กวี# 5
ตั้งแต่คืนนั้นที่ชัยมาค้างบ้านผม ผมก็อดคิดถึงเขาไม่ได้ในทุกอากัปกิริยาของเขา รอยยิ้มของเขา คำพูดของเขา ทำไมผมต้องรู้สึกถึงความเงียบและความว่างเปล่าของห้องนอนตัวเองมากขนาดนี้
กลับกัน…… ผมมองสมาร์ทโฟนเครื่องสีทองที่วางอยู่บนโต๊ะ ที่มีตัวเลขข้อความที่ยังไม่ได้อ่านขึ้นที่แอปพริเคชั่นไลน์จำนวนหนึ่ง
นิ่มยังคงส่งไลน์มาคุยด้วยอยู่สม่ำเสมอ เพราะคงรู้ว่าโทรศัพท์มาผมก็คงไม่รับสายอยู่ดี ส่วนใหญ่จะเป็นการบ่นน้อยใจอย่างนั้นอย่างนี้ คิดถึงบ้าง อยากเจออยากคุยด้วยบ้าง รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยากปรับความเข้าใจกัน
แต่ที่แปลกคือผมกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของผมกับนิ่ม หลังจากที่ผมผ่านเหตุการณ์ทะเลาะกับนิ่มมา
ระยะนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น จนผมเกือบจะลืมเรื่องของผมกับนิ่มไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เหมือนแผลที่ค่อยๆ สมานจนหายดีจนเป็นแผลเป็น จำได้แต่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว มันทำให้ผมกลับมานั่งทบทวนว่าผมคบกับนิ่มเพราะอะไรกันแน่?
ผมพยายามเอาดินสอมานั่งเขียนความรู้สึกของตัวเองใส่กระดาษ ผมมักจะทำแบบนี้เวลาจะตัดสินใจอะไร
หัวข้อ: ทำไมถึงคบกับนิ่มเป็นแฟน
น้องน่ารัก หุ่นดี ขาว ผิวเนียน (เขียนไปเคลิ้มไป)
น้องทำให้เราหายเหงา (เพราะนิ่มทำให้ผมวุ่นวายกับตารางการเที่ยวกับน้อง)
น้อง
แล้วผมก็เขียนไม่ออกเสียอย่างนั้น ผมจรดดินสอลงบนกระดาษค้างไว้แบบนั้นจนกระดาษเริ่มเป็นรอยกดของปลายดินสอ ‘ทำไมมันน้อยจัง?’ ผมคิดในใจ
เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นโดยมีหน้าตากวนๆ ของเพื่อนต่างโรงเรียนอย่างชัยแสดงที่หน้าจอ ผมรับทันทีอย่างไม่ลังเล
“เฮ้ยกวี ถึงบ้านแล้วหรือยัง?” นั่นควรจะเป็นคำถามของผมหรือเปล่า เพราะผมบ้านอยู่ใกล้กว่าเขามากหากเริ่มจากร้านที่เราไปอ่านหนังสือกันเป็นประจำ
“ถึงได้สักพักแล้ว นายล่ะ?”
“เพิ่งถึง… แล้ว….พรุ่งนี้ยังจะไปติวให้ไอ้หลงรึเปล่า?”
“เออสิ น่าสนุกดี ไปได้”
“ก็กลัวนายจะเสียเวลาทบทวนหนังสือของตัวเอง”
“เฮ้ย… ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการทบทวนนะ”
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่เดิมนะ”
“อืม เจอกัน”
“ฝันดีนะ”
“อืม… นายเช่นกันฝันดีนะ”
เพื่งจะแยกกันไม่นาน ก็โทรมาแบบนี้อีกแล้ว ชัยเป็นคนดีจริงๆ เป็นห่วงผมเสมอเลย ผมวางสายโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม
…………………………..
การมาติวกับหลงทำให้ผมได้สัมผัสกับอีกมุมหนึ่งของชัย เวลาเขาอยู่กับหลง เขาดูเป็นธรรมชาติและสนุกสนานกว่าอยู่กับผมมาก ทำให้วันนี้ผมแทบหัวเราะไม่หยุดเลย (ผมสาบานครับว่ามาติวหนังสือกันจริงๆ) หลงก็เป็นกันเองกว่าที่คิด ตอนแรกนึกว่าจะเป็นพวกนักเลงหัวรุนแรง พวกเราหัวเราะเสียงดังกันจนโดนแม่ของหลงดุบ่อยๆ (สมเป็นอาจารย์จริงๆ พลังเสียงทำลายล้างมาก)
เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว (รู้สึกเสียดายนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้มาใหม่)
พอเดินผ่านประตูบ้านผมก็ได้รับข้อความจากป๊าว่าวันนี้จะไม่กลับบ้านไม่ต้องเป็นห่วง ติดเรื่องธุรกิจที่กรุงเทพ และแน่นอนคุณน้าที่เป็นแม่เลี้ยงของผมก็ติดตามไปด้วย ผมจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้ว ความจริงผมน่าจะชินได้แล้วแต่เพราะความรู้สึกใหม่เมื่อเร็วๆนี้ทำให้ผมเริ่มจะอยู่คนเดียวไม่ได้ (อย่างน้อยหากป๊าอยู่ เราก็จะได้คุยกันก่อนนอน)
ผมคงแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนทำให้ชัยต้องหาทางทำให้ผมสดชื่นขึ้น (โดยเอาขนมมาล่อ ซึ่งผมก็โอเคกับมัน) พวกเราตรงดิ่งมาที่ร้านประจำของผม มาเวลานี้ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนต้องเยอะคงหาที่นั่งลำบาก ผมเห็นจากที่ไกลๆ มองเข้าไปในร้านที่คราคร่ำไปด้วยคนแล้วอยากชวนชัยแยกย้ายกลับบ้าน แต่ดูชัยกระตือรือร้นในการหาที่นั่ง ผมเลยไม่ได้ทัดทานอะไร
หลังจากชัยหายเข้าไปในส่วนลึกของร้านได้สักพัก ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูจากโต๊ะทางด้านซ้าย
“กวี กวี ทางนี้”
ผมหันไปเจอพี่โน่ที่นั่งโบกมือยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันซี่หน้าทั้งหมดที่เรียงตัวสวยงาม แม้ผมจะเคยเจอเขาครั้งเดียวในที่มีแสงจำกัด (ในผับ) แต่ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นแบบนี้เลยนึกออกได้ไม่ยาก ตัวเล็ก ผิวขาวออร่าแบบนี้ หนวดเคราที่ดูไม่เข้ากับปากสีชมพูสวยๆนั่น
“สวัสดีครับพี่โน่” ผมเดินเข้าไแทักทายตามมารยาท
“รู้จักร้านนี้ด้วยเหรอ?”
“ผมมาประจำครับ แต่วันนี้คงไม่ได้นั่งแล้ว คนเยอะเลย”
“มานั่งกับพี่ได้ เพื่อนพี่กลับไปแล้ว นั่งเลย”
“เกรงใจครับ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวชัยกำลังไปหาโต๊ะอยู่”
“มากับไอ้ชัยอีกแล้ว! ถามจริง ไม่ได้เป็นอะไรกันใช่ไหม? เห็นตัวติดกันตลอด”
“เป็นเพื่อนกันครับ จะให้ผมเป็นอะไรกับมัน” ทำไมผมตอบคำถามนี้ด้วยเสียงสั่นๆ
“ไม่มีอะไร พี่จะได้มีโอกาสไง”
“…..” อยู่ๆ ผมก็พูดอะไรไม่ออก
“นั่งก่อนสิ จองไว้ เดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว”
“เอ่อ… ครับ”
ผมนั่งลงได้และสั่งขนมและเครื่องดื่มได้สักพักก็เห็นชัยเดินมามองหาผมเลิ่กลั่กอยู่หน้าเคาเตอร์สั่งอาหาร
“ชัย… ชัย… ทางนี้” พอชัยหันมาด้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีจนผมสงสัยว่าเขาไม่ถูกกับพี่โน่หรือไง ไหนเขาเคยบอกว่าสนิทกัน
สุดท้ายก็ต้องมานั่งกันอยู่สามคนที่โต๊ะแคบๆ แบบนี้ ผมเลยต้องนั่งเบียดกับชัยบนเก้าอี้ม้านั่งแบบยาวพอดีไซส์ผู้หญิงสองคน แต่คงไม่พอกับไซส์ผู้ชายตัวใหญ่แบบผมกับชัย
พี่โน่คุยเก่งมากชวนคุยไม่หยุด ขนมุกทุกอย่างออกมา ผมก็สนุกดีครับ กินขนมขนมที่สั่งมาเพลินๆ คนเดียวจนหมด ผมพยายามชวนชัยให้กินด้วยแต่ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ไม่ดีมาจากไหนไม่รู้ ไม่ยอมกินด้วยเลย ผมแอบเหลือบมองไปทางเขาตลอดการสนทนากับพี่โน่ เขาทำหน้าบึ้งเป็นระยะ เหมือนมีเรื่องเครียดอะไรอยู่
จนกระทั้งชัยดึงผมออกจากโต๊ะเพื่อให้กลับบ้าน รู้สึกเหมือนมีระฆังหมดยกช่วยชีวิต รู้สึกดีใจมากเพราะกินขนมจนหมดแล้วพี่โน่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเลย ยิ่งมารู้ว่าเขาเป็นหุ้นส่วนที่นี่ ทำให้สถานที่นี้ลดความต้องการที่จะแวะมาลงไปเยอะเลย (กลัวไม่ได้อ่านหนังสือ ทำการบ้าน กลัวความไม่เป็นส่วนตัวที่เคยมี)
เขาดึงมือผมออกจากร้าน จนเดินมาถึงนอกร้านเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือผม รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายเขาไหลผ่านเข้ามา รู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดอยู่บริเวณมือที่ใหญ่และหยาบของเขา แปลกที่ผมรู้สึกดีมากจนไม่อยากให้เขาปล่อย ผมเลยไม่พูดอะไรปล่อยให้เขาจับไปเรื่อย จนกระทั่งไปเผลอพูดถึงมัน ทำให้เขาสะบัดมือผมหลุดออกจากกัน เขามีท่าทีเขินและดูต่างออกไป ทำให้ผมใจเต้นแบบแปลกๆ นี่….. นี่ผม…. เป็นอะไรไปเนี่ย?
เขาพยายามลากมือผมไปที่รถ (จับมือผมอีกแล้ว) ตอนนี้ผมรู้สึกถึงความชัดเจนได้ในทันทีเลยว่า หัวใจผมตอนนี้มันไม่ว่างแล้วนี่เอง นี่สิปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม ทำไมผมถึงได้อยู่ๆ ไร้ความรู้สึกกับนิ่ม ทำไมผมถึงอยากอยู่กับชัย อาจเพราะผมอยากให้หัวใจของผมอยู่ใกล้ๆ เขานั่นเอง
หลังจากที่เราร่ำลา ความรู้สึกข้างในอกมันดูอ้างว้าง ผมคงเผลอทำหน้าแปลกๆ เลยทำให้ชัย อาสาไปนอนเป็นเพื่อนในคืนที่ผมต้องอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แสนเยียบเย็นเพียงลำพัง
ผมตอบตกลงแทบจะทันที…..
…………….
พอมาถึงบ้าน ผมเลยให้ชัยไปอาบน้ำก่อน ผมจัดเตรียมเสื้อผ้าชุดนอนให้เขาเรียบร้อยวางอยู่บนเตียง ผมถูกสอนให้ดูแลตนเองตั้งแต่เด็ก แม้จะมีแม่บ้านอยู่หลายคนแต่ก็แค่ทำความสะอาดและดูแลเรื่องซักรีดเสื้อผ้าให้เท่านั้น การเก็บของในห้อง แม้แต่เสื้อผ้าก็ต้องเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าเอง ป๊าและม๊าสอนผมให้มีวินัยเรียบร้อยจนติดเป็นนิสัยจนถึงตอนนี้ มันกลายเป็นกิจวัตไปแล้วว่าผมต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าที่จะสวมใส่วางบนเตียง ก่อนเข้าไปอาบน้ำ ผมเลยเตรียมเผื่อชัยด้วย
“โห….โคตรเรียบร้อยเหมือนเคย”
“พ่อแม่สอนมาดีไง”
“อ้าว… จะบอกว่าพ่อแม่เราไม่สั่งสอนว้างั้น”
“เอ้ย.. เอ่อ….”
“เฮ้ย! ล้อเล่น ไปอาบน้ำไป!”
แล้วชัยก็เหวี่ยงผ้าเช็ดของตัวเองใส่ผม หลังจากที่ใส่กางเกงเสร็จแล้ว
“ไอ้บ้า.. เอาไปแขวนดีๆ ตรงนั้น!” ผมหยิบผ้าเช็ดตัวที่ชื้นแฉะของเขาขว้างใส่ชัยคืน ชัยได้แต่หัวเราะเสียงดัง ผมรีบดึงผ้าเช็ดตัวของตัวเองที่แขวนอยู่ไม่ไกลวิ่งเข้าห้องน้ำไป
…………..
“อาบช้าเหมือนเคย นายเข้าไปทำอะไรในนั้นหนักหนาเนี่ย”
ผมเป็นคนที่มีมาตรฐานในการทำความสะอาดร่างกายตัวเองครับ โดยเฉพาะการดูแลตัวเอง กว่าจะดูดีแบบนี้ได้มันมีราคานะ
“ทำอะไรน่ะ?” ผมทักชัยขณะเขารื้นค้นสมุดหนังสือของผมบนโต๊ะ และเปิดสมุดเล่มหนึ่งพลิกไปมา
“อะไรวะเนี่ย ไอ้อ้วนนี่ใคร?” ชัยพลิกหน้าที่มีรูปเด็กผู้ชายจ้ำม่ำแก้มยุ่ยในชุดมัธยมต้นขึ้นมาทางผม
“เอ่อ….. เราเอง”
“หา!!! ไม่มีเค้าเลยนี่หว่า เฮ้ย ตอน ม.ต้นเราอยู่โรงเรียนเดียวกันหรือวะ?” พูดจบชัยก็พลิกไปหน้าถัดๆ ไป
“เฮ้ย!! อย่าอ่านนะ นั่นมัน ไดอารี่เรา”
ผมวิ่งไปทั้งที่ยังนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัว ชัยไหวตัวทันวิ่งหลบไปอยู่ที่ด้านหนึ่งของเตียง ผมวิ่งตามไปเพื่อไปชิงสมุดคืน ชัยโดดขึ้นเตียงข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ผมรู้ตัวจึงวิ่งไปดักอีกทางทัน ชัยหลบไม่ทันจึงชูสมุดขึ้นสุดมือเพื่อหลบไม่ให้ผมได้สมุดคืนไป ผมวิ่งมาถึงก็พยายามเอื้อมมือคว้า ทำให้เราชนกันถึงกับหงายลงไปบนเตียง
“เฮ้ย อะไรว่ะ แค่ดูรูปสมัยเด็กทำไมต้องอายกันด้วย”
ชัยพูดทั้งที่นอนหงายอยู่บนเตียง พยายามตะเกียดตะกายหนีผมที่ล้มลงมาทับเขาอยู่
“มันน่าอาย เอาคืนมา ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”
ผมต้องรีบเอาคืนมาก่อนจะเห็นสิ่งที่ให้ชัยเห็นไม่ได้ เหล่ารูปที่ทำให้นิ่มเคยหวาดระแวงผมมาแล้ว และยิ่งผมมารู้ถึงความรู้สึกตัวเองตอนนี้ผมยิ่งให้เขาเห็นไม่ได้
“อะไรวะ ไอ้ขี้หวง”
ชัยสะบัดมีอของผมที่ตอนนี้กำอยู่รอบข้อมือข้างที่ถือสมุดเล่มนั้นอยู่ ผมเสียหลัก หน้าทิ่มไปที่หน้าผากชัยเข้าเต็มๆ
“โอ้ย / โอ้ย”
เราร้องเสียงหลงพร้อมกัน ผมเอามือกุมหน้าผากทั้งๆที่ผมยังนอนคว่ำทับร่างของชัยอยู่
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ไอ้คนที่ควรจะเจ็บกว่าผมดันเป็นคนตั้งคำถามก่อน
“ไม่เป็นไร มึนนิดหน่อย”
ผมเปิดหน้าลืมตามองคนที่อยู่ข้าวล่าง เห็นสายตาสีน้ำตาลเข้มที่คมลึกจ้องมองอยู่ เห็นวงหน้าในระยะที่แปลกตาของเขา ทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาเอามือลูบที่หน้าผากที่คาดว่าน่าจะเป็นรอยแดงเป็นจ้ำอยู่อย่างแผ่วเบา ใช้นิ้วโป้ลูบวนไปมา
“ไม่น่าเป็นอะไรมาก” ไม่เคยเจอชัยมาพูดใกล้ขนาดนี้มาก่อนสัมผัสได้ถึงผมหายใจอุ่นๆของเขาที่หายใจออกมากระทบหน้า
ผมมองไปที่หน้าผากซึ่งแทบไม่มีรอยอะไรปรากฎเลย หัวแข็งสมคำล่ำลือจริงๆ
สายตาคู่นั้นยังมองผมอยู่จนทำให้ผมไม่กล้าขยับไปไหน
“เออ.. เอาคืนไป” เขาหน้าแดงและพยายามเอื้อมไปหยิบสมุดที่วางพับอยู่เหนือศรีษะเขาขึ้นไป
“ไม่เป็นไร เราหยิบเอง”
ผมเคลื่อนตัวไปแย่ง ทั้งๆ ที่ยังร่างผมยังอยู่ในตำแหน่งเดิมบนร่างของชัย ด้วยความรีบร้อนทำให้การทรงตัวไม่ดีเลยล้มใส่คนที่อยู่ข้างล่างทำให้ร่างกายของเราทั้งสองแนบชิดสนิทกันมากขึ้น มือของผมเอื้อมไปจับมือชัยแทนที่จะเป็นสมุด หน้าของผมซุกเข้าไปในซอกคอของอีกฝ่าย หน้าของชัยเองก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ลมหายใจของผมรินรดไปที่ลำคอของชัย ทางผมเองก็เช่นกันสัมผัสได้ถึงลมอุ่นๆ ที่ชโลมไล่เลียไปทั่วผิวหนังบริเวณนั่น
สักพักผมต้องสะดุ้งเพราะผมรู้สึกแก่นกายกลางลำตัวของคนที่อยู่ข้างล่างแข็งขันเป็นทรงขึ้นมา ก่อนที่ผมจะรู้สึกเหมือนกับเขาผมต้องลุกออกมาจากสถานการณ์ตรงนี้
จุ๊บ ฟืด….
แต่คนข้างล่างดูจะเร็วกว่าผม เขาใช้ปากโลมรันที่คอผมจนขาของผมรู้สึกชาไร้แรงต้านทาน ผมพยายามคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุแต่มือของเขาดันเอื้อมมาจับเอวและคอผมไว้
ผมตัดสินใจใช้สติที่เหลือจากอาการร้อนรุมไปทั่วร่างกระชากตัวเองออกจากคอของอีกฝ่าย ก็โดนอีกฝ่ายยกริมฝีปากมาประกอบกับปากของผมอย่างเร้าร้อน แทนที่ผมจะรู้สึกไม่ดี กลับกันผมกับตอบรับในสิ่งเร้าตรงหน้าอย่างกระหาย สติของผมหายไปกับวังวนของรสริมฝีปากของอีกอย่างถอดตัวไม่ขึ้น
ชัยกลิ้งพลิกตัวเขามาอยู่ด้านบนบ้าง และกดริมปากให้แน่นขึ้น ใช้ลิ้นของเขาชอนไชซุกไซ้ พยายามล่วงล้ำเข้ามาในปากผม ผมฝืนได้เพียงชั่วครู่ จนกระทั่งหมดแรงจะต้านทานให้ชัยวนเวียนเข้ามาพัวพันสำรวจข้างใน มือของเขาวนเวียนไปทั่วร่างอย่างรู้จุดรู้หน้าที่อย่างช่ำชอง ผมเผลอครางออกมาทั้งที่ปากผมก็ไม่ว่างเท่าไหร่
ผ้าที่สวมใส่อยู่อย่างหลวมๆ หลุดออกไปตอนไหนไม่รู้ รู้แต่จังหวะมือของเขาที่พยายามช่วยผมให้รู้สึกดียิ่งๆ ขึ้นไป ผมเองตอนนี้ก็พยายามใช้มือที่ว่างควานหาสิ่งที่แกร่งแข็งของอีกฝ่ายซึ่งก็หาไม่ยาก เพราะมันเด่นเสียเหลือเกิน หลังจากลูบคลำว่าใช่แน่ๆ ผมล้วงเข้าไปในกางเกงตัวบางที่เขาสวมใส่ ไปเจอส่วนเนื้อที่ผมรู้สึกตกใจเมื่อแรกสัมผัสเพราะมันใหญ่กว่าผมมาก ผมรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ที่ได้สัมผัสกับมันตรงๆ แบบนี้ ผมใช้จังหวะมือแบบเดียวกับที่เขาทำกับผม ชัยขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ผมมีจังหวะที่เขาโอเคและขยับกางเกงออกให้พ้นทาง เราทำแบบนี้อยู่พักใหญ่ ในขณะที่ปากของเราสองคนยังใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ ผมก็ถึงจุดปลายทางที่ต้องปล่อยความสุขออกมาเต็มมืออีกฝ่ายจนผมเผลอร้องออกมา เสียงผมคงไปกระตุ้นเขาให้เดินทางถึงปลายทางเช่นกัน
เราทั้งสองนอนหงาย หอบหายใจด้วยความอ่อนล้า ผมอธิบายความรู้สึกแบบนี้ไม่ออก มันอายยังไงไม่รู้ ผมไม่เคยทำแบบนี้กับเพื่อนคนไหน เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ใจผมกระจัดกระจายแบบนี้
“เรา…. เราไปอาบน้ำก่อนนะ”
ผมรีบฉวยผ้าที่กองอยู่แถวๆนั้น วิ่งเข้าห้องอาบน้ำทั้งๆ ที่เปลือยและเลอะเทอะ ผมเข้าไปและรีบกระแทกประตูห้องน้ำเหมือนกำลังหนีซอมบี้ในหนังสยองขวัญ
ปึ้ง!!!
เสียงประตูปะทะกับฝ่ามือของคนภายนอก
“อาบด้วยสิ” ไอ้ชัยเดินเปลือยกายตามเข้ามา ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นแต่วันนี้มันต่างออกไป
“เออ… อืม…” ผมพยักหน้าตอบโดยที่ไม่ได้มองอีกฝ่ายเลย ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำส่วนที่เป็นฝักบัว ชัยเดินตามมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“เรา… ขอโทษวะ นายไม่โกรธใช่ไหม?” ชัยพูดขึ้นขณะที่ผมเปิดฝักบัวให้น้ำไหลปะทะร่าง
“……….”
“เฮ้ย! เราขอโทษจริงๆ เราไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เวลาอยู่กับนายแล้วถึงห้ามใจตัวเองไม่ค่อยอยู่”
“………”
“กวี….. เรา”
“….นึก…. ว่าชอบทำแบบนี้กับใครก็ได้”
“จะบ้าเหรอ เราไม่ได้เป็นเกย์นะเว้ย แต่กับนาย…. เราไม่รู้ว่ะ โอ้ย! พูดไงดีวะ. เราขอโทษ”
“เออ… ไม่เป็น เราเองก็เหมือนกัน ไม่เคยว่ะแบบนี้ ไปไม่เป็นเลย ก็ช่างมันเถอะนะ อย่าพูดถึงมันเลย อาบนำ้เหอะ”
ทำไมผมต้องรู้สึกปวดใจกับคำขอโทษของชัยด้วยวะ ชัยพูดเหมือนมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ (คิดว่าอย่างนั้น) มันอาจจะเป็นอุบัติเหตุจริงๆเด็กผู้ชายวัยกลัดมันมาอยู่ห้องเดียวกันที่เจอสถานะการณ์ล่อแหลมน่าจะเกิดขึ้นได้ เราไม่ควรคิดมาก (มั้ง)
หลังจบบทสนทนานั้น ทั้งตอนที่อาบน้ำด้วยกันและมานอนที่เตียงเดียวกัน เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย มีแต่การมองหน้าและยิ้มอย่างเกรงใจ อากาศภายในห้องหนักอึ้ง เงียบจนได้ยินเสียงวี้วิ่งเข้ามาในหู ผมตัดใจข่มตานอนแต่ภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ยังตามวนเวียนเข้ามาในความคิดเรื่อยๆ จนประสาทรับรู้ของผมมันอ่อนไหวไปหมด ไอ้กวีน้อยมันก็ไม่ยอมนอนไปด้วย ผมพยายามแสร้งว่าหลับไปแล้ว ทั้งที่ผมรู้สึกรู้ตัวทุกอย่าง โดยเฉพาะตอนที่คนข้างๆ ขยับตัวและได้ยินถอนหายใจเป็นพักๆ
โอย…. นอนไม่หลับ
………………………………………………..