To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561  (อ่าน 123113 ครั้ง)

ออฟไลน์ somberness

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
อะไรคือที่นอนเมื่อกี้ก็สบายดี :m20: :m20:
แต่เราตอบถูกแหละคืนนี้ขอพาต้นสนไปนอน(กอด)ด้วยคืนนึงนะปลื้มพอดีเลยยิ่งหนาวๆอยู่ :m12: :m12:

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
ต้นสนนะขยับตัวนิดเดียวยังต้องห่วงเลย  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ plearnly

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หลงรักต้นสน คนอะไรล้มแล้วหลับไปเลย555

ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2
ต้นสนลูกกกกกกกก หลับได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ต้นสนลูกกกกกก หนูจหลับแบบนี้ไม่ได้

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เอ็นดูต้นสน หนูจะนอนทุกที่ไม่ได้นะลูกฟุตบาทไม่ใช่ที่นอน :laugh:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ jajah_s.amp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ต้นสน ลู๊กกก .. หนูจะนอนกลางทางหลังจากล้มแบบนั้นไม่ได้นะลูก .. แต่โอ๊ยยยย .. น่าเอ็นดู

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ตอนที่ 25

            เพราะงานที่มากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้หลังกลับจากมหาวิทยาลัยผมเลยมักไปหมกตัวอยู่ห้องไอ้ว่าน จะได้มีเพื่อนไว้คอยปรึกษาตอนทำงาน ช่วยกันคิดช่วยกันทำจะได้เสร็จเร็วขึ้น ส่วนคนชิลอย่างไอ้เจนนั้นหนีไปเที่ยวเล่นแล้วเรียบร้อย

            "มึง หิวว่ะ" นั่งเงียบตั้งใจทำงานได้ไม่ทันไรไอ้ว่านก็โอดครวญ มันยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วจ้องมาที่ผม

            "ก็ไปหาไรกินดิ"

            "ว่าจะไปซื้อข้าวร้านป้านก ไปด้วยกันป้ะ" คล้ายกับว่ามันอยากจะถามลองเชิง แน่นอนว่าผมไม่ไป

            "กูรอกินพร้อมต้นสน"

            "งั้นไม่เผื่อนะ"

            "อืม" ผมพยักหน้ารับ ไอ้ว่านทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเดินออกไปจากห้อง

            ผมยังนั่งเขียนเปเปอร์ด้วยความรู้สึกเอื่อยเฉื่อยอยู่ในห้องไอ้ว่าน พี่เตยที่เพิ่งเลิกงานกลับมาเมื่อชั่วโมงก่อนนอนหลับอยู่ในห้องเลยไม่รู้สึกเคว้งคว้างในห้องของคนอื่นนัก

            ไอ้ว่านออกไปจากห้องได้ห้านาทีสมองผมก็ถึงขีดจำกัด วางปากกาแล้วหยิบมือถือมาเล่น มีข้อความจากต้นสนส่งมาว่าเลิกเรียนแล้วและกำลังกลับมาห้องเมื่อสิบนาทีก่อน ป่านนี้คงใกล้ถึงตลาดแล้วล่ะมั้ง

            เย็นนี้เราตกลงกันไว้ว่าต้นสนที่เลิกเรียนทีหลังจะเป็นคนแวะซื้อกับข้าว ผมเลยมีเวลามานอนกลิ้งเกลือกทำงานอยู่ที่ห้องไอ้ว่าน รอเจ้าตัวกลับมาเมื่อไรค่อยไปหา กินข้าวด้วยกันเสร็จแล้วก็ย้ายแยกไปทำงานของตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่ผมไม่ค่อยชอบเอาซะเลย

            ปกติที่อยู่ด้วยผมมักจะเป็นฝ่ายคอยมองต้นสนทำงาน แต่ตอนนี้เราต่างมีงานต้องเคลียร์ทั้งคู่ เวลาวอแวอีกฝ่ายเลยน้อยลงตามไปด้วย พอได้เวลานอนก็หมดแรงจะทำอะไรต่อมิอะไร ได้แค่จูบๆ หอมๆ แล้วก็นอนกอดกัน

            สงสัยวันนี้ผมต้องรีบทำงานให้เสร็จก่อนต้นสนกลับมาถึงห้อง แต่พอมองหน้ากระดาษที่เขียนค้างไว้ความหวังนั้นมันช่างเลือนลางเต็มที

            ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ มือถือในมือก็สั่น ผมเป็นพวกติดนิสัยชอบปิดเสียงเพราะกลัวมันไปรบกวนคนอื่น ว่าแต่ไอ้ว่านมันโทรมาทำไม

            (มึง! มาที่โรงพยาบาลด่วนเลย)

            "อะไรของมึง" เสียงตื่นตระหนกตกใจของไอ้ว่านทำผมงง อยู่ดีๆ มาบอกให้ไปโรงพยาบาล ใครเป็นอะไร หรือว่ามัน...

            (ต้นสนโดนแกงหกใส่ กูกำลังพาไปโรงพยาบาล มึงรีบตามมานะ)

            "ไปโดนได้ไง"

            (มึงมาก่อนเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง)

            "แกงอะไรวะ แล้วทำไมต้องไปโรง'บาล" คำพูดแบบรวบรัดของไอ้ว่านทำผมงง พยายามนึกภาพตามแต่คิดไม่ออกว่ามันจะเกิดเหตุการณ์ที่มันว่าได้ยังไง

            (หมอแกงจืด)

            "ที่ไหน"

            (ร้านป้านก)

            "เป็นอะไรมากมั้ยวะ" ผมรีบลุกขึ้นยืนทันที ทิ้งงานกองไว้บนโต๊ะเดินไปคว้ากระเป๋าหุนหันออกมาจากห้อง แล้วต้นสนไปโดนต้มจืดหกใส่ได้ยังไง มันไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม

            (เอาเรื่องอยู่)

            "ไม่ได้ล้อเล่นใช่ป้ะวะ"

            (กูไม่ว่างขนาดนั้น แค่นี้ก่อนนะมึง รีบตามมา) พูดจบไอ้ว่านก็วางสาย

            ผมมองโทรศัพท์ในมือด้วยความสับสน มีคำถามเต็มไปหมดที่อยากถามไอ้ว่านให้รู้เรื่อง แต่เสียงปลายสายที่ฟังดูเร่งรีบนั้นไม่น่าจะว่างตอบคำถามของผมตอนนี้ได้

            ผมยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงเดินตรงไปที่ลิฟต์ เก็บความสงสัยทั้งหมดเอาไว้แล้วทำใจให้สงบ แค่โดนจ้มจืดหกใส่เองไม่เป็นอะไรมากหรอก

            ต้มจืดร้านป้านกที่ตั้งเตาอุ่นไว้ตลอดเวลา

 

            ผมนั่งแท็กซี่บึ่งมาถึงโรงพยาบาลในสิบนาทีต่อมา ไอ้ว่านนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน มันรีบกวักมือเรียกผมทันทีที่เห็น

            "เป็นไงบ้างวะ"

            "อยู่ข้างใน น่าจะทำกำลังแผล"

            "แล้วแผลมัน..."

            "กูกับป้านกช่วยปฐมพยาบาลให้ก่อนมา คิดว่าไม่น่าจะหนักมาก" มันว่าหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าไม่หนักมากทำไมต้องทำหน้าแบบนี้ด้วยวะ

            "เล่าให้กูฟังหน่อย ขอเคลียร์ๆ"

            ไอ้ว่านถอนหายใจยาวพรืดสีหน้ายังเครียดไม่เลิก มันบอกผมให้ทำใจร่มๆ และห้ามขัด ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง

            "กูไปเจอต้นสนที่ตลาดเลยชวนไปร้านป้านกด้วยกัน น้องตาลก็อยู่ที่นั่น เขาถามหามึง กูบอกไปว่าทำงานเลยไม่ว่างลงมา แม่งก็เหมือนจะปกตินะ แต่สายตาน้องเค้ามองต้นสนอย่างกับจะแดกลงไปทั้งตัว กูคอยสังเกตไม่ได้พูดอะไร ต้นสนสั่งต้มจืด ไปยืนอยู่หน้าหม้อ น้องตาลเป็นคนตักให้ กูไม่ได้อยากจะให้ร้ายน้องเขานะแต่มันเห็นเต็มตาว่าน้องตาลเป็นคนดันหม้อให้ตกลงมา กูรีบเข้าไปดึงต้นสนออกแต่เหมือนจะหกโดนเท้าซ้ายเต็มๆ"

            ผมนั่งฟังเงียบๆ โดยไม่พูดไม่ตอบอะไร ความรู้สึกเริ่มตีกัน ทั้งห่วง โกรธ สงสาร กังวล และเสียใจ

            ผมห่วงต้นสน แผลน้ำร้อนลวกมันทรมานขนาดไหนรู้ดี แค่โดนนิดหน่อยยังเจ็บจะตายแล้วนี่โดนลวกทั้งเท้าเจ้าตัวจะทรมานขนาดไหน

            ผมโกรธ โกรธน้องตาลที่ทำหม้อต้มจืดหกอย่างจงใจ โกรธต้นสนที่ไม่ระวังให้มากกว่านี้ ผมสงสารสนต้นที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะผม กังวลว่าอาการจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน และผมเสียใจที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ถ้าก่อนหน้านี้ผมไม่พลั้งปากพูดว่าคบกับต้นสนน้องตาลจะไม่ทำแบบนี้ ไม่มีทางอย่างแน่นอน

            "โอเคมั้ยวะ"

            "ไม่"

            "มึงโกรธน้องตาล?"

            "โกรธดิ"

            "บางทีน้องเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้ สิ่งที่กูเห็นมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้" ไอ้ว่านพยายามจะแก้ตัวให้ ทั้งที่มันก็รู้ว่าสายไปแล้ว มันเห็นกับตา และผมก็เชื่อในสิ่งที่มันพูดโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

            "กูเข้าใจสถานการณ์ดี มึงไม่ต้องแก้ตัวให้น้องตาลหรอก"

            "มึงจะทำอะไรน้องตาลมั้ยวะ"

            "คงไม่"

            ผมก้มหน้าลง ทอดถอนใจเพื่อสงบสติอารมณ์ โกรธมากก็จริง นึกแค้นอยู่ก็จริง แต่ผมไม่มีความคิดอยากไปเอาคืนหรือทำตัวเป็นพวกแค้นนี้ต้องชำระอะไรแบบนั้น จากนี้คงจบแล้วต่อกัน อย่าได้มาวุ่นวายในชีวิตกันอีกเลย

            "แล้วต้องโทรบอกพ่อแม่ต้นสนป้ะวะ" เรานั่งเงียบกันสักพักไอ้ว่านก็ถามขึ้นมา

            ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย ต้นสนเกิดอุบัติเหตุที่ค่อนข้างร้ายแรงครอบครัวมีสิทธิ์ที่จะรู้และตามมาดูอาการ แต่ผมไม่มีช่องทางติดต่อ อีกอย่าง ผมยังไม่กล้าสู้หน้าพ่อแม่ของต้นสนตอนนี้ เพราะต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนั้นคือผมเอง

            "คงต้องบอกล่ะมั้ง"

            "อะ"

            ไอ้ว่านยื่นมือถือเครื่องหนึ่งมาให้ผม เป็นรุ่นและสีเคสที่ผมจำมันได้แม่น มือถือเครื่องนี้ที่ผมเคยคิดจะขโมยมัน

            "ลืมบอกว่าต้นสนทำตกตอนถูกกูดึงหลบหม้อต้มจืด แล้วกูก็เผลอเก็บใส่กระเป๋ามา มึงเอาไปโทรบอกพ่อแม่เขาแล้วกัน มึงรู้รหัสกันอยู่ใช่มั้ย"

            ผมรับมือถือของต้นสนมา อยากบอกไอ้ว่านเหลือเกินว่าลองสไลด์หน้าจอดูจะพบว่ามันไม่ได้ถูกตั้งรหัสไว้ แถมในเคสยังมีโน้ตบ้าๆ เขียนวิธีการเข้าถึงข้อมูลไว้อีก โน้ตสั่งเสียที่ไม่ยอมเอาออกไปเสียที

            "เดี๋ยวกูมานะ"

            "อืม"

            เพราะเสียงจากห้องฉุกเฉินค่อนข้างวุ่นวายผมเลยลุกออกมาหามุมเงียบเพื่อโทรศัพท์ รวบรวมความกล้าแล้วสไลด์หน้าจอเพื่อปลดล็อค กดดูข้อมูลการโทร เจอชื่อที่บันทึกไว้ว่า 'พระบิดา' เป็นสายที่รับครั้งล่าสุด

            พระบิดาที่ชื่อว่าสาโรจน์ เป็นการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ที่ออกจะกวนประสาทอยู่หน่อยๆ

            ผมกดโทรออกหาพระบิดาของต้นสนด้วยใจลุ้นระทึก รออยู่นานกว่าปลายสายจะรับสาย น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นช่างอบอุ่น คงจะรออยู่ตลอดเวลาเลยสินะสายจากลูกชายคนนี้

            (ว่าไงครับ)

            "สวัสดีครับคุณอาสาโรจน์ ผมปลื้มนะครับ"

            ปลายสายเงียบไปชั่วครู่เมื่อรู้ว่าผมไม่ใช่ลูกชาย ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

            (ปลื้มหรอกเหรอ ว่ายังไง ทำไมเอามือถือต้นสนมาโทรได้ล่ะ)

            ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียบเรียงคำพูดในหัว ตั้งใจกับตัวเองไว้แล้วว่าจะสารภาพทุกอย่าง รวมถึงความผิดที่เป็นต้นเหตุของเรื่องด้วย

            รู้ว่าเป็นความคิดที่โง่ แต่เพราะรู้สึกผิดเกินกว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ผมแค่อยากสารภาพและบอกให้รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ

            "ต้นสนถูกน้ำร้อนลวกครับ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ผมเลยโทรมาแจ้งข่าว"

            ปลายสายเงียบไปอีกครั้งจนผมสังหรณ์ใจไม่ดี ก่อนจะได้ยินคุณสาโรจน์สั่งให้คนเอารถออกแว่วเข้ามาในสาย

            (เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง)

            คุณสาโรจน์รักและหวงลูกชายมาก แม้จะตีกรอบให้แต่ภายในกรอบนั้นเต็มไปด้วยอิสระ หากไม่ล้ำเส้นออกมาอิสระนั้นก็จะไม่ถูกลิดรอน อิสระที่คุณสาโรจน์ยอมให้ต้นสนวาดรูปและรักคนอย่างผม

            ผมเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่รู้ให้คุณสาโรจน์ฟัง ทั้งเกตุการณ์ที่ได้ฟังจากปากไอ้ว่าน และสาเหตุที่เกิดขึ้นจามตัวผม ปลายสายไม่ได้พูดขัดหรือขึ้นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ ทำเพียงรับฟังเงียบๆ ตอบรับบ้างเป็นบางครั้ง และปิดท้ายด้วยประโยคสั้นๆ หลังฟังเรื่องทั้งหมดจบ

            (ฉันคงต้องขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวสักหน่อย)

            เป็นประโยคที่ผมต้องเรียกความกล้าหาญทั้งหมดออกมาเพื่อตอบรับกลับไป

            "ได้ครับ"

 

            การโทรแจ้งข่าวกับคุณสาโรจน์ใช้เวลานานกว่าที่คิด เดินกลับไปที่ห้องฉุกเฉินอีกทีต้นสนก็ทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่งบนรถเข็นมีผ้าพันแผลที่เท้าคุยจ้ออยู่กับไอ้ว่าน พอเจ้าตัวเห็นผมจึงหันมายิ้มให้ ทว่าสีหน้าไร้ความสดใสกับขอบตาแดงๆ ทำให้ผมยิ้มไม่ออก

            ผมพยายามยกยิ้มบางๆ ตอบกลับไป อาจจะบางเบามากจนเหมือนไม่ได้ยิ้มเลยก็ได้ เดินไปนั่งข้างไอ้ว่านตรงหน้าต้นสน ยื่นโทรศัพท์คืนให้แล้วสอบถามอาการ

            "เจ็บมั้ย"

            "โดนแค่เท้าเอง แค่นี้สบายมาก"

            "เจ็บมากใช่มั้ย"

            "ไม่งอแงดิ" ต้นสนก้มตัวมาหา มอบรอยยิ้มที่อ่อนโยนแม้สีหน้าตอนนี้จะหม่นหมองก็ตาม

            "ขอโทษนะ"

            "ทำไมต้องขอโทษ ไม่ใช่ความผิดปลื้มสักหน่อย"

            "ต้นสนรู้"

            "เรารู้แค่ว่ามันคืออุบัติเหตุ" ต้นสนจับมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ มันช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นก็จริง แต่มันไม่ช่วยให้ผมสบายใจได้เลย

            ผมยิ้มให้พลางบีบมือตอบ อยากดึงเจ้าตัวเข้ามากอดแน่นๆ เพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตัวเองอีกสักนิด แต่ตอนนี้คงไม่เหมาะนัก

            "โทรบอกพ่อให้แล้วนะ อีกสักพักคงถึง"

            "บอกด้วยเหรอ โดนบ่นแน่เลยดิแบบนี้"

            "อืม"

            "ไม่ทำหน้าแบบนี้ดิ" ต้นสนปล่อยมือผมเปลี่ยนมาเป็นประกบแก้มทั้งสองข้างแล้วถูไปมา เล่นจนพอใจถึงได้ผละออกแล้วยิ้มอารมณ์ดี

            ผมไม่ได้บอกต้นสนว่าคุยอะไรกับคุณสาโรจน์ไปบ้าง เจ้าตัวคงเข้าใจเพียงว่าผมโทรไปแจ้งว่าลูกชายเกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น

            มาลองคิดดูแล้ว หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงไม่หลุดปากอย่างตั้งใจเล่ารายละเอียดทั้งหมด สาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวอยู่แบบนี้

 

            ครอบครัวของต้นสนมาถึงโรงพยาบาลในครึ่งชั่วโมงต่อมา คุณสาโรจน์ คุณอรวรรณ ต้นกล้า น้องชายที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยม กับชายชุดดำที่ผมเดาว่าเป็นคนขับรถ

            ผมทักทายทุกคนก่อนหลบฉากออกมาปล่อยให้คนในครอบครัวได้แสดงความห่วงใยต่อกัน โดยมีไอ้ว่านที่ยังคอยอยู่เป็นเพื่อน

            จัดการเรื่องค่ารักษาและรับยาเสร็จเรียบร้อยทางครอบครัวก็ขอพาตัวต้นสนกลับไปดูแลที่บ้าน ผมกับไอ้ว่านได้รับคำขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่มันไม่ช่วยลดความกดดันจากสายตาของคุณสาโรจน์ที่มองมาได้เลย

            ก่อนจากกันต้นสนขอเวลาจากครอบครัวชั่วคราว น้องชายเป็นคนเข็นรถมาหาผมก่อนเดินหลบออกไปโดยไม่พูดอะไร ไอ้ว่านเองก็เดินหลบมุมไปนั่งที่อื่นเช่นกัน

            "อยู่คนเดียวไม่เหงาใช่มั้ย"

            "เหงาดิ"

            "ที่บ้านคงไม่ยอมให้ออกจากบ้านจนกว่าจะดีขึ้นแน่ๆ"

            "ดีแล้ว จะได้หายเร็วๆ"

            "มาเยี่ยมกันบ้างนะ" บอกเสียงออดอ้อนทำตัวเหมือนลูกแมวจนอยากลูบหัว แต่ติดที่ว่าครอบครัวเขามองดูอยู่

            "ไปได้ใช่มั้ย"

            "ก็ต้องได้ดิ แล้วก็ต้องมาด้วย"

            "โอเคครับ แล้วจะไปเยี่ยมนะ ถ้าถึงบ้านแล้วโทรมาด้วย"

            "รู้แล้ว"

            เวลาที่มีน้อยทำให้เราพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยได้ไม่มากนัก ผมพาต้นสนไปส่งให้ครอบครัวก่อนน้องชายจะมารับไม้ต่อ บอกลากันอีกครั้งทุกคนก็หันหลังเดินจากไป เหลือเพียงคุณสาโรจน์กับธุระที่ต้องสะสางกับผม เรื่องที่บอกว่าจะขอคุยด้วย

            "เดินไปคุยไปเถอะ"

            ผมเดินตามคุณสาโรจน์เดินออกมาตามทางเดินที่ทอดยาวอย่างเชื่องช้า กลุ่มต้นสนนำอยู่ด้านหน้าไม่ไกลนัก ส่วนไอ้ว่านมันตามผมมาโดยทิ้งระยะมากพอสมควร

            "เธอบอกว่าต้นเหตุอาจเกิดจากเธอใช่มั้ย"

            "ครับ" ไม่ใช่แค่อาจ แต่เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากตัวผม

            "ผมจะไม่ถามว่าเธอรู้ได้ยังไงในเมื่อไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ในเมื่อเธอยอมรับและยืนยันผมเลยไม่คิดว่าต้นสนจะปลอดภัยถ้าอยู่กับเธอ" สิ่งที่คุณสาโรจน์พูดทำให้ผมจุกอยู่ในอก มันอาจจะเป็นบททดสอบหรืออะไรก็ตามแต่

            "มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครับ"

            "เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเธอผมไม่อยากยุ่งด้วยหรอกนะ แต่เธอต้องรู้ว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหน ผมอยากให้ต้นสนเจอคนที่ดีและพร้อมกว่านี้ ฉะนั้นถ้าทำให้ชีวิตลูกผมดีกว่านี้ไม่ได้ก็อย่ามาทำให้แย่ลงจะดีกว่า"

            คำพูดของคุณสาโรจน์ช่างรุนแรงต่อความรู้สึก คำที่ตีความหมายได้ว่าเราไม่เหมาะสมกัน ผมทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับผิด แม้ในใจจะคัดค้านสุดแรงเกิดว่าสิ่งที่คุณสาโรจน์พูดนั้นมันเกินจริง ที่ผ่านมาผมทำให้ชีวิตต้นสนดีขึ้นตั้งเยอะ ขนาดตัวเขาเองยังออกปากชม ทว่าคนเรามักมองความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวสำคัญกว่าความดีที่ทำมาเสมอ

            อยากเถียง แต่ใจไม่ก้าวร้าวพอจะเหิมเกริมกับผู้ใหญ่ได้

            "ผมขอคีย์การ์ดห้องลูกผมคืนแล้วกัน" คุณสาโรจน์หยุดเดินหันมาเผชิญหน้ากับผม แต่ตำขอนี้มันไม่เกินกว่าเหตุไปหน่อยเหรอ

            "ต้องถึงขนาดนั้นเลยเหรอคับ"

            "ผมให้เวลาเก็บของคืนนี้ พรุ่งนี้ผมจะส่งคนมาดู ถ้าเธอยังไม่ยอม ผมจะมาจัดการเอง" พูดจบคุณสาโรจน์ก็หันหลังเดินหนีโดยไม่รอให้ผมคัดค้านใดๆ

            เด็ดขาดและเยือกเย็น

            ตอนนี้ผมเข้าใจประโยคนั้นแล้ว 'ยอมรับแต่ใช่ว่าจะยอมให้ทำ' ที่ต้นสนเคยบอก เข้าใจเป็นอย่างดี

            ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ครอบครัวพาต้นสนกลับไปแล้ว ผมทำทุกอย่างผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย โมโหตัวเองที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะรั้ง สมเพชตัวเองที่คิดว่าหากพูดความจริงทั้งหมดจะได้รับการยอมและผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้ แต่ผมคิดผิดทั้งหมด ผิดตั้งแต่ที่คิดจะพูด

            "ไปมึง กลับกัน" มือไอ้ว่านวางบนไหล่ผม มันคือที่พึ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่ตอนนี้

            ผมเดินตามไอ้ว่านไปยังป้ายรถเมล์หน้าโรงพยาบาล เอ่ยขอบคุณมันอีกครั้ง และบอกอีกหนึ่งคำขอที่ผมไม่รู้จะพึ่งใครแล้วนอกจากมัน

            "เออว่าน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้กูขอย้ายไปอยู่กับมึงสักพักนะ"

            "ทำไมวะ"

            ไอ้ว่านขมวดคิ้วสงสัย แต่ผมยังไม่ทันได้ตอบมันก็โพล่งออกมาก่อน

            "อ๋อ ต้นสนกลับไปอยู่บ้านแล้วกลัวเหงาอ่ะดิ ไม่เป็นไร จนกว่าต้นสนจะกลับมากูจะดูแลมึงเอง" มันว่าเสียงร่าเริงกระโดดเข้ามากอดคอ

            ผมไม่คิดว่าที่นี่เหมาะจะพูดเลยปล่อยให้ไอ้ว่านเข้าใจไปแบบนั้น อยากลองกลับไปนอนคิดสักคืน ทบทวนเรื่องราวดูใหม่ แล้วผมจะหาทางออกที่มันดีกว่านี้ให้เจอ

 
TBC

 
ก่อนจะจบก็ขออีกสักนี้สสสส เพื่อเป็นพิสูจน์ความรัก แฮ่

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

ป.ล. พรุ่งนี้มีภารกิจที่สำคัญด้วยค่ะ มันคือสนามรบ ขอให้ทุกคนที่คิดจะทำการพรุ่งนี้สุขสมหวัง รวมถึงเราด้วยยยยย สาธุ!!

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
ถึงกับยึดคีย์การ์ดเลยหรอ :katai1:

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
คุณสาโรจน์ ใจร้ายยยย!!!!

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮืออออออ คุณพ่อต้นสนใจร้ายมาก :hao5:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มาม่าคว่ำแบบไม่รู้ตัว

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
คุณพ่อโหดก็จริง แต่เป็นความจริงขั้นพื้นฐานเลยนะ ที่ว่าถ้าทำให้ดีขึ้นไม่ได้ก็ไม่ควรทำให้มันแย่ลง คงอยากเห็นความพยายามที่จะรักกันคุณพ่อถึงต้องโหด แต่ปลื้มกล้าหาญมากนะ น่าจะได้คะแนนความจริงใจ เราว่าเราควรตามอารี่มาเสริมทัพจริงๆนะ555555

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เข้าใจคุณพ่อนะคะ แต่ก็สงสารปลื้มด้วย แง  :ling3:

ออฟไลน์ StarPasO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารปลื้มจัง ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะ  :hao5:

ออฟไลน์ somberness

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
พระบิดาดุแบบผู้ดีมากอ่ะ
ส่วนน้องตาล :z6: :z6: เอานี้ไปกินซะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ papa_prasy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ถ้าต้นสนรู้คุณพ่อสาโรจน์น่าจะโดนลูกชายเหวี่ยงนะ  :hao7: :katai4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โอ้ยยยย โมโหแทน!! ถ้าปลื้มไม่อยากจัดการเราอมุดจอเข้าไปตบนังเด็กตาลเองได้ไหม หมั่นไส้ ผู้ชายเขาไม่รักแล้วยังวอแวอยู่ได้หรือไม่ก็ให้พ่อต้นสนแจ้งตำรวจจับเลยจะได้สำนึกบ้าง  :fire:  :m16:

ออฟไลน์ HeIsMine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2
อย่าคิดมากนะปลื้มมมม :hao5:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
ตอนที่ 26

 
            "แล้วมึงก็ยอมให้เขายึดคีย์การ์ดไปเนี่ยนะ" ไอ้ว่านโพล่งออกมาเสียงดังหลังจากผมเล่าเรื่องที่คุยกับคุณสาโรจน์ทั้งหมดให้มันฟัง

            ความจริงผมตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ รอหาหอได้ก่อนค่อยย้ายออกจากห้องไอ้ว่านอย่างเงียบเชียบ หาเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นอ้างไปเรื่อยๆ มันคงไม่สงสัยอะไรมาก แต่แผนดันมาแตกอย่างรวดเร็วในวันรุ่งขึ้นตอนคุณสาโรจน์ส่งคนมาหาผม ไอ้ว่านได้ยินทุกประโยคที่น่าสงสัย พอเริ่มจับเรื่องราวได้มันก็แทบถีบไล่ผมออกจากห้องอีกคน

            "แล้วมึงจะให้กูทำยังไง"

            "ทำยังไงก็ได้ที่ไม่ใช่แบบนี้เว้ย! ทำไมมึงป๊อดแบบนี้วะ แล้วเป็นห่าอะไรไปเล่าว่าเป็นความผิดตัวเองแบบนั้น มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังหรือไง มึงไม่รักต้นสนแล้วเหรอถึงได้ยอมถอยง่ายๆ ถ้ากูเป็นแฟนมึงนะกูโคตรผิดหวัง" ไอ้ว่านยืนด่ายาวเป็นชุดจนผมสำนึกผิดไม่ทัน มันถอนหายใจใส่ผมหนึ่งทีก่อนกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา

            ผมปล่อยให้มันสงบสติอารมณ์โดยไม่พูดอะไร ระหว่างนี้ก็คิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปด้วย ข้าวของของผมส่วนใหญ่ขนมาไว้ที่ห้องไอ้ว่านแล้ว คีย์การ์ดก็คืนให้คนของคุณสาโรจน์ไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าผมยังไม่ได้เลิกกับต้นสน แม้จะโดนพ่อเจ้าตัวพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจมาก็ตาม ยังไงซะผมก็ไม่มีทางยอมเลิกง่ายๆ เด็ดขาด แค่ถอยมาตั้งหลักเท่านั้น

            "แล้วมึงจะทำยังไงต่อ" ไอ้ว่านถามหลังจากอารมณ์เริ่มเย็นลง

            "คงหาหอก่อน"

            "กูหมายถึงเรื่องต้นสน เค้ารู้หรือเปล่าว่ามึงโดนยึดคีย์การ์ดไปแล้ว"

            "เหมือนจะยังไม่รู้"

            เมื่อวานหลังกลับจากโรงพยาบาลผมยังคุยกับต้นสนปกติ เจ้าตัวย้ำแล้วย้ำอีกว่าแผลที่เห็นไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด พูดซ้ำๆ ให้กำลังใจผมว่าอย่าคิดมาก เป็นแบบนี้คงยังไม่รู้แน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ไม่รู้ด้วยว่าคุณสาโรจน์มาคุยกับผมเป็นการส่วนตัว

            "แล้วตกลงมึงจะเอายังไงต่อ"

            "กูยังไม่ได้เลิกกับต้นสนนะ กูกับเขายังเข้าใจกันดี"

            "เพราะต้นสนยังไม่รู้ไงว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นแบบนี้เท่ากับโดนกีดกันนะ มึงจะทำตัวเอื่อยเฉื่อยไม่ได้ หรือมึงจะยอมให้เป็นเหมือนแฟนคนก่อนๆ มีปัญหาก็จบด้วยการเลิกกันไป"

            "ไม่ คือกู"

            "มึงรักต้นสนจริงๆ ป้ะวะ"

            ทุกคำพูดของไอ้ว่านเหมือนเอาค้อนมาทุบหัวผม เชือดเฉือนตรงประเด็นประชดประชันแบบไม่เกรงใจ เป็นเพื่อนกันมาเกือบสองปีมันรู้เกี่ยวกับเรื่องราวความรักของผมดี ไอ้ความเอื่อยเฉื่อยคล้ายไม่จริงจังนั่นก็ด้วย แต่กับต้นสนไม่ใช่ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมไม่มีความคิดเลยว่าอยากตัดปัญหาด้วยการเลิกลา

            "กูรักต้นสนจริงๆ"

            "งั้นก็ทำอะไรสักอย่างไม่ใช่ยอมให้พ่อเขายึดคีย์การ์ดไล่ออกจากห้อง แล้วบอกว่ามึงเป็นตัวทำให้ชีวิตลูกเขาแย่เพียงเพราะเด็กเมื่อวานซืนขี้อิจฉาที่ชอบมึง ไอ้ควาย!" คำด่าชัดเต็มสองหูมากกว่าทุกคำที่มันพร่ำบ่นมา

            ผมยิ้มขำให้กับความขี้ขลาดของตัวเอง ยกให้ไอ้ว่านเป็นที่ปรึกษาด้านปัญหาชีวิต ทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน หรือแม้แต่เรื่องความรักยังได้มันคอยช่วยเหลือ

            "ขอบใจมึงมากนะ"

            "เออ! แม่ง! หงุดหงิด! หิว!" มันสบถใส่อารมณ์ทุกคำ ทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมไม่พอยังลุกหนีเดินเข้าไปในครัว

            กินให้หายอารมณ์เสียนะเพื่อนรัก แล้วช่วยกูคิดต่อด้วยว่าจะเอายังไงกับชีวิตตอนนี้ดี

 

            สามวันแล้วที่ต้นสนหยุดเรียนเพื่อพักรักษาตัวอยู่บ้าน เรายังติดต่อกันทุกวัน คุยเล่นเหมือนปกติ ผมตัดสินใจจะย้ายกลับไปอยู่หอเดิมหากไม่สามารถกลับไปอยู่ด้วยกันได้จริงๆ ที่สำคัญต้นสนยังไม่รู้เลยว่าผมโดนคุณสาโรจน์ยึดคีย์การ์ดไปแล้ว

            ตลอดสามวันที่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่อาการของต้นสนดีขึ้นตามลำดับ แผลน้ำร้อนลวกระดับสองไม่ลึกมากใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์ก็หาย แต่มันจะกลายเป็นบาดแผลที่ทำให้ผมรู้สึกผิดไปตลอดนับจากนี้

            เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากงาน ป้านกเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย วันที่เกิดเรื่องแม้จะไม่ได้ตามมาที่โรงพยาบาลแต่ป้านกยังติดต่อกลับมาเพื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ส่วนคนต้นเรื่องอย่างน้องตาลนับจากวันนั้นมาผมก็ไม่เห็นหน้าเธออีกเลย

            (ใกล้ถึงหรือยัง)

            "ซอยสิบสองใช่มั้ย"

            (ใช่แล้ว เราให้ลุงพันออกไปรอรับ ปลื้มเคยเจอที่โรงพยาบาลน่ะ จำหน้าแกได้เปล่า)

            ผมมองหาลุงพันคนขับรถของบ้านต้นสนตามที่เจ้าตัวบอก ก่อนจะเห็นผู้ชายชุดดำที่ขับมอเตอร์ไซค์ออกมาพอดี

            วันนี้ผมมาเยี่ยมต้นสนที่บ้าน เสนอตัวมาเองโดยไม่ต้องมีใครชวน คิดถึง อยากมาดูอาการ และคุยเรื่องสำคัญที่ต้องบอกให้รู้ แม้ใจยังเกรงกลัวกับการเผชิญหน้ากับคุณสาโรจน์ แต่ได้ข่าวจากลูกชายมาว่าวันนี้พ่อแม่ไม่อยู่บ้านเพราะติดงานที่บริษัท ความกล้าหาญที่จะบุกมาถึงบ้านจึงเพิ่มขึ้นมาเป็นกอง

            ลุงพันที่มีน้ำใจออกมารับขับรถมาจอดตรงหน้าผม ลุงแกยิ้มโชว์ฟันหน้าล่างที่หายไปหนึ่งซี่

            "คุณปลื้มใช่มั้ยครับ"

            "เจอลุงพันแล้ว แค่นี้ก่อนนะ สวัสดีครับลุง" ผมบอกต้นสนก่อนตัดสาย เก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงยกมือไหว้ลุงพันที่รีบรับไหว้ทันที

            "ขึ้นมาเลยครับ บ้านอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ลุงเลยไม่ได้เอารถยนต์ออกมารับ"

            "แค่มารับก็ขอบคุณมากแล้วครับลุง"

            ผมก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายลุงพันก็ออกรถทันที ขับเข้าไปในซอยที่มีแต่บ้านหลังใหญ่หรูๆ ก่อนเลี้ยวเข้าบ้านหลังหนึ่งที่แบ่งอาคารในพื้นที่บ้านเป็นหลังเล็กใหญ่สองหลัง ความกว้างขวางและหรูหราที่เห็นแล้วต้องทึ่ง

            ต้องรวยขนาดไหนกันผมถึงจะซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ได้

            เมื่อคนนอกเข้ามาในเขตบ้านก็ได้ยินเสียงหมาก็เห่ากันระงม ลุงพันจอดรถในที่จอดหน้าบ้านชั้นเดียว ข้างกรงหมากรงใหญ่ ฝูงหมาตัวตอของบ้านยังเห่ากันไม่เลิกจนผมชักเกรงใจที่ทำให้พวกมันเสียงดัง กระทั่งลุงพันจอดรถลงไปยืนว่าพวกมันถึงได้เงียบ

            ฝูงหมาที่ผมเคยเห็นจากรูปที่ต้นสนถ่ายมากับตัวจริงไม่สูงใหญ่นัก พวกมันตัวไล่ๆ กัน ยื่นจมูกออกมานอกกรงมองผมด้วยความสนใจ พอผมเดินเข้าไปใกล้มันก็เห่า เลยโดนลุงพันดุอีกรอบ ผมควรจะอยู่ห่างๆ พวกมันดีกว่า

            "ปกติจะปล่อยมันวิ่งเล่นครับ แต่ช่วงนี้ต้องขังมันไว้เพราะคุณต้นสนเจ็บอยู่" ลุงพันบอก ซึ่งผมก็เห็นด้วย หรือไม่ก็ขังพวกมันตอนที่ต้นสนอยู่บ้านไปเลยก็ได้

            "ปกติเล่นกันแรงมั้ยครับ ผมเห็นต้นสนได้แผลกลับไปตลอดเลย"

            "ก็แรงเอาเรื่องครับ พวกมันชอบกระโดดใส่ คุณต้นสนก็ยอมให้มันรุม ได้รอยข่วนมาประจำ"

            "ผมก็ได้บ่นเขาประจำเหมือนกัน"

            ลุงพันหัวเราะชอบใจ ก่อนผายมือไปยังสนามหญ้าเล็กๆ ข้างบ้านสองชั้น ตรงนั้นมีศาลาไม้และน้ำตก ต้นสนนั่งอยู่ในศาลา ชะเง้อมองมาอย่างรอคอย ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเราสบตากัน

            "คุณต้นสนอยู่ตรงนั้นนะครับ ลุงขอตัวก่อน"

            "ขอบคุณมากครับ"

            ผมยกมือไหว้ลุงพันก่อนเดินตรงไปยังศาลาไม้ นั่งลงตรงข้ามต้นสน วางของเยี่ยมบนโต๊ะที่มีทั้งโน้ตบุ๊ก ชีทเรียน กระดาษและอุปกรณ์วาดรูป

            "ทำงานอยู่เหรอ"

            "การบ้านเยอะมากเลย ไหน ซื้ออะไรมาให้" ต้นสนแทบจะโยนงานที่ทำอยู่ทิ้ง คว้าถุงของฝากที่ผมซื้อให้ไปเปิดดูแล้วยิ้มร่า

            "เค้กช็อคหน้านิ่ม"

            สำหรับผมจะเรียกบ้านหลังนี้ว่าคฤหาสน์คงไม่ผิดนัก ใหญ่โตกว้างขวาง มีอาคารถึงสองหลัง ซึ่งหลังเล็กชั้นเดียวตรงลานจอดรถนั้นผมเดาว่าน่าจะเป็นเรือนของลูกจ้าง บรรยากาศในสวนก็ร่มรื่น เห็นต้นสนเคยบอกว่ามีสระว่ายน้ำสำหรับสุนัขอยู่หลังบ้านด้วย

            ผมกวาดตามองรอบบ้าน ทั้งที่เป็นวันหยุดแต่บ้านหลังนี้กลับเงียบสงบเหมือนไม่มีคนอยู่ ความจริงผมควรเดินสายทักทายเจ้าของบ้าน แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นใครเลยนอกจากลุงพัน

            "ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอ"

            "พ่อกับแม่ไปบริษัทไง ส่วนกล้าออกไปเรียนพิเศษ" ต้นสนแกะกล่องเค้กสำเร็จพอดี หยิบช้อนแล้วยื่นมาให้ผมหนึ่งคัน ผมรับมันไว้แล้วถามกลับ

            "งั้นก็อยู่บ้านคนเดียวอ่ะดิ"

            "อยู่กับลุงๆ ป้าๆ น่ะ"

            ผมพยักหน้ารับ สนต้นเริ่มลงมือกินเค้ก ตักเข้าปากพยักหน้าเออออบอกอร่อย ผมเลยลุกขึ้นเดินอ้อมไปนั่งข้างเจ้าตัว ไม่ใช่ว่าอยากแย่งเค้กกิน แต่อยากนั่งใกล้ๆ กันมากกว่า

            "แล้วแผลเป็นไงบ้าง"

            "ดีขึ้นเยอะแล้ว"

            "เจ็บอยู่หรือเปล่า"

            "ไม่เจ็บแล้ว"

            "ขอโทษนะที่..."

            "ไม่เอาดิ อย่าดึงดราม่า อะ อ้าม"

            ขัดผมพูดไม่พอยังตักเค้กมาจ่อปาก ผมเลยต้องหยุดพูดแล้วกินมันเข้าไป เค้กราคาแพงรสชาติอร่อยไม่เลว เป็นร้านดังที่ผมลงทุนซื้อมาฝากต้นสนโดยเฉพาะ

            "อร่อยเนอะ" ต้นสนส่งช้อนที่เพิ่งออกจากปากผมเข้าปากตัวเองคล้ายจะเก็บเนื้อเค้กที่เหลือติดช้อนอยู่กินให้หมด

ทำแบบนี้ตั้งใจยั่วกันชัดๆ

            ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ มองต้นสนดึงช้อนออกจากปากแล้วยกยิ้ม อยากจะจูบหนักๆ สักทีให้หายคิดถึง แต่ริมฝีปากยังไม่ทันสัมผัสกันเสียงของหญิงสูงวัยก็ทำให้ผมต้องผละออกมา

            "ป้าเอาน้ำกับขนมมาให้ค่ะ"

            ผมขยับตัวออกห่างจนอยู่ในระยะปลอดภัยก่อนหันมองตามต้นเสียง คุณป้าท่าทางใจดียืนยิ้มแฉ่ง ในมือถือถาดขนมกับน้ำยกวางไว้ให้บนโต๊ะ

            "นี่ป้าจิต"

            "สวัสดีครับ"

            "ส่วนคนนี้แฟนต้นสนเอง"

            ผมหันขวับไปมองคนพูดตาแทบถลน เล่นแนะนำกันแบบนี้เลยเหรอ

            "แหม ป้ารู้ค่า ตามสบายนะคะคุณปลื้ม ป้าไม่กวนแล้ว" ป้าจิตยิ้มหวานก่อนเดินจากไป แต่ผมยังตกใจไม่หาย แล้วก็ไม่ชินด้วยกับการถูกเรียกว่าคุณ

            "บอกป้าแกด้วยเหรอ"

            "ก็รู้กันทั้งบ้านนั่นแหละ" ต้นสนพูดเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กล้าบอก กล้ายอมรับ ในขณะที่ผมยังไม่กล้าบอกกับที่บ้าน แล้วมันต้องใช้ความกล้าขนาดไหนกันถึงจะพูดเรื่องนี้ออกมาได้

            กำลังนั่งเรื่องเครียดๆ จนคิ้วขมวดต้นสนก็ตักเค้กมาจ่อที่ปากอีกครั้ง สลับกันกินสลับกันป้อนจนหมดแล้วลามไปกินน้ำกับขนมที่ป้าจิตเอามาให้ต่อ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู จนกระทั่งต้นสนเอ่ยปากชวนขึ้นมา ผมถึงคิดได้ว่าเราควรจะย้ายตัวออกจากศาลานี้ได้แล้ว

            "ไปห้องเรากัน"

            "ไปยังไงอะ เดินไหวใช่มั้ย" ผมมองเท้าที่ยังพันผ้าพันแผลอยู่ จะว่าไปแล้วก็อยากทายาทำแผลให้อยู่เหมือนกัน

            "ไหวดิ แค่เจ็บขา ไม่ได้ขาขาด" ตอบคำถามได้กวนประสาทจนอยากจะหยิกเสียให้ช้ำ

            "แล้วตอนมามายังไง"

            "ก็เดินมานี่แหละ ไม่ต้องมาขมวดคิ้วใส่ ไม่ได้เจ็บปางตายสักหน่อย" ต้นสนว่าแล้วยิ้มล้อ แล้วผมจะเป็นห่วงไม่ได้หรือไง ภาพที่เจ้าตัวนั่งรถเข็นน้ำตาซึมวันนั้นยังติดตา จนไม่อยากให้ฝืนเดินเหินไปไหนถ้าไม่จำเป็น

            "ก็เป็นห่วง กลัวเจ็บ"

            "ถ้างั้นขี่หลังได้มั้ย ไหวเปล่า" ท้าทายทั้งสีหน้าและน้ำเสียง แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างผมจะไม่กล้า

            "ให้อุ้มท่าเจ้าหญิงยังไหว"

            เราจดจ้องกันไปมา ยังไม่ทันได้ข้อสรุปต้นสนก็พับเก็บโน้ตบุ๊ก เก็บชีทมารวมกัน เก็บขยะใส่ถุง ก่อนชี้ให้ผมไปนั่งรอ แปลงร่างเป็นม้าเตรียมพาคุณหนูขึ้นห้องนอน

            ผมรับเล่นตามบทโดยไม่อิดออด เดินลงจากศาลาแล้วย่อตัวลง ล็อกแขนขาให้ปลอดภัยหลังจากต้นสนปืนขึ้นหลังเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทาง

            "แล้วกระเป๋าอ่ะ"

            "ทิ้งไว้นี่แหละ ไม่มีใครขโมยหรอก"

            ผมเริ่มออกเดินหลังจากได้รับคำยืนยันจากเจ้าของบ้าน เห็นตัวผอมบางแบบนี้ก็หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ไม่หนักเกินกำลังของผม แฟนทั้งคนถ้าแบกยังไม่ไหวแล้วจะดูแลทั้งชีวิตได้ยังไง จริงไหม

            เล่นขี่ม้าส่งเมืองกันมาถึงบันไดผมก็วางต้นสนลง ห้องนอนของเจ้าตัวอยู่บนชั้นสอง จะให้แบกเดินขึ้นบันไดนั้นอันตรายเกินไป ผมเลยใช้วิธีช่วยพยุงขึ้นไปแทน

            ห้องที่คอนโดว่ารกแล้วห้องที่บ้านหลังนี้ไม่ได้ต่างกันนัก พื้นที่กว้างมีเตียงคิงไซซ์กับเฟอร์นิเจอร์ครบครัน การตกแต่งเป็นโทนขาวเทาดำ เพิ่มความมืดมนได้อีกเป็นเท่าตัว

            เปิดประตูเข้ามาในห้องได้ผมก็ช้อนต้นสนขึ้นอุ้มในท่าเจ้าหญิง ใช้เท้าดันประตูปิดเดินตรงไปที่เตียงวางเจ้าตัวให้นอนลงแล้วคร่อมเอาไว้

            ในที่สุดก็ได้อยู่ในที่ลับตาคนสักที

            "ทนไม่ไหวแล้วเหรอ" ต้นสนถามกลั้วหัวเราะ ยกแขนขึ้นคล้องดึงให้ผมโน้มลงไปใกล้

            เป็นแบบนี้จะว่าผมฝ่ายเดียวคงไม่ได้ในเมื่ออีกคนยินยอมพร้อมใจ ไม่ได้เจอหน้าไม่ได้สัมผัสกันมาหลายวันมันต้องมีความต้องการกันบ้างล่ะ

            "เอาไงดี ไม่มีใครอยู่บ้านด้วยดิ" ผมแกล้งถาม

            "นั่นดิ เอาไงดี"

            โดนยิ้มยั่วแบบนี้ความอดทนของผมก็หมดลง ก้มลงไปกดจูบหนักๆ อย่างกระหาย สอดมือเข้าใต้เสื้อยืดตัวบางสัมผัสผิวกายที่คิดถึง ริมฝีปากดูดดึงเกลียวลิ้นหยอกล้ออย่างไม่มีใครยอมใคร ผละออกแล้วเข้าหากันใหม่อย่างไม่รู้จักพอ

            "ปากช้ำหมดแล้ว" ต้นสนบ่นหลังจากผมละจากริมฝีปากไปคลอเคลียที่ต้นคอ แล้วใครกันที่สอดมือมากดหัวผมไว้จนจูบแนบชิดได้ขนาดนั้น พูดแบบนี้อยากจะทำให้ปากช้ำยิ่งกว่าเดิม

            ผมฝังจมูกลงที่ต้นคอก่อนขยับขึ้นไปฝังเขี้ยวใต้หู ขบเม้มเบาๆ หวังให้เกิดรอยแข่งกับไอ้หมาบ้าพวกนั้น ถือว่ายังใจดีที่ผมไม่ทำในที่ที่เห็นชัดจนเจ้าตัวต้องลำบากใจ

            แต่ก่อนความใกล้ชิดจะทำให้เกิดแรงอารมณ์ไปมากกว่านี้ผมต้องยับยั้งใจแล้วดันตัวลุกขึ้น ดึงเสื้อที่เลิกขึ้นไปเกือบถึงอกให้กลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิม เล่นเอาเจ้าตัวทำหน้าขัดใจ

            "รอให้หายดีก่อนแล้วกัน" ผมยกมือขึ้นยีผมยุ่งของต้นสนจนมันยุ่งกว่าเดิม ตั้งใจมาเยี่ยมไข้ ไม่ได้ตั้งใจมาทำให้อาการหนักกว่าเดิม

            ต้นสนเขยิบตัวหลบให้ผมนอนลงข้างๆ เรากุมมือกันไว้แล้วหลับตาลง ผมอยากหลับสักงีบ อยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่แบบนี้ ไม่อยากกลับไปเผชิญความจริงที่ไม่มีต้นสนอยู่

            "เหงามั้ย" ต้นสนถามพลางขยับมาหนุนแขนแล้วกอดผมเอาไว้

            "เหงาดิ"

            "เดี๋ยวหายกลับไปอยู่ด้วยก็ไม่เหงาแล้ว"

            ได้ฟังประโยคนี้แล้วรู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจ ผมหลับตานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้นแล้วพูดสิ่งที่ตั้งใจจะมาบอกออกไป

            "จากนี้คงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วล่ะ"

            "ทำไมพูดแบบนี้อะ" ต้นสนผงกหัวขึ้นมาจ้องผม ทำปากคว่ำบอกให้รู้ว่าอย่าพูดเล่น

            "โดนคุณอายึดคีย์การ์ดไปแล้วนะ"

            "คืออะไรโดนยึด" คราวนี้ลุกขึ้นนั่งตัวตรงถามเสียงเครียดกว่าเดิม ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งตาม รวบรวมสติและคำพูด กระชับเรื่องราวให้คนฟังเข้าใจให้ได้มากที่สุด

            "เราเล่าเรื่องน้องตาลให้คุณอาฟัง เขาบอกว่าเราคือสาเหตุ อยากให้เลิกยุ่งแล้วขอคีย์การ์ดคืน"

            ต้นสนทำหน้านิ่งแล้วเงียบ เป็นไปได้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจใจบอกอาจจะกระชับจนจับใจความได้ยากเกินจะทำความเข้าใจได้ในทันที

            "เราคืนคีย์การ์ดให้พ่อต้นสนไปแล้วนะ"

            "แล้วปลื้มก็ยอมคืนง่ายๆ น่ะเหรอ" ต้นสนเสียงดังจนคล้ายตะคอก ผิวขาวซับสีเลือดแต่ไม่ใช่อาการเขินอายอย่างทุกที เจ้าตัวกำลังโกรธ และโกรธมากด้วย

            ผมหมดคำแก้ตัวเนื่องจากยอมคืนคีย์การ์ดให้ง่ายๆ โดยไม่มีการคัดค้านหรือตอบโต้ใดๆ เพราะผมทำแบบนั้นไม่ได้ ทั้งความกล้าและเหตุผลหลายๆ อย่าง รวบถึงระดับชั้นทางสังคม ผมมันไม่ต่างจากลูกจ้างต๊อกต๋อย เพียงคุณสาโรจน์สั่งก็พร้อมยอมทำตามทุกอย่างโดยไม่อาจขัดขืน ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้

            ต้นสนโกรธจนหน้าแดง อารมณ์เสียรุนแรงขนาดผมจะยื่นมือไปจับยังเบี่ยงหลบ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความห่วงใยกันอยู่

            "แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน"

            "ห้องไอ้ว่าน"

            "ปลื้มทำไมไม่บอกเราอะ"

            "ก็คิดว่าคุณอาจะบอกแล้ว"

            "อย่าคิดเองดิวะ"

            อารมณ์รุนแรงขึ้นๆ ลงๆ จนผมชักเดาไม่ถูก ต้นสนจ้องกันเขม็ง ผมรู้ว่าตัวเองขี้ขลาด แต่ไม่เคยคิดอยากแยกจากกันเลยจริงๆ

            "แล้วไง ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วเหรอถึงได้ยอมคืนง่ายๆ"

            "ไม่ใช่แบบนั้น"

            "แล้วแบบไหน"

            ผมพ่นลมหายใจออกมาแล้วก็เงียบ พยายามคิดหาข้อแก้ตัวที่ฟังแล้วดูดี ทว่ากลับเห็นแต่ความขี้ขลาดในตัวเอง

            "ปลื้มกลับไปก่อนไป"

            "เดี๋ยวดิ เรา"

            "กลับไปเหอะ เราอารมณ์ไม่ดีว่ะ ยังไม่อยากทะเลาะ"

            เรายังจ้องตากันไม่เลิก แน่นอนว่าผมไม่มีทางยอมง่ายๆ หากยังคุยไม่รู้เรื่อง แต่ผมว่ามันแปลก อยู่ด้วยกันใช่ว่าไม่เคยทะเลาะกันเลย ทุกครั้งที่ผิดใจกันต้นสนจะพุ่งเข้าชนและเคลียร์ให้มันจบไป ทว่าครั้งนี้กลับไม่ แม้ว่าผมอยากอธิบายให้ดีกว่านี้แต่เพราะน้ำเสียงกับคำขอที่เอ่ยออกมาทำให้ผมยอมถอยออกมาโดยดี

            "กลับไปก่อนเถอะนะ"



----------- ต่อด้านล่าง -----------

 

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
 

            ผมต้องทำอะไรสักอย่าง

            ครอบครัวต้นสนทำธุรกิจร้านอาหาร เจ้าตัวไม่เคยบอกแต่ผมพอจะมีความสนใจใคร่รู้เรื่องของคนรักอยู่บ้าง นามสกุลที่ยาวห้าพยางค์ยังช่วยให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น ทั้งในอินเตอร์เน็ต หรือนิตยสารแวดวงธุรกิจ

            หลังจากที่เอาแต่ทำตัวเป็นเต่าในกระดอง ผมต้องเค้นความกล้าอันน้อยนิดเพื่อเผชิญกับความกลัวดูสักตั้ง

            "ลุงพันครับ"

            "ครับคุณปลื้ม" ลุงพันตอบรับขณะที่สายตายังมองถนนด้านหน้า

            ขากลับออกมาจากบ้านต้นสนให้ลุงพันออกมาส่งผมเหมือนเดิม ต่างตรงที่รอบนี้เป็นรถยนต์ เพราะลุงแกต้องไปรับเจ้านายทั้งสองกลับบ้านพอดี และผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้อง

            "ถ้าผมอยากพบคุณสาโรจน์ต้องทำยังไงบ้างครับ"

            สารถีประจำบ้านเลิกคิ้วแปลกใจเหลือบมามองแวบหนึ่งก่อนจะตอบ

            "ปกติก็ต้องนัดล่วงหน้า คุณปลื้มจะนัดตกลงธุรกิจอะไรหรือครับ" ลุงพันถามแกมหยอก

            ผมหัวเราะแห้ง ทั้งตื่นเต้นทั้งกลัว ใจเต้นรัว เหงื่อเริ่มออกมือแถมยังรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว สีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ขันของผมคงไปสะกิดใจลุงพันเข้า แกถึงได้บอกผมให้ใจเย็นและยังเอ่ยต่อว่า

            "งั้นไปด้วยกันนี่แหละครับ เดี๋ยวลุงพาไปหาคุณสาโรจน์เอง"

 

            ลุงพันจอดรถที่ตึกสูงย่านในเมือง ลุงบอกว่าที่นี่มีสำนักงานใหญ่ของบริษัท คุณสาโรจน์มีนัดประชุมและกำลังจะกลับ ความจริงจะให้ผมรออยู่ที่บ้านก็ได้ แต่เพราะเพิ่งทะเลาะกับต้นสน แถมยังโดนไล่ออกจากบ้านจึงไม่เหมาะนัก ถ้าผมได้พูดคุยกับคุณสาโรจน์เป็นการส่วนตัวน่าจะดีกว่า

            หลังจากรถจอดสนิทผมเดินลงจากรถออกมายืนรอข้างลุงพัน ไม่นานนักคุณสาโรจน์กับคุณอรวรรณก็เดินตรงมาทางนี้ เขาสังเกตเห็นผมทันที ผมยกมือไหว้ขณะที่ถูกมองด้วยสายตาเรียบเฉยไร้แววยินดียินร้ายใดๆ

            "เธอมาทำอะไรที่นี่" เสียงทุ้มทรงอำนาจเอ่ยถาม สายตานั้นช่างดูน่ากลัว ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่ถูกมอง หากแต่ลุงพันเองก็ถูกตำหนิทางสายตาด้วยเช่นกัน

            "ผมอยากคุยเรื่องต้นสนครับ"

            ผมไม่รู้ว่าใช้คำพูดถูกไหม คนฟังจะพอใจกับประโยคที่ได้ยินหรือเปล่า สำหรับคุณอรวรรณแม่ขอต้นสนนั้นท่านดูไม่มีความเห็นมากนั้น ผิดกับคุณสาโรจน์ที่ตอบสวนกลับมาทันที

            "คุยไปแล้วจะได้อะไร"

            นั่นสิ คุยไปแล้วจะได้อะไรถ้าคนฟังไม่ยินดีที่จะเปิดใจรับ แต่อย่างน้อยผมก็ยังได้พยายาม

            "อยากให้คุณอาฟังครับ แผนในอนาคตของผม"

            รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏที่มุมปากก่อนจะกลับเป็นเรียบนิ่ง คุณสาโรจน์มองผมไม่วางตา ความยิ่งใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกตัวหดเล็กลงทีละนิดๆ เหมือนมดที่จะถูกบี้ให้ตายเมื่อไรก็ได้ จนเมื่อประโยคถัดไปถูกเอ่ยออกมา มันทำให้ผมพอจะเห็นแสงสว่างที่อยู่ปลายเส้นทางอยู่บ้าง

            "งั้นผมขอฟังแผนของเธอหน่อยแล้วกัน"

 

            สถานนีที่รับฟังแผนในอนาคตของผมอยู่ห่างจากที่ตั้งบริษัทไม่ไกลนัก ที่แห่งนี้คือหนึ่งในสาขาร้านอาหารของครอบครัวต้นสน เป็นร้านอาหารไทยต้นตำรับ ภายในตบแต่งเรียบง่ายหากแต่ดูหรูหราชนิดที่ผมไม่กล้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาคนเดียว ถึงอย่างนั้นราคาอาหารก็ไม่ได้สูงจนเอื้อมไม่ถึงนัก

            บนโต๊ะอาหารมีผม คุณสาโรจน์ และคุณอรวรรณอยู่เพียงสามคน เป็นโต๊ะด้านในสุดที่มีฉากกั้นจนเหมือนห้องส่วนตัว อาหารไทยหน้าตาหน้ากินถูกนำมาเสิร์ฟทันทีเมื่อเรามาถึง บรรยากาศคล้ายจะเป็นกันเอง แต่มือผมกับเย็นเฉียบจนเหมือนถูกแช่แข็งไปเรียบร้อยแล้ว

            ตื่นเต้น...และตื่นกลัว

            "กินไปคุยไปก็แล้วกัน" คุณสาโรจน์ว่า ขณะที่ผมยังไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นหยิบช้อนส้อม และเป็นคุณอรวรรณเองที่ช่วยพูดให้ผมผ่อนคลายได้บ้าง ไม่ใช่เพราะคำพูดเพียงอย่างเดียวแต่เป็นเพราะน้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟังนั่น

            "มีอะไรก็พูดได้เลยนะ แม่ยินดีรับฟัง"

            อย่างน้อยคุณอรวรรณก็ยังยอมรับให้ตัวผม ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรือคนรักของลูกชาย

            "ผม...ตั้งใจไว้แล้วครับ แม้ตอนนี้ตัวผมจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่สามารถดูแลต้นสนได้ดีเท่าที่ควร สภาพแวดล้อมรอบตัวผมมันอาจจะไม่ได้ดีเลิศ แต่ในอนาคตมันต้องดีกว่านี้ ผมจะดูแลต้นสนให้ดียิ่งกว่านี้"

            "เธอคิดว่าเพียงคำพูดมันจะเชื่อได้อย่างนั้นหรือ"

            คำถามของคุณสาโรจน์เหมือนดั่งกำแพงยักษ์ที่คนธรรมดาไม่สามารถปืนข้ามไปได้ สารภาพว่าผมไม่มั่นใจว่าจะทำให้คุณสาโรจน์เชื่อและยอมรับในตัวตนได้ ด้วยคำพูดลอยๆ ที่ยังมีความน่าจะเป็นอยู่บ้าง

            "คำพูดของผมมีหลักฐานครับ ผมมั่นใจว่าสามารถดูแลต้นสนได้ดี ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ผ่านมาหรือต่อจากนี้ไป"

            ผมเว้นช่วง สีหน้าคุณสาโรจน์ยังเรียบนิ่ง ผิดกับคุณอรวรรณที่อมยิ้มน้อยๆ ผมรู้ว่าทั้งสองเข้าใจว่าสิ่งที่ผมพูดหมายถึงอะไร ครั้งนั้นที่คุณสาโรจน์มาที่คอนโด ผมจำคำนั้นได้แม่น ประโยคที่บอกว่า 'พ่อแค่อยากเห็นหน้าคนที่ทำให้ลูกเปลี่ยนไปแค่นั้นเอง' ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และมันออกจะเขินนิดหน่อยที่ต้องพูดประโยคเหล่านี้ต่อหน้าให้พวกท่านได้ฟัง

            "ผมรักต้นสนครับ เขาคือคนที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและทำอะไรได้บ้าง เราดูแลกัน ช่วยเหลือกัน และคิดว่าคุณอาต้องเห็นว่าลูกชายตัวเองมีความเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างหลังจากที่ต้นสนรู้จักกับผม เพราะงั้นผมถึงไม่คิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์หรือไม่คู่ควร"

            คุณสาโรจน์กระแอมออกมาหนึ่งครั้งขัดจังหวะการพูดของผม เขาไม่ได้พูดแทรกทั้งยังโดนคุณอรวรรณมองอย่างตำหนิ

            "พูดต่อสิจ๊ะ" คุณอรวรรณว่า

            "แม้วันนี้ผมจะตัวเปล่า แต่ใช่ว่าอนาคตผมจะไม่มีใช่มั้ยครับ หลังจากเรียนจบผมจะทำงาน สายที่ผมเรียนทำงานได้หลากหลาย ทั้งนักวิชาการ อาจารย์ หรือจะไปสายบันเทิงยังได้ อีกอย่างผมทำอาหารเป็น ถ้าได้เรียนเพิ่มเติมจนฝีมือเก่งกาจมากกว่านี้จะให้ผมมาเป็นเชฟของร้านก็ได้ครับ"

            คนที่ทำหน้านิ่งมาตลอดหลุดยิ้ม คุณสาโรจน์มองผมด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดา ชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้นไม่สามารถบอกได้

            "ต้นสนก็บอกแม่เหมือนกันว่าปลื้มทำกับข้าวอร่อย คุณก็เคยกินนี่คะ ตอนนั้นยังชมว่าอร่อยอยู่เลย"

            คำบอกเล่าจากปากคุณอรวรรณทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้ อย่างน้อยคุณสาโรจน์ก็ชอบซุปข้าวโพดรสชาติติงต๊องถ้วยนั้น

            "มีแค่นี้เหรอแผนของเธอ"

            ผมอยากจะตอบกลับไปว่า 'ไม่หรอกครับ' ความจริงผมยังมีเรื่องราวเพ้อฝันที่วาดไว้ในใจอีกหลายอย่าง แต่คำพูดเลื่อนลอยไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่พูดน่าเชื่อถือเสมอไป ผมจึงเลือกบอกเฉพาะสิ่งที่สามารถทำให้มันเป็นจริงได้ สิ่งที่ผมคิดว่าต้องทำมันได้สำเร็จ

            "จากนี้ผมจะดูแลต้นสนให้ดีเหมือนที่ผ่านมา ไม่สิครับ จะดูแลให้ดีกว่านี้ ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้"

            คุณสาโรจน์ไม่ตอบรับอะไรกลับมาอีก ท่านมองผมแล้วพยักหน้าเบาๆ คล้ายกับยอมรับฟัง ส่วนคุณอรวรรณยังคงยิ้มอ่อนโยน รอยยิ้มที่เหมือนลูกชายคนโตไม่มีผิดเพี้ยน

            "ทานอาหารเถอะ" คำสุดท้ายที่คุณสาโรจน์บอก ก่อนเรื่องแผนในอนาคตของผมจะถูกพับเก็บไว้กลายเป็นการพูดคุยเรื่องทั่วไปแทน

            บรรยากาศน่าอึดอัดที่รู้สึกในคราแรกเริ่มลดน้อยลง คุณอรวรรณชวนผมคุยเป็นส่วนใหญ่ แถมยังแซวให้ผมไปเรียนทำอาหารแล้วมาเป็นเชฟที่ร้านอีก ส่วนคุณสาโรจน์นั้นนิ่งขรึมยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น บุคลิกที่แสดงออกชัดเจนทำให้รู้ว่าต้นสนได้ส่วนผสมจากใครมาบ้างเจ้าตัวถึงได้ดูน่าค้นหาแบบนั้น

            สีโทนสดใสได้แม่ ส่วนโทนขาวดำนั้นได้พ่อ

            มื้ออาหารจบลงในเวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม ผมบอกลาคุณสาโรจน์กับคุณอรวรรณที่หน้าร้าน ปฏิเสธที่จะติดรถไปด้วยเพราะใช้รถสาธารณะสะดวกกว่า

            ผมเดินทอดน่องอย่างไม่เร่งรีบไปตามฟุตบาทตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ไม่ไกล ความหนักอึ้งที่อยู่ในอกเบาลงแม้ยังไม่แน่ใจว่าทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามนั้นจะปลอดโปร่งจนเดินได้สะดวกแล้วหรือไม่ ทว่าโล่งใจได้ไม่ทันไรผมก็เพิ่งตระหนักได้ถึงบางอย่าง

            อย่างบางที่สำคัญมาก แต่ผมกลับลืมมันไปเสียอย่างนั้น

            คีย์การ์ดที่โดนยึดไปนั้น ผมลืมขอมันคืน

 

TBC



ตอนนี้ยาวที่สุดเลยเพราะมีเรื่องต้องเคลียร์เยอะ

เงาแค้นน้องตาลมาเต็ม ใจเย็นๆ กันน้า

สำหรับปลื้มแล้วอาจจะไม่ใช่พระเอกสายลุยสายทุ่มมากนัก

เราอยากสื่อให้เห็นถึงความตั้งใจ ความพยายามมีที่ถูกจำกัด

เพราะบางทีคนเราก็มีบางเรื่องที่ได้ทำและไม่ได้ เรื่องที่อาจจะเกินกำลังด้วยเหตุผลต่างๆ นานา

ซึ่งบางทีมันก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและวาสนาว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่

และในส่วนของเรื่องนี้นั้น ตอนหน้าก็จบแล้ววววววววว ไม่สิๆ มีบทส่งท้ายอีกตอน

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

ป.ล. อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยดูสุขภาพกันด้วยน้า เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน วันนี้ฝนตกอีก


 

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไปง้อต้นสนด้วยนะปลื้มมม

ออฟไลน์ a.amyw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนนี้ปลื้มเท่มากๆเลย o13 ส่วนต้นสนก็ยังน่ารักเหมือนเดิมมม ตอนหน้าจบแล้วหรอใจหายเลย รักนิยายเรื่องนี้มากๆ

ออฟไลน์ vwm666

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะมีรวมเล่มไหมอ่า น่าร้ากมากเรื่องนี้ :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด