ตอนที่ 8
เสียงเตือนจากแอปพลิเคชั่นรูปเจ้านกแลร์รี่ที่กลายเป็นหนึ่งในแอปสนทนาหลักของผมไปแล้วดังขึ้นหลังกลับมาถึงห้องได้ไม่ถึงสิบนาที ผมทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ คว้ามือถือราคาถูกขึ้นมาดู ก่อนจะปลดล็อคหน้าจอเพื่อเข้าไปตอบข้อความเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อใคร
Pinetree : ถึงบ้านยัง
PuuRimm : ถึงสักพัก
PuuRimm : ยังไม่นอนอีกจะเที่ยงคืนแล้ว ไหนบอกพรุ่งนี้กลับบ้านแต่เช้า
Pinetree : เดี๋ยวนอนๆ ขอเคลียร์งานก่อน
อ่านแล้วก็เผลอถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
สำหรับต้นสนแล้วงานมาก่อนสุขภาพเสมอ สภาพตอนนี้เลยทรุดโทรมไม่ต่างจากศพเดินได้ ไหนจะความคิดแปลกๆ อย่างการเขียนสั่งเสียเรื่องงานเอาไว้ มันก็ไม่แปลกหรอกที่คนไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอย่างผมมาเห็นแล้วจะเข้าใจผิด
PuuRimm : ให้เวลาถึงเที่ยงคืน
Pinetree : แค่ยี่สิบนาทีเอง
PuuRimm : อีกยี่สิบนาทีไปนอน
Pinetree : มันไม่ทันนนนน
PuuRimm : ก็หยุดคุยแล้วรีบทำงาน
Pinetree : TT
หลังจากโดนว่าไปข้อความจากต้นสนก็ไม่ถูกส่งมาอีก
จะว่าผมเด็ดขาดหรือใจร้ายก็ได้ แต่คนที่ดูแลตัวเองไม่เป็นอย่างนายมืดมนควรมีใครสักคนคอยจี้คอยสั่ง คอยบอกว่าต้องหยุดแล้วพักร่างกาย ไม่อย่างนั้นคงมีใครสักคนได้สานต่อความต้องการตามโน้ตแผ่นนั้นแน่ๆ
รอจนแน่ใจว่าคนที่งอแงใส่เมื่อครู่นี้จะไม่เข้ามาป้วนเปี้ยนในโซเชียลอีกผมก็ล้มตัวลงนอน มองบทสนทนาที่เราเพิ่งคุยกันแล้วยิ้มขำตัวเอง และขำให้กับทุกๆ อย่างที่ผ่านมา
เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่คิดได้เป็นตุเป็นตะชะมัดเลยให้ตาย แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อสิ่งที่คิดนั้นมันไม่ใช่ความจริง
ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกด้วยความง่วงสุดขีด ควานมือสะเปะสะปะคว้ามือถือมากดปิดเสียง มองตัวเลขที่บอกเวลาเก้าโมงตรงกับข้อความจากทวิตเตอร์ที่ขึ้นเรียงกันเป็นตับจนต้องกระพริบตาถี่ๆ ส่ายหน้าแรงๆ เพื่อสลัดความง่วงออกไปแล้วตั้งใจอ่านข้อความเหล่านั้น
Pinetree : กำลังจะกลับบ้านแล้วววว
Pinetree : ถึงบ้านแล้วนะ
Pinetree : (ส่งรูปภาพ)
Pinetree : ขนงานมาทำด้วย
Pinetree : นี่น้องเนียร์พญาแมวท่ามกลางฝูงหมา
Pinetree : (ส่งรูปภาพ)
Pinetree : ส่วนนี่น้องหมา
Pinetree : (ส่งรูปภาพ)
Pinetree : ตัวสูงๆ สีน้ำตาลเข้มชื่อต้นตาล ตัวสีน้ำตาลอ่อนชื่อต้วมเตี้ยม สีขาวลายน้ำตาลชื่อต๋อมแต๋ม ส่วนตัวขาวล้วนชื่อตอเต่า
ข้อความทั้งหมดถูกส่งไล่มาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า จนข้อความสุดท้ายเมื่อสิบนาทีก่อน ทั้งรูปกระเป๋าใส่งาน น้องแมวสีส้มขาวหน้าตาไม่รับแขก และน้องหมาสี่ตัวที่ทำหน้างงใส่กล้อง ท่าทางดื้อใช้ได้กับชื่อที่ชวนปวดหัว ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วสามตัวเหมือนบางแก้วพันธุ์ผสม ส่วนตัวที่ชื่อต้นตาลนั้นเหมือนหมานอกที่ผมไม่รู้ว่าพันธุ์อะไร
อ่านจบครบถ้วนทุกข้อความแล้วไม่รู้ทำไมผมถึงได้ยิ้มกับประโยคที่เหมือนการรายงานสถานการณ์ข่าวแบบนี้ อย่างกับเป็นผู้ปกครองและมีลูกชายตัวน้อยๆ ที่ยังดูแลตัวเองไม่เป็น ทำอะไรไปไหนมาไหนต้องคอยบอก เรื่องนี้ผมไม่ได้ร้องขอแต่เป็นสิ่งที่ต้นสนทำมันเอง
เพื่อความสบายใจสินะ
PuuRimm : โดนมันข่วนอีกหรือเปล่า
ผมพิมพ์สิ่งเดียวที่อยากรู้ตอบกลับไปแค่นั้นแล้ววางมือถือไว้บนที่นอนก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำ
วันนี้ยังมีงานรออยู่ ปลดหนี้ค่าเช่าหอได้เมื่อไรจะให้รางวัลตัวเองงามๆ เลย
ตลาดวันนี้คึกคักเหมือนปกติ ที่ร้านได้น้องตาลมาช่วยผ่อนแรงด้วยเลยไม่วุ่นวายเท่าไร หรือจะเรียกว่าว่างจนมีเวลาตอบข้อความจากต้นสนตลอดทั้งวันเลยก็ว่าได้
Pinetree : พยายามแล้วแต่ไม่รอด
Pinetree : แต่รอยนิดเดียวๆๆๆๆ
ผ่านไปเกือบครึ่งวันหลังจากผมถามไปเมื่อช่วงสายข้อความนี้ก็ถูกส่งกลับมา แสดงว่าวันจันทร์ผมคงได้เห็นรอยเล็บหมาแมวเป็นของฝากสินะ
PuuRimm : ขอรูปประกอบ
Pinetree : ถ่ายไปก็ไม่เห็นหรอก
Pinetree : มันเล็กมากๆๆๆ
ในใจผมบอกว่าไม่ควรเชื่อสิ่งที่ต้นสนบอก แต่ละครั้งที่เจอกันวันจันทร์ไม่มีรอยขีดข่วนไหนที่เรียกว่าเล็กจนมองไม่เห็น ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เครียดจนคิดว่ามันเป็นรอยกรีด คิดไปแล้วก็อยากกับไอ้หมาแมวพวกนั้นถอดเล็บออกให้หมด หรือไม่ก็ให้เจ้าของมันใส่ชุดนักดับเพลิงไปเลยจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว
PuuRimm : ตัวมีแต่แผล
Pinetree : ถ้ามันโตก็คงเลิกข่วนแล้วล่ะมั้ง
PuuRimm : ยังไม่โตอีกเหรอ
Pinetree : ยังไม่ครบปีเลย โตแล้วคงหายซน
ผมพยักหน้าให้โทรศัพท์อย่างกับว่าคนที่พิมพ์คุยกันอยู่จะเห็น ลูกหมาพวกนั้นยังโตไม่เต็มที่หรอกหรอ ทั้งที่ในรูปดูตัวใหญ่ขนาดนั้น
คุยกันได้นิดๆ หน่อยๆ ผมก็ต้องเก็บมือถือใส่กระเป๋าหันไปสนใจลูกค้าที่มาซื้อแกง ขายเสร็จก็หยิบขึ้นมาเล่นต่อ เป็นแบบนี้อยู่หลายรอบจนน้องตาลร้องทัก ทั้งที่ในมือน้องเค้าเองก็ถือโทรศัพท์อยู่เหมือนกัน
"ช่วงนี้เล่นมือถือบ่อยนะพี่ปลื้ม"
"เหรอ" ผมหัวเราะรับแบบขอไปที จะไปว่าปกติก็ไม่ค่อยได้หยิบขึ้นมาเล่นบ่อยๆ อย่างที่น้องเค้าบอก ถึงจะหยิบขึ้นมาเล่นเวลาว่าง แต่ส่วนมากเป็นการเช็คข่าวสารมากกว่าคุยเล่นกับคนอื่นแบบนี้
"ติดคนในมือถือเหรอคะ"
"หือ เปล่า คุยกับเพื่อนเฉยๆ"
"เหรอคะ" น้องตาลทำหน้าเหมือนอยากถามต่อแต่ก็ยอมตอบรับแล้วถอยกลับ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีมากสำหรับผม
ติดคนในมือถือเหรอ ประโยคฮิตของพวกติดแฟนแบบนั้นใช้กับผมไม่ได้หรอก
ตัวเบาหวิวเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หรือจะพูดให้ถูกคือหยิบเงินออกจากกระเป๋าจนหมดตัวแล้วนั่นเอง
ผมยิ้มให้ป้าของเจ้าหอที่ยิ้มกว้างกลับมาหลังจากจัดการจ่ายค่าเช่าที่คั่งค้างตามที่ตกลงกันไว้ ก่อนจะหันหลังหมุนตัวเดินเข้าไปข้างในหอพักที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่จะมาสบายใจตอนนี้นั้นมันเร็วเกินไป ยังเหลือค่าเช่าทบต้นทบดอกที่ต้องจ่ายอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า แสนสาหัสกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว
ไขกุญแจเข้าห้องมาได้ผมก็ทิ้งตัวลงนอนทันที หยิบมือถือขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล ตั้งใจจะกดเข้าเฟซบุ๊กแต่นิ้วดันเผลอไปจิ้มทวิตเตอร์อย่างลืมตัว
จิ้มผิดแล้วก็เลยตามเลยแล้วกัน
หน้าไทม์ไลน์ของผมไม่มีอะไรน่าสนใจนักเพราะติดตามอยู่ไม่กี่คน ยิ่งช่วงนี้พ่อนักวาดที่ผมคลั่งไคล้หยุดอัพผลงานยิ่งเงียบไปกันใหญ่ จะมีก็แต่ข้อความส่วนตัวที่แจ้งเตือนตลอดทั้งวัน จนตอนนี้ก็ยังมีข้อความที่ไม่ได้ตอบกลับอยู่
Pinetree : เลิกงานหรือยัง
PuuRimm : ถึงห้องสักพักแล้ว
พิมพ์ตอบกลับไปแล้วก็มองหน้าจออยู่อย่างนั้น มองรูปสีน้ำที่ต้นสนใช้เป็นรูปโปรไฟล์ ภาพต้นไม้สูงใบสีเขียวเข้มครึ้มคลุมจนถึงปลายยอดแหลม สัญลักษณ์แทนตัวที่แทบไม่มีการดัดแปลงใดๆ
เห็นภาพสีน้ำแล้วจู่ๆ ก็นึกถึงรูปนั้นขึ้นมา ภาพที่ผมตั้งชื่อให้เองว่าทุ่งดอกไม้แห่งความตาย หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวง ผมอยากรู้ เพราะอะไรถึงได้วาดรูปแบบนั้นขึ้นมา
PuuRimm : ถามอะไรหน่อยดิ ทำไมถึงวาดรูปนี้ขึ้นมา
ผมเข้าไปค้นหารูปเจ้าปัญหาและส่งไปให้พร้อมคำถาม ทิ้งเวลาไว้เนิ่นนานผ่านไปร่วมชั่วโมงกว่าเสียงแจ้งเตือนจะดังขึ้น และคำตอบมันก็ช่วยตอกย้ำอีกว่า...ผมนี่มันโคตรคิดไปเองเลยจริงๆ
Pinetree : ตอนนั้นไปเที่ยวแล้วคิดว่าทุ่งดอกไม้ที่นี่มันสวยมากๆ
Pinetree : สวยแบบจนอยากอยู่ไปตลอดชีวิต เลยวาดเล่นน่ะไม่มีอะไร
ผมอ่านแล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ทิ้งช่วงไปสักพักข้อความใหม่ก็ถูกส่งมา
Pinetree : อยากบอกนะว่าปลื้มเห็นรูปนี้แล้วคิดว่าเราอยากฆ่าตัวตาย
ไม่มีคำตอบอื่นนอกจากคำว่าใช่ แต่ผมไม่ได้พิมพ์ตอบกลับไปหรอก ทำแค่เปิดอ่านแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าอารมณ์ศิลปิน ความคิดแปลกๆ ที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึง ซึ่งคนคนนั้นก็คือผมเอง
ความเคยชินที่ผมเพิ่งจะผลักมันไปสู่อดีต ทางเดินที่คุ้นเคย บรรยากาศร่มรื่นในมหาวิทยาลัย แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า และตึกคณะบริหารที่อยู่ทางซ้ายมือ ถ้าเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อนผมคงเดินตรงไปที่นั่นอย่างไม่ลังเล ทำทีเป็นเข้าไปกินข้าวเช้าเพื่อหวังจะเจอกับใครบางคน ซึ่งในตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกต่อไป
ผมละสายตาจากตึกคณะบริหารเพื่อตรงไปยังคณะของตัวเองที่ผองเพื่อนรออยู่ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนความคิดทั้งหมดก็หยุดชะงักลง
"ไง" คำทักทายที่เหมือนไม่รู้จะพูดอะไรดีหลุดมาจากเพื่อนตัวสูงของต้นสนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม
"หวัดดี"
"วันนี้ไม่แวะเหรอ" อั๋นถามพลางพยักพเยิดหน้าไปยังตึกคณะ จุดที่ผมเดินเลยมันมาแล้วกว่าครึ่งทาง
"คงไม่"
"เหรอ" พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ แล้วก็พากันเงียบทั้งคู่
ผมไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกับอั๋น ก่อนหน้านี้แม้จะเจอกันบ่อยแต่เราไม่ได้สนิทกันชนิดที่ว่าสามารถต่อบทสนทนาได้อย่างราบรื่น จากที่สังเกตอั๋นไม่ใช่คนคุยเก่งเหมือนต้นสน ออกจะเงียบๆ เข้าถึงยากเสียด้วยซ้ำ มันจึงแปลกมากที่เขาเข้ามาทักผมก่อน
"งั้นไปก่อนนะ" ผมบอกลากำลังจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินไปถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายพูดขัดขึ้นมา
"สนมันเล่าให้ฟังแล้วนะเรื่องนั้น"
ขาผมหยุดชะงักทันที มองหน้าอั๋นที่เอ่ยออกมาเรียบๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ จะว่ายังไงดี อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากเดินหนีมันซะตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าต้นสนเล่าอะไรออกไปบ้าง ละเอียดแค่ไหน มันน่าอายที่มีคนอื่นได้รับรู้เรื่อพวกนี้ด้วย
"ไม่ต้องทำหน้าเซ็งขนาดนั้น พอดีบังเอิญเจอเลยอยากมาขอบคุณที่ช่วยดูแลมัน"
"ก็ไม่ได้อยากจะช่วยนักหรอก"
อั๋นหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อผมตอบ แต่แปลกที่สีหน้านิ่งเรียบที่ผมเคยคิดว่ากวนประสาทอยู่นิดๆ ไม่ได้ดูขัดหูขัดตาขนาดนั้น เขาแค่หัวเราะให้กับคำตอบแสนตรงประเด็นของผม หรือจะเรียกว่าหัวเราะเยาะเพื่อนผู้มืดมนของตัวเองก็ได้ถ้าผมไม่ได้ตีความหมายผิด ดวงตาคู่นั้นที่มองมาไม่ได้มีแววเยาะเย้ยแต่อย่างใด
"สนมันก็เป็นคนแบบนี้แหละ ไม่ค่อยดูแลตัวเอง สนิทกับมันมาตั้งแต่มัธยมเห็นแล้วยังเบื่อ บ่นจนขี้เกียจบ่น พูดไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง แทบไม่เข้าหูเลยด้วยซ้ำ"
อยู่ๆ คนที่ผมเคยได้ยินเสียงพูดแบบนับคำได้ก็จ้อยาวแทบจะเหมือนทำนองแร็พ สีหน้าบ่งบอกว่าเบื่อหน่ายสอดคล้อยกับสิ่งที่พูด และยังคงพูดต่อไปโดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ขัด
"มันชอบรับงานแบบไม่ดูสังขารตัวเอง ใครเสนองานให้รับหมด ขยันเก็บเงินจะได้เอาไปอวดที่บ้านว่าสิ่งที่มันชอบก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่คนที่พลอยลำบากไปด้วยก็เพื่อนมันนี่แหละ ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนจนจะเป็นลมวูบไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้"
"หาเลี้ยงตัวเอง" ผมทวนคำนี้ขึ้นมาเพราะติดใจมันที่สุด หาเงินเพื่อเอาไปอวดที่บ้าน มันหมายความว่ายังไง
"มันไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอ"
"ไม่อ่ะ ไม่เคยได้ยิน"
"คืองี้ สนมันอยากเข้ามัณฑนศิลป์ แต่พ่อแม่จะให้เรียนบริหาร ทะเลาะกันใหญ่โตสุดท้ายมันก็ยอมตามใจ พอสอบติดเข้าบริหารได้เลยรับงานออกแบบงานวาดมาทำหาเงิน จะเรียกว่าดื้อเงียบก็ได้ ทำทุกอย่างให้พ่อแม่มันเห็นว่างานด้านนี้ก็หาเงินได้เหมือนกัน ของใช้ทุกอย่าง ค่ากินค่าอยู่ค่าเทอมมันไม่ขอพ่อแม่สักบาท จนสุดท้ายพ่อแม่มันก็ยอมรับ เก่งใช่มั้ย แต่แม่งจะตายเพราะไม่รู้จักพักผ่อนนี่แหละ" ยิ่งเล่าเหมือนว่าอั๋นจะยิ่งหัวเสีย แต่สีหน้าที่แสดงออกกลับชื่นชมเพื่อนอยู่กลายๆ เป็นสิ่งผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
เก่ง เก่งมากเลยด้วย ใช้สิ่งที่ชอบและถนัดเพื่อพิสูจน์ตัวเองและทำมันสำเร็จ ทั้งเก่งแล้วก็น่าอิจฉา มันคือสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ ใช่ว่าไม่พยายามหรือคิดยอมแพ้ แต่ต้นทุนและโอกาสของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ผมได้รับมามันไม่เอื้ออำนวยเลย
"ปลื้ม"
ผมหยุดความคิดทุกอย่างลงก่อนเงยหน้ามองคู่สนทนาตามเสียงเรียก อั๋นมองกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน
"มายืนทำอะไรกันตรงนี้" บุคคลผู้เป็นประเด็นของการสนทนาปรากฏตัวออกมาพร้อมสีหน้าอิดโรยที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ผมเงียบ ปล่อยให้เพื่อนตัวสูงเป็นผู้รับผิดชอบสถานการณ์ ซึ่งอั๋นก็ทำมันได้ดีจนน่าตบรางวัลให้ เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสจนต้นสนไม่กล้าถามอะไรต่อ
"แขนเป็นรอยมาอีกแล้วนะ" น้ำเสียงที่ใช้ช่างเยือกเย็นจับใจ อั๋นยืนกอดอกมองหน้าตาเอาเรื่องโดยมีผมช่วยใช้สายตาสมทบอีกแรง
"นิดเดียวเอง" ต้นสนตอบอ้อมแอ้มแล้วรีบดึงแขนเสื้อลง ซึ่งมันไม่ทันตั้งแต่คิดจะพับแขนเสื้อมาเรียนแล้ว
"ถ้าคราวหน้ายังยอมให้มันรุมอีกจะบอกให้คุณป้าเอามันไม่ปล่อยวัดให้หมด" คำขู่ทีเล่นทีจริงทำเอาคนฟังขมวดคิ้วทำหน้าตึงใส่ อารมณ์ประมาณว่าหมาข้าใครอย่าแตะ
"ทำไมใจดำอำมหิต"
"งั้นเปลี่ยนเป็นเอาคนไปปล่อยแทนก็ได้ น่าจะง่ายกว่า"
ทั้งที่เป็นคนช่างพูดช่างเถียงแท้ๆ แต่ครั้งนี้ต้นสนกลับยอมแพ้ง่ายๆ ทำหน้าตาถมึงทึงใส่เพื่อนก่อนหันมาส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากผม แล้วคิดว่าผมอยู่ข้างใครล่ะ แน่นอนว่าไม่ใช่ข้างคนที่ไม่ยอมดูแลตัวเองอยู่แล้ว
"เอาคนไปปล่อยคงง่ายกว่านั่นแหละ"
"อ้าว ทำไมปลื้มเข้าข้างอั๋นวะ"
"ก็มันจริง ไหนบอกรอยนิดเดียว ที่เห็นเมื่อกี้ลากยาวตั้งแต่ข้อมือยันข้อศอก" ผมเริ่มสวมบทผู้ปกครองจอมโหดแบบอั๋นบ้าง คนไม่มีพวกเลยได้แต่ทำหน้าเหวอเฉไฉเปลี่ยนเรื่องทันที
"กินข้าวกันมายัง ไปกินข้าว ไปๆๆ" พูดยังไม่ทันจบต้นสนก็เดินหนี เป็นการชวนที่ไม่ได้อยากให้คนโดนชวนไปได้สักเท่าไร
มองคนที่หอบก้อนเมฆสีอึมครึมเดินหนีไปก็ได้แต่อมยิ้ม อาจจะคิดไปเองอีกก็ได้แต่ผมรู้สึกว่าเมฆก้อนนั้นมันมีแสงสว่างของดวงอาทิตย์ส่องออกมา เป็นความสดใสที่มองแล้วไม่ขัดตา แถมยังอยากเป็นกำลังใจให้อาทิตย์ดวงนั้นหนีออกมาจากคุกก้อนเมฆสีทะมึนนั้นเร็วๆ
"จากนี้ไปก็ฝากด้วยนะ"
ผมละสายตาจากมนุษย์มืดมนหันไปมองอั๋นที่ยังคงตีหน้านิ่งแบบคงคอนเซ็ปต์ อยู่ๆ ก็มาฝากเนื้อฝากตัวกันแบบนี้เลย
"ดูแลสนมันด้วย ผมจะได้เอาเวลาไปหาแฟนบ้าง" พูดจบแล้วก็เดินหนีโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ทักท้วงใดๆ
ฝากให้ดูแลต้นสนงั้นเหรอ...ถึงไม่บอกผมก็คิดจะทำมันอยู่แล้ว
TBC.
ตอนนี้ก็เลิกเครียดกันได้แล้วเนอะ สีเทาจะค่อยๆ หายไป
จากนี้อยากให้โทนของเรื่องเป็นสีเหลืองๆ ส้มๆ ปนชมพูดนี้สๆ ^^
แล้วก็เรามีคำถามมมมมมมม ตอบก็ได้ไม่ก็ได้เน้อ
เนื่องจากเห็นมีสองสามคนพูดถึงเรื่องโพสิชั่น ใครเป็นพระเป็นนายงี้
จริงๆ คือปลื้มเป็นพระเอกนะ (ฮา) แต่ด้วยลุคมืดมนของสนเลยทำให้คิดว่าเป็นพระเอกหรือเปล่า
ความจริงเราไม่ได้บรรยายลักษณะของตัวละครไว้ชัดเจนด้วย
ปลื้มกับสนใครสูงกว่าเตี้ยกว่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าอั๋นสูงที่สุด ฮ่าๆๆๆๆ
เลยอยากถามว่าตอนอ่านแรกๆ คิดว่าใครเป็นพระเป็นนายกันคะ
อยากรู้เฉยๆ ไม่มีผลอะไรกับการดำเนินต่อไปของเรื่องนะ จะได้เอาความเห็นไปปรับปรุงด้วย
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า