Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)  (อ่าน 23549 ครั้ง)

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รอๆๆๆ รอกวีได้กับชัย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2017 00:18:26 โดย Redz »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กวี จะเข้าใจว่าชัยหลอกตัวเองมั้ยนะ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
กวี #3


ผมไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ ผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของผมเท่าไหร่ เพราะทุกวันนี้ก็มีแต่คนบังคับผมมาทั้งชีวิตแล้ว

‘กวี..ลูกต้องทำอย่างโน้น…..อย่างนี้นะลูก’

คำพูดเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผมเกือบจะชินเสียแล้ว จนมาได้รู้จักคนๆหนึ่ง คนที่ต่างกับผมมาก เขาเป็นที่มีความเป็นตัวของตัวเองมาก มีอิสระแม้จะอยู่ในสายตาของคนรอบข้างและที่บ้านแต่ก็ยังสามารถทำตามใจตัวเองได้ และทำได้ดีเสียด้วย กีฬาเก่งเรียนก็ดี(เท่าที่รู้ทุกคนก็บอกว่าเขาหัวดีแต่ขี้เกียจ) ผมชื่นชมเขาและอยากจะเป็นเหมือนอย่างเขา ให้เขาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต แม้แต่เป็นนักกีฬาเหมือนเขา (ทั้งที่ผมเล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำในตอนแรก) แต่ถึงแบบนั้นผมก็เป็นแบบเขาไม่ได้ ใจผมมันไม่แข็งพอที่จะต่อต้านที่บ้านได้ เขาอยากให้ผมเรียนบริหารธุรกิจเพื่อที่จะสืบสานงานที่บ้าน แต่ผมมีความฝันของผม….

ช่วงหลังๆมานี่ ดูเหมือนนิ่มจะพยายามเข้ามารื้อค้นชีวิตของผม เรียกว่าชำแหละเลยก็ได้
‘สอบถามความเคลื่อนไหวตลอด’
‘เข้าไปตามดูในโซเชี่ยลฯ ของผม’
‘แอบดูประวัติการโทรในโทรศัพท์’
‘ขอเข้าไปอยู่ในห้องของผม’
ไหนจะวุ่นวายกับเพื่อนของผมอีก เพื่อนที่ผมอยากรู้จักมานาน ยิ่งหลังจากนิ่มได้เข้าไปรื้อค้นห้องผมในวันที่พาเธอขอไปทำการบ้านด้วย ผมจับได้ว่าเธอแอบอ่านไดอารี่ของผมแต่ผมก็เฉย เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ทันทีที่เธออ่าน เธอรู้ทันทีว่าคนที่ผมชื่นชมอยู่เป็นใคร เธอก็เริ่มเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการบงการชีวิตผมหลายอย่างจนผมเริ่มรำคาญ

จนกระทั่งฝางเส้นสุดท้ายที่เธอทิ้งมาที่บ่าของผมทำให้ผมแบกความงี่เง่าของเธอไม่ไหว คือการเดินมาหาเรื่องเพื่อนของผม

เรื่องของนิ่มที่ผ่านมา ผมทราบมาสักพักหนึ่งแล้วหลังจากที่ผมบังเอิญไปเจอพี่พิ้งค์ที่การแข่งขันบาสฯรอบกระชับมิตรของโรงเรียนผมกับโรงเรียน aaaวิทยาลัย เธอบอกว่าเธอมากับน้องของแฟน (ไอ้แฝดนรกนั่น) ที่อยู่โรงเรียนนั้น ด้วยความสำนึกผิดเลยสารภาพและเล่าทุกอย่างให้ฟังทั้งหมด ผมให้อภัยนิ่มนะครับ ผมรู้ว่าคนเรามีสิทธิ์เลือกถึงจะรู้สึกผิดกับหลงก็เถอะ ผมเข้าใจข้อนี้ดีเลยเพราะชีวิตผมไม่มีโอกาสเลือกอะไรได้มากนัก

ผมขับรถวนไปมาหลังจากแยกกับนิ่มที่โรงเรียนของชัย สุดท้ายก็มาหยุดที่ร้านที่ผมไปประจำทุกวัน ผมเลือกที่นั่งที่ต่างจากเดิม อยู่ในมุมด้านในสุดของร้านเพราะอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ผมหยิบเอาหนังสือจากบนชั้นใกล้ๆ มาอ่านเพื่อให้สมองคิดเรื่องอื่น

แต่ก็แปลก……… ในใจผมมีแต่ความรำคาญใจมากกว่าคำว่าเสียใจ…… ที่ผมทำกับนิ่มแบบนั้น

ผมนั่งเปิดหนังสือพลิกไปมาอยู่นาน อ่านข้อความเดิมๆ บทเรียนเดิมๆ ซ้ำไปมา ตัวหนังสือที่ผ่านตาไม่ได้เข้าหัวเลย ในใจผมยังสับสนอยู่มาก ผมไม่เข้าใจตัวเองเลย

“เฮ้ย… ไอ้กวี…อยู่นี่เอง”
“……..” ผมมองไปทางต้นเสียง
“ดีนะที่นายเป็นคนดัง ร้านนี้ใครๆก็รู้จักนาย แค่ถามหาเขาก็รู้แล้วว่านายอยู่ไหน”
“………” มันก็จริงผมมาทุกวันนี่นา แล้วก็มีเพจดังเพจนั้นโปรโมทให้ทุกวัน ใครจะรู้จักผมถือว่าไม่แปลก
“….เออ…. ไม่พูดก็ไม่เป็นไร กูนั่งเป็นเพื่อนมึงก็แล้วกัน เดี๋ยวแม่งคิดสั้น” ความรู้สึกของผมคงแสดงออกทางสีหน้ามากขนาดที่ทำให้คนที่พูดมากอย่างชัย ถึงกับพูดต่อไม่เป็น
“เรา…. ไม่ได้เป็นคิดสั้นแบบนั้นสักหน่อย แค่อยากอยู่เงียบๆ คิดอะไรคนเดียวสักหน่อย”
“อ้อ… งั้นขอโทษนะ เราไม่กวนดีกว่า”
“เฮ้ยๆ ไม่เป็นไร นั่งเป็นเพื่อนหน่อยก็ดี” ผมยกมือขึ้นปรามอีกฝ่ายไม่ให้ลุกขึ้นขณะที่ชัยกำลังยกตัวเองขึ้นจากเก้าอี้
“โอเค…. นาย…. โอเคใช่ไหม?”
“เราโอเค… ชัย! เราถามอะไรหน่อยสิ”
“เดี๋ยวๆ ก่อนที่นายจะถาม เราขอถามก่อนได้ไหม?”
“…..อืม….. ได้สิ”
“นายรู้เรื่องนิ่มนานหรือยัง?”
“ก็สักพัก ทำไมหรือ?”
“เปล่าแค่สงสัย คือ…..”
“ไม่เป็นไร….. พี่พิ้งค์บอกเราหมดแล้ว…”
ผมแอบสังเกตหน้าของชัยซีดลงไปเล็กน้อย
“บอกว่า…….”
“นิ่มเขาคบซ้อนระหว่างหลงกับเรา แล้วนิ่มก็เลือกเรา ส่วนหลงก็เจ็บเป็นบ้าเป็นหลังอยู่พักหนึ่ง คือเรื่องนี้เราพอจะปะติดปะต่อได้ แต่ที่นาย….”
“……..” หน้าชัยดูซีดไปอีก
“นายมาสนิทกับเรา เพราะนายพยายามจะบอกเราเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีโอกาสบอกเสียที…. ใช่ไหม?”
“……..” สีหน้าของชัยแสดงความโล่งอก แล้วก็ตอบด้วยการพยักหน้า
“เฮ้อ….. วุ่นวายจัง ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตตัวเองจะวุ่ยวายขนาดนี้”
“แล้วเรื่องที่นายอยากจะถามคือ…… ??”
“ก็เรื่องนี้แหละ  ทำไมนายไม่บอกเราวะ? เรื่องแค่นี้เราว่าเราพอจะเคลียร์กันได้นะ  เราว่าเราแยกแยะได้นะระหว่างเพื่อนกับแฟนน่ะ”
“คือ….. เอาจริงๆนะ เราว่าเราจะไม่สนใจแล้ว นายเป็นคนดี พอคบกับนายเราก็ว่าจะไม่เอาความนิ่มแล้ว แต่นิ่มมันหาเรื่องของมันเอง แม่งมาราวีเราทั้งที่เราว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของนายกับ…..นิ่ม”
เสียงของชัยค่อยๆ แผ่วลงทันทีที่เขาหันมาสบตาผม

“เฮ้อ……ไม่เป็นไรหรอกชัย….. คือขนาดเราฟังขนาดนี้เรายังไม่รู้สึกโกรธนายเลย นิ่มเราก็ไม่โกรธ ทีเรามานั่งอยู่เนี่ย ไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจหรอก แค่รู้สึกว่า เรารักนิ่มจริงหรือเปล่า? ทำไมเราถึงไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลย นอกจากความรำคาญใจแปลกๆ”

“………” ผมมองหน้าชัยที่ทำสีหน้าเหมือนกับงงมึนกับสิ่งที่ผมพูดออกมา

“ช่างเถอะ……” ผมเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้และแหงนหน้าขึ้นมองเพดานที่มีโคมไฟสีส้มสลับขาวสว่างไสว
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ในขณะที่ผมกำลังล่องลอยไปกับความคิดของตัวเอง จนกระทั่งเสียงหนึ่งมาปลุกผมจากภวังค์

“กูว่า….มึง…. น่าจะไม่ได้รักนิ่มมากพอ ที่จะสะสางปัญหาเรื่องนี้ หรืออย่างเลวร้ายที่สุด…..อาจจะไม่ได้รักมาตั้งแต่แรกเป็นแค่ความชอบพอความเสน่หาที่มีให้กันมากกว่า เพราะเรารู้จักกับความรู้สึกแบบนี้จากไอ้หลงเหมือนกัน เหมือนแค่ควงกันเท่ห์ๆเท่านั้น”

“……………” ผมเกือบจะรู้สึกเห็นด้วยแทบจะทันทีที่ฟัง แต่เหมือนยังถูกไม่หมด ผมเลยยังคงมองไปที่แสงไฟบนเพดานต่อไป ขบคิดไปเรื่อยๆ

“หรือว่า…. ในใจมึงมีคนอื่นแล้ว…”

“……เราว่าไม่น่า…” ผมพลิกหน้ามามองคู่สนทนา ด้วยใจที่เต้นตึกตักพลางคิดในใจว่า ‘เอ…. หรือว่าใช่…. แล้วใครล่ะวะ? ช่วงนี้ยอมรับว่ามีคนเข้ามาคุยเยอะ แต่ก็ไม่ได้สนใจเลยนี่หว่า? คนเดียวที่เราอยู่ด้วยนานที่สุดก็…… ‘ชัย!!’

………………………………………..

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สั้นจังเลย โอยๆๆๆๆ  :z3: อีกๆๆๆ ได้กันได้กัน

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ชัย # 8

เมื่อวานหลังจากผมได้เห็นสภาพที่กลัดกลุ้มสับสนของไอ้กวีแล้ว ทำเอาผมใจไม่ดีเลย รู้สึกว่าไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยเล่นเอาผมไม่สบายใจไปด้วย

การพยายามปลอบมันทำให้รู้อะไรหลายๆ อย่าง เรื่องแรกคือเจ๊พิ้งค์ ผมคงต้องคุยกับเจ๊แกหน่อยแล้ว มีอย่างที่ไหนขายดันดื้อๆ แบบนี้ (ดีนะที่ไอ้กวีมันเป็นคนดีไม่เอาเรื่อง มันไม่เลิกคบกับผมก็บุญแล้ว)

โดยเฉพาะอย่างที่สอง เรื่องที่มันไม่แน่ใจว่ายังรักและยังอยากคบนิ่มอีกไหม? มันออกจะผิดแผนไปหน่อยตรงที่มันควรจะเลิกรักนิ่มทิ้งนิ่มไป ไม่ใช่มาสับสนแบบนี้ ถึงผลลัพธ์มันจะเหมือนกันก็เถอะ

บอกตามตรงผมเห็นมันเป็นแบบนี้ คิ้วเข้มๆได้รูปโค้งของมันขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสวยคู่นั้นดูอ่อนล้า ใบหน้าที่ขาวใสมีออร่าตอนนี้ดูหม่นหมอง ผมเชื่อว่าใครมาเห็นอย่างที่ผมเห็นตอนนี้ก็ต้องอยากทำแบบผมทั้งนั่นแหละ คือ อยากเข้าไปโอบและลูบหัวเบาเบา

ผมล่องไปในความคิดเพียงเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่าถึงความไม่ถูกต้อง ผมหันไปมองพนักงานเสริฟสาวสายหมวยอึ้มที่ตอนนี้เธอกำลังเสริฟให้กับชายหนุ่มด้านนอกร้านแบบนมหกเรี่ยราด ผมยังรู้สึกอยากใช้สายตาจาบจ้วงเข้าไปในเสื้อสายเดี่ยวรัดๆนั่น แต่พอผมกลับมามองไอ้กวีที่อยู่ตรงหน้า ความรู้สึกเดิมก็กลับมาหาผมอีก

มือที่ยาวเรียวนั่นกำลังเปิดหนังสือพลิกไปมาอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาที่ดูเหม่อลอย ทำไมผมถึงอยากที่จะเข้าไปกุมมือมันอย่างนี้นะ  แล้วผมก็ดันเผลอหลุดปากอะไรไปแบบไม่รู้ตัว จนแม้แต่ตัวผมยังแอบเสียใจอยู่ถึงตอนนี้ ไม่กล้าแม้แต่มองไอ้กวีที่อยู่ตรงข้าม ส่วนไอ้กวีก็เอาแต่นิ่ง……

“เอาวะ! อย่างนี้มันต้องเมา!” ผมพูดทำลายความเงียบที่ลอยเคว้งอยู่เต็มบริเวณที่นั่งอยู่
“เฮ้ย.. เราอายุถึงแล้วเหรอ?” ไอ้กวีตาโตใส่
“เอาน่า… ไปร้านคนรู้จัก”
“…….”
“เอาน่า….”

และแล้วผมก็ลากมันไปจนได้….

ผมกับไอ้หลงก็ไม่ใช่เด็กดีอะไรเท่าไหร่ ของอย่างนี้ลูกผู้ชายอย่างเรามันก็มีบ้าง ถือเป็นการเรียนรู้ชีวิต ร้านที่ผมไปเป็นของญาติห่างๆของเจ้พิ้งค์ สมัยผมกับคั่วอยู่เจ๊แกอยู่ เจ๊แกพามาบ่อยๆ แม้หลังจากผมกับเจ๊พิ้งค์จะไม่มีสถานภาพเช่นแต่ก่อน ผมก็ยังพาเพื่อนมาบ่อยๆ เวลาเราอยาก ‘เรียนรู้ชีวิตแบบลูกผู้ชาย’ ละไว้ฐานที่เข้าใจ ก็แล้วกันนะครับ

ร้านนี้มีบรรยากาศแบบร้านอาหารกึ่งผับ โต๊ะแต่ละโต๊ะถูกวางให้อยู่ห่างกันพอควร เพื่อความเป็นส่วนตัว มีสองโซน โซนด้านในห้องกระจกที่มีเครื่องปรับอากาศสำหรับคนที่ชอบดนตรีสด และมีบาร์เครื่องดื่มเล็กๆใกล้เวทีแสดงดนตรี ส่วนอีกโซนอยู่ด้านนอกร้านที่จัดโต๊ะบรรยากาศในสวนหย่อม และมีดนตรีเปิดจากเครื่องกระจายเสียงเบาเบาแนวฟังสบาย

ผมลากไอ้กวีเข้าด้านใน ที่บาร์ใกล้เวทีแสดงดนตรีซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการแสดงอะไร

“เอาอะไร?”
“น้ำอัดลมก็ได้”
“ไอ้บ้า เราหมายถึงเหล้าโว้ย นายมาถึงนี้เพื่อมากินน้ำอัดลมเนี่ยนะ!”
“เอ่อ……. ไม่รู้ว่ะ เราไม่เคย…”
“เออ! ลืมไปว่านายมันเด็กเรียน” ผมจะพามันเสียคนไหมวะ ผมหันไปสั่งพนักงานที่บาร์เป็นเบียร์ยี่ห้อหน้าสิงโตในป่าหิมพานต์มาสองขวด

“เฮ้ย!! ไอ้ชัย ไอ้น้องรัก หายไปนานเลยมึง” เสียงหนึ่งดังขึ้นไกลๆ จากอีกด้านหนึ่งของบาร์เครื่องดื่ม
“อ้าว…พี่โน่ สวัสดีครับ” ผมไหว้แกไปหนึ่งรอบ พี่นีโน่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ๊พิ้งค์ครับ ตัวเล็กๆ ขาวๆ ตี๋ๆ ดูน่ารักตะมุตะมิมากหากไม่รวมการไว้หนวดและรอยสักเต็มแขน ดูขัดกันสุดๆ แกใจดีน่ารัก ตั้งแต่สนิมกับพี่โน่และคุยกันถูกรอ มาทีไรแกให้ส่วนลดทุกที แกไม่ชอบให้เรียกชื่อเต็มเลยเรียกสั้นกันแค่นั้น

“ทำไมวันนี้ถึงมาร้านกูได้ล่ะเนี่ย?”
“มาเพื่อนมาเปิดซิงครับ”
“………” พี่โน่มองหน้าไอ้กวีแบบแปลกๆ
“ไม่ใช่แบบนั้นพี่! มันไม่เคยมาร้านแบบนี้ เหล้าก็ไม่เคยกิน”
“อ้อ…. กูก็ว่า….. หน้าตาแบบนี้แม่งไม่น่ารอดมาได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…..”

ผมยกเบียร์ที่ตอนนี้ยกมาเสริฟตรงหน้าหนึ่งอึกให้หายคอแห้ง ไม่ได้ซดมานาน ความเย็นที่ปลายลิ้นกับความร้อนที่ลงไปในคอถึงกระเพราะนี่มันความรู้สึกที่คิดถึง (ผมไม่ได้ติดเหล้านะครับ แค่ชอบในรสชาติ)
“แฟนใหม่เหรอ? เดี๋ยวนี้ชอบแบบนี้นี้ก็ไม่บอกพี่..” พี่โน่เดินมากระซิบใส่หูผม

ผมสำลักน้ำสีอำพันที่เพิ่งจะกลืนลงไป จนต้องเอามือมาเช็ดปากที่เลอะเทอะ

“พี่จะบ้าเรอะมันเป็นผู้ชาย ผู้ชายทั้งแท่งเลย นี่มันเพิ่งกับแฟนเลยพามาเมาเนี่ย” ผมโน้มตัวมากระซิบกลับ
“เชี้ย! น่ารักว่ะ มึงแน่ใจนะว่าไม่ใช่ ทั้งผิวและรูปร่างอ้อนแอ้นโอดองนั่น…….” พูดจบพี่โน่ก็ทำตาหวานเยิ้มใส่ไอ้กวี 
“………..”
เฮ้ย! ผมไม่เคยรู้เลยนะว่าพี่โน่นี่มีรสนิยมแบบนี้ด้วย เคยเห็นแต่ควงสาวไม่ซ้ำหน้า มุมนี้ของพี่โน่เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผมเลย จะว่าไปผมก็รู้สึกแบบที่พี่โน่รู้สึกนี่แหละ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกไม่ชอบที่พี่โน่รู้สึกเหมือนผมเลยวะ
“อกหักใช่ไหม งั้นกูช่วยดามเอง”
“เฮ้ยๆ พี่ผมขอ อย่าเพิ่งยุ่งกับมันเลย” อยู่ๆ ผมก็ขึ้นเสียง
“มึงหวงมันเหรอ? ไหนว่าแค่เพื่อน!” เออว่ะ กูจะไปหงุดหงิดทำไม
“งั้นมึงก็ปล่อยกู เดี๋ยวกูเปิดซิงมันเอง”
พูดจบคนตัวเล็กๆ อย่างพี่โน่ก็พริ้วไปชนขวดดวลน้ำเมากับไอ้กวีที่ยืนลูบคลำขวดเบียร์แบบลังเลว่าจะจัดการกับมันอย่างไร (ไอ้พี่โน่มันไปเอาขวดเบียร์จากไหนวะ เร็วฉิบหาย)

ผมนั่งมองสองคนข้างๆ ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่คุยกันเรื่องการดื่มเหล้าครั้งแรกและวิธีแก้เมาค้าง สมกับเปิดผับแม่งรู้ดีฉิบหาย ส่วนไอ้กวีก็ตั้งใจฟังและซักถามยังกับอยู่ในห้องเรียน นี่ถ้ามันมีสมุดมันคงจดบันทึกลงไปแล้ว มึงนี่เรียนได้ทุกที่เลยนะ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ขวดเบียร์ที่ดูว่างเปล่าวางก็อยู่ตรงหน้าไอ้กวีเสียสองขวดแล้ว ถึงจะเป็นแบบขวดเล็กแต่คนเพิ่งเคยกินอย่างมัน คงจะเมาไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้แก้มมันแดงอย่างกับผลมะเขือเทศสุก ทั้งสองคนคุยกันอย่างออกรส โดยไม่ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างผมเลย ผมเผลอคิ้วขมวดหลายรอบทุกครั้งที่ทั้งสองหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

“ชัย!!”

เสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยเอ่ยทักขึ้นมาข้างๆกาย
“ลมอะไรหอบมาถึงนี่เนี่ย ไม่มานานเลย”
“สวัสดีเจ๊” ผมหันไปหาเจ๊พิ้งค์ที่ยืนท้าวเอว เธอยืนใกล้ผมจนหน้าอกเธอแทบจะชนหน้าผม
“อ้าว… กวีก็มา” เธอหันไปโบกมือทักทายไอ้กวีที่ตาเริ่มปรือแล้ว ไอ้กวีโบกมือกลับแบบอ่อนแรง
“พี่โน่ เข้าหาเด็กใหม่ตลอดเลยนะ!” เจ้พิ้งตะโกนข้ามไหล่ผมไปแซวคนตัวเล็กที่ไม่ได้สนใจอะไรเจ้แกเลย พี่โน่แค่หันมายักคิ้วใส่เท่านั้นเอง
“แก! มาด้วยกันได้ไงวะ อย่างกวีไม่น่าจะมาบังเอิญเจอแกที่นี่?”
“ก็ชวนมันมา แค่นั้น” ผมแทบไม่มองคู่สนทนาคอยเหลือบมองสองคนนั้นเรื่อยๆ
“เจ๊ได้ข่าวเรื่องกวีกับยัยนิ่มแล้วเลิกกันแล้วสิ?”
“ยังหรอก… แค่ช่วงพักเบรก”
“โห… เจอเจ๊ใส่เต็มขนาดนั้นยังจะไม่เลิกอีก!” เจ๊พริ้งพูดมาทำให้ผมนึกได้ทันทีว่าจะต้องคิดบัญชีกับเธอ
“เจ๊!! มานี่ดิ” ผมลากเจ้พิ้งค์ออกมาห่างจากไอ้กวีไปสามสี่ก้าว เพราะวงดนตรีเริ่มมาเทสต์เสียงแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าห่างจากไอ้กวีมากนัก อ่อนๆ อย่างมันกลัวจะเสียท่าให้ไอ้พี่โน่ขี้หลี ให้มันอยู่ในสายตาเสียหน่อย
“เล่ามาเป็นไงมาไง?”
“ก็เจ้ไปเชียร์เด็กแฝดที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของอาร์ตนะ คืออาร์ตไปไม่ได้เลยฝากพี่ไปเชียร์ และก็คอยดูแลตอนกลับบ้าน บังเอิญไปเจอน้องกวีเข้า น้องมันน่ารักเดินเข้ามาทักทายสนิทสนม แถมช่วยดูแลเจ้กับไอ้เด็กแฝดด้วย เป็นคนดีมากๆ เลยแก”
“เจ๊ก็เลยใจอ่อน เล่าให้ฟังหมด?”
“ก็… แบบ…. หลุดปากมากกว่าน่ะ เพราะไปเจอยัยนิ่มมันทำท่าอวดดีใส่ พอสบโอกาสตอนกวีอยู่คนเดียวเลย จัดไปชุดใหญ่ไฟกระพริบเลย”
“แปลว่าบอกหมดเปลือก?”
“แต่เจ๊บอกนะว่า ชัยหวังดีกับกวีนะ อยากให้เลิกกับอีผู้หญิงไร้หัวใจนั่น!!”
“ป่านนี้นิ่มคงคิดว่าผมเป็นคนบอกแล้วล่ะ”
“เจ๊ก็รู้ถึงนิสัยไอ้กวีมัน คนดีอย่างมันจะบอกเหรอว่ารู้มาจากไหน สุดท้ายนิ่มมันก็ต้องคิดไปเองอยู่แล้ว”
“…อืม….. นั่นสิ”
“โอเค…. ช่างมันเถอะเจ้ โชคดีที่เป็นไอ้กวี… มันไม่เอาความ”
ผมยิ้มแห้งๆ ใส่เจ้พิ้งค์

“มึงนี่เองคนที่เขาลือกันว่าเมียกูไปวุ่นวายด้วย”
“?????” ผมหันไปทางต้นเสียงทางด้านหลัง

ผลั่ว!!!!!

ผมลงไปกองกับพื้นด้วยหมัดปริศนา

“อาร์ต!!! ทำอะไรน่ะ….. ว้าย…  ชัยเป็นอะไรไหม?”
“มึงนี่เอง ไอ้ชัย คนที่เขาลือกันว่ามาวุ่นวายกับเมียกู มึงเลิกกับพิ้งค์แล้วไม่ใช่เหรอ? มึงยังจะมาป้วนเปี้ยนกับพิ้งค์อีกทำไม?”
แล้วไอ้อาร์ตก็ย่างสามขุมเข้ามาหมายจะตะบันผมอีกรอบด้วยตีนที่ง้างไว้ พร้อมด้วยเสียงกรี๊ดของเจ๊พิ้งค์ที่พยายามยกมือขึ้นห้าม

“เฮ้ย!! ทำอะไร”

เสียงดังขึ้นจากไหนไม่ทราบพร้อมภาพที่ไอ้อาร์ตโดนผลักกระเด็นไปด้านข้างเกือบล้ม

ไอ้กวีเดินเข้าขวางระหว่างผมกับไอ้อาร์ต

ไอ้ชัยมันไม่เกี่ยว!! คนที่พี่พิ้งค์มายุ่งด้วยก็กูนี่แหละ
(อ้าว.. ไอ้นี้เหล้าเข้าปากแล้วห้าว!! มันคงไม่รู้จักไอ้อาร์ตสินะ ลูกชายเจ้าของโรงสีที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด นักเลงประจำจังหวัดเลยนะไอ้บ้า!!)

เพียงแค่นั่นแหละ พอไอ้อาร์ตมันได้ยินและมันตั้งหลักได้มันก็ตรงเข้ามาจัดการไอ้กวีที่ยืนแทบจะไม่ตรงอยู่ตรงหน้าผมผมเสียหมอบ หมัดเดียวเท่านั้น ไอ้กวีมันทรุดลงไปกับพื้นเหมือนผมเลย ตามด้วยสัมผัสจากเท้าของไอ้อาร์ตเข้าที่ท้องสองครั้งติด ผมรีบไปช่วยทันทีแต่โดนเพื่อนไอ้อาร์ตมันจับไว้ ผมเลยซัดไอ้สองตัวที่จับผมจนเสียหลักแต่ด้วยความเจนเรื่องชกต่อยมันจึงดึงผมลงไปต่อยเสียหลายหมัด ด้วยความมึนจากหมัดแรกของไอ้อาร์ตทำเอาผมโต้ตอบไม่ถนัด ตอนนี้ผมกับไอ้กวีกำลังเสียเปรียบโดนซ้อมอยู่ฝ่ายเดียว

ไอ้กวีมีพี่พิ้งค์วิ่งไปห้ามแต่เหมือนยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งไปยั่วโมโหไอ้อาร์ตหนักขึ้นอีก

“หยุด!!! หยุดเดี๋ยวนี้!!”

เสียงของพี่โน่ ที่เกรียวกราดแบบไม่คุ้นหูดังขึ้นทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง ทำให้ผมกับไอ้กวีได้พักหายใจกันบ้าง

“อาร์ต พอแค่นี้แหละถือว่าพี่ขอ!!” พี่โน่จ้องไอ้อาร์ตเขม็ง
“ครับ” พูดจบไอ้อาร์ตมันก็ถุยน้ำลายใส่ไอ้กวีที่ทรุดอยู่กับพื้น
“เดี๋ยวอาร์ต!!”
“อะไรพี่!!”
“พี่ว่า…เคลียร์กันก่อนไหม? พี่ว่ามันมีอะไรเข้าใจผิดอยู่ พิ้งค์ เธอมีอะไรจะพูดไหม?” พี่โน่หันไปหาต้นเหตุของเรื่อง ที่กำลังร้องไห้ด้วยความตกใจ

พี่พิ่งค์เล่าทุกอย่างอย่างละเอียดแม้กระทั่งในเรื่องที่ไอ้กวีไม่เคยฟังด้วย เรื่องแผนของผมทั้งหมด เรื่องที่ผมลงทุนสารพัดให้ความรักของไอ้กวีกับนิ่มพังลงถึงกับจ้างเจ๊พิงค์ไปยั่วยวนไอ้กวีให้นิ่มหึงเล่นๆ
กลังจากเล่าจบ อาร์ตดูมีอาการใจเย็นลง หลังจากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดแค่จัดฉาก แล้วไอ้อาร์ตกับพวกของมันก็ยอมออกจากร้านแต่โดยดี
เจ๊พิ้งค์โค้งคำนับขอบคุณพี่โน่และขอโทษพวกเราก่อนที่จะวิ่งตามไอ้อาร์ตออกไป

ตอนนี้เหลือผมกันไอ้กวีที่นั่งกองอยู่บนพื้นมองหน้ากันสองคน ในสภาพที่ดูไม่จืด

“พาเพื่อนกลับบ้านก่อนไป เดี๋ยวพี่ต้องเคลียร์ร้านอีก” พี่โน่มองสถาพร้านที่โต๊ะเก้าอี้ล่มระเนระนาดอยู่มุมหนึ่งจากเหตุการณ์เมื่อครู่

“ไป…เดี๋ยวเราไปส่ง” 
ผมบอกกับไอ้กวีที่ตอนนี้หน้าตาเขียวพกช้ำไปข้างหนึ่ง

……………………



พ่อกวีคนดีของราจะว่าอย่างไรบ้างนะ.... เขียนเองแอบลุ้นเอง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ความทุกอย่างก็รู้กันหมดแล้ว
ว่าแต่กวีที่เมาๆ หลังชกต่อยจะหายเมามั้ย
และฟังทุกอย่างแล้ว จะคิดอะไร หรือโกรธชัยหรือเปล่า

ว่าแต่กวีนี่ฮ็อทไม่เบาเลย
พี่โน่นี่น้ำลายไหลเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รวบรัดมากๆๆๆ :hao7: :hao7: :hao6: แต่ตอนนึงสั้นมากอะ  :mew2:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ชัย # 9

โอย……..
อูย………..

ผมเผลอร้องออกมาตอนลมเย็นเยียบตีปะทะหน้าช้ำๆของผมระหว่างขับรถไปส่งไอ้กวีที่บ้าน จนในใจคิดอยากจะขับให้ช้าลง

ผมเป็นคนลากไอ้กวีมาเที่ยว บังคับให้มันนั่งซ้อนท้ายบิ้กไบค์ผมมาที่ผับนี่ (เพราะไอ้กวีไม่รู้ทางและคล่องตัวกว่า) จนกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ ผมรู้สึกผิดยังไงบอกไม่ถูก แล้วไหนจะเรื่องต่างๆ ที่ถูกเปิดโปงง่ายๆ ในตอนท้ายแบบนี้ ไอ้กวีมันยอมกลับบ้านกับผมก็ดีขนาดไหนแล้ว ผมกลัวมันโกรธจะแย่

“ทางนั้น…… เลี้ยวขวาเข้าซอยใหญ่ข้างหน้า…..”

ไอ้ชัยที่นานๆ จะเงยหน้าขึ้นมาและบอกทางเป็นระยะๆ มันเอนตัวมาชิดผมให้หน้าซบไหล่ผม ในขณะที่มือทั้งสองอ้อมมาคล้องเอวผมไว้

หากเป็นคนอื่นผมคงปล่อยให้มันตกรถไปแล้ว ไม่ให้ทำแบบนี้หรอก มันน่าขนลุก หากเพื่อนผมจะเมาขนาดนี้ผมคงเรียกแท็กซี่ให้มันกลับบ้านเอง แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกรังเกียจไอ้กวีเลย บางทีกลับห่วงกลัวว่ามันจะตกลงไปเสียด้วยซ้ำ บางครั้งผมต้องคอยจัดมือมันไม่ให้ปล่อยจากการคล้องเอวผมแบบนี้ บางทีผมก็จับแขนมันไว้เลยเวลาที่มันเหมือนจะปล่อยมือออกจากกัน ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผมสำนึกผิดเรื่องที่ทำไว้กับมันละมั้ง?

ผมเคยรู้มาบ้างว่าบ้านไอ้กวีอยู่แถวนี้  ขยับออกจากตัวเมืองมาเล็กน้อย อยู่ในซอยใหญ่ที่ติดถนนทางหลวงหกเลน เขาลือกันว่าบ้านมันหลังใหญ่มาก จนกระทั่งตอนนี้ผมขี่รถมาจอดหน้าบ้านของมัน

รั่วบ้านขนาดใหญ่สูงกว่าสามเมตรสีทองสลับเหลือบรมดำดัดลายเป็นลายดอกไม้สวยงาม รั่วรายล้อมบ้านขนาดใหญ่ที่มีเสาทรงโรมันตั้งคู่ขนานตั้งที่อยู่ด้านในไกลออกไปกว่าสิบเมตร ประมาณจากสายตาแค่สนามหน้าบ้านมันก็ใหญ่กว่าบ้านผมแล้วมั้ง

ผมพยุงไอ้ขี้เมาลงจากรถ ไอ้กวียืนมึนพิงรถบิ้กไบค์ที่จอดอยู่ ผมเดินหากริ่งเพื่อที่จะเรียกคนในบ้านมารับตัวมัน

“สวัสดีครับ มาหาใครครับ ดึกดื่นแบบนี้” เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบรักษาความปลอดภัยโผล่มาจากเงามืดตรงไหนสักแห่งจนผมเผลอกระโดดตกใจ
“โห…พี่!! ตกใจหมด!”
“มาทำอะไรครับ?” ไม่ได้สนใจอะไรกูเลย สรุปเป็นรปภ. หรือทหาร
“ที่นี่บ้านไชยวัฒนพาณิชยสกุลใช่ไหมครับ” สาบานว่านั่นนามสกุล ยาวโคตร ผมอึ้งมากตอนฟังครั้งแรก
“ใช่ครับ มาติดต่อเรื่องอะไรครับ?”
“พาเพื่อนมาส่งครับ” ผมชี้ไปที่ไอ้ตัวที่ยืนตาปรืออยู่ไม่ไกล
“อ้าว! คุณหนูนี่เอง คุณเป็นเพื่อนคุณหนูหรือครับ? เชิญครับ”
พูดจบเจ้าหน้าที่ก็พูดใส่วิทยุสื่อสารในมือให้เจ้าหน้าที่อีกคนเปิดประตูให้ แล้วประตูก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดแบบอัตโนมัติเหมือนมีเวทมนต์  อลังการโคตรๆ แล้วไฟทางเดินก็ค่อยๆ เปิดไปจนถึงตัวบ้าน
“อ้าว! คุณหนูไม่ได้เอารถไปรึเนี่ย?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกมานอกรั่วแล้วมองหารถของไอ้กวี

“พี่ว่าสภาพนี้มันจะขับรถไหวไหม?”
“เฮ่ย!! คุณหนูไปโดนอะไรมา?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตกใจเมื่อเห็นสภาพคุณหนูของเขาที่ผมหิ้วปีกอยู่ตอนนี้
“อย่าบอกป๊ากับคุณนายนะ”
“เอ่อ….ครับ คุณหนูโชคดีนะครับที่นายท่านกับคุณนายไปเยี่ยมคุณหนูเล็กที่ศรีราชา”
“อืม” ไอ้กวีพยักหน้าเบาๆ
“ผมวานคุณขี่รถไปส่งคุณหนูถึงบ้านได้ไหมครับ เพราะพวกผมไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปในตัวบ้านในยามวิกาลครับ คุณเป็นเพื่อนคุณหนูคงไม่เป็นไร”
“เออ… ใช่… ไปส่งเราหน่อย เราคงเดินไปไม่ไหว แล้วจะได้ไปทำแผลกันก่อนด้วย” ไอ้กวีหันมาทางผมด้วยสายตาอ่อนแรง
ผมมองระยะทางข้างหน้าแล้วเห็นด้วยทันที ผมพยักหน้าและจับมันขึ้นรถเหมือนเดิม และขี่เข้าไปในตัวบ้านโดย เจ้าหน้าที่ฯ วิ่งตามมาส่งถึงแค่หน้าบ้านเท่านั้น

พอมาถึงภายในบ้าน คิดว่าภายนอกบ้านนี่ยิ่งใหญ่สวยงามแล้วนะ พอมาข้างในบ้านแล้วไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน การจัดแต่งสไตล์หลุยส์ประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์สีทองสลับขาว ตามผนังมีภาพวาดครอบครัวของไอ้กวี ย้ำนะครับว่าภาพวาดไม่ใช่ภาพถ่าย ดวงไฟแชนเดอร์เรียประดับด้วยคริสตัลที่นับเม็ดไม่ได้แขวนอยู่กลางโถงหน้าบ้าน และยังมีห้องหับที่แยกออกไปจนผมมองไม่หมด บ้านน่าอยู่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่อยากกลับวะ

มันบอกทางผมขึ้นไปชั้นสองห้องริมสุด ห้อนนอนห้องขนาดใหญ่ที่ใหญ่พอๆกับห้องนั่งเล่นบ้านผม พื้นปาร์เก้ขัดมันวับ รูปแบบการจัดวางเฟอร์นิเจอร์เข้าชุดกับห้องนั่งเล่นและโถงด้านล่าง (และคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นทั้งบ้าน) บ้านผมก็ไม่ได้ยากจนนะครับ เรียกว่าพอมีฐานะเลยทีเดียว แต่พอมาเทียบกับบ้านไอ้กวีผมดูด้อยไปเลย  เปรียบเหมือมดกับช้างเลย

พอถึงห้องมันผละจากผมเดินที่นั่งที่เตียงขนาดหกฟุตที่มีรูปทรงหรูหราสไตล์หลุยส์ (ถ้าผมมานอนจะนอนหลับไหมวะกว้างมาก)

“ชัย ไหนดูแผลหน่อย”
ไอ้กวีกวักมือเรียกผมขณะที่กำลังมองห้องมันรอบๆ ที่ตกแต่งเหมือนห้องวัยรุ่นทั่วไป ทั้งโปสเตอร์นักบาสฯ ดังๆ ที่ติดตามผนังห้อง และมีมุมๆหนึ่งที่ถูกอุทิศให้กับ เอ็นบีเอ ที่มีของที่ระลึกต่างๆ มากมายจากทีมดังๆ ทั้งนั้น (น่าจะของแท้จากอเมริกา)

ผมเดินไปหามันที่เตียงโดยที่ยังสำรวจรอบๆ ห้องอยู่
“โห… นี่เป็นทีมที่เราชอบทั้งนั้นเลยนี่” ผมสังเกตของบางอย่างก็ยังใหม่อยู่เลย บางชิ้นเป็นชิ้นที่ผมคนบอกออกสื่อโซเชียลเลยว่าอยากได้มาก เหมือนทุกชิ้นที่อยู่ในนี้เป็นรายการที่ผมอยากสะสมทั้งหมด
“…….” ไอ้กวีไม่ตอบอะไรนอกจากสังเกตหน้าผมอย่างวินิจวิเคราะห์
“นาย… สะสมมานานหรือยัง?” ผมตื่นเต้นจนลืมเจ็บ
“บางชิ้นก็นาน บางชิ้นก็ไม่นาน” แล้วมันก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง
“โห….. อันนี้สุดยอดไปเลย มีลายเซ็นต์ด้วย” ผมชี้ไปที่เสื้อทีมโปรดที่ถูกใส่กรอบไว้พร้อมด้วยลายเซ็น ซึ่งวางพิงผนังข้างโต๊ะอ่านหนังสือ
“ทำแผลก่อนก็แล้วกันนะ ค่อยกลับบ้าน” ไอ้กวีเดินยกกล่องปฐมพยาบาลมาที่เตียง
“เออ..อืม” ผมหันไปหาไอ้กวีที่ตอนนี้เดินมานั่งที่ขอบเตียงข้างๆ ผมพร้อมกล่องปฐมพยาบาล
“นายก็ใช่ย่อยนะ ส่องกระจกหรือยังเนี่ย? งั้นเดี๋ยวพลัดกันทำแผลก็แล้วกัน” ผมสำรวจหน้าไอ้กวี พร้อมยิ้มปนขำเพราะอยู่กับมันด้วยสภาพนี้อีกแล้ว ดีนะไม่มีใครเป็นอะไรมาก
“หันหามาดีๆสิจะได้ทำแผลให้ก่อน” ผมทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย
“ทำไมถึงขนาดมีอุปกรณ์ทำแผลครบแบบนี้ในห้องเนี่ย?”
“เรามันซุ่มซ่าม เวลาซ้อมบาสฯ มักจะได้แผลมาด้วย เราไม่อยากให้ป๊ารู้เลยแอบมาทำเอง กลัวป๊าสั่งให้เลิกเล่น” ไอ้กวีจัดเตรียมยาและอุปกรณ์ต่างๆ ออกจากกล่องอย่างชำนาญ
“อ้อ …..แล้ว…..ทำไมถึงชอบเล่นบาสล่ะ” ผมถามอย่างสอดรู้
“ก็เห็นมีคนเล่นแล้วเท่ดีเลยอยากเล่นบ้าง”
“เราอ่ะดิ ใช่ไหม? ….โอ้ย!!… เบาๆ หน่อยสิ” ไอ้กวีมันใช้มือจับสำลีที่มีเบตาดีนติดอยู่จิ้มมาที่หน้าผมทั้งๆ ที่มันก้มหน้าอยู่
“พูดเล่นแค่นี้ถึงกับแกล้งกันเลยหรือ?” หรือว่าเราจะเป็นคนๆ นั้นที่มันพูดถึงวะ
“……..”  มันเงยหน้าขึ้นมาแบบเขินๆ เหมือนผมเดาถูก ไอ้กวีดูมันพยายามเก็บอาการไว้

“เฮ้ย!! ใช่จริงๆน่ะ?” 

“ไม่ใช่โว้ย” แล้วไอ้กวีก็ทำท่าจะลงแรงที่ตรงแผลที่ริมฝีปากผม ด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติของผมจึงคว้าไปที่มือของไอ้กวีก่อนจะลงแรง ไอ้กวีมันดูสะดุ้งตกใจ
“เวลาทำแผลเช็ดแค่นี้ก็พอ เบาๆ แบบนี้เข้าใจไหม?” ผมสอนมันโดยการใช้แรงจับมือมันที่ตอนนี้กุมสำลีอยู่ค่อยๆซับแผลที่ริมฝีปากของผม ดูมันหน้าแดงมากกว่าเดิมมาก ตาดูเลิ่กลั่กแปลกไป หน้าผมกับมันใกล้กันจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของมันและกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ออกมาจากร่างกายของไอ้กวี อยู่ๆผมก็ตื่นเต้นขึ้นมาทำให้ผมหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง ดูจากอาการของไอ้กวีเองก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่

“พอแล้ว! ทำเองต่อก็แล้วกัน” ไอ้กวีโวยวายสะบัดมือผมทิ้งและลุกขึ้นยืน แต่ด้วยอาการเมาและร่างกายที่เพิ่งโดนซ้อมมาคงจะไม่เอื้อให้ออกแรงอย่างกระทันหัน มันจึงเซล้มหงายลงมา ผมจึงโผไปรับมันด้วยความเคยตัวทั้งที่ๆ ที่ร่างกายตัวเองก็ไม่เอื้อให้ทำแบบนั้น กลายเป็นว่าพอรองรับตัวไอ้กวีได้ ผมก็โดนแรงโน้มถ่วงของโลกฉุดให้ล้มลงไปที่ที่นอนนุ่มๆ ตามไอ้กวี

ตอนนี้แขมผมโดนร่างท่อนบนของไอ้กวีทับอยู่ส่วนตัวผมแนบชิดไปกับร่างกายของมันจนเกือบจะเรียกว่าซ้อนทับกัน หน้าผากของผมโขกไปที่หน้าผากของไอ้กวีหนึ่งครั้ง เสียงดังโป๊ก ทำเอาได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหัวเลย หลังจากหยีตาลงไปด้วยความเจ็บปวด สิ่งแรกที่ผมลืมตาเห็นคือตากลมโต สีน้ำตาลเข้มกับหน้าใสแก้มแดงของไอ้กวีอยู่ในระยะประชิด เราต่างคนต่างมองอยู่ในท่านี้อยู่พักหนึ่งก่อนที่ผมจะทำอะไรโง่ๆ คือการกดริมฝีปากลงไปที่แก้มมันฟอดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

“……” ไอ้กวีมันดูจะอึ้ง ตาโตใส่แบบไม่เชื่อในสิ่งที่ผมทำ
“เออ….เราขอโทษว่ะ คือ เรา… เรา.. พยายามจะลุกขึ้นแต่นายทับแขนเราไว้ เลย…เลยล้มไปหานายน่ะ”
สักพักมันก็ขยับตัวให้แขนผมสามารถดึงออกจากใต้ร่างมันได้
“เอ่อ… ไม่เป็นไร” ไอ้กวีมันมีอาการกระอั่กกระอ่วนกว่าเดิม
“งั้น…. เรากลับบ้านก่อนดีกว่า”
“เดี๋ยว…. ไม่ทำแผลเหรอ”
“เฮ้ย…ไม่เป็นไร หนักกว่านี้ก็โดนมาแล้ว”
“แต่…. ดึกแล้วนะ แล้วนายก็ดื่มมานี่ ตอนนี้ตำรวจน่าจะตั้งด่านแล้ว ถึงนายจะไม่โดนจับ แต่ไม่กลัวพ่อนายจะรู้เหรอ? นอนที่นี่ก็ได้นะ วันนี้เราอยู่คนเดียว”

ฉิบหายแล้ว!!! จริงของมัน ปกติผมจะค้างบ้านไอ้หลงหรือเพื่อนคนที่บ้านอยู่ชานเมือง เพราะเลี่ยงที่จะเจอด่านในเมือง มันพูดมีเหตุผล
“เอ่อ….” จะให้นอนกับมันกับความรู้สึกแบบนี้เนี่ยนะ!

“ดูจากสีหน้าแปลว่าโอเคนะ เดี๋ยวเตรียมชุดนอนให้”
พูดจบมันก็ค่อยๆ ลากสังขารของมันไปจัดแจงเตรียมทุกอย่างทั้งเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัววางพับเรียบร้อยอยู่บนเตียง ทำไมมันเป็นคนเรียบร้อยจังวะ ผมยืนดูด้วยความชื่นชม เพราะนิสัยแบบนี้ช่างต่างจากผมมาก
“นายไปอาบก่อนก็ได้นะ” ไอ้กวีชี้ไปที่มุมห้องอีกด้านที่มีประตูไม้สลักลายสำหรับระบายอากาศสุดหรู
“เอ่อ…. โอเค….” ระหว่างที่เดินเข้าห้องน้ำ ผมแอบเห็นสมุดตราสัญลักษณ์โรงเรียนของผมวางอยู่บนโต๊ะของมันคละกับหนังสือเล่มอื่นๆ สมุดที่มีลักษณะคุ้นตา

“กวี… นายเคยเรียนที่ โรงเรียนเราด้วยเหรอวะ?”
“…….. ก็… เคยตอนมอต้น รู้ได้ไง?”
“ก็เห็นสมุดตราโรงเราอยู่นี่ไง” ผมเดินไปที่โต๊ะหนังสือ กำลังจะใช้มือเอื้อมไปหยิบสมุดเล่มนั้น ไอ้กวีที่โผมาจากไหนไม่ทราบมาแย่งสมุดเล่มนั้นไปจากมือ และพยายามไล่ผมเข้าห้องน้ำไป ผมเลยเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างงงๆ

หลังจากที่พวกเราอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวนอนเรียบร้อยแล้ว
ไอ้กวีก็บ่นอิดออดว่าน่าจะทำแผลก่อนอาบน้ำ เพราะหลังจากอาบน้ำเสร็จพวกเราก็ต่างคนต่างทำแผลของตนเอง เนื่องจากการผลักกันทำในช่วงแรกไม่ประสบความสำเร็จ และล่มไม่เป็นท่า (แต่ทำไมผมรู้สึกชอบตอนจบแฮะ)

การนอนวันนี้ไม่ง่ายเลยเพราะมีไอ้กวีที่นอนขยับไปมาอยู่ข้างๆ ทุกครั้งที่มันขยับ ผมก็สะดุ้งตื่น ใจเต้นตึกตัก ทำไมผมถึงได้ว้าวุ่นกระวนกระวายอย่างนี้วะ พยายามข่มตาหลับทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง

………………………………………………
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2017 09:23:42 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เอ่อ.............ชัย หอมแก้มกวี  :ling1: :ling1: :ling1:
ของสะสมที่ชัยอยากได้ กวีตามเก็บมาสะสม
สมุด ตรารร. มีอะไร กวีถึงรีบแย่งมาซะก่อนที่ชัยจะเปิด

กวี  จะทนนิ่ม ไปถึงเมื่อไหร่
ทำตัวน่ารำคาญ ไร้มารยาท ค้นห้อง แอบอ่านไดอารี่
มาทะเลาะต่อว่าชัย ทำตัวแย่มากกกกกก ไม่น่ารัก
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชัยดูไม่เป็นชัยเลย เหมือนกลายเป็นหลง2ไปแล้ว เอาชัยกลับมาาาา  :z3: // ยาวกว่านี้ทีเถอะะ  :hao5: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
กวี# 4




ตึกๆๆ

เสียงหัวใจผมเองครับ ผมนอนอยู่บนเตียงตัวเองกับชัยที่นอนอยู่ข้างๆ หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่แสนจะวุ่นวายในคืนนี้ ทั้งเรื่องของนิ่ม เรื่องของชัย จริงๆ ผมก็ไม่ได้โง่นะครับ พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวเองได้มาสักพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นเรื่องที่ได้ฟังวันนี้ก็เลยไม่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับผม

วันนี้ชัยก็ทำท่าทางแปลกๆ ไปดูไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ เขาคงคิดว่าผมคงจะโกรธมาก เลยทำอะไรเกรงใจผมไปหมดไม่เหมือนทุกที ถามว่าผมโกรธเขาไหม? ผมก็มีความรู้สึกนะครับ ผมไม่ชอบชีวิตที่ดูวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ แต่พอมาได้คบกับเขา ได้รู้จักในอีกแง่มุมของชีวิตที่สนุกสนาน ไร้กฏเกณฑ์แต่มีชีวิตชีวา มุมมองต่อการใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปไม่รู้ตัว ผมรู้ว่าเขาเป็นคนดีครับ คงแค่อยากจะแก้เผ็ดนิ่ม แต่ทำแบบนี้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบนี้มันก็ไม่ถูกอยู่ดี (แม้นิ่มเองจะเป็นคนผิดคนแรกก็เถอะ)

ผมนอนกระวนกระวายอยู่บนเตียง ผมไม่เคยนอนกับใครเลยครับนับตั้งแต่จำความได้ ยอมรับว่านิ่มเคยมาบ้างแต่ไม่เคยค้างคืนนะครับ (เสร็จกิจก็แยกย้าย) รู้สึกไม่คุ้นเคย ทุกครั้งที่มีความรู้สึกว่ามีคนนอนอยู่ข้างๆ ผมก็พลิกตัวมาดูให้แน่ใจ ยิ่งได้เห็นรูปหน้าตี๋คมๆ นั่นใกล้ๆ ยิ่งทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งมองยิ่งทำให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อก่อนนอน ทำให้รู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดไปทั่งร่าง โดยเฉพาะใบหน้าที่ร้อนผ่าว ใจที่เต้นตูมตามจนแทบจะหลุดออกจากอก ทำให้นอนพลิกไปมาเป็นระยะๆ เพื่อไล่เอาความรู้สึกแปลกๆ ออกไปจากร่างกาย พยายามคิดถึงเรื่องเรียน เรื่องสอบแทน ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และความเหนื่อยล้า สติผมก็ล่องลอยไปโดนไม่รู้ตัว….

……………………..

อืม……….

ผมรู้สึกอึดอันแน่นหน้าอกไปหมด ผมเหมือกำลังจมน้ำ ผมพบว่าตัวเองกำลังแวกว่ายให้ตัวเองพ้นจากห้วงทะเลอันดำมืด โอย…. ช่วยด้วย……

เอื้อก………

ผมสะดุ้งตื่น ด้วยอาการดูดอากาศเข้าปากให้มากที่สุด หลังจากลืมตาตื่นด้วยความตกใจเรื่องความฝันแล้วก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางกองผ้าห่มที่ห่มหุ้มร่างกายอยู่หนาหลายชั้น ผมพยายามใช้มือดึงคลี่แกะออกจากตัวทันที ผมก็ไม่เคยนอนดิ้นนี่หว่า ทำไมมันเตียงผมมันเละเทะแบบนี้เนี่ย

เฮ้ย!!!…..

ผมร้องอุทานเสียงดังลั่น……. รู้ต้นเหตุที่ทำให้ผมอึดอัดแล้ว ร่างกายท่อนบนของผมถูกมือของชัยกอดรัดอยู่ ส่วนขาที่ก่ายสูงมาทับบริเวณท้องน้อยลงไปตามความยาวของขา นี่เขามาขดอยู่กับผมตั้งแต่เมื่อไหร่? คนอะไรมันจะนอนดิ้นได้อย่างร้ายกาจแบบนี้เนี่ย

แล้วผมร้องดังขนาดนี้ยังไม่มีทีท่าจะตื่นเลย หลับลึกได้น่ากลัวมาก ผมพยายามใช้มือดึงแขนของเขาออก แต่ผมสู้แรงชัยไม่ได้เลย นี่เขานึกว่าผมเป็นหมอนข้างรึไง? สุดท้ายผมได้แต่นอนถอนหายใจอยู่ท่าเดิม เสียงริงโทนทำนองเหมือนหวอฉุกเฉินดังขึ้นที่โต๊ะข้างเตียง ชัยสะดุ้งตื่นพลิกตัวไปรับทันที ผมรู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น พยายามยืดกล้ามเนื้อจากอาการนอนอยู่ท่าเดิมนานๆ

“สวัสดีครับ…..เอ่อ…..แม่…” แล้วชัยก็มองซ้ายขวาอย่างงงๆ จนมาเจอผมที่ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง
“อยู่บ้านเพื่อน…….. “

“ขอโทษครับ…. ผมลืมครับ เมื่อวานมันมีเรื่องนิดหน่อย”

“ครับ ครับ”

ดูจากสีหน้าชัยแล้วน่าจะโดนดุอยู่

“ครับ…. เพิ่งตื่น………ครับ จะรีบกลับครับ”
ชัยกดวางสายหันหน้ามาล้มตัวลงนอนที่เตียง พลางลูบคลำเตียงเหมือนหาอะไรสักอย่างใต้ผ้าห่มที่กองอย่างระเกะระกะ

“หาอะไรของนาย?”
“หมอนข้างน่ะ นอนหลับไม่สบายหากไม่ได้กอด”
ผมชี้ไปที่พื้นที่ซึ่งมีหมอนข้างวางอย่างไร้ระเบียบห่างจากเตียงพอควร
“อ้าว…. หล่นไปตอนไหนวะ เมื่อกี้เหมือนยังกอดอยู่”
แล้วผมก็ชี้มาที่ตัวผม

“ฮ่าฮ่าฮ่า…ขอโทษที สงสัยนอนดิ้นไปหน่อย” ชัยหน้าแดงหัวเราะแก้เขิน
“เราว่าไม่หน่อยแล้วล่ะ” ผมมองสภาพห้องและเตียงที่ทุกอย่างเหมือนเกิดสงครามกลางเมือง หมอนและหมอนข้างที่อยู่ทางฝั่งของชัยกระจายลงพื้นหมด ผิดกับฝั่งทางผมที่ยังคงเหมือนเดิม

“ฮ่ะฮ่า… งั้นเราขอตัวกลับบ้านก่อนนะ แม่เป็นห่วงแล้ว เมื่อคืนบอกแค่ว่าจะกลับดึก พอไม่กลับแบบนี้ สงสัยเราโดนแม่ด่าหูชาแน่เลย รีบกลับก่อนที่แม่จะโมโหมากว่านี้” ชัยลุกลี้ลุกลนเก็บหมอนที่ตกอยู่ตามพื้นขึ้นมาบนเตียงแบบลวกๆ
“ไม่เป็นไรวางไว้นั่นแหละ ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
“เออ…. งั้นรบกวนด้วยนะ” พูดจบเขาก็ถอดเสื้อถอดกางเกง คว้าผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่แถวนั่น มาห่อท่อนล่างทันที

“เออ.. โทษว่ะ เคยตัวนึกว่าอยู่คนเดียวที่บ้าน”  ชัยควรจะรู้ไหมว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ ผมรู้สึกวูบวาบที่หน้ากับด้านหลังที่เปลือยเปล่าของเขา

ชัยรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ หลังจากที่ผมทำมือไล่ให้เขาเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว เพียงไม่กี่อึดใจเขาก็เดินออกมาในสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยหยาดน้ำ
“โอ้โห…. โคตรเรียบร้อยน่ะ” ชัยทำตาโตเมื่อเห็นห้องที่ผมจัดกลับมาเรียบร้อยอึกครั้ง
“ถูกสอนมาแบบนี้ แล้วนี่นายอาบสะอาดไหมเนี่ย เร็วโคตร”
“ฮ่าฮ่าฮ่า  กลับก่อนนะ” ชัยพูดขณะแต่งตัวด้วยชุดเมื่อคืนอย่างเร่งรีบ
“อืม…เดี๋ยวเดินไปส่ง”

“ทำไมบ้านนายเงียบจังเลยวะ” ชัยหันมาพูดกับผมหลังจากเปิดประตูห้องนอนและเดินออกมาที่โถงทางเดินชั้นสอง
“ก็… พวกป๊าไม่อยู่มั้ง เป็นแบบนี้บ่อยๆ”
“เหงาแย่เลย บ้านกว้างขนาดนี้” ชัยมองรอบๆ บ้านที่มืดหม่นเงียบเชียบของบรรยากาศยามเช้าตรู่
“ไม่อ่ะ… ชินแล้ว”
บทสนทนาจบลงที่หน้าบ้านที่ซึ่งรถบิ้กไบค์ของชัยจอดอยู่
“แล้วเจอกัน…” ผมพูดลาและโปกมือไปรอบหนึ่ง
“อือ.. แล้วนายก็อย่าลืมอาบน้ำล่ะ” ชัยพยักหน้าขณะใส่หมวกกันน็อค

ผมยิ้มรับคำล้อเล่นของเขา

แล้วชัยก็ขับออกจากบ้านไป ประตูบ้านเปิดรอไว้แล้วเพราะผมโทรมาสั่งกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไว้ ผมรู้สึกในใจดูเบาบางและกลวงโหว่ขณะที่เห็นชัยขับรถห่างออกไป

….หรือนี่คืออาการเหงานะ…..

……………………………………………………..


 :katai4:
พักเรื่องกวีกับชัยไว้สักครู่น๊า ให้ทั้งสองไปค้นหาหัวใจตัวเองให้ดีก่อนค่อยมาลุ้นกันต่อ

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ได้กันได้กัน  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นึกว่ามีอะไรมากกว่านี้  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
หลง (12)




“มานี่สิ! ไอ้ตัวดี!!”

เสียงแม่ดังออกมาจากห้องนั่งเล่นในขณะที่ผมกำลังแอบปิดประตูบ้านอย่างเงียบเชียบเหมือนเคย วันนี้ผมกลับมาจากบ้านพี่เอิร์ธดึกอีกแล้ว ข่วงนี้ดึกบ่อยมาก (มีแฟนให้อ้อนก็อย่างนี้ สุขจนลืมเวลา แต่ได้มากสุดคือกอดเท่านั้น ผมไม่กล้ามากกว่านี้กลัวพี่แกโกรธ)

“ครับ!!!” ผมตกใจจนตอบเสียงดังกลับไป

“มาหาแม่ตรงนี่!!” แม่เสียงดังจนรู้ว่าตอนนี้แม่นั่งอยู่ตรงไหนของบ้าน ผมเดินไปที่ห้องนั่งเล่นทันที
“สวัสดีครับ” ผมไหว้แม่ที่เคารพรักอย่างสุภาพที่สุด

“นั่งลง” แม่คิ้วขมวดและชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ไม่ไกลจากแม่ ผมนั่งลงอย่างว่าง่าย คิดในใจว่าจะโดนดุเรื่องอะไรอีก

แม่จะทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาจะสอนผมหรือเวลาผมทำอะไรผิดสักอย่าง หรือว่าแม่รู้เรื่องผมกับพี่เอิร์ธแล้ว ผมเริ่มรู้สึกว่าหน้าตัวเองเริ่มชากับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาทางตาของแม่ ลุ้นอยู่ว่าแม่จะดุเรื่องอะไร หรือเรื่องพี่เอิร์ธ? ผมเริ่มเครียดเพราะแม่ทิ้งจังหวะเสียนาน

“เฮ้อ…. แกจะทำอะไรเนี่ยแม่ไม่เคยว่าตามใจทุกอย่าง แต่เรื่องนี้แม่ขอเรื่องหนึ่งได้ไหม?”
“………...” ฉิบหายแล้ว!! หรือว่าแม่จะรู้
ผมว่าผมยังไม่พร้อมที่จะบอกแม่เรื่องนี้ เรื่องที่ผมชอบผู้ชายเสียแล้ว….

“มีอะไรจะสารภาพไหม?”
“เอ่อ… คือ…. แม่ครับคือผม…. ผมรักของผม ผมอยากให้แม่เข้าใจ เอ่อ…..ผม……”
“อาจารย์สมใจเล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว”
“……???….” อาจารย์สมใจเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาห้องผม? เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ แล้วเขารู้เรื่องส่วนตัวของผมได้ไง? ตอนนี้ผมคงทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่
“ไม่ต้องมาทำหน้างง!! ไอ้ตัวดี! ในฐานะที่อาจารย์สมใจเป็นเพื่อนแม่ เขาเลยมาเตือนแม่เรื่องผลการเรียนของเรา ได้ว่าข่าวว่าตั้งแต่ใกล้จะแข่งกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัด พวกสอบย่อยวิชาต่างๆ แกตกระนาวเลยนี่!!”
“……อ้อ…..”  เหมือนยกภูเขาออกจากอก
“ไม่ต้องมา ‘อ้อ’ !! แม่รู้ว่าแกรักการเล่นบาสฯ แต่ก็อย่าให้เสียการเรียนสิ”
“ครับ….” ผมก้มหน้ารับชะตากรรมเรื่องนี้ เพราะผมมันไม่เอาไหนเรื่องนี้จริงๆ ทำไม่ผมไม่เกิดมาหัวดีแบบไอ้ชัยวะ
“อย่าให้แม่ต้องบังคับให้แกเลิกเล่นบาสฯ!!”
“ไม่นะครับ…. แม่ก็รู้ว่าหัวไม่ดี…” ผมลงไปคุกเข่าตรงหน้าแม่ คิดว่าวิธีนี้น่าจะได้ผล
“หัวไม่ดีหรือไม่ตั้งใจ!! วันๆ เอาแต่เล่นบาสฯ กับเที่ยวเล่นไปวันๆ เนี่ย! อย่านึกว่าแม่ไม่รู้นะว่าแกกลับดึกทุกวัน หลังซ้อมบาสฯเสร็จก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน อย่ามาโกหก โค้ชที่สอนแกชั้นก็รู้จัก!!!”

“……….” มีแม่เป็นอาจารย์นี่มันมีข้อเสียตรงนี้ ผมยิ้มแห้งๆ ตอบไป

“งั้นสอบกลางภาคนี้หากแกสอบตกแม้สักวิชาเดียว แม่จะให้แกออกจากทีมบาสฯ และอย่าให้เรื่องนี้ถึงหูพ่อแก!!”
แม่ประกาศกร้าว บวกกับคำขู่เรื่องพ่อทำเอาผมแทบทำให้ผมหมดแรง หากแม่เอาพ่อมาขู่ในประโยคด้วยแปลว่าแม่เอาจริง แม่ผมน่ะเห็นอย่างนี้ใจดีและตามใจผมมาก (หากไม่ไร้เหตุผลเกินไป) แต่พ่อน่ะดุมากกครับ ผมไม่เคยเถียงชนะพ่อได้เลย และลงท้ายด้วยการโดนทำโทษแบบเด็ดขาดทุกครั้งที่ทำผิด ผมเลยกลัวพ่อมาก ทั้งที่พ่อไม่ค่อยอยู่บ้านเท่าไหร่

“จะไปเรียนพิเศษไหม? แม่ยอมเสียตังค์”
“อย่าเลยครับเปลือง…. เดี๋ยวผมให้ไอ้ชัยมาติวก็ได้เดี๋ยวนี้มันท้อปทุกวิชา”
“เออ…. ก็ดี…ประหยัดดี แต่จะได้เรื่องเรอะ สนิทกันอย่างนี้จะพากันล่มไหมเนี่ย?”
“แม่ไว้ใจผมหน่อยสิ” แม่มองผมเหมือนไม่มั่นใจกับสิ่งที่ผมพูดออกไป
“อืม…… เดี๋ยวแม่จะหาคนมาทดสอบว่าพวกแกได้อ่านหนังสือกันดีไหม หากพวกแกเรียนศิลป์ภาษา แม่คงติวให้ได้แล้ว แต่สายวิทย์นี่คงต้องหาตัวช่วย” (แม่ผมสอนภาษาอังกฤษครับ)
“ใครครับ?”
“ไม่ต้องรู้!!! เริ่มวางแผนติวกันได้เลย เดี๋ยวสุดสัปดาห์นี้จะเรียกเขามาทดสอบพวกแก ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว ไป!”
“โอยยยยย….” ผมโวยเบาๆ

ผมเดาว่าน่าจะเป็นอาจารย์คนใดคนหนึ่งที่สนิทกับแม่ หมดกันเวลาว่างในวันหยุดของผมกับพี่เอิร์ธ ผมอยากจะร้องดังๆ แต่แม่จ้องตาเขียวอยู่

………………………………

และแล้วสุดสัปดาห์ก็มาถึง…. เช้าวันเสาร์ที่น่ารำคาญ ผมตื่นตอนแปดโมงเช้าอย่างไร้เรี่ยวแรงเพราะโดนแม่บังคับให้ติวหนังสือที่บ้าน แม่นัดไอ้ชัยตอนเก้าโมงเช้าให้มาติวที่ห้องผม

ผมลุกขึ้นมองความไร้ระเบียบของหนังสือเรียนในห้องที่วางอยู่ตามพื้นและมุมต่างๆ ของห้อง ทำให้นึกถึงสามสี่วันที่ผ่านมาที่ไอ้ชัยกับไอ้กวีเพื่อนใหม่(??)ของมัน มาช่วยผมติวหนังสือที่ห้องของผมหลังซ้อมบาสฯ วันละสองชั่วโมง รู้สึกเหมือนพลังงานถูกดูดออกจากร่าง ผมยอมซ้อมบาสฯ ทุกวันดีกว่ามานั่งอ่านหนังสือแบบนี้แม้มันจะแค่วันละสองชั่วโมงก็เถอะ (ผมต่อรองกับแม่ได้แค่นั้น)

ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเกียจคร้าน ด้วยความงัวเงียเลยเผลอไปเตะสมุดโน้ตที่ไอ้กวีให้ผมไว้เป็นแนวข้อสอบวิชาชีวะฯ ทำให้ผมคิดว่าไอ้สองคนนี้ระหว่างไอ้ชัยกับไอ้กวีมันสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ? ไหนจะไอ้แผลพกช้ำที่หน้าตั้งแต่สัปดาห์ก่อนของไอ้ชัย และพอมาเจอไอ้กวีก็เสือกมีรอยพกช้ำที่หน้าเหมือนกัน ทำให้ผมสงสัยว่าพวกมันไปทำอะไรกัน แต่เซ้าซี้ถามตั้งนานมันก็ไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แค่ไอ้ชัยมันไม่เท่าไหร่ผมคงไม่สงสัยอะไรเพราะปกติมันก็ชอบแกว่งปากหาเท้าเป็นประจำอยู่แล้ว แต่นี้ไอ้กวีที่ดูเรียบร้อยก็เป็นไปกับเขาด้วย ‘น่าสงสัย’

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ลงไปกินมื้อเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้บนโต๊ะ แม่ยิ้มให้ผมแบบแปลกๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถามไอ้ชัยว่าถึงไหนแล้ว (โห…..แม่จริงจังไปไหน?)

มื้อเช้าจบลงด้วยความไม่เจริญอาหาร ผมยังพอมีเวลาเหลือกว่าที่สองคนนั้นจะมา ผมเดินขึ้นมาจัดการห้องที่รกให้เป็นระเบียบขึ้น เดี๋ยวจะมีแขกพิเศษจากแม่เชิญมาทดสอบเราอีก รู้สึกอายนิดหน่อยที่จะให้เขามาเจอห้องรกๆ แบบนี้ จัดห้องเสร็จผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาพี่เอิร์ธทันที ช่วงนี้ผมทำได้แค่นี้เพราะเจอแม่คาดโทษไว้ หากไม่ทำตามที่แม่สั่ง แม่จะไม่ให้ค่าขนม (อันนี้มันเรื่องคอขาดบาดตาย โดนพ่อดุผมยังทนได้ แต่ไม่มีค่าขนมนี่ผมไม่เอาด้วยนะครับ)

Long_Mungkorn: วันนี้ผมไม่ได้ไปหาอีกวัน คิดถึงผมบ้างนะครับ อย่าลืมกินข้าวให้ตรงเวลาด้วย

Dr.Earth(Pathawee): ตั้งใจล่ะ สู้ๆ

พี่เอิร์ธมักจะตอบกลับด้วยข้อความสั้นๆ เสมอ แต่แค่นี้ผมก็มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย เรื่องการติวหนังสือนี้พี่เอิร์ธก็เห็นด้วยอย่างมาก หลังจากวันที่แม่คาดโทษผมไว้ ผมได้โทรไปปรึกษา(ปนงอแง)กับพี่เอิร์ธ ว่าจะไม่ได้เจอกับพี่เขาสักระยะ จนกว่าจะสอบกลางภาคเสร็จ พี่เขาพูดแค่

‘หลงควรจะทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ หากพี่รู้ว่าการมาหาพี่ทุกวันจะทำให้หลงสอบได้แย่ขนาดนี้ พี่คงไม่ให้มาหาแล้ว ดังนั้นใช้เรื่องคราวนี้แก้ตัวกับแม่ซะ ไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี หากไม่ทำหรือสอบไม่ผ่านอีกก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก’

มีแฟนแก่กว่านี้ต้องทำใจใช่ไหม? เคยเป็นวัยรุ่นไหมเนี่ย? พี่เอิร์ธไม่เข้าใจเหรอว่าผมคิดถึง ไม่ได้เจอไม่ได้สัมผัสพี่สักวันสองวันนี่ผมแทบจะขาดใจเลยนะ

เสียงออดจากหน้าบ้านและเสียงอื้ออึงจากชั้นล่างแสดงว่ามีคนเดินทางมาถึงแล้ว เพื่อพี่เอิร์ธและค่าขนม ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเจอกับบทเรียนที่ผมแทบจะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ผมมองหนังสือที่ถึงคิวที่จะต้องถูกติววันนี้ ‘คณิตศาสตร์’ (นอกจากบวกลบคูณหารคนเรามันต้องเรียนอะไรเยอะขนาดนี้วะ!)

“ว่าไง เพื่อน! ช่วงนี้มึงดูหน้าซีดๆนะเนี่ย” ไอ้ชัยเปิดประตูห้องเข้ามาและปากหมาเช่นเคย
“…….” ผมมองหน้าด้วยตาอันร้อนระอุ หากมันพูดอะไรไม่เข้าหูอีกคำมันจะโดนผมกระโดดถีบ คนยิ่งหงุดหงิดอยู่

“สวัสดีครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ” เสียงไอ้กวีที่เดินตามหลังมาติดๆ
“อ้อ สวัสดีครับ รบกวนอะไร เราสิน้องรบกวนนาย ไม่มีนายเนี่ยเรากับไอ้ชัยคงอ่านหนังสือไม่ถึงไหน” ผมยิ้มเชื้อเชิญไอ้กวีที่วันนี้แต่งตัวคล้ายๆไอ้ชัยเลย
“เชี้ย.. กูก็ติวให้มึงบ่อยๆ แล้ว……เวลาพูดกับไอ้กวีเนี่ยสุภาพเชียว”
“กูเก็บคำพูดดีๆให้กับคนดีๆโว้ย”
“ไอ้สัด!! งั้นมึงอ่านเองเลย กวีกลับกันเถอะ”
“เฮ้ยๆ กูพูดเล่น คุณชัยเชิญนั่งครับ เชิญๆ” ผมทำท่าเหมือนบริกรเชิญลูกค้านั่งแบบในร้านอาหารหรู ส่วนไอ้ชัยก็ทำเป็นนั่งและเก็กหล่อค้างไว้
“หึหึ…” เสียงไอ้กวีแอบขำอยู่ไกล ซึ่งไอ้กวีมักจะทำบ่อยๆ เวลาเห็นพวกผมเล่นมุกกัน คนอะไรเรียบร้อยฉิบหาย นิ่มไปชอบคนแบบนี้เหรอวะ ผมกับไอ้กวีนี่มันต่างกันมากเลยนะในเรื่องนิสัยเนี่ย (แต่หน้าตาผมดีกว่านะ สูงกว่าด้วย)

“วันนี้จะมีคนมาทดสอบมึงนี้เรื่องติวน่ะ ใครวะ?”
“กูก็ไม่รู้ว่ะ แม่ไม่ยอมบอกเลย”
“กูกลัวเป็นอาจารย์อิสระที่สอนฟิสิกส์คนนั่น ที่แม่มึงสนิทด้วยน่ะสิ คนนั้นดุฉิบหาย”
“อย่าขู่ให้กูท้อสิวะ”

“อย่ามัวแต่คุยเล่นกันอ่านหนังสือได้แล้ว!!!!” แม่แผดเสียงจากชั้นล่างจนทุกคนหยิบสมุดหนังสือขึ้นมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่นที่ผมเตรียมไว้กลางห้อง

เวลาผ่านไปสองชั่วโมงอย่างเชื่องช้า ไอ้กวีพึ่งพาได้มากกว่าไอ้ชัยมาก เพราะตั้งใจสอนและพูดให้เข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น ผิดกับไอ้ชัยที่มัวแต่เล่นมุกบ้าบออะไรของมันตลอดสองชั่วโมง ไอ้กวีก็หัวเราะตามตลอด

บางครั้งผมก็แอบเห็นสองคนนี้คุยกันในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจและแอบส่งสายตาให้กันเป็นระยะ เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้นะ สองคนนี้ควรจะเป็นคู่ที่ไม่น่าจะสนิทกันได้ เพราะอีกคนก็คิดจะให้เขาแยกจากแฟน อีกคนก็เป็นที่คิดว่าแย่งแฟนเพื่อนของตนไป มันไม่น่าจะสนิทกันได้ แต่ทำไมผมถึงสัมผัสอะไรที่มากกว่านั้นกับสองคนนี้วะ

“นี่กูขอถามหน่อยนะ”
“ไม่เข้าใจตรงไหน?” ไอ้ชัยหันหน้ามาคุยกับผมหลังจากแอบไปคุยจุดจิกกับไอ้กวีจนผมเริ่มรำคาญ ในขณะที่ผมกำลังแก้โจทย์ในกระดาษได้ไม่คืบหน้าเท่าไหร่
“นี่พวกมึง คบกันอยู่ใช่ไหม?” ผมใช้นิ้วชี้มันสองคนสลับกัน
“คบ..เชี้ยอะไร สัด! เพื่อนกัน” ไอ้ชัยสบถใส่ผมชุดใหญ่ แต่หน้ามันฟ้องครับ หน้ามันเปลี่ยนเป็นสีแดงยังกับลูกมะเขือเทศ ส่วนไอ้กวีได้แต่ก้มหน้าหลบตาแต่หน้ามันแดงขึ้นชัดเจนมา พวกมึงโกหกไม่เนียนเลยไอ้สาดดด

“เออๆ ไม่ก็ไม่” ผมก้มลงคิดแก้ปัญหากับโจทย์ในกระดาษต่อ ในขณะที่ไอ้กวีขอตัวไปห้องน้ำ เหลือไอ้แสบนั่งอยู่คนเดียว

“ไอ้ชัย” ผมกระซิบ
“……” มันพยักหน้า
“กูถามจริง มึงกับไอ้กวี …..” ผมใช้นิ้วชี้เกี่ยวกันไปมา
“เชี้ย!  กูก็ไม่รู้…. ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไอ้สัด…. เล่ามาให้กูฟังเลย”
“ไม่!!! กู…… เชี้ย! ไม่รู้ว่ะ!”
“สัด!! กูรู้จักมึงดี กูบอกได้เลยว่ามึงก็ชอบมัน”
“…….” มันดูตกใจกับสิ่งที่ผมพูด สิ่งที่มันไม่กล้าคิด

“คุยอะไรกันครับ” โจทย์มาบทสนทนาก็สลายตัวทันที
“ไอ้หลงมันพยายามขอเฉลยน่ะ”
“ไม่ได้นะหลง ทำแบบนี้เมื่อไหร่จะทำได้ ไม่เข้าใจสูตรตรงไหนก็ถามแต่อย่าถึงให้กับเฉลยให้เลยนะ”
“ครับๆ” ผมค้อนไอ้ชัยควับหนึ่ง โธ่! ไอ้ปลาไหล!

“เด็กๆ อาจารย์พิเศษมาแล้ว ทุกคนเตรียมตัวมาทดสอบกัน”
พวกผมมองหน้ากัน แปลว่าอะไร? ทำไมแม่ใช้สรรพนามพหูพจน์?

พวกผมทยอยเดินลงไป ผมเดินลงไปช้าสุดเพราะกลัวกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้น ผมกลัวการสอบที่เอาค่าขนมของผมเป็นเดิมพันแบบนี้ แม่ไม่น่าทำแบบนี้ ผมก้มหน้าคิดทบทวนไปมากับตัวเอง

“เฮ้ยๆ..” ไอ้ชัยใช้ศอกกระทุ้งท้องผมเบาๆ
“อะไรวะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด ภาพที่เห็นคือแม่ยืนอยู่กับครูพิเศษที่ผมไม่คิดว่าจะเป็นเขา
“พี่หมอ สวัสดีครับ” ไอ้ชัยยกมือไหว้ทำให้ไอ้กวีทำตามด้วย
“พี่เอิร์ธ….” ผมพูดขึ้นมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“สวัสดีทุกคน น้ารุ่งไปทาบทามพี่มาทดสอบน้องๆ ทุกคน หวังว่าพี่คงจะช่วยเราไม่มากก็น้อยนะ”
“ถ่อมตัวจริง พ่อคน 4.00” แม่ผมพูดหยอกกับพี่เอิร์ธอย่างสนิทสนม
พี่เอิร์ธหยิบกระดาษปึกย่อยๆ มาสามชุด และยื่นให้กับเราทั้งสามคน
“เอาล่ะเริ่มได้!”
“เอ่อ…คุณน้าครับ  พวกผมด้วยเหรอ?”
“ใช่สิจ๊ะ ไหนๆก็มาช่วยลูกน้าแล้ว น้าก็เลยอยากให้ทุกคนได้ลองทบทวนไปในตัวไงจ๊ะ”  ไอ้ชัยทำหน้าเหมือนกินยาขม ส่วนไอ้กวีดูดีใจที่จะได้ลองภูมิของตนเองอย่างแสดงออกชัดเจน มีมันที่ดูสนุกอยู่คนเดียว ส่วนผมทำหน้าไม่ถูกอยู่คนเดียว ดีใจที่ได้เจอพี่เอิร์ธ แต่กลัวกับข้อสอบที่เขาถือมาด้วย

ผมเดินไปรับข้อสอบเป็นคนสุดท้าย พร้อมกับกระซิบกับเขา
“ไปมีเวลาทำข้อสอบพวกนี้ตอนไหนเนี่ย?”
“เยอะแยะ เพราะไม่ต้องไปกินมื้อเย็นนานๆกับใคร”
“ไปร่วมมือกับแม่ได้ไง?”
เขาแสยะยิ้มใส่ผม
“ตั้งใจทำล่ะ”

แม่เรียกผมไปนั่งฝั่งด้านโต๊ะกินข้าว ส่วนอีกสองคนไปอยู่ที่ฝั่งห้องนั่งเล่น ระยะเวลาทำสองชั่วโมง ผมใช้ทุกอย่างที่เรียนมาทั้งสัปดาห์เค้นออกมาทำข้อสอบจนเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังต้องมานั่งเครียดและลุ้นกับคะแนนที่กำลังจะออกในไม่กี่อึดใจ

ไอ้สองหัวกะทินั่น หลังจากที่ทำข้อสอบเสร็จก็นั่งคุยถึงคำถามในข้อสอบอย่างออกรส แถมยังนั่งถกกันเรื่องคำตอบอีก ชมพี่เอิร์ธว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้รู้สึกรำคาญ พวกมึงไม่ได้มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างกูนี่ และช่วยไปจีบกันที่อื่นเลยกูรำคาญ

และแล้วแม่กับพี่เอิร์ธก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“แม่จะประกาศคะแนนแล้วนะ ใครทำไม่ถึง 60 คะแนนถือว่าตกนะ”
ใจผมเต้นเหมือนกลองศึก เสียงหัวใจของผมทำเอาผมแทบหูอื้อ
“กวี……..  น้าดีใจนะที่ลูกมาช่วยติวลูกน้า 89 เต็ม 100 จ๊ะ เก่งมาก”
แม่ปรบมือให้เสียงดังแถมยิ้มเสียกว้างเชียว
“กวี…….. น้าประหลาดใจมากเลยนะ 80 เต็ม 100 จ๊ะ”
แม่ปรบมือด้วยความยินดีสุดๆ
“ส่วนนาย…..หลง” พี่เอิร์ธพูดด้วยตนเอง พี่เอิร์ธอย่าทิ้งจังหวะนานสิครับผมหัวใจจะวาย

“62 เต็มร้อยครับ” ผมนี่ถึงกับอยากจะกระโดดขึ้นสูงๆกับคะแนนที่คาดไม่ถึงนี่
“หลง ไม่ต้องดีใจ ก็แค่ผ่านนะ” แม่ดุใส่
“แต่ก็ดีมากๆ เลยนะ ทำข้อสอบที่พี่อุตส่าห์ใส่เนื้อหาระดับมหาวิทยาลัยได้ด้วย สุดยอดเลยโดยเฉพาะกวี สนใจไปเรียนหมอไหมน่ะเรา?”
“…..” ไอ้กวีสั่นหัวแบบเกรงใจ
“มันอยากเป็นหมอหมาครับพี่หมอ”
“สัตวแพทย์โว้ย!!” ไอ้กวีรีบแก้
“อ้อ… เสียดายนะ….. ส่วนหลง” เขาหันมามองผมพร้อมกับแม่ที่สีหน้าดูจริงจังมาก
“ทำได้ดีมาก อย่างนี้สอบกลางภาคนี้ สอบผ่านสบายเลย”
พี่เอิร์ธยิ้มให้เป็นรางวัลพร้อมๆกับแม่ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อีกหนึ่งสัปดาห์จะสอบกลางภาค เสาร์หน้าพี่เอิร์ธจะมาทดสอบพวกเราอีกดีไหม?” แม่พูดต่อ

“เย้…” เสียงไอ้กวีคนเดียวเลยครับ ก่อนที่มันจะค่อยๆ ผ่อนเสียงตัวเองลงหลังจากมองสีหน้าของผมกับไอ้ชัย
“มีปัญหาอะไร เราสองคน!” แม่เสียงเข้มใส่
“ไม่มีครับ…” พวกผมพูดพร้อมกัน
“เอาน่าๆ ไหนๆ ก็เครียดมาทั้งสัปดาห์แล้ว เดี๋ยวบ่ายนี้พาไปกินข้าวนอกบ้านกัน” เสียงทุกคนเฮ ยกเว้นแม่
“อย่าเลยลูก น้ารบกวนเวลาเรามาเยอะแล้ว อย่าสิ้นเปลืองเลย”
“ไม่เป็นไรครับน้า.. ถือเป็นการพักผ่อนสมองก่อนสอบครับ”
“อืม… ตามใจ”

พี่เอิร์ธยิ้ม และยักคิ้วให้ผมหนึ่งที
อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าพี่เขาอยากอยู่กับผมเหมือนกันถึงได้ลงทุนขนาดนี้

………………………………………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ชัย# 10


“ชัย มึงช่วยกูด้วยนะ คราวนี้แม่กูดูเอาจริงว่ะ”

เสียงไอ้หลงดังผ่านสายโทรศัพท์ ในขณะที่ที่ผมกำลังเดินออกจากร้านคาเฟ่ที่ผมกับไอ้กวีมาอ่านหนังสือเป็นประจำ
“เออๆ กูช่วยก็ได้ แต่มึงก็ต้องตั้งใจด้วยล่ะ”
“ขอบใจเพื่อนรัก….. มึงอยู่ไหนเนี่ยยังไม่กลับบ้านอีก” ผมยืนอยู่ริมถนนหน้าร้านที่มีเสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์ของเด็กแว๊นขับผ่านเสียงดัง

“กำลังจะกลับนี่แหละ”
“อ้อ… กูลืมไปว่า มึงอยู่กับกิ๊กของมึง”
“กิ๊ก เชี้ยอะไร แค่นี้นะ!” ผมตัดสายมันทันทีที่มันพูดจาไม่เข้าหู

“ชัย เกิดอะไรขึ้น” คนที่ไอ้ชัยพูดถึงเดินมาพอดี
“ไม่มีอะไร แค่.. มันขอให้ไปช่วยติวให้มันน่ะ ใกล้สอบกลางภาคแล้ว”
“อ้อ…..”
“เราคงไม่ได้มาที่นี่สักพักล่ะ”
“……..”
“มีอะไร?” ผมถามคนตรงหน้าที่ทำท่าคิดอะไรอยู่
“เราไปช่วยได้นะ”
“อย่าเลย คนหัวทึบอย่างไอ้หลงน่ะใช้เวลานาน เสียเวลานายอ่านหนังสือซะเปล่า”
“ไม่เป็นไร ถือเป็นการทบทวนไปในตัว”
“อ่ะ..ก็ได้พรุ่งนี้เจอกันที่นี่ก็ได้นะ เดี๋ยวมารับ”
ผมรู้ว่าคนหัวดื้ออย่างไอ้กวีคงไม่เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ

……………………….


วันแรกของการติวหนังสือกับไอ้หลงเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ คือการปรับพื้นฐาน เพราะมันแทบไม่มีอะไรในหัวเลย ผมสงสัยว่าในหัวมันนี่มีแต่กล้ามเนื้อใช่ไหม มันผ่าน ม.4 ม.5 มาได้ยังไงวะ เสียเวลาสองชั่วโมงโดยการนั่งปรับพื้นฐานให้มันแน่นขึ้น

โชคดีที่มีไอ้กวีมาด้วย ไม่อย่างนั้น ผมคงหมดความอดทนกับไอ้หลงตั้งแต่ชั่วโมงแรก จนกระทั่งนาฬิกาเข็มสั้นชี้ที่เลขเก้า ผมเลยชวนไอ้กวีกลับบ้านแล้วค่อยมาต่อพรุ่งนี้

ผมลาแม่ไอ้หลงที่มาส่งที่หน้าบ้าน ส่วนไอ้หลงคิดว่ามันน่าจะแห้งตายอยู่ตรงที่อ่านหนังสือ ก่อนออกจากห้องมันผมเห็นนอนแผ่หลาทำหน้าซังกะตายอยู่ที่พื้นห้อง (อ่านหนังสือนี่คงไม่เหมาะกับมันจริงๆ)

“กวีเดี๋ยวเราไปส่งที่เดิมนะ” ผมให้มันจอดรถไว้แถวร้านประจำแล้วผมไปรับมันมาบ้านไอ้หลง มันสะดวกกว่าเพราะไอ้กวีมันไม่รู้ทาง

“อื้อ..” มันเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดูแวบหนึ่งก่อนตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เกิดอะไรขึ้น?” ผมยื่นหมวกกันน็อคให้มัน ทำไมช่วงนี้ผมมองอารมณ์ไอ้กวีออกทางสีหน้าทุกครั้งเลย ไม่เข้าใจตนเอง (สงสัยใช้เวลาอยู่กับมันมากไปหน่อย)
“ไม่มีอะไร” ไอ้กวีมันรับหมวกผมไปใส่
“เฮ้ย… อย่าโกหกเลย ดูสีหน้าก็รู้แล้ว”
“ป๊ากับคุณน้าไม่อยู่อีกแล้ว”
“ไหนว่าชินแล้วไงอยู่บ้านคนเดียวน่ะ” นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่มันไม่ค่อยกลับไปทำการบ้านอ่านหนังสือที่บ้าน
“ชินแล้วจริงๆ แต่…….” ไอ้กวีดูอ้ำอึ้ง
“งั้น…..ไปกินขนมก่อนกลับบ้านไหม? ร้านเดิมเป็นไง ขอเลี้ยงขอบคุณที่มาช่วยสอนเพื่อนสมองทึบของเรา”
“อืม…..ได้” ดูไอ้กวีมันมีสีหน้าดีขึ้น

ใช้เวลาไม่นานก็ขี่รถมาถึงร้านประจำของไอ้กวี พวกผมรีบเดินเข้าไปจองโต๊ะ แม้จะดึกแล้วแต่ร้านนี้คนจะนั่งกันนานเลยมีที่ว่างค่อนข้างจำกัด เป็นไปตามที่คาดไว้ที่นั่งดีๆ ส่วนใหญ่ถูกจับจองไปหมดแล้ว ทำให้ไอ้กวีกับผมตกอยู่ในสภาพชะเง้อมองกันไปมา

“สงสัยจะไม่ได้กินแล้ว.. กลับเลยก็ได้นะ” ไอ้ตัวกินของหวานเป็นชีวิตจิตใจ ส่อแววหดหู่ทันที
“ใจเย็นดิ เดี๋ยวเดินไปดูหลังชั้นหนังสือตรงนั้นก็ได้” พูดจบผมรีบเดินจ้ำเข้าไปหาที่ว่างทางด้านในเลย ร้านนี้ถือว่ากว้างครับประมาณ ตึกแถวสามคูหาได้ (เจ้าของร้านคงจะรวยน่าดู ก็คงรวยอาหารเครื่องดื่มแพงขนาดนั้น)

ผมมองส่องไปทั่วก็มีคนนั่งหมดแล้ว มีแต่คนนั่งกันกระจายนั่งกันไม่เต็มโต๊ะสักคน ผมรู้สึกรำคาญใจแบบแปลกๆอยากให้กวีมันได้กินของอร่อยสมใจ อยากให้มันอารมณ์ดี (วันนี้ผมคงทำให้มันผิดหวังแล้วล่ะ) คิดทบทวนว่าจะบอกกับมันยังไง

ผมเดินกลับไปด้วยสีหน้าผิดหวัง แต่ไร้วี่แววไอ้กวีที่ควรจะอยู่ตรงหน้าเคาเตอร์ส่วนหน้าร้าน

“ชัยๆ ทางนี้” เสียงไอ้กวีแว่วมาจากทางซ้ายมือ
ผมหันไปทางต้นเสียงและภาพที่เห็นทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“โต๊ะพี่โน่เขาว่าง เลยให้เรามานั่งทานด้วยได้” ไอ้กวีทำท่าดีใจเป็นเด็กๆ
“ชัย มานั่งด้วยกันสิ”  พี่โน่(หรือคุณพี่นีโน่)กวักมือเรียก
เออ! มาด้วยกันแล้วจะให้กูไปนั่งไหนล่ะ

“เราสั่งไปแล้ว เหมือนเดิมนะ” ผมยิ้มแห้งๆ กลับไปให้ไอ้กวี ผู้รักการกินของหวานประเภทขาดไม่ได้สักวัน ผมแอบสงสัยว่าทำไมมันไม่อ้วน
“มากินที่นี่บ่อยเหรอ” ไอ้พี่โน่ชวนคุยด้วยพร้อมส่งสายตาหวานเยิ้ม วันนี้พี่แกจัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม
“ครับ มาทุกวันเลย” ไอ้กวีนี่ก็บอกเขาทุกอย่าง ผมรู้สึกเป็นคนนอกยังไงไม่รู้
“ดีจัง มาบ่อยแบบนี้ดีจัง มีลูกค้าน่ารักๆ แบบนี้สงสัยพี่คงต้องมาดูงานทุกวันเลย” ไอ้พี่โน่นี่แม่งก็หยอดเรื่อย เดี๋ยวนะ….พูดแบบนี้แปลว่า……
“ดูงาน?” ไอ้กวีทำหน้างงใส่ฝ่ายตรงข้าม
“พี่เป็นหุ้นส่วนร้านนี้เอง เดี๋ยวพี่บอกผู้จัดการให้ส่วนลดเราทุกครั้งเลย” พี่โน่ยิ้มหวานให้ไอ้กวีอีกแล้ว

อย่าบอกว่าเอาจริง จะจีบมันจริงๆ ไอ้กวีมันเป็นผู้ชายนะ ถึงมันจะหน้าสวยแต่มันเป็นผู้ชายนะพี่โน่  แล้วมึงไอ้พี่โน่ ได้ข่าวว่าเพิ่งเลิกกับแฟนสาวที่เป็นพริตตี้มาไม่ใช่เหรอ? ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว

ผมอยู่นอกวงสนทนาตั้งแต่ของหวานที่สั่งยังไม่มาจนตอนนี้ของหวานในจานหมดเกลี้ยงจากฝีมือผู้ชายหน้าหวานสองคนในโต๊ะ (ถ้าไอ้พี่โน่โกนหนวดออกหมดนี่หน้ามันหวานมากจนโดนเพื่อนล้อบ่อยๆ มันเลยไว้หนวดมานับแต่นั้น)
“สั่งเพิ่มไหม? นายไม่ค่อยกินเลย” กวีหันมาพูดกับผม ท่ามกลางสายตาของพี่โน่
“ไม่ค่อยหิวน่ะ”  แต่ใจจริงมันหงุดหงิดจนกินอะไรไม่ลง
“วันนี้มึงพูดน้อยนะชัย ปกติไม่เคยมีใครแย่งมึงพูดได้เลย” พี่โน่แซวต่อเหมือนนัดแนะกันมาแขวะผมที่นั่งเหมือนตุ๊กตาประดับโต๊ะ
“เหนื่อยๆ ง่วงๆ น่ะครับ”
“อ้อ… กลับก่อนก็ได้นะ บ้านมึงอยู่ไกลจากร้านไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวกูไปส่งเพื่อนมึงให้” ผมมองไอ้กวีขณะที่พี่โน่พูดจบ มันดันพยักหน้ายิ้มกลับมา
“เอ่อ…..เอ่อ….. ไม่เป็นไรพี่โน่ วันนี้ผมจะไปนอนบ้านไอ้กวีน่ะ แบบต้องไปช่วยมันรายงานที่จะส่งพรุ่งนี้ ใช่ไหมกวี?” ผมมองไปทางไอ้กวีและแอบขยิบตาให้ทีหนึ่ง
“เออ..อ้อ… ใช่ๆ ลืมเลย มีงานต้องทำครับ” ไอ้กวีตอบรับอึกอัก
“งั้นเหรอ…” ดูไอ้พี่โน่มีท่าทีสงสัยออกทางใบหน้า
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวนอนดึก” ผมลุกขึ้นยืนพยักหน้าชวนไอ้กวี
“งั้นเดี๋ยวจ่ายเงินก่อน” ไอ้กวีหยิบกระเป๋าเงินออกมาและพยายามจะหยิบเงินออกจากกระเป๋าเพื่อไปจ่ายที่เคาเตอร์แต่ถูกมือเล็กมือหนึ่งจับไว้
“ไม่เป็นไรพี่เลี้ยง” พี่โน่ยื่นมือมาจับมือไอ้กวีที่กำเงินไว้แน่น (น่าจะมีการแอบลูบด้วย)
“งั้นขอบคุณนะครับ” ผมไหว้พี่โน่และจับมือไอ้กวีลากออกจากร้านทันที
“อะไรของนายว่ะ เสียมารยาทว่ะ ยังไม่ได้ขอบคุณพี่เขาเลย” ไอ้กวียืนบ่นอุบอิบอยู่หน้าร้าน
“นี่นาย โง่หรือแกล้งโง่วะ นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าพี่โน่เขาจีบน่ะ”
“เฮ้ย! พี่โน่น่ะนะ ดูเถื่อนขนาดนั้นน่ะนะ”
“อย่าให้ไอ้การใส่เสื้อยืดแนวๆ กางเกงยีนส์ขาดๆ ไว้หนวดเครารุงรังนั่นมันหลอก เราไปแอบถามเจ้พริ้งมาแล้วว่ามันเห็นใครน่ารักมันก็เอาหมด!! ระวังตัวไว้บ้างก็ดี!”
“เราว่า เราไม่ใช่สเปกพี่โน่หรอกมั้ง ไม่ได้น่ารักขนาดที่จะมีผู้ขายมาจีบหรอก”
นี่คือมันพูดไม่ดูตัวมันเลย รูปร่างบอบบาง หน้าขาว ตาโต ปากชมพูขนาดนี้ ถึงมันจะสูงเป็นยักเหมือนผมก็เถอะแต่ดูรวมๆ แล้วน่าถนุถนอม
“กูว่าใช่… ขนาดเรา…..” ผมตอบแบบอ้ำอึ้งและก็หยุดตรงคำพูดที่เกือบจะเผลอพูดออกมา
“อะไร?”
“ไม่มีอะไร”
“งั้นเราขอเข้าไปถามพี่โน่ว่าชอบเราจริงหรือเปล่า เราน่ารักสเปกเขาไหม? จะได้ไม่คาใจ”
“……” รู้สึกอารมณ์เสียกับสิ่งที่มันพูดจนเผลอขมวดคิ้ว
“ว่าแต่ปล่อยมือเราได้ยัง?”
จริงสิผมยังจำมือมันไว้แน่นเลย เลยต้องรีบสะบัดมือของไอ้กวีทิ้งไป
“ไม่ต้องไปหรอก เราบอกได้เลย ว่านาย…….น่ารัก พอใจไหม? กลับได้แล้ว เจอพี่โน่ก็ห่างมันหน่อยล่ะ เดี๋ยวก็ได้เป็นเมียมันหรอก” ผมจับมือมันอีกครั้งและลากมันเดินไปที่รถ ในใจเผลอคิดตามคำพูดตัวเองเมื่อครู่ ภาพที่คนตัวเล็กอย่างไอ้พี่โน่กำลังพยายามเล้าโลมคนตัวสูงอย่างไอ้กวี มันดูไม่เข้ากันเท่าไหร่

“ถ้าเราจะยอมเป็นเมียใครสักคนนะ เราขอเป็นเมียนายดีกว่านะ”
“พูดบ้าอะไรวะ” ผมพูดทั้งที่หันหลังให้
“ก็นายดูดี นิสัยดี แถมเล่นกีฬาก็เก่ง เรียนก็ดี” 

ไอ้กวีมันพูดขี้นมาในขณะที่ผมลากมันไปที่ลานจอดรถข้างร้าน ผมยังเดินไปเรื่อยไม่หันไปมองไอักวีที่เดินตามหลังมา เพราะตอนนี้เลือดในกายผมถูกสูบฉีดไปที่หน้าจนรู้สึกร้อนขึ้นมา และเผลอที่จะอมยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ทำไมผมต้องดีใจกับไอ้คำพูดล้อเล่นพวกนี้ด้วย

“ขอบใจนะที่อยู่เป็นเพื่อน กลับบ้านเถอะ และก็ขอบใจเรื่องพี่โน่ด้วยไม่งั้นก็ไม่รู้จะปลีกตัวออกมายังไง” ไอ้กวีเปิดประตูรถและเข้าไปนั่ง
“อืม…” ผมตอบไปด้วยพยายามทำสีหน้าราบเรียบและหลบสายตาคู่นั้น
“บาย” ไอ้กวีโบกมือด้วยสีหน้ายิ้มปนเศร้า
“เดี๋ยว!!” ผมยื่นมือไปจับประตูรถก่อนที่มันจะปิดลง
“เดี๋ยวเราไปนอนเป็นเพื่อนไหม?”
ไอ้กวีตอบกลับมาแค่รอยยิ้มและพยักหน้า

……………………………..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2017 10:21:50 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
มาแบบเนิบๆ :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
 :jul1:


กวี# 5


ตั้งแต่คืนนั้นที่ชัยมาค้างบ้านผม ผมก็อดคิดถึงเขาไม่ได้ในทุกอากัปกิริยาของเขา รอยยิ้มของเขา คำพูดของเขา ทำไมผมต้องรู้สึกถึงความเงียบและความว่างเปล่าของห้องนอนตัวเองมากขนาดนี้

กลับกัน…… ผมมองสมาร์ทโฟนเครื่องสีทองที่วางอยู่บนโต๊ะ ที่มีตัวเลขข้อความที่ยังไม่ได้อ่านขึ้นที่แอปพริเคชั่นไลน์จำนวนหนึ่ง

นิ่มยังคงส่งไลน์มาคุยด้วยอยู่สม่ำเสมอ เพราะคงรู้ว่าโทรศัพท์มาผมก็คงไม่รับสายอยู่ดี ส่วนใหญ่จะเป็นการบ่นน้อยใจอย่างนั้นอย่างนี้ คิดถึงบ้าง อยากเจออยากคุยด้วยบ้าง รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อยากปรับความเข้าใจกัน

แต่ที่แปลกคือผมกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของผมกับนิ่ม หลังจากที่ผมผ่านเหตุการณ์ทะเลาะกับนิ่มมา

ระยะนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น จนผมเกือบจะลืมเรื่องของผมกับนิ่มไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เหมือนแผลที่ค่อยๆ สมานจนหายดีจนเป็นแผลเป็น จำได้แต่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว มันทำให้ผมกลับมานั่งทบทวนว่าผมคบกับนิ่มเพราะอะไรกันแน่?
ผมพยายามเอาดินสอมานั่งเขียนความรู้สึกของตัวเองใส่กระดาษ ผมมักจะทำแบบนี้เวลาจะตัดสินใจอะไร

หัวข้อ: ทำไมถึงคบกับนิ่มเป็นแฟน

น้องน่ารัก หุ่นดี ขาว ผิวเนียน (เขียนไปเคลิ้มไป)
น้องทำให้เราหายเหงา (เพราะนิ่มทำให้ผมวุ่นวายกับตารางการเที่ยวกับน้อง)
น้อง

แล้วผมก็เขียนไม่ออกเสียอย่างนั้น ผมจรดดินสอลงบนกระดาษค้างไว้แบบนั้นจนกระดาษเริ่มเป็นรอยกดของปลายดินสอ ‘ทำไมมันน้อยจัง?’ ผมคิดในใจ

เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นโดยมีหน้าตากวนๆ ของเพื่อนต่างโรงเรียนอย่างชัยแสดงที่หน้าจอ ผมรับทันทีอย่างไม่ลังเล

“เฮ้ยกวี ถึงบ้านแล้วหรือยัง?” นั่นควรจะเป็นคำถามของผมหรือเปล่า เพราะผมบ้านอยู่ใกล้กว่าเขามากหากเริ่มจากร้านที่เราไปอ่านหนังสือกันเป็นประจำ
“ถึงได้สักพักแล้ว นายล่ะ?”
“เพิ่งถึง… แล้ว….พรุ่งนี้ยังจะไปติวให้ไอ้หลงรึเปล่า?”
“เออสิ น่าสนุกดี ไปได้”
“ก็กลัวนายจะเสียเวลาทบทวนหนังสือของตัวเอง”
“เฮ้ย… ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ถือว่าเป็นการทบทวนนะ”
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่เดิมนะ”
“อืม เจอกัน”
“ฝันดีนะ”
“อืม… นายเช่นกันฝันดีนะ”
เพื่งจะแยกกันไม่นาน ก็โทรมาแบบนี้อีกแล้ว ชัยเป็นคนดีจริงๆ เป็นห่วงผมเสมอเลย ผมวางสายโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม

…………………………..

การมาติวกับหลงทำให้ผมได้สัมผัสกับอีกมุมหนึ่งของชัย เวลาเขาอยู่กับหลง เขาดูเป็นธรรมชาติและสนุกสนานกว่าอยู่กับผมมาก ทำให้วันนี้ผมแทบหัวเราะไม่หยุดเลย (ผมสาบานครับว่ามาติวหนังสือกันจริงๆ)  หลงก็เป็นกันเองกว่าที่คิด ตอนแรกนึกว่าจะเป็นพวกนักเลงหัวรุนแรง พวกเราหัวเราะเสียงดังกันจนโดนแม่ของหลงดุบ่อยๆ (สมเป็นอาจารย์จริงๆ พลังเสียงทำลายล้างมาก)

เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว (รู้สึกเสียดายนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้มาใหม่)

พอเดินผ่านประตูบ้านผมก็ได้รับข้อความจากป๊าว่าวันนี้จะไม่กลับบ้านไม่ต้องเป็นห่วง ติดเรื่องธุรกิจที่กรุงเทพ และแน่นอนคุณน้าที่เป็นแม่เลี้ยงของผมก็ติดตามไปด้วย ผมจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้ว ความจริงผมน่าจะชินได้แล้วแต่เพราะความรู้สึกใหม่เมื่อเร็วๆนี้ทำให้ผมเริ่มจะอยู่คนเดียวไม่ได้ (อย่างน้อยหากป๊าอยู่ เราก็จะได้คุยกันก่อนนอน)

ผมคงแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนทำให้ชัยต้องหาทางทำให้ผมสดชื่นขึ้น (โดยเอาขนมมาล่อ ซึ่งผมก็โอเคกับมัน) พวกเราตรงดิ่งมาที่ร้านประจำของผม มาเวลานี้ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนต้องเยอะคงหาที่นั่งลำบาก ผมเห็นจากที่ไกลๆ มองเข้าไปในร้านที่คราคร่ำไปด้วยคนแล้วอยากชวนชัยแยกย้ายกลับบ้าน แต่ดูชัยกระตือรือร้นในการหาที่นั่ง ผมเลยไม่ได้ทัดทานอะไร

หลังจากชัยหายเข้าไปในส่วนลึกของร้านได้สักพัก ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูจากโต๊ะทางด้านซ้าย

“กวี กวี ทางนี้”

ผมหันไปเจอพี่โน่ที่นั่งโบกมือยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันซี่หน้าทั้งหมดที่เรียงตัวสวยงาม แม้ผมจะเคยเจอเขาครั้งเดียวในที่มีแสงจำกัด (ในผับ) แต่ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นแบบนี้เลยนึกออกได้ไม่ยาก ตัวเล็ก ผิวขาวออร่าแบบนี้ หนวดเคราที่ดูไม่เข้ากับปากสีชมพูสวยๆนั่น

“สวัสดีครับพี่โน่” ผมเดินเข้าไแทักทายตามมารยาท
“รู้จักร้านนี้ด้วยเหรอ?”
“ผมมาประจำครับ แต่วันนี้คงไม่ได้นั่งแล้ว คนเยอะเลย”
“มานั่งกับพี่ได้ เพื่อนพี่กลับไปแล้ว นั่งเลย”
“เกรงใจครับ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวชัยกำลังไปหาโต๊ะอยู่”
“มากับไอ้ชัยอีกแล้ว! ถามจริง ไม่ได้เป็นอะไรกันใช่ไหม? เห็นตัวติดกันตลอด”
“เป็นเพื่อนกันครับ จะให้ผมเป็นอะไรกับมัน” ทำไมผมตอบคำถามนี้ด้วยเสียงสั่นๆ
“ไม่มีอะไร พี่จะได้มีโอกาสไง”
“…..” อยู่ๆ ผมก็พูดอะไรไม่ออก
“นั่งก่อนสิ จองไว้ เดี๋ยวพี่ก็ไปแล้ว”
“เอ่อ… ครับ”
ผมนั่งลงได้และสั่งขนมและเครื่องดื่มได้สักพักก็เห็นชัยเดินมามองหาผมเลิ่กลั่กอยู่หน้าเคาเตอร์สั่งอาหาร
“ชัย… ชัย… ทางนี้” พอชัยหันมาด้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีจนผมสงสัยว่าเขาไม่ถูกกับพี่โน่หรือไง ไหนเขาเคยบอกว่าสนิทกัน

สุดท้ายก็ต้องมานั่งกันอยู่สามคนที่โต๊ะแคบๆ แบบนี้ ผมเลยต้องนั่งเบียดกับชัยบนเก้าอี้ม้านั่งแบบยาวพอดีไซส์ผู้หญิงสองคน แต่คงไม่พอกับไซส์ผู้ชายตัวใหญ่แบบผมกับชัย

พี่โน่คุยเก่งมากชวนคุยไม่หยุด ขนมุกทุกอย่างออกมา ผมก็สนุกดีครับ กินขนมขนมที่สั่งมาเพลินๆ คนเดียวจนหมด ผมพยายามชวนชัยให้กินด้วยแต่ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ไม่ดีมาจากไหนไม่รู้ ไม่ยอมกินด้วยเลย ผมแอบเหลือบมองไปทางเขาตลอดการสนทนากับพี่โน่ เขาทำหน้าบึ้งเป็นระยะ เหมือนมีเรื่องเครียดอะไรอยู่

จนกระทั้งชัยดึงผมออกจากโต๊ะเพื่อให้กลับบ้าน รู้สึกเหมือนมีระฆังหมดยกช่วยชีวิต รู้สึกดีใจมากเพราะกินขนมจนหมดแล้วพี่โน่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเลย ยิ่งมารู้ว่าเขาเป็นหุ้นส่วนที่นี่ ทำให้สถานที่นี้ลดความต้องการที่จะแวะมาลงไปเยอะเลย (กลัวไม่ได้อ่านหนังสือ ทำการบ้าน กลัวความไม่เป็นส่วนตัวที่เคยมี)

เขาดึงมือผมออกจากร้าน จนเดินมาถึงนอกร้านเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือผม รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายเขาไหลผ่านเข้ามา รู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดอยู่บริเวณมือที่ใหญ่และหยาบของเขา แปลกที่ผมรู้สึกดีมากจนไม่อยากให้เขาปล่อย ผมเลยไม่พูดอะไรปล่อยให้เขาจับไปเรื่อย จนกระทั่งไปเผลอพูดถึงมัน ทำให้เขาสะบัดมือผมหลุดออกจากกัน เขามีท่าทีเขินและดูต่างออกไป ทำให้ผมใจเต้นแบบแปลกๆ นี่….. นี่ผม…. เป็นอะไรไปเนี่ย?

เขาพยายามลากมือผมไปที่รถ (จับมือผมอีกแล้ว) ตอนนี้ผมรู้สึกถึงความชัดเจนได้ในทันทีเลยว่า หัวใจผมตอนนี้มันไม่ว่างแล้วนี่เอง นี่สิปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม ทำไมผมถึงได้อยู่ๆ ไร้ความรู้สึกกับนิ่ม ทำไมผมถึงอยากอยู่กับชัย อาจเพราะผมอยากให้หัวใจของผมอยู่ใกล้ๆ เขานั่นเอง

หลังจากที่เราร่ำลา ความรู้สึกข้างในอกมันดูอ้างว้าง ผมคงเผลอทำหน้าแปลกๆ  เลยทำให้ชัย อาสาไปนอนเป็นเพื่อนในคืนที่ผมต้องอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แสนเยียบเย็นเพียงลำพัง
ผมตอบตกลงแทบจะทันที…..

…………….


พอมาถึงบ้าน ผมเลยให้ชัยไปอาบน้ำก่อน ผมจัดเตรียมเสื้อผ้าชุดนอนให้เขาเรียบร้อยวางอยู่บนเตียง ผมถูกสอนให้ดูแลตนเองตั้งแต่เด็ก แม้จะมีแม่บ้านอยู่หลายคนแต่ก็แค่ทำความสะอาดและดูแลเรื่องซักรีดเสื้อผ้าให้เท่านั้น การเก็บของในห้อง แม้แต่เสื้อผ้าก็ต้องเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าเอง ป๊าและม๊าสอนผมให้มีวินัยเรียบร้อยจนติดเป็นนิสัยจนถึงตอนนี้ มันกลายเป็นกิจวัตไปแล้วว่าผมต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าที่จะสวมใส่วางบนเตียง ก่อนเข้าไปอาบน้ำ ผมเลยเตรียมเผื่อชัยด้วย

“โห….โคตรเรียบร้อยเหมือนเคย”
“พ่อแม่สอนมาดีไง”
“อ้าว… จะบอกว่าพ่อแม่เราไม่สั่งสอนว้างั้น”
“เอ้ย.. เอ่อ….”
“เฮ้ย! ล้อเล่น ไปอาบน้ำไป!”
แล้วชัยก็เหวี่ยงผ้าเช็ดของตัวเองใส่ผม หลังจากที่ใส่กางเกงเสร็จแล้ว
“ไอ้บ้า.. เอาไปแขวนดีๆ ตรงนั้น!” ผมหยิบผ้าเช็ดตัวที่ชื้นแฉะของเขาขว้างใส่ชัยคืน ชัยได้แต่หัวเราะเสียงดัง ผมรีบดึงผ้าเช็ดตัวของตัวเองที่แขวนอยู่ไม่ไกลวิ่งเข้าห้องน้ำไป

…………..

“อาบช้าเหมือนเคย นายเข้าไปทำอะไรในนั้นหนักหนาเนี่ย”
ผมเป็นคนที่มีมาตรฐานในการทำความสะอาดร่างกายตัวเองครับ โดยเฉพาะการดูแลตัวเอง กว่าจะดูดีแบบนี้ได้มันมีราคานะ
“ทำอะไรน่ะ?” ผมทักชัยขณะเขารื้นค้นสมุดหนังสือของผมบนโต๊ะ และเปิดสมุดเล่มหนึ่งพลิกไปมา

“อะไรวะเนี่ย ไอ้อ้วนนี่ใคร?” ชัยพลิกหน้าที่มีรูปเด็กผู้ชายจ้ำม่ำแก้มยุ่ยในชุดมัธยมต้นขึ้นมาทางผม
“เอ่อ….. เราเอง”
“หา!!! ไม่มีเค้าเลยนี่หว่า เฮ้ย ตอน ม.ต้นเราอยู่โรงเรียนเดียวกันหรือวะ?”  พูดจบชัยก็พลิกไปหน้าถัดๆ ไป
“เฮ้ย!! อย่าอ่านนะ นั่นมัน ไดอารี่เรา”
ผมวิ่งไปทั้งที่ยังนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัว ชัยไหวตัวทันวิ่งหลบไปอยู่ที่ด้านหนึ่งของเตียง ผมวิ่งตามไปเพื่อไปชิงสมุดคืน ชัยโดดขึ้นเตียงข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ผมรู้ตัวจึงวิ่งไปดักอีกทางทัน ชัยหลบไม่ทันจึงชูสมุดขึ้นสุดมือเพื่อหลบไม่ให้ผมได้สมุดคืนไป ผมวิ่งมาถึงก็พยายามเอื้อมมือคว้า ทำให้เราชนกันถึงกับหงายลงไปบนเตียง

“เฮ้ย อะไรว่ะ แค่ดูรูปสมัยเด็กทำไมต้องอายกันด้วย”
ชัยพูดทั้งที่นอนหงายอยู่บนเตียง พยายามตะเกียดตะกายหนีผมที่ล้มลงมาทับเขาอยู่
“มันน่าอาย เอาคืนมา ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ”

ผมต้องรีบเอาคืนมาก่อนจะเห็นสิ่งที่ให้ชัยเห็นไม่ได้ เหล่ารูปที่ทำให้นิ่มเคยหวาดระแวงผมมาแล้ว และยิ่งผมมารู้ถึงความรู้สึกตัวเองตอนนี้ผมยิ่งให้เขาเห็นไม่ได้

“อะไรวะ ไอ้ขี้หวง”
ชัยสะบัดมีอของผมที่ตอนนี้กำอยู่รอบข้อมือข้างที่ถือสมุดเล่มนั้นอยู่ ผมเสียหลัก หน้าทิ่มไปที่หน้าผากชัยเข้าเต็มๆ
“โอ้ย / โอ้ย”
เราร้องเสียงหลงพร้อมกัน ผมเอามือกุมหน้าผากทั้งๆที่ผมยังนอนคว่ำทับร่างของชัยอยู่

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ไอ้คนที่ควรจะเจ็บกว่าผมดันเป็นคนตั้งคำถามก่อน
“ไม่เป็นไร มึนนิดหน่อย”
ผมเปิดหน้าลืมตามองคนที่อยู่ข้าวล่าง เห็นสายตาสีน้ำตาลเข้มที่คมลึกจ้องมองอยู่ เห็นวงหน้าในระยะที่แปลกตาของเขา ทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาเอามือลูบที่หน้าผากที่คาดว่าน่าจะเป็นรอยแดงเป็นจ้ำอยู่อย่างแผ่วเบา ใช้นิ้วโป้ลูบวนไปมา

“ไม่น่าเป็นอะไรมาก”  ไม่เคยเจอชัยมาพูดใกล้ขนาดนี้มาก่อนสัมผัสได้ถึงผมหายใจอุ่นๆของเขาที่หายใจออกมากระทบหน้า
ผมมองไปที่หน้าผากซึ่งแทบไม่มีรอยอะไรปรากฎเลย หัวแข็งสมคำล่ำลือจริงๆ

สายตาคู่นั้นยังมองผมอยู่จนทำให้ผมไม่กล้าขยับไปไหน
“เออ.. เอาคืนไป” เขาหน้าแดงและพยายามเอื้อมไปหยิบสมุดที่วางพับอยู่เหนือศรีษะเขาขึ้นไป

“ไม่เป็นไร เราหยิบเอง”
ผมเคลื่อนตัวไปแย่ง ทั้งๆ ที่ยังร่างผมยังอยู่ในตำแหน่งเดิมบนร่างของชัย ด้วยความรีบร้อนทำให้การทรงตัวไม่ดีเลยล้มใส่คนที่อยู่ข้างล่างทำให้ร่างกายของเราทั้งสองแนบชิดสนิทกันมากขึ้น มือของผมเอื้อมไปจับมือชัยแทนที่จะเป็นสมุด หน้าของผมซุกเข้าไปในซอกคอของอีกฝ่าย หน้าของชัยเองก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ลมหายใจของผมรินรดไปที่ลำคอของชัย ทางผมเองก็เช่นกันสัมผัสได้ถึงลมอุ่นๆ ที่ชโลมไล่เลียไปทั่วผิวหนังบริเวณนั่น
 
สักพักผมต้องสะดุ้งเพราะผมรู้สึกแก่นกายกลางลำตัวของคนที่อยู่ข้างล่างแข็งขันเป็นทรงขึ้นมา ก่อนที่ผมจะรู้สึกเหมือนกับเขาผมต้องลุกออกมาจากสถานการณ์ตรงนี้

จุ๊บ ฟืด….

แต่คนข้างล่างดูจะเร็วกว่าผม เขาใช้ปากโลมรันที่คอผมจนขาของผมรู้สึกชาไร้แรงต้านทาน ผมพยายามคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุแต่มือของเขาดันเอื้อมมาจับเอวและคอผมไว้

ผมตัดสินใจใช้สติที่เหลือจากอาการร้อนรุมไปทั่วร่างกระชากตัวเองออกจากคอของอีกฝ่าย ก็โดนอีกฝ่ายยกริมฝีปากมาประกอบกับปากของผมอย่างเร้าร้อน แทนที่ผมจะรู้สึกไม่ดี กลับกันผมกับตอบรับในสิ่งเร้าตรงหน้าอย่างกระหาย สติของผมหายไปกับวังวนของรสริมฝีปากของอีกอย่างถอดตัวไม่ขึ้น

ชัยกลิ้งพลิกตัวเขามาอยู่ด้านบนบ้าง และกดริมปากให้แน่นขึ้น ใช้ลิ้นของเขาชอนไชซุกไซ้ พยายามล่วงล้ำเข้ามาในปากผม ผมฝืนได้เพียงชั่วครู่ จนกระทั่งหมดแรงจะต้านทานให้ชัยวนเวียนเข้ามาพัวพันสำรวจข้างใน มือของเขาวนเวียนไปทั่วร่างอย่างรู้จุดรู้หน้าที่อย่างช่ำชอง ผมเผลอครางออกมาทั้งที่ปากผมก็ไม่ว่างเท่าไหร่

ผ้าที่สวมใส่อยู่อย่างหลวมๆ หลุดออกไปตอนไหนไม่รู้ รู้แต่จังหวะมือของเขาที่พยายามช่วยผมให้รู้สึกดียิ่งๆ ขึ้นไป ผมเองตอนนี้ก็พยายามใช้มือที่ว่างควานหาสิ่งที่แกร่งแข็งของอีกฝ่ายซึ่งก็หาไม่ยาก เพราะมันเด่นเสียเหลือเกิน หลังจากลูบคลำว่าใช่แน่ๆ ผมล้วงเข้าไปในกางเกงตัวบางที่เขาสวมใส่ ไปเจอส่วนเนื้อที่ผมรู้สึกตกใจเมื่อแรกสัมผัสเพราะมันใหญ่กว่าผมมาก ผมรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ที่ได้สัมผัสกับมันตรงๆ แบบนี้ ผมใช้จังหวะมือแบบเดียวกับที่เขาทำกับผม ชัยขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ผมมีจังหวะที่เขาโอเคและขยับกางเกงออกให้พ้นทาง เราทำแบบนี้อยู่พักใหญ่ ในขณะที่ปากของเราสองคนยังใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ ผมก็ถึงจุดปลายทางที่ต้องปล่อยความสุขออกมาเต็มมืออีกฝ่ายจนผมเผลอร้องออกมา เสียงผมคงไปกระตุ้นเขาให้เดินทางถึงปลายทางเช่นกัน

เราทั้งสองนอนหงาย หอบหายใจด้วยความอ่อนล้า  ผมอธิบายความรู้สึกแบบนี้ไม่ออก มันอายยังไงไม่รู้ ผมไม่เคยทำแบบนี้กับเพื่อนคนไหน เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ใจผมกระจัดกระจายแบบนี้

“เรา…. เราไปอาบน้ำก่อนนะ”
ผมรีบฉวยผ้าที่กองอยู่แถวๆนั้น วิ่งเข้าห้องอาบน้ำทั้งๆ ที่เปลือยและเลอะเทอะ ผมเข้าไปและรีบกระแทกประตูห้องน้ำเหมือนกำลังหนีซอมบี้ในหนังสยองขวัญ

ปึ้ง!!!

เสียงประตูปะทะกับฝ่ามือของคนภายนอก

“อาบด้วยสิ” ไอ้ชัยเดินเปลือยกายตามเข้ามา ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นแต่วันนี้มันต่างออกไป
“เออ… อืม…” ผมพยักหน้าตอบโดยที่ไม่ได้มองอีกฝ่ายเลย ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำส่วนที่เป็นฝักบัว ชัยเดินตามมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“เรา… ขอโทษวะ นายไม่โกรธใช่ไหม?” ชัยพูดขึ้นขณะที่ผมเปิดฝักบัวให้น้ำไหลปะทะร่าง
“……….”
“เฮ้ย! เราขอโทษจริงๆ เราไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เวลาอยู่กับนายแล้วถึงห้ามใจตัวเองไม่ค่อยอยู่”
“………”
“กวี….. เรา”
“….นึก…. ว่าชอบทำแบบนี้กับใครก็ได้”
“จะบ้าเหรอ เราไม่ได้เป็นเกย์นะเว้ย แต่กับนาย…. เราไม่รู้ว่ะ โอ้ย! พูดไงดีวะ. เราขอโทษ”
“เออ… ไม่เป็น เราเองก็เหมือนกัน ไม่เคยว่ะแบบนี้ ไปไม่เป็นเลย ก็ช่างมันเถอะนะ อย่าพูดถึงมันเลย อาบนำ้เหอะ”
ทำไมผมต้องรู้สึกปวดใจกับคำขอโทษของชัยด้วยวะ ชัยพูดเหมือนมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ (คิดว่าอย่างนั้น) มันอาจจะเป็นอุบัติเหตุจริงๆเด็กผู้ชายวัยกลัดมันมาอยู่ห้องเดียวกันที่เจอสถานะการณ์ล่อแหลมน่าจะเกิดขึ้นได้ เราไม่ควรคิดมาก (มั้ง)

หลังจบบทสนทนานั้น ทั้งตอนที่อาบน้ำด้วยกันและมานอนที่เตียงเดียวกัน เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย มีแต่การมองหน้าและยิ้มอย่างเกรงใจ อากาศภายในห้องหนักอึ้ง เงียบจนได้ยินเสียงวี้วิ่งเข้ามาในหู ผมตัดใจข่มตานอนแต่ภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ยังตามวนเวียนเข้ามาในความคิดเรื่อยๆ จนประสาทรับรู้ของผมมันอ่อนไหวไปหมด ไอ้กวีน้อยมันก็ไม่ยอมนอนไปด้วย ผมพยายามแสร้งว่าหลับไปแล้ว ทั้งที่ผมรู้สึกรู้ตัวทุกอย่าง โดยเฉพาะตอนที่คนข้างๆ ขยับตัวและได้ยินถอนหายใจเป็นพักๆ

โอย…. นอนไม่หลับ

………………………………………………..

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ได้กันเลยขนาดนี้ละ  :mew2: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
วาบหวามกันนแล้ว  :o8:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


ชัย# 11


เชี้ยแล้วไง!!!

ทำไมกูทำแบบนั้นลงไปวะ!!

ผมนอนพลิกตัวไปมาด้วยความที่นอนไม่หลับ เหตุการณ์เมื่อหัวค่ำมันตามหลอกหลอนผมในความคิดอยู่เรื่อยๆ คงจะต้องโทษความขาดยับยั่งชั่งใจของตนเอง เจอกับหน้าตาน่ารักนั่นทำให้ขาดสติ และหลงลงไปกับอารมณ์ชั่ววูบในตอนนั้น ผมไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน แม้จะเป็นคนสปาร์คติดง่ายกับเรื่องแบบนี้ก็เถอะแต่ผมไม่เคยเริ่มกับใครก่อนแบบนี้เลย ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้ผู้ชายคนไหนเลย (เคยมีแต่พวกเหล่านางฟ้าที่โรงเรียนทำให้ ผมก็ลองเล่นๆ ตามประสาวัยรุ่นวัยเฮี้ยว)

ผมเผลอถอนหายใจหลายครั้ง พยายามคิดว่าจะทำตัวอย่างไรดีในวันต่อๆ ไปกับไอ้กวี ผมไม่อยากจะให้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่เพิ่งเกิดขึ้นต้องจบลงด้วยความห่ามดิบของผม ผมรู้สึกไม่สบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง มันคงไม่เป็นไร แต่ทำไมบรรยากาศหลังจากเกิดเหตุ มันถึงมึนตึงแบบนั้น ผมยังอยากมีพื้นที่ตรงนี้ที่มีไอ้กวีอยู่ข้างๆ ที่ๆผมอยู่แล้วสบายใจ

พยายามข่มตาให้หลับ แต่ทำไมมันยากจังวะ

…………….

สุดท้ายผมมาคิดได้ตอนเช้า ในตอนตื่นนอน แล้วเจอไอ้กวีนอนหลับอย่างสบายอยู่ข้าง

‘คิดว่าเป็นเพียงฝันก็แล้วกัน ทำตัวเป็นปกติไปก่อน’

ผมพูดกับตัวเองในใจ

“เฮ้ย!! ตื่น!! สายแล้ว ไปโรงเรียนกันเถอะ” ผมยื่นมือไปเขย่าไหล่ไอ้กวีที่สะดุ้งตื่นขึ้นทันทีที่ผมสัมผัส (หรือจะเรียกว่าตกใจดี จะตกใจทำไมวะ กูไม่ได้จะข่มขืนมึงเสียหน่อย)
“เออๆ ได้ๆ” ตอนเช้าผมจะให้ไอ้กวีอาบก่อนเพราะมันอาบน้ำช้า

ไม่นานพวกผมก็แต่งตัวเสร็จ ผมกับไอ้กวีแยกย้ายกันไปโรงเรียน ไอ้กวีมันมีคนขับรถไปส่งที่โรงเรียน และพอขากลับจะมีคนเอารถมารับและทิ้งไว้ให้ใช้ตอนช่วงเย็น (โคตรคุณหนู) ส่วนผมบิดมอเตอร์ไซค์กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื่อผ้าก่อน ดีนะที่บอกแม่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่งั้นถูกดึงหูยานถึงพื้น ตั้งแต่ผลการเรียนดีขึ้น แม่ก็ไม่ค่อยห้ามการไปค้างบ้านเพื่อน เพราะคิดว่าไปท่องหนังสือกัน (ก็ไม่ทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อคืน)

ผมออกจากบ้านรีบขับไปรับไอ้หลงไปโรงเรียนด้วยกันก่อนที่จะสายกว่านี้ ผมคิดไปขับรถไปว่าเย็นนี้ต้องทำให้ทุกอย่างเนียนกว่านี้ ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ!

ตกเย็นก็นัดกับไอ้กวีตามปกติ ซึ่งก็ดูเป็นปกติจริงๆ ไปหามันที่ร้านประจำ พามันไปติวที่บ้านไอ้หลง และเป็นอย่างนี้จนถึงวันเสาร์

วันนี้ดูไอ้กวีดูจะพูดมากผิดปกติ (ไม่รู้มันอารมณ์ดีอะไรมา) ตอนนั่งมอเตอร์ไซค์มาด้วยกันก็เกาะเอวผมซะแน่น มาถึงบ้านไอ้หลงก็คอยแอบมองผมเรื่อยๆ จนผมบางทีก็ประหม่าและเผลอใจเต้นแรงกับสายตาแบบนั้น ไอ้กวีชวนคุยนอกเรื่องบ่อยๆ จนแอบเห็นไอ้หลงกรอกตาใส่ ผมต้องพยายามดึงไอ้กวีกลับมาที่บทเรียนพื้นฐานในการสอนไอ้หลง ( เพราะเรื่องที่มันคุยกับผม เดาว่าไอ้หลงน่าจะตามไม่ทัน และมันควรจะสนใจไอ้หลงมากกว่านี้)

จนกระทั่งไอ้หลงมันทักออกมา ผมยอมรับว่าค่อนข้างสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอมาได้ยินแบบนี้เลยช่วยตอกย้ำถึงสิ่งที่อยู่ในใจผม แต่ผมยังอยากจะพิสูจน์เพิ่มอีก เพื่อให้แน่ใจว่าผมชอบไอ้กวีจริงๆ

หลังจากที่ผ่านการสอบมหาหินจากเพื่อนสะใภ้(มั้ง)  พี่เอิร์ธเลยตั้งใจจะพาไปเลี้ยงแก้เครียดกัน ก็ดีอยู่กับหนังสือมาหลายวันแล้วแก้เครียดเสียหน่อยก็ดี ปกติอยู่กับหนังสือทุกวันนี่มันไม่ใช่ผมเลย ตั้งแต่มาคบไอ้กวีเป็นเพื่อน ผมไม่ค่อยได้เที่ยวเล่นเลย

จากการลงความเห็นกัน เลยตกลงว่าจะไปหาอะไรกินที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ในใจกลางเมือง (ซึ่งพาลูกเจ้าของห้างฯ ที่ไม่ออกความเห็นอะไรในเรื่องนี้ไปด้วย)

เนื่องจากเป็นวันหยุด คนค่อนข้างพลุกพล่าน พี่เอิร์ธกับไอ้หลงเดินคู่กันอยู่ข้างหน้า ส่วนผมกับไอ้กวีเดินตามหลังคู่รักแห่งปีข้างหน้า

“ชัย… ถามหน่อยสิ….. คือ…. พี่เอิร์ธเป็นลูกของเพื่อนแม่หลง แต่ทำไมดูสนิทกับหลงจังวะ?”

ไอ้กวีมองคู่ที่อยู่ข้างหน้าด้วยความสงสัย เพราะไอ้หลง เดินเบียดที่เอิร์ธจนแทบจะสิงอยู่แล้ว ส่วนพี่เอิร์ธแม้จะพยายามเลี่ยงเดินห่างๆ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจ บางครั้งก็หันมาดุไอ้หลงที่แกล้งเบียดบ้าง แอบจับมือบ้าง เป็นการค้อนใส่ที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่าจะดูน่ากลัว

“เออ! ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ” ผมพยักหน้าใส่สองคนข้างหน้า ทำหน้าเอือมกับการกระทำของไอ้หลง ที่ไม่ได้สนใจใครรอบข้างเลย (แม้แต่ผมกับไอ้กวีที่มาด้วยกันกับมัน)
“เฮ้ย… สองคนนี้เป็นแฟนกัน?” ไอ้กวีแปลกใจพูดขึ้นเสียงขึ้นมา จนผมต้องยกมือขึ้นมาปิดปากมัน
“ไอ้บ้า.. เบาๆ เขาสองคนยังไม่ได้ตกลงกันอย่างเป็นทางการ และพี่เอิร์ธยังไม่อยากให้ใครรู้”
“แต่… หลงชอบผู้ชาย?”
“เออ! เราก็แปลกใจ แต่พอมารู้จักพี่เอิร์ธ เราก็ไม่แปลกใจนะ ดูสิ นิสัยดี และยัง… น่ารัก…ขนาดนั้น”
ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไง ทำเสียงยังไงตอบตอบคำถามนี้ ผมสังเกตเห็นไอ้กวีมีสีหน้าไม่พอขึ้นมานิดหน่อย แต่พอไอ้กวีหันไปพิจารณาพี่เอิร์ธที่โดนไอ้หลงแกล้งอยู่ก็ทำท่าทางเห็นด้วย
“อืม…. นั่นสิ…. เรื่องแบบนี้มันก็เป็นไปได้เนอะ”

“จะกินอะไรล่ะพวกเรา เอ็มเคไหม หรือชาบูตรงนั้น?”  พี่เอิร์ธหันมาถามพวกผมที่เดินตามหลังอยู่ไม่ไกล หลังจากใช้หมัดโขกหัวไอ้หลงจนมันต้องหยุดพัวพันพี่เอิร์ธ และหันมากุมหัวตัวเอง พี่เอิร์ธแมนมากๆ ไอ้หลงมึงซวยแล้ว!
“อะไรก็ได้ครับ/ อะไรก็ได้ครับ” ผมกับกวีตอบพร้อมกัน
“หึหึ..พวกเธอนี่น่ารักดีนะ คบกันมานานยัง?”
“……..…..” อยู่อากาศรอบๆตัวก็ร้อนขึ้นมา ส่วนไอ้กวียืนหูแดงอยู่ข้างๆ
“พี่เอิร์ธ… พวกมันไม่ได้เป็นแฟนกัน!”
“อ้าวเหรอ…. พี่ดูผิดเหรอ ก็……”
“พี่เอิร์ธครับ ไปชาบูร้านนั้นดีกว่า เขาว่าน้ำจิ้มอร่อย ไปเถอะ ผมหิวแล้ว”
ไอ้หลง มึงสุดยอดมาขอบใจมากที่ช่วยชีวิตกู  ขืนโดนซักไซ้มากกว่านี้ความลับมันจะไม่ลับน่ะสิ ผมยังไม่รู้ความรู้สึกของตัวเองจริงๆ เลย โดยเฉพาะความรู้สึกของไอ้กวี

เราเคลื่อนขบวนที่ดูขัดๆ เขินๆ ไปถึงหน้าร้านชาบูชื่อดัง ซึ่งตอนนี้เนืองแน่นไปด้วยคิวเข้าร้าน

“โห…. จะได้กินไหมเนี่ย……หิวแล้วนะ” ผมแอบโวยวาย
“เฮ้ย!! เหลืออีก 6 คิวเลย ทำไงดีไปกินอย่างอื่นกันไหม?” ไอ้หลงที่เดินแหวกฝูงชนออกมาจากจุดที่พนักงานที่ดูแลเรื่องคิวเข้าร้านยืนอยู่
“เออ ก็คงงั้น แม่งหิวฉิบหายยังมาเจอแบบนี้อีก ร้านนี้อยากมาชิมสักครั้งเสียด้วยสิ”

“ชัย ชัย”

ผมซึ่งกำลังหงุดหงิดเดินหันหลังตั้งเป้าหมายใหม่ไปกินร้านอื่น หันกลับมามองหาเสียงใสๆ จากในฝูงชน

“ชัย มากินร้านนี้เหมือนกันเหรอ บังเอิญจัง”
เด็กสาวผมยาวประบ่าแต่มีโครงหน้าโฉบเฉี่ยว และแต่งหน้าด้วยโทนเปรี้ยวจัด เดินแหวกผู้คนออกมาทักทายผม เธอคือ แนน คนที่ผมเคยคั่วอยู่พักหนึ่ง ช่วงปีที่แล้วเธอน่าจะอยู่มหาวิทยาลัยปีสองแล้วตอนนี้ (ผมชอบผู้หญิงที่ดูเป็นสาวหน่อยไม่ชอบเด็ก) พอผมเห็นเธอก็ยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง

“อ้าว! แนน”
“ดีจ๊ะชัย”
“เมื่อกี้ แนนว่าไงนะ?”
“ถามว่าจะมากินชาบูที่นี่เหมือนกันเหรอ?”
“อื้อ.. แต่คนมันเยอะ รอไม่ไหว หิวแล้ว”
“มากินด้วยกันไหมล่ะ? คือมีเพื่อนเบี้ยวหลายคนน่ะ จองโต๊ะใหญ่ไว้ นี่เลยกลัวว่าที่ร้านเขาจะว่าเอา เนี่ยคิวถัดไปแล้ว”
“เออ เอาสิ แต่เรามากันสี่คนนะ ไหวเหรอ?”
“ไหวสิ… จองไว้สิบที่ แต่มากันห้าคนเอง มาเยอะก็ดีเลย”
แล้วเธอก็ขยับเข้าใกล้พลางกระซิบ
“เพื่อนชัยมีแต่หล่อๆ สาวๆ เพื่อนเรากรี๊ดกร๊าดกันใหญ่”
ไม่จะพูดให้อีกฝ่ายเสียใจเลยว่า มีสองคนในนี้จีบกันอยู่ ส่วนไอ้ชัยก็เพิ่งอกหักรักคุด คงจากจะยังไม่มองใครช่วงนี้ ส่วนผมก็กำลังสับสน สาวๆ เอยเลือกคนมากินข้าวด้วยผิดกลุ่มเสียแล้ว!

ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป

“เบอร์ 147 ค่ะ คิวที่ 147 สิบที่ค่ะ มาติดต่อที่หน้าร้านด้วยคะ!”
เสียงลำโพงจากหน้าร้านดังมาถึงจุดที่ยืนอยู่

“อุ้ย!! ถึวคิวแล้ว อยู่นี่คะ!!!” แนนโบกมือให้กับพนักงานที่หน้าร้านที่ชะเง้อหาลูกค้าคิวที่ประกาศหาอยู่
“ไปกันเถอะ” แล้วแนนก็จับมือผมลากเข้าร้านไป ผมได้แต่หันหน้าไปทางคนในกลุ่มที่เหลือเพื่อให้ตามมา แต่คนที่ทำหน้าประหลาดใจที่สุดน่าจะเป็นไอ้กวี แต่ทุกคนก็เดินตามเข้ามาในไม่ช้า

เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ แนนขอมานั่งใกล้กับผม ส่วนที่เหลือก็นั่งเผชิญหน้ากันในโต๊ะกับแก๊งสาวโสดกลัดมัน (ผมขอเรียกพวกเธอแบบนี้ละกัน เพราะเธอมีท่าทางแบบนั้นจริงๆ ไอ้กวีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมมีสีหน้านิ่งเฉยจนผมเดาใจไม่ออก (ไอ้หลงให้พี่เอิร์ธนั่งตรงกลางระหว่างมันกับไอ้กวี กันทางชะนีนางหนึ่งที่พยายามจะนั่งใกล้พี่หมอ เลยกลายมานั่งข้างไอ้หลงแทน แต่สีหน้าเธอก็ดูโอเคอยู่ เพราะความหล่อของไอ้หลงมันก็ใช่ย่อย)

ร้านนี้เป็นแบบบุพเฟ่ต์ครับ สั่งให้พนักงานมาเสิร์ฟได้เรื่อยๆ ระหว่างที่กินชาบูกันอย่างเอร็ดอร่อย (ร้านนี้น้ำจิ้มเด็ดสมคำล่ำลือ) แนนก็พยายามมาพัวพันผมตลอดซึ่งผมก็ยินดีเพราะเธอสวยเปรี้ยวเซ็กซี่ และที่สำคัญผมอยากจะพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองสักหน่อย และอยากจะพิสูจน์กับไอ้กวีว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่เมื่อคืนเป็น ผมที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ ผมรู้สึกไม่อยากให้มันคิดมาก ยิ่งมันไม่พูดผมยิ่งรูสึกผิด

กับแนนแม้เราจะจบกันไม่ดีเท่าไหร่ แต่เธอก็พยายามจะกลับมาหาผมเสมอ แต่ผมเองนี่แหละที่ไม่ได้สนใจเธออย่างที่ควรจะเป็น ผมยังรักเธอไม่มากพอและแนนเองก็มีลักษณะนิสัยของแม่มากกว่าแฟน ผมเลยรีบตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่จะถลำลึกกว่านี้

ไอ้กวีดูไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไหร่ มันเหมือนพยายามเหล่มองผมเป็นระยะจนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดกับการพัวพันของแนน แนนพยายามเอาใจผมโดยเกาะแขนผมเบียดกับหน้าอกเธอที่สวมเสื้อรัดรูปเน้นทรงเท่าหัวเด็กของเธออยู่เนื่องๆ หยิบชิ้นเนื้อชิ้นผักที่สุกให้ เธอทำเหมือนเมื่อตอนที่เรายังคบกัน ซึ่งผมก็รู้สึกดีแต่พอได้รับรังสีจากสายตาไอ้กวี ทำไมผมถึงรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ จนอยากจะย้ายไปนั่งไกลๆแนนแบบนี้

“แล้วเรื่องที่แนนคุยกับชัยล่าสุดในไลน์ ชัยตกลงใช่ไหม?” แนนดูเขินอายกับสิ่งที่พูด
“เอ่อ… อืม…”
ผมพยักหน้าแบบขอไปทีเพราะกังวลอยู่กับสายของไอ้กวีที่เหล่มองมาตอนแนนขยับเข้าใกล้ชิดปากแทบจะชนหูผมอยู่แล้ว สมาธิก็ไม่ค่อยมียิ่งนึกไม่ออกว่าแนนพูดถึงเรื่องอะไร เรื่องปกติของหนุ่มหล่ออย่างผมที่แฟนเก่าๆ (ไม่เกี่ยงระยะเวลาการคบ) มักจะมาขอมีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งชั่วครั้งชั่วคราว และผมไม่เคยปฏิเสธ!

“ว้าย!! จริงอ่ะ ส่งไปตั้งสัปดาห์หนึ่งแล้ว ชัยไม่ยอมตอบนึกว่าจะต้องนั่งเสียใจเสียแล้ว”
“หือ??” ผมยังจับประเด็นประโยคของแนนไม่ได้จนความสงสัยแสดงออกทางใบหน้า
“ก็เรื่องที่เราจะคืนดีกันไง ชัยเพิ่งตอบตกลงเราไง ทำใจลอยอีกแล้ว ชัยเนี่ย… คิดแต่เรื่องอย่างว่า…. ว้าย” อยู่ๆ เธอก็เสียงดังขึ้นจนเพื่อนในกลุ่มหันมามอง
“ดีใจด้วยนะแก” เพื่อนที่นั่งใกล้ๆ แสดงความดีใจกับเธอออกนอกหน้า
“ชัยรู้ไหมยัยแนนมันพูดถึงชัยทุกวันเลย เราละขี้เกียจฟัง!” เพื่อนหญิงของแนนที่นั่งข้างไอ้หลงส่งเสียงแซวข้ามหัวไอ้หลงมา

“เฮ้ย!! อะไรนะ!” ผมกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด

“พี่เอิร์ธ หลงขอบคุณนะ เราลืมไปว่าจะต้องรีบไปทำธุระ ไปก่อนนะขอบคุณที่เลี้ยง” ไอ้กวีวางตะเกียบเสียงดังลงบนโต๊ะ ก่อนจะไหว้พี่เอิร์ธและพยักหน้าให้ไอ้หลง และเดินออกไปจากร้านโดยไม่มองผมสักนิด (ผมแอบสังเกตหน้ามันก่อนออกไปดูหวุดหงิดและตาขวางชอบกล)
“อะไรกัน อุตส่าห์อ่อยตั้งนาน นกซะงั้น!! นึกว่าจะได้ควงกับหนุ่มน่ารักในเพจดังเสียแล้ว” เพื่อนหญิงแนนที่นั่งอยู่ริมโต๊ะฝั่งเดียวกับผมบ่นอุบอิบเสียงดัง

ผมรู้สึกกังวลกับภาพที่เห็น เลยกะว่าจะลุกตามไป
“อ้าว จะไปไหนน่ะชัย อิ่มแล้วหรือ?” แนนใช้มือดึงรั้งผมให้นั่งลง
“เดี๋ยวเรามาเคลียร์กัน” ผมบอกกับแนนด้วยสายตาขึงขัง

ผมวิ่งออกจากร้านด้วยความเร็วเท่าที่ทำได้เพราะร้านคนแน่นมาก ประกอบกับคนยืนรอหน้าร้านก็เยอะ กว่าจะพ้นออกจากบริเวณร้านได้กินเวลาไปหลายนาที

ผมมองซ้ายขวาตามหาไอ้กวีอย่างวุ่นวายใจแต่ไม่เห็นแม่แต่เงาเสื้อเขิ้ตสีฟ้าอ่อนที่มันใส่

“ มันเป็นนินจาหรือไงว่ะ หายไปเร็วฉิบหาย” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ

ผมรีบเดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อเคลียร์กับแนนให้รู้เรื่อง ต้องโทษตัวเองที่ตอบไม่คิด แต่จากเหตุการณ์ทำให้ผมรู้ใจตัวเองมากขึ้น……


……………………………………………

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
กวี #6


ผมรู้สึกโง่ยังไงไม่รู้ นี่ผมเป็นอะไรไปวะ รู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ แค่ได้เห็นภาพตรงหน้าเส้นสติผมก็ขาดผึงไปอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายก็ปึงปังออกมาแบบนี้ เท้าผมก้าวเดินไปไม่หยุด รู้แต่ว่าต้องไปที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่อยู่ตรงนั้น ความรู้เหมือนโกรธก็ไม่เชิง อึดอัดก็ไม่ใช่ มันแปลบๆ ร้อนรนที่กลางอกวูบวาบไปมา

ผมเดินจนถึงริมถนนโบกให้แท็กซี่จอดและขึ้นไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลย

“น้องครับ…. จะไปไหนครับ ขึ้นมาก็นั่งนิ่งเลย”
“อุ้ย.. เอ่อ…… ไปร้าน Cafe in library ครับ” เป็นชื่อแรกที่นึกออกตอนนี้ที่ๆ ผมไปเป็นประจำ

พอมาถึงร้านผมก็เดินใจลอยไปหาที่นั่ง ผมนั่งลงตรงที่ประจำโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

“น้องครับ ตรงนี้มีคนนั่งแล้วครับ”
“อ่ะ!!ขอโทษครับ ผมใจลอยไปหน่อย” พอได้ยินเสียงจากอีกฝากหนึ่งของโต๊ะผมรับหันไปขอโทษทันที โดยไม่ทันสังเกตว่าเสียงคนที่พูดนั่นคุ้นหูมาก

“อ้าว! พี่นีโน่!!”
“เรียกพี่โน่เฉยๆก็ได้ ฟังแล้วไม่คุ้นเลย ไม่มีใครเรียกแบบนี้นานแล้วนอกจากแม่”
“ครับพี่โน่…. งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมกำลังลุกไปหาที่นั่งใหม่ ก็เจอมือเล็กๆนั่นคว้าแขนไว้ (เห็นตัวเล็กแบบนี้แต่ไวจริงๆ)
“นั่งนี่แหละ พี่ล้อเล่น พี่เห็นเราตั้งแต่ลงแท็กซี่แล้วก็เลยเดินมาจองที่ให้”
“อ้อ… ครับ ขอบคุณครับ” พอพูดจบผมก็ลุกไปสั่งเครื่องดื่มโกโก้เย็นของที่นี่ (ของขึ้นชื่อ) มานั่งนิ่งๆ ที่เดิม
“เป็นอะไร หน้าตาเหมือนคนโดนหักอก”
ผมคงทำหน้าบอกบุญไม่รับขนาดนั้นเลยเลยหรือนี่ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกใหม่
“หรือว่า…. ยังทำใจเรื่องนิ่มไม่ได้?”
“………” ผมขมวดคิ้วใส่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามใส่
“อ้าว! ไม่ใช่รึ? นี่กวีไม่รู้เรื่อง?”
พูดจบเขาก็หยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนจอใหญ่กว่าฝ่ามือเขาออกมาเขี่ยๆ จิ้มๆและยื่นมาให้ผมดูเพจๆหนึ่งใน Facebook ซึ่งเป็นรูปนิ่มกับเด็กผู้ชายหน้าตาคุ้นๆ ควงแขนกันเดินที่หน้าโรงหนังแห่งหนึ่ง

ผมยอมรับว่าผมรู้สึกเฉยๆ กับภาพที่เห็น อาจเพราะผมรู้นิสัยของนิ่มดี หรืออาจเพราะผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับนิ่มแล้ว หรือทั้งสองอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เลิกกันอย่างเป็นทางการแต่ทำแบบนี้มันออกจะเกินไปหน่อย

“อ้าว!! แปลกใจน่ะเนี่ยที่เฉยได้ขนาดนี้ เป็นพี่นะจะวิ่งไปตะบันหน้าสักทีโทษฐานที่มายุ่งแฟนพี่”
“ผม…. ทะเลาะกันอยู่ครับ อยู่ในช่วงหยุดพัก แต่ช่างเถอะครับ ผมก็คิดอยู่ว่าเราคงไปกันไม่รอด…”
“แล้วที่ทำหน้าเหมือนใกล้จะตายนี่มันอะไรกัน”
“………..” รู้สึกคำตอบมันหายไปจากหัวสมองผมทั้งหมด
“ว่าแต่…… ไอ้ชัยล่ะ วันนี้ไม่ได้มาด้วยกัน”
“…………” เหมือนเป็นชื่อต้องห้ามสำหรับผมวันนี้ ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนเข็มมาทิ่มแทงที่หัวใจหลายเล่ม
“เฮ้ยๆ เป็นอะไร ไอ้ชัยเป็นอะไร?” ผมคงทำหน้าแย่เอามากๆ ดวงตาตอนนี้มันแสบร้อนจนผมต้องหลับตาไปพักหนึ่ง
“ไม่เป็นอะไรครับ ก็มีความสุขดีกับบรรดากิ๊กของมัน!” เป็นคำพูดที่ปะปนน้ำเสียงที่ผมไม่คุ้นเคย

หลังจากจบประโยคนั่นของผม ความเงียบก็แผ่ไปทั้งบริเวณที่ผมกับพี่โน่นั่งอยู่ พี่โน่มองผมด้วยหน้าเหมือนคิดทบทวนอะไรอยู่

“เฮ้อ……พี่ก็คิดไว้แล้ว!” อยู่ๆพี่โน่ก็ผ่อนหายใจออกมายาวๆ
“………….”
“สงสัยคงต้องอกหักอีกแล้วสิพี่”
“อะไรครับพี่โน่?” รู้สึกตามพี่เขาไม่ทัน
“นี่ยังไม่รู้ใจตัวเองอีกเหรอ ว่าเราน่ะแอบชอบเพื่อนอยู่”
“ผม….ก็พอจะรู้ใจตัวเองอยู่ แต่….”
“แต่ยังทำใจยอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ หรือ กลัวผิดหวังเพราะกลัวอีกฝ่ายจะรังเกียจ?”
พี่โน่เหมือนพูดแทนใจผมหมดทุกอย่าง
“ก็ทั้งสองแหละครับ”
“เฮ้อ….. วัยรุ่นก็อย่างนี้แหละ คิดๆก็อิจฉา เอางี้พี่จะบอกอะไรให้ ชีวิตเราน่ะมันสั้น อย่าทำให้มันซับซ้อน ทำตามหัวใจเราก่อนจะได้ไม่เสียใจทีหลัง อย่างน้อยก็ถือว่าเราได้ทำ ผลจะเป็นอย่างไรช่างมัน คนอื่นจะคิดยังไงก็…ช่างมัน มันเป็นความสุขของเราเลยนะเว้ย”
“แต่……”
“ไม่มีแต่… พี่รับประกันว่าไอ้ชัยมันก็ต้องคิดเหมือนกัน ผู้ชายด้วยกันดูออก”
อืม….. ผมก็ผู้ชายหรือเปล่าวะ?

“เอางี้… พี่มีแผน….”
“แผนอะไรพี่?”
“เอาน่า” พี่โน่นิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานงานแถวนั้นมาและยื่นโทรศัพท์มือถือให้

………………………………………………





ชัย# 12


หลังเคลียร์กับแนนเรียบร้อย ถึงแม้ว่าเธอจะมีสีหน้าแย่ลงทันทีที่บอกถึงความเข้าใจผิด สักพักแนนก็กลับเข้ามาสู่โหมดออดอ้อนเหมือนเดิม คงจะพยายามตื้อให้ผมเปลี่ยนใจโดยใช้ร่างกายเข้าแลก

แต่ตอนนี้มไม่มีแก่ใจมานั่งกินชาบูกับสาวๆ แบบนี้แล้ว เหมือนใจไม่อยู่กับตัว (ไม่รวมไอ้หลงกับพี่เอิร์ธ ที่ทำเหมือนนั่งกันอยู่สองคนตั้งแต่แรกจนสาวๆ ในโต๊ะเริ่มถอดใจที่จะอ่อยสองคนนั้น) ผมตัดสินใจบอกลาทุกคนเพื่อไปตามหาหัวใจของผม

ทันทีที่ออกจากร้าน ผมนึกถึงวิธีที่จะตามหามันให้เร็วที่สุด คือ ‘เพจวัยรุ่นหน้าใสวัยน่ารัก’ ผมรีเฟรชอยู่นานแต่ก็ยังหาพิกัดไม่เจอ ไม่มีใครพบเห็นมันบ้างเลยหรือไง

ผมเจอแต่รูปเก่าๆ ของผมและไอ้กวี ทำให้รู้ว่า เวลาที่ผมอยู่กับมันผมมีความสุขแค่ไหน ผมพบว่าผมมองมันอย่างไม่ใช่สายตาของเพื่อน แต่มากกว่านั้น ผมไม่ได้แสแสร้งเวลาอยู่กับมันเลย (ไม่แปลกที่นิ่มจะรีบเข้าใจผิด) สายตาของไอ้กวีเองก็ทำให้ผมหลงไหลอยู่ไม่น้อย หลังจากดูรูปอยู่พักหนึ่งผมก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะเดินหน้าลุยกับไอ้กวีแล้ว ผมรีบเดินไปที่หน้าห้างเพื่อหารถกลับไปบ้านไอ้หลง จะได้ไปเอารถของผมออกตามหามัน

ติ่ดต่อง….

เสียงแจ้งเตือนที่ผมตั้งกับเพจไว้หากมีใครอัพเดทอะไรก็ดังขึ้น ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เลื่อนกรอบแจ้งเตือนไปด้านข้างเพื่อเข้าดูรูปใหม่ที่มีเจ้าของเพจอัพขึ้นมา

เป็นภาพชายสองคนนั่งใกล้กันในร้านคาเฟ่ที่คุ้นตา เป็นภาพเหมือนมุมแอบถ่าย และคำบรรยายใต้ภาพว่า ‘หรือจะเป็นคู่จิ้นคู่ใหม่ ถึงอีกคนจะไม่วัยรุ่นแล้ว แต่นับจากหน้าตาก็อยากให้เข้ามาบรรจุใจฮอลล์ออฟเฟรมของเพจเรานะคะ ขอให้ได้กันนะคะ อ๊ายยยย’

บรรยายเสียอยากไปกระชากคนเขียนมาต่อยสั่งสอน ผมหงุดหงิดทันทีที่เห็นภาพพี่โน่กับไอ้กวีอยู่ด้วยในสถานที่ของผมและมัน ผมดูจากนาฬิกาดิจิตอลที่แขวนอยู่บนผนังในภาพทำให้รู้ว่าภาพนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ผมไปตอนนี้น่าจะทัน ผมต้องรีบไปแล้ว……..

………………….

การขับขี่บิ้กไบค์ด้วยความเร็วนี่มันสะใจจริงๆ ครับ แต่วันนี้ผมไม่ได้ขับเอาความสะใจแต่เพราะใจร้อนครับ ผมจอดหน้าร้านประจำทันที รีบดับเครื่องถอนกุญแจออกแล้ววิ่งเข้าไปในร้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะเร็วได้

ผมมองไปยังสถานที่เดียวกับรูปภาพนั่น มันเหมือนกับภาพในเพจเป๊ะ ทั้งคนทั้งตำแหน่งการนั่ง ผมตรงดิ่งไปที่โต๊ะนั่นทันที

“อ้าว ชัย ไหนกวีบอกว่ามึงมีนัดกับสาว” ไอ้พี่โน่ชายร่างเล็กที่ทำผมหงุดหงิดทุกครั้งที่เจอเอ่ยทักผมก่อนที่จะถึงโต๊ะแค่สองก้าว
“เออ…. ไอ้กวีมาผมก็ต้องมา”
“แต่กวีบอกพี่ว่าวันนี้มาคนเดียวนี่!” ไอ้พี่โน่หันไปพยักหน้าใส่ไอ้กวีที่ไม่แม้จะเหลือบมองผม
“พี่ก็เลยมานั่งเป็นเพื่อนแก้เหงา” ไอ้พี่โน่มันหันมายิ้มให้ผม หน้ามันน่าหมั่นไส้มาก
“กวี… เรามีเรื่องจะคุยด้วย” ไอ้กวียังนั่งนิ่ง โอ้ย!!! เห็นแล้วมันอึดอัดยังไงไม่รู้
“พี่โน่ ผมขอคุยกับไอ้กวีตามลำพังได้ไหม?”
“มึงอยากจะพูดอะไรก็พูด กูนั่งนี่เพราะน้องกวีขอให้กูนั่งเป็นเพื่อน อยากให้กูลุกก็ให้น้องกวีเขาเอ่ยปากเอง มึงมาทีหลังนะ ไอ้ชัย!!”
เสียงพี่โน่เริ่มดีงแข็งขังมากขึ้นจนผมรู้สึกอยากจะกระโจนใส่มันตรงนี้เลย ‘กวนตีน’

“กวี… เราขอคุยด้วย” ผมดึงมือมันเพื่อให้กวีหันมาสนใจผมบ้าง
“เฮ้ย…!!! เขาไม่คุยด้วยก็อย่ามาบังคับสิวะ” พี่โน่ปัดมือผมให้หลุดไป
“เอ๊ะ! พี่โน่จะเอาไงวะ เพื่อนเขาจะคุยกัน”
“มึงเป็นเพื่อน มึงก็คุยกันตรงนี้ได้! แต่กูจีบน้องเขาอยู่ก่อน หากน้องมันไม่อยากไป มันก็หน้าที่กูที่จะช่วย”  พี่โน่ยืนขึ้นมาขวางผมกับไอ้กวี ทำให้เหมือนชิวาว่าวิ่งมาขวางโกลเด้นรีทีฟเวอร์สองตัว
“โอเค… พี่พูดแบบนี้เหรอ เอาสิ กวนตีนกูมาเยอะแล้ว ล่อแม่งตรงนี้แหละ!!” ผมกระชากคอไอ้เตี้ยข้างหน้าจนเท้าของมันลอยเหนือพื้นสักสองนิ้วได้
“ชัย!! พอเถอะ!! เดี๋ยวเราไปคุยด้วยข้างนอก” กวียืนขี้นจับมือผมข้างที่กระชากคอไอ้พี่โน่อย่างแน่น จนผมต้องปล่อย ผมยังทำตาขวางใส่ไอ้เตี้ยข้างหน้าแต่มันกลับส่งยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากให้
“พี่โน่ ขอบคุณครับ” ไอ้กวีแม่งก็แปลกไปขอบคุณมันทำไม?
ผมเดินตามไอ้กวีไปที่นอกร้านใกล้ลานจอดรถ

“มีอะไร จะพูดเรื่องอะไรกับเรา” กวีหันหน้ามาพูดกับผมด้วยเสียงไร้อารมณ์
“เอ่อ…. ก่อนอื่น บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้โน่ ไอ้นั่นมันของจริง เดี๋ยวก็โดนมันจับทำเมียหรอก”
“นายจะสนใจทำไมว่าเราจะไปเป็นผัวหรือเป็นเมียใคร ไม่ไปสานสัมพันธ์ไปทั่วเหมือนเดิมล่ะ?” น้ำเสียงที่ส่อแววประชดประชันจนผมเจ็บจี๊ดที่อกข้างซ้าย
“กับแนน เป็นเรื่องเข้าใจผิด เราไม่คิดจะกลับไปคืนดีด้วยนะ แค่ตอบไปแบบเบลอๆ”
“โอเค แสดงว่านายมันก็เบลอกับทุกเรื่องงั้นสิ?” น้ำเสียงแบบนี้อีกแล้ว แล้วนี่กำลังพูดถึงเรื่องเมื่อคืน?
“ไม่….ไม่นะ” ปากผมมันสั่นไปหมดทำไมวะ?
“มีเรื่องจะพูดแค่นี่เราจะได้ไปคุยกับพี่โน่ต่อ พี่เขาจะชวนไปที่ผับต่อ”
 
ผมเห็นเขาเดินสวนผมไป ภาพมันเหมือนสโลโมชั่น ทั้งที่ผมตัดสินใจมาแล้วแต่เอาจริงผมแม่งปอดแหกฉิบหาย เอาสิวะทำตามหัวใจตัวเอง ผมก้าวไปคว้าแขนไอ้กวีแล้วดึงเข้ามากอดดัง ‘หมับ’ กูจะปล่อยให้หนีอีกแล้ว

“เฮ้ย…!!” ไอ้กวีร้องเสียงหลง
“เอาวะ…. เรา….เราว่าชอบนายว่ะ เราไม่สนว่านายจะเป็นผู้ชายหรืออะไร มาคบกับเราได้ไหม?” ผมพูดไปทั้งที่หลับตาและโอบกอดกวีเสียแน่นเพราะกลัวว่ามันจะเดินหนีหายไปหลังจากได้ยินความในใจของผม
“ไอ้บ้าเอ้ย….. ตั้งนานกว่าจะยอมพูด พูดขนาดนี้ตกลงก็ได้วะ”
“……..” ผมลืมตาขึ้นมาเห็นไอ้พี่โน่ยืนยิ้มชูนิ้วโป้สองมืออยู่ในร้านกระจก
“นี่มันอะไรกันน่ะ” ผมชี้ไปทางไอ้พี่โน่ที่ยืนยิ้มอยู่ในร้าน
“พี่โน่ เขามองออกว่าเราน่ะชอบกันก็เลยช่วยน่ะ”
“โห… ไอ้พี่โน่…..” ผมกะจะเข้าไปโวยวายกับมันเสียหน่อยก็เจอมือที่อ่อนโยนจับไว้
“แล้วที่พูดน่ะ จริงหรือเปล่า?”
“เอ่อ….. จริงสิ… เราชอบนาย….ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
กวีแค่ยิ้มให้ผมแบบที่ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย

………………………………………………….

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ดูรวบรัดมากๆ อะ  :hao7:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

กวี # 7


“เราชอบนาย”

คำนั้นยังก้องอยู่ในโสตประสาท ผมเดินกลับเข้ามาในร้านซึ่งตอนนี้ผมไม่ได้มาคนเดียวแล้ว ขัยเดินตามผมไม่ห่าง ผมรู้สึกเขินๆ กับอะไรที่มันรวดเร็วไปหมด ยังทำตัวไม่ถูกที่อยู่ๆ สถานะของผมกับชัยจะเปลี่ยนไปแบบนี้

“กูก็ลุ้นอยู่ว่า พวกมึงจะยังไงกัน หากจบไม่ดีพี่ก็ว่าจะรอเสียบอยู่”
พี่โน่นั่งรออยู่ที่โต๊ะพูดทีเล่นทีจริงพร้อมส่งยิ้มฟันขาวมาให้
“คราวนี้ก็รู้แล้วนะ ว่ากวีน่ะของผม รู้แบบนี้แล้วก็อย่ามาวุ่นวายกับคนของผมอีก!” ชัยเดินมาขวางผมกับพี่โน่อย่างเร็ว

ผมรู้สึกแปลกๆ เวลาอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้  ไม่เคยเจอคนอื่นมาแย่งกันต่อหน้าโดยเฉพาะผู้ชาย

“ใครเป็นของใคร เรายังไม่ได้ตกลงกันเสียหน่อย” ผมเดินแทรกชัยไปนั่งฝั่งตรงข้ามพี่โน่
“ก็กวียอมรับที่จะคบกับเราแล้วไง ไหนว่าใจเราตรงกัน” ชัยพอได้สารภาพก็ดูเหมือนชัยจะพูดเรื่องนี้ได้ไม่หยุดเลย
“ยอมรับว่าใจตรงกัน แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะคบด้วยเสียหน่อย”
“จะให้เราจีบนายให้ติดก่อนว่างั้น ขอโทษนะข้ามขั้นไปหน่อย”
ชัยพูดออกมาตรงๆ จนผมเริ่มอาย หน้าผมมันบางไม่เหมือนไอ้คนพูดนะ แล้วนี่ก็จะเสียงดังไปไหนเนี่ย
“แล้ว…หากมันจีบไม่ติด พี่ขอเสียบต่อเลยนะ”
พี่โน่ก็อีกคน คำก็เสียบสองคำก็เสียบ ฟังแล้วหวาดเสียวชะมัด
ตอนนี้ชัยส่งตาเขียวใส่พี่โน่ะป็นระยะ สลับกับยิ้มให้ผม
“เฮ้อ….กูไปดีกว่า คนแพ้ก็ต้องไปสินะ” พี่โน่ขยับตัวออกจากโต๊ะ
“บายพี่ คงไม่ต้องมาเจอพี่อยู่กับกวีอีกนะ”
“ผัวเผลอแล้วเจอกันนะน้อง” พี่โน่ยักคิ้วให้ก่อนเดินจากไปพร้อมหัวเราะเสียงดัง
“พี่โน่!!!” ผมหลุดตวาดพี่โน่เสียงดังพร้อมกับชัยที่ดูขมวดคิ้วชัดเจน

แสงแดดยามเย็มเริ่มซีดจางลงแล้ว ความมืดกำลังไล่เลียเข้ามา
หลังจากผมกับกวีนั่งจัดการเบเกอรี่ของโปรดของผมจนหมดผมเลยกะว่าจะลากลับบ้านไปทำการบ้านก่อนดีกว่า วันนี้ก็ออกมาจากบ้านทั้งวันแล้ว

“กลับกันเถอะ”
“อืม” เสียงอีกคนตอบพร้อมรอยยิ้ม ชัยมักจะนั่งมองผมกินเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยกินกับผมด้วย จนผมสังเกตว่าเขาคงไม่ชอบของหวานแต่ก็มานั่งกินกับผมตลอด และจะแตะๆ ชิมๆบ้างเวลาที่ผมขะยั้นขะยอให้เขากินด้วย มันเป็นพฤติกรรมที่น่ารักดี ผมยิ้มตอบกลับไป

เขาเดินไปส่งผมที่รถ ชัยทำสายตาแบบไม่อยากให้ผมไปเลย ผมเองก็ยังไม่รีบจากเขาไปนะ แต่เวลานี้มันมืดแล้ว คงต้องรีบกลับไปทำการบ้านที่ค้างไว้ ผมโบกมือลาแล้วขึ้นไปนั่งบนรถวอลโว่คันเก่งของผม ผมกำลังจะปิดประตูแต่มีมือมาดึงประตูรถไว้ไม่ให้ปิด

“วันนี้….นาย…..อยู่คนเดียวหรือเปล่า?” ชัยพูดกระท่อนกระแท่น
“อืม…… ไม่รู้สิ ป๊ากับคุณน้า ไม่ได้บอกอะไร ของเช็คไลน์ก่อนนะ”
ว่าแล้วผมก็เปิดไลน์กลุ่มครอบครัวดู และพบข้อความไม่ได้อ่านอยู่ 2-3 ข้อความ”

MongkolBoss: อยู่ไหนกวี? ลูกจะกลับบ้านกี่โมง
MongkolBoss: วันนี้ป๊าไปเยี่ยมน้องนะ พรุ่งนี้เจอกัน
ArayaP: อย่ากลับดึกนะ อย่าลืมเวลาที่เราตกลงกันไว้

ผมเคยตกลงไว้กับคุณนาย หรือคุณน้า (แล้วแต่ว่าอยากจะเรียกเมียพ่อหรือแม่เลี้ยงผมว่าอย่างไร) ว่าจะไม่กลับดึกหากได้รถมาใช้เพราะไม่อยากให้ผมเสียคน พ่อก็ตกลงตามนั้นทั้งๆที่ผมก็ไม่เคยสอบตกจากท้อป 3 ของห้องเลย ไม่เคยแสดงพฤติกรรมไม่ดีให้เห็น

ผมอ่านจบผมก็ส่ายหน้ากับชัยเป็นคำตอบว่าวันนี้ผมคงต้องนอนคนเดียวอีกคืนไม่มีใครอยู่บ้าน อยู่ๆสีหน้าของชัยก็ดูสว่างวาบขึ้น จนผมรู้สึกได้ เหมือนทาสารเรืองแสง

“ให้เราไปนอนเป็นเพื่อนไหม?”
ใจหนึ่งก็อยากแต่อีกใจหนึ่งก็กลัว ขนาดวันก่อนไม่ได้ตั้งใจ เรายังมีอะไรกันขนาดนั้น แต่นี่เราไม่ต้องปิดบังความรู้สึกและชัดเจนกับความต้องการของเราแล้ว อะไรมันจะเกิดขึ้น!

“เราถามว่าจะให้ไปอยู่เป็นเพื่อนไหม?” ผมเงียบไปนานจนอีกคนก้มหน้าลงมาถามอีกครั้ง
“เอ่อ…….” สับสนไปหมด รู้สึกร้อนผ่าวไปตั้งแต่หัวไปถึงกลางหลัง
“เราไม่ทำอะไรนายหรอกน่า…. ถ้านายไม่ยอม” ชัยยิ้มเจ้าเลห์ใส่
“บ้าน่ะ คิดอะไรอยู่เนี่ย เรายังไม่ได้ตกลงกันเรื่องนั่นนะ?”
“แล้วจะให้ไปไหมเนี่ย?”
“อยากมาก็มา ไม่ได้ห้ามไว้นี่” รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ยังไงไม่รู้ ตื่นเต้นไปหมด

สุดท้ายชัยก็ขับมอเตอร์ไซค์ของเขาตามมาถึงที่บ้านของผม และเข้ามาอยู่ในห้องของผมเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ดันจำหน้าเขาได้แล้วเสียอีก เปิดให้เขาเข้ามาง่ายดายเสียเหลือเกิน (ชัยเป็นเข้ากับคนง่ายเสียจนผมเองยังกลัว ไปสนิทกับเขาตอนไหนเนี่ย? ลุงขาวเจ้าหน้าที่ฯ ที่บ้านผมก็พอกันเนี่ย!)

“ถามจริง สงสัยมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไอ้สมุดเล่มนั้น มันมีอะไรทำไมถึงหวงมันนัก” เข้าห้องมาชัยก็เปิดประเด็นถามถึงไอ้ของที่ทำให้เกิดเรื่องเลย
“ไม่มีอะไร มันเป็นไดอารี่น่ะ” หรือจะให้เรียกอีกอย่างคือ สมุดแฟนคลับ คนเราก็ต้องมีไอดอลบ้างคนหรือสองคน แต่ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆ ไอดอลคนนั้นดันมาอยู่ในห้องเดียวกับผมตอนนี้ล่ะ
“อ้อเหรอ ขอโทษนะ มันคงไม่ดีที่จะเปิดอ่านใช่ไหม?”
“แน่นอน!! ใครเขาจะให้คนอื่นอ่านไดอารี่ตัวเองกัน”
“แต่เราไม่ใช่คนอื่นแล้วนะ”
“แปลว่าอะไร?”
“เราเป็นแฟนนายไง”
เอาอีกแล้ว ยิ่งนานเข้าไอ้ความชัดเจนของชัยมันยิ่งมากขึ้น แต่มันเร็วไปไหมเนี่ยแค่ผ่านไปสองชั่วโมงเอง! ฟังแล้วรู้สึกไม่ชินเลย ผมทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะตอบว่าอะไร ชัยก็ได้แต่ยิ้มส่งมาให้ทันทีที่เห็นผมแสดงอาการแบบนั้นออกไป

“ไป! อาบน้ำกัน”
“งั้นนายก็ไปอาบก่อนสิ ผ้าเช็ดตัวอยู่เดิม บริการตัวเองนะ”
“อ้าว!! ไม่ใช่ เราบอกว่า อาบ-น้ำ-กัน” ชัยเดินเข้ามาใกล้พร้อมเน้นคำพูดคัวเองทีละคำ
“เฮ้ย… ไม่เอา ไปอาบก่อนสิ”
“อะไรวะ? เราก็ทำกันออกบ่อย ไม่เห็นเป็นไร”
“ก็… เมื่อก่อนเราไม่ได้คิดอะไร”
“อ้อ! แสดงว่าตอนนี้นายคิดไม่ดีกับเราอยู่น่ะสิ”
“ไอ้บ้า!!”
แล้วชัยก็เดินมาลากมือผม จูงเข้าห้องน้ำไปโดยที่ผมแทบจะไม่ขัดขืนเลย

พอมาถึงหัองน้ำที่แบ่งโซนเปียกและแห้งอย่างเรียบง่าย ชัยถอดเหวี่ยงทุกอย่างออกจากตัวอย่างรวดเร็ว (น่าจะมีการแข่งขันประเภทนี้ชัยคงชนะเลิศ) คงเหลือร่างที่เปลือยเปล่าของเขาในเวลาไม่ถึงนาที

เขาเป็นคนหุ่นนักกีฬา มีกล้ามเนื้อเท่าที่จำเป็น รูปร่างลีนกำลังดีแทบไม่มีไขมันเลย กล้ามท้องเป็นลอนสวย ผิวแบ่งเป็นสองสีชัดเจนทั้งส่วนที่นอกร่มผ้าที่เข้มกว่าและในร่มผ้าที่ขาวกว่า จริงๆ เขาน่าจะเป็นคนที่ผิวขาวมาก แต่อาจเพราะเล่นกีฬาไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าไหร่ จุดตรงกลางอกเป็นสีน้ำตาลเด่นชัด และช่วงล่างที่ดูสมชายชาตรีจริงๆ (อันนี้ผมขอยอมแพ้) ผมเพิ่งเคยพินิจเขาจริงจังขนาดนี้ ทำให้ใจเต้นรัวไม่หยุด ไม่ใช่ไม่เคยแก้ผ้าอยู่กับเขาครั้งแรกเสียหน่อย

“แล้วเมื่อไหร่นายจะถอด จะอาบน้ำไหมเนี่ย? หรือจะให้ไปช่วยถอด?” ชัยทำท่าจะเดินมาทั้งที่เปลือยอยู่อย่างนั้น
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องๆ” ผมยกมือขึ้นปรามชัยไม่ให้เดินมาใกล้กว่านี้ แถมผมยังพยายามมองไปทางอื่น ทำให้เห็นหน้าตัวเองในกระจกที่แดงขึ้นมามาก
“งั้นเราเข้าไปอาบน้ำรอนะ” ชัยชี้ไปที่ห้องกระจกที่เป็นพื้นที่ถัดไปด้านใน

ผมจัดการถอดเสื้อผ้าตัวเองเรียบร้อยก่อนจะเดินตามเข้าไปในห้องกระจกที่ชัยยืนให้สายน้ำลามเลียทุกส่วนของร่างกาย คิดๆไปก็ตลกดีตอนที่เจอชัยแรกก็เปลือย เขาก็อยู่ใต้ฝักบัวแบบนี่แหละ แต่ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันมาก ตอนนั้นยอมรับว่าตื่นเต้นแบบยังไม่เข้าใจตัวเอง แต่ตอนนี้ผมตื่นเต้นเพราะเข้าใจตัวเองแล้วว่าทำไมผมถึงมีอาการแบบนั้น เพราะผมชอบเขามากนั่นเอง และก็กลัวตัวเองจะเผลอใจทำในสิ่งที่เหมือนกับคืนก่อนหน้านี้

ผมสลัดความคิดเรื่องนี้ออกไปพร้อมกับส่ายหน้าอย่างแรงหนึ่งครั้งก่อนจะเดินเข้าไปหยิบฝักบัวมาชำระร่างกายตัวเอง

“มาเสียที.. แค่ถอดเสื้อผ้ายังนาน!” ชัยที่ยืนให้น้ำชะใส่ร่างกายตัวเองหันมาหาผมจนผมตกใจถอยไปครึ่งก้าว
“ใครจะไปถอดเร็วได้โล่ห์อย่างนาย ดูสิเสื้ออยู่ทาง กางเกงอยู่ทาง” ผมใช้สายตาชี้ไปที่กองเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้นห้องน้ำโซนด้านหน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า… มา!! เราอาบน้ำให้” ชัยมาพร้อมกับสบู่เหลวในมือ
“เฮ้ย!!! ไม่ต้อง!! ต่างคนต่างอาบสิ” ผมปัดมือของชัยที่ยื่นมาจนเกือบถึงตัวผมจนน้ำสบู่กระจายไปที่หน้าของเขา
“โอ้ย!!!!” ชัยร้องเสียงหลง
“เฮ้ย!! เข้าตาหรือเปล่า? เราขอโทษ” ผมขยับเข้าไปดูใกล้ๆ
“มานี่เลย!!” ชัยจากสภาพที่ก้มหน้าร้องโอดโอยอยู่ กระโจนเข้ากอดผม
“อ้าว!! นี่แกล้งทำเหรอ?”
“ไม่ทำแบบนี้ นายจะยอมเข้ามาใกล้เหรอ?” ชัยใช้มือที่กอดผมอยู่ยกตัวผมลอยเหนือพื้น (ผมก็เป็นผู้ชายที่ตัวไม่เบานะ ทำไมเขายกผมง่ายจัง แข็งแรงสุดๆ)
“ปล่อยเรา!!”
“ยอมให้เราช่วยอาบน้ำก่อน”
“ไม่!!!”
“งั้นจะอุ้มไว้อย่างนี้แหละ”
“เราหนาวแล้ว อย่าเลย”
“ยอมก่อน!”
“เออๆ ยอมก็ได้” จะให้ผิวและท่อนเนื้อของเขาแนบกับผมนานกว่านี้มีหวังไอ้กวีน้อยลุกขึ้นเคารพธงชาติพอดี (ผมมีความรู้สึกกับของแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?)

พอชัยวางผมลงเขาก็จัดแจงละเลงสบู่เหลวลงบนทุกส่วนของผม

“ผิวดีจัง ทำไมถึงได้เนียนนุ่มยังงี้เนี่ย”
“รีบๆ ทำให้เสร็จเถอะ” ผมที่หันหลังให้เขาซึ่งกำลังใช้มือลูบไล้ร่างกายผมไปมา ความรู้สึกตอนนี้มันยากจะบรรยายจริงๆ รู้สึกถึงความอบอุ่นผ่านมือของเขาวนไปมาทำให้ร่างกายผมร้อนวูบวาบ สั่นไหวไปทั่วภายในท้อง

“จ้าๆ ที่รัก”
“…….” ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าผมหน้าแดงมากๆ แน่นอนเพราะหน้าผมร้อนผ่าวไปหมด ไม่คิดว่าเขาจะพูดถึงขนาดนี้ รู้สึกชอบนะแต่มันเร็วไปหน่อยไหม

ชัยเปิดน้ำเย็นที่ฝักบัวชะล้างฟองสบู่บนร่างกายผม เขาใช้มือไล่เอาน้ำที่เปื้อนฟองออกจากทุกอณูทุกส่วนจนกระทั่งถึงจุดยุทธศาสตร์ของผม ผมเดินออกห่างทันทีที่มือเข้าไล่มาถึง เพราะตอนนี้มันไม่ยอมทำตามใจผมเท่าไหร่ เอาแต่ใจตัวเองจนผมบังคับให้มันสงบไม่ได้
“เดี๋ยวเราถูสบู่ให้นะ” ผมเบี่ยงเบนความสนใจ ผมสังเกตหน้าของชัยที่แสดงความรู้เสียดายจนออกนอกหน้า

ผมบรรจงชโลมสบู่เหลวกลิ่นโปรดลงบนผิวของชัยจนทั่ว จำไม่ได้ว่าถูที้ไหนบ้างเพราะพยายามไม่มองและใช้มือทาถูไปทั่วแบบไม่ตั้งใจ รู้แต่ว่ามันแน่นไปหมด กล้ามที่เป็นลอนชัดของเขาก็ดูดีเสียจนผมเผลอมองไปหลายที (อิจฉาที่รูปร่างดีขนาดนี้ เราพยายามแทบตายกว่าจะได้ร่างปัจจุบัน ทำบุญมาด้วยอะไรเนี่ย)

จนกระทั่งไปตรงจุดกลางลำตัวที่เขาแทบจะไม่ปิดบังความรู้สึก ผมพยายามหลีกเลี่ยงจุดนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว (มันยังดูน่ากลัวสำหรับผม นี่มันอายุเท่าผมจริงๆ หรือวะ?)

“เสร็จแล้ว” ผมกำลังจะยืนขึ้นเพื่อไปหยิบฝักบัวมาชำระให้เขา
“เดี๋ยว!!” เขาจับมือของผมไปจับส่วนที่ยื่นออกมาจากกลางตัวเขา
“เฮ้ย!!!” ผมร้องเสียงหลง “ทำอะไรน่ะ” แต่มือของผมก็ยังจับสิ่งนั้นอยู่
ชัยดึงตัวผมเข้าไปใกล้และดันไปจนติดผนังฝั่งหนึ่ง เอาหน้าผากของเขามาชนหน้าผากผม เฮ้ย!! เดี๋ยวนะผมยังไม่พร้อม
“เดี๋ยว……” เสียงผมหายเข้าไปลำคอของอีกฝ่ายที่บรรจงทาบริมฝีปากของเขามาแนบกับริมฝีปากของผม

ผมรู้สึกหมดแรงไปกับการพยายามป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามาในปากผมจนไม่ได้ระวังร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงมา มือของชัยป่ายปัดลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของผม บีบบ้างคลึงบ้าง รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนวลที่เขามอบให้ในทุกจุด รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จนเผลอครางออกมาเบาๆ (เก่งจัง)

ผมไม่สามารถต้านทานการรุกเร้าได้อีกต่อไป ในที่สุดลิ้นของชัยก็เข้ามาสัมผัสกับภายในช่องปากของผมจนทั่ว ผมพยายามโต้ตอบใช้ลิ้นตัวเองผลักให้เขาออกไป แต่ก็ไม่ทำได้นาน

ชัยเลิกวุ่นวายกับปากของผม ใช้ลิ้นของเขาไล่เวียนวนลงต่ำเรื่อยๆ จนถึงช่วงกลางอก และใช้เวลากับตุ่มเนื้อนั่นนานจนผมเผลอผลักเขาออกมาด้วยความสุขที่เขามอบให้มากเกินไป (ไม่แปลกใจที่จะมีผู้หญิงมาติดเขาเยอะ)

เขาเข้ามาในเกมอีกครั้งและลดระดับตัวเองลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงท้องน้อย ผมรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นไปอีก ผมรู้ว่าอากาศที่เย็นจากแอร์ที่ไหลเข้าจากห้องนอนด้านนอก ไม่ช่วยให้ผมหายร้อนเลย ในขณะที่เขากำลังจะลงไปมากกว่านี้ ผมจับศรีษะเขาให้หยุดอยู่กับที่

“พอก่อนนะ” ผมอยากจะบอกว่าไม่ไหวแล้ว เกร็งไปหมด ไม่เคยต้องมาโดนรุกไล่ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต รู้สึกเหนื่อยหอบหายใจไม่ทัน
“อืม… ได้.. เราบอกแล้วว่าหากนายยังไม่พร้อมเราก็ไม่บังคับ”
ชัยเปลี่ยนท่าเป็นยืนขึ้นยิ้มให้ทั้งที่หอบหายใจเล็กน้อย ผมยิ้มตอบด้วยความขอบคุณที่เข้าใจ

เราอาบน้ำกันต่อในความเงียบจนเสร็จสิ้น ชัยเดินออกมาจากห้องน้ำก่อน โดยมีผมเดินตามห่างๆ (ผมขอดูแลผิวตัวเองก่อน) จนกระทั่งใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเขาก็ขึ้นไปนอนเอนหลังพิงกับหัวเตียง และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้นิ้วเขี่ยไปมาที่หน้าจอโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“เป็นอะไร โกรธเหรอ?” ผมที่ตอนนี้ใส่เสื้อผ้าครบชิ้นใช้ผ้าเช็ดตัวผืนน้อยเช็ดเส้นผมตัวเองให้แห้งอยู่
“เปล่า…”
“แล้วทำไมเงียบจัง ปกติจะชวนคุยตลอด”
“ก็แบบ….กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ สงบสติอารมณ์อยู่ ขืนอยู่ใกล้กับนายมาก เดี๋ยวจะเผลอทำอะไรไม่ดีอีก”
“…………”
“เฮ้ย.. แต่ไม่ต้องกลัวนะ เราโอเค นอนเหอะ”
ผมพยักหน้าและเดินไปปิดไฟเพื่อที่จะเข้านอน ตอนแรกคิดว่าจะทำการบ้านที่ค้างไว้ให้เสร็จ แต่จากกิจกรรมในห้องน้ำนั่น ทำให้ผมไม่มีสมาธิพอที่จะนั่งทำให้เสร็จ ตราบที่ชัยยังอยู่ในห้องเดียวกับผม

ผมเดินไปที่เตียง ห่มผ้าห่ม นอนในจุดเดิมกับที่ผมนอนทุกครั้ง ที่แปลกไปมีเพียง มีคนที่นอนอยู่ข้างๆ ที่ผมเองนี่แหละคิดมิดีมิร้ายกับเขาเสียเองจนนอนไม่หลับ อยากจะสัมผัสเขาอีกครั้ง แต่ผมก็กลัวเพราะความไม่เคยกับเรื่องแบบนี้กับผู้ชาย แม้จะพอรู้มาบ้างแต่ก็ไปต่อไม่ถูกไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ตรงไหนทำยังไง ยิ่งคิดยิ่งร้อนไปหมดทั้งร่างกาย ผมสลัดผ้าห่มออกจากตัวกึ่งหนึ่งจนถึงเอว

“อ้าว!! นอนไม่หลับเหรอ” เสียงของชัยเหมือนเปล่งอยู่ข้างหู
“อืม…เฮ้ย!!” ผมหันไปหาต้นเสียงก็เจอเขานอนตะแคงหันมาทางผมอย่างจงใจ
“ทำอะไร?”
“นอนไม่หลับ ยังหัวค่ำอยู่เลย เลยกะว่าจะนอนมองนายมองน่ะ เพลินดี”
“ไอ้บ้า” ผมตอบไปอย่างอายๆ แม้ตอนนี้หน้าเราอยู่ห่างกันแค่คืบจนกระทั้งผมรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกของชัย และรู้สึกถึงอุณหภูมิของเขาได้เลย แต่ผมก็ยังไม่ถอยออกห่างเพราะยอมรับว่ามันรู้สึกดีเหมือนกัน

“โทษนะ..” เสียงผมเบาจนแทบกระซิบ
“โทษเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องในห้องน้ำ…”
“ไม่เป็นไร…ก็อย่างที่บอกไปแล้วไง”
“เราไม่เคยกับ….แบบนี้น่ะ ไม่รู้ว่ามันะต้องทำยังไง” ผมเอานิ้วจิ้มไปที่อกของชัย รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่ถี่กระชั้น
“แล้วยังต้องการเราไหม?”
“……..” ผมพยักหน้า ผมก็ผู้ชายนะครับไอ้เรื่องความต้องการน่ะก็ไม่ได้ด้อยกว่ากัน
“งั้น เราจะสอนให้ รับรองนายจะไม่สามารถไปรุกใครได้อีกเลย นายจะป็นของเราคนเดียว เราขอนะ”

เฮ้ย!!! อะไรนะ

พอพูดจบประโยค ขัยก็บรรเลงเพลงจูบลงบนริมฝีปากผมอย่างดูดดื่ม เขาสวดกอดผมให้กระชับเข้ามาหาเขา ผมรู้สึกถึงอาการตื่นตัวกับทุกสัมผัสของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาใช้ริมฝีปากกับลิ้น ไล่เลียและขบอย่างร้อนแรง อวัยวะพวกนั้นทำงานประสานกันดี ลู่ไล่ไต่ลงมาจนถึงใต้เสื้อชุดนอนลายทางของผม เสื้อผมถูกถอดออกอย่างง่ายดาย (น่าจะมีการแข่งขันเรื่องนี้ ชัยชนะเลิศอีกแน่นอน)

เพียงไม่กี่นาทีเสื้อผ้าของผมก็ไปกองอยู่มุมเตียง ร่างกายของผมถูกสัมผัสจากมือของเขาทำให้สั่นเทิ้มไปหมด ศรีษะของเขาไต่ลงไปถึงช่วงกลางลำตัวของผม ผมรู้สึกอายกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น จนต้องเมินหน้าหนี แต่ผมแอบมองว่าเขาก็มองมาทางดูหน้าผมเหมือนกัน ถึงแสงในห้องจะน้อยแต่ผมก็รูสึกได้

“ไม่เป็นไรนะ แม้เราไม่เคยทำให้ใคร แต่เราเคยโดนทำมาเยอะ……”
เขาก้มลงไปจัดการกับสิ่งที่ถูกปลุกให้ตื่นตรงหน้า ผมสัมผัสกับความสุขที่เขามอบให้ เขาน่าจะไม่เคยทำให้ใครแต่เขาทำมันได้ดีมาก จนผมเผลอเคลิ้บเคลิ้มไปกับมันจนร้องเสียงไม่เป็นภาษาออกมา

เขาดูพอใจจนถอนศรีษะขึ้นมามองผม และพุ่งขึ้นมากดริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากของผม รสชาดมันเปลี่ยนไปจากจูบแรก
“พร้อมนะ”
“……….” ผมกำลังงกับสิ่งที่เขาพูด แล้วเขาก็เอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างจากด้านหลังเขา และกลับประกบปากผมอย่างร้อนแรง ก่อนที่ผมจะถามว่ามันคืออะไร ในระหว่างนั้น เบื้องล่างทางด้านหลังผมถูกเขาลูบไล้ตรงช่องทางที่เปิดง้างไว้โดยขาคู่ของเขา

“อะไรน่ะ” ผมใช้มือดันอกให้เขาทิ้งระยะการจู่โจมผมเสียหน่อย
“โลชั่นน่ะ”
“เฮ้ย ไปเอามาตอนไหน?……อ๊าาา” ผมสัมผัสถึงสิ่งแปลกปลอมที่สอดเข้ามาทางช่องทางด้านหลังอย่างนุ่มนวล
“อย่ากลัวนะ จะค่อยๆ ทำ และจะเบามือที่สุด เราขอนะ”
“……..” เออ น่ะ พูดอยู่ได้ ผมก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นผมแน่ๆ ที่ต้องเป็นฝ่ายรับเนี่ย แต่ไม่ต้องย้ำกันบ่อยๆ ก็ได้ มันอายอย่างไรไม่รู้
ตอนนี้เจ้าสิ่งนั้น ยังคงสอดเข้าออกอย่างช้าๆ จะว่าไปมันก็เพลินอยู่ ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด
“พร้อมนะ”
อะไรน่ะ!! แปลว่าอะไร ผมยังไม่ทันได้ถามชัยว่าสิ่งที่เขาพูดคืออะไร
สิ่งเก่าถูกถอนออกไป มีสิ่งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมมากพยายามสอดแทรกช่องทางของผมเข้ามาเรื่อยๆ
“โอ้ย!!!  เจ็บ เดี๋ยว!! เดี๋ยว..ก่อน…โอ้ย” ผมพยายามหยุดเขาโดยการใช้มือดันและตบแขนเขาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ผล มันรุกคืบเข้ามาเรื่อยจนได้ยินเสียงแสดงความพอใจจากชัยมาคำหนึ่ง
“อื้อ…..”
“เจ็บ” สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าการสัมผัสเอง นี่มันเกินกว่าที่คาดไว้มาก ความเจ็บปวดแล่นมาที่สะโพกขึ้นมาทั่งช่วงล่าง
ชัยโน้มตัวมากอดผมและประทับริมฝีปากผมเบาพร้อมขบไปมา
“อย่ากลัวนะ” เขาพูดเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าและออกอย่างช้าๆ ความเจ็บปวดที่พุ่งขึ้นสูงเมื่อครู่ค่อยบรรเทาลงช้าๆ แต่ได้รับความรู้สึกอื่นแทรกเข้ามาแทนช้าๆ ชัยเร่งจังหวะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเหงื่อเขาผุดขึ้นไปทั่ว ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดเขาก็ระเบิดเสียงออกมา พร้อมกับผ่อนแรงลงและนอนทับตัวผมไว้ทั้งที่สิ่งนั้นยังคงคาอยู่กับช่องของผม

“เจ็บไหม?” เขาถามทั้งที่ยังหายใจหอบถี่
“นิดหน่อย” ผมก็ไม่ต่างกันหอบเหนื่อยไม่เบา

“มาเราช่วย” แล้วชัยก็ก้มลงไปจัดการใช้ปากและมือกับน้องชายผมจนเสร็จตามไปเขาไป  น้ำของผมเลอะเทอะเต็มมือเขาไปหมด

“ไปอาบน้ำใหม่เถอะ” ผมรู้สึกเขินที่ทำให้เขาเลอะเทอะไปหมด รู้สึกสงสารชัยที่ต้องอยู่กับกลิ่นแบบนั้น เขาโน้วตัวมาหอมแก้มผมด้วยหน้าที่เปรอะบางส่วนของผม
“ไอ้บ้า… ไปอาบน้ำ!!” ผมผลักเขาให้พ้นทางแล้วรีบเดินออกจากเตียง
“อาบอีกเหรอ?”  ชัยกลิ้งพลิกตัวมานั่งห้อยขาที่เตียง
“อาบอีกสิ เหม็นจะตาย” ผมรีบไปหยิบผ้าเช็ดตัว แต่ร่างกายท่อนล่างรู้สึกขัดๆ เจ็บแปล๊บขึ้นมา
“ไม่เป็นไร เช็ดนิดหน่อยก็ได้ เราโอเค”
“แต่เราไม่โอเค!!” ผมขึ้นเสียงและมองไปทางชัยตาขวาง
“ได้ครับ… เมียที่รัก… เดี๋ยวไปจัดให้อีกครั้งในห้องน้ำตามที่ร้องขอ”
“แค่อาบน้ำโว้ย!!” ผมเสียงเข้ม หน้าร้อนผ่าว ไอ้บ้า!!  แค่นี้ก็เจ็บจะแย่แล้ว ยังจะขอต่ออีก

 ผมเดินเข้าไปให้ห้องกระจกส่วนฝักบัว เปิดน้ำล้างคราบเหงื่อออกจากร่างกาย รู้สึกแสบร้อนที่บั้นท้ายจี๊ดๆ

“เฮ้ย! เลือด” เสียงของชัยดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมซึ่งกำลังหลับตาให้สายน้ำกระทบหน้าอยู่ต้องรีบลืมตาขึ้นมามองโดยรอบตามเสียงของชัย  ผมเห็นหยดเลือดที่หยอดประทับลงมาจากบั้นท้ายของผมลงมาทีละหยดอย่างช้าๆ

 “เฮ้ย!!!” คนที่ตกใจควรจะเป็นผมใช่ไหม  นึกว่าทำไมถึงรู้สึกเจ็บหน่วงตรงบั้นท้าย พอเห็นเลือดยิ่งให้ผมรู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีกคงเพราะใจไปจดจ่อกับตรงนั้น ขาของผมเริ่มอ่อนแรง

“กวี!! ไม่เป็นไรนะ” ชัยเข้ามาช่วยประคองแขนผมไม่ให้เอนวูบลงไปกองกับพื้น

“ร้ายกาจ” เป็นคำพูดที่ผมนึกได้ตอนนี้
“เราขอโทษ เราไม่ควรทำตอนที่ยังไม่พร้อม!!”
“เราจะเป็นไรไหมเนี่ย ถุงยางก็ไม่ใส่!!”
“เราไม่ได้เป็นโรคอะไรนะ จะไปเป็นได้ไง”
“โอ้ย….!!!” ผมรู้สึกเจ็บมากขึ้นที่ขยับตัว
“โอเค คราวหน้าผมจะเตรียมพร้อมกว่านี้นะ”
“……..” ผมมองหน้าชัยอย่างเคืองๆ เขายังจะคิดถึงครั้งต่อไปอีกเหรอ ผมไม่เอาด้วยแล้ว (อันนี้ แอบคิดไม่แน่ใจมาแว่บหนึ่ง)

ชัยยิ้มให้ผม หลังจากนั้นชัยก็ช่วยผมอาบน้ำ เช็ดตัว อุ้มผมไปที่เตียงใส่เสื้อผ้าให้ เขาดูแลผมดีจนผมคิดอยากจะเปลี่ยนใจตอนนี้เลย แต่ร่างกายมันไม่เอื้อเลยขอเก็บเอาไปคิดอีกทีก่อน วันนั้นชัยกอดผมไว้ทั้งคืนทำให้ผมสัมผัสความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ต่อไปนี้ผมคงไม่ต้องกลับมาอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้วใช่ไหม….

……………………………………………………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
เอิร์ธ # 9


วันนี้วันหยุด!!!!

ตั้งแต่มาทำงานเป็นหมอเต็มตัว พอถึงวันหยุดจะเป็นวันที่ผมมีความสุขมากกว่าปกติ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทำงานนะครับ การรักษาคนไข้เป็นงานที่ผมภูมิใจที่จะทำและจะทำมันไปจนตาย แต่….. บางทีมันก็ต้องหยุดเพื่อพักผ่อนกันบ้าง หากทำงานจนหมอไม่สบายใครจะรักษาคนไข้ล่ะครับจริงไหม?

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ มันควรจะเป็นวันที่ผมจะต้องนอนกลิ้งเกลือกอยู่กับบ้านและใช้เวลากับเพื่อนที่ผมรักที่สุดอย่างเตียงนอนที่ผมลงทุนซื้อเตียงเพื่อสุขภาพมาในราคาที่ผมคิดว่ามันน่าจะแพงไปสำหรับเตียงหกฟุตนี้ ผมซื้อเพื่อจะได้มีความสุขกับการนอนที่หาเวลาได้ยากสำหรับอาชีพอย่างผมในตอนนี้

แต่…… ผมดันไปรับปากไอ้หมาน้อยอย่าง หลง ที่อยากจะให้อยู่เป็นเพื่อนในวันที่เขาโดนกักบริเวณก่อนสอบ และเพื่อทบทวนความรู้ให้เขาก่อนสอบในวันถัดไปด้วย

บวกกับวันนี้น้ารุ่งต้องออกไปที่โรงเรียนเพื่อไปแก้ข้อสอบที่ทำผิดพลาดไว้ เลยโดนขอร้องให้ไปเฝ้าหลงให้หน่อย คงกลัวหนีเที่ยว (เป็นคนประวัติดีจริงๆ) ผมก็เลยปฏิเสธที่จะไม่ไปไม่ได้

ผมบิดตัวไล่ความเกียจคร้าน ก่อนจะลุกไปอาบน้ำอย่างไม่เร่งรีบ ผมมองแสงอาทิตย์สีเข้มที่สาดส่องผ่านทางช่องหน้าต่างที่มีม่านแง้มปิดเกือบสนิท ทำให้ผมต้องเริ่มเตรียมตัวออกเดินทางแล้ว

………………………

ผมขับรถมาจอดหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้นที่มีพื้นที่สวนหน้าบ้านกว้างกว่าขนาดบ้านพอควร น้ารุ่งเป็นคนชอบทำสวน ต้นไม้เลยรกครึ้มไปหมด ช่วงนี้ผมมาบ้านน้ารุ่งบ่อยมาก แต่ก็บอกไม่เต็มปากว่ามาเยี่ยมน้ารุ่ง เพราะจริงๆแล้ว ผมมาหาลูกชายน้ารุ่งมากกว่า อาศัยที่น้ารุ่งไหว้วานให้มาช่วยดูแลลูกชายด้วย เลยสะดวกใจที่จะมามากขึ้น (ความจริงผมก็อาสาเองด้วยส่วนหนึ่ง)

ผมเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ก็เห็นน้ารุ่งเดินอย่างเร่งรีบออกจากประตูบ้าน

“ขอบใจมากเลยลูก เอิร์ธเดี๋ยวน้ามานะ ขอโทษนะที่ต้องขอร้องลูกให้ช่วย เพราะพ่อหลงเขาไม่อยู่บ้านเลยต้องขอร้องลูก”

“ลุงธีร์ ไม่อยู่อีกแล้วเหรอครับ?”
“ใช่จ๊ะ ลุงไปดูเครื่องจักรใหม่ที่ต่างประเทศนะจ๊ะ อีกหลายวันกว่าจะกลับ”
“ครับ เหนื่อยแย่เลย” ลุงธีร์เป็นพ่อที่เข้มงวดของหลง เป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่ขยันที่สุดเท่าที่ผมรู้จักคนหนึ่ง ตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยเจอลุงเลย สมัยผมเรียนยังเคยเห็นบ้าง คงเพราะตอนนี้โรงงานขยายตัวเลยวุ่นๆ

“น้าไปก่อนนะ”
“แม่ เจอกันตอนเย็นครับ” ไอ้ตัวดี เดินมาออกจากประตูยิ้มแฉ่ง
“แม่ฝากน้องด้วยนะ ดูน้องอ่านหนังสือให้แม่หน่อยนะ…… หลง… เข้าใจที่แม่สั่งนะ!! พ่อแกจะมาดูผลสอบกลางภาคระวังตัวแกไว้!!”
 น้ารุ่งยิ้มให้ผมแต่หันไปดุใส่หลง ผมเข้าใจใจทันทีหลังจากจบประโยคน้ารุ่ง แกคงห่วงลูกเพราะรู้ว่าพ่อของหลงเข้มงวดแค่ไหน คงไม่ให้หลงโดนลุงธีร์ทำโทษ เลยต้องรีบเข้มงวดกับหลงเสียก่อน ผมมองกลับไปทางไอ้ตัวดี….. ที่ยังยิ้มแบบทองไม่รู้ร้อนมาทางผม

“เอ้า!! ไหนล่ะหนังสือ วันนี้อ่านวิชาอะไร?” ผมเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับไอ้ตัวดี ที่เดินยิ้มไม่หุบ
“สังคม.. มั้งครับ” หลงตอบเสียงกวนๆ
“เฮ้ย!! จะสอบอยู่วันพรุ่งนี้แล้ว ควรจะต้องรู้ไหมว่าสอบวิชาอะไร และควรจะอ่านอะไรก่อน!”
“โหย พี่เอิร์ธ.. มาถึงก็บ่นเลย อ่านมาหมดแล้ว ไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้นไหม”
“อ่านจบแล้วก็ควรจะทบทวนเนื้อหาด้วย พรุ่งนี้จะได้พร้อมที่สุด”
“ครับๆ” หลงตอบแบบขอไปที เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะรับแขก และหยิบหนังสือที่กองเตรียมไว้ขึ้นมาอ่านคู่กับสมุดโน้ตที่พวกชัยกับกวีช่วยกันให้หลงจดเนื้อหาสำคัญไว้

ผมเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อที่จะดื่มน้ำสักหน่อย ก็เลยไปเจอกระดาษโน้ตของน้ารุ่งที่บอกว่าได้เตรียมน้ำผลไม้กับของว่างไว้ให้แล้ว และมีรายการเป็นข้อๆ อยู่ทางด้านล่างยาวเหยียด เป็นคุณแม่ที่เตรียมพร้อมที่สุด เท่าที่กรอกตาอ่านคร่าวๆ น่าจะกินได้สักสองวันถึงจะหมด (ผมก็ไม่ใช่คนกินเก่งขนาดนั้นมั้ง?) เป็นคุณแม่ที่น่ารักดี เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยสัมผัส…. ผมสลัดหัวเพื่อไม่ให้คิดอะไรไปมากกว่านี้

“พี่เอิร์ธ…. มานั่งเป็นเพื่อนตรงนี้หน่อยครับ ผมไม่เคยนั่งอ่านหนังสือคนเดียวสำเร็จเลย” ไอ้ตัวดีตะโกนมาทางห้องรับแขก
“อะไรจะขนาดนั้น” ผมเดินถือเหยือกน้ำผลไม้และแก้วออกจากห้องทานอาหาร
“จริงครับ ยิ่งช่วงนี้ ไอ้สองคนนั้นก็ลับๆล่อๆ หายไปด้วยกันบ่อยๆ วันนี้ก็เบี้ยว พี่ก็เลยต้องมาอยู่ด้วยไง แต่ถือว่าเป็นความดีของพวกมัน!”
หลงคงพูดถึงชัยกับกวี …..อืม…. ผมแอบคิดว่าสองคนนี้น่าจะมีอะไรเกินเพื่อน เซ้นส์มันบอก

ผมเดินมานั่งที่โซฟาข้างหลงที่นั่งอยู่ที่พื้น เด็กผู้ชายนักกีฬากำลังนั่งอ่านทบทวนวิชาความรู้ที่ถูกติวมาทั้งสัปดาห์ หลงนั่งคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ หลงพอเห็นผมนั่งอยู่ข้างๆ เขาก็เอียงคอมาพิงที่เข่าผม ตาก็ยังคงมองไปที่เนื้อหาหนังสือข้างๆ
“โหย…. ไม่ไหวๆ” หลงหันแก้มมาถูขาเปลือยของผมที่พ้นกางเกงขาสั้นพลางบ่นเสียงดัง
“ตั้งใจหน่อย” ผมดุเขาไปหน่อยหนึ่ง
“ผมก็พยายามอยู่ ยิ่งรู้ว่าพ่อจะมาดูผลสอบ ผมนี่ยิ่งต้องตั้งใจเลย แต่มันไม่มีกำลังใจเลย รู้แต่ว่าจะโดนทำโทษอย่างเดียวอย่างนี้”
เขาลุกขึ้นมายึดตัวบิดซ้ายขวา เสียงกระดูกและกล้ามเนื้อดังลั่นกรอบแกรบ สีหน้าแสดงความน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด

“เอางี้ หากหลงทำคะแนนดีขึ้นทุกวิชาเดี๋ยวพี่ให้รางวัลเอง”
ผมเงยหน้ามองเด็กผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่หน้าผมที่ตอนนี้มีสีกน้าที่ดีขึ้นมาอย่างประหลาด…. เอ๊ะ!! นี่มันสีหน้าเจ้าเล่ห์ นี่ผมพูดอะไรผิดไป
“ได้….. พี่พูดแล้วนะ” ไอ้ตัวดีขยับตัวมาใกล้ขึ้น ผมเริ่มรู้สึกเสียใจที่พูดคำนั้นเสียแล้ว
“”เออ… อืม…. เดี๋ยวพาไปกินอะไรอร่อยๆ ไง ไปกันแต่สองคนดีไหม?” ผมเอนหลังไปติดพนักโซฟา
“มันมีอะไรมั่งนะ? ที่ทำกันได้แค่สองคนน่ะ!” ผมหน้าแดงทันทีที่ไอ้เด็กนั้นจ้องผมแบบหื่นกระหาย

“เฮ้ยๆ…!!!!” ผมต้องรีบทำเสียงเข้มดักไว้ก่อน

“ล้อเล่นนะครับ เรื่องรางวัลแล้วแต่พี่เลยครับ”
ผมแอบถอนหายใจ โล่งอกไปที สีหน้าหลงเมื่อกี้ทำผมใจสั่นไปหมด

“แต่ผมขอมัดจำก่อนได้ ไหม?”

พูดจบหลงก็จู่โจมผมโดยใชริมฝีปากประทับที่แก้มผมโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วเขาก็ผลุบลงไปนั่งอ่านหนังสือที่เดิมพร้อมหัวเราะลั่น ผมสิต้องนั่งอยู่กับอาการร้อนรุมไปทั้งหน้าและร่างกาย….

บ่ายแก่ๆ หลังจากกินมื้อกลางวันที่หลงได้อุ่นกับข้าวฝีมือน้ารุ่งให้กิน ผมรู้สึกปลื้มกับฝึมือทำอาการของน้ารุ่งจริงๆ ไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่านี้เลย วันนี้หลงดูจะไม่กวนผมเท่าไหร่ น้อยครั้งที่จะหันมาถาม อาจเพราะวิชานี้เป็นวิชาที่ผมไม่ถนัด เขาเลยพยายามไม่ถาม ผมเลยเริ่มที่จะว่าง การนั่งเฉยๆ นานๆ มันไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่ ผมอุตส่าห์เอาเอกสารการแพทย์เกี่ยวกับโรคไข้หวัดสายพันธ์ุใหม่มาอ่านเพื่อเตรียมไปสัมมนาสัปดาห์หน้า ก็ไม่มีสมาธิจะอ่านเลย เวลาอยู่กับหลงผมจะรู้สึกผ่อนคลายจนลืมหน้าที่หมอไปบ้าง คล้ายๆ ไม่มีสมาธิกับเนื้อหา แต่อยากจะมองคนที่อยู่ตรงหน้านานๆ มากกว่า (เพลินดี)

พูดถึงการสัมมนาที่จะมีในสัปดาห์หน้า ผมยังไม่ได้บอกหลงเลย ผมอยากให้เขามีสมาธิกับการสอบก่อน ไม่อยากจะให้เขากังวลเรื่องที่ผมจะไม่อยู่หลายวัน สัมมนาครั้งนี้ก็ดันจัดที่พัทยา ตั้งสามวันจะพูดเรื่องอะไรนักหนา แล้วที่สำคัญมันจัดตรงกับวันเกิดผมด้วยซึ่งผมคาดว่าหลงคงจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ผมประหลาดใจแน่นอน ผมกลัวที่จะเผชิญสีหน้าที่ผิดหวังของเขา

ในขณะที่ในมือถือเอกสารวิชาการนั่นพลิกไปมา ผมรู้สึกสติมันเริ่มพล่ามัว ดวงตาหนักอึ้งคล้ายๆ จะควบคุมไม่ได้ แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท……..

“อือ…..”

ผมได้ยินเสียงตัวเองคราง ชัดเจน ทุกอย่างมืดสนิท ร่างกายหนักอึ้ง ผมพยายามเรียกสติตัวเองกลับมาจากความมืด….. สงสัยคงฝันเพราะผมยังรู้ถึงเสียงหัวใจและรู้สึกว่ายังหายใจอยู่ แต่รู้สึกเหมือนมีน้ำหนักมากดทับจนผมไม่สามารถขยับตัวได้…

เฮ้ย!!!!

หรือผมโดนผีอำ… ผมพยายามระลึกถึงความทรงจำล่าสุด ผม…. ผมอยู่บ้าน น้ารุ่งแล้วก็เผลอหลับไป บ้านหลังนี้ชักจะน่ากลัวไปแล้ว!! ผมพยายามรวบรวบแรงที่มีทั้งหมดพลิกร่างกายให้น้ำหนักมันหายไป ให้สามารถขยับตัวได้อีกครั้ง

พลั่ก!!

โอ้ย!!!!!

เฮ้ย!! ผีมันร้องได้ด้วยเหรอวะ แต่เสียงมันคุ้นหูมาก… ผมพยายามลืมตามองหาที่มาของเสียงในที่มืดสลัว…

พรึ่บ!!!

ม่านบังแดดเปิดออกให้แสงอ่อนๆ ยามเย็นสาดเข้ามากระทบตาจนผมต้องยกมือขึ้นบัง

“แค่นอนกอดแค่นี้ถึงกับผลักกันตกเตียงเลยเหรอครับ”
นี่มันเสียงไอ้ตัวแสบ! ผมพยายามมองไปรอบๆ ให้สายตาปรับกับแสงที่เปลี่ยนไปกระทันหันจนเห็นไอ้สูงยาวในกางเกงขาสั้นยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง
“นึกกว่าโดนผีอำน่ะสิ เล่นอะไรไม่รู้…..เรื่อง!!” เสียงผมค่อยๆแผ่วเมื่อเห็นสภาพโดยรอบชัดขึ้น….
“ทำไมพี่มาอยู่ในห้องหลงได้ยังไง!!”
“ก็พี่หลับ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ข้างล่างมันนอนไม่สบายผมเลยอุ้มพี่ขึ้นมานอนบนเตียงดีๆ” หลงอธิบายพร้อมทำท่าอุ้มประกอบเป็นท่าประคองสองมือแบบอุ้มเจ้าสาว ผมรู้สึกว่าอุณหภูมิบนหน้าสูงขึ้นคล้ายจะไม่สบาย ตัวผมก็ไม่ใช่เบา เขาทำท่าสบายๆ เหมือนอุ้มเด็ก

และก็ถึงเวลาคำถามสำคัญ

“แล้วหลงมานอนกับพี่ได้ยังไง” ผมจ้องไอ้ตัวดีตาเขียว ส่วนไอ้เด็กนั้นยิ้มแป้นเดินมานั่งที่ข้างเตียงอีกฝั่ง
“ผมเหนื่อยกับการอ่านหนังสือ ไหนจะแบกตัวหนักๆ ของพี่มาอีกก็เลยว่าจะขอแอบพักสักหน่อย มันก็เลยหลับยาวเลย ได้นอนกอดพี่นี่โคตรดีเลย”
“ไอ้ๆ เด็กเวร!!!” ผมปาหมอนที่ใกล้มือที่สุดฟาดไป ไอ้ตัวดีดันกระโดดหลบทัน
“กอดพี่แล้ว.. อุ้น…อุ่น เกือบอดใจไว้ไม่อยู่ เกือบลักหลับซะแล้ว”
ผมคว้าหมอนอีกชิ้นโยนไป รู้สึกแขนยังล้าๆ อยู่สงสัยคงโดนนอนทับจนเหน็บชา นึกว่าถึงมีอาการเหมือนผีอำ (ก็ไม่เคยโดนหรอกนะ ฟังเขามาอีกที)

ผมบิดขี้เกียจพลางมองเสื้อผ้าตัวเองว่าอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ (คงไม่ได้โดนลักหลับนะ)

“พี่เอิร์ธครับ” เสียงไอ้ตัวดีอยู่ในระยะประชิดจนผมต้องเผลอหันไปมอง จนเกือบชนหน้าของหลง
“เฮ้ย!!!” ผมสะดุ้งตัวลอย ผมยังกลัวกับสายตาที่หื่นกระหายของหลงก่อนหน้านี้
“ขอคุยเรื่องรางวัลหน่อยสิ” ไอ้ตัวดียิ้มจนตาสีน้ำตาลเข้มนั้นหายเข้าไปในหนังตาทรงรี
“รางวัลอะไร?” เหมือนสมองผมยังไม่ทำงาน ไหนจะมาเจอสถานการณ์แบบนี้ ผมอยู่บนเตียงในสภาพที่ใกล้ชิดกับหลง (อีกแล้ว)
“อ้าว… ก็ถ้าผมสอบได้ดีขึ้นทุกวิชาไง หมายถึง ‘ผ่าน’ ทุกวิชาไง”
“เอาแค่..ผ่าน!!”
“โหย…… ผ่านทุกวิชาเนี่ยก็บุญแล้วครับ”
“อะไรดีน๊า??”  ผมยิ้มตอบกลับไปโดยมีหลงจ้องหน้าผมอย่างจดจ่อ
“งั้นพาไปเที่ยวทะเลก็แล้วกัน”
“สุดยอด!!…ไปค้างด้วยใช่ไหม?”
“ได้ๆ แต่ขอหาวันก่อนนะ”
“พี่เอิร์ธใจดีที่สุด!!”
หลงกระโดดเข้ามากอดจนผมล้มลงไปบนเตียงพร้อมกับหลง ผมโดนหลงโอบอยู่โดยที่เขาอยู่ด้านบนตัวผม เราใกล้กันจนผมได้ยินเสียงหัวใจหัวใจของเขาเต้นระรัวเหมือนกลองศึก ทำให้ผมตื่นเต้นไปด้วย ผมรู้สึกถึงความร้อนจากภายในร่างกายของผมส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าตอนนี้ผิวผมคงเป็นสีแดงทั้งตัวจากความร้อนโดยเฉพาะที่หน้า

ดวงตาของเราทั้งสองประสานกัน นัยตาสีน้ำตาลคมเข้มจ้องมองลงมาที่ผม เหมือนมีรังสีแผ่ออกมาทำให้ผมอุณหภูมิสูงขึ้นไปอีก วงแขนที่โอบรัดผมอยู่ตอนนี้ค่อยๆ คลายออกทำให้แผ่นหลังของผมผ่อนคลายและแนบติดกับที่นอนมากขึ้น

ผมอยากจะลุกออกจากจุดนั้น และละสายตาจากดวงตากลมเรียวได้รูปนั้นไม่ได้เสียที  หลงขยับตัวให้ลำตัวเขาทาบอยู่บนตัวผมแบบพอดี ผมไม่รู้สึกอึดอัดเพราะเขาน่าจะท้าวแขนไว้ มือข้างหนึ่งของเขามาเขี่ยผมด้านหน้าที่ยาวมาปรกหน้าผากออก เขาใช้มือนั่นลูบผมด้านหน้าไปมาจนรู้สึกเข้าทรง

รอยยิ้มเล็กๆปรากฎที่ปากสีอมขมพูนั่นตลอดเวลา  ตอนนี้หัวใจผมน่าจะเต้นแรงจนจะหลุดออกมาแล้วหากหลงเอาตัวเองไม่ทับไว้ ผมว่าเขาคงรู้สึกความสั่นไหวที่รุนแรงนั่นได้ แต่กลับไม่ยอมปล่อยผมเสียที

ผมตกอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้กับเขาหลายครั้ง ผมพยายามหักห้ามใจมิให้เกินเลยกว่านี้จนกว่าจะถึงเวลาอันควร แต่ความอดทนของผมมันก็มีจำกัด ในเมื่อเด็กมันพยายามที่จะชักนำตลอดแบบนี้

“พี่เอิร์ธครับ….. พี่เอิร์ธรู้ไหมว่า… พี่เอิร์ธน่ารักมากเลย ทำไมถึงเกิดมาน่ารักขนาดนี้”
“…………” ผมพูดอะไรไม่ออกเหมือนตกอยู่ในการสะกดจิตของคนตรงหน้า ยิ่งการที่เขาใช้มือลูบศรีษะผมเบาๆ แบบนี้ยิ่งทำให้ใจมันเตลิดไปไกลกว่าเดิม ผมจะทนไม่ไหวแล้ว!! ช่วยเอาหน้าหล่อๆ มันไปไกลๆ ผมหน่อย

“พี่เอิร์ธ…. ผม….”

แล้วเขาก็ก้มลงมา กดริมฝีปากตัวเองลงมาที่ริมฝีปากของผม ไออุ่นจากเขาส่งผ่านมาอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันตั้งตัว ผมพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการจู่โจมที่แสนหวานนี้

แต่ผมก็ต้องหมดแรงเมื่อเจอลิ้นของอีกฝ่ายฝ่าบุกเข้ามาโลมลันในช่องปากของผมจนต้องเผลอคล้อยตามไป และแล้วเส้นความอดทนที่ผมแบ่งกั้นไว้ก็พังทลายเหมือนเขื่อนแตก

ผมตอบสนองเขาทันทีที่เขาบุกเข้ามา ผมใช้มือที่กำลังจะผลักเขาเปลี่ยนเป็นโอบกอด และลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังที่มีมัดดล้ามแน่นตึง มือของเขาเองก็เล่นซนโดยสอดเข้ามาใต้เสื้อของผม ใช้นิ้วไล่เรียงไปตามผิวหนังช่วงอกของผมอย่างบรรรจงจนผมต้องแอบครางในลำคอสั้นๆ  เขาละออกจากริมฝีปากของผมไล่เลียมาที่คอ (ผมไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ เด็กคนนี้มันไม่เคยจริงๆ เหรอ ทำไมมันเก่งนักวะ)

“หลง…… เอิร์ธ…… อยู่ในห้องหรือเปล่าลูก? อ่านหนังสือถึงไหนแล้ว”

เสียงน้ารุ่งดังขึ้นที่หน้าประตู พร้อมกับเสียงเคาะประตูดังลั่น ผมกับหลงต่างคนต่างดีดตัวออกจากกัน จนผมเห็นหลงลอยอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ผมพยายามจัดเสื้อผ้าทรงผมให้เรียบร้อยก่อนที่ประตูห้องจะเปิดเต็มบาน

“อ้าว!! ทำอะไรกันลูก?”
สภาพการจัดฉาก ตอนนี้ของผมและหลง มานึกย้อนหลังคงจะขำกันอย่างหนักเพราะผมทำท่านอนบนเตียง ส่วนไอ้ตัวดีนั่นลุกขึ้นจัดหนังสือที่ชั้นมุมห้อง

“ผมเผลอหลับไปน่ะครับ” ผมตอบด้วยเสียงที่งัวเงียอย่างตั้งใจ
“ผมมาหาหนังสืออ่านครับแม่” หลงหันมาแค่หน้าแต่ส่วนลำตัวไม่หันกลับมาด้วยเป็นท่าที่ดูขบขันจนผมแอบยิ้มกับภาพที่เห็น ผมรู้ได้ตามประสาผู้ชายครับเพราะผมก็ใช้ผ้าห่มปิดจุดยุทธศาสตร์ที่ชักธงพร้อมรบอยู่เช่นกัน หลงก็น่าจะไม่ต่างกัน

“อ้าว! แล้วเอิร์ธมานอนในห้องหลงได้ไงล่ะลูก?”
“เห็นพี่เอิร์ธบ่นง่วงผมเลย มาเปิดห้องเปิดแอร์ให้นอนสบายๆน่ะครับ”  หลงตอบแทนผมด้วยคำพูดที่ลื่นไหล แต่ก็ยังไม่หันมาคุยดีๆเหมือนเดิม
“อ่า… ครับใช่ครับ พอดีเมื่อคืนอยู่เวรจนดึกน้ะครับ บ่ายๆ ก็เลยเพลีย”
“แล้วหลง นี่ขึ้นมากวนพี่เขาหรือเปล่าเนี่ย?”
ใช่เลยครับน้ารุ่ง กวนผมมาก กวนจนผมลุกขึ้นยืนไม่ได้อยู่นี่
“เอ้า!! เด็กๆ ลงมากินข้าวได้แล้ว! น้าซื้อของโปรดของเอิร์ธมาด้วยนะ”
น้ารุ่งยังเรียกผมเป็นเด็กอยู่ แม้จะโตขนาดนี้แล้ว และก็ยังใจดีกับผมเสมอ
“อ้าว!! แล้วของโปรดผมล่ะมีไหม?” หลงหันมาพร้อมด้วยคิ้วที่ขมวดติดกัน
“แกยังไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร! รีบลงมากินข้าวและมาอ่านหนังสือต่อ เราต้องตอบแทนพี่เอิร์ธถึงจะถูก เขาอุตส่าห์เสียสละมาช่วยเราติวหนังสือ” แล้วน้ารุ่งก็เดินหันหลังจากไปหลังจากส่งเสียงดุหลงอย่างเคย ผมว่าเป็นภาพที่น่ารักดี ทำให้ผมยิ้มตามทุกครั้งที่เห็น

“ผมตอบแทนพี่เอิร์ธแน่ๆ ครับแม่ไม่ต้องห่วง” หลงตะโกนตอบน้ารุ่งไปตามหลัง แต่สีหน้าและดวงตาที่ผมแค่เหลือบมองก็เสียวสันหลังวาบ รู้สึกตัวเองเหมือนกระต่ายจะถูกหมาป่าจ้องเขมือบ
“ลงไปก่อนเลย” ผมบอกหลงให้ล่วงหน้าไปก่อน ขอผมสงบสติอารณ์ต่ออีกสักนิด พลางโบกมือไล่

แทนที่ไอ้ตัวดีมันจะเดินลงไป (รู้สึกความตุงของเป้ามันจะแน่นไปหน่อย สงสัยเจ้าลูกชายของหลงมันยังไม่หลับเต็มที่) หลงกลับเดินเข้ามาหาผมและกระซิบที่ข้างหู

“ดีนะที่แม่มาก่อน ผมเกือบได้มัดจำรางวัลของผมมาเสียแล้ว!”
“ไอ้เด็กบ้า!!” ผมยกมือขึ้นเพื่อจะชกไหล่ไอ้ตัวดีเสียหน่อย แต่หลงดันหลบได้ทัน หมัดของผมสัมผัสได้แต่อากาศอุ่นๆตรงหน้า รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบ ไม่ใช่เพราะอารมณ์โกรธแต่น่าจะเป็นอย่างอื่น (ใจจริงก็รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน)

…………………………………………

มื้อค่ำวันนี้ประกอบด้วยอาหารที่ผมชอบจริงๆ ทั้งแกงเขียวหวานไก่ ไก่ย่างร้านดัง ไขเจียวทรงเครื่อง และมัสมั่นสูตรเด่นเจ้าดังหน้าตลาด น้ารุ่งรู้ใจผมที่สุด (ขอยกเป็นแม่ทูนหัว ผมเคยเอ่ยปากกับหลงแบบนี้ แต่หลงก็ตอบกลับมาว่า ‘ไม่เอา เรียก แม่ผัวสิ’ ผมกระโดดเตะมันแต่หลงหลบได้ตลอด)

หลังจากทานมื้อค่ำกันเรียบร้อย หลงก็โดนไล่ขี้นไปอ่านหนังสือต่อ ส่วนผมก็ขอตัวกลับ เดินไปร่ำลาน้ารุ่งอย่างเคย

“เอิร์ธ…. น้าขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ!!”
น้ารุ่งมาในโหมดซีเรียส ผิดไปจากตอนกินมื้อค่ำด้วยกัน
“เอ่อ… ครับ” ผมเดินตามน้ารุ่งไปที่ห้องรับแขกและนั่งใกล้กับน้ารุ่งที่ตอนนี้รอยยิ้มได้เหือดหายไปจากใบหน้าของน้ารุ่งอย่างสิ้นเชิง
“น้าขอพูดตรงๆ นะ น้าเคยดูแลเอิร์ธมา น้ารู้ว่าเอิร์ธน่ะชอบอะไรแบบไหน….” แล้วน้ารุ่งก็มองหน้าผมเหมือนลังเลที่จะพูดออกมา
“ครับ ??” ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกแต่ก็พอรู้ว่าน้ารุ่งหมายถึงอะไร
“เอิร์ธ…. น้ามีลูกชายอยู่คนเดียวนะ ..คือ..เรื่องก่อนกินข้าวน่ะ ………น้าเห็นนะ”
“เอ่อ…. คือ…… ผม…… ไม่ได้ตั้งใจ คือ….” ผมรู้สึกถึงความปวดร้าวที่แทรกมากับคำพูดของน้ารุ่ง น้ารุ่งมีดวงตาที่แดงก่ำ ปากขบกัดฟันแน่น
“…….”
“น้ารุ่งครับ” ผมเรียกน้ารุ่งด้วยน้ำเสียงที่ยากจะออกจากลำคอของผม รู้สึกลำคอของผมมันตีบตันจนกล่องเสียงไม่ทำงาน ยิ่งได้เห็นภาพน้ารุ่งที่ยกมือบางๆของเธอขึ้นมาปิดหน้าเรียวเล็กจนมิดพร้อมตัวสั่นเทาไปหมด ผมยื่นมือไปจับบ่าที่สั่นเทา

“โอ้ย!! ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ไหวแล้ว” แล้วอยู่ๆน้ารุ่งก็หลุดก๊ากขึ้นมา
“……………”  ผมรู้สึกเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน รู้สึกหน้าชาๆ มือผมหลุดจากบ่าของน้ารุ่ง
“น้า….แกล้งเราอีกไม่ได้แล้ว!” น้ารุ่งหัวเราะตัวงอ
“น้ารุ่ง! นี่มัน… มันอะไรกันครับ”
“แหมๆ น้าแค่หลอกเล่นน่ะ”
“ผมงงไปหมดแล้ว!!” ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกได้แต่ทำตัวเลิ่กลั่กไปหมด
“โอเค ฟังนะ… น้าน่ะรู้หมดแล้ว ไม่ต้องปิดหรอก”
“…………” หน้าผมคงกำลังเป็นเหมือนเครื่องหมายคำถามอยู่จนน้ารุ่งผ่อนลมหายใจออกมารอบหนึ่ง
“งั้นน้าจะอธิบายแบยยาวๆ ให้ฟังจะได้หายงง” น้ารุ่งขยับตัวมาใกล้ผมและกุมมือผมไว้
“น้าเคยดูแลเรามา และน้าก็รู้จักลูกน้าดี ดูจากท่าทีของเราสองคนน้าก็รู้แล้วว่าน่าจะมีอะไรแปลกๆ แอบคบกันอยู่ใช่ไหม? เออ!… จะว่าแอบก็ไม่ถูก เจ้าหลงมันสารภาพกับน้าหมดแล้ว น้าคุยกับเขาบ่อยๆ คุยกันทุกเรื่อง น้าเป็นอาจารย์นะ ลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะ น้ารู้ว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่ น้าเข้าใจ พ่อแม่สมัยนี้เขารับกันได้เยอะแยะไป ทำไมน้าจะทำไม่ได้ ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ ชวนกันเสียผู้เสียคนมันยังน่าอายกว่า!”
ผมฟังแล้วนึกอยากให้น้ารุ่งเป็นแม่ตัวเองเลย บอกว่าจะอธิบายยาวๆ ก็ยาวจริงๆ แถวยังเข้าอกเข้าใจ ไม่เหมือน……
“เอาน่า สักวัน แม่เราก็เข้าใจ” น่ารุ่งเหมือนจะพูดแทนใจผม
“……..” ความรู้สึกตื้นตันมันจุกคอจนผมทำได้แค่ยิ้มด้วยตาที่คลอไปด้วยน้ำใสๆ
“เอ้าๆ อย่าดราม่าสิ… น้าแค่อยากจะบอกว่า รักกันก็ดูแลกันดีๆนะ”
“ครับ” ผมแอบยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่คลออยู่จนเกือบล้น ผมดีใจที่มีคนเข้าใจผมโดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ใหญ่อย่างน้ารุ่ง
“อ่ะ น้าให้ นี่น้าก็เพิ่งให้เจ้าหลงไปเมื่อเช้า”
น้ารุ่งหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋าและกำมายื่นใส่ฝ่ามือผมเป็นกล่องแบนทรงสี่เหลี่ยมขนาดพอดีมือ ที่หน้ากล่องเขียนว่า

“ดูเล็กซ์”

“เฮ้ย!! น้ารุ่ง”
“ถึงไม่ท้อง หรือจะยังเด็กก็ต้องป้องกัน เป็นหมอนี่น่าจะเข้าใจนะ”
“ผมรู้ครับ แต่ผมกับหลงยังไม่มีอะไรกันนะ”
“อ้าวเหรอ? เห็นโตๆ กันแล้ว ส่วนน้าก็สอนหลงให้เขารู้จักป้องกันไว้แล้ว ของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ คนเป็นแม่คงได้แค่สอน”
“…………..”
เป็นแม่ดีเด่นมากๆครับน้ารุ่ง ผมอยากเห็นหน้าตัวเองในกระจกตอนนี้มากๆ ไม่รู้ว่าทำหน้าตาออกมาเป็นยังไง

“น้าไม่ค่อยรู้จักของพวกนี้สักเท่าไหร่ เห็นว่ามันมีเรื่องขนาดด้วย น้าเลยเอาไซส์ใหญ่สุดให้ทั้งสองคนเลย”
เอาอีกคุณแม่ดีเด่น คนเป็นหมออย่างผมมาเจอวิธีการอธิบายแบบนี้ก็มีเขินเหมือนกันครับ ไหนจะสปอยลูกขนาดนี้อีก (ถึงจะเคยวัดจากสายตาเรื่องขนาดว่ามันอาจจะจริงก็เหอะ!)
“น้ารุ่งครับ ผมเข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องอธิบายแล้วครับ”
น้ารุ่งยิ้มจนทำให้เห็นร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้า ผมว่าถึงปากน้ารุ่งจะบอกว่ายอมรับแต่มันก็ใช่ว่าจะทำใจได้ง่ายนักกับเรื่องแบบนี้ แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
“ฝากดูแลหลงด้วยนะ ถึงมันจะเกเร หัวไม่ดี ดีแต่เรื่องใช้แรง แต่แม่ก็รู้ว่ามันเป็นคนดี รักกันก็อย่าทำร้ายกันนะลูก”
“ครับ ผมรู้ครับว่าเขาเป็นเด็กดี แต่…”
“น้ารู้ เรากังวลเรื่องอะไร เรื่องอายุ เรื่องเพศน่ะ ไม่มีปัญหา หากรักกันดี น้าเข้าใจ เพราะน้ากว่าจะลงเอยกับพ่อของหลงก็ใช่เวลานานอยู่ รักจริงก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้”
ผมเคยได้ยินเรื่องนี้จากแม่ของผม เรื่องครอบครัวคนจีนของลุงธีร์ ที่จะหาสะใภ้จีนแต่งเข้าบ้านเท่านั้น แต่น้ารุ่งนี่ไทยแท้แต่กำเนิด
“ขอบคุณครับน้า” ผมยิ้มและโผเข้าไปกอดน้ารุ่งแน่นๆ
“น้าดีใจนะที่เป็นเรา” น้ารุ่งพูดขณะหูผมแนบกับปากน้า
“????” ผมยึดตัวขึ้นมองหน้าน้ารุ่ง
“หากเจ้าหลงไปติดสาวแว๊นแก่แดด หรือตุ๊ดเด็กหัวโปกที่ไหน แม่คงปวดหัวทำใจรับได้ยาก”
“……”  ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบไป
ผมขอตัวกลับทันทีที่บทสนทนาเริ่มลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเพศ น้ารุ่งเหมือนจะแกล้งผม พยายามรั้งให้ผมอยู่คุยต่อ เลยต้องอ้างงานในวันรุ่งขึ้นจึงจะขอตัวออกมาได้

“ลาละครับน้ารุ่ง ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ”
ผมพูดเองยังรู้สึกเหมือนมาขอลูกชายเขาไปแต่งงานด้วย หลังจากทุกเรื่องที่คุยกันกับน้ารุ่ง ผมเขาใจครับว่าที่น้ารุ่งพูดก็เพราะห่วงลูกชายคนเดียวของแก

“เอิร์ธ….. น้าลืมบอกไปเรื่องหนึ่ง” สีหน้าของน้ารุ่งดูจริงจังขึ้นมาผิดจากเมื่อครู่
“ครับ?”
“ลุงธีร์ ยังไม่รู้เรื่องนี้ ….. เป็นไปได้ก็ …..”
“ครับ ผมทราบครับ ผมรู้จักลุงธีร์ดี ผมจะระวังครับ”
“อืม….. รอให้น้าคิดหาทางที่จะบอกและให้ลุงแกโอเคกับเรื่องแบบนี้ก่อนนะ”
“ครับ ผมเข้าใจ ผมจะพยายามไม่ให้มันมากไปจนเกินงาม”
“ขอบใจจ๊ะ 
ผมรู้ว่าน้ารุ่งคงอยากจะให้ปิดเรื่องนี้กับลุงธีร์ไว้ก่อน ผมรู้ว่าแกเป็นคนหัวโบราณ คงรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ แต่แค่น้ารุ่งรับรู้และเข้าใจผมก็ดีใจมากแล้ว



……………………………………….






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


หลง#13


ผมเดินขึ้นบ้านมาอย่างเซ็งๆ หลังจากโดนแม่ไล่ขึ้นมาหลังกินมื้อค่ำเรียบร้อยทั้งที่ผมยังอยากอยู่กับพี่เอิร์ธอีกสักหน่อยก็ยังดี แต่ผมก็ต้องจำยอมเดินจากมาเพราะต้องมาเตรียมตัวสอบในวันรุ่งขึ้น และที่สำคัญแม่จ้องตาเขียวใส่จนผมยอมแพ้ ระหว่างกำลังเตรียมสมุดโน้ตที่มีข้อมูลการติวมาตลอดสองสัปดาห์และหนังสือที่จำเป็น ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย เลยทำให้รู้สึกแปลกๆ แต่เพราะรางวัลและบทลงโทษจากบรรดาผู้ใหญ่ มันเลยกลายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

เสียงโวกเวกดังขึ้นมาจากชั้นล่างขณะที่ผมเลือกหนังสือที่จะเอาใส่กระเป๋าไปด้วย ผมเลยเดาว่าน่าจะเป็นคุณแม่คนดีของผมที่คงจะแกล้งพี่เอิร์ธเหมือนกับที่แกล้งผมมาแล้วเมื่อวาน

คิดย้อนกลับไปมันก็ตลกดีที่บางทีแม่รู้เรื่องของผมดีกว่าตัวผมเสียอีก และแม่ก็ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยหลังจากที่ผมเฉลยว่าแม่เดาถูก

“ใช่ครับ ผมกำลังจีบพี่เอิร์ธอยู่”

ผมบอกแม่ด้วยสายตาที่มั่นคง จนแม่เลิกคิดว่าผมล้อเล่น แต่ผมก็ต้องรีบบอกไปว่าผมปกติดี ไม่ได้เปลี่ยนรสนิยมไปชอบผู้ชายแล้ว

“ผมชอบแค่พี่เอิร์ธมันก็เท่านั้น ผมไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนนะ”

ผมรีบบอกแม่ก่อนที่แม่จะคิดไปไกลกว่านี้ แม่ดูงงๆ ไปบ้าง แม่แสดงออกทางใบหน้าว่าแม่กำลังตามสิ่งที่ผมพูดไม่ทัน
แต่….ก็ดูจะเข้าใจในท้ายที่สุด (จากท่าทีที่สงบของแม่ผมเลยตีความว่าอย่างนั้น)

และสุดท้ายก็เล่นมุกถุงยางของแม่ ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก ตั้งรับไม่ทัน (ผมรู้ว่าแม่เป็นคนหัวสมัยใหม่แต่ไม่คิดว่าจะเป็นขนาดนี้) จนกระทั่งผมต้องรีบบอกไปเลยว่า

“ยังครับแม่ ผมยังไม่ถึงขั้นนั้น กอดบ้างจูบบ้างแต่ไม่เคยถึงขั้นนั้น”
ผมปฏิเสธเสียงแข็งทั้งที่รู้ว่าหน้าตอนนี้ผมคงเปลี่ยนสีเป็นสีเลือดจนถึงหู

แม่ยังคงยืนยันที่จะให้และสอนเรื่องการป้องกัน….. แม่ดูจะรู้ดีกว่าผมนะ (สงสัยจะอ่านมาเยอะ) ผมได้แต่คิดในใจว่า ผมเองมีความต้องการนะครับแม่ แต่กับผู้ชายนี่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดทางให้เราทำ ผมรับฟังและเออๆ ออๆ ตามไปเป็นระยะ จนกระทั่งแม่สอนถึงตอนไคลแม็ก การสอดใส่อย่างไรให้ถูกต้อง มันมีกลไกอะไร ทำไมถึงได้ใช้ช่องทางนั้นได้ อธิบายเรื่องอวัยวะต่างๆ ผมเลยขอตัวออกจากบทสมทนาก่อนที่หัวผมจะระเบิดเพราะเลือดที่สูบฉีดขึ้นมามากเกินไป

การที่ผู้ปกครองสอนเรื่องเพศกับลูกเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ถ้าจะให้รายละเอียดขนาดนี้ผมว่ามันมากเกินไป ขอไปปรึกษาผู้ชำนาญน่าจะดีกว่า ซึ่งผมคิดได้คนเดียวคือ ‘ไอ้ชัย’ ผู้มีประสบการณ์ทางเพศอย่างโชกโชน (แล้วหน้าไอ้กวีก็ลอยมาพร้อมกับมัน)

……………….

เสร็จสิ้นการสอบภาคบ่าย ที่แสนรำเค็ญ ผมคาดว่าผมทำได้มากกว่าครึ่งนะ การสอบปกติจะไม่ทำให้ผมเครียดขนาดนี้ เพราะผมไม่เคยคิดอะไร ตกก็สอบซ่อม ไม่เคยกังวล นักกีฬาโรงเรียนอย่างผมส่วนใหญ่อาจารย์ค่อนข้างเกรงใจ ผมมักจะไม่โดนต่อว่ารุนแรงแต่ก็จะถูกตามไปซ่อมจนกว่าจะผ่าน

แต่คราวนี้โดนพ่อคาดโทษไว้ เลยต้องจริงจังมากขึ้น แต่สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้ผมคึกคักยิ่งกว่าก็คือ การคิดถึงรางวัลที่พี่เอิร์ธจะพาไปเที่ยวกันสองต่อสอง แค่คิดก็ฟินแล้วอยากให้สอบจบไวๆ

“เฮ้ย!!! ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะมึง เป็นเชี้ยอะไร? ทำข้อสอบได้ว่างั้น?”
“สาด…กูสอบผ่านก็บุญแล้วมั้ง”
“ยิ้มแบบนี้มีเรื่องอะไรดีๆ แน่เลย หรือว่ามึงจับพี่เอิร์ธกดได้สำเร็จแล้ว”
“ก็เกือบ หากแม่ไม่มาขัดจังหวะ เอ้ย!!! ไม่ใช่เรื่องนี้”
“ร้ายเหมือนกันวะมึง อ้าว.. ไม่ใช่เรื่องนี้แล้วมันเรื่องอะไร?”
“ก็รางวัลที่พี่เอิร์ธจะให้ไง!”
“พี่เอิร์ธจะยอม?”
“คือหัวของมึงคิดได้แต่เรื่องนี้”
“โหย… ก็กูสงสารเพื่อนเห็นเพื่อนอยาก”
“เออ… ก็จริง…. คืองี้หากกูได้ผลสอบดีขึ้นไม่ตกสักวิชา เขาจะพากูไปเที่ยวกันสองคน!!”
“อันนี้ กูว่าเขาเปิดทางให้มึงแล้วล่ะ”
“เชี้ย… มึงนี่ก็คิดได้แค่นี้”
“หรือไม่จริง?”
“กูก็แอบหวังอยู่ลึกๆ”
“นั่นไง!!”

เสียงริงโทนหวานๆ ที่ไม่เหมาะกับนิสัยของไอ้ชัยดังขึ้น มันรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับทันที

“ครับเมียที่รัก..”
“…….” เสียงที่ดูเหมือนจะโวยวายดังลอดออกมาจากลำโพงของโทรศัพท์ไอ้ชัยแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ ทำให้ไอ้ชัยมันต้องลนลานขอโทษขอโพยยกใหญ่
“มีอะไรครับ?” ไอ้ชัยกลับมาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติ
“………..”
“สบายครับ อาจารย์ติวมาดี ทำข้อสอบแค่นี้สบายๆ ท้อปแน่นอน”
ฟังจากประโยคนี้ผมรู้ได้ทันทีว่าผู้สนทนาด้วยคือใคร แต่รูปแบบการสนทนามันออกจะดูแปลกๆ ไปจากเดิมนะ
“ครับ เย็นนี้เจอกันที่เดิมนะครับ”
แล้วไอ้ชัยก็ยิ้มกับโทรศัพท์เหมือนคนบ้าก่อนวางสาย

“ไอ้กวี? …… อะไรยังไงเนี่ย เล่ามา” ผมจับคอไอ้ชัยกระชากมาถามระยะใกล้
“เออ… อะไรของมึง ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม?”
“ไม่ใช่อย่างที่กูสงสัยใช่ไหม?”
“เออ… ใช่อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ!!” ชัยสลัดมือผมทิ้งอย่างรำคาญ
“เชี้ย!!.. มึงทำให้หนุ่มในฝันของสาวๆ อย่างไอ้กวียอมเป็นเมียได้ไงวะ” ผมเดาเอาเพราะไอ้ชัยมันคงไม่ยอมโดนใครกด
“กูเก่งไง” ชัยยักคิ้วอย่างลิงโลดจนผมหมั่นไส้อยากหาอะไรปาหน้ามันสักที
“แปลว่ามึงได้มันแล้ว?”
ชัยมันพยักหน้าแทนพูดตอบ
“เชี้ย…. ผู้ชายอย่างมันยอมได้ไงวะ?!?”
“กูหล่อ กูเก่ง กูลีลาดีไง”
ผมเริ่มไม่ถูกใจกับคำตอบของมันจนคิ้วขมวดเป็นปม
“…กูไม่เข้าใจว่าผู้ชายทั้งแท่งอย่างพวกมึงสองคนมาลงเอยกันแบบนี้ได้ยังไง…”
“ต่างคนต่างใจตรงกันก็เท่านั้น ไม่รู้สิแค่ลองปล่อยให้ตัวเองทำตามหัวใจเรียกร้อง สุดท้ายมันก็เป็นไปเองตามจังหวะของมัน กูก็ไม่เคยกับเรื่องแบบนี้ พอลองเปิดใจดู ไอ้กวีมันก็น่ารักมากเลยนะ”
ไอ้ชัยที่หน้าด้านขนาดนั้นยังหน้าแดงได้ขนาดนี้ ไม่คิดว่าพ่อปลาไหลอย่างมันจะมาลงเอยกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้

“แล้วทำไมมึงไม่ยอมมันล่ะ?”
“กูเร็วกว่าไง ฮ่าฮ่าฮ่า บอกแล้วกูเก่ง”
“แล้ว….เป็นไงวะ?”
“แม่งโคตรดี  เวลาที่เราทำแบบนี้กับคนที่เรารู้สึกดีด้วยแม่งยิ่งรู้สึกดี อีกอย่างคือผู้ชายด้วยกันเลยรู้จักอวัยวะด้วยกันดีไง? หลังจากครั้งแรก ครั้งต่อไปก็ง่ายแล้ว”
“…อย่าบอกว่าทุกวัน……..”
ชัยพยักหน้า ยักคิ้วและยิ้มแบบกรุ้มกริ่ม
ผมแอบอิจฉาความกล้าหาญของมัน จากที่ฟังทั้งหมดก็พอจะนึกออกว่ามันคงออกตัวชัดเจนว่าจะรุก จนอีกฝ่ายยอมเป็นรับให้มัน ผมควรจะทำแบบที่เรียนรู้จากมันในวันนี้ รุกให้หนักขึ้นสินะ!!

………………………….

และแล้ววันสอบวันสุดท้ายก็มาถึง เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่เอาตัวจมอยู่กับเนื้อหาของบทเรียนมัธยมปลายจนไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากสอบและอ่านหนังสือ โชคดีที่ไอ้ชัยกับเมียหนุ่มมันมาช่วยติวให้ทุกวันจนผมสามารถผ่านพ้นเนื้อหาที่ยากจะเข้าใจเหล่านั้นไปได้

ฟังไม่ผิดหรอกครับแฟนหนุ่มจริงๆ ก็ไอ้กวีนั่นแหละ ศัตรูหัวใจคนเก่าของผม ตอนนี้กลายเป็นเมียเพื่อนเสียแล้ว แต่ห้ามพูดคำว่า ‘เมีย’ ต่อหน้าไอ้กวีนะครับ มันจะโกรธมาก

มันก็จริงท่าทางแมนๆ อย่างมันห่างไกลกับคำว่าเมียมาก ไหนจะช่วงนี้จะเริ่มพูดจาหยาบคายเหมือนไอ้ชัยมากขึ้นไปอีก ส่วนไอ้ชัยก็พูดจาได้อ่อนโยนขึ้นจนผมคิดว่าสองคนนี้มันสลับนิสัยมันหรือไง แต่ไอ้ชัยมันทำแบบนั้นก็ต่อหน้าไอ้กวีเท่านั้นแหละ

ช่วงนี้พี่เอิร์ธก็ไม่มาหาเลยตลอดสัปดาห์ เพราะเห็นว่าจะรีบขึ้นเวรให้หมดจะได้มีเวลาพาผมไปเที่ยว (ดูจะมั่นใจกับสมองของผมมาก) ผมก็ไปไหนไม่ได้จนกว่าจะสอบเสร็จ ช่วงนี้แม่เข้มงวดมาก
ทำให้ให้ยิ่งรู้สึกเหงาและคิดถึงพี่เอิร์ธมาก ยิ่งได้มาอยู่กับไอ้คู่รักข้าวใหม่ปลามันที่พวกมันจะหวานใส่กันทุกๆ ห้านาทียิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากเจอพี่เอิร์ธมากขึ้นไปอีก

ในที่สุดก็หมดเวรหมดกรรมเสียที ผมจะได้เจอพี่เอิร์ธแล้ว!!!

ผมรีบออกจากเขตโรงเรียนทันที และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาสุดที่รักของผมทันที วันนี้ขออยู่ด้วยยาวๆ เลย ไล่ก็จะไม่ไปไหนด้วย จะขอมัดจำรางวัลสักหน่อย

ตรู๊ด…….. ตรู๊ด………. ตรู๊ด……..

เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอยู่เนืองๆข้างหู แต่ยังไม่มีผู้รับสายเสียที สักพักก็ถูกตัดเข้าสู้ระบบฝากข้อความ ผมกดเลือกที่ชื่อของพี่เอิร์ธอีกสองสามครั้ง ทุกครั้งก็เข้าสู่ระบบฝากข้อความเช่นเดิม

‘แปลกมาก’ ผมคิดในใจ ตั้งแต่พี่เอิร์ธตกลงที่จะคบกับผมในวันนั้น เขาจะพยายามรับสายผมทุกครั้ง ถึงแม้ในบางครั้งเขาจะพูดแค่ ‘เดี๋ยวโทรกลับ’ ก็ตาม ผมเข้าใจครับเพราะมีแฟนเป็นหมอ เวลาทำงานคงไม่มีเวลาพูดคุยได้มากนัก เดี๋ยวรอสักพักแล้วเขาก็โทรศัพท์กลับมาเอง แต่นี่มันไม่เหมือนเดิม

“เป็นอะไรวะ? หน้าตายับเป็นเสื้อยังไม่ได้รีด” ไอ้ชัยที่ขับบิ้กไบค์ของมันมาจอดที่หน้าผม
“พากูไปโรงพยาบาลหน่อย”
“เฮ้ย!! ใครเป็นอะไร?”
“กูไม้รู้แต่กูติดต่อพี่เอิร์ธไม่ได้”
“เขาทำงานมั้งมึง มึงก็อย่าไปรบกวนเขาทำงานเลย กูเห็นแล้วสงสารพี่หมอว่ะ”
“เออ! เรื่องนั่นกูรู้ ปกติโทรไปเขาไม่ว่าง เขาจะบอกว่าโทรกลับ แต่นี่ กูโทรไปหลายรอบแล้ว มันเข้าฝากข้อความตลอด”
“ถ้าเป็นอย่างที่มึงว่า…….”
มันลูบค้างตัวเองเหมือนนักสืบเด็กใส่แว่นที่ไม่ยอมโต (การ์ตูนที่มันอ่านซ้ำไปมา แต่ผมว่าน่าเบื่อ)

“งั้นก็แปลกจริงๆวะ งั้นขึ้นรถ กูซิ่งไปส่ง!!”

ผมกระโดดขึ้นรถอย่างไม่ลังเล แล้วไอ้ชัยก็สวมวิญญาณตีนผีขับออกจากโรงเรียน จนแทบจะเหลือไว้แค่เสียงที่จุดเริ่มต้น (ปกติผมจะด่ามันทุกครั้งที่ไอ้ชัยมันทำ แค่ครั้งนี้ช่างมัน ผมอยากไปให้เร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ)

…………………………

ผมโดดลงจากรถโยนหมวกกันน็อคให้ไอ้ชัยโดยแทบไม่มองมัน (มันน่าจะรับได้ แม้จะได้ยินเสียง ‘โอ้ย’ ตามมาแต่ผมไม่สนใจ) วิ่งเข้าตัวตึกด้วยความชำนาญเส้นทาง

ในที่สุดก็ถึงหน้าห้องตรวจของพี่เอิร์ธ พยาบาลและผู้ช่วยที่นี่คุ้นเคยกับผมดี แค่เห็นก็ยิ้มให้และทักทายแบบเป็นกันเอง ผมมองไปที่ป้ายหน้าห้องตรวจหลายๆ ห้อง กลับไม่มีชื่อที่ผมคุ้นเคยเลย ‘ปฐวี’ ของผมหายไป

“อ้าว!! น้องหลง มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ ไม่สบายเหรอ?”
“ไม่ได้เป็นอะไรครับ ผมมาหาพี่… เอ่อ หมอปฐวี น่ะครับ”
“อ้าว!! อาจารย์เอิร์ธ ไม่ได้บอกน้องหลงเหรอว่าไปอบรมน่ะ”
“เอ่อ…ไม่ได้บอกครับ ….คือผม…. ติดสอบน่ะครับ” ตอนนี้ใจผมตกวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทำไมพี่เอิร์ธไม่เคยพูดกับผมเรื่องนี้เลย
“ไปแค่สามวันก็กลับแล้วจ๊ะ พรุ่งวันสุดท้ายแล้วมั้ง”
“ไปไหน พี่พอทราบไปครับ” หน้าพยาบาลดูแดงระเรื่อขึ้นสงสัยจะชอบให้เรียกพี่ แม้เธอจะดูแก่กว่าแม่ผมก็เหอะ
“เดี๋ยวนะ เหมือนเคยเห็นในใบสื่อสารภายใน” แล้วเธอก็เดินไปค้นเอกสารที่เคาเตอร์พยาบาลใกล้ๆ ผมเดินตามไปอยู่ใกล้กับเคาเตอร์
“เจอไหมครับ”
“อืม…. เดี๋ยวนะ…..นี่ไง. งานจัดที่ชลบุรีนะจ๊ะ โรงแรมใกล้กับพัทยานี่ไง” พยาบาลรุ่นป้าหยิบแผนที่ที่แนบมาพร้อมกับใบประกาศที่ดูเป็นทางการ ตัวหนังสือเยอะๆ ที่ทำให้ผมตาลาย
“ผมขอได้ไหมครับ?”
“พี่ว่าไม่ได้นะ”
“งั้นผมขอถ่ายรูปไหมครับ?”
“น่าจะได้นะจ๊ะ ว่าแต่จะถ่ายไปทำไมจ๊ะ”
“ผมจะไปเซอร์ไพรส์นะครับ” ผมหยิบสมาร์ทโฟนของผมขึ้นมาถ่ายแบบไม่เกรงใจหลายรูป
“อ้อ… จริงสิ ใกล้วันเกิดอาจารย์แล้วนี่ เห็นสาวๆ ในวอร์ดพูดกัน

ตายล่ะ!!! ผมลืมไปเสียสนิท วุ่นวายกับการสอบจนลืมไปเลย (เคยแอบดูบัตรประชาชนพี่เอิร์ธ)

“มีน้องชายอย่างน้องหลงนี่น่ารักจัง ขอให้เซอร์ไพรส์สำเร็จนะคะ”
(ไม่รู้ว่าพี่เอิร์ธจะเคยอธิบายเรื่องความสัมพันธ์จองผมและเขาให้พวกพยาบาลพวกนี้ฟังไว้อย่างไร แต่ผมไม่แคร์หรอก ….หรือว่าคนพวกนี้จะคิดกันไปเอง…)

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้และเดินจากมาอย่างรวดเร็ว

ผมอยากจะบอกกับป้าว่า ผมจะไปเซอร์ไพรส์แฟนผมครับ ไม่ใช่ไปเซอร์ไพรส์พี่ชาย และผมจะจัดเซอร์ไพรส์ให้หนักๆ เลย

ผมเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยแผนที่คิดไว้เต็มหัวไปหมด

………………….


“เฮ้ย! มึงจะไปไหมเนี่ย?”

เสียงไอ้ชัยตะโกนลั่นมาจากทางหน้าบ้าน

“รอเดี๋ยวสิ ไอ้สัด กูก็รีบอยู่”
“ไอ้ห่ะ… แม่งบังคับชวนกูมาแต่เช้าแต่แม่งเสือกสายเสียเอง”
“ชัยไม่เป็นไร ไม่ต้องบอกให้หลงมันรีบหรอก เดี๋ยวก็ลืมอะไร”
“ไม่ต้องไปให้ท้ายมัน มันเป็นกำชับเราเองให้ออกเดินทางตอนเจ็ดโมง นี่มันกี่โมงแล้ว!!”
“เออๆ กูเสร็จแล้ว!!” ผมตะโกนออกมาจากหน้าต่างชั้นสองของบ้าน ถ้าไม่มัวแต่วางแผนนู้นนี่จนดึก ผมจะตื่นสายแบบนี้ไหม? เมื่อวานกว่าจะกล่อมพวกไอ้ชัยกับไอ้กวีให้พาไปพัทยาได้ก็ดึกแล้ว (ดีนะที่ไอ้กวีก็อยากไป ไอ้ชัยมันเลยยอม โธ่.. ที่แท้ก็กลัวเมีย)

แล้วต้องกลับมาขออนุญาตแม่อีกซึ่งก็ไม่ยาก แต่แม่ก็เป็นห่วงเพราะไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วยเลย แต่พอบอกว่าไปหาพี่เอิร์ธแม่ก็อนุญาติเอาเสียเฉยๆ (ง่ายไป เหมือนคำวิเศษ พูดปุ๊ปได้ปั๊บ)

ผมมองดูนาฬิกาที่คอนนี้เข็มยาวชี้เลขเก้า เข็มสั้นชี้ค่อนมาทางเลขแปด สายกว่าเวลาที่วางแผนไว้มากแล้ว ยอมรับตรงๆว่าเพิ่งตื่นตอนไอ้ชัยมันมานี่แหละ คนตื่นสายจนชินก็อย่างนี้แหละ ผมรีบแต่งตัวและจัดกระเป๋ารอบสุดท้ายและรีบโดดลงไปข้างล่างทันที

“เดี๋ยวหลง!!”

แม่ตะโกนทักก่อนที่ผมจะก้าวข้ามธรณีประตูหน้าบ้าน

“ครับ” ผมเตรียมใจโดนแม่บ่น
“สายอย่างนี้จะไปถึงกี่โมงเนี่ย แต่ค่อยๆไปนะ ไม่ต้องซิ่ง”
“ครับแม่ ไปก่อนนะครับ”
“เดี๋ยว!!”
“อะไรอีกล่ะแม่ ตัวเองก็บอกเองว่าสายแล้ว!”
“เอาไอ้นี้ไปด้วย” แม่กำบางสิ่งยื่นมาให้ ผมเลยต้องยื่นมือไปรับ
“โห…..เพื่ออะไรเนี่ย” ผมแบมือเจอธนบัตรสีเทาปึกหนึ่ง
“แม่ให้ไปเลี้ยงวันเกิดพี่เอิร์ธ เป็นการขอบคุณเรื่องที่ช่วยดูแลเราในหลายๆ เรื่อง”
“แม่…..น่ารักอ่ะ ผมยังไม่เคยได้ขนาดนี้เลย”
“แกมันเกเร ได้เท่านั้นก็มากพอแล้ว”
“โหย……”
“แล้วก็….หลง”
“ครับ” ผมที่กำลังหันไปนอกบ้านต้องหันมาอีกรอบ
“อย่าลืมป้องกันนะลูก”
“โอย! แม่…. ไปดีกว่า”
ไม่ชินเสียทีกับการพูดแบบนี้ของแม่

…………………………..

ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาผ่านรถ SUV คันใหญ่โลโก้รูปดาวสามแฉก ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขี้นมา เบาะหนังสีเบทที่นุ่มสบาย และกลิ่นหอมอ่อนๆ ภายในรถทำให้ผมเผลอหลับไปไม่รู้ตัว (เมื่อคืนก็นอนน้อยด้วย)

“ถึงไหนแล้ววะ?”
ผมพูดขึ้นพลางบิดร่างกายซ้ายขวาเพื่อไล่ความง่วงออกไปบ้าง

“ตื่นแล้วหรือเจ้าชายนิทรา ตั้งแต่ขึ้นรถมานี่มึงก็หลับตลอดทางเลยนะ” ไอ้ชัยที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันมาแขวะ
“กูง่วงกูก็หลับ จะให้กูช่วยขับไหมล่ะ?”
“สาด! มึงขับเป็นหรือไง”
“นั่นไง!! มึงก็รู้ แล้วจะให้กูถ่างตานั่งฟังพวกมึงคุยกันเรื่องข้อสอบเนี่ยนะ แค่ขึ้นหัวสองประโยคแรกกูก็ง่วงแล้ว!!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า….. ตอนนี้อยู่ฉะเชิงเทราแล้วล่ะ ขับต่ออีกนิดก็ถึงชลบุรีแล้ว หลงนอนต่อก็ได้นะ” กวีที่ทำหน้าที่เป็นคนขับได้ตอบคำถามผมซึ่งไอ้ชัยมันไม่ยอมตอบ
“ขอบใจมากกวี นายเป็นเพื่อนที่ดีมากกว่าไอ้คนแถวนี้อีกนะ”
ผมเหล่ไปมองไอ้ชัยขณะพูด
“ก็ที่มึงมีคนขับรถพามึงมาถึงพัทยานี่ไม่ใช่เพราะ กวีมันเป็นเมียกูหรือไง?”  ไอ้ชัยเสียงดัง
“เคยบอกแล้วไงว่าเราไม่ชอบให้เรียกแบบนี้”
“อ้าว.. ก็มันจริงนี่ เมียจ๋า….. โอ้ย!!!!”
มือของไอ้กวีเร็วมาก มือข้างที่ว่างของมันฉกมาที่หน้าอกของไอ้กวีและบิดไปมา
“โอ้ยๆ ยอมแล้วครับ ยอมแล้วครับ ไม่พูดแล้วครับ”

ผมขำกับภาพตรงหน้า ไม่เคยนึกเลยว่าสองคนนี้จะมาลงเอยแบบนี้ ดูท่าไอ้กวีมันก็ไม่ได้รังเกียจอะไร ขนาดพูดว่าห้ามแต่ใบหน้ามันก็ยิ้มที่มุมปากแบบเขินอาย และก็ไม่เคยเห็นไอ้ชัยในมุมที่ยอมแฟนขนาดนี้

ตอนนี้ไอ้ชัยดึงมือของไอ้กวีลงมากุมที่หน้าตัก มองหน้าไอ้กวีที่แดงขึ้นชัดเจน (หรือว่าแดดร้อน) ไอ้กวีมันยิ้มให้แล้วถามว่า
“ง่วงไหม เจอปั้มน้ำมันก็แวะพักก่อนไหม ขับติดต่อกันมาหลายชั่วโมงแล้วนะ”
“อืม…..ไม่เป็นไรขับได้ แล้วชัยล่ะจะแวะปั้มเข้าห้องน้ำไหม?”
“ไม่เป็นไร เรายังโอเค”
“หลงล่ะ อยากแวะไหม?” กวีเอ่ยถามขึ้นไม่ทันตั้งตัวดีที่ผมแอบมองด้วยความอิจฉาอยู่ที่เบาะหลังเลยรู้ตัวทัน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็นอนต่อแล้ว เชิญจู๋จี๋กันต่อไปเถอะ!”
“……….”

แอบมองไอ้กวีที่กระจกมองหลังเห็นหน้าไอ้กวีแดงขึ้นอีก สงสัยคงไม่คุ้นกับการแสดงความรักต่อกันต่อหน้าคนอื่น ดูไปก็น่ารักดีอย่างที่ไอ้ชัยบอก

“ไอ้สัด!! เห็นไหม ปากมันเป็นแบบนี้แหละ ไม่ต้องเป็นห่วงมันมากหรอก” ไอ้ชัยหันมาสบถใส่ผมก่อนที่จะหันไปคุยกับเมียมัน
“ไม่เป็นไร อยู่กันมานานจนเริ่มชินแล้ว อีกอย่างหากชัยทำตัวปกติแบบเดิมก็คงไม่โดนล้อหรอก”
“อ้าว….. ก็เรามันไม่เหมือนเดิมป่าววะ?”
“………..” ไอ้กวีคงเขินอีกเลยเงียบไปอีกครั้ง
“อีกอย่าง นายพูดเพราะกับเราคนเดียวก็พอ ส่วนไอ้หลงพูดหยาบๆ ใส่มันก็ได้”
“เราไม่ค่อยคุ้นกับการพูดแบบนั้น”

“เฮ้ย!! จริงหรือว่ะ? นายไม่เคยพูด มึง-กู อะไรอย่างนี้เลย” ผมซึ่งว่าจะเฉยเพื่อเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งยังต้องโผขึ้นมาแสดงความแปลกใจ
“เคย! ตอนเมากูเคยเจอมาแล้ว” ไอ้ชัยโพล่งขึ้นมาตอบแทน
“อ้าว!! ก็แปลว่าพูดเป็นสิ” ผมหันไปหาคำตอบกับคนที่กำลังขับรถ ผมเองก็แอบสังเกตมานานแล้วว่าไอ้กวีแม่งไม่เคยพูด ‘กู-มึง’ กับผมเลยทั้งที่เริ่มสนิทกันขนาดนี้ ทำเอาผมก็เลยไม่กล้าพูดกับมันเหมือนกัน
“ก็มีเพื่อนแบบนี้เหมือนกัน แต่มันกระดากปากเวลาพูด ปกติที่บ้านสอนไม่ให้พูดแบบนี้ ตอนเด็กเคยโดนดุก็เลยไม่กล้า ใครจะพูดกับเรายังไง เราก็จะพูดของเราแบบนี้ แต่หลงไม่ต้องเกรงใจนะ พูดกับเราแบบนั้นก็ได้”

ผมรู้สึกถึงความแตกต่างในการเลี้ยงดูระหว่างผมกับไอ้กวีเลย

“โอเค มึงว่าไงกูก็ว่างั้น กูอึดอัดมานานแล้ว” ผมตอบไปเพื่อให้ไอ้ดวีสบายใจ ไหนๆก็อนุญาติแล้ว
“ไอ้เชี้ย เร็วไปไหมมึง”
ไอ้ชัยรีบตีมุกมาเลยตามนิสัยมัน ทำให้กวีหัวเราะคิกคักกับท่าทางของมันด้วยที่ทำท่าจะตีผมแต่ผมหลบทัน

พวกเราสนทนากันไปเรื่อยๆ ตลอดทางผมรู้สึกสนิทกับไอ้กวีขึ้นไปอีกขั้นในฐานะที่ผมเป็นเพื่อนไอ้ชัย พ่อคัสโนว่าตัวยง ผมว่าไอ้กวีนี่ผ่านเลย ผมรู้สึกได้จากการฟังทั้งสองสนทนากัน มีความห่วงใยให้กันตลอด ต่างคนต่างดูแลกันดี

และที่สำคัญไอ้ชัยมันไม่เคยยอมใครขนาดนี้เลย ขนาดโดนดุไปหลายครั้ง มันแทบไม่เถียงเลย ขนาดผมเป็นเพื่อนมัน แม้ผมจะเถียงเรื่องที่ถูกต้องยังไม่เคยชนะมันเลย แต่ไอ้กวีน่ะสุดยอด! บางทีแค่มองหน้าตอนมันจะเถียง ไอ้ชัยก็ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่นึกว่าคนอย่างมันจะมาสิ้นลายกับผู้ชายทั้งแท่งอย่างไอ้กวี

ในที่สุดก็มาถึงที่หมายของเรา รีสอร์ทระดับกลางที่พวกผมพอจะหาได้ หลังจากการสำรวจพื้นที่และรายจ่ายที่พวกเราจะพอไหว รีสอร์ทนี้ไม่อยู่ติดทะเลแต่สามารถเดินไปได้ ห่างไม่เกิน 100 เมตร

หลังที่เช็คอินเรียบร้อย พวกเราเดินมาที่ห้องพักที่เหมือนบ้านแฝดที่ตั้งแยกออกมาจากบ้านแฝดอื่นๆ ที่ปลูกห่างกันไม่เกิน 2 เมตรเพื่อความเป็นส่วนตัวของที่พักแต่ละหลัง จากห้องที่เราอยู่ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆก็ยังพอมองเห็นทะเลอยู่ไม่ไกล

ตอนนี้บ่ายกว่าๆ แล้วผมรีบเข้าไปจัดเก็บข้าวของที่เอามา ส่วนไอ้คู่ข้าวใหม่ปลามันนั่น ไอ้ชัยพยายามแย่งอีกฝ่ายถือของแต่ก็โดนไอ้กวีปฏิเสธตลอดทางจนโดนดุด้วยสายตา

ผมแอบสะใจกับความเกรียนของมันกับความโหดของเมียมัน ตอนแรกนึกว่าไอ้กวีจะเป็นคนเรียบร้อยอะไรก็ได้ น่าจะตามใจไอ้หลงเหมือนทำกับทุกคน กลายเป็นว่าพอมาเป็นแฟนกันดันโหดกับไอ้ชัยคนเดียว คงเพราะมันทำตัวแปลกไปอย่างที่ไอ้กวีมันพูดนั่นแหละ ผมคิดว่าหากมันกลับไปทำตัวเหมือนเพื่อนเช่นเดิม รูปการมันคงเปลี่ยนไป แต่ผมก็รู้จักไอ้ชัยดีครับ เวลามันจะดีกับใครมันก็ดีใจหายเลย คงไปเปลี่ยนแปลงเรื่องแบบนี้ยาก คราวนี้ก็ดูกันต่อไปว่า ใครจะยอมใครก่อนล่ะ

ผมหยิบสมาร์ทโฟนของผมขึ้นมาดูรูปของเอกสารและแผนที่ที่ถ่ายไว้ ขึ้นมาทบทวนเรื่องสถานที่ ตารางเวลาในการอบรมรวมถึงแผนการต่างๆ ที่จะไปเซอร์ไพรส์พี่เอิร์ธถึงที่พักหลังจากกลับจากอบรมนั่น แม้จะยังไม่รู้ห้องแต่เดี๋ยวไปสืบเอาก็ได้ ข้อดีของการเป็นคนหน้าตาดีคือทุกคนจะน่ารักกับเราโดยไม่รู้ตัว

แผนคือเอาดอกไม้ช่อใหญ่พร้อมของขวัญไปดักรอที่หน้าห้อง และลากไปดินเนอร์สุดหรู(เงินแม่) ริมหาดที่ผมจองไว้แล้วเป็นร้านแถวๆ ที่พัก ไม่ได้เลิศหรูมากมายอะไรแต่บรรยากาศดี ส่วนเรื่องรสชาติอาหารก็ไปลุ้นเอาหน้างาน ผมยิ้มกับความคิดของตัวเองก่อนจะรีบออกไปเรียกคู่รักนั่นออกไปหาซื้อดอกไม้ด้วยกัน ก่อนที่มันจะรีบใช้ห้องทำอย่างอื่นกัน

……………………………….

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


เอิร์ธ #10


ผมยกกระเป๋าออกจากบ้านหลังจากเช็คความเรียบร้อยในบ้าน ประตูหน้าต่างลงกลอนหมดแล้ว สุดท้ายคือสัญญาณกันขโมยที่พ่อติดไว้ให้ (ซึ่งไม่เคยใช้เลยตั้งแต่ติดมา) ผมอ่านคู่มือไปทำไปด้วยก็ไม่ยากอย่างที่คิด

หลังจากยกกระเป๋าขึ้นรถและปิดประตูบ้านแล้ว ผมก็ออกเดินทางทันที วันนี้เลิกเวรเร็วเพราะรุ่นพี่ไล่ออกมา วันนี้เป็นวันที่ผมถูกส่งไปอบรมเรื่องโรคใหม่ เนื่องจากสัปดาห์นี้ไม่มีใครว่างเลย หวยเลยออกมาตกลงที่ผมต้องเป็นคนไป

ระหว่างขับรถออกจากตัวเมืองยามเย็น ผมได้ขับผ่านโรงเรียนเก่าของตนเอง ซึ่งขณะนี้หลงคงกำลังตั้งใจสอบอยู่ ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ไม่ได้บอกเขา แต่ทั้งหมดก็เพื่อตัวเขาเอง อยากให้มีสมาธิสอบมากกว่า เพราะหากว่าเขารู้เขาคงพยายามมาอยู่กับผมช่วงสอบแน่ๆ ดีไม่ดีเดี๋ยวจะขอตามมาด้วยแล้วจะยิ่งไปกันใหญ่

ผมหันสายตาตัวเองกลับมามีสมาธิบนท้องถนนอีกครั้ง และพยายามกลับไปให้ถึงก่อนที่จะมืดกว่านี้ ผมว่าจะไปพักที่นั่นสักหนึ่งคืนก่อนวันอบรมจริงจะได้ไม่เหนื่อย พวกรุ่นพี่เขาแนะนำมา

…………………….

เช้าวันอบรมก็เหมือนกับวันทำงานคือต้องตื่นแต่เช้า แต่ด้วยความที่เตียงนอนไม่คุ้นเคย แล้วไหนจะหลงที่ตามมาหลอนผมถึงในฝันทำเอานอนไม่ค่อยหลับ (ฝันว่ามันจะมาปล้ำตลอด หนีจนเหนื่อย) สภาพผมตอนนี้เลยหมีแพนด้าซอมบี้ที่อ่อนล้าไปทั้งกายและจิตใจ ผมเดินไปที่ห้องโถงล็อบบี้ของโรงแรม ที่มีป้ายประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่เกี่ยวกับการกล่าวคำต้อนรับคณะที่มาอมรม ที่ป้ายแจ้งกำหนดการต่างๆ และสถานที่จัดงานทางด้านล่าง

ผมอ่านรายละเอียดในป้ายให้แน่ใจเพื่อทวนสอบว่าสิ่งที่ผมอ่านมากับเอกสารเชิญไม่ผิดพลาด จนกระทั่งไปสะดุดที่ชื่อวิทยากรท่านหนึ่งและรูปถ่ายวิทยากรที่อยู่บนชื่อ ผมรู้สึกคุ้นแบบแปลกๆ ยืนนึกอยู่นานก็นึกไม่ออก แต่สงสัยคงจะเคยเจอตอนไปอินเทิร์น เอ็กซ์เทิร์น อะไรประมาณนี้มั้ง หมอพอแต่งตัวถ่ายรูปก็หน้าตาคล้ายๆกันหมด

“ว่าแล้วเชียว ต้องเป็นนาย”

เสียงคุ้นหูที่ดังจากทางด้านหลัง ผมหันไปหาต้นเสียงทันที

“สวัสดี เอิร์ธ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“เอ…..”

อดีตของผมดันตามมาหลอกหลอนถึงที่นี่ ทั้งที่ก็เข้าใจดีว่าอยู่ในวิชาชีพเดียวกัน ไหนจะจบมาในรุ่นเดียวกัน ยังไงก็ต้องมาเจอกันสักวันคงหนีกันไม่พ้น แต่ทำไม ‘เอ’ เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราแบบนี้ ตอนนี้แค่เห็นหน้าตี๋ๆ ของเอก็ทำให้ผมหงุดหงิดได้แล้ว

“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งอารมณ์เสีย เราไม่ได้จะมากวนใจนายแล้ว แค่อยากจะขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาน่ะ หวังว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่”
“……………” ผมมองไอ้คนหน้าไม่อายตรงหน้า มันทิ้งผมไปมีใหม่แล้วยังจะมาขอคบเป็นเพื่อนอีก

“นายมาอมรมเหรอ มาสิเดี๋ยวเราพาไป เรามาเป็นผู้ช่วยวิทยากร” เอเอามือทาบอกตัวเองและตบเบาๆ สองทีที่ป้ายที่แขวนคออยู่
“…………..” สมองผมยังประมวลผลอยู่ว่าจะทำยังไงกับ ‘แฟนเก่า’ ดี ผมแอบสังเกตว่าการแต่งกายของเขาดูดีกว่าแต่ก่อนมาก แบรนด์เนมทั้งตัว เอเป็นคนหุ่นดีอยู่แล้ว หุ่นแบบนักกีฬา (คิ้วท์กายประจำคณะฯ ไม่รู้ว่าหลงมาคบกับผมได้ยังไง?) พออยู่ในชุดสูทสุดหรูนั่นแล้ว เหมือนเขามาเดินบนแคทวอร์คมากกว่ามาสัมมนาแบบนี้

“ฮัลโหล มีใครอยู่ไหม?” เอโบกมือใกล้หน้าผมเพราะผมมองเอแบบไม่กระพริบตาอยู่
“เออ..อืม… พาไปหน่อยสิ”
“โอเค ตามมาเลย”

ผมเดินตามหมอหนุ่มรูปหล่อที่เดินนำหน้าด้วยท่าทีทะเล้นแบบเดิมที่คุ้นเคย ความทรงจำเก่าๆ หวนคืนมาแบบไม่รู้ตัว ผมส่ายหน้าเพื่อสลัดภาพเหล่านั้นให้หายไป พร้อมใจที่เจ็บจี๊ดๆ อยู่เป็นระยะ

ผมว่าผมทำใจได้แล้วแต่พอมาเจอเอตรงหน้า กำแพงของผมก็อ่อนยวบลง ผมคงทำได้แค่ให้ตัวเองสงบไว้ ทำตัวให้สมเป็นมืออาชีพเสียหน่อย ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เรามาเรื่องงาน โฟกัสที่งานไป อย่าไปคิดเรื่องอื่น ผมบอกตัวเองซ้ำๆ กับภาพด้านหลังของเอที่ปรากฏอยู่ในสายตาตอนนี้ ผมไม่ได้เห็นเขาเสียนานรูปร่างเขาเหมือนจะแน่นขึ้นจากเสื้อสูทเข้ารูปสีเทาเข้มมันเลื่อม มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น เขาดูดีขึ้นมาก ต่างจากผมที่จะโทรมลงไปมาก เวลาช่างโหดร้ายผมมองตัวเองทุกครั้งที่เดินผ่านกระจกประดับที่อยู่ตามเสาของโรงแรม

เอเป็นคนที่ผมหลงไหลมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ผมทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของเขา จนกระทั้งปีสองเขามาขอคบด้วย ด้วยความประหลาดใจที่คิดว่าแจ็คพอตจะมาลงที่ผมได้ เขาเป็นเดือนคณะฯ ที่ใครๆแอบปลื้มและอยากได้มาครอบครองทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ในคณะ (รวมถึงเหล่านางฟ้านางสวรรค์ทั้งหลายด้วย) ผมไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกตัวเองเลยจนกระทั่งเขามาขอคบเป็นแฟน

เขาเคยสารภาพว่าแอบมองเรามานานแล้วและเริ่มเข้าหาเราโดยการขอเป็นรูมเมทด้วย ผมซึ่งไม่เคยอยู่ร่วมห้องกับใครถึงกับยอมให้เขาเข้ามาอยู่ด้วย

หลายเดือนผ่านไปกับการอยู่ร่วมกันในฐานะรูมเมท เขาก็เลยสารภาพรักกับผม ผมยังจำวันนั้นได้ดี วันเกิดของผม วันที่เราใกล้สอบย่อยจนไม่มีเวลาคุยกันเรื่องอื่น แล้วเขาก็หยิบกล่องของขวัญชิ้นเล็กๆ ขึ้นมาให้เป็นของขวัญวันเกิด ผมซึ่งคุ้นเคยกับการเปิดของขวัญของพ่อกับแม่ทุกปีก็เลยรู้สึกเฉยๆ นะครับ เพราะไม่มีอะไรที่อยากได้

ผมแกะห่อกระดาษสีสวยลวดลายริ้วทองรูปดอกไม้ที่ห่ออยู่ถึงสองชั้นก็เจอกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม บอกเลยว่างงมากครับไม่เข้าใจว่าเอซื้ออะไรให้ พอเปิดออกก็พบแหวนเกลี้ยงทองคำขาวที่สะกดชื่อของผมและเขาอยู่ด้านในของตัวแหวน ผมมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ เขาโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ

“ลงทะเบียนตรงนี้ รับป้ายชื่อและเข้าไปนั่งด้านในได้เลยนะ ส่วนชากาแฟทางโรงแรมจัดให้อีกมุมหนึ่งทางฝั่งนั่น”

เอมายืนอยู่ใกล้ผมและทำท่าแนะนำสถานที่จัดงานให้ เสียงและท่าทางที่แปลกไปของเอ ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดในอดีต

“อ้อ.. ขอบคุณครับ”
“เป็นอะไรหรือเปล่าเอิร์ธ ดูเหนื่อยๆ เหม่อๆ”
“ไม่มีอะไร คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” ผมรีบปฏิเสธและรีบเดินออกจากรัศมีรอยยิ้มที่เหมือนแสงสว่างที่ทำให้ผมหลอมละลาย นี่ผมยังมีความรู้สึกกับเขาอยู่หรือเนี่ย  ไม่ได้ๆ ผมจะใจอ่อนกับการที่แค่เขามาทำตัวดีเป็นปกติแบบนี้ไม่ได้ เข้มแข็งไว้เอิร์ธเอ๋ย ผมบึ่งไปที่โต๊ะที่จัดเตรียมชาและกาแฟไว้ให้ ผมชงและซดกาแฟอุ่นๆ ลงคอไปให้ความขมมันไปละลายความหวานที่เกิดขี้นจากอดีตที่ตามมาหลอกหลอนผมตอนนี้ให้จางลงบ้าง

‘แค่สามวัน เอาวะ’ ผมบอกกับตัวเองในใจ

………………………


หลังจากจบการแนะนำตัวและการเกริ่นนำของเหล่าวิทยากร ก็เข้าสู่เนื้อหาและการถกกันเรื่องวิชาการจากวิทยากรที่มีความชำนาญด้านต่างๆ ที่ได้รับเชิญมา ซึ่งไม่แปลกใจที่จะมีชาวต่างชาติอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ผมห่างหายจากการใช้ภาษาอังกฤษมาระยะหนึ่งเลยใช้เวลากับการตั้งสมาธิฟังจนลืมเรื่องราวก่อนที่จะเข้าห้องมาทั้งหมด

จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นเอเดินเข้าทางด้านหลังเหล่าวิทยากรพร้อมยื่นเอกสารปึกหนึ่งให้กับวิทยากรคนไทยคนหนึ่งที่คุ้นหน้าเหลือนเกิน แล้วผมก็นึกออกจนร้อง ‘อ้อ’ ขึ้นมาในขณะที่ทุกคนรอบๆ ผมที่กำลังตั้งใจฟังหันมามองผมเป็นตาเดียว

ผมรีบผลุบหน้าก้มลงต่ำด้วยความอาย ในที่สุดผมก็นึกออกเพราะรอยยิ้มที่เขาส่งให้เอ ผมจำรอยยิ้มนั้นได้ รอยยิ้มภายในผ้าห่มบนเตียงนอนของเอในวันนั้น ไม่แปลกที่ผมจะจำเขาในทันทีไม่ได้ก็ตอนเจอกันครั้งแรกในระยะประชิด เขาไม่ได้สวมใส่อะไรเลยนี่นา ผมเผ้าก็ไม่ได้จัดทรงดีและก็ไม่ได้อยู่ในชุดที่ดูภูมิฐานขนาดนี้

ผมรีบรื้อค้นเอกสารสูจิบัตรที่ได้มาตอนลงทะเบียน ค้นหาประวัติวิทยากรผู้นั้น

“นพ.ต่อพงษ์ อาริยะพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล……  นี่มันโรงพยาบาลที่เอไปใช้ทุนอยู่นี่!! แล้วเรื่องราวที่ผมสงสัยมาตลอดว่าเขาพบกันได้อย่างไร ใกล้ชิดกันได้อย่างไรก็ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น (ส่วนใหญ่เป็นการมโนไปไกล) หมอหนุ่มหน้าตี ดีกรีผู้บริหาร มาจีบเช้าจีบเย็นมันต้องมีใจอ่อนกันบ้าง หรือว่าฝ่ายเอเองที่ไปเริ่มก่อน ผมเริ่มคิดไปไกลจนตามเนื้อหาที่เหล่าวิทยากรถกกันไม่ทัน ไม่ได้ๆ ผมต้องรีบให้ตัวเองกลับมาก่อนที่จะเสียงาน แต่มันก็ยากเหลือเกินเพราะภาพบาดตานั่นมันอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน

………….

เสร็จสิ้นวันแรกของการสัมมนาเสียที ผมแทบลากเดินออกจากห้องอย่างหมดแรง จริงๆ ก็เหนื่อยตั้งแต่กลางวันที่ผมพยายามหลบแฟนเก่าอย่างเอ ไม่ให้เขาเห็นเพราะเหมือนเขาจะพยายามมานั่งกินมื้อเที่ยงด้วยกัน ผมบอกตามตรงเลยว่ายังไม่สนิทใจพอที่จะทำอย่างนั้นต่อหน้าคนรักใหม่ของเขา (แม้ว่าโต๊ะวิทยากรจะมีที่นั่งพิเศษแยกไป ไม่ถึงขั้นจะพาคุณต่อพงษ์มากินด้วยกัน แต่ไม่เอาดีกว่า)

ตอนเย็นก็เช่นกันผมหลบเขาสำเร็จและแอบไปขนของตัวเองขึ้นที่พักที่ทางสัมมนาจัดไว้ให้ (เขาให้ทำตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว แต่ผมหลบไปมาเลยมาเช็คอินขอกุญแจไม่ทัน) ผมเดินไปขอกุญแจที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์สาวสวยของที่นี่ เธอบอกว่ารูมเมทของผมมารับไปแล้ว เธอเลยอาสาที่จะโทรศัพท์ไปเช็คที่ห้องว่ารูมเมทของผมยังอยู่หรือเปล่า

‘รูมเมท’ เออ! จริงสิมางานแบบนี้คงไม่สามารถนอนคนเดียวได้สินะ ผมหวังว่าจะได้รูมเมทดีๆ นะ หากได้คนแย่ๆมาอยู่ด้วย การมาสัมมนาครั้งนี้คงเป็นความทรงจำแย่ๆ ของผม

“คุณผู้ชายคะ รูมเมทของคุณอยู่ที่ห้องคะ เชิญขึ้นไปเก็บของได้เลยคะ ดิชั้นแจ้งกับคุณผู้ชายอีกท่านหนึ่งไว้ให้แล้วคะ ห้องอยู่ที่ชั้น 7 นะคะ ห้องเลขที่ 7069 คะ”
“ขอบคุณครับ”
“ยินดีที่ให้บริการคะ” ประชาสัมพันธ์สาวสวยยิ้มหวานให้ก่อนจะกล่าวต้อนรับลูกค้าคนถัดไป ที่น่าจะเป็นกรณีเดียวกับผม

ผมเดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาจนถึงเกือบสุดทางเดินของห้องพักของโรงแรม ที่นี่มีขนาดใหญ่กว่าที่คิด ผมหอบเล็กน้อยเมื่อเดินมาถึงห้องหมายเลข 7069

ผมเคาะสามครั้งตามมารยาท

“ขอโทษนะครับ ผมเป็นรูมเมทของคุณครับ”

มีเสียงตอบจากไกลพร้อมเสียงกุกกักเหมือนกำลังรื้อข้าวของในกระเป๋าอยู่ ระหว่างรอประตูเปิดผมสำรวจทางหนีไฟที่ปลายทางเดินซึ่งเป็นนิสัยของผม ที่สุดทางเดินไม่ไกลจากจุดที่ผมยืน กั้นผนังเป็นกระจกใสที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลยามค่ำคืนที่คราคร่ำไปด้วยแสงไฟจากแหล่งท่องเที่ยวและรีสอร์ตต่างๆ รวมไปถึงดวงไฟสีเขียวระยิบระยับจากทางท้องทะเลสีดำมืดที่คาดว่าเกิดจากเรือประมง ผมหลงไหลทะเลมาก ไม่เคยเบื่อเลยที่มองเห็นมันไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม

“เข้ามาสิ ให้ช่วยขนของไหม?” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมเสียงเปิดประตู
“เอ!!” คนที่ผมอุตส่าห์หนีมาทั้งวันดันมาเป็นรูมเมทห้องตัวเอง

“มา!! เราช่วย” เอซึ่งอยู่สภาพเสื้อยืดบางๆ และบ๊อกเซอร์ลายทางก้าวออกมาหยิบกระเป๋าผมลากเข้าไปในห้อง
“เฮ้ยไม่ต้อง! เดี๋ยวนะ นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง?”
“ก็เป็นรูมเมทนายไง”
“เออ รู้แล้ว หมายถึงนายไม่ไปนอนกับอาจารย์ต่อพงษ์รึ?”
“อ้อ! พี่ต่อ พวกวิทยากรเขาจัดให้พักอีกโรงแรมหนึ่งน่ะ ที่หรูๆ ตรงนั้นไง” เอพูดพลางทำท่าชี้ไปทางระเบียงห้องที่เปิดผ้าม่านอยู่ตอนนี้
“แล้วทำไมไม่ไปนอนกับเขาล่ะ” ตอนนี้ผมเข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้วแต่พยายามทิ้งระยะห่าง
“มันดูไม่ดีที่จะให้ผู้ติดตามไปอยู่ด้วยน่ะ เราเลยขอพี่ต่อแกมานอนร่วมกับคณะผู้ร่วมงานสัมมนา” เอยักไหล่ใหญ่ๆ ของเขาหนึ่งครั้งเบาๆ
“………” ผมมองสภาพห้องที่เป็นเตียงคิงไซส์ขนาดใหญ่ที่พอจับมันมาอยู่ตรงกลางแบบนี้ทำให้ดูห้องแคบลงไปมาก มันดูไม่สมส่วนกับขนาดของห้องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสกระทัดรัดแบบนี้ อยากเห็นหน้าคนออกแบบห้อง แต่ตอนนี้อยากเห็นหน้าคนจัดคนสัมมนาลงในแต่ละห้องก่อน
“หากไม่สบายใจ เรานอนพื้นได้นะ เดี๋ยวเอาผ้ามาปูนอน”
“ไม่เป็นไร นอนข้างบนก็ได้ เราไม่ถือ!” ผมใส่น้ำเสียงประชดเล็กน้อยลงที่ปลายประโยค กับท่าทีที่ดูเป็นมิตรเกินไปของอีกฝ่าย
“ดีเนอะ เราจะได้นอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน” เอนั่งบนเตียงแล้วหันมายิ้มให้
“……….” ผมไม่คิดจะตอบประโยคบอกเล่าเชิงคำถามนั่น ใครจะไปยินดีกับการนั่งนึกเรื่องดีๆ ที่เรามีให้กันในขณะที่ไอ้คนพูดมันทำผมเจ็บปางตาย
“เราช่วยจัดของไหม?” เอมองผมขณะที่ผมหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาเปิดเพื่อจัดของบนเตียง
“ไม่เป็นไรเราทำเองได้” ผมยกมือขึ้นปรามและแสดงสีหน้าที่เขาน่าจะรู้ว่าควรเชื่อสิ่งที่ผมพูดจะดีกว่า เขาน่าจะคุ้นเคยดี
“โอเคๆ” กล่าวเอ่ยขึ้นพร้อมล้มตัวลงนอนพิงหัวเตียงและมองปมทำนู่นนี่ด้วยสายตาอมยิ้ม
“ใครทำเรื่องจัดห้องพักวะเนี่ย?” ผมเอ่ยขึ้นลอยๆ ด้วยความหงุดหงิดระหว่างระบายของออกจากกระเป๋าและนำมาเก็บเรียงใหม่ตามโต๊ะและตู้ของห้องพัก
“อ้อ.. บังเอิญเรารู้จักคนดูแลเรื่องการจัดที่พักน่ะ เลยไหว้วานเขานิดหน่อย”
“………” ผมหยุดทำทุกอย่างและมองหน้าเขาด้วยความทึ่งปนหงุดหงิด
“นายยังเรียบร้อยเหมือนเดิมเลยนะ”
“นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?”
“ก็คิดถึงเพื่อนน่ะ คิดถึงบรรยากาศเดิมๆ”
“แต่เราว่ามันเร็วไป ที่จะสนิทสนมกันเหมือนเดิมหลังจากเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด”
“นายยังไม่หายโกรธเราจริงๆ ด้วย”
“ไม่โกรธแล้ว!!  แต่…….แค่… ยังทำใจไม่ได้” ผมจะเสียงแผ่วไปเพื่ออะไรวะ?!
“งั้น เราขอโทษนะ วันนี้คงเปลี่ยนห้องไม่ทันแล้วล่ะ งั้นพรุ่งนี้เราจัดการให้นะ”
เอมีสีหน้าซีดลง ความร่าเริงเมื่อครู่เหมือนภาพลวงตากลางทะเลทรายเลย มันหายวับไปกับตาทำเอาผมใจหายไปด้วยกับภาพตรงหน้า ผมไตร่ตรองเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะตัดสินใจพิสูจน์ให้เอเห็นว่าผมเองก็เติบโตขึ้นกว่าแต่ก่อน พิสูจน์ว่าเรื่องแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้ ผมเป็นมืออาชีพพอที่อยู่ร่วมกับเขาได้ในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว พิสูจน์ให้เห็นว่าผมอยู่เหนือเขาได้แล้ว
“ไม่ต้องหรอก แค่นี้เอง เราอยู่ได้ โตๆ กันแล้ว ควรจะแยกแยะได้ อย่าให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลย”
“ขอบใจนะ” เหมือนเอจะแอบยิ้มที่มุมปากครู่หนึ่งแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ผมขอตัวไปอาบน้ำเพื่อนอนเอาแรงสำหรับเนื้อหาในวันรุ่งขึ้นดีกว่า

ผมนอนพลิกไปมาในความมืด ขวาก็เจอขอบเตียงและตู้เสื้อผ้า ซ้ายก็เจอหมอนอิงตามโซฟาที่ผมเอากองกั้นพื้นที่ระหว่างผมและเอ ถึงจะปากเก่งยังไงผมก็กลัวถ่านไฟเก่ามันจะคุได้หากใกล้ชิดกันเกินไป ผมรู้สึกถึงสัมผัสมือที่ไล่ลามขึ้นมาทางฝั่งขวามาจับที่แขนผม ผมลืมตายกหัวขึ้นมองเห็นเอนอนหันหลังให้ผมอยู่ อ้าว!! แล้วนี่มือใครล่ะเนี่ย ความกลัวขึ้นมาครอบงำจิตใจของผมทันที แย่แล้ว!! หรือเพราะผมรีบร้อนไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน หรือว่าผมกำลังจะเจอสิ่งลี้ลับของที่นี่เข้าจู่โจมเสียแล้ว แต่ผมยังคงขยับตัวได้ ผมฝืนใจตัวเองหันไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่อธิบายไม่ได้นั่น สิ่งที่ผมเห็นคือหน้าของหลงที่ยิ้มมาให้ผมด้วยสายตาหื่นกระหาย เขาโถมตัวเองลงมาเบียดผมที่เตียง ใช้มือลูบคลำร่างกายผมเท่าที่เขาต้องการ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า ผมไม่สามารถขยับตัวได้แล้ว มือของหลงกำลังไล่ลงตำ่เรื่อยๆ จนไล่ไปถึงใต้กางเกงนอนขายาวผ้าฝ้ายของผม มือถูกสอดลงไปช้าๆ จนผมรู้ถึงนิ้วทุกนิ้วของเขาที่ค่อยไล่คลำทุกส่วนลำของผม ร่างกายเจ้ากรรมก็ดันตอบสนองได้ไม่ตรงกับใจที่ปฏิเสธเต็มที่ ผมขยับตัวไม่ได้ ได้แต่ส่งเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมเตียงแต่ไร้วี่แววที่เขาจะรู้สึกตัว หน้าที่หื่นกระหายของหลงยังลอยวนเวียนที่หน้า ผมรู้ว่าแม้หน้าตาจะเป็นหลงแต่กลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป รู้สึกอัดอัดไม่ชอบและรังเกียจ

แฮ่กๆๆๆๆๆ ผมลืมตาภายใต้ความมืดของห้องพักในโรงแรม  รู้สึกตัวเองอยู่ภายใต้ผ้าห่มหนา 2 ชั้น ภาพใบหน้าของหลงหายไปแล้ว ผมถอนหายใจยาวๆ กับตัวเอง ‘ฝันเหรอเนี่ย?’ ผมพูดกับตัวเอง

“อ๊า…..”

อยู่ๆ ผมก็ร้องเสียงที่น่าอายออกมาจาการรู้สึกถึงสัมผัสจากความฝันมันยังคงอยู่  ผมรู้สึกถึงมือหยาบใหญ่กำลังลูบไล้ ลูบคลำรอบๆ บริเวณหน้าอกและไล่ขึ้นลงที่ช่วงล่างสลับกัน ผมมองรอบๆ ทันที หมอนที่กั้นอยู่อันตธานหายไปแล้ว  เพื่อนร่วมเตียงหายไป มีแต่เงาตะคุ่มๆ ในผ้าห่ม ผมเปิดผ้าห่มที่คลุมโปงชายร่างกำยำในสภาพกอดก่ายร่างกายผมอย่างไม่เกรงใจ เขาสัมผัสทุกส่วนที่ผมคิดว่าเขาไม่ควรสัมผัส หากนี่เป็นการละเมอ ผมว่าอาการมันจะหนักเกินไป ผมรีบผลักเอออกจากร่างผมทันที

“โอ้ย!!!”
“ทำอะไรนะ?”
“ขอโทษนะ เราเห็นนายแล้วมันคิดถึงน่ะ เราอดใจไม่อยู่”
“ก็เลยมาลักหลับเรา?”
“เห็นนายไม่ปฏิเสธที่จะนอนห้องเดียวกันนึกว่า.... เรานึกว่ายังอยากเป็นเหมือนเดิม” ผมฟังประโยคนี้แล้วนึกโกรธตัวเองที่ร่างกายดันตอบสนองอย่างดี ตอนนี้มันยังไม่สงบเลย หัวใจก็ยังเต้นรัวไม่หยุด
“ไหนนายบอกกับเราว่า….”
“โอเคๆ เข้าใจแล้ว เราผิดเอง เราผิดเองที่ห้ามใจไว้ไม่ได้”
เอรีบตัดบทผม
“……..” ผมแสดงความไม่พอใจออกทางสีหน้าจนผมรู้สึกว่าคิ้วผมคงพันกันยุ่งไปหมด
“เราขอโทษ นอนเหอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
“ก็ได้ แต่วันนี้นายลงไปนอนข้างล่างก่อน จนกว่าเราจะหายโกรธ”
“โหย… เราขอโทษ เรานอนไม่หลับแน่ๆ สาบานว่าจะไม่ทำแล้ว” เขายืนขึ้นยกนิ้วขึ้นสามนิ้วสัญญาเหมือนลูกเสือสามัญ แสงจากภายนอกทำให้เห็นเอในชุดนอนของเขาชัดเจนระดับหนึ่ง จากระดับสายตาของผมดันไปจ้องตรงเสาธงกลางลำตัวเอที่ดันกางเกงขึ้นมาจนตึงเห็นหน้าตาน้องชายของเขาชัดเจน

“เออๆๆ  พอเลย นอนเถอะ ง่วงจะแย่สัญญาแล้วนะ” ผมสบัดทิ้งตัวลงนอนทันทีและกระชากผ้าห่มมาคลุมตัวนอนนิ่งๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ทำตาม เขายอมนอนนิ่งๆ จนผมวางใจหลับไปอีกครั้งด้วยความเพลีย ก่อนที่สติจะหลุดเข้าไปในความมืดของห้วงนิทรา หน้าของหลงลอยมาในหัวผมรู้สึกคิดถึงเขาขึ้นมาทันที รู้สึกผิดที่หนีเขามาแบบนี้และอยากให้เขามาอยู่ใกล้ตรงนี้จัง

…………………………...
เดี๋ยวกลับมามีต่อนะ ตรวจคำผิดไม่ไว้แล้วตอนนี้ยาวอ่ะ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
(ต่อ)

ผมตื่นก่อนเสียงมอร์นิ่งคอลดังขึ้นปลุกเสียอีก เพราะการไม่มีความสุขในการนอนนี่แหละ ผมหลับไม่สนิทตลอดคืน เพราะไอ้คนหื่นที่มันนอนข้างๆ นี่แหละ ผมรีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จก่อนที่เอจะตื่น เตรียมของให้เรียบร้อยและรีบเดินออกจากห้องทันที โชคดีที่ห้องอาหารของที่นี่เปิดให้กินอาหารเช้าแล้ว ผมเลยพาตัวเองไปนั่งหาอะไรเข้าท้องไปเรื่อยๆ รอเวลาอบรม

ณ เวลานี้ยังไม่มีใครมาถึงห้องอาหารเลย ผมเลยใช้เวลากับสมาร์ทโฟนตรงหน้าอย่างเต็มที่ก่อนที่จะไม่ได้ใช้ในช่วงสัมมนา ผมเปิดเฟซบุ๊คนั่งไล่ดูไทม์ไลน์ของเพื่อนๆ และมือก็เผลอไปกดที่ค้นหา หลง มังกร อย่างไม่ตั้งใจ ในหน้าฟีดของเขาไม่มีความเคลื่อนไหวๆ ใด เหมือนไม่ได้อัพเดทอะไรเลยนับตั้งแต่ที่พาเขาไปเลี้ยงช่วงอ่านหนังสือสอบ (ไอ้ร้านชาบูคนล้นนั่น)   ผมปิดแอปพริเคชั่นนั่นและเปิดแอปพริเคชั่นไลน์ต่อเพราะมีตัวเลขขึ้นที่มุมขวาบนของแอปฯ นั่นหลายร้อยแสดงอยู่

ข้อความมากกว่า 30 ข้อความมาจาก Long_Mungkorn นี่ขนาดให้อ่านหนังสือสอบยังมีเวลาไลน์มาหาขนาดนี้ ผมกดเข้าไปดูก่อนอย่างไม่ลังเลด้วยความเคยชิน เป็นข้อความเลี่ยนๆ ของเด็กมัธยมใจแตก ผมยิ้มออกมาพร้อมส่ายหน้ากับข้อความเหล่านั้น ช่วงนี้ผมเหมือนคนบ้าที่ยิ้มให้กับโทรศัพท์บ่อยๆ แต่ผมไม่ตอบกลับไปหรอกนะ เพราะผมเคยบอกแล้วว่าตั้งใจสอบก่อน อย่าเอาเวลามาเสียกับเรื่องพวกนี้ นับจากนั้นผมก็ไม่เคยตอบข้อความเขาหรือแม้แต่รับสายจากเขาเลย (อ่านอย่างเดียว) แต่ถึงอย่างนั้นหลงก็ตื้อที่จะเขียนข้อความมาทักทายและเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังทั้งวัน (ทีเรื่องแบบนี้ขยันเชียว)

ส่วนตัวเลขอื่นๆ มาจากกลุ่มเพื่อนๆ สมัยเรียนและ ไอดีที่ผมไม่คุ้นที่ส่งมาเกือบสิบข้อความ ส่วนใหญ่ส่งเป็นสติ้กเกอร์ ผมอ่านไปที่ข้อความล่าสุดที่ส่งมา

The Cloud: “ไปแล้วเหรอ? อยู่ไหนเนี่ย?”
The Cloud: สติ้กเกอร์กระต่ายร้องไห้
The Cloud: สติ้กเกอร์หมีร้องไห้
The Cloud: สติ้กเกอร์หมีเศร้า
และอื่นๆอีกมากมาย

‘ใครวะ? รูปก็ไม่มี’ ผมคิดในใจ
“อยู่นี่เอง” เสียงคุ้นหูจากด้านหลังดังขึ้น
“…….” ผมหันไปทางต้นเสียง พบชายหนุ่มในชุดสูทเต็มยศเหมือนวันแรกที่ผมเจอเขาแต่เป็นตัวใหม่อีกสีหนึ่งวันนี้มาชุดสีน้ำตาลเข้มสไตล์เวอร์ซาเซ่ เขาเอามือแตะไหล่ผมและลงนั่งข้างๆ
“ทำไมลงมาเร็วจัง กลัวเราปล้ำตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไง”
“…………” เออใช่! เป็นคำตอบแรกที่ผุดขึ้นมาแต่ผมได้แต่นิ่งเฉยกับคำถามทั้งหลายที่ถาโถมเข้ามาต่อจากนั้น  สุดท้ายผมทำไม่สนใจและสนุกกับการอ่านไลน์ของหลงต่อ (เมื่อวานเขียนมายาวมาก) เอบอกกับผมว่าจะไปหาอะไรกินก่อนแล้วเดินหายไป

ครึ่ดๆ

เสียงโทรศัพท์สั่นบนมือผมทำให้ผมตกใจเล็กน้อย ที่มุมบนมีกล่องแสดงข้อความใหม่แสดงให้เห็น จากคนที่ชื่อ ‘The Cloud’  อีกแล้ว ผมสัมผัสกล่องข้อความนั่นโดยอัตโนมัติ


The Cloud: “เดี๋ยวนี้ติดโทรศัพท์เป็นเด็กเลยนะ”

แล้วก็มีรูปผมกำลังก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนจอใหญ่สีแดงอย่างตั้งใจอยู่ต่อจากข้อความนั้น

นี่มันรูปเวลานี้เลยนี่ ผมมองไปรอบๆโต๊ะอาหารทันที ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามากินมื้อเช้าแล้ว แต่ที่สะดุดตาผมคือ เอที่ถือโทรศัพท์และหัวเราะมาทางผม

“นายนี่เอง!!”
“ใช่ เราเปลี่ยนเบอร์และแอคเคาท์ในไลน์แล้ว ถึงไม่เห็นรูปโปรไฟล์แต่เห็นชื่อก็น่าจะเดาออกบ้างนะ”
“The Cloud เนี่ยนะ?!”
“ชื่อเราไง วาริธร แปลว่า เมฆ”
“!!!” นั่นสิผมลืมไปเลย
“อย่าบล็อกเราเลยนะ เรามาอย่างสันติจริงๆ” เขายิ้มเรียบๆแสดงความจริงใจด้วยใบหน้าจริงจัง
“โอเค ทีหลังก็ทักก่อนสิว่าเป็นใคร เราไม่ค่อยแอดรับใครใหม่นะ” ผมใจอ่อนกับรอยยิ้มนั่นทุกครั้ง

ความจริงผมก็ใช้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ ไอ้ไลน์อะไรเนี่ย ทุกวันนี้ที่รู้จักการเพิ่มรูป เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ก็เพราะหลงนี่แหละ ส่วนบล๊อกเนี่ยรู้สึกจะจำไม่ได้แล้ว

“เออ เราลืมไปเราขอโทษ”
“รู้สึกได้ยินคำนี้บ่อยจังช่วงนี้” ผมแขวะเขาก่อนจะเดินจากไป ลงทะเบียนสัมมนาตอนเช้า ผมไม่อยากใกล้ชิดกับเขามากกว่านี้ มันทำให้ความรู้สึกเดิมๆ กลับมา และ ผมก็เริ่มพูดกับเขามากขึ้นเหมือนเดินโดยไม่รู้ตัว

วันนี้ที่งานสัมมนานอกจากจะพยายามยัดเนื้อหาทั้งหมดเข้าไปในหัวที่เบาหวิวจากอาการนอนน้อยของผมแล้ว ช่วงเที่ยงผมยังต้องคอยหลบเอที่พยายาม จะตามมาอยู่กับผมทุกครั้งที่มีโอกาสจนกระทั่งช่วงเลิกสัมมนาในเย็นวันนี้ เขาเหมือนจะรู้ว่าผมควรจะหลบออกมาทางไหน เขารู้จักผมดีเกินไป เป็นอีกครั้งที่ผมหลบเขาไม่พ้น

“เหนื่อยหน่อยนะวันนี้เลิกเสียดึกเลย”
เอพูดขึ้นขณะเดินตามผมมาติดๆ ในขณะที่ผมเดินก้าวเท้าอย่างเร็วเพื่อไปขอกุญแจห้องพักที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อที่จะได้เข้าห้องก่อนเอ แต่อนิจจา…. คนเข้าคิวกันยาวเลย ทุกคนคงรู้สึกเหมือนกันคืออยากพักผ่อนกันแล้ว เพราะขนาดมื้อเย็นที่จัดให้ยังมีเวลากินกันเพียงครึ่งชั่วโมงเพื่อกลับเข้ามาเก็บเนื้อหาให้จบในช่วงท้าย พรุ่งจะได้สามารถเลิกตรงเวลาได้ (พรุ่งมีเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งวัน)

ผมมองนาฬิกาบนข้อมือตัวเองที่เข็มสั้นเดินทางล่วงเลยมาค่อนมาทางเลข 9 แล้ว ผมถอนหายใจว่าถ้าวันนี้เป็นวันทำงานผมจะทำอะไรอยู่นะ จะยังออกตรวจอยู่ไหม? หรือว่าตอนนี้กำลังขับรถไปส่งหลงที่บ้าน ความคิดล่องไปไกลจนกระทั้งตัวผมเองเดินมาถึงหน้าเคาเตอร์แบบไม่รู้ตัว

“ห้องเบอร์อะไรคะ?”
“เอ้อ…อ้อ.. 7069 ครับ” ผมหลุดออกจากห้วงความคิดตัวเองอย่างกระทันหันเลยตอบไปแบบลิ้นรัว
“…ฮิฮิ…. เหม่อแบบนี้คิดถึงแฟนหรือคะ? นี่กุญแจห้องคะ” สาวสวยที่ปฏิบัติหน้าที่ที่เคาเตอร์ หัวเราะเบาๆ กับท่าทีของผมและแอบแซวจนผมไม่กล้ามองเธอ
“แฟนก็ยืนอยู่นี่แล้วไง!” เสียงดังจากทางด้านหลัง ทำให้เจ้าหน้าที่สาวด้านหน้ายิ้มปิดปากอย่างเขินอาย เอที่ยืนกล้ามแน่นในชุดหรูหล่อยืนยิ้มให้ผมอย่างมีเสน่ห์

“อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ!”
ผมดุตาเขียวกลับไป มันเป็นคำพูดประเภทที่เขาชอบใช้เวลามีคนมาจีบผมหรือมาวอแวกับผม ผมรับกุญแจและเดินสาวเท้าด้วยความเร็วเพราะอายกับเหตุการณ์ที่เกิด เอพูดเสียงจนทั้งล้อบบี้น่าจะได้ยินจนหมด

ผมเดินไปถึงลิทฟ์ที่คนกำลังทยอยเข้าไปจนเกือบเต็ม ผมใช้ความพริ้วของผมแทรกตัวเข้าไปเป็นคนสุดท้ายพอดี เอที่เดินตามมาเลยต้องสะดุดด้วยสีหน้าผิดหวัง ผมแอบยิ้มที่มุมปากเล็กๆ

ในลิทฟ์ที่แน่นเนืองไปด้วยผู้มาสัมมนา ด้วยความที่แทรกตัวเข้ามาโดยไม่ได้มองสภาพแวดล้อมทำให้ผมรู้สึกอึดอัดกับท่าที่ผมยืนอยู่ ผมขยับตัวเล็กน้อยจนเผลอไปเหยียบเท้าคนๆหนึ่งในลิทฟ์ที่ยืนติดกันอยู่

โอ้ย!!!

เขาร้องเสียงหลง

“ขอโทษครับ”
ผมพูดขอโทษพร้อมกับมองคนที่ผมเหยียบไป เป็นชายร่างสูงสัก180กว่า (สูงมาก) หน้าตาดีเหมือนหลุดออกมาจากแม็กกาซีน  เขาห้อยป้ายชื่อเหมือนผมเลยเดาว่าน่าจะเป็นวิชาชีพเดียวกัน ผมยิ้มให้และเผลอมองไม่ละสายตา เขาเองก็ยิ้มกลับมา
“ไม่เป็นไรครับ” เขาพูดด้วยสีหน้าเป็นมิตร
“มาสัมมนาเหมือนกันหรือครับ?” ผมหลุดถามไปทั้งที่รู้อยู่แล้ว ตัวก็ชิดกันเพราะลิทฟ์มันค่อนข้างแน่น
“อืม..ครับ เยอะกว่าที่คิดนะเนี่ย เหนื่อยจนอยากลาออกไปขายข้าวแกง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขนาดนั้นเลย” เขาก็หัวเราะตามผมเบาๆ รอยยิ้มของเขาช่างดูคุ้นเคย เหมือนหลงมากๆ เวลาเล่นมุกเสี่ยวแบบนี้
“โอ้ย!! คุณทำอะไรน่ะ” คู่สนทนาของผมอยู่ๆ ก็ร้องขึ้นมาและหันไปคุยกับคนที่ตัวเล็กกว่าอีกข้างหนึ่งของเขา

“โอเคครับๆ ไม่คุยในลิทฟ์ก็ได้ครับ”
“……โอ๊ะ…” คงร้องเพราะโดนหยิกที่ท้องอย่างแรง (จากมุมที่ผมยืนอยู่ได้แต่เดาเอา) เลยทำให้เขาสะดุ้งถอยมาปะทะผม
“ขอโทษนะครับ แฟนผมดุ”
“……เอ่อ. ไม่เป็นไรครับ……” ผมได้แต่ยิ้มตอบไป มีแฟนอย่างเขาเป็นผมก็คงต้องหวงแหละ
“ถึงแล้วไปก่อนนะครับ” แล้วเขาก็ลากผู้ชายตัวเล็กกว่าที่ดูบอบบาง ใส่เสื้อผ้าลำลองเข้ากับสีผิวที่ขาวละเอียด หน้าตาหวานๆ น่ารักๆ ออกไปจากลิทฟ์ ท่าประสานมือที่นิ้วประสานกันนั้น ช่างดูอ่อนโยนลึกซึ้ง เห็นแบบนี้แล้วทำให้ผมชักอยากมีความกล้าหาญได้แบบนี้มั่งจัง

ไม่นานผมก็มาถึงจุดหมาย ผมไขประตูเข้าห้องพร้อมวางแผนที่เอาตัวรอดในคืนนี้กับหมาป่าที่หื่นกระหายอย่างเอ ที่พร้อมจะมาหาเศษหาเลยกับแฟนเก่าอย่างผมตลอด ผมไม่เข้าใจความโลภมากของเขาเลย

…………………..

เช้าวันนี้ผมตื่นมาด้วยความภูมิใจในตัวเองที่สามารถแก้ปัญหาเมื่อคืนไปได้อย่างดี ผมใช้วิธีขอเตียงเสริมมา (เพิ่มเงินเองนิดหน่อยไม่ใช่ปัญหา) อยากดัดนิสัยที่เอาแต่ได้ของเขา ผมหยิบปืนไฟฟ้าเข้าข่มขู่เขาตอนก่อนจะนอน (เรื่องอุปกรณ์ป้องกันตัวมันติดเป็นนิสัยเวลาออกต่างจังหวัด) ซึ่งก็ได้ผลดี เมื่อเราต่างคนต่านอนบนเตียงขอเรา ถึงแม้ผมจะแอบนอนไม่หลับเวลาเขาขยับตัวหรือลุกไปห้องน้ำ ผมมองตามการเคลื่อนไหวของเขาและกำอาวุธแน่น  ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีจนถึงเช้า

เมื่อคืนวุ่นวายจนผมไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย เช้านี้ผมเลยจัดการหยิบขึ้นมาอ่านเสียหน่อย ผมต้องตกใจว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากหลงอยู่จำนวนหนึ่ง

“โทรมาหาทำไม?” ผมรำพึงกับตัวเอง
อ้อ!!! เมื่อวานวันศุกร์! วันสอบวันสุดท้าย!!
เขาคงโทรศัพท์มาหาตามข้อตกลงของเราว่าให้โทรศัพท์หาผมได้หากสอบเสร็จ

แต่ก็แปลก!!!  ที่ไม่ได้มีข้อความอะไรจากเขาเลย มันเงียบเกินไป การที่ผมไม่ตอบเลยมันน่าจะทำให้เขาหงุดหงิดจนน่าจะโทรศัพท์มาซ้ำๆเป็นร้อยจนกว่าผมจะรับสาย หรือส่งข้อความมาทุกเส้นทางเพื่อให้ผมตอบสนองบ้าง

ผมรู้สึกกระวนกระวายจนมื้อเช้าวันนี้ไม่อร่อยเหมือนเมื่อวาน
 ‘หรือเขาจะรู้เรื่องที่ผมหนีมาสัมมนาแล้วไม่บอกเขาแล้ว…. คงจะโกรธ…..’ ตอนนี้ในหัวผมคิดไปร้อยแปด แต่คงต้องจดจ่อกับการสัมมนาที่เหลือก่อน ผมรวบรวมสมาธิและไปที่ห้องสัมมนาทันที

วันนี้เป็นวันที่สงบสุขกว่าทุกวันเพราะไม่มีคนมาตามวอแวแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี สงสัยจากที่ผมเล่นบทโหดไปเมื่อวานทำให้เอไม่กล้ามายุ่งกับผมแล้ว ผมภาวนาให้การสัมมนาภาคเช้านี้เสร็จเร็วกว่ากำหนด ผมจะได้รีบบึ่งกลับไปเคลียร์ปัญหาที่คาใจอยู่ให้หายไป

แต่….โชคไม่เคยเข้าข้างผมเลย กว่ากล่าวปิดการสัมมนา พิธีการพูดคุยทักทายหลังการสัมมนา กว่าจะเรียบร้อยก็ใช้เวลาไปเกือบบ่ายสาม (เข้าใจแล้วที่ตอนเช้า เจ้าหน้าที่จัดงานแจ้งให้เก็บสัมภาระลงกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนลงมา เพราะคิดไว้แล้วว่าต้องเลิกช้า)

ผมรีบวิ่งไปที่ล้อบบี้เพื่อหากระเป๋าที่ทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรมนำลงมาเรียงไว้ให้ สำหรับคนที่ต้องการเดินทางกลับเลย แต่สำหรับบางห้องที่ต้องการที่จะพักต่อโดยการออกค่าใช้จ่ายเองก็จะไม่ได้นำลงมา ซึ่งผมได้ยินจากหน้าห้องสัมมนาที่มีเจ้าหน้าที่โรงแรมมายืนประกาศแจ้ง

ผมเดินวนหากระเป๋าแซมโซไนท์สีเงินใบใหญ่ของผมอยู่สองรอบก็หาไม่เจอ

“ไม่ทราบว่า กระเป๋าของห้อง 7069 อยู่ไหนครับ?” ผมเดินไปถามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลกระเป๋าอยู่
“อืม…. ห้อง 7069…. 7069…” เจ้าหน้าที่คนนั้นหยิบคลิปชาร์ตขึ้นมาพลิกแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ที่หนีบอยู่สองสามรอบ
“รู้สึกห้องนี้จะขออยู่ต่อนะครับ ทางเราเลยไม่ได้เอากระเป๋าลงมาครับ และไม่มีการแจ้งให้ขึ้นไปเก็บกระเป๋านะครับ”
“อ้าว.. เหรอครับ โอเค สงสัยเพื่อนพี่คงอยู่ต่อ เดี๋ยวพี่ไปเอากระเป๋าเอง” ผมรีบผละออกจากจุดนั้นวิ่งไปขึ้นลิทฟ์ทันที ผมเองก็ไม่อยู่เห็นว่าเอได้เก็บของหรือเปล่าในช่วงเช้า เลยไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ต่อ และวันนี้สมองผมก็วุ่นวายจนลืมเรื่องกระเป๋าไปชั่วขณะ

ในที่สุดผมก็ถึงหน้าห้อง 7069 เสียทีด้วยท่าทีที่หอบจนแทบหายใจไม่ออก ไม่เคยรีบขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ขณะที่ผมกำลังจะเคาะประตูห้อง (คิดว่าเอน่าจะอยู่ ตอนขึ้นมาก็ไม่ได้โทรเข้าห้องก่อน) อยู่ก็มีมือๆ หนึ่งจากข้างหลังมาจับมือผมไว้และโอบกอดทางด้านหลังอย่างร้อนแรง

“เฮ้ย!!” ผมร้องสุดเสียงทั้งที่ยังคงหอบอยู่
“อย่าร้องสิ!” คนที่โอบรัดผมอยู่พูดข้างๆหู
“เอ!!! ทำอะไรน่ะ?”
“ก็ทำอย่างที่อยากทำมาตลอดสองสามวันนี้ไง!!”
“จะบ้าเรอะ!! นี่มันกลางทางเดินเลยนะ” ผมพยายามดิ้นรนแต่แรงที่ยังเหลืออยู่น้อยนั้นสู้เอไม่ได้เลย
“งั้นเราไปทำกันต่อในห้อง” เขาขยับตัวนิดหน่อยตัวผมก็เคลื่อนไปจนเกือบชิดประตูห้อง
“ไม่เอาโว้ย!! ไอ้บ้า” ผมพยายามแกะมือที่พัวพันผมอยู่ให้ออกไปในขณะที่ต้นคอของผมก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่ถูไถและลมหายใจอุ่นๆ ที่พุ่งเข้าใส่อย่างเป็นจังหวะเหมือนเครื่องจักรไอน้ำ
“เอาน่า เรารู้ว่าเอิร์ธเองก็ต้องการ”
“ไม่เอา!! ไม่ต้องการโว้ย ถามจริงๆ นายเป็นอะไรของนายวะ เราก็เลิกกันแล้ว แฟนนายก็มีแล้ว พี่ตงพี่ต่ออะไรของนายนั่น”
“อย่าพูดถึงเขาเลยนะ”
ผมรู้สึกว่าเขาค่อยๆ คลายมือไปนิดหน่อยหลังจากได้ยินชื่อแฟนใหม่ของเขา วินาทีนั้นผมรวบรวมกำลังทั้งหมดสลัดเขาให้หลุดและผลักเขาไปชนผนังอีกฝั่ง เขาถึงนั่งลงไปพับกับพื้น (นี่ผมแรงเยอะขนาดนั้นเลย!!

“เป็นอะไรไหม?”

เขาก้มหน้าลงไปหัวเราะเบาๆ เหมือนคนเสียสติ

“นายนี่เป็นคนดีเสมอเลยนะ ขนาดเราทำร้ายนายขนาดนี้ นายยังจะเป็นห่วงเราเลย”
“…..........” ผมเดินเข้าไปใกล้ เพื่อสำรวจความเสียหายจากการใช้แรงสุดแรงเกิดของผม ผมสัมผัสที่ไหล่เขาเบาๆ แบบกล้าๆกลัวๆ ด้วยมือที่สั่นเทา
“เราคิดถึงนายว่ะ คิดถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ร่วมกัน มันดีมากๆ เลยรู้ไหม?”
“…………..” ผมได้ยินประโยคนี้ถึงกับทำให้กำแพงในใจผมสั่นคลอน ผมรู้สึกถึงความเสียใจของเขาแผ่ออกมา

“รู้ไหม เวลาอยู่กับนาย เรารู้สึกเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกอิสระ รู้สึกถึงความรักที่ไม่ยึดติด แต่เราก็คงต้องรับผลกรรมจากสิ่งที่เราเลือกสินะ เราคิดว่าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอ แต่ไม่นึกว่าพี่ต่อเขาจะเป็นคนแบบนี้ เชื่อไหมเราไม่มีความสุขเลย แรกๆทุกอย่างก็ดี แต่หลังๆ มานี่เราถูกขีดเส้น กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ว่าต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น แม้แต่เรื่องแต่งตัวผมยังไม่มีสิทธิ์เลือกเลย…..”

เขาระบายออกมาเยอะเสียจนผมตามไม่ทัน

“เราอยากกลับมามีความรู้สึกเหมือนเดิม……ขอโทษนะที่เราอาจจะทำเกินไป เราเห็นนายแล้วความรู้สึกเก่าๆ มันหวนคืนมา เลยคิดว่า หากเรากับนายกลับมาเป็นเหมือนเดิม มันก็คงจะดี……”

“แต่นายก็ดูมีความสุขดีนะ เราไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้”
“ใช่!! มันเลยกลายเป็นว่า เราก็ติดนิสัยพี่ต่อมาคือ เราอยากได้อะไรก็ต้องได้!”
อยู่ๆ น้ำเสียงเขาก็เปลี่ยนไป ดูเข้มขึ้น แล้วเขาก็จับแขนผมดึงลงไปหาเขาจนผมเสียหลักลงไปนั่งคุกเข่า มืออีกข้างที่มีเหมือนผ้าเช็ดหน้าวางอยู่ประกบลงที่ปากและจมูกของผม กลิ่นยาที่ฉุนฟุ้งขึ้นมาจากจมูกจนถึงตา หรือนี่คือยาสลบ!! ผมพยายามดิ้นให้หลุดออกจากวงแขนของเอที่โอบรัดเข้ามารอบอก แต่กำลังของผมอยู่ๆ มันแห้งเหือดไป เหมือนน้ำในบ่อกลางทะเลทราย ปลายแขนขาของผมเริ่มชา ผมรู้ดีเลยล่ะว่ามันจะเป็นยังไงต่อ อีกไม่นานผมจะช่วยตัวเองไม่ได้และสติจะค่อยๆ หายไป ผมไม่รู้ว่ายาที่เอเอามาใช้มันเข้มข้นแค่ไหน ผมรู้แต่ว่าผมแย่แน่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับผมบ้าง

“ไม่ต้องห่วงนะ นายจะยังรู้สึกทุกอย่างที่เราทำร่วมกัน อีกชั่วโมงเดียวก็หายแล้ว เราอยากกลับมามีความรู้สึกเดิมๆ อีกครั้ง อยากกลับมาเป็นคนควบคุมทุกอย่างอีกครั้ง!! มาเป็นของผมนะครับ”

ผมรู้สึกตัวลอยสูงขึ้น ภาพทั้งหมดที่ปรากฏดูเลื่อนลอย เหมือนอยู่ในความฝัน ผมลอยออกจากจุดเดิมโดยยังมีรอยยิ้มของเอวนเวียนอยู่ใกล้ตัว เขาจับผมมาพิงกับประตูห้องใช้มือพยุงผมให้ยืนประจันหน้ากับเขา เขากดริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของผม ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับใบหน้าและปากของผมอย่างดูดดื่ม ลิ้นที่อุ่นชุ่มสำรวจอวัยวะทุกอย่างที่อยู่ในปากของผมอย่างบ้าคลั่ง

แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ผมคุ้นเคยอยู่บ้างในอดีต แต่ไม่เคยรู้สึกน่ารังเกียจแบบนี้เลย ลมหายใจของผมเริ่มขาดห้วงจากการที่หาช่องทางหายใจได้ลำบาก แม้จะหมดเรี่ยวแรงและชาด้านที่ปลายประสาทสัมผัสต่างๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงทุกสัมผัสของเอที่ใช้ทุกอย่างของเขาพยายามล่วงเกินผมในทุกส่วน

ผมถูกดันติดประตูไม้สีเทาเข้มของโรงแรมท่ามกลางโถงทางเดินที่ไร้ผู้คน

“เล้าโลมกันตรงนี้ก็ตื่นเต้นไปอีกแบบนะ นายอยากจะเสร็จด้วยกันก่อนตรงนี้ไหม?”
“…….” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมพยายามปฏิเสธ แต่ด้วยอาการของผมตอนนี้ แค่แสดงออกทางสีหน้ายังทำได้ลำบาก ยิ่งในขณะที่เอพูดอยู่มือข้างหนึ่งของเขาก็ล้วงเข้าไปกางเกงผมคลำคลึงกับเนื้อหนังที่จุดยุทธศาสตร์ของผมอย่างเร้าร้อน
ไอ้ที่ผิดก็คือผมดันค่อนข้างตอบสนองกับสิ่งเร้านั้นด้วย ร่างกายผมเริ่มร้อนผ่าวไปหมด ในหัวผมเบลอจนตั้งสมาธิในสมองจนคิดอะไรไม่ได้เลย ผมพยายามนึกให้ออกว่าผมโดนยาอะไรอยู่ แต่เกิดความว่างเปล่าขึ้นแทน เหมือนพยายามหาเนื้อหาอะไรในหนังสือแต่กลับเจอแต่หน้ากระดาษเปล่าๆ

เอจับผมหันหลังปะทะกับประตู ใช้มือข้างหนึ่งดันหลังผมให้พอทรงตัวอยู่ได้ ใช้มืออึกข้างพยายามเอื้อมมาปลดกางเกงผม เริ่มจากเข็มขัด ปลดตะขอ รูดซิบลง ปลดกางเกงร่นลงไปเรื่อยๆ ขั้นตอนทั้งหมดความรู้สึกของผมมันเหมือนภาพช้าๆ คล้ายภาพยนตร์แอ็คชั่นที่เคยดู มันทรมานที่ไม่สามารถโต้ตอบได้ ผมพยายามลองกำมือดู แต่ก็ทำได้แค่ประคองนิ้วมารวมกันที่กลางกำปั้นได้อย่างหลวมๆ

‘ใครก็ได้!! ช่วยด้วย’ ผมคิดในใจ ภาวนากับสิ่งศักดิ์ทุกอย่างในโลกให้มีวีรบุรุษมาช่วยผมด้วย ได้โปรดเถอะ ผมไม่อยากทำมันแบบนี้

“เฮ้ย!! มึงทำเชี้ยอะไร!!”

พลั่ก!!!

เสียงเหมือนของแข็งปะทะกัน แล้วหน้าผมก็ถูกับผิวประตูลู่ลงไปพับกับพื้นเหมือนผ้าม่านที่ถูกปลดลงมากองที่พื้น

“พี่หมอ!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นแต่สติผมมันเลือนลางเหลือเกิน
“มึง!! ไอ้เลว!!”

จุดที่ผมล้มลงไม่สามารถเห็นอะไรได้ชัดเจน ผมได้ยินแต่เสียงแห่งความโกลาหล เหมือนคนต่อยตีกัน เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งข้ามผ่านตัวผมไปอย่างรวดเร็ว และตามมาอีกคนหนึ่ง

“ไอ้เชี้ย แน่จริงมึงอย่าหนี ไอ้ชั่ว!!”
“หลง!! ไม่ต้องตาม!! มาดูพี่หมอก่อน!!”
“พี่เอิร์ธ!!”

ผมถูกยกลอยสูงขึ้นอีกครั้ง ทำให้ผมมองเห็นคนที่มาช่วยเหลือชัดเจนขึ้น ‘ชัยและกวี’ ผมขอบคุณเขาสองคนโดยการพยายามเชิดหน้าและยิ้มที่มุมปาก แต่ไม่นานก็มีมืออันอบอุ่นมาประคองช้อนศรีษะผมขึ้นมา

“พี่เอิร์ธ เป็นอะไรไหม?” เสียงฟังดูห่วงใยมากๆ น่าจะเป็นหลง คนที่เรียกชื่อผมและนำหน้าว่าพี่นี่น่าจะเป็นหลง ไม่เคยดีใจที่ได้ยินเสียงเขาขนาดนี้มาก่อน

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
“สัด.. กูว่าอย่าเพิ่งถามเชี้ยอะไรเลย รีบหาที่ให้พี่เขาพักเถอะ”

“ประตูล็อคน่ะครับ”  เสียงดีงกึกกักอยู่ใกล้ตัวผม สุภาพขนาดนี้น่าจะเป็นเสียงของกวี

“คีย์การ์ดอยู่กับไอ้เลวนั่นแน่ๆ”
“เอาไงดีมึง”
“เราว่าออกจากที่นี่ก่อนเถอะ”
“เออใช่ กูก็ว่างั้น มึงช่วยใส่เสื้อผ้าพี่หมอแล้วช่วยกันหามพี่แกลงไปข้างล่างเถอะวะ”
“ใช่ๆ สภาพนี้มัน…เราว่าดูไม่ดีเลย”

แล้วผมก็ถูกจับใส่เสื้อผ้าเหมือนเด็กทารกคนหนึ่งที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พวกเขาช่วยกันพาผมลงลิฟท์ไปที่ชั้นล่าง ระหว่างทางหากมีคนถามว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กๆทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเป็นลมหมดสติ เลยว่าจะพาไปปฐมพยาบาล และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้ก่อนที่สติจะวูบดับไปเพราะฤทธ์ิยาและความอ่อนล้า

………………..



แฮ่กๆ ช่วยด้วย!!

ผมวิ่งฝ่าเข้าไปในความมืดที่ดำสนิทเหมือนกับดิ่งลงสู่ทะเลลึกที่ไร้ก้น วิ่งหนีบางสิ่งที่น่ากลัว ผมมองไม่เห็นถึงสิ่งที่วิ่งตามมา รู้แต่ว่าต้องวิ่งไปให้สุดแรง จนกระทั่งผมสะดุดกับอะไรสักอย่างและร่วงลงสู่เหวแห่งความมืดที่น่ากลัว

เอื้อก!!!!

ผมกลืนอากาศเข้าไปเต็มปอด มือก็หยิบคว้าไปในอากาศเบื้องบน ผมลืมตาและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ขนาดคิงไซส์ ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางที่ไม่คุ้นตา  ผมทิ้งมือลงข้างตัวจนเกิดเสียงลมตีขึ้นมาดัง ‘พั่บ’

ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ เพื่อเรียกสติกลับมา พยายามลืมตาให้ดวงตาค่อยๆ ปรับความคมชัดจากแสงสว่างในห้องที่มีต้นแสงเพียงแหล่งเดียวคือโคมไฟตั้งพื้นขนาดใหญ่ที่มุมห้องข้างเตียง  ผมพยายามกำและคลายมือเพื่อดูการตอบสนองของร่างกายว่าฤทธิ์เหล่านั้นมันยังคงค้างมาทำร้ายระบบประสาทผมอยู่ไหม ผมพบว่าทำได้จนเกือบปกติแล้ว แค่อาจจะอ่อนแรงไปบ้าง คราวนี้ผมลองขยับทุกส่วนในร่างกายดูก็ทำงานได้ดีไม่น้อย

ผมตัดสินใจพยุงร่างตัวเองที่ดูจะหนักอึ้งกว่าปกติขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง ผมสำรวจรอบๆ ตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนท่ามกลางดอกไม้นานาชนิด รอบๆ พื้นห้อง มีการจัดตั้งเทียนไขอโรม่าหลากสีหลากหลายขนาดตามมุมต่างๆ  นี่ผมอยู่ที่ไหนกันเนี่ย แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจนเริ่มที่จะเวียนหัวแล้ว ผมยกมือขึ้นบีบนวดที่ขมับเผื่อจะรู้สึกดีขึ้น

“อ้าวพี่หมอฟื้นแล้วเหรอ?” เสียงเปิดประตูพร้อมเสียงคนเอ่ยทัก
“…….” ผมพยักหน้าเบาๆ ตอบชัยยืนอยู่ตรงประตู
“เฮ้ย!! ไอ้หลง พี่หมอตื่นแล้ว” ชัยหันหน้าไปตะโกนออกไป
สักพักผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เหมือนคนวิ่งหนีฝูงซอมบี้ คือวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“พี่เอิร์ธ!” หลงยืนหอบอยู่หน้าประตู
“ไอ้สัด มึงค่อยๆ รีบเดินมาก็ได้นะ พี่หมอเขาก็นอนอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหนหรอก”
“ก็กูใจร้อน เชี้ย กูคิดอยู่ว่าหากอีกสักชั่วโมงพี่เอิร์ธไม่ตื่นกูจะอุ้มไปโรงพยาบาลเลย แล้วจะแวะไปแจ้งความจับไอ้สารเลวคนนั้นด้วย!!”
“เออๆ มึงไปหาพี่เขาก่อนไหม?” ผมเห็นชัยแอบขยิบตาให้
“….เอ่อ ขอบใจ”
สักพักหลงก็เขามานั่งบนเตียงใกล้ๆผม ส่วยชัยก็ปิดประตูแล้วเงียบหายไป
“ขอบใจนะที่เป็นห่วงแต่ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่สงสัยยังดีไฮเดรท อยู่ ขอน้ำดื่มหน่อย”
“พี่เป็นอะไรนะ?”
“ภาวะขาดน้ำน่ะ ขอน้ำดื่มหน่อย” ผมแอบขึ้นเสียงเล็กน้อย แต่ก็ลืมไปว่าพูดกับหลงอยู่ คงไม่รู้เรื่องเรื่องแบบนี้
“อ้อ….โอเคครับ พูดภาษาคนหน่อยสิครับ” แล้วเขาก็กุลีกุจอวิ่งไปรินน้ำที่ตู้เย็นซึ่งอยู่ชิดผนังฝั่งปลายเตียง

หลังจากผมได้ดื่มน้ำไปได้สักพักร่างกายผมก็ตอบสนองดีขึ้น จนผมรู้สึกอยากออกไปจากห้องแคบๆ นี่ทันที อยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกสักหน่อย แต่ติดอยู่ที่สภาพพื้นห้องที่เต็มไปด้วยดอกไม้และเทียนหอม ทำให้ผมสำรวจรอบๆ ห้องอีกครั้งแบบไม่ได้ตั้งใจ

“เสียดายเลย อุตส่าห์วางแผนเสียดิบดี”
“หือ??” ผมเหมือนยังตอบสนองกับการฟังได้ไม่ดีแต่จริงๆ คือกำลังงงว่าหลงพูดถึงอะไร
“ก็เรื่องเซอร์ไพร์สวันเกิดพี่ไง แต่…… ความจริงก็ไอเดียไอ้กวีมันแหละ แต่ผมก็ตั้งใจทำน่ะครับ”
“………..” ผมพูดไม่ออกได้แต่ยิ้มตอบไป หลังจากผ่านเรื่องราวเมื่อเย็นมา มันทำให้ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันนี้วันเกิดผม เอาจริงๆ ถึงจะได้ยินหลงพูดแบบนี้ผมยังไม่รู้สึกดีใจเลย มันผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาหยกๆ จะให้รู้สึกยังไงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลย

“ยังไม่หายเหรอครับพี่ ไปหาหมอไหมครับ?”
“พี่ก็หมอนะ”
“แล้วพี่ดูแลตัวเองได้หรือไง?”
“………..” เออ.. จริงของมัน สภาพตอนนี้ผมมันแย่จริงๆ
“ไปหาหมอไหมครับ” หลงยื่นมือมาสัมผัสหลังผม ส่วนผมดันเบี่ยงตัวหนีแบบอัตโนมัติ ผมไม่เคยทำแบบนี้กับเขาเลย สงสัยผมยังตกใจกับเรื่องที่ผ่านมาอยู่ หลงหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด สักพักก็ขบฟันแน่นจนผมได้ยินเสียงบดกันของฟัน
“อย่าให้ผมเห็นมันอีกนะ มันตาย!!!”
“หลง ช่างมันเถอะ!!”
“ช่างมันไม่ได้!! มันทำกับพี่ขนาดนี้ มันต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอย่างน้อย 3 เดือนถึงจะสาสม ถ้าพี่ไม่ให้ผมทำงั้นผมจะไปแจ้งความ!!”
“หลง อย่าเลยพี่ขอร้อง ทำไปคงไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก มันจะได้ไม่คุ้มเสียนะ” ผมยื่นมือที่สั่นเทาซึ่งมีเรี่ยวแรงเพียงครึ่งจับแขนเขาไว้ไม่ให้ลุกออกไป ผมยังไม่สามารถอธิบายอะไรยืดยาวได้ในภาวะแบบนี้ แต่ผมก็กลัวว่าเรื่องมันจะบานปลายกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งที่ทุกคนจะต้องเสียหาย เรื่องราวของคนที่เป็นแบบพวกเราภาพพจน์มันก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว มาเป็นข่าวแบบนี้ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ไหนจะพ่อแม่ฝั่งเขา ฝั่งผม มันไม่มีอะไรดีเลย

ดูเหมือนหลงจะเข้าใจและสงบลงหลังจากที่เห็นแววตาของผมส่งไปหาเขา หลงกระแทกตัวลงมานั่งข้างๆ ผมพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง

“เพราะพี่ขอร้องนะเนี่ย ไม่งั้น……” หลงเสียงค่อยๆ หายไปเมื่อเห็นสายตาขอร้องของผม สายตาของผมมีผลกับเขาเสมอ

หลงจับมือผมที่ยังกำแขนเขาไว้อย่างหลวมๆ ตอนนี้ผมรู้สึกสบายดีใจขึ้นแล้วรู้สึกปลอดภัยขึ้นหลังจากที่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่ข้างๆ หลงจริงๆ

“พี่เอิร์ธดีขึ้นแล้วจริงๆ ใช่ไหม?”

จ้อกกกก…

เสียงท้องของผมร้องตอบแทนคำพูดของผมพอสบายใจขึ้นความอยากอาหารมันก็ตามมา ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวจากความอาย

“ฮ่าฮ่าฮ่า….. คงไม่เป็นไรแล้วจริงๆ และตอนนี้คงหิวมากด้วย”
“………” ไอ้เด็กบ้า ผมคิดในใจ ผมก้มหน้าหลบตาเขาด้วยความอาย
“เดินไหวไหมครับ เดี๋ยวผมพาออกไปหาอะไรกินกัน” หลงเดินอ้อมมารับผมอีกทาง เดินฝ่าดอกไม้ที่บรรจงวางอยู่พื้นอย่างไม่ใยดี
“เออ ไหวนะ คิดว่า..” ผมพยายามทรงตัวลุกขึ้น เรี่ยวแรงที่หายไปเริ่มกลับคืนมา ขณะที่ผมกำลังยืดสุดตัว ผมก็เซไปทางเตียงอย่างไม่ตั้งใจ ผมถูกมือที่หนาใหญ่คว้าไว้และพยุงไม่ให้ล้ม หลงใช้แรงไม่เยอะก็ดึงผมขึ้นมาในท่ายืนตรงโดยที่เขาโอบกอดผมอยู่
“ปล่อย…ปล่อยได้แล้ว” ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาและหลบหน้าเขาอีกครั้ง (คนอะไรตัวแน่นชะมัด)
“ไม่เอาน่ะ เดี๋ยวพี่เซล้มอีก”
“ไม่ล้มแล้ว ดูสิ” ผมขยับแข้งขาให้เขาเห็นชัดเจน
“โอเค…. งั้นผมค่อยๆ ปล่อยนะ” ปากเขาพูดแต่ก็ยังไม่คลายแขนออกเสียที
“จะปล่อยได้หรือยัง?” ผมใช้สายตาพิฆาตของผมอีกครั้ง
“ครับๆ” แล้วเขาก็ค่อยๆ คลายแขนออกทั้งรอยยิ้ม
ผมเริ่มเซเล็กน้อยตอนหลงปล่อยแขนของเขาจนพ้นตัวผมทั้งหมด ผมถึงกับขอจับแขนเขาเพื่อทรงตัวอยู่ก่อน อาการมึนหัวยังคงตกค้างอยู่เล็กน้อย
“เป็นไงครับ หากไม่ไหว เดี๋ยวผมซื้อมาให้กินที่ห้องไหม?”
“ไม่ดีกว่า พี่เบื่อที่จะอยู่แต่ในห้องจะแย่แล้ว พี่อย่กออกไปสูดอากาศริมทะเลบ้าง มาถึงที่ทั้งที อยู่แต่ในห้องสัมมนาทั้งวัน”

ผมออกเดินทั้งยังจับแขนของหลงอยู่ แรกๆ ก็ดูติดๆ ขัดๆ แต่พอได้ลองเดินไปสักสี่ห้าเมตรผมก็เดินได้คล่องขึ้นแม้จะต้องใช้แขนของหลงช่วยพยุงร่างตัวเองเพื่อความปลอดภัยไปก่อน ผมเดินออกจากห้อง และสูดอากาศภายนอกเข้าไปเต็มปอด ตอนนี้แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงหมู่ดาวที่ระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ประปรายด้วยเมฆสีเทาบางๆ ลอยกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้า ณ จุดนี้มองไม่เห็นทะเล แต่ก็รู้สึกถึงลมที่มีกลิ่นอายของเกลือปะปนมา และเสียงคลื่นทะเลที่ลอยมาจากสุดปลายตาข้างหน้าจากความมืด ที่มีแสงเรืองหลากสีจากไฟนีออนอยู่เป็นระยะ

พอตาเริ่มปรับแสงจากสภาพภายนอกได้ก็พบว่าตัวเองอยู่ในรีสอร์ตขนาดเล็ก มีบ้านแฝดหลังเล็กปลูกเรียงรายบนเนินเตี้ยๆ อยู่ทั่วบริเวณ 6-7 หลัง บรรยากาศดีทีเดียว แสงไฟที่เสาเล็กๆ ตามทางเดินและตั้งเป็นหย่อมๆ ในสวนช่วยให้บรรยากาศดีดูสบายๆ ผมชอบในทีนทีที่เห็น

“พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ นิ่งไปเลย?”
“อืม.. ไม่เป็นไร ที่พักน่ารักดีนะ”
“ครับ..ก็หากันแทบแย่ ก็ตั้งใจจะพาพี่มาฉลองนี่นา”
“เหมือนพี่เห็นชัย แล้วก็น่าจะมากับกวีใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ไม่รู้ไปไหน? เดี๋ยวผมโทรหามันก่อน”
หลงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาเพื่อนเขาทันที

“มึงอยู่ไหน?”
………
“อ้าว…. เชี้ยแล้วไง….”
……….
“เออๆ บอกให้เขาเพิ่มเก้าอี้ด้วย กูกับพี่เอิร์ธจะตามไป”
 
“พี่เอิร์ธ พวกมันหนีไปกินข้าวกันแล้ว เราตามไปเถอะ”
หลงกดวางสายแล้วรีบหันมาพูดกับผมทันทีกับอาการที่ดูจะเคืองเพื่อนตัวเองนิดๆ
“อืม…” 
“พี่เดินไหวไหม? ร้านอาหารเลยเข้าไปอีกนิด แต่อยู่ริมหาดเลยนะ”
“ไหวสิ ได้ๆ ตอนนี้หิวมาก”
“พี่เอิร์ธดูพวกมันสิ ผมอุตส่าห์จองร้านอาหารบรรยากาศดีไว้กินดินเนอร์กับพี่ แต่พวกมันดันสอยไปจู๋จี๋กันสองคน ไอ้ชัยมันบอกว่ามันเสียดายจองไว้แล้ว เลยไปแทน” หลงบ่นยาวในขณะที่เดินไปข้างๆ กับผมพร้อมกับพยายามใช้มือล้อมผมไปมาเหมือนกลัวว่าผมจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกับท่าทางของเขามากกว่าคำพูดของเขา เขาดูห่วงใยผมมากเสียจนผมเริ่มอายแล้ว ตอนนี้ผมฟื้นคืนสติมาได้สัก70เปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ (ผมคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ก็ผมเดินได้แล้วนะ ถึงมันจะไม่ค่อยแข็งแรงก็เถอะ)

ในที่สุดผมก็เดินมาถึงจุดหมายด้วยอาการหอบรับประทานจนคราวนี้ผมต้องขอจับแขนหลงให้พอยืนตัวตรงได้ผมสูดอากาศกลิ่นเกลือเข้าเต็มปอด รู้สึกกำลังเริ่มฟื้นฟูขึ้นเล็กน้อยหลังจากบรรจุอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ผมเห็นท้องทะเลที่กว้างไกลมืดมนสุดสายตา มีแสงไฟสีเขียวสีม่วงส่องระยับไปมาที่พื้นน้ำ เสียงคลื่นดังมาเป็นระลอกไม่ขาดสาย ผมถึงกับเผลอยิ้มกับบรรยากาศตรงหน้า ผมถอดรองเท้าเดินบนผืนทราย ความหยุ่นนิ่มของทรายช่วยให้ผมรู้สึกเหมือนโดนนวดเท้าอยู่ ผ่อนคลายดีจริงๆ

“พี่เดินนำหน้าไปไกลเหมือนรู้จักร้านนะเนี่ย?”
“โทษที พี่ชอบทะเลน่ะ เลยเผลอเดินเล่นเรื่อยเปื่อยทุกที”
“วันนี้พี่เหมือนเด็กเลยเนอะ”
“…………..” ผมได้แต่ยิ้มแบบเขินๆ
“ทางนี้ครับ” แล้วหลงก็เดินมาจับมือผมและจูงเดินนำไปยังจุดหมาย ผมมองมือที่จับประสานนิ้วกัน ความอบอุ่นของหลงส่งผ่านถึงผมเรื่อยๆ แม้จะเขินกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่อยากปล่อยมือเขาในตอนนี้เลย

หลงพาผมมาหยุดที่หน้าร้านอาหารสไตล์สบายๆ ริมหาด โต๊ะเก้าอี้ทำด้วยไม้แบบไม่ปราณีตอย่างตั้งใจ บนโต๊ะทุกโต๊ะสว่างด้วยแสงเทียนในตะเกียงขนาดเล็ก มีหลอดไฟเล็กๆ แขวนอยู่ตามตันไม้และเสาที่ตั้งขึ้นมาตามทางเดิน  เขามองซ้ายมองขวาเพื่อหาเพื่อนของเขา จนกระะทั่งบริกรเดินมาทักและพาเดินไปด้านซ้ายสุดทางใกล้กับชายหาดมากที่สุด

“เฮ้ย!! ไอ้หลง ทางนี้” ชัยส่งเสียงโบกไม้โบกมือแบบไม่อายใคร วันนี้คนก็ค่อนข้างเยอะเสียด้วย
หลงโบกมือกลับระดับอก ทำให้ผมมองเห็นโต๊ะที่จองไว้เป็นโต๊ะสำหรับสี่คน ที่มีบรรยากาศดีที่สุดในร้านเลยก็ว่าได้

“คือห่างกันไม่ได้ใช่ไหมสองคนนี้”
หลงแซวชัยกับกวีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวฝั่งเดียวกัน แทนที่จะนั่งฝั่งตรงข้ามกัน
“มึงว่ากูไม่ได้หรอก ทีมึงเล่นจูงมือพี่เขามาตั้งแต่เข้าร้านกูยังไม่แซวเลย” เจอชัยแซวกลับแบบนี้ ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูกรีบสะบัดมือหลงให้หลุดทันที
“เชี้ย!! มึง ไอ้สัดชัย กูกำลังฟินเลย พี่เขาไม่เคยให้กูทำแบบนี้เลยนะ”
“อ้าวเหรอ กูขอโทษ” ลงท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะของชัยดังลั่น
“พอเถอะ / นั่งได้แล้ว” ผมกับกวีพูดขึ้นพร้อมกันด้วยถ้อยคำที่เด็ดขาดแก้เขิน
“ครับ / ครับ” สองคู่หูตัวแสบก็ตอบรับกลับทันที

“ทำไมมึงพาพี่เขาเดินมานานจังวะ นี่กูกินหมดไปชุดหนึ่งแล้ว นี่จะต่อของหวานแล้วเนี่ย” ชัยพูดกับหลงทันทีที่ผมนั่งลงเรียบร้อย
“พี่หมอเขาไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ?” กวีตอบแทนหลงที่เหมือนกำลังจะอ้าปากโต้กลับ
“เออ ใช่ งั้นสั่งอาหารได้เลยครับพี่หมอ” พูดจบชัยก็ยื่นเมนูมาให้ผมแบบเปิดไว้พร้อมสั่ง

ผมยิ้มรับและเรียกบริกรมาสั่งแบบไม่ลังเลเลย ตอนนี้ท้องมันหิวจนเห็นทุกอย่างในเมนูน่ากินไปหมด ผมไม่สนใจแม้แต่ร่างกายที่ควรจะเริ่มจากอาหารอ่อนๆ ก่อนตอนนี้คิดว่าต้องกินอย่างเดียวเท่านั้น

อาหารของผมทยอยมาพร้อมกับของหวานของเด็กสองคนฝั่งตรงกันข้าม ผมรีบจัดการอาหารที่ทยอยลงมาอย่างเอร็ดอร่อย ร้านนี้อาหารใช้ได้เลยทีเดียว ระหว่างพักยกรออาหารอีกชุดลงมาเสิร์ฟ ผมแอบเห็นชัยทำท่าแหยะๆ กับขนมหวานและไอศครีมที่กวีแนะนำให้ลอง ท่าทางกวีจะยังไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทตัวเองไม่ชอบของหวาน

ผมรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนี้แปลกไปจากเดิม ชัยดูเกรงใจกวีมาขึ้น บ้างครั้งก็แอบโอบแอบจับตรงโน่นตรงนี้ของกวีจนอีกฝ่ายค้อนใส่บ่อยๆ กวีก็ดูจะลดกำแพงตัวเองลงมาจนให้ชัยสามารถใกล้ได้มาขึ้น จนกระทั่งชัยใช้นิ้วโป้เช็ดคราบไอศครีมที่คางของกวี

“เดี๋ยวๆ ทำอะไร?” กวีโวยขึ้นมา
“ก็นายกินเลอะเทอะ เดี๋ยวนะยังไม่หมด!”
ชัยใช้มือช้อนคางของกวีขึ้นมาและใช้นิ้วชี้ปาดเบาๆที่ริมฝีปากอีกฝั่ง (ซึ่งจากที่ผมเห็นมันก็ไม่ได้เลอะอะไร) และพอกวีเผลอคล้อยตามมือที่จับหน้าเขาอยู่ ชัยก็ใช้จังหวะนี้หอมแก้มกวีอย่างจัง ภาพนี้ทำเอาผมมองตาค้าง ส่วนหลงแสดงท่าทางไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขี้นเท่าไหร่ ส่วนกวีได้แต่โวยวายและชกไหล่ชกอกชัยที่หลบและป้องกันตัวกันชุลมุน

“เอ้อ!! ใช่ ผมลืมบอกไป มันได้กันแล้ว” หลงชี้นิ้วไปที่สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วกลับไปกินอาหารตรงหน้าเหมือนพูดเรื่องปกติ

“หลง!!” กวีชี้หน้ามาทางหลง
“มึงพูดอย่างนี้กับ ‘เมียกู’ ได้ไง” ไอ้ชัยโวยขึ้น
“โธ่โว้ย!!” กวีหันไปตาเขียวใส่ชัย แล้วกวีก็วิ่งแก้มแดงออกไป แล้วกวีก็ลุกออกจากโต๊ะไปเลย ท่าทางการติบสนองของกวีต่างจากที่ผมคิดไว้มาก

“ไอ้หลง ไอ้บ้า เสียบรรยากาศหมด!!” ชัยแอบชูนิ้วกลางให้หลงผู้ไม่สนใจอะไรนอกจากอาหารตรงหน้า ท่าทางเขาคงหิวไม่น้อย ส่วนชัยก็ลนลานวิ่งไล่ตามออกไป ทิ้งให้ของหวานตรงหน้าเป็นหมันไป

“พอสบายใจแล้วมันเจริญอาหารยังไม่รู้” หลงพูดลอยๆ หลังจากจัดการอาหารบนจานเรียบร้อย
“สองคนนั้นมันยังไงกัน? แล้วเรื่องแฟนของกวีล่ะ?” ผมมองไปทางหลงอย่างสงสัย
“พี่จะฟังอย่างละเอียดหรืออย่างย่อ”
“ย่อก็ได้”
“คือนิ่มมันทำไม่ดีกับกวีไว้เยอะ ส่วนชัยที่ตอนนี้ได้เข้าไปใกล้ชิดก็เลยเปลี่ยนจากเพื่อนไปเป็น....ขอเป็นแฟนแทน”
หลงพูดไปเคี้ยวไป
“ย่อไปไหม? สองคนนี้ไม่น่าจะมาชอบกันได้ คนหนึ่งก็เจ้าชู้ หลีหญิงไปเรื่อย คนหนึ่งก็เป็นหนุ่มฮอตที่มีเจ้าของแล้ว” ผมหันไปทางหลงเพื่อให้หลงไขข้อข้องใจ และสนใจที่จะตอบคำถามผมมากกว่านี้

หลังจากนั้นหลงก็เล่ายาวตั้งแต่แผนของชัยที่พยายามจะให้คู่ของกวีเลิกกันทุกวิถีทาง (หลงบอกว่าเขาเล่าได้เท่าที่เขารู้ รายละเอียดนอกจากนี้คงต้องถามชัยเอง) จนกระทั่งทั้งสองยอมรับมาลองคบกัน

“ไหนพี่บอกว่าหิวมากไง ไม่เห็นกินเท่าไหร่เลย” หลงมองจานของผมและอาหารตรงหน้าที่ไม่ค่อยพล่องลงไปเท่าไหร่กลังจากเล่าทุกอย่างจบ (อาหารชุดที่สองมาส่งได้สักพักแล้ว ระหว่างที่หลงเล่าเรื่องเพื่อนอย่างเมามันส์)

“อิ่มแล้วล่ะ ไม่รู้สิ วันนี้คงกินได้แค่นี้ล่ะ เหมือนร่างกายมันน่าจะยังไม่พร้อม”
“กลับเลยไหมครับ”
“แล้วสองคนนั้นล่ะ?”
“ช่างมันเถอะพี่ โตป่านนี้แล้ว ให้มันไปจัดการกันให้เสร็จ ปล่อยมันไปเหอะ”
“……….” ไม่ค่อยมั่นใจความหมายของหลงเท่าไหร่ แต่ไปกันสองคน เด็กผู้ชายที่ดูแข็งแรงทั้งสองคนคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่
“งั้นเรียกพนักงานมาเก็บเงินเลยนะ?”
“อืม.. เอาสิ” ผมล้วงไปที่กระเป๋าอย่างเคยตัว “เฮ้ย!!! พี่ไม่ได้เอาอะไรมาเลยนี่หว่า เดินมาตัวเปล่า!!”

“ไม่ต้องๆ พี่รู้หรือเปล่าว่ามากับใคร?” หลงหยิบกระเป๋าเงินของเขาโบกไปมา
“จ่ายไหวเหรอ? เยอะนะเนี่ย”
“ผมบอกพี่แล้วไงว่าผมมีแผนจะพาพี่มาฉลอง แค่นี้สบายมาก ถึงไอ้เพื่อนสองตัวนั้นมันจะมาเป็นตัวเสริมก็เถอะ!” หลงส่ายหน้าเบาๆ
“…ฮ่าฮ่าฮ่า…” เขาทำให้ผมยิ้มได้เสมอเลย
“ขอโทษนะครับ ที่มันไม่เป็นไปตามแผนเลย” เขาทำหน้าผิดหวังใส่ผม
“ไม่เป็นไร แค่คิดว่าจะทำให้พี่ พี่ก็ดีใจแล้ว หลงถือเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีของพี่เลยนะ”
หลงยิ้มกว้างมากจนผมรู้สึกประหม่า
“ก็แบบ… คือ.. หากหลงไม่มาหาพี่วันนี้ใครจะช่วยพี่จากไอ้เลวนั่นล่ะ!”
“อ้อ…. เรื่องนั้น อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยครับ นึกแล้วอารมณ์เสีย ทำเสียเรื่องไปหมด!”
หลังจากชำระเงินเรียบร้อยแล้ว สรุปว่าเสียไปหลายพันอยู่ เราเดินออกมาจากร้านและค่อยๆ เดินกลับที่พัก แต่ผมก็ยังเกรงใจหลงอยู่ดี รู้สึกไม่คุ้นเคยที่จะให้เด็กอย่างหลงมาเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ขนาดนี้

“เดี๋ยวกลับถึงที่พักแล้วพี่ช่วยออกค่าอาหารนะ”
“ไม่ต้องหรอกพี่ ผมบอกจะเลี้ยงไง”
“ไม่เอาน่ะ เรายังไม่มีรายได้เลยต้องมาจ่ายขนาดนี้ พี่ไม่สบายใจว่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่เงินผมเสียหน่อย”
“????” ผมหยุดเท้าตัวเองที่ก้าวได้ทีละน้อยลงมองหน้าหลงด้วยความสงสัย
“เฮ้อ…. หลุดปากจนได้ แต่ยังไงก็ต้องบอกล่ะนะ คือแม่เป็นผู้สนับสนุนเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้พี่น่ะครับ”

น้ารุ่งอีกแล้ว ผมคิดในใจขณะที่เอามือกุมขมับ ผมรู้ว่าน้ารุ่งรักลูก และก็รักผม แต่นี่ก็จะดูสนับสนุนกันเกินไป

“เป็นอะไรพี่เอิร์ธ เวียนหัว? หน้ามืด?”
“เฮ้ย พี่แค่โดนยา ไม่ได้ป่วย หรือแก่ ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ผมแค่เป็นห่วง กลับที่พักไปพักผ่อนเลยไหมครับ”
“อืม… แล้วหลงนอนไหนล่ะวันนี้?”
“ก็นอนกับพี่ไง ผมจองกันได้แค่สองห้อง อีกห้องหนึ่งก็ให้คนขับรถกับแฟน (คงหมายถึงกวีกับชัย) เหลือห้องเดียวเราคงต้องนอนด้วยกัน”

อ้าว!! ทำไงดี ผมไม่เคยนอนค้างคืนกับเขาเลย (ไม่นับคืนที่เมาไม่ได้สตินั้น) ไม่ใช่ว่าผมกลัวอะไรหลงนะ เพราะหลงต่อให้ทะลึ่งตึงตังอย่างไร เขาก็จะเกรงใจผมมาก ไม่กล้าลงมือทำอะไร แต่ด้วยบรรยากาศแบบนี้ กับความรู้สึกของผมตอนนี้ที่มีต่อเขา ผมกลัวตัวเองมากกว่าที่จะไปปล้ำเด็กเอาน่ะสิ (ซึ่งก็ดูจะยอมให้ปล้ำง่ายด้วย)

“ขอเดินเล่นก่อนได้ไหม?”
“เอาสิครับ ผมเดินเป็นเพื่อน”
“ได้สิ”

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เอ ตอนเป็นแฟนเคยนอกใจเอิร์ธ จนเลิกกัน

เจอตอนนี้ ก็ทำเรื่องเลวอีก เรื่องเป็นรูมเมท ใช้ยาสลบกับเอิร์ธ
สรุปจะเอาอะไร ต้องได้  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ที่อ้างว่าถูกบังคับ กำหนดไปหมด จริงหรือเปล่า
เพื่อเรียกร้องความเห็นใจสินะ

ดีที่หลงตามมาและช่วยพี่เอิร์ธทัน
รอหลง เซอร์ไพรซ์ อ้อนพี่เอิร์ท
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 439
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ผมหันหลังจากถนนเดินกลับไปยังหาดทรายที่เพิ่งเดินเลยมาเพียงไม่กี่ก้าว ให้หน้าปะทะลมทะเลที่มีกลิ่นเกลือและกลิ่นคาวอ่อนๆ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยม่านความมืดเหมือนกำมะหยี่สีดำที่มีเลื่อมแวววาวประดับอยู่เต็มผืนปูไปไกลจนสุดปลายฟ้า วันนี้ท้องฟ้าโปร่งทำให้เห็นดาวชัดเจน พระจันทร์เสี้ยวที่กลางฟ้า เรืองแสงน้อยๆ เหมือนจะหลบแสงให้ดวงดาวได้ส่องสว่างได้เต็มที่ เสียงคลื่นที่ซัดหาดทรายเบาๆ เหมือนกำลังหายใจยามพักผ่อน ผมชอบบรรยากาศแบบนี้มาก มันทำให้ผ่อนคลาย หายเหนื่อยที่มีสะสมมาทั้งสัปดาห์เป็นปลิดทิ้ง ผมถอดรองเท้าให้เท้าได้สัมผัสกับพื้นทรายหยาบเปียก รู้สึกตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ผมหลับตาและสูดอากาศเข้าเต็มปอด

“น่ารักจัง”
“……….” ผมหันหน้าไปทางต้นเสียง
“ผมชอบเวลาพี่ทำหน้าแบบนี้จัง”
“…….” ผมเจอหลงจ้องหน้าอยู่แบบนี้ เลยเลือกที่จะแค่ยิ้มตอบไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ผมทำหน้าแบบไหนอยู่
เขาถึงได้ออกปากชมแบบนั้น เขาเดินมาจับมือผมระหว่างที่เดินเลาะชายหาดไปเรื่อย แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่สะบัดทิ้งเหมือนทุกครั้ง ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามใจต้องการ วันเกิดตัวเองก็ลองทำตามใจตัวเองดูบ้าง

ผมกับหลงเดินชมวิวไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงริมชายฝั่งที่ค่อนข้างห่างไกลจากแสงสว่างของหลอดไฟตามสถานบันเทิงริมชายหาดจนเห็นเป็นประกายไฟดวงน้อย บรรดาผู้คนที่เดินเล่นเลาะชายหาดยามค่ำคืนก็น้อยลงเรื่อยๆ ผมเลยตัดสินใจชวนหลงกลับ

“ว้าว… เราเดินมาไกลจากที่พักพอควรเลยนะ”
“ใช่ครับ เห็นพี่เดินเพลินเลย ผมเลยไม่กล้าขัด”
“เริ่มเหนื่อยแล้วด้วยสิ แต่ก็ยังไหวนะ!”
ผมต้องรีบแก้คำเพราะหลงมองผมด้วยความกังวลจนผมรู้สึกได้ ผมตัดสินใจเดินกลับทันที แต่หลงปล่อยมือผมเปลี่ยนท่ามาอุ้มผมขึ้นในท่าเจ้าสาว ผมตกใจร้องลั่น

“เฮ้ยๆ ทำอะไร ปล่อยพี่ลง”
“ตัวพี่เบาจะตาย เดี๋ยวผมอุ้มกลับเอง”
“ไม่เอา ไอ้บ้า ปล่อยสิ อายเขา” ผมพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากมือของเขา
“พี่อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวหลุดมือนะ”
“ปล่อยก่อนดิ!”
“ไม่เอา ผมไม่ปล่อยให้พี่เดินไปเองแล้ว ผมกลัว”
“กลัวอะไร?” ผมเริ่มหยุดดิ้นแล้ว เพราะใจหนึ่งก็กลัวตกอย่างที่เขาว่า ถึงจะเป็นพื้นทรายก็คงเจ็บไม่น้อย
“กลัวพี่จะเป็นอะไรอีก ผมไม่อย่าเป็นห่วงพี่แบบวันนี้อีก พี่รู้ไหม? พี่ทำผมหัวใจจะวาย ผมอยู่ไม่เป็นสุข ผมไม่อยากเป็นแบบนั้นอีก ให้ผมได้ดูแลพี่เถอะนะ”

ผมได้ฟังคำแบบนี้จากหลงอีกแล้ว แปลกดีที่ผมกลับไม่รู้สึกเอียนแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว ผมรู้แต่ว่าหัวใจของผมตอนนี้ทำงานหนักมาก มันปั้มจนผมร้อนไปหมด แทบจะรู้สึกถึงเส้นเลือดทุกเส้นในร่างกายตัวเอง

“พี่ก็ไม่ใช่ตัวเล็กๆ หลงอุ้มท่านี้จะเมื่อยเปล่าๆ”
“งั้นพี่ขี่หลังผมไหม หากพี่ไม่ตกลง ผมก็จะอุ้มพี่ไปทั้งแบบนี้ล่ะ!”
“เออๆ ก็ได้” ผมตอบทั้งๆ ที่หน้าผมแนบอยู่กับอกของหลง จนได้ยินเสียงหัวใจเขาชัดเจน หัวใจที่เต้นอย่างมั่นคง ไม่วูบไหวกับทุกคำที่เขาพูด ผมรู้สึกว่าหลงพูดจริงจังจนต้องยอมตามน้ำไป เขาปล่อยผมลงยืนกับพื้นและย่อตัวลงหันหลังให้ผม

“ขึ้นมาสิครับ”
“ไม่เคยทำแบบนี้เลยตั้งแต่โตมาเนี่ย”
“เอาน่า ให้ผมช่วยพี่นะ สัญญากันแล้วไงว่าจะให้ผมช่วย”
“โอเคๆ”

ผมรีบก้าวขึ้นขี่หลังเขาตามที่เขาขอ หลงเดินบนพื้นทรายโดยที่มีผมอยู่บนหลังของเขา แรกๆก็ดูทุลักทุเลจนผมเกือบเปลี่ยนใจลงเดินเองแล้ว เพราะไม่อยากให้เขาต้องลำบากขนาดนี้ ความจริงผมพอเดินไหวถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย (อีกใจหนึ่งก็กลัวเราจะล้มกันทั้งคู่และจะบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย) พอผ่านสักประมาณสามสี่เมตร เขาก็เดินได้จนเกือบปกติ ช่วงแรกผมเผลอลุ้นจนกอดเขาแน่นมาก (ไม่รู้ว่าเป็นแผนของหลงหรือเปล่า) แต่จนดินมาจนถึงหน้าที่พักผมก็ยังไม่ปล่อยจากการโอบรอบคอรอบบ่าเขาเลย รู้สึกดีจนไม่อยากปล่อย พอได้ลองแนบแก้มลงไปที่ผิวปริเวณแผ่นหลังที่โผล่พ้นคอเสื้อยืดแขนกุดของเขา ผมยิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งของเขา ผมไม่อยากลงจากตัวเขาเลย อยากให้ทางเดินนี้มันยืดยาวออกไป

ไม่นานนักหลงก็มายืนจนถึงหน้าประตูห้องพัก ผมสังเกตเห็นห้องที่ติดกันเปิดไฟอยู่เลยคาดว่าน้องๆข้างห้องคงเคลียร์และกลับถึงที่พักกันเรียบร้อยแล้ว

“ปล่อยพี่ลงได้แล้วล่ะ” ผมพูดขณะที่หลงกำลังใช้มือข้างหนึ่งค้นกระเป๋ากางเกง สงสัยคงจะหากุญแจห้องพัก
“ไม่เอาล่ะ กะว่าจะส่งพี่ให้ถึงเตียงเลย” เขาพูดขณะชูกุญแจขึ้นให้เห็นชัด
“ไอ้บ้า พี่แค่เพลีย ไม่ได้พิการนะเว้ย ปล่อยได้แล้ว”
“ว้า… เซ็งเลย”
“หมายความว่าไงมิทราบ?”
“กะว่าจะทำเหมือนอุ้มเจ้าสาวเข้าหอไง เพื่อพี่ยอมให้ผมทำพิธีต่อเลย”
“งั้นปล่อยพี่ลงเดี๋ยวนี้เลย!!” ผมเสียงเข้มขึ้นทำให้หลงยอมปล่อยผมลงแต่โดยดี
“เชิญครับพี่” เขาผายมือเจ้าไปในห้องขณะที่ประตูห้องค่อยๆ เปิดกว้างออกไปจนสุด

ผมไม่เถียงครับว่าตอนนี้ผมกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเดินเข้าไปเพราะวันนี้เป็นคืนแรกที่ผมจะได้ค้างคืนกับเขา ทำเอาใจเต้นแรงไปหมด คิดไปไกลต่างๆ นานา ทั้งที่ผมเพิ่งผ่านเหตุการณ์ไม่ดีแบบนั้นมาแต่พอมาอยู่กับเด็กนี่ ใจก็เริ่มคิดไม่ดีกับน้องทันที (หวังว่าคงเป็นเพราะฤทธิ์ยา ผมไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้นนะครับ)

“ไม่เข้าไปเหรอครับ เดี๋ยวก็ยุงเข้าไปหรอกครับ”
“โอเคๆ” ผมสลัดความคิดทุกอย่างออกไปจากหัว พยายามทำตัวให้เหมือนปกติที่สุด

หลังจากเดินเข้ามาด้านในกันทั้งสองคน หลงก็ล็อคประตูลงกลอนทันทีเสียงลงกลอนดังจนทำให้ผมสะดุ้งตกใจ

“ขอโทษครับ พี่คงยังขวัญเสียไม่หาย”
“ไม่เป็นไร พี่แค่ใจลอยก็เท่านั้น” แม้จะรู้สึกดีขึ้น แต่ร่างกายและจิตใจก็ใช่ว่าดีขึ้นได้รวดเร็ว ผมคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะหายจากบาดแผลทางจิตใจอันนี้

“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมอาบต่อ จะได้รู้สึกดีขึ้น”
“ไม่เป็นไรพี่ขอพักสักแปป เราไปอาบก่อนเถอะ”
หลงเดินมาใกล้ขึ้นเพื่อยื่นมือมาทาบหน้าผากผม
“หวังว่าคงไม่ได้ป่วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ไปอาบน้ำเหอะ แบกพี่มาตั้งไกลเหงื่อท่วมไปหมดแล้ว”
“ครับ เมียที่เคารพ”
“ไอ้หลง!!” ผมคำรามดุเขาเพราะสรรพนามที่เขาเรียกผมมัน…… น่าอาย ‘เอ’ ยังไม่เรียกผมแบบนี้เลย ผมไม่ได้ออกสาวขนาดจะดูเป็นเมียใครได้สักหน่อย

หลงหัวเราะร่าวิ่งหนีมือผมที่กำลังเหวี่ยงไปฟาดบ่าเขา ผมตีอากาศดังวูบ แต่ผมก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะลุกตามไปจัดการให้จบ ได้แต่นั่งขุ่นเคืองอยู่บนเตียง หลงหลังจากหลบฝ่ามือผมและหนีไกลออกจากเตียงสำเร็จ เขาก็ถอดเสื้อถอดกางเกงเหลือเพียงบ็อกเซอร์ลายขวางตัวจิ๋ว (ตัวก็ใหญ่จะหาไซส์ที่ใหญ่กว่านี้มาใส่ไม่ได้หรือไง!!) หลงเดินมาหาผ้าขนหนูที่แขวนไว้แถวๆ ตู้เสื้อผ้าข้างเตียงทำให้ผมเห็นอะไรๆ เขาชัดขึ้นเหมือนเขาตั้งใจให้ผมเห็นร่างกายเขาทุกส่วนสัด เขาเป็นคนผิวขาวเนียนกว่าที่คิด ร่างกายที่ดูเป็นนักกีฬาแบบสูงโปร่ง ไม่ได้มีมัดกล้ามเนื้อมากมายนักแต่ก็เห็นไลน์กล้ามเนื้อชัดเจน แบบลีนๆ กางเกงตัวเล็กที่มีสัดส่วนเว้าโค้งนูนชัดเจนแบบนั้นทำให้ผมคิดอะไรไปไกล ผมก็ผู้ชายที่มีความต้องการนะครับ ผมคิดกับตัวเองเสมอว่าจะทนแรงอ่อยของเด็กคนนี้ได้นานแค่ไหน?
“ผมอาบน้ำไม่นาน หากรู้สึกไม่ดีเรียกได้เลยนะ” พูดจบเขาก็ห่อร่างตัวเองด้วยผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งคว้ามา แล้วก็มาถอดบ็อกเซอร์ในผ้าเช็ดตัวที่พันอยู่ตรงหน้าผม ผมรีบกันหน้าหนีโดยอัตโนมัติ ผมได้ยินเขาหัวเราะในลำคอ
“หรือพี่จะไม่อาบ ผมก็โอเคนะครับ”
“อาบสิ…….”  แล้วผมก็หยุดพูดเมื่อผมเห็นไอ้เด็กนั่นแบบเต็มตัวด้วยผ้าเช็ดตัวชิ้นน้อยกว่าที่คิด กับรูปร่างที่ผมไม่คิดว่าเด็กมัธยมปลายจะมีได้ขนาดนี้
“เป็นอะไรพี่ดูหน้าแดงๆ ไม่สบาย” เขายื่นหลังมือมาทาบแก้มผม

“เอ่อ…… พี่กลัวจะอาบเองไม่ไหว อาบเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”
เอาแล้วไง!! ไอ้ปากที่พูดออกไปไม่คิดแบบนี้
นี่ผมเป็นอะไรไปวะ?

ตอนนี้ไอ้หลงยิ้มปากแทบฉีกถึงรูหู ผมเกลียดไอ้หน้าแบบนี้ของเขาชะมัด มันดูเหมือนเขาจะกลืนกินผมไปทั้งตัวจนผมขนลุก

“เอ่อ….  ไม่เอาแล้วอาบเองก็ได้ ไปอาบเหอะ” รู้สึกเสียใจที่ตัวเองพูดไม่คิด
“เอาไงนี่พี่? ผมเต็มใจนะ” หลงก้มลงมาแล้วยกมือขึ้นแตะบ่าผม จนผมแอบสะดุ้งเล็กน้อย ไม่ได้ตกใจนะครับ แต่ไม่คิดว่าหลงจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้
“ก็ได้!” ผมหันไปมองทางอื่นแล้วปัดมือเขาออกจากบ่าตัวเอง ไม่อยากมองหน้ายิ้มของไอ้เด็กหน้าตาดีตรงหน้า

ผมลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าในขณะที่ยังถอดได้ครึ่งๆ กลางๆ ผมก็ต้องหยุดเพราะสายตาแปลกๆ จากคนในห้องอีกคนหนึ่ง

“จะมามองทำไมไปอาบน้ำก่อนสิ”
“รอพี่ไง”
“ไม่ต้องรอ ไปแปรงฟัน หรือจะทำอะไรก็เข้าไปก่อนเลย”
ผมเสียงสูงขึ้นแบบไม่จำเป็น หลงยักคิ้วให้ เขายิ้มและเดินเข้าไปห้องน้ำก่อนโดยปิดประตูไว้เพียงครึ่งเดียว ในขณะที่ผมกำลังทำใจให้ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่ตัวเองจะทำตรงหน้า

หลังจากถอดเสื้อผ้าและห่อผ้ารอบเอวเรียบร้อยผมก็เดินไปยืนอยู่หน้าห้องน้ำอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจผลักประตูเข้าไปเจอหลงที่ยืนยิ้มให้ที่กระจกตรงอ่างล้างหน้า

“ผมแปรงฟันแล้ว อ่ะของพี่ ผมใส่ยาสีฟันให้แล้ว” หลงยื่นแปรงสีฟันที่ดูเหมือนใหม่แกะกล่องและมียาสีฟันสีฟ้าวางบนขนแปรงเรียบร้อย
“อืม…” ผมรับมามองแบบพินิจพิเคราะห์
“ผมยังไม่ได้สัมภาระพี่มาเลย ก็เลยซื้อจากร้านสะดวกซื้อมาให้ก่อนครับ”
“ไม่มีอะไร แค่มันไม่คุ้นน่ะ ไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อแปรงสีฟันเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมไม่รู้ว่าพี่ใช้ยี่ห้ออะไร แล้วโอเคไหมครับ?”
“ก็เลือกไม่ได้นี่นาก็คงต้องแปรง……” พูดจบก็มองหน้าตนที่เอาแต่ยิ้มให้ผมไม่หุบ
“โอเค งั้นผมไปรอที่ฝักบัวนะครับ”
แล้วหลงก็หันหลังเดินไปทางด้านหลังที่มีฝักบัวในตู้กระจกใส ผมพยายามไม่มองหลังจากที่เขาถอดผ้าเช็ดตัวออกแล้วเดินไปในห้องกระจกนั้นด้วยตัวเปล่าเปลือย ผมพยายามสนใจแค่การแปรงฟันของตัวเอง แต่ไอ้กระจกตัวดีก็ดันสะท้อนภาพนั้นมาเข้าตาผมจนได้ หลังที่สวยได้รูปวีเชป กล้ามหลังที่ชัดแน่น ผิวที่ขาวเนียนพวกนั้น เด็กสมัยนี้โตไวจัง ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมตอนสมัยมัธยมปลายรูปร่างผมเป็นยังไง

“พี่จะแปรงอีกนานไหมเนี่ย ผมเริ่มหนาวแล้วนะ ผมรออาบน้ำให้พี่อยู่นะ”
“เออๆ เสร็จแล้ว” ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองแปรงรอบปากตัวเองกี่เที่ยวแล้ว แต่นี่คงหมดเวลาทำใจแล้ว ทำตัวสบายๆ อย่าปล่อยใจตัวเองเด็ดขาด!! ผมบอกตัวเองซ้ำๆ จนเดินหันกลับมาถอดผ้าแล้วโดดเข้าห้องกระจกไป

หลังจากก้าวเข้ามาแล้วก็ต้องมาเจอภาพที่คิดว่าจะต้องเจอแน่ๆ คือ หลงในภาพเปลือยกายทั้งตัว ถึงจะเคยจินตนาการมาบ้างแต่มาเจอตัวจริงในสภาพเปียกปอนแบบนี้เล่นเอาใจผมบอบบางไปเลย หลงไม่อายหรือคิดปกปิดอะไรเลยในขณะที่ผมเอามือกุมจุดยุทธศาสตร์อยู่พยายามไม่คิดอะไรเกินเลย

“มาใกล้ๆหน่อยสิครับ สายฝักบัวมันสั้น”
“อืม” ผมพยักหน้าและเดินเข้าไปใกล้เป้าหมาย
“ผิวพี่เนียนสวยดีจัง” หลงใช้ฝักบัวที่เปิดน้ำแรงสุดมารดตัวผมเหมือนรดน้ำต้นไม้ตั้งแต่ยอดจรดโคน
“รีบๆ อาบเหอะ น้ำมันเย็น ที่นี่ไม่มีน้ำอุ่นหรือไง?” ผมสะดุ้งทันทีหลังจากโดนน้ำเย็นจากฝักบัวตกกระทบผิว
“มีครับ แต่ต้องใช้เวลาครับ แถมควบคุมอุณหภูมิก็ลำบาก เมื่อกี้ผมโดนลวกมาแล้วผมเลยไม่อยากให้พี่โดนเหมือนผม” ระหว่างพูดก็โชว์รอยแดงที่หัวไหล่ให้ผมดู ผมเพียงแค่เหล่ตามองและทำเป็นเอามือลูบตัวให้น้ำสัมผัสกายให้ทั่ว

“ผมถูให้นะ” พูดจบหลงก็กดสบู่ที่เครื่องจ่ายสบู่เหลวใกล้ตัวมาชโลมใส่ตัวผมและถูไปทั่วบริเวณช่วงบนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เกิดฟองไปทั่วร่างกายช่วงบนของผม หลงกำลังจะไปกดสบู่รอบใหม่
“ไม่เป็นไร ที่เหลือพี่ทำเอง” ผมยังรู้สึกว่าผู้ชายอย่างหลงมาทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันอย่างผมมันคงจะดูแปลกๆ ไม่อยากให้น้องลำบากใจ

“ให้ผมทำเถอะ ผมไม่รังเกียจหรอก” ผมมองหน้าหลงอีกที รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดครั้งแรกน่าจะผิด เขาดูกระตือรือร้นมาก (มากเกินไป)

“ไม่เอาอ่ะ ไปจัดการของตัวเองนู่น!!”
ผมก็อายนะ ถึงน้องจะเต็มใจ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผม(เต็มใจ) เปลือยกายต่อหน้าเขา ผมว่าผมยังไม่พร้อมนะ

หลังจากผมทำความสะอาดท่อนล่างของตัวเองเสร็จ การก้มๆ เงยๆ เพียงนิดก็ทำให้ผมรู้สึกเวียนหัวได้เหมือนกัน ผมเลยตัดสินใจใช้มือไปพิงอะไรสักอย่างที่ใกล้ตัว แต่สัมผัสมันไม่แข็งกระด้างเหมือนพื้นผนังกระเบื้องในห้องน้ำนี่สิ
“พี่ผมเสียวนะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาดูพบว่ามือตัวเองสัมผัสอยู่บริเวณหน้าท้องของหลงอยู่ (ซิกแพ็กแน่นใช้ได้)
“เฮ้ย!! โทษที”
“พี่หน้ามืดอีกแล้วเหรอ ก็บอกแล้วให้ผมช่วยอาบให้ก็ไม่เชื่อ”
“ไม่เป็นไร แค่พื้นมันลื่น”
“อืม… ไม่เป็นไรก็โอเคครับ ว่าแต่พี่ช่วยถูหลังให้ผมหน่อยสิ ผมถูไม่ค่อยถึงครับ ช่วงนี้ซ้อมบาสฯ หนักจนปวดไหล่ไปหมด” หลงหันหลังที่แผ่กว้างมาให้ผม
“ก็ได้” ผมสอดมือผ่านตัวหลงไปกดสบู่ที่เครื่องจ่าย แล้วนำสบู่เหลวมาชโลมทั่วแผ่นหลัง ที่ผมได้สัมผัสเมื่อครู่ในระหว่างที่เขาแบกผมมาแต่ตอนนี้ไม่มีเสื้อผ้ามาบดบังปิดกั้น เช่นเดียวกับความรู้สึกของผมในตอนนี้ที่ไม่มีอะไรปิดกั้นได้แล้ว หลังจากได้สัมผัสกับกล้ามเนื้อที่เด่นชัดทุกส่วนของเขา ไอ้น้องชายของมันตื่นขึ้นมาเสียแล้ว ก่อนที่หลงจะสังเกตเห็นผมรีบหันหลังและเปิดฝักบัวราดหัวตัวเองทันที

แต่ดูท่าจะไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วที่ทนไม่ไหว เพราะอีกฝ่ายโผเข้ามาสวมกอดผมทางด้านหลัง รู้สึกถึงของแข็งของหลงกระทบกับหลังผมเต็มๆ

“พี่จะทำผมเป็นบ้าอยู่แล้วนะครับ พี่รู้ไหมผมต้องอดทนขนาดไหนที่ต้องอยู่กับพี่ทุกวันโดยที่ทำอะไรมากกว่ากอดไม่ได้ เหมือนผึ้งที่เห็นดอกไม้ในตู้กระจกน่ะ” หลงแทรกศรีษะเข้ามากระซิบข้างหู
“หลง ปล่อยพี่” ผมทำเสียงเข้มดุเขาเหมือนเช่นที่ทุกครั้งที่เขาทำทะลึ่งกับผม แต่คราวนี้ดูจะไม่ได้ผลเสียแล้วเพราะเขากอดรัดผมแน่นกว่าเดิมอีก ผมสัมผัสถึงฟองสบู่ลื่นๆ จากตัวเขามาเปื้อนที่ตัวผม ทั้งๆ ที่ผมกำลังชำระล้างตัวอยู่ใต้ฝักบัวแต่ผมยังสัมผัสถึงความลื่นจากตัวเขาอยู่ ความอบอุ่นจากทุกสัมผัสของเขาถ่ายทอดมาตลอดแผ่นหลังที่ติดกับแผ่นกายด้านหน้าของเขา

“พี่เอิร์ธครับ ผมขอเถอะนะ”

ประโยคสั้นๆ จากปากของเขา และต่อด้วยการถาโถมจู่โจมด้วยริมฝีปากซุกไซ้บริเวณลำคอของผมกับลำตัวของเขาที่แนบชิดผมมากขึ้น ร่างผมแทบละลายอยู่ตรงนี้ ด้วยร่างกายของผมที่ยังไม่เต็มร้อยด้วยแล้วยิ่งทำให้ผมแทบจะขัดขืนกับการเล้าโลมของอีกฝ่ายไม่ได้เลย (ถึงร่างกายผมจะครบร้อยผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะสู้แรงเขาได้)

ผมเผลอครางออกมาหลายครั้งในขณะที่ผมพยายามดิ้นรนให้พ้นจากการโอบรัดของหลง สุดท้ายผมก็ต้องยอมหยุดหลบหนีเพราะหมดแรงที่จะต่อต้าน พอเห็นว่าผมค่อยๆโอนอ่อนไปตามรสลิ้นและริมฝีปากของเขาที่เวียนวนอยู่รอบคอ มือของเขาไล่วนจนมาถึงจุดยุทธศาสตร์ของผมที่ตอนนี้มันไม่เชื่อฟังจิตใต้สำนึกผมสักเท่าไหร่ เขาใช้มือของเขาค่อยลูบไล่ขึ้นลงช้าๆ จนผมไม่อาจฝืนใจตัวเองอีกต่อไป

ไม่นานเขาก็จับผมพลิกตัวไปประจันหน้ากับเขา ผมรู้สึกหอบหายใจถี่จนเหมือนวิ่งรอบสนามสักสองรอบแบบไม่หยุดพัก ตอนนี้ผมเห็นทุกส่วนสัดของเขาแบบเต็มตากับความเต็มที่ที่เขามีจนผมรู้สึกกลับกับสิ่งที่เห็น มันเกินเด็กจริงๆ(หรือว่ามัธยมหกนี่โตเป็นผู้ใหญ่กันเต็มที่แล้ว) หลงกดริมฝีปากลงที่ปากของผมก่อนที่ผมจะปรามเขาด้วยคำพูด ความอบอุ่นที่เขามอบให้กลางสายน้ำเย็นที่ออกจากฝักบัวคล้ายฝนพรำมันทำให้ผมเคลิ้มโต้ตอบกับริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆ นั่น ผมลองใช้ลิ้นแทรกเข้าไปด้วยความเคยชินและเจนจัดกว่า แต่ก็ถูกอึกฝ่ายรุกกลับมาได้ร้อนแรงกว่าจนผมแทบหายใจไม่ออก เขาเหมือนสิงโตที่กำลังพยายามขย้ำเหยื่ออย่างผมให้ตายช้าๆ ไหนจะมือของเขาที่ลูบไล้สำรวจทั่งร่างผมอย่างถนุถนอมจนตอนนี้ผมคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ผมก็ยอมทุกอย่าง

เหมือนหลงจะสื่อใจผมได้ เขายกตัวขึ้นมากระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ

“พี่ผมขอนะ”

แต่ยังไม่ได้ฟังคำตอบของผม เขาก็พลิกตัวผมกลับด้านง่ายๆ เหมือนตุ๊กตายัดนุ่นและใช้มือที่มีเจลเย็นลูบตรงปากทางเข้าอย่างชำนาญ
“โอ้ย….เย็น… อะไรน่ะ”
“สบู่เหลวไงครับ”
“อะไรนะ!!?!  โอ้ย!!!…”
ผมร้องสุดเสียงเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมขนาดไม่ธรรมดา พยายามแทรกตัวเข้ามาในร่างกายของผม มันเจ็บและอึดอัดไปหมด ไม่ใช่ว่าผมบริสุทธิ์อะไร แต่แบบนี้มันไม่เคยเลย โอ้ย… ผมจะทนไม่ไหวแล้ว…. ผมพยายามใช้มือผลักไอ้ตัวต้นเหตุไปถอยไปแต่…กลับไม่ขยับ มันยิ่งทำให้หลงดันตัวเข้ามาเรื่อยๆ จนสุด ผมร้องขึ้นอีกครั้ง
“เจ็บไหมครับ?” เขาหยุดเคลื่อนไหวและก้มลงมาถามผมที่ตอนนี้แทบหมดแรงจนจะกองไปกับพื้น (หากหลงไม่ดันผมไว้ ผมคงล้มลงไปกองแล้ว)

“เจ็บสิวะถามได้!”
“งั้นผมค่อยๆ ทำนะ ผมเองก็ไม่เคย….แบบนี้..”
อ้าวไม่ใช่ว่าจะหยุดหรอกเรอะ? ผมนี่อึ้งกับคำตอบ สักพักเขาก็ทำกิจกรรมเข้าจังหวะ โดยเริ่มจากข้าแล้วค่อยๆ ไปเร็วขึ้นจนผมไม่รู้สึกเจ็บแล้วตอนนี้ แต่อยากให้เขารู้สึกดีเหมือนกับที่หลงส่งเสียงอยู่ตอนนี้ เสียงของเขาเร่งเร้าให้ผมรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่หลงปล่อยเสียงทุ้มต่ำยาว แล้วผมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของเขาฉีดเข้ามาในเข้าร่างกาย เขาผ่อนตัวเองลงและก้มลงมากอดรัดผมแน่น

“ผมรักพี่ที่สุดเลย” เขาพูดขณะเอาหน้าไถที่หลังผมเบาๆ
“เฮ้ย!! เดี๋ยวนะ!! นี่ไม่ได้ใส่ถุงเรอะ?!?”
“จะเอาเวลาไหนไปใส่ล่ะพี่?”
“โธ่!! ไอ้บ้า….”

หลังจากนั้นผมก็รีบล้างตัวทำความสะอาดอีกรอบ แถมบ่นอุบอิบกับหลงเสียยกใหญ่ (แก้เขิน) ระหว่างล้างทำความสะอาดผมรู้สึกแสบร้อนไปหมด รู้สึกเหมือนประตูกลังบ้านกลายเป็นประตูโรงรถไปแล้ว

ผมเดินออกจากห้องน้ำในสภาพหมดแรง ตามเนื้อตัวก็ยังมีน้ำหมาดๆ ประพรมอยู่ รู้สึกว่ายังมองหน้าหลงไม่ได้ยังไงไม่รู้ ไม่คิดว่าตัวเองจะปล่อยตัวได้ขนาดนี้ หลงเดินมาใกล้และปลดผ้าเช็ดตัวของตัวเองขึ้นมาเช็ดศรีษะให้ผม (ไอ้เด็กขี้อ่อย เอะอะแก้ เอะอะแก้)

“คราวหลังอย่าลืมใช้ถุงยางด้วยล่ะ ทำให้เคยชินเข้าใจไหม?” ผมพูดขึ้นขณะที่โดนเช็ดผมให้อยู่ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนลูกหมาตกน้ำและมีเจ้าของนำผ้ามาเช็ดให้
“แปลว่าจะมีคราวหลังอีก?” หลงมากระซิบข้างหูอีกแล้ว
“ไม่โว้ย!!” ผมโวยวายพลางเหวี่ยงผ้าเช็ดตัวของหลงกลับไปหาเจ้าของ
“แปลว่า ให้ผมสามารถใช้กับคนอื่นได้!!!” หลงยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ลองดูสิ! จะได้หาไม้ฟาดหัวแตก!!”
“ยอมแล้วครับ ผมจะเก็บไว้ใช้กับพี่แค่คนเดียวเท่านั้น” พูดไม่ทันจบประโยคหลงก็โผเข้ามากอดผมทั้งที่ตัวเปล่าเปลื่อย
“ไปใส่เสื้อผ้าก่อนไป” ผมพูดแบบเขินๆ เพราะรู้สึกน้องชายของหลงมันจะขอทำโอทีซะแล้ว
“เอาน่า ผมอุตส่าห์เตรียมมาให้ผมได้ลองใช้กับพี่หน่อยสิ”
“ลองอะไร?”
“ก็ถุงยางกับเจลหล่อลื่นไง”
พูดจบเขาก็ทิ้งตัวเองมาทางผมซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ชิดเตียงให้ล้มลงไปนอนพร้อมกับเขา ผมร้องโอ้ยและกำลังจะอ้าปากดุเขาแต่ก็โดนเขากดริมฝีปากมาอุดเสียงผมไว้ ผมดิ้นรนอยู่เพียงชั่วครู่ สุดท้ายผมก็ปล่อยให้อารมณ์พาไป……….


……………………………………………

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด