>>ตอนที่ 6 [100%]<<
เจ้าไม้มาถึงบ้านตอนสี่โมงเย็น มันโดดซ้อมแบดมินตันมาเพราะเรื่องของผมทำให้น้องชายร้อนรนเกินกว่าจะมีสมาธิซ้อม ผมก็ขอโทษมันนะ ไม่ตั้งใจทำให้ใครเดือดร้อนนอกจากตัวเองหรอก แต่เจ้าไม้ดันช็อกกับสภาพของผมจนไม่ได้ฟังคำขอโทษเลย...
“เกิดอะไรเรื่องบ้าอะไรเนี่ย...” เจ้าน้องชายพึมพำออกมาเบาๆ มันตรงเข้ามาหมุนผมซ้ายขวา แทบจะหมุนเป็นวงกลมเพื่อให้มันสำรววจร่างกาย ก็ผมดันใส่แต่กางเกงขาสั้นอะสิ ก็เลยเห็นรอยช้ำหมดเลย
“ฝีมือโอมใช่ไหม” ผมพยักหน้า
ผมเริ่มเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ไม้ฟังโดยไม่ข้ามส่วนใดเลยสักส่วน มันเป็นคนเดียวที่รู้ความรู้สึกของผมที่มีต่อดิวทั้งหมด ก็เลยไม่มีอะไรให้น่าปิดบัง นั่งฟังไปเรื่อยๆ เจ้าน้องชายตัวดีก็ชักจะคิ้วขมวดเป็นปมใหญ่ ก็รู้แหละว่าน่าจะไม่พอใจ ทั้งดิวและโอม แต่หนักสุดก็ผมนี่แหละ...
“พี่กลัวแม่จะรู้...” ผมมองหน้าน้องเมื่อบอกทุกอย่างจนเกลี้ยง
“ผมขอให้ดิวลบโพสต์นั้นแล้ว แม่ก็ไม่ค่อยเล่นมือถือ...แม่ไม่รู้หรอกพี่”
“ไปขอแบบนั้นเดี๋ยวไอ้โอมก็หาเรื่องดิวอีกหรอก” ความเป็นไปได้มีสูงเชียวแหละ
“ไม่หรอก เพราะผมขอร้องเขาเอง...” คำตอบของไม้ทำผมฉงน
“นี่ไม้ไปคุยกับมันมาเหรอ” น้องชายพยักหน้า
“ความรู้สึกของแม่สำคัญที่สุดไม่ใช่เหรอพี่...” เท่านั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกอีกเลย
แค่คิดว่าต้องเห็นแม่ร้องไห้เพราะผมทำตัวแย่ ผมก็แทบจะร้องไห้บ้าง ไม่รู้ดิ...ปวดใจวะ นั่นก็คนที่ผมรักอะ แต่นี่ก็แม่ที่ผมรักที่สุดเหมือนกัน ผมรู้ว่าไม้ต้องไปอ้อนวอนมัน ปล่อยให้มันด่าสารพัดโดยที่ไม่ตอบโต้เพื่อผมและแม่
“พอแล้วได้ปะวะพี่...อย่าทำเพื่อคนอื่นจนตัวเองเป็นแบบนี้ได้ปะวะ” ไม้ก้มหน้าพูด มันไม่สบตาผมและผมเองก็ไม่กล้าสบตามันหรอก
“ผมไม่ได้ว่าที่ทำแบบนี้แล้วเสี่ยงแม่รู้หรอกนะ มันคนละส่วนกัน แต่...ดูสภาพพี่ดิ พี่ต้องมาเจ็บตัวเพื่อให้ดิวมันได้กลับไปคนกับคนแบบนั้นอะนะ ถึงผมจะเป็นเพื่อนสนิทดิว แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยที่พี่ทำแบบนี้” ผมพูดอะไรไม่ออก ผมเข้าใจควมรู้สึกของไม้...มองกลับด้าน ไม้ไปทำแบบนี้กับใครสักคน ผมก็ต้องไม่พอใจเหมือนกัน อาจจะโกรธมากกว่าที่มันกำลังแสดงใส่ผมในตอนนี้ด้วยซ้ำ
“ถ้าทำแล้วดิวมันรักพี่บ้าง...ผมก็คงไม่มีเรื่องมาโต้หรอก” เหมือนโดนแทงใจดำอะ ขอบตาแม่งร้อนขึ้นมาเลย ผมรีบก้มหน้าเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังเสียน้ำตา คำพูดของน้องตัวเองนี่เจ็บสัตว์
“รับปากไม่ได้วะ” วันนี้ที่ทำลงไปยังเป็นเพราะอารมณ์ช่วงวูบเลย บางที...เราก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ทุกสถานการณ์
“จนปัญญากับพี่เลยวะ โรคจิตอ๋อ หาเรื่องให้ตัวเองเจ็บทั้งกายและใจแบบนี้อะ” ไม้เดินหัวเสียไปนั่งที่เก้าอี้คอมพ์
“คงงั้น”
“หงุดหงิดกับพี่วะ ไปซ้อมแบดนะ” ไม้กระแทกเก้าอี้เสียงดัง คือหงุดหงิดกูก็ไม่ควรทำกับเก้าอี้กูแบบนั้นอะน้องรัก
ผมเลือกจะนอนลงบนที่นอนอีกครั้ง น้ำตาก็ยังซึมออกมาเรื่อยๆ โทษไอ้ไม้เลย พยายามไม่คิดมาก พยายามไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป เสือกมาพูดแทงใจดำแบบนี้มันก็ต้องเป๋กันบ้างปะละ แล้วผมเองก็เหนื่อยกับการที่ต้องเก็บกดความรู้สึก ในเมื่อมันไหลออกมาแล้ว ก็ปล่อยให้มันไหลไปเรื่อยๆ นั่นแหละ เผื่อว่าบางที...มันอาจจะเป็นผลดีกับผมก็ได้นะ มันอาจจะสบายใจขึ้น อาจจะหาทางออกให้กับความรู้สึกของตัวเองได้ก็ได้
หลังจากร้องไห้เป็นไอขี้แยจนพอใจ ผมก็ตัดสินใจโทรหาไอ้ฝุ่น เพื่อนคนนี้อยู่หอนอก ไม่มีรูมเมต ผมจะไปค้างกับมันสักระยะหนึ่งเพื่อให้แผลมันหายก่อน แต่ก็ไม่ลืมบอกแม่ว่าจะไปค้างกับเพื่อนนะ มีโครงงานต้องทำอะไรก็ว่าไป ส่วนเจ้าไม้ แค่บอกมันคำเดียวสั้นๆ มันก็เข้าใจดี มันปล่อยผมไปแต่ก็ไม่ลืมย้ำว่าให้ผมไปดูมันแข่งแบดมินตันด้วย
(เออพี่ ผมขอโทษที่พูดจาแบบนั้นใส่พี่นะ) ก่อนวางสาย เจ้าไม้บอกกับผมเสียงค่อย ถึงไม่ได้เห็นหน้าก็รู้ว่ามันรู้สึกผิด ผมไม่โกรธน้องหรอก...ผมทำตัวเองทั้งนั้น ถ้าคนอื่นจะต่อว่าผมบ้าง จะพูดจาจี้ใจดำผมบ้าง มันก็ไม่ผิดอะไร
ผมใส่เสื้อมีฮู้ดแขนยาวสีดำ และกางเกงยีนส์ขายาว สะพายเป้ที่อัดแน่นไปด้วยชุดนักศึกษาสามชุดและอุปกรณ์การเรียนอื่นๆ อีกเล็กน้อย ไม่อยากไปนอนบ้านเพื่อนหรอก ผมเป็นคนติดบ้าน...ไม่สิ ผมติดแม่ต่างหาก แต่นี่มันจำเป็นจริงๆ ก็เลยต้องทำแบบนี้
ดิวยืนอยู่หน้าบ้านคนเดียว มันมองมาทางบ้านของผม ไม่มีรถของโอมหรือร่องรอยของโอม ผมก็ช้ำหนักไปอะนะ เลยไม่ได้มานั่งสนใจจะมองไปที่ห้องฝั่งตรงกันข้าม ผมทำเป็นไม่เห็นดิว ล็อกบ้านให้เรียบร้อยเพราะแม่กับน้องจะกลับค่ำหน่อยวันนี้ อ่อ...อีกเรื่องที่น่าอิจฉาคือแม่จะไปรับเจ้าไม้ไปดินเนอร์กันสองต่อสอง เสียใจอะ หน้าผมก็ช้ำถึงไม่มากแต่แม่รู้แน่ ผมต้องตัดใจเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายละนะ
“นั่นมึงจะไปไหน...” ดิวตะโกนถาม ผมหันไปมองหน้า...สีหน้ามันดีขึ้นเยอะ ไม่มีคราบน้ำตา ไม่มีร่องรอยของอาการป่วย สงสัยจะได้ยาดี น่าอิจฉามันจังเนอะ
“กูถามเนี่ยได้ยินไหม!” เพราะผมไม่ตอบ มันก็เลยตะโกนถามมาอีก
“ไอ้ต้นอย่าทำเป็นเมินกูนะ...” ผมไม่สนใจจะตอบคำถาม ไม่สนแม้กระทั่งจะหันไปมองหน้าของดิวอีก
ผมสาวเท้าออกจากหมู่บ้าน ดิวเดินมาที่รั้วประตูเพื่อจะเรียกแต่ผมก็ไม่หันไป มีความสุขดีแล้ว ก็อย่ามาเยาะเย้ยคนที่เกือบซวยอย่างผมเลย เจ็บตัวผมทนได้ แต่ถ้าแม่รู้แล้วเสียใจนี่ผมทนไม่ได้จริงๆ
ไม่นานเสียงร้องเรียกของดิวก็เงียบไป ผมเอาหูฟังขึ้นมาเสียบแล้วก็เดินฟังเพลงไปเรื่อยระหว่างเดินทาง ตอนแรกจะขึ้นรถเมล์นะ แต่ไปๆ มาๆ แท็กซี่เหอะ...ระบมอะ ต้องขึ้นไปเบียดเสียดกับผู้คนผมไม่โอเคจริงๆ ใช้เวลาฝ่าดงรถติดเกือบสองชั่วโมง ค่าแท็กซี่ทำเอาผมหน้าซีดไปเหมือนกัน เสียดายตังวะ คิดไปคิดมา นั่งรถเมล์แต่แรกก็ไม่เปลืองขนาดนี้แล้วเนี่ย
ไอ้ฝุ่นมันอยู่หอนอกแต่ใกล้มหาลัยมาก ถ้าพักกับมันที่นี่ ตอนเช้าก็แค่เดินไปไม่ถึงสิบนาทีก็เข้าเขตมหาลัย ทีนี้เราสามารถหารถกอล์ฟในการนั่งไปยังคณะตัวเองได้ง่ายดาย โคตรสะดวกสบายจน่าอิจฉา แต่อยู่นี่ก็แลกกับการหาข้าวกินเองอะนะ ซึ่งผมไม่โอเคเท่าไหร่
“เฮ้ย ไปยำกับใครมาวะเนี่ย” นั่นเป็นคำทักทายของฝุ่น ผมยิ้มแหย
“ขอเข้าห้องหน่อยดิ” ยืนขวางอยู่ได้ กระเป๋ากูหนักมากอะเพื่อน
“เออๆ เข้ามา เดี๋ยวไอ้พิกมันจะมาด้วย...มันมาชวนดื่ม” นั่นไง รวมตัวกันไม่เล่นเกมก็กินเหล้า
แต่เวลานี้...สักหน่อยก็ดีนะ
“มึงไปทะเลาะกับใครมาหรอวะ นี่ที่มาค้างกับกูเพราะกลัวแม่มึงรู้ใช่ปะ”
“อืม เจอคนปากหมาน่ะ ก็เลยกัดกันนิดหน่อย”
“เดี๋ยว...มีใครปากหมากว่ามึงด้วยเหรอวะ?” อ่าว พูดแบบนี้อยากโดนเหรอเพื่อน
“กินตีนกูไหม...”
“ไม่ดีกว่า เห่อๆ” ฝุ่นอัญเชิญให้ผมเอาของไปเก็บให้เข้าที่เข้าทาง ห้องมันไม่กว้างมากเพราะงั้นอย่าทำรก ไอ้ห่า รกเพราะมึงนั่นแหละ ไม่ใช่เพราะกูเลย นี่ผมเพิ่งจะเข้าห้องมันมาก็นึกว่าห้องนี้เป็นห้องเก็บขยะแล้วซะอีก
ผมเอาชุดนักศึกษาไปใส่ไม้แขวนๆ ไว้ในตู้ให้เรียบร้อย จะอยู่สภาพไหนได้หมด แต่ชุดไปเรียนต้องเนี้ยบเป็นคอนเซ็ปของผม ฝุ่นเองมันก็ดีอย่างที่เก็บชุดนักเรียนเอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย ตู้เสื้อไม่เหม็นอับถือว่าใช้ได้สำหรับชายโสดที่อยู่คนเดียว ไอ้ผมกับไม้นี่ไม่นับ สภาพห้องดีและทุกอย่างดูสะอาดเนี้ยบเพราะแม่ล้วนๆ ถึงจะทำกันเอง แต่ที่ทำก็ไม่อยากให้แม่เหนื่อยทำให้เราไง
พอจัดทุกอย่างเสร็จสรรพ ไอ้พิก หมูอ้วนก็มาถึง มีมาม่าหลายห่อและเหล้าอีกชุดใหญ่ จัดเต็มมากเพื่อน ผมนั่งบนเตียง มองดูเพื่อนๆ จัดวงเหล้ากันอย่างสบายใจเฉิบ โดยอ้างว่ากูคนเจ็บนา...แค่นี้เราก็ได้สิทธิพิเศษเกินพวกมันแล้วล่ะครับ
แน่นอนว่าไอ้พิกก็ต้องถามเรื่องร่องรอยบนร่างกายของผมเหมือนที่ฝุ่นถาม ผมบอกกับมันเหมือนที่บอกกับฝุ่นเป๊ะ ได้ไม่ได้ความจำดีอะไร มันเพิ่งพูดไปไม่นานเลยยังจำได้อยู่ วงเหล้าเล็กๆ เริ่มขึ้น
นักร้องจำเป็นเกิดขึ้นเมื่อเหล้าเข้าปาก สามคนแย่งกันร้องอย่างกับกลัวว่าเราจะไม่ได้ร้องเพลงกันอีกแล้วชีวิตนี้ ดีนะที่มันเป็นหอนอก กฎระเบียบมันไม่ได้เยอะเท่าไหร่ก็เลยพอจะเสียงดังกันได้บ้าง ไม่งั้นคงโดนตะเพิดออกจากห้องแน่นอน ผมเน้นหนักไปทางเพลงรักช้ำๆ ไอ้ขี้เมาอีกสองตัวก็ร่วมร้องอย่างเข้าถึงอารมณ์ ทั้งที่พวกมันก็แค่เมา ผมเองไม่ต่างกัน ร้องไปร้องมาเหมือนจะร้องไห้เสียอย่างนั้น
ผมรีบดื่มเหล้าให้ตัวเองไม่มีสติอีก กระดกรัวๆ จนเพื่อนห้ามกันไม่ไหว สุดท้ายมันก็ปล่อยให้ผมเมาเป็นหมา นอนกองอยู่ข้างเตียง ภาพตอนนี้หมุนติ้วไปหมด โลกหมุนเร็วมากจนน่าเวียนหัว อยากจะอาเจียนแต่ก็ไม่อยากจะลุก ปล่อยไปสักพักเดี๋ยวมันก็หลับเอง...
ดิวก้มมองนาฬิกาข้อมือสลับกับถนนและบ้านฝั่งตรงข้าม เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ยังวนเวียนอยู่ในใจของเขาไม่ยอมหายไปไหน ถึงเขากับโอมจะเคลียปัญหากันแล้ว ทั้งคู่กลับมาคืนดีกันเพราะต้นเป็นคนทำ ดิวไม่คิดว่าคำพูดที่ประชดประชันอีกฝ่ายออกไป จะทำให้ไอ้คนปากหมาพรรณ์นั้นยอมทำแบบนี้ได้ ภาพที่ต้นโดนทำร้ายยังฉายซ้ำๆ อยู่ในหัว
ตอนนั้นดิวกลัวมาก....มีคำถามเกิดขึ้นว่าจะเลือกอะไร ระหว่างรุ่นพี่บ้านตรงข้ามกับคนที่เขารัก สุดท้ายดิวก็เลือกโอม ผู้ชายคนนี้เข้ามาเยียวยาจิตใจของดิวได้ หลังจากที่เป๋เพราะโดนแฟนเก่าทิ้งมา โอมเป็นผู้ชายปากหวาน เอาใจเก่ง ถึงจะมีลับลมคมในบ้าง แต่ดิวก็เข้าใจดี ผู้ชายมักเป็นแบบนี้ มีโลกส่วนตัวของตัวเอง ที่ไม่ยอมให้ใครแม้กระทั่งแฟนได้เข้าไป
ดิวพยายามบอกกับตัวเองว่าเขาไม่ผิดที่เลือกแฟนมาก่อน โอมคือคนที่จะเคียงข้างเขาไม่ใช่ไอ้ผู้ชายปากหมาชอบแกล้งกันคนนั้น หนำซ้ำต้นยังเป็นคนที่ทำให้เขาทะเลาะกับแฟนจนเลิกกันอีก การที่ต้นเลือกรับผิดชอบด้วยวิธีนี้ก็เป็นเพราะต้นเลือกเอง เขาไม่ได้บังคับให้ต้นทำ เพราะงั้นก็ไม่ต้องไปรู้สึกอะไรมากมาย เขาต้องหวานชื่นกับแฟนเขา มีความสุขที่โอมกลับมาน่ะถูกต้องแล้ว
แต่ทั้งที่สะกดจิตตัวเองแบบนี้มาทั้งวัน มัวเมากับการร่วมรักกับโอมจนกระทั่งโอมกลับไป แต่ดิวก็ไม่สามารถลบรอยยิ้มหยันและภาพที่ต้นโดนทำร้ายออกไปไม่ได้ มันรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ทำยังไงก็ไม่หายไป
แล้วพอจะออกมาพูดด้วย ต้นกลับเดินหนีไปไม่ฟังเขาเลย.... ดิวบอกกับตัวเองว่าก็ช่างหัวมันสิ มันไม่อยากคุยกับเขาแล้วยังไง ไม่เห็นต้องแคร์เลยคนหัวดื้อแบบนั้น คนที่ไม่เคยจะพูดดีด้วยได้เลย
ทว่าเขาก็ยังรออีกฝ่ายกลับมา...
รถเก๋งญี่ปุ่นคันไม่เก่าไม่ใหม่เคลื่อนตัวช้าๆ เข้ามา ดิวยืนจากที่ม้านั่งหน้าบ้านอันเงียบเหงา เขาว่าต้นต้องกลับมาแล้วแน่ๆ ก็เลยพาตัวเองมาที่ประตูรั้วเพื่อจะพูดกับคนปากเสียคนนั้น จนรถเข้าไปจอดด้านใน มีแค่สองคนที่ลงมาจากรถ ดิวไม่เห็นเงาอีกคนที่เขารอ...
“อ่าวน้องดิว ยังไม่นอนอีกเหรอจ้ะ...ออกมาทำอะไรน่ะหืม” ลีลาแม่ของต้นเอ่ยทักทายเด็กน้อย ดิวยกมือไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้า
“อ่อ...ผมยังไม่ง่วงครับน้า”
“งั้นเข้ามากินขนมด้วยกันไหมจ้ะ น้ามีขนมติดมาด้วยนะ” ลีลาพยักเพยิดให้ไม้เอาขนมมาให้น้อง
“ไม่ดีกว่าครับ เอ่อ...พี่ต้นละฮะ” ดิวทำใจกล้าถามออกไป
“ต้นเหรอ ต้นไปนอนบ้านเพื่อนลูก...คงไม่กลับอีกหลายวันเลย” ดิวพยักหน้าเข้าใจ ต้นคงหนีหน้าเขา...คงไม่อยากเจอหน้าเขา แล้วไง เขาก็ไม่อยากเจอต้นเหมือนกัน
ลีลาเดินเข้าบ้านหลังบอกฝันดีดิว แต่ไม้ยังไม่ยอมเดินกลับเข้าไป เพราะดิวยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มมองผู้เป็นแม่ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนตัวเองที่หน้าบ้าน ในมือถือขนมมาด้วยเพราะตั้งใจจะเอามาให้อยู่แล้ว อีกอย่าง ไม้คิดว่าที่ดิวมายืนอยู่ตรงนี้น่าจะมีเหตุผลอะไรสักอย่าง อาจจะมาส่งแฟนแล้วยังไม่เข้าบ้าน หรือไม่..ก็อาจจะรอพี่ชายเขาอยู่ เพราะเมื่อกี้ดิวก็ถามหาพี่ของเขา
“อะ เอาไปเหอะ แม่เรากับเราตั้งใจเอามาให้นะ” ดิวรับไปแต่เหมือนไม่มีสติอยู่กับตัว
“ขอบคุณนะ”
“อืม ไม่เป็นไร คืนดีกันแฟนแล้ว...ดีใจด้วยนะ” ทำไมดิวรู้สึกว่าไม้กำลังพูดจากระทบเขายังไงไม่รู้
“ไอ้ต้นมันโกรธเราใช่ไหม...” ดิวตัดสินใจถาม ยังไงเสียก็เพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ เล่นกันมาตั้งแต่เล็กจนโต ถึงแม้พอเข้ามอปลายจะเริ่มห่างกันบ้างก็ตาม อันที่จริงดิวรู้ว่าทำไมระหว่างเขากับไม้ถึงห่างกัน มันเป็นเพราะเพื่อนเราคนละกลุ่ม และเพื่อนเราเข้ากันไม่ได้
“พี่ต้นไม่โกรธดิวหรอก พี่ไม่เคยโกรธดิวเลย...” ไม้นึกเสียใจขึ้นมาหน่อยๆ เขาเองก็ไม่อยากให้พี่ตัวเองต้องเจ็บตัวแบบนั้น แต่นั่นก็เรื่องของพี่ ที่เขายุ่งมากเกินไปไม่ได้ ทำได้แค่พูดเตือนด้วยความเป็นห่วง
“ไม่จริงหรอก มันหนีไปอยู่ที่อื่นเพราะมันโกรธเรา” ดิวว่าเสียงเยาะ นั่นทำให้ไม้ไม่พอใจนิดหน่อย ก็อีกฝ่ายเป็นพี่ชายตัวเอง
“พี่ต้นไปเพราะไม่อยากให้แม่เห็นว่าตัวเองมีรอยฟกช้ำ กลัวแม่เสียใจก็เลยไปอยู่ที่อื่น แล้วเราก็ไม่ได้โกหก...พี่ต้นไม่เคยโกรธดิว” ไม้อยากบอกว่าคนที่โกรธดิวจริงๆ คือตัวเขาเอง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดให้เกิดความบาดหมาง
“อืม...” ดิวไม่รู้จะพูดอะไร ไม่เข้าใจด้วยทำไมไม่โกรธ ก็ดูมึนตึงใส่แบบนั้นน่าจะโกรธกันมากนี่นา
“บางที...ต่อให้ดิวเอามีดแทงพี่ชายเรา พี่เราก็คงไม่โกรธดิวเลย” ไม้พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวสิไม้ หมายความยังไง” ดิวเรียกอีกฝ่ายที่ทิ้งความคาใจเอาไว้ ไม้แค่หันมายิ้ม แล้วเข้าบ้านไป ปล่อยให้ดิวยืนงงกับคำพูด เขาไม่เข้าใจ...เอามีดไปแทงต้นไม่โกรธจริงเหรอ บ้าเหอะ...มันไม่โกรธแต่มันฆ่ากลับเลยละสิ
.....100%....
เราว่าครอบครัวแบบต้นเป็นครองครัวที่น่าอิจฉานะ ถึงไม่สมบูรณ์มีครบทั้งพ่อแม่ แต่ก็อบอุ่นและรักกันดี ถ้าเราเป็นดิว เราคงอิจฉาไม้เพืาอนตัวเองมากๆ เลย
