To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561  (อ่าน 122711 ครั้ง)

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ต้นสนตอนอยู่กับเพื่อนนี่คนละคนกับนายมืดมนมากก
ปลื้มทำขนาดนี้ก็ไม่ใช่เพื่อนแล้วจ้าาา เป็นแฟนกันเลย :z2:  :hao3:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ชอบต้นสนคุยกับเพื่อนน่ารักจังเลยยยย ยิ่งอ่านยิ่งเอ็นดู ปลื้มมารับจ้างกินข้าวกับต้นสนมาดูแลคุณหนูดีกว่า น้องตาลนั่นไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยเลย พูดจาก็ไม่ดี แฟนก็ไม่ใช่  :hao5:

ออฟไลน์ Cardiac

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

ออฟไลน์ ขอบฟ้าสีจาง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากมีปลื้มเป็นของตัวเองงงงง  งุ้ยยยยย

ออฟไลน์ Ashita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คือชื่อเรื่องน่ากลัวมาก แต่พอเข้ามมาอ่านรู้สึกมี    ออร่าสีชมพูลอยอยู่รอบๆตัว  :-[

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ตอนที่ 18

            น่าแปลกที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้เจอน้องตาลเลย มีแค่ช่วงเย็นของวันจันทร์กับวันเสาร์เท่านั้นที่เธอมาช่วยงานที่ร้าน อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกต่อผมยังมีเป้าหมายชัดเจน มีโอกาสเป็นต้องถูกเนื้อต้องตัว พูดจาชวนให้คิด จนผมคิดว่าถ้าไม่ติดว่าป้านกอยู่ด้วยเธอคงโพล่งอะไรที่น่าตกใจออกมา แต่ถึงไม่พูดเวลาที่เธออยู่ร้านมันก็ชักทำให้ผมรู้สึกอัดอึดกับการทำงานเข้าไปทุกที

            ซึ่งวันนี้นับว่าโชคดีมากที่น้องเขาไม่แวะเข้าช่วยงานที่ร้านด้วย

            หลังเลิกงานตอนสองทุ่มผมสะพายกระเป๋าหิ้วถุงแกงสำหรับสองคนไปยืนรอข้ามถนน มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ผมมักจะแวะไปที่คอนโดทุกวันหลังเลิกงาน พักหลังที่เอากับข้าวกลับไปเยอะกว่าเดิมผมเลยแอบหย่อนเงินใส่กระป๋องสตางค์จะได้ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะถ้าบอกป้านกตรงๆ ว่าเอากลับไปเผื่อต้นสนถึงเจ้าตัวจะฝากซื้อป้าแกก็ไม่เอาเงินอยู่ดี

            คีย์การ์ดที่ได้มาตั้งแต่คราวก่อนยังทำหน้าที่ของมันได้อย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะบ่อยไปด้วยซ้ำสำหรับผู้ที่เพียงแวะเวียนมาหาไม่ใช่คนอยู่อาศัย มาบ่อยจนทั้งยามทั้งพนักงานจำหน้าผมกันได้หมดแล้ว

            เปิดประตูเข้ามาในห้องก็เจอต้นสนนั่งอยู่บนโซฟา เป็นภาพที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักเพราะส่วนใหญ่เจ้าตัวจะนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ที่โต๊ะทำงานมากกว่า เห็นว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานเข้ารวมถึงใกล้ช่วงสอบปลายภาคเลยงดรับงานไปด้วย ทำตัวว่าง่ายอย่างไม่น่าเชื่อว่าคนที่เคยพูดว่า 'รับทุกงานที่มีคนจ้าง' จะยอมทำตามที่บอกได้ สงสัยจะเบื่อที่ผมบ่นบ่อยๆ แล้วล่ะมั้ง แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้ก็ยังมีเรื่องให้บ่นอยู่ดี

            "จะเล่นมือถือหรือดูทีวีก็เลือกเอาสักอย่าง" เปิดทีวีทิ้งไว้แต่ตาจ้องโทรศัพท์ในมือ ผมบ่นตอนเดินผ่านโซฟาเข้าไปในครัว แล้วเสียงเจื้อยแจ้วก็เถียงกลับมาทันควัน

            "มันช่วงข่าวอ่ะ"

            ผมส่ายหน้าใส่แต่เจ้าตัวคงไม่เห็น วางถุงแกงบนเคาน์เตอร์ หยิบถ้วยชามออกมาแล้วจัดการเทข้าวและกับข้าวอีกสามอย่างลงไป มีผัดผัก ต้มจืด แล้วก็ห่อหมกที่ผมต้องเปิดศึกแย่งชิงกับคนอื่นมาเพราะมันเหลืออยู่กระทงเดียว

            จัดโต๊ะใกล้เสร็จเจ้าของห้องก็ลุกมาหา มองกับข้าวของวันนี้แล้วก็ยิ้มร่าเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเครื่องดื่มกับผลไม้ออกมาวางให้โต๊ะอาหารมื้อนี้ครบถ้วนสมบูรณ์

            "ไปแอบซื้อผลไม้มาตอนไหน" กินข้าวมาด้วยกันตั้งหลายมื้อไม่เคยมีผลไม้เป็นของหวานล้างปาก ผมเองยังไม่เคยนึกถึงเลยด้วยซ้ำ

            "เดินผ่านอยากกินเลยซื้อมา เพราะปลื้มคงไม่ซื้อมาแน่ๆ"

            "จะบอกว่าดูแลไม่ดีว่างั้น"

            "ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

            "ก็พูดอยู่เมื่อกี้"

            "หยอกเล่นหรอกน่า" ไม่พูดเปล่ายังจะมาหยิกแก้มผมอีก อารมณ์ดีเสียเหลือเกิน

            ช่วงเวลาของมื้อเย็นเป็นไปอย่างทุกวัน กินข้าว พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างกัน กินเสร็จก็ล้างจาน ผมล้างน้ำยา ต้นสนล้างน้ำเปล่า อิ่มแล้วก็มานั่งผึ่งพุงหน้าทีวี ขั้นตอนสุดท้ายอาจไม่ค่อยได้เจอบ่อยนักเพราะเจ้าของห้องมักบึ่งกลับไปปั่นงานที่โต๊ะหลังกินข้าวเสร็จ

            เราสองคนนั่งอยู่บนโซฟาที่จะว่ากว้างก็กว้าง แต่กลับมานั่งเบียดกันอยู่ตรงกลางให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้สัมผัสกัน ใครเป็นฝ่ายเริ่มขยับเข้ามาชิดนั้นผมเองไม่ได้สนใจเท่าไร รู้แค่ว่าอยากให้มันเป็นแบบนี้ ได้นั่งอิงแอบกันก็ไม่เห็นว่ามันจะน่าอึดอัดตรงไหน

            "เออเนี่ย ที่บ้านทักด้วยนะว่าอ้วนขึ้น" ต้นสนพูดทั้งที่หัวยังเอนซบไหล่ผมอยู่ นั่งขัดสมาธิกอดหมอนหนุนหลังเอาไว้ ท่าทางสบายจริงเชียว

            "แล้วดีหรือไม่ดี"

            "ก็ดีดิ ป้าจิตยังทักว่าหน้าตาสดใสขึ้นเลย" ป้าจิตที่ต้นสนพูดถึงเป็นแม่บ้านคนสนิท เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก อารมณ์คงเหมือนป้านมในละครล่ะมั้ง

            "แต่ตัวก็ยังมีแผลกลับมาเหมือนเดิม"

            "บ่นเรื่องนี้อีกแล้ว" โดนบ่นเรื่องที่ไม่อยากฟังถึงกับเด้งตัวขึ้นนั่งดีๆ แล้วหันมาทำหน้ามุ่ยใส่

            "ถ้ากลับมาไม่มีรอยเมื่อไรนั่นแหละถึงจะเลิกบ่น"

            "แต่มันน้อยลงนะ ถ้าโตขึ้นกว่านี้มันคงเลิกคึกแล้วมั้ง" พูดไปก็ยกแขนมาพลิกซ้ายขวาให้ผมดู รอยมันจางลงจริงๆ แต่รอยที่ท้องแขนยังคงตราตรึงชัดเจน ไอ้รอยนี้แหละที่ทำให้ผมคิดเตลิดไปไกล

            ผมจับแขนที่อีกฝ่ายโชว์ให้ดูไว้ด้วยสองมือ ข้างหนึ่งจับข้อมือส่วนอีกข้างจับแถวท้องแขน ใช้นิ้วโป้งลูกรอยแผลเป็นจางๆ นั่นไปมาอย่างทะนุถนอม ก่อนประทับจูบบางเบา อย่างกับว่ามันจะช่วยคลายคำสาปของแม่มดใจร้ายที่สาปร่องรอยน่าเกลียดลงบนผิวกายนี้ได้

            "ปลื้ม"

            แว่วเสียงแผ่วเบาเอ่ยเรียกแต่เหมือนหูผมดับได้ยินเพียงเสียงอื้ออึ้งที่จับใจความอะไรไม่ได้นัก ริมฝีปากยังคงสัมผัสกับผิวเนื้อละเอียดหากแต่ไม่เรียบเนียนนัก ไล่พรมจูบมันไปเรื่อยอย่างไม่รู้เบื่อ มือที่เคยจับแขนย้ายไปเกาะแกะที่เอวคอดผ่านเสื้อเชิ้ตนักศึกษาตัวบางของคนที่เหมือนไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันทั้งที่เพิ่งกินข้าวอิ่ม กว่าจะรู้ตัวก็ตอนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ จากอีกฝ่าย

            ใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร

            เพราะเผลอใจจนไม่อาจยับยั้งทำให้เผยการกระทำจากจิตใต้สำนึกออกไป ผมรั้งตัวต้นสนเข้ามาใกล้ คลอเคลียตั้งแต่แขนก่อนจะย้ายมาที่ใบหน้า หากไม่ติดว่าระหว่างทางนั้นมีอุปสรรคอย่างเสื้อนักศึกษาขวางอยู่คงทำอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่านี้ สุดท้ายเลยกดจูบที่ริมฝีปากหอมกลิ่มแอปเปิ้ลอ่อนๆ หนึ่งที ก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อกี้นี้ได้ยินชื่อตัวเองออกมาจากปากเจ้าตัว

            "ครับ"

            "ตอบช้าไปมั้ย" ต้นสนมุ่นคิ้วใส่ท่าทางไม่จริงจังนัก

            ผมยิ้มรับ ใช้วงแขนโอบรอบเอวบางไว้หลวมๆ นึกอยากแกล้งเล่นขึ้นมาอีกสักหน่อย อยากรู้ว่าปฏิกิริยาตอบรับจะเป็นยังไง

            "ก็เมื่อกี้ไม่ว่าง"

            "ทำอะไรล่ะถึงไม่ว่าง" สวนกลับมาทันควันจนอดยิ้มไม่ได้ ร้ายใช่เล่นนะคนเรา

            "จูบถอนคำสาปแม่มดอยู่"

            "คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายเหรอ"

            "งั้นมั้ง"

            "แล้วเจ้าชายรู้มั้ยว่าต้องจูบตรงไหนอีกถึงจะถอนคำสาปได้"

            ผมส่ายหน้ายอมแพ้ ต้นสนยกยิ้มขี้เล่น ประวิงเวลาอยู่ชั่วครู่ก่อนเขยิบเข้ามาใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกันแล้วเบี่ยงไปกระซิบข้างหูแทน

            "ลองหาดูดิ"

            มันน่าจัดการไหมล่ะทำตัวแบบนี้

            ผมดันตัวต้นสนออกแล้วผลักให้นอนราบไปกับโซฟา ไม่ถึงขั้นรุนแรงแต่ไม่ได้อ่อนโยนเท่าไรนัก อย่างแรกเลยที่สายตาจับจองคือขาที่โผล่พ้นขอบกางเกงขาสั้นออกมา ทุกรอยแผลนั้นผมจำได้ โดยเฉพาะรอยขีดยาวๆ ที่เจ้าตัวบอกว่าโดนแมวข่วน ถึงจะไม่ใช่รอยแผลที่ต้องถอนคำสาป แต่ผมก็บรรจงจูบมันอย่างอ่อนโยนอยู่ดี ไล่จากหน้าแข้งมาที่หัวเข่า ขยับขึ้นบนมาเรื่อยจนมาถึงขาอ่อน ดึงขากางเกงที่กว้างอยู่แล้วให้ถกขึ้นอีกนิด มองหาตำหนิบนผิวขาวที่ยังไม่เคยได้สัมผัส ทว่าเสียดายที่ตรงนี้ไม่มีร่องรอยใดๆ อยู่เลย

            ผ่านต้นขาก็ขยับขึ้นมาที่เอว ผมปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาที่เจ้าตัวไม่ยอมเปลี่ยนออกทีละเม็ดไล่จากล่างขึ้นบน สำรวจอย่างถี่ถ้วนแต่กลับไม่พบรอยใดๆ ผิวใต้ร่มผ้านั้นเนียนละเอียด ขาวแบบสุขภาพดีจนจิตใจอันเลวทรามอยากจะสร้างรอยสักรอยแล้วโมเมขึ้นเองว่าจูบตรงนี้แหละถึงจะถอนคำสาปได้ แต่ความดีที่มีอยู่เหลือล้นกลับต่อต้านเอาไว้

            "มีแน่เหรอรอยที่ว่า" ผมแกล้งถาม ขยับเข้าไปใกล้คร่อมตัวต้นสนเอาไว้ในท่าที่ล่อแหลม

            "หาไม่เจอเองอ่ะดิ" อมยิ้มตอบกลับมาด้วยใบหน้าซับสีเลือด

            ผมเองก็รู้สึกร้อนหน้าวูบวาบอยู่ไม่น้อย ยิ่งเห็นกระดุมสองเม็ดสุดท้ายที่ยังไม่ถูกปลดแล้วยิ่งใจไม่ดี จะว่าผมหาไม่ละเอียดก็คงไม่ใช่ สำรวจทุกซอกทุกทุมที่ไร้อาภรณ์ปกปิด มองจนจะกินเจ้าของร่างนี้ได้อยู่แล้วแต่ก็ยังไม่เจอรอยแผลที่ไม่เคยเห็นอยู่ดี หรือว่ามันจะอยู่ในที่ลับตากว่านี้กัน

            "จำกัดพื้นที่ในการหามั้ย" ผมถามลองเชิง แค่นี้ก็นับว่าเยอะแล้ว ถ้าต้องมากกว่านี้สงสัยจะไม่จบแค่การจูบถอนคำสาปเป็นแน่

            "อีกนิดเดียว ไม่ไกลจากที่หาอยู่หรอก เพราะถ้ามากกว่านี้ก็..." ต้นสนลากเสียงยาวเป็นเชิงให้ผมคิดต่อ และคงไม่ต้องบอกว่าผมจะคิดอะไร

            ตอนนี้มีตัวเลือกสองทางคือข้างบนกับข้างล่าง จะปลดกระดุมสองเม็ดที่เหลือ หรือลองเกี่ยวขอบกางเกงที่ขึ้นมาสูงเกือบถึงสะดือลง แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนมันก็สร้างความระทึกใจได้พอกัน

            หน้าอกกระเพื่อมสลับกับหน้าท้อง ต้นสนคงตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อดูจากจังหวะการหายใจ ผมเองก็เหมือนกัน สายตามองสลับไปมาระหว่างกระดุมกับขอบกางเกง เรียกว่าเป็นศึกชิงชัยระหว่างหน้าอดกับหน้าท้องก็คงได้ และถ้าหากถามว่าตอนนี้ผมชอบอะไรมากกว่ากัน คำตอบก็คงเป็น...

            หน้าท้องแบนราบที่อยากจะลองฝังจูบลงไปสักครั้ง

            ผมใช้นิ้วเกี่ยวขอบกางเกงไว้แล้วสบตากับคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง ค่อยๆ ดึงขอบกางเกงลงอย่างช้าๆ ด้วยใจที่เต้นรัวเร็ว พลางเลื่อนสายตากลับมาจดจ้องผิวใต้ร่มผ้าที่เพิ่งได้ประจักษ์ ดึงของกางเกงลงลึกมาเรื่อยๆ จนกลัวว่าจะเลยไปถึงอะไรต่อมิอะไร แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นรอยขีดยาวประมาณหนึ่งนิ้วที่อยู่ฝั่งซ้ายก็ปรากฏสู่สายตา เป็นรอยขีดที่เหมือนว่าสะเก็ดแผลเพิ่งจะหลุดออกไปไม่นาน

            ในที่สุดก็เจอสักที

            "ที่แบบนี้ยังจะอุตส่าห์มาข่วนได้อีกนะ" ปากบ่นไปงั้นในขณะที่มือยังคงลูบไล้รอยแผล

            ผมยิ้มให้ต้นสนอย่างผู้ชนะ ก่อนมอบจุมพิตเพื่อถอนคำสาปที่รอยแผลนั้น

 

            เลยสี่ทุ่มมาได้สักพักแล้ว ผมไล่ต้นสนไปอาบน้ำส่วนตัวเองเก็บของเตรียมกลับหอ นับว่าเป็นอีกวันที่อยู่จนดึกเอาเรื่อง เหวี่ยงกระเป๋าสะพายขึ้นบ่าตั้งใจว่าจะไปตะโกนบอกลาให้เจ้าของห้องรับรู้ แต่ก่อนจะถึงห้องนอนโต๊ะทำงานที่สะอาดเรียบร้อยเป็นพิเศษกลับดึงความสนใจผมเอาไว้

            โต๊ะทำงานที่ไร้โพสอิทและมีสมุดสเก็ตซ์สีเหลืองสดใสวางอยู่

            เห็นมันแล้วริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมเดินเข้าไปดูและถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมา เหลือบมองทางประตูห้องนอนที่ยังปิดสนิทแล้วจึงเปิดมันดูตั้งแต่หน้าแรก

            'ไดอารี่ภาพวาด' ผมเรียกมันว่าแบบนั้น จากหน้าสุดท้ายที่ได้เห็นเมื่อคราวก่อนตอนนี้มีรูปที่ถูกวาดขึ้นใหม่เพิ่มมาอีกสองหน้า คือรูปจูบแรกของเราที่โต๊ะทำงานนี้ และรูปที่เราจับมือกันที่หอผม

            ใจจริงอยากจะขโมยสมุดเล่มนี้แล้วเอากลับไปนอนกอดที่หอ แต่ก็ทำได้เพียงมองมันแล้วยิ้มกับตัวเองด้วยหัวใจที่พองโต คิดไปแล้วก็ชักสงสัยว่าต้นสนรู้สึกยังไงเวลาวาดภาพเหล่านี้ จะมีความสุขเหมือนผมเวลาได้เห็นมันหรือเปล่า แล้วเจ้าตัวจะรู้ไหมว่ารูปพวกนี้มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจแค่ไหน

            มองไดอารี่ภาพวาดเหล่านี้แล้วบันทึกเก็บไว้ในภาพความทรงจำจนพอใจผมก็วางมันลงที่เดิม ตอนนี้เองที่สายตาหันไปสบเข้ากับเจ้าของก้องที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะทำงานนัก สีหน้าตื่นตระหนกแววตาสั่นไหว ก่อนต้นสนที่อยู่ในชุดพร้อมนอนจะก้าวเข้ามาหา

            "เห็นแล้วเหรอ" เอ่ยถามโดยที่ไม่ยอมสบตาก่อนหยิบสมุดสเก็ตซ์นั่นเก็บใส่ลิ้นชักเหมือนไม่อยากให้เห็น

            ผมคิดว่าเรื่องนี้มันคงเป็นความลับ ไม่มีใครอยากให้คนอื่นเห็นไดอารี่ของตัวเอง ท่าทีของต้นสนแสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ และผมผิดเองที่เปิดมันดูโดยที่เจ้าของไม่ได้อนุญาต

            "ขอโทษที่แอบดู"

            "ไม่เป็นไรหรอก" ตอบแล้วเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มบางๆ ให้ แต่กลับถอนหายใจออกมา

            "ไม่อยากให้เห็นขนาดนั้นเลยเหรอ"

            "เพราะเป็นตอนนี้ล่ะมั้งเลยยังไม่อยากให้เห็น"

            "แล้วเมื่อไรถึงจะยอมให้เห็น" ผมเดินเข้าไปประชิดตัวเท้าแขนกับขอบโต๊ะสร้างกรงขังไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปไหน

            เราสบตากันนิ่ง ก่อนต้นสนจะหลุบตาหนีเหมือนกำลังใช้ความคิด ผมปล่อยให้ทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่แบบนี้โดยไม่ได้เร่งเร้า ไม่นานนักเจ้าตัวก็หันกลับมามองกันอีกครั้ง พร้อมคำตอบที่ทำให้ผมยิ้มออกมา

            "ตอนที่มั่นใจกว่านี้"

            "แล้วตอนนี้ยังไม่มั่นใจอีกเหรอ" น่าแปลกที่ผมดันเข้าใจคำตอบแสนกำกวมนั่น แล้วยังตั้งคำถามสวนกลับไปได้ทันควัน

            ได้ฟังคำถามจากผมต้นสนก็หลบตาอีกครั้ง เห็นมุมปากที่ไม่ซีดจนน่ากลัวเหมือนแต่ก่อนยกยิ้มบางๆ คล้ายกับยิ้มให้ตัวเองก่อนตอบแอ้มอ้อม

            "มั่นใจ แต่อยากให้มากกว่านี้อีกนิด"

            "ถ้างั้นค่อยๆ พัฒนากันไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน" ขยับเข้ากระซิบข้างหูแล้วขโมยหอมขมับหนึ่งทีก่อนปล่อยให้เป็นอิสระ

            ต้นสนเงยหน้าขึ้นมองผม แย้มยิ้มทั้งตาและปาก สาวเท้าเดินตามผมมาที่ประตูเพื่อส่งแขกที่วันนี้มารบกวนจนดึกดื่นกว่าทุกวัน

            "เจอกันพรุ่งนี้"

            "ถึงหอแล้วบอกด้วย"

            "ครับๆ" ตอบรับคล้ายรำคาญกับคนช่างสั่งแต่ปากกลับยิ้มขัดแย้งกันไปหมด

            ผมโบกมือลาก่อนปิดประตูลง มีความสุขจนไม่สามารถหุบยิ้มได้ คำว่าค่อยๆ พัฒนาที่บอกไปมันกลายเป็นหลักประกันในความสัมพันธ์ของเราไปแล้ว ซึ่งวันนี้เองมันก็ได้พัฒนาไปอีกขั้น ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

            นึกถึงสิ่งที่ทำด้วยกันวันนี้แล้วชักอยากรู้ว่าภาพวาดต่อไปในไอดารี่นั่นจะเป็นรูปอะไร และถ้าหากไดอารี่ของแต่ละวันมีชื่อ ผมก็อยากตั้งชื่อรูปของวันนี้ว่า 'สัมผัสที่อ่อนโยน'

            อ่อนนุ่มและเปราะบาง จนรู้สึกเหมือนจะแตกสลายคามือ

 

TBC

 

อยากจิถอนคำสาปบ้างจังเลยยยยยยย

ตอนหน้าอาจจะมาช้ามากๆ นะคะ ขอแอบหนีเที่ยวแป๊บนึง

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและพูดคุยกันน้า เจอกันตอนหน้าจ้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2017 23:00:52 โดย kinsang »

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ต้นสนแจกอ้อยยตลอดด  :pighaun:

ออฟไลน์ Yyuii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ต้นสนลูก หนูจะอ้อยแบบนี่ไม่ได้นะคะ ป้าหัวใจจะวาย   :-[ :-[

ออฟไลน์ Fahsaizzz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนจะถอนคำสาปนี่ลุ้นมากต้นสนก็คนอ่านนี่แหล่ะ ใจนี่ตุ้มๆต่อมๆมว้ากกก
ทำไร่อ้อยกันทั้งคู่ ระวังเบาหวานจะถามหานะ  :z1:

ออฟไลน์ a.amyw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ้ยยยคือมันดีมากๆเลย เป็นนิยายสายฮีล อ่านแล้วต้องอมยิ้มตามอ่ะ บางฉากก็แอบเบ๋ปากด้วยความหมั่นไส้แหมมมมมมม ฮือออชอบมากเลยอะ ชอบมากเลยยยๆ ชอบความค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีใครพูดแต่ก็รู้ๆกันว่าเออรู้สึกดีกับคนๆนี้นะ แบบนี้อะ><

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ต้นสนอ้อยแรงมากกกกกกกก  :m1:

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
แหมปลื้มมมม จูบทั้งตัวขนาดนี้แล้วยังไม่ให้พ่อแม่มาขออีกหรออออ :hao3: เดี้ยวให้อารี่มาช่วยดำเนินการซะนี่ :hao7:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ถ้าจะขนาดนี้แล้วยังไม่มั่นใจล่ะก็นะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ :hao7:
ต้นสนลูกกกกกก อ่อยไปอีกกกกกกก

ออฟไลน์ Readyaoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มากกว่านี้ ก็ได้กันแล้วอ่ะ เอาจริง 

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ต้นสนนนนนน อ้อยมากกกกก  :hao6:

ออฟไลน์ เป็ดเกรด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ต้นสนอ่อยมากค่ะฮื่อออ ปลื้มทำไมไม่มโนรอยเองคะ อยากจูบตรงไหนก็จูบ เสียดายแทน :hao5:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ต้นสนอ่อยมากขึ้นทุกวันๆนะ นี่ถ้าต้นสนเป็นรุกนี่คงจับปลื้มปล้ำไปตั้งนานแล้วละมั้งเนี่ย ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ตอนที่ 19

            หน้าหนาวปีนี้อากาศเย็นสมกับชื่อฤดู วันเวลาเลยผ่านเข้าสู่ช่วงปิดเทอมและลากยากไปถึงปีใหม่ เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด อยู่บ้านกับครอบครัวยาวๆ ให้หายคิดถึง ก่อนกลับมาเผชิญชีวิตที่เมืองกรุงอีกครั้งตอนเปิดเทอม

            "มึงกลับบ้านคืนนี้ใช่ป้ะ" ไอ้เจนเอ่ยปากถามระหว่างที่พวกเรากำลังเพลิดเพลินกับอาหารมื้อระหว่างวันในช่วงบ่ายสามอย่างก๋วยเตี๋ยวเรือในตลาด

            ผมพยักหน้ารับขณะคีบเส้นเข้าปาก วันนี้สั่งเส้นเล็ก รู้สึกว่ามันกินค่อนข้างลำบากนิดหน่อย สูดเข้าปากแล้วเหมือนจะไหลลงคอเลยไม่สะดวกขานรับด้วยเสียง

            "กลับไงอ่ะ"

            "นั่งรถเมล์เหรอ มึงต้องเผื่อเวลารถติดด้วยนะ"

            "มันนั่งรถทัวร์"

            "กูหมายถึงไปหมอชิตมั้ย"

            "มึงก็ไม่เล่นกับกูเลย"

            ฟังพวกมันต่อบทกันแล้วผมก็ได้แต่ส่ายหน้า อีกคนจริงจังอีกคนเอาแต่เล่น พวกมึงไปตกลงกันก่อนไหมแล้วค่อยมาคุยให้เป็นมันเรื่องเป็นราว

            "แล้วสรุปมึงไปไง" สุดท้ายไอ้เจนก็ถามวกกลับมาเรื่องเดิม

            "กูแนะนำขึ้นบีทีเอสไปลงหมอชิตแล้วต่อวิน รวดเร็วฉับไว"

            "แต่แพงฉิบหาย"

            "รถติดนะมึง"

            "มึงช่วยดูการเงินเพื่อนมึงด้วย"

            พวกมันเถียงกันอีกรอบจนผมเอือมระอา แต่เข้าใจดีว่าที่เถียงกันเพราะพวกมันผมห่วงผม ทั้งกลัวไปขึ้นรถไม่ทันแล้วก็ห่วงว่าจะไม่มีเงินขึ้นรถ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ผมไม่กังวลเลยสักนิด

            "เดี๋ยวต้นสนไปส่ง"

            คำตอบของผมช่วยสยบทุกความห่วงใยของเพื่อนรักทั้งสอง มันมองแล้วกระพริบตาปริบ สายตามีแววสงสัยฉายชัดขึ้นมา ผมรู้ว่าพวกมันอยากถามอะไร และผมเองก็พร้อมที่จะตอบทุกข้อสงสัยในเมื่อกล้าโพล่งออกไปแบบนั้น มาไกลขนาดนี้แล้วผมว่ามันสองคนคงรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไปในตัวผม

            "ปลื้ม กูถามจริงๆ นะ" ไอ้ว่านเกริ่นออกมา มันหันไปสบตากับไอ้เจนที่พยักพเยิดหน้าให้ถึงได้หันกลับมาสบตากับผมซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

            "ว่า"

            "มึงคบกับต้นสนแล้วเหรอ"

            เป็นคำถามที่ไม่ต่างจากที่ผมคาดไว้เท่าไรนัก แต่ก็เกินเลยไปจากที่คาดไว้ ผมคิดว่ามันจะถามว่า 'มึงชอบต้นสนเหรอ' หรือ 'ต้นสนชอบมึงเหรอ' อะไรทำนองนั้น ซึ่งการที่มันถามออกมาแบบนี้ทำให้ผมตอบอะไรได้ไม่เต็มปากนัก

            เพราะผมกับต้นสนยังไม่คิดตั้งชื่อให้กับความสัมผัสที่เกิดขึ้นระหว่างกันเลย

            "เปล่า ยังไม่ได้คบ"

            "แต่เหมือนคนอยู่กินกันแล้วเนี่ยนะ" จะว่าไอ้เจนพูดเกินจริงก็ไม่ใช่ เพราะมันพูดถูก

            ตกเย็นไปหา ว่างเมื่อไรต้องติดต่อหากัน ดูแล ห่วงใย ทำอะไรต่อมิอะไรที่เกินคำว่าเพื่อนธรรมดามาไกลโข แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครเอ่ยปากทวงถามถึงชื่อของความสัมพันธ์นี้ คงเพราะมันชัดเจนอยู่ในใจของเราแล้วล่ะมั้ง

            ผมเชื่อว่าแบบนั้น

            "กูไม่เคยคุยกับต้นสนเรื่องนี้เลย"

            "แล้วจริงๆ มึงรู้สึกยังไงวะ ทำไมไม่พูดให้มันชัดเจน มึงไม่กลัวเขาคิดไปเองเหรอ" ไอ้ว่านสาดคำถามมาเป็นชุด แต่คำตอบของมันง่ายยิ่งกว่าข้อสอบไฟนอลเสียอีก

            "เพราะเขาไม่ได้คิดไปเองไง"

            พวกมันสองคนหันไปมองหน้ากันเหมือนรู้คำตอบของผมอยู่แล้ว เพียงแค่อยากถามเพื่อให้ข้อสันนิษฐานของตัวเองชัดเจนขึ้นเท่านั้น

            "แล้วถ้าเป็นมึงล่ะที่คิดไปเอง" คำถามนี้ของไอ้เจนก็ตอบง่ายมาก

            "ขอบใจพวกมึงที่เป็นห่วง แต่กูรู้ว่าเราต่างคนต่างรู้สึกยังไง กูไม่ได้คิดไปเอง ต้นสนก็เหมือนกัน"

            "อกหักกูไม่ปลอบนะ"

            "ให้แม่งร้องไห้ขาดใจตายไปเลย"

            แล้วไอ้สองคนที่เพิ่งเถียงกันก่อนหน้านี้ก็เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย

            "ยังไงพวกมึงก็ต้องปลอบกู" แต่วันนั้นคงไม่มีทางมาถึงแน่ ผมอยากจะพูดประโยคนี้ต่อแต่ก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น มองเพื่อนรักทั้งสองที่พากันทำหน้าหมั่นไส้กับความมั่นใจอันเหลือล้นของผม

            เพื่อนกันทำไมจะไม่รู้ว่าเป็นยังไง หากถึงวันที่ผมร้องไห้ให้กับความสัมพันธ์ครั้งนี้เมื่อไร พวกมันนั่นแหละที่จะวิ่งหน้าตั้งมาหาผมเป็นคนแรก

 

            เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมละมือจากข้าวของที่กำลังยัดใส่กระเป๋า หันมองไปยังต้นเสียงด้วยความฉงนสงสัยว่าใครกันที่บุกมาหาเวลานี้ แต่ยังไม่ทันได้ใช้ความคิดเพื่อตั้งข้อสันนิษฐานคนที่อยู่ด้านนอกก็เคาะอีกรอบ ทำให้ผมต้องรีบลุกขึ้นไปส่องดูว่าใครกันที่มาหา

            แต่เมื่อเห็นหน้าคนที่รออยู่หลังประตูผ่านช่องบานเกล็ดผมก็รีบเปิดประตูด้วยความเร็วแสง เจ้าตัวยิ้มกว้างท่าทางอารมณ์ดี ก่อนถอดรองเท้าเดินเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องรอให้ผมอนุญาต

            "บอกแล้วไงว่าจะไปหาที่คอนโด" ผลักประตูปิดแล้วผมก็หันไปบ่น ต้นสนนั่งลงบนพื้นข้างเตียง มองกระเป๋าที่ผมยังจัดไม่เสร็จแล้วตอบ

            "ไม่มีอะไรทำเลยมาหา ปลื้มจะได้ไม่ต้องเดินไปไง"

            "แล้วจอดรถไว้ไหน" ซอยหอผมค่อนข้างแคบ ที่จอดรถมีไม่เยอะ ที่ไม่อยากให้มารอที่นี่ก็เพราะกลัวต้นสนลำบากเรื่องหาที่จอด

            "ขอเค้าจอดข้างหอ"

            "ได้ด้วยเหรอ"

            "ได้ไม่ได้ก็นั่งอยู่นี่แล้วไง"

            "คร้าบๆ"

            ผมขี้เกียจเถียงต่อเลยเดินไปหยิบของจำเป็นแล้วกลับมานั่งจัดกระเป๋าต่อ ของที่เอามีไม่มากนัก ความจริงพกกระเป๋าสตางค์ไปใบเดียวยังได้ แต่กลับบ้านทั้งทีเลยต้องมีของเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือกลับไปหน่อย

            "เก็บของเสร็จแล้วเหรอ" ต้นสนถามตอนผมรูดซิบปิดกระเป๋า

            "ของไม่เยอะ"

            "กะว่าจะมาช่วยเก็บกระเป๋าสักหน่อย"

            ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังจะย้ายบ้าน ไปเที่ยวที่ไกลๆ หรือไม่ก็ไปเรียนต่อต่างประเทศอะไรทำนองนั้น ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ให้ช่วยเก็บของ แต่เป็นแค่กระเป๋าเป้เก่าๆ ใบหนึ่ง

            "ไปกันเลยมั้ย" ผมถามอย่างคนเตรียมพร้อม แค่หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายก็สามารถออกเดินทางได้เลย

            "เดี๋ยวดิ เพิ่งมาถึงเอง" ต้นสนยื่นมือมาจับแขนผมทั้งที่ยังไม่ได้ลุกหนีไปไหน กระตุกแขนสองทีพลางพยักหน้าให้ผมก็ขยับไปนั่งข้างๆ ทันทีที่หัวไหล่ชนกัน เจ้าของผมยุ่งๆ เหมือนคนไม่รู้จักหวีก็เอนมาซบ มือที่เคยจับแขนเลื่อนมากุมกันไว้ แล้วเวลาในห้องนี้ก็เหมือนหยุดเดินไปชั่วคราว

            ผมกระชับมือที่ต้นสนวางทับไว้ กลิ่นหอมแชมพูจางๆ ชวนให้ฝังจมูกลงไปก่อนจะเอนซบกันอีกที

            "อ้อนเหรอ"

            "จะไม่ได้เจอกันหลายวันเลยนะ"

            "โทรคุยเอาก็ได้"

            "จะไม่ได้กอดด้วยนะ" น้ำเสียงกระเง้ากระงอดเต็มที่ แต่ใช่ว่าจะงอนแบบไม่มีเหตุผลเพราะผมรู้ว่าแท้จริงแล้วต้นสนต้องการอะไร ซึ่งสิ่งที่ต้องการมันถูกระบุอยู่ในประโยคบอกเล่านี้อยู่แล้ว

            ผมดึงคนที่ซบไหล่อยู่ให้เข้ามานั่งในอ้อมแขนแล้วโอบกอดเอาไว้ ส่วนสูงเราไม่ต่างกันมากก็จริงแต่ด้วยขนาดตัวที่บางกว่าทำให้ต้นสนดูตัวเล็กกว่าผม พอมาอยู่ในอ้อมกอดแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าผมจะกลืนเขาเข้าไปได้ทั้งตัว

            "ไม่ได้ทำอะไรอีก" ผมถามชิดใบหู ต้นสนเอนหลังพิงแผ่นอกผมด้วยท่าทางสบายๆ แขนทั้งสองข้างกอดทับแขนที่ผมรัดเจ้าตัวเอาไว้

            "ไม่ได้หอม"

            ผมกดจมูกลงบนแก้มขาวที่ซับสีเลือดจางๆ อย่างหนักหน่วงจนได้ยินเสียงดังฟอดชัดเจน

            "ไม่ได้จูบ" พูดแล้วเอี้ยวหน้ามาหัน

            ผมขยับเข้าไปแนบริมฝีปากที่เปิดรอรับอย่างจงใจ กดจูบย้ำๆ ก่อนรุกล้ำเข้าไปยังพื้นที่ที่เจ้าตัวยินดีให้เข้าไปเยี่ยมชม ทว่าความสุขสมกลับมาพร้อมความทรมานที่ผมต้องพยายามฝืนมือตัวเองเอาไว้ ใจมันอยากจะสัมผัสผิวกายภายใต้เสื้อยืดตัวบาง แต่ถ้าหากยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้นย่อมไม่ดีแน่

            นานนับนาทีกว่าจะผละออกจากกัน ผมจูบย้ำอีกครั้ง ซับริมฝีปากที่ฉ่ำน้ำและแดงเจ่อ ก่อนถามถึงความต้องการอย่างถัดไป

            "มีอะไรอีกมั้ย"

            "พอแค่นี้ก่อนก็ได้"

            ได้ฟังคำตอบผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้

            วันนี้คงต้องพอก่อนอย่างที่ต้นสนบอก ไม่อย่างนั้นผมอาจจะไปขึ้นรถทัวร์รอบที่จองไว้ไม่ทันก็เป็นได้ เพราะมัวแต่ทำอะไรๆ ที่จะไม่ได้ทำระหว่างที่ไม่ได้เจอกันจนไม่ได้ออกจากห้องเสียที

 

            ต้นสนขับรถมาส่งผมที่หมอชิต สภาพการจราจรไม่ได้แย่นักทำให้เราไม่ต้องทนติดแหง็กบนท้องถนน เลยเหลือเวลาอีกนานนับชั่วโมงว่ารถทัวร์จะออก จากที่คิดว่าจะโดนทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวเลยกลายเป็นว่ามีต้นสนตามมาด้วย แถมบอกอีกว่าจะส่งผมขึ้นรถก่อนแล้วค่อยกลับ

            ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำนักนอกจากนั่งรอ ปกติผมจะเล่นมือถือ กินข้าว หรือไม่ก็พกหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา ส่วนวันนี้นั้นเราเลือกซื้อขนมมานั่งกินเพื่อรอเวลา

            "กลับเวลานี้ถึงบ้านกี่โมงเหรออ่ะ"

            "ประมาณตีห้า"

            ต้นสนพยักหน้ารับ หยิบขนมใส่ปากแล้วมองบรรยากาศโดยรอบที่เต็มไปด้วยผู้คน

            "อยากไปเที่ยวบ้านปลื้มบ้างจัง"

            "ไม่มีอะไรให้เที่ยวหรอกนอกจากทุ่งนา แถมร้อนด้วย" บ้านผมนับว่าค่อนข้างกันดาร อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง เดินทางไปไหนมาไหนถ้าไม่มีรถนั้นลำบากมาก

            "เที่ยวบ้านก็อยู่แต่บ้านไง ไม่ต้องออกไปไหน"

            "น่าเบื่อตาย"

            ต้นสนหัวเราะเบาๆ เหม่อมองไปข้างหน้าเหมือนไม่มีจุดหมายแล้วอมยิ้มอยู่อย่างนั้น เว้นจังหวะเอาไว้จนผมคิดว่าประเด็นเรื่องบ้านที่ต่างจังหวัดน่าจะจบลงไปแล้วแต่กลับไม่ใช่ เมื่อเจ้าตัวตอบกลับประโยคก่อนหน้านี้ของผมออกมา

            "อยู่กับปลื้มไม่เบื่อหรอก"

            อะไรทำให้คนคนหนึ่งคิดแบบนี้ได้ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก ต่อให้สนิทกันก็เถอะมันก็ต้องมีบ้างที่รู้สึกเบื่อ แต่ถ้าหากถามผมว่าเบื่อไหมหากต้องอยู่กับต้นสนในสถานที่ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย คำตอบที่ได้ก็คงเหมือนกัน

            มันไม่น่าเบื่อเลย

            "คราวหน้าก็กลับด้วยกันดิ"

            "ไปได้ใช่มั้ย"

            "ถ้าไม่คิดว่ามันบ้านนอกน่ะนะ"

            "เห็นเราเป็นคนยังไง" คำพูดเหมือนจะโกรธแต่หน้ากลับยิ้ม

            "คนดื้อ"

            "จะบ่นอะไรอีก"

            "ไม่บ่นแล้วขี้เกียจ ให้พักหูก่อน ค่อยบ่นตอนเปิดเทอม"

            "งั้นเดี๋ยวจะโทรไปให้บ่น"

            ผมแย่งถุงขนมในมือต้นสนมาถือไว้เองด้วยความมันเขี้ยว ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในที่สาธารณะคงจะจับจูบแรงๆ สักที โทษฐานกวนประสาท

            เรานั่งคุยกันจนได้เวลาที่ต้องแยกย้าย ต้นสนเดินมาส่งผมถึงหน้าทางเข้าชานชาลา พอคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลยอดไม่ได้ต้องดึงเข้ามากอดแน่นๆ สักที พอผละออกเลยบ่นส่งท้ายเสียหน่อย

            "กลับบ้านก็ระวังไอ้ห้าตัวนั้นด้วย" ผมฝากฝังถึงสัตว์เลี้ยงสุดที่รักของต้นสน หวังว่าเปิดเทอมคงไม่เห็นรอยแผลอะไรเพิ่ม

            "ครับๆ"

            "เจอกันเปิดเทอม"

            "เดินทางปลอดภัยนะ"

            "ถึงบ้านแล้วจะโทรหา"

            ต้นสนพยักหน้ารับแล้วยิ้มกว้าง โบกมือลาเป็นสัญญาณให้ผมรีบไปขึ้นรถก่อนจะเลยเวลา แต่หมุนตัวหันหลังให้ได้แป๊บเดียวก็หันกลับไปหาอีก

            "ขับรถกลับก็ระวังด้วย"

            "รับทราบครับ"

            ได้คำตอบรับผมก็หันหลังให้ เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับไปมองอีก

            พอคิดว่าช่วงนี้จะไม่ได้บ่น ไม่ได้เจอหน้า มันก็ชักรู้สึกเหงาๆ อยู่เหมือนกัน

 

            ทุ่งนา หนองน้ำ ถนนลาดยางเส้นเล็กๆ และแสงแดดยามเช้า

            ผมมองวิวข้างทางที่ไม่ว่าจะจากไปนานแค่ไหนก็ยังเหมือนเดิม อาจจะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างนิดหน่อยที่ตัวอาคารบ้านเรือน จากบ้านไม้กลายเป็นบ้านปูน ทำให้หมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ดูทันสมัยขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วไม่มีอะไรที่แตกต่างออกไปในความรู้สึกของผมอยู่ดี

            ผมลงจากรถทัวร์ตอนตีห้าเศษในตัวเมืองกำแพงเพชรที่ห่างไกลจากบ้านหลายสิบกิโลเมตร พ่อต้องขับรถออกมารับเพราะไม่มีรถโดยสารเข้ามาถึงหมู่บ้าน เป็นอีกหนึ่งความลำบากที่ผมไม่รู้ว่าเมื่อไรความพัฒนาจะเข้าถึงชนบทที่นี่สักที

            เมื่อเริ่มเข้าเขตหมู่บ้านรถของพ่อก็แล่นช้าๆ ไปตามถนนสองเลนที่ขนาบไปด้วยบ้านเรือนและทุ่งนา เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าแต่ชีวิตในต่างจังหวัดกลับดูคึกคัก คนเฒ่าคนแก่ออกมานั่งรับลมเย็นของฤดูหนาวที่หน้าบ้าน ผู้ใหญ่วัยกลางคนดำเนินชีวิตประจำวันแบบเกษตรกรเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มองแล้วรู้สึกสบายใจมากกว่าความคึกคักวุ่นวายในเมืองหลวง

            ขับมาจนเกือบท้ายหมู่บ้านในที่สุดก็ถึงบ้านอันแสนอบอุ่นของผม บ้านไม้ยกสูงที่มีระเบียงยื่นออกมา ใต้ถุนบ้านผูกเปลเอาไว้ เป็นมุมพิเศษที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว เวลาเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำก็มักมานั่งเล่นหรือไม่ก็ใช้เป็นที่นอนกลางวัน ว่าแล้ววันนี้คงต้องมานอนให้หายคิดถึง

            เครื่องยนต์ดับสนิทที่หน้าบ้านผมก็รีบเปิดประตูลงจากรถ พ่อตามลงมาพลางเอ่ยบอกตอนผมกำลังถอดรองเท้าอยู่หน้าบันได

            "แม่ทำกับข้าวไว้รอแหนะ"

            "กลิ่นหอมมาถึงนี่เลย"

            ถอดรองเท้าได้ผมก็ไม่รอช้าวิ่งขึ้นบันไดเสียงดังตึงตังจนพ่อตะโกนด่าตามหลัง โยนกระเป๋าทิ้งไว้หน้าประตูแล้วเดินตรงเข้าไปในครัว ตามกลิ่นหอมๆ ฝีมือแม่ครัวมือฉมังที่กำลังสรรค์สร้างมื้อพิเศษต้อนรับลูกชายคนนี้อยู่ จะมีอะไรให้ผมกินบ้างนะ

            "แม่" ผมเข้าไปกอดแม่จากด้านหลังเลยโดนตีมือกลับมา

            "ระวังสิลูก ไปนั่งพักก่อนไป ใกล้จะเสร็จแล้วเดี๋ยวแม่ยกไปให้"

            "มีอะไรกินบ้าง"

            "ผัดถั่วฝักยาวใส่หมูของโปรดไอ้แสบคนนี้ไง"

            "มาๆ เดี๋ยวปลื้มช่วยดีกว่า" ผมเดินไปชานบ้านตักน้ำในโอ่งล้างมือโดยไม่สนใจคำไล่ของแม่ก่อนหน้านี้ ปกติผมเป็นลูกมือให้แม่ประจำอยู่แล้ว แถมยังได้ทำงานกับป้านกอีก บอกเลยว่าฝีมือตอนนี้เป็นพ่อครัวได้สบาย

 

            อาหารมื้อแรกหลังกลับมาบ้านเกิดเป็นเมนูที่หาวัตถุดิบได้จากละแวกบ้าน อย่างเช่นผัดเผ็ดนก ต้มยำไก่บ้าน น้ำพริกผักต้ม พวกเรานั่งล้อมวงกินกันหน้าทีวี ผมกินไปพูดไป แชร์ประสบการณ์จากเมืองกรุงที่พ่อแม่คงฟังจนเบื่อแต่ท่านก็ยังยิ้มรับถามโต้ตอบกลับมาสร้างเสียงหัวเราะอยู่หลายครั้ง เสียดายอยู่อย่างที่พี่ปริม พี่สาวผมต้องพักที่สุโขทัยกว่าจะได้กลับบ้านก็ช่วงวันหยุด ไม่อย่างนั้นครอบครัวคงได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกว่านี้

            หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็โดนไล่ให้ไปนอน พ่อออกไปทำงานส่วนแม่จัดการงานบ้านหรือไม่ก็รับจ้างทำงานในสวนเวลามีคนมาจ้างนานๆ ครั้ง

            เวลาเดินเข้าสู่ช่วงสาย กินข้าวอิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน บวกกับความอ่อนเพลียจากการเดินทางที่หลับไม่เต็มตื่นนัก ผมเลยหยิบหมอนติดมือลงมาจากบ้านตั้งใจจะงีบสักตื่นบนเปลใต้ถุนบ้าน แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปบางอย่าง

            ผมหยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอหลังจากเอนตัวลงนอน ข้อความจากต้นสนค้างอยู่ตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะกลับถึงบ้านแล้วเช่นกัน

            เพราะอยากได้ยินเสียงมากกว่าคุยผ่านตัวอักษรผมเลยกดโทรออก เสียงสัญญาณดังเพียงครั้งเดียวปลายสายก็กดรับอย่างกับรออยู่

            (ถึงบ้านแล้วเหรอ) คำทักทายตอนรับโทรศัพท์ไม่ต้องมี มาถึงก็โยนคำถามใส่กันเลย

            "ถึงนานแล้ว"

            (ไม่เห็นบอก)

            "ถึงตอนตีห้า ตื่นหรือยังล่ะ"

            (ยังไม่ตื่นก็บอกได้ เดมไปหาก็ไม่ตอบนะ จะสิบโมงแล้วเนี่ย)

            "ก็โทรมาหาเลยนี่ไง"

            ปลายสายเงียบไปซึ่งผมเดาว่าต้นสนต้องยิ้มอยู่แน่ๆ เพราะผมเองก็ยิ้มอยู่เหมือนกัน และยิ่งยิ้มกว้างไปกันใหญ่เมื่อเจ้าตัวพูดขึ้นมาอีกครั้ง

            (คิดถึงแล้วเนี่ย)

            ผมเงยหน้ามองเพดานแล้วยิ้มค้าง อยู่ๆ ก็โพล่งออกมาตรงๆ แบบไม่มีอ้อมค้อม ทำเอาอยากเห็นหน้าตอนเจ้าตัวพูดประโยคนี้ออกมา

            "คิดถึงเหมือนกัน"

            (งั้นก็รีบกลับมาเลย)

            "เปลี่ยนเป็นให้มาหาแทนได้ป้ะ"

            (ได้นะ ส่งโลมาดิ)

            "ปลาโลมาอ่ะนะ"

            (โลมาไม่ใช่ปลา)

            "แล้วเป็นไร"

            (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม)

            "เก่งหนิ"

            (อยู่แล้ว)

            ยิ่งคุยบทสนทนาของเราก็เริ่มไร้แก่นสารขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมกลับสนุกที่เราได้คุยกันแบบนี้ แค่พูดอะไรก็ได้ที่อยากจะพูด มีคนคอยรับฟังและโต้ตอบกลับมาแม้มันจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระแค่ไหนก็ตาม

            ผมยังคงคุยเรื่องสัพเพเหระกับต้นสนไปเรื่อยเปื่อย ผลัดกันเล่าผลัดกันฟัง ยิ้มจนเมื่อยปาก หรือบางทีก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ทั้งที่เพิ่งจากกันยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่กลับมีเรื่องคุยกันเยอะแยะเหมือนไม่ได้เจอหน้ากันมาแรมปี

            เป็นแบบนี้จากที่คิดว่าจะงีบสักตื่นคงจะไม่ได้นอนเสียแล้วล่ะมั้ง

 

TBC

 

คิดถึงเลยมาหา กลับมาแล้วค่ะ ตอนนี้ก็ยังคงความอ้อนเช่นเดิม ^^

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ yanaanay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ baibuabuaz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องเรียกว่าแฟนก็ได้ มันชัดเจนในตัวเองแล้ว  :กอด1:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ถ้าต้นสนเป็นพระเอกนะ ปลื้มคงเสร็จนางไปนานแล้ว 55555  ขนาดเป็นนายเอกยังแจกอ้อยจนเหมือนจะรุกเองอยู่แล้ว 5555555555

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ต้นสนรึต้นอ้อยเนี่ยะ อ่อยสุดๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด