To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561  (อ่าน 123047 ครั้ง)

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อยากรู้เรื่องของต้นสนมากขึ้นเลย เกิดอะไรขึ้นนะ :hao5:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ตกลงยังไงๆอยากรู้ละ

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
อ่านแล้วอินตามต้นสนเลย เราเข้าใจนายนะต้นสน T___T

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ตอนที่ 4


            อาร์ตบุ๊คราคา 450 บาทมาอยู่ในมือผมในสามวันต่อมา ผมกลายเป็นทาสผู้คลั่งไคล้งานศิลปะ พูดคุยกับนักวาดอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานานหลายปี ต้นสนผู้เฟรนลี่และสดใส ไม่เหมือนตัวจริงที่หม่นหมองคอยปล่อยบรรยากาศอึมครึมใส่คนอื่นเลยสักนิด

            หลังจากพูดคุยผ่านทางทวิตเตอร์มาหลายครั้งผมเคยตะล่อมถามเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการวาดภาพอยู่หลายรูป รวมถึงรูปทุ่งดอกไม้แห่งความตายนั่นด้วย ทว่าคำตอบที่ได้มันน่าผิดหวังสุดๆ นายมืดมนบอกเพียงว่าเพราะมันสวยดีเลยอยากวาด นึกถึงสถานที่นั้นแล้วอยากอยู่ไปนั้นนานๆ อะไรประมาณนั้น ซึ่งคนที่คิดฆ่าตัวตายคงไม่มีใครมาเที่ยวบอกเหตุผลหรือวิธีการให้คนอื่นรู้หรอก แต่อย่างน้อยการได้คุณกันทุกวันก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาสบายดีและยังไม่จากโลกนี้ไปไหน

            จะว่าไปแล้วตอนซื้ออาร์ตบุ๊คเล่มนี้มาผมใช้ชื่อและที่อยู่จริงในการสั่ง ยังคิดอยู่ว่านายมืดมนจะนึกเอะใจไหมที่ที่อยู่อยู่ใกล้มากจนน่าตกใจขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีการถามไถ่กันสักนิด เพราะมันคงไม่สำคัญอะไรนักกับคนค้าขาย แค่ขายของได้ก็เป็นอันจบ

            อาร์ตบุ๊คเล่มสวยถูกเก็บไว้อย่างทะนุถนอม ผมเปิดดูแต่ละหน้าในเล่มอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่ามันจะขาด วิเคราะห์และตีความภาพวาดแต่ละชิ้น เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง สุดท้ายก็ปิดมันแล้วเก็บเข้าลิ้นชักข้างเตียง

            กับนายมืดมนนั้นเรายังเจอกันแทบทุกวันยกเว้นเสาร์อาทิตย์ เขาเป็นลูกค้าประจำร้านข้าวแกงป้านก ใช้เวลามาเลือกซื้อไม่ถึงห้านาทีแล้วก็จากไป คุยกันแต่ละวันนับคำได้ หรือบางวันไม่ได้คุยกันเลยก็มี

            จากความห่างเหินนั้น...วันนี้ผมเลยตั้งใจจะทำบางอย่าง

            เช้านี้ผมแวะมาที่คณะบริหาร จุดประสงค์แรกคือข้าวเช้า ส่วนจุดประสงค์หลักคือนายมืดมน การมาแบบไม่ได้นัดหมายล่วงหน้ามีโอกาสน้อยมากที่จะได้เจอ แต่คงเป็นเพราะโชคชะตาที่ลิขิตมาแล้วล่ะมั้งผมถึงได้เห็นหมอนั่นนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม

            โต๊ะเดิมที่ผมหยิบโทรศัพท์มือถือเจ้าปัญหาเครื่องนั้นมา

            รอยยิ้มฉาบบนใบหน้าเมื่อสิ่งที่คาดเป็นไปตามที่หวัง ผมเดินอารมณ์ดีถือแฟ้มเอกสารใสที่ใส่ชีทเรียนกับอาร์ตบุ๊คไว้ในนั้นเข้าไปหาต้นสน วางมันลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยที่ไม่ขออนุญาตคนที่นั่งอยู่ก่อน

            "อ้าว! มาไง" ต้นสนละสายตาจาหน้าจอมือถือเงยหน้าขึ้นมาหา แย้มรอยยิ้มที่มอบให้ดูสดใสกว่าทุกครั้ง สีหน้าที่เคยหม่นหมองดูดีขึ้น

            "เดินมานี่แหละ"

            "ตอบงี้ต่อยกันมั้ย แต่ต่อยกับปลื้มคงไม่ชนะหรอก โดนกระทืบตายคาตีนแน่" ถามเองตอบเองแล้วก็หัวเราะคิกคัก

            ผมมองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ชอบเลยจริงๆ ที่ได้ยินหมอนี่พูดเรื่องความเป็นความตาย ถึงจะแค่ล้อเล่นก็เถอะ

            "มากินข้าวเหรอ"

            "อื้ม เบื่อกับข้าวคณะ บางทีเลยแวะกินที่นี่ แล้วนี่กินเสร็จแล้วเหรอ"

            "ยังไม่ได้กินเลย"

            "มัวแต่เล่นอะดิ" ผมพยักพเยิดหน้าไปยังมือถือที่เจ้าตัวถืออยู่เลยโดนยู่หน้าใส่ ก่อนเครื่องมือสื่อสารราคาเกือบครึ่งแสนจะถูกเก็บใส่กระเป๋า

            "งั้นไปซื้อข้าวละ เอาอะไรมั้ยเดี๋ยวซื้อมาให้"

            "ไปเป็นไร เดี๋ยวเราไปซื้อเอง"

            "โอเค งั้นฝากเฝ้าโต๊ะก่อนนะ"

            ผมพยักหน้ารับนายมืดมนก็หยิบกระเป๋าสตางค์ลุกขึ้นจากโต๊ะ แต่ยังไม่ทันเดินออกไปไหนก็ชะงักแล้วก้มลงมาจ้องที่แฟ้มเอกสารของผม

            แฟ้มใสที่ผมตั้งใจเอาอาร์ตบุ๊คใส่เอาไว้...ในที่สุดก็เห็นสักที

            "มีอะไรเปล่า" ผมแกล้งถาม มองแฟ้มกับนายมืดมนสลับกันไปมา อีกฝ่ายเองก็ดูอึกอักไม่กล้าพูดได้แต่ชี้มาที่อาร์ตบุ๊ค

            "นั่น"

            "อะไร"

            "ในแฟ้ม"

            "ไอ้นี่น่ะเหรอ" ผมหยิบอาร์ตบุ๊คออกมาจากแฟ้มให้ได้เห็นชัดๆ

            ต้นสนทำตาโต แสดงสีหน้าที่แยกไม่ออกว่าดีใจหรือตกใจกันแน่แล้วชี้นิ้วมาที่อาร์ตบุ๊ครัวๆ ดูตลกแต่ก็น่ารักแปลกๆ เข้าใจอารมณ์พวกศิลปินที่เจอแฟนคลับตัวเองเลย อาการก็คงประมาณนี้ล่ะมั้ง หรือบางทีนายมืดมนนี่คงเป็นข้อยกเว้น

            "ซื้อด้วยเหรอ"

            "เอ่อ ก็ใช่ ซื้อมา"

            "เราต้นสนนะ"

            "เอ่อ เออ ก็รู้แล้วว่าชื่อต้นสน" ผมเกือบจะหลุดขำกับท่าทางของนายมืดมนตอนนี้ แต่ต้องแกล้งทำเป็นตีหน้ามึนใส่

            "ไม่ใช่ หมายถึงต้นสนที่วาดอาร์ตบุ๊คเล่มนี้"

            "คนวาดเล่มนี้น่ะเหรอ"

            "ใช่ เราเอง"

            "จริงดิ"

            ถ้ามีการประกาศรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมควรยกผมมันให้ผมนะ เล่นละครเหมือนกับว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ทำเป็นตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอนักวาดที่ชอบ จนเริ่มรู้สึกอายตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

            ตอนนี้ผมไม่ใช่แค่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านธรรมดาๆ แต่เป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแล้วยังตอแหลอีกด้วย

            อนาถตัวเองชะมัด

            "ซื้อมาเมื่อไรเหรอ" ต้นสนยังถามต่อด้วยสีหน้าตื่นเต้นที่ผมไม่เคยเห็น มันก็น่าตกใจอยู่หรอกที่มารู้ว่าคนที่ชอบผลงานตัวเองเป็นคนใกล้ตัวขนาดนี้ บางที่ผมอาจจะโดนถามซักไซ้เป็นผู้ต้องหาเลยก็ได้

            "เพิ่งได้มาสองสามวันนี้แหละ"

            "สองสามวันนี้เหรอ"

            "ใช่ สั่งไปทางดีเอ็ม"

            "ปุริม...ใช่มั้ย"

            "ใช่"

            "ก็ว่าล่ะที่อยู่โคตรใกล้ ตอนแรกกะว่าจะนัดเจอส่งให้เลยด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องเสียค่าส่ง ถ้ารู้ว่าเป็นปลื้มนะจะยกให้ฟรีๆ เลย"

            "จริงดิ งั้นขอตังค์คืนด้วยครับ" ชงมาผมก็เล่นกลับ แบมือขอเงินคืนกันแบบหน้าด้านๆ ไปเลย จะได้เอาเงินที่เสียค่าอาร์ตบุ๊คไปใช้จ่ายอย่างอื่น

            "สี่ร้อยห้าสิบใช่มั้ย แป๊บนึงนะ"

            "เอาจริงดิ ไม่ต้องๆ ล้อเล่น" ผมหดมือกลับแทบไม่ทันตอนต้นสนเปิดกระเป๋าสตางค์ทำท่าจะควักเงินออกมาจ่ายคืนให้จริงๆ หมอนนี่แยกเรื่องนี้กับเรื่องล้อเล่นขำๆ ไม่ออกหรือไง หรือหน้าผมตอนขอเงินคืนมันจริงจังมาก

            "แต่อยากให้ฟรีจริงๆ นะ น่าจะแสดงตัว" ต้นสนทำหน้าเสียดาย แถมยังไม่ยอมปิดกระเป๋าสตางค์ ถ้าเกิดหยิบเงินออกมาอีกรอบผมจะหน้าด้านยอมรับมันไว้ก็ได้เอาดิ

            "แล้วใครจะไปรู้ว่าเป็นคนใกล้ตัวขนาดนี้"

            "งั้นเดี๋ยวเลี้ยงข้าว ขอบคุณที่ซื้องานเรา"

            "เฮ้ยไม่ต้อง งี้ถ้าเจอคนรู้จักที่ซื้องานตัวเองไม่ต้องเลี้ยงทุกคนเลยเหรอ"

            "ก็ใช่ว่าจะได้เจอบ่อยๆ ที่ไหนล่ะ สรุปมื้อนี้เราเลี้ยง ห้ามปฏิเสธ โอเคนะ"

            ตื้อตัดบทแถมยังคับกันขนาดนี้แล้วผมจะไปขัดอะไรได้ สุดท้ายก็ยอมให้ต้นสนเลี้ยงข้าวเช้าไปตามระเบียบ เป็นข้าวราดแกงร้านเจ้าอร่อยร้านเดิม

            ก่อนหน้านี้ว่าต้นสนคุยเก่งแล้วแต่หลังจากรู้ว่าผมเป็นแฟนงานวาด(จอมปลอม)ยิ่งคุยเก่งกว่าเดิม ขนาดกินข้าวก็ยังจ้อไม่หยุด ผมเลยทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีแล้วแสดงรีแอคชั่นเหมือนวลาดูทอร์คโชว์ มันน่าแปลกตรงที่ว่าผมไม่รู้สึกถึงความมืดมนที่เคยแผ่ออกมาเหมือนก่อนหน้านี้ ต่อให้หน้าโทรมตาดำคล้ำ แต่รอยยิ้มที่เห็นมันดูสดใสอย่างบอกไม่ถูก

            ก้อนเมฆอึมครึมที่อยู่บนหัวนั่น เหมือนกับว่ามัน...จะหายไปแล้ว

            มื้อเช้าและการพบปะอันแสนสั้นจบลงเมื่อเพื่อนตัวสูงที่ผมเห็นคราวก่อนโผล่มา ผมกับเขาทักทายกันตามประสาคนไม่รู้จักก่อนผมจะเป็นฝ่ายขอตัวออกมา พร้อมกับทิ้งของบางอย่างเอาไว้ที่ตรงนั้น

            อาร์ตบุ๊คราคา 450 บาท

 

            นานกว่าที่คิดกว่าทวิตเตอร์จะแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า ผมหยิบมันขึ้นมาดูระหว่างเรียน อ่านแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียวก่อนวางมันไว้บนโต๊ะแล้วกลับมาตั้งใจเรียน แต่ขนาดแอบอ่านแล้วยังไม่สามารถรอดพ้นสายตาของไอ้เจนไปได้

            "ดูมือถือแล้วยิ้ม อะไรวะ"

            ผมไม่ตอบ ปล่อยให้มันมองด้วยสายตาจับผิดต่อไป เพราะถึงอยากจะเล่าก็เล่าไม่ได้อยู่ดี

            'ปลื้มลืมของสำคัญไว้!!!!'

            ข้อความนี้ถูกส่งเข้ามาพร้อมแนบรูปภาพที่ผมยังไม่ได้เปิดดู แต่มันคงเดาได้ไม่ยากว่ารูปนั้นคืออะไร และเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากอาร์คบุ๊ตราคาครึ่งพันเล่มนั้น

            มันคือข้อความธรรมดาๆ ที่ไม่น่าจะเรียกรอยยิ้มได้แต่ผมกลับยิ้ม ยิ้มให้กับว่า 'ของสำคัญ' ที่นายมืดมนเลือกใช้ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันมีความพิเศษขึ้นมา

            "จะยิ้มอีกนานมั้ย ใครส่งอะไรมาวะ" ไอ้เจนมันทำท่าจะคว้ามือถือไปดูเมื่อความอยากรู้อยากเห็นเกินขีดจำกัด ผมเลยต้องรีบแย่งมายัดใส่กระเป๋ากางเกง และนั่นยิ่งสร้างความสงสัยให้พวกมันไปกันใหญ่

            "คือมึงแอบมีกิ๊กจริงๆ ใช่มั้ย" ไอ้ว่านทัก

            "แฟนกูยังไม่มีเลยจะให้มีกิ๊ก"

            "หรือว่าเด็กบริหาร"

            "ยังไม่จบประเด็นนี้อีกเหรอวะ" ผมทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วถอนหายใจใส่ เล่นละครฉากใหญ่กับเพื่อนอีกครั้ง

            "ใครจะไปรู้ เจอหน้าทุกวันอาจจะแอบกิ๊กกั๊กกันก็ได้"

            "กับต้นสนเนี่ยนะ"

            "เออ"

            ผมส่ายหน้าใส่พวกมันอีกรอบ กับนายมืดมนนั่นผมมีความลับต่อพวกมันอยู่แล้วเพียงแต่คนละประเด็นกันเท่านั้น แถมยังเป็นประเด็นที่โคตรห่างไกลกับสิ่งที่พวกมันคิดเลยด้วย

            แอบกิ๊กกั๊กกับคนที่กำลังคิดจะฆ่าตัวเอง ผมไม่เอาหัวใจตัวเองไปเสียงแบบนั้นหรอก

            ความสงบกลับมาเยือนเมื่อผมหยุดต่อปากต่อคำ ข้อความที่ต้นสนส่งมานั้นเอาไว้ค่อยตอบตอนพวกมันไม่อยู่ ไม่ได้อยากจะตอบช้าแต่จังหวะมันไม่ได้จริงๆ

 

            Pinetree : ปลื้มเลิกเรียนกี่โมง เราเลิกบ่ายสอง ให้แวะเอาของไปให้ที่คณะมั้ย

            PuuRimm : เราเลิกสี่โมงว่ะ แต่เดี๋ยวตอนเย็นไปขายของ วันนี้ต้นสนจะมาซื้อกับข้าวร้านป้านกเปล่า

            Pinetree : ไปๆ งั้นแวะเอาไปให้เย็นๆ นะ เดี๋ยวกลับคอนโดก่อน

            PuuRimm : โอเค ขอบใจนะ

            Pinetree : ไม่เป็นไร ยินดีมากๆ

            จากการพูดคุยผ่านข้อความทางทวิตเตอร์เป็นอันตกลงว่าเย็นนี้ต้นสนจะเอาอาร์ตบุ๊คมาคืนผมที่ตลาด ทั้งที่อยากปฏิเสธแล้วหาข้ออ้างเพื่อนัดเจอกันในวันพรุ่งนี้แท้ๆ แต่เพราะต้นสนเป็นลูกค้าประจำของร้านป้านก มีโอกาสน้อยมากที่จะไม่แวะมา เลยต้องจำใจรับอาร์ตบุ๊คเล่มนั้นคืนในวันนี้อย่างช่วยไม่ได้

            จำนวนผู้คนที่มาเดินตลาดในช่วงเย็นยังคึกคักเหมือนเดิม แต่งานที่ร้านวันนี้ไม่ได้สร้างความเหนื่อยล้าให้ผมมากนัก คงเพราะได้น้องตาลลูกสาวป้านกมาช่วยอีกแรง ช่วยๆ กันทำช่วยๆ กันขาย แป๊บเดียวก็เคลียร์ลูกค้าหมด มีเวลาได้พักเป็นช่วงสั้นๆ จนผมอยากให้น้องมาช่วยทุกวัน

            "เฉาก๊วยกับลอดช่องพี่ปลื้มกินอะไร" ว่างจากงานปุ๊บสาวน้อยในชุดนักเรียนผูกผมหางม้าก็เอ่ยถามขึ้นมา

            "ไม่เป็นไรครับน้องตาล" ผมบอกปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจ

            น้องตาลยิ้มจนตาหยีก่อนเดินออกไปจากร้าน ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาพร้อมลอดช่องในมือสองแก้ว ตอนแรกผมคิดว่าน้องคงซื้อมาให้ป้านกแต่กลับเอามายื่นให้ผมซะงั้น

            "ตาลเคยเห็นพี่ปลื้มกินลอดช่องอะ"

            ผมได้แต่ยิ้มแห้งจะยื่นมือไปรับก็ไม่กล้า จะปฏิเสธก็ไม่กล้าอีก แอบเหล่มองป้านกที่ยกยิ้มใจดีมาให้สุดท้ายเลยยอมรับมาถือไว้

            "ยี่สิบใช่มั้ย"

            "ไม่ต้องๆ แม่เลี้ยง" น้องบุ้ยปากไปทางป้านกที่กำลังนั่งพัก และใช้หนังสือพิมพ์พัดวีไล่ความร้อนจากอากาศอบอ้าวของเมืองไทย ที่แม้จะดึกแล้วก็ยังร้อนตับแลบ

            "ขอบคุณครับ"

            ได้รับคำขอบคุณน้องตาลก็ยิ้มหวานก่อนหันไปทักทายลูกค้าที่เข้ามา ผมวางแก้วลอดช่องไว้บนโต๊ะลุกขึ้นช่วยน้องตาลหยิบแกงใส่ถุงให้ลูกค้า เหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาทุ่มกว่าๆ ก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีเข้มใกล้จะมืดสนิท

            อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะปิดร้านแล้วทำไมต้นสนถึงยังไม่มาสักที หรือว่าวันนี้จะเบี้ยวนัด

            หรือว่า...เกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับนายมืดมนหรือเปล่า

            เผลอคิดไปแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเตือนสติตัวเอง

            จนแล้วจดรอดสองทุ่มกว่าจนเก็บร้านเสร็จผมก็ยังไม่เห็นว่าต้นสนจะแวะมาหาอย่างที่บอก มันหมายความว่ายังไงถึงได้เบี้ยวนัด ผมไม่โกรธแต่รู้สึกเป็นห่วงมากกว่า เพราะไม่รู้ว่านายมืดมนคิดจะทำอะไรที่เสี่ยงกับชีวิตอยู่หรือเปล่า

            คิดมาถึงตรงนี้ความคิดแง่ลบก็เริ่มเข้ามาครอบงำตัวผมอีกครั้ง

            หลังจากรับเงินค่าจ้างผมก็รีบขอตัวกลับ หยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาอย่างไม่ลังเล เสียงสัญญาณดังอยู่นานแต่กลับไม่มีใครรับสาย โทรซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นอีกสองรอบก็ยังเหมือนเดิมจนเริ่มร้อนใจ

            "รับสิวะ" ผมกระแทกเสียงใส่มือถืออย่างหงุดหงิดพลางเลื่อนหาเบอร์ไอ้ว่านหวังพึ่งมันหากไม่มีทางเลือก ในขณะที่สับขาเร็วๆ จนเกือบวิ่งตรงไปยังคอนโดที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

            ยิ่งใจร้อนยิ่งรู้สึกเหมือนคนเสียสติ ผมหยุดยืนหอบอยู่หน้าทางเข้าคอนโด หันรีหันขวางทำท่าเหมือนโจรคิดจะปล้นเงินยาม มือกำโทรศัพท์แน่น บนหน้าจอยังโชว์เบอร์เพื่อนรักที่ไม่ได้กดโทรออกเพราะเกิดชั่งใจขึ้นมา

            เอาเป็นว่าผมจะลองโทรดูอีกครั้ง ถ้านายมืดมนไม่รับคงต้องขอความช่วยเหลือจากไอ้ว่านจริงๆ

            หน้าจอถูกปัดเลื่อนไปยังชื่อต้นสนแล้วกดโทรออกก่อนยกขึ้นมาแนบข้างหูพลางสาวเท้าก้าวผ่านป้อมยามเข้ามา ฟังเสียงสัญญาณที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเครื่องวัดชีพจร

            หดหู่ ยาวนานและเชื่องช้า

            หวังว่าต้นสนคงไม่ได้คิดอะไรบ้าๆ ขึ้นมาตอนนี้หรอกนะ

            ขอให้อย่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเลย

            ตุบ!!

            ขาผมหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง ความกลัววิ่งเข้ามาเกาะกินหัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้ไม่ได้หันไปมองก็สามารถรับรู้ได้ว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ไหนจะเสียงหวีดร้องตกใจของคนรอบข้าง

            เพราะมันมีบางอย่างตกมาจากชั้นบนของคอนโด

 


TBC.

 

เขียนตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนนิยายสยองขวัญยังไงก็ไม่รู้

สารภาพเลยว่าพอนึกภาพตามแล้วแอบกลัว ฮรือออออ

ใครคิดว่าต้นสนเป็นอะไรมาร่วมทายกันได้น้า (แอบกลัวว่าจะมีคนทายถูกมั้ย ฮ่า)

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
โอ้ยย เครียดแทนปลื้มเลย  :katai4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
หลอนเบาๆ ฮือออออออ หวังว่าคงไม่ใช่นะ   :m15: :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ต้นสนเห็นตอนกำลังหวานแหววป่าว
เลยโกรธแล้วโยนหนังสือภาพลงมา
เป็นตุเป็นตะมาก ฮ่าๆ ลุ้นๆๆ :z3:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ตอนที่ 5

 

          ตุบ!!

          เสียงร้องของหญิงสาวที่เดินตามหลังมาทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว แต่ยังไม่ทันได้หันกลับไปมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็ร้องลั่นจนสะดุ้งอีกรอบ ชื่อนายมืดมนโชว์หราอยู่หน้าจอ ทำเอาสับสนจนต้องรีบหันกลับไปดูข้างหลังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

          "เหี้ย! ใครทำหมอนตกลงมาวะ"

          "ระวังหน่อยสิครับคุณ! ถ้าโดนคนข้างล่างขึ้นมาทำไง"

          "ขอโทษค่าาาา!! จะรีบลงไปเก็บนะคะ"

          ยืนฟังคนข้างล่างกับเจ้าของห้องที่อยู่ชั้นสองตะโกนคุยกันผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าเมื่อกี้คิดร้ายไปว่ามีคนกระโดดลงมาจากตึกหรือเปล่า และคนคนนั้นอาจจะเป็นคนที่ผมถ่อมาหาถึงที่นี่

          มือถือในมือยังแผดเสียงร้องไม่หยุดเพราะผมมัวแต่สนใจเหตุการณ์ชวนหวาดเสียวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ กำลังจะกดรับสายแต่แล้วมันก็ตัดไปก่อน

          ผมมองชื่อไม่ได้รับสายที่โชว์อยู่บนหน้าจอด้วยความโล่งใจจนเผลอระบายยิ้มออกมา แต่ยังไม่ทันได้โทรกลับเสียงเรียกชื่อก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน

          "ปลื้มมมม!!"

          ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก เห็นต้นสนวิ่งกระหืดกระหอบมาหาจนกลัวว่าจะเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน แล้วอยู่ๆ สมองมันก็ดันคิดอะไรบ้าๆ ออกมา ข้อสันนิษฐานเก่าๆ ที่เคยตั้งไว้กับตัวเอง

          โรคหัวใจ

          "หยุดๆๆๆ" ผมยกมือขึ้นห้ามจนคนที่วิ่งหน้าตั้งมาหาเหยียบเบรกแทบไม่ทัน

          "คะ...คือว่าเรา..."

          "เฮ้ยใจเย็น ค่อยๆ พูด พักก่อนๆ"

          นายมืดมนยืนหอบอกกระเพื่อมจนอยากเรียกรถพยาบาลมารับไปให้รู้แล้วรู้รอด หรือว่าผมควรจะโทรจริงๆ ถ้าเกิดมาตายอยู่ตรงนี้จะทำไง

          "ไหวมั้ยเนี่ย"

          "ไหวๆ"

          "ทำไมหอบขนาดนี้"

          "คือเรา...วิ่งลงบันไดมา"

          "ฮะ!"

          ผมอยากจะซักต่ออยู่หรอกแต่ตอนนี้ควรให้นายมืดมนได้พักก่อนจะเป็นลมไปจริงๆ เพราะต้นสนอยู่ชั้นเดียวกับไอ้ว่านแม้ไม่ต้องถามก็รู้ว่าวิ่งลงมาจากชั้นไหน แล้วเป็นบ้าอะไรถึงวิ่งลงบันไดมาตั้งห้าชั้น เหมือนจะไม่ไกลแต่เหนื่อยขนาดนี้ทำไมไม่รอลิฟต์

          "แล้วทำไมถึงวิ่งลงบันไดมา" รอจนอาการหอบของต้นสนดีขึ้นผมถึงได้ชวนคุยต่อ

          "คือลิฟต์...มันเพิ่ง...ผ่านชั้นเราไป...ถ้ารอ...มันจะนาน" ฟังคำตอบแล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจอย่างปลงๆ เข้าใจว่ารีบแต่ไม่จำเป็นต้องลงทุนวิ่งลงมาบันไดมาเลยสักนิด ถ้าลิฟต์มันขึ้นไปแค่ชั้นหกก็เท่ากับเสียแรงเปล่า น่าจะคิดให้มันเยอะกว่านี้

          "ไปหาที่นั่งคุยเถอะ"

          ต้นสนพาผมมาที่คาเฟ่ของตึกจอดรถข้างคอนโด จัดแจงหาโต๊ะให้นั่งเสร็จสรรพ แม้จะปฏิเสธและสารภาพไปตามตรงว่าไม่มีเงินแต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า

          "เราเลี้ยงเอง"

          สุดท้ายก็เลยต้องเลยตามเลย

          หลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จต้นสนก็กลับมานั่งที่โต๊ะ ใช้มือดันอาร์ตบุ๊คที่ใส่ถุงไว้อย่างดีกลับมาให้ หน้าตาทรุดโทรมนั่นดูยุ่งเหยิง ผมเผ้าชี้โด่เด่ไม่เป็นทรง และผมคงจ้องนานไปหน่อยเจ้าตัวเลยยิ้มแหยออกมา

          "เผลอหลับน่ะ" ต้นสนสารภาพ ยกยิ้มแห้งๆ ที่พาให้รอบบริเวณดูแห้งแล้งไปหมด ถ้าแถวนี้มีต้นไม้คงยืนต้นตายอย่างไม่ต้องสงสัย

          "ทั้งที่นัดกันแล้วน่ะเหรอ"

          "เราขอโทษ มันง่วงจริงๆ หลับคาโต๊ะงานเลย"

          "แล้วมือถือ ทำไมโทรไปตั้งหลายรอบถึงไม่ได้ยิน"

          "ลืมเปิดเสียง"

          "ให้มันได้อย่างนี้สิ"

          "เฮ้ยเราขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจเบี้ยวจริงๆ"

          ดูจากสีหน้ากับน้ำเสียงแล้ว ถ้าเป็นไปไม่ได้ต้นสนคงอยากถลามากอดขาผมเพื่อขอให้ยกโทษเรื่องนี้ให้ ความจริงแล้วผมไม่ได้โกรธเรื่องเบี้ยวนัด แต่มันโมโหที่คิดว่าหมอนี่กำลังทำอะไรไม่ดีอยู่หรือเปล่า หรืออาจจะเป็นอะไรไปแล้วถึงได้ไม่มาตามนัด โทรไปหาก็ไม่รับอีก มันทำให้ผมร้อนใจ และรู้สึก...เป็นห่วง

          บทสนทนาถูกขัดจังหวะจากพนักงานที่นำน้ำมาเสิร์ฟ ผมหยิบโกโก้ปั่นเย็นๆ ขึ้นมาดูดให้หายร้อน ทั้งจากสภาพอากาศและจากอารมณ์

          "ดีขึ้นยัง"

          "ถามตัวเองเถอะ"

          ต้นสนปิดปากฉับทันทีเมื่อโดนผมสวนกลับ ไม่ได้อยากจะพาลใส่เลยจริงๆ แต่เห็นหน้าโทรมๆ นั่นแล้วมันหงุดหงิดจนอยากจะถามที่มาของไอ้โน้ตสั่งเสียนั่นให้รู้แล้วรู้รอด ไหนจะรอยแผลตามเนื้อตัวอีก แต่เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเตลิดถึงได้ยอมเงียบเอาไว้

          "หายเหนื่อยหรือยัง"

          "หายแล้ว"

          "แล้วพักชั้นไหนทำไมวิ่งลงบันได ทำไมต้องรีบขนาดนั้น ถ้าสะดุดล้มหัวพาดพื้นตายขึ้นมาทำไง"

          "แค่ล้มหัวพาดพื้นมันไม่ถึงตายหรอก"

          "พูดเหมือนเคย"

          ต้นสนเงียบแล้วยิ้มแหย มันหมายความว่ายังไงอีกล่ะอาการแบบนี้ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ อย่าบอกนะว่าเคยทดลองฆ่าตัวตายโดยการทำทีเป็นสะดุดล้มให้หัวฟาดพื้นจริงๆ

          "ปลื้มโทรมาตั้งหลายสายก็เลยต้องรีบมาหาไง แถมโทรกลับก็ไม่ยอมรับอีก นึกว่าหนีกลับบ้านไปแล้ว" ไม่ตอบหัวข้อเมื่อครู่แล้วยังพาเปลี่ยนเรื่อง ไม่สิ ต้องบอกว่าพาเปลี่ยนเข้าประเด็นที่แท้จริง

          "ใครจะไปคิดว่านอนหลับ หลับจริงใช่มั้ย"

          "หลับจริงๆ"

          ผมจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไร จ้องนานแถมยังจ้องเขม็ง จนเห็นรอยยับบนใบหน้าที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวฟุบหลับคาโต๊ะจริงๆ

          "พอสะดุ้งตื่นเห็นมิสคอลเลยรีบวิ่งลงมา กลัวโดนโกรธด้วย เห็นมาอยู่หน้าคอนโดนี่ใจหายแวบเลย นึกว่าโกรธจนตามมาหาถึงนี่เลยเหรอ" 

          "มาหาเพราะกลัวจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า" ผมมองอีกฝ่ายนิ่ง อยากให้รู้ถึงความจริงจังกับประโยคที่บอกออกไป

          'อย่างอื่น' คำๆ นี้ผมไม่รู้ว่าต้นสนจะตีความหมายมันไปในทิศทางไหน จะรู้หรือเปล่าว่าผมจงใจเจาะจงเรื่องใด แต่หวังว่ามันจะทำให้คนที่คิดอะไรตื้นๆ ฉุดคิดขึ้นมาได้และทบทวนความคิดนั้นดูใหม่บ้าง สักนิดก็ยังดี

          "เราไม่เป็นไรอะไรหรอก ขอบคุณมากนะ" รอยยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าถูกส่งมาให้ เหนื่อยเพราะพละกำลังที่หดหาย เหนื่อยเพราะงานที่หนักเกินไป หรือเหนื่อยจากการใช้ชีวิตที่หมอนั่นอาจจะคิดว่ามันไร้ค่า มันเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่อยากได้รับเลยจริงๆ

          "งั้น...ถ้าไม่มีอะไรแล้วเรากลับก่อนนะ" ผมลุกขึ้นยืนแล้วขอตัว ไม่ลืมหยิบโกโก้ที่ยังพร่องไปไม่ถึงครึ่งแก้วติดมือมาด้วย

          "โอเคๆ กลับดีๆ นะ"

          "ถ้าว่างอาจจะทักไปคุย"

          ได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาตาโตๆ โค้งขึ้นจนเกือบหยีผมก็หมุนตัวเดินนำออกมาจากร้าน มือข้างหนึ่งถืออาร์ตบุ๊ค ส่วนอีกข้างถือแก้วโกโก้ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ

          ก่อนหน้านี้ก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้มันรู้สึกดีแปลกๆ

          รอยยิ้มสุดท้ายนั่นอย่างกับแสงนวลของดวงจันทร์ พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่วันนี้ก้อนเมฆสีเทาใจดียอมเปิดทางให้แสงอ่อนๆ นั่นออกมาอวดโฉมกลางท้องฟ้าอันมืดมิด

          รอยยิ้มที่ไม่ได้เจิดจ้าสว่างไสวอย่างแสงอาทิตย์ แต่นุ่มนวลชวนมองอย่างแสงจันทร์

          อยากเห็นร้อยยิ้มแบบนั้นอีกชะมัด

 

          อีกหนึ่งอาทิตย์จะสิ้นเดือน

          ผมนั่งนับเงินที่พยายามเก็บหอมรอมริบตรากตรำทำงานแล้วถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เงินที่มีอยู่ตอนนี้มากพอสำหรับค่าเช่าหนึ่งเดือนที่ได้ตกลงกับป้าเจ้าของหอไว้ว่าจะทยอยจ่าย รวมเงินที่พ่อแม่โอนมาให้เป็นค่าขนมนิดหน่อยก็สามารถอยู่รอดไปได้อีกหนึ่งเดือน

          จากที่ได้โทรคุยกับแม่เมื่อคืนดูเหมือนว่าปัญหาทางการเงินของที่บ้านกำลังดีขึ้น เข้าเดือนที่สามที่พี่สาวเริ่มทำงานในโรงงานที่จังหวัดข้างๆ พอมีเงินเก็บส่งมาช่วยเหลือจุลเจือกัน ผมเองก็อยากเรียนจบเร็วๆ จะได้หางานทำส่งกลับไปให้พ่อแม่สักที แต่อีกตั้งสองปีกว่าจะถึงวันนั้น ยังไงก็ต้องพยายามต่อไป

          ผมเก็บเงินใส่กล่องไว้ในลิ้นชักข้างที่นอน ลุกขึ้นบิดขี้เกียจจนตะคริวแทบกินก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ

          ชีวิตที่ยังไม่สามารถเลือกได้ ลำบากแค่ไหนก็ต้องยอม

 

          ผมใช้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ไปกับการทำงาน และตื่นมาในเช้าวันจันทร์ด้วยความขี้เกียจขั้นสูงสุด ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวออกไปเรียนแต่เช้า เดินงัวเงียมาจนถึงหน้าคณะบริหารขามันก็หยุดก้าวอัตโนมัติ กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วที่ต้องแวะกินข้าวเช้าที่นี่

          โต๊ะเดิมที่ประจำตรงนั้น คนที่ชอบแผ่รังสีความมืดมนใส่ชาวบ้านกำลังนั่งก้มหน้าจิ้มมือถืออย่างทุกที ผมสาวเท้าเดินตรงเข้าไปหาแล้วอยู่ๆ ริมฝีปากมันก็ยกยิ้มขึ้นเอง เข้าใจและรับรู้ว่าเป็นเพราะอะไร แค่เพียงเพราะได้เห็นคนตรงหน้ายังสบายดีอยู่มันก็อารมณ์ดีขึ้นมา

          "ไม่กินข้าวกินปลามัวแต่เล่นโทรศัพท์"

          ต้นสนเงยหน้าขึ้นมาอ้าปากค้างใส่ผมหลังจากได้ยินคำทักทายแบบใหม่ที่เหมือนคำสั่งสอนของผู้ปกครองมากกว่า

          "กินข้าวหรือยัง" ผมถามครั้งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะยังว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยที่เหมือนผ่านสงครามมื้อเช้ามา กระทั่งรอยน้ำจากแก้วน้ำยังไม่มี

          "ยังเลย"

          "จะกินอะไรเดี๋ยวไปซื้อให้"

          "ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราซื้อเอง ขอคุยงานอีกแป๊บนึง"

          ถ้าผมเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องคงจะถามกลับไปแล้วว่าคุยงานอะไรนักหนา แต่เพราะมีศักดิ์เป็นเพียงคนรู้จักธรรมดาเลยจำต้องพยักหน้ารับแล้วลุกเดินไปยังร้านข้าวแต่โดยดี

          นายมืดมนกับวันจันทร์มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมแปลกใจมากถึงมากที่สุด ผิวกายขาวขัดกับหน้าตาโทรมๆ ช่วงแขนที่โผล่พ้นเสื้อนักศึกษาที่ถูกพับขึ้นไปจนถึงข้อศอก แขนที่ควรจะเรียบเนียนกลับเต็มไปด้วยรอยแผล และมันจะเกิดรอยใหม่ทุกเช้าวันจันทร์ เป็นรอยขีดสั้นบ้างขาวบ้างแบบไร้ทิศทาง มันคือสิ่งที่ผมสงสัยที่สุดว่าต้นสนไปทำอะไรกับแขนตัวเองมา

          หลังจากได้อาหารเช้าแสนธรรมอย่างข้าวราดแกงผมก็กลับมานั่งเฝ้าโต๊ะ สลับกับนายมืดมนที่ลุกไปเลือกซื้อมื้อเช้าบ้าง กลับมาแล้วก็คุยกันไม่หยุด บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนทุกที คนคุยเก่งอย่างต้นสนสามารถสรรหาเรื่องมาพูดได้ตลอดตั้งแต่เรื่องเล็กระดับหมู่บ้านยันเรื่องใหญ่ระดับจักรวาล พูดไปกินไปจนข้าวไม่พร่องจานสักที

          "กินก่อนก็ได้นะ"

          พอผมทักเจ้าตัวก็ยิ้มรับ ทำท่าตั้งใจกินข้าวได้แป๊บเดียวก็กลับมาจ้อต่อ ทำอย่างกับว่าปกติไม่มีเพื่อนให้คุยด้วย

          เพราะอยู่กันแค่สองคนทำให้เราต้องมองกันบ่อยๆ ขณะที่อีกคนพูดและผมคอยรับฟัง มันทำให้ผมมีเวลาได้สำรวจร่างกายนายมืดมนไปด้วย ผมที่จัดทรงไว้ลวกๆ ดวงตาหม่นหมองไร้ความสดใส ใต้ตาดำคล้ำ จมูกที่ไม่ถึงกับโด่งแต่เข้ากับรูปหน้าเล็กๆ นั่นได้เป็นอย่างดี รวมถึงริมฝีปากเรียวบางที่ขยับพูดไม่หยุด ทุกอย่างคล้ายจะปกติหากผมไม่สังเกตเห็นพลาสเตอร์ยาที่แปะอยู่ตรงหางหิ้วเสียก่อน

          "ต้นสน"

          "หืม" คนที่กำลังจ้ออย่างเมามันหยุดพูดพลางเลิกคิ้วใส่

          ผมจ้องพลาสเตอร์ที่หางคิ้วอยู่อย่างนั้น ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือไปปัดผมที่บังสิ่งน่าสงสัยนั้นออกเพื่อจะได้มองเห็นมันได้ชัดๆ

          "ไปโดนอะไรมา"

          "เอ่อ...คือ" ต้นสนมองหน้าผมแล้วชะงักไป

          "ตอบมา"

          "อุบัติเหตุนิดหน่อย"

          "อุบัติเหตุอะไร"

          "คือ...เรื่องมันยาว"

          "เล่ามา"

          "มันไม่มีอะไรหรอกปลื้ม แค่แผลนิดเดียว"

          ผมละมืออก ปล่อยเส้นผมที่น้ำตาลตกลงมาปิดบังพลาสเตอร์ยาไว้อีกครั้ง แต่สายตายังคงจ้องมองอย่างไม่ลดละ ไม่ว่ายังไงผมต้องได้คำตอบว่ารอยแผลนั่นมันเกิดขึ้นได้ยังไง

          "ทำอะไรกันอยู่น่ะ" แต่ก่อนจะได้สอบสวนอะไรไปมากกว่านี้เพื่อนตัวโตของนายมืดมนก็เข้ามาขัดจังหวะ เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ มองผมด้วยสายตาที่ดูเหมือนไม่พอใจ หรือนี่อาจจะเป็นสายตาปกติของเขาที่ผมคิดไปเองว่าเขากำลังไม่พอใจผมอยู่

          "ไม่มีอะไร อั๋นกินข้าวมายัง" คนที่ดูมีพิรุธที่สุดไม่ใช่ผม แต่เป็นต้นสนที่ดูลนๆ แถมยังรีบจัดผมหน้าม้าให้เข้าที่ ปัดมันลงมาบังพาสเตอร์ยาไว้ทั้งที่ตอนแรกมันก็บังแทบไม่เห็นอยู่แล้ว

          แม้กระทั่งเพื่อนก็ไม่รู้สินะว่านายมืดมนเป็นอะไร

          "ก็รู้หนิว่าปกติกูกินมาจากบ้าน"

          "เออเนอะ" ต้นสนหัวเราะแห้งอย่างคนไปไม่เป็น

          มองจากตรงนี้ดูรู้ได้ทันทีว่านายมืดมนพยายามปิดบังรอยแผลต่างๆ ตามตัวจากสายตาของเพื่อน ทั้งจัดทรงผมใหม่ ทั้งดึงแขนเสื้อลง ผมรู้เพราะเรามองในจุดเดียวกัน แต่สายตาที่ใช้มองนั้นมันต่างกัน

          ผมมองด้วยความสงสัยอยากรู้ แต่สายตาของเพื่อนตัวสูงนั้นมองด้วยความตำหนิ หรือบางทีเขาอาจจะรู้อะไรที่ผมอยากรู้ก็เป็นได้

          "กินเสร็จยัง จะให้รอมั้ย" อั๋นถาม เขาเหลือบมองจานข้าวบนโต๊ะที่เหลือเพียงความว่างเปล่า

          "เสร็จแล้วๆ งั้นเราขึ้นเรียนก่อนนะ"

          ผมพยักหน้ารับก่อนต้นสนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินตามเพื่อนตัวสูงไป ทิ้งผมให้จมอยู่กับความสงสัยและคำถามมากมาย มันเพิ่มพูนทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ และสักวันเมื่อทนไม่ไหวคงระเบิดออกมาในที่สุด

 

TBC.



ไม่ใช่ทั้งอาร์ตบุ๊คและคน แต่มันคือหมอน!!! ฮ่าๆๆๆ // โดนโบก

ตกลงนายมือมนเป็นอะไรกันแน่ล่ะเนี่ย???

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อยากจะเข้าไปถามให้รู้เรื่อง อึดอัดแทน ชีวิตหนูเจออะไรลำบากขนาดนั้นเลยเหรอลูกกก  :hao5:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ต้นสนทำให้ต่อมเผือกของเราทำงานมากกว่าปรกติ  :katai1:

ออฟไลน์ chocolate_ness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่าติดตาม น่าสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับต้นสนกันแน่

ออฟไลน์ jaruporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พึ่งเข้ามาอ่าน คือแบบมันดีมาก
รอๆ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ตอนที่ 6


          สี่วันมาแล้วที่ผมไม่ได้เจอหน้านายมืดมนเลย แวะไปกินข้าวที่บริหารตอนเช้าก็ไม่เห็น ที่ตลาดตอนเย็นก็ไม่โผล่มา หรืออาจจะมาในวันที่ผมไม่อยู่ รวมถึงสื่อโซเชียลทุกชนิดที่ไม่มีการอัพเดทใดๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังตอบข้อความในทวิตเตอร์ บ่นให้ฟังตั้งแต่หลายวันก่อนว่างานเยอะจนแทบไม่ได้กระดิกตัวไปไหน ซึ่งคำพูดเหล่านั้นเชื่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

          เย็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ในขณะที่ไอ้ว่านกับไอ้เจนชวนกันไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียน แต่ผมยังคงมุ่งมั่นกับการทำงานที่ร้านป้านกเพื่อเก็บเงินไว้จ่ายค่าหอ แม้เพื่อนสุดที่รักแสนใจดีบอกว่าจะช่วยออกส่วนของผมให้เพราะอยากให้ไปใช้เวลาเที่ยวเล่นด้วยกันสักครั้งแต่ก็เกรงใจเกินจะรับไว้ รอผมพื้นตัวได้เมื่อไรจะให้รางวัลตัวเองงามๆ สักหน

          ที่ตลาดเย็นนี้ไม่ค่อยคึกคักเหมือนทุกวันเพราะฝนปรอยมาตั้งแต่ช่วงบ่าย ตกหนักตอนหกโมงเย็นช่วงหนึ่งหลังจากนั้นก็ลงเม็ดสม่ำเสมอพอให้คนที่ไม่กางร่มเดินได้ชุ่มชื่นหัวใจ

          วันนี้ต้นสนไม่โผล่มาที่ร้านเหมือนตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเลยส่งข้อความไปหาในทวิตเตอร์แต่ผ่านมาแล้วร่วมชั่วโมงเจ้าตัวก็ยังไม่ตอบกลับ เลยได้แต่เข้าไปเช็คข้อความที่ส่งไปว่าถูกอ่านหรือยัง บางทีนายมืดมนอาจจะเห็นแล้วแต่ไม่ตอบกลับมาก็ได้

          หมอนั่น...กำลังทำอะไรอยู่กันนะ

          เลยสองทุ่มมานิดหน่อยหลังจากช่วยป้านกเก็บร้านเรียบร้อยผมก็เดินกางร่มออกมาจากตลาด แล้วสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า คนที่มาพร้อมกับบรรยากาศมืดมนชวนให้หดหู่ ยิ่งฝนตกแบบนี้ยิ่งช่วยเสริมให้พลังนั้นดูแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า หรือจะพูดให้ถูกคือวันนี้ต้นสนดูโทรมกว่าทุกครั้งที่เจอกัน

          ผมสาวเท้าเข้าไปหาคนที่เดินเหม่อลอยเหมือนไม่ได้เอาวิญญาณมาด้วยโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ต้นสนเดินไปยืนรอข้ามถนนที่ริมฟุตบาท มือข้างขวาถือร่มที่เหมือนจะปลิวหลุดมือได้ทุกเมื่อหากลมพัดแรงๆ

          "ต้นสน" ผมร้องเรียกแต่สิ่งที่ได้รับคือการนิ่งเฉย ทั้งเสียงฝน เสียงรถยนต์บนถนน มันไม่แปลกหรอกหากจะไม่ได้ยิน

          เดินเข้าไปหาจนเกือบประชิดตัวได้แต่จู่ๆ มือข้างขวาที่ถือร่มอยู่กลับปล่อยมันทิ้ง ต้นสนก้าวเดินไปข้างหน้าทั้งที่รถบนถนนยังวิ่งด้วยความเร็วเท่าที่สภาพการจราจรจะเอื้ออำนวย ไม่มีรถคันไหนหยุดให้คนเดินข้าม และไม่มีคนบ้าที่ไหนเดินข้ามถนนตอนรถกำลังวิ่งอยู่เข่นกัน

          เหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมเบียดทุกคนที่ขวางทางออก ร่มในมือโยนทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตะโกนคำที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ออกไปสุดเสียงหมายจะหยุดการกระทำบ้าๆ นั่นไว้ พร้อมทั้งพุ่งไปด้านหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จับแขนที่เต็มไปด้วยรอยแผลไว้แล้วดึงกลับมาให้พ้นเขตถนนสุดแรง

          เสียงแตรรถดังระงมจนแสบแก้วหู ผู้คนรอบข้างตื่นตระหนก มือผมสั่น คนที่โดนกระชากกลับมาจนล้มลงไปนั่งกองกับพื้นก็สั่น ผมโกรธ โกรธมาก จนสุดท้ายต้องระบายด้วยการตะคอกออกมาโดยไม่ทันคิดทบทวนให้มันดีก่อนว่าสมควรพูดออกมาหรือเปล่า

          "อยากตายนักหรือไงฮะ!!"

          ต้นสนสะดุ้งสุดตัวก้มหน้างุดตัวสั่นระริก ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากนั้น มันยิ่งทำให้ผมโกรธจนอยากฉุดให้ลุกขึ้นยืน จับไหล่ที่กำลังสั่นเทาทั้งสองข้างนั่นไว้แล้วเขย่าแรงๆ คาดคั้นให้พูดเหมือนในหนังในละคร แต่เพราะผู้คนโดยรอบเข้ามาสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมต้องข่มอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้

          "เกิดอะไรขึ้น"

          "เป็นอะไรหรือเปล่าหนู"

          "เรียกรถพยาบาลมั้ยคะ"

          "คนนั้นเค้าเป็นอะไรน่ะ"

          "ไม่รู้สิ อยู่ดีๆ ก็เห็นเดินออกไป"

          "จะเดินออกไปให้รถชนเหรอ บ้าเปล่า"

          จากคำที่ถามถึงอาการสู่การพูดปากต่อปากในคนหมู่มาก ต่างคนต่างความคิด และเริ่มมีความเห็นในแง่ลบดังแทรกสายฝนให้ได้ยินจนไม่อยากทนฟังต่อ แม้ความเห็นพวกนั้นจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ผมคิดอยู่ก็ตาม

          "เด็กนั่นจะฆ่าตัวตายเหรอ"

          ผมฉุดต้นสนให้ลุกขึ้นยืนเพราะไม่สามารถทนฟังสิ่งที่คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ได้ ออกแรงดึงให้คนที่ยังตัวสั่นไม่หายเดินตามมา รู้ตัวดีว่ากำลังโกรธจนแทบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จนเผลอบีบข้อมือที่มีรอยแผลนั้นไปเต็มแรง

          นายมืดมนไม่ได้ร้องทักหรือบอกว่าเจ็บ แต่ตัวที่สั่นเทาแถมเสื้อยังชื้นเพราะเปียกฝนกลับทำให้ผมอารมณ์เย็นลงกว่าเมื่อครู่

          ต้นสนกำลังกลัว ผม...รับรู้มันได้

          จากที่จับข้อมือผมเลื่อนลงไปกุมมือเย็นชืดนั่นไว้แทน ขาที่ก้าวอยู่หยุดเดิน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกช้าๆ มองคนที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรตั้งแต่เกิดเรื่อง

          "เราต้องคุยกัน"

          "อื้ม"

          "ที่คอนโดนาย"

          "อื้ม"

          ทั้งสองครั้งต้นสนครางรับในลำคอโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามอง แต่แรงบีบหนักๆ ที่มือมันบอกว่าเขากำลังต้องการที่พึ่งพิง และใครสักคนที่อยากให้อยู่ข้างๆ กันในตอนนี้

          ผม...รู้สึกอย่างนั้น

          เราเดินฝ่าสายฝนที่ยังลงเม็ดปรอยๆ โดยไร้ร่มเป็นที่กำบังจนมาถึงคอนโด ผมปล่อยมือต้นสนเป็นอิสระเพื่อให้เขาหยิบคีย์การ์ดออกมา แต่มือที่ยังสั่นไม่เลิกกลับไร้เรี่ยวแรงและทำมันหล่น สุดท้ายผมเลยต้องสวมบทเป็นเจ้าของห้องครอบครองคีย์การ์ดไว้เอง

          ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นสี่ ผมรู้ว่าห้องไอ้เจนอยู่ห้องไหน และหวังว่ามันคงไม่โผล่มาเห็นผมที่นี่ตอนนี้

          "อยู่ห้องไหน"

          "403"

          ผมเดินนำไปยังเลขห้องที่บอก แล้วก็อดระแวงไม่ได้ต้องหันหลังกลับไปมองห้อง 404 ที่ฝั่งอยู่ตรงข้ามเยื้องกันๆ ไปนิดเดียว ทำไมไอ้ว่านไม่บอกมาเลยว่ามันอยู่ห้องตรงข้ามกับต้นสน

          เปิดประตูเปิดไฟในห้องแล้วสิ่งที่ผมเห็นก็ทำเอาพูดไม่ออก นี่มันห้องที่คนใช้อยู่อาศัยจริงเหรอ รกอย่างกับไม่ได้ทำความสะอาดมาเป็นเดือน และอีกอย่างที่ทำให้ห้องนี้ดูรกคือโพสอิท

          ผมมองสภาพห้องสลับกับเจ้าของห้องที่ยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ไม่รู้ว่ายังตกใจ หรือกลัว หรือหนาวเพราะตากฝนมากันแน่ แต่ถ้ายังปล่อยให้ยืนสั่นอยู่แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดี

          "หนาวเหรอ"

          ต้นสนพยักหน้ารับ ใช้แขนทั้งสองข้างกอดตัวเองไว้ นอกจากจะเป็นคนคิดสั้นแล้วยังขี้หนาวอีก

          "หรือกลัว"

          ต้นสนพยักหน้ารับอีกครั้ง

          ผมพรูลมหายใจออกมายาวๆ กับคำตอบที่ได้รับ คนที่เพิ่งคิดฆ่าตัวตายไปจำเป็นต้องมีความกลัวด้วยงั้นเหรอ

          เรายังยืนนิ่งกันอยู่หน้าประตูโดยที่เจ้าของห้องไม่คิดจะปริปากพูดอะไรออกมาสักอย่าง แน่นอนว่ามันทำให้โมโหจนอยากจะเคลียร์ให้รู้เรื่องมันตรงนี้ แต่ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องทนเห็นคนที่กำลังยืนหนาวสั่น

          "ไปอาบน้ำก่อนไป ให้เวลาสิบนาที เสร็จแล้วมาคุยกันหน่อย อ้อ แต่ถ้าไม่ยอมออกมาจะพังประตูเข้าไป" สงสารแต่ไม่ไว้ใจ เกิดนายมืดมนนึกครึ้มอกครึ้มใจหายกลัวแล้วใช้สายฉีดก้นรัดคอตัวเองตายมันไม่ใช่เลยเรื่องดี

          รับทราบคำบอกต้นสนก็พยักหน้ารับเร็วๆ ก่อนเดินกอดตัวเองไปยังห้องที่ผมเดาว่าคงเป็นห้องนอน

          ถึงก่อนหน้านี้จะตากฝนมา แต่หยดน้ำเม็ดเล็กๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าเปียกโชกระดับที่สามารถสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของห้องได้ ผมถอดรองเท้าไว้หน้าประตูและเริ่มสำรวจภายในห้องที่ทำให้ตกตะลึงได้ตั้งแต่แรกเห็น ข้าวของวางระเกะระกะจนทำให้ห้องรกนั้นไม่ได้น่าสนใจเท่าไรเพราะบางเวลาที่ยุ่งๆ ห้องผมก็มีสภาพไม่ต่างจากห้องนี้นัก แต่สิ่งที่ผมเชื่อว่าทุกคนต้องสนใจเมื่อได้มาเยือนที่นี่นั่นก็คือโพสอิท

          'งานคุณพิ้งค์ สนพ. xxx ส่งภายในวันที่ 15 เดือนหน้า ยังไม่ได้ลงสี'

          'งานคุณผักชี เหลือลงพื้นหลัง เอาโทนสีเข้ม รอคอนเฟิร์มอีกรอบ'

          'งานน้องมะเหมี่ยว สแกนแล้ววว เหลือกราฟฟิก กำลังรอเรื่องย่อปกหลัง'

          'โปสการ์คเรื่อง xxx เปิดพรีถึงสิ้นเดือน ฝากนับยอดด้วย'

          โพสอิทหลายแผ่นติดไว้ที่โต๊ะทำงานสองตัวที่วางติดกัน ตัวหนึ่งมีชั้นใส่ของกับพวกอุปกรณ์วาดรูปทั้งหลายแหล่วางอยู่ แฟ้มงานรวมถึงงานที่ยังทำไม่เสร็จซึ่งมีโพสอิทแปะกำกับไว้ว่างานชั้นนั้นๆ ทำค้างไว้ถึงขั้นตอนไหน ส่วนโต๊ะอีกตัวที่อยู่ติดกันใช้วางคอมพิวเตอร์กับเครื่องสแกน มีสมุดโน้ตเล่มหนึ่งวางอยู่ ผมถือวิสาสะเปิดดูและพบว่าในนี้เขียนขั้นตอนการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นส่วนตัว โฟลเดอร์งาน และอีกหลายอย่างที่ผมไม่อยากอ่านและปิดมันลง โต๊ะนี้ดูสะอาดและเรียบร้อยกว่าโต๊ะข้างๆ นิดหน่อย ถ้าไม่นับเศษเหรียญ ใบเสร็จจากร้านค้า แล้วก็สารพัดของที่เหมือนหยิบติดมือมาวางกองไว้อย่างหวี คัตเตอร์ กรรกไกร กิ๊บติดผม รวมถึงเส้นมาม่าหรือเม็ดข้าวแห้งๆ

          หมอนี่กินนอนที่โต๊ะทำงานหรือไง

          ผมไล่อ่านโพสอิททุกแผ่นที่แปะไว้แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก ข้อความที่ถูกเขียนไว้ไม่ได้ต่างจากโน้ตสั่งเสียในเคสมือถือนัก มันก็เหมือนกับการฝากฝังงานให้คนที่มาเห็นทำต่อ มีความห่วงหาอาทรทั้งที่อยากจะไป ดูมีความรับผิดชอบและเห็นแก่ตัวในเวลาเดียวกัน ทั้งที่อยากจะตายแล้วจะไปแคร์สิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบไม่ได้อีกต่อไปแล้วทำไม ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ

          โพสอินหลากสีไม่ได้จบแค่โต๊ะทำงานแต่ยังลามไปถึงในส่วนของครัว ตู้เย็นกับโพสอิทที่บอกว่ามีอะไรอยู่ในนี้บ้างและสามารถหยิบมันไปได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ตู้เก็บของกับโพสอิทที่บอกว่าอะไรเก็บไว้ตู้ไหนและสามารถหยิบใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเช่นกัน

          ผมมองโพสอิทที่ถูกแปะไว้ตามจุดต่างๆ แล้วอยากจะดึงมันมาขยำทิ้งถังขยะให้หมด ยังหงุดหงิดไม่หาย หงุดหงิดคนที่อยากตายแต่กลับดูเป็นห่วงเป็นใยผู้คนรอบตัวเสียเหลือเกิน แต่พอนึกหน้าสีหน้าตื่นตระหนกกับตัวที่สั่นเทาเหมือนลูกนกตัวน้อยๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

          ผ่อนคลายเข้าไว้ ยังไงคืนนี้ผมต้องได้รู้เรื่องทั้งหมด นายมืดมนจะได้ตายสมใจหรืออยู่ใช้ชีวิตต่อไปผมจะตัดสินมันเอง

 

          สิบนาทีผ่านไปตามที่ตกลงกันไว้ต้นสนก็เดินออกมาจากห้องนอน บนหัวมีผ้าขนหนูผืนเล็กๆ วางอยู่สำหรับเช็ดผมที่เปียก สวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นโชว์บาดแผลตามร่างกายให้ได้เห็นกันชัดๆ ขอบตาแดงสีหน้าอดโรย เดินเหมือนคนหมดแรงก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟา

          ผมมองเห็นต้นสนจากในครัว กลิ่นหอมของโกโก้อุ่นๆ ช่วยดึงความสนใจจากนายมืดมนให้หันมามอง ผมตีหน้านิ่งด้วยไม่รู้จะปั้นหน้ายังไงก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มรสหวานอุ่นๆ ไปให้ ดื่มมันแล้วจะได้หายหนาวและรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

          มันก็แค่ของล่อลวงให้ผู้ต้องสงสัยรู้สึกดีนะขึ้นก่อนจะโดนสอบสวน

          "ชงมาให้ ไม่ว่าอะไรใช่มั้ย"

          ต้นสนส่ายหน้าน้อยๆ ยกยิ้มบางๆ ยื่นมือมารับแก้วไป ใช้ช้อนคนสองสามรอบ เป่าควันที่ลอยเอื่อยอยู่ขอบแก้วแล้วจิบโกโก้ร้อนของผมช้าๆ

          "ขอบคุณนะ ปลื้มชงอร่อยกว่าเราอีก"

          "อืม" ผมพยักหน้ารับส่งๆ เผลอดีใจไปกับคำชมชั่ววูบจนต้องรีบดึงสติกลับมา

          นี่ไม่ใช่ฉากสวีทของพระนางที่บังเอิญเจอกันในวันฝนตกแล้วชวนกันมาที่ห้อง แต่เป็นฉากที่ตำรวจสอบสวนผู้ต้องสงสัย โชคดีของนายมืดมนแค่ไหนที่เจอตำรวจใจดีอย่างผม

          แก้วโกโก้ถูกวางลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟาหลังจิบไปสองสามครั้ง ต้นสนทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออกแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่พาดอยู่บนบ่ายื่นมาให้

          "อะ ผ้าเช็ดตัว อันนี้ผืนใหม่ยังไม่ได้ใช้ ปลื้มจะอาบน้ำก่อนมั้ยเดี๋ยวเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้"

          "ไม่เป็นไร แค่อยากคุยให้มันจบๆ"

          "งั้นเช็ดผมให้แห้งหน่อยก็ดี เดี๋ยวเป็นหวัด"

          เมื่อผมไม่ยอมยื่นมือไปรับต้นสนเลยจัดการเอามันมาคลุมหัวให้เสร็จสรรพ คิดสั้นแถมยังเอาแต่ใจอีกให้ตายเถอะ

          "แล้วเรื่องที่จะคุย" ถามเกริ่นออกมาด้วยสีหน้าหวาดระแวงปนสงสัย

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ว่าต้นสนจะตีความการกระทำของผมว่ายังไง ผู้ขัดขวางหรือผู้หวังดี ถ้าตามสคริปท์คนที่จะฆ่าตัวตายจริงๆ คงโวยวายออกมาแล้วว่ามาช่วยทำไม หรือยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่ในกรณีนายมืดมนอาจจะเกิดกลัวขึ้นมาถึงได้ดูตื่นตระหนกและตัวสั่นขนาดนั้น

          "ที่ถนนเมื่อกี้นี้..." ผมเกริ่น เพียงแค่นี้ดวงตามืดมนนั่นก็เบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าออกก่อนจะเหยียดโค้งเป็นรอยยิ้มบางๆ

          ยิ้ม...อย่างนั้นเหรอ

          "เออใช่ เรายังไม่ได้ขอบคุณปลื้มเลย"

          "ขอบคุณ?"

          "อืม ขอบคุณมากนะ"

          ผมไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่มั้ย ทำไมถึงต้องขอบคุณ หมอนี่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้แสดงสีหน้าท่าทางแบบนี้ออกมา

          เหมือนกับว่ากำลัง...โล่งใจ

          "ขอบคุณเรื่อง"

          "ก็ที่ช่วยไว้ไง ถ้าปลื้มไม่มาช่วยอาจจะโดนรถชนตายไปแล้วก็ได้"

          หัวคิ้วผมวิ่งชนกันแทบจะผูกปมเป็นเงื่อนตาย หมายความว่ายังไง ขอบคุณที่ผมช่วยชีวิตทั้งที่อยากตายอยู่แล้วเนี่ยนะ หรือที่แสดงออกมาอยู่ตอนนี้นั้นก็เพียงแค่...เล่นละครตบตา

          "ต้นสน"

          "หืม"

          "ถามจริงๆ นะ ขอให้ตอบความจริงด้วย"

          น้ำเสียงที่เอ่ยถามอย่างจริงจังทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ รอยยิ้มบนใบหน้าหมองๆ นั้นหายไป แต่ผมกลับไม่เห็นอะไรในแววตาคู่นั้นเลย มันดูว่างเปล่าคล้ายกับพร้อมจะรับทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา ผมเองก็พร้อมแล้วกับคำตอบมากมายที่ควรได้รับเช่นกัน

          "ตอนที่รอข้ามถนน...คิดจะฆ่าตัวตายใช่มั้ย"




TBC.

 

ตอนห้าเฉลยแล้วนะ มีใครเดาออกมั้ยว่านายมืดมนของเราเป็นอะไร

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :katai4: :katai4: :katai4:

ลุ้นเเละรอออออออ

 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ manU007

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :katai1: น่าจะเป็นโรคซึมเศร้า

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
ทนอ่านอะไรแบบนี้ไม่ได้ ฮืออออ
ต้นสนลูก *กอด*

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เราเดาไม่ออกกกก ทำไมจบค้างงง สงสาร ทำไมดูทรมานกับการมีชีวิตขนาดนั้นลูกก  :ling1: :ling3:

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ต้นสนน เป็นอะไรนะ :mew2:  :hao5:

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
จิ้มเข้ามาเพราะชื่อเรื่องกระแทกตาสุดๆ

ออฟไลน์ มาม่าหมูสับ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เดาไว้ก่อนว่าต้นสนน่าจะเป็นโรคซึมเศร้า

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

ตอนที่ 7


          "ตอนที่รอข้ามถนน...คิดจะฆ่าตัวตายใช่มั้ย"

          ดวงตาที่เคยว่างเปล่าเบิกกว้างเมื่อได้ฟังคำถาม มันเต็มด้วยความสงสัยก่อนริมฝีปากสีซีดจะเอ่ยถามย้ำออกมาอย่างไม่แน่ใจ

          "ฆ่าตัวตาย"

          "ใช่ไง อยู่ดีๆ เดินไปให้รถชน เป็นบ้าหรือไง"

          "ไม่ใช่สักหน่อย"

          "ไม่ใช่อะไรก็เห็นๆ อยู่" อารมณ์ผมเริ่มไม่คงที่อีกครั้ง ขึ้นเสียงจนคนฟังทำหน้าตกใจ แต่ต้นสนยังไม่ลดละที่จะเถียงและยืนยันว่าที่ผมเห็นนั้นแค่เข้าใจผิด

          "เข้าใจผิดแล้ว ไม่ได้จะฆ่าตัวตาย ไม่เคยคิดเลยด้วย"

          "อย่ามาโกหก"

          "แล้วปลื้มเป็นบ้าอะไรวะจู่ๆ มาคิดว่าเราจะฆ่าตัวตาย" เป็นครั้งแรกที่ผมโดนขึ้นเสียงใส่บ้าง หน้าโทรมๆ ดูจริงจังกว่าปกติ คิ้วขมวด สายตาเอาเรื่อง มองมาอย่างต้องการคำตอบไม่ต่างจากที่ผมต้องการคำตอบจากเขา

          "ก็เห็นอยู่ว่าตั้งใจเดินออกไปให้รถชน"

          "บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ แล้วเราก็ไม่ได้ตั้งใจเดินออกไปให้รถชน"

          "แล้วมันยังไง"

          "เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว"

          "งั้นก็อธิบายมาดิ แล้วก็อธิบายทุกเรื่องที่จะถามต่อจากนี้ด้วย"

          ต้นสนหลับตาลงก่อนสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนมันออกมาช้าๆ เราสบตากัน ผมเงียบและรอฟัง ยังไม่เชื่อและไม่มีทางเชื่อง่ายๆ ว่าทุกการกระทำที่ผ่านมานายมืดมนไม่ได้คิดฆ่าตัวตายอย่างที่บอก

          "ฟังนะ เมื่อกี้ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย เราแค่วูบแล้วมันก็เซไปเอง"

          ผมเลิกคิ้วมองอย่างไม่เชื่อ ถึงไม่เคยเป็นลมไม่เคยวูบหรือเป็นอะไรที่ใกล้เคียงอาการแบบนั้น แต่การที่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งร่มแล้วก้าวออกไปแบบนั้นมันเรียกว่าวูบได้เหรอ

          "เชื่อได้แค่ไหน"

          "แล้วทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ"

          เป็นผมเองที่เงียบบ้าง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากเล่าที่สุด ไม่อยากให้ใครได้รับรู้ทั้งนั้นว่าผมมีความผิดคิดโง่ๆ อย่างการขโมยของคนอื่นในวันที่อับจนหนทาง และโง่ยิ่งกว่าเดิมโดยการปล่อยให้โอกาสที่แลกมาด้วยความผิดบาปหลุดมือไปจนต้องเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้

          เรื่องที่ทำให้เหมือนกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมคิดไปเองคนเดียว

          "เราแค่วูบจริงๆ ช่วงนี้งานเยอะมาก ทั้งงานวาดแล้วก็งานที่คณะ นอนแต่ละวันนับชั่วโมงได้ ไม่เห็นตาโบ๋ๆ นี่เหรอ ยิ่งช่วงนี้โคตรเหมือนซอมบี้ อีกอย่างภาระเยอะขนาดนี้เราไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก" อธิบายไปต้นสนก็ชี้ที่ใต้ตาอันดำคล้ำให้ผมดู ทำหน้าเหนื่อยหน่ายเหมือนจะโกรธในทีแรกก่อนเปลี่ยนสีหน้าเหมือนคนกำลังน้อยใจมากกว่า แต่สำหรับผมตอนนี้กำลังสับสนอย่างหนัก

          พักผ่อนน้อยจนวูบ แค่นี้จริงๆ น่ะเหรอ แล้วทำไมต้องไปวูบตอนข้ามถนนด้วยไม่ทราบ ที่บันไดใต้ตึกคณะตอนนั้นก็คงเหมือนกันสินะ

          "ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ"

          "ก็ไม่เชื่อไง"

          "เราต้องทำไงปลื้มถึงจะเชื่อ" น้ำเสียงจริงจัง สายตาเองก็ไม่ต่าง

          ต้นสนมองผมนิ่ง สีหน้าเหนื่อยล้าดูคิดหนัก ในขณะที่หัวสมองผมเองก็ปวดตุบๆ เหมือนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ พยายามคิดหาเหตุผลคัดค้านเหตุการณ์ต่างๆ นานาที่ได้เห็นมาแต่กลับคิดไม่ออก ถ้านายมืดมนไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายอย่างที่ว่าจริงแล้วแรงจูงใจในการเขียนโน้ตกับโพสอิทสั่งเสียนั่นคืออะไร สีหน้าและท่าทางอิดโรยอธิบายได้จากคำแก้ตัวที่ว่างานหนักและนอนน้อย แล้วรอยแผลตามแขนขาล่ะ มันมาจากไหน

          "ปลื้มนั่งก่อนเถอะ สงสัยคงได้คุยกันอีกยาว รีบกลับมั้ย" ต้นสนพยักพเยิดหน้าไปยังที่ว่างบนโซฟา

          แน่นอนว่ายังไงคืนนี้ต้องได้คุยกันยาวๆ จนกว่าจะรู้เรื่อง แต่ไอ้คำถามที่ว่ารีบกลับมั้ยมันออกจะกวนประสาทหน่อยๆ เพราะไม่มีทางอยู่แล้วที่ผมจะกลับถ้ายังไม่แน่ใจว่านายมืดมนไม่ได้คิดฆ่าตัวตายจริงๆ

          ผมนั่งลงที่ว่างข้างๆ ตามคำเชิญชวน ดึงผ้าเช็ดตัวที่เจ้าของห้องตั้งใจเอามาให้เช็ดผมออกจากหัว บรรยากาศตึงเครียดเหมือนกำลังเล่นเกมตอบคำถามชิงเงินล้าน แถมยังเป็นข้อตัดสินชะตาชีวิตเสียด้วย ซึ่งในที่นี้ผมเป็นถาม ส่วนต้นสนเป็นคนตอบ

          "เราไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไงให้ปลื้มเชื่อ เพราะไม่รู้ว่าปลื้มเอาความคิดบ้าๆ ว่าเราจะฆ่าตัวตายมาจากไหน เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้อะไรก็ถามมาเลย ตอบครบทุกคำถามจนหายข้องใจเมื่อไรเราจะเป็นฝ่ายถามปลื้มบ้าง"

          ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมแต่กลับให้ความรู้สึกว่าต้นสนกำลังถือไพ่เหนือกว่า ก็แน่ล่ะในเมื่อผมมีความลับที่ไม่อยากบอกอยู่ แถมยังเป็นตัวจุดประเด็นเรื่องทั้งหมด คงต้องคิดหาเหตุผลดีๆ เตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

          "แบบนี้โอเคใช่มั้ย"

          "ได้"

          "งั้นถามมาเลย"

          ผมไล่มองต้นสนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเสียมารยาทซึ่งเจ้าตัวคงรู้ว่าโดนสำรวจอยู่ นอกจากตาหมีแพนด้ากับสีหน้าหมองๆ สิ่งที่มองเห็นชัดที่สุดย่อมหนีไม่พ้นร้อยแผลตามร่างกาย รอยขีดยาวๆ ที่ดูสะเปะสะปะไร้ทิศทางพวกนั้น

          "แผลที่แขนกับขา...ไปโดนอะไรมา"

          "รอยพวกนี้น่ะเหรอ" ต้นสนหงายท้องแขนให้ผมเห็นรอยแผลชัดๆ รวมถึงยกขาขึ้นมาให้ดูด้วย

          "ไปทำอะไรมาแผลถึงเยอะขนาดนี้"

          "ไม่รู้จักคนซุ่มซ่ามเหรอ"

          หัวคิ้วผมวิ่งเข้าประสานงากันทันที ชนแรงชนิดที่ว่าถ้าเป็นอุบัติเหตุใหญ่ทุกคนคงตายในที่เกิดเหตุ ความซุ่มซ่ามคือข้อแก้ตัวสำหรับรอยแผลพวกนี้งั้นเหรอ มันจะง่ายไปหน่อยไหม

          "ตรงนี้โดนธูป รอยนี้มีดบาด อันนี้หมาข่วน ตรงนี้เตารีด ส่วนตรงนี้ล้ม" ต้นสนบอกที่มาของรอยแผลพร้อมชี้ให้ดูว่ารอยไหนเป็นรอยไหน

          แผลที่โดนธูปเป็นจุดเล็กๆ บนมือที่ผมไม่เคยสังเกตเห็น รอยมีดบาดไม่ใหญ่นักที่ข้อมือ บนท้องแขนกับรอยหมาข่วนเป็นขีดยาวๆ ซึ่งเป็นรอยที่ผมติดใจที่สุด ใกล้กันมีรอยเตารีดเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ จางๆ และรอยแผลเป็นตรงข้อศอกที่บอกว่าล้ม

          "ส่วนขามีรอยท่อ ตรงนี้เคยเดินตกร่องแล้วโดนเหล็กบาด ยาวๆ นี่แมวข่วน ส่วนรอยอื่นๆ จำไม่ได้ บางทีอากาศหนาวๆ ผิวแห้งก็เกาจนเป็นแผล พวกรอยช้ำคงเป็นตอนเดินไปชนนู่นชนนี่มั้งนะ" จบจากแขนก็ต่อที่ขา พูดไปก็ทำหน้านึกไปเหมือนจำไม่ได้ว่าไปโดนอะไรมาบ้าง แต่ผมจำได้ว่ามันยังไม่หมดแค่นี้

          "แล้วตรงนี้"  ผมชี้ที่หางคิ้ว รอยล่าสุดที่ได้เห็น

          "อ๋อ ตรงนี้โดนขอบโต๊ะงานตัวนั้นเลย ก้มไปหยิบของแล้วลืมดู โขกไปเต็มๆ" ตอบพร้อมกับชี้ไปยังจุดเกิดเหตุ

          ยิ่งฟังผมยิ่งเครียดกว่าเดิม ไม่ได้เครียดแค่เรื่องฆ่าตัวตาย แต่เครียดที่นายมืดมนใช้ชีวิตโดยที่เหมือนไม่ระวังตัวแบบนี้มาได้ยังไง อย่างกับว่าไม่เคยดูแลตัวเอง ไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้นนอกจากงานที่โหมทำจนสภาพร่างกายเป็นแบบนี้

          "จริงเหรอที่พูดมา"

          "แล้วมันมีตรงไหนไม่น่าเชื่อ"

          เถียงคำไม่ตกฟาก ถ้าเป็นรุ่นน้องผมคงด่าสวนกลับไปแบบนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งมุ่มใหม่ๆ ที่ผมได้เห็นจากนายมืดมนเลยก็ว่าได้ นอกจากจะพูดเป็นต่อยหอยแล้วยังเถียงเก่งอีกต่างหาก

          "บ้านเลี้ยงหมาด้วยเหรอ" รอยที่น่ากลัวที่สุดและชัดที่สุดคือรวยหมาแมวข่วน รอยขีดเป็นเส้นยาวๆ สะเปะสะปะไม่สม่ำเสมอ ตื้นบ้างลึกบ้าง เพราะฉะนั้นประเด็นนี้น่าเจาะลึกที่สุด

          "หมาสี่ตัว แมวอีกสอง เรากลับบ้านเสาร์อาทิตย์ เวลากลับไปเจอพวกมันจะชอบดีใจแบบโอเวอร์มากๆ ชอบกระโดดเกาะ ชอบรุม แล้วเล็บมันก็จะข่วนเข้าที่แขน แต่นานๆ ทีจะเจอแบบข่วนแรงๆ จนเป็นแผลลึก กลับจากบ้านทีไรเลยได้รอยกลับมาด้วยประจำ ส่วนรอยแมวข่วนที่เห็นเราดันไปแกล้งมันจนตกใจเลยโดนข่วน อันนี้ก็สมควรโดนอยู่"

          "ไม่ระวังตัวเลย"

          "พูดเหมือนอั๋นเลย มันชอบบอกว่าเราไม่ระวังตัวแล้วก็ทำหน้าดุใส่ กลับบ้านเมื่อไหร่ถ้ามันเห็นรอยหมาแมวข่วนก็จะโดนด่า ด่ายิ่งกว่าพ่อแม่อีก" เล่าไปก็ยู่หน้าทำท่าทางเหมือนเด็กโดนขัดใจ

          หลังจากรับฟังเรื่องทั้งหมดแล้วผมยังไม่กล้าฟันธงกับตัวเองว่าจะเชื่อดีมั้ย ถ้ามันเป็นเรื่องโกหกก็แสดงว่าต้นสนแต่งเรื่องได้เก่งมาก และเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจจะโดนจับได้ได้ทีเดียว แต่เมื่อลองนึกย้อนกลับไปตามคำบอกเล่าเมื่อครู่ สายตาและท่าทางของอั๋นก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ผมจำสายตาที่มองอย่างตำหนิติเตือนนั้นได้ดี มันดูไม่พอใจ และต่างจากสายตาที่ผมใช้มองนายมืดมนอย่างสิ้นเชิง

          "เชื่อที่พูดมั้ยเนี่ย"

          "มั้ง"

          "ทำไมมั้ง"

          "..."

          "ที่จริงเราสังเกตอยู่นะว่าปลื้มชอบมองแผลเราเลยพยายามซ่อนไว้เพราะมันคงดูไม่ดี แต่เหมือนว่ามันจะทำให้ยิ่งเข้าใจผิดใช่มั้ย"

          "คงงั้น" ได้แต่ตอบรับแบบกั๊กอย่างคนเสียฟอร์ม มันไม่ใช่แค่เข้าใจผิดธรรมดา แต่เป็นการเข้าใจผิดแบบโคตรของโคตรเข้าใจผิด ให้แก้สมการสิบตลบยังไม่รู้เลยว่าถ้าคุณครูไม่มาเฉลยจะตอบถูกหรือเปล่า

          "แล้วปลื้มคิดว่ามันเป็นรอยอะไร"

          "มันคงมีไม่มีรอยอื่นหรอกมั้งสำหรับคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย"

          ต้นสนยิ้มรับ ผิดไปจากที่ผมจินตนาการไว้ว่าอาจจะโดนหัวเราะเยาะใส่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมา เหมือนหายโง่ เหมือนรอยยิ้มนั้นกำลังบอกว่าไม่เป็นไร ต่อให้ผมจะคิดยังไงก็ไม่เป็นไร

          "เราไม่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้นหรอก เชื่อเถอะนะ"

          ผมพยักหน้ารับช้าๆ ทั้งที่ในใจยังคัดค้านอยู่นิดๆ เพราะยังทำใจให้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าโทรมๆ นั่นกลับสั่งให้เชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็แค่เรื่องที่ผมคิดไปเอง

          "มีอะไรอยากถามเราอีกมั้ย"

          มีข้อน่าสงสัยหลายอย่างที่ผมพยายามนึกให้ออกในช่วงเวลาที่เราได้รู้จักกัน เรื่องวูบทำให้เกิดอุบัติเหตุจนเหมือนการฆ่าตัวตาย รอยหมาแมวข่วนที่ผมคิดว่าเป็นรอยกรีดเพื่อทำร้ายตัวเอง นอกจากนี้ก็มีเรื่องโรคประจำตัว

          "ที่บอกว่าตื่นนอนไปวิ่งแต่เช้านี่ก็เรื่องจริงเหรอ"

          "อ๋อใช่ แต่ช่วงนี้ตื่นไม่ค่อยไหวเลยไม่ได้วิ่งแล้ว"

          "ทำไมต้องวิ่งด้วย"

          "ออกกำลังกายไง ไม่ใช่ว่าเราเคยบอกปลื้มไปแล้วหรอ ช่วงนี้งานเยอะสุขภาพไม่ค่อยดีเลยพยายามหาเวลาว่างออกกำลังกาย มันก็มีแค่ช่วงเช้านี่แหละที่ว่าง แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่" อธิบายยาวเหยียดแล้วยิ้มแหยเมื่อผลลัพธ์ในสิ่งที่หวังไม่เป็นอย่างที่คิด

          ผมยกมือนวดขมับ รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ตัวรุมๆ คล้ายจะเป็นหวัด หน้าร้อนหูก็ร้อน ไม่รู้เป็นเพราะคำสารภาพที่ได้ฟังหรือเพราะตากฝนมากันแน่ หรือบางทีจะอาจจะเป็นเพราะการได้รู้สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นความจริงก็ได้

          มันน่าอายที่ต้องยอมรับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมคิดเพ้อเจ้อไปเองคนเดียว

          เพราะโน้ตสั่งเสียในเคสโทรศัพท์นั่น

          "ปลื้ม"

          "โน้ตสั่งเสีย" ผมเงยหน้ามองตามเสียงเรียกแล้วหลุดปากออกมาตามคำที่วนเวียนอยู่ในหัว

          "อะไรนะ"

          "เอ่อ สมุดโน้ตกับโพสอิท ทำไมต้องเขียนอะไรแบบนั้นไว้ด้วย"

          โชคดีที่หาอะไรมาแก้ตัวได้ทัน ต้นสนมองตามสายตาผมไปยังโต๊ะทำงาน ประเด็นนี้พอจะเดาออกลางๆ จากการคุยกันก่อนหน้านี้ แม้สิ่งที่ผมอยากรู้ที่สุดจะเป็นที่มาของโน้ตสั่งเสียในเคสมือถือแผ่นนั้นต่างหาก แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถถามออกไปได้

          "ก็อย่างที่บอกว่าเราวูบบ่อยแต่งานที่ทำค้างไว้ก็เยอะเหมือนกัน เลยทำทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้คนที่มาเห็นพอจะสานต่องานที่ทำค้างไว้ได้ อย่างน้อยช่วยแจ้งให้คนที่รองานเราอยู่รับรู้ก็ยังดี"

          "แบบนั้นมันก็คือการคิดว่าตัวเองต้องตายไม่ใช่หรือไง" ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่มันยังมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่คิดแค่ว่าจะทำยังไงถ้าต้องจากไป แต่ควรหาวิธีที่ทำให้ไม่ต้องจากไปมันไม่ดีกว่าเหรอ

          ต้นสนยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า เท่ากับเป็นการยอมรับคำพูดของผม ซึ่งผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย

          "มันเคยเกิดขึ้นน่ะ มีครั้งหนึ่งตอนนั่งทำงานอยู่จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา มันอึดอัดมันทรมานหายใจไม่ออก จนคิดขึ้นมาว่าเราอาจจะตายจริงๆ ก็ได้ แต่ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาว่ายังตายไม่ได้นะ ยังมีเรื่องที่อยากทำอีกเยอะเลย สิ่งที่ทำค้างไว้ก็เยอะ เลยพยายามตั้งสติกำหนดลมหายใจอาการก็ดีขึ้น แต่สักพักก็หนาวสั่น หนาวมากแบบชาไปทั้งตัวแต่เหงื่อกลับออก มันเหมือนจะวูบตลอดเวลา เอาจริงสติตอนนั้นก็แทบไม่เหลือแล้ว เลยนั่งหลับตาแล้วก็หลับไปเลย ผ่านไปเกือบชั่วโมงถึงรู้สึกตัวอีกที อาการดีขึ้นแต่ยังไม่โอเคอยู่ดี ตอนนั้นก็รู้นะว่าตัวเองอ่อนเพลียเรื้อรังแล้วก็เครียดด้วย ตอนที่คิดว่าจะตายมันน่ากลัวมากจริงๆ แต่ก็คิดอีกนั่นแหละว่าถ้าตายไปจริงๆ จะทำไง จากนั้นก็เลย..."

          เล่ามาถึงตรงนี้ต้นสนก็พูดขึ้นมาดื้อๆ เขาหันมาสบตากับผม สายตาที่ดูเหนื่อยล้ามีแววสงสัยปนอยู่  แล้วคำพูดที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีซีดนั้นก็ทำให้ผมตัวชาวูบขึ้นมา

          "หรือว่าปลื้มเห็นโน้ตนั่นแล้วใช่มั้ย"

          สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่เรื่องที่ต้นสนรู้ว่าเห็นโน้ตแผ่นนั้น แต่เป็นสาเหตุที่นำพาโน้ตแผ่นนั้นมาให้ผมเห็นต่างหาก ขโมยของเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดจะทำ แต่ถึงแม้จะลงมือทำสุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ ความรู้สึกตอนนี้มันไม่ต่างจากเด็กที่ทำความผิดแล้วโดนผู้ใหญ่จับได้ ผมเองก็กลัวโดนเกลียด และอึดอัดที่จะเก็บเรื่องราวไม่ดีไว้กับตัวเองเช่นกัน

          "โน้ตที่อยู่ในเคสมือถือ ปลื้มอ่านมันแล้วใช่มั้ย" ต้นสนถามย้ำอีกครั้งผมถึงได้พยักหน้ารับ

          "อืม อ่านมันแล้ว"

          "ก็ไม่แปลกหรอกที่จะคิดแบบนี้ งั้นเราขอถามอะไรปลื้มหน่อยดิ"

          ฟังประโยคนี้แล้วหัวใจมันก็เต้นระรัวจนกลัวว่าคนที่นั่งข้างๆ จะได้ยิน คำพูดมากมายผุดขึ้นมาในหัว จับคำพูดมาร้อยเรียงให้เป็นประโยค และจับประโยคมาต่อกันให้เป็นคำอธิบาย เตรียมคำตอบสำหรับคำถาม เตรียมคำสารภาพสำหรับความผิดของตัวเอง

          "ที่ปลื้มเข้าหาเราเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย หรือเพราะอะไรกันแน่"

          ผมสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดก่อนผ่อนออกมาช้าๆ แล้วเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความยากลำบากที่ต้องเผชิญ ทางเลือกที่ผิด จุดเปลี่ยนของการกระทำ ความเข้าใจผิด จนกระทั่งเข้ามายุ่งในเรื่องที่ไม่ควรจะยุ่ง ละครฉากใหญ่ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เห็น ความคิดที่ถูกตอกย้ำและย้ำลึกทุกครั้งที่ได้เจอกันจนฝังเป็นความคิดผิดๆ ที่ยึดติดเอาไว้คนเดียว และความจริงที่ถูกเฉลยในวันนี้

          ต้นสนพยักหน้ารับฟังโดยไม่ออกความเห็นใดๆ สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังโกรธ หรือแสดงท่าทางไม่ดีออกมา อย่างกับยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้

          "จะด่าจะว่าก็ได้นะ ยอมรับว่าไม่ได้เข้าหาด้วยความจริงใจ เล่นละคร หลอกลวง หลอกกินฟรี งานศิลปะอะไรนั่นก็ไม่ได้ชอบนักหรอก ไม่เข้าใจมันด้วย เงินที่เอาไปซื้ออาร์ตบุ๊คก็จำใจสุดๆ" ผมใส่อารมณ์เต็มที่ในการพูด เพื่อสื่อให้เห็นถึงความจริงใจในทุกประโยค น่าแปลกที่ต้นสนกลับยิ้ม ไม่สิ เรียกว่าเกือบหลุดหัวเราะออกมาเลยจะดีกว่า

          "ไม่จริงใจตรงไหน เป็นคนดีเลยมากกว่า จะมีสักกี่คนที่เก็บมือถือคนไม่รู้จักได้แล้ว..."

          "ตั้งใจขโมยต่างหาก"

          "นั่นแหละ อย่าเพิ่งขัดดิ คิดจะขโมยโทรศัพท์แต่ดันเปลี่ยนใจเพราะไปเห็นโน้ตที่เหมือนจดหมายลาตายแล้วส่งคืนเจ้าของ แต่แทนที่จะจบแค่นั้นดันพยายามเข้าหาเพื่อให้รู้ความจริงว่าคนคนนั้นคิดจะฆ่าตัวตายจริงหรือเปล่า ไหนจะเอาเงินมาซื้อของที่ไม่จำเป็นเพื่อให้ได้สนิทกันอีก สำคัญที่สุดคือได้ช่วยชีวิตคนคนนั้นไว้ด้วย สำหรับเราแบบนี้เรียกว่าคนดีนะปลื้ม ขอบคุณนะที่วันนั้นเก็บมือถือเราไป"

          "มันน่าดีใจมั้ยเนี่ย" เกือบดีแล้วยกเว้นประโยคสุดท้ายนั่น

          ต้นสนหัวเราะชอบใจยกใหญ่ สีหน้าหม่นหมองที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่นั้นดูสดใสเป็นพิเศษ เป็นสีหน้าที่ผมอยากเห็นมาตลอด ก้อนเมฆสีเทาที่คอยสร้างบรรยายกาศอึมอรึมนั้นหายไป เหลือเพียงก้อนเมฆสีขาวที่ยังสว่างสดใสแม้ตอนนี้ท้องฟ้าจะมืดมิดก็ตาม

          "ขอบคุณจริงๆ นะ"

          "อืม"

          "ต่อไปนี้เรายังจะติดต่อกันอยู่ใช่มั้ย ถึงปลื้มจะรู้ว่าเราไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายก็ยังจะมาเจอกันอยู่ใช่มั้ย"

          เป็นคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอ ทุกอย่างเฉลยก็เท่ากับจบ เราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน ไม่มีอะไรต้องมายุ่งเกี่ยวกัน แต่ในใจกลับคิดอีกอย่าง

          ขนาดไม่ได้คิดฆ่าตัวตายชีวิตยังเสี่ยงไปเจอยมบาลขนาดนี้ แล้วผมจะปล่อยให้คนคนนี้ใช้ชีวิตโดยที่ไม่เคยดูแลตัวเองต่อไปได้จริงเหรอ

          คำตอบคือ...ไม่ได้

          หัวคิ้วที่วิ่งชนกันไม่รู้รอบที่เท่าไรของวันขมวดเป็นโบว์อีกครั้ง ดวงตาที่ใต้ตาลึกโบ๋จ้องมองมาอย่างต้องการคำตอบ ริมฝีปากสีซีดเม้มเข้าหากัน ดูลุ้นมากกว่าตอนที่ผมรอผลสอบออกเสียอีก

          "อืม ก็คงติดต่อเหมือนเดิมมั้ง"

          ยังยืนยันคำเดิมว่าอยากเห็นอีกครั้ง และอยากเห็นต่อไปอีกเรื่อยๆ

          รอยยิ้ม...ที่กำลังมอบให้ผมอยู่ตอนนี้

 

TBC.

 

เฉลยแล้ววววววววว สรุปไม่มีใครคิดแบบนี้เลยเหรอ ทุกคนโดนปลื้มลากไปเป็นพวกหมดเลยใช่มั้ย

ที่จริงตอนลงบทนำมีคอมเม้นของคุณ flimflam บอกว่า

สิ่งที่นายคนนั้นทำเราก็คิดจะทำเหมือนกัน กลัวตายไม่รู้ตัว (เราแอบก็อปมาวางเลย แฮ่)

ซึ่งคอมเม้นนี้แหละคือประเด็นของเรื่องเลยนะ เราก็คิดแบบเฮ้ย เม้นตรงเป๊ะเลยต้องมีคนจับได้แน่ๆ 55555555

แต่ทุกคนกลับบอกว่าเดาไม่ออกหรือเราจะใบ้น้อยไป แต่ก็ช่างมันเถอะ ฮา

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าจ้า



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด