ตอนที่ 7
"ตอนที่รอข้ามถนน...คิดจะฆ่าตัวตายใช่มั้ย"
ดวงตาที่เคยว่างเปล่าเบิกกว้างเมื่อได้ฟังคำถาม มันเต็มด้วยความสงสัยก่อนริมฝีปากสีซีดจะเอ่ยถามย้ำออกมาอย่างไม่แน่ใจ
"ฆ่าตัวตาย"
"ใช่ไง อยู่ดีๆ เดินไปให้รถชน เป็นบ้าหรือไง"
"ไม่ใช่สักหน่อย"
"ไม่ใช่อะไรก็เห็นๆ อยู่" อารมณ์ผมเริ่มไม่คงที่อีกครั้ง ขึ้นเสียงจนคนฟังทำหน้าตกใจ แต่ต้นสนยังไม่ลดละที่จะเถียงและยืนยันว่าที่ผมเห็นนั้นแค่เข้าใจผิด
"เข้าใจผิดแล้ว ไม่ได้จะฆ่าตัวตาย ไม่เคยคิดเลยด้วย"
"อย่ามาโกหก"
"แล้วปลื้มเป็นบ้าอะไรวะจู่ๆ มาคิดว่าเราจะฆ่าตัวตาย" เป็นครั้งแรกที่ผมโดนขึ้นเสียงใส่บ้าง หน้าโทรมๆ ดูจริงจังกว่าปกติ คิ้วขมวด สายตาเอาเรื่อง มองมาอย่างต้องการคำตอบไม่ต่างจากที่ผมต้องการคำตอบจากเขา
"ก็เห็นอยู่ว่าตั้งใจเดินออกไปให้รถชน"
"บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ แล้วเราก็ไม่ได้ตั้งใจเดินออกไปให้รถชน"
"แล้วมันยังไง"
"เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว"
"งั้นก็อธิบายมาดิ แล้วก็อธิบายทุกเรื่องที่จะถามต่อจากนี้ด้วย"
ต้นสนหลับตาลงก่อนสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนมันออกมาช้าๆ เราสบตากัน ผมเงียบและรอฟัง ยังไม่เชื่อและไม่มีทางเชื่อง่ายๆ ว่าทุกการกระทำที่ผ่านมานายมืดมนไม่ได้คิดฆ่าตัวตายอย่างที่บอก
"ฟังนะ เมื่อกี้ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย เราแค่วูบแล้วมันก็เซไปเอง"
ผมเลิกคิ้วมองอย่างไม่เชื่อ ถึงไม่เคยเป็นลมไม่เคยวูบหรือเป็นอะไรที่ใกล้เคียงอาการแบบนั้น แต่การที่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งร่มแล้วก้าวออกไปแบบนั้นมันเรียกว่าวูบได้เหรอ
"เชื่อได้แค่ไหน"
"แล้วทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ"
เป็นผมเองที่เงียบบ้าง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากเล่าที่สุด ไม่อยากให้ใครได้รับรู้ทั้งนั้นว่าผมมีความผิดคิดโง่ๆ อย่างการขโมยของคนอื่นในวันที่อับจนหนทาง และโง่ยิ่งกว่าเดิมโดยการปล่อยให้โอกาสที่แลกมาด้วยความผิดบาปหลุดมือไปจนต้องเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้
เรื่องที่ทำให้เหมือนกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมคิดไปเองคนเดียว
"เราแค่วูบจริงๆ ช่วงนี้งานเยอะมาก ทั้งงานวาดแล้วก็งานที่คณะ นอนแต่ละวันนับชั่วโมงได้ ไม่เห็นตาโบ๋ๆ นี่เหรอ ยิ่งช่วงนี้โคตรเหมือนซอมบี้ อีกอย่างภาระเยอะขนาดนี้เราไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก" อธิบายไปต้นสนก็ชี้ที่ใต้ตาอันดำคล้ำให้ผมดู ทำหน้าเหนื่อยหน่ายเหมือนจะโกรธในทีแรกก่อนเปลี่ยนสีหน้าเหมือนคนกำลังน้อยใจมากกว่า แต่สำหรับผมตอนนี้กำลังสับสนอย่างหนัก
พักผ่อนน้อยจนวูบ แค่นี้จริงๆ น่ะเหรอ แล้วทำไมต้องไปวูบตอนข้ามถนนด้วยไม่ทราบ ที่บันไดใต้ตึกคณะตอนนั้นก็คงเหมือนกันสินะ
"ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ"
"ก็ไม่เชื่อไง"
"เราต้องทำไงปลื้มถึงจะเชื่อ" น้ำเสียงจริงจัง สายตาเองก็ไม่ต่าง
ต้นสนมองผมนิ่ง สีหน้าเหนื่อยล้าดูคิดหนัก ในขณะที่หัวสมองผมเองก็ปวดตุบๆ เหมือนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ พยายามคิดหาเหตุผลคัดค้านเหตุการณ์ต่างๆ นานาที่ได้เห็นมาแต่กลับคิดไม่ออก ถ้านายมืดมนไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายอย่างที่ว่าจริงแล้วแรงจูงใจในการเขียนโน้ตกับโพสอิทสั่งเสียนั่นคืออะไร สีหน้าและท่าทางอิดโรยอธิบายได้จากคำแก้ตัวที่ว่างานหนักและนอนน้อย แล้วรอยแผลตามแขนขาล่ะ มันมาจากไหน
"ปลื้มนั่งก่อนเถอะ สงสัยคงได้คุยกันอีกยาว รีบกลับมั้ย" ต้นสนพยักพเยิดหน้าไปยังที่ว่างบนโซฟา
แน่นอนว่ายังไงคืนนี้ต้องได้คุยกันยาวๆ จนกว่าจะรู้เรื่อง แต่ไอ้คำถามที่ว่ารีบกลับมั้ยมันออกจะกวนประสาทหน่อยๆ เพราะไม่มีทางอยู่แล้วที่ผมจะกลับถ้ายังไม่แน่ใจว่านายมืดมนไม่ได้คิดฆ่าตัวตายจริงๆ
ผมนั่งลงที่ว่างข้างๆ ตามคำเชิญชวน ดึงผ้าเช็ดตัวที่เจ้าของห้องตั้งใจเอามาให้เช็ดผมออกจากหัว บรรยากาศตึงเครียดเหมือนกำลังเล่นเกมตอบคำถามชิงเงินล้าน แถมยังเป็นข้อตัดสินชะตาชีวิตเสียด้วย ซึ่งในที่นี้ผมเป็นถาม ส่วนต้นสนเป็นคนตอบ
"เราไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไงให้ปลื้มเชื่อ เพราะไม่รู้ว่าปลื้มเอาความคิดบ้าๆ ว่าเราจะฆ่าตัวตายมาจากไหน เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้อะไรก็ถามมาเลย ตอบครบทุกคำถามจนหายข้องใจเมื่อไรเราจะเป็นฝ่ายถามปลื้มบ้าง"
ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมแต่กลับให้ความรู้สึกว่าต้นสนกำลังถือไพ่เหนือกว่า ก็แน่ล่ะในเมื่อผมมีความลับที่ไม่อยากบอกอยู่ แถมยังเป็นตัวจุดประเด็นเรื่องทั้งหมด คงต้องคิดหาเหตุผลดีๆ เตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
"แบบนี้โอเคใช่มั้ย"
"ได้"
"งั้นถามมาเลย"
ผมไล่มองต้นสนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเสียมารยาทซึ่งเจ้าตัวคงรู้ว่าโดนสำรวจอยู่ นอกจากตาหมีแพนด้ากับสีหน้าหมองๆ สิ่งที่มองเห็นชัดที่สุดย่อมหนีไม่พ้นร้อยแผลตามร่างกาย รอยขีดยาวๆ ที่ดูสะเปะสะปะไร้ทิศทางพวกนั้น
"แผลที่แขนกับขา...ไปโดนอะไรมา"
"รอยพวกนี้น่ะเหรอ" ต้นสนหงายท้องแขนให้ผมเห็นรอยแผลชัดๆ รวมถึงยกขาขึ้นมาให้ดูด้วย
"ไปทำอะไรมาแผลถึงเยอะขนาดนี้"
"ไม่รู้จักคนซุ่มซ่ามเหรอ"
หัวคิ้วผมวิ่งเข้าประสานงากันทันที ชนแรงชนิดที่ว่าถ้าเป็นอุบัติเหตุใหญ่ทุกคนคงตายในที่เกิดเหตุ ความซุ่มซ่ามคือข้อแก้ตัวสำหรับรอยแผลพวกนี้งั้นเหรอ มันจะง่ายไปหน่อยไหม
"ตรงนี้โดนธูป รอยนี้มีดบาด อันนี้หมาข่วน ตรงนี้เตารีด ส่วนตรงนี้ล้ม" ต้นสนบอกที่มาของรอยแผลพร้อมชี้ให้ดูว่ารอยไหนเป็นรอยไหน
แผลที่โดนธูปเป็นจุดเล็กๆ บนมือที่ผมไม่เคยสังเกตเห็น รอยมีดบาดไม่ใหญ่นักที่ข้อมือ บนท้องแขนกับรอยหมาข่วนเป็นขีดยาวๆ ซึ่งเป็นรอยที่ผมติดใจที่สุด ใกล้กันมีรอยเตารีดเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ จางๆ และรอยแผลเป็นตรงข้อศอกที่บอกว่าล้ม
"ส่วนขามีรอยท่อ ตรงนี้เคยเดินตกร่องแล้วโดนเหล็กบาด ยาวๆ นี่แมวข่วน ส่วนรอยอื่นๆ จำไม่ได้ บางทีอากาศหนาวๆ ผิวแห้งก็เกาจนเป็นแผล พวกรอยช้ำคงเป็นตอนเดินไปชนนู่นชนนี่มั้งนะ" จบจากแขนก็ต่อที่ขา พูดไปก็ทำหน้านึกไปเหมือนจำไม่ได้ว่าไปโดนอะไรมาบ้าง แต่ผมจำได้ว่ามันยังไม่หมดแค่นี้
"แล้วตรงนี้" ผมชี้ที่หางคิ้ว รอยล่าสุดที่ได้เห็น
"อ๋อ ตรงนี้โดนขอบโต๊ะงานตัวนั้นเลย ก้มไปหยิบของแล้วลืมดู โขกไปเต็มๆ" ตอบพร้อมกับชี้ไปยังจุดเกิดเหตุ
ยิ่งฟังผมยิ่งเครียดกว่าเดิม ไม่ได้เครียดแค่เรื่องฆ่าตัวตาย แต่เครียดที่นายมืดมนใช้ชีวิตโดยที่เหมือนไม่ระวังตัวแบบนี้มาได้ยังไง อย่างกับว่าไม่เคยดูแลตัวเอง ไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้นนอกจากงานที่โหมทำจนสภาพร่างกายเป็นแบบนี้
"จริงเหรอที่พูดมา"
"แล้วมันมีตรงไหนไม่น่าเชื่อ"
เถียงคำไม่ตกฟาก ถ้าเป็นรุ่นน้องผมคงด่าสวนกลับไปแบบนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งมุ่มใหม่ๆ ที่ผมได้เห็นจากนายมืดมนเลยก็ว่าได้ นอกจากจะพูดเป็นต่อยหอยแล้วยังเถียงเก่งอีกต่างหาก
"บ้านเลี้ยงหมาด้วยเหรอ" รอยที่น่ากลัวที่สุดและชัดที่สุดคือรวยหมาแมวข่วน รอยขีดเป็นเส้นยาวๆ สะเปะสะปะไม่สม่ำเสมอ ตื้นบ้างลึกบ้าง เพราะฉะนั้นประเด็นนี้น่าเจาะลึกที่สุด
"หมาสี่ตัว แมวอีกสอง เรากลับบ้านเสาร์อาทิตย์ เวลากลับไปเจอพวกมันจะชอบดีใจแบบโอเวอร์มากๆ ชอบกระโดดเกาะ ชอบรุม แล้วเล็บมันก็จะข่วนเข้าที่แขน แต่นานๆ ทีจะเจอแบบข่วนแรงๆ จนเป็นแผลลึก กลับจากบ้านทีไรเลยได้รอยกลับมาด้วยประจำ ส่วนรอยแมวข่วนที่เห็นเราดันไปแกล้งมันจนตกใจเลยโดนข่วน อันนี้ก็สมควรโดนอยู่"
"ไม่ระวังตัวเลย"
"พูดเหมือนอั๋นเลย มันชอบบอกว่าเราไม่ระวังตัวแล้วก็ทำหน้าดุใส่ กลับบ้านเมื่อไหร่ถ้ามันเห็นรอยหมาแมวข่วนก็จะโดนด่า ด่ายิ่งกว่าพ่อแม่อีก" เล่าไปก็ยู่หน้าทำท่าทางเหมือนเด็กโดนขัดใจ
หลังจากรับฟังเรื่องทั้งหมดแล้วผมยังไม่กล้าฟันธงกับตัวเองว่าจะเชื่อดีมั้ย ถ้ามันเป็นเรื่องโกหกก็แสดงว่าต้นสนแต่งเรื่องได้เก่งมาก และเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจจะโดนจับได้ได้ทีเดียว แต่เมื่อลองนึกย้อนกลับไปตามคำบอกเล่าเมื่อครู่ สายตาและท่าทางของอั๋นก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ผมจำสายตาที่มองอย่างตำหนิติเตือนนั้นได้ดี มันดูไม่พอใจ และต่างจากสายตาที่ผมใช้มองนายมืดมนอย่างสิ้นเชิง
"เชื่อที่พูดมั้ยเนี่ย"
"มั้ง"
"ทำไมมั้ง"
"..."
"ที่จริงเราสังเกตอยู่นะว่าปลื้มชอบมองแผลเราเลยพยายามซ่อนไว้เพราะมันคงดูไม่ดี แต่เหมือนว่ามันจะทำให้ยิ่งเข้าใจผิดใช่มั้ย"
"คงงั้น" ได้แต่ตอบรับแบบกั๊กอย่างคนเสียฟอร์ม มันไม่ใช่แค่เข้าใจผิดธรรมดา แต่เป็นการเข้าใจผิดแบบโคตรของโคตรเข้าใจผิด ให้แก้สมการสิบตลบยังไม่รู้เลยว่าถ้าคุณครูไม่มาเฉลยจะตอบถูกหรือเปล่า
"แล้วปลื้มคิดว่ามันเป็นรอยอะไร"
"มันคงมีไม่มีรอยอื่นหรอกมั้งสำหรับคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย"
ต้นสนยิ้มรับ ผิดไปจากที่ผมจินตนาการไว้ว่าอาจจะโดนหัวเราะเยาะใส่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมา เหมือนหายโง่ เหมือนรอยยิ้มนั้นกำลังบอกว่าไม่เป็นไร ต่อให้ผมจะคิดยังไงก็ไม่เป็นไร
"เราไม่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้นหรอก เชื่อเถอะนะ"
ผมพยักหน้ารับช้าๆ ทั้งที่ในใจยังคัดค้านอยู่นิดๆ เพราะยังทำใจให้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าโทรมๆ นั่นกลับสั่งให้เชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็แค่เรื่องที่ผมคิดไปเอง
"มีอะไรอยากถามเราอีกมั้ย"
มีข้อน่าสงสัยหลายอย่างที่ผมพยายามนึกให้ออกในช่วงเวลาที่เราได้รู้จักกัน เรื่องวูบทำให้เกิดอุบัติเหตุจนเหมือนการฆ่าตัวตาย รอยหมาแมวข่วนที่ผมคิดว่าเป็นรอยกรีดเพื่อทำร้ายตัวเอง นอกจากนี้ก็มีเรื่องโรคประจำตัว
"ที่บอกว่าตื่นนอนไปวิ่งแต่เช้านี่ก็เรื่องจริงเหรอ"
"อ๋อใช่ แต่ช่วงนี้ตื่นไม่ค่อยไหวเลยไม่ได้วิ่งแล้ว"
"ทำไมต้องวิ่งด้วย"
"ออกกำลังกายไง ไม่ใช่ว่าเราเคยบอกปลื้มไปแล้วหรอ ช่วงนี้งานเยอะสุขภาพไม่ค่อยดีเลยพยายามหาเวลาว่างออกกำลังกาย มันก็มีแค่ช่วงเช้านี่แหละที่ว่าง แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่" อธิบายยาวเหยียดแล้วยิ้มแหยเมื่อผลลัพธ์ในสิ่งที่หวังไม่เป็นอย่างที่คิด
ผมยกมือนวดขมับ รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ตัวรุมๆ คล้ายจะเป็นหวัด หน้าร้อนหูก็ร้อน ไม่รู้เป็นเพราะคำสารภาพที่ได้ฟังหรือเพราะตากฝนมากันแน่ หรือบางทีจะอาจจะเป็นเพราะการได้รู้สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นความจริงก็ได้
มันน่าอายที่ต้องยอมรับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมคิดเพ้อเจ้อไปเองคนเดียว
เพราะโน้ตสั่งเสียในเคสโทรศัพท์นั่น
"ปลื้ม"
"โน้ตสั่งเสีย" ผมเงยหน้ามองตามเสียงเรียกแล้วหลุดปากออกมาตามคำที่วนเวียนอยู่ในหัว
"อะไรนะ"
"เอ่อ สมุดโน้ตกับโพสอิท ทำไมต้องเขียนอะไรแบบนั้นไว้ด้วย"
โชคดีที่หาอะไรมาแก้ตัวได้ทัน ต้นสนมองตามสายตาผมไปยังโต๊ะทำงาน ประเด็นนี้พอจะเดาออกลางๆ จากการคุยกันก่อนหน้านี้ แม้สิ่งที่ผมอยากรู้ที่สุดจะเป็นที่มาของโน้ตสั่งเสียในเคสมือถือแผ่นนั้นต่างหาก แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถถามออกไปได้
"ก็อย่างที่บอกว่าเราวูบบ่อยแต่งานที่ทำค้างไว้ก็เยอะเหมือนกัน เลยทำทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้คนที่มาเห็นพอจะสานต่องานที่ทำค้างไว้ได้ อย่างน้อยช่วยแจ้งให้คนที่รองานเราอยู่รับรู้ก็ยังดี"
"แบบนั้นมันก็คือการคิดว่าตัวเองต้องตายไม่ใช่หรือไง" ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่มันยังมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่คิดแค่ว่าจะทำยังไงถ้าต้องจากไป แต่ควรหาวิธีที่ทำให้ไม่ต้องจากไปมันไม่ดีกว่าเหรอ
ต้นสนยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า เท่ากับเป็นการยอมรับคำพูดของผม ซึ่งผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย
"มันเคยเกิดขึ้นน่ะ มีครั้งหนึ่งตอนนั่งทำงานอยู่จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา มันอึดอัดมันทรมานหายใจไม่ออก จนคิดขึ้นมาว่าเราอาจจะตายจริงๆ ก็ได้ แต่ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาว่ายังตายไม่ได้นะ ยังมีเรื่องที่อยากทำอีกเยอะเลย สิ่งที่ทำค้างไว้ก็เยอะ เลยพยายามตั้งสติกำหนดลมหายใจอาการก็ดีขึ้น แต่สักพักก็หนาวสั่น หนาวมากแบบชาไปทั้งตัวแต่เหงื่อกลับออก มันเหมือนจะวูบตลอดเวลา เอาจริงสติตอนนั้นก็แทบไม่เหลือแล้ว เลยนั่งหลับตาแล้วก็หลับไปเลย ผ่านไปเกือบชั่วโมงถึงรู้สึกตัวอีกที อาการดีขึ้นแต่ยังไม่โอเคอยู่ดี ตอนนั้นก็รู้นะว่าตัวเองอ่อนเพลียเรื้อรังแล้วก็เครียดด้วย ตอนที่คิดว่าจะตายมันน่ากลัวมากจริงๆ แต่ก็คิดอีกนั่นแหละว่าถ้าตายไปจริงๆ จะทำไง จากนั้นก็เลย..."
เล่ามาถึงตรงนี้ต้นสนก็พูดขึ้นมาดื้อๆ เขาหันมาสบตากับผม สายตาที่ดูเหนื่อยล้ามีแววสงสัยปนอยู่ แล้วคำพูดที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีซีดนั้นก็ทำให้ผมตัวชาวูบขึ้นมา
"หรือว่าปลื้มเห็นโน้ตนั่นแล้วใช่มั้ย"
สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่เรื่องที่ต้นสนรู้ว่าเห็นโน้ตแผ่นนั้น แต่เป็นสาเหตุที่นำพาโน้ตแผ่นนั้นมาให้ผมเห็นต่างหาก ขโมยของเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดจะทำ แต่ถึงแม้จะลงมือทำสุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ ความรู้สึกตอนนี้มันไม่ต่างจากเด็กที่ทำความผิดแล้วโดนผู้ใหญ่จับได้ ผมเองก็กลัวโดนเกลียด และอึดอัดที่จะเก็บเรื่องราวไม่ดีไว้กับตัวเองเช่นกัน
"โน้ตที่อยู่ในเคสมือถือ ปลื้มอ่านมันแล้วใช่มั้ย" ต้นสนถามย้ำอีกครั้งผมถึงได้พยักหน้ารับ
"อืม อ่านมันแล้ว"
"ก็ไม่แปลกหรอกที่จะคิดแบบนี้ งั้นเราขอถามอะไรปลื้มหน่อยดิ"
ฟังประโยคนี้แล้วหัวใจมันก็เต้นระรัวจนกลัวว่าคนที่นั่งข้างๆ จะได้ยิน คำพูดมากมายผุดขึ้นมาในหัว จับคำพูดมาร้อยเรียงให้เป็นประโยค และจับประโยคมาต่อกันให้เป็นคำอธิบาย เตรียมคำตอบสำหรับคำถาม เตรียมคำสารภาพสำหรับความผิดของตัวเอง
"ที่ปลื้มเข้าหาเราเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย หรือเพราะอะไรกันแน่"
ผมสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดก่อนผ่อนออกมาช้าๆ แล้วเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความยากลำบากที่ต้องเผชิญ ทางเลือกที่ผิด จุดเปลี่ยนของการกระทำ ความเข้าใจผิด จนกระทั่งเข้ามายุ่งในเรื่องที่ไม่ควรจะยุ่ง ละครฉากใหญ่ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เห็น ความคิดที่ถูกตอกย้ำและย้ำลึกทุกครั้งที่ได้เจอกันจนฝังเป็นความคิดผิดๆ ที่ยึดติดเอาไว้คนเดียว และความจริงที่ถูกเฉลยในวันนี้
ต้นสนพยักหน้ารับฟังโดยไม่ออกความเห็นใดๆ สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังโกรธ หรือแสดงท่าทางไม่ดีออกมา อย่างกับยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้
"จะด่าจะว่าก็ได้นะ ยอมรับว่าไม่ได้เข้าหาด้วยความจริงใจ เล่นละคร หลอกลวง หลอกกินฟรี งานศิลปะอะไรนั่นก็ไม่ได้ชอบนักหรอก ไม่เข้าใจมันด้วย เงินที่เอาไปซื้ออาร์ตบุ๊คก็จำใจสุดๆ" ผมใส่อารมณ์เต็มที่ในการพูด เพื่อสื่อให้เห็นถึงความจริงใจในทุกประโยค น่าแปลกที่ต้นสนกลับยิ้ม ไม่สิ เรียกว่าเกือบหลุดหัวเราะออกมาเลยจะดีกว่า
"ไม่จริงใจตรงไหน เป็นคนดีเลยมากกว่า จะมีสักกี่คนที่เก็บมือถือคนไม่รู้จักได้แล้ว..."
"ตั้งใจขโมยต่างหาก"
"นั่นแหละ อย่าเพิ่งขัดดิ คิดจะขโมยโทรศัพท์แต่ดันเปลี่ยนใจเพราะไปเห็นโน้ตที่เหมือนจดหมายลาตายแล้วส่งคืนเจ้าของ แต่แทนที่จะจบแค่นั้นดันพยายามเข้าหาเพื่อให้รู้ความจริงว่าคนคนนั้นคิดจะฆ่าตัวตายจริงหรือเปล่า ไหนจะเอาเงินมาซื้อของที่ไม่จำเป็นเพื่อให้ได้สนิทกันอีก สำคัญที่สุดคือได้ช่วยชีวิตคนคนนั้นไว้ด้วย สำหรับเราแบบนี้เรียกว่าคนดีนะปลื้ม ขอบคุณนะที่วันนั้นเก็บมือถือเราไป"
"มันน่าดีใจมั้ยเนี่ย" เกือบดีแล้วยกเว้นประโยคสุดท้ายนั่น
ต้นสนหัวเราะชอบใจยกใหญ่ สีหน้าหม่นหมองที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่นั้นดูสดใสเป็นพิเศษ เป็นสีหน้าที่ผมอยากเห็นมาตลอด ก้อนเมฆสีเทาที่คอยสร้างบรรยายกาศอึมอรึมนั้นหายไป เหลือเพียงก้อนเมฆสีขาวที่ยังสว่างสดใสแม้ตอนนี้ท้องฟ้าจะมืดมิดก็ตาม
"ขอบคุณจริงๆ นะ"
"อืม"
"ต่อไปนี้เรายังจะติดต่อกันอยู่ใช่มั้ย ถึงปลื้มจะรู้ว่าเราไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายก็ยังจะมาเจอกันอยู่ใช่มั้ย"
เป็นคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอ ทุกอย่างเฉลยก็เท่ากับจบ เราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน ไม่มีอะไรต้องมายุ่งเกี่ยวกัน แต่ในใจกลับคิดอีกอย่าง
ขนาดไม่ได้คิดฆ่าตัวตายชีวิตยังเสี่ยงไปเจอยมบาลขนาดนี้ แล้วผมจะปล่อยให้คนคนนี้ใช้ชีวิตโดยที่ไม่เคยดูแลตัวเองต่อไปได้จริงเหรอ
คำตอบคือ...ไม่ได้
หัวคิ้วที่วิ่งชนกันไม่รู้รอบที่เท่าไรของวันขมวดเป็นโบว์อีกครั้ง ดวงตาที่ใต้ตาลึกโบ๋จ้องมองมาอย่างต้องการคำตอบ ริมฝีปากสีซีดเม้มเข้าหากัน ดูลุ้นมากกว่าตอนที่ผมรอผลสอบออกเสียอีก
"อืม ก็คงติดต่อเหมือนเดิมมั้ง"
ยังยืนยันคำเดิมว่าอยากเห็นอีกครั้ง และอยากเห็นต่อไปอีกเรื่อยๆ
รอยยิ้ม...ที่กำลังมอบให้ผมอยู่ตอนนี้
TBC.
เฉลยแล้ววววววววว สรุปไม่มีใครคิดแบบนี้เลยเหรอ ทุกคนโดนปลื้มลากไปเป็นพวกหมดเลยใช่มั้ย
ที่จริงตอนลงบทนำมีคอมเม้นของคุณ flimflam บอกว่า
สิ่งที่นายคนนั้นทำเราก็คิดจะทำเหมือนกัน กลัวตายไม่รู้ตัว (เราแอบก็อปมาวางเลย แฮ่)
ซึ่งคอมเม้นนี้แหละคือประเด็นของเรื่องเลยนะ เราก็คิดแบบเฮ้ย เม้นตรงเป๊ะเลยต้องมีคนจับได้แน่ๆ 55555555
แต่ทุกคนกลับบอกว่าเดาไม่ออกหรือเราจะใบ้น้อยไป แต่ก็ช่างมันเถอะ ฮา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าจ้า