Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)  (อ่าน 22279 ครั้ง)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ได้กันไวเชียว :katai2-1:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
กวี #8




สงสัยว่าผมคงยังไม่คุ้นเคยกับสรรพนามใหม่ที่ถูกเรียกโดยชัย ถึงมันจะจริงในแง่มุมหนึ่ง แต่ผมก็ยังรู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่ได้ยิน ไม่ชอบให้ถูกใครเรียกว่า ‘เมีย’ เลยให้ตายเหอะ  ผมเดินเรื่อยเปื่อยจากร้านอาหารริมทะเลที่กินมื้อเย็นกับชัย หลงและพี่หมอ จากเหตุการณ์ที่ชัยมักจะพูดอะไรไม่คิด จนเส้นความอดทนของผมขาดสะบั้น ผมวิ่งออกจากร้านแทบไม่คิดโดยทันที ผมไม่สนใจแม้ชัยที่ตะโกนเรียกชื่อผมให้หยุดรอเขาด้วย

ผมสาวเท้าอย่างเร็วจนมาหยุดที่โขดหินริมหาดทรายสุดทางทางด้านซ้ายของร้านอาหาร บรรยากาศทำให้ผมใจเย็นลง เม็ดทรายที่ท่วมเข้ามาในรองเท้าแตะอาดิดาสสีดำพร้อมกับคลื่นน้ำทะเลที่พัดเข้ามา ทำให้ผมต้องถอดรองออกมาดูอาการแสบคันที่เกิดจากการเดินควบทรายมาตลอดทาง ทำให้ต้องนั่งลงที่โขดหินใกล้ๆ เอาเท้าแช่น้ำเพื่อให้สบายเท้าขึ้น ความเย็นของน้ำทะเลยามนี้มันทำให้ผมไม่อยากลุกหนีไปไหนเลย ระหว่างที่ผมกำลังเหม่อมองแสงไฟจากเรือหาปลาในทะเลวูบวาบไกลออกไป กำลังให้ความรู้สึกของตัวเองกลืนไปกับธรรมชาติรอบๆ พร้อมเสียงเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเข้าฝั่งเบาๆ

“อยู่นี่เอง! เราหาตั้งนาน เมื่อกี้ไปผิดทาง กว่าจะหานายเลยใช้เวลานานเลย”
“………” ผมมองหน้าชัยอย่างรู้สึกอารมณ์เสีย ทั้งการที่ชัยมาขัดจังหวะทอดน่องของผม บวกกับคดีที่เพิ่งผ่านมา

“โอ๋ๆ เมียจ๋า ไม่โกรธดิ” ชัยเดินมาทำท่าจะโอบไหล่ผม
“เราจะโกรธนายก็ตอนนี้แหละ!” ผมมองเขาตาเขียวพร้อมปัดมือเขาทิ้ง
“อ้าว……เป็นอะไรล่ะเนี่ย?”
“ก็ไอ้การพูดไม่คิดของนายเนี่ย”
“ขอโทษนะ ขอโทษ เราก็รู้นะว่านายไม่ชอบให้เรียกแบบนี้ แต่ก็อดพูดออกมาไม่ได้ เราอยากจะประกาศให้ทุกคนรู้ไม่ได้ว่า คนนี้น่ะเมียเรา ห้ามยุ่ง!”
พอผมฟังจบก็อดที่จะอายไม่ได้ รู้สึกดีกับสิ่งที่เขาพูด ทำให้โกรธเขาไม่ลงสักที

“ไม่อายใครเขาเหรอ ที่มีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันเนี่ย”
“แล้วนายอายเหรอ? ที่มาคบกับเรา” ชัยทำหน้าข้องใจปนเสียใจ
“เปล่าๆ เราไม่เคยเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเรื่องที่ตกลงคบกับนาย แต่…. ”
ชัยดูสีหน้าดีขึ้น เขาเดินมาแล้วยกมือขึ้นทาบที่หน้าอกข้างซ้ายของผม

“เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ตรงนี้ไง จะรักใครไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆนั้นะเป็นใคร แต่อยู่ที่ใจว่าเรารักเขาหรือเปล่า อยู่ด้วยแล้วมีความสุขแบบนี้หรือเปล่า รู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งที่เขาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกกังวลว่าในใจเขามีเราหรือไม่ อยากให้ใจเขาอยู่ใกล้ๆกับใจของเรา ให้สิ่งที่อยู่ในอกข้างซ้ายของเราเป็นตัวตัดสินใจ แล้วทำตามนั้นแล้วเราจะไม่เสียใจเลย นี่คือสิ่งที่อยู่อกข้างซ้ายเราคิด นายล่ะ? ของๆนายมันว่ายังไง?”

พอฟังจบผมรู้สึกมีไอร้อนวนอยู่รอบดวงตา รู้สึกมองอะไรมันขุ่นมัวไม่หมด ผมไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ได้ฟังเท่าไหร่ว่ามันออกมาจากคนที่วันๆพูดแต่เรื่องไร้สาระแบบนี้

“อืม…” ผมไม่ตอบอะไรมาก ทำเพียงทาบมือทับไปที่มือของเขาที่สัมผัสอกข้างซ้ายของผม และพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเท่านั้น  เขาตอบผมด้วยการโผเข้ามากอดผมเต็มแรง

“แต่ไม่เรียกเราแบบนั้นอีกได้ไหมอ่ะ?”
“ได้… งั้นเรียก ‘ที่รัก’ ได้ไหมครับ?”
“ไม่เอา…. ถ้าเรียก…. ‘แฟน’ ก็คงพอไหวนะ”
“ได้ครับ คุณแฟน” เขายกฝ่ามือขึ้นทาบที่ปลายคิ้วแบบล้อเลียนเหมือนตำรวจ
ผมยิ้มและหัวเราะในลำคอในความทะเล้นของเขา

ชัยชวนผมกลับที่พักทันทีที่เห็นคนบริเวณชายหาดเริ่มน้อยลงแล้ว เพื่อความปลอดภัยผมเห็นด้วยในทันที ชัยกับผมเดินเคียงกันไปจนถึงร้านอาหารริมหาดเมื่อครู่ ผมจะไปขอตัวลาและขอโทษกับพฤติกรรมแย่ๆของผมเมื่อกี้กับพี่หมอด้วย แต่ชัยห้ามไว้เพราะอยากให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันบ้าง อุตส่าห์วางแผนมาเสียดิบดี แม้จะคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่เป็นไปตามแผนเลย พวกเราจะเข้าไปก็ขัดจังหวะสองคนนั้นเสียเปล่า ผมก็เห็นด้วยนะ งั้นพรุ่งนี้เจอพี่เขาค่อยขอโทษก็แล้วกัน ส่วนค่าอาหารค่อยคุยกับหลงอีกที

พวกเราเดินเลยร้านนั้นขึ้นไปจนถึงถนนทางไปที่พักของเรา เขาเดินนำผมขึ้นไปบนทางลาดที่จะขึ้นไปถนนหลัก ชัยหันหลังและยื่นมือมาทางผมเหมือนจะช่วยดึงผมขึ้นทางลาด
“ไม่ต้องหรอกมั้ง เราเดินเองได้แค่นี่เอง”
“อยากหลอกแอบจับมือแฟนมันผิดตรงไหนเนี่ย?”
“…..ไอ้บ้าเอ้ย…” ปากผมก็ว่าเขาแต่ก็ยื่นมือออกไปหาเขาด้วยรอยยิ้มแบบเขินๆ

เขาเดินจูงมือผมเดินไปเรื่อยๆ จนถึงที่พัก ผมรู้สึกดีกับท่าทางของชัยวันนี้มาก เขาดูแปลกไปนิดหน่อยตรงที่เขาห่วงใยกับผมแบบเปิดเผยมากขึ้น อาจเพราะสิ่งนี้แหละที่ผมหลงไหลในตัวเขา เขาเหมือนสายลมที่อิสระ เปิดเผย จริงใจกับความต้องการของตัว ยิ่งมาได้รู้ว่าเขารักผมด้วยใจจริง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผูกพันธ์กับเขามากขึ้น (รู้สึกเหมือนโดนขอแต่งงาน)

“เฮ้ย!! ทำอะไรน่ะ?”

ระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินขณะเดินมาถึงหน้าประตูห้องพัก หลังจากที่ชัยปลดล็อคประตู ชัยอุ้มผมในท่าประคองทั้งสองมือ มือหนึ่งสอดใต้หลัง มือหนึ่งสอดใต้หัวเข่า

“ขออุ้มเจ้าสาวเขาหอก่อนนะ ได้ฤกษ์แล้ว”
“เดี๋ยวๆ ฤกษ์อะไรน่ะ?”

เขาอุ้มผมเข้าห้องโดยใช้เท้าเขี่ยปิดประตูดังปัง แล้ววางผมลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
“แหม…..รู้แล้วยังจะถามนะ” ชัยยิ้มแบบเจ้าเล่ห์มาใกล้ที่หน้าผม
“ไม่รู้โว้ย…..” ผมใช้มือดันหน้าเขาออกไปแต่โดนจับข้อมือกดลงไปบนพื้นที่นอน

แล้วเขาก็เริ่มต้นด้วยการลงริมฝีปากมาประกอบกับริมฝีปากผมอย่างเร้าร้อนก่อนที่ผมจะโวยวาย………………………

…………………………


ผ่านวันหยุดที่พัทยาได้สองวันแล้ว ชีวิตกลับเข้าสู่วัฏจักรเดิม ผมโดนป๊ากับคุณน้าดุนิดหน่อยเพราะไปโดยไม่ได้บอกกับทั้งสองคนก่อน (ก็เห็นว่าไปต่างประเทศกัน ไม่คิดว่าจะกลับมากันง่ายๆ)
ป๊าดุว่าทำไม่บอกกันก่อนจะได้แนะนำโรงแรมดีๆ ให้ เพื่อนป๊าทำธุระกิจนี้เยอะ
ส่วนคุณน้าก็ดุว่ากลัวเราไปทำอะไรเหลวไหล ซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจมากเพราะผมไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี

“คุณครับ เด็กผู้ชายมันก็ต้องแบบนี้แหละ ไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายลูกก็กลับมาบอกนี่”
“คุณก็ให้ท้ายลูกแบบนี้ทุกที ระวังจะเสียคนนะ!”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะขอตัวไปนอน (กลับมาเหนื่อยๆ ยังต้องฟังเขาทะเลาะกันอีก

ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้วันกีฬาของโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด (เป็นงานร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนในตัวจังหวัดมาจัดแข่งขันกีฬากัน) วันนี้เลิกเรียนเสร็จก็กะว่าจะมาติวหนังสือกับชัยเพื่อชดเชยในช่วงที่หายไปเที่ยวกันสองวัน แต่ดันมาเจอโค้ชทีมบาสฯตามไปซ้อมเพราะใกล้แข่งแล้ว (ผมแอบโห่ แต่ในเมื่อใจมันรักที่จะสมัครเล่นก็ต้องทำ) ดีที่ทางฝ่ายชัยก็โดนให้ซ้อมหนักเหมือนกัน เราเลยต้องขอทำหน้าที่นักกีฬาที่ดีก่อนทำหน้าที่นักเรียนที่ดี (และหน้าที่แฟนที่ดีที่ควรจะไปอยู่ร่วมกันบ้าง)

กว่าจะซ้อมจบก็ล่วงเลยมาประมาณเกือบสองทุ่ม ผมรู้สึกกังวลว่าชัยจะไปรอผมที่ร้านประจำนาน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบคว้าโทรศัพท์มากดปุ่มโทรด่วนหาเขาทันที (ชื่อของชัยอยู่ในรายชื่อโทรด่วนในระดับต้นๆ)

“สวัสดีครับคุณแฟน” ปลายสายอีกฝั่งดังลั่นออกมา
“ทะเล้นแบบนี้ได้แปลว่าไม่เหนื่อยใช่ไหม?”
“โห….. อย่าให้พูดเลย เหนื่อยโคตร นี่ถ้าทุกคนไม่บอกโค้ชว่าหมดแรงนะ ป่านนี้ยังซ้อมกันอยู่เลย”
“แล้วนายอยู่ไหนแล้วล่ะ?”
“อาบน้ำเสร็จแล้ว ว่าโทรหาอยู่เลย มัวแต่วุ่นวายกับไอ้หลง มันหน้าบูดบ่นโอดควรจะเป็นจะตาย เพราะพี่หมออยู่เวรดึก พอเลิกซ้อมดึกขนาดนี้ คงไม่ได้เจอกัน มันมาอ้อนให้เราไปส่งมันอยู่เนี่ย ปกติก็เห็นไปเองได้ โรงพยาบาลกับร้านประจำเรามันอยู่ไกลกันอยู่นะ เรากลัวไปเจอนายไม่ทันช่วงเคอฟิวส์ของบ้านนาย”
“ไม่เป็นไรหรอก ไปส่งหลงก่อนเหอะ”
“โอ้ย! ไม่ต้องเป็นห่วงมันแล้ว อยู่ๆ พี่หมอก็มารับมันถึงขอบสนาม ไอ้หลงมันถลาตัวหายไปกับพี่หมอเรียบร้อยแล้ว ไม่บอกลาโค้ชลาเพื่อนเลย ไอ้เวรนี่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ” ผมอดที่หัวเราะกับคำพูดของเขาไม่ได้จริงๆ

…………………..

ผมขับรถมาจอดที่ร้านประจำที่เดิม ก่อนเลี้ยวเข้ามาผมเห็นรถบิ้กไบค์ของชัยจอดอยู่หน้าร้านแสดงว่าเขามาถึงก่อนแล้ว ผมรีบเดินออกจากรถไปจนถึงหน้าร้าน จากจุดที่ผมยืนอยู่ทำให้เห็นชัยนั่งอยู่ในที่ประจำของเราชัดเจน แต่ผมก็ต้องสะดุดเท้าลงเพราะเสียงหัวเราะของชัยที่ดังลั่นขึ้นมา ผมมองเข้าไปด้วยความสงสัยก็เจอผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในที่ประจำของผมหัวเราะไปพร้อมกับชัยด้วย

ผมรู้สึกคุ้นหน้าเขาชอบกลแต่ยังนึกไม่ออก อาจเพราะตอนนี้ในอกของผมรู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆ เหมือนมีไฟฟ้าประจุเล็กๆ จี้เข้ามาที่กลางอกผม และรู้สึกไม่ชอบหน้าไอ้หมอนี่เอาเสียเลย

ผมยืนลังเลที่จะเข้าไปหาชัยแว่บหนึ่ง เพราะท่าทางที่ดูสนิทสนมกันขนาดนี้ทำให้ผมยิ่งสงสัย ทันทีที่จะก้าวเท้าเข้าไปยังสิ่งกวนใจตรงหน้า ก็มีเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้า ผมเผลอกดรับสายด้วยความใจลอย

“พี่กวีคะ นิ่มเองนะคะ”

“……..” ผมต้องยกโทรศัพท์ขึ้นดูหมายเลขที่หน้าจออีกครั้งเพื่อทบทวนหมายเลขที่โทรมา
“พี่กวี อย่าเพิ่งวางสายนะคะ นิ่มอยากคุยกับพี่นะคะ” เสียงดังลอดออกจากรูลำโพงในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของผม
“โอเคครับ นิ่มว่าไง” ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาทาบหูอีกครั้ง พยายามทำใจให้เย็นลง ผมยังไม่อยากเจอนิ่มตอนนี้เท่าไหร่ เพราะเราสองคนก็ยังจบกันไม่สมบูรณ์ แล้วไหนจะสถานะภาพของผมกับชัยตอนนี้อีก ผมรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที

“นิ่มรู้แล้วว่านิ่มผิด นิ่มอยากจะเคลียร์กับพี่กวีนะคะ อย่างน้อยหากเราคุยกันแล้ว มันต้องจบจริงๆ นิ่มขอเป็นน้องสาวของพี่กวีก็ได้คะ นิ่มไม่อยากให้เราจบกันโดยไม่พูดคุยกันดีๆ”

อืม…. ผมคิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ยังไงสักวันหนึ่งก็คงต้องคุยกันสักวันหนึ่ง

“อืม….” ผมยังมีความลังเลอยู่บ้าง
“พี่กวีเห็นแก่ความสัมพันธ์และความทรงจำดีๆ ของเรา พี่มาร่วมงานวันเกิดนิ่มได้ไหมคะ?” ผมนึกไปถึงเรื่องต่างๆที่เรามีกันทุกเรื่อง ผมคงต้องรับผิดชอบโดยการทำให้มันจบดีๆ แล้วนี่ผมลืมวันเกิดนิ่มไปเสียสนิทเลยนะเนี่ย ความรู้สึกผิดเข้าครอบงำผมจนต้องตอบตกลง

“ได้ครับ….. ที่ไหนดีล่ะครับ”
“ที่เดิมก็ได้ค่ะ ร้านคาเฟ่ที่ใกล้ๆบ้านนิ่มไง พรุ่งนี้พี่ว่างไหมคะ”
“ได้ๆ หลังซ้อมบาสฯ แล้วจะไปหานะ รอไหวไหม?”
“รอได้คะ อยู่ไม่ไกลบ้านอยู่แล้ว”
“อืม… เจอกัน”
“คะ…แล้วเจอกัน”

ผมวางสายแล้วเดินเข้าร้านไปเผชิญกับปัญหาคาใจอีกอันหนึ่ง

…………………..

ผมไม่ได้บอกชัยว่าวันนี้มางานวันเกิดของนิ่ม กลัวชัยจะตามมาด้วยและจะทำให้สถานะการณ์แย่ลง ผมอยากจบความสัมพันธ์นี้ลงสวยๆ ผมบอกกับชัยว่าแค่มาทำธุระกับพ่อเท่านั้น วันนี้ชัยต้องซ้อมบาสฯดึกด้วย ผมเลยสามารถมาทางนี้ได้สะดวก

ผมเดินลงจากรถที่จอดไว้บริเวณลานหน้าร้านที่นัดหมายกับนิ่ม ร้านนี้เป็นร้านของญาติห่างๆ ของนิ่ม เราเคยมาเวะมาบ่อยๆ เวลามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยเพราะใกล้บ้านนิ่มมาก ระหว่างที่ผมเดินเข้าใกล้ร้านมากขึ้น ผมรู้สึกแปลกๆกับบรรยากาศภายในร้านเพราะหากเป็นการจัดงานวันเกิดมันก็ควรจะครื้นเครงกว่านี้ แต่พอเดินเข้ามาถึงบริเวณร้านกลับพบลูกค้าเพียงไม่กี่คน นิ่มน่าจะเป็นคนเพื่อนเยอะทำไมถึงมีคนอยู่ในร้านไม่ถึงสิบคน

“พี่กวี….. มาแล้วหรือคะ?” เสียงหวานๆ แว่วมาแต่ไกล ผมมองหาต้นเสียง ผมมองเห็นเธอยืนอยู่หลังเคาเตอร์บริการเครื่องดื่ม เธอแต่งตัวได้สทกับเป็นนิ่มดี เสื้อเกาะอกรัดรูปสีชมพูอ่อนกับกระโปรงบานสั้นเหนือเข่า ทำผมแต่งหน้าสวยเข้ากับชุด เหมือนนางฟ้าประจำวันเกิด

“ทำไมคนน้อยจัง?” ผมถามหลังจากที่ตื่นตะลึงดับชุดของนิ่มที่ปกปิดน้อยเหลือเกิน
“พี่กวีคะ นี่มันกี่โมงแล้วคะพี่?” นิ่มเดินลงมาหาพร้อมเครื่องดื่มสีอำพันในมือ ผมมองนาฬิกาในมือที่เข็มสั่นชี้ไปจนเกือบเลขแปดแล้ว ผมรับเครื่องดื่มจากนิ่มและยิ้มกลับในเชิงขอโทษ
“นี่…เดี๋ยวนี้ นิ่มดื่มของแบบนี้แล้วเหรอ?” ผมยกแก้วกลิ่นฉุนที่นิ่มยื่นให้ในมือขึ้นมาระดับศรีษะ
“ก็เพราะอกหักน่ะคะ” นิ่มหันมาพูดด้วยท่าทีเศร้าสร้อย ในอกผมเหมือนมีอะไรทิ่มแทงอยู่เล็กจนผมแอบหลบตา นั่นสิผมคงยังไม่พร้อมที่จะมาเจอนิ่มจริงๆ ผมยังหลงเหลือความรู้สึกแคร์นิ่มอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรคะ ยังไงนิ่มก็อยากลองอยู่แล้ว มันก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องคิดมาก พี่กวีไม่คิดมากหรอกคะ มาสนุกกันดีกว่า เพื่อนนิ่มกลับไปบางส่วนแล้ว แต่ยังมีเค้กกับของโปรดพี่อยู่ทางโน้นนะคะ”
“เอ่อ… ครับ…” อย่างน้อยเธอก็ยังจำของโปรดผมได้ ผมกระดกของเหลวในมือเข้าปากเพราะรู้สึกคอแห้งขึ้นมา

“ว่าแต่พี่กวีก็ดูจะชินกับของพวกนี้อยู่นะคะ เห็นกระดกกินแบบไม่ลังเลเลย” นิ่มชี้มาที่แก้วที่ผมยกดื่มจนเกือบหมดแก้วในครั้งเดียว ตั้งแต่คบกับชัยผมก็ได้ลองอะไรแบบนี้บ่อยๆ เลยเผลอชินไม่รู้ตัว ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เป็นคำตอบ

บรรยากาศในร้านดูเป็นกันเองเช่นเดิม มีเพื่อนของนิ่มที่ผมดูจะคุ้นหน้าอยู่บ้างเหลืออยู่ในร้านซึ่งตอนนี้จับกลุ่มคุยกันเองเป็นกลุ่มย่อยๆ สองสามกลุ่ม ผมเดินตามนิ่มไปโซนนอกชานที่ชั้นสอง ที่ตอนนี้ไม่ทีคนนั่งเลย นิ่มบอกแค่ว่าอยากคุยกันสองคนก่อน ผมไม่ลืมที่จะให้ของขวัญวันเกิดแก่นิ่ม ผมเคยคิดจะให้นิ่มเป็นของขวัญวันเกิดอยู่แล้ว สร้อยแพรทตินั่มประดับชาร์มสีชมพูที่นิ่มเคยพาไปดูบ่อยๆ แต่เนื่องจากราคาค่อนข้างสูง นิ่มเลยตัดใจซื้อไม่ลงเสียที ผมเลยคิดจะให้เธอเป็นของขวัญวันเกิด และคราวนี้ถือเป็นของขวัญอำลาที่ดี

นิ่มเปิดกล่องของขวัญดูทันทีที่ได้รับไป ดูเธอดีใจมากจนเกือบน้ำตาไหล และโผมากอดเหมือนเช่นปกติที่เธอเคยทำบ่อยๆเวลาที่เธอดีใจ ผมแสดงท่าทางอึดอัดนิดหน่อยเพราะผมคิดกับเธอไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอพยายามข่มสีหน้าไม่ให้เศร้าสร้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด พยายามจับเธอให้อยู่ในระยะห่างเท่าเดิม

“นิ่มก็นึกว่าพี่จะมาขอคืนดีด้วย พี่ยังจำของที่นิ่มอยากได้อยู่เลย”
“ก็อย่างที่นิ่มว่า พี่อยากให้เราจบกันด้วยดี ถึงเป็นแฟนไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เป็นพี่น้องที่ดีกันได้”
“…………” ผมมองเธอทำหน้าเกินที่ผมจะบรรยายออกมาได้ เศร้าปนโกรธปนสับสน
“นิ่ม….โอเคใช่ไหม?”
“โอเคคะ นิ่มโอเค เราไปนั่งตรงนั่นกันก่อนเถอะคะ นิ่มอยากคุยกับพี่ ไม่เจอตั้งนานคิดถึงจะแย่…..ส่วนเรื่องของเรา นิ่มก็ทำใจมาสักพักกนึ่งแล้ว และคิดว่าพี่คงจะมีคนอื่นแล้วใช่ไหม?”
“………..” ประโยคสุดท้ายของนิ่มทำเอาผมไร้คำพูดที่จะโต้ตอบใครจะไปบอกได้ว่า ผมทิ้งเธอไปหาผู้ชาย ผู้ชายที่เธอก็รู้จักดี
“น้ำในแก้วพี่ใกล้หมดแล้ว เดี๋ยวนิ่มลงไปเติมให้นะ แล้วค่อยคุยกันต่อนะคะ” นิ่มยิ้มหวานให้ในแบบที่เธอชอบทำแล้วก็แย่งแก้วในมือผมเดินลงไปที่ชั้นล่าง ผมเลยต้องมองหาที่นั่งจากเก้าอี้ที่ว่างมากมายบนนี้มานั่งระหว่างรอนิ่ม

นิ่มหายไปสักพัก และกลับมาพร้อมถาดที่บรรจุเครื่องดื่มและนำ้แข็งมาเต็มถาด ในถาดนั่นมีแก้ววางอยู่สองแก้ว แต่ละแก้วบรรจุเครื่องดื่มผสมสีอำพันเติมอยู่จนเกือบเต็มแก้ว นิ่มยกมาที่ที่ผมนั่งอยู่ และนั่งลงคุยกับผมโดยเริ่มจากสารทุกข์สุขดิบทั่วไปจนกระทั่งนิ่มพยายามถามว่าผมมีคนใหม่หรือยัง? ชอบใครอยู่ไหม่? แต่ผมพยายามบอกปัดๆ ไปก่อนเพราะไม่ต้องการให้นิ่มรู้สึกแย่ไปกว่านี้ และผมก็รู้จักนิ่มดีขึ้นแล้ว เรื่องที่ผมจะเล่าคงไม่หยุดอยู่แค่นิ่มคนเดียวแน่ๆ

เหมือนนิ่มจะรู้ว่าหากผมไม่สบายใจกับคำถามของนิ่มเมื่อไหร่ผมจะยกแก้วขึ้นมาดื่มแบบไม่รู้ตัว เธอเลยพยายามถามเรื่องแบบนั่นถี่ขึ้น นิ่มเป็นคนฉลาดแม้คำพูดจะไม่ซ้ำ แต่ทุกประโยคเชื่อมโยงให้ตอบได้แบบเดียวเท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงพักและกำลังโดนสอบปากคำอยู่ ผมว่านี่แหละจุดประสงค์ของนิ่ม

“ตอนนี้พี่โสดแล้ว ไม่เปิดใจหาคนใหม่บ้างหรือ?”
“…….. เอ่อ…. ไม่ ขอพักก่อนดีกว่า” ผมรู้สึกว่าต้องทันกับทุกคำถาม อึกๆ ….นี่ผมยกกระดกดื่มแบบไม่รู้ตัวอีกแล้ว! คงต้องหยุดเดี๋ยวเมากันพอดี
“แล้วเพื่อนพี่ พี่ชัยน่ะ ไม่แนะนำใครมาให้อีกเหรอ? แบบมาดามใจพี่อะไรแบบเนี่ยคะ”
“ไม่มีนะ…..” ผมแอบตอบเสียงสั่น ชัยไม่ได้แนะนำใครเลยนอกจากตัวเอง จะให้ผมบอกแบบนี้หรือไง? อึกๆ… เฮ้ย ผมต้องหยุดดื่มเสียแล้ว

“เอาแก้วมาคะ พร่องแล้วเดี๋ยวนิ่มเติมให้” เธอแย่งแก้วผมไปเติมอีกแล้วและรู้สึกว่าเครื่องดื่มมันจะขมขึ้นทุกครั้ง
“พอๆ พอแล้ว พี่ไม่เติมแล้วได้ไหม?”
“ไม่ได้คะ วันนี้วันเกิดนิ่มนะคะ มาดื่มกับนิ่มก่อนนะ อีกหน่อยก็คงไม่ได้มาเที่ยวด้วยกันแล้วนะคะ” เธอทำสายตาเศร้าเสียจนผมใจอ่อนหยิบแก้วที่เติมน้ำสีเหลืองอ่อนจิบไปสองอึกใหญ่
“โอเค” ผมว่าผมเริ่มหน้าชาๆ แล้วล่ะ
“พี่กวีสัญญากับนิ่มได้ไหมคะว่าอย่าเพิ่งควงคนใหม่ช่วงนี้ นิ่มกลัวเสียใจกว่านี้ ถ้าจะควงก็อย่าให้สวยกว่านิ่มนะคะ ได้ไหมคะ?”
“……” ผมพยักหน้าก่อนกระดิกให้ของเหลวกลิ่นฉุนไหลลงคอไปอีกจำนวนหนึ่ง (ใช่ รับรองว่าไม่สวยกว่านิ่มแน่เพราะมันหล่อ!)
“อ่ะ!! แก้วเริ่มว่างแล้วเดี๋ยวนิ่มชงให้ใหม่แล้วมาชนแก้วกันนะคะ”
“………..”

ผมรู้สึกว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆ จนผมจำคำถามข้อสุดท้ายของนิ่มไม่ได้………….


…………………...........(ต่อ).................................

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โดนล่อลวงอีกแล้วคนดี  :m16:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

€>€<€<€~~€~~~€€€~~~~~€


เสียงริงโทนของผมดังลั่นเข้ามาในความฝันที่มืดสนิท ผมใช้มือคว้าหาต้นเสียงอย่างงุนงง เสียงเหมือนอยู่ใกล้ๆ แต่ทำไมหาไม่เจอสักที หนังตาผมมันหนักมากจนลืมแทบไม่ขึ้น ศรีษะเหมือนมีคนมาบีบไว้ไม่ปล่อย ปวดร้าวไปหมดทั้งสมอง ผมลืมตาขึ้นมาเจอเพดานสีทึมๆและดวงไฟนีออนหลอดยาวสีมัวๆ เป็นภาพที่ไม่คุ้นตา

นี่ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย? ...................ผมกำลังลำดับเหตุการณ์เท่าที่จำได้แต่สมองตอนนี้ทำงานได้ไม่ดีเท่าไหร่

เสียงริงโทนหยุดร้อง และดังขึ้นใหม่แทบจะทันที ทำให้เรียกสติผมตื่นเต็มที่มากขึ้น ผมรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนต้องเอามือขึ้นมากอดอก ทำให้สัมผัสได้ถึงร่างกายที่เปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มผืนบางสีขาวอมเหลือง สิ่งนี้ทำให้ผมสะดุ้งขึ้นมานั่งทั้งๆที่หัวยังปวดร้าวไปหมดเหมือนมีระเบิดขนาดเล็กกำลังทำลายเซลล์สมองอยู่ ผมพยายามให้สายตาปรับแสงภายในห้องที่มีแสงสว่างจำกัด ผมพบว่าตัวเองนอนเปลือยกาย (ก็ไม่เชิงมีผ้าห่มผืนบางห่อหุ้มอยู่) ภายในห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็ก ภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์อยู่น้อยชิ้น ทางซ้ายมีห้องน้ำที่มีกระจกบางๆกั้นอยู่ ไม่มีประตูห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ (มันเป็นการออกแบบแบบไหนกัน?) รวมๆคือสภาพเหมือนห้องพักเก่าๆ

ใจผมเริ่มไม่ดีแล้ว เพราะผมจำไม่ได้เลยว่าเอาตัวเองเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ผมเริ่มต้นควานหาโทรศัพท์ซึ่งตอนนี้ตกอยู่ที่พื้นข้างเตียงซึ่งตอนนี้เสียงเงียบไปอีกแล้ว ที่หน้าจอแสดงให้เห็นถึงจำนวนสายที่ไม่ได้รับจากชัย หลง และพี่หมอ แต่ละคนโทรมาไม่ต่ำกว่า 20-30 มิสคอล ก่อนที่จะโทรกลับผมรีบสำรวจตัวเองและทรัพย์สินก่อน เนื้อตัวผมดูสะอาดสะอ้านดี มีรอยแดงเป็นจ้ำๆ บ้างแต่ไม่มีบาดแผลอะไร ไม่ได้เจ็บปวดอะไร (นอกจากหัวที่ตอนนี้พร้อมจะระเบิดตัวเอง) ข้าวของเสื้อผ้ากระเป๋าเงินอยู่ครบทุกอย่าง (แม้จะกระจัดกระจายไปบ้าง)

หลังจากนั้นผมก็ปลดล็อคโทรศัพท์และเลือกหมายเลขของชัยและโทรออกทันที เลขสัญญาณปลายสายดังอยู่สองสามครั้ง

“กวี! กวีใช่ไหม? นายอยู่ไหนทำไมโทรไปตั้งหลายสายทำไมไม่รับสาย?” เสียงจากอีกฝากของโทรศัพท์ที่ดูร้อยรนจนผมโต้ตอบไม่ถูก
“เอ่อ….. เดี๋ยวนะ เราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฟื้นมาก็อยู่ในห้องที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนโรงแรมแหรือห้องเช่ารายวันเก่าๆหน่อย” ผมพยายามมองรอบๆ อีกครั้งหนึ่งแต่เท่ารู้ก็เหมือนเดิม
“ส่งที่อยู่ผ่านไลน์มา จีพีเอสในมือถือน่ะ ทำเป็นไหม?”
“อืม… ทำเป็น”
“โอเค ส่งมานะเดี๋ยวไปรับ”
“นี่มันอะไรกัน? ทำไมชัยดูร้อนรนจัง?”
“ไม่ต้องถามมาก! เตรียมตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวไปรับ รีบส่งที่อยู่มาด้วย!!”
“……….” ผมกำลังงงกับอากัปกิริยาของชัย ชัยก็วางสายไปผมเลยเลือกส่งที่อยู่ไปให้ผ่านไลน์แอปพลิเคชั่น จากแผนที่ทำให้เห็นว่าผมอยู่ไม่ห่างจากคาเฟ่ที่จัดงานเลี้ยงวัดเกิดนิ่มมากนัก เหมือนผมจะจำได้ว่าแถวนี้มีโรงแรมเก่าๆ อยู่สองสามแห่งสำหรับคนที่ต้องมาทำงานค้างจังหวัด และหนึ่งในนั้นก็มีโรงแรมม่านรูดอยู่ด้วย!!

ผมรีบแต่งตัวและพยายามนึกถึงเรื่องเมื่อวานว่าผมมาที่นี่ได้ยังไง หรือผมเมามากเลยต้องหาที่พักก่อน หรือ…… มีใครพาผมมา…. แต่จากสภาพที่ผมเห็นตัวเองทำให้ผมไม่อยากคิดถึงสิ่งนี้เท่าไหร่ ผมสำรวจตัวเองอีกครั้งอย่างตระหนก แต่ก็ไม่ได้มีบาดแผลตรงไหน (โดยเฉพาะตรงบั้นท้าย) ผมแอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

ก็อกๆๆ

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าใคร หากเป็นชัยน่าจะพูดแสดงตัวก่อนและเขาเองก็ไม่น่าที่จะมาเร็วแบบนี้

“น้องๆ น้องต้องเช็คเอ้าท์แล้วนะ ไม่งั้นพี่คิดตังเพิ่มนะ น้องๆ ตื่นหรือยัง?”
สงสัยเป็นผู้ดูแล
“เอ่อ….. ผม….. กำลังออกไปครับ”
ผมตะโกนออกไปแบบกลัวๆ
“โอเค เสร็จแล้วก็ออกมาพี่จะได้เข้าไปทำความสะอาด”
“ครับๆ” ผมมองรอบๆ ห้องให้แน่ใจอีกครั้งว่าไม่ลืมอะไร พลางคิดว่า คงต้องสร้างใหม่เลยถึงจะดูสะอาดขึ้น ห้องนี้ไม่น่าจะทำให้ดีหรือสะอาดขึ้นได้

ผมเปิดห้องออกไปเจอคุณป้าวัยกลางรูปร่างค่อนข้างใหญ่ยืนรออยู่หน้าห้อง พร้อมตระกล้าน้ำยาต่างๆและอุปกรณ์ทำความสะอาด เธอมองหน้าผมและส่ายหน้าอย่างเหลืออด พอผมเดินผ่านคุณป้าไปได้สองสามก้าว ก็ได้ยินเสียงเธอบ่นลอยตามลมมา
“วัยรุ่นสมัยนี้ เฮ้อ! หน้าตาก็ดี ไม่น่ามาทำอะไรแบบนี้เลย!”

ผมยังงงๆ กับคำพูดนั้น ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ป้าคนนั้นพูดหมายถึงอะไร ผมเดินหน้าต่อไปอย่างเพลียๆ แสงข้างนอกสว่างกว่าข้างในห้องมาก ทำให้ใช้เวลาสักพักในการปรับสายตา พอออกจากห้องมันเป็นเหมือนโรงรถขนาดเล็กที่มีผ้าม่านสีเทาบางๆ กันไว้ ผมเปิดผ้าม่านออกไปเจอแสงแดดยามที่พระอาทิตย์ตรงหัวพอดี ผมมองสภาพรอบๆ อาคารและพื้นที่อยู่ใกล้ๆ นี่มันเป็นสถานที่ผมเดาไว้เลยนี่นา โรงแรมม่านรูดที่มีเพียงไม่กี่แห่งในตัวจังหวัด สถานที่อโคจรที่คนจะมาเป็นครั้งคราวเวลาที่ต้องการทำอะไรตามความปรารถนาเพียงชั่วครั้งชั่วครู่ นี่ผมเมาขนาดเข้ามาพักในที่แบบนี้โดยไม่รู้ตัวเลยเหรอ (ผมถือนโยบายเมาไม่ขับ) ผมกำลังสับสนเดินเรื่อยเปื่อยออกมา ผมพยายามมองหารถ แต่ก็หาไม่เจองุนงงเหงื่อชุ่มอยู่กับเสื้อผ้านักเรียนตัวเมื่อวาน พยายามหาข้อแก้ตัวจากสถานะการณ์นี้ในสมอง

‘หรือว่าเราเมามากเลยเรียกแท็กซี่ให้เขาหาที่พักให้เลยมาถึงที่นี่ ห้องมันร้อนเราเมาเราก็เลยถอดเสื้อผ้าออก’
คิดแบบนี้ซ้ำไปมาจนเดินพ้นสถานที่อโคจรมาอยู่ที่ศาลาพักริมถนนใหญ่ ความสับสนยังคงครอบงำผมจนผมคิดอะไรไม่ออก…..

“กวี!! เฮ้ย!! กวีจริงๆ ด้วย” เสียงที่คุ้นหูตะโกนดังเข้าหูมา แต่ผมเหมือนจะไม่ได้สนใจ ผมยังคงวนเวียนกับความคิดตัวเองอยู่

………………….

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กวี ใส ซื่อเกินไปแล้ว
เลิกก็เลิกกัน ทำไมยังต้องไปอะไรแบบนี้
แค่เห็นชัยกับเด็ก ที่ไม่รู้ว่าอะไร ยังไง
ก็อารมณ์เสีย หึง จนไปกับนางมาร ขัดใจกวีจริงๆ  :z3: :z3: :z3:

นี่โดนนิ่ม มอมเหล้า มีเซ็กส์ ถ่ายภาพไว้แบล็กเมล์ล่ะสิ
กวี เชื่อคนอย่างนางมารนิ่มไปได้  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ป่านนี้ยังนึกไม่ออก ว่าเมื่อคืนไปงานอะไร กินเหล้ากับใคร
อย่างนี้แหละ ฉลาดแต่เรียนจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มาต่อให้รู้เรื่องเถอะ สั้นเกินนน :hao5: :hao5: :hao5: อย่าไปได้กับชะนีนั่นเชียวนะ ไปเอาชัยเลย  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ชัย #13


“เดี๋ยวเจอกันนะ”

คำพูดทิ้งท้ายของกวี  แฟนผม คนที่ทำให้ผมยิ้มใส่โทรศัพท์จนโดนเพื่อนทั้งทีมเหล่ตาใส่อย่างแปลกใจ สงสัยผมยังอยู่ในช่วง ‘เห่อ’ ความสัมพันธ์ใหม่นี้ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคบกับใครนะ แต่กับกวี ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่คลิ๊กที่สุดเท่าที่เคยมีมา เขาทำให้มีความสุขทุกครั้งที่เจอและอยู่ด้วย คงเพราะเรามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง มันเลยไม่ต้องพูดอะไรมาก ไม่ต้องมีฟอร์มมาก เป็นตัวของตัวเองได้เต็มท่ีและผมก็รู้สึกว่า กวีเองก็ชอบผมที่เป็นผมแบบนี้ด้วย

หลังจากวิ่งผ่านน้ำเรียบร้อย ผมก็บิดบิ้กไบค์คันงามของผมไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว (ไม่ต้องแวะไปส่งไอ้หลงนี่โคตรดี ถึงเร็วมาก) ผมรีบเข้ามาในร้าน เพื่อไปนั่งที่ประจำผมทันที ตอนนี้หลังจากเคลียร์กับพี่โน่ได้แกก็จะสั่งพนักงานในร้านให้ติดป้ายจองให้พวกผมในช่วงเวลานี้เป็นประจำ (จนบางทีผมเริ่มจะคิดมากว่าพี่โน่มันคงยังไม่ตัดใจจากกวี) เลยไม่ต้องรีบมาถึงที่นี่มากเพื่อจองที่นั่งเหมือนเมื่อก่อน ผมมาถึงผมก็หยิบสมุดหนังสือที่เตรียมมาอ่านกับกวีมาวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน (เพราะกวีบ่นทุกวันถึงความไม่พร้อมของผม หลังจากได้มันเป็นเมีย เอ้ย….เป็นแฟนเลยต้องเอาใจหน่อย เดี๋ยวอด….)

“สวัสดีครับ พี่ชัยใช่ไหมครับ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้างในขณะที่ผมกำลังจัดหนังสือให้เป็นระเบียบอย่างหน้ามืด(เยอะจัง ไม่เคยอ่านหมดแต่ก็ให้เอามาทุกเล่มทำไมเนี่ย?)
“เอ่อ….สวัสดี ….เรารู้จักกัน?” ผมเงยหน้าจากกองหนังสือมาเจอเด็กผู้ชายที่ขาวสูง ผมและตาสีอ่อน ขายาวแขนยาวดูเก้งก้างไม่ได้ส่วนเท่าไหร่เพราะดูผอมเกินไป แต่สิ่งเดียวที่เด่นคือหน้าขาวใสออร่านั้น ใครวะ? ผมคิดในใจ

“พี่ไม่รู้จักผมหรอก แต่ผมรู้จักพี่โคตรดีเลย พี่แม่งหล่อและเล่นบาสฯโคตรเก่ง!”
“เฮ้ย!! ชมกันเกินไป ว่าแต่มึงเป็นใครวะ?”
“อ้าว พูดขนาดนี้นึกว่าจะนึกออก ก็เพิ่งแข่งรอบกระชับมิตรไปกันเอง”
“……..” อย่างที่เคยบอกผมจำตัวผู้ไม่ค่อยได้ พอมันพูดแบบนี้ก็ยิ่งนึกไม่ออก เจอกันตอนแข่ง เวลาแข่งขันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนะโว้ย ใครจะไปจำได้
“อ่ะๆ…. ใบ้ให้อีกนิด”
“……..” คราวนี้มันเดินลงมานั่งที่ฝั่งตรงข้ามเฉยเลย ผมถึงกับขมวดคิ้วกับสิ่งที่ไอ้เด็กนี่มันทำ
“พี่ผมก็ลงแข่งด้วย เราหน้าตาคล้ายกัน”
“เฮ้ย!! ไอ้แฝดนรก!!” ผมนึกออกทันทีเพราะมันเป็นที่เล่นกวนบาทาที่สุดแล้ว สลับตัวสับขาหลอกตลอด งุนงงกันทั้งสนามจนคนพากษ์เลิกเรียนชื่อมัน ทุกคนเลยเรียกว่า ‘ไอ้แฝดนรก’
“เออ…. อืม…. อันนั้น ใครๆ เขาก็เรียกพวกผมแบบนั้น จนชักจะลืมชื่อตัวเองแล้ว”  ไอ้เด็กคนข้างหน้าผมมันทำหน้าซึมเหมือนเด็กอนุบาลโดนล้อชื่อพ่อ
“เฮ้ยๆ โทษทีๆ ก็กูจำไม่ได้หรือป่าววะ ชื่อพวกมึงน่ะ จำยากจะตายห่า”
“โอเค งั้นผมแนะนำตัวให้พี่ใหม่ก็ได้ ผมวศิน เรียกไอซ์ก็ได้ครับ ส่วนพี่ผมก็วสุ ชื่อเล่นเฟรมครับ”
“แล้วมึงจะบอกชื่อพี่ชายมึงให้กูงงเพื่ออะไรวะ”
“พี่จะได้ไม่สับสนไง”
“กูว่ากูยิ่งงวมากกว่าว่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เขาว่าพี่ความจำสั้นเห็นจะจริง”
“ความจำกูดีจะตายไป”
“งั้นผมชื่ออะไร?”
“สาด…. ถามงี้กูก็ตายดิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นไหม?”  มันหัวเราะตาหยีใส่ผม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมรู้สึกสนิทกับไอ้เด็กนี่ง่ายดี ท่าทางที่มันแสดงออกดูเปิดเผยจริงใจจนผมเผลอหัวเราะกับท่าทางของมันไปด้วย

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ไอ้เด็กเวรนี่ เล่นกูซะแล้ว นี่กูเพื่อนเล่นมึงเหรอ!”
“………….” พอได้ยินผมเสียงแข็งใส่ มันก็พาลหยุดหัวเราะหน้าซีดไปสงสัยมันจะกลัวผมจริงๆ ไอ้เด็กนี่มันหลายอารมณ์ดี สงสัยจะเกลียดมันไม่ลงเสียแล้ว
“กูล้อเล่น ฮ่าฮ่าฮ่า…. มึงนี่ตลกดีนะ”
ผมเผลอหลุดขำเสียงดังจน ไอ้เด็กเด็กนี่ยิ้มและหัวเราะตาม
“พี่ล้อผมเล่นอีกแล้ว”
“ไม่! กูพูดจริง! กูไม่ใช่เพื่อนเล่นมีง แต่กูก็ไม่ได้โกรธอะไรมึงหรอกนะ ไม่มีธุระอะไรก็ไปได้แล้ว มึงนั่งทับที่แฟนกูอยู่”
“แฟน? หมายถึงพี่กวี ที่มานั่งด้วยกันบ่อยๆ ใช่ไหม?”
“………” ผมพูดอะไรไม่ออก กำลังงงว่าทำไมมันรู้เรื่องผมดีจัง
“พี่จะถามใช่ไหมว่าผมรู้เรื่องพี่ขนาดนี้ได้ไง?  ก็ผมเป็นแฟนคลับพี่ไง แอบปลื้มมานานแล้ว”
“กูเนี่ยนะ มีแฟนคลับ?”
“อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะ ผมแอบชอบพี่มานานแล้วนะ หากรู้ว่าพี่ชอบผู้ชายเกมือนกัน ผมคงจีบพี่ตั้งแต่ม.สี่แล้ว”
“อะไรนะ?” ข้อมูลมันมาเร็วไปผมรับไม่ทัน
“ก็ผมชอบพี่ไง”
“เฮ้ย อะไรของมึง! ที่กูชอบกวี ไม่ใช่เพราะมันเป็นผู้ชาย กูชอบที่กวีคือกวี ตัวผู้คนอื่นกูไม่ได้พิศวาสด้วยกรอกนะ”
“แต่อย่างน้อย ก็แปลว่าผมก็มีโอกาสล่ะ เพราะพี่ไม่ได้รังเกียจผู้ชาย แล้วพี่ได้กันยังล่ะ แล้วพี่เป็นแบบไหน รุกหรือรับ? แต่ผมว่าพี่รุกแน่เลย ดีจังยิ่งรู้ยิ่งอยากได้เลย” มันพูดน้ำไหลไฟดับ ปล่อยคำถามไม่ยั้งแถมแต่ละคำที่มันพูด…

“มึงนี่มัน!!….” ผมไม่เคยเจอผู้ชายด้วยกันจีบแบบรุกไล่อย่างนี้มาก่อน ถึงกับอยากจะตะบันหน้าขาวออร่านั้นด้วยหมัดรัวๆให้มันสาสมที่มันมาวุ่นวายกับผม

“คุยอะไรกัน? ท่าทางน่าสนุกดี” เสียงของกวีดังขึ้นทางด้านหลัง ผมรู้สึกถึงความเย็นในน้ำเสียงเสียดแทงกระดูกสันหลังจนขนลุกวาบไปครึ่งตัว แฟนจ๋าอย่าเข้าใจผิดนะ มันมาเองผมไม่เกี่ยว
“ไม่มีอะไร เราไม่รู้จักมัน นั่งก่อนสิ”

“……….” กวีมองไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ที่ซึ่งไอ้เด็กโย่งนั่งอยู่
“นี่ไง เจ้าของเก้าอี้มาแล้ว มึงลุกไปได้แล้ว ไปไหนก็ไปไป๊”
ผมสะบัดมือไล่ไอ้เด็กนั่น ชื่ออะไรนะ ‘ไอซ์’ มั้ง
“ครับพี่” ไอ้เด็กไอซ์พูดลากเสียงกรอกตาลุกจากเก้าอี้เดินข้างๆ กวี
“พี่ก็ดูไม่เท่าไหร่ เตี้ยกว่าผมอีก แถมเล่นบาสฯก็งั้นๆ ผมว่าผมเหมาะกับพี่ชัยมากกว่าพี่นะ” ไอ้เด็กไอซ์พูดขึ้นมาตรงหน้ากวี มันมองทางผมยิ้มตาหยีเหมือนเช่นเคยและโบกมือลาเดินหนีไปทางหน้าร้าน (มันมาทำอะไรที่นี่วะ?)

“………..” กวีมองหน้าผมเชิงตั้งคำถาม
“เฮ้ย! เราไม่รู้จักมัน อยู่ๆ มันก็เข้ามาทักตีสนิทด้วย”
“นายก็เลยทำเป็นสนิท เห็นหัวเราะเสียงดังเลย”
“ก็ไอ้เด็กนี่มันตลกดีนี่……” ผมเห็นสายตาของกวีแล้วทำให้หยุดพูดไปเฉยๆ
“แต่สุดท้ายก็พยายามไล่มันไปล่ะ”
“เนื้อหอมจริงๆนะเนี่ย” กวีพูดพลางเปิดหนังสือตรงหน้าแบบผ่านๆ แบบแผ่นต่อแผ่น
“กวี… นายหึงน่ะดิ? ใช่ไหม?”
“เปล่า!” กวีมีอาการเสียงสูงเล็กน้อย
“ตอนนายหึงนี่มันน่ารักดีนะ”
“ก็บอกว่าไม่ได้หึงไง ไม่มีอะไรทำหรือไง? อ่านหนังสือไป”
กวีโยนหนังสือเตรียมสอบเล่มใหญ่ใส่หน้าผม
“ฮ่าฮ่าฮ่า….. นายนี่มันน่ารักจริงๆ” ผมยิ้มและยักคิ้วให้เขา ผมเห็นกวีก้มหน้าอ่านหนังสือโดยพยายามหลบหน้าแดงๆ ของเขาไว้

…………………

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่าวแค่นี้หรอสั้นจัง
 :ling1: :ling1: :katai5: :katai5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
……

เฮ้อ!!!……

ผมถอนหายใจหลังซ้อมกีฬาเสร็จ วันนี้มันโคตรว่าง กวีไม่ว่างต้องไปทำธุระกับพ่อแล้ววันนี้จะทำอะไรล่ะ ปกติคืนวันศุกร์แบบนี้ผมจะขอไปนอนบ้านกวี หากเขาต้องอยู่บ้านคนเดียว (ซึ่งก็เกือบทุกสัปดาห์) บางทีเลิกเรียนหรือเลิกซ้อมบาสฯ พวกเราก็ไปคลุกอยู่ด้วยกันเลย (กินข้าวอ่านหนังสือ อะไรไป คุยกันเรื่อยเปื่อย ส่วนเรื่องแบบนั้นเขาไม่ได้ยอมผมง่ายๆหากไม่มีอารมณ์ร่วม เขายังบ่นเจ็บทุกครั้ง แต่เขาก็ทนผมรบเร้าไม่ได้นานหรอก)

“ไอ้หลง โอเวอร์วอท์ช โต้รุ่งไหมมึง??”
“ไม่ล่ะ พี่เอิร์ธไม่มีเวร กูต้องรีบไปดูแลพี่เขา”
“ดูแล พี่หมอเป็นอะไรวะ?”
“พี่เอิร์ธบอกกูว่าคลื่นไส้ อยากกินของเปรี้ยวๆ สงสัยกูจะทำพี่เขาท้อง”
“ไอ้สัด พี่เขาเป็นผู้ชายจะท้องได้ไง…… เฮ้ย!! เดี๋ยวนะ มึงจับพี่เขากดสำเร็จแล้ว!! ดีใจด้วยเว้ย!!”
“กด? เชี้ย!! ใช้ศัพท์เหมือนกูไปข่มขืนพี่เขา เขาเต็มใจกับกูโว้ย วันนี้ว่าจะขอจัดถึงสว่าง”
“ไอ้ขี้โม้ กูจะฟ้องพี่หมอว่ามึงพูดแบบนี้”
“เชี้ย!! ใจเย็นๆดิ เฮ้ย!! พี่เอิร์ธโทรมาแล้ว กูไปล่ะ” ไอ้หลงมันทำท่าจะเข้ามาคล้องคอผม พอได้ยินเสียงริงโทนเฉพาะกิจ มันก็วิ่งออกไปรับสายด้านนอกห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
“ไอ้หลง ไอ้คนทิ้งเพื่อน!!” ผมตะโกนด่ามันก่อนที่หลังของมันจะหายไปจากสายตาผม และหลงมันก็หายไปเลย

ผมออกจากโรงเรียนเดินเรื่อยเปื่อยหาของกินแถวย่านตลาดโต้รุ่งในเมือง ผมคงต้องหาอะไรรองท้องก่อนเข้าบ้านเพราะผมกลับบ้านดึกเป็นประจำเลยทำให้แม่มักจะไม่ทำมื้อเย็นเผื่อเท่าไหร่

วันศุกร์แบบนี้คนเยอะเป็นพิเศษ วัยรุ่น หนุ่มสาวส่วนใหญ่มากันเป็นกลุ่ม หรือมากันเป็นคู่ แต่วันนี้เหลือเราคนเดียวทำให้คิดถึงกวีขึ้นมาจับใจ  กวีกำลังทำอะไรอยู่นะ ไปทำธุระกับพ่อนี่คือไปทำอะไรฟะ? ชักสงสัย ถึงจะพยายามถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบเสียที (สงสัยกลัวผมแอบตามไป) แต่พอเขาอ้างพ่อทีไรผมก็เกรงใจที่จะถามต่อทุกที เพราะดูกวีจะมีท่าทีเกรงใจพ่อเขาอยู่มาก และก็พ่อนี่แหละทำให้ผมแสดงความเป็นเจ้าของเขาได้ลำบาก

บึ้ก!!

ระหว่างที่ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็เลยเดินไปชนคนที่เดินสวนมาอย่างจัง แต่ขนาดหุ่นอย่างผมนี่เกือบหน้าหงายเลย คนอะไรแข็งแรงชะมัด

“ขอโทษครับ ผมรีบเลยไม่ทันมอง” ไอ้โย่งที่ชนผมรีบขอโทษขอโพย
“ไม่เป็นไร ผมเองก็เหม่อ……ไป..หน่อย” ผมทิ้งประโยคด้วยการลากเสียงเพราะไอ้โย่งที่ชนผม มันคือไอ้แฝดนรกนั่น แต่ว่านี่มันคนพี่หรือคนน้องล่ะ?
“อ้าว! พี่ชัย!! บังเอิญจัง” ไอ้นี่เรียกผมเสียสนิทแบบนี้แปลว่าเป็นแฝดน้อง
“เจอมึงอีกแล้ว!! มึงนี่เหมือนสะกดรอยตามกูมาเลยนะ”
“ก็ไม่เชิงพี่ ผมเห็นคนถ่ายรูปพี่ลงในเพจว่ามาเดินแถวนี้ ผมก็เลยมาหาอะไรแถวนี้กินบ้าง เผื่อฟลุ๊คเจอพี่ไง แต่โชคดีโคตร เจอพอดี อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ ดวงสมพงษ์กัน”
มันพูดมากเหมือนเคย
“เออ.. งั้นกูไปหาอะไรกินก่อนล่ะ”ผมเดินหลบมันไปทางด้านหน้า
“โห… เมื่อกี้ยังคุยกับผมดีๆอยู่เลย จะหนีผมไปอีกแล้ว” ไอ้เด็กเวรนั่นหันหลังเดินตามมา
“กูจะไปไหนมันก็เรื่องของกู” พูดจบผมก็สาวเท้ากว้างขึ้น
“โห…ใจร้ายอ่ะ ว่าแต่พี่จะไปกินอะไรที่ไหนอ่ะ”  มันยังเดินตามมาทันผม เหมือนกับเงาอย่างไม่ลดละ
“มึงจะตามกูมาทำไมวะ?”
“ก็ผมจะไปกินร้านเดียวกับพี่ไง ร้านข้าวผัดปูที่ท้ายตลาด”
“เอ๊ะ!!… มึงรู้ได้ไงว่ากูจะไปที่นั้น?” ผมหยุดเท้ามามองหน้ามัน
“ผมเป็นใคร? แฟนคลับพี่ไง เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้”
“เอาจริงง่ะ นี่มันแฟนคลับหรือโรคจิตวะ?”
“จริงๆ พี่ อ่ะดูเลย” มันควักโทรศัพท์สมาร์โฟนหน้าจอยักออกมาเขี่ยๆ จิ้มๆ สามสี่รอบก็หันโทรศัพท์ของมันให้ผมเห็นภาพตัวเองกินข้าวกับไอ้หลงเมื่อนานมาแล้ว มีคำบรรยายใต้ภาพว่า ‘ขาประจำร้านนี้ มาบ่อยกว่าลูกเจ้าของร้านอีก งานดีขนาดนี้แวะมาดูกันได้ ร้านนี้อร่อยมากแวะมานั่งโต๊ะข้างๆเลยก็ได้’ (เฮ้ย! นี่มันแอบโฆษณารึเปล่าเนี่ย?)
“เดี๋ยวนะ สมัยนี้มีเขียนกันถึงแบบนี้เลยเหรอเนี่ย?”
“ธรรมดาพี่ ดูสิคอมเม้นท์เพียบเลย” ไอ้เด็กโย่งเลื่อนรูปภาพขึ้นไปทำให้เห็นข้อความที่เขียนทิ้งไว้มากมาย จนไม่อยากอ่าน
“เออๆ กูไปล่ะ”
“ผมไปด้วยสิ!”
“มีขามึงก็ตามกูมาเองสิ แต่กูไม่ได้ชวนนะ”
“ครับ”
พอมาถึงร้านผมก็นั่งและสั่งอาหารโดยไม่ต้องดูเมนูด้วยความชำนาญทันที ครู่เดียวไอ้เด็กนั่นก็ตามมาทันและนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามผมทันที
“ผมสั่งเหมือนพี่คนนี้ครับ” มันหันไปตะโกนบอกเจ้าของร้าน
“เฮ้ย! มีง!! ใครให้มึงมานั่งที่เดียวกับกู กูบอกแล้วไงว่ากูไม่ได้ชวน” ผมดุใส่มัน
“โห! พี่ร้านนี้คนก็เยอะ ที่มันเหลือน้อยแล้ว นั่งตรงนี้แหละจะได้ไม่เหงาด้วย ยังไงเราก็รู้จักกัน”
“ใครรู้จักมึง!”
“เราแนะนำตัวกันแล้วไง!”
“ไปเลย ไปนั่งตรงโน้น กูไม่รู้จักมึง!”
“พี่ชัยครับ นั่งด้วยคนดิครับ นะนะ” ไอ้เด็กนี่มันทำท่าออดอ้อนเสียงดัง ไหนจะอากัปกิริยาที่เหมือนเด็กนั่นอีก พอเห็นคนตัวใหญ่ขนาดนี้ทำแบบนี้แล้ว มันดูน่าอายพิลึก  ดีที่หน้ามันน่ารักไม่งั้นคงจะแย่กว่านี้ ผ่านไปเป็นนาทีมันก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดทำ
“เออๆ พอได้แล้ว ไม่อายเขาบ้างหรือไง!”
ทั้งที่ผมวางเฉยไปแล้ว แต่ก็ทนคนรอบข้างที่จ้องมองมากันเป็นตาเดียวไม่ได้
“ขอบคุณครับ” ยิ้มตาหยีให้ผมเหมือนเคย

ไม่นานนานอาหารที่ผมสั่งก็มาถึงโต๊ะของผมประกอบไปด้วย ข้าวผัดปูจานพิเศษ กระเพาะปลาน้ำแดงพิเศษและ หมูสะเต๊ะ 1 ชุดใหญ่ (หลังซ้อมบาสฯ มันหิวหน้ามืด) ส่วนอีกคนก็มาเป็นเซ็ตเดียวกับผม ดูสีหน้ามันก็รู้ว่ามันคงคิดว่ากินไม่หมดแน่นอน นี่สิเขาเรียกว่าสั่งไม่คิด

ผมเริ่มจากการตักพริกที่แช่อยู่ในแก้วน้ำปลาตรงหน้าใส่จานจนกลายเป็นเหมือน ข้าวผัดราดพริก ผมชอบรสชาติที่ลงตัวของมันเวลามันคลุกอยู่ในข้าวผัด นี่สิรสชาติของชีวิต (กวีมักจะทำหน้าน่ากลัวทุกครั้งที่เห็น เพราะเขาไม่กินเผ็ดก็รู้สึกแสบท้องแทนผมทุกครั้ง)  พอเห็นผมตักพริกใส่จาน ไอ้เด็กฝั่งตรงข้ามมันก็ทำตามทันที แต่พอมันตัดใส่ปากเท่านั้นแหละ หน้าแดง เป่าปาก กินน้ำเข้าไปทีเดียวเกือบหมดแก้ว ผมเห็นเหงื่อมันผุดออกมาทุกรูผุมขนบนหน้า ดูแล้วสังเวชชะมัด

“เฮ้ย!! มึงอ่ะ กินเผ็ดไม่ได้ก็อย่ามากินสิว่ะ”
“ก็ผมอยากรู้ว่ามันเป็นยังไงนี่นา…เห็นพี่กินน่าอร่อย อีกอย่างผมมีชื่อนะเรียกชื่อผมก็ได้นะ”
“………….”
“ไอซ์ ครับ ผมชื่อไอซ์”
“ก็กูจำพวกตัวผู้ไม่ค่อยได้นี้หว่า”
“งั้นก็จำผมไว้สักคนก็ได้ครับ จำในฐานะ ‘น้องที่สนิทกันเป็นพิเศษ’ ก็ได้ครับ”
“เชี้ย กูก็เคยบอกแล้วว่ากูมีเมียแล้วไง!!”
“นั่นไง ผมว่าแล้วว่า อย่างพี่กวีเนี่ยต้องเป็นเมียพี่แน่นอน อิจฉาพี่เขาจังเลยอ่ะ”
“นี่อะไรของมึงเนี่ย…… เดี๋ยวนะ แปลว่า…..”
“ผมก็บอกอยู่ว่าอยากเป็นเมียพี่ไง!! เสียดายรู้งี้มาจีบนานแล้ว แมนๆ อย่างพี่ผมก็กลัวพี่เตะ”
“กูจะเตะมึงตอนนี้แหละ สัด!! กูบอกว่ากูไม่ชอบผู้ชายไง”
“ก็พี่มีแฟนเป็นผู้ชาย!!”
“กวีเป็นข้อยกเว้นคนเดียวในโลกโว้ย!!”
“ตื้อเท่านั้นที่ครองโลกครับ!”
“ไอ้เชี้ยนี่!!!”

มันไม่โต้ตอบแล้ว เหลือแค่ยิ้มฟันขาวให้ วันนี้พอมานั่งดูมันดีๆ แบบนี้แล้ว มันมีหน้าตาที่คมคายไม่เบา จมูกดูโด่งเป็นสัน ตาที่สีดูอ่อนกว่าคนทั่วไป ปากสีชมพูจนเกือบแดง ผิวขาวที่มีกระอยู่ประปราย ดูจะผอมไปหน่อย แต่หากโตขึ้นนับว่าหน้าตาดีจนบัลลังค์หนุ่มฮอตของผมในปีถัดไปน่าจะสั่นคลอนเสียแล้ว
“มึงชื่อว่าอะไรนะ?”
“พี่นี่ความจำสั้นจริงๆ ผมไอซ์ วศิน สตีเว่นสัน ครับ”
“?!?!”
“อ้อ นามสกุล ได้จากพ่อที่เป็นคนต่างชาติน่ะครับ”
“กูก็ว่าแล้วเชียวหน้ามึงแม่งแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนใคร”
“พี่นี่ความรู้สึกช้านะครับ เพราะทุกคนถามผมตั้งแต่แรกเจอเลย”
“เออๆ กินข้าวเถอะ กูรำคาญ  กูอยากกลับบ้านแล้ว”

ระหว่างกินข้าวไอ้เด็กไอซ์นี่ มันก็ชวนผมคุยตลอดจนผมต้องนั่งกินข้าวไปเกือบชั่วโมงกว่าจะหมด ผมรีบเรียกพนักงานในร้านมาเก็บเงิน ก่อนที่จะมีคนถ่ายรูปผมกับมันไปลงเพจนั่น จนผมต้องอธิบายยืดยาวให้กวีฟังอีก แค่คิดถึงสายตาเย็นๆ แบบนั้นผมก็เสียวสันหลังแล้ว กวีเป็นคนดื้อเงียบ ดังนั้นผมรู้ได้ทันทีเลยว่า ง้อยากแน่นอน

ระหว่างรอพนักงานคำนวนเงินค่าอาหารแบบแยกจ่ายอยู่ ไอ้เด็กไอซ์ที่นั่งเล่นโทรศัพท์เครื่องใหญ่ของมันแบบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ (หวังว่ามันคงไม่แอบถ่ายรูปผมไปลงเพจคู่กับมันนะ)
“เฮ้ย!!” อยู่ๆ ไอ้เด็กนั่นมันก็ร้องออกมา
“อะไรของมึงอีกเนี่ย?” ผมหยิบเงินให้พนักงานร้านอาหารที่ตกใจเสียงมันจนสะดุ้ง
“พี่ว่า คนนี้มันคล้ายพี่กวีหรือเปล่า?” ไอ้เด็กไอซ์หันหน้าจอโทรศัพท์ให้ดู
“ไหนๆ” ผมคว้าข้อมือมันขึ้นมาดูหน้าจอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะแว่บแรกที่เห็นภาพที่แสดงขึ้นมานั่นมันเป็นแนว 18+  ผมส่องภาพนั่นอย่างตั้งใจมากขึ้น มันเป็นภาพเด็กหนุ่มนอนกึ่งเปลือยอยู่บนเตียงแบบไร้สติ ผมเลื่อนดูภาพต่อๆมาด้วยใจระทึก ภาพต่อมาเป็นภาพที่เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังโดน ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งโอบรอบตัวและหน้าซุกไซ้อยู่ที่ต้นคอ และอีกหลายๆภาพที่แสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังโดนลักหลับอย่างโจ่งครึ้มกับชายหนุ่มที่ไม่เห็นหน้าตามากกว่าหนึ่งคน!!

จริงๆแล้วตั้งแต่ภาพแรกแล้วผมมองคนในภาพมีความคล้ายกวีถึง 70% แต่เปิดดูภาพอื่นๆ ให้แน่ใจอีกที ทำไมผมยิ่งแน่ใจยิ่งขึ้น ทำไมผมจะจำรูปร่างแฟนตัวเองไม่ได้ (โดยเฉพาะตอนเปลือย) แต่ผมยังคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันไม่ใช่ ผมพยายามพินิจพิเคราะห์ภาพที่เห็นอย่างใส่ใจมากขึ้น

“ใช่ไหมพี่? ไอ้เด็กไอซ์ถามด้วยหน้าตาที่ดูซีดลงไป
“มึงไปเอามาจากไหน?” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
“เพื่อนๆ ส่งต่อๆ มาอีกที เห็นบอกเป็นเซ็ตภาพที่ลงไว้ในบล็อคเฉพาะกิจอันหนึ่งที่พวก…แบบอย่างพวกผมไปปล่อยของกันน่ะครับ”
“ปล่อยของ??”
“ก็พวกภาพ หรือคลิป18+ น่ะครับ”
“พวกมึงนี่ก็แก่แดดนะ อายุถึงแล้วหรือไง?”
“แฮะๆ” มันยิ้มเจื่อนๆ ใส่ผม แต่ผมก็คงว่ามันไม่ได้หรอกนะเพราะผมก็เป็นแบบนั้นแหละ
“เวปอะไร มีลิงค์ไหมเปิดให้ดูหน่อย”
สักพักมันก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มๆ เขี่ยและยื่นมาให้ผม
ผมเห็นบล็อกที่มีการแสดงภาพชายหนุ่มหลายชาติในสภาพนุ่งน้อยห่มน้อยแสดงอยู่ ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันจะมีเวปอะไรพวกนี้อยู่ด้วย (แต่ก็ไม่น่าแปลก ผมก็ดูเว็ปแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่เป็นสาวญี่ปุ่นมากกว่า)
“มึงรู้ไหมว่าใครโพสต์ภาพพวกนี้?”
“ไม่…ไม่รู้ครับ” พูดจบมันก็เขี่ยไปมากับหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองอย่างร้อนรน

มือผมสั่นไปหมดในมือของผมตอนนี้กำลังกดโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหากวีทันที แต่ไม่รับสาย ผมยิ่งรู้สึกใจไม่ดี

“รูปพวกนี้มันโพสต์เมื่อไหร่?” ผมถามมันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิมในมือกดหมายเลขโทรด่วนจากโทรศัพท์ตัวเองอีกครั้งแต่ก็เหมือนครั้งแรกไม่มีใครรับสาย ผมมองนาฬิกาตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว กวีที่บอกผมว่าไปทำธุระกับพ่อน่าจะกลับถึงบ้านแล้ว แต่ทำไมไม่รับสายผม อยู่ในห้องน้ำ? หรืออะไร? ผมคิดจนขยี้หัวตัวเองจนยุ่ง

“รู้สึกว่าจะพึ่งโพสต์นะครับ” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจออย่างละเอียด
“ไหนกูขอดูหน้าเวปหน่อย!!” ไอ้เด็กไอซ์ยื่นโทรศัพท์มาให้ผม ผมพิมพ์ค้นหาชื่อเวปในมือถือตัวเองจนเจอ ภาพเซ็ตนั้นยังอยู่ในท้อปคอมเม้นของบล็อกนี้อยู่ มีคนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย หลายคนถึงกับถามว่ามาจากนิตยาสารไหน? มีเบื้องหลังไหม? ผมพยายามมองหน้าคู่กรณี แต่ก็เห็นแค่คางบ้าง เห็นเป็นด้านหลังศรีษะบ้าง ดูแล้วเหมือนถูกเซ็ตไว้อย่างดีแต่คนที่หน้าตาเหมือนกวีนี่เปลือยแทบจะเห็นหมดทุกอวัยวะ

ผมรู้สึกร้อนรน ผมต้องพิสูจน์ให้แน่ใจ ผมวิ่งออกจากจุดที่ยืนคุยกันอยู่ในร้านจนมาถึงรถบิ้กไบค์ของผม ผมบิดไปหากวีที่บ้านแบบไม่ดูเข็มบอกความเร็วที่บอกเลยว่าน่าจะเกินกำหนด เพียงอึดใจเดียวผมก็มาถึงหน้าบ้านของกวี ประตูรั่วบานใหญ่ยังคงปิดสนิทเงียบงัน ภายในรั่วบ้านมีเพียงแสงสว่างจากเสาโคมไฟตามถนนที่ทอดยาวไปถึงตัวคฤหาสหลังใหญ่ด้านในบรรยากาศยังดูเงียบเหงาเหมือนเคย

“น้าขาวครับ น้าขาว” ผมเดินไปที่ประตูบานเล็กด้านข้างประตูบานใหญ่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัยกลางคน เดินออกมาจากมุมมืดเช่นเคย
“อ้าวคุณชัย มาเสียดึกเลย”
“กวีอยู่ไหมครับ”
“อำน้าอีกแล้วใช่ไหมอ่ะเรา ไม่ได้ไปด้วยกันรึ?” ลุงขาวทำท่าชะเง้อส่องซ้ายขวาของผมอย่างกับจะหาอะไรที่ผมซ่อนไว้
“กวี ไม่ได้อยู่บ้านกับคุณพ่อหรือครับ?”
“คุณหนูยังไม่กลับเลยครับ คุณผู้ชายไม่อยู่บ้านครับ น้านึกว่าคุณหนูอยู่กับคุณชัย?”
“เอ่อ…. สงสัยคราดกันตอนขับรถมา ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรหาเขาเอง ขอบคุณครับ”

พูดจบผมก็ขับรถออกมาเลย ตอนนี้อาหารในท้องที่เพิ่งกินเข้าไปเริ่มปั่นป่วนจนเหมือนมันอยากจะพุ่งออกมา หัวสมองกะลังประมวลผมว่าจะต้องทำอย่างไรต่อดี ผมหยุดรถที่ข้างทางไม่ไกลจากบ้านของกวี หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาขอความช่วยเหลือทันทีผมไม่รู้พึ่งใคร ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะมันอาจจะทำให้เสื่อมเสียได้หากข่าวมันแพร่กระจายออกไป

“ไอ้หลง มึงอยู่ไหน? กูมีเรื่องให้มึงช่วย!!”
“เชี้ย!! อะไรวะ กูกำลัง….”
“ไอ้หลงกูขอร้อง ช่วยกูด้วย”
“เฮ้ย!! เกิดอะไรขึ้นน้ำเสียงไม่ดีเลย”
ไอ้หลงมันคงจะรู้ คบกันมานานผมเคยใช้คำว่าขอร้องกับมันนับครั้งได้ บวกกับน้ำเสียงผมคงจะสั่นมากจนไอ้หลงรู้สึกว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น  ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่รู้มาให้มันฟัง

“เชี้ย! กูว่ามันแม่งไม่ดีแล้วว่ะ เอางี้!! มึงมาหากูที่บ้านพี่เอิร์ธแล้วกูกับพี่เอิร์ธจะพยายามปรึกษากันว่าจะช่วยมึงยังไง”
“โอเค”

ผมขับรถไปถึงบ้านพี่เอิร์ธได้ไวเท่าความคิดก็คงจะดี แม้จะขับรถอ้อมเมืองไปแต่ผมก็ไปถึงเร็วจนไอ้หลงแปลกใจว่าผมขี่มอเตอร์ไซค์หรือนั่งพรมวิเศษมา พี่เอิร์ธขอเว็ปอันนั้นมาและทำเรื่องรายงานไปยังโฮสของบล็อกนี้เนื่องจากพี่เอิร์ธพอจะมีเพื่อนที่มีเส้นสายทางกระทรวงไอซีทีอยู่บ้างเลยทำให้เวปไซต์นั่นถูกปิดชั่วคราวไปเรียบร้อยเพื่อสอบสวนที่มาที่ไปของภาพและพิจารณาฟ้องร้องสำหรับการเปิดเว็ปไซต์อนาจารนี้ (ถือว่าซวยไปนะ) ที่เหลือก็แค่ภาวนาไม่ให้มีใครเซฟรูปออกไปก่อนเท่านั้น ส่วนเพื่อนพี่เอิร์ธกำลังช่วยหาต้นตอที่มาของคนที่โพสต์รูปภาพเหล่านี้ว่ามาจากแหล่งใด ผมแทบจะกราบแทบเท้าพี่เอิร์ธที่ช่วยเหลือขนาดนี้

ตอนนี้ปัญหาเหลืออีกหนึ่งคือ ตามหากวีให้เจอ!

ผมกับไอ้หลงช่วยกันโทรเข้าโทรศัพท์ของกวีอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีการรับสายจากกวีเลย ผมร้อนใจมากแต่ไม่อยากแจ้งตำรวจให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงพ่อผมจะเป็นตำรวจ ผมรู้จักเพื่อนพ่อเยอะ แต่ก็กลัวเรื่องมันจะบานปลายกลายเป็นข่าวใหญ่โต ผมรู้ว่ากวีไม่ชอบแบบนั้น และครอบครัวของกวีเองก็เป็นคนมีหน้ามีตาของจังหวัด มันคงไม่ดีที่จะเป็นข่าวแบบนี้

แน่นอนครับว่าพี่เอิร์ธไม่เห็นด้วย แต่ผมขอทัดทานไว้ก่อน หากยังหาทางอื่นที่จะตามหาไม่ได้ผมคงต้องพึ่งพ่อตัวเอง
พ่อผมเป็นคนเถรตรง คงไม่ยอมอยู่นิ่งๆ แน่นอน ในหัวผมวนเวียนอยู่กับการตัดสินใจจนไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้

“ไอ้ชัย มึงจะเดินวนไปวนมาทำไมนักหนาวะ?”
“กูกำลังคิด กูร้อนใจกูอยู่เฉยไม่ได้ กูไม่รู้จะต้องทำยังไงจริงๆ”
ผมมองนาฬิกาข้อมือที่ตอนนี้เลยเที่ยงคืนมานิดๆแล้ว แต่ผมยังไม่สามารถติดต่อกวีได้ แม้เรื่องของพวกภาพในเวปเหล่านั้นจะเรียบร้อยแต่มันเทียบไม่ได้กับการหายตัวไปของกวีผมแทบจะภาวนาเทพทุกองค์ในโลกให้ช่วยผมหากวีให้เจอ

“กูเข้าใจ….เออ มึงโทรถามเพื่อนร่วมทีมบาสฯ ของไอ้กวียัง?”
“กูไม่ค่อยรู้จักเพื่อนกวีเท่าไหร่ กวีเป็นคนมีเพื่อนน้อย….. เออ!! ใช่ ทำไมกูนึกไม่ถึงนะ ไอ้หยก กูเคยไปกินเหล้ากับมัน มันอยู่ทีมเดียวกับกวี”
“เออ!! โทรหามันดู เผื่อมันบอกได้ว่าครั้งสุดท้ายเห็นกวีที่ไหน? แล้วเราจะเริ่มจากตรงนั้น!!”

หลังจากพยายามติดต่ออยู่สองสามรอบก็โทรหาไอ้หยกติด ไอ้หยกมันรับสายด้วยน้ำเสียงสลึมสลือ ไล่เรียงถามไปจนได้ความว่า ไอ้หยกมันเห็นกวีครั้งสุดท้ายหลังซ้อม มันบอกว่าเห็นกวีรีบขับรถออกจากโรงเรียนหลังซ้อมเสร็จทันที เหมือนมีนัด แล้วกวีก็ไม่ได้บอกกับใครด้วยว่าไปไหน หลงบอกให้ผมถามมันว่ากวีขับรถรุ่นไหนมาจนได้รู้ว่าเป็นรถวอลโว่ที่กวีมักจะขับเป็นประจำ (ที่บ้านกวีมีรถหลายคัน)

“ขอบใจมากหยก …… อ้อ ไม่มีอะไร แค่….. มันเบี้ยวนัดแดกเหล้าวันนี้นะ” ไอ้หยกมันถามด้วยความหงุดหงิดว่าทำไมต้องตามตัวกวีขนาดนี้ ผมเลยต้องหาคำแก้ตัวแบบเอาสีข้างเข้าถู
“ไอ้กวีเนี่ยนะ แดกเหล้า!! แล้วแม่งไม่ชวนกู!!” หยกบ่นอุบอิบผ่านสายโทรศัพท์
“เออๆ วันหลังนะ เดี๋ยวกูจะชวนมึงด้วย นอนต่อเถอะมึง” ผมกดวางสายรู้สึกตัวเองแก้ตัวได้ไม่เนียนเท่าไหร่…
“แล้วมึงให้กูถามเรื่องรถทำไม่วะ?” ผมถามไอ้หลงด้วยความสงสัย
“อ้าว!! มึงเป็นลูกตำรวจจริงไหมเนี่ย สมัยนี้ทุกถนนมีกล้องวงจรปิด มึงไปถามใครที่ดูแลการจราจรก็น่าจะรู้ว่า ไอ้กวีไปแถวไหน แล้วเราค่อยเริ่มหาจากจุดนั้น!”
“เออจริง!! ทำไมมึงถึงคิดได้?” ผมค่อนข้างงงกับความคิดที่เฉียบแหลมของไอ้หลง สงสัยอยู่กับพี่หมอมาก พี่เขาเลยแบ่งความฉลาดมาให้มันบ้าง
“มึงมันหัวร้อนจนคิดไม่ถึงเอง” ไอ้หลงสวนมา
“……….” เออ! จริงของมัน ผมมันหัวร้อนมากจนคิดอะไรไม่ออก ความจริงผมบอกกับไอ้หลงกับพี่เอิร์ธแล้วว่าจะขับรถออกตามหามันให้ทั่วเมือง แต่พี่เอิร์ธบอกว่าเสียเวลาเปล่า เมืองใหญ่ขนาดนี้เราไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน สู้เรามารวมหัวกันคิดกันดีกว่าว่าจะเริ่มกาจากจุดไหน หาทางสืบไปเรื่อยๆ ก่อน มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยมันดีตรงนี้
“ปัญหาคือ…. เราจะให้ใครดูกล้องวงจรปิดให้ รู้เรื่องรถแล้ว รู้เวลาแล้ว” พี่หมอเดินมาจากไหนไม่ทราบ เขาพูดและทำท่าคิดแบบนักสืบ
“เรื่องนั้น ผมพอจะคิดออกครับ ผมมีน้าเขยที่สนิทกันในแผนกจราจร เดี๋ยวผมขอไปปรึกษาเขาก่อนนะครับ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาทันทีในขณะที่ไอ้หลงและพี่หมอยืนลุ้นอยู่ข้างๆ


...............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2017 08:59:32 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลังจากที่ตอบคำถามล้านแปดกับน้าเขยอยู่มากกว่าสิบนาที กว่าเขาจะยอมร่วมมือด้วย และผมต้องกำชับไว้แน่นหนาว่าห้ามบอกพ่อเด็ดขาด น้าเขยแค่รับปากแบบผ่านๆทำให้ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเรื่องจะไม่ไปถึงหูพ่อหรือเปล่า..... เมื่อคราวแก็งเด็กแว๊นที่รุมทำร้ายผมนั่นก็ทีหนึ่งแล้ว ไอ้พวกนั่นโดนเข้าสถานพินิจกันหมดเป็นข่าวใหญ่โต และคราวนี้ผมอยากให้เงียบที่สุด แต่ไม่มีเวลามาลังเลแล้วคงต้องเดินหน้าสถานเดียว!

ไม่นานหลังจากวางหูกับน้าเขย หลังจากที่พวกผมนั่งเฝ้ารอข่าวคราวจากน้าเขย ในที่สุดเขาก็โทรกลับมาเป็นสิบห้านาทีที่ยาวนานมากๆ ในชีวิตผม

“ชัย.. น้ารู้แล้วว่ารถคันนั้นมุ่งหน้าไปทางไหน รู้สึกจะไปแถวคลองส่งน้ำประปาชานเมืองนะ และก็ไม่เห็นกลับออกมาเลย น้าแน่ใจนะว่ายังไม่ออกมา พยายามดูอยู่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นรถคันนั่นผ่านออกมาเลย เอาไงเรา? ให้น้าช่วยไหม? เดี๋ยวให้ลูกน้องขับตามหาให้” ผมเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ยินด้วยกันจนทั่ว

“อืมมมม.... ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมลองไปหาดูก่อน ผมรู้จักแถวนั้นดี”
“เออ.. งั้น.... ถ้าจะให้ช่วยก็บอก”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ผมวางสายเสร็จก็หันไปหาพี่หมอกับไอ้หลงทันที

“กูว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นไม่ดีแล้วล่ะ เพราะที่ๆ กวีไปน่ะ มันเป็นแถวบ้านนิ่ม มันไปทำอะไรแถวนั่นวะ”
“หรือถ่านไฟเก่ามันจะคุ” ไอ้หลงพูดสวนขึ้น
“ไม่นะ.... ไม่น่าจะใช่ เราเคยคุยกันเรื่องนี้อยู่ ด้วยความเป็นคนดีของกวี มันอยากจะจบกับนิ่มดีๆ ซึ่งแน่นอนกูไม่เห็นด้วย เพราะกูก็บอกกวีว่ามันจบตั้งแต่ยัยนิ่มมันไปเริ่มเดทกับคนอื่นในช่วงที่กวีทะเลาะกันแล้ว!!”

“หรือว่าเขาจะนัดกันไปเคลียร์ให้เรียบร้อย” พี่หมอเสริม
“แล้วทำไมต้องไปเคลียร์ในถิ่นนั่นด้วย เคลียร์กันที่อื่นก็ได้” ผมวิเคราะห์ต่อ
“กู...ว่า.... น่าจะใช่... กูได้ยินพวกเชียร์ลีดเดอร์พูดกันว่าจะไปงานวันเกิดนิ่มที่จัดขึ้นแถวบ้าน แต่กูฟังผ่านๆ นะไม่แน่ใจว่าวันไหน...” ไอ้หลงพูดด้วยทำหน้าเหมือนพยายามเค้นเอาข้อมูลออกจากสมองน้อยๆ ของมัน
“นี่แหละ นั่นแหละ ใช่เลย!! เดี๋ยวกูโทรหาน้องฟ้าก่อน น้องเป็นลีดฯ ใหม่ในกลุ่มน่าจะถูกเชิญด้วย”
“คอนเน็คชั่นเยอะมากไอ้ชัย กวีน่าจะดีใจนะเนี่ย!”
“มันใช่เวลามาล้อเล่นไหม...สัด แล้วมันก็มีประโยชน์ไม่ใช่เรอะเวลาแบบเนี่ย!”
“เออๆ กูไม่เถียงกับมึงแล้ว รีบๆ โทรเหอะ ดึกแล้วเนี่ย! น้องไม่นอนไปแล้วเหรอ”

ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาน้องฟ้าทันที ฟังเสียงที่เป็นเพลงรอสายยังไม่ทันจบท่อนฮุค เสียงใสๆ จากอีกฝั่งก็ทักมา จากน้ำเสียงแปลว่ายังไม่ได้นอน
“สวัสดีคะ พี่ชัย เปลี่ยนใจอยากมาปาร์ตี้กับฟ้าแล้วเหรอคะ”
“ปาร์ตี้?”
“อย่างงสิคะ ฟ้าส่งไลน์ไปชวนอยู่”
“ปาร์ตี้อะไร? แล้วฟ้าอยู่ที่ไหน?”
“ไม่สนใจฟ้าเลย งอนแล้วเนี่ย”
“โอ๋ๆ น้องฟ้าอย่างอนพี่เลยนะ พี่ก็เคยบอกน้องแล้วนี่ว่าพี่มีแฟนแล้ว คงไปไหนมาไหนกับน้องฟ้าไม่ได้แล้ว ว่าแต่น้องฟ้าอยู่ไหนครับ” ขณะที่ผมพูดอยู่ก็โดนสายตาหมั่นไส้จากไอ้หลงที่นั่งข้างๆ ส่งมาจนต้องยิ้มแห้งๆ กลับไป น้องฟ้าเป็นเด็กน่ารักที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมา ความน่ารักของเธอทำให้ถูกทาบทามไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ และก็ไม่รู้อะไรหรือทำไมที่เธอพยายามตามชื่นชมผมอยู่ตลอด ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมไปถูกใจอะไรเธอแต่ผมก็ไม่ปฏิเสธนะครับ ถ้าจะแค่คุยด้วยพอกระชุ่มกระชวย แต่จะให้เกินเลยคงไม่ครับ ตอนนี้หัวใจมันไม่ได้อยู่กับผมแล้วและตอนนี้หัวใจผมหายไป ผมกำลังตามมันกลับมา

“อ้าว!! ก็งานวันเกิดนิ่มไงคะ จำไม่ได้เหรอ ฟ้าส่งโลเคชั่นให้ด้วยนี่คะ บอกว่าว่างก็ตามนี่คะ” เออ! ผมอ่านแล้วแต่ไม่สนใจเลยจำรายละเอียดไม่ได้ ผมใส่ใจแฟนตัวเองที่อยู่ข้างๆ มากกว่า
“อ้อ...พี่จำได้แล้วจ๊ะ ว่าแต่ฟ้ายังอยู่ที่ปาร์ตี้ไหม?”
“อยู่คะ พี่จะตามมาใช่ไหมคะ แต่ไม่ทันแล้วคะเพราะวันนี้ฟ้าเจอคนจองควงแล้ว”
“เอ่อ.... เสียดายจัง ว่าแต่พี่ถามหน่อยได้ไหมครับว่า น้องฟ้าเห็นผู้ชายหน้าตาน่ารัก ขาวสูง หุ่นนักกีฬา ดูมีฐานะและไม่ใช่เด็กโรงเรียนเราอยู่แถวนั้นไหม?”

“คนแถวนี้ก็สเปคแบบนั้นเยอะเลย นี่พี่จะถามหาเพื่อนหรอกเหรอ ไม่ได้โทรมาง้อน้องใช่ไหม?” ผมว่าในกระแสเลือดเธอน่าจะมีแอลกอฮอล์บ้างแล้วล่ะ เพราะเริ่มพูดจาเลอะเทอะแล้ว ปกติแม้เธอจะเป็นคนเปิดเผยแต่ไม่ถึงขั้นนี้ แต่จากประโยคของฟ้าแสดงว่านิ่มก็กว้างขวางไม่น้อย

“เอ่อ.... คนที่มาหานิ่มน่ะมีไหม?”
“อืม....จะว่าไปก็มีนะ มีแบบนั้นสองสามคนแต่ก็หายไปกับนิ่มข้างบนน่ะ  แล้วนี่เจ้าของวันเกิดมันหายไปไหนเนี่ย?”
ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เสียวสันหลังวาบ
“โอเค งั้นแค่นี้นะ” ผมวางสายทันทีแทบไม่ฟังเสียงโวยวายของฟ้าที่ลั่นออกมาจากลำโพงโทรศัพท์เลย

“กูว่ากวีต้องแอบไปเคลียร์กับนิ่มแน่ๆ แม้จะมีข้อมูลไม่ชัดเจนแต่กูว่าใช่แน่ๆ กูรู้สถานที่แล้วไปกันเถอะ”
“พอมาทีนี้แล้วจะมีจิตสัมผัสเกิดขึ้นเลยว่างั้น?”
“โธ่! ไอ้ห่ากูจริงจัง” ผมเริ่มหงุดหงิดกับไอ้ปากไม่มีกาละเทศะของไอ้หลงจริงๆ
“กูล้อเล่นให้มึงคลายเครียด เอ้า!! ไปกัน!!”
 
ผมทั้งสามคน รวมไอ้หลงและพี่หมอ รับออกเดินทางไปที่จุดที่ส่งจีพีเอสมาจากน้องฟ้า ผมรู้สึกว่ารถคันใหญ่ของพี่หมอเดินทางไม่คล่องและเร็วเท่าผม เลยขอขับบิ้กไบค์ของตัวเองมา และก็จริงดังคาดผมขี่มาถึงก่อนสองคนนั้นล่วงหน้าหลายนาที แต่ปรากฎว่าร้านคาเฟ่สุดแนวแห่งนี้เงียบเหงาลงเสียแล้ว มีเพียงไฟไม่กี่ดวงเปิดอยู่ภายใน มีรถจอดอยู่หน้าร้านสองสามคันแต่ไม่ใช่รถของกวีสักคัน

ผมโทรติดต่อสองคนนั้น ทั้งหลงและพี่หมอบอกว่าผมไม่เจอรถของกวีจอดอยู่ที่นี่ ทั้งสองบอกผมให้รอก่อน เดี๋ยวค่อยออกไปตามหาแถวนี้พร้อมกัน ผมมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าเวลานี้ล่วงเลยจนถึงตีหนึ่งแล้ว ผมร้อนใจเลยเดินโผงผางลุยเข้าไปในร้านมืดสลัวตรงหน้า

มองจากนอกร้านผ่านผนังที่เป็นกระจกพบว่ายังมีคนหลงเหลืออยู่ในนั้นเกือบสิบชีวิต  ที่สำคัญประตูไม่ได้ล็อค ผมตัดสินใจผลักประตูเข้าไปมองหาให้หายข้องใจ  ภายในร้านที่เต็มไปด้วยขวดน้ำอัดลม โซดา แก้วพลาสติก และขวดเหล้าราคาถูกหลากหลายยี่ห้อนอนกลิ้งไปมาเกลื่อนโต๊ะไปหมดทุกโต๊ะ พื้นที่ดูเหมือนคนแถวนี้ไม่รู้จักถังขยะ เศษนู้นนี่วางระเกะระกะไร้ระเบียบ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนอยู่ในสนามรบเลย ผมพยายามเดินเลี่ยงเศษขยะเหล่านั้นไปจนถึงกลุ่มคนเบาบางที่ยังเหลืออยู่

“น้องๆ” คิดว่าน่าจะอายุน้อยกว่า กลุ่มคนเหล่านั้นหันมาอย่างเหนื่อยหน่ายเหมือนภาพช้าในหนัง
“ครับ....พี่.....”  ผมไม่เข้าใจว่าคนเมาทำไมต้องลากเสียงด้วย ตอนผมเมาผมก็ไม่เคยรู้สึกตัวด้วยสิ
“อันนี้ปาร์ตี้วันเกิดน้องนิ่มใช่ไหม?”
“ใช่ป่าวว่ะ?” ไอ้คนที่มีสติที่สุดที่ตอบผมอยู่คนเดียวตอนนี้หันกลับไปถามเพื่อนร่วมโต๊ะ
“อืมๆ มั้ง ก็ชวนๆกันมาบอกว่าฟรี...... ก็เลยตามกันมา” คนที่อยู่ถัดจากคนแรกตอบกลับมา
“กูว่าใช่.....คนที่เป็นเด็กใหม่ ‘ไอ้วศุ’ นั่นไง น่าจะชื่อนิ่มนะ กูมาไม่ทันตอนเป่าเค้กช่วงหัวค่ำว่ะ” ไอ้คนที่อยู่ด้านในรีบแสดงความคิดเห็น

นี่สรุปว่าแขกที่มาร่วมงานพวกนี้มันมาโดยไม่รู้เลยรึไงว่างานนี้มันงานใคร คนกลุ่มนี้ไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนผมแน่นอน ไม่คุ้นหน้าสักคน มีผู้หญิงอยู่ในกลุ่มสองสามคนที่ไม่ได้พูดอะไร แค่จับกลุ่มซุบซิบกันเฉยๆ ไม่ได้สนใจผมเลย (ผมเดาว่าพวกเธอน่าจะเป็นแฟนของไอ้สามตัวขี้เมานี่แหละ) ผมเดินเลยเข้าไปในร้านไปถึงโซฟาตัวใหญ่ด้านในที่เหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งหลับสลบไสลไม่ได้สติกองอยู่สองสามคน มีหนึ่งในนั่นที่ผมจำได้ดี ‘น้องฟ้า’ นั่นเอง เธออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเรียกได้ว่าน่ารักได้เลย ผู้หญิงเวลาเมานี่หาความสวยไม่เจอเลย ไหนจะบรรดาเศษอาหารที่พวกเธอสำรอกออกมารอบๆถังขยะที่ล้อมตัวพวกเธออยู่ ผมแอบแสดงสีหน้ารังเกียจแบบแสแสร้ง

“พวกนั่นน่ะพี่ เป็นพวกเมาแล้วโวยวายเลยจับไปกองรวมกัน ให้อ้วกอยู่ด้วยกันแบบนั่นแหละ”

หญิงสาวในกลุ่มเมื่อครู่ตะโกนข้ามโต๊ะมา ผมหันไปแสยะยิ้มกลับไปเป็นเชิงขอบใจ ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นที่นี่แน่ๆ ที่กวีมา แต่เขาหายไปไหน? แล้วรถของเขาล่ะ ยิ่งคิดหัวผมก็ยิ่งเบลอ ดวงตาของผมแสบร้อนจนต้องให้น้ำในตาช่วยบรรเทา มันเจ็บจี๊ดข้างในอก แข้งขาผมเหมือนจะหมดแรง ผมรวบรวมกำลังทั้งตัวผมไปที่มือกำแรงๆและยกขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ บอกกับตัวเองว่าจะยอมแพ้ไม่ได้ ผมจะหากวีจนกว่าจะเจอ ผมจำได้ว่าฟ้าพูดถึงข้างบนชั้นสอง ผมกวาดตาโดยทั่วและวิ่งไปที่ประตูบานหนึ่งที่มีป้ายรูปบันไดเล็กๆอยู่ด้านบน

............(ต่อ)............

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


ผมวิ่งขึ้นไปชั้นบนแบบไม่ลังเล พอออกจากโพลงบันไดทางขึ้น พื้นที่ข้างบนนี้เป็นลานกลางแจ้งที่มีการจัดโต๊ะแบบอยู่ในสวนจำลอง บรรยากาศดีมากหากเปิดไฟสลัวๆ เพื่อดื่มเครื่องดื่มไปด้วยชมจันทร์ชมดาวไปด้วย แต่ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความมืดสลัว มีแสงไฟเรืองด้วยแรงไฟอ่อนๆ ตามมุมเสาเท่านั่นที่ทำให้ที่นี่ไม่มืดเกินไป ผมเดินสำรวจไปทั่วพื้นที่นี้ พบแต่เพียงร่องรอยการเฉลิมฉลองข้างบนนี้เท่านั้น

ขณะที่ผมกำลังตัดใจจากการหาร่องรอยของกวีที่ชั้นสอง ผมทรุดนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า สายตาผมก็พบกับสิ่งหนึ่งที่สะท้อนแสงไฟที่น้อยนิด แยงเข้าตาผมพอดี ผมรุดหน้าเอื้อมไปหยิบสิ่งนั้นมาดูว่ามันคืออะไร ผมใช้ไฟจากแฟลชมือถือส่องพินิจดูให้แน่ใจว่ามันคืออะไร มันคือเศษอลูมิเนียมรูปโดนัท ผมจำได้ทันทีว่านี่คือเศษพวงกุญแจรถของกวีแน่นอนเพราะผมเคยล้อให้เขาเปลี่ยนเสียทีมันเก่าเสียจนจะพังอยู่แล้ว กวีบอกว่าชอบและหาซื้อไม่ได้แล้ว มันเป็นของร้านประจำของผมกับเขาซึ่งมีมาขายตอนเปิดครบ 1 ปีและตอนนี้ไม่มีแล้ว ผมแน่ใจว่าใช่ของเขาแน่ๆ

ผมรีบวิ่งลงไปชั้นล่างและสอบถามคนที่ยังเหลืออยู่ในร้านทันทีแต่ไม่มีใครเห็นมีอะไรแปลกๆ เลย เพราะทุกคนก็เมาเหมือนกันหมด เป็นภาพชินตาที่จะเห็นเพื่อนๆ ที่เมาน้อยกว่าแบกคนที่หมดสภาพออกจากร้าน เนื่องจากคนมันเยอะมากไม่มีใครจำใครได้เลย

 ผมตัดสินใจออกจากร้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เตะหญ้าเตะใบไม้แห้งไปทั่วลานจอดรถหน้าร้าน พยายามสกัดกั้นไม่ให้ตัวเองร้องโวยวาย เพียงครู่เดียว ไอ้หลงกับพี่หมอก็ขับรถมาถึง ผมรีบเล่าทุกอย่างให้ฟังทันที

พี่หมอมีอาการหน้าซีดชัดเจนหลังฟังที่ผมเล่าให้ฟังและสะกิดให้ไอ้หลงที่ทำท่าลังเลอะไรสักอย่างอยู่

“บอกมันตอนนี้จะดีหรือพี่?”
“พี่ว่า.... ดีกว่าไม่บอกนะ อย่างน้อยจะได้ช่วยกันคิดตามหากันต่อ”
“อะไร? ไอ้หลง! พี่หมอหมายความว่าไง?”
“เออ.....กู.....กูกับพี่หมอ.. ที่พวกกูมากันช้า.... เพราะทางเข้าหลักของที่นี่มีอุบัติเหตุ เลยต้องอ้อมเข้ามาอีกทางหนึ่งน่ะ แล้วกูก็ไปเจอนี่!” ไอ้หลงมันชูกุญแจรถของกวีที่มีพวงกุญแจชำรุดอันนั้นพ่วงติดอยู่ ผมเอาเศษที่อยู่กับผมลองไปทาบดู มันคืออันเดียวกันจริงๆ ผมกระชากกุญแจรถจากไอ้หลงมากำไว้แน่น

“มึงไปเจอที่ไหน?” เสียงผมสั่นเครือ
“กูก็จะเล่าให้ฟังนี่ไง กูขับรถไปเจอรถไอ้กวีจอดอยู่แถวปากทางเข้าถนนเส้นนี้อีกทาง กูพอจะจำทะเบียนได้เลยเดินเข้าไปสำรวจดู ปรากฏว่าไม่มีคนอยู่ในรถมีแต่กุญแจรถเสียบคาอยู่ว่ะ ดีนะที่รถไม่หายไปด้วย”

“ใครเป็นคนทำเรื่องเหี้ยๆ แบบนี้วะ อย่าให้กูรู้นะกูฆ่าแม่งให้ตายสักสิบครั้ง?” ผมสบถออกมาทั้งๆ ที่น่าจะรู้คำตอบดีในใจ
“ใจเย็นๆ หลง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การหากวีให้เจอก่อนนะ พี่ว่ารถของเขาอยู่แถวนั่น ไอ้คนที่ทำร้ายกวีน่าจะอยู่ไม่ไกลหรอก!” พี่หมอเดินมาแตะไหล่ผมเบาๆ เป็นการปลอบให้ผมเย็นลง
“ใช่! กูเห็นด้วย แถวนั้นมีพวกโรงแรม ห้องเช่ารายวัน ม่านรูดอยู่เยอะหลายทีด้วย ต้องใช้เวลานะ”
“ได้!! แต่ก่อนอื่น... กูขอเผาร้านเหี้ยนี่ก่อน กูว่าไอ้เจ้าของร้านนี่มันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน” พูดจบผมก้าวเท้าอย่างเร็วไปที่รถ ในใจคิดว่าจะเอาน้ำมันในตัวถังราดและเผามันให้วอดไปเลย
“ไอ้บ้า!! กูบอกให้ใจเย็นๆ” ไอ้หลงวิ่งมาล็อคคอผมไว้ก่อนที่ผมจะไปถึงตัวรถ
“เชี้ย!! กูไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว สัด!! มันทำถึงขนาดนี้เลยนะ หากเปลี่ยนจากกวีเป็นพี่หมอแล้วมึงจะทำยังไง?”
“กู.... กูก็คงทำแบบมึง” ผมรู้สึกว่าแรงแขนของไอ้หลงที่ยึดผมอยู่เริ่มอ่อนลง

“พอได้แล้ว” พี่หมอตวาดเสียงดัง

“พวกเธอกำลังทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง ไหนว่าเป็นห่วงกวีไง ไหนว่าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชื่อเสียงของกวี ทำแบบนี้มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ทำแบบนี้มีแต่จะเป็นข่าวใหญ่โต แล้วพวกเธอก็จะกลายเป็นอาชญากร!!”

เหมือนเสียงฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อม คำพูดของพี่หมอเหมือนจะช่วยเรียกสติผมกลับคืนมา การมีผู้ใหญ่อยู่ในกลุ่มมันดีแบบนี้นี่เอง เขาจะเป็นคนที่ใจเย็นที่สุด อ่านสถานะการณ์ได้ดีและเตือนสติเราได้ ดีจังที่เพื่อนผมมีแฟนอายุเยอะกว่า เหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดไม่ผิดที่แอบเชียร์สองคนนี้ให้ได้กัน อย่างน้อยไอ้หลงก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง

“ขอโทษครับ / ขอโทษครับ” ผมกับไอ้หลงพูดขึ้นพร้อมกัน

ผม ไอ้หลงและหมอ ช่วยกันตะเวนตามหาตามที่ต่างๆโดยเริ่มจากจุดที่รถของกวีจอดอยู่ การตามหากวีครั้งนี้ทำให้รู้ว่าเมืองเรามีซอกซอยเยอะมาก  และในระแวกนี้มีโรงแรมหรือที่พักชั่วคราวอยู่เยอะมากเช่นกัน การเดินไปเคาะหากวีทุกๆทีบริเวณนี้เป็นเรื่องยากมาก และใช้เวลามากๆ  เพราะคนแถวนี้ไม่ให้คงามร่วมมือดีๆ เลย จนต้องอ้างเป็นตำรวจกันเลยทีเดียวบางที ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว ยังเหลืออีกสองสามซอยในการค้นหาและสอบถาม ผมพยายามโทรหากวีอยู่เรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรับสายอยู่ดี ตอนนี้ผมทั้งง่วงทั้งเหนื่อยทั้งหิว พี่หมอชวนไปกินข้าวต้มโต้รุ่งที่เปิดอยู่ใกล้ถนนใหญ่บริเวณนั้นที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นความคิดที่ดีจะได้พักผ่อนกันก่อน

โชคดีนะที่พี่หมอหยุดในวันนี้เลยไม่ต้องรีบร้อนอะไร ผมเกรงใจทั้งสองคนมาก เพราะแทนที่จะต้องเอาเวลาที่ต้องอยู่ร่วมกันแต่ต้องมาช่วยกันหากวีกับผมทั้งคืน ระหว่างที่กำลังกินข้าวต้มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความหิว พี่หมอก็ถือโอกาสถามลุงว่าเห็นรถของกวีมาจอดตั้งแต่เมื่อไหร่

“อ้อ!! ไอ้รถคันนั้นน่ะนะ เหมือนคนขับมันเมามั้ง เห็นมีเพื่อนมาแบกไปตั้งแต่หัวค่ำ”
“อะไรนะครับ? ลุงเห็นไหมครับว่าไปทางไหน?”
ผมวางทุกอย่างพุ่งไปหาลุงเพื่อเค้นเอาคำตอบทันที
“เอ่อ.. ลุงไม่ทันสังเกต รู้แต่ว่าไปทางนั้นน่ะ เหมือนจะเข้าซอยนั่นไปนะ”
“ขอบคุณครับลุง” นั่นเป็นซอยสุดท้ายที่ผมกำลังจะไปกัน ผมหันไปมองสองคนนั่นที่เตรียมผมจะไปตามหากับผมเช่นกัน เขาวางช้อนวางตะเกียบและเตรียมลุกออกจากโต๊ะโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรเลย เราจ่ายเงินให้ลุงและรีบเดินไปที่รถของแต่ละคนทันที เมื่อนาทีที่ผ่านเหมือนจะหมดแรงหิวแต่ไม่อยากอาหาร แต่ตอนนี้ผมเร่ิมมีความหวังแล้ว ระหว่างที่ทุกคนสตาร์ทพร้อมที่จะพุ่งออกไป คุณลุงร้านข้าวต้มที่ไม่รู้มาจากไหน วิ่งมาขวางรถพี่หมอไว้จนพี่หมอร้องลั่นรถ

“ลุง!! ทำไรเนี่ย?” พี่หมอลดกระจกลงมาต่อว่า
“ลุงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะ แต่เอ้า!! ข้าวปลาแทบไม่พร่องเลย จ่ายเงินแล้วก็เอาไปกินให้หมดเถอะ เสร็จเรื่องจะได้กิน ลุงทำอร่อยนะเช้ามืดแถวนี้หาอะไรกินยาก” ลุงร้านข้าวต้มยื่นอาหารที่เราสั่งเมื่อที่ตอนนี้อยู่ในถุงหมดแล้วให้พี่หมอ ซึ่งพี่หมอก็รับไว้แบบงงๆ ผมก็งงครับ เพราะลุงแกเอากับข้าวเยอะแยะพวกนั้นใส่ถุงหมดได้ไงเวลาแค่นี้ ลุงยื่นให้เสร็จแกก็เดินเข้าร้านไปอย่างเร็วเช่นกัน ก่อนขับออกมาผมเหลือบไปมองชื่อร้านของลุงแกนิดหนึ่ง ‘ลุงเทอร์โบข้าวต้มจานด่วนริมทางหลวง’ อ่านจบก็เข้าใจในทันที

ตอนนี้แสงแรกของวันวาดขึ้นมาบนท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว ขับไล่ม่านมืดยามราตรีไปจนหมด กว่าผมจะขับรถผ่านจุดกลับรถมาถึงซอยที่ลุงบอกมาได้ก็ใช้เวลาหลายนาทีอยู่ ตอนนี้ผมเพลียมากมากเสียจนจะลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็ต้องอดทนเดินเข้าไปถามที่พักริมทางอีกสองที่ที่เหลืออยู่ให้ได้ จนแล้วจนรอดพวกผมก็คว้าน้ำเหลวเพราะไม่มีใครจำกวีได้เลย ทุกคนมักจะบอกเป็นเสียงกันว่าวัยรุ่นสมัยนี้ก็คล้ายๆ กันหมด ยิ่งบ้านเมืองเจริญขึ้น เด็กก็โตไวขึ้น การมาใช้บริการห้องพักชั่วคราวแบบนี้ก็ยิ่งมากขึ้น ผมแอบเห็นด้วยเพราะผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น สมัยนี้อะไรมันง่ายไปหมด หากมีเงินก็ทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่ยาก ผมแอบเสียใจกับการกระทำของตัวเองและเด็กวัยรุ่นรุ่นผมทันที แต่นี่ยังไม่ใช่เวลามาติดเรื่องแบบนี้ ผมเดินเรื่อยเปื่อยออกมาจากโรงแรมม่านรูดหลังสุดท้ายของบริเวณนี้ น้ำตามันไหลอออกมาไม่รู้ตัว เดินผ่านรถบิ้กไบค์ของตัวเองและห่างขึ้นเรื่อยๆ

“ชัย.... เฮ้ย... ไอ้ชัย มึงจะไปไหน?”
ผมได้ยินเสียงของไอ้หลงเรียกชื่อผมแต่ตอนนี้ผมกลับไม่อยากหันกลับไปเจอหน้ามัน ไม่อยากเจอหน้าใครอยากอยู่คนเดียว คิดถึงคนที่ผมอยากเจอที่สุดคนเดียว
สายตาผมมองออกไปไกลออกไปในแสงแดดยามเช้าที่อบอุ่น เหมือนดวงตาของผมในตอนนี้ที่เริ่มจะร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนน้ำในตาค่อยๆหลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมันไว้


ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงที่ตั้งไว้เฉพาะกวีเท่านั้น ผมรีบควานหาโทรศัพท์ในกะเป๋าสะพายตัวเองและกดรับทันที

ด้วยความเป็นห่วงผมรีบสอบถามถึงสถานภาพของเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง? แต่ดูเหมือนเขาจะยังมีอาการมึนงง บอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองได้น้อย คล้ายคนเพิ่งตื่นนอน และมีอาการเมาค้างนิดๆ ผมไม่ถามต่อให้มากความ แม้ความจริงแค่ได้ยินเสียงเขาว่าปลอดภัยดีมันก็ดีมากแล้วแต่ผมต้องการมากกว่านั่นต้องการเห็นเขา กอดเขา สัมผัสเขาให้รู้กันว่าเขาปลอดภัยดีจริง 100% ผมบอกให้เขาส่งโลเคชั่นผ่านไลน์มาทันที ก่อนกดวางสายผมบอกเขาว่าให้เตรียมพร้อมให้ดีเดี๋ยวผมไปรับ

ผมรีบวิ่งกลับไปที่รถพร้อมอธิบายให้สองคนที่ช่วยกันตามหาทราบถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก่อนผมจะอธิบายจบ กวีก็ได้ส่งโลเคชั่นเข้ามาพอดี ผมเปิดแผนที่ดูพบว่ามันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมอยู่กันเลย ผมเดาว่าต่าจะเป็นโรงแรมม่านรูดเก่าๆ ที่ก่อนที่จะมาถึงโรงแรมที่ผมยืนอยู่ เป็นที่ๆ มีอาม่าแก่ๆ เฝ้าอยู่และเป็นที่ๆ ไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ บ่นแต่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีใครมาเช่า คนที่เช่าวันนี้ก็เช็คเอ้าท์ออกหมดแล้วด้วย ผมนึกไปขับรถไป

ผมมาถึงจุดหมายตามแผนที่ที่กวีส่งมา ผมเดินหารอบๆบริเวณเพราะแผนที่ที่ระบุในโทรศัพท์ เป็นที่รู้กันว่าเป็นอะไรที่คลาดเคลื่อนได้มหาศาลมาก ไม่นานพี่หมอกับชัยก็ขับรถมาถึง ผมสั่นหน้าเป็นการบอกให้คนในรถรู้ว่าผมยังหากวีไม่พบ ผมลองเดินออกห่างมาอีกหน่อยก็เห็นเงาร่างที่คุ้นตาเดินโซเซไร้เรี่ยวแรงที่ริมถนนทางหลวงใกล้ศาลาพักริมทาง ผมวิ่งตามเงาร่างนั้นจนแน่ใจว่าใช่แน่นอนเมื่อคนๆนั้น ไปหยุดนั่งพักที่ศาลาผมตะโกนเรียกสุดเสียง  เขาหันมาหาผมและยิ้มซึมๆกับมาด้วยท่าทางหมดแรง

.................................................

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ไปๆมาๆกวีกลายเป็นเมียโดยสมบูรณ์ได้ยังไง ม่ายยยย :katai1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กวี......ซื่อเหลือเกิน ทำไมชะล่ากับคนแบบนิ่มนรกได้  :z6: :z6: :z6:

ชัย ได้หลักฐานจัดให้หนักเลย
นิ่มนรก คิดได้นะแรื่องเลวๆ เลิกกันแล้ว ก็ทำถึงขนาดนี้
ล่อลวง วางยา ให้เพื่อนชาย ลับหลับ ถ่ายคลิป แบล็กเมล์ เลวชาติ
ให้เวรกรรมตามสนองเถอะคนเลวแบบนี้
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ชัย#14

หลังจากผมพบกวีและพากลับมาชำระล้างตัวที่บ้านพี่หมอ ผมจับเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า กินยาที่พี่หมอเตรียมให้ พาเขาไปหลับที่ห้องรับรองแขกของบ้าน พี่หมอขอเข้าไปตรวจสอบร่างกายในช่วงเขาหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา ผมขอเข้าไปด้วยแต่พี่หมอปรามไว้ พี่เขาบอกว่าพี่สะดวกใจมากกว่าที่จะทำคนเดียว ผมยืนลุ้นอยู่นอกห้องจนไอ้หลงแซวว่า ผมพาเมียมาทำคลอด เดินไปมาเหมือนลุ้นว่าลูกจะคลอดออกมาเป็นยังไง หากเป็นปกติผมคงหัวเราะและกระโดดถีบมันไปแล้ว แต่ผมรู้สึกเป็นห่วงกวีจนทำใจขำกับมุกของไอ้หลงไม่ออก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แต่กับความรู้สึกของผมเหมือนรออยู่ด้านนอกนานมาก นานจนคิดว่าผมจะติดอยู่ในช่วงเวลานี้ชั่วนิรันด์  ทันทีที่พี่หมอออกมาจากห้องรับรองแขกพร้อมถอดถุงมือยางสีขาว พี่หมอยิ้มให้ผมด้วยท่าทางอิดโรย ผมเข้าใจนะครับ ไหนจะอดนอน ขับรถออกตามหากวีกับผมทั้งคืน ไหนจะต้องมาตรวจสุขภาพเบื้องต้นให้กวีอีก เป็นใครก็คงมีหน้าตาแบบนั้นแหละ

“มีแต่รอยช้ำเล็กน้อย คงโดนกระทำนู้นนี่นิดหน่อย เหมือนที่เห็นในภาพนั่นแหละ แต่ไม่มีร่องรอยการล่วงล้ำเข้าไปนะ ดูจากอาการแค่ขาดน้ำจากอาการเมาอย่างหนัก ไม่น่าโดนยาอะไรนะ อันนี้พี่คงต้องส่งไปตรวจเลือดอีกที”

“ขอบคุณมากครับ พี่หมอ” ผมแทบจะลงไปกราบพี่หมอแทบเท้า
“เอ้ยๆ ไม่ต่องทำขนาดนั้นคนกันเอง แล้วนี่ก็เป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว”
“ผมเข้าไปหาเขาได้หรือยังครับ”
“อืม.....ได้สิ”

พอสิ้นคำพี่หมอ ผมรีบเปิดห้องเข้าไปหากวีที่นอนหมดสติที่เตียงนอนขนาดห้าฟุต หน้าตายังดูซีดเซียวเหมือนตอนที่เจอเขาครั้งแรกที่ศาลาริมทางหลวง เขามีท่าทางหลับสบาย กวีนอนนิ่งๆ หายใจเข้าออกปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาคงยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่เขาหายไป ผมลงไปนั่งข้างๆ ทรุดลงไปกับพื้นเตียงจับมือของเขาข้างที่โผล่พ้นผ้าห่มผืนบางที่คลุมเขาไว้อย่างอบอุ่น ในที่สุดผมก็ได้สัมผัสกับเขาอีกครั้ง ผมหอมแก้มเขาเบาๆให้ชื่นใจ ทันใดนั้นความอ่อนเพลียก็เข้าครอบงำผมจนผมต้องเอนตัวพับลงมานอนข้างๆเขา และผมก็จมสู่ความมืดของห้วงนิทราแบบไม่รู้ตัว

......................
จ้อกกกก......

ผมตื่นมาเพราะเสียงความหิวของตัวเองปลุกให้ลุกขึ้นมาหาอาหารเลี้ยงร่างกาย ผมลืมตาขึ้นมาภายใต้เพดานสีครีมอ่อน ที่ซึ่งมีโคมไฟดวงโตแขวนอยู่กลางพื้นที่แบบขัดใจ เพราะพื้นที่ที่ไม่ได้กว้างขวางเท่าไหร่

สิ่งที่ผมควานหาหลังจากที่ตื่นเต็มตาและสติกลับมาเกือบร้อยคือกวี คนที่ผมจำได้ว่าก่อนผมจะเผลอหลับไปผมได้นอนข้างๆเขา และผมก็อดยิ้มไม่ได้ เมื้อมือผมได้เอื้อมไปสัมผัสเขาได้อีกครั้ง ผมลุกขึ้นนั่งมองคนขี้เซาที่ยังไม่มีทีท่าจะตื่นเสียที

ผมมองออกไปนอกหน้าต่างที่แสงแดดภายนอกยังทำงานอย่างขยันขันแข็งส่องแสงสว่างจ้าเข้ามากระทบตาผมจนแสบร้าวไปหมด ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเลยเที่ยงไปไม่นาน ผมยืนขึ้นบิดขี้เกียจอย่างเคย ผมมักจะร้องโอยเบาๆช่วงที่บิดลำตัวไปมาเพื่อคลายเส้นที่ตึงหลังจากนอนนิ่งยาวๆ แบบนี้ ผมมองเห็นกวีที่นอนในสภาพยืดแขนขาบนเตียง เสียผ้าที่ไม่พอดีกับขนาดของเขาหย่อนยืดจนเห็นเนื้อหนังขาวเนียนของเขา ผมยอมรับว่าผมคิดถึงเขามากจนอยากจะล่วงเกินเขาทั้งที่ยังหลับอยู่ (ผมคิดเอาเองว่าเขาคงโอเค) แต่ผมลองสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกับเขา ใช้มือลูบและค่อยๆ ดึงเสื้อขึ้นมา ทำให้ผมเห็นรอยจ้ำ รอยช้ำแดงปนเขียว ตามตัวของเขา แม้ไม่เยอะจนน่าเกลียด มันไม่ได้ทำให้ผมหมดอารมณ์ แต่มันทำให้ผมโกรธจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ ผมถึงกับต่อยพื้นเตียงเสียงดัง ‘พั่บ’

“ช่วยไปเล่นตรงนั่นด้วยนะ เราจะนอน ยังปวดหัวอยู่เลย”
“ตื่นแล้วนี่นึกว่ายังไม่ตื่น”
“อืม... ตื่นมาพักหนึ่งแล้ว ก็นายเล่นขยับตัวเสียแรง”
“โทษทีนะ หิวหรือยังเนี่ย? ลุกขึ้นมากินข้าวกินปลาได้แล้ว!”
“หัวยังหน่วงๆ อยู่เลยน่ะ”
“นี่แหละน๊า ไม่เจียมตัว คอไม่แข็งทำไมถึงดื่มเยอะขนาดนี้”
“ก็นิ่มนั่นแหละ เติมให้เราไม่หยุดเลยเหล้าอะไรก็ไม่รู้แรงโคตรๆ”

ผมกำมือแน่นพอได้ยินชื่อนิ่ม ผมรู้สึกว่าไม่เคยเกลียดผู้หญิงเท่านี้มาก่อนในชีวิต
“เหล้าอะไรก็แรงสำหรับนายทั้งนั่นแหละ!” ผมพูดหยอกขณะที่พยายามยิ้มข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้
“เออ! ก็จริง”
“ว่าแต่..... ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าไปอยู่ที่โรงแรมนั่นยังไง?”
“..........” เขาทำหน้าเหมือนพยายามบีบเค้นเอาความทรงจำเรื่องนี้ออกมาจากสมองที่ปวดเหมือนโดนบีบขมับอยู่
“ทำหน้าแบบนี้ แปลว่าจำไม่ได้แน่นอน” ผมนั่งอยู่บนเตียงกอดอกในขณะที่อีกคนนอนนอนกุมขมับตัวเองอยู่
“....จำไม่ได้นะ สงสัยจะเมามาก จนพาตัวเองไปหาที่พักใกล้ๆ เพราะขับรถไม่ไหวน่ะ เราเป็นคนนอนละเมอนะ ไม่แน่ว่าจะเป็นแบบนั้น” กวีเหมือนพยายามหาเหตุผลที่เข้าตัวเองจนดูไร้เดียงสาไปเกินไป

“เฮ้อ......” ผมถอนหายใจแบบหน่ายๆ กับความคิดบวกแบบเกินขอบเขต แต่ในอีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่อย่างนั้นคงจะเจ็บปวดมาก ... มากกว่าที่ผมเป็นอยู่เมื่อวานนี้
“เมื่อวานเราฝันถึงนายด้วย ในแบบ....อย่างว่า ... บ้าชะมัด”
กวีเขินหน้าแดงทำให้ผมพอนึกออกว่ามันหมายถึงเรื่องอะไร ไม่เอาไปฝันก็แปลกก็นายโดนเล้าโลมไปจริงๆ นี่หว่า ผมรู้สึกถึงเล็บตัวเองที่จิกในฝ่ามือจากการกำหมัดสุดแรง ผมจะพวกมันขดใช้อย่างสาสม ผมจะทำให้มันตายทั้งเป็น!! อย่าให้ผมรู้ว่ามันเป็นใคร!!

“ชัย!!! ชัย เป็นอะไรน่ะ ดูเหม่อๆ”
“ไม่เป็นอะไรหรอก แต่คิดว่าจะจัดการลงโทษนายยังไง พ่อเด็กไม่ดีอย่างนาย จะทำให้เหมือนที่นายฝันไว้ดีไหม?”
“นายไม่มีสิทธิ์ว่าเราได้หรอก ชีวิตนายยิ่งกว่าเราอีก”
“เดี๋ยวนี้เก่งนะเราน่ะ ได้!! งั้นเรามาต่อจากที่นายฝันไว้เลยล่ะกัน”

“เฮ้ย!!!!”

ผมกระโจนเข้าหาคนที่นอนอยู่ตรงหน้า พรมจูบลงบนทุกส่วนของร่างกาย อีกฝ่ายได้แต่ดิ้นไปมาร้องโอดโอยกับการบุกของผม ผมจับเขากดลงบนพื้นเตียง ผมรู้สึกว่าเขาพร้อมไปเสียทุกส่วน ผมนอนทับเขาอยู่ผมรู้สึกได้ถึงการตื่นของอวัยวะบางอย่าง ด้วยความคิดถึงผมทนต่อความต้องการของตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป ผมดำดิ่งสู่ห้วงปรารถนาและมอบความสุขกับกวีอย่างต่อเนื่อง

.................(ต่อ)....................

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนหน้าชัยต้องเป็นเมียบ้างแล้วล่ะ  :hao3:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

เพี๊ยะ!!!!

ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกเข้าที่ท้ายทอยสะเทือนถึงแกนสมอง ขณะที่ผมเดินออกจากประตูห้องนอนรับรองแขก

“ไอ้เชี้ยหลง อะไรของมึงเนี่ย เดี๋ยวกูโง่กันพอดี” ผมหันหลังไปหาไอ้เลือดเย็นข้างหลัง ท่าทางของมันเหมือนมาดักรอผมโดยเฉพาะ
“สัด มึงน่าจะรู้กูตบกะโหลกมึงเพราะอะไร?”
“อะไรของมึง?”
“ไอ้เชี้ย! บ้านพี่เอิร์ธนะมึง ไม่ใช่โรงแรม ที่มึงจะทำอะไรกันแบบนี้ในบ้านเขา!”
“เอ่อ.... เชี้ย กูทำอะไรวะ ก็นอนเฉยๆ” ผมรู้สึกถึงความลนลานของตัวเอง
“นอนเฉยๆ เตี่ยมึงสิ เสียงดังลงไปถึงข้างล่าง ขนาดพวกกูนอนหลับกันอยู่ยังสะดุ้งตื่นเลยสัด! พี่เอิร์ธนี่ รีบเดินหนีไปนั่งที่สวนเลย กูเลยมาดักรอจัดการมึงอยู่เนี่ย!!”

“โห...ดังขนาดนั่นเลยเหรอวะ?”
“เออ! สิวะ...... เฮ้ย! ว่าแต่นี่มึงพกอุปกรณ์ มาด้วยหรือวะ พวกมึงทำกันยังไงว่ะ สดเหรอ? กวีไม่แย่เหรอวะมึง”
“สัด!! ไม่รู้เหรอวะ ว่ากูพร้อมตลอด นี่ไงขนาดพกพา ทั้งถุง ทั้งเจล... เห็นไหมโคตรพร้อม” ผมค่อยควักของเหล่านั้นออกมาจากกระเป๋า แล้วเสียงที่พูดก็ค่อยหรี่เบาลงเรื่อยจนเกือบกระซิบ
“แม่งเจ๋งวะ ทำไมกูโง่ว่ะ ทีหลังกูพกบ้างก็ดี จะสะดวกหน่อย ไม่งั้นกว่าจะได้ทำกัน กูแม่ง..... ว่าแต่.... ขอกูสักชุด!!”
ไอ้หลงค่อยๆขยับมาไกลจนเกือบจะเรียกได้ว่าชุมนุมซุบซิบนินทา
“เชี้ยแม่ง ไม่ลงทุนอีกแล้ว!”

“ซุบซิบอะไรกัน!!”
เสียงดุๆ ที่คุ้นหูดังขึ้นจากข้างหลัง ไม่รู้ว่าพี่เอิร์ธเดินมาถึงข้างหลังพวกเราได้ยังไง (หมอหรือนินจาวะ?)
“วางแผนอะไร ไม่ดีกันอีก? หือ?” พี่หมอกอดอกคิ้วขมวดเป็นปม
“เปล่าครับ พี่เอิร์ธ!” ไอ้หลงยืดตัวตรงส่ายหน้าลนลาน โถ่! คิดว่าแน่ นึกว่ามึงจะเป็นเสือที่แท้ก็แมว คราวนิ่มมันก็เป็นแบบนี้ พอคิดถึงตรงนี้ความอารมณ์ดีของผมก็หมดไปดื้อๆ
“กวีไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องเครียดนะ แต่ถ้าให้ดี พาไปตรวจเลือดไว้หน่อยก็ดีนะ”
“ขอบคุณครับพี่หมอ ไม่ได้พี่หมอเนี่ยผมไม่รู้จะทำยังไงเลย”
“ไม่เป็นไร คนกันเอง เพื่อนหลงก็เพื่อนพี่เหมือนกัน”
“แล้วเรื่อง..... ในห้อง.....เมื่อกี้... ผม... ขอโทษนะครับ คือมัน....”
“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ วัยรุ่นก็งี้แหละ”
“ขอบคุณครับพี่หมอ” ผมนี่ไหว้พี่หมอจนมือแทบจะถึงพื้นเลย ไม่เคยรู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณใครมากเท่านี้ ผมเคารพพี่หมอรองจากพ่อแม่เลยทีเดียว
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องทำขนาดนี้หรอก เชยจัง ว่าแต่เลิกเรียกพี่ว่าพี่หมอเหอะ เรียกพี่เอิร์ธก็ได้”
“ไม่ได้!! ผมเรียกได้คนเดียว!! ให้มันเรียกพี่หมอเหมือนเดิมล่ะดีแล้ว”
ผมยังไม่ทันจะตอบรับคำพี่หมอ ไอ้เพื่อนตัวดีดันแทรกคำขึ้นมา เวลามันอยู่กับพี่เอิร์ธนี่เหมือนเด็กเอาแต่ใจมากๆ แต่จะว่าไปเวลาผมอยู่กับกวีผมก็ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ พยายามเรียกร้องความสนใจจากเขาตลอด ก็ทำไงได้มีแฟนขรึมพูดน้อย ไม่ชอบแสดงความรู้สึกก็อย่างนี้

“เฮ้อ!! เมื่อไหร่จะโตวะเรา” พี่หมอกุมขมับส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชินปากแล้วด้วยครับ เรียกพี่หมอนี่ล่ะครับ”
“อืม.. ตามใจ”

หลังจากคุยกับผมเรียบร้อยแล้วพี่หมอก็หันไปหาไอ้หลงทันที
“แล้วเมื่อกี้ซุบซิบอะไรกัน บอกพี่มาซิ”
“ไม่มีอะไรนี่ครับ” แล้วไอ้หลงมันก็เดินหนีเนียนลงไปชั้นล่าง ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“อ้อ! พี่ เรื่องนี้ไง” ผมหยิบของเหล่านั้นให้พี่หมอดู อุปกรณ์ปฏิบัติการรักแบบพกพา
“ มันบอกว่าจะได้พร้อมตลอดเวลาครับ เผื่อพี่อยากจะเอ้าท์ดอร์”
พอจบประโยค ผมรู้สึกได้ถึงความดันของพี่เอิร์ธพุ่งสูงขึ้นได้ทันทีสังเกตได้จากหน้าที่แดงก่ำไปด้วยเลือดฝาด

“ไอ้หลง ไอ้เด็กเปรต!” พี่เอิร์ธย่างสามขุมไปหามัน ไอ้หลงมันเหมือนจะรู้ตัวรีบวิ่งหนีไปล่วงหน้าพี่หมอสามก้าว
“กูไม่ได้พูดแบบนั่นโว้ย!! ไอ้สัดเอ้ย... @£&@@!” มันตะโกนทิ้งท้ายไว้ขณะที่ก้าวขาลงบันไดไปอย่างรวดเร็วและคำหยาบคายทั้งหลายที่ไม่สามารถเขียนมาได้ตามมาอีกมากมาย

“ไอ้ตัวดี!! อย่าหนีนะ ถ้าหนีพี่ ก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก!!” พี่เอิร์ธเสียงเข้มมากจนผมรู้สึกกลัวไปด้วย ท่าทางจะโมโหจริงๆ
“แล้ว... ชัย ช่วยพี่เอาผ้าปูปอกหมอนผ้าห่มออกมากองไว้หน้าห้องด้วย พี่จะได้ให้แม่บ้านเอาไปซัก!!!”

”คับ....ครับ” ผมตกใจกับเสียงดั่งฟ้าฟาดลงมาที่ผมเผลอทำตัวตรงเหมือนทหารรับคำสั่งจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ พี่หมอพูดก่อนที่จะก้าวยาวๆ ตามไอ้หลงลงไปข้างล่าง

“อะไรกันเหรอ?”
กวีที่เพิ่งออกจากห้องเดินมาถามผมใกล้ๆ
“ไม่มีอะไร ไอ้หลงมันหาเรื่องใส่ตัวน่ะ ว่าแต่คุยกับลุงขาวว่าไง  สรุปว่า พ่อกับน้าหน่อยกลับมาหรือยัง?”
“โชคดี ยังไม่กลับ แต่น้าหน่อยแกโทรมาเช็คกับลุงขาวเหมือนเคย ดีนะที่ลุงแกสนิทกับชัย เหมื่อนเห็นลุงบอกว่าชัยไปหาเราที่บ้าน ลุงก็เลยเข้าใจว่าเราอยู่กับชัย ลุงแกก็เลยช่วยปิดเรื่องทีเราหายไปทั้งคืนให้”
“แล้วบอกลุงไปว่าอะไรล่ะ” ผมถามต่อ
“บอกไปว่ามาอ่านหนังสือบ้านชัยเลยเผลอหลับยาวน่ะ”
“ใช้ได้ นายได้ความกะล่อนเราไปบ้างแล้วนะเนี่ย”
“ชัย!!” กวีทำเสียงเข้มแบบเขินๆ
“เออๆ เรารู้ว่ามันไม่ใช่เวลา”

“.............” อยู่ๆ กวีก็เงียบไป
“เป็นอะไร ทำไมจู่ๆก็....” ความกังวลเข้าครอบงำผมทันที หรือว่าเขาจะเริ่มจำอะไรได้!
“เราขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นห่วงน่ะ”
“ไม่เป็นไร ปลอดภัยก็ดีแล้ว และอีกอย่างต่อไปนี้จะไปไหน ช่วยบอกเราด้วยนะ ไม่ดีกว่า!! ให้เราไปด้วยนะจะได้ช่วยดูแลนายไง”
“นายดีกับเราจัง” แววตาของกวีดูวาวแววเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอน
“แฟนมีคนเดียว ไม่ทำดีกับแฟน จะให้ไปทำกับใครล่ะ รู้แล้วใช้ไหมว่าเราห่วง หลังจากนี้ไม่ทำแบบนี้แล้วนะ!”
ผมยกมือขึ้นขยี้หัวเขาเบาๆ จนยุ่งมากกว่าเดิม
“อืม” กวียิ้มให้ผมด้วยแววตาสำนึกผิด
ทำไมน่ารักอย่างนี้วะ ผมคิดพลางดึงเขาเข้ากอดอย่างแน่น

“ข้างบนน่ะ เสร็จแล้วก็ลงมากินข้าวนะ พี่เตรียมอาหารเสร็จแล้วนะ”
เสียงพี่หมอดังจากข้างล่างจนผมต้องรีบไปปฏิบัติหน้าที่พี่หมอสั่งไว้ให้เสร็จ

...........................................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ชัย#15


“มึงว่าพวกมันเป็นใครวะ? ใครเป็นคนคิดทำเรื่องพรรณนี้วะ?”

ผมเกริ่นขึ้นขณะนั่งพักระหว่างเบรกซ้อมบาสฯ ช่วงหลังเลิกเรียน
“กูว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับนิ่ม แต่เท่าที่กูสืบมา นิ่มแม่งมีพยานหลักฐานว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุว่ะ” ไอ้หลงพูดขึ้นขณะนั่งแผ่ขาออกขนานกับพื้นเป็นวงกว้าง
“มึงแน่ใจได้ไงวะว่านิ่มบริสุทธิ์? แล้วพยานที่ว่านี่คือใครวะ?”
ผมที่นั่งข้างมันตอนนี้เริ่มรำคาญขายาวๆของมันที่เต็มไปด้วยเหงื่อและสัมผัสเบียดขาผมอยู่เลยขยับห่างออกไปเล็กน้อย

“กูมาถามพวกเชียร์ลีดฯ น่ะว่าได้ไปงานวันเกิดนิ่มกันไหม ใครรู้ว่านิ่มไม่อยู่ช่วงไหน?”
“แล้วมึงเชื่อถือได้หรือว่ะ คำพูดพวกนั้น”
“เอาหน้าตากูเป็นประกันสิวะ”
“ถุย!!” ผมทำท่าถ่มน้ำลายใส่ไอ้หลงที่ทำหน้ามั่นใจเหลือเกิน
“มีงมีคอนเน็คชั่นของมึง กูก็มีของกู!”
“อ้อ..... อีอ๊อฟสิใช่ไหม?” อีอ๊อฟคือชายร่างอ้อนแอ้นซึ่งเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ม.5 ที่ตามจีบไอ้หลงอยู่ตั้งแต่มันอยู่เป็นปี มันคงยอมคายทุกอย่างที่รู้แน่นอน หากไอ้หลงมันลงทุนไปถามถึงที่ นับว่าเชื่อถือได้ระดับหนึ่ง (แต่น่าจะโดนลูบคลำแบบเปลืองตัวไม่น้อย ภาพเหล่านั้นมันผุดขึ้นมาในหัวกับมือปลาหมึกพวกนั้น!)
“ไม่แค่อีอ๊อฟหรอกนะ ทุกคนที่ไปร่วมงานพูดเหมือนกันว่า พ่อนิ่มมารับที่งานตอนห้าทุ่มน่ะ กูว่าคงไม่ใช่นิ่มแล้ว”
“ยังไงก็ยังน่าสงสัยนิ่มอยู่ดี มึงว่ามันแปลกๆไหมวะ! กวีไม่เคยมีเรื่องกับใคร แล้วทำไมต้องไปมีเรื่องแบบนี้ในวันงานวันเกิดยัยนิ่ม กูว่ายังไงไอ้สองคนในรูปนั่นต้องโดนจ้างมา หรือโดนไว้วานมาให้ทำแน่ๆ แม่งดูมืออาชีพมาก” ผมยังเก็บรูปเหล่านั้นไว้บางภาพในโทรศัพท์ ผมเลยหยิบขึ้นมาขยายภาพดูอีกครั้ง
“มึงรู้จักใครที่กว้างขวางขนาดว่าแค่เห็นหน้าที่ใส่แว่นใส่หมวกแล้วจำได้เลยทั้งวะ?” ไอ้หลงมันชี้เข้าไปในภาพ
“พูดถึง.....มันก็มีนะ...แต่ไม่ค่อยอยากไปหามันเท่าไหร่?”
“ทำไมวะ?”
“ก็มันเคยจีบกวีน่ะสิ!!” จริงๆ มันเป็นคนที่ผมจะพึ่งให้น้อยที่สุด เพราะกลัวมันหาเรื่องเข้ามาวุ่นวายกับกวี นี่ผมกำลังหึงใช่ไหมเนี่ย

”อ้อ!! มึงหมายถึงพี่โน่! นั่นสิทำไมกูคิดไม่ออกวะ” ไอ้หลงตบเข่าตัวเองดังพั่บ
“นั่นสิ มึงที่สามารถไปสืบเรื่องพวกนี้เองได้ ทำไมมึงนึกถึงแค่นี้ไม่ออก!” ผมหันไปหาไอ้หลงที่มันทำท่าทางเขินๆอยู่ตอนนี้
“พี่เอิร์ธ ช่วยใบ้ให้ พี่เขาบอกให้กูลองไปเข้าทางเพื่อนนิ่มเพื่อหาข่าวน่ะ และก็ถามเผื่อด้วยว่า หากมีคนคุ้นๆ ไอ้สองคนนั้นในภาพจะดีมาก การสืบหาคนทำจะง่ายขึ้น”
“อ้อ อย่างนี้นี่เองกูก็นึกว่ามึงฉลาดขึ้นแล้วซะอีก”
“อ้าว!! ไอ้เลว!! นี่กูช่วยมึงอยู่นะ สัด”
“ฮ่าฮ่าฮ่า.... เออๆ กูขอโทษ”

แล้วโค้ชก็เรียกพวกเราไปซ้อมต่อ ผมกับหลงตกลงนัดกันว่าจะไปหาพี่โน่เสียหน่อยหลังซ้อมบาสฯเสร็จ

..........................

ณ สถานบันเทิงย่านดังในตัวจังหวัดที่วันนี้มีผู้คนไม่แน่นเนืองเหมือนเช่นทุกวันเพราะมันเป็นวันธรรมดา ผู้คนดูบางตาจนสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ ผมเดินเข้าร้านด้วยชุดลำลองที่เตรียมมาในเวลาฉุกเฉินแบบนี้ (ฉุกคิดได้ว่าอยากจะเที่ยวเป็นต้น) ผมเดินรี่เข้าไปในพื้นที่ด้านในฝั่งบาร์เครื่องดื่มที่ซึ่งผู้จัดการและเจ้าของกิจการตัวเล็กอย่างพี่โน่นั่งตรวจสอบเอกสารโน่นนี่เป็นประจำ  คนแถวนี้คุ้นเคยกับพวกผมดีเลยไม่มีใครใส่ใจว่าผมจะเดินไปส่วนไหนของร้าน ผมรู้จักตั้งแต่พี่ที่เฝ้าประตูทางเข้ายันพนักงานเสิร์ฟนั่นล่ะ

“อ้าว!? พี่โน่ไม่อยู่เหรอครับ ปกติจะนั่งตรงนี้ประจำ”
ผมถามพี่บาร์เทนเดอร์ที่ยืนจัดของบนชั้นเครื่องดื่มใกล้ๆ
“วันนี้ยังไม่เห็นนะ สงสัยจะไม่เข้ามั้ง?”
“ขอบคุณครับ แล้วพี่รู้ไหมครับว่าพี่โน่ไปไหน?”
“น้องว่า พี่โน่เคยบอกใครเรอะ!”
“เออ... นั่นสิเนอะ”
“แต่เห็นน้องๆ พริตตี้ชอบบอกว่าพี่โน่แกไปติดเด็กแถวร้านคาเฟ่ห้องสมุดอะไรนี่แหละ ไปมาก่อนเข้าร้านบ่อยๆช่วงนี้”

“.......เอ่อ....” อ้าวไอ้นี่ หวังตีท้ายครัวเราอีกแล้ว ที่ผมเหมือนเคยเห็นมันที่ร้านประจำนี่สงสัยจะไม่ตาฝาด
“ขอบคุณครับ” ผมตอบกับพี่บาร์เทนเดอร์และหันมาส่ายหัวใส่ไอ้หลง
“ทำไงดีวะ? ไอ้วันที่อยากเจอแม่งเสือกไม่เจอ ไอ้วันที่ไม่อยากเจอ แม่งเจอมันตลอด”
“เอาไงดีล่ะมึง รอไหม?”
“กูขอโทรหากวีก่อน เผื่อไอ้พี่โน่จะไปอยู่ร้านที่พวกกูนั่งกันประจำ แม่งกะตีท้ายครัวกูแน่ๆ อย่าให้กูรู้นะว่าแอบไปคุยกับแฟนกูอีก”
“มึงก็เยอะ คนอย่างไอ้กวีมันไม่นอกใจหรอก ถ้ามึงก็ว่าไปอย่าง” ไอ้หลงทาบมือลงบนบ่าของผมอย่างเป็นการเตือนอะไรสักอย่างซึ่งผมไม่เข้าใจที่มันพูดเท่าไหร่
“เชี้ยอะไรเนี่ย! กูน่ะไว้ใจกวีแต่กูไม่ไว้ใจไอ้หน้าหม้ออย่างไอ้พี่โน่มัน!!”

“นินทากูซะดังเลยนะ!!” เสียงทุ้มๆ ของคนตัวเล็กๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลังไม่ไกล

“อ้าว! พี่โน่สวัสดีครับ”  ไอ้หลงรีบทักทายด้วยท่าทางประจบ ส่วนผมแค่ยกมือไหว้สวัสดีและยิ้มน้อยๆ ตามไป
“พวกมึงมีธุระอะไรถึงได้มาดักรอกูที่นี่”
“พี่โน่รู้ได้ไงว่าผมมารอพบพี่”
“กูไม่ได้โง่....” พูดพลางชี้ไปที่พี่บาร์เทนเดอร์ ซึ่งตอนนี้เขาโบกมือให้เชิงว่า ‘กูบอกให้แล้วนะว่าพวกมึงมาหาพี่โน่’
ส่วนพวกผมได้แต่หัวเราะแฮะๆ ตามไป

“กูรู้ว่าพวกมีงมาหากูทำไม?”
“หือ! แล้วพี่รู้เหรอเรื่องอะไร?”
“เออ.. ตามกูมานี่ หาที่คุยกันเงียบๆ”
แล้วพี่โน่ก็เดินพาพวกผมไปโซนเอ้าดอร์ทางด้านนอกที่ตอนนี้ไม่มีผู้คนอยู่เลย มีแต่เพียงโต๊ะเก้าอี้เปล่าๆ และแสงเทียนเทียมวิบวับตามโต๊ะเท่านั้น พี่โน่ไปนั่งที่มุมหนึ่งด้านในแล้วกวักมือเรียกผมกับไอ้หลงให้นั่งฝั่งตรงข้ามเขา
“โห!! พามานั่งเสียมุมเชียว แถมโต๊ะใหญ่เสียด้วย” ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามและมองสำรวจพื้นที่
“กูเผื่อคนที่กูนัดมาด้วย พวกมึงมาได้จังหวะเลย กูว่าจะชวนพวกมึงมาคุยเรื่องของกวีเสียหน่อย” พี่โน่เอนหลังนั่งสบายขณะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เรื่องกวี?!?” ผมทำหน้างงๆเล็กน้อย

“เรื่องภาพเซ็ตนั่นไง ถึงตอนนี้มันจะหายไปจากเวปแล้วก็เถอะ แต่กูก็ทันเห็นพอดี กูเห็นกูก็จำได้เลยว่าใช่กวีแน่ๆ”
“เฮ้ย!! แล้วพี่เห็นได้ยีงไง?”
“เด็กที่กูตามจีบอยู่เอาให้ดูน่ะสิ”
“เด็กที่ตามจีบ?”
“เด็กในร้านคาเฟ่ห้องสมุดนั่นแหละ เชี้ย!! มึงอย่าเพิ่งนอกเรื่อง!!”
“ว่าแต่กวีเป็นไงบ้าง เมื่อกี้กูเห็นที่ร้านแต่ไม่กล้าไปทัก”
“อย่านะพี่ผมขอร้อง คือเขายังไม่รู้เรื่องอะไรน่ะ วันนั้นกวีมันเมามากจนจำอะไรไม่ได้น่ะ”
“ถึงว่าล่ะ ทำไมถึงยังทำตัวไม่รู้ร้อนอะไร เป็นกูคงตามหาตัวคนทำและจัดการแม่งให้ปางตาย!”
“ผมก็อยากทำแบบนั้นน่ะ แต่.....”
“ไม่ต้องพูดอะไรมาก เล่าทุกอย่างที่มึงรู้ให้กูฟังก่อน!!”

.........................


“เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง เป็นข้อมูลที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
“พูดเหมือนพี่รู้อะไรอย่างนั้นล่ะ?” ผมรู้สึกสงสัยกับประโยคบอกเล่าของไอ้พี่โน่เหลือเกิน
“โชคดีของพวกมึงที่กูเป็นกว้างขวาง กูพอจะรู้จักไอ้พวกที่ทำอะไรเลวๆพวกนี้อยู่บ้าง”
“..........”

“เฮ้ย!! อย่ามองกูแบบนั้น กูแค่เคยเห็นผลงานพวกมันอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ติดตาม กวีน่ะกูก็ถือเป็นน้องกูเหมือนกัน พวกมันมาทำแบบนี้กับน้องกูไม่ได้!! มันเล่นผิดคนแล้ว!!”
เสียงพี่โน่ทิ้งท้ายได้โหดจนผมแอบสั่นกลัวกับสายตาที่ดุดันนั่น สงสัยไอ้พี่โน่มันคงชอบกวีจริงๆ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่มีแต่คนชื่นชอบแฟนตัวเองแบบนี้

“แล้วพี่รู้อะไรบ้างล่ะ?”
“ก็มากกว่าพวกมึงขั้นหนึ่งล่ะ เอาเป็นว่ารอให้ครบองค์ประชุมก่อนแล้วค่อยรวบรัดทีเดียว”
“องค์ประชุม??” ผมทวนคำที่ผมสงสัยในขณะที่ไอ้หลงนั่งเกาหัวอยู่ข้างๆ

“อุ้ย! ต๊าย!!.... ไม่นึกว่าจะได้เจอกันในที่แบบนี้เลยนะ พี่โน่ก็เก่งนะไปรวบไอ้พวกถุงพลาสติกลอยตามลมพวกนี้มาได้ด้วย”
เสียงโทนสูงที่ดังจากระยะไกลลอยมาตามลมกระทบหูผมจนผมเผลอสะดุ้งกับคำสรรพนามที่แทนตัวผมแบบแปลกๆ

“แปลว่าอะไรวะเจ๊พิ้งค์??”
ผมหันไปเจอสาวทรงโตที่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าชิ้นน้อยแบบไม่เกรงใจคนที่เดินมาข้างๆ ซึ่งมีหน้าบอกบุญไม่รับเท่าไหร่
ไอ้ผู้ชายที่หน้าบูดบึ้งนั่นเดินตัดหน้าเจ้พิ้งค์มานั่งตรงมุมที่ไม่ไกลจากพี่โน่เท่าไหร่ ส่วนเจ๊พิ้งค์ก็เดินย่องเข้ามาใช้มือแตะห้วพวกผมเบาๆ เป็นการทักทาย ก่อนที่จะเดินไปนั่งข้างพี่โน่

“มาทำอะไรกันน่ะ?” ผมมองไปที่ผู้หญิงทรงโตตรงหน้าและมองไอ้คนที่มาด้วยหางตาแบบโจ่งแจ้ง
“อ้าว!! ก็มาเรื่องพวกแกนั่นแหละ!” เจ๊พิ้งยกมือขึ้นมาชี้กน้าผมกับไอ้หลงทั้งสองคน
“?????” ผมอึ้งจนนึกคำถามไม่ออก ไม่แน่ใจว่าเรื่องไหน? รวมกับกำลังว่า ‘แล้วทำไมไอ้อาร์ตมันถึงได้มาด้วย’
“งง อะไรเนี่ย?!? คืองี้....” เจ๊พิ้งค์ทำท่าเหมือนเตรียมเม้ามอยนินทาเหมือนที่เคยเห็นทุกครั้ง

“พอๆ เดี๋ยวพี่อธิบายเอง!!”

พี่โน่ยกมือขึ้นปราม ทำให้เจ็พิ้งค์แอบส่งสายตาค้อนใส่ กอดอกนั่งพิงพนักเก้าอี้ไป
“ไอ้อาร์ต!! มึงก็มานั่งใกล้ๆกูนี่ กูจะได้ไม่ต้องตะโกนเสียงดัง!!”
ไอ้คนหน้าบึ้ง ได้แต่ถอนหายใจและลุกขึ้นมากระแทกนั่งข้างเจ๊พิ้งค์ที่ยิ้มต้อนรับรออยู่
“เอาล่ะ! ครบองค์ประชุมแล้ว พวกมึง” พี่โน่ชี้หน้าผมกับไอ้หลง “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฟังเรื่องที่กูจะเล่าให้ฟัง และวางแผนต่อไปร่วมกันว่าจะเอายังไงเข้าใจนะ!”
“เอ่อ.. ครับ / ครับ” ผมกับไอ้หลงตอบตกลงไปแบบเสียงสั่น เพราะพี่โน่เข้าสู่โหมดน่ากลัวเสียแล้ว ตัวเล็กแต่เวลาเอาจริงแม่งโคตรน่ากลัว! รู้สึกถึงรังสีอำมหิตแผ่ออกมาชัดเจน

“อย่างแรกเรื่องคนทำ ด้วยที่กูเป็นคนกว้างขวาง พอกูส่องหน้าพวกมันดีๆ ทำให้กูนึกออกอยู่ไม่กี่คน แต่ละตัวที่กูนึกได้มีแต่เป็นคนหาตัวยาก กูเลยไว้วานไอ้อาร์ทที่มีเพื่อน(หรือลูกน้อง)เยอะแยะในตัวจังหวัด ช่วยกันตามหาและช่วยกันเค้นหาตัวจริงของไอ้คนที่ทำเรื่องระยำนี่”
“แปลว่าพี่โน่เจอตัวคนทำแล้ว?”
“ใช่!! ไม่ยากเกินความสามารถของคนอย่างไอ้อาร์ท กูสั่งสอนพวกมันไปพองาม คิดว่าพวกมันคงไม่กล้ามายุ่งกับเด็กในจังหวัดนี้อีกต่อไป”
“แล้วไฟล์รูปพวกนั้น!!”  ผมถามด้วยความกังวล
“ไม่ต้องห่วง! ที่บอกว่ากูสั่งสอนแต่พองามคือ กูทำลายฮาร์ดดิสทั้งหมดของมัน เผาชนิดไม่ให้กู้กลับมาได้อีก ไม่แค่นั้นกูรู้จักกับไอ้เวปมาสเตอร์เวปนั่นกูเลยสั่งให้มัน ควานหาว่ามีใครเข้ามาโหลดรูปไปเก็บบ้าง และหาทางทำลายรูปเหล่านั้นซะ!!”
“อ้าว... แล้วมันจะทำได้เหรอ?” ไอ้หลงที่เงียบไปนานแทรกถามขึ้นมา
“ไม่รู้มัน...มันติดหนี้กูอยู่ มันคงหาทางรู้ได้เองว่าใครเข้ามาในช่วงนั้นได้บ้าง และคงหาทางไปปล่อยไวรัสอะไรใส่เครื่องล่ะมั้ง กูก็ไม่แน่ใจ ให้มันจัดการ และให้มันข่วยสอดส่องด้วยว่าใครเอาภาพเหล่านั้นอัพขึ้นอีกให้รีบจัดการทันที!! นี่คือเรื่องที่สองที่กูจะพูด”
ผมแค่นั่งฟังยังอึ้งกับสิ่งที่พี่โน่ทำ นี่มันงานระดับเจ้าพ่อมาเฟียชัดๆ รู้สึกเสียวสันหลังทันทีที่ผมเคยคิดจะงัดข้อกับไอ้พี่โน่

ผมหันไปมองไอ้อาร์ทที่นั่งฟังอย่างไม่เต็มใจนัก
“ขอบใจนายด้วยนะ อาร์ตที่ช่วย”
ไอ้อาร์ทแสยะยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะหันไปทางอื่นอย่างไม่สนใจจะพูดโต้ตอบอะไร

“ไม่เป็นไรๆ เขาแค่ทำตามที่พี่โน่ขอร้อง อีกอย่างคงจะสำนึกผิดที่ไปอัดพวกแกวันนั้นเพราะความเข้าใจผิดด้วย”
เจ้พิ้งค์ชิงพูดขึ้นก่อนที่เกิดสูญญากาศแห่งความเงียบจะเกิดขึ้น
“ไอ้อาร์ท!! อีกเรื่องที่กูไกว้วานล่ะ?”
“...........”  ไอ้อาร์ทมันนิ่งเหมือนไม่ด้ยิน
“ไอ้อาร์ท!!”
“เออๆ ผมจะช่วยให้คนของผมช่วยสอดส่องให้ว่าใครมีภาพเซ็ตนั้นเก็บไว้อีกให้ จะตามไปลบให้โอเคไหม?”
“เออ! ดีมาก อย่าลืมว่ามึงติดหนี้อะไรกูอยู่!”

โห!! มาเฟียตัวพ่อจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอภาพนี้!

“เรื่องที่สาม!” พี่โน่หันมาทางผมกับไอ้หลง เป็นอะไรที่ทำให้ตกใจเล็กน้อย
“กูพยายามถามไอ้พวกสารเลวนั่น ว่าทำไมถึงเล็งกวีไว้ มันบอกว่ามีคนให้ค่าจ้างมันส่งมาทางอีเมล ซึ่งเท่าที่กูให้ไอ้เวปมาสเตอร์นั่นตามสืบก็พบว่ามันเป็นอีเมลสร้างใหม่ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเลย รู้แต่น่าจะส่งออกมาภายในตัวจังหวัดนี่แหละในอีเมลนั่นระบุแค่สถานที่ให้สองคนนั้นไปรับกวีไปทำอนาจารและจำนวนเงินที่จะโอนให้หลังจากเห็นภาพเหล่านั้นไปโพสลงออนไลน์แล้ว ซึ่งพวกมันก็ได้เงินครบตามจำนวนเรียบร้อย  ตามนิสัยอย่างพวกมันแค่ได้ไปทำอนาจารแบบนั้นฟรีก็ดีแล้วนี่ได้เงินอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึง!”

“แบบนี้ก็ไม่รู้สิว่าใครเป็นคนจ้างไอ้พวกนั้น” ไอ้หลงแทรกพูดขึ้น
“แต่ข้อมูลที่ได้จากพวกเอ็งช่วยให้ทุกอย่างสมบูรณ์ขึ้น”
พี่โน่ตบโต๊ะเบาๆ

“ใช่ครับ คราวนี้ผมแน่ใจเลยว่า ยัยนิ่มเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้แน่นอน ประเด็นคือขาดหลักฐานที่แน่นหนากว่านี้!”
ผมพูดในสิ่งที่ผมคิดตามจากเหตุการณ์ทั้งหมดพอดี
“ถูกต้อง!!” พี่โน่ชี้มาที่หน้าผม
“ดังนั้น... เรื่องนี้จึงต้องพึ่งเจ๊ไง!” เจ้พิ้งค์ยึดอกขึ้นและยิ้มมาที่พวกเราทุกคนในโต๊ะ
“ยังไงล่ะเจ๊ เจ๊จะทำอะไร?” ผมถามข้ามโต๊ะไป
“ผู้หญิงด้วยกันน่ะพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร โดยเฉพาะยัยเด็กนิ่มนั่น สมองมันคนละไซส์ เอางี้! จะบอกอะไรให้อย่างนะ ลองคิดดูสิ หากเรากำลังจะแก้แค้นใครสักคนที่ทำเราเจ็บและอยากให้เจ็บอีกกว่าเรา แต่คนๆนั้นสุขสบายดีหลังจากเรื่องที่เราทำไปตั้งเยอะจะเป็นยังไง?” เจ้พิ้งค์ทำสีหน้าเหมือนเล่นคะครเวที คือดูเล่นใหญ่เหมือนที่เธอทำอย่างเคยเวลาเล่าเรื่องอะไรแบบนี้
“หือ??” ไอ้หลงส่งเสียงและทำหน้าเหมือนตามสิ่งที่เจ้พิ้งค์พูดไม่ทัน ส่วนผมพยายามคิดตามอยู่ เพราะไอ้เรื่องซับซ้อนพวกนี้ ไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่ ส่วนคนที่เหลือในโต๊ะได้แต่นิ่งเงียบ
“เฮ้อ!! ฉันล่ะเบื่อพวกผู้ชาย ไม่ทันกันเลย คืองี้ ถ้านิ่มเป็นคนทำเรื่องนี้จริงๆ แล้วหากเราแสดงให้ยัยนั่นเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับกวีได้ ยัยนั่นต้องร้อนรนแน่”
“แล้วไงอ่ะครับ?” ผมยังคิดไม่ออกว่าจะเอาหลักฐานจากนิ่มยังไง
“แน่นอนว่ายัยนิ่ม ต้องหาทางทำอะไรสักอย่างให้เป็นไปตามแผนอีกแน่ๆ แต่เพื่อความแน่ใจว่าเราไม่ลงโทษผิดคน เจ๊สั่งให้คนในของเจ๊จัดการอะไรบางอย่างอยู่ รอสักครู่นะจ๊ะ” เจ้พิ้งค์หยิบโทรศัพท์เครื่องใหญ่ของตนเองขึ้นมาวางบนโต๊ะ

เพียงครู่เดียวจากการจบประโยคของเจ๊พิ้งค์ เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น และดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“นั่นไง มาแล้ว!” เจ๊พิ้งค์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเขี่ยๆ กดๆ สองสามรอบก็ยิ้มยิงฟันออกมาเหมือนเลขที่ซื้อจากฉลากกินแบ่งถูกรางวัล

“เป็นไปตามที่เจ้คิด เรื่องมันคงไม่บังเอิญขนาดที่ว่าเจ้าของงานวันเกิดมีรูปอนาจารของอดีตแฟนตัวเองอยู่ในมือถือกระมัง!” เจ้พิ้งลดโทรศัพท์ตัวเองลงมาแสดงให้เห็นถึงหน้าจอมีรูปของโทรศัพท์เครื่องหนึ่งที่หน้าจอแสดงภาพวาบหวิวของกวีที่เหมือนในเวปไซต์ที่ผมเจอ
“นี่มันโทรศัพท์ของนิ่ม! เจ๊ทำได้ยังไง?” ไอ้หลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ
“อย่างเจ๊ซะอย่าง ง่ายมากๆ”
“สุดยอด!! ทำได้ไง” ผมผสมโรงอวยเจ๊แกด้วย
“ความลับจ๊ะ” เจ้พิ้งค์ยกมือขึ้นมาจุ๊ปาก
“งั้นไม่อยากรู้แล้ว แล้วเอาไงต่อ”

“เฮ้ยๆ ฟังก่อนสิตาบ้า ฉันอุตส่าห์คิดแทบตาย” ผมยิ้มกับความเหนือชั้นกว่าของตนเองส่งไปให้ผู้หญิงทรงโตฝั่งตรงข้าม

“คืองี้.... คนบ้าผู้ชายอย่างยัยนิ่มน่ะ เจ๊แค่ส่งนายแบบหน้าตาดีไปจีบ แล้วให้หาทางทำให้โทรศัพท์ยัยนั่นตกน้ำหรือส่งซ่อมให้ได้ หลังจากนั่นอาสาไปซ้อมให้ หรือซื้อใหม่ให้ก็แล้วแต่ ระหว่างแบ็คอัพข้อมูลให้ก็ดีลกับทางร้านซ่อมต่อได้เลย ก็เลยได้ภาพที่เห็น และก็ไม่ต้องห่วงนะ รูปโดนล้างเรียบร้อยแล้ว”
รู้สึกอึ้งกับความคิดและการกระทำของผู้หญิงตรงหน้า พอมานั่งประจันหน้ากับสามคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้ว เหมือนศูนย์รวมเหล่าร้ายในตำนานเลยนะเนี่ย ทั้งผู้มีอิทธิพลเบื้องหลัง หัวหน้านักเลง และนักวางแผนตัวยง ดีนะที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน

“แล้วแน่ใจได้ไงว่านิ่มจะไม่มีภาพเหล่านั้นอีก” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่สั่งให้คนไปปล่อยไวรัสใส่เครื่องยัยนั่นเอง รับรองว่าพังจนกู้ข้อมูลอะไรไม่ได้!” พี่โน่พูดด้วยเสียงเข้มน่ากลัว
“ต่อนะ พอยัยนั่นหมดหนทางที่จะจัดการกวีด้วยภาพเหล่านั้นแล้ว มันต้องหาทางทำอะไรต่อแน่นอน และเมื่อนั่นเราจะแก้เผ็ดนางนั่นกัน” เจ๊พิ้งค์ตบมือหลังจบประโยคด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
“โอ้โห...... แล้วต้องทำยังไงล่ะ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น
“เรื่องนี้ไม่ยาก เจ๊คิดเอาไว้บ้างแล้ว เข้ามาใกล้ๆสิ จะเล่าให้ฟังคราวนี้คงต้องขอความร่วมมือจากทุกคนเลย”

......................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลังจากเมื่อวานที่ได้ฟังเหล่าร้ายรวมหัวกันวางแผนแล้ว บอกตามตรงผมก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่พอได้ฟังเรื่องเมื่อวานเข้าไปเล่นเอาผมตามไม่ทันจริงๆ คงเพราะผมไม่ใช่คนคิดอะไรซับซ้อน

วันนี้ผมก็ถูกสั่งจากเจ้พิ้งค์ให้ชวนกวีมาเปลี่ยนบรรยากาศที่ร้านตรงข้ามโรงเรียนกวดวิชาของกวีและนิ่ม แน่นอนที่ทำแบบนี้เพราะจะให้นิ่มสังเกตว่า กวีมีความสุขและไม่รับรู้เรื่องแย่ๆ ที่นิ่มทำกับกวีเลย ให้ยัยนั่นเดือดจนต้องหาทางทำอะไรกับกวีอีกครั้ง และสิ่งที่นิ่มจะทำเธอจะได้รับบทเรียนว่าไม่ควรยุ่งกับแฟนผม (อันนี้คือแผนที่ผมทราบคร่าวๆ)

เนื่องจากวันนี้เลิกซ้อมบาสฯ เร็ว ผมเลยได้มีโอกาสมานั่งรอกวีก่อนในร้าน ระหว่างที่พลิกเมนูไปมาบนโต๊ะขนาดสองที่นั่งซึ่งใกล้กับหน้าร้าน ก็มีมือหนึ่งมาโอบไหล่ผมเบาๆ

“โห! บังเอิญจัง!!” เสียงทุ้มสากดังขึ้นข้างหู ผมจำได้ทันทีว่าใคร เพราะช่วงนี้ดูจะเจอมันบ่อยมาก
“ไอซ์เอง!! จะใครล่ะ” ไอ้คนพูดมันทำท่าทะเล้นใส่ก่อนจะกระแทกนั่งที่ฝั่งตรงกันข้าม

“กูไม่ได้ถาม!” ผมทำเสียงเข้มดุใส่
“โหยพี่ อย่าบอกว่าตกใจ แค่นี้ก็โกรธกันด้วย” มันยื่นหน้ามายิ้มใส่แบบทะเล้นอีกครั้ง
“กูไม่ได้ตกใจ กูกำลังรอแฟนอยู่ และมึงก็นั่งทับที่เขาอยู่ ไปไหนก็ไป!” ผมสะบัดมือทำท่าไล่เหมือนไอ้เด็กนั่นเป็นแมลงวี่แมลงวัน

“เบื่อจัง! คำก็แฟนสองคำก็แฟน อยากมีแฟนที่รักกันขนาดนี้บ้างจัง!!” แล้วไอ้เด็กหัวสีน้ำตาลอ่อนนั่นก็ลุกไปจากโต๊ะแบบปั้นปึง เห็นแล้วอยากลุกไปถีบก้นมันนัก มันจะรู้ไหมว่าที่มันทำน่ะไม่ได้น่ารักเลย

“เอ้อ! พี่ๆ เรื่องรูปนั่นสรุปว่าใช่แฟนพี่ไหมน่ะ?” อยู่ๆ ไอ้เด็กนั่นมันก็หันกลับมาและกระโจนมาที่ข้างโต๊ะ
“ไม่ใช่โว้ย! แค่หน้าคล้าย มึงถามทำไม?”
“เอ่อ.... คือหลังจากคืนนั้น เวปนั่นก็โดนปิดไปเลยว่ะพี่ โชคดีของแฟนพี่แล้วไม่งั้น กลายเป็นข่าวใหญ่แน่ๆ แล้วแฟนพี่เห็นยังล่ะ?”
“กวีเขาไม่เคยเข้าเวปอะไรพวกนี้หรอก”
“ก็ดีครับ เพราะมีข่าวลือว่ามันเป็นรูปอาถรรพ์น่ะ ใครที่เข้าไปดู ไปโหลดเก็บ เครื่องคอมฯ โดนไวรัสล้างข้อมูลไปหมดเลย เท่านั่นไม่พอ มือถือของคนพวกนั้นหายไปทุกคนเลย ดีนะผมแค่ดูอย่างเดียวไม่เคยเซฟไว้”
“ขนาดนั่นเลยเหรอวะ?”
“เออสิพี่! ภาพนั่นมันลงไม่ถึงชั่วโมง แต่ก็วิบัติขนาดนี้ น่ากลัวฉิบหาย!”
“เออ... น่ากลัวจริงๆ” ผมหมายความอย่างที่พูดจริงเวลาพี่โน่มันเอาจริง แม่งโคตรน่ากลัว นี่มันหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่งเลยนะเนี่ย ผมแอบกลืนน้ำลายลงคอเอือกใหญ่

“แล้วมึงมาทำอะไรเนี่ย?” ผมเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะจินตนาการของไอ้เด็กนี่จะพาผมไปไกลกว่านี้
“มากับพี่เฟรมน่ะ มันมาดักรอหญิงใหม่ของมัน” ไอซ์ชี้ไปด้านหลัวตัวเองแบบผ่านๆ ผมเลยมองตามไปที่จุดที่ชี้ จนไปเห็นคนที่หน้าตาเหมือนมันอย่างกับแกะ นั่งเอนพิงเก้าอี้บาร์ตัวสูงไปพร้อมกับกดโทรศัพท์เล่นไปมา จุดที่ต่างกันระหว่างสองคนนี้น่าจะเป็นไอซ์จะแต่งตัวเรียบร้อยกว่าคนพี่

“หน้าแม่งเหมือนกันฉิบหาย พ่อแม่เอ็งแยกกันออกได้ยังไงวะ?”
“นิสัยมั้ง หรือไม่ก็เสียง เสียงผมน่ารักกว่า”
“เออ... มึงก็ช่างกล้าชมตัวเองเนอะ”
“ ฮ่าฮ่าฮ่า.... อ่ะ!! หญิงที่พี่ผมจีบอยู่มาแล้ว ผมต้องไปแล้ว แม่ให้กลับบ้านพร้อมกันน่ะครับ ไปก่อนนะครับพี่!”
“เออ!ไปไหนก็ไปเถอะ!” หลังจากพูดไล่ไอ้เด็กไอซ์ไป ตาผมก็เหลือบไปเห็นนิ่มเดินเข้ามาในคลองสายตา ยิ้มร่าดูน่ารักแบบปลอมๆ เดินไปทางแฝดผู้พี่คนนั้น
เชี้ย!! อะไรมันจะบังเอิญแบบนี้วะ!!!
นิ่มมองผมด้วยหางตาแต่ทำเป็นไม่สนใจผมที่นั่งอยู่ในร้านยืนพูดคุยกับแฝดผู้พี่อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะชวนกันเดินออกไปที่หน้าร้านโดยมีผมมองตาเขียวอย่างไม่ละสายตา ผมพยายามข่มใจไม่ให้มันมีเรื่องเพราะจะเข้าทางยัยจิ้งจอกนั่น

ไม่นานนักคนที่ผมนั่งรออยู่ก็เดินสวนกับคนกลุ่มนั้นที่หน้าร้าน แถมยังยิ้มทักทายกับนิ่มอย่างเป็นปกติ ยัยนิ่มพูดอะไรสัก อย่างกับกวีด้วยท่าทางเป็นห่วง แต่ดูเหมือนกวีจะทำงงๆ ใส่และเดินจากมาด้วยท่าทางไว้ไมตรีเหมือนปกติ สมเป็นคนดีของผมเสียจริง!

“ท่าทางจะไม่เบื่อระหว่างที่จะรอเรานะ!” กวีเดินมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางนิ่งๆ แต่ทำให้ผมขนลุกได้
“อะไรเหรอ?” ผมรู้สึกมึนๆกับประโยคบอกเล่าเย็นๆนั่น
“ก็เห็นมีคนมาอยู่คุยด้วยตลอด” กวีพูดพลางหยิบเมนูขึ้นมาพลิกไปมา
“อ้อ!..... ไอ้เด็กน้่นน่ะเหรอ มันเดินเข้ามาทักเองไม่ได้นัดกันเสียหน่อย อย่าคิดมากดิ” ใจผมมันสั่นๆ ชอบกลเวลาตอบ รู้สึกว่าตัวเองสังเกตสีหน้าเขาตลอดเวลา
“เจอกันบ่อยเนอะ!”  กวียังเปิดพลิกเมนูวนไปมา
“บ่อยอะไร  เราก็เจอมันด้วยกันทุกครั้ง”
“แต่ไม่ใช่ครั้งนี้มั้ง” กวีหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมากดไปมาอยู่พักหนึ่งก็ยื่นมาให้ผมดู มันเป็นเพจหนุ่มน้อยน่ารักฯ นั่นและมีรูปผมกำลังนั่งกินข้าวกับไอซ์อยู่ที่ตลาดโต้รุ่งวันนั้น

กูว่าแล้ว!! ผมคิดกับตัวเองในใจ ฉิบหายแล้วทำไงดีล่ะ ในหัวของผมคิดหาข้อแก้ตัวล้านแปด แต่สุดท้ายผมก็สรุปที่จะตอบตามความจริง

“วันนั้นเราแค่ไปกินข้าว ส่วนไอ้เด็กนั่นมันก็ตามเราไปเฉยๆ ไม่ได้นัดกันนะ”
“เหรอ?” กวีวางเมนูดัง ‘พั่บ’ และจ้องมาที่ผม ด้วยความบริสุทธิ์ใจผมเลยจ้องกลับไม่ละสายตา

“เฮ้อ....”  กวีผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ
“ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลยว่ะ เรารู้ว่าเรางี่เง่านะแต่บางทีพอเป็นเรื่องของนายเราก็บังคับตัวเองได้ยาก ขอโทษนะ” กวีดันตัวเองพิงพนักเก้าอี้ทางด้านหลัง
“เฮ้ย.. ไม่เป็นไร”
“เราเห็นรูปนี้มาสักพักแล้วล่ะ ว่าจะไม่พูดอะไร แต่พอมาเจอกับตามันเลยเผลอปล่อยไปตามอารมณ์มากไปหน่อย”

“หึงอ่ะดิ!  แบบนี้ก็ดีเราชอบแปลว่านายรักเรามากไง!” ผมเอื้อมไปจับมือเขาและยิ้มใส่หน้าเขาเต็มๆ รัศมีรอยยิ้มของผมมันคงเจิดจ้ามากจนกวีหลบตาแก้มแดง และก็เดินไปสั่งอาการแก้เขิน (อาการหลงตัวเองเริ่มกำเริบ)

...................(ต่อ)................................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
วันถัดมาผมกับกวีก็เริ่มกลับสู่ชีวิตปกติคือ อ่านหนังสือเตรียมสอบ ช่วงนี้การบ้านลดลงไปมากคงเพราะอาจารย์เห็นว่าใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เลยอยากให้ทุ่มเวลาอ่านหนังสือให้เต็มที่

หลังซ้อมบาสเก็ตบอลที่โรงเรียนเรียบร้อยผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์คันโปรดวิ่งมาถึงร้านประจำเพียงชั่วอึดใจ  ที่ผมรีบขนาดนี้ไม่ใช่อะไร เพราะไม่อยากคลาดสายตาจากกวีอีก เจ๊พิ้งค์กำชับเตือนผมตลอดทั้งวันว่า เหยื่อกำลังติดกับแล้ว ผมยังตามเจ๊พิ้งค์ไม่ค่อยทันอยู่ด้วยช่วงนี้ คงเพราะตอนนี้เจ๊แกเป็นร่างทรงของนางมารจอมวางแผนอยู่ แถมบอกให้ทำนู้นนี่แบบกระท่อนกระแท่น

ผมวิ่งเข้าร้านไปพบกับภาพแรกที่เห็นคือ กวีกับนิ่มนั่งหัวร่อต่อกระซิกกับอดีตแฟนอย่างกวี (กวีมันจะเป็นคนดีไปถึงไหนวะ!)

“อ้าว!! ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่” ผมเดินเข้าไปขัดจังหวะ
“สวัสดีคะพี่ชัย ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” เมื่อวานก็เจอกันนะน้องสาว ผมคิดในใจ เอาโล่ห์รางวัลตอแหลดีเด่นไปเลย
“มาคนเดียว?” ผมถามพร้อมมองไปรอบๆ
“ปล่าวคะ นัดเพื่อนไว้ นิ่มมาก่อนก็เลยมาคุยกับพี่กวี ฆ่าเวลา”
“เพื่อนหรือแฟนใหม่?” พอผมกระแทกพูดคำนี้จบประโยค กวีก็หันมาค้อนผมทันที ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับไป
“ยังไม่ถึงขั้นแฟนหรอกคะ นิ่มแค่คุยกันไป ดูๆกันไป นิ่มเพิ่งอกหักนี่คะ จะให้คบใครทันทีเลยคงยังไม่ได้” พูดจบยัยนิ่มก็ก้มหน้าหลุบลงไปมองที่โต๊ะ ผมรู้สึกอยากตบมือให้กับบทละครที่เธอคนนี้แสดงออกมา แต่ก็ทำได้แค่นิ่งเฉยกับอาการของนิ่ม เพราะเท่าที่ผมรู้ นิ่มเริ่มคบกับไอ้แฝดผู้พี่ตั้งแต่เริ่มร้าวฉานกับกวีแล้ว

“พี่ขอโทษนะ แต่เราคงเข้ากันไม่ได้จริงๆ” ผมแอบคว่ำปากเล็กน้อยเมื่อกวีพูดออกมาพร้อมยื่นมือมาสัมผัสมือของนิ่มที่วางอยู่บนโต๊ะเบา ( ตอนนี้อยากลากนิ่มออกจากร้านมาก)

“ไม่เป็นไรคะ นิ่มบอกพี่ตั้งแต่วันนั้นแล้วไงคะ ว่านิ่มผิดเอง นิ่มทำให้พี่กวีรักนิ่มได้ไม่มากพอ นิ่มขอเป็นแค่น้องพี่กวีก็พอคะ”
นิ่มยกอีกมือหนึ่งเอื้อมมาจับบนมือของกวีที่จับมือของนิ่มอีกข้างอยู่ ตอนนี้กลายเป็นแซนวิชมือสามชั้นแล้ว ผมแอบถอนหายใจกับภาพที่เห็น นี่มันละครช่องไหนฟะ?!?

เสียงริงโทนโทรศัพท์เพลงสไตล์เกาหลีดังขึ้น ท่ามกลางฉากละครนำ้เน่าตรงหน้าผม ทำให้รู้สึกขัดๆ ยังไงบอกไม่ถูก นิ่มรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้โรงเรียนของเธอขึ้นมารับอย่างรีบร้อน

“สวัสดีค่ะ........... ถึงแล้วล่ะคะ......... แต่ร้านแน่นมากเลย เราเปลี่ยนร้านนั่งกันเถอะคะ.................. ได้คะ เดี๋ยวไปรอที่หน้าร้านนะคะ” นิ่มวางสายและส่งสายตาหวานๆ ให้กวีและผม
“เดี๋ยวนิ่มไปก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่นะคะ” นิ่มพูดจบเธอก็เคลื่อนย้ายออกจากโต๊ะไปอย่างมาดมั่นดุจพญาหงส์เหมือนเช่นที่เธอทำเป็นปกติ ผมโบกมือลาเธออย่างไม่ใส่ใจ ผมมองตามเธอไปจนถึงหน้าร้าน ไม่นานก็มีรถทรงกระทัดรัดตรายี่ห้อมีปีกมาจอที่ด้านหน้าเธอ เธอโบกมือให้คนขับขับเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง

“คุยอะไรกัน? แล้วคุยนานหรือยัง?” ผมถามทันทีหลังจากกระแทกนั่งที่เบาะที่นิ่มเพิ่งฝากความอบอุ่นยามสัมผัสทิ้งไว้ หากเป็นผู้หญิงสวยๆ คนอื่นผมคงจะฟินไม่น้อยแต่พอเป็นยัยงูพิษนี่ผมรู้สึกแหยงๆ ชอบกล

“ดูท่าทางนายไม่ค่อยชอบนิ่มเลยนะ เรารู้ว่านิ่มเองก็มีนิสัยบางอย่างที่เหลืออด แต่รวมๆ เธอเป็นน่ารักนะ” กวีพูดพลางตักเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าปากไป

“ชมแฟนเก่าต่อหน้าแฟนใหม่ ไม่คิดว่าเราจะเคืองบ้างหรือไง?” ผมสวนกลับไปแบบเคืองๆ ที่กวียังปกป้องยัยงูพิษนั่นอยู่
“...........” กวีดูจะอึ้งไปนิดหน่อยจนพูดโต้ตอบไม่ออกได้แต่ทำสีหน้าลำบากใจ
“โอ๋ๆ เราล้อเล่น เรารู้! รู้ว่านายตอนนี้รักเรามากกว่าใครทุกคนอยู่แล้ว!” ผมหยอกเขาไปโดยการเอื้อมมือไปหยิกแก้มหนึ่งครั้งเบาๆ
“ไอ้บ้า!” เขาสบถกลับมาด้วยสีหน้าเขินอาย กวีมันน่ารักตรงนี้แหละ นอกจากจะเป็นคนดีแบบไม่คิดมาก แล้วยังซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองจนโกหกใครไม่เนียน เห็นอย่างนี้แล้วอยากกระโดดเข้าไปกอดตรงนี้เลย แต่กลัวเขาจะโกรธเพราะตรงนี้มันเป้าสายตาทุกคนอยู่ ผมทำได้แค่ยิ้มกลับไป

“ว่าแต่คุยเรื่องอะไรกัน เอาน่า... แค่อยากรู้ ไม่ได้หึงอะไรมากมายเหมือนนายหรอก.... หรืออยากให้เราหึงล่ะ!!”
ผมพยายามทำหน้าไม่จริงจัง กวีจะได้รู้ว่าผมไม่ติดใจอะไรเรื่องที่คุยกับแฟนเก่าของเขา
“ไม่มีอะไร เราคุยกันเรื่องวันเกิดนิ่มนะ นิ่มแค่มาขอโทษที่ไม่ได้ดูแลเรา เพราะต้องรีบกลับบ้าน วันนั้นพ่อกับแม่มารับกลับบ้านเพราะไม่อยากให้กลับบ้านเองมันดึกแล้ว”
“แค่เนี่ย?”
“เราก็บอกว่าไม่เป็นไร เราก็จำไม่ค่อยได้ สงสัยจะดื่มหนักไปหน่อย เลยบอกไปว่า คืนนั้นเราขับกลับไม่ไหวเลยค้างที่พักชั่วคราวแถวนั้นน่ะ พอตื่นมานายก็มารับประมาณนี่ มันออกจะดูไม่ดีใช่ไหมล่ะถ้าบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย”

อืม..... นับว่ากวีมันก็ฉลาดตอบไม่เบา แปลว่าที่เจ๊พิ้งค์พูดก็ถูกหมด คราวนี้ได้แต่รอดูว่ายัยนั่นจะทำยังไงต่อ หากเธอปล่อยให้จบให้มันเงียบไป ก็จะได้ไม่ต้องทำอะไร แต่หากเธอไม่จบก็คอยดูผลกรรมที่เธอจะได้รับให้ดี!!

“ชัยๆเป็นอะไร? ทำท่าคิดหนัก แล้วก็เงียบไป”
“อ้อๆ ไม่มีอะไรครับ มาอ่านหนังสือกันต่อเถอะ ถึงไหนแล้ว”
“เหม่ออะไรเนี่ย? กินของหวานหน่อยไหมจะได้ดีขึ้น?”
“ไม่ล่ะ นายกินเหอะ...” ผมมองขนมที่อยู่บนโต๊ะแล้วรู้สึกขนลุกทันที

................................

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นิ่ม งูพิษ เลวมาก   ทั้งที่กวีดีกับตัวเอง  :z6: :z6: :z6:
แค่กวีไม่รักนาง ยังทำถึงขั้นนี้
ซึ่งถ้ากวี เห็นคลิปจะเป็นอย่างไร
พี่โน่ พี่พิ้ง จัดการกับนิ่มแบบหนักๆเลย  :fire:
ให้รู้ถึงรสชาติที่ตัวเองทำกับกวีเลย  :laugh:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์นับตั้งแต่ที่ผมกับนิ่มปะทะกันวันนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างผมกับกวีต่างก็เข้าสู่กิจวัตปกติ ผมแทบไม่เห็นนิ่มเข้ามาในวงจรชีวิตพวกเราอีก รวมถึงข่าวคราวเรื่องรูปหลุดของกวีก็หายไปเหมือนกองทรายที่ถูกคลื่นซัดหายไป ไม่มีใครพูดถึงหรือมีรูปหลุดออกมาอีก ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก (อิทธิพลมืดของกลุ่มพี่โน่นี่น่ากลัวชะมัด คราวนี้ผมคงไม่กล้าหือกับพี่โน่ไปตลอดชีวิตของผม)

หลังสอบกลางภาค ทุกโรงเรียนต่างตื่นเต้นกับกิจกรรมงานกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัด  ดังนั้นผมกับกวีเลยแทบจะไม่มีเวลามาอยู่ด้วยกันมากนักเพราะต่างเป็นนักกีฬาของโรงเรียนเหมือนกัน ผมได้แต่นึกว่าหากต้องมาเผชิญหน้ากันในสนามแข่ง ผมจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือเปล่า (แต่คงไม่ เพราะหากเล่นไม่เต็มที่ เมียสุดที่รักก็จะโกรธ ไม่อยากให้เอาเรื่องความสัมพันธ์ของเรามาทำให้เรื่องกีฬาเสียหาย มันเป็นศักดิ์ศรีของโรงเรียน เขาคงไม่ยอมรับที่จะชนะแบบนี้)

วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องเลิกค่ำกว่าปกติ เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขแปดแล้ว ส่วนเข็มยาวเลยเลขสองมานิดหน่อย แต่ในเวลานี้พื้นที่ภายในโรงเรียนกลับยังคึกคักอยู่ อาจเพราะอีกสองวันงานกีฬาของโรงเรียนประจำจังหวัดกำลังจะจัดขึ้นแล้ว เหล่าผู้มีความรับชอบงานด้านต่างๆ กำลังมุ่งมั่นที่จะทำงานนี้ออกมาให้ประสบความสำเร็จ เพราะมันเป็นหน้าตาของโรงเรียน

ตอนนี้โค้ชให้กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้วหลังจากที่ให้ผมซักซ้อมแผนการรับมือต่างๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย โค้ชอ้างว่าที่ผ่านมาเรายังทำได้ไม่ดีพอ เลยจัดการพวกผมเสียหมดแรง

ผมเดินออกจากอาคารรวมกีฬาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมพบว่าหลายๆ ทีมกีฬาทางด้านต่างๆ ทยอยกันเดินกลับบ้านอย่างหมดแรง ผมเหลือบไปเห็นทีมเชียร์ลีดเดอร์อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย (ที่แยกออกได้ชัดเจนเพราะคนกลุ่มนี้จะมีออร่าส่องสว่างออกมาด้วย สาวๆ ก็น่ารัก หนุ่มๆก็หน้าตาดี) แม้ผมจะไม่เห็นคนที่ผมไม่ชอบหน้าแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะคนมันเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆเหมือนมดแตกรัง ผมได้ยินเสียงอาจารย์ที่อาสาอยู่เวรเฝ้าเด็กๆ ตะโกนไล่พวกนักเรียนกลับให้ทยอยกลับกันได้แล้ว ก่อนที่จะถึงเวลาที่ทางโรงเรียนอนุโลมให้อยู่ทำกิจกรรมต่อในช่วงนี้ ดังนั้นนิ่มเองอาจจะเดินปะปนไปกับพวกแก๊งผึ้งหลวงผึ้งงานของเธอจนผมมองไม่เห็น

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไปที่เบอร์ลัดเบอร์แรกเพื่อโทรหาสุดที่รักของผมทันที เสียงรอสายดังเพียงสองสามครั้ง ก็ได้ยินเสียงที่ปลายสายตอบรับทันที

“สวัสดีครับ เลิกซ้อมแล้วหรือ?”
“ดีจ๊ะ... นายเลิกซ้อมหรือยัง?”
“เลิกแล้ว วันนี้เลิกเร็วผิดคาดเลยมาหาอะไรกินที่เดิมน่ะ”
“โอเคเดี๋ยวตามไปนะ”
ผมมองนาฬิกาข้อมือแล้วตอบกลับไป
“โอเครีบมาล่ะ ดึกแล้ว”
“ได้จ๊ะ เร็วกว่าลมก็เรานี่แหละ เรื่องขับเร็ว ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!”
“เฮ้ยๆ ระวังหน่อยก็ดีนะ ขับขี่ปลอดภัยหน่อย เราไม่อยากเป็นหม้ายนะ”
“ได้จ๊ะเมียจ๋า”
“ชัย!!!!”
“โอ๋ๆ ลืมๆ ขออภัยๆ”

“พี่ชัยจะมาแล้วหรือครับ ดีจังอยากเจออยู่พอดี!” เสียงคุ้นหูลอดออกมาจากปลายสายอีกฝั่งหนึ่ง
“กวี.... นายอยู่ใครหรือเปล่า?” ผมที่กำลังจะวางสาย เลยต้องตะโกนสวนไปก่อนที่ปลายสายอีกฝั่งจะวางหู
“อ้อ...... นายน่าจะรู้จักนะ น้องไอซ์ไง บังเอิญเจอพร้อมกับน้องเฟรมที่คบกับนิ่มอยู่ไง เนี่ย! มากันเป็นกลุ่มเลย นิ่มก็อยู่ด้วย”
“หา!!! อะไรน่ะ?” ผมรู้สึกย่อยข้อมูลที่กวีพูดออกมาเมื่อครู่แทบไม่ทัน มันอะไรยังไงกันวะเนี่ย?!?
“เออ! รีบมาเหอะ พวกนี้นั่งอยู่โต๊ะติดกัน ไอซ์มันชวนเราคุยตลอดเลย พาเราออกจากที่นี่หน่อยสิ!” เสียงกวีแผ่วลงเหมือนพยายามพูดเบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนแถวนั้นได้ยิน
“โอเค เดี๋ยวรีบไปเลย!”

ผมวางหูและวิ่งบึ่งที่รถบิ้กไบค์ของผมทันที ผมเข้าใจเลยครับว่ามันเป็นยังไง กวีกำลังเจออะไรอยู่ ผมเจอกับตัวมาแล้ว ไอ้ไอซ์มันช่างพูดขี้ตื้อเม้าส์มอยไปได้เรื่อง และนี่ก็ไม่รู้จะคุยกับกวีเรื่องอะไรอยู่ คือผมก็พอดูออกนะว่าใครเข้ามาจีบผม (คนมันหน้าตาดีเนี่ยลำบากชะมัด) แล้วไอ้ความชัดเจนของไอ้ไอซ์เนี่ยเป็นใครก็ดูออก ผมกลัวมันจะพ่นเรื่องที่ผมกับมันอยู่ด้วยกันบ่อยๆ จนเป็นเรื่อง (อยู่คนละโรงเรียนแต่เจอกันโคตรบ่อย มันคงหาโอกาสมาเจอผมเท่าที่มีโอกาส) ผมไม่อยากง้อแฟนผมอีกแล้ว งอนทีผมแทบอยากกราบเท้า ผมเกลียดความรู้สึกเวลาโดนเข้าใจผิด

แล้วไหนจะนิ่มอีก ผู้หญิงคนนี้มันหายตัวได้หรือไงวะ ทำไมไปโผล่ที่นั่นไวจัง หรือว่าเธอโดดซ้อมเชียร์ลีดเดอร์? ผมรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที นิ่มเธอต้องวางแผนอะไรไว้แน่ๆ!

ผมบิดคันเร่งทางขวามือสุดกำลังออกจากลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ของโรงเรียนอย่างเร็วที่สุด ใจของผมคิดแต่จะไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมขับโดนที่ไม่มองหน้าปัดบอกความเร็วตามระยะที่แสดงให้เห็นเลย (แอบคิดในใจว่าหากโดนจับ คงโดนพ่อเขกกะบาลอีกแบบไม่นับแน่ๆ แต่ไม่สนใจโว้ยวันนี้!)

ผมขับออกห่างจากตัวโรงเรียนได้ไม่นาน ไอ้ตาเจ้ากรรมดันไปเหลือบไปเห็น สาวน้อยนางหนึ่งยืนโบกรถด้วยความรีบร้อน ในสภาพเสื้อผ้าที่ไม่สมประกอบเท่าไหร่ ผมลดความเร็วลงพร้อมวกรถกลับไปหาสาวน้อยผู้นั้นอย่างไม่ลังเล

“ช่วยด้วยคะ!! ช่วยด้วย!!!”

เธอเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาผมที่กำลังชะลอความเร็วเข้ามาหาเธอสาวน้อยคนนี้น่าจะอายุใกล้ๆ กับผมแต่รูปร่างเล็กดูบอบบาง เสื้อผ้าของเธอดูเลอะเทอะและมีรอยขาดวิ่นอยู่ตามเนื้อผ้า เธอท่าทางเหมือนมีบาดแผลถลอกหลายจุด แต่หน้าตาเธอยังดูดีน่ารักใช้ได้

“เกิดอะไรขึ้นครับ?” ผมจอดรถและถามเธอพร้อมกับสำรวจรอบข้าง
“ช่วยด้วยคะ เมื่อกี้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มากับแฟนแล้วเจอหมาตัดหน้า รถเลยเสียหลักเข้าชนต้นไม้ในซอยนั่นนะคะ” เธอชี้เข้าไปในซอยที่อยู่ไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่
“แล้วแฟนล่ะ?” ผมถามเพราะเห็นเธออยู่คนเดียว
“ช่วยเขาด้วยคะ คือ...... เขาสลบอยู่ตรงโคนต้นไม้ รถทับเขาอยู่คะ รถมันคันใหญ่ เราไม่มีแรงพอจะช่วยเขานะคะ โทรศัพท์ก็พังไปแล้วด้วย ไม่รู้จะทำยังไงเลยวิ่งออกมาหาคนช่วย นี่ก็ดึกแล้วด้วย ไม่มีใครเลยแถวนั้น” เธอร้องไห้ไปด้วยอธิบายไปด้วย เธอเหมือนพยายามระบายความอัดอั้นออกมา ผมตัดสินใจช่วยเหลือเธอในทันที เพราะผมเข้าใจครับว่าพื้นที่ๆโรงเรียนผมตั้งอยู่มันจะอยู่ชานเมืองนิดหน่อย แม้ถนนจะทำดีแล้วมีไฟส่องสว่างตลอดเวลา แต่รอบๆข้างทางยังเป็นต้นไม้ ทุ่งหญ้า และที่รกร้างเสียเยอะกว่าที่พักอาศัย มันคงไม่ง่ายที่จะหาความช่วยเหลือ (กวีรอก่อนนะ ผมคิดว่าเขาคงไม่โกรธเพราะผมกำลังทำความดีอยู่)

“อยู่ไหนครับ? เดี๋ยวผมช่วย!”
“ขอบคุณคะ ทางนี้คะ” เธอทำท่ากระตือรือร้นที่จะนำทางโดยการเดินนำหน้าไป เธอเหมือนหายเจ็บจากการอาการรถล้มไปชั่วขณะ (สงสัยดีใจมาก)

“ขึ้นรถเลยครับ เร็วกว่าเดิน” ผมตีเบาะข้างหลังผมเพื่อให้เธอขึ้นซ้อนท้าย แต่เธอดูมีอาการตกใจเล็กน้อย (สงสัยยังเข็ดกับบิ้กไบค์)
“เอ่อ...คะ” เธอสูดลมหายใจหืดหนึ่งก่อนที่จะเหยียบขาหยั่งขึ้นมาซ้อนท้าย ด้วยท่าทางสั่นๆ ก่อนที่ผมจะขับออกไปตรงทางที่เธอชี้เข้าไปในซอย

“อยู่แถวไหนครับ?” ผมขับเข้ามาในซอยที่มืดสลัด มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้าของผมและไฟจากโคมไฟบนเสาไฟฟ้าห่างๆ ในซอยเท่านั่นที่ให้แสงสว่างอยู่ตอนนี้ ทำให้การมองทางค่อนข้างลำบาก

“ตรงนั้นคะ เธอชี้ไปทางต้นไม้ใหญ่ข้างทางซ้ายมือที่อยู่ถัดจากถนนเข้าไปพอสมควร
“โห....ขับอีท่าไหนเนี่ย ถึงได้เข้าไปลึกขนาดนั้น” ผมจอดใกล้กับจุดเกิดเหตุตามที่หญิงสาวตัวเล็กนั่นเล่าให้ฟัง ผมสำรวจดูรอบข้างไม่พอร่องรอยของรอยล้อหรือพุ่มไม้ที่หักพังเท่าไหร่
“ใช่คะ เข้าไปด้านใน”
“แน่ใจนะว่าถูกที่ใช่ต้นไม้ต้นนี้จริงๆ นะ” ผมถามเธอดูอีกทีเพราะข้างในมันมืดมาก และต้นไม้ต้นหญ้าในพื้นแถวนี้ก็ดูรกครื้มเกินกว่าว่าเคยมีรถขับฝ่าเข้าไป ผมกลัวเธอจะช้อคมากจนจำผิดแล้วมันจะเสียเวลา
“คะ ไม่ผิดแน่ เราเดินออกมาจากตรงนี้แน่ๆ” ดูท่าทางจะไม่ได้โกหก เพราะเธอดูสั่นกลัว อาจเป็นไปได้ว่าเธอเดินฝ่าออกมาทางนี้จริงๆแต่รถอาจจะหลุดเข้าไปอีกทางเพราะแถวนี้ถนนย่อยและซอยย่อยมันเยอะ

ผมเดินฝ่าพงไม้พงหญ้าเข้าไป ไม่นานก็เจอต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันต้นอะไร ใหญ่ฉิบหาย ดูน่ากลัวมากๆ ในความมืดแบบนี้) ผมใช้ไฟจากโทรศัพท์ของตัวเองส่องไปรอบต้นไม้ด้วยความแปลกใจเพราะ รอบๆโคนต้นไม้มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ร่องรอบรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งควรจะนอนพับอยู่อย่างที่หญิงสาวคนนั้นอธิบายเลย

“เธอๆ” ผมก็ลืมถามชื่อ “เธอๆ ไม่เห็นเจอเลย ผิดที่หรือเปล่า?” ผมตะโกนถามเธอออกไป

“ไม่ผิดหรอก ถูกที่แล้ว!!!”

ผมตกใจกับเสียงเย็นๆ ที่ดังขึ้นทางด้านหลัง ก่อนที่จะหันไปหาต้นเสียงนั่น

ผลั่วะ!!!!!!

ผมรู้สึกเหมือนอะไรแข็งๆ ตกใส่ท้ายทอย แล้วความมืดก็เข้าครอบงำสติของผม....

...............................................

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เฮ้ย..ชัยโดนแผนลวงของสาวนิ่มซะแล้ว

พี่โน่กับเจ๊พิงค์จะมาช่วยทันไหมนะ

 :katai4:   :katai4: :katai4:  :katai4:  :katai4:

.....

.

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
กวี # 9

ผมเหวี่ยงตัวเองลงบนเบาะที่นั่งประจำของผมที่ร้านคาเฟ่ห้องสมุดที่ผมมาเป็นประจำ ความรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดของผมถูกดูดออกไปจนหมด เพราะอยู่ในช่วงการซ้อมหนักที่สุดในรอบปี

ใกล้วันงานกีฬาเข้ามาแล้ว ความเครียดทั้งหมดของโค้ชมาตกลงที่สมาชิกในทีมบาสฯ ทั้งหมด ผมเข้าใจนะครับว่ามันเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่โรงเรียนเราไม่เคยตกลงจากอันดับท้อปทรี (Top 3) เลย

ยิ่งได้เห็นการซ้อมแข่งแบบรอบกระชับมิตรกับโรงเรียนต่างๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้โค้ชเห็นว่า ช่องว่างของพวกเรามันมีมากแค่ไหน โอกาสที่ทีมเราจะเข้ารอบสูงๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง อาจเพราะพวกเราพร่องเรื่องการซ้อมมามาก ยิ่งโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนแห่งวิชาการ ที่เน้นเรื่องผลการเรียนมากกว่าความถนัดทางด้านกีฬา เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรทำให้ทีมเราขาดเรื่องการซักซ้อม ทั้งที่น่าจะเป็นกีฬาไม่กี่ประเภทในโรงเรียนที่เคยได้เหรียญทองก็เถอะ

ผมนั่งคิดทบทวนไปด้วยถอนหายใจเอาลมร้อนๆ ออกจากร่างกายไปด้วย ขณะนั่งดูเมนูเติมพลังงานให้ร่างกายอยู่ ตอนนี้ร่างกายต้องการของหวานๆ มาหล่อเลี้ยง ผมพลิกไปจนถึงหน้าฮันนี่โทสต์ที่มีให้เลือกหลากหลายหน้าทั้งผลไม้ ครีมสด หรือชีส รู้สึกเมนูหน้านี้จะเป็นของหวานประเภทเดียวที่ชัยบอกว่าอร่อย นอกนั้นเขาก็ทำหน้าแหย่ๆ ใส่เวลาชวนกิน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะครับว่าแฟนตัวเองไม่ชอบอะไร แค่อยากจะแกล้งหยอกไปงั้นแหละ สนุกดีเวลาเห็นเขาทำท่าฝืนกินอะไรแล้วแอบทำหน้าเหมือนปิดบังไม่ให้ผมเห็น

สายตาของผมเหลือบไปเห็นกระจกที่ติดผนังฝั่งตรงข้ามกับที่ผมนั่ง ผมเหมือนไอ้บ้าที่ยิ้มใส่เมนูรายการอาหารและเครื่องดื่ม ผมไม่ปฏิเสธครับว่า การนึกถึงชัยทำให้ผมมีความสุข ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยให้ตายสิ ยิ่งคิดว่าคืนนี้เขาต้องขอไปค้างด้วยแน่ๆ หากเขารู้ว่าวันนี้ผมต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้ว ผมเลยอาจจะต้องคิดหาทางทำอะไรสักอย่างไม่ให้เขาชวนทำอะไรแปลกๆบนเตียงเพราะวันนี้เหนื่อยจะแย่ ทำกิจกรรมอื่นๆต่อคงไม่ไหว คนอะไรพลังงานเยอะมาก ซ้อมกีฬาเสร็จยังมาทำอย่างอื่นต่อได้อีก ( รู้สึกตัวเองหน้าร้อนผ่าวเวลาคิดเรื่องแบบนี้ ใจเต้นตูมตามในอก)

“สวัสดีครับ พี่กวีใช่ไหมครับ?”

เสียงใสๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังระหว่างที่ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว ผมหันกลับไปหาไอ้ตัวต้นเหตุทันที เป็นไอ้เด็ก ม.4 ที่เคยเห็นอยู่กับชัยบ่อยๆ (มั้ง) เป็นเด็กที่ตัวเก้งก้างแขนขายาวไม่ค่อยสมส่วน อาจเพราะยังเติบโตไม่เต็มที่ ผมสีน้ำตาลอ่อนกับหน้าที่ขาวซีดนั่นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือนี่คืออาการแค่เห็นก็ไม่ชอบหน้าแล้ว
“ครับ” ผมตอบกลับไปทื่อๆ
“คิดไว้แล้วเชียวว่าต้องเจอพี่กวีที่นี่ดีจัง มาคนเดียวหรือครับ?”  ไอ้เด็กโย่งถามมาเป็นชุดในขณะที่ผมหันหน้ากลับตั้งแต่คำตอบแรกของผมแล้ว
“พี่ชัย ไม่มาด้วยเหรอครับ ไม่เห็นเลย?”
นั่นไง กะไว้แล้วว่ามันต้องถามคำถามนี้ ผมเลยนิ่งไม่ตอบอะไร
“พี่กวี ผมคุยกับพี่อยู่นะ” ไอ้เด็กโย่งนั้นเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามโดยไม่ขออนุญาติผมที่นั่งอยู่ก่อนสักคำ
“โอเคๆ ผมขอโทษนะครับ เมื่อคราวที่แล้วผมมันปากไม่ดีไปหน่อย แต่ผมรู้แล้วว่า พี่ชัยน่ะรักพี่มากขนาดไหน? ผมคงไม่มาแข่งกับพี่หรอกครับ”
“.........” ผมมองหน้าไอ้เด็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างอายๆ จากท่าทางการพูดและกิริยาที่แสดงผมเลยไม่ถือสาอะไรแล้วเพราะดูจะเป็นคนโผล่งผาง ใจร้อนมากกว่าจะมาคิดมิดีมิร้ายกับผม
“ผมก็ชอบพี่เหมือนกันนะ แต่พี่หน้าหวานไปหน่อย เรียบร้อยไปนิด ไม่ใช่สเปกผมเท่าไหร่ ผมก็เลยชอบพี่ชัยมากกว่า พี่กวีนี่ผิดกับพี่ชายผมเลยนะ ไม่รู้ว่าทำไมพี่นิ่มถึงไปทนคบอยู่ได้” ไอ้เด็กโย่งนั่งฝอยแบบไม่คิดว่าผมกับมันเพิ่งจะเคยคุยกันวันนี้ และที่สำคัญผมแทบไม่ได้พูดสักคำ
“ใจร้อน บ้าพลัง ปากเสีย สมองน้อย”
ไอ้เด็กที่นั่งฝั่งตรงข้ามพูดต่อโดยไม่สนใจว่าผมจะฟังมันหรือไม่
“แต่จากที่บรรยายมา ทำให้พี่คิดถึงใครคนหนึ่งออกนะ แต่ที่ต่างคือพี่เขาสมองไม่น้อยนะ!” ผมเผลอตอบไปโดยไม่ตั้งใจ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมชัยถึงได้คุยกับไอ้เด็กนี่แล้วบอกว่ามันมีเสน่ห์น่ารักดี คงเพราะการที่เขาเข้าถึงคนที่สนทนาด้วยง่ายมั้ง คงเป็นพรสวรรค์
“พี่ชัยใช่มะ?” ไอ้เด็กนั่นแหล่ตามองผมพร้อมพูดออกมา
แล้วเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เออ! เมื่อกี้ที่พูดถึงนิ่มนี่คือ....”
“ก็แฟนเก่าพี่ไง!” ไอ้เด็กนี่พูดสวนออกมา
“อ้อ..... พี่ก็พอรู้แต่อยากถามให้แน่ใจ แล้วตอนนี้นิ่มโอเคไหม?”
“โอเคครับพี่ มีความสุขโคตร พี่ผมแม่งโคตรจะตามใจ!”
“ได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจนะ” ผมตอบไปเบาๆ
“พี่แม่งโคตรจะเป็นคนดีน่ะ”
“............” ผมไม่ตอบอะไรแค่พนักหน้าตอบเล็กน้อย

“อืม......วันนี้นอกจากผมจะมาขอโทษเรื่องวันแรกที่ผมปากไม่ดีแล้ว ผมเลยจะขอแนะนำตัวกับพี่ด้วยละกัน ไหนๆก็เป็นนักกีฬาเหมือนกัน ผม’ไอซ์’ นะครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับน้อง ไม่เป็นไรพี่ไม่ถือ แล้วก็แล้วกันไป”
“.........” ไอซ์นั่งยิ้มหวานกลับมาไม่พูดไม่จา
“อะไรวะ?” ผมถามกลับไปด้วยความสงสัยพร้อมคิ้วที่ขมวดติดกัน
“ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชัยถึงรักพี่กวีขนาดนี้ พี่น่ารักใจดีแบบนี้นี่เอง พี่รู้ไหม ขนาดพี่ผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา เขายังเดือนร้อนแทนพี่ช่วยเหลือพี่ทุกอย่าง ไม่หนีหายไปไหน พี่แม่งโคตรโชคดี ผมอยากได้คนที่รักผมแบบนี้ได้มั้งจัง”

“เรื่องอะไรวะ?” ผมถามกลับด้วยความสงสัย คำพูดของไอซ์ทำให้ผมรู้สงสัยมาก
“...เอ่อ.....” ไอซ์ดูอ้ำอึ้งกับคำถามของผม

€~€€€~~~>€€>

เสียงริงโทนเพลงรักหวานๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของบทสนทนาผมและไอซ์ ไอ้เด็กที่ดูอึ้งๆนั่นรีบรับโทรศัพท์ทันทีเหมือนกำลังรออะไรมาคั่นจังหวะพอดี

“ฮัลโหล~~~~” ไอซ์ลากเสียงยาวๆแบบล้อเล่นกับคนในโทรศัพท์
“.............”
“เออๆ รู้แล้ว จองให้แล้วล่ะหน่า..... มาได้เลย ยู(you)เกิดก่อนแค่ไม่กี่นาทีทำไมชอบสั่งไอ(I)จังวะ” ไอซ์ทำท่าทางชี้มือชี้ไม้ไปทางโต๊ะข้างๆ พลางพยักหัวให้เป็นเชิงขอตัว
“...........”  ผมพยักหน้าเป็นการรับรู้ความหมายของเขา
“อยู่ข้างในหลังตู้หนังสือนี่ไง ยูก็เดินเข้ามาอีกหน่อยสิ เออๆ เห็นยัง? แค่นี้นะ” ไอซ์พูดไปพลางโบกไม้โบกมือไปพลาง

ไม่นานหลังจากจบประโยคก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาที่โต๊ะที่ไอซ์มันจองให้ซึ่งก็คือโต๊ะใหญ่ที่ถัดจากผมไปนั่นเอง ในกลุ่มนั่นมีคนที่ผมคุ้นหน้าอยู่ด้วย คนหนึ่งคือคนที่หน้าเหมือนไอซ์ทุกอย่างแค่ผมสั้นจนเกือบสกินเฮด และควงผู้หญิงที่ผมรู้จักดีคนหนึ่ง ‘นิ่ม’ นั่นเอง

“สวัสดีคะพี่กวี เจอกันอีกแล้วนะคะ สบายดีไหมคะพี่?”
นิ่มเอ่ยทักทันทีที่เห็นผม
“ดีจ๊ะ มาทำอะไรกันเยอะแยะเลย?”
“มาเลี้ยงวันเกิดเพื่อนเฟรมนะคะ” นิ่มยิ้มกลับและชี้เด็กผู้ชายที่ควงแขนอยู่ข้างๆ ผมยิ้มและพนักหน้าตอบไปก่อนที่นิ่มจะกันไปสนใจทักทายกับผู้ชายนักกีฬาทั้งโต๊ะอย่างเป็นกันเอง

ผมสั่งของหวานมานั่งทานขณะอ่านหนังสือที่เตรียมมาไปด้วย ซึ่งในขณะเดียวกันไอซ์ที่นั่งอยู่ใกล้กับโต๊ะที่ผมนั่งก็แอบหันมาคุยกับผมเป็นระยะ โดยบทสนทนาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของชัยมากกว่าเรื่องของผมเสียอีก นอกจากจะรบกวนสมาธิในการอ่านหนังสือแล้วยังน่ารำคาญมากๆด้วย (เลิกถามเรื่องแฟนผมเสียทีเหอะ ก่อนที่เส้นความอดทนผมจะขาด)

ไม่นานนักเสียงริงโทนโปรดของผมก็ดังขึ้นเป็นระฆังช่วยชีวิต ผมอยากให้ชัยพาผมออกไปจากที่นี่จัง โคตรอึดอัดกับไอ้เด็กนี่และภาพแฟนเก่าอี๋อ๋อกับชายคนใหม่แบบพยายามให้ผมเห็นทุกกิริยา ถึงผมจะไม่รู้สึกกับนิ่มเหมือนเมื่อก่อนอต่มันก็ดูกวนใจอยู่ดี

“สวัสดีครับ” ผมรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุดเพราะเหมือนมีคนพยายามแอบฟังอยู่ (ไอซ์มันก็หันหน้ามาขัดเจนขนาดนั่นไม่รู้ก็แปลก)

ระหว่างที่ผมกำลังคุยโทรศัพท์กับชัย เจ้าไอซ์ก็ตะโกนข้ามโต๊ะมาถามแทรกจนผมอยากจะออกจากที่นี่แล้ว สุดท้ายผมเลยตัดสินใจชวนชัยไปที่อื่นกัน ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ นอกจากจะไม่มีสมาธิแล้วยังอึดอัดอีกด้วย ผมวางสายจากชัยและนั่งรอเขาแบบนับเวลาแทบจะเป็นวินาทีเลยทีเดียว

เวลาผ่านไปนานพอควร ผมเริ่มกระวนกระวายกับชัยที่มาช้ากว่าที่บอกไว้ ผมรู้ว่าเขาเป็นคนขับรถเร็วซึ่งคำนวนจากระยะทางของโรงเรียนเขากับร้านประจำที่ผมนั่งอยู่ ไม่น่าจะเกิน 20 นาทีชัยน่าจะมาถึงที่นี่แล้ว ผมมองนาฬิกาข้อมือตัวเองและนึกคำนวนเวลาตั้งแต่ที่ผมวางสายกับชัยจนถึงตอนนี้มันเกินชั่วโมงแล้ว ทำให้ผมรู้กังวลว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขาทันทีเพื่อคลายกังวลที่มีอยู่ เสียงสัญญาณรอสายจากโทรศัพท์ของชัยดังอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่รับสาย เขาอาจขับรถอยู่แต่อย่างน้อยอยากให้จอดและช่วยรับสายของผมหน่อย ผมกดโทรหาอีกครั้งทันทีหลังจากที่สายแรกโดนตัดไปเนื้องจากสิ้นสุดระยะเวลา

นิ่มที่ขอตัวอยกออกจากกลุ่ม (สงสัยไปห้องน้ำ) ได้เดินกลับมาในช่วงที่ผมนั่งโทรศัพท์หาชัยด้วยความกังวล และพยายามไม่สนใจไอซ์ที่พยายามเรียกร้องความสนใจอยู่โต๊ะข้างๆ

“เป็นอะไรไปคะ สีหน้าไม่ดีเลย?” นิ่มถามขึ้นขณะที่กำลังเดินผ่านผมไป
“ไม่มีอะไรจ๊ะ แค่โทรหาชัยไม่ติดน่ะ” ผมตัดสายที่กำลังโทรอยู่ก่อน เพราะจะได้ยินนิ่มถามได้ถนัดขึ้น
“พี่ชัยขับรถอยู่มั่งคะ คงรับสายไม่ได้ ให้นิ่มนั่งเป็นเพื่อนไหมคะ เห็นพี่กวีนั่งเหงามานานแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวแฟนใหม่นิ่มหึงเอา”
“โอ้ย! คนนั้นเขาอยู่กับเพื่อนแล้วก็ไม่ค่อยสนใจนิ่มหรอกคะ อย่างน้อยนิ่มอยู่ตรงนี้ ไอซ์เขาจะได้ไม่กวนพี่ไงคะ”
เออ! ความคิดดี ผมพยักหน้าเป็นเชิงตกลง

ถึงนิ่มจะบอกว่ามานั่งเป็นเพื่อนผม แต่เวลาส่วนใหญ่ของเธอก็คือการพลิกหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาดู ใช้นิ้วเขี่ยหน้าจอไปมา หัวเราะคิกคักและมีพิมพ์ข้อความพร้อมขำในลำคอเป็นระยะๆ บางครั้งก็เอารูปตลกๆ ให้ผมดูเหมือนสมัยก่อนตอนที่เรายังคบกันไม่ผิด ส่วนผมก็กังวลจนอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านหนึ่งย่อหน้าก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความบ้าง โทรออกหาชัยบ้างเป็นระยะ แต่ที่แปลกคือ ชัยไม่รับสายและไม่ตอบกลับมาเลย จนสุดท้ายผมต้องพ่นลมหายใจออกมาด้วยความร้อนใจ

“พี่กวีเป็นอะไรไปคะ? ท่าทางแปลกๆ”
“อืม... พี่แค่แปลกใจที่....ชัยยังไม่มาอีก”
“พี่โทรหาเพื่อนสนิทเขายังล่ะคะ อาจจะเที่ยวเล่นอยู่ด้วยกันก็ได้” น้ำเสียงนิ่มมีการกระแทกที่ท้ายประโยค
“เออ!! จริงสิ!!” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อค้นหาเบอร์ของหลงทันที
“พี่กวีนี่ก็นะ เพื่อนดีๆ มีตั้งเยอะ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาคบพี่ชัยด้วย ระวังเขาจะทำให้พี่เสียใจนะ!” นิ่มพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบไป

€~€€€~€€€€~€€~€

เสียงริงโทนเฉพาะที่คุ้นเคยดังขึ้น พร้อมหน้าจอที่มีรูปทะเล้นๆของชัยปรากฏขึ้น ขณะที่ผมกำลังค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของหลง ผมรู้สึกโล่งอกรีบกดรับสายทันที

“สวัสดีคะ” เสียงหวานๆ ของหญิงสาวที่ปลายสายดังขึ้น
“เอ่อ.....” ผมถึงกับต้องยกเครื่องโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูเบอร์ให้แน่ใจอีกครั้ง
“สวัสดีคะ ได้ยินไหมคะ?” ผมเอาหูกลับมาแนบที่เดิมและเสียงหวานๆเสียงเดิมก็ยังคงดังขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อ.... สงสัยผมโทรผิดครับ ผมจะโทรหาเพื่อนผมน่ะครับขอโท......”
“อ๋อ! .... ไม่ผิดหรอกคะ น้องกวี! ชื่อกวีใช่ไหมคะ?“
“เอ่อ... ครับ ใช่ครับ คุณรู้จักผม?”
“ไม่รู้จักหรอกคะ มันขึ้นโชว์ชื่อที่หน้าจอโทรศัพท์ของน้องชัยน่ะคะ”
“ครับ?? ใครครับเนี่ย?” ผมเริ่มงงไปหมด ปลายสายเป็นใคร สายมันพันกันหรือไง ทำไมเขามีเบอร์ผมด้วย
“น้องไม่ต้องอยากรู้หรอกคะว่าพี่เป็นใคร รู้แต่ว่าเรามีสามีร่วมกันอยู่น่าจะพอเข้าใจ”
“อะไรนะครับ?”
“ชัยเคยบอกพี่ว่าแค่อยากลองคบผู้ชายเล่นๆ แต่พี่ก็ไม่คิดนะว่าจะติดใจอะไรนานขนาดนี้ แต่พี่ไม่ถือหรอกนะ เพราะยังไงชัยก็บอกว่าแค่ของเล่น! สนุกๆ”
“..........” ผมตามประโยคเหล่านั้นไม่ทันยังไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนหูจะอื้อ เสียงแหลมวี๊ดวี๊ดังเข้ามาจนผมมือสั่นไปหมด
“พูดไป น้องคงจะไม่เข้าใจ เดี๋ยวพี่จะทำให้เข้าใจเอง”
แล้วเธอก็วางหูไป ทิ้งให้ผมอยู่ในอาการมึนงงอยู่ตรงนั้น

“พี่กวีคะ เป็นอะไรไหมคะ ดูหน้าซีดๆ”

ผมกำลังจะเอ่ยปากตอบกลับไป เสียงข้อความเข้าที่โทรศัพท์ก็เข้ามาหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ผมเหลือบไปมองที่หน้าจอโทรศัพท์เป็นข้อความมาจากชัยทั้งสิ้น ผมลืมสิ่งที่จะตอบกลับนิ่มทั้งหมด รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนเปิดดูข้อความที่ถูกส่งออกมาทันที

ภาพปรากฏขึ้นมาเป็นภาพผู้หญิงผมสั้นตัวเล็กๆกึ่งเปลือยมีเพียงผ้าห่มปิดไว้เพียงบางส่วน นอนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มในสภาพเปลือยเปล่า นอนหลับไม่ได้สติ แต่มือกลับโอบกอดฝ่ายหญิงไว้ มุมที่ถ่ายเป็นแบบเซลฟี่หลากหลายมุม ทำให้เห็นหน้าผู้ชายคนนั้นชัดเจน ยิ่งพินิจดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั่นคือ ‘ชัย’ ไม่ผิดแน่ และมีข้อความเขียนมาเป็นลำดับสุดท้ายด้วย

‘หวังดีนะ ถึงได้ทำแบบนี้จะได้ตาสว่างเสียที ตัดใจเสียเถอะ เรื่องของน้องมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ยังไงผู้ชายอย่างชัยก็ชอบผู้หญิงมากกว่า เรื่องบนเตียงมันก็ดีกว่า สักวันหนึ่งชัยก็ต้องเบื่อและกลับมาหาพี่อยู่ดี”

ผมรู้สึกเหมือนน้ำลายเป็นของแข็ง กลืนลงคอลำบากมาก ความร้อนทั่วทั้งร่างกายตอนนี้เหมือนมารวมตัวอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ผมรู้สึกถึงการเต้นของเส้นเลือดที่ขมับอย่างชัดเจน ลมหายใจของผมร้อนขึ้นมาก ตอนนี้บอกไม่ได้เลยว่าตัวเองรู้สึกยังไง ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเสียใจ มันสับสนไปหมด

“พี่กวีคะ นิ่มรู้แล้วว่า.... พี่กวีอยู่ที่ไหน? นี่ไงคะ เป็นข่าวดังเลย” ระหว่างที่ผมกำลังสับสนจนรู้สึกเวียนหัวอยู่นั่น นิ่มก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาพร้อมค่อยๆ ยื่นสมาร์ทโฟนจอยักษ์ที่ใหญ่กว่ามือของเธอมาที่ผม ที่หน้าจอแสดงให้ว่าเป็นหน้าของ ‘เพจหนุ่มน่ารักฯ’ ซึ่งภาพที่กำลังแสดงอยู่ เป็นภาพเหมือนกับภาพที่ถูกส่งเข้ามาที่มือถือผม ต่างกันตรงที่เป็นภาพครึ่งตัวไม่โป๊ และคำบรรยายใต้ภาพว่า

‘เปิดตัวเสียทีกับสาวโชคดีที่ได้ควงกับหนุ่มฮอตที่ไร้คู่มานาน’ 

มาพร้อมกับระบุโลเคชั่นว่าอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนชัยเท่าไหร่

ผมรู้สึกเส้นความอดทนมันขาดสะบั้นลง ไม่มีอะไรชัดเจนเท่านี้อีกแล้ว ผมคืนโทรศัพท์ให้นิ่มแบบเบลอๆ และเดินออกจากร้านแบบไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจว่าจะมีใครเรียกผมสักกี่ครั้ง ผมรู้แต่ว่าผมต้องการอยู่คนเดียว... คนเดียวเท่านั้น

................................

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอยแผนตื้นๆๆๆ ตบมัน :beat:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ชัย# 16

“ชัย! ชัย!! ไอ้ชัย ไอ้เชี้ยชัย!!”

เพี๊ยะ!!

ความรู้สึกเหมือนโดนไม้แบดมินตันจากนักตบมืออาชีพตบหน้า ผมรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนเหล่านั่นส่งไปถึงก้านสมอง ผมลืมตาโพล่งจากอาการเจ็บจนหน้าชา แสงไฟสีนวลส้มส่องเข้าดวงตาผมจนพล่ามัวไปหมด อาการเจ็บจี๊ดแล่นขึ้นมาจากศรีษะทางด้านหลัง ผมพยายามขยับตัวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่พื้นที่หยาบนิ่ม มีหนามทู่ทิ่มตำตลอดทั้งร่าง อยู่ๆก็เกิดอาการขนลุกตลอดทั้งร่างสั่นสะท้านไปหมด จนผมต้องยกมือขึ้นลูบถูตัวเพื่อให้เกิดความอบอุ่น ผมต้องตกใจอีกครั้งเพราะผมรู้ว่าตัวเองนอนเปลือยกายอยู่

ผมพยายามเหลียวมองรอบตัว ผมพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางพื้นที่ที่มืดสลัว มีแสงจากดวงไฟสีส้มนวลดวงเล็กจำนวนหนึ่งส่องลงมาที่ตัวผม

“มึงโอเคไหม? จำได้ไหมว่าทำไมมึงมาอยู่ตรงนี้?”
“..........” ในหัวของผมยังดูว่างเปล่า ทั้งที่พยายามคิดค้นหาคำตอบไล่เรียงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“งั้น... ไม่เป็นไร! อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”
“........” ผมยกมือขึ้นมาคลำบริเวณท้ายทอยที่เจ็บแปลบ พอนิ้วมือได้สัมผัสความแสบแล่นขึ้นมาจนผมร้องโอยขึ้นมา
“เฮ้ย!! พวกมึง! มาทางนี้ซิ!! มาช่วยกูหน่อย”
ไม่นานก็มีเสียงแซบซาบหลากหลายทิศทางและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่รอบๆ กายผม
“พยุงมันขึ้นมา จับมันใส่เสื้อผ้าด้วย เสียสายตากู แล้วก็พามันไปขึ้นรถไปโรงพยาบาลด้วย!”

ใช้เวลาเพียงชั่วน้ำเดือด ทุกที่เสียงเข้มแหบนั่นสั่งก็เสร็จเรียบร้อยดั่งเนรมิต ผมมานอนอยู่ในรถขนาดใหญ่คันหนึ่ง ในขณะที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น แสงไฟจากถนนด้านนอกหน้าต่างรถผ่านแว่บวับเข้าตามาดวงแล้วดวงเล่าเป็นระยะ อาการมึนงงของผมดีขึ้นเป็นระยะตามเวลาที่ผ่านพ้นไป ผมพยายามดึงตัวเองขึ้นมาในท่านั่งก็พบว่ารถได้เข้ามาจอดในเขตห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว

ประตูเปิดรถด้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวเปิดกว้างออกด้วยความเร็ว ผมหันไปตามเสียงประตูรถที่เปิดออกมา ทำให้เห็นเพื่อนสนิทของผม ไอ้หลง มีท่าทางและหน้าตาแตกตื่น ก่อนที่มันจะอ้าปากถามอะไรโง่ๆ ตามประสามัน บุรุษพยาบาลที่ไม่รู้มาจากทิศใดก็ได้แทรกตัวมาขวางหน้าไอ้หลงจนผมอึ้งไปเล็กน้อยกับภาพที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน

“ขอทางให้กับผู้ป่วยด้วยครับ ขอทางให้ผมจัดส่งผู้ป่วยไปให้คุณหมอประเมินหน่อยครับ!”

บุรุษพยาบาลที่มาพร้อมเสียง ได้ขยับตัวเข้ามาในรถครึ่งตัวเพื่อพยุงผมออกจากรถและหิ้วปีกผมไปที่รถเข็นที่เตรียมไว้ไม่ไกล ไม่กี่อึดใจผมถูกโยกย้ายมาอยู่ในห้องตรวจของแพทย์จนเหมือนวาปมา

“เฮ้อ......  พี่ไม่อยากพูดคำนี้เลย แต่พี่เริ่มจะเบื่อตรวจศรีษะเราแล้วนะ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาในห้อง ผมหันไปเห็นพี่หมอเอิร์ธในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ผมยิ้มให้แบบไม่มีแรงตอบไป

....................

ผมฟื้นขึ้นมาอีกทีบนเตียงที่ล้อมรอบไปด้วยม่านสีขาว (ผมเดาว่าน่าจะอยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ผมรู้สึกคุ้นชินกับที่นี่จังช่วงนี้) ผนังสีขาวกับหลอดไฟทรงกลมปรากฎอยู่ตรงหน้า อาการเวียนหัวดีขึ้นมากคงเหลือแต่อาการอ่อนเพลีย ผมมองไปเห็นไอ้หลงนอนฟุบอยู่ข้างๆเตียง ผมค่อยๆ ขยับตัวจนไอ้หลงรู้สึกตัวตื่นขึ้น

“เฮ้ย!! เป็นไงบ้างมึง? มึงทำบุญด้วยอะไรวะ? แม่งหัวแตกอีกแล้ว!” ไอ้หลงขยี้ตา บิดขี้เกียจขณะที่พูดไปด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“เออ... ดีขึ้นแล้ว แค่ง่วงๆ เพลียๆ จริงของมึงกูแม่งโคตรซวยสงสัยจะเจอนางนกต่อให้ไอ้พวกโจรมันดักปล้นว่ะ” ผมหลับตาหยีพยายามนึกภาพลำดับเหตุการณ์ก่อนที่จะโดนไม้อัดเข้าที่หัว พอนึกถึงตรงนี้ความเจ็บที่หัวก็แล่นผ่านเข้ามาจนผมเอามือขึ้นมากุมศรีษะ

“ค่อยๆ มึง ยังไม่รีบนึกอะไรก็ได้ แต่กูว่าไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”
“อะไรของมึงวะ? เออ... แล้วกวีล่ะ กลับบ้านแล้วเหรอ?”
“เรื่องนี้แหละที่กูจะคุยกับมึง เรื่องนี้ยาวเลย”
“อะไรวะ?”
“คือ......”
“หลง!! อย่าเพิ่งเลย ให้ชัยพักก่อนดีไหม?”
เสียงของพี่หมอดังขึ้นพร้อมม่านที่ล้อมรอบเตียงอยู่แหวกออกเห็นพี่หมอกับพยาบาลรุ่นป้าตามมาติดๆ
“เอ่อ..... ครับ” หลงตอบเสียงต่ำและหลบไปอยู่มุมม่านอีกฝากหนึ่ง
“ไหนขอตรวจหน่อยก่อนหมอจะออกเวร ถ้าดีขึ้นก็จะให้กลับบ้านเลย” พี่หมอเดินมาพร้อมไฟฉายมาส่องตา จับโน่นจับนี่ พยาบาลรุ่นป้าคนนั้นก็เดินมาพร้อมอุปกรณ์ที่มีสายระโยงระยางมาวัดโน่นนี่อย่างวุ่นวายพัลวัน และจบด้วยรอยยิ้มพี่หมอที่เห็นแล้วรู้สึกใจชื่นขึ้น

“หมอคิดว่าไม่เป็นอะไรนะ น่ากลับบ้านเลย กลับพร้อมหมอก็ได้นะ” ผมพยักหน้า
“กูโทรไปบอกแม่มึงแล้วว่ามามึงมาค้างบ้านกู ไม่ต้องห่วงพ่อแม่มึงยังไม่รู้”
“อืม...ก็ดี กูเริ่มสงสารแม่แล้วว่ะ ไม่อยากให้แกห่วงมากไปกว่านี้”
“พี่ไม่เห็นด้วยหรอกนะ แต่คราวนี้จะพี่ร่วมมือด้วย แค่ครั้งนี้นะ!” หลังจากพยาบาลรุ่นป้าขอตัวออกไปสรรพนามแทนตัวพี่หมอก็เปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ
“ทำไมพี่หมอวันนี้ยอมง่ายจัง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
“ไปพักที่บ้านพี่ก่อนแล้วจะมีคนเล่าให้ฟังเอง”
“ใคร????”
“นี่โน่!”
“?????” ผมได้แต่ทำหน้าแปลกใจตอบไป เรื่องที่ผมโดนดักทำร้ายนี้มันมีอะไรงั้นเหรอ แล้วพี่โน่มันเกี่ยวอะไรด้วยวะ? ผมคิดทบทวนจนหัวของผมเริ่มปวดอีกครั้ง

...................

“เกิดอะไรขึ้น บอกผมได้หรือยัง?” 

ผมพูดขึ้นทันทีหลังจากนั่งรอคอยตัวละครหลักอย่างพี่โน่ที่ตอนนี้ได้เวลาปรากฏตัวเสียที

“มึงดูนี่แล้ว มึงจะเข้าใจทุกอย่าง” พี่โน่ยื่นมือถือของผมซึ่งไม่รู้ว่าไปอยู่กับพี่โน่ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าทรัพย์สินทุกอย่างของผมมันหายไปหมดแล้ว (หวังว่ารถบิ้กไบค์ผมคงยังอยู่นะ!)
“นี่มัน??” ผมรับมันมาอย่างงงๆ
“ไม่ต้องถามอะไร แล้วก็ช่วยเปิดไปที่อัลบั้มรูปด้วย!” พี่โน่ที่ยืนคำ้หัวผมอยู่พูดห้วนๆใส่จนผมต้องทำตามทันที

ผมปลดล็อคโทรศัพท์ของผมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยฝุ่นและไร้ซึ่งเคสลายสัญลักษณ์ทีมบาสเก็ตบอลทีมโปรดของผมที่กวีไปหาซื้อมาให้อย่างยากเย็น

“เคสที่กวีซื้อให้หาย ผมจะบอกเขายังไงดีเนี่ย?” ผมบ่นอุบอิบ
“กูว่ามึงมีเรื่องที่จะต้องเคลียร์กับเขามากกว่านั้นว่ะ!”
“..........”  ผมมองหน้าพี่โน่แว่บหนึ่ง เป็นเชิงคำถามว่าพี่โน่พูดอะไรอยู่วะ ผมไม่เข้าใจ
“นานจังวะ!!! นี่โทรศัพท์มึงเองนะเนี่ย!!” ผมรู้สึกว่าพี่โน่มันดูร้อนใจกว่าผมอีก
“เออๆ เจอแล้วนี่ไง ใจร้อนจัง ผมก็ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ มันมีอะไรใน.....นี้...... เฮ้ย!!!!!!”
ผมร้องลั่นเมื่อผมเจอภาพล่าสุดในอัลบั้มที่ผมไม่ได้เป็นคนถ่าย มันเป็นภาพเปลือยเปล่าของผมเองกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เหมือนจะคุ้นหน้าว่าเคยเห็นที่ไหน

“เป็นไง เข้าใจอะไรหรือยัง?” พี่โน่ถามขึ้นในขณะที่ผมยังพินิจพิเคราะห์กับรูปที่หน้าจอหลายรูป
“ผู้หญิงคนนี้...... น่ารักดีนะ จะมาลักหลับทำไมเนี่ย ขอดีๆ ก็ให้นะ!”
“ไอ้สัด!! ใช่เวลาที่จะมาพูดเล่นไหมเนี่ย?” ไอ้หลงตวาดขึ้นหลังจากเห็นหน้าผากพี่โน่เริ่มมีเส้นเลือดโปนปูดขึ้นมา
“เออๆ กูขอโทษ ก็กูไม่รู้นี่หว่าว่ามันคืออะไรนี่หว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ทุกคนซีเรียสกันอยู่เนี่ย?” ผมเริ่มแก้ตัวไปเรื่อยเพราะรู้สึกถึงไออำมหิตแผ่ออกมาจากพี่โน่มากขึ้นเรื่อยๆ
“งั้นกูจะเล่าให้มึงฟังเอง!” ไอ้หลงก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นหลังจากที่ยืนอยู่กับพี่เอิร์ธทางด้านหลังผมอยู่นาน

“ตอนนี้รูปนั่น บางภาพถูกอัพโหลดขึ้นเพจ ‘หนุ่มน่ารักฯ’ ตอนนี้เขาเห็นกันหมดบ้านหมดเมืองแล้ว โดยเฉพาะกวี อันนี้หนักเลย เท่าที่กูรู้นอกจากจะเห็นภาพแล้ว.... ผู้หญิงในภาพนั่นยังทำให้กวีเข้าใจผิดอีก!!”

“เฮ้ย!!!!” ผมร้องเสียงหลง

“ที่เหลือกูจะเล่าให้มึงฟังต่อเอง” พี่โน่พูดเสียงเรียบแต่ดูดังกังวาลมาก ไอ้หลงหุบปากแทบไม่ทัน

“อย่างที่รู้กัน พวกเราร่วมมือกันเพื่อป้องกันไม่ให้ยัยนิ่มมาก่อเรื่องกับกวีอีกหลังจากเรื่องคราวที่แล้ว พวกของกูเฝ้าระวังตลอด พอผ่านมาหลายวันก็นึกชะล่าใจคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผู้หญิงคนนี้ฉลาดและเจ้าคิดเจ้าแค้นกว่าที่คิด ในเมื่อเธอทำร้ายกวีทางกายไม่ได้ เธอเลยทำร้ายกวีทางจิตใจแทน ท่าทางยัยนั่นจะรู้ว่ามึงกับกวีมีความสัมพันธ์ที่เกินเพื่อนจริงๆ ประกอบกับยัยนิ่มรู้จักกวีดี ทุกอย่างมันก็เลยง่าย กูไม่คิดว่าหล่อนจะมาทำร้ายมึงเลยไม่ได้ใส่ใจระวังมึงเลย เรื่องคราวนี้ถือว่าเป็นแผนที่ร้ายกาจมาก สามารถทำร้ายได้ทั้งคู่เลย”
พี่โน่อธิบายเสียยืดยาวแต่แปลกที่ผมกลับตั้งใจฟังทุกประโยค และเจ็บจี๊ด ร้อนวูบวาบในอกแบบบอกไม่ถูก

“ผมจะไปอธิบายกับกวีเอง เชื่อว่าเขาต้องเข้าใจ”
ผมลุกขึ้นยืนและเตรียมพร้อมจะออกจากบ้านทันที
“หยุดก่อน! มึงน่าจะรู้จักกวีดี ดื้อๆ แบบนั้นเขาจะยอมฟังดีๆหรือไง ความสัมพันธ์ของพวกมึง มันเปราะบางมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว กูเชื่อว่ากวีน่าจะรู้ถึงข่าวคราวความกะล่อนของตัวมึงเองตั้งแต่ก่อนคบกับเขาแล้ว”

“แต่ผมรักเขา เขาต้องรับรู้สิ!”
“ใช่ หากมึงสามารถฝ่ารั่วฝ่า รปภ. เข้าไปพบกวีที่บ้านได้นะ”
“ผมรู้จักทุกคนที่นั่น ผมเชื่อว่า พวกเขาต้องช่วยให้ผมได้พบกับเขา”
“งั้นก็ตามใจ!!” พี่โน่ถอนหายใจอย่างเหลืออดกับความดื้อดึงของผม แล้วก็โยนบางสิ่งมาที่ผมจนรับไว้แทบไม่ทัน

“โชคดีที่เรื่องนี้เกิดขึ้นในร้านคาเฟ่ของกูเอง มีคนเป็นหูเป็นตาให้ คนที่กวีคุยด้วยคนสุดท้ายคือนิ่ม กูเลยมั่นใจว่ายัยผู้หญิงนี้เกี่ยวข้องด้วยแน่ๆ เพราะยัยนิ่มนี่แหละเป็นคนโชว์ภาพในเพจให้กวีดูเอง แล้วหลังจากนั้น กวีก็เดินออกจากร้านไปเลย กูว่าน่าจะกลับบ้านนะ เพราะวันนี้วันหยุดแท้ๆ กวีควรจะมานั่งอ่านหนังสือตามปกติแต่ก็ยังไม่มา”

“.....เอ่อ... ขอบคุณครับที่ช่วย...”
“ไม่เป็นไร อย่างที่กูเคยพูด กวีก็น้องกู ใครทำให้น้องกูเสียใจ กูจะทำให้กรรมตามสนองมันเร็วขึ้นและสมทบให้อีกสิบเท่า!!”
พี่โน่กำมือแน่นขึ้น

ผมแบมือพบว่าสิ่งที่พี่โน่โยนให้คือ กุญแจรถของผมเอง
“...โชคดีโคตร!! มันยังอยู่!!”
“ใช่ โชคมึงยังดี พอไอ้หลงเห็นภาพแปลกๆ นั่นและบอกให้กูรู้ กูรู้สึกเลยว่ามันแปลกๆ เลยสั่งให้ไอ้อาร์ทกับพรรคพวกมันออกไปตามหามึงแถวๆ ที่ภาพมันระบุสถานที่ไว้  คนร้ายมันไม่ได้เอารถไป ส่วนกุญแจรถนั่นก็อยู่ในกระเป๋าเสื้อมึงนั่นแหละ”
“ขอบคุณครับ พี่โน่ แล้วก็ ฝากไปขอบใจไอ้อาร์ทด้วยนะ”
“เออ!! แล้วมึงจะไปได้ยังเนี่ย??”
“ครับ.. ครับ”
“มึงไปจัดการเรื่องของมึง กูจะไปจัดการเรื่องของกู หากเรียบร้อยดีแล้ว โทรหากู กูจะเคลียร์ทุกอย่างให้ยัยผู้หญิงนั่นไม่มีจุดยืนในสังคมนี้อีก!!”

เป็นถ้อยคำที่ทรงพลังเหลือเกิน ยังมีเรื่องที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับพี่โน่อีกเยอะสินะ พอจบประโยคพี่โน่ ผมรีบวิ่งขึ้นรถเพื่อบิดไปหาหัวใจของผมทันที

.........................................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
(ต่อ)...............


“ขอโทษด้วยครับ วันนี้คุณหนูสั่งว่าอย่าให้ใครเข้าไปกวนระหว่างอ่านหนังสือ แม้แต่.....คุณชัยครับ”

ลุงขาว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ทำหน้าที่อยู่ที่ประตูใหญ่หน้าบ้านเสมอ พูดกับผมด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ผมมาบ้านนี้บ่อยจนสนิทกับลุงขาวและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ  หลังๆ ผมก็ใช้หน้าตัวเองนี่แหละเป็นบัตรผ่านในการเข้าคฤหาสแห่งนี้

“แต่กวีอยู่บ้านใช่ไหมครับ?” ผมส่งคำถามลอดรั่วเข้าไป
“อยู่ครับ..... แต่วันนี้ผมยังไม่เห็นตัวเลยครับ เพราะตอนสั่งก็สั่งผ่านโทรศัพท์ลงมาครับ”
“ผมมีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับกวีน่ะครับ ช่วยเปิดประตูให้ได้ไหมครับ? มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ!”
“ไม่ได้ครับคุณชัย ผมคงขัดคำสั่งคุณหนูไม่ได้ ขอโทษด้วยครับ”
“โธ่....โว้ย!!” ผมเดินห่างจากรั้วเล็กน้อยเพื่อระบายความอึดอัดด้วยความร้อนใจ

เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นจากทางป้อมที่ทำการของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวบ้านไม่ไกล (ขนาดป้อมรปภ. ยังทำไว้เสียดีเลยที่นี่ กระจกรอบด้านติดฟิมล์ทึบสีดำติดแอร์ฯ ให้ด้วย) ลุงขาวขอตัวเข้าไปรับโทรศัพท์ด้านในป้อมฯ ก่อน

ไม่นานลุงขาวก็เดินออกมาด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ
“คุณหนูยืนยันว่าไม่รับแขก และห้ามให้ลุงใจอ่อนเปิดให้ใครเข้ามาเด็ดขาด คุณหนูบอกว่าให้คุณชัยกลับไปเถอะ คุณหนูไม่ต้องการฟังคำอธิบายอะไร ไม่ต้องเจอกันอีกเลย!!”

“............” ผมได้แต่ทำสีหน้าเป็นหมาหงอยลอดรั่วไปให้ลุงขาวเห็นเพื่อขอความเห็นใจ
“เฮ้อ..... มีเรื่องอะไรกัน ทำไมไม่คุยกันดีๆ นะเด็กสมัยนี้  คนรักกันก็ต้องคุยกันจะได้เข้าใจกัน ลุงก็ไม่รู้นะว่าไปมีเรื่องอะไรกันมา วันนี้กลับไปก่อนเถอะ รอให้คุณหนูใจเย็นๆ ก่อนค่อยกลับมาคุย”
“ลุง.....ลุงรู้”
“ก็พอดูออก คุณหนูน่ะ ไม่เคยพาเพื่อนมาบ้านเลยนอกจากแฟน ล่าสุดก็คุณนิ่ม แล้วก็คุณชัยนั่นแหละ แต่สำหรับคุณชัยนี่พิเศษหน่อย เพราะคุณหนูดูมีความสุขเป็นพิเศษ เห็นแบบนี้ลุงก็พอรู้นะเรื่องแบบนี้สมัยนี้มันธรรมดา หลานลุงมันก็เป็น!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า...” ผมหัวเราะแห้งๆ ตอบไป เรื่องของผมกับกวีนี่ แค่เห็นก็รู้กันแล้วหรือไง หรือหน้าที่มีความสุขมากๆของเราสองคนมันฟ้อง
“กลับไปก่อนนะคุณชัย”
“ไม่!! ผมจะรอจนกว่าเขาจะคุยกับผม!!”
ผมยืนยันหนักแน่น

“อืม.....” ลุงขาวมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าบอกคุณหนูว่าลุงบอกเลยนะ จริงๆ คุณหนูกวีบอกแล้วว่าคุณชัยจะมา และพยายามให้ไล่กลับไปก่อน เพราะความจริงวันนี้คุณหนูต้องออกไปพบคุณท่านที่นอกเมืองน่ะ ลุงเปิดประตูให้คุณชัยไม่ได้ แต่รอให้คุณหนูออกมาเองก็น่าจะได้ อีกสักชั่วโมงก็น่าจะออกมาแล้วล่ะ”

“ขอบคุณครับลุง” ลุงขาวยิ้มกึ่งหัวเราะกับท่าทีลิงโลดของผม

...................................................



เวลาผ่านไปมากกว่าชั่วโมงแล้ว หลังจากที่ผมเข็นรถมาจอดข้างๆ รั่วเพื่อจะหลบสายตากวีที่มองจากในบ้าน จะได้คิดว่าผมกลับไปแล้ว ผมรอโอกาสที่กวีจะขับรถออกมาแล้วผมก็จะกระโดดขวางหน้ารถ เพื่อให้เขาลงมาคุยกันให้รู้เรื่อง ผมต้องอธิบายให้ได้ว่าความจริงมันคืออะไร เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่จริงและจะไม่มีวันเป็นจริง

ไม่ต้องมองนาฬิกาก็รู้ว่าเวลาคล้อยมาที่ช่วงบ่ายของวันแล้วเพราะแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงนั่นค่อยๆ ลอยต่ำลงมาจากกึ่งกลางท้องฟ้าไปทางตะวันตกเล็กน้อย ที่ๆผมยืนอยู่มีเพียงร่มเงาเล็กๆจากต้นไม้ขนาดกลางริมรั่วใหญ่ของบ้านกวี อากาศแบบนี้ทำให้เหงื่อไหลออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย เสื้อผ้าที่ใส่มาเปียกชุ่มไปเกือบครึ่ง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุ้กกี้ที่อยู่ในเตาอบที่ใกล้สุก เหงื่อบางส่วนที่ไหลลงจากศรีษะลงไปสัมผัสแผลที่เพิ่งผ่านการปฐมพยาบาลมาจนเริ่มแสบร้อน แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ ผมก็ยอมแพ้ไม่ได้ ผมจะต้องเอาตัวและหัวใจที่เป็นของผมกลับมาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้งให้ได้!

“ลุงครับ นี่มันเกินสองชั่วโมงแล้วนะครับ คุณลุงแน่ใจนะว่า กวีจะออกมาจริงๆ น่ะ?” ผมเดินไปทักท้วงคุณลุงที่บริเวณประตูรั่วเล็กอีกที

“แปลกนะ ก็คุณหนูบอกลุงเองว่าจะออกเดินทางบ่ายโมงนี่นา” ลุงขาวที่นั่งใช้พัดโบกตัวเองอยู่หน้าป้อม รปภ. ยกนาฬิกาขึ้นมองพร้อมรำพันออกมาเสียงดัง (ลุงน่าจะเปิดแอร์นะ ตอนนี้ผมอยากไปอยู่แทนลุงเลย)
“งั้นไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมรอจนกว่าเขาจะออกมาก็ได้ครับ” ผมรู้สึกเกรงใจลุงแล้ว ใจจริงอยากจะขอร้องลุงให้เขาไปดูกวีให้หน่อย แต่ก็ไม่อยากให้ลุงเสี่ยงกับหน้าที่การงานของตัวเอง ผมรู้สึกแปลกใจมากเพราะกวีไม่เคยผิดเวลานัดกับใครเลย
“เออๆ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวลุงไปดูให้” ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปแต่ลุงก็ตัดสินใจลุกเดินเข้าไปด้านในคฤหาส ที่หน้าประตูบ้านมีอินเตอร์สำหรับติดต่อคนในบ้าน ลุงขาวแกคงเดินไปเรียกกวีจากตรงนั้น (ผมเคยไปเล่นอยู่จำได้)

ผมตัดสินใจเดินกลับไปรอที่เดิมเพราะการเดินเข้าไปด้านในคงจะใช้เวลาพอสมควรโดยเฉพาะกับคนรุ่นลุงขาว

“คุณชัยๆ” เสียงลุงขาวตะโกนดังมาจากรั่วด้านหน้า ทำไมลุงถึงได้เดินไปมาเร็วขนาดนี้

“มีอะไรครับลุง หน้าตาตื่นเชียว”

“คุณหนู ....แฮ่ก... คุณหนูน่ะครับ.....แฮ่ก...” ลุงขาวกับอาการหอบทำให้พูดจบประโยคได้ยาก

“กวี?! กวีเป็นอะไรครับ? เกิดอะไรขึ้น?!” การเว้นวรรคของลุงขาวทำให้ผมคิดออกไปไกลเลยเถิด ขออย่าให้เป็นเรื่องคิดสั้นเลย

“คุณหนู..... ไม่ได้เป็นอะไรครับ..... แต่คุณหนู ขับรถออกไปแล้วครับ เนี่ยเพิ่งขับออกจากโรงรถเลย!!”

“อ้าว!! ผมไม่เห็นเลย ประตูใหญ่ก็ไม่ได้เปิดนี่!”

“คุณหนูขับออกไปทางประตูหลังครับ มันจะไปออกอีกซอยหนึ่งครับ ตามไปตอนนี้น่าจะทัน!”

“เฮ้ย!! บ้านนี้มันมีแบบนี้ด้วยเหรอ!!” ผมอุทานออกมาเสียงดัง ก็นั่นน่ะสิ มานอนบ้านนี้ตั้งหลายครั้ง ไม่เคยรู้เลยว่าบ้านนี้มันมีทางออกอีกทางด้วย! (สงสัยอยู่ผมคงแต่ในห้องนอนมากไป)

“ไม่มีเวลามาตกใจแล้วครับ จะตามมาง้อไม่ใช่หรือ? รีบตามไปสิครับ วิ่งออกไปดักที่ปากซอยน่าจะทันนะครับ!!”

“เออ!! จริงด้วย ขอบคุณนะครับลุง”

“โชคดีนะครับคุณชัย!!” ผมเห็นลุงขาวโบกมือก่อนที่ผมจะวิ่งไปสตาร์ทรถเพื่อขับตามอีกครึ่งหนึ่งของหัวใจตัวเองให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

............................

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด