>>ตอนที่ 14 [100%]<<
“หมายความว่าไง...”
“คืองี้พี่ วันนี้ไปเล่นน้ำกันใช่ปะ แล้วมันมีช่วงหนึ่งที่พี่ชินแกไปคุยโทรศัพท์กับเพื่อนในห้องน้ำ ดิวมันเล่นน้ำอยู่แต่ผมอะไปเข้าห้องน้ำก่อนพอดี ก็เลยได้ยินที่เขาคุยกับเพื่อนเขา เขาบอกว่ากับเพื่อนเขาว่าเตรียมตัวจ่ายให้กูได้เลย ไม่เกินคืนนี้กูได้ฟันน้องดิวแน่” ได้ฟังแล้วผมถึงกับสั่น แม่ง...แต่ละคนที่เข้ามาคบ เหี้ยๆ อย่างนี้ทุกคนสิหน่า
“ผมจะบอกพี่แล้วแต่แบตมือถือผมหมด ไอ้จะบอกดิวก็...นั่นแฟนมันนี่พี่ บอกไปก็เท่านั้น ผมก็เลยพยายามอยู่เป็นก้างให้นานที่สุด”
“แล้วไง...”
“ไม่น่าสำเร็จ ดิวพาพี่ชินเข้าบ้านไปแล้ว” ไม้พยักเพยิดไปทางบ้านตรงข้าม ทั้งบ้านปิดไฟหมดยกเว้นห้องนอนของดิว ผมละสายตามาทันทีที่เห็นเงาตะคุ้มอยู่ตรงหน้าต่าง
“คราวหลังก็ปล่อยไปเหอะ มึงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แล้วนี่กินข้าวมาแล้วสินะ ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า แม่ก็ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่...” ผมอยากจะโทรไปหาแม่ แต่กลัวแม่ไม่ว่างก็เลยไม่อยากรบกวน
ไม้พยักหน้า แต่ก็ยังยืนมองผมนิ่งเหมือนรอดูว่าผมจะมีอาการยังไง ทว่าผมกลับเดินขึ้นห้องไม่สนใจอะไร ไม่ต้องห่วง ผมไม่เห็นเงาเขาทั้งคู่เพราะผมปิดม่านหน้าต่างเอาไว้ ต่อให้ไอ้ชินมันเลว มันมาหลอกดิว ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ดิวกับมันคบกัน คนเป็นแฟนกันจะมีอะไรกันมันก็เรื่องปกติ อ้าปากพูดไปก็เหมือนสือกเรื่องของคนอื่นเขา ดีไม่ดีจะมีปัญหาเหมือนเรื่องไอ้โอมอีก
เรื่องที่โดนโอมกระทืบ หากแม่รู้แม่ต้องช้ำใจมาก คำพูดแม่วันนั้นยังก้องหัวผมอยู่เลย...ผมเป็นสิ่งสำคัญของแม่ ผมต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ แต่ผมดันเอาตัวเองไปเจ็บเพราะช่วยให้ดิวได้คนรักกลับมา น่าตลกแต่แม่งก็ขำไม่ออก
ผมนัดฝุ่นกับพิกมาเล่นเกมด้วยกันคืนนี้ เพื่อดึงสมาธิตัวเองให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ใช่ห้องฝั่งตรงข้าม ตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้ว ชินคงไม่กลับบ้านมันแต่ค้างบ้านดิวแน่นอน บ้านนั้นก็มีแค่ดิวคนเดียว ไม่มีอะไรมาขัดขวางความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพวกเขา...
“แม่...กลับมาเมื่อไหร่เนี่ย” ตอนเช้าผมลงมาเจอแม่กำลังยกอาหารมาเรียงที่โต๊ะ ด้วยความคิดถึง ผมเข้าไปกอดและหอมแก้มแม่ทันที
“เป็นลูกแหง่จริงๆ แม่กลับมาเมื่อคืน ดึกไปหน่อยเพราะเดินทางไกล”
“แล้วงานเป็นไงบ้าง”
“เรียบร้อยดี จริงๆ แม่ว่าจะค้างที่นู้นเหมือนกัน แต่ห่วงเด็กน้อยบ้านนี้ไม่มีใครดูแลเรื่องอาหารการกิน” แม่ทำสายตาเย้าแหย่ ผมก็เลยได้แต่ยิ้มเขิน
“ต้นทำเองไม่อร่อยเหมือนแม่ทำเลย นึกว่าวันนี้ต้องกินฝีมือตัวเองอีกซะแล้ว” กอดให้แน่น อ้อนให้มาก...คนนี้เป็นคนเดียวที่ผมอ้อนได้นี่นะ
“แม่.....” เจ้าไม้เพิ่งลงมา มันวิ่งโล่พร้อมเรียกแม่เสียงดังโอเวอร์มาแต่ไกล มาถึงก็ผลักผมออก สวมกอดแม่แทนผมซะอย่างนั้น ไอ้น้องเลว แย่งกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวตบหัวทิ่มเลยไอ้นี่
“ฮ่าๆ แม่ไปทำงานแค่นี้เอง ทำอย่างกับไม่เจอแม่เป็นปี ติดแม่เกินไปแล้วนะพวกเราน่ะ แบบนี้จะเป็นฝั่งเป็นฝาได้ไหม”
“ไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร อยู่กันแบบนี้ไปจนตายนั่นแหละ” เจ้าไม้พูดก่อนจะหอมแก้มแม่แรงๆ แก้มแม่ช้ำหมดแล้วเฮ้ย!
“แน่ใจ? เดี๋ยวแม่จะรอดูตอนเรามีแฟน...” แม่พูดแบบนี้แสดงว่าแม่คิดว่าพวกเราทั้งคู่จะรักแฟนมากกว่าแม่ละสิ หึหึ ไม่มีทาง
“คงยังไม่มีง่ายๆ หรอก ทั้งผมทั้งพี่นั่นแหละ” ไม้กันมามอง ผมไหวไหล่เบาๆ
เรายังคงพูดคุยกันเรื่องที่แม่ทำงานมาเมื่อวาน ขณะเดียวกันก็กินมื้อเช้าไปพร้อมกันด้วย บ้านเราอาจกินช้า แต่มันแลกมาด้วยความสุขที่ได้รับ วันนี้แม่ไม่ได้ให้ไปชวนดิวมากินข้าวด้วย ไม่รู้ว่าทำไมผมไม่ได้ถาม กินเสร็จแม่อาสาไปส่งเราสองคนที่โรงเรียนและมหาลัย จากนั้นแม่งถึงได้แยกไปทำงานของตัวเอง
เรื่องเรียนของผมก็ดำเนินไปปกติ เรียนบ้างเล่นบ้าง แค่เอาตัวรอดไปแต่ละวิชาเท่านั้น มีคลาสหนึ่งวันนี้ เรียนไปแอบเล่นไปด้วย โอ้โหโคตรใจกล้า ผมชมตัวเองขำๆ ขณะที่กดท่าไม้ตายใส่ป้อมศรัตรู เราเกือบรอดแล้วนะ แต่ไอ้พิกแม่งดันดีใจเสียดังไปหน่อย อาจารย์เลยจับได้ นี้เป็นไง โดนด่าไปตามระเบียบน่ะสิครับ โถ่ๆ...ไอ้หมูเอ้ย!
พอไม่มีเรื่องดิว ชีวิตผมก็เป็นแบบนี้ วนไปเป็นสูตรตายตัว เรียนเสร็จก็เรียนเสริม จบเรียนเสริมก็ไปทำงานที่ร้านอาหารแม่ ปิดร้านนู้นสามสี่ทุ่มถึงได้กลับบ้านอาบน้ำแล้วนอน วันไหนงานเยอะหน่อย ผมก็นั่งทำมันในร้านของแม่ไปเลย คนยุ่งๆ ถึงได้วางงานตรงนี้แล้วไปช่วย
“พี่ต้น...” ผมเงยหน้าจากกองรายงานมองหน้าน้อง วันนี้ผมมีรายงานประมาณหนึ่งไม่มาก นั่งทำมันในร้าน แม่ที่แสนดีก็มีขนมมาให้ลูกกินเล่นระหว่างเขียนงานไปด้วย แต่ตอนนี้สิ เจ้าไม้มันทำหน้าห่อเหี่ยว นั่งตรงข้ามผมก่อนจะเอากระเป๋าตัวเองวางทับงานของผมเสียหมด
“อะไรของมึงไม้...”
“ไอ้พี่ชินมันทิ้งดิวแล้วพี่ มันบอกเลิกดิวต่อหน้าเพื่อนมันด้วย...” จากที่หงุดหงิดน้อง ตอนนี้ผมหยุดทุกอย่างมองหน้ามัน
“เล่าดิ”
“มัน...มันบอกกับดิวว่าที่มันคบกับดิวเพราะพนันกับเพื่อนเอาไว้ มันเอารูปถ่ายดิวนอนเปลือยให้เพื่อนมันดู ทุกคนหัวเราะเยาะ...แล้วทุกคนก็ยื่นเงินเดิมพันให้ไอ้ชินต่อหน้าต่อตาดิว ผมเห็นผมก็เข้าไปช่วย แต่ดิวมันผลักผมแล้วหนีไป ดิวไม่เข้าเรียนอีกเลย...ติดต่อไม่ได้” ไม้เล่าเหมือนจะร้องไห้ มันไม่สามารถช่วยเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ เอาไว้ได้
“ใจเย็นๆ...ไม่เป็นไรเว้ยไม่เป็นไร” ก่อนจะได้ปลอบใจตัวเอง ผมต้องปลอบไอ้ไม้ก่อน
“ทั้งที่ผมรู้อยู่แล้วว่ามันพนันกับเพื่อน แต่ผมไม่ยอมบอกดิว...”
“พูดเองหนิว่าบอกไปตอนนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไม้ มึงต้องอย่าคิดมาก...”
“แต่ผมสงสารดิว มันร้องไห้...มันร้องไห้นหนักมากเลยพี่” ผมนึกภาพนั้นออก ผมเคยเห็นมามาก่อนก็เลยรู้ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน
“เดี๋ยวพี่ไปหามันเอง” เราสองพี่น้องมองหน้ากัน ผมตัดใจจากดิวอยู่ แต่พอรู้แบบนี้ผมก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้อยู่ดี
ไม้เองก็รู้สึกผิดที่ตัวเองรู้เรื่องแต่ไม่ยอมบอกเพื่อน ผมเข้าใจความรู้สึกตอนนั้น จะไปบอกก็กลัวว่าจะเป็นสาเหตุให้พวกนั้นทะเลาะกัน เกิดชินมันอ้างแล้วดิวเชื่อ ไม้ก็จะกลายสภาพเหมือนผม คือต้นเหตุที่ทำให้ทั้งคู่มีปัญหากัน เรื่องของคนสองคนมันเป็นเรื่องเปราะบางมากๆ คนนอกยุ่งไปก็มีแต่เสี่ยงกับเสี่ยง
ผมลุกขึ้น เอากระเป๋าสตางค์และมือถือติดมือมา สั่งไม้ให้บอกแม่แล้วก็บอกไปเลยว่าผมไปไหน ความจริงเป็นยังไงให้แม่รู้ไปเถอะ ดีไม่ดี ถ้าดิวมันรู้สึกแย่มากเกินไป แม่ผมจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ ไม่รู้สิ...ผมว่าการที่ผู้ใหญ่รู้เรื่องปัญหาพวกนี้เอาไว้บ้างมันก็ไม่เสียหายอะไร เขาอาจช่วยเราได้มากกว่าที่เราคิดก็ได้ ไม้พยักหน้ารับรู้ สีหน้ายังคงย่ำแย่ ผมว่าตอนมันเล่าให้แม่ฟังมันต้องร้องไห้แน่นอน ไม่รู้ล่ะ...มโนไว้ก่อนว่ามันต้องอ่อนแอเหมือนพี่มันนั่นแหละ
ผมนั่งแท็กซี่กลับมาที่บ้านดิว คิดว่านี่เป็นที่ที่มันน่าจะอยู่ ผมตามชอบมันมาหลายปีก็จริงแต่ไม่เห็นมีที่ไหนที่มันชอบไปเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็ไปเที่ยวกับแฟน ซึ่งตามใจแฟนมันนั่นแหละ จะพาไปไหนดิวก็ไปกับเขาหมด ผมจ่ายค่าแท็กซี่ให้เรียบร้อยถึงได้เดินมาชะโงกหน้ามองเข้าไปที่บ้าน กุซแจสำรองดิวไม่ได้อยู่ที่ตัวผมวันนี้ ดูก่อนว่ามันอยู่บ้านไหม ถ้าไม่อยู่ผมจะได้เข้าบ้านไปเอากุญแจรถเก๋งแทน
รองเท้านักเรียนมันอยู่ ถอดทิ้งไว้เละเทะ แสดงว่ามันกลับมาที่บ้านละมั้ง ผมขี้เกียจกลับบ้านไปเอากุญแจสำรองก็เลยปีนเข้าบ้านมันทั้งแบบนี้ ประตูหน้าไม่ได้ล็อก นี่ไม่กลัวขโมยขโจรเลยหรือไง ผมสลักความหงุดหงิดนั้นออก รีบขึ้นไปที่ชั้นสอง หวังว่าดิวจะอยู่แล้วก็ไม่ได้กำลังทำร้ายตัวเอง
“ดิว...” ผมเปิดประตูพร้อมเรียกเจ้าของห้อง แต่ไม่เห็นแม้เงาของมัน
เสื้อผ้านักเรียนถูกถอดทิ้งเอาไว้ ประตูตู้เสื้อผ้าเปิดอ้าซ่า เหมือนรีบเข้ามาเปลี่ยนชุดแล้วก็ออกไปเลย แล้วมันไปไหนล่ะ...เวลาอย่างนี้ดิวะไปที่ไหน ผมลองโทรไปหาไม้ ลองถามมันดูว่ามีที่ไหนที่ดิวจะไปได้ไหม
(ผมไม่รู้เลยพี่ ไม่สนิทกับมันแบบนั้น)
“งั้นมีคนที่รู้ไหม อย่างเพื่อนมัน”
(เพื่อนมันเหรอ...ผม...) ไม้ลังเล ผมรู้ว่าไม้ไม่ค่อยชอบเพื่อนดิว
“อย่ามาอึกอักสิวะ ไม่ต้องไปสนใจหรอกถามว่าดิวอยู่ไหนให้ได้ก็พอ หรือมึงไม่ห่วงดิว”
“(ต้นนี่แม่นะ...) อ่าว ไอ้น้องเวร คุยต่อไม่ออกก็ส่งมือถือให้แม่เลยเนี่ยนะ
“ครับแม่”
(ต้นอะต้องใจเย็นๆ ก่อนนะลูก น้องดิวอาจไม่เป็นอะไรก็ได้ รอดูก่อนว่าน้องจะกลับมาตอนไหน ส่วนทางนี้เดี๋ยวแม่ให้ไม้ลองถามเพื่อนๆ ดูว่ามีใครรู้ที่ที่ดิวชอบไปบ้าง ต้นอย่าวู่วามนะลูก...) อ่า...ผมไม่ได้วู่วาม แต่ผมใจร้อน
“ก็ได้ครับแม่ ต้นรออยู่นี่แหละ”
(ดี งั้นแค่นี้นะ มีอะไรเดี๋ยวให้น้องโทรไป)
“ครับ” ผมวางสาย เดินออกมาจากบ้านของดิว เจ้าตัวรีบออกไปไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ แม่งรีบจนประตูบ้านก็ไม่ล็อกไว้
ไม่รักไม่หวงบ้านก็พอเข้าใจ บ้านหลังนี้มีแค่มันเท่านั้นที่อยู่คนเดียว แต่มันไม่น่าจะรีบแบบนั้น ผมเดินกลับบ้านตัวเองทั้งที่ไม่ได้สบายใจจะจากไป แต่ให้นั่งรอมันในบ้านมันเองก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก
ระหว่างนั่งรออยู่ม้าหินหน้าบ้าน ผมก็คุยกับไม้ไปด้วยว่าได้ข่าวอะไรมาบ้าง ตอนนี้ดิวไปไหนแล้วติดต่อเพื่อนดิวได้บ้างไหม ไม้บอกว่าเพื่อนดิวยังไม่ตอบเขามาเลยสักคนเดียว แต่มีคนหนึ่งเช็กอินย่านสถานบันเทิงเมื่อไม่นานนี้ บอกว่า...ดื่มย้อมใจ อ่า...ผมละอยากได้แผนที่จริงๆ จะตามไปดูเดี๋ยวนี้แหละ นี่ยังไม่มืดเลยด้วยซ้ำ ไปกันตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดแบบนี้เนี่ยนะ...
การรอคอยจัดเป็นความทรมานในรูปแบบหนึ่ง ผมกล่อมตัวเองว่าดิวไม่เป็นอะไร มันช้ำใจหนักแต่ก็มีเพื่อนพามันไปเที่ยว คอยอยู่ข้างๆ มันไม่น่าทำร้ายตัวเองเหมือนครั้งก่อน แต่เฮ้ย...ล็อกอินย่านสถานบังเทิงเนี่ยนะ ผมจะใจเย็นกล่อมตัวเองไปได้กี่น้ำกัน มันไม่ทำร้ายตัวเอง แต่มันก็ไปเที่ยวในที่ที่เด็กไม่ควรเที่ยว แล้วมันก็อาจจะกินเหล้าเมามายและโดนคนอื่นหิ้วไปเข้าโรงแรม
ทำไมมึงคิดอะไรเลวอย่างนี้วะต้น...ดิวมันต้องไม่เหลวแหลกแบบนั้นสิ มันคงแค่ดื่มย้อมใจ เดี๋ยวก็กลับมา ผมเดินเข้าบ้าน หาน้ำเย็นๆ มาดื่มดับความหัวร้อนของตัวเอง แต่ยังไม่ทันอิ่ม แม่กับไม้ก็ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน
“อ่าว ไมกลับกันมาแล้วละ” ปกติแม่มักจะกลับตอนร้านปิด
“มาอยู่เป็นเพื่อนเราไง ดิวคงไม่เป็นไร...” แม่เดินเข้ามาตบบ่าผมเบาๆ
“แต่ผมเป็นห่วงดิวอะแม่” สีหน้าไม้ยังไม่คลายความกังวล มันเองก็ห่วงดิวไม่ต่างจากผม บวกกับความรู้สึกผิด ตอนนี้ไม้น่าจะยิ่งกังวลมากกว่าใครๆ
“ไม่เป็นไรลูก...เดี๋ยวดิวก็กลับมา ไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนเถอะนะ” แม่ดันหลังไม้เบาๆ เจ้าตัวไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่แต่ก็จำใจเดินขึ้นชั้นสอง
ผมเดินออกไปนั่งม้าหินหน้าบ้านเหมือนเดิม แม่ตามมานั่งข้างๆ เท้าแขนบอบบางกับไหล่ของผม เรามองไปที่จุดเดียวกันคือบ้านฝั่งตรงข้าม ในความเงียบมีความเครียดและกดดัน ดูจากที่มันอกหักแล้วร้องไห้ฟูมฟายเหมือนจะเป็นจะตายแบบนั้น ทำให้ผมไม่มั่นใจอะไรในตัวดิวเลย ผมกลัวว่ามันจะเตลิดไปไกล โดนไอ้ชินทำเลวใส่ขนาดนั้น เป็นใครก็คงเป๋เหมือนกัน อุตส่าห์คิดว่าใจตรงกัน ได้รักกับรุ่นพี่ที่แอบรักเรามานาน ผมรู้ว่ามันคงมีความสุขกับช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ยิ่งมีความสุขมากเท่าไหร่ ความทุกข์ใจก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
“นึกว่าตัดใจได้แล้ว...” แม่พูดขึ้นมาลอยๆ
“แอบรักมันมาตั้งนาน แค่อาทิตย์เดียวคงลืมไม่ได้มั้งแม่...”
“นั่นสินะ แต่เราก็พยายามได้ดีเชียว แม่ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี อาจจะเพราะคำพูดแม่ทำให้เราเลือกหักใจ ไม่แอบรักต่อไปจะได้ไม่เจ็บปวด” ก็ใช่อะ ส่วนหนึ่งก็เพราะคำพูดแม่นั่นแหละครับ
“ก็...ต้นไม่ได้จะหักใจขาดขนาดนั้น แค่ยึดติดให้มันน้อยลง จะได้ไม่เจ็บปวดมาก ต้นไม่อยากให้แม่ทุกข์ใจเวลาต้องเห็นลูกตัวเองเสียใจ” แม่ลูบหัวผมเบาๆ รอยยิ้มเอ็นดูจางๆ ของแม่ผ่อนคลายความกังวลของผมได้มากทีเดียว
“ต้นคิดถูกแล้วล่ะ แต่เอาจริงๆ...แม่ก็อยากให้เราสมหวัง เพราะนั่นจะทำให้ลูกแม่มีความสุข แต่แม่ก็ตัดสินใจให้ไม่ได้หรอกนะว่า ระหว่างดันทุรังรักต่อไปกับตัดใจให้ขาดไปเลย อันไหนมันทรมานกว่ากัน”
“ต้นเข้าใจครับแม่” แม่โน้มหัวผมไปซบบนไหล่
ไม่ว่าไหล่ของแม่จะบอบบางแค่ไหน แต่มันก็ดูแข็งแกร่งเสมอเมื่อผมได้เอนซบมัน สำหรับผมมันเป็นเรื่องน่าทึ่ง ที่คนเป็นแม่อึดได้มากขนาดนี้ ต้องเลี้ยลูกชายสองคน ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องแบกรับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาและต้องเป็นที่พึ่งพิงให้กับลูกที่ยังไม่รู้จักโต ต่อให้ผมและน้องพยายามแบ่งเบาภาระให้แม่มากแค่ไหน ผมก็ยังรู้สึกว่าแม่ยังเหนื่อยกับภาระที่แบกอยู่บนบ่าอยู่ดี
ผมยังไม่เข้าใจความลำบากของคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่ผมก็อยากทำทุกทางเพื่อให้แม่มีความสุขที่สุด แล้วถ้าแม่อยากให้ผมหักใจจากดิว...อยากให้ผมหยุดรักที่อาจไม่สมหวังนี้ ผมก็จะทำ ไม่ง่ายนักแต่การปล่อยวางบ้างก็ช่วยได้เยอะ
“ถ้าต้นฉวยโอกาสตอนนี้...ต้นจะเลวไหมอะแม่” ผมลองถามเสียงเบา
“ก็แล้วถ้าต้นไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ ต้นจะรอจนกว่าจะหักใจได้งั้นเหรอ...ลูกแม่ไม่มีความอดทนขนาดน้นหรอก แม่รู้” อ่า...แม่อย่ารู้ทันผมสิ
“แล้วถ้าผิดหวังล่ะ”
“แม่ก็เจ็บไปกับลูก...”
.....100%.....
คือแบบ...อ่านฟีตแบ็กทีไรเราหวั่นไหวทุกที แฮ่ๆ มีหลายมุมมองเหมือนกันนะเรื่องนี้ เราชอบอ่านที่จะได้อ่านมุมองของทุกคนจังเลยค่ะ
แต่ว่า...ตอนนี้เครียดๆ คือเราไม่คุ้นเคยกับเล้าเลยน่ะค่ะ แล้วมาขอลบเรื่องโดยเรื่องของเราผ่านพิจารณาที่เว็บหนึ่ง ก็ได้ค่าตอบแทนอะเนาะ แต่ห้ามลงที่อื่น เราแจ้งลบ แต่พี่เราบอกว่าไม่ควรไปบอกเขาตรงๆ ว่าผ่านเว็บอื่น...เราใจแป้วเลย คือ...มาสเตอร์ที่นี่จะไม่แบนเราใช่ไหม กังวลมากๆ เลยตอนนี้ กลัวเขาจะไม่พอใจ...
