ตอนที่ 17
'งาน KFM ครั้งที่ 8'
ผมอ่านชื่องานบนบัตรสตาฟที่ต้นสนเพิ่งยื่นมาให้ในใจก่อนเอามันคล้องคอ ยิ้มให้เจ้าหน้าที่ตรงโต๊ะลงทะเบียนพอเป็นพิธีแล้วหิ้วกระเป๋าเดินตามต้นสนเข้าในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมย่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน
โต๊ะที่มีผ้าคลุมสีขาวตั้งเรียงกันไปตามความยาวของห้องทั้งหมดสี่แถว ต้นสนเดินนำไปยังบูธที่จองไว้อย่างชำนาญเส้นทาง ผ่านหลายบูธที่กำลังจัดของกันอย่างขะมักเขม้น ก่อนหยุดที่โต๊ะแถวที่สองใกล้กับหัวแถว
"ของเราโต๊ะนี้" ต้นสนบอกแล้ววางของลงบนโต๊ะที่มีกระดาษติดไว้ว่า B3 เป็นทำเลที่ดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่อยู่ใกล้เวทีก็น่าจะดีล่ะมั้ง
ถึงบูธก็ได้เวลาจัดของ ผมหยิบโปสการ์ดเกือบยี่สิบลายออกมาวางตามที่ต้นสนบอก ลายหนึ่งมีสามสิบถึงสี่สิบแผ่น ตามด้วยแฟนบุ๊คอีกสองเรื่อง อาร์ตบุ๊คที่ผมซื้อไปแล้วอีกเล่ม จัดเรียงของทั้งหมดแล้วใช้พื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของโต๊ะที่ยาวเกือบสองเมตรได้
บูธนี้ต้นสนแบ่งพื้นที่กับอารี่คนละครึ่ง แม่ศิลปินสาวตัวเล็กที่ผมออกอาการหึงใส่เมื่อคราวก่อน หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่วันนี้ ตั้งใจมาช่วยขายของแล้วก็อยากมาเห็นตัวจริงของแม่สาวอารี่ด้วยเหมือนกัน
ช่วยกันจัดของจนใกล้เสร็จมือถือของต้นสนก็แผดเสียงร้อง เจ้าตัวหยิบมันขึ้นมาดูก่อนกดรับ คุยกันสองสามคำแล้ววางสาย เป็นประโยคสนทนาที่ฟังแล้วรู้ได้ทันทีว่าคุยกับใคร
"ไปรับอารี่ก่อนนะ"
ผมพยักหน้ารับ ต้นสนยิ้มให้แล้ววางป้ายราคาที่ยังจัดไม่เสร็จไว้บนโต๊ะแบบลวกๆ ก่อนคว้าเอาบัตรสตาฟที่ได้มาตั้งแต่ตอนลงทะเบียนออกไปหาเพื่อน
ระหว่างรอผมทำเป็นจัดของที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้วให้เข้าที่อย่างคนไม่มีอะไรทำ ไม่ก็เหล่มองบูธข้างๆ หนังสือเอย โปสเตอร์เอย อีกทั้งสารพัดของเล็กๆ น้อยๆ มีทั้งแบบตัวการ์ตูนที่น่าจะเป็นคาแรคเตอร์ แล้วก็รูปผู้ชายหล่อๆ ซึ่งผมไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง เป็นสถานที่ที่ล่อลวงผู้มีใจรักได้ดียิ่งนัก
หายออกไปไม่นานนักต้นสนก็เดินกลับเข้ามาพร้อมผู้หญิงตัวเล็กผมดำยาวใส่ชุดเดรสสีขาวชายลูกไม้ ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนิทสนมจนมาหยุดอยู่ที่บูธ B3 สาวน้อยนามว่าอารี่ก็ยิ้มหวานแล้วแนะนำตัว
"หวัดดีปลื้ม เราอารี่นะ เป็นเพื่อนนักวาดกับต้นสนมัน ได้ยินมันพูดถึงบ่อยๆ ตัวจริงหล่อนะเนี่ย" อารี่เปิดปากได้ก็ใส่มาเป็นชุด ท่าทางจะคุยเก่งเหมือนกันทั้งคู่
แล้วที่ว่าต้นสนไปพูดถึงบ่อยๆ นี่หมายความว่าไง เอาผมไปเมาท์ให้เพื่อนฟังว่าอะไรอีก
"หวัดดี" ผมทักตอบกลับไปแค่นี้แล้วยิ้มอย่างเดียว
"รีบจัดของเลยมึง อีกครึ่งชั่วโมงเขาจะเปิดให้คนเข้าแล้ว"
"เหรอ เออๆ" อารี่ตอบรับแล้ววางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ท่าทางลนๆ ก็ขัดกับลุกน่ารักๆ อย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่โก๊ะแบบเปิ่นๆ แต่เป็นเด๋อแบบตลกๆ ถึงอย่างนั้นความสวยที่มาก็ทำให้สามารถมองข้ามมันไปได้ เป็นสัจธรรมที่ว่า คนสวยมักได้เปรียบกว่าจริงๆ
'คุยเก่งกันทั้งคู่' ไม่ผิดคาดจากที่ผมคิดเอาไว้ หลังจากจัดของเสร็จ อารี่ก็ชวนต้นสนคุยจนแทบไม่มีเวลาไหนที่เรียกได้ว่าเงียบสงบ ไม่รู้ขุดเอาเรื่องจากไหนมาคุยกันนักหนา มีโยนมาให้ผมตอบรับบ้าง พอเล่นด้วยเข้าหน่อยก็เล่นกลับใหญ่เวอร์วัง แต่แปลกตรงที่มันไม่ได้ดูน่ารำคาญเลยสักนิด
"เฮ้ยๆ คนเข้ามาแล้ว"
สิบโมงตามเวลาเริ่มงานที่ระบุในบัตรประตูห้องจัดเลี้ยงก็เปิดออก ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาเดินกระจายไปตามบูธต่างๆ และดูเหมือนว่าบูธของพวกเราเองก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของใครหลายคน
"อันนี้น่ารัก"
"อันนี้ก็สวย"
"อยากได้หมดเลย"
"หมดตัวเลยนะ"
"มีโปรมั้ยคะพี่ต้นสนพี่อารี่"
น้องผู้หญิงสองคนที่คาดว่าน่าจะอยู่มัธยมปลายยืนคุยกันงุ้งงิ้งอยู่หน้าร้าน ก่อนจะโยนคำถามมาให้เจ้าของบูธที่พร้อมแล้วสำหรับการขาย คงจะเป็นแฟนคลับของสองคนนี้ด้วยล่ะมั้ง ถึงได้เรียกชื่อกันสนิทสนมขนาดนี้
"ของพี่ต้นสนไม่รู้มีมั้ยนะคะ แต่ของพี่อารี่มีค่า นี่จ้า ซื้อครบหนึ่งร้อยบาทแถมฟรีโปสการ์ดหนึ่งใบ เลือกลายได้เลยน้า มีสี่แบบ" อารี่หยิบกล่องพลาสติกออกมาพร้อมเปิดโชว์ของแถมที่ว่าให้ดู มันคือโปสการ์ดสี่ลายที่ไม่ได้เอาออกมาวางโชว์ตั้งแต่แรก สองลายเป็นรูปหญิงชาย ส่วนอีกสองลายนั้นเป็นรูปชายชาย แต่ไอ้รูปชายชายนั่นทำไมมันคุ้นๆ
"ไอ้รี่!"
"อะไร"
"มึง"
"กูทำไม"
สองศิลปินเพื่อนรักเขากระซิบกระซาบอะไรกันไม่รู้ดูลับๆ ล่อๆ ชอบกล คนหนึ่งขมวดคิ้วใส่ทำหน้าเครียด ส่วนอีกคนยิ้มร่าท่าท้าย สงสัยคุณหนูต้นสนจะโดนขัดใจอะไรเข้าอีกเป็นแน่
"แล้วพี่ต้นสนล่ะคะ" หนึ่งในลูกค้าสาวถามขึ้นมาเมื่อยังไม่ได้รับฟังโปรโมชั่นพิเศษจากทางต้นสน เจ้าตัวเลยแยกเขี้ยวใส่เพื่อนก่อนหันไปตอบ
"พี่แถมสติ๊กเกอร์ครับ ซื้อเท่าไรก็แถม ส่วนโปสเตอร์สามใบร้อยนะ เลือกเลยๆ"
ได้รับฟังโปรโมชั่นถูกใจทั้งสองสาวก็เริ่มเลือกสินค้าที่อยากได้ ส่วนผมมีหน้าที่รับมาใส่ซองและช่วยทอนเงิน
"ขอบคุณครับ"
ทั้งสองคนที่รับซองใส่สินค้าจากมือผมค้อมหัวเล็กน้อยพร้อมยิ้มให้ หนึ่งในนั้นมองรูปในโปสเตอร์ที่ได้แถมจากอารี่สลับกับมองผมก่อนจะยิ้มกว้าง ค้อมหัวให้อีกหนึ่งทีแล้วพวกเธอก็เดินจากไป
ผมว่าโปสการ์ดนั่นมันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ รูปหนึ่งเดินจับมือกัน ส่วนอีกรูปเหมือนจะเล่นกีตาร์ร้องเพลง
เดี๋ยวนะ!
ตั้งใจว่าจะทักเรื่องรูปในโปสการ์ดแต่เพราะลูกค้าที่ทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ ผมเลยไม่มีโอกาสได้ถามสักที
การขายของเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะเวลาที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผมที่คุ้นเคยกับการขายของอยู่แล้วพอปรับตัวกับชนิดของสินค้าใหม่และจำราคาได้เลยยิ่งสนุกกับมัน แนะนำพูดคุยหยอกล้อกับลูกค้าจนเจ้าของบูธออกปากชม แถมคิดเลขเร็วอีกต่างหาก ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ แฟนบุ๊คหนึ่งเรื่องที่ต้นสนทำมาก็ขายหมด
"นี่ขายดีหรือทำมาน้อย" แล้วก็โดนอารี่แซะเข้าให้
"ระดับต้นสนนะครับ ทำมาเยอะแค่ไหนก็หมด"
"จ้าๆ"
ถ้าผมไม่มาเห็นกับตาวันนี้ก็คงจะทำหน้าหมั่นไส้ใส่ต้นสนเหมือนอารี่อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะขายได้เรื่อยๆ แล้วยังมีแฟนคลับมาขอถ่ายรูปด้วยบ่อยๆ ถ้าช่วงไหนที่เจ้าตัวไม่อยู่เช่นไปห้องน้ำหรือเดินแวบไปที่อื่นก็มักจะโดนถามหา นับว่าเป็นคนดังคนหนึ่งของวงการนี้คงได้
เวลาผ่านไปของที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะเริ่มหมดไปทีละอย่าง ในขณะที่ลูกค้ายังทยอยเข้ามาเรื่อยๆ มีงอนง้อใส่กันบ้างเมื่อของที่อยากได้ไม่มีให้ซื้อ แต่ด้วยวาทศิลป์อันแพรวพราวของอารี่เลยเกลี่ยกล่อมจนลูกค้าหันไปซื้อสินค้าอย่างอื่นแทน ไม่ได้เก่งแค่คุยโม้ไปเรื่อยอย่างเดียว
เลยเที่ยงมาได้สองชั่วโมงผมเลยอาสาออกไปซื้อข้าวกับขนมนมเนยมาให้ กลับมาที่บูธอีกทีลูกค้ามีอยู่ประปราย ตั้งใจจะแลกเวรขายกับใครสักคนเพื่อผลัดกันไปพัก แต่กลับมีเสียงคุ้นหูเรียกชื่อผมขึ้นมาทั้งที่ไม่น่าจะมีใครรู้จักผมนอกจากต้นสนกับอารี่
"พี่ปลื้ม"
หันไปตามต้นเสียงก็เจอกับเด็กสาวยืนเอียงคอขมวดคิ้วมองผมอยู่ เธอใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาสั้นที่มักจะเห็นบ่อยๆ ซึ่งปกติแล้วผมจะเห็นเธอใส่ชุดนี้อยู่ที่ตลาดหลังมหาวิทยาลัย
"ไม่ยักรู้ว่าพี่ปลื้มชอบอะไรแบบนี้ด้วย" น้ำเสียงที่ถามฟังดูแปลกใจ ทว่าสีหน้ากลับเย้ยหยัน น้ำตาลมองผมสลับกับต้นสนและอารี่ เป็นสายตาที่ดูไม่น่ารักและไร้มารยาท
"พี่มาช่วยเพื่อนขายของน่ะครับ น้องตาลชอบอันไหนเลือกได้เลยนะ" ผมพยายามมองข้ามท่าทีเหล่านั้น เป็นการแสดงออกที่ผมไม่อยากเชื่อว่าเด็กผู้หญิงที่เคยน่ารักจะแสดงท่าทีอาการแข็งกร้าวได้ขนาดนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย
"ตาลไม่ได้ชอบ เพื่อนชวนมาก็มา ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาเจอพี่ปลื้มที่นี่ รับจ๊อบพิเศษเหรอคะ หรือเบื่องานที่บ้านตาลแล้ว"
"พี่มาช่วยเพื่อนครับ ไม่ได้มารับจ๊อบ"
"เขาจ้างพี่ปลื้มเท่าไรเหรอ พักนี้เลยชอบลางานตลอด"
"ตาล" ผมเรียกเสียงแข็งแต่ไม่ดังนัก ส่งสายตาบอกให้อีกฝ่ายหยุดพูดอะไรเรื่อยเปื่อย คนรอบข้างเองก็เริ่มหันมามอง รวมถึงต้นสนกับอารี แต่มันไม่ได้ผลเมื่อตาลเปลี่ยนเป้าหมายไปหาต้นสนแทน
"สวัสดีค่ะพี่ต้นสน"
"สวัสดีครับ"
"งานพวกนี้ของพี่เหรอคะ"
"ครับ" ต้นสนยิ้มรับให้กับท่าทีคุกคามที่เหมือนจะไม่ยอมลดลงง่ายๆ
"ตาลไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าพี่สองคนจะสนิทกันขนาดนี้"
"พวกเราเป็นเพื่อนที่มหา'ลัย"
"รู้ค่ะ แต่ก็เรียนคนละคณะไม่ใช่เหรอ"
ต้นสนได้แต่ยิ้มรับโดยไม่ตอบโต้อะไรกลับไปอีก ผิดกับอารี่ที่ดูร้อนรนเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่โดนต้นสนหยิกแขนเอาไว้ เลยได้แต่ส่งยิ้มที่ไร้ความจริงใจให้กันไปมา
สถานการณ์แบบนี้มันบ้าบอชะมัด
ผมไม่รู้ว่าตาลไปรู้อะไรมา ที่ร้านเธอกับต้นสนเจอกันบ่อยก็จริงแต่คุยกันแทบนับประโยคได้ แถมยังเป็นประโยคสนทนาที่ใช้ในการค้าเสียส่วนใหญ่ ตาลไม่เคยมีท่าทีสนใจต้นสนมาก่อน กระทั่งพักหลังที่ผมคุยกับต้นสนที่ร้านมากขึ้น ปริมาณกับข้าวที่เอากลับไปหลังเลิกงานและเส้นทางกลับบ้านที่เปลี่ยนไป เธอเคยถาม แต่ผมไม่เคยตอบอย่างจริงจังเท่าไร
"ตาลไปก่อนนะ พอดีเพื่อนรอยู่ ขอให้ขายดีนะคะ แล้วเจอกันนะพี่ปลื้ม" นึกอยากจะไปก็ไป นึกอยากจะมาก็มา ตาลโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มที่ดูยังไงก็เสแสร้งก่อนเดินจากไป พร้อมกับอารี่ที่พูดสวนขึ้นมาทันที
"อะไรของอีเด็กนั่น"
"พูดไม่เพราะเลย"
"เอ้า! ก็ดูมันทำหน้าทำตาดิ แฟนปลื้มเหรอ หรือใคร"
"ไม่ใช่" ผมตอบแล้วส่ายหน้า ดูท่าอารี่จะอารมณ์ขึ้นมากกว่าคนโดนยั่วอย่างผมกับต้นสนเสียอีก
"หรือกิ๊กปลื้ม พูดกระแนะกระแหนน่าตบมากอ่ะ"
"ไม่มีแฟนจะไม่กิ๊กได้ไงเล่า"
"แล้วไอ้สนไม่ใช่แฟนปลื้มเหรอ" อารี่ยิงมาคำถามเดียวเงียบกันทั้งบูธ ไหนจะลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อของอีก ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับต้นสนทั้งนั้น พอได้ยินประโยคนี้เลยหูผึ่งกันเป็นแถว
"ไอ้รี่!"
"ล้อเล่นมั้ยล่ะ เห็นพวกมึงสนิทกันอ่ะ มันก็อยากเชียร์ไง" พูดประโยคแรกเสียงดังก่อนอารี่จะเข้าไปกระซิบประโยคหลังกับต้นสน แต่ผมดันบังเอิญได้ยิน
"พูดมาก"
"นี่เพื่อนหวังดีนะคะ"
"ไม่ต้องมาหวังดีกับคนอื่น มึงอ่ะหาผัวให้ได้ก่อนเถอะ"
"อีนี่! ปากร้าย"
มองต้นสนกับอารี่ยืนเถียงกันแล้วผมก็ได้แต่ส่ายหน้ากับตัวเอง ไม่รู้ก่อนหน้านี้หลงคิดไปได้ยังไงว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน ถ้าเป็นภาพนิ่งทั้งคู่นั้นไม่ต่างกับเทพบุตรกับเทพธิดา แต่พอเป็นภาพเคลื่อนไหวแล้วกลับเป็นลุงขายน้ำเต้าหู้กับเจ๊ขายผัก มันก็ยังพอจะจินตนาการได้อยู่ล่ะมั้ง
ใกล้สี่โมงเย็นคนที่มาร่วมงานก็เริ่มน้อยลง บางบูธทยอยกันเก็บของ พวกผมเองก็ด้วย งานที่เอามาส่วนมากขายได้เกือบหมด ของที่ต้องขนกลับเลยมีไม่เยอะเท่าไร
"พวกแกจะไปไหนกันต่อ" อารี่ถามตอนพวกเราเดินออกมาจากห้องจัดงาน
"ตอนแรกว่าจะไปกินข้าวก่อน แต่ตอนนี้อยากกลับเลยว่ะ ง่วงมาก" ต้นสนตอบแล้วเหล่มองมาทางผม
ผมน่ะยังไงก็ได้ มาด้วยกันก็กลับด้วยกัน สนต้นจะพาไปไหนก็ไป จะไปกินข้าวหรือจะกลับคอนโดก็ตามใจคุณหนูเลย
"แล้วมึงจะไปไหนต่อ"
"นัดกับพี่พีไว้ตอนห้าโมง มึงเอารถมาใช่ป่ะ"
"อืม"
"งั้นไปส่งกูหน่อยดิ"
"กูว่าละ"
"เออน่า ไม่ไกลหรอกมึง นะๆๆ"
"เออๆ"
"ดีมากเพื่อนรัก" อารี่หยิกแก้มต้นสนหนึ่งทีเจ้าตัวเลยรีบปัดออกแล้วขมวดคิ้วใส่ หยอกกันได้น่ามันเขี้ยวจนคนมองต้องยิ้มตาม
ผมว่าคู่นี้เขาเข้าขากันดีนะ ทั้งท่าทาง ลักษณะนิสัย ชอบวาดรูปเหมือนกันอีก พอเห็นหยอกกันมากๆ มองแบบคนไม่รู้ก็ชักจะเข้าข่ายเหมือนคู่รักกันยังไงชอบกล เป็นคู่รักคู่กัด แต่ดูเหมือนจะชอบกัดกันมากกว่า
ต้นสนขับรถมาส่งอารี่ที่ร้านอาหารไม่ไกลจากโรงแรมนัก ก่อนจะลงจากรถเธอยื่นโปสการ์ดสองใบมาให้ผม มันคือของแถมสำหรับลูกค้า รูปวาดที่คุ้นแสนคุ้นเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผมมาก่อน และยังเป็นสิ่งที่ผมเกือบลืมไปแล้วถ้าเธอไม่เอามันมาให้
ผมมองโปสการ์ดในมือแล้วนั่งอมยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ ในขณะที่ต้นสนยังคงปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาเอาแต่มองไปข้างหน้าตั้งอกตั้งใจกับการขับรถ แต่เพราะมันมีประเด็นให้คิดเจ้าตัวถึงได้เป็นแบบนี้ เพราะคำพูดของอารี่ที่บอกกับผมก่อนลงรถ
'ไอ้นี่น่ะ ตอนแรกตั้งใจวาดเล่นเฉยๆ แต่เผอิญว่าคนแถวนี้อยากได้เลยทำแจกมันซะเลย ไม่ว่ากันเนอะ'
จะว่าหรือไม่ว่ามันก็ผ่านมาแล้ว ถึงไปบอกอารี่ว่าไม่ให้ทำตอนนี้มันก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี อีกอย่างผมว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
รูปวาดสวยดี คาแรกเตอร์ในรูปก็เหมือน เหมือนมากอย่างกับมาเห็นเหตุการณ์เองยังไงยังงั้น
"เล่าให้อารี่ฟังด้วยเหรอ" ผมถามเพื่อทำลายความเงียบ น้ำเสียงปกติไม่ได้หงุดหงิดอะไร แต่เหมือนว่าต้นสนจะกลัวว่าผมกำลังไม่พอใจอยู่
"ก็เล่านั่นแหละ แต่ไม่คิดว่ามันจะเอามาวาด แล้วก็เอามาแจกด้วย"
"เล่าอะไรไปบ้าง"
ต้นสนเหลือบมามองผม หน้าจ๋อยสนิทแบบไร้ความมั่นใจ ทั้งตลกและน่าแกล้ง แต่ผมไม่ใช่คนที่ชอบแกล้งแหย่คนอื่นไปทั่ว ยิ่งเห็นเจ้าตัวทำหน้าคิดมากแบบนี้ยิ่งแกล้งไม่ลง
"ก็เล่าหมดนั่นแหละ ทำอะไร ยังไง ตอนไหน เกิดอะไรขึ้น คนเราก็ต้องระบายให้เพื่อนฟังบ้างไง เก็บทุกอย่างไว้คนเดียวอึดอัดตาย"
"แล้วอั๋น?"
"ไอ้อั๋นก็เล่า แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด มันรู้แค่ว่าช่วงนี้อยู่กับปลื้มบ่อยๆ แค่นั้น"
"เหรอ"
"โกรธเหรอ"
"เปล่า"
ต้นสนหันมามองแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปมองถนน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนผมอยากจะจับให้หันหน้ามาหาแล้วนวดระหว่างคิ้วให้
ท่าทางผมเหมือนคนโกรธตรงไหน ไม่เลยสักนิด ต้นสนน่ะขี้กังวลไปเอง วิตกไปเองทั้งนั้น แต่ทุกอย่างที่อีกฝ่ายแสดงออกมันช่วยบ่งบอกอะไรได้บางอย่าง ถ้าไม่ใช่กลัวว่าตัวเองจะมีความผิดก็เป็นเพราะว่าห่วงความรู้สึกกัน ซึ่งสำหรับต้นสนนั้นไม่ต้องคิดให้ยากว่าจะเป็นตัวเลือกไหน
เพราะเป็นห่วงเลยกังวล ซึ่งผมเองก็มีเรื่องที่กำลังเป็นห่วงความรู้สึกของต้นสนอยู่เหมือนกัน
"เรื่องตาลน่ะ อย่าไปคิดอะไรมากนะ"
"ไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย" ตอบทั้งที่คิ้วยังขมวดอยู่แบบนี้ใครจะไปเชื่อ
"งั้นก็เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว"
"แต่ที่จริงก็คิดอยู่แหละ"
ผมหันหน้าไปมองคนขับเป็นจังหวะเดียวกับที่รถติดไฟแดงพอดี ต้นสนมองตอบแล้วอมยิ้มบางๆ สีหน้าเป็นกังวลยังไม่จางหายไปไหน
"กำลังคิดว่าน้องเขาชอบปลื้มหรือเปล่า" ยิงคำถามมาได้ตรงประเด็นจนผมเองยังตกใจ
"เพราะที่น้องเขาพูดวันนี้น่ะเหรอ"
"อืม"
"ก็บอกแล้วไงอย่าคิดมาก"
"พูดซะขนาดนั้นไม่คิดได้ไงไหว"
"ไม่มีอะไรหรอก"
"แล้วน้องเขาชอบปลื้มอยู่ใช่มั้ย"
"ไม่รู้เหมือนแฮะไม่เคยถามซะด้วย"
"แค่ดูท่าทางก็รู้แล้วมั้ย"
"รู้ว่าเราไม่ได้ชอบน้องเขาก็พอ"
จากที่ตั้งท่าจะเถียงต้นสนกลับเงียบแล้วยู่หน้าใส่ผม จังหวะพอดีกับที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวเจ้าตัวเลยต้องกลับไปตั้งสมาธิกับการขับรถแทน แต่ผมเห็นนะรอยยิ้มนั่น ยิ้มที่เหมือนพอใจกับคำตอบ รอยยิ้มที่คนมองเห็นแล้วมีความสุขไปด้วย
ในที่สุดก็เลิกก็ขมวดคิ้วได้สักที
เรากลับมาถึงตอนโดเกือบหกโมงเย็น ดับเครื่องยนต์ปลดสายเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยกำลังจะลงจากรถจู่ๆ ต้นสนก็ชะงักแล้วหันมาหาผมหน้าตาตื่น
"เออ ลืมถามปลื้มว่าจะลงหอหรือเปล่า"
"นึกได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วมั้ย"
ต้นสนทำหน้าเจื่อน ผมไม่ได้อยากประชดแค่พูดความจริง แต่ถึงจะมาส่งที่คอนโดมันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เดินกลับไปหอผมไม่เกินยี่สิบนาทีก็ถึง
"ก็ถ้าจะกลับหอจะได้ไปส่งไง"
"เดินกลับก็ได้ แค่นี้เอง"
"ไม่ได้"
"ก็เดินอยู่ทุกวัน"
"แต่วันนี้ไม่ได้ ปลื้มมาช่วยเรานะต้องบริการดีๆ หน่อย เออใช่ ค่าจ้างยังไม่ได้ให้เลย" ว่าแล้วก็ทำท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ผมเลยต้องรีบห้าม
"เฮ้ยไม่ต้อง ไม่ต้องไปส่ง ค่าจ้างก็ไม่ต้องเหมือนกัน"
"ทำไมชอบปฏิเสธของตอบแทนอ่ะ" ต้นสนขมวดคิ้วถาม
ที่ไปช่วยขายของวันนี้ผมไม่ได้คิดถึงค่าตอบแทนเลย มันก็เหมือนเวลาที่เพื่อนช่วยเหลือกัน หยิบยื่นความมีน้ำใจให้เมื่อมีโอกาส แต่ถ้าหากเจ้าตัวอยากให้ผมได้สิ่งตอบแทนก็ย่อมได้ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย
"งั้นขออย่างอื่นที่ไม่ใช่เงิน"
"อะไร" ต้นสนทำหน้ายุ่ง ขมวดคิ้วเอียงคอมอง
ผมเหยียดยิ้มไม่ตอบด้วยคำพูด ขยับตัวเข้าไปใกล้ใช้มือข้างขวาประคองหน้าหม่นหมองเอาไว้ส่วนอีกข้างใช้คล้องเอวดึงให้ตัวเข้ามา ดวงตาที่เมื่อครู่เบิกกว้างปิดลงอย่างรู้งาน เอียงหน้ารับองศาจูบที่มอบให้ เริ่มต้นด้วยความแผ่วเบาแล้วจึงหนักหน่วงขึ้นตามลำดับ รุกล้ำอย่างกระหาย สำรวจทุกซอกมุมเหมือนเด็กเวลาได้ของเล่นใหม่ เล่นสนุกจนพอใจถึงได้ยอมเลิกรา
"หอมแอปเปิ้ล" กระซิบชิดริมฝีปากแล้วจูบหนักๆ อีกสักทีถึงได้ผละออกมาอย่างจริงจัง
"โดนกินไปหมดแล้วมั้ง" กลับไปนั่งพิงเบาะดีๆ แล้วต้นสนก็พึมพำขึ้นมา ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากที่เหมือนจะช้ำนิดๆ ก่อนหันมามองกัน ผมเลยใจดีช่วยตอบคำถามที่เจ้าตัวสงสัยให้
"กินหมดแล้ว"
"ตะกละ"
เป็นคำด่าที่ได้ยินแล้วเผลอหลุดหัวเราะออกมา จะว่างั้นก็ได้เพราผมมันตะกละจริงๆ และก็คงเป็นคนตะกละตะกลามไปอีกนานถ้ายังได้อยู่ด้วยกันแบบนี้
"ไปได้แล้ว เดินกลับเองไปเลย"
"แค่นี้ถึงกับไล่"
ต้นสนไม่ตอบมือคว้าที่เปิดประตูเตรียมตัวหนีลงจากรถ แต่ประเด็นเมื่อกี้ยังคุยกันไม่จบเลยจะรีบหนีไปไหน
"เดี๋ยวดิ"
"อะไรเล่า"
"ถ้าคิดว่าทำอะไรให้แล้วเป็นบุญคุณตอบแทนด้วยวิธีนี้ได้นะ ยินดีรับมากๆ"
"คร้าบๆ"
เห็นรอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากผมเลยยอมปล่อยให้ต้นสนลงจากรถ ส่วนตัวผมที่ไม่มีแผนจะทำอะไรต่อก็คงวนเวียนอยู่แถวนี้ ให้กลับหอตั้งแต่หกโมงเย็นมันไม่ใช่เวลา อีกอย่างวันเสาร์ที่เจ้าตัวอยู่ห้องไม่ได้มีบ่อยๆ ไหนๆ มาถึงคอนโดแล้วก็อยู่ที่นี่มันซะเลย เอาไว้สักสามทุ่มค่อยกลับหอก็แล้วกัน
TBC
ประเด็นเรื่องรุกๆ รับๆ ยังคงไม่จางหายไป ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนี้ไม่มีเอ็นซี
ฉะนั้นรุกรับไม่สำคัญ แค่รักกันก็พอ ฮิ้ววว ฮ่าๆๆ
วันนี้แอบโผล่มากลางสัปดาห์ แล้วจะมาลงอีกทีเสาร์หรืออาทิตย์นะคะ
สัปดาห์หน้าไม่อยู่ แอบหายหัวยาวๆ เจอกันอีกทีสิ้นเดือนหรือไม่ก็เดือนหน้าเลยค่ะ
ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและพูดคุยกันนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า