บทที่ 16
รอ
“ไม่ วันนี้กินข้าวไปคนเดียวเลย”ผมบอกไปอย่างไม่ใยดี เพราะยังรู้สึกหมั่นไส้ไอ้เด็กบ้านี่อยู่ อยากชอบแกล้งผมดีนัก วันนี้ก็เชิญกินข้าวไปคนเดียวเลย
“อะไรกันลุง แหย่เล่นแค่นี้ทำเป็นงอนไปได้”ยังจะมีหน้ามาพูดอีกครับ ดูเอาเถอะทำผมใจหายใจคว่ำขนาดนั้น แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธไม่ได้งอนอะไรหรอกนะครับ แค่วันนี้ผมต้องอยู่เคลียร์งานต่อเท่านั้นเอง เลยกลับตามเวลาปกติไม่ได้ แล้วก็คงหาไรกินกับพวกพี่ๆ ที่ออฟฟิศนี่แหละครับ
“แค่นี้แหละ ขอให้สนุกกับความเหงานั่งเฝ้าบ้านคนเดียวนะ”แม้จะคิดว่าเค้าเองก็คงไม่ได้เหงาอะไรขนาดนั้นหรอกมั้งครับ ปกติถ้าไม่มากวนผมที่บ้านก็เห็นเล่นเกมส์ได้แบบลืมวันเวลาโน่น แล้วกีต้าร์ที่เห็นซื้อนั่น ทั้งที่บอกจะเล่นให้ผมฟัง แต่นี่ยังไม่เคยได้ยินสักครั้งเลยครับ
“เดี๋ยวสิลุง ผมรอนะ รีบกลับด้วย”ยังไม่ทันที่ผมจะกดวางสาย เค้าก็รั้งผมไว้ ทำไมวันนี้มาแปลกจังแฮะ ทุกทีถึงแม้จะแกล้งพูดทับถมกันบ้าง แต่สุดท้ายพอบอกว่าไม่ว่างจริงๆ ก็จบนี่นา แล้ววันนี้เป็นอะไรของเค้า แถมนี่มาซะเสียงอ้อนเชียว
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอ วันนี้เลิกดึก”ผมเลิกพูดเล่น แล้วบอกไปตามตรง เพราะวันนี้ผมน่าจะเสร็จงานดึกจริงๆ วันนี้ผม พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ เจ้โอ๋ โดนอิทธิฤทธิ์ของลูกค้าเรื่องเยอะอีกแล้ว จากที่นัดส่งงานกันสัปดาห์หน้า ก็ดันเปลี่ยนใจขอร้องแกมบังคับ อีกแล้วว่าจะขอดูงานพรุ่งนี้เช้า เจ้านายพวกผมก็บ้าจี้รับปาก อีกแล้วเช่นกัน ก็ต้องลำบากมนุษย์ลูกน้องอย่างพวกผมนี่แหละครับ
“ก็บอกว่าจะรอไง รีบๆ กลับแล้วกันลุง”มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ หรือว่าแฟนเก่าเค้าติดต่อมาอีกแล้ว นี่เฮิร์ทอย่างวันนั้นอีกหรือเปล่านะ แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้ดูไม่ได้เศร้าอะไรแบบนั้นนี่นา แต่ผมก็ยังพอจับเสียงได้ว่ามันไม่ปกติสักเท่าไหร่
“งั้นถ้าเสร็จงานแล้วจะรีบกลับละกันนะ”แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจแต่ผมก็ชักอยากจะรีบกลับไปดูแล้วสิว่ามันมีอะไร หรือเค้าเป็นอะไรของเค้ากันแน่
“สัญญานะลุง ว่าจะรีบกลับ”แนะมีมาขอให้สัญญิงสัญญาอีก นี่ผมนึกย้อนไปถึงวันที่เค้าเมาแล้วให้สัญญาว่าจะยังทานข้าวด้วยกันเหมือนเดิมนั่น ทำให้ผมเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ
“อือ เสร็จงานปุ๊บจะรีบกลับเลยนะครับน้องภู่”ผมแกล้งทำเสียงเหมือนพูดกับเด็กตัวเล็กที่รอผู้ปกครองกลับบ้าน ไอ้เด็กบ้านี่บทจะกวนก็กวนจนน่าโมโห แต่พอจะอ้อนก็ทำตัวเด็กมาเชียว แต่อย่างว่าแหละครับ ความจริงเค้าก็อายุน้อยกว่าผมตั้งเกือบ 10 ปี แม้บางทีจะชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ยังไงเสียเค้าก็ยังเป็นเด็กมัธยมอยู่ดี
“ลุงสัญญาแล้วนะ”นี่น้องภู่วัย 3 ขวบครึ่งหรือไงเนี่ยทำไมวันนี้ทำเสียงอ้อนจังเลย ผมรับปากอย่างขำๆ ก่อนจะวางสายจากเค้า และนี่ผมคงเผลออมยิ้มมากเกินไป พี่ๆ ที่กำลังรอผมช่วยงานเลยหันมาจ้องผมเป็นตาเดียว ไอ้ผมก็ลืมไปว่านี่ผมคุยโทรศัพท์อยู่ในออฟฟิศ ที่ที่ซึ่งทั้งเจ้โอ๋ พี่ฟ่าง พี่ต้าร์ ยังนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานกันอยู่
“นี่คุยกับแฟนหรือคุยกับหลานคะน้องแปง มุ้งมิ้งเสียจนเจ้อยากจะเห็นหน้าคนที่คุยกับน้องแปงเลย”เจ้โอ๋เป็นคนแรกที่เปิดบทสนทนาหลังจากที่ผมลดโทรศัพท์ลงจากข้างหู
“เจ้ครับ สั้นๆ นะ อย่าเผือกเรื่องชาวบ้าน”ไม่ใช่ผมนะครับที่เป็นคนพูดคู่ปรับตลอดกาลของเจ้โอ๋ต้องยกให้พี่ต้าร์เค้าแหละครับ แล้วพอสะกิดต่อมกันนิดนึง ทั้งคู่ก็ขุดคำพูดอันไพเราะ ภาษาสัตว์ ภาษาดอกไม้ มาคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“หยุด!!!”และคนห้ามทัพก็คือพี่ฟ่างเจ้าเก่าคนเดิม
“อย่าเพิ่งเถียงกัน ขอให้งานเสร็จก่อนได้ เสร็จแล้วอยากจะตีกันก็เชิญ”คำพูดพี่ฟ่างนี่เหมือนจะมีอิทธิพลกับทุกคนครับ เพราะพวกเราอีกทั้งสามคน ต่างหมุนตัวหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ของตัวเอง จากนั้นพวกเราทั้งสี่ก็แทบจะอยู่ในโลกของใครของมัน ยกเว้นมีจุดไหนที่ต้องปรึกษาหารือกัน ค่อยละสายตาจากจอมาถาม-ตอบกันบ้าง
“เสร็จแล้ว มีส่วนของใครเหลือเยอะ อยากให้ช่วยตรงไหนไหม”พี่ฟ่างเป็นคนแรกที่ทำส่วนรับผิดชอบของตัวเองเสร็จคนแรก ผมเหลือบมองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่ม งั้นผมคงไม่ต้องให้แกช่วย เพราะของผมน่าจะใช้เวลาอีกสัก 30 นาทีก็เสร็จ เจ้โอ๋เองก็เหมือนนิ่งไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดๆ พี่ฟ่างเลยลุกเดินไปหาพี่ต้าร์ที่เป็นคนรับผิดชอบส่วนงานหลัก แล้วทุกคนก็ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
“โอเค ส่งแล้วเรียบร้อยไปหาอะไรชื่นใจๆ ฉลองกันดีกว่า”พี่ต้าร์ผู้เป็นคนอัพโหลดงานส่งเสร็จเรียบร้อย บอกกับทุกคนผมก้มดูเวลาที่หน้าจอมือถือนี่ 5 ทุ่มหน่อยๆ แล้วไม่รู้ไอ้เด็กบ้าที่บ้านนั่นจะยังรอผมอยู่ไหม แต่ดึกขนาดนี้แล้ว แถมก็ไม่เห็นจะโทรมาหรือส่งข้อความอะไรมาอีก คงหลับไปแล้วละมั้ง แต่ในใจผมกลับเหมือนหวังลึกๆ ว่าเค้าน่าจะยังรอผมอยู่
“ผมขอตัวนะครับ พอดีเหนื่อยๆ อยากพักมากกว่า”ทั้งสามคนหันมามองผมเป็นตาเดียวแทบจะทันที ที่ผมบอกออกไปแบบนั้น สีหน้าทุกคนเหมือนแบบอะไรวะไอ้เด็กน้อยนี่ต้องรีบกลับบ้านเดี๋ยวผู้ปกครองว่า อะไรแบบนี้ อย่างว่าแหละครับในที่ทำงานนี่ผมอายุน้อยสุด ทุกคนเลยมองผมเหมือนเด็กเป็นน้องเล็กของบ้าน
“น้องแปงก็ไปกินข้าวด้วยกันก่อน ไม่อยากดื่มก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้ขี้เหล้า 1 ตัว 1 คนนี่ดื่มกันไป”เจ้โอ๋ยังพยายามอยากให้ผมไปด้วย ผมก็ได้แค่ยิ้มแห้งๆ อย่างลำบากใจ คือใจหนึ่งก็เกรงใจพี่เค้านะครับ แต่อีกใจก็เหมือนกังวลกับไอ้เด็กบ้าที่ไม่ยอมออกไปจากหัวผมนี่แหละ
“เดี๋ยวๆ เจ้เรื่องแปงเอาไว้ก่อน นี่เจ้ว่าไอ้ฟ่างเป็นตัวเหรอ”พี่ต้าร์ครับผมว่าถ้าพี่อยู่เฉยๆ มันน่าจะดีกว่าให้เค้าขยี้ต่อนะครับเนี่ย และก็จริงครับ ที่ไอ้คำสรรพนาม “ตัว” นี่เจ้โอ๋แกตั้งใจว่าพี่ต้าร์นั่นแหละ แล้วสงครามน้ำลายของทั้งสองก็เริ่มต้นขึ้นอีกแล้ว
“ถ้าแปงไม่สะดวกก็ไว้คราวหน้าค่อยไปด้วยกันเนอะ ยังไงก็ขับรถกลับบ้านดีๆ ละ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”เพราะแบบนี้หรือเปล่าที่พี่ฟ่างกับพี่ต้าร์ถึงเป็นเพื่อนสนิทกันได้ ทั้งที่ผมว่าสองคนนี้นิสัยต่างกันมากเลย แต่มันกลับเหมือนว่าความต่างนั้นมาปรับสมดุลให้พอเหมาะพอดี ผมบอกลาทั้งสาม ขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูก
ทำไมผมรู้สึกลุ้นกับสิ่งที่จะพบเมื่อถึงบ้าน เค้าจะยังรอผมอยู่ไหม หรือเข้านอนไปแล้ว เค้าเป็นอะไรหรือเปล่าถึงอยากให้ผมรีบกลับ หรือเค้าจะโกรธผมไหมที่กลับดึกขนาดนี้ นี่ก็ 5 ทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะถึงบ้านก็คงเกือบๆ เที่ยงคืนพอดี ในหัวผมคิดอะไรต่างๆ นานาวนเวียนเต็มไปหมด จนผมเริ่มคิดว่านี่ผมบ้าไปแล้วหรือเปล่า แค่เด็กนี่บอกจะรอ ทำไมต้องตื่นเต้นอะไรด้วยเนี่ย
“ไอ้เด็กบ้า ไหนบอกจะรอ”ผมหุบยิ้มลงอย่างห่อเหี่ยวเมื่อกลับมาถึงและจอดรถที่หน้าบ้าน ไฟจากบ้านทั้งสองหลังมืดสนิท บ่งบอกว่าไม่มีใครทำกิจกรรมใดๆ อยู่แล้ว ถ้าไม่มีคนอยู่ก็คงหลับไปแล้ว
“แล้วจะมาให้เราสัญญาทำไม”ผมบ่นอุบอิบขณะที่เปิดรั้วบ้าน แล้วออกไปบ้านก็ไม่ล็อคให้ จากตอนแรกที่อารมณ์ดี ทำเอาผมกลายเป็นหงุดหงิดไปเสียได้ ทั้งที่ก็รู้นะครับว่าผมเองก็กลับช้า แต่เค้าเองไม่ใช่เหรอที่ว่าจะรอ ถึงขั้นให้ผมสัญญา
“ยังอยู่เหรอ”ผมพึมพำเมื่อเห็นรองเท้าของอีกคนที่วางอยู่ และประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อค พอเห็นว่ารองเท้ายังอยู่ผมก็อมยิ้มอีกครั้ง นี่ผมเป็นไบโพลาร์หรือเปล่า เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวหงุดหงิด นี่เค้ารอผมจนหลับไปหรืออะไรเนี่ย ผมเริ่มคิดอีกครั้ง แต่พอเข้าบ้านมาเปิดไฟ ภาพที่เห็นทำเอาผม มีหลายๆ ความรู้สึกที่แปลกไป
อาหารหลายอย่างบนโต๊ะถูกจัดวางอย่างดี ซึ่งดูแล้วคนทำคงตั้งใจมากๆ มันไม่เหมือนมื้อทั่วๆ ไปที่เราเคยกินกันประจำ มันบ่งบอกว่าวันนี้มันพิเศษ แต่ตอนนี้อาหารทั้งหมดคงเย็นชืดหมดแล้ว กระป๋องเบียร์เปล่าๆ น่าจะเกือบ 10 กระป๋อง วางอยู่ข้างๆ ตัวของคนที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ ถัดมาอีกนิดนึงมีเค้กก้อนพอประมาณบรรจุอยู่ในกล่อง
“แมลงภู่18+”คือข้อความที่อยู่บนหน้าเค้ก วันนี้วันเกิดเค้างั้นเหรอ แล้วทำไมไม่บอกผมตรงๆ
“ภู่ ภู่”ผมเขย่าตัวเค้าเบาๆ ไอ้เด็กน้อยเอ้ย อยากจะให้อวยพรวันเกิดก็แทนที่จะบอกดีๆ กะทำเซอร์ไพรส์หรือไง แล้วนี้วันเกิดตัวเองแท้ๆ แทนที่คนอื่นจะได้ทำเซอร์ไพรส์ให้ ดันมาทำเป็นมีลับลมคมใน
“อืม”เค้าค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ นี่คงดื่มเข้าไปเยอะแล้วสิเนี่ย แล้วนี่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุดเสียหน่อย เค้าเองก็ยังต้องไปเรียน ผมเองก็ยังต้องไปทำงาน นี่ผิดที่เค้าไม่ยอมบอกหรือผิดที่ผมกลับช้ากันเนี่ย
“ลุงงงง”เค้าเรียกเสียงดีใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นผม แล้วผมก็แทบตั้งตัวไม่ทันเมื่อเค้าลุกพรวดขึ้นมากอดผม
“ทำไมไม่บอกว่าวันนี้วันเกิด”ผมตบหลังเค้าเบาๆ แทนการกอดตอบ แต่อีกคนนี่กอดผมแน่นเสียจนเหมือนกลัวว่าผมจะหายไปอย่างนั้นแหละ
“ลุงมาช้า”เค้าทำเสียงอ้อนๆ เหมือนเด็ก แต่ทำไมเสียงเค้าดูสั่นๆ แปลกๆ
“แล้วไม่ไปฉลองวันเกิดกับเพื่อนๆ เหรอ”ความจริงวัยนี้มันก็ต้องออกไปสนุก สังสรรค์กับเพื่อนๆ นะครับเนี่ย แม้จะถามออกไปแบบนั้นแต่ผมเองก็แอบดีใจลึกๆ นะครับที่เค้าอยากฉลองกับผม ผมค่อยๆ ดันเค้าออกรู้สึกอยากเห็นหน้าของเค้าที่ตอนนี้กำลังเผยออกมาให้เห็นว่าเค้าก็ยังมีมุมเด็กๆ ตามอายุของเค้าอยู่ แต่แล้วผมก็ต้องตกใจ
“เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”นี่ไม่นึกว่าเด็กกวนๆ บุคลิคภายนอกออกจะแข็งๆ แบบเค้าจะมีน้ำตาให้ผมเห็นแบนี้ เค้าทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม ก่อนจะรั้งเอวผมเข้าไปหา เค้าเอาหน้าซุกกับพุงของผม นี่อย่าบอกนะว่าไม่อยากให้ผมเห็นเค้าร้องไห้ เพราะมันไม่น่าจะทันแล้ว
“ก็ลุงมาช้า ผมกลัวลุงไม่มา”เค้าบอกเสียงอู้อี้เพราะหน้าซุกกับพุงของผมอยู่
“เดี๋ยวนี่มันบ้านพี่ไหม ทำไมพี่จะไม่กลับมานี่”ผมงงกับตรรกะของคนตรงพุงนี่จริงๆ นี่เมาแล้วใช่ไหมถึงอ้อนแบบนี้ ครั้งก่อนที่เมาก็ออกมาแนวๆ นี้เหมือนกันเลย
“ไม่รู้ แต่ลุงมาช้าลุงผิดสัญญา”ไอ้เด็กบ้าเอ้ย บทจะงอแงเอาแต่ใจนี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะครับเนี่ย
“หยุดร้องได้แล้ว มาเป่าเค้กกันดีกว่า”เค้าค่อยๆ คลายมือที่รั้งเอวผมไว้พร้อมกับเงยหน้ามองผม
“ใครร้องไห้ ไม่มีสักหน่อย”ผมเหยียดยิ้มอย่างหมั่นไส้ ทำเป็นพูดดี น้ำตายังไม่แห้งเลยไหม ผมยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้เค้ายิ้มๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เค้ารีบถอยหนี หันไปคว้าเค้กมาแกะกล่องออกปักเทียนตัวเลข 1 กับ 8 ลงไป
“ลุงไปปิดไฟดิ ร้องเพลงเบิร์ธเดย์ผมด้วย”ดูเจ้าของวันเกิดออกคำสั่งผมครับ แต่ก็ยกให้เค้าวันนึงละกันครับ วันนี้มันวันของเค้านิครับ ห้องทั้งห้องมืดลง ก่อนเปลวไฟเล็กๆ จะสว่างขึ้น ผมเริ่มร้องเพลงตามที่เค้าขออย่างไม่ค่อยคล่องนัก ก็เขินๆ ยังไงบอกไม่ถูกแหละครับที่ต้องร้องอยู่คนเดียว
“อธิษฐานสิ”พอเพลงที่ผมร้องจบลง เค้าก็ทำท่าตั้งใจอธิษฐานก่อนจะเป่าเทียนให้ดับลง ผมกำลังจะเดินกลับไปเปิดไฟ แต่ถูกเค้าคว้าขอมือไว้
“อวยพรผมก่อนดิลุง”นั่นคือเสียงที่ผมได้ยินในความมืด ทำให้ผมต้องหยุดคิดนิดนึง
“ก็ขอให้ภู่สุขภาพร่างกายแข็งแรง คิดหวังอะไรให้สมปรารถนา ทำอะไรก็สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้”แม้จะดูเป็นคำอวยพรธรรมดาไปนิดแต่ผมก็หวังให้ชีวิตเค้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นะครับเพราะถ้าเป็นตามนั้นชีวิตเค้าก็คงมีความสุขแล้ว
“กับข้าวน่ากินทุกอย่างเลย ไหนขอชิมหน่อยสิ”ผมรีบไปเปิดไฟก่อนจะกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะ เค้ามองมาที่ผมไม่รู้ว่าตาบวมเพราะร้องไห้ หรือตาเยิ้มเพราะเมากันแน่ แต่สายตานั้นก็ทำให้ผมหัวใจเต้นขึ้นมาอีกแล้ว
“มันเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวผมไปอุ่นให้ใหม่”เค้าทำท่าจะลุกเอาอาหารไปอุ่นตามที่บอก แต่ผมห้ามไว้ก่อน แล้วผมก็ตักกินโชว์ว่ามันยังอร่อย ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว วันนี้วันเกิดเค้าแค่ปล่อยให้เค้ารอแบบนี้ก็มากพอแล้ว แค่กับข้าวเย็นๆ ไม่ทำให้รสชาติมันแย่ลงมากนักหรอก สุดท้ายเราก็จัดการอาหารบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง
“ไม่บอกก่อน พี่เลยไม่ได้เตรียมของขวัญให้เลย”ผมบอกพร้อมกับเดินมานั่งข้างเค้าที่ตอนนี้ย้ายมานั่งที่โซฟาหน้าทีวีแล้ว หลังจากที่เก็บกวาดจานข้าวแล้ว พอกลับมาก็เห็นจานเค้กที่เค้าตัดแบ่ง วางไว้รอให้ผมชิม
“ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้ฉลองกับลุงผมก็ดีใจแล้ว”นี่มันเรียกฉลองแล้วเหรอ ถ้าไม่นับว่ามีเค้กมันก็แทบไม่ต่างจากวันอื่นๆ ของเราเลย แถมวันเกิดเค้าแต่เค้ายังต้องเป็นคนทำเองทุกอย่างอีก
แม้จะไม่ค่อยชอบทานเค้กสักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเค้าตักให้แล้ว ผมก็เลยต้องชิมสักหน่อย แต่เห็นหน้าเค้กแล้วก็ตลกดีเหมือนกันนะครับ อายุครบ 18 แถมมีการใส่ 18+ อีกนี่ไม่บ่งบอกเลย ว่าเจ้าตัวเป็นคนทะลึ่ง
“กินยังไงเนี่ยลุง เค้กติดปากเลอะหมดแล้ว”ผมรีบแลบลิ้นตรงส่วนที่คิดว่าเลอะ แต่อีกคนกลับบอกว่ามันยังไม่ออก จนเค้าต้องขยับเข้ามาเอานิ้วหัวแม่มือเช็ดที่ริมฝีปากของผม ผมมองตามนิ้วของเค้าที่ถูกนำเข้าปากของตัวเค้าเอง เอาอีกแล้ว ทำไมช่วงนี้ผมใจเต้นกับเค้าบ่อยจัง และเหมือนเค้าจะรู้ตัวว่าถูกผมมองอยู่ เค้าช้อนสายตามองกลับมาที่ผม มุมปากนั่นถูกยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเค้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ผมจนสายตาเราห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย และเหมือนเค้ายังไม่ได้หยุดการเคลื่อนใบหน้ามาทางผม หัวใจผมเองก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“วันนี้ลุงมาช้า ลุงต้องถูกลงโทษ”
TBC
ลุงจะโดนทำโทษยังไงละเนี่ย