฆาเบียร์รับมากินแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย การปรุงรสทุกอย่างนั้นไม่มีที่ติ จะเสียก็แค่ชั้นไขมันหนาๆ ที่ยังคงอยู่ใต้ผิวหนัง เขาคีบหมูหันหนังกรอบขึ้นชิม แล้วก็ต้องยิ้มออกมา เขารู้ว่าเจต้องชอบมันแน่ๆ เขาคีบอีกชิ้นส่งเข้าปากคนรัก เจอ้าปากรับและเคี้ยวพร้อมกับทำหน้ามัึความสุข ฆาเบียร์ยิ้มตาม ใบหน้าเปี่ยมสุขของเจเวลากินอาหารนั้นคือใบหน้าที่เขาอยากเห็นทุกเมื่อเชื่อวัน

“เออ วันนี้เราไม่ได้สั่งผักสักอย่างเลย คุณโอเคไหม ฆาบี้?”

คนตัวเล็กที่เริ่มอิ่มแล้วถามขึ้น เขาพยายามจะสั่งจานผักในมื้ออาหารทุกมื้อให้เป็นนิสัย แต่ก็มักจะลืมทุกที

“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เช้าฉันตักสลัดผักกินเยอะหน่อยก็ได้ เจเหอะ กินผักบ้าง”

เจหน้ามุ่ย คนตัวโตบ่นเขาเรื่องกินผักอีกแล้ว

“กินจ้า กินๆ พรุ่งนี้คุณตักสลัดให้ผมจานโตๆ เลย เครมะ?”

ฆาเบียร์หัวเราะคนรักที่มีทีท่าเหวี่ยงเล็กๆ เขาดึงแก้มป่องๆ นั้นอย่างเอ็นดู เจตีมือใหญ่ข้างนั้นแล้วบ่นอุบอิบ ทั้งสองคนกินอาหารของตัวเองไป พร้อมพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ



“เจ ตีสองกว่าละ เรารีบกินหน่อยดีกว่า ไม่งั้นพรุ่งนี้ไม่ตื่นนะ”

ฆาเบียร์ดูนาฬิกาแล

“งั้นสั่งของหวานเลยดีกว่า ไม่งั้นจะช้า”

คนตัวโตทำตาปริบๆ เจยังจะกินของหวานอีก เจเปิดๆ ดูหน้าขนมและเครื่องดื่ม

“โห มีเหล้าเหมาไถด้วย? ผมเคยเห็นแต่ในหนังจีนกำลังภายใน”

เจอุทาน เหมาไถของที่นี่ขายขวดละสามพันปาตากาสเลยทีเดียว แต่เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นเกรดดีกว่าที่ขายตามร้านเหล้าทั่วไป

“อ๋อ เหมาไถ ฉันเคยกินครั้งสองครั้งมั้ง แรงเอาเรื่องเลยนะ ร้อนวาบลงท้องเลยแหละ แต่หอมมากจริงๆ”

ฆาเบียร์เล่าว่าจากที่เคยได้ยินมา เหมาไถนั้นโด่งดังในด้านความหอมรัญจวนใจของมัน มันเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวตะวันตกเมื่อปี 1915 ในการประกวดสุรานานาชาติครั้งหนึ่ง เหมาไถนั้นถูกบรรดากรรมการชาวตะวันตกเมินและไม่ยอมชิมเพราะขวดที่ดูเชยไร้ความสวยงามของมัน แต่ในที่สุดก็มีคนหัวใสแกล้งทำขวดตกแตก ว่ากันว่ากลิ่มที่หอมกำจายของมันเตะจมูกเหล่ากรรมการจนต้องกลับมาพิจารณากันใหม่ สุดท้ายมันก็ได้เหรียญทอง  1 ใน 3 เหรียญของงานนั้นไป



“เสียดาย ถ้ามากินเร็วกว่านี้ ผมจะยอมทุ่มทุนสั่งเลยอ่ะ”

เจพูดอย่างเสียดาย

“เราค่อยไปหาตามร้านเหล้าหรือในซุเปอร์ก็ได้นะ ฉันว่าราคาน่าจะไม่โหดขนาดนี้...เอ้า แล้วตกลงจะกินขนมอะไร ฉันเลือกของฉันได้แล้วนะ”

คนตัวโตที่ชะโงกหน้ามาดูเมนูด้วยถาม

“อ้าว ตกลงคุณจะกินด้วยเหรอ? ไหวเหรอ?”

“กินสิ”

คนตัวโตตอบหน้าตาเฉย จากนั้นหันไปสั่งพนักงาน เขาสั่งเต้าหู้เย็นราดน้ำตาลดำและผงถั่ว ส่วนเจสั่งบัวลอยในน้ำเชื่อมดอกหอมหมื่นลี้และเหล้าข้าว พวกเขานั่งรอไม่นานขนมก็มาเสิร์ฟ เต้าหู้ของฆาเบียร์เป็นเต้าหู้อ่อนแช่เย็นหน้าตาคล้ายๆ เต้าฮวยในถ้วย มันมาพร้อมกับเครื่องคือผงถั่วเหลืองและน้ำเชื่อมหน้าตาเหมือนน้ำอ้อย ส่วนของเจเป็นบัวลอยหน้าตาเหมือนบัวลอยงาดำ แต่ไม่ได้มีไส้ น้ำของมันหอมแปลกๆ และมีข้าวหมากเป็นเม็ดๆ ลอยมาด้วย

“แปลกดีอ่ะ จะว่าอร่อยก็อร่อย ไม่อร่อยก็ไม่อร่อย”

เจหัวเราะเบาๆ รสชาติของมันนั้นบอกไม่ถูกเลยทีเดียว เขารีบกินมันจนหมดและแอบไปตักเต้าหู้เย็นของฆาเบียร์มากินด้วย รสชาติละมุนละไมและหอมถั่วเหลืองของเต้าหู้และรสหวานหอมของน้ำอ้อยทำให้เจอดยิ้มไม่ได้


] (ftp://www.picz.in.th/images/2018/02/23/NoodleCongee-L.jpg[/img)


“โอย อิ่มอ่ะ กะว่าจะกินเบาๆ ดันยัดซะอิ่มจนได้”

เจบ่นเบาๆ พวกเขากำลังเดินออกจากร้าน ฆาเบียร์โน้มหัวคนรักเข้ามาชนอกเขาเบาๆ

“นายน่ะ ยั้งเป็นซะที่ไหนล่ะ สั่งยั้งๆ หน่อยเถอะเรา นี่จะนอนไหวไหม?”

“ได้อยู่ๆ ไม่ต้องห่วงน่า”

คนตัวเล็กดึงมือเมียตัวโตของเขามาพาดบ่าและให้ทิ้งน้ำหนักมาบนไหล่ของเขา ฆาเบียร์ก้มลงมองเสี้ยวหน้าของคนรักอย่างซาบซึ้งใจ เจคงกลัวว่าเขาจะยังมีอาการอ่อนเพลียและเจ็บเนื้อตัวอยู่

“ขอบใจนะ เจ”

เขากระซิบเบาๆ

“อื้อ แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมเองก็ทำเกินไป ก็ต้องรับผิดชอบผลการกระทำของตัวเอง”

เจหันมายิ้มหวานให้คนรัก ฆาเบียร์อดไม่ได้ต้องจุ๊บเบาๆ ที่แก้มแดงๆ นั้นไปทีหนึ่ง เจหน้าแดงเล็กน้อยแต่ก็หันกลับมาจุ๊บเบาๆ ที่ปากคนตัวโต เวลานี้คนไม่ได้พลุกกล่านเท่าตอนกลางวัน เขาจึงยอมแสดงความรักเล็กๆ แม้จะยังอยู่บนบันไดเลื่อนก็ตาม



พวกเขาทั้งสองเรียกแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมและกลับถึงห้องเอาเกือบตีสาม

“เจ...”

“หือ อะไรเหรอครับ เมีย?”

เจนยุทธที่นอนซุกหน้าอยู่บนอกกว้างของเมียตัวโตของเขาเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อได้ยินน้ำเสียงจริงจังของคนรัก

อ้ายฮักเจนะ รู้ใช่ไหม?”

เจยิ้มหวานให้คนตัวโตของเขาและจุ๊บเบาๆ ที่ปลายคางที่เริ่มมีเคราขึ้นเขียวนั้น

“จ้า รู้ Te quiero tambien...นี่บอกรักผมทุกวันนี่ไม่เบื่อเหรอ?”

เจขยับตัวขึ้นไปนอนร่วมหมอนกับคนรัก เขาพลิกตัวนอนตะแคงและจ้องตาคู่งามของฆาเบียร์ซึ่งก็พลิกกายมานอนตะแคงจ้องหน้าเขาอยู่เช่นกัน

“ไม่เบื่อหรอก mi alma ให้ฉันบอกรักนายทั้งวันทุกวันเลยก็ยังได้ ว่าแต่เจเถอะ เบื่อฟังฉันแล้วเหรอ?”

คนตัวโตทำเสียงตัดพ้อ เจหัวเราะเบาๆ

“เบื่อละ”

ฆาเบียร์ทำหน้าง้ำ แต่ในใจเขารู้ว่าคนตัวเล็กของแค่พูดเล่น

“เบื่อใช่ไหม เบื่อจริงๆ ใช่ไหม?”

ฆาเบียร์ดึงตัวเจเข้ามาแล้วจั๊กกะจี้เอวและรักแร้คนรักด้วยความมันเขี้ยว เจดิ้นไปดิ้นมาและพยายามจั๊กกะจี้คืนบ้าง พวกเขานัวเนียกันไปมาและสุดท้ายก็จบลงด้วยการประทับจูบเนิ่นนาน



"คุณจำไม่ได้จริงๆ เหรอ ว่าวันนี้วันอะไร"

เจกระซิบเบาๆ ที่หูของคนรักที่ยังคงนอนหลับอยู่ในอ้อมอก เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่กว้างของคนที่นอนหันหลังเป็นหมอนข้างให้เขากอดไว้ เจจุมพิตเบาๆ ที่ต้นคอของฆาบี้และลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ เขาไม่ทันเห็นรอยยิ้มน้อยๆ บนริมฝีปากบางของคนตัวโต ฆาเบียร์รู้ดีว่าวันนี้ที่เจว่าคือวันอะไร แต่เขาจะปล่อยให้เจ้าตัวยุ่งต้องรออีกสักหน่อย



"อ้าว ตื่นแล้วเหรอ คุณ? งั้นจะอาบน้ำเลยไหม?"

เจที่เพิ่งออกห้องน้ำมาทักคนรักที่ลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจบนเตียงนุ่ม

"กี่โมงแล้วน่ะ?"

"เก้าโมงกว่าแล้วครับ เดี๋ยวอาบน้ำเร็วๆ แล้วไปกินข้าวกันดีกว่า"

เจดึงคนตัวโตให้ลุกแต่กลับโดนดึงจนล้มเข้าไปในอ้อมอกกว้างแทน ฆาเบียร์จุ๊บคนรักเร็วๆ ก่อนจะปล่อยให้เจลุกขึ้น เขาลุกขึ้นตามและเดินไปเปิดม่านทึบเพื่อปล่อยให้แสงตะวันยามสายส่องลอดม่านบางที่ฉลุลายไว้อย่างสวยงาม เจมองร่างเปลือยงามสมบูรณ์ของคนรักอย่างหมั่นไส้ ในวัย 40 กล้ามเนื้อของฆาเบียร์ยังแน่นและสวยงาม คนตัวโตหันกลับมายิ้มให้คนรักที่จ้องเขาเป๋ง เขาเดินเข้ามาใกล้จนกระทั่งอกของทั้งสองเกือบแนบชิดกัน เจโอบรอบแผ่นหลังแข็งแรงนั้น ไออุ่นจากร่างคนนั้นทำให้เขารู้สึกสบายและผ่อนคลายดีจริงๆ ฆาเบียร์โอบรัดร่างเพรียวของคนรัก ผิวกายของเจนั้นเนียนนุ่มแบบคนเอเชียและมันชวนให้เขาลูบไล้ได้อย่างไม่เบื่อหน่าย



"เดี๋ยวๆๆ อย่าซนสิ ฆาบี้"

เจจับมือใหญ่ที่เริ่มลูบไล้ตามเนื้อตัวของเขา

"ไม่ได้ๆ เรามีนัดกินข้าวเช้ากันนะ"

คนตัวโตทำหน้ามุ่ย เขาอยากใช้เวลานัวเนียกับคนตัวเล็กอีกสักหน่อย

"โอเคๆ ไปอาบน้ำกัน เมื่อกี้คุณเพเทรลลี่ก็โทรมาหาฉันแล้ว เรานัดกันไว้ประมาณสิบโมง...เอ งั้นเราก็มีเวลาประมาณชั่วโมงนึงสินะ"

ฆาเบียร์ส่งสายตาเว้าวอน เจถอนหายใจ เขาดึงมือคนรักให้เดินตามเขาเข้าห้องน้ำไป

เจเปิดน้ำจากฝักบัวปล่อยให้สายน้ำสาดต้องร่างเขาทั้งคู่ เขาเทสบู่เหลวใส่ใยขัดตัวและทำฟอง จากนั้นค่อยๆ ลูบไล้มันไปตามเนื้อตัวหนั่นแน่นของฆาเบียร์ คนตัวโตยืนยิ้มปล่อยให้เจจัดการกับร่างกายเขา เขาสูดปากน้อยๆ เมื่อเจลากใยขัดตัวผ่านอกกว้าง ตุ่มไตสีน้ำตาลอ่อนทั้งสองของเขายังบวมแดงน้อยๆ และมันยังคงไวต่อสัมผัสของคนรัก

"ชอบล่ะสิ"

เจหัวเราะน้อยๆ เขาถูใยขัดตัววนรอบๆ ส่วนไวต่อสัมผัสนั้น ก่อนจะลากผ่านและคลึงเบาๆ ฆาเบียร์หลับตาพริ้มปล่อยเจให้ทำตามใจ เขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือนิ่มรุกรานลงเบื้องล่างและเริ่มนวดเฟ้นส่วนที่เริ่มแข็งเกร็งขึ้นของเขา



"เจ จะทำเหรอ?"

เขากระซิบเสียงกระเส่า คนตัวเล็กส่ายหน้าน้อยๆ และดึงมือเขาให้มาสัมผัสกลางกายของตัวเองบ้าง ฆาเบียร์ขยับมือเบาๆ เจครางแผ่วๆ เมื่อนิ้วใหญ่ของฆาเบียร์สะกิดไล้ที่ส่วนปลายอันแสนบอบบาง เจกอบกุมแก่นกายของฆาเบียร์และเร่งรูดไล้ คนตัวโตโน้มคอคนรักมาป้อนจูบหนักหน่วงให้

"อา เยี่ยมมากครับ เสียวมากครับเมีย"

เจครางกระเส่า เขาใกล้ถึงจุดแล้ว เจนยุทธเบียดร่างเข้าใกล้ร่างกำยำของคนรักโดยไม่รู้ตัว ฆาเบียร์กระตุกมือหนักๆ อีกไม่กี่ครั้งเจก็ฟุบหน้าลงกับไหล่เขา

"คุณยังไม่เสร็จเลยอ่ะ"

เจบ่นอุบอิบ เมื่อกี้เขาเสียวมากจนเผลอหยุดมือไป

"ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันทำเองก็ได้"

คนรักของเจจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากเนียน เจนยุทธส่ายหน้าและทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้า ฆาเบียร์ซี๊ดปากลั่นเมื่อริมฝีปากนิ่มๆ ครอบลงบนแก่นกายแดงก่ำของเขา ลิ้นร้อนๆ นั้นทำให้เขาแทบคลั่ง

"อา เจ เยี่ยม"

ฆาเบียร์จับหัวคนตัวเล็กและดันสะโพกถี่ๆ อย่างลืมตัว เจแทบสำลักแต่เขาก็พยายามตอบรับแก่นกายของคนรักให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาห่อปากแน่นและดูดกลืนสิ่งที่ฆาเบียร์ป้อนให้เขา

"ซี้ด...ดีจ้ะ ดูดหนักๆ เลยที่รัก"

ฆาเบียร์ครางอย่างลืมตัว เขาหลุดคำหยาบโลนออกมาอีกหลายคำทำให้เจรู้ว่าคนรักของเขาใกล้ถึงจุดแล้ว เจตวัดลิ้นไล้ส่วนปลายและรอยหยัก เขาพลิ้วลิ้นเขี่ยดุนรูตรงปลายจนรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่ฉีดเข้าในปากพร้อมกับการกระแทกครั้งสุดท้าย



"เจ เป็นอะไรไหม ฉันขอโทษจริงๆ!"

ฆาเบียร์อุทานและรีบก้มตัวลงไปประคองคนรักที่สำลักจนหน้าแดง เจไอค่อกแค่ก เขาตบแรงๆ ที่สะโพกหนั่นแน่นเพื่อทำโทษ แล้วยันตัวขึ้นยืนหอบอย่างเหนื่อยอ่อน

“โอย คุณนี่นะ อย่าเผลอทำงี้บ่อยนักสิ ผมจะตายจริงๆ เข้าซักวัน อ้าว เวร…”

เจถอนหายใจและดึงตัวคนที่ทำท่าจะเป็นน้ำหูน้ำตาเข้ามาแนบอก

“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะ ผมพูดเปรียบเทียบเฉยๆ แค่นี้สบายมาก ไม่เป็นไรหรอก”

เจลูบหลังร่างใหญ่กำยำที่อยู่ในอ้อมอกเบาๆ เขาหอมแก้มตอบที่เริ่มมีเคราขึ้นเขียว

“เมียผมนี่ขี้แยจริงๆ นะ หืมม์? ว่าไง?”

เขาดันร่างกำยำนั้นออกและจ้องลึกเข้าไปในตาคู่งามที่มีน้ำตาคลอน้อยๆ คนตัวโตหลบตาด้วยใบหน้าแดงซ่าน เจขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าช่วงนี้เมียตัวโตของเขาอ่อนไหวกว่าปกติ

“เดี๋ยว เมื่อวานทั้งวันผมยังไม่เห็นคุณกินยาเลย ลืมหรือเปล่า”

คนตัวโตอ้ำอึ้ง เจนยุทธตีหน้ายักษ์ใส่เมียตัวโตของเขา

“มิน่าล่ะถึงได้เป็นแบบนี้ วันนี้ห้ามลืมนะคุณ อย่ากินๆ หยุดๆ สิ มันไม่ดีนะ ผมรู้ว่ามันอาจทำให้คุณมึนๆ บ้าง แต่ก็อย่าหยุดเองโดยไม่ปรึกษาหมอสิ”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจหยุด แต่ฉันลืม เตรียมยามาไม่พอน่ะ”

“อ้าว แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้ งั้นเดี๋ยววันนี้เช็คเอาท์แล้วเราข้ามกลับไปเอายาที่ฮ่องกงก็ได้ ไปกลับไม่น่าเกินสามสีี่ชั่วโมงหรอก”

เจเกาหัว เขาเปิดน้ำฝักบัวเพื่อชำระล้างกายเขาทั้งสอง ฆาเบียร์มองใบหน้าที่มีแววเป็นห่วงของคนรักด้วยความรู้สึกตื้นตัน เขาจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากเนียน

“ไม่เป็นไรหรอก เจ เดี๋ยวบ่ายๆ เมลิน่าก็เอายามาให้ฉันแล้ว”

“หืมม์? ไหนว่าสองคนนั้นจะมาพรุ่งนี้ไง?”

เจขมวดคิ้วและจ้องหน้าคนรัก

“เอ่อ ใช่ แต่พอรู้ตัวว่ายาไม่พอ ฉันก็เลยบอกให้เขามาเร็วขึ้น”

คนตัวโตอ้อมแอ้มตอบ เจพยักหน้าตอบรับ เขาดึงผ้าเช็ดตัวมาเช็ดกายให้คนรักก่อนจะเช็ดให้ตัวเอง



"มา นั่งนี่ เดี๋ยวผมเป่าผมให้"

เจจับฆาเบียร์นั่งที่โต๊ะทำงานและจัดการใช้ไดร์เป่าผมยาวสลวยปรกคอของคนตัวโตจนแห้ง เขาถามฆาเบียร์ว่าจะให้จัดทรงแบบไหนและทำให้จนเรียบร้อย เขาก้มลงหอมเรือนผมสีน้ำตาลเป็นเงาอย่างหลงใหล ฆาเบียร์ดึงคนตัวเล็กให้มานั่งตักและป้อนจูบหวานๆ ให้ ทั้งสองใช้เวลาแสดงความรักกันครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นแต่งตัว

"โห แต่งซะเนี้ยบเชียว ผมต้องแต่งตัวดีด้วยไหมเนี่ย?"

วันนี้เมียตัวโตของเจสลัดคราบลุยๆ สบายๆ ทิ้งและกลับมาใส่เสื้อผ้าที่ดูเนี้ยบขึ้น เขาใส่กางเกงชิโน่สีกากีและเสื้อเชิร์ตสีกรมท่าเข้ารูปและรองเท้า loafer หนังสีดำของปราด้า เจก้มลงมองตัวเองแล้วถอนหายใจ เขาเดินไปรื้อกระเป๋าและเปลี่ยนเสื้อยืดออกแล้วใส่เสื้อเชิร์ตแขนยาวสีขาวแทนโดยยัดชายเสื้อใส่ในกางเกงไว้เรียบร้อย ส่วนท่อนล่างเขายังคงใส่ยีนส์เข้ารูปสีอินดิโกเหมือนเดิม เขาใส่เสื้อกั๊กผ้าวูลบางสีกรมท่าที่มีติดมาด้วยทับข้างนอกเพื่อให้เข้ากับฆาเบียร์ จากนั้นเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้า loafer หนังที่เตรียมมาใส่กับชุดสุภาพ



"เหมือนเด็กนักเรียนอีกแล้วนะเจ นี่ถ้าใส่กางเกงผ้าล่ะใช่เลย"

ฆาเบียร์บ่นเบาๆ

"ไม่ดีเหรอ จะได้เหมือนคุณควงเด็กไง"

คนที่ปกติไม่ชอบโดนเรียกว่าเด็กยิ้มกริ่ม เขาควงแขนเมียตัวโตแล้วซบหน้าลงกับไหล่

"ป๋าครับ วันนี้ผมโดดเรียนมาอยู่กับป๋าทั้งวันเลยน้า ป๋าจะพาผมไปเที่ยวไหน?"

เจหัวเราะคิก เขาพยายามทำท่าทางเหมือนเด็กหนุ่ม ฆาเบียร์โคลงหัวมองคนขี้เล่นที่พยายามสวมบทบาทอย่างเอาเป็นเอาตาย เจใช้มือยีๆ ผมตัวเองให้ลงมาปรกหน้าผากและทำหน้าแบ๊ว



"Where do you wanna go, kiddo? Papi will take you anywhere you want."

"แล้วหนูอยากไปไหนล่ะ? ป๋าจะพาหนูไปทุกที่ๆ ต้องการเลย"


ป๋าฆาบี้หอมแก้ม 'เด็ก' ของเขาฟอดใหญ่ เจหัวเราะคิกเมื่อเห็นทีท่าของ papi ของเขา เขาเรียกฆาเบียร์ด้วยคำที่แปลว่า "ป๋า" ในภาษาสเปน

"งั้นตอนนี้ขอกินข้าวเช้าก่อนนะครับป๋า ผมหิวจะเป็นลมแล้ว"

ฆาเบียร์หัวเราะก๊ากเมื่อได้ยินเสียงลูกๆ ในท้องของเจร้องลั่น เขาโอบไหล่คนรักและพากันเดินออกไปยังคลับเลาจ์เพื่อกินอาหารเช้า



-------------------------------------------

ชวนกันกินดึกๆ อีกแล้ว พุงออกแน่สองหนุ่ม

ร้านนี้แนะนำค่ะ Noodle & Congee ที่ชั้น U2 โรงแรม Grand Lisboa มีอาหารให้เลือกกินเยอะและราคาใช้ได้ เด่นที่หมี่จีนที่หากินได้ยากอย่างที่บรรยายไปในเรื่องค่ะ

เว็บของร้านค่ะ https://goo.gl/Aa2Jtw

ลองเปิดดูเมนูได้ค่ะ มีที่น่าสนใจเยอะมาก แต่ครั้งสุดท้ายที่คนเขียนไปคือปี 2015 ก่อนที่จะปิดปรับปรุงและเปิดใหม่ ฉะนั้นรูปร้านและอาหารนั้นจะเป็นรูปของช่วงก่อนปรับปรุง แต่คิดว่าคงไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ ในรูปจะเห็นคนเทชา เป็นชากังฟูค่ะ ถ้าจำไม่ผิด ถ้าสั่งชา 4 คนขึ้นไป เขาก็จะมาเสิร์ฟพร้อมลีลากังฟู

ร้านอาหารแบบที่เปิด 24 ชั่วโมงในโรงแรมคาสิโนพวกนี้ เป็นร้านที่คนมักมองข้าม แต่ที่จริงอาหารที่เสิร์ฟในนั้นมักจะอร่อยและราคาไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ในเมืองค่ะ

ก่อนขึ้นไปกินข้าวก็แวะชมสมบัติลุงสแตนลี่ย์ โฮได้ที่ล็อบบี้โรงแรมลิสบัวและแกรนด์ลิสบัวได้นะคะ

https://goo.gl/VnXpnj

รูปที่คนเขียนลงมีของที่ยังไม่ได้พูดถึงในเรื่องคือเพชรเม็ดใหญ่บึ้มที่ชื่อ The Star of Stanley Ho ได้นะคะ มันเป็นเพชรไร้ตำหนิ D-colour ทรง Cushion ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ณ ตอนที่มีการซื้อขาย คือปี 2007) คือหนัก 218 กะรัตค่ะ

The Star of Stanley Ho https://goo.gl/9fhiaA

วิธีทำ Yi Gen Mian
https://www.youtube.com/watch?v=uLYhCjKHIQQ

วิธีทำ Dao Xiao Mian
https://www.youtube.com/watch?v=RVk39buLg_U

วิธีทำ Lan Zhou La Mian ข้ามไปดูตอนดึงหมี่ซักนาทีที่ 5:30 นะคะ
https://www.youtube.com/watch?v=PHoQN9vQwHE





ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- เซอไพรส์! ----​




“เฮ้ มาร์ติเนซ ทางนี้”

โดเมนิโก้โบกมือเรียกฆาเบียร์หยอยๆ ที่มุมหนึ่งของเลาจ์ ทั้งคู่เดินเข้าไปหา เขาทักทายฆาบี้และเจด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“มาคนเดียวเหรอครับคุณเพเทรลลี่?”

ฆาเบียร์ถาม ใจเขานึกห่วงสวัสดิภาพของนักบัลเลต์หนุ่ม หนุ่มอิตาเลียนหัวเราะเบาๆ เขาสังเกตสีหน้าของคนตัวโตออก

“เดี๋ยวเฟลิเป้เขาตามมาน่ะ เขาเพิ่งอาบน้ำ เดี๋ยวก็คงมาแล้ว พวกนายนั่งก่อนสิ”

“เมื่อคืนนอนสบายไหมครับ คุณเพเทรลลี่?”

ฆาเบียร์ถามยิ้มๆ หนุ่มอิตาเลียนหัวเราะร่า

“ก็นอนสบายอยู่ สรุปว่าเมื่อคืนเรานอนคุยกันจนหลับไปเลยนะ ฉันไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลย มันรู้สึกดีจริงๆ”

ดวงตาของหนุ่มอิตาเลียนฉายแววแห่งความสุขเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมา เขาทั้งสองกลับมาถึงห้อง แต่แทนที่จะโดดเข้าหากันและร่วมรักอย่างเผ็ดร้อนเหมือนที่เขานึกภาพไว้ในตอนแรก เฟลิเป้กลับดึงเขาให้นั่งลงพูดคุยกันอย่างจริงจัง เขาถามให้แน่ใจถึงสิ่งที่เพเทรลลี่พูดออกไปในห้องของเจและฆาเบียร์ จากนั้นก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องอื่นๆ ที่พวกเขาไม่เคยได้คุยกันมาก่อน จากห้องนั่งเล่น พวกเขาอาบน้ำและขึ้นไปนอนคุยกันต่อบนเตียงและหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน พวกเขาตื่นเช้ามาและร่วมรักกันอย่างนุ่มนวลครั้งหนึ่งก่อนที่โดเมนิโก้จะปล่อยให้คนรักนอนต่อ ส่วนเขาลุกไปอาบน้ำและมารอเจอสองหนุ่มที่เลาจ์



“ฉันเพิ่งรู้นะว่าเฟลิเป้เขามาจากบิลเบา มีพี่น้องสองคน แม่เขาเปิดร้านทำผม รู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว ฉันไม่เคยรู้เลย เชื่อไหมล่ะ?…”

ฆาเบียร์นั่งยิ้มมองหน้าอันเปี่ยมสุขของโดเมนิโก้ คนที่เคยสนุกกับเขาคนนี้ดูจะตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่นี้มาก

“...แล้วนายรู้ไหมว่าที่ต้นขาด้านในของเฟลิเป้มีปานแดงอยู่ด้วย ฉันก็เพิ่งสังเกตนี่แหละ โอ๊ย”

หนุ่มเจ้าสำราญร้องลั่นเมื่อถูกทุบเบาๆ เข้าที่หลัง

“ของแบบนี้ไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟังก็ได้ครับ ดอม”

โดเมนิโก้หันไปทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยใส่คนงามของเขาและดึงให้นั่งลงข้างๆ เจหันมายิ้มให้ฆาบี้เมื่อได้ยินเฟลิเป้เรียกโดเมนิโก้ว่าดอม

“อรุณสวัสดิ์ครับ เจ ฆาเบียร์”

หนุ่มหน้าสวยทักทายคนทั้งสอง ทั้งคู่ทักตอบ เฟลิเป้ยิ้มอายๆ ให้คนทั้งสอง ก่อนจะขอตัวลุกไปตักอาหาร ฆาเบียร์จะลุกไปบ้างแต่เจดันเขาให้นั่งกลับลงไป

“เดี๋ยวผมจัดการให้ คุณนั่งพักไปเถอะ ปวดหลังอยู่ไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวคุณสั่งออมเล็ตต์ชีสกับไข่กวนให้ผมหน่อยแล้วกัน เอาเบค่อนเยอะๆ ด้วย”

ฆาเบียร์รับคำและมองตามคนรัก เขาหันหน้ากลับมาก็ต้องหน้าร้อนวาบเมื่อเห็นหนุ่มอิตาเลียนยิ้มกริ่มจ้องหน้าเขา

“อะไรครับ คุณเพเทรลลี่? อะไรติดหน้าผมหรือไง”

คนตัวโตของเจทำเสียงเข้มแก้เขิน

“เปล๊า ฉันแค่คิดว่าถึงขนาดเจต้องให้นายนั่งพักน่ะ แสดงว่าเมื่อคืนพวกนายดูท่าจะหนักกว่าพวกเราอีกนะ”

หนุ่มอิตาเลียนขี้เล่นแซวอดีตคู่ขาของเขา

“แต่ฉันแอบสงสัยนิดนึงนะ มาร์ติเนซ ดูจากรอยที่คอกับอกนายแล้ว…”

ฆาเบียร์รีบรวบคอเสื้อเข้าด้วยกันทันที

“…จากประสบการณ์ตรงถ้าฟัดกันหนักขนาดนี้ แล้วนายถึงขั้นปวดหลังปวดเอวขนาดนี้ เจก็น่าจะนอนซมลุกไม่ขึ้นแล้วสิ ยิ่งตัวเล็กๆ แบบนี้ ควรจะต้องลุกมากินข้าวไม่ไหวแล้ว”

คนที่เคยลุกไม่ขึ้นเพราะหนุ่มละตินคนนี้มาแล้วทำหน้าครุ่นคิดน้อยๆ

“เว้นแต่ว่า เจจะไม่ได้เป็นฝ่าย…”

หนุ่มอิตาเลียนก้มหน้าก้มตาพึมพำเบาๆ แล้วก็ลืมตาโพลง เขาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวโตที่นั่งหน้าแดงก่ำ

“เฮ้ย ไม่จริงใช่ไหม? นายยอมจริงๆ เหรอมาร์ติเนซ!”

“ชู่ว์ เบาๆ สิครับ”

ฆาเบียร์รีบจุ๊ปากใส่คนที่เผลอเอ็ดเสียงดังขึ้นมา หนุ่มอิตาเลียนลดเสียงลงจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

“นายยอมเป็นฝ่ายโดนกอดจริงๆ เหรอ?”

ฆาเบียร์พยักหน้าน้อยๆ



“I knew it!!”

“กรูว่าแล้ว!!”


หนุ่มละตินส่ายหัวดูเพเทรลลี่ทำท่าเต้นแร้งเต้นกาด้วยความสะใจอยู่คนเดียว คู่ค้าของเขาคนนี้บางทีก็ชอบทำท่าทางเหมือนเด็ก

“ฉันตะหงิดๆ ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ที่เจบอกว่าให้พวกเราอ้าขานอนเรียงหน้ากันสามคนแล้วเขาจะทำให้พวกเราเองน่ะ แต่ฉันก็นึกว่าเขาพูดเพราะโกรธเฉยๆ”

“…แล้วเป็นไง มาอยู่ฝั่งนี้บ้าง มันไหม?”

ฆาเบียร์ผลักหน้าหล่อๆ ที่ยื่นมากระซิบกระซาบกับเขา เพเทรลลี่หัวเราะร่วน

“ฉันชวนนายหลายรอบแล้วบอกให้สลับกันบ้าง แล้วเป็นไงล่ะ ดีสุดๆ เลยใช่ไหม?”

ฆาบี้หน้าแดงก่ำ เขาไม่ยอมบอกเด็ดขาดว่าเขาเสพติดบทรักของเจแค่ไหน

“คุณนี่ลามกไม่เปลี่ยนเลยนะ!”

คนตัวโตบ่นพึมพำ

“นี่ครับ เมีย สลัดกับโคลด์คัทของคุณ…แล้วใครลามกอะไรเหรอครับ?”

เจวางจานลงตรงหน้าของคนรักและทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เมียตัวโตของเขา

“นั่นสิ คุณไปทำอะไรให้ฆาเบียร์เคืองอีกล่ะครับ ดอม?”

เฟลิเป้ลงนั่ง เขาเรียกพนักงานและขอสปาร์คลิ่งไวน์มา 4 แก้ว โดเมนิโกรีบกระซิบรายงานเรื่องที่เขาเพิ่งรู้มาให้คนรักของเขาฟัง หนุ่มนักบัลเลต์ทำตาโต

“ไม่จริงน่า!! โห เจ พี่เป็นไอดอลของผมเลยนะ”

ฆาเบียร์มองอดีตคู่ขาที่ไปทันสนิทจนเรียกคนรักของเขาว่า bro ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้อย่างจนปัญญา เจทำหน้างงๆ เมื่อเฟลิเป้และโดเมนิโก้ยกแก้วไวน์ที่เพิ่งได้มาขึ้นขอชนกับแก้วของเขา



“ตกลงมันเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย?”

เจเกาหัวด้วยความงุนงง คนตัวโตถอนหายใจและเล่าให้เจฟังเบาๆ เจนยุทธหน้าแดงแป๊ดแล้วลนลานปฏิเสธ

“เห้ย ผมก็ไม่ได้เป็นฝ่ายทำทุกครั้งหรอกครับ…”

ยิ่งพูด เผือกสองหัวที่นั่งตรงข้ามก็ยิ่งทำหน้าอยากรู้อยากเห็น

“เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเป็นเหมือนคุณครับ คุณเพเทรลลี่ และผมก็มีความสุขกับสิ่งที่เลือกแล้ว”

คนตัวโตตัดบท หนุ่มอิตาเลียนมองหน้าคนตัวโตของเจแล้วคลี่ยิ้มให้

“มีความสุขก็ดีแล้ว มาร์ติเนซ ฉันยินดีกับนายด้วยจริงๆ นายด้วยนะ เจ เอ็นดูฆาเบียร์ด้วยล่ะ ถึงจะตัวโตหุ่นฟิตแค่ไหน แต่พวกเราก็เริ่มแก่กันแล้ว…”

“เดี๋ยวๆ ใครแก่กันครับ!”

ฆาเบียร์ชักสีหน้า ท่าทีของเขาเรียกเสียงหัวเราะให้อีกสามคนได้ไม่น้อย พวกเขาทั้งสี่คนกินดื่มไปคุยไป กระเซ้าเย้าแหย่หยอกล้อกันเรื่องอดีตและชีวิตรักใหม่ของทั้งสองคู่ ฆาเบียร์ลอบมองคู่รักที่นั่งตรงข้ามพวกเขาและยิ้มน้อยๆ โดเมนิโก้มีท่าทางเอาอกเอาใจคนรักหมาดๆ ของเขากว่าที่เคย ถึงจะแสดงออกถึงเนื้อถึงตัวกันเหมือนตอนที่พวกเขายังเป็นแค่คู่นอนกัน แต่ในวันนี้ทุกสัมผัสของหนุ่มอิตาเลียนดูแฝงไปด้วยความเกรงใจและให้เกียรติคนรัก เฟลิเป้เองก็ดูมีความสุข ทุกรอยยิ้ม ทุกการหัวเราะ ทุกการแสดงออกของเขาดูเป็นธรรมชาติและไม่ได้แฝงด้วยจริตจะก้านเพื่อเอาใจอีกฝ่ายเหมือนเมื่อคืนหรือเมื่อตอนยังอยู่กับเขา



“เดี๋ยวพวกนายเช็คเอาท์เที่ยงใช่ไหม?”

โดเมนิโกดูเวลา ตอนนี้สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว

“ผมได้เลทเช็คเอาท์ถึงบ่ายสองครับ แต่เห็นฆาบี้ว่าเขานัดรถมารับก่อนหน้านั้น ก็ แล้วแต่เขาว่าครับ”

“งั้นพวกฉันควรปล่อยพวกนายไปเก็บข้าวของ เสียดาย พวกเราน่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันนานกว่านี้”

หนุ่มอิตาเลียนพูด

“แล้วเครื่องพวกคุณออกกี่โมงครับ?”

“อืมม์ ฉันยืมเครื่อง G650 ของพ่อมาน่ะ ออกกี่โมงก็ได้ ก็คงแล้วแต่รายนี้เขา”

คู่ค้าของฆาเบียร์ยกมือของคนรักที่เขาเกาะกุมไว้ขึ้นจูบเบาๆ เฟลิเป้หน้าแดงน้อยๆ เขาสัญญากับโดเมนิโกไว้ว่าจะให้หนุ่มอิตาเลียนคนนี้ได้กิน “ของหวาน” หลังอาหารเช้า



“งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ แล้วผมจะส่งเอกสารให้คุณตามที่นัดกันไว้นะครับ คุณเพเทรลลี่”

ฆาเบียร์ดึงคนรักของเขาให้ลุกขึ้น หนุ่มอิตาเลียนและนักบัลเลต์หนุ่มลุกขึ้นตาม

“พวกฉันก็จะไปด้วยแล้วเหมือนกัน”

“เดินทางปลอดภัยนะครับ และยินดีที่ได้รู้จักครับ”

เจยื่นมือไปสัมผัสกับโดเมนิโก และต่อด้วยเฟลิเป้ หากหนุ่มหน้าสวยดึงเจเข้าไปกอด

“ขอบคุณจริงๆ ครับ พี่เจ”

หนุ่มหน้าสวยกระซิบเบาๆ ที่หูของคนที่ทำให้เขาได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากความรู้สึกที่มีต่อฆาเบียร์ เจตบหลังคนในอดีตของคนรักเบาๆ

“ถ้ามาเมืองไทยเมื่อไหร่ นายบอกฉันนะ ต่อให้มาแค่ที่กรุงเทพฯ ฉันก็จะลงไปหา โอเคไหม?”

เจกำชับ เฟลิเป้รับปาก พวกเขาคุยกันถูกคอและอยากคบหาเป็นเพื่อนกันต่อ

“ถ้าฆาเบียร์ทำตัวไม่ดี พี่มาฟ้องผมได้นะ ผมกับดอมเข้าข้างพี่เต็มที่”

“อ้าว เฮ้ย ได้ไงอ่ะ”

เมียตัวโตของเจโวยลั่น เจหันไปแลบลิ้นให้ ในเมื่อคนตัวโตมีสาวๆ ของเขาหนุนหลัง เขาก็มีเฟลิเป้เป็นกองหนุนบ้าง



“ขออนุญาตนะครับ”

ฆาเบียร์หันไปค้อมหัวให้โดเมนิโก้ หนุ่มอิตาเลียนยิ้มน้อยๆ และพยักหน้า ฆาเบียร์ขยับกายไปยืนตรงหน้าคนที่เคยให้ความสุขเขามากว่าสองปี เขาดึงร่างบอบบางนั้นมากอดอย่างอ่อนโยนและจุมพิตแผ่วๆ ที่หน้าผากประหนึ่งพี่ชายจูบน้องน้อยของเขา

“Quiero que pienses en mí como un hermano​, comprende?”

“ฉันอยากให้นายคิดว่าฉันเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งนะ เข้าใจไหม?”


นักบัลเลต์หนุ่มพยักหน้าตอบรับและกอดตอบแน่น ความรักที่เขามีให้กับหนุ่มละตินร่างกำยำคนนี้ไม่ได้จางหายไปภายในชั่วข้ามคืน แต่เขาพอใจกับสิ่งที่เขาเป็นในตอนนี้แล้ว และเขามั่นใจว่าความรักที่เขาจะได้รับจากหนุ่มอิตาเลียนที่ยืนยิ้มกว้างให้เขาอยู่คนนั้นคงจะเข้ามาแทนที่เงาของฆาเบียร์ในใจเขาได้ในอีกไม่ช้า

“เฮ้ๆๆ กอดกันนานพอแล้ว เกรงใจคุณเพเทรลลี่มั่งนะ ฆาบี้”

เจสะกิดคนรักของตัวเองเบาๆ ฆาเบียร์รีบปล่อยร่างบางนั้นแล้วหันมาหัวเราะแหะๆ ให้เจนยุทธ คนที่เขาต้องเกรงใจคงจะเป็นเจมากกว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ถือ”

โดเมนิโก้พูดยิ้มๆ เขาส่งมือให้คนรักซึ่งจับมันกระชับมั่น เฟลิเป้ยิ้มให้หนุ่มอิตาเลียนและดึงมืออุ่นๆ นั้นขึ้นมาจูบ

“กลับห้องกันเถอะครับ ดอม ผมอยากกินของหวานแล้ว”

หนุ่มหน้าสวยส่งสายตาหวานเยิ้มให้คนรัก หนุ่มอิตาเลียนกลืนน้ำลายลงคอเมื่อนักบัลเลต์หนุ่มใช้ลิ้นสีชมพูเลียไล้ริมฝีปากคู่สวยช้าๆ เจแอบใช้ศอกกระทุ้งสีข้างคนตัวโตที่แอบกลืนน้ำลายลงคอตาม



“อย่าคิดจุดถ่านไฟเก่าเชียวนะ ผมเอาคุณตายแน่”

เจกระซิบเสียงเย็นใส่หูคนรักเมื่อสองคนนั้นลงลิฟท์ไปแล้ว

“ใครจะกล้าล่ะจ๊ะ”

ฆาบี้พูดเสียงอ่อยๆ พร้อมหอมแก้มเจนยุทธฟอดใหญ่ พวกเขาเดินกลับเข้าไปในห้อง หากเมื่อประตูปิดลง คนตัวโตก็ดันร่างเพรียวติดกำแพง เจใจเต้นโครมครามเมื่ออยู่ภายใต้เงาเงื้อมของร่างใหญ่นั้น สายตาพริบพรายกับริมฝีปากที่แย้มยิ้มนั้นทำให้เจหน้าแดงก่ำ

“เจจ๋า ฉันอยากกินของหวานมั่ง”

“ไหนว่าจะรีบเช็คเอาท์ไง แล้วเมื่อคืนยังกินไปไม่พออีกเหรอ?”

เจพูดอย่างเป็นห่วงสังขารของคนรัก ฆาเบียร์ส่ายหัว

“ไม่ใช่อย่างนั้น เจ ฉันขอ…”

เขากระซิบแผ่วๆ ข้างหูร่างเพรียว เจนยุทธนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ

“Just a quick one, ok?”

ฆาเบียร์พูดย้ำอีกรอบ

“เออ รีบๆ ทำซะ ผมพร้อมแล้ว”

เจพูดพลางดึงมือคนรักมาทาบทับที่กลางกาย ฆาเบียร์ทำตาปริบๆ เมื่อรู้สึกถึงส่วนสงวนของเจที่แข็งเกร็งเป็นลำภายใต้ยีนส์หนา

“มีอารมณ์ง่ายจริงนะ คนดีของฉัน”

คนตัวโตหัวเราะเบาๆ ริมฝีปากร้อนๆ ของเขาซุกไซร้ที่ซอกคอขาวผ่อง มือเขาดึงชายเสื้อของเจออกจากกางเกง เจสะดุ้งเฮือกเมื่อมืออุ่นๆ ลูบไล้หลังเปลือยเปล่าของเขา

“ไปที่เตียงดีกว่า”

คนตัวโตพยักหน้า เขาทำท่าจะอุ้มเจขึ้น แต่เจขืนตัวไว้

“อย่า เดี๋ยวหลังคุณเดี้ยง อายุอานาม…อื้อ”

คนตัวโตใช้ปากหยุดคำแสลงใจที่เจนยุทธกำลังจะพูดออกมา เจตอบสนองจูบนั้นอย่างอ่อนหวาน พวกเขาพากันเดินโซเซมาที่เตียงทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังล็อคกันอยู่ ฆาเบียร์ที่เป็นฝ่ายเดินถอยหลังอุทานเบาๆ เมื่อชนเข้ากับเตียงและเสียหลักล้มลงบนเตียงนุ่ม เจล้มลงในอ้อมอกกว้าง ฆาเบียร์โอบรัดร่างอุ่นๆ นั้นไว้ เขาหอมเรือนผมดำขลับของคนรัก

"ชื่นใจ..."

เจซบหน้าลงบนอกกว้าง เขาอยากนอนนิ่งๆ แบบนี้อีกสักพัก พวกเขาทั้งคู่นอนกอดกันนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง



"แล้วตกลงจะกินอยู่ไหม ของหวานน่ะ?"

เจถามยิ้มๆ

"ก็อยากกินอยู่นะ เจ แต่ตอนนี้ฉันคงกินไม่ไหวแล้ว"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ เอวเขาดูจะปวดขึ้นมาอีกแล้ว

"เจจะอารมณ์ค้างหรือเปล่า? เดี๋ยวฉันช่วยจัดการให้"

ฆาเบียร์ทำท่าจะยันตัวขึ้น แต่เจแตะที่อกกว้างและดันตัวกลับลงไปเหมือนเดิม

"ไม่ต้องหรอกคุณ เดี๋ยวผมจะบริการคุณเอง"

เจค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนรักออกและพาดไว้ห่างๆ เตียงและจัดการของตัวเองบ้าง เขาทาบทับกายลงบนร่างของคนรักและค่อยๆ เล้าโลมปลุกเร้าจนแก่นกายของคนรักชูคอตื่นเต็มที่ ฆาเบียร์ครางแผ่วๆ เมื่อเจสัมผัสรูดไล้มันเบาๆ

"เจ เดี๋ยวก่อน ทำแบบนี้ดีกว่า"

ฆาเบียร์ตะแคงร่าง เขาเรียกเจให้นอนลงเคียงข้างหากหันไปคนละทาง เจสูดปากเบาๆ เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวของฆาบี้สัมผัสกับแท่งลำร้อนๆ ของเขา คนตัวโตเองก็ตัวเกร็งเมื่อเจทั้งดูดเลียส่วนปลายและใช้มือรูดไล้ตรงส่วนโคน พวกเขาทั้งคู่ตั้งหน้าตั้งตาปรนเปรออีกฝ่ายอย่างสุดฝีมือ ไม่นานนักเจนยุทธก็รีบถอนปากออกและฟุบกายไปหน้าขาของคนรัก เขาครางกระเส่าและดันสะโพกเข้าหาอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ฆาเบียร์เร่งเร้าและไม่นานนักเจก็ปลดปล่อยออกมาเต็มปากคนรัก



คนตัวโตพลิกกายขึ้นคร่อมร่างเพรียวที่นอนหอบเบาๆ ใบหน้าน้อยๆ ที่แดงก่ำของเจและเสียงหอบหายใจแผ่วๆ นั้นกระตุ้นเร้าอารมณ์เขาจนเขาไม่อยากหยุดอยู่แค่ที่สัญญากับเจไว้ แต่เขาก็ต้องอดทน ฆาเบียร์หยิบถุงอุปกรณ์ที่ข้างเตียงมาและจัดการใส่เครื่องป้องกันให้ตัวเอง จากนั้นชะโลมแก่นกายด้วยเจล

"เฮ้ย ไหนว่าแค่ข้างนอกไง? แล้วนี่ไหวแล้วเหรอ?"

เจโวยลั่นเมื่อคนตัวโตแกล้งเอาเจลป้ายที่ปากทางแคบเล็กของเขา เขาใช้เท้ายันเบาๆ เข้าที่หน้าอกของหนุ่มละติน ฆาเบียร์จับข้อเท้าของเจนยุทธไว้และจูบพรมไปตามเรียวขาแข็งแรง เจสะดุ้งทุกครั้งที่ริมฝีปากร้อนๆ สัมผัสกาย เขารีบหุบขาทันทีก่อนที่คนตัวโตจะล่วงล้ำถึงจุดอันตราย

"ขอฉันไม่ได้เหรอ เจ?"

ฆาเบียร์ส่งสายตาเว้าวอนไปให้คนรัก แต่คนใจแข็งส่ายหน้า

"จะทำแค่ข้างนอก หรือจะอดไม่ได้ทำเลย เลือกเอา"

ไม่ต้องสงสัยว่าคนตัวโตจะเลือกอะไร เขาดันขาทั้งสองข้างของเจขึ้น เจใช้มือกอดใต้เข่าไว้จนขาทั้งสองของเขาแนบชิดติดกัน ฆาเบียร์ค่อยๆ แทรกแก่นกายเข้าระหว่างท่อนขาแข็งแรงทั้งสองข้างของเจและเริ่มขยับ เขาสูดปากลั่นเมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นของกายเจ เขาซอยสะโพกถี่ยิบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะคำรามลั่นและปลดปล่อยออกมาเต็มถุงยาง



"เอ๊ะ...ฉันใส่ถุงแล้วทำไมหน้าท้องนายเปื้อนด้วยล่ะ"

ฆาเบียร์งงเมื่อเห็นคราบน้ำขุ่นข้นบนหน้าท้องคนรัก เขาดึงเครื่องป้องกันออกดูแต่ก็ไม่เห็นว่ามันรั่วหรือแตกแต่อย่างใด เจยิ้มอายๆ สัมผัสอันรุนแรงของฆาเบียร์ทำให้เขาเสร็จไปอีกครั้งโดยที่ไม่ต้องแตะต้องตัวเอง

"นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ เจ"

ฆาเบียร์ยิ้มร่า เขาแอบภูมิใจตัวเองเล็กๆ เจนยุทธหยิบนาฬิกามาดู

"ตายๆๆ เที่ยงกว่าแล้ว quick one อะไรของคุณน่ะ ไปๆ ล้างตัวกันก่อน"

เจรีบหาทิชชู่มาทำความสะอาดตัวเองแล้วลากคนตัวโตที่ทำท่าจะนอนต่อลงเตียง พวกเขาล้างตัวเร็วๆ และเก็บข้าวของใส่กระเป๋า

"นี่คุณนัดรถไว้กี่โมงน่ะ?"

"บ่ายโมงจ้ะ นี่สงสัยจะเลทเขาแน่ๆ"

"แล้วไม่เป็นไรเหรอ?"

"ไม่เป็นไรหรอกน่า"

ฆาเบียร์หอมแก้มคนรักเบาๆ และลงมือช่วยเจจัดข้าวของ



"พอๆๆ ไปนั่งนู่นเลย เดี๋ยวผมจัดเอง"

เจไล่คนที่ทำท่าจะกวาดทุกอย่างใส่กระเป๋าโดยไม่มีการพับให้ไปนั่งรอที่เก้าอี้ ฆาเบียร์นั่งยิ้มดูคนรักบรรจงจัดของใส่กระเป๋าอย่างเป็นระเบียบ

"นายนี่เป็นระเบียบเกินคาดนะ เจ"

"อือ คุณก็รกและซกมกเกินคาดเหมือนกันนะคุณฆาเบียร์"

เจพูดสวนมาพร้อมโคลงหัวน้อยๆ เขาละเหี่ยใจทุกครั้งที่เปิดกระเป๋าฆาเบียร์ตอนกลับมาที่บ้าน พ่อเจ้าประคุณของเขาแทบไม่เคยพับเสื้อผ้าดีๆ เลยสักครั้ง มันเหมือนเขาดึงมันออกมาจากไม้แขวนแล้วพับลวกๆ โยนลงกระเป๋า มีแค่ชุดสูทที่ใส่มาในถุงอย่างดี ซึ่งเขาก็คาดว่าคงเป็นเมลิน่าจัดการให้ ส่วนข้าวของใช้เล็กๆ น้อยๆ ของฆาเบียร์นั้นเขาก็เอาซุกๆ ยัดๆ ไว้ตามที่ว่างในกระเป๋าจนเขาต้องไปหาซื้อกระเป๋าใส่ของเล็กๆ มาให้ พี่แกถึงจะเริ่มเป็นระเบียบขึ้นบ้าง ตอนนี้เขากำลังหัดให้คนตัวโตของเขาแบ่งของใส่กระเป๋าแยกเป็นอย่างๆ ไปก่อนที่จะแพ็คลงกระเป๋า



"นี่ กางเกงในใช้แล้ว เอามายัดรวมกับเสื้อผ้าใหม่ได้ไง"

เจบ่นลั่น เขาปาชั้นในสีขาวใส่หน้าคนตัวโตที่นั่งหัวเราะร่วนอยู่บนเก้าอี้พร้อมโยนใส่ถุงผ้าใช้แล้วตามไปให้ ฆาเบียร์ผิวปากแล้วเปิดกระเป๋าแบ่งของใบนั้น แต่แทนที่จะเอาของเก็บเข้าอย่างเดียว เขากลับหยิบชั้นในตัวเล็กกว่าของเจนยุทธขึ้นมาทำท่าสูดดม เจเอ็ดตะโรเมียตัวโตของเขาลั่น และไปดึงเอาทั้งกระเป๋าและกางเกงผ้าสีขาวตัวนั้นกลับมา

"ให้ตายสิ คนอื่นเห็นคุณเป็นแบบนี้คงตกใจตายแน่ๆ ใครจะนึกว่าฆาเบียร์ มาร์ติเนซ ผู้บริหารสุดเท่มาดขรึมจะเป็นตาลุงลามกแบบนี้ หือ?"

"ฉันลามกแบบนี้กับเจคนเดียวนะ"

คนตัวโตลุกมายืนประกบด้านหลังเจนยุทธที่ก้มๆ เงยๆ เก็บของใส่กระเป๋าแล้วโอบเอวคนรักไว้

"หนัก เกะกะ!"

เจบ่นคนที่เอาคางมาเกยไหล่เขาไว้

"จุ๊บทีสิจ๊ะ"

เจหันไปจุ๊บปากฆาเบียร์เบาๆ

"จุ๊บแล้ว ไปนั่งเลย อีกแป๊บนึงจะเสร็จแล้ว"

คนตัวโตแอบหอมแก้มคนรักอีกฟอดใหญ่และไปนั่งสงบเสงี่ยมบนเก้าอี้จนเจเก็บข้าวของเสร็จ



"คุณแน่ใจนะว่าไม่ลืมอะไร?"

เจถามย้ำให้แน่ใจ พวกเขาจัดการเช็คเอาท์เสร็จแล้วและกำลังลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่างเพื่อพบรถที่ฆาเบียร์นัดให้มารับ

"ไม่ลืมนะ แต่ถึงลืมเราก็ยังอยู่มาเก๊าอีกสามคืน ไว้ค่อยมาเอาก็ได้"

เจพยักหน้าตอบรับ

"แล้วคุณนัดรถไว้ที่ไหน ที่จริงให้ขึ้นมารับตรงล็อบบี้เลยไม่สะดวกกว่าเหรอ?"

ล็อบบี้ของโรงแรมโซฟิเทลตั้งอยู่บนชั้นสองของอาคาร ถ้าไม่ใช่ลงบันไดเลื่อนไปขึ้นรถที่ชั้นล่างก็ต้องวนรถขึ้นมาหนึ่งชั้นเพื่อจอดหน้าประตูล็อบบี้

"ข้างล่างสะดวกกว่านะ เจ"

เจทำตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อเห็นรถลิมูซีนคันยาวสีดำมันปลาบจอดอยู่บนถนน

"เห้ย อย่าบอกนะว่าคันนั้นน่ะ"

เจถามอย่างตื่นเต้น เขาเคยนั่งพวกรถหรูอย่างโรลสรอยซ์และเบนท์ลีย์ของคนตัวโตมาก่อน แต่รถลิมูซีนแบบที่เคยเห็นแต่ในหนังแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดฝันว่าจะได้นั่งมาก่อน ฆาเบียร์พาคนรักเดินตรงไปที่รถคันงาม เขาทักทายคนขับที่โค้งให้เขาอย่างอ่อนน้อมเป็นภาษากวางตุ้ง คนขับกุลีกุจอเปิดประตูให้คนทั้งสองขึ้นไปบนรถ เจตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน


(ต่อคอมเมนท์ถัดไปค่ะ)

 

ออฟไลน์ La Vida Sin Tu Amor

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-1



---- เซอไพรส์! (ต่อ) ----



ในรถคันยาวนั้นเป็นเหมือนลิมูซีนหรูที่เจเคยเห็นในหนัง มันมีเบาะที่นั่งหนังนิ่มยาวตามตัวถังรถ บาร์เครื่องดื่มที่ติดตั้งไว้ที่อีกฝั่งมีแชมเปญคริสตาลแช่ไว้ในถังน้ำแข็ง ไฟ LED ที่ติดพราวอยู่ด้านในนั้นเปลี่ยนสีได้ และสิ่งที่ทำให้เจน้ำตาซึมออกมาคือป้ายกระดาษทำเองขนาดใหญ่ที่มีตัวหนังสือหลากสีเขียนติดไว้ ฆาเบียร์หยิบช่อดอกไม้ช่อโตที่วางบนเบาะส่งให้คนรักของเขา

"สุขสันต์วันเกิดนะ เจนยุทธ"

เจรับช่อดอกไม้มาและวางมันลงบนเบาะ เขาโถมตัวเข้าหาคนตัวโตของเขาและจูบอย่างหนักหน่วง ฆาเบียร์โอบร่างคนตัวเล็กที่ทิ้งน้ำหนักทั้งตัวมาหาเขา เขาจุมพิตตอบหนักๆ ดูท่าคนตัวเล็กจะไม่ยอมปล่อยเขาง่ายๆ

"เจ...พอก่อนๆ"

ฆาเบียร์เบือนหน้าออกและตบสะโพกของคนที่นั่งคร่อมอยู่บนตักของเขาเบาๆ

"ผมนึกว่าคุณลืมแล้ว"

คนตัวเล็กเสียงเครือตัดพ้อคนรักเจ้าเล่ห์ของเขาเบาๆ ฆาเบียร์แนบหน้าผากกับหน้าผากเนียนของเจนยุทธ

"วันเกิดแฟนทั้งคนจะลืมได้ยังไง หือ?"

เขาจูบเบาๆ เพื่อซับน้ำตาหยดน้อยๆ ที่หยาดหยดลงจากตากลมโตคู่นั้น

"อย่าร้องไห้สิ ฉันขอโทษที่แกล้งให้นายรอ"

คนตัวโตพูดเสียงอ่อยๆ ตอนเขาได้ยินน้ำเสียงผิดหวังของเจเมื่อคืน เขาแทบอยากสารภาพทุกอย่างออกไป แต่ก็ต้องกัดฟันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

"ผมไม่ได้เสียใจครับ คนดี ผมดีใจต่างหาก ขอบคุณจริงๆ ครับ ฆาเบียร์ มันวิเศษมากเลย"

เจมองไปรอบๆ

"และที่เยี่ยมที่สุดคือป้ายนี่"

เจชี้ไปที่ป้าย Happy Birthday, My Jay! ที่ติดอยู่เหนือบาร์

"ทำเองเลยเหรอ?"

คนตัวโตยิ้มอายๆ

"อือ มันไม่ค่อยสวยนะ ฉันไม่ค่อยถนัดงานศิลปะเท่าไหร่?"

ตัวหนังสือบนนั้นดูโย้เย้ไปบ้าง สีที่ทาก็เลอะๆ และไม่ค่อยเสมอกัน แต่สำหรับเจแล้วมันสวยที่สุด​ ถึงคนตัวโตบอกว่าตัวเองไม่ถนัดงานศิลปะ แต่ลวดลายที่เขาวาดประดับไว้ก็มีความเฉพาะตัว อย่างไอ้เจ้าตัวการ์ตูนหน้าตาประหลาดหน้าตาเหมือนตัวที่เขาวาดบนการ์ดเมนูอาหารตอนคริสต์มาส มันทำให้เจรู้ได้ว่าป้ายนี้เป็นฝีมือคนตัวโตของเขาอย่างแน่แท้



"เปิดเลยไหม เจ?"

ฆาเบียร์ส่งขวดแชมเปญให้เจ คนตัวเล็กส่ายหน้า

"ไม่เอาอ่ะ ผมกลัวเมารถ เก็บไว้กินทีหลังได้ไหมอ่ะ?"

"เอ่อ ก็ได้เหมือนกัน งั้นกินของกินเล่นไปก่อนนะ บ่ายโมงกว่าแล้ว ฉันกลัวเจหิว"

ฆาเบียร์หยิบกล่องที่อยู่ในตู้เย็นเล็กบนรถออกมา ในนั้นมีพวกโคลด์คัทและชีส อีกทั้งของแกล้มอย่างผลไม้สดและแห้ง และยังมีของอื่นๆ เช่นวอลนัทและขนมปังกรอบ หากเจวางมันกลับไปที่บาร์เหมือนเดิม

“ผมยังไม่หิวอ่ะ ผมอยากได้อย่างอื่นมากกว่า”

คนตัวเล็กโอบมือรอบคอคนรักและดูดรับความหวานจากริมฝีปากของฆาเบียร์อีกครั้ง คนตัวโตดูดดึงริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของเจนยุทธ เขาเผยอปากรับลิ้นเรียวของเจที่ลากเลียไล้ริมฝีปาก เจเบียดร่างเข้าในอ้อมกอดของคนรัก มือของเขาขยุ้มกลุ่มผมสีน้ำตาลที่อ่อนนุุ่มราวเส้นไหม ริมฝีปากของเขาบดกับริมฝีปากบางของคนตัวโตจนรู้สึกเจ็บ ลิ้นร้อนๆ ของฆาเบียร์ที่ซอกซอนพันไล้กับลิ้นของเขาทำให้อารมณ์ของเขาเตลิดไปไกล

“เจ เจจ๋า ทำมากกว่านี้ไม่ได้นะ”

ฆาเบียร์หอบหายใจเบาๆ เขาตะปบมือของคนต้วเล็กที่พยายามซุกลงไปขยำขยี้ก้นหนั่นแน่นของเขา เจหน้าแดงก่ำ ความลิงโลดใจทำให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน เขาขอโทษขอโพยคนรักและขยับกายลงจากตักแกร่งนั้น แต่ฆาเบียร์รั้งตัวเขาไว้

“นั่งตักป๋าแบบนี้ก็ได้นะหนู ป๋าไม่ว่า”

คนตัวโตเล่นบทป๋ากับเด็กเลี้ยงของเขาอีกครั้ง เจกระพริบตาปริบๆ

“แต่ป๋าครับ อะไรก็ไม่รู้ทิ่มก้นผม ป๋าพกไฟฉายใส่กระเป๋าไว้เหรอครับ?”

เจนยุทธขยับกายจนแน่ใจว่าเขานั่งคร่อมอยู่บน ‘ไฟฉาย’ นั้น ก่อนจะค่อยๆ ขยับสะโพกให้ถูไล้ไปมา ฆาเบียร์รีบดันตัวคนรักลงจากตักทันที เจหัวเราะคิกคักและยอมลงนั่งด้านข้างคนตัวโตแต่โดยดี เขาอิงแอบกายเข้าในอ้อมอกกว้างแสนอบอุ่นนั้น เสียงเพลงบรรเลงที่ขับกล่อมนั้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายถึงขีดสุด

"ฆาเบียร์ครับ ขอบคุณจริงๆ สำหรับเซอร์ไพรส์นี้"

เจยกมือที่เกาะกุมมือเขาขึ้นมาจูบ คนตัวโตหัวเราะเบาๆ

"เจ ที่เห็นนี่แค่ส่วนหนึ่งนะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ฉลองวันเกิดนาย จะแค่นี้ได้ยังไง?"

"The best is yet to come, mi amor"

"ยังไม่ถึงทีเด็ดนะจ๊ะ ที่รัก"




"เมียครับ...งั้นเดี๋ยวเราจะไปไหนกันต่อ?"

เจนั่งแทะขนมปังขาไก่พันปาร์ม่าแฮม จากวิวนอกหน้าต่าง รถพาพวกเขาวนไปทางวัดอาม่า ผ่านหอคอยมาเก๊า รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมทองริมทะเล ฟิชเชอร์แมนวาร์ฟ และตอนนี้กำลังจะขึ้นสะพานมิตรภาพหรือ Ponte da Amizade เพื่อข้ามสู่เกาะไทปา

"นายเชื่อใจฉันไหม เจ?"

เจกัดปากเบาๆ ก่อนที่จะผงกหัว ฆาเบียร์แย้มยิ้มก่อนจะส่งผ้าปิดตาให้คนรัก

"งั้น ปิดตาไว้ก่อน"

"เอาจริงดิ?"

"อือ ปิดตาไว้ซะ แล้วถ้าจะกินอะไรก็บอก เดี๋ยวฉันป้อนเอง"

ฆาเบียร์พูดกลั้วหัวเราะ เขารู้ว่าไอ้เจ้าตัวเล็กมันห่วงกิน เจรับผ้าปิดตามาปิดตาไว้ ในความมืดมิดนั้นเขาได้ยินเสียงฆาบี้หัวเราะเบาๆ จากนั้นรู้สึกถึงแท่งขนมปังกรอบที่เขากินค้างไว้เขี่ยไล้ที่ริมฝีปาก เขาพยายามงับมันแต่คนตัวโตก็แกล้งดึงออก เขาถูกหยอกล้อแบบนี้ครู่หนึ่งฆาเบียร์ถึงปล่อยให้เขากินดีๆ จากนั้นก็มีกลิ่นรสเข้มข้นและสัมผัสนุ่มหยุ่นของชิ้นชีสกามองแบต์ที่ถูกดันผ่านเข้ามาในปากของเขา เจตวัดลิ้นไล้ปลายลิ้นที่ดันชีสชิ้นนั้นเข้ามาในปากเขาและดูดมันเบาๆ เขายิ้มน้อยๆ เมื่อปลายลิ้นนั้นหดกลับไปอย่างรวดเร็ว คนตัวโตคงกลัวเขาจะสำลักอาหาร

"องุ่นนะ เจ"

ฆาเบียร์ส่งองุ่นชิ้นน้อยเข้าปากคนรัก เขาไม่กล้าใช้ปากป้อนให้เจอีกแล้วเพราะเจ้าตัวเล็กคอยจะแกล้งยั่วเขาให้เพริดไปกับปลายลิ้นร้อนๆ และริมฝีปากนุ่มๆ แต่เจก็ยังไม่วายแกล้งเขาด้วยการอมปลายนิ้วเขาเข้าไปอีก

"ยั่วนักนะ เจ ระวังเถอะ คืนนี้ฉันจะไม่ให้นายได้นอนเลย"

"กลัวตายล่ะ"

คนตัวเล็กหัวเราะคิกคัก และควานหาทางเข้ามานั่งพิงอกเขา ฆาเบียร์โอบเอวร่างเพรียวตรงหน้าไว้หลวมๆ

"ใกล้ถึงหรือยัง?"

"อือ ใกล้ละ แต่เดี๋ยวต้องเดินนิดนึงนะ เจ"

"ได้ ผมเชื่อใจคุณ พาผมเดินได้เลย"

เจนยุทธพยักหน้า เขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของคนรักที่ข้างหู ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคนตัวโตถึงได้ตื่นเต้นนักเวลาถูกเขาปิดตาไว้ยามเล้าโลมกัน การมองไม่เห็นนั้นช่วยกระตุ้นสัมผัสอื่นๆ ให้ตื่นตัวมากขึ้น อย่างตอนนี้แค่เสียงลมหายใจแผ่วๆ ของฆาเบียร์นั้นทำให้เขาอ่อนระทวยไปทั้งตัว



"ถึงแล้วนะ เดี๋ยวเราจะลงรถกัน จับมือฉันไว้นะ ก้าวระวังด้วย"

เจจับมือใหญ่ที่กระชับกับมือของเขามั่น ลมเย็นๆ ที่พัดมาทำให้เขารู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ด้านนอกอาคาร เขาค่อยๆ ก้าวลงรถมา

"เจ ยืนรอนี่แป๊บนึงนะ"

คนตัวโตปล่อยมือเขา เจได้ยินเสียงฆาเบียร์กระซิบกระซาบคุยกับใครบางคนเป็นภาษากวางตุ้ง เขานึกขัดใจที่ฟังไม่เข้าใจ และคิดในใจว่าเขาควรจะหาทางเรียนไอ้เจ้าภาษาออกเสียงยากนี้ให้เป็นเรื่องเป็นราวซักที

"มาแล้ว เดินตามฉันนะ คนดี"

เจรู้สึกถึงแขนของคนตัวโตที่โอบเอวเขาไว้ เขาเดินตามแรงดันของคนรัก เขารู้สึกได้ว่าพวกเขากำลังเข้ามาในตัวอาคาร ฟังจากเสียงอื้ออึงของคนและเสียงประกาศเป็นระยะๆ แล้ว ที่นี่ไม่แคล้วเป็นห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งช้อปปิ้งสักแห่งในฝั่งไทปา แต่เขามัวแต่สนใจกับการเดินจนไม่ได้ฟังชัดว่ามันคือที่ไหน

"ขึ้นบันไดเลื่อนนะ เอ้า ก้าว..."

"ถึงแล้ว ก้าวอีกทีนะเจ..."

ฆาเบียร์พาเขาขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกสองชั้น ถึงเขาจะมองทางไม่เห็น แต่เขารู้สึกอุ่นใจและมั่นใจในคนตัวโตที่คอยประคบประหงมดูแลเขาตลอดทาง

"ตรงนี้เดินไกลอีกหน่อยนะ เจก้าวตามฉันเลย"

เขาทั้งสองเดินไปอีกชั่วระยะหนึ่งก็ถึงจุดที่พวกเขาหยุดลง ตลอดทางเขารู้สึกว่ามีบุคคลที่สามเดินนำเขาทั้งสอง ผู้หญิงคนนั้นกระซิบกระซาบบางอย่างกับพนักงานซึ่งเจคิดว่าน่าจะเป็นคนตรวจตั๋วหรืออะไรสักอย่าง ก่อนที่ฆาเบียร์จะพาเขาออกเดินอีกครั้ง

"ขึ้นลิฟท์นะ เจ"

คนตัวโตพาเขาเดินเข้าในลิฟท์ เขาได้ยินเสียงพนักงานที่คอยกดลิฟท์ทักทายพวกเขา เจเงี่ยหูฟัง ในลิฟท์นั้นไม่ได้มีแค่พวกเขา แต่มีคนอื่นอยู่ด้วย เขาได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งเหมือนแก้วกระทบกัน แต่ก็ละความสนใจเมื่อได้ยินเสียงลิฟท์เปิดออก ฆาเบียร์พาเขาเดินออกไปจากลิฟท์ เขารู้สึกเหมือนตัวเองออกสู่ที่โล่งอีกครั้ง เขารู้สึกได้ถึงลมที่พัดแรงต้องกาย เจใจสั่นระรัว

"นี่ถ้าคุณพาผมมาโดดบันจี้จัมพ์ หรือมาเดินขอบมาเก๊าทาวเวอร์นี่ผมฆ่าคุณแน่ สาบานเลย"

เจเสียงสั่น ถึงเขาจะรู้ว่าคนตัวโตไม่ทำอย่างนั้นแน่ แต่ใจเขายังหวั่นๆ หูเขาได้ยินเสียงคนรักหัวเราะลั่น เขาได้ยินฆาเบียร์หันไปคุยกับใครบางคนเป็นกวางตุ้งเช่นเดิม ก่อนที่คนตัวโตจะพาเขาก้าวเดินไปข้างหน้าสามสี่ก้าว

"เดี๋ยวรีบก้าวตามฉันเลยนะ เจ เอ้า มาเลย"

เจก้าวตามคนตัวโต เขาเซวูบเมื่อรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเล็กๆ หากคนรักของเขากอดกระชับเขาไว้แน่น คนตัวโตพาเขาลงนั่งบนม้านั่ง เขารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนที่ ใจเขาเต้นแรง เขาคิดว่าเขารู้แล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

"ผมเปิดตาได้ยัง?"

มือใหญ่ของฆาเบียร์เอื้อมมาดึงผ้าที่ปิดตาของเขาออกแทนคำตอบ เจกระพริบตาถี่ๆ เมื่อเจอแสงจ้า เขาอุทานออกมาเมื่อตาปรับแสงได้ เขากำลังอยู่ในกระเช้าขนาดใหญ่ของชิงช้าสวรรค์ มันลอยอยู่สูงจากพื้นนับร้อยเมตร

"คุณ นี่มัน!"

"ใช่แล้ว เจ Golden Reel ไอ้เจ้าชิงช้าสวรรค์รูปเลข 8 ที่เจบอกว่าอยากนั่งวันนั้นแหละ"

ในกระเช้าที่เคลื่อนที่ไปช้าๆ นี้มีเพียงพวกเขาสองคน เจนยุทธเดาว่าคนตัวโตคงขอเหมากระเช้าไว้เรียบร้อย

"ผมเพิ่งพูดไปวันนั้นเองนะ ว่าอยากนั่ง คุณเตรียมการทันได้ไง?"

เจถามด้วยความทึ่ง

"ฉันแพลนไว้ก่อนแล้วน่ะ เจ"

คนตัวโตตอบยิ้มๆ เขาสารภาพกับเจว่าเขาแทบล้มเลิกโครงการเมื่อรู้ว่าเจกลัวความสูง แต่เมื่อเขาเห็นคนตัวเล็กมีทีท่าตื่นเต้นเมื่อนั่งรถผ่านชิงช้าสวรรค์นี้ตอนนั่งรถไปเกาะโคโลอานก็จึงตัดสินใจทำตามแพลนเดิม



"พรมนี่คุณก็ให้เขาปูไว้เหรอ?"

พื้นกระเช้าปูลาดด้วยพรมสีเลือดหมูที่ดูแล้วไม่ใช่ของดั้งเดิมของมันแน่นอน ฆาเบียร์เห็นสายตาสงสัยของคนตัวเล็ก

"เอ่อ พื้นกระเช้านี้มันใสส่วนหนึ่งน่ะเจ ฉันเลยให้เขาปูพรมทับไว้"

คนตัวโตอ้อมแอ้มตอบ

"ขอเปิดดูหน่อยได้ไหม?"

เจถามเสียงอ่อยๆ ฆาเบียร์เอื้อมมือไปดึงพรมที่ปูออกนิดหนึ่ง เจที่เขยิบไปนั่งดูที่ปลายม้านั่งรีบถอยกายกลับมาอย่างรวดเร็ว

"ไม่ไหวอ่ะ หวาดเสียว ดูแค่วิวด้านหน้าพอละ"

ฆาเบียร์หัวเราะเบาๆ แล้วปิดพรมไว้เหมือนเดิม ด้านล่างของกระเช้าเห็นลานหน้าโรงแรมสตูดิโอซิตี้ซึ่งเป็นพื้นคอนกรีตสลับหญ้าที่ปลูกไว้เป็นลวดลายเลขาคณิต



กระเช้านำพวกเขาขึ้นสูงไปตามแนวโค้งของวงล่างของเลข 8 ฆาเบียร์เปิดตะกร้าปิคนิคใบย่อมที่เขาถือติดมือเข้ามาด้วย ในนั้นมีแชมเปญคริสตาลจากในรถลิโม่และของกินของเจ

"เปิดไหม?"

"อืมม์ เปิดเลย ขอกินเหล้าย้อมใจหน่อยเหอะ"

เจพูดเสียงอ่อยๆ ต่อให้ตอนนี้เขามีที่นั่งอย่างมั่นคง แต่ใจมันก็ยังหวิวๆ ฆาเบียร์ค่อยๆ ดึงจุกเปิดอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ฝากระเด็นไปโดนผนังกระจก เขารินแชมเปญที่มีพรายฟองเล็กละเอียดนั้นใส่แก้วส่งให้เจก่อนรินให้ตัวเอง เขาขยับมานั่งม้านั่งตัวเดียวกับคนรัก

"สุขสันต์วันเกิดอีกทีนะ เจ"

ฆาเบียร์ยกแก้วในมือขึ้นชนกับแก้วของคนรัก แล้วยกขึ้นดื่ม เขารอจนเจดื่มหมดแก้วแล้วดึงมือคนตัวเล็กให้ลุกขึ้น

"ทีนี้ มากับฉันตรงนี้หน่อย ไม่ต้องกลัวนะ"

เขาค่อยๆ พาเจเดินมาที่ริมผนังกระจกที่ใสตลอดทั้งแผ่น เจเกาะแขนคนรักไว้แน่น กระเช้าของเขาเคลื่อนเข้าสู่วงบนของเลข 8 และใกล้ถึงจุดสูงสุดที่ 130 เมตรแล้ว ฆาเบียร์โอบรัดร่างคนรักที่สั่นน้อยๆ ไว้แน่น

"ไม่ต้องกลัวนะ เจ ฉันอยู่ตรงนี้ด้วยแล้ว เกาะฉันไว้"

เจค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น เขาใช้คนรักเป็นหลักยึดให้อุ่นใจ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ วิวด้านหน้านั้นไม่ได้สวยอะไรนัก ด้านหน้าของพวกเขายังเป็นลานโล่งๆ ซึ่งเตรียมไว้เพื่อก่อสร้างโรงแรมคาสิโนแห่งใหม่ ห่างออกไปเป็นสนามกีฬารูปโดมเตี้ยกว้าง เมื่อมองไปทางซ้ายก็เห็นกลุ่มโรงแรมอื่นๆ รวมทั้งโรงแรมที่เจค่อนแคะว่าเหมือนกล่องทิชชู่วางซ้อนกันอย่าง MGM อีกด้วย



"เสียดาย ตึกของสตูดิโอซิตี้มันโค้งบัง ไม่งั้นก็ได้เห็นวิวหอไอเฟลปลอมแล้ว"

เจบ่นออกมาเบาๆ เขาเสียดายว่าชิงช้าสวรรค์นี้ไม่ได้มีวิวที่สวยงามอย่างที่เขาคิดเท่าไหร่

"ข้างหลังเป็นวิวสนามกอล์ฟกับสวนน้ำของโรงแรมนะ แต่ที่ฉันอยากให้เจดู ไม่ใช่วิวพวกนี้ เจลองมองดูที่ตรงลานโล่งๆ นั่นอีกทีซิ"

ฆาเบียร์ดันตัวเจให้ไปยืนหน้ากระจกใส เจตื่นเต้นจนลืมความกลัว เขาจ้องไปที่ลานก่อสร้างด้านล่าง เมื่อสักครู่เขาแค่กวาดตาดูเร็วๆ และไม่ได้สังเกตเห็นอะไร

"คุณ โอ๊ย ลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ?"

กลางลานกว้างนั้น มีพุ่มไม้เตี้ยๆ สีเข้มเรียงกันเป็นคำว่า

HAPPY B-DAY JAY​

เจรีบคว้ามือถือของตัวเองมาถ่ายคลิปเก็บไว้ทันที เขาหันไปกอดคนตัวโตแล้วจุ๊บเบาๆ

"คุณทำได้ไงอ่ะ มันที่ก่อสร้างไม่ใช่เหรอ?"

"นี่เป็นคำอวยพรจากอาปานะ เจ ฉันบอกเจแล้ว ว่าอาปาเค้าเพื่อนเยอะ เพื่อนอาปาที่มาเก๊าก็ล้วนแต่คนมีเส้นสายทั้งนั้น ฉะนั้นเรื่องนี้ทำได้อยู่แล้ว"

คนตัวโตพูดยิ้มๆ

"อ้าว โธ่เอ๊ย ผมก็นึกว่าคุณจัดให้ งั้นเอาจูบผมคืนมาเลย"

เจพูดยิ้มๆ ฆาเบียร์จุ๊บเบาๆ ที่แก้มคนรัก

"อ่ะ ฉันคืนให้แล้ว"



คนตัวโตประคองคนรักกลับมานั่งบนที่นั่ง พวกเขานั่งจิบแชมเปญกันอีกแก้วก็เตรียมตัวลงจากชิงช้าสวรรค์ที่ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีนี้ เมื่อประตูกระเช้าเปิดออก เจก็พบกับเมลิน่าและริคกี้ที่ยืนยิ้มรอเขาอยู่พร้อมเค้กก้อนน้อยในมือ บนเค้กนั้นจุดเทียนเลข 29 ไว้พร้อม ก่อนที่เจจะทันรู้ตัว ทั้งฆาเบียร์ เลขาทั้งสอง พนักงานและคนที่ยืนรอขึ้นกระเช้าบางส่วนก็ร้องเพลงแฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์ให้เขา เจหน้าแดงก่ำด้วยความยินดี เขาอธิษฐานครู่หนึ่งก่อนจะเป่าเทียนจนดับท่ามกลางเสียงปรบมือ เขาหันไปขอบคุณทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก่อนจะดึงมือคนรักขึ้นมาจูบเพื่อแสดงความขอบคุณ

"แค่นี้เองเหรอ เจ?"

คนตัวโตกระซิบด้วยใบหน้ายิ้มพราย

"บ้า คนตั้งเยอะ แค่นี้ก่อน ถ้าอยากได้มากกว่านี้ เดี๋ยวคืนนี้จัดให้"

เจกระซิบตอบ เขาโคลงหัวเมื่อเห็นนิ้วก้อยที่คนไม่ยอมโตส่งมาให้ทันควัน

"เออ สัญญาๆ เกี่ยวก้อยสัญญาเลย เครไหม? แล้วก็ไปกันได้แล้ว อยู่ตรงนี้นานเกะกะเค้า"

เจเกี่ยวก้อยสัญญากับเมียตัวโตของเขาก่อนที่จะลากฆาเบียร์เดินลิ่วเข้าลิฟท์เพื่อลงไปสู่ทางออก


]​ (ftp://www.picz.in.th/images/2018/02/26/goldenreel-L.jpg[/img)


รถลิโม่คันยาวพาพวกเขาทั้งสองคนรวมทั้งสองเลขาฯ ผ่านกลุ่มโรงแรมที่เรียงรายบน Cotai Strip เจเกาะกระจกดูหอไอเฟลปลอมของโรงแรม The Parisian และเวนิสปลอมอย่างโรงแรม The Venetian ถึงจะเห็นพวกมันมาหลายรอบ แต่เจก็ยังชอบทุกครั้งที่ได้ผ่านหรือเข้าไปเดินเล่นภายใน เขาส่งมือถือให้ริคกี้ถ่ายรูปเขากับฆาเบียร์ในอิริยาบทต่างๆ เขายืนถ่ายรูปคู่กับป้ายทำมือของคนตัวโต ก่อนที่จะเริ่มลงมือปลดมันลงมา

“เฮ้ๆ ทำอะไรน่ะ เจ?”

“ก็เก็บไง ผมจะเอากลับด้วย จะเอาไปติดบ้าน”

เจก้มหน้าก้มตาเก็บป้ายแม้ฆาเบียร์พยายามจะทัดทาน ฆาเบียร์บ่นอุบว่าถ้าเขารู้ว่าเจจะเก็บมันกลับบ้าน เขาจะทำให้มันสวยกว่านี้ เจปล่อยคนตัวโตบ่นไปตามอารมณ์ เขาม้วนป้ายจนเหลือเป็นม้วนไม่ใหญ่นัก ซึ่งดูแล้วพอจะใส่ในกระเป๋าเดินทางของเขาได้ คนตัวโตได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา

“ถึงแล้ว เจ ลงกันเถอะ”

ฆาเบียร์ก้าวลงรถลิโม่คันยาวแล้วหันมาส่งมือให้คนรักเกาะกุม เจจับมือใหญ่นั้นแล้วลงมายืนเคียงข้าง

“เฆเฟ่คะ ฉันเช็คอินไว้ให้ก่อนแล้วนะคะ นี่คีย์การ์ดค่ะ เดี๋ยวจะให้คนส่งของตามขึ้นไป เชิญขึ้นไปที่ห้องได้เลยนะคะ”

เมลิน่าพูดยิ้มๆ เลขาสาวเตรียมจะหันตัวกลับไปที่รถตอนที่เจเรียกเธอไว้

“เดี๋ยวก่อน เมลิน่า แล้วเรื่องยา?”

“อ๋อ อยู่บนห้องเรียบร้อยแล้วค่ะ”

เมลิน่ายิ้มละไมให้คนรักของนายก่อนจะกลับขึ้นรถไป เจเงยหน้าขึ้นมองหาชื่อโรงแรม เขาสังเกตได้จากตัวอาคารว่าเขาอยู่ที่ The Galaxy รีสอร์ทคอมเพล็กซ์ขนาดยักษ์ที่ประกอบด้วยคาสิโน สวนน้ำและโรงแรมสี่และห้าดาวขนาดใหญ่หลายโรง ได้แก่ Broadway, Galaxy, Okura, JW Marriott, Banyan Tree และ The Ritz Carlton ซึ่งเป็นที่พักของเขาและฆาเบียร์ในคืนนี้ คนตัวโตพาเขาเดินเข้าไปในตัวโรงแรมเพื่อขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องพักของพวกเขาบนชั้น 52 ฆาเบียร์เลือกห้องพักแบบ Carlton Suite ขนาด 100 ตารางเมตรเป็นที่พักสำหรับเขาและคนรักเป็นเวลา 3 คืน



"ฆาบี้ นี่มัน...?!"

เจนยุทธอุทานออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่รอเขาอยู่ในห้อง ห้อง Suite นั้นตกแต่งอย่างหรูหราสวยงาม แต่สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงนั้นได้แก่กลีบกุหลาบที่โรยบนพื้นหินอ่อนตรงทางเข้าห้อง และลูกโป่งหลากสีที่กระจายอยู่บนพื้นห้อง

"คุณจะเซอร์ไพรส์อะไรผมอีกกี่รอบ ฆาเบียร์?"

"ไม่นะ เจ นี่ไม่ใช่ของฉัน"

ฆาเบียร์พูดยิ้มๆ เขาพาคนรักเดินเข้าห้องตรงไปยังชุดรับแขกที่ตั้งอยู่ในส่วนนั่งเล่นของห้อง บนโต๊ะกาแฟมีเค้กช็อคโกแลตก้อนน้อยเขียนชื่อเจและคำอวยพรไว้ เจหยิบการ์ดที่ตั้งอยู่มาดูแล้วต้องยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ บนการ์ดเป็นตัวการ์ตูนหน้าตาคล้ายเขาในมือถือช้อนส้อมนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ด้านหน้ามีจานพาสต้าวางอยู่ รูปนั้นวาดด้วยมือ และในการ์ดนั้นเขียนชื่อของเหล่าพนักงานของโรงแรมจากหลายส่วนพร้อมคำอวยพร ข้างๆ โต๊ะมีถังน้ำแข็งพร้อมขาตั้ง ในนั้นมีแชมเปญ Louis Roederer ให้อีกหนึ่งขวด

"สุดยอดเลย ฆาบี้ คุณขอให้เขาทำเหรอ?"

"เป็นบริการพิเศษของที่นี่น่ะ สำหรับคนที่มาฉลองโอกาสพิเศษอย่างวันเกิด วันแต่งงานหรือโอกาสพิเศษอะไร พวก ladies and gentlemen of the Ritz-Carlton เขาจะจัดอะไรพิเศษๆ ให้อยู่แล้ว"

ฆาเบียร์พูดถึงเหล่าพนักงานของโรงแรมหรูแห่งนี้ซึ่งมีคำภาษิตประจำโรงแรมว่า "We are ladies and gentlemen serving ladies and gentlemen" 'พวกเราคือเหล่าสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษที่ให้บริการแก่เหล่าสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ' สิ่งที่คนตัวโตทำก็แค่ฝากทาง Concierge ของโรงแรมริทซ์ที่ฮ่องกงให้แจ้งมาว่าเขาจะมาฉลองวันเกิดให้คนรัก จากนั้นส่งรูปเจมาให้พร้อมกับบอกว่าเจชอบอะไรแค่นั้นเอง



เจถ่ายรูปและคลิปทุกอย่างในห้องไว้อย่างละเอียดโดยเฉพาะของที่จัดเตรียมไว้ให้เขา ในฐานะอดีตเด็กการโรงแรมเขาทึ่งและประทับใจกับมาตรฐานการบริการขั้นเทพของโรงแรมแห่งนี้อย่างมาก

"ห้องน้ำสวยสุดๆ เลยคุณ"

เจตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ เขาตื่นเต้นไปกับทุกอย่าง ถึงนี่จะไม่ใช่ห้องโรงแรมที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา แต่ก็น่าจะติดท็อป 3 ฆาเบียร์ซึ่งกำลังเก็บแชมเปญฟรีเข้าตู้เย็นและเอาคริสตาลที่เขากับเจกินเหลือใส่ถังน้ำแข็งไว้แทนหัวเราะน้อยๆ เขาเคยนอนห้องแบบนี้แล้ว และรู้ว่าเจต้องชอบแน่ๆ

"ทุกอย่างมันลงตัวไปหมดเลยคุณ"

เจมองไปรอบๆ การตกแต่งของทีนี่เป็นแบบร่วมสมัยที่มีกลิ่นอายฝรั่งเศส กระจกที่กรุด้วยไม้เป็นช่องๆ จนดูเหมือนประตูแบบโคโลเนียลให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน ผนังสีเทาหลายเฉดสีขลิบด้วยบัวไม้สีขาวและ​โซฟาและเก้าอี้นวมที่หุ้มผ้าสีครีมทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย

"โทนสีคล้ายห้องผมเลย ดีจัง"

เจยิ้ม แสดงว่าที่เขาทุ่มเงินและสมองไปในการตกแต่งห้องนั้นไม่ได้ทำไปแบบมั่วๆ



ส่วนของห้องนอนนั้นตกแต่งด้วยสีขาว เทา และสีน้ำตาลเข้ม เจทิ้งตัวลงนอนกลิ้งเกลือกบนเตียงนุ่มครู่หนึ่ง แต่ก็รีบลุกขึ้นเมื่อคนตัวโตทำท่าจะลงมานอนเอกเขนกด้วย

"มาดูนี่สิ"

คนตัวโตกวักมือเรียกคนรักจากในห้องน้ำ เจเดินผ่านส่วนล้างหน้าที่แยกไว้ให้สองชุดและอ่างจากุซซี่หินอ่อนกลมใหญ่ที่กลางห้องไปที่ส่วนห้องส้วม โถส้วมโถใหญ่ในนั้นปิดฝาไว้อยู่

"ดูนี่นะ"

ฆาเบียร์เดินเข้าไปใกล้ตัวโถส้วม เจทำหน้าเหวอเมื่อเห็นเจ้าโถส้วมอัจฉริยะนั้นเปิดฝาขึ้นเองอัตโนมัติ

"เห้ย ชอบ อยากได้อ่ะ!"

เจอุทานออกมาอย่างลืมตัว เขาเดินไปลูบๆ คลำๆ เจ้าส้วมแสนวิเศษนั้น เขาดูที่ผนังด้านข้าง มันมีแผงควบคุมเป็นตับสำหรับควบคุมการฉีดน้ำทำความสะอาด

"โอย ผมนึกออกเลยว่าผมอยากได้อะไร ผมอยากได้ส้วมฉลาดๆ แบบนี้อ่ะ ตอนผมไปญี่ปุ่นกับพี่นพเมื่อปีที่แล้ว ผมติดใจส้วมแบบนี้มากเลย ตอนแรกคิดไว้ว่าอยากเปลี่ยนส้วมที่ห้องเป็นแบบนี้มั่ง แต่ก็ลืมไปซะสนิท เดี๋ยวผมจดรุ่นกับยี่ห้อของเจ้านี่ไปก่อนแล้วไปหาราคาดู...อ๊ะๆ อย่าๆ ไม่ต้องคิดเลย"

เจยื่นมือไปปิดปากคนรักที่กำลังจะอ้าปากบอกว่าเดี๋ยวเขาจะซื้อให้เอง

"ผมจัดการเอง คุณห้ามยุ่ง"

เจสำทับ เขาเดินดูนั่นนี่ต่ออีกสักพักจนฆาเบียร์เรียกเขาให้มานั่งที่โซฟา คนตัวโตรินแชมเปญคริสตาลสองแก้วสุดท้ายให้ตัวเองกับเจ จากนั้นจุดเทียนที่เค้กช็อคโกแลตก้อนน้อยนั้น



"เอ้า อธิษฐานอีกรอบซิ"

เจรับจานเค้กนั้นมาและหลับตา เขาขยับปากขมุบขมิบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นลืมตาขึ้นและเป่าเบาๆ เขาใช้ส้อมตัดเค้กออกชิ้นน้อยๆ และส่งเข้าปากคนตัวโต  จากนั้นวางจานและดึงคอเสื้อฆาเบียร์เข้ามาแล้วลิ้มรสขมเข้มของเค้กช็อคโกแลตที่ยังหลงเหลือในปากของคนรัก

"อืมม์ เค้กอร่อยจัง"

เจพูดยิ้มๆ แล้วหัวเราะคิก ปากของคนตัวโตเปรอะช็อคโกแลตไปหมด ฆาเบียร์ใช้นิ้วไล้เบาๆ ที่ปากเจนยุทธ ปากของคนตัวเล็กเองก็เปรอะไม่แพ้กัน เจเผยอปากน้อยๆ ปล่อยให้คนรักใช้นิ้วเขี่ยไล้เศษช็อกโกแลตออกจนหมด สัมผัสแผ่วเบาแบบนั้นทำให้เขาเสียวสะท้านไปทั้งตัว เจจูบริมฝีปากบางนั้นอีกครั้ง เขาเม้มดูดริมฝีปากบนของฆาเบียร์ ก่อนจะย้ายลงริมฝีปากล่าง

"เอ้า หมดละ ไม่เปื้อนแล้ว"

เจที่หน้าแดงน้อยๆ พูดขึ้น เขาคงต้องหยุดแค่นี้ก่อน เขาหยิบจานเค้กขึ้นมากินต่อ กินเองบ้างป้อนคนตัวโตบ้างจนเค้กก้อนน้อยนั้นหมด ฆาเบียร์ส่งแก้วแชมเปญให้คนรักและชนแก้วด้วยเบาๆ

"หยุดเลย จิบอึกเดียวพอ"

เจดุคนตัวโตแล้วดึงแก้วออกจากมือ เขาเดินไปหยิบซองยาที่เมลิน่าวางไว้ให้ที่หัวเตียงมา

"เอ้า ยามื้อเที่ยง เดี๋ยวหาอะไรใส่ท้องให้เรียบร้อยแล้วค่อยกิน"

ฆาเบียร์ดูนาฬิกาของเขา ขณะนี้เป็นเวลาสามโมงกว่าแล้ว

"งั้น ไปหาอะไรใส่ท้องเพิ่มกัน เจ"

คนตัวโตลุกขึ้นและส่งมือให้เจที่ยังมีทีท่างงๆ อยู่

"เดี๋ยวเราไปกินอาฟเตอร์นูนทีกัน"



-----------------------------------------

เขียนแล้วยังขัดใจว่ามันดูไม่ค่อยเซอร์ไพรส์เท่าไหร่เลย (แต่ถ้ามีคนทำอะไรแบบนี้ให้ก็คงดีใจเนาะ)

Golden Reel ชิงช้าสวรรค์รูปเลข 8 เสียดายวิวไม่สวยค่ะ ตอนซื้อบัตรลองเช็คส่วนลดได้ที่หน้าบู้ธนะคะ ตอนที่ไปได้ลดเพราะหางบัตรแอร์เอเชีย เหลือประมาณ 90 เหรียญฮ่องกงค่ะ https://goo.gl/5a4vxo

ตัวอย่างรถลิโม่เช่าที่ฆาเบียร์ใช้ค่ะ https://goo.gl/UUtbZA

โรงแรมที่เลือกให้นอนคราวนี้อีกก็คือ The Ritz-Carlton Macau คนเขียนอยากมีรูปจริงๆ มาให้ดูนะคะ แต่งบยังไม่อำนวย ได้แค่ไปกินมื้อเที่ยงมา ดูรูปจากรีวิวคนอื่นไปก่อนนะคะ https://goo.gl/ac6Qws

จากพันทิปค่ะ https://goo.gl/Tziqh7

คลิปรีวิวห้องแบบที่ทั้งสองเข้าพักค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=EaTCDYspcE4



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2018 07:09:24 โดย La Vida Sin Tu Amor »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด