Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)  (อ่าน 27278 ครั้ง)

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
เช้าวันรุ่งขึ้นผมขับรถพุ่งไปบ้านอาก้องอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมสามารถเข้าพบบุคคลที่ยุ่งที่สุดในบริษัทคนนี้ได้ ผมมาถึงบ้านอาก้องก่อนเวลานัดหมายถึง 30 นาที ภายในบ้านทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่กว่าบ้านที่ผมอยู่ตอนนี้เกือบสิบเท่า ภายในอาณาเขตรั่วของบ้านนี้ยังมีบ้านทรงไทยประยุกต์หลังเล็กปลูกอยู่ห่างๆกัน มีเพียงเนินสนามหญ้าสีเขียวเตี้ยๆ ขวางกั้นแต่ละบ้านอยู่ ผมชอบการวางต้นไม้ดัดทรงต่างๆ ของบ้านหลังนี้มันทำให้บ้านบริเวณนี้มีเรื่องราวคล้ายกับวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาก้องเป็นคนชอบวรรณคดีไทยมากๆ จึงทำให้เป็นแรงบรรดาลใจในการปลูกบ้านของเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

ผมเดินมารออาก้องที่ห้องรับแขกใกล้สระว่ายน้ำลวดลายกินรีเล่นน้ำ เสียงน้ำตกจำลองลอยมาตามลมเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกง่วงขึ้นมานิดหน่อย คนรับใช้ของบ้านที่พาผมมาถึงจุดนี้แจ้งว่าอาก้องยังอยู่ในห้องออกกำลังกายของบ้านยังไม่ลงมาให้รอที่นี่ก่อน (หวังว่าผมคงไม่หลับไปก่อนอาก้องจะลงมานะ เพราะบรรยากาศตรงนี้ดีจริงๆ)

“ลมอะไรหอบแกมมาถึงนี่แต่เช้า”
เสียงที่แหวกอากาศมาทำลายบรรยากาศดีๆ ตรงนี้จนผมสะดุ้งและหันไปมองที่ต้นเสียง

“แม่!! ทำไมแม่มาอยู่ที่นี่ เวลานี้?”
“ก็อาก้องนัดมาคุยธุระ.... นี่เป็นคำถามของแม่นะ ว่าเอิร์ธมาทำอะไรแต่เช้าที่นี่?”
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับอาก้องเหมือนกัน?”
มาถึงจุดนี้ผมรู้ว่าเรื่องราวมันคงไม่เป็นไปตามที่ผมคิดไว้แน่นอน รู้สึกมวนท้องเหมือนอาหารเช้ามันจะตีกลับขึ้นมา

“อืม... ก็ดี...... มีแม่อยู่ด้วยแกจะได้ไม่ทำตัวขัดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

“...................”
ผมคาดได้ทันทีว่าแม่จะมาคุยกับอาก้องเรื่องอะไร คงไม่พ้นเรื่องงานแต่งของผมกับลูกเกด

ผมไม่ได้ตอบอะไรกับไป และไม่คุยกับแม่อีกเลยในระหว่าที่รออาก้อง ผมได้แต่มองสระน้ำรูปทรงกึ่งธรรมชาติด้านนอก ปล่อยให้เวลาผ่านไป แม่ผมเองก็นิ่งเงียบและฮัมเพลงไปเรื่อยเปื่อย แม่คงคิดว่าผมคงไม่สามารถควบคุมบทสนทนาที่กำลังจะเกิดได้ และแม่ยังไงก็ต้องได้สิ่งที่ต้องการ ทำให้ผมต้องคิดหนักทบทวนเรื่องที่จะพูด และสร้างพลังให้ตัวเองมากขึ้น

“อยู่กันพร้อมหน้าเลย เราก็ว่ามาเร็วแล้วนะ ว่าจะมาอ่านหนังสือรอเสียหน่อย” เสียงอารมณ์ดีของอาก้องดังขึ้นที่มุมห้องทางเข้าอีกด้านหนึ่ง
“ผมกะระยะเวลาไม่ถูกจากที่บ้านพ่อน่ะนะครับ เลยรีบมาดีกว่า”
ผมรีบตอบไปด้วยความตื่นตระหนก เพราะในใจไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
“อ้าว.... ทำไมไม่นอนบ้านแม่ล่ะ ก็อยู่ข้างๆกันนี่เอง”
ลุงทำเสียงแปลกขณะที่เดินมานั่งเก้าอี้บุนวมสีเบจข้างๆ เก้าอี้ที่แม่ผมนั่งอยู่

“โอ้ย!! เด็กคนนี้ธุระเยอะ คงอยากไปนอนพักใกล้เมืองมากกว่าจะมาอยู่บ้านแถบชานเมืองแบบนี้จะไปไหนก็ลำบาก!!”
แม่ผมรีบตอบตัดหน้าก่อนที่ผมจะหลุดเอ่ยเรื่องราวระหว่างผมกับแม่ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ ตั้งแต่ผมมีแฟน แม่ไม่ชอบ ไม่ยอมรับที่ผมเป็นแบบนี้ ผมเลยไม่เคยกลับมาหาแม่อีกเลย เพราะทุกครั้งที่เจอกัน แม่ก็จะชวนทะเลาะเพราะเรื่องของผมทุกครั้ง สุดท้ายผมเลยหนีไปพึ่งพ่อที่เข้าใจผมมากกว่า

“ครับ ผมไม่ชินเพราะไม่ได้กลับมานอนบ้านหลังนี้มานานมากแล้วครับ เลยรู้สึกเหมือนไม่ใช่บ้านของตัวเองแล้วครับ”
ผมพูดประชดสวนออกไป

“เอาเถอะๆ ไม่เป็นไร มาถึงก่อนเวลากันก็ดีจะคุยกันเร็วหน่อย อามีเวลาน้อยเดี๋ยวต้องไปประชุมสำคัญต่อพร้อมกับแม่เรานั่นแหละ”
“ครับ .... เอ่อ อาครับผมมีเรื่องจะขอโทษครับ เรื่องงานเมื่อวานที่ผมเดินหนีออกมาก่อน..... คือว่า.....”
“เฮ้ย! ไม่เป็นไร มันก็เป็นสีสันของงานดี งานอาเลยดังขึ้นแทบไม่ต้องลงทุนโปรโมทเยอะเลย!”

“อ่า.....ครับ...... แล้วก็อีกเรื่อง......” ผมรู้สึกอากาศมันจุกอยู่ที่คอจนแทบจะไม่สามารถคายคำพูดออกมาได้ ผมเหลือบมองหน้าแม่เพราะกลัวว่าแม่จะแทรกคำพูดขึ้นมาขัด แต่ดูแม่ผมกลับมีท่าทางนิ่งเฉยกว่าที่คาด

“ไม่ต้องขอโทษแล้ว แม่เธอเขาขอโทษอาไปหลายรอบแล้ว อาไม่ใส่ใจหรอก สมัยนี้แล้วอาเข้าใจ!!”

“อาเข้าใจ?”
ผมเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกอีกแล้ว แม่ผมไปขอโทษเรื่องอะไรแล้วอาก้องรับได้เรื่องอะไร เรื่องที่ผมเป็นเกย์ทีจะแต่งกับลูกสาวอาเนี่ยเหรอ? หรือเรื่องแต่งงานแบบหลอกๆ ทั้งที่ไม่ได้รักกันแบบนี้!!

“เข้าใจสิ เรื่องของหนุ่มสาวสมัยนี้ ชิงสุกก่อนห่าม อาไม่ว่าหรอกนะ และอาก็ยินดีที่เอิร์ธต้องการจะรับผิดชอบ!! แต่ที่อาเรียกเรามาคุยเนี่ยไม่ใช่ว่าจะมาต่อว่านะ ไม่ต้องกลัว อาจะมาคุยเรื่องกำหนดการงานแต่ง อาอยากจะเร่งให้เร็วหน่อย ไม่อยากให้ลูกเกดท้องโตในงานพิธีเลย!!”

“ลูกเกดท้อง!!!!!!!”
อาก้องพูดรัวและเร็วจนผมย่อยข้อมูลแทบไม่ทัน ผมได้แค่ทวนสิ่งที่ผมสรุปได้ออกมา

“อ้าว!! เป็นหมอภาษาอะไร อยู่ด้วยกันบ่อยๆ นี่ไม่รู้เหรอว่าลูกเกดท้อง! โอเค!! แต่แม่เอิร์ธน่ะรู้ก็เลยรีบมาขอโทษลุงและบอกให้ลุงรีบจัดงานแต่งงาน เอาล่ะ! ลุงเข้าใจแล้วว่าทำไมเอิร์ธถึงได้ดูประหลาดใจ อาก็เหมือนกัน แต่อาไม่ว่าอะไรหรอกนะ อาน่ะแก่แล้ว ได้อุ้มหลานเร็วๆ ก็ดี บ้านลุงก็พร้อมเลี้ยงหลานคนเดียวหรือสองคนก็ได้ทั้งนั้น แต่แค่อยากทำให้ถูกต้องตามประเพณีก่อน!!”

“ลุงครับคือว่า.......” ผมเริ่มรู้สึกลังเลว่าจะพูดออกมาว่าอย่างไร ณ สถานการณ์แบบนี้ หากผมสารภาพออกไป แล้วเรื่องลูกในท้องของลูกเกดนี่มัน ลูกใคร? หรือว่าของปิยะ? ฉิบหายแล้ว เรื่องนี้มันไม่ง่ายเสียแล้ว

“ว่าไง ลุงว่าจะจัดสักเดือนหน้าเลย ตามที่คุยกับแม่เราไว้ อาดูฤกษ์ไว้แล้ว ลางานมาแต่งงานเขาน่าจะให้ใช้ไหม?”
“เอ่อ.... คือว่า....” ความคิดของผมมันพันไปมาเหมือนเส้นไหมพรมที่มัดพันเป็นปม ผมรู้สึกว่าผมควรจะไปเคลียร์เรื่องนี้กับต้นเรื่องก่อน! ผมต้องคุยกับลูกเกดก่อน แต่.... ผมจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้านี้ได้ยังไงก่อนดีกว่า

“คุณก้องคะ ไม่เป็นไรคะเรื่องนั้นเดี๋ยวอรคุยกับลูกเอง ลูกคงยังตื่นเต้นเรื่องลูก เลยพูดอะไรไม่ออก”
แม่ผมพูดตัดบทขึ้นมาเสียจนผมหันไปมองค้อนใส่เธอ

“ฮ่าฮ่าฮ่า เออๆ ลุงก็ตื่นเต้นเหมือนกัน งั้นตามสบายนะ ลุงมีงานที่ต้องไปจัดการเสียก่อน”
อาก้องพูดจบประโยคก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางสบายใจ และเดินหายไปตรงทางที่เขาเข้ามาอย่างน่าทึ่ง สมเป็นนักธุรกิจชั้นนำจริงๆ ทำอะไรรวดเร็วฉับไวไปเสียหมด

หลังจากอาก้องเดินจากไป ผมมองจ้องหน้าแม่ผมอย่างขุ่นเคืองผมไม่รู้ว่าจะโกรธแม่เรื่องอะไรก่อนดี แม่เป็นฉลาดในการวางแผนเสียจนผมรู้สึกเสียใจที่เต้นตามจังหวะที่แม่วางไว้มาโดยตลอด

“อยากจะโกรธก็เชิญ แต่แม่ทำไปด้วยความหวังดีนะ”
แม่พูดขึ้นมาท่ามกลางสายตาที่ร้อนแรงของผมที่สาดใส่แม่แบบไม่ปราณี
“แม่ทำอะไรของแม่? นี่มันเรื่องใหญ่มากนะ แล้วใครเป็นพ่อเด็ก?!!”
ผมพยายามลดโทนเสียงตัวเองลง เพราะหน้าต่างมีหูประตูมีตา เรื่องแบบนี้คงจะโวยวายเสียงดังไม่ได้
“ก็แกไง!” แม่ผมก็ยังไม่หยุดดื้อดึงที่จะทำแผนนี้ต่อไป

“ผมถามจริงแม่! แม่ก็รู้ว่าผมกับลูกเกดน่ะ ไม่ได้มีอะไรกัน และไม่มีทางจะมีวันนั้นด้วย เรื่องการสร้างครอบครัวไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ โดยเฉพาะการสร้างครอบครัวปลอมๆ แบบนี้มันไปไม่รอดหรอกแล้วคนที่เสียใจที่สุดก็คือ ลูกเกด คนที่แม่บอกว่าอยากจะช่วยนั่นแหละ!! แม่มีประสบการณ์นี้ดีน่าจะรู้นะ!!”
ผมนำเอาความเดือดดาลทั้งหมดใส่ไปที่แม่ซึ่งตอนนี้ท่านทำนิ่งเฉยเสียจนผมอยากเข้าไปเขย่าตัวแรงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2018 17:05:43 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เออ.นะ แม่หวังอะไรเนี่ย ขนาดรู้ว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของลูกชายก็ยังดันทุรังทำ
 o18

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“เฮ้อ....  แม่อยากจะช่วยน้องจริงๆ นะ แต่ก็แค่ได้ประโยชน์ด้วยนิดหน่อย” แม่พูดเสียงราบเรียบด้วยรอยยิ้มจอมปลอมเหมือนเคย ผมไม่ชอบแม่ก็ตรงนี้

“แม่!!” ผมพูดเสียงเข้มเพราะยังไม่พอใจกับคำตอบของเธอ
“โอเคๆ” เสียงสูงของแม่ดังขึ้นมา แสดงถึงตัวตนของเธอได้กลับมาประทับร่างแล้ว
“เอิร์ธ.... มานั่งใกล้ๆนี่ แม่จะอธิบายให้ฟัง....”
แม่เอื้อมมาจับมือผมด้วยสัมผัสอันแผ่วเบา และพยายามดึงมือผมเข้าไปไกล เธอจะทำแบบนี้ทุกครั้งที่ต้องการใช้ไม้อ่อนกับผม ซึ่งผมก็ใจอ่อนทุกครั้ง เพราะการที่แม่แสดงความอบอุ่นอ่อนโยนกับผมมันหายากมาก

“ลูกเกดน่ะเข้ามาปรึกษาแม่...” แม่พูดขึ้นแต่ในใจผมกลับคิดอีกแบบ (ผมว่าแม่สังเกตอาการแพ้ท้องลูกเกดแล้วพยายามล้วงถามจนลูกเกดสารภาพมากกว่า)

“แม่ไม่อยากถามอะไรน้องมาก แค่รู้สึกอยากช่วยเหลือก็เท่านั้น” (ผมว่างานนี้ลูกเกดน่าจะปากแข็งพอที่จะไม่บอกมากกว่า)

“ลูกเกดไม่อยากเอาเด็กออกและเครียดมาก แม่ก็เลยเสนอตัวเข้าช่วย...” (ผมรู้ว่าลูกเกดคงเครียดมาก และกังวลใจ แม่ก็เลยยัดเยียดแผนแปลกๆ แบบนี้ให้ลูกเกดจนต้องยอมทำตาม)

“แม่น่ะดูออกนะว่า ลูกเกดน่ะแอบรักเอิร์ธอยู่นานแล้ว แม่เองก็อยากให้ลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ แม่ก็รักลูกเกดเหมือนลูกในไส้ เด็กที่ออกมาแม่จะช่วยเลี้ยงเอง...” (พอคำว่ารักออกจากปากทำให้น้ำหนักในคำนั้นมันเบาลงไปมาก ผมเริ่มให้ความเชื่อถือเรื่องแอบรักนี้น้อยลงไปอีก ผมว่าจุดประสงค์หลักของแม่น่าจะอยู่ที่ประโยคที่สอง ส่วนประโยคสุดท้ายเรื่องรักเด็กนั่น ผมว่ามีน้ำหนักเบาที่สุด เพราะแม่มีลูกของตัวเองยังไม่เลี้ยงเลย จะไปเลี้ยงลูกใครก็ไม่รู้ได้ยังไง!)

“แม่พูดถึงตรงนี้แล้ว แม่รู้ว่าเอิร์ธต้องเข้าใจ เอิร์ธเข้าใจความหวังของแม่ที่มีให้ทั้งเอิร์ธทั้งน้องใช่ไหมลูก...”
แม่ใช้มือเอื้อมมาตบไหล่ผมเบาๆ

“.........ขอบคุณที่บอกผมครับ...... แต่.....ผมขอคิดดูก่อน” ผมยิ้มแบบยิงฟันแบบไม่เต็มปากให้แม่ก่อนที่จะลุกเดินออกจากห้องไป....

ผมไม่ได้ยินยอมไปกับแผนของแม่หรอกนะครับ เพียงแต่ว่าผมต้องถอยออกมาตั้งหลักเพื่อหาทางหาข้อมูลที่เพียงพอที่จะรับมือแผนของแม่เสียก่อน และจุดหมายถัดไปที่ผมจะไปพบคนต่อไปก็คือ ‘ลูกเกด’ ผมต้องไปคุยกับเธอให้รู้เรื่อง!!

...............................

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
รีบเลยนะเอิร์ธ อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อ สู้ๆ น้าา
 :interest:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

เอิร์ธ # 12


“คุณภัสสร ไม่อยู่คะ”

คนที่น่าจะเป็นเพื่อนในสำนักงานของลูกเกดซึ่งรับสายแทนตอบกลับมาเสียงเจื้อยแจ้ว เนื่องผมไม่สามารถติดเธอได้ทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเธอ

“เธอจะกลับมาเมื่อไหร่ทราบไหมครับ บังเอิญว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” ผมถามเธอกลับไปทันที
“ไม่ทราบคะมีอะไรฝากข้อความไว้ไหมคะ?”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรหาใหม่ครับ”
“สวัสดีคะ” แล้วเธอก็วางสายไปอย่างรวดเร็วได้ยินแต่เสียง ตู๊ดๆๆ ดังมากจากลำโพงโทรศัพท์ฝั่งผม

ผมขับรถมาตั้งไกลเพื่อมายืนอยู่ที่หน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ระดับต้นๆของประเทศเนี่ยนะ ผมพยายามโทรศัพท์ติดต่อกับลูกเกดตั้งแต่ขับออกจากบ้านของเธอที่ชานเมืองแล้ว แต่เธอดูเหมือนจะพยายามหลบหน้าทุกคนอยู่ช่วงนี้ แม้กระทั้งผม อาจเพราะปิยะเองก็พยายามตามตื้อเธออยู่ ไหนจะนักข่าวที่พยายามสืบหาข้อมูลของการแต่งงานสายฟ้าแลบครั้งนี้ด้วยโชคดีที่ผมไม่ใช่คนโด่งดังอะไรเลยอยู่นอกเรดาของหมาล่าเนื้อเหล่านั้น

ผมเฝ้าทางเข้าออกบริษัทอยู่ได้ครึ่งค่อนวันในระหว่างที่ยังติดต่อลูกเกดไม่ได้ ในใจผมนั่นร้อนรนจนเหมือนมีพระอาทิตย์ มาเผาไหม้อยู่ข่างใน เพราะในขณะที่ผมยังนั่งรอเจอลูกเกดอยู่ที่นี่ เวลาที่ผมขอลางานมาเพียงไม่กี่วันก็หมดลงเรื่อยๆ  และไหนจะหน้าข่าวสังคมตามสื่อต่างๆ พยายามพัดประโคมข่าวเรื่องงานครั้งนี้ระหว่างลูกสาวนักธุรกิจชื่อดังกับหนุ่มนิรนามนี่อีก ผมเหวี่ยงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะรับแขกที่ทำด้วยกระจกขนาดเล็กในพื้นที่รับรองแขกชั้นล่างสุดของบริษัท

ผมตัดสินใจเดินกลับไปตั้งหลักที่รถเพราะคิดว่าผมคงไม่เจอลูกเกดที่นี่แล้วแน่ๆ เพราะเป็นที่ๆ เธออาจจะเจอนักข่าว และคนที่เธอไม่อยากเจอได้ง่ายๆ ลูกเกดอาจจะพยายามหลักเลี่ยงพื้นที่ตรงนี้อยู่

ในขณะที่ผมกำลังปลดล็อกโทรศัพท์เพื่อค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของปิยะ คนสนิทของลูกเกดคนที่ผมคิดว่าน่าจะรู้ดีว่าลูกเกดอยู่ที่ไหนเวลาเธอไม่ต้องการเจอใคร  ผมคิดว่าใครๆ ก็มี safe house เป็นของตัวเองทุกคน (ผมก็มี)  ในขณะที่แสงยามบ่ายคล้อยลงมาที่รถของผม ทำให้ผมสังเกตเห็นหญิงสาวในชุดลำลองมิดชิดเดินออกจากอาคารสำนักงานตรงหน้า แม้จะแต่งตัวแปลกไป แต่มีหรือครับที่ผมจะจำน้องสาวของตัวเองไม่ได้ ลูกเกดคงหลบอยู่ที่บริษัทและให้เพื่อนๆ ที่นี่ช่วยแก้ต่างให้กับคนที่ต้องการหาตัวเธอ

ลูกเกดวิ่งไปที่รถสปอร์ตสีเหลืองคันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกล ผมไม่รอช้าที่จะสตาร์ทรถและขับตามเธอไปอย่างไม่ลังเลก่อนที่เธอจะหนีหายไปอีก ยังไงวันนี้เรื่องนี้ผมก็ต้องจบมันให้ได้!!

สภาพถนนยามบ่ายในเมืองหลวงแบบนี้ ทำให้การสะกดรอยตามทำได้ยาก แต่โชคดีที่เส้นทางที่เธอขับมานั้นผมค่อนข้างคุ้นเคย เลยทำให้การติดตามไม่ยากเท่าไหร่ ลูกเกดขับมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งของย่านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ชานเมือง หลังจากเธอจอดรถได้เธอก็เดินเลยหายเข้าที่จะเข้าไปที่ทางเข้าทะเลสาปของสวนแห่งนี้  ผมเดินตามเธอไปโดยพยายามทิ้งระยะห่างไม่ให้เธอสังเกตเห็น จนกระทั่งเธอไปยืนอยู่ที่ศาลาชมวิวริมทะเลสาป

ชุดลำลองแบบกระโปรงเต็มตัวยาวถึงเข่า แขนยาวลายลูกไม้โปรงแสงสีเทาเข้ากับแว่นดำยี่ห้อกุชชี่สีน้ำตาลอ่อน ผมที่สยายตามลมธรรมชาติของทะเลสาป รับกับใบหน้าที่สวยน่ารักตามธรรมชาติของหญิงสาวเชื้อสายจีน เธอเหม่อมองไปที่ทะเลสาปเหมือนมันกำลังพูดคุยกับเธอทางสายตา เป็นภาพมองไปแล้วเหมือนเธอกำลังถ่ายทำมิวสิควีดีโออยู่ ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจจะเดินเข้าไปทำลายพลอตมิวสิควีดีโอของเธออยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาทักลูกเกด เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปหน้าคมสันคล้ายคนตะวันตกผิวขาวใส่สูทหรูมาเต็มยศประดับด้วยแว่นตาดำทรงโตที่ใบหน้าจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นดูขัดตาไปเลย

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
สภาพถนนยามบ่ายในเมืองหลวงแบบนี้ ทำให้การสะกดรอยตามทำได้ยาก แต่โชคดีที่เส้นทางที่เธอขับมานั้นผมค่อนข้างคุ้นเคย รวมกับที่รถยนต์ที่ลูกเกดขับมันก็เด่นด้วยรูปลักษณ์และทะเบียนหมายเลขพิเศษ มันทำให้การติดตามไม่ยากเท่าไหร่ ลูกเกดขับมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งของย่านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ชานเมือง หลังจากเธอจอดรถเลียบบาทวิถีด้านสวนสาธารณะได้ เธอก็เดินถลำหายเข้าไปที่ทางเข้าทะเลสาปของสวนแห่งนี้  ผมสะกดรอยตามการเดินเธอไปโดยพยายามทิ้งระยะห่างไม่ให้เธอสังเกตเห็น จนกระทั่งเธอไปยืนอยู่ที่ศาลาชมวิวริมทะเลสาป

ชุดลำลองแบบกระโปรงเต็มตัวยาวถึงเข่า แขนยาวลายลูกไม้โปรงแสงสีเทาเข้ากับแว่นดำยี่ห้อกุชชี่สีน้ำตาลอ่อน ผมที่สยายตามลมธรรมชาติของทะเลสาป รับกับใบหน้าที่สวยน่ารักตามธรรมชาติของหญิงสาวเชื้อสายจีน เธอเหม่อมองไปที่ทะเลสาปเหมือนมันกำลังพูดคุยกับเธอทางสายตา เป็นภาพมองไปแล้วเหมือนเธอกำลังถ่ายทำมิวสิควีดีโออยู่ ขณะที่ผมกำลังตัดสินใจจะเดินเข้าไปทำลายพลอตมิวสิควีดีโอของเธออยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาทักลูกเกด เขาเป็นชายวัยกลางคนรูปหน้าคมสันคล้ายคนตะวันตก ผิวขาวใส่สูทหรูมาเต็มยศประดับด้วยแว่นตาดำทรงโตที่ใบหน้าจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นดูขัดตาไปทันที

ด้วยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหัน ผมจึงรีบหันหลังกลับและเดินไปสังเกตุสถานการณ์ในจุดใหม่ที่มิดชิดและใกล้กว่าเดิมนิดหน่อย (ความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นพวกถ้ำมอง โชคดีที่คนแถวนี้ไม่พลุกพล่าน)

จากจุดที่ผมยืนอยู่ไม่สามารถบอกได้ว่าทั้งสองคุยอะไรกันอยู่ แต่ดูจากท่าทางในการทักทายและสนทนากันทั้งสองฝ่ายแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมกันระดับหนึ่ง ผมรู้สึกคุ้นหน้าฝ่ายชายมากๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก (ปกติหากเป็นผู้ชายหน้าตาดีผมมักจะจำได้ดี) ทั้งคู่สนทนามาระยะหนึ่งจนมาถึงท่าทีอักอ่วนของลูกเกดเกิดขึ้น ทำให้ฝ่ายชายรู้สึกสงสัยและมีท่าทีร้อนใจจนต้องถอดแว่นตาดำอันใหญ่ออกมา หน้าตาภายใต้แว่นดำนั้น ช่างเกินกว่าที่ผมจินตนาการไว้มาก นอกจากความใสของหน้าแล้ว โครงหน้ายังได้รูปเหมือนรูปปั้นเดวิดของลีโอนาโด้ ดาวินชี่ ผมมองจากระยะนี้ยังไม่สามารถละสายได้จากเขาได้ง่ายๆ

แต่ก็วินาทีนั้นแหละที่ทำให้ผมนึกชื่อผู้ชายที่ยืนอยู่กับลูกเกดออก เขาคือ ‘กาย’ เจ้าของธุรกิจหนุ่มไฟแรง ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีภายในบ้านของเขากำลังได้รับความนิยมสูงมาก และหากจำไม่ผิดเขาน่าจะเคยร่วมมือกับอาก้องสร้างหมู่บ้านล้ำๆแห่งหนึ่งอยู่ แล้วลูกเกดมาอยู่กับไอ้เพลย์บอยนี่ได้ยัง?

ลูกเกดทำท่างลำบากใจที่จะเล่าอะไรบางอย่างให้เขา ซึ่งหลังพูดจบประโยค น้ำตาของสาวสวยอย่างลูกเกดก็หยดลงมาพร้อมสีหน้าที่เป็นกังวลเหมือนกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ ส่วนฝ่ายชายดูมีสีหน้าตกใจมาก จนหน้าซีดเผือดกว่าเดิม พร้อมทั้งโวยวายอะไรบางอย่างที่ผมจับเป็นศัพท์อะไรไม่ได้ ลูกเกดพยายามอธิบายอะไรบางอย่างกับด้วยน้ำตาแต่ดูเหมือนว่าการทำแบบนี้จะยิ่งทำให้ฝ่ายชายหงุดหงิดดว่าเดิม

สุดท้ายก็จบที่ฝ่ายชายกำลังเดินจากไปด้วยท่าทีฉุนเฉียว ลูกเกดก้าวไปจับแขนเขาอย่างรวดเร็ว แต่ปฏิกิริยาของฝ่ายชายดูจะได้เปรียบกว่า เขาสบัดมือลูกเกดจนหลุดและเดินจากไปอย่างไม่ใยดี..... ผมรู้สึกร้อนขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีเหตุผล ผมก้าวเท้าวิ่งออกจากจุดสังเกตการณ์และสาวหมัดเข้าที่ไอ้หน้าตัวเมียข้างหน้าอย่างแรง แต่อาจเพราะเซ้นส์ของนักกีฬาหรืออะไรบางอย่าง ทำให้เขาเอียงตัวหลบหมัดของผมได้และ ทำให้หมัดของผมเฉียดแค่ผิวหน้าของเขาเท่านั้นเอง

“ว้าย!!! พี่เอิร์ธ!!” ลูกเกดอุทานเสียงสูง
“ลูกเกด ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร มันทำอะไรลูกเกดหรือเปล่า?”
ผมหันไปหาหญิงสาวที่ตอนนี้หน้าซีดกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“พี่เอิร์ธ มาที่นี่ได้ยังไงคะ?”
“พี่อยากคุยกับลูกเกด เลยแอบตามมาน่ะ แต่ช่างมันก่อน!! เกดมาอยู่กับไอ้หมอนี่ได้ยังไง? มันทำร้ายอะไรเกดหรือเปล่า?”  ผมยืนคุมเชิงอยู่ระหว่างลูกเกดกับไอ้หล่อหน้าลูกครึ่งนี่

“นั่นเป็นสิ่งที่ผมควรจะพูดกับคุณไหม? คุณเป็นใครกล้าดียังไง มาทำร้ายผม?” ไอ้หนุ่มลูกครึ่งยึดตัวตรงและกำหมัดแน่น
“เดี๋ยวคะ!! เดี๋ยว คือ... นี่พี่เอิร์ธคะ พี่เอิร์ธเป็น....คู่หมั้นเกดเอง ส่วน.... คนนี้ เป็นเพื่อนน่ะคะ มาคุยเรื่องงานกัน”

“อ้อ... ไอ้หมอหน้าหวานที่เธอเล่าให้ฟังนั่นเอง.... ก็ดี!! แต่งกับมันไปสิเรื่องจะได้จบ จะได้เลิกมาวุ่นวายกับผมเสียที!!” กายพูดเสียงเข้มดังขึ้นด้วยท่าทีฉุนเฉียว

“นี่มันอะไรกัน เกด!!” ผมเห็นภาพตรงหน้าแล้วอดหัวร้อนจนหยุดไม่อยู่ไม่ได้ ผมเป็นคนเกลียดคนประเภทนี้อยู่ด้วย

“คือ.....คือว่า.....” ลูกเกดทำท่าทางเหมือนกำลังปั้นเรื่องที่พูดออกมาให้ฟังมีเหตุผลในสถานการณ์แบบนี้ แต่ยิ่งทำให้ผมปะติดปะต่อเรื่องราวคร่าวๆ จนพอเดาได้

“หรือว่า.... ไอ้คนนี้เป็นพ่อของเด็กในท้อง!!!” ผมเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมา
“ดูท่าทางฉลาดนะแต่ทำไมถึงพูดอะไรโง่ๆ พ่อเด็กเป็นใครก็ยังไม่รู้!! อย่ามาเหมาว่าเป็นของผมสิ เรามีอะไรกันไม่กี่ครั้งเอง!!”
ชายใส่สูทพูดด้วยถ้อยคำไร้นำ้ใจและไร้ความรับผิดชอบ

“แก!!!! มัน..!!!” ไอ้ปากปีจอเปิดปากทีผมนี่แทบอยากถลาตัวไปบวกกับมันตรงนี้เลย แต่พอผมได้มองสีหน้าของลูกเกดทำให้ผมคิดว่าต้องเคลียร์ปัญหาด้วยสมองมากกว่ากำลัง

“อยากจะทำอะไรก็ตามสบาย นึกว่านัดให้มาเจอเพื่ออะไร ผมไม่มีเวลาว่างมากหรอกนะ!!” ไอ้หน้าหล่อมันพูดพร้อมสวมแว่นตาดำอันใหญ่สวมกลับไปบนใบหน้าขาวๆนั่น และเตรียมหันหลังเดินจากไป

“เฮ้ย!! เดี๋ยวสิ!! แล้วคุณจะไม่รับผิดชอบอะไรหน่อยเหรอ?” ผมตะโกนใส่เสียงดังลั่น

“รับผิดชอบ? รับผิดชอบเรื่องอะไร? ในเมื่อเราก็ตกลงกันแล้วเรื่องพวกนี้ ต่างคนต่างให้ ต่างคนต่างได้รับความสุข ผมเองก็มีแฟนแล้ว จะแต่งงานอีกสองเดือนแล้ว แล้วเธอเองก็มีแฟนอยู่แล้วอย่านึกว่าผมไม่รู้!! ดังนั้นจะให้ผมรับว่าเด็กในท้องเป็นลูกของผมได้ยังไง!!” เขาหันกลับมาตอบเป็นชุดด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน หน้าตาเหมือนคนตะวันตกแต่พูดไทยชัดมาก
 ผมฟังกายพูดจนจบ ก็ยังไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยว่าน้องสาวที่ดูน่ารักสดใสจะมีพฤติกรรมทางสังคมแบบนี้

“ลูกเกด... นี่มันหมายความว่ายังไง? เล่ามาให้หมด” ผมพูดเสียงเข้มใส่หญิงสาวที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยเมคอัพที่เริ่มเลอะเทอะ

“ตามสบายนะ ผมไม่ได้ว่าง เรื่องนี้ถือว่าจบกันไปแบบนี้ก็แล้วกัน ผมไปล่ะ!” แล้วกายหนุ่มลูกครึ่งก็เดินสาวเท้าจากไปอย่างไม่ใยดี

“เฮ้ย!! เดี๋ยวสิ!!” ผมตะโกนเรียกให้เขามาเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน แต่คราวนี้เขากลับไม่สนใจและเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ในขณะที่เท้าผมกำลังหยั่งออกไปตามชายที่เดินหนีไปตรงหน้าก็มีมือที่เรียวยาวมาจับแบนผมเพื่อหยุดผมไว้

“ช่างเถอะคะ พี่เอิร์ธ!! ปล่อยเขาไป อย่างไรเกดก็ไม่ได้อยากให้เขามารับผิดชอบหรอกคะ เพราะเราไม่ได้รักกัน”
ลูกเกดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“เกด??” ผมทำน้ำเสียงตัดพ้อและสงสัยใส่ลูกเกด
“เกดก็แค่ อยากให้เขารับทราบว่า มีชีวิตน้อยๆที่เป็นของเขาอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการให้เขารับผิดชอบอะไร? แต่เขาพูดจาทำร้ายจิตใจเกดเกินไปก็เลยทนไม่ไหวร้องไห้ออกมาเท่านั้นเอง เกดไม่เคยเจอใครดูถูกเกดแบบนี้มาก่อน เกดไม่ได้ต้องการจะจับเขาเสียหน่อย เกดแค่จะบอกถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเท่านั้น”
 ลูดเกดร่ายยาวจนไม่เปิดโอกาสให้ผมถามแทรก

“เรื่องมันเป็นมายังไง เล่าให้ฟังหน่อย ไม่ใช่ว่าเกดคบอยู่กับปิยะหรอกหรือ?”

“พี่เอิร์ธรู้?!?”
“บังเอิญว่าพี่มีโอกาสได้เจอกับปิยะน่ะ” ซึ่งเป็นการเจอที่ไม่ประทับใจเท่าไหร่ ผมคิดในใจ
“..........” ลูกเกดกลับเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวอีกแล้ว
“เกด .... ไปนั่งพักตรงนั้นหน่อยไหม?”
“คะ.....”

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


ผมพาเธอไปนั่งที่ม้านั่งหินอ่อนริมทะเลสาบที่เงียบสงบ จนได้ยินแต่เสียงลมพัดโบกจนต้นไม้ใบหญ้าบริเวณนั้นพริ้วไหวเอนไปมาเป็นรูปศิลปะที่สวยงาม แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ ที่ไม่ร้อนแรงทำให้ที่นี่เย็นสบายขึ้น ลูกเกดมองไปที่ทะเลสาปอีกครั้งหลังนั่งลงเรียบร้อย เธอเช็ดทำความสะอาดใบหน้าที่เลอะเทอะคราบน้ำตาและเครื่องสำอางต์ก่อนที่จะเปิดปากเล่าทุกอย่างให้ฟัง

เธอเล่าว่า.... หลังที่ลูกเกดได้แอบคบหากับปิยะ ตั้งแต่ช่วงใกล้ที่จะเรียนจบ เนื่องจากไม่ค่อยแน่ใจในหลายๆ เรื่องของปิยะ เพราะชื่อเสียงในทางไม่ดีของเขาทำให้ลูกเกดไม่กล้าที่เปิดตัวเต็มที่ เพราะสาวๆ ของปิยะที่ตามเกาะเแกะปิยะมีอยู่เยอะ และมีข่าวชิงรักหักสวาทมีเรื่องราวบ่อยครั้ง ลูกเกดไม่อยากให้ตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เลยให้ปิยะได้พิสูจน์ตัวเองก่อน ผ่านมาสามปี ปิยะที่ใจอ่อนกับหญิงสาวก็ไม่เด็ดขาดเสียที จนในที่สุดเรื่องของลูกเกดกับปิยะก็ดันไปสะดุดตากับแม่ม่ายสาวคนหนึ่งที่ติดพันปิยะอยู่ช่วงหนึ่ง (ไม่มั่วแต่ทั่วถึงจริงๆ ฟังกี่ทีปิยะนี่ก็ทำให้ผมประหลาดใจในความเจ้าชู้ของมันจริงๆ) ตอนนั้นลูกเกดเรียนจบและเข้ามาช่วยงานที่บริษัทของพ่อแล้ว แม่ม่ายสาวคนนั้นเดินทางมาขอพบและคุยด้วยอย่างจริงจัง (ผมคิดว่าน่าจะมาหาเรื่องมากกว่า) ทำให้ตอนนั้นลูกเกดอับอายมาก ลูกเกดเลยไปคุยกับปิยะอย่างจริงจังให้จัดการให้เรียบร้อย แต่ผลกลับตรงข้าม เพราะเธอตามลูกเกดไปหาเรื่องอีกถึงช่วงเวลาที่เธอไปช้อปปิ้งกับเพื่อน ช่วงเวลานั่นลูกเกดทุกข์ใจมาก เพราะปิยะดูเหมือนไม่พยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์แบบนี้เลย

จนกระทั่งลูกเกดได้พบกับกายที่มาช่วยอาก้องดูแลโครงการเมก้าโปรเจคของบริษัท กายเป็นคนมาดดี หล่อ อบอุ่นน่ารัก และเป็นคนที่ให้เกียรติ์ลูกเกดมาก เลยเผลอใจไปไหนมาไหนด้วยกันหลายครั้ง แรกๆก็ทำไปเพื่อประชดปิยะ แต่พอนานเข้าก็เกิดเป็นเรื่องเกินเลยขึ้น จนกระทั้งลูกเกดเกิดอาการแพ้ท้องจนแม่ผมสังเกตเห็นเข้า จึงได้เข้ามาทำการช่วยเหลือ ที่เหลือเหตุการณ์ก็เกินเลยมาจนถึงปัจจุบันนี้

“แต่เรื่องที่เกด..... แอบรักพี่ตั้งแต่เด็กน่ะ เป็นเรื่องจริงนะคะ เกดฝันว่าอยากแต่งงานกับพี่เอิร์ธ แต่เกดก็รู้ล่ะคะว่ามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ เกดรู้เรื่องที่พี่เอิร์ธมีแฟน.... เป็นผู้ชาย... พอฟังแผนของแม่พี่เอิร์ธ แล้วรู้สึกมีความหวังขึ้นมาน่ะคะ”
ลูกเกดพูดทิ้งท้ายด้วยท่าทางขวยเขิน

“แล้วเกดทำไม่รีบมาบอกไอ้กายนั่นตั้งแรกล่ะ?”
“เกดรูดีคะว่าเขาต้องตอบประมาณนี้ ...คือ.... เกดเพิ่งมารู้ทีหลังคะว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้วที่ต่างประเทศ รู้ว่าระหว่างเราคงเป็นไปไม่ได้ เป็นแค่เรื่องชั่วคราวเวลาที่เรา หลบปัญหาจากคนที่เรา......รัก....”
ลูกเกดเน้นคำสุดพร้อมกับน้ำตาไหลลงมาหนึ่งหยดคล้ายกับเธอเพิ่งจะรู้ว่าเธอได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไปแล้ว! ผมฟังแล้วผมก็เข้าใจได้ทันที

“เกด...” ผมโอบไหล่ที่สั่นเทาของเธอ
“มันคงสายไปแล้วใช่ไหมคะ.... ที่เกดจะได้กลับไปหาปิยะ...” ลูกเกดพูดออกมาทั้งน้ำตาอีกระลอก

“..........” ผมทำได้แต่กอดเธอไว้แน่นๆ เพราะพอมาถึงจุดนี้ จุดที่หักศอกของสถานการณ์นี้ ผมจะทำยังไงกับมันดี ผมคิดถึงคำพูดของแม่ตัวเองขึ้นมาทันที ‘ถือเป็นการช่วยน้อง’ ผมหวังว่าสิ่งที่ผมตัดสินใจต่อจากนี้ หลงจะเข้าใจผมไหมนะ?

.........................



เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยเสียงเครื่องยนต์คำรามและเสียงแตรรถยนต์ดังมาเป็นระยะ ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมสีส้มอ่อน พร้อมกับความรู้สึกที่หนักอึ้ง วันนี้ผมควรจะต้องเตรียมตัวกลับไปที่พักพิงของผมที่ต่างจังหวัดแล้ว แต่หากเรื่องยังเป็นแบบนี้อยู่ ผมคงกลับไปทำงานอย่างมีความสุขไม่ได้ หากผมยังไม่สามารถแก้ปัญหาอันนี้ได้จบ ผมคงต้องขอลางานจากผู้ใหญ่ที่โรงพยาบาลเพิ่มแล้ว ผมนั่งนึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จนถึงช่วงเวลาที่ลูกเกดเปิดใจกับผมริมทะเลสาป ผมยังนึกไม่ออกว่าทางออกมันอยู่ตรงไหนของสถานการณ์นี้ 

ผมเดินออกจากห้องทำให้รู้ตัวว่าเป็นเวลาสายพอสมควร มันเป็นเวลารีบเร่งของคนเมืองที่ใจร้อนจะไปทำงานให้ทัน สังเกตได้จากแสงแดดที่สาดเข้ามาในตัวบ้านและเสียงเครื่องยนต์และแตรรถที่อื้ออึงอยู่ไกลๆ ผมเดินลงบันไดจากห้องที่ชั้นสาม ของบ้านพ่อของผม ภายนอกห้องเงียบสงัด แปลว่าพ่อผมน่าจะไปทำงานแล้ว ผมมองสภาพโดยรอบ ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม ตั้งแต่ผมเคยมาพักอยูที่นี่

ที่นี่เป็นสถานที่พักใจของผมมาก่อน ช่วงเวลาที่ทะเลาะกับแม่ตอนผมคบกับแฟนคนแรก พ่อเปิดรับผมเข้ามา เตรียมที่พักให้พร้อม พ่อผมไม่เคยถามว่ามีปัญหาอะไรกับแม่ มีแต่ผมที่พุ่งเอาปัญหามาให้พ่อ และพ่อก็ยังเปิดใจยอมรับตัวตนของผม ทั้งที่ผมก็ไม่ได้คาดคิดว่าพ่อจะรับได้ พ่อผมมักจะช่วยผมแก้ปัญหาเสมอ และครั้งนี้ผมก็ไม่อยากจะรบกวนท่านอีกแล้ว ครั้งนี้ผมคงต้องจัดการด้วยตนเอง

ผมเดินไปถึงส่วนห้องรับแขกของบ้านอย่างงัวเงีย สายตาที่มองทอดไปที่ภายนอกบ้านผ่านกระจกบานใหญ่ของบ้าน ทำให้สังเกตถึงตัวปัญหาที่นอนพาดยาวอยู่ที่โซฟาของห้องรับแขกที่เงียบสงัดและไร้แสงแดดส่องมาถึง ผมถึงกับหยุดเท้าตัวเองลงและภาพของเหตุการณ์เมื่อวานก็ตัดเข้ามาในหัวสมองทันที......

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลังจากไปส่งลูกเกดกลับไปที่บ้านเพื่อพักผ่อน ผมตัดสินใจให้เธอปล่อยรถไว้ที่ทะเลสาป และให้คนขับรถของที่บ้านไปขับกลับมาในวันรุ่งขึ้น เพราะเท่าที่ผมประเมินสภาพร่างกายและจิตใจของเธอแล้ว ดูท่าจะไม่เหมาะกับการขับรถกลับบ้านด้วยตนเอง

ผมขับรถมาถึงหน้าบ้านทาวโฮมขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ผมเดินออกมาจากรถเพื่อไปเปิดประตูบ้าน ขณะที่ผมใจลอย ผ่อนลมหายใจถี่ๆจนเหมือนคนบ้า  แสงไฟหน้ารถคันหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ไกลก็สว่างขึ้นมาวาบใหญ่ ทำให้สายตาของผมพร่ามัวไประยะหนึ่งจนเห็นจุดแสงค้างอยู่ในดวงตาไม่ว่าจะมองไปทางไหน ผมใช้มือบังแสงที่ส่องมากระทบตา พยายามให้ตาปรับตัวกับแสงสว่างที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้

หลังจากผ่านไปสักพักสายตาผมก็กลับมองภาพได้ชัดเจนขึ้น ผมมองเห็นเงาหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ภายหลังแสงไฟนั่น และกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาด้วยท่าทางการเดินที่ไม่ปกติ คล้ายคนๆนั้นกำลังเดินอยู่ในพื้นที่ไม่เรียบและไม่เท่ากัน เงานั้นโอนเอนไปมาจนผมเริ่มขนลุกซู่ไปหมด ความกลัวทำให้สมองจินตนาการไปต่างๆ นานา ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร ในขณะที่ผมกำลังก้าวเท้าเพื่อหนีเข้าไปในพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน เสียงที่คุ้นหูแต่อ่อนแรงก็ดังขึ้นมา

“ไอ้เอิร์ธ!!”
“......... ใครครับ” แม้เสียงจะคุ้นหูแต่ก็ยังนึกไม่ออก
“กูเองไง!! เรามีเรื่องต้องคุยกัน!!” เสียงนั่นดังใกล้ขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนกายที่เร็วขึ้นด้วยท่าทางโซเซ เงานั้นเข้ามาใกล้จนผมเห็นเงานั้นได้ชัดเจนขึ้น

“ปิยะ!!! มาได้ไง!!”
“เรื่องนี้... ไม่เห็นจะยาก แค่มีเงิน..... อยากรู้เรื่องอะไรก็รู้หมดนั่นแหละ” ปิยะตอบด้วยท่าทางยียวน

“แล้ว.... มาหาเราทำไม?”
“กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมึง!!” ปิยะเดินมาใช้มือยกคอเสื้อของผมขึ้น ไม่ใช่เพื่อทรงตัวแต่ท่าทางจะมาหาเรื่อง ลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งจนผมที่สูดดมเข้าไปแทบจะเมาไปด้วย

“เฮ้ยเดี๋ยวสิวะ!! ใจเย็นๆ” ครั้งก่อนผมยังให้อภัยนะครับ มาครั้งที่สองเนี่ยผมเริ่มหมดความอดทนกับไอ้เตี้ยใจบางคนนี้แล้ว ผมจับมือเขาที่แทบจะไม่มีแรงเหลือสะบัดออกจากคอเสื้อผม คนตัวเล็กกว่าบวกกับความเมาจึงทำให้เขาเกือบทรงตัวไม่อยู่

“เชี้ยเอ่ย... ไหนว่ามึงเป็นเกย์ไง ไม่เอาผู้หญิงแล้วลูกเกดจะท้องกับมึงได้ไงวะ?” คนพูดที่ทรงตัวลำบากขนาดเอามือทาบกำแพงพยายามจ้องหน้าผมตาเขียว
“เอ่อ..... อืม..... เราไม่เคยมีอะไรผู้หญิงมาก่อนเลยนะสาบาน ยิ่งกับลูกเกดที่เราคิดกับเขาแค่น้องสาวยิ่งเป็นไปไม่ได้!!”
เขาท้องกับนายหรือเปล่า?”
ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ ผมว่าปิยะไม่น่าจะรับเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้

“ไม่จริง!! กูไม่เคยทำอะไรลูกเกดถึงขั้นนั้น กูไม่ชอบขืนใจใคร! ทำได้แค่กอด จูบ มันจะไปท้องได้ไงวะ กูไม่ใช่เด็กนะเว้ย!!” ปิยะเดินโซเซเข้ามาใกล้ขี้น

“..............” ผมทำได้แค่ถอยไปก้าวหนึ่ง เพราะนึกคำพูดอะไรไม่ออก (เชี้ยแล้วไง!! ใครจะไปรู้ความสัมพันธ์ของเอ็งสองคนฟะ!!)

“มึง! ไอ้เลว กูอุตส่าห์ไว้ใจมึง!! ไอ้สัดเอ้ย!!”
ปิยะกำหมัดและโถมทั้งตัวพุ่งมาหาผมด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด ด้วยความเร็วของคนเมา มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ผมจะปัดการโจมตีของเขาได้ แต่ผมลืมตัวไปว่าเขาเมาเกินกว่าที่จะรักษาความสมดุลให้ตัวหยุดลงด้วยความแรงสุดตัวแบบนั้น ปิยะพุ่งผ่านผมไปหยุดที่เสาไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ด้านหลังผมไม่ไกล หัวไปกระแทกกับเสาต้นนั้นเต็มแรง ปิยะเขาอ่อนลงไปทันที นั้นเป็นเหตุผลที่เขาเข้ามาอยู่ในบ้านพ่อผมในสภาพนี้

ผมมองผ้าพันแผลที่หัวของเขา พลางผ่อนลมหายใจออกยาวๆ โชคดีของเขาที่ศรีษะไม่เป็นอะไรมาก ไม่งั้นเรื่องราวคงจะใหญ่โตกว่านี้มาก (ผมไม่อยากเป็นฆาตกรนะครับ)

ครู่หนึ่งขณะที่ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืน คนที่ผมกำลังหนักใจอยู่ก็ลุกขึ้นนั่งและมองมาทางผมทั้งที่ผ้าพันแผลพันปิดหน้าผากของเขาเกินครึ่ง ผมผงะถอยหลังมาครึ่งก้าวด้วยความตกใจ ส่วนมือทั้งสองข้างก็ยกขึ้นมาตั้งท่าป้องกันไว้โดยอัตโนมัติ

“ปวดหัวชะมัด....” ปิยะเปรยออกมาโดยที่มีมือหนึ่งเกาะกุมศรีษะตัวเองไว้
“จำได้ไหมว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?” ผมถามภายใต้มือที่ตั้งฉากเตรียมป้องกันตัวเอง
“อืม.... ขอโทษนะ...” เสียงที่เบาจนแทบจะกลืนหายไปกับอากาศนั้นทำให้ผมเบาใจขึ้นถอนมือตัวเองลง
“เอ่อ......งั้น...... เดี๋ยวหายามาให้กินก็แล้วกัน”  ผมพูดจบก็เดินไปที่ห้องทำงานพ่อของผมที่อยู่ไม่ไกล ห้องที่มีหนังสือเรียงรายกันยังกับห้องสมุดและมีตู้ยาที่พร้อมสำหรับคนทั้งหมู่บ้าน พ่อผมเป็นคนเตรียมความพร้อมเสมอ คนแถวนี้มักจะมาแวะมาหาแกเพื่อขอปรึกษาเรื่องอาการเจ็บป่วยต่างๆ และจะได้ยาแถมไปด้วยแบบไม่คิดเงิน  (พ่อผมก็เป็นหมอนี่ครับ)

“เอ้า กินเข้าไป แล้วรีบกินข้าวตามไปเลยนะเดี๋ยวปวดท้อง!” ผมยื่นยาให้เสร็จผมก็เดินไปห้องครัวทันทีเพื่อหามื้อเช้ากิน และคงต้องหาเผื่อไอ้ปิยะด้วย โชคดีที่พ่อผมเตรียมไว้ให้แล้วเหมือนกัน เป็นข้าวต้มกุ้งปรุงร้อนๆเต็มหม้อ (พ่อผมน่ารักที่สุด)
“เอ้า!! มากินข้าวได้แล้ว เออ!! เดินไหวไหม?” ผมตะโกนออกไปนอกห้องแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ผมเลยสาวเท้าเดินออกไปดูเผื่อปิยะต้องการความช่วยเหลือ  แต่ยังไม่ทันเดินพ้นประตู ผมก็เกือบเดินไปปะทะกับปิยะที่เดินโยกเยกมาอย่างแผ่วเบา

“เออ!! ไหวน่า”  เขาพูดด้วยท่าทางฉุนเฉียวเล็กน้อยจนผมแอบแปลกใจ
“ไหน? ขอดูผ้าพันแผลหน่อย?” ผมพูดแก้เก้อไปอย่างนั้น แต่ตาก็เหลือบไปมองที่หน้าผากเขาจริงๆ
“ไม่เป็นไร” ปิยะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ก็ทำไว้ก่อนนอน เลยว่าจะขอเช็คสภาพตอนตื่นนอนหน่อย เผื่อมันไม่มีอะไรไม่เรียบร้อยจะได้พันให้ใหม่!”
ผมเซ้าซี้จนเขาหยุดให้ผมดูดีๆ หน้าผากของเขาตรงกับปากของผมพอดี เลยไม่ได้เป็นการลำบากเท่าไหร่

“อ้าว!! สภาพเหมือนใหม่เลยนี่นา นายเป็นคนนอนเรียบร้อยกว่าที่คิดนะ” ผมเอ่ยขึ้นลอยๆ

“เรียบร้อยบ้าอะไร! พ่อนายมาทำให้ใหม่ตั้งแต่เช้าต่างหาก ผ้าที่นายพันไว้เมื่อคืนหลุดหมดแล้ว” ปิยะบ่นอุบอิบ

“อ้าวเหรอ” ผมพูดแก้เขินขณะใช้มือสัมผัสกับผ้าที่ถูกพันรอบศรีษะอย่างปราณีตเรียบร้อย ฝีมือผมยังห่างไกลจากพ่อจริงๆ
ขณะที่ผมกำลังมองรอบๆศรีษะของปิยะอย่างพินิจ ก็ถูกมือหนึ่งเชยคางและกดที่ปลายคางให้ผมมองต่ำลงมาทำให้ดวงตาผมไปประสานกับดวงตากลมโตของปิยะทันที

“นายหน้าสวยหวานเหมือนผู้หญิงเหมือนกันนะ” ปิยะพูดขึ้นขณะที่สายตาของเขาวนพินิจรอบวงหน้าของผม
“เฮ้ย!!” ผมผงะปัดมือเขาออกและถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ใจเย็นๆ เราไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น แค่อยากเช็คว่าเราไปทำร้ายอะไรนายอีกหรือเปล่า? เห็นหน้านายยังใสอยู่ก็เลยพูดล้อเล่นออกไป”
“แล้วไป... เรามีแฟนแล้วนะ อย่ามาทำให้เราลำบากใจสิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แค่ล้อเล่นน่า ไม่ต้องจริงจัง ได้ข่าวว่ากินเด็กด้วยนี่!”
“เฮ้ย!! รู้ได้ไง....?? ว่าแต่ ทำไมดูสบายใจจังวะ?”
“ก็พ่อนายนั่นแหละ เล่าให้เราฟังเรื่องลูกเกดหมดแล้ว รวมถึงเรื่องแฟนเด็กของนายด้วย!!”
ปิยะพูดด้วยท่าทางสบายแต่สายตากลับมีความกังวลเจือปนอยู่
“..............” (พ่อนะพ่อ... ผมไม่เคยปิดปังเรื่องอะไรกับพ่อเลย ผมปรึกษาพ่อมาโดยตลอดไม่ว่าจะเรื่องอะไร เพราะพ่อมักจะมีคำสอนหรือข้อชี้แนะให้เราคิดไปต่อได้ แก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ แต่ไม่เคยนึกเลยว่าพ่อจะเล่าให้ปิยะฟังทั้งหมด หรือว่านี่เป็นการช่วยแก้ปัญหาในแบบฉบับของพ่อเอง หวังว่าคงไม่เล่าไปทั้งหมดนะ)

“ตอนแรกเราโมโหมาก แต่พอได้ฟังพ่อนายสอนและเล่าสิ่งต่างๆ ให้ฟังก็เลยทำให้เราคิดอะไรได้หลายอย่าง”
“ใช่.... พ่อเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดเสมอ”
“รู้สึกอิจฉานายก็ตรงนี้แหละ ได้คนดีๆ มาเป็นพ่อ ไม่รู้ว่าน้าอรทำไมถึงเลิกกับคนดีๆ แบบนี้”
“ความคิดเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่องน่ะ ว่าแต่.... นายจะทำยังไงต่อไป...?”
“ไม่รู้ว่ะ... ไม่รู้จริงๆ แต่พ่อนายบอกว่า ความทุกข์ก็เหมือคมมือที่ถืออยู่ในมือ ที่เรากำไว้แน่น หากเราปล่อยมือจากคมมีดที่เรารู้ว่ามันคมมันทำให้เรามีบาดแผล เราก็ควรจะปล่อยมือ ปล่อยให้แผลมันหาย มันจะได้ไม่เจ็บ... เราก็เลยคิดทบทวนดูแล้ว.... เธออาจไม่ได้รักเราเราก็ไม่ควรจะยื้อต่อไป เราควรจะปล่อย...” ปิยะพูดไปด้วยสายตาที่แดงก่ำ ฟันกรามขบแน่น ผมเห็นทำให้นึกถึงตัวเองในอดีตจนมือไม้อดจะสั่นกับความรู้สึกของปิยะที่สื่อมาจนท่วมท้นไม่ได้

“แต่เราว่านายยังโชคดี.....”
“ยังไง?? โชคดีที่โดยทิ้งน่ะเหรอ?”
“....อืม.....” ผมยังลังเลที่จะบอกเรื่องที่ผมคุยกับลูกเกดเมื่อวานดีหรือไม่?
“เราไม่รบกวนแล้ว ขอตัวล่ะ!”  ปิยะลุกขึ้นทันทีหลังพูดจบ
“เดี๋ยว!!”
“เราไม่หิว ไม่อยากกินอะไร”
“แต่นายควรกิน อย่าทรมานตัวเองเลย และที่บอกว่านายโชคดีน่ะ เรื่องจริงนะ”
“อะไรนะ?” สีหน้าเขาเต็มไปด้วยคำถาม
“ลูกเกดน่ะ เธอรักนาย ถึงแม้ว่าจะเพิ่งรู้สึกตัวก็เถอะ และพอเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เธอเสียใจมาก”
“ห๊ะ!! อะไรนะ!!”
“เออ ได้ยินไม่ผิดหรอก เธอรักนาย!”
“จริงนะ?!?”
“เออ!! จริงสิ!”
“...........” ปิยะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปชนิดที่ผมยังแปลกใจ ดูสว่างสดใสกว่าเมื่อเช้ามาก

“คือเมื่อวานได้มีโอกาสเคลียร์กับลูกเกดน่ะ แล้วก็.....”
“อะไร!!?!...” สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของผมคงไปสะกิดต่อมอยากรู้ของเขามากขึ้น เพราะท่าทางของเขาเหมือนพร้อมจะออกตัวออกจากบ้านผมเต็มที่ คงอยากไปหาสุดที่รักของเขา แต่ผมมีเรื่องที่ต้องเล่าให้เขาฟังก่อน เรื่องที่เขาต้องรู้เกี่ยวลูกเกด!!

“คือ.....มีเรื่องหนึ่งที่นายต้องฟังและตัดสินใจก่อน...ก่อนไปหาลูกเกด”
“เรื่องอะไร??”
“นั่งก่อน .... เรื่องที่ลูกเกดท้องน่ะ.... เป็นเรื่องจริง!!”
“............” สีหน้าของเขาทำให้ผมรู้จักคำว่าหน้าถอดสีได้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

“ตั้งใจเรื่องต่อไปนี้ให้ดี.........”
ผมเล่าเรื่องที่ผมไปเจอให้ปิยะฟัง รวมถึงทุกถ้อยคำที่ผมได้พูดคุยกับลูกเกด ทำให้ปิยะดูนิ่งและเงียบไปจนผมกังวลไปขณะเล่าให้เขาฟัง แต่มันเป็นเรื่องจริง เขาต้องยอมรับว่าความรักของเขามันมีอุปสรรค และมันมีปัญหาที่ผู้ชายส่วนใหญ่คงให้อภัยผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้แน่นอน

ผมเล่าและมองดูท่าทีของปิยะอย่างเป็นห่วง เขาขบฟันกรามแน่นและปล่อยและขบอีกครั้งสลับไปมาเหมือนขบคิดอะไรอย่างหนัก โดยเฉพาะเส้นเลือดที่หัวที่ดูปูดโปนขึ้นมาเล็กน้อย ผมรู้สึกอยากไปหยิบโทรศัพท์ไปตามรถพยาบาลเพราะกลัวจะเป็นเส้นเลือดในสมองแตกตายไปเสียก่อน

เพี้ยะ!!!!

เขาตบเข่าตัวเองเสียดังจนผมตกใจเกือบหงายหลัง
“ทั้งหมดเป็นความผิดของเราเอง เราทำให้ลูกเกดเป็นแบบนี้ ลูกเกดทนเพื่อเรามามาก ถึงเวลาแล้วที่เราจะทำเพื่อลูกเกดบ้าง ลูกในท้อง พ่อจะเป็นใครไม่สำคัญ แต่เมื่อมีแม่เป็นลูกเกด เราจะรับเป็นพ่อเอง และเราจะรักเขาเท่าที่ลูกเกดรักเช่นกัน!!” คำพูดที่หนักแน่นโพล่งออกมาจากปากเพลย์บอยที่ตอนนี้ผมรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายตัวจริงอย่างที่สุด เขาได้รับความชื่นชมจากผมไปเต็มๆเลยที่เดียว
“ผมจะไปสู่ขอลูกเกด!!”
พูดจบเขาก็เดินโผงผางออกไปอย่างรวดเร็ว

......................

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
นี่มันเรื่องอะไรกัน อยากสคิปไปตอนจบเลย วุ่นวายเหลือเกิน เรื่องนี้จัดการคุณแม่คนเดียวนี่จบเลยนะ คนอื่นดูไม่มีอะไรเลย เดินตามเฉยๆ ="=

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แม่เอิร์ธ วุ่นวายมาก   :z6: :z6: :z6:
อยากช่วยลูกเกด ช่วยแบบไหนกัน
ช่วยเขา แต่ทำให้ลูกตัวเองเดือดร้อน
แทนที่จะพูดกันดีๆ  นี่จับลูกใส่กระสอบ ประเคนเขา   :fire: :fire: :fire:
เป็นแม่ที่ไม่น่ารัก  :serius2:
ปิยะ เป็นพระเอกซะที
ตลกนะเจ้าชู้ไปทั่ว ทั้งแม่ม่าย ผู้หญิง
แต่กับคนที่ตัวเองรัก  แค่กอดจูบ ยังไง  :really2: :really2: :really2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เข้าใจปิยะนะ รักลูกเกดจริงแค่กอดจูบ เป็นคนอื่นฟันดะเจ้าชู้ไม่เลือก
แต่ไม่ชัดเจนกับเขาเองนิช่วยไม่ได้ สุดท้ายได้ลูกคนอื่นเป็นของแถม
 o18

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ท่ามกลางการจราจรของวันทำงาน บนท้องถนนที่รถรถเรียงรายอย่างกับลานจอดรถขนาดใหญ่ ผมอยู่ตรงสี่แยกเส้นทางที่จะไปชานเมืองฝั่งตะวันตกของกรุงเทพ ผมกำลังเร่งรีบขับตามรถสปอร์ตป้ายแดงของปิยะที่ขับออกจากบ้านผมไปทั้งสภาพเหมือนเดิ่งตื่นจากฝันร้าย (ไม่ต่างจากผมเลย ดีนะที่ล้างหน้าแปลงฟันแล้ว)

การขับรถของปิยะที่ซิ่งเหมือนในสนานแข่งจนผมแทบตามไม่ทันเห็นเพียงหลังรถที่อยู่ไกลๆ เท่านั้น หากสี่แยกนี้เปิดไฟเขียวต่ำกว่า 10 วินาทีผมคงตามปิยะไม่ทันแน่ๆ เพราะรถของปิยะจอดอยู่คันหน้าสุดในขณะที่ผมพยายามเหยียบคันเร่งเต็มที่ก็ยังตามมาได้จอดเป็นคันที่หก ห่างจากเขา

และเป็นไปตามคาด ไฟเขียวที่เปิดเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เหมือนไฟกระพริบก็เกิดขึ้น!! รถออกตัวไปพ้นไฟแดงได้เพียงสามแถวแรก ผมผ่อนลมหายใจและเอนหลังลงอย่างทำใจ

สามสิบนาทีให้หลังก็มาถึงจุดหมาย ผมขับตามเขาไปต่อได้ไม่ยากเพราะผมรู้จุดหมายของเขาอยู่แล้ว ในที่สุดผมตามปิยะมาจนถึงบ้านของอาก้อง รถเขาจอดอยู่หน้าบ้านอย่างไม่เป็นที่เป็นทาง เพราะความเร่งรีบของเขา ผมพยายามรีบมาห้ามไม่ให้ปิยะทำอะไรวู่วาม เพราะอาก้องน่าจะยังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด มันจะยิ่งทำให้อาก้องโกรธลูกเกดเสียเปล่าๆ
ผมวิ่งเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่อย่างไม่รู้ที่ทาง (บ้านมันหลังใหญ่จริงๆ) ผมรีบจนลืมสอบถามคนรับใช้ภายในคฤหาสน์ วิ่งผ่านทุกคนที่ดูท่าทางตกใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ในตอนเช้า

“ออกไป!! จะเข้ามาโวยวายอะไรในบ้านคนอื่นแต่เช้าแบบนี้ไม่ได้!!”

เสียงตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองของอาก้องดังขึ้นมาทางปีกตะวันออกของบ้าน ผมจึงเร่งฝีเท้าตามเสียงของอาก้องไป

“อาก้องครับ ผมขอร้อง ผมอยากเจอลูกเกด!!”
ผมมาทันเห็นภาพปิยะในสภาพคุกเข่าอ้อนวอน

“ออกไป!! ลูกเกดไม่สบาย ไม่ต้องการพบใครทั้งนั้น!!”
อากัองขึ้นเสียงดังด้วยดวงตาขุ่นเคือง ส่วนผมได้แต่ยืนมองนิ่งตรงทางเข้าห้องอาหารเหมือนหนูหวาดกลัวดวงตาของงูใหญ่จ้องเอาชีวิต อาก้องไม่ชอบปิยะเสียเท่าไหร่เป็นทุนเดินอยู่แล้ว เพราะความที่เป็นลูกเศรษฐีที่ทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังเจ้าชู้ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ เขามีภาพลักษณ์ที่ผู้ใหญ่ส่วนมากไม่ชอบ

“อาก้องครับ ผมมีเรื่องที่จะคุยกับเกด ผมขอพบลูกเกดได้ไหมครับ?” น้ำเสียงของปิยะดูอ้อนวอนมากกว่าปกติ
“อย่าให้อาพูดหยาบคายเลยนะ แค่นี้ลูกอาก็เสียใจเพราะแกจะแย่แล้ว อาว่าแกพอเถอะนะ!!”
อาก้องถอนหายใจยาวๆ ก่อนพูดเสียงเข้มออกมา

“อารู้......” ปิยะรำพันขึ้นมาตรงหน้าอาก้อง
“อารู้เรื่องลูกตัวเองทุกเรื่อง..”
“งั้นอาน่าจะรู้ว่าเรารักกัน ผมจะขอลูกเกดแต่งงาน”
“เขามีคนที่ดีที่จะแต่งด้วยแล้ว และกำลังมีทายาทด้วยกัน มันสายไปเสียแล้วล่ะ!!”
“ผมไม่สนใจ ผมรักเกด ผมจะแต่งงานกับเกด ผมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเกด เด็กในท้องจะเป็นลูกใครไม่สำคัญ ผมรับได้ขอแค่ได้อยู่กับลูกเกด!!”
เสียงของปิยะดูหนักแน่นและมีสายตาที่มั่นคงจนผมรู้สึกถึงความจริงใจได้

“เอ็งจะบ้าเรอะ ลูกตัวเองก็ไม่ใช่ ทำไปเพื่ออะไรวะ?”
อาก้องเสียงอ่อนลง
“รักครับ ผมรักเธอผมจะไม่ปล่อยเธอไปไหนอีกแล้ว ผมยอมทำทุกอย่างให้เธอกลับมาหาผม”
“เฮ้อ..... อาก็แค่อยากได้คำตอบแบบนี้ล่ะ แม้มันจะสายไปแล้วก็เถอะ อาตกลงกับเอิร์ธไว้แล้วด้วยสิ สงสารเอิร์ธเหมือนกันที่ต้องโดนจับคลุมถุงชนแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวอะไรเลย.........”

“หมายความว่ายังไงครับ?” ผมโพล่งพูดออกไปแบบไม่รู้ตัวเพราะจากประโยคของอาก้องมันชวนให้ผมสงสัยอยู่มาก

”อ้าว!!! เอิร์ธ!! .... เฮ้อ.........”
อาก้องถอนหายใจจนผมเกือบเห็นไอร้อนจากลมหายใจออกมาด้วย

“อาก้องครับ!” ผมเน้นคำพูดเพราะต้องการรีดคำตอบออกจากปากอาก้อง

“เฮ้อ.... เออๆ  อารู้มาสักพักแล้วเรื่องเอิร์ธ เรื่องปิยะ แล้วก็เรื่องลูกสาวอา.... แล้วนี่ลูกเกดก็เพิ่งมาสารภาพกับอาเมื่อคืน!!”

“แปลว่า......” ผมยังอึ้งกับคำตอบของอาก้อง ไม่ต่างอะไรกับปิยะที่อ้าปากค้างอยู่กับที่
“ลูกสาวอา อาก็มีสิทธิ์จะรู้ไหม? อาก็พอรู้จักนักสืบอยู่บ้าง อารู้เรื่องปิยะกับลูกสาวอา รู้แม้กระทั้งเรื่องของไอ้ลูกครึ่งที่มันทำร้ายจิตใจลูกเกดคนนั้น!!” อาก้องทิ้งน้ำหนักแห่งความชังลงที่ท้ายประโยค

“แล้วลุงยังจะเออออไปกับแผนของแม่ผมอีก!!” ผมเริ่มรู้สึกของขึ้น
“ลุงไม่รู้จะทำยังไง รู้ว่ามันผิดกับเอิร์ธ กับแฟนของเอิร์ธ แต่มาลองเป็นพ่อคนดูบ้างนะจะได้เข้าใจ” อาก้องมีความปวดร้าวแฝงในแววตา

“.........” พอมาถึงจุดนี้ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก เพราะคนเราทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรัก อาก้องคงรู้ว่าลูกเกดจะต้องอับอายแค่ไหนกับการที่ท้องไม่มีพ่อ

“เกด.. เขาตัดสินใจจะไปยกเลิกงานแต่งและย้ายไปอยู่ต่างประเทศจนกว่าจะคลอด.... และอาจจะอยู่ตลอดไป.....”
เสียงอากัองเริ่มสั่นเครือ

“ขอผมคุยกับเกดหน่อยได้ไหมครับคุณอา!!” ปิยะพูดสอดขึ้น
“อย่าเลย..... มันอาจจะแย่ลงกว่านี้ เพราะแก ลูกเกดถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์นี้!!” อาก้องสวนไปทันทีที่ปิยะจบประโยค

“อาครับ.... ผมว่าลองให้โอกาสดูก่อนไหมครับ ผมเชื่อนะครับว่าความรักของทั้งสองคนจะแก้ปัญหานี้ได้” ผมพูดเข้าข้างปิยะ
“...........” อาก้องหยุดคิดนิ่งไป
“นะครับ  หากผมทำไม่ได้ ผมจะไม่มายุ่งกับเกดอีกเลย!! ผมขอโอกาสนะครับ”

“เออๆ ครั้งนี้เท่านั้น วันนี้เอ็งเปลี่ยนใจเกดไม่ได้ก็ไม่ต้องมาเหยียบบ้านหลังนี้อีก!!”
“ครับผม” พูดจบสีหน้าเขาก็ดีขึ้นและวิ่งไปที่ห้องของลูกเกดทันที ผมมองหลังเขาไปจนหลับตา และอวยพรให้เขาโชคดีในใจ

“อาขอโทษนะ...” อาก้องหันมาพูดกับผมด้วยแววตาสำนึกผิด
“ไม่เป็นครับ ผมเข้าใจ... แค่ส่วนหนึ่งนะ และผมก็อยากให้เกดมีความสุขเหมือนกัน... เรามารอดีกว่าว่าผลมันจะเป็นยังไง”
ผมพูดกับอาก้องด้วยสีหน้าราบเรียบ

............................

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
โห อ่านมาแล้วจี้ด [ “ลุงไม่รู้จะทำยังไง รู้ว่ามันผิดกับเอิร์ธ กับแฟนของเอิร์ธ แต่มาลองเป็นพ่อคนดูบ้างนะจะได้เข้าใจ” อาก้องมีความปวดร้าวแฝงในแววตา ] นี่ไม่เข้าใจเลย ถึงไม่เคยเป็นพ่อคนแต่เป็นคนอยู่ คนแบบไหนเอาความเห็นแก่ตัวของครอบครัวตัวเอง ของตัวเองมายัดเยียดให้คนอื่น ทำลายเขาไม่แค่คนที่ยัดเยียดให้แต่รวมถึงทำลายคนรักของเขาด้วย
โห..... จากตอนแรกก็ไม่อะไรนะพออ่านตอนนี้อาก้องอะไรเนี่ย โคตรน่ารังเกียจเลย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โห อ่านมาแล้วจี้ด [ “ลุงไม่รู้จะทำยังไง รู้ว่ามันผิดกับเอิร์ธ กับแฟนของเอิร์ธ แต่มาลองเป็นพ่อคนดูบ้างนะจะได้เข้าใจ” อาก้องมีความปวดร้าวแฝงในแววตา ] นี่ไม่เข้าใจเลย ถึงไม่เคยเป็นพ่อคนแต่เป็นคนอยู่ คนแบบไหนเอาความเห็นแก่ตัวของครอบครัวตัวเอง ของตัวเองมายัดเยียดให้คนอื่น ทำลายเขาไม่แค่คนที่ยัดเยียดให้แต่รวมถึงทำลายคนรักของเขาด้วย
โห..... จากตอนแรกก็ไม่อะไรนะพออ่านตอนนี้อาก้องอะไรเนี่ย โคตรน่ารังเกียจเลย

คิดเหมือน 
อาก้อง  โคตรเห็นแก่ตัว  เอาแต่ความอยู่รอด ปลอดภัยของครอบครัวตัวเอง

แต่คนที่น่ารังเกียจมากที่สุดคือแม่เอิร์ท
รู้ทั้งรู้ว่า ลูกไม่ได้ชอบหญิง ลูกมีคนรักแล้ว ยังยัดเยียดลูกเกดที่ท้องให้ลูกแต่งงานด้วย
มีความเป็นแม่ในตัวสักนิดหรือเปล่าเนี่ย ไม่คิดถึงใจลูก ความสุขของลูกเลย
ทำแบบนี้แล้วลูกจะหายขาดจากการเป็นเกย์หรือ แก่กะโหลกกะลาชัดๆ
ถ้าลูกจะไม่รัก ไม่สนใจใยดี ก็เพราะแม่ทำตัวเอง โทษตัวเองเลย ไม่ต้องโทษใคร   :fire:  :fire: :fire:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
เอิร์ธ # 13


ผมทิ้งตัวเองลงที่โซฟาที่ห้องรับแขกที่คุ้นเคย สูดลมหายใจรับอากาศภายในบ้านที่แสนโหยหา บ้านที่ผมอยากจะกลับมาใจจะขาด อยากมาทำงานที่รักก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมอยากกลับมาหาสุดที่รักของผมมากกว่า ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ล้วนมีความทรงจำของเราสองคนอยู่ทุกที่ แค่เห็นรูปหมาพันธ์ุชิวาว่าที่แขวนอยู่ตรงผนังห้องรับแขก ซึ่งหลงเขาชอบมากแต่ไม่ถูกอนุญาตให้เลี้ยง ผมก็อมยิ้มไม่หุบแล้ว

สองสามวันที่ผ่านมานี้ ผมไม่ได้ติดต่อเขาเลยเพราะมัวแต่ยุ่งกับละครน้ำเน่าที่คนกรุงเป็นจัดฉากขึ้น (ว่าไปนั่น ผมก็คนกรุงนี่หว่า แต่หัวใจจผมอยู่ต่างจังหวัดนะครับ) ตอนจบสุดท้ายของละครเรื่องนี้ หลังจากที่ส่งปิยะขึ้นไปเคลียร์กับลูกเกดอยู่นานหลายชั่วโมง ในที่สุดปิยะก็สามารถเคลียร์กับลูกเกดได้สำเร็จ ลูกเกดเดินมาพร้อมกับปิยะ ทั้งคู่โอบกอดกันเข้ามาหาอาก้อง สีหน้าลูกเกดดีขึ้นมากทั้งๆที่รอบดวงตาและแก้มทั้งสองข้างยังคงบวมแดงและมีคราบนำ้ตาติดอยู่ ลูกเกดเดินมาขอโทษทุกคนที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย ส่วนปิยะเข้ามากราบเท้าอากัองพร้อมขอลูกเกดแต่งงาน และสัญญาจะดูแลลูกเกดอย่างดี ทำให้อาก้องยิ้มได้อีกครั้ง ทั้งอาก้องและลูกเกดต่างหันมาขออภัยจากผม ผมซึ่งเห็นความปิติตรงหน้าไหนเลยจะกล้าโกรธคนพวกนี้ลง ผมให้อภัยในเรื่องทั้งหมด อาก้องสัญญากับผมว่า จะแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเอง ไม่ให้ผมต้องเป็นห่วง ผมถึงรีบเดินทางกลับมาที่นี่อย่างสบายใจ

ผมวางแผนว่าจะมาเซอร์ไพรส์หลงที่คาดว่าจะมารอผมที่บ้านทุกวัน เลยไม่ได้บอกหลงว่าจะกลับวันไหน ผมเดาว่าเด็กคนนี้น่าจะมาช่วยผมดูแลบ้านบวกกับมารอผมทุกวัน แต่แปลกที่บ้านของผมมันดูเงียบสงัดผิดปกติไป ผมมานอนพักเหนื่อยอยู่นานพอควรแล้วแต่บ้านก็ยังไร้สุ่มเสียงใดๆ เหมือนไร้ผู้คน

เสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่กระเป๋ากางเกงดังและสั่นขึ้นมาพักหนึ่ง ผมรับหยิบขึ้นมาดูเผื่อว่าเป็นข้อความจากหลงที่เขามักจะส่งมาทักทายทุกวัน (แต่ผมนี่สิ..ไม่ค่อยได้ตอบ) ไฟหน้าจอสว่างขึ้นทันทีหลังจากที่ผมยกขึ้นมาขนานกับใบหน้า ชื่อที่แสดงบนข้อความมาจากลูกเกด ผมเลยเลื่อนแถบข้อความนั้นเพื่ออ่านเนื้อหาภายใน ผมพบว่ามันเป็นลิ้งค์ของเวปไซต์หนึ่ง ผมเลือกที่จะเข้าไปดูอย่างไม่รอช้า พบว่าเป็นหน้าข่าวสังคมของหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่ง ‘วิวาห์ฟ้าผ่าเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว งงทั้งงาน!!’ หัวข้อข่าวที่ดูตื่นเต้นเร้าใจเหมือนปกติของหนังสือประเภทนี้ มีรูปลูกเกดยืนจับมือกับปิยะ และอาก้องยืนประกบอยู่อีกด้าน ทั้งสามคนถูกห้อมล้อมด้วยสื่อจำนวนมาก (ทั้งไมค์ทั้งกล้องเต็มไปหมด) ส่วนเนื้อหาในข่าวผมอ่านแบบพอผ่านสายตา เพราะเนื้อหาพวกนี้ บทสัมภาษณ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่ผมรู้หมดสิ้นแล้ว (อาจจะรู้มากกว่าด้วย)

งานแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงแม่ของผมที่เก่งเรื่องงานแถลงข่าวมาก แต่กลับไม่เห็นวี่แววของเธอเลย และที่สำคัญตั้งแต่เรื่องเมื่อวานจบลงด้วยดี ผมก็ไม่เห็นท่านอีกเลย ซึ่งผมคิดว่าแม่ผมคงจะอายที่ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามแผน และผมก็ชินกับอาการห่างเหินของแม่แล้วด้วยจึงไม่ติดใจอะไร

หลังจากที่ปล่อยตัวเองไปกับความคิดและอยู่ในความเงียบสงบอยู่นาน ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อหาหลงเสียหน่อย ผมคิดแผนว่าจะลองสอบถามถึงที่อยู่ของเขาเสียหน่อย แล้วเดินทางไปทำให้เขาประหลาดใจถึงที่ แต่.... ที่ปลายสายกลับไม่มีคนรับเลย ผมพยายามกดหมายเลขเดิมโทรศัพท์ติดต่อกันหลายครั้ง แต่ก็ยังไร้คนตอบรับจนผมเริ่มหมดความอดทนอารมณ์เสีย ผมเลื่อนไปกดหมายเลขอีกเบอร์ทันที

ตู๊ด....ตรู๊ดดดดดดด

เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังติดต่อไปเรื่อยๆ สักพัก
“สวัสดีครับ.... พี่หมอ.....” ปลายสายรับด้วยเสียงหืดหอบ
“สวัสดีครับชัย หลงอยู่กับชัยไหม? พี่โทรศัพท์หาเขาไม่ติดเลย”
“อ้าว... มันไม่ได้ไปบ้านพี่เหรอ ตั้งแต่ปิดเทอมมา มันไปบ้านพี่ทุกวัน”
“ไม่นะ.....”
“อ้าว... มันไปไหนของมัน วันนี้ผมก็ยังไม่เห็นมันเลยนะครับ งั้นเดี๋ยวผมถามเพื่อนคนอื่นให้ พี่ลองโทรถามแม่ไอ้หลงดูนะ”
“โอเค” ผมตอบตกลงและรีบวางสายทันทีเพื่อต่อสายไปหาน้ารุ่ง

......ตู๊ดดดดด .... ตรู๊ดดด......

“ว่าไงลูก... กลับมาหรือยัง?”
“กลับมาแล้วครับ แต่อย่าเพิ่งบอกหลงนะครับ!”
“จ้า จะเซอร์ไพรส์ล่ะสิ แล้วธุระเรื่องนั้นจบลงเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
“เรียบร้อยครับ ทุกอย่างลงตัวดี ผมไม่ต้องแต่งงานแล้วครับ แล้วหลงอยู่ไหมครับ?”
“อ้าว! ไม่ได้อยู่บ้านเอิร์ธหรือลูก?”
“ไม่...ไม่ได้อยู่ครับ” เสียงผมเริ่มแผ่วลงเพราะความรู้สึกไม่ดีที่เพิ่มขึ้น
“เอ.... ไปไหนล่ะเนี่ยเด็กคนนี้ ตั้งแต่เห็นข่าวเรื่องเอิร์ธจะแต่งงานวันนั้น หลงก็ขอไปอยู่ที่บ้านเอิร์ธยาวเลยจ๊ะ”
“อะไรนะครับ?....แล้วเขาติดต่อกลับมาบ้างไหมครับ?......”

ก่อนที่น้ารุ่งจะตอบเสียงสายซ้อนก็แทรกเข้ามา ผมยกโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อเหลือบมองชื่อที่โชว์อยู่ที่หน้าจอ

‘ชัย’

“ผมขอโทษครับ ผมขอรับสายซ้อนก่อนนะครับ”
ผมไม่รอน้ารุ่งตอบให้จบประโยคผมรับสลับสายเพื่อรับสายซ้อนทันที

“ว่าไงชัย?”
“พี่เอิร์ธๆ ไม่มีใครเห็นมันเลยครับพี่!! แน่ใจนะครับว่ามันไม่ได้อยู่บ้านพี่?”
“ไม่! ไม่นะ น้ารุ่งบอกว่าหลงมาบ้านพี่แต่พี่ก็อยู่บ้านตัวเองนะ ไม่เห็นเจอหลงเลย!!”
“อ้าว.....แล้วมันไปไหนล่ะเนี่ย? ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมลองถามพี่โน่ดูครับ”

“โอเคๆ เดี๋ยวขอไปตามหาด้วย ชัยอยู่ที่ไหนเดี๋ยวพี่ไปหา?”
“ไม่ต้องหรอกครับพี่ พี่หมอรออยู่ที่บ้านเถอะ เผื่อว่าไอ้หลงมันอาจจะกำลังเดินทางไปที่นั่นก็ได้!!”
“โอเคๆ” ผมวางสายด้วยใจที่ว้าวุ่น ในใจรู้สึกกังวลแบบบอกไม่ถูก ผมไม่น่าปล่อยให้ตัวเองยุ่งจนลืมติดต่อส่งข่าวมาให้หลงบ้างเลย หลงเป็นเด็กที่ขี้ใจน้อยและคิดมากกว่าที่เห็นเสียด้วย

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

จากห้านาทีกลายเป็นห้าสิบนาทีแห่งการเฝ้าคอย ผมเก็บข้าวของ และอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อสลัความอ่อนเพลียออกไป จนกระทั่งมานั่งเฝ้าหน้าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตัวเองที่ชาร์ทไฟฟ้าเข้าเครื่องอยู่อย่างใจจดจ่อ

ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาชัยอีกครั้ง เพราะผมรอต่อไปไม่ไหวแล้ว การกลับมาที่บ้านโดยที่ไม่ได้เจอคนที่เราเฝ้าถวิลหามันทรมานอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนทำให้ผมยิ่งกังวล ถึงผมจะเคลียร์ปัญหาตัวเองได้แล้ว แต่มันก็ช้ากว่ากำหนดมาก คนคิดมากไม่รู้คิดไปถึงไหน....

“พี่เอิร์ธ!!!” อีกฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะทันเอ่ยปาก
“ครับ ว่าไง?”
“พี่เอิร์ธ มาที่ร้านเหล้าปั่นริมฝายน้ำด่วนเลย!!”
“ห่ะ..!! ที่ไหนนะ ริมฝายใหญ่ชานเมืองไงพี่ ร้านเหล้าปั่นเล็กๆ บรรยากาศดีๆไง ด่วนเลย!!”
“ทำไมล่ะ??”
“มีคนเห็นไอ้หลงมันเมาแล้วไปเดินริมฝาย ทำท่าจะกระโดดลงมา ช่วงนี้น้ำน้อย เดี๋ยวมันได้ตายพอดี!!!”
“เฮ้ย!! เดี๋ยวไปเจอกันที่นั่น!!”
“ครับพี่!!”
ผมคว้าทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นวิ่งขึ้นรถ ขับออกจากบ้านโดยไม่ได้มองเข็มวัดความเร็วที่หน้าปัดรถเลย

..........


ฝุ่นตลบขึ้นมาคลุ้งใหญ่หลังจากที่ผมจอดรถบนพื้นที่หินกรวดหยาบหน้าร้านขายเหล้าปั่นสถานที่แฮงค์เอ้าท์ของบรรดาวัยรุ่นทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ผมเดินลงจากรถพร้อมกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนสายออกนอกเมืองที่ค่อนข้างเปลี่ยว แต่ที่ยังขายอยู่ได้อาจเพราะบรรยายกาศริมน้ำยามค่ำคืนที่แสนเย็นสบายสงบเงียบ

ผมเดินเข้าไปสำรวจรอบร้านที่เป็นแบบเอ้าท์ดอร์ ตอนนี้มีผู้คนอยู่เพียงบางตาจนผมแอบคิดไปว่าร้านมันจะเปิดขายของได้อีกเท่าไหร่? ผมเดินไปจนทั่วร้านจนเห็นทางออกอีกทางซึ่งเป็นทางออกไปที่โต๊ะด้านนอกริมฝายกั้นน้ำ ผมเดินมาจนถึงประตูทางออกได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ ในความมืด

“สวัสดีครับ หาใครอยู่เหรอครับ?”
ผมหันไปทางต้นเสียงเห็นผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าใสไว้หนวดเข้มครึ้มที่คาง

“อ่า... สวัสดีครับคุณ......”
“โน่ครับ ไม่เจอกันพักเดียวลืมชื่อกันไปเสียแล้ว”
“อ่าครับ ขอโทษครับ คือตอนนี้ผม คิดอะไรไม่ออกเลยครับ ผมเป็นห่วงหลง เห็นหลงไหมครับ?”
“อ้อ ไอ้หลง มันแอบมาตั้งโต๊ะกินเหล้าตั้งแต่เย็น ไม่รู้ไปเจอเรื่องอะไรมา... คุณหมอคงไม่ได้ทิ้งมันอีกคนใช่ไหม?”
“ทิ้งอะไรกันเล่า ผมนึกว่าผมคุยกับเขารู้เรื่องแล้วเสียอีก”
“เรื่องอะไร?”
“ก็เรื่อง....เอ่อ......”
“อ้อ.... ไอ้เรื่องข่าวคุณหมอประกาศแต่งงานนะเหรอ???”
“........คุณ.....”
“เออ.... ใครก็รู้เล่นลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ!”
ผมนึกในใจอย่างโกรธเคือง เพราะผมรู้ดีว่านี่เป็นฝีมือแม่ผมแน่ๆ
“แต่.... เราคุยกันแล้ว.....”
“เล่นออกข่าวเสียขนาดนั้น เป็นใครก็เจ็บกันบ้างล่ะ แล้วไหนหมอจะหายไปหลายวันอีก!”
“........” ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆกลับไป
“เฮ้อ.....ไอ้หลง มันเก็บอะไรเก่งที่ไหน? มันเมามันก็เล่าให้ฟังหมดล่ะ!” คนตัวเล็กถอนหายใจเสียงดังและพูดต่อ

“เอ่อ.... โอเคครับ แล้ว.... หลงอยู่ไหมครับ?”
“อยู่สิ... เห็นมันเดินอยู่แถวฝายน้ำตั้งแต่เย็น เมาขนาดนั้นยังจะซ่าอีก ผมต้องมาดูแลร้านเลยไม่ได้ดูมันเท่าไหร่ แต่สั่งเด็กในร้านช่วยดูแล้วนะ! เอ้อ... เมื่อกี้ไอ้ชัยก็เพิ่งวิ่งไปหามันด้วย!”

“ขอบคุณครับ...”
ยังไม่ทันที่จะพูดขอบคุณจบขาผมก็ก้าวออกไปจากจุดนั้นแล้ว หนทางข้างหน้าค่อนข้างมืด มองอะไรไม่ค่อยชัด ความกลัวทำให้ผมมุ่งต่อไปอย่างไม่ลดละ ‘หวังว่าหลงคงไม่ทำอะไรโง่ๆ นะ’ ผมคิดขึ้นในใจ ระหว่างวิ่งผมก็กดโทรศัพท์เพื่อติดต่อหาชัยแต่เขาก็ไม่รับสาย ผมร้อนใจเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงริมน้ำทึ่เงียบสงบและมีแสงไฟจากตะเกียงที่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นระยะๆเท่านั้น

“หลง!!”
ผมตะโกนสุดเสียงฝ่าความมืดที่ไม่สิ้นสุดตรงหน้า

............

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
............ หลง........ หลง.......... หลง..........

มีเพียงเสียงสะท้อนเท่านั้นที่ตอบกลับมา

“พี่หมอ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“ชัย!! ชัยเจอหลงไหม?” ผมถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“หลง..........” ชัยตอบมาด้วยน้ำเสียงสั่นและเบา
“...........” ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรแต่เข่าผมทรุดถึงพื้นหินเบื้องล่าง ถึงแม้ความแหลมคมของหินจะทิ่มตำหัวเข่าแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว

“ยืนขึ้นก่อนพี่หมอ ตั้งหลักให้มั่น ผมมีเรื่องจะบอกพี่....”
“.........” ผมมองหน้าชัยที่เรียบเฉยด้วยน้ำในตาที่เอ่อขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ ได้แต่โทษตัวเองที่ใส่ใจเขาน้อยไปไม่พยายามอัพเดทเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย ทุกอย่างมันถึงได้บานปลายแบบนี้ คงจะเกิดเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างกับหลง หากเป็นอย่างนั้นจริงผมจะไม่ให้อภัยตัวเอง ผมจะอยู่ได้ยังไงหากไม่มีเขา ผมจะอยู่กับความรู้สึกผิดแบบนี้ไปชั่วชีวิตได้ยังไง?

เพียงชั่วพริบตาที่ผมใช้แขนปาดน้ำตา ไฟจากสปอร์ตไลท์ทั่วทั้งบริเวณก็เปิดขึ้นโดยมีผมเป็นเหมือนจุดศูนย์กลาง สว่างจนเกือบจะเหมือนแสงในเวลากลางวัน ในระหว่างที่สายตาผมกำลังปรับกับแสงที่สว่างจ้าขึ้นมาแบบกระทันหันเงาร่างหนึ่งก็เดินมาคุกเข่าที่ตรงหน้า ผมกระพริบตาหลายครั้งเพื่อไล่ความพร่ามัวออกจากสายตา ในที่สุดรูปหน้าที่คุ้นเคยในชุดสูทเต็มยศก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าในสภาพคุกเข่า

“หลง!!!” ผมเผลอร้องเรียกชื่อเขาสุดเสียง
“ครับพี่เอิร์ธ” เขาอมยิ้มตอบด้วยเสียงราบเรียบ
“พี่ก็นึกว่า....”
“คิดว่าผมคิดสั้น? ผมไม่โง่ขนาดนั้นนะครับ ถึงจะหัวไม่ดีแต่ผมก็ไม่คิดสั่นแน่นอน”

“แต่.... เรื่องข่าวนั้น.....”
“ผมเชื่อใจพี่ครับ ผมเชื่อว่าพี่เอิร์ธจะจัดการได้ แต่ถึงแม้มันจะต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมไม่มีทางปล่อยพี่ไปแบบนั้นแน่ ความรักก็เหมือนกับบาสเก็ตบอล อยากจะได้คะแนนก็ต้องคว้าลูกบาสฯมาไว้ในมือและโยนลงห่วงให้ได้!!”

“..........” ผมฟังอะไรไม่รู้เรื่องแล้วครับตอนนี้รู้แต่ว่า ดีใจที่ได้เจอเขารู้ว่าเขาปลอดภัยแค่นั้นก็ดีมากแล้ว (ถึงแม้ว่าเขาจะดูดีมากก็เถอะวันนี้)

“พี่ร้องไห้ทำไม ไม่ดีใจที่เจอผมเหรอ?”
“ร้องบ้าอะไร?!? ฝุ่นมันเยอะแถวนี้พี่แพ้น่ะ แล้วคุกเข่าทำไมเนี่ย พื้นมีแต่ฝุ่น”
“..... ผมอยากให้มันพิเศษ....”
“.........หือ..?!??” ผมทำตาโตใส่แบบแสดงความสงสัยแต่หัวใจเต้นตุบตับ
“ผมขอจองพี่ไว้ก่อนนะ.......” แล้วหลงก็บรรจงใช้มือของเขาประคองมือซ้ายของผมขึ้นมา เขาหยิบแหวนทองเกลี้ยงแวววาวมาสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมอย่างบรรจง

“นี่มัน........”
“ผมไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง แต่ผมอยากแต่งงานกับพี่นะ ผมอยากจะเป็นเพียงคนเดียวที่สวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของพี่” เขามองผมขึ้นมาด้วยดวงตาที่ผมบรรยายความรู้สึกไม่ออก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้ายังไง

หลงยืนขึ้นและยื่นแหวนทองเกลี้ยงอีกวงมาวางไว้บนมือผมพร้อมยื่นมือซ้ายของเขามาให้ผม ผมปาดน้ำตาและหัวเราะออกมา สีหน้าผมตอนนี้มันคงตลกมาเพราะหลงก็อมยิ้มใส่ผมไม่หยุด หลังจากดันแหวนไปจนสุดนิ้ว ผมเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องเจอกับเด็กชายคนหนึ่งโผเข้ามาประทับจูบที่ปากของผมอย่างร้อนแรง ผมตอบสนองทันทีโดยไม่ต้องส่งสัญญาณอะไร ผมส่งเอาความปิติที่ผมมีอยู่ตอนนี้ส่งให้เขาไปจนหมด เราแลกความอบอุ่นกันจนผมเกิดเขินขึ้นมาเพราะเพิ่งมาระลึกได้ว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่แจ้งและสว่างไสวขนาดนี้

“ไอ้เด็กบ้า!! ทำเอาตกอกตกใจหมด!!” ผมใช้มือผลักไปที่อกเขาเบาๆทำให้เขาถอยห่างออกไปครึ่งก้าว
“พี่เอิร์ธน่ะ!!! กำลังได้บรรยากาศเลย” เขาทำสีหน้าโอดครวญแต่ก็ยังดูหล่อและน่ารักมากอยู่

“เฮ้ออออออ........... จบเสียที เกร็งแทบแย่”
โน่ที่โผล่มาจากไหนไม่ทราบพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่นึกว่าคนเป็นหมอจะหลอกง่ายแบบนี้นะคะ” พริ้งเป็นอีกคนเดินออกมาจากด้านหลังเสาไฟสปอร์ตไลท์ขนาดใหญ่

“ผมนี่ลุ้นแทบตาย ยิ่งหลอกใครไม่เก่งอยู่ด้วย”
ชัยเดินออกมาจากเสาแสงไฟอีกต้นหนึ่ง
“มึงเนี่ยนะ!! อย่าให้กูพูดถึงเรื่องของมึง!!”
หลงพูดสวนไปทันที แล้วหลงก็เดินไปจับมือผมแบบสอดประสานนิ้วกันและกำแน่น

“ทีหลังเล่าให้เราฟังบ้างสิ!!”
กวีเดินตามหลังชัยออกมาพูดแทรกขึ้นมา
“แฟนจ๋า ไอ้หลงมันปากเสียที่รักก็รู้ มีอะไรที่ไหน?”
พูดจบชัยก็หันมาค่อนใส่หลงตาเขียว ขยับปากด่าเป็นคำหยาบคายที่ผมต้องขอเซ็นเซอร์ ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้

“แล้วจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ล่ะคู่นี้”
โน่ ชายหนุ่มตัวเล็กร่างบางพูดขึ้นจนทำให้ทุกคนหยุดอมยิ้มและหันมาทางผม
“ทำได้ที่ไหนเล่า....” ผมตอบไปแบบเขินๆ
“ขอเก็บเงินจัดงานก่อนนะครับ” หลงพูดสวนขึ้นทันที
“เรียนจบมีงานทำก่อนไหม?” ผมสวนออกไปบ้าง
“งั้นตกลงแล้วนะว่า วันไหนผมเรียนจบ มีงานทำแล้วเรามาจัดงานแต่งกัน!!” หลงพูดด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้าง
“ไอ้...ไอ้เด็กบ้า!!” ผมยกมือขึ้นกะว่าจะหวดกะบาลทุยๆ นั้นสักรอบแต่ไอ้ตัวดีดันวิ่งเข้ามากอดผมจนผมเขินไปหมด พร้อมพูดขึ้นมาอย่างยียวน
“เมียจ๋า อย่าทำผัวเลยน๊า!!!”
ส่วนทุกคนในที่นั้นก็หัวเราะร่าขึ้นพร้อมกัน......


ชีวิตผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีช่วงเวลาแบบนี้ ผมเคยหมดศรัทธาในความรักไปแล้วหลายครั้ง ครั้งแรกก็เมื่อวันที่พ่อกับแม่แยกทางกัน อันเนื่องมาจากความต้องการของแม่ส่วนกับความต้องการของพ่อ พ่อของผมเป็นแค่หมอที่รับราชการในกระทรวงสาธารณสุข แม้จะเป็นมียศระดับสูง แต่พ่อก็เป็นคนสมถะพอเพียง ส่วนแม่เป็นคนทะเยอทะยานที่จะมีหน้ามีตาในสังคม ที่แม่เลือกพ่อก็เพราะพ่อเป็นคนจากข้านที่มีฐานนันดร แม้พ่อจะไม่มีคำนำหน้าหรูๆ แต่ก็ฐานะดี ผู้ดีเก่า เมื่อต่างคนต่างทัศนคติ นานวันเข้าก็ต้องเลิกรา ครั้งแรกนี้แม่ทำให้ผมเห็นว่าความรักนั้นมีค่าด้อยกว่าเงิน

ครั้งที่สองก็กับเอ แฟนคนแรกที่เขาทำให้ผมคิดว่ารักแท้มีจริง ทำให้ผมมีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ทุกวัน เพราะไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผมจะได้เดือนมหาวิทยาลัยมาคบด้วย แต่สุดท้ายความห่างไกลและความสุขสบายก็ทำให้เขาออกจากชีวิตผมไป ผมรู้สึกเจ็บปวดที่โดยหักหลังแบบนี้ จนไม่คิดว่าจะรักใครได้อีก

จนกระทั้งมาเจอความรักใสๆ แบบหลง เขาทำให้ผมเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับความรักเสียใหม่ เขาเพิ่งผ่านความเจ็บปวดแบบเดียวกันกับผม เราเข้าใจกันในเรื่องนั้น และต่างใช้เวลาร่วมกันเพื่อเยียวยาบาดแผลเหล่านั้น เรารู้จักความเจ็บปวดและได้เรียนรู้จักซึ่งกันและกันจนกลายมาเป็นความรัก

ผมไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ผมรู้แต่ว่าแผลผมหายแล้ว และผมจะสร้างอนาคตร่วมกับเขาไปอีกไกล หลังจากผมรับแหวนของเขามาสวมใส่ ผมก็สาบานกับตัวเองเช่นกันว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ผมจะไม่ปล่อยให้เขาหายไป ยามใดที่เราไม่เข้าใจหรือมีอะไรทำให้เราต้องไกลห่าง ผมจะรีบไปคว้าเขาไว้ไม่ให้เขาหายไปไหน ให้เขาอยู่กับผมตลอดไป ให้เรามีกันตลอดไป

....................................

จบ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ตอนพิเศษ ของชัยกับกวี


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องของมือใหม่หัดเขียนอย่างข้าพเจ้านะครับ
จริงๆ มีต่อนะ ลืมไปว่าส่วนของกวียังมีต่อ เขียนไว้ยังไม่จบ จะเอามาลงต่อสัปดาห์หน้านะครับ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :L2:
จบเสียทีลุ้นแทบแย่

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จบอย่างมีความสุข :mew1: :mew1: :mew1:

หลง  เอิร์ธ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ตอนพิเศษ ของชัยกับกวี



ชัย


โอ้ยย โอยยย

ความเจ็บปวดแล่นแปล๊บขึ้นมาทันทีที่ผมลุกขึ้นมานั่งหลังจากตื่นขึ้นมาในยามสายแดดแรงของวันหยุด ณ หัองนอนของตัวเอง ผมพยายามสะกดเสียงโอดโอยของตัวเองเพราะกลัวจะไปปลุกกวีที่นอนหลับอยู่ไม่ไกล ผมเหลือบไปมองหน้ากวีที่หยุดนิ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นสม่ำเสมอแสดงให้รู้เขายังไม่ตื่น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมตื่นและลุกขึ้นจากที่นอนก่อนกวี

พอเห็นหน้าที่น่ารักยามหลับแบบนี้ ผมเกิดความรู้สึกอยากแก้แค้นเรื่องเมื่อคืนเสียหน่อย แต่ร่างกายกลับตอบสนองได้ไม่ดีนักเพราะความปวดแสบของร่างกายท่อนล่าง ทำให้ผมได้แต่นั่งมองหน้าเขาด้วยความหงุดหงิด และถอนหายใจยาวๆ

ขณะที่ผมกำลังทำใจลุกขึ้นมาเพื่อไปทำธุระเบาในห้องน้ำ ผมถูกมือๆหนึ่งฉุดดึงแขนของผมในขณะที่ผมกำลังหมุนตัวเพื่อลุกขึ้นจากที่นอน

พลั่ก!!

โอ้ย!!! อูยยยยย....

“ทำอะไรของนายเนี่ย?” ผมแผดเสียงกลับไปหาคนทำ
“เป็นไงล่ะ เข้าใจความรู้สึกของเราหรือยังล่ะ?”
“เรื่องอะไร?”
“ก็...เรื่องนี้ไง!!” กวีใช้มือตบที่ก้นผมอย่างแรง
“โอ้ย!! ไอ้บ้า เจ็บนะโว้ย!!”
“นี่ไง!! เข้าใจหรือยัง?”
“เออ! เข้าใจแล้วก็ได้วะ!!”
“พูดกับเราแบบนี้เหรอ?” กวีพูดด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก
“โอ๋ๆ แฟนจ๋า เราขอโทษนะ ก็มันเจ็บนายไม่ควรตีก้นเราแบบนี้นะ”
“ยอมรับแล้วใช่ไหมว่า เข้าใจความรู้สึกของเรา”
“ครับ... ครับ.... เข้าใจแล้วครับ แต่บอกไว้เลยนะ ถ้าไม่ติดที่ไปรับปากนายแบบนั่น เราไม่มีทางให้นายได้แอ้มเราแบบนี้แน่ ร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำเรื่องแบบนี้!!”
“แล้ว... ร่างกายเรามันใช่หรือไง!!”
“เราก็นึกว่านายชอบ...” ผมพูดเสียงทะเล้นใส่และหันหน้าไปทางเขา
“ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่า... ไม่ชอบ แค่มันก็เจ็บทุกครั้งอยู่ดี แต่ว่านะนายก็เหมือนกันนี่ เมื่อคืนเห็นร้องเสียงหลง แถมบอกว่ารู้สึกดีเหมือนกันด้วย” เขายิ้มแบบยียวนกลับมา

“.....อืม.... กวี.... ไม่ไหวแล้ว แบบนี้นายต้องโดนทำโทษ รอบเช้า!!”
ใบหน้าสวยๆ ยามเช้าของกวีกับลีลายียวนกวนบาทาของเขาในระยะประชิดแบบนี้ มันช่วยกระตุ้นไฟราคะของผมที่ดับมอดเพราะความเจ็บปวดให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง ผมขยับตัวเข้าไปกอดรัดเขาให้แน่นขึ้น ใช้แรงที่มีพลิกตัวให้ผมกดทับเขาจากด้านบน ในขณะที่เราร้องโวยวายอยู่ผมใช้ริมฝีปากกดบี้ลงไปตรงจุดอ่อนของเขาบริเวณซอกคอใกล้กับหลังหู เสียงของเขาเบาลงและแรงขัดขืนค่อยๆหายไป ผมอยู่กับกวีมานานพอที่รู้ว่าจุดไหนคือจุดที่ทำให้เขาอ่อนแอและพร้อมให้ผมเผด็จศึกได้ต่อไป

ผมจัดการโลมรันอยู่ทั่วบริเวณจุดอ่อนของเขาอยู่นานพอให้กวีหมดแรงขัดขืน ผมดึงริมฝีปากตัวเองขึ้นมาและบรรจงไปประกบกับริมฝีปากของกวีที่หอบถี่ ผมใช้เวลาสัมผัสความหวานของกวีอยู่พักใหญ่ พร้อมใช้มือที่จากโอบกอดเขาแน่นกลายมาเป็นลูบไล้ก่ายเกาะไปทั่วจุดสำคัญทั่วร่างกายอย่างชำนิชำนาญ ตอนนี้กวีไร้แรงต่อต้านใดๆ เขาทำได้เพียงขยับไปตามจังหวะมือของผมอย่างลืมตัว เสียงครางเบาๆในคอของกวีทำให้ผมรู้ว่าเขาพร้อมที่จะทำขั้นตอนถัดไปแล้ว

ผมไม่รอช้าค่อยปลดเสื้อผ้าทุกชิ้นที่มีติดตัวเราสองคนออก และใช้ขาทั้งสองข้างดันถ่างให้ขาทั้งสองของกวีเปิดกว้างออก กวีมีทีท่าขัดขืนอยู่บ้าง ผมจึงใช้ลิ้นลูบไล้บริเวณจุดอ่อนของเขาตรงแผงอกที่แน่นนวล สีชมพูอมแดงเหมือนสตรอเบอร์รี่แรกเก็บนั่น ทำให้ผมหยุดการกระทำของตัวเองไม่ได้ ไม่นานกวีก็โอนอ่อนแรงขยับตามใจผมปรารถนา ขาที่ถ่างกว้างถูกผมยกขึ้นมาให้พอดีตรงจุด ผมเอื้อมไปหยิบอุปกรณ์รบที่อยู่ไม่ไกลมาสวมใส่และวุ้นสีใสมันลื่นมาทาทั่งบริเวณปากทางสมรภูมิ กวีสะดุ้งกับความเย็นหลังสัมผัส สีหน้าที่แสดงออกนั่นทำให้ผมเตลิดไปไกล ทนไม่ไหวที่จะได้เห็นมันอีกแบบถี่ๆ ผมค่อยดันตัวเองเข้าไปในช่องรบ เสียงโอดโอยของกวีดังขึ้นในลำคอพร้อมกับใช้มือกำผ้าปูที่นอนสีเทาเข้มเสียจนผิดรูป ผมตัดสินใจดันจนสุดวิถี กวีแทบจะเด้งตัวหนีห่าง แต่ผมจับเขาไว้ได้ทันไม่งั้นเดี๋ยวได้เริ่มใหม่

ผมแช่อยู่ในท่านั้นพักหนึ่งพร้อมกับใช้มือลูบไล้ส่วนสำคัญกลางลำตัวของเขาให้ผ่อนคลาย ก่อนที่จะบรรเลงกระบวนเพลงรักของผมใส่กวีอย่างไม่หยุดหยั่ง ช่วงแรกเขามีสีหน้าทรมานจนผมอยากจะหยุด ผมพยายามค่อยๆ ชะลอความเร็วแต่กวีกลับใช่มือเอื้อมมารวบรอบก้นผมไม่ใช้ทำแบบนั้น พอผมเห็นสัญญาณไฟเขียวของเขาผมจึงใช้กระบวนท่ารักที่มีประโคมใส่เขาจนหมด และในที่สุดเราก็ถึงที่หมายพร้อมกัน ผมล้มลงไปบนตัวเขาทั้งที่หัวรบยังคงค้างอยู่ในช่องสมรภูมิ

กวีกอดผมแน่น และบีบรัดจรผมร้องโอย

“โอ้ย!! ทำอะไรของนายเนี่ย!!?!”
“เราควรจะถามนายมากกว่านะ  แก้แค้นกันหรือไง!!?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ไม่เชิง เราแค่อดใจไม่ไหวก็เท่านั้น”
“ว่าแต่.....เอาออกไปได้แล้วไหม? จะให้มันอยู่อย่างนั่นอีกนานไหมเนี่ย เราเจ็บนะ!”
“อ่า.. โทษที... ว่าจะต่อเลยเสียหน่อย!!”
“ไอ้บ้าพอแล้ว เมื่อวานเราก็เหนื่อยจะแย่ วันนี้ยังจะมาให้เราเหนื่อยซ้ำอีก!”
“ขอโทษนะที่รัก” ผมพร้อมที่จะกดริมฝีปากไปที่จุดอ่อนของเราอีกรอบ กวีแอบส่งเสียงคราวเล็กน้อย
“พอเลย!! ไปอาบน้ำได้แล้ว! สายแล้วเนี่ย! เดี๋ยวแม่นายก็มาตามไปกินข้าวแล้ว” เขาใช้มือผลักหน้าผมออกไปเบาๆ และพลิกตัวลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำด้วยท่าทางโหยกเหยกน่าขัน

“จ้าๆ แต่อาบน้ำด้วยกันนะ”
“............ เออๆ รีบตามมาสิ” กวีตอบด้วยสีหน้าแดงเขิน
ผมพลิกตัวลุกขึ้นตามเขาเข้าห้องน้ำไปด้วยตัวเปล่าเปลือย กวียังเป็นคนขี้อายแบบนี้ทำให้เขาดูน่ารักเขามากขึ้นไปอีก เราอาบน้ำด้วยกันตั้งหลายรอบแล้ว แต่เขาก็จะมีอาการแบบนี้ทุกรอบ

.....................

(ต่อ)

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


“นี่!! ไอ้ตัวดี!! มานี่ซิ!!”
หญิงร่างท้วมส่วนสูงแค่หัวไหล่ ผมหยักศกธรรมชาติ แต่งหน้าสีสันสดสวย เธอตะโกนขึ้นจากทางด้านหลังของผม หลังจากที่ผมเดินลงมาถึงชั้นล่าง

“ครับ แม่.... เสียงดังแต่เช้าเลย”
“เช้าบ้านแก! ตะวันจะตรงหัวอยู่แล้ว!!”
ผมเดินไปถึงตรงหน้าแม่ของผมที่ดูหงุดหงิดเล็กน้อย

“โอ้ย! โอ้ยยยย ...... อะไรเนี่ยแม่”
ผมถูกแม่ใช้นิ้วจิกหูและดึงขึ้นสูงจนผมคิดว่าจะโดนแขวนเหมือนหัวหมูตามตลาดสด

“ก็เมื่อคืนนี้แกทำอะไรล่ะ??”
“.....!!!!!!!!...” ผมได้ทำสีหน้าซีดเผือด ตกใจกับประโยคคำถามของแม่ตัวเอง แม่หมายเรื่องที่ผมโดน......... งั้นหรือ??
“ไม่พูดนี่ยอมรับใช่ไหม? แกนี่มันน่า....นัก ชั้นละเอือมระอากับแกจริงๆ” แม่ผมพูดขึ้นพร้อมกับบิดหูผมไปทางขวาครึ่งรอบ
“โอ้ย..... แม่น่ะ โอ้ย!! แม่ คือ.... มันเป็นเรื่องธรรมชาตินะแม่ มันเป็นความต้องการตามธรรมชาติไง!!”
ผมพูดขณะพยายามเขย่งขาให้สูงขึ้นเพื่อผ่อนอาการเจ็บที่หูลงไปได้บ้าง ผมมองไปทางกวีที่มันหันมามองทางนี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด คือพวกผมยังไม่พร้อมจะให้พ่อแม่รับรู้เรื่องแบบนี้ ด้วยวิธีนี้!

“ธรรมชาติ แม่รู้ว่ามันธรรมชาติ แต่แกควรจะให้ชาวบ้านเขารู้ไหมว่าแกทำอะไรกันอยู่??!”
“ทำอะไร??! ไม่ได้ทำอะไร?!?!”
“อย่าคิดว่าชั้นไม่รู้ แกเปิดหนังโป๊แล้วทำอนาจารกับตัวเองอยู่ใช่ไหม?? ทำคนเดียวไม่ว่า ไปชวนกวีเขามาทำอะไรกับแกแบบนี้อีก ชั้นรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แกจะทำให้ลูกคนอื่นเขาเสียคนแบบแกหรือไง?!?” พูดจบแม่ก็ดึงหูผมให้สูงขึ้นไปอีก
“โอ้ย!! โธ่เอ้ย แม่!! เรื่องแบบนี้ใครๆเขาก็ทำกัน”

“ก็ทำอย่าให้คนอื่นเขารู้สิ!! ชั้นกับพ่อแกนะแทบนอนไม่หลับ แกนี่ควรญครางตั้งหลายนาที!!”
“โอ้ยๆ แม่พอได้แล้ว อายเขาอายกวีมันแม่!!”
ตอนนี้กวีได้แต่ทำหน้าแดงหันไปทางอื่น คงรู้สึกโล่งอกและขบขันในเวลาเดียวกัน

“ทีหลังก็อย่ามาทำแบบนี้ในบ้านฉันอีก!!”
“ครับๆ ทีหลังผมจะทำเบาๆนะครับ”
“ไอ้เด็กคนนี้นี่!!” แม่ปล่อยมือจากหูของผมและเตรียมยกมือขึ้นสูงเตรียมจะตีผม แต่ผมเร็วกว่าจึงสามารถวิ่งหลบได้ทัน ผมวิ่งไปทางกวีทั้งที่หัวเราะไปด้วย ผมแอบเห็นกวีหัวเราะแบบโล่งอกและเดินตามมาอย่างไวหลังจากยกมือไหว้และกล่าวสวัสดีแม่ผมที่ยิ้มรับไหว้และมีสายตาเอ็นดูมากกว่าลูกชายตัวเองเสียอีก

..................

ในที่สุดก็เปิดเทอม....... เวลาช่วงวันหยุดปิดระหว่างภาคเรียนนี่ช่างสั้นเสียเหลือเกิน คนทีจริงจังอย่างกวีก็มุมานะในการอ่านหนังสือสอบเหมือนเคย ทำให้การใช้ชีวิตอย่างเฉื่อยแฉะสไตล์ผมต้องหมดไปด้วย เพราะต้องพยายามติวหนังสือเป็นเพื่อนเขา 
ส่วนไอ้หลงที่กำลังลุ้นสิทธิ์เข้าตรงจากการเป็นนักกีฬาก็กำลังรอลุ้นอยู่ว่าจะได้ไหม จากการที่ส่งคำร้องไปพิจารณาที่มหาวิทยาลัยท้องถิ่น เพราะมันยังอยากอยู่ใกล้ๆพี่เอิร์ธ มันเลยไม่ส่งจดหมายไปที่อื่นเลย แอบอิจฉามันนิด เพราะผลงานของมันในช่วงงานกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัด ทำให้มันมีสิทธิ์เลือกหลายที่ เรื่องสอบดูมันเลยไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ แค่ทำให้ได้ผ่านตามเกณฑ์ที่แต่ละมหาวิทยาลัยตั้งไว้ก็พอ

ส่วนผมไม่อยากจะไปแข่งขันกับไอ้หลงมัน และผมก็อยากจะพยายามไปพร้อมกับกวีมากกว่า มันก็เลยจะขัดกับไลฟสไตล์ผมพอควร ทำได้แต่บ่นครับ (บ่นทีไรก็เจอกวีต่อว่าทุกที)

กวีเขาฝันอยากเป็นสัตวแพทย์ครับ เขาพูดให้ผมฟังบ่อยๆ จนผมอยากจะเป็นตามเขาไปด้วยแล้วครับ ผมไม่ได้มีความฝันอะไรเป็นพิเศษ ครั้นจะให้เป็นตำรวจเหมือนกับพ่อ พ่อผมก็ไม่อยากให้เป็น มันก็เลยเคว้งคว้างอยู่ช่วงหนึ่งจนได้มาเจอกับกวี กวีมาเติมเต็มส่วนที่หายไปของผม ผมก็เป็นคนรักสัตว์อยู่แล้วจึงยินดีที่จะเดินทางไปพร้อมกับคนที่ผมรักมากๆคนหนึ่ง

ช่วงกลางภาคที่อยู่ในช่วงสอบข้อสอบกลางต่างๆ ทั้งหลายของทบวงมหาวิทยาลัยนั้น ผมกับกวีเราพยายามกันมากๆ เพราะเขาพูดลอยๆออกมาตลอดว่า ‘อยากเรียนที่เดียวกัน’ ‘อยากเรียนในห้องเดียวกันดูบ้าง’ อยู่บ่อยๆ จนทำให้ผมสู้เต็มที่เพื่อที่จะได้เรียนที่เดียวกับเขาให้ได้

แต่หลังจากสอบเสร็จเรียบร้อย จนกระทั้งวันที่ผลของคะแนนกำลัวจะออกมา ผลของการขยันอ่านหนังสือมาหลายเดือนกำลังจะเห็นผลลัพธ์ของมันแล้ว ผมนั่งเปิดคอมพิวเตอร์ที่บ้านในห้องตัวเองคนเดียวด้วยใจระทึก ผมนั่งกดรีเฟรชหน้าจอรัวๆ จนกว่าผลมันจะออกมา ผมไม่เคยตื่นเต้นกับการรอคอยคะแนนสอบอย่างนี้มาก่อนในชีวิต ตื่นแต่เช้าเพื่อมานั่งรอดูผลด้วยตาตนเอง และอยากจะดูก่อนที่กวีจะเห็นด้วย ใจจริงคือไม่อยากผิดหวังต่อหน้าเขา อย่างน้อยหากมันไม่ได้อย่างที่หวังจริงๆ จะได้เตรียมใจไว้ก่อน

ผมกดรีเฟรชครั้งที่ร้อยหรือเปล่า ไม่ได้นับ ในที่สุดผลคะแนนก็ออกมาให้เห็นจนได้ ผมนั่งลุ้นทีละหัวข้อด้วยความเครียด จนกระทั้งหมดทั้งหน้าจอ รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเพราะได้คะแนนสูงกว่าที่คิดมาก หลังจากโล่งใจในคะแนนของตัวเองผมก็แอบไปกดดูคะแนนของกวีทันที ผลคือคะแนนสูงกว่าผมไม่มาก เราอยู่ในระดับไล่เรี่ยกัน

ผมควานหาโทรศัพท์เพื่อว่าจะโทรศัพท์ไปโอ้อวดกับกวีเสียหน่อยแต่ปรากฎว่า ผมไม่สามารถติดต่อกวีได้เลย ผมไม่ได้พยายามติดต่อเขาเท่าไหร่เพราะจำได้ว่าวันนี้เขาบอกว่าจะทำธุระกับพ่อ คงยุ่งๆ จนไม่ได้รับสาย หลังจากสบายใจผมเลยเดินกลับไปที่เตียงและฉลองวันหยุดหลังสอบด้วยการนอนพักผ่อนยาวๆ

วันรุ่งขึ้นที่โรงเรียน จากการที่ผลคะแนนออกมาแล้ว ทำให้ทุกคนหมกหมุ่นอยู่กับคะแนนสอบของตัวเอง จนกระทั่งเกิดการจัดลำดับของคะแนนสอบทั้งในและนอกโรงเรียนเกิดขึ้น ทำให้ผมทราบว่าคะแนนของผมกับกวีอยู่ลำดับท้อปของจังหวัด จนพวกผมคิดว่าไม่ต้องกลัวอีกแล้วว่าจะต้องแยกจากกันเพราะเราสามารถเลือกไปเรียนที่ไหนก็ได้แน่ๆ หากมีคะแนนระดับนี้ ผมตัดสินใจว่าหลังเลิกเรียนจะต้องไปฉลองกับเขาเสียหน่อยและไปวางแผนเรื่องที่เรียนในอนาคตของพวกเรา

......................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

กวี

ผมเหวี่ยงตัวเองลงบนเตียงหลังจากแยกย้ายจากชัยในวันสอบวันสุดท้าย รู้สึกภาระต่างๆ ที่แบกไว้บนบ่าค่อยๆทลายลงมาทีละน้อย ผมได้ทำเต็มที่แล้ว และตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้ผลคะแนนออกมาดีอย่างใจหวัง ข้อสอบไม่ยากกว่าที่คิดแต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ทำให้ผมแอบกังวลในใจ จนต้องขอแยกกับชัยมาทำใจเงียบๆคนเดียวที่ห้อง บวกกับวันนี้พ่อบอกว่าจะกลับมากินข้าวด้วย พร้อมกับคุณน้าเล็ก แม่เลี้ยงของผมเอง ซึ่งยิ่งทำให้ผมรู้สึกเบื่อและเหนื่อยมากขึ้นไปอีก ผมไม่เคยชอบกินข้าวกับน้าเล็กเลย มันอึดอัดกับสายตาที่จับจ้อง เหมือนเต็มไปด้วยคำถามของเธอ แต่คล้ายกับเธอเกรงใจคุณพ่อไม่กล้าถาม

ผมรู้สึกเหมือนเธอจะคอยจับผิดผมตลอดเวลา รู้สึกเหมือนไม่เป็นที่พอใจ ผมเลยต้องทำตัวสมบูรณ์แบบตลอดเพื่อลดการเสียดสีทางสายตาของน้าเล็กมาตลอดหลายปี มีหลายครั้งที่ผมทนไม่ไหวไประเบิดกับพ่อ แต่พ่อก็มักจะแก้ตัวแทนเธอเสมอ พ่อมักจะบอกว่า ‘เธอเป็นห่วงกวีนะ เลยต้องดูแลอย่างเข้มงวด’ แต่เธอกลับทำให้ผมผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม!

เสียงบีบแตรรถยนต์ดังขึ้นจากทางหน้าบ้านเป็นสัญลักษณ์บอกถึงการมาถึงคุณนายใหญ่ของบ้าน (หากเป็นพ่อจะขับรถเข้ามาเงียบๆ) เพื่อเรียกให้คนรับใช้มาช่วยขนของที่เธอซื้อเข้าบ้าน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ข้าวของที่น้าเล็กซื้อมันจะมีมากกว่าที่คนๆหนึ่งจะถือไหว ส่วนพวกคนรับใช้น่าจะยินดีกับการมาของเธอเพราะเธอมักจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาให้เหล่าบรรดาคนรับใช้ในบ้านเสมอ ทตัวให้สมเป็นแม่พระของบ้านตลอดเวลา จนผมอยากฉีกหน้ากากนางเองของเธอนัก

ในขณะที่ผมนอนฟุบหน้าลงบนฟุกที่นอนหนานุ่ม พยายามไม่สนใจเสียงเรื่องราวความวุ่นวายข้างล่างที่เกิดขึ้น เสียงเคาะประตูที่ทุ้มหนักก็ดังขึ้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“กวี...... กวีอยู่ไหมลูก?”
“ครับ.... อยู่ครับ”
“ทำอะไรอยู่ สอบเป็นไงบ้าง?” พ่อเดินเปิดประตูเข้ามาในขณะที่ผมยังนอนหมดแรงอยู่บนเตียง
“ก็ดีครับ” ผมลุกขึ้นนั่งกับที่นอนขณะตอบ
“พ่อมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย... แต่หลังกินข้าวก็ได้นะ”
“อ่ะ.... ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ คุยเลยก็ได้นะครับ”
ผมเดาว่าคงเป็นการคุยเรื่องเดิมๆ ที่พ่ออยากให้ผมไปเรียนต่อทางด้านบริหารธุรกิจที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่คุยกันไม่จบสิ้นสักทีระหว่างผมกับพ่อ เพราะผมก็มีความฝันของผม โดยเฉพาะตอนนี้ที่ผมมีฝันร่วมกับชัย ทำให้ผมตัองเข้มแข็งในความต้องการของตัวเองมากขึ้น ผมเองก็ต้องการคุยให้มันเด็ดขาดไปเลย แม้ระยะหลังมานี่ พ่อมักจะฟังผมมากขึ้นก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็จะถามผมซ้ำๆเสมอๆเหมือนจะตื้อให้เปลี่ยนใจ

“ไม่เป็นไรลูก...... คือ..... เดี๋ยวคุยพร้อมน้าเล็กไปเลย”
“???????” ตอนนี้ผมไม่รู้ปั้นหน้ายังไงแต่พ่อมีการตอบสนองมาทันทีที่ผมนิ่งไป
“เอาน่า... ลงมากินด้วยกันก่อน พ่อหิวแล้ว”
“ครับพ่อ” ผมตอบทั้งที่หน้าตายังคงเดิมอยู่

...........

“ต้องให้พ่อไปเชิญลงมาเลยหรือลูก”
เสียงแหลมเล็กของน้าเล็กดังขึ้นทันทีที่ผมลงมาถึงโต๊ะอาหาร
“ผมเดินไปหาเขาเองแหละ ก็เลยชวนลงมากินข้าวด้วยกัน”
“........”
หากเป็นผมเมื่อก่อนคงเดินหนีขึ้นห้องไปแล้วแต่ตอนนี้ผมโตพอที่นิ่งเฉยกับอาการส่อเสียดของแม่เลี้ยงตัวเองเสียแล้ว

ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างมุมหนึ่งที่ห่างจากน้าเล็กพอควร ที่ซึ่งผมเคยบอกกับคนรับใช้ในบ้านให้จัดจานของผมวางไว้เป็นที่ประจำ มันเป็นเก้าอี้ที่นั่งอยู่ข้างพ่อของผมและอยู่คนละด้านกับแม่เลี้ยงของผม โต๊ะกินข้าวบ้านผมไม่เหมือนบ้านคนรวยคนอื่นเขาที่เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวและกว้างจนเหมือนสามารถนั่งได้ทั้งกองพลทหาร พ่อบอกว่ามื้ออาหารเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะได้ใช้ร่วมกันภายในครอบครัว จึงได้สั่งซื้อโต๊ะสีขาวหินอ่อนทรงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแค่สองเมตรมานั่งร่วมกัน เพราะพ่อเป็นนักธุรกิจที่ยุ่งมากเลยมีเวลาอยู่ครอบครัวน้อย เหลือแค่เวลากินข้าวที่จะได้นั่งใกล้ชิดพูดคุยกัน ดังนั้นกฏของโต๊ะอาหารคือ ‘ห้ามโทรศัพท์และห้ามดูโทรทัศน์ขณะมื้ออาหาร!!’  และทุกคนจะต้องคุยกัน!! มันเป็นธรรรมเนียมปฏิบัติในบ้านนี้ เพราะลักษณะของโต๊ะผมคงเลี่ยงน้าเล็กได้เพียงเท่านี้

“คุณจะคุยกับลูกเลยไหมคะ?” น้าเล็กพูดขึ้นขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับอาหารจานโปรดของผมที่พ่อซื้อมาให้บนโต๊ะ
”อิ่มแล้วค่อยคุยก็ได้! เสียบรรยากาศเปล่าๆ”
“ไม่ใช่คุณจะถ่วงเวลาหรอกนะคะ!!”
“......เออ!! น่า!!” พ่อผมทิ้งประโยคห้วนจนน้าเล็กปากนิ่งสงบไป
“อะไรเหรอครับพ่อ?” ผมถามด้วยความสงสัย
“กินข้าวให้เสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวไปคุยกับพ่อที่ห้องรับแขก”
“อ่า....ครับ” เป็นประโยคตอบกลับที่ทำให้ผมแทบจะยัดข้าวเข้าปากคำต่อไปไม่ลงเพราะความสงสัยตอนนี้มันพอกพูนขึ้นมาจนจุกอิ่มขึ้นมา
“งั้นผม..... ไปนั่งรอพ่อที่ห้องรับแขกนะครับ” ผมพูดขึ้นหลังจากเคี้ยวข้าวคำทึ่ค้างอยู่ลงคอเพราะกับอาการวูบวาบที่ท้องแบบประหลาด

ผมเดินไปเก็บจานข้าวที่ห้องครัวพร้อมเดินทอดน่องต่อไปที่ห้องรับแขกด้วยใจที่เป็นกังวล ผมรู้ในใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปแน่นอน เพราะพ่อมักจะคุยกับผมทุกเรื่องที่โต๊ะอาหาร ผมทิ้งตัวเองลงบนโซฟาสีเหลืองทองทรงหลุยส์ขนาดใหญ่ และผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่ วันนี้ผมเดาไม่ออกจริงๆว่าพ่อจะมาพูดกับผมเรื่องอะไร น้อยครั้งมากที่พ่อต้องการจะขอคุยกับผมแบบนี้ เพราะมีเวลาน้อยดังนั้นหากไม่ใช่ตอนมื้ออาหารก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย

“หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องเรียนต่อนะ” ผมบ่นกับตัวเองเสียงงึมงำ
“พ่อก็ว่าจะมาคุยเรื่องนั้นแหละ!” ผู้เป็นพ่อเดินมาในจังหวะที่ผมใจลอยพอดี ทำให้ผมในท่านั่งสบายๆ สะดุ้งลุกขึ้นมานั่งตัวตรง

“แต่.... พ่อ..... ผมก็เคยคุยกับพ่อหลายครั้งแล้วว่า ผมไม่อยากเรียนบริหารธุรกิจ! ผมนึกว่าพ่อเข้าใจแล้วเสียอีก”
“พ่อเปลี่ยนใจแล้ว!!” พ่อเดินมานั่งเก้าอี้ทรงหลุยส์เข้าชุดฝั่งตรงข้ามผมและตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อ้าว!!! ทำไมล่ะครับ นี่ผมเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วนะครับ ผมเลือกมหาวิทยาลัยแล้วด้วยเหลือแค่รอคะแนนสอบเท่านั้นเอง!!”
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว พ่อจะให้แกไปเรียนต่ออังกฤษ พ่อมีเพื่อนอยู่ที่นั้น จะได้ช่วยดูแลแกได้!”
พ่อพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“พ่อ!! แต่ผมบอกพ่อแล้วว่าผมอยากเป็นสัตวแพทย์ ผมจะทำตามความฝันของผม!!”
“แล้วแกไม่ห่วงพ่อแกรึไง พ่อแก่ลงทุกวันนะ ไม่คิดว่าจะมาช่วยพ่อทำงานหรือยังไง??” พ่อเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย

“พ่อยังมีเจ้ากร อยู่นี่ รอให้มันเรียบจบแล้วมาช่วยพ่อก็ได้ พ่อยังไม่แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย!” กรคือน้องชายต่างมารดาของผมซึ่งถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่ปีที่แล้ว อายุต่างจากผมแค่สองปี (ผมไม่รู้สาเหตุว่าทำไมถึงได้โดนส่งตัวไปแบบนั้น เขาก็เรียนเก่ง แถมหัวการค้าเหมือนพ่อ)

“เดี๋ยวนี้เถียงพ่อคำไม่ตกฝากเลยนะ ไปเอานิสัยไม่ดีแบบนี้มาจากเพื่อนของแกใช่ไหม? คิดถูกแล้วที่ให้จับแยกกันไป”
ในที่สุดคนที่ต้นคิดเรื่องนี้ก็โผล่หางออกมา
“เล็ก! ผมบอกแล้วว่าผมจะคุยกับลูกเอง”
“เดี๋ยวคุณก็ใจอ่อนตามใจลูกอีก คุณก็รู้ว่าฉัน..”
“เล็ก.... อย่าให้ผมพูดซ้ำนะ!!” พ่อพูดเสียงเข้ม
“เจ้ากรมันก็เสียคนไปคนหนึ่งแล้วเพราะคุณตามใจมากไป!! ฉันจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกหรอกนะ โดยเฉพาะกับลูกของคุณพี่!!” น้าเล็กพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและหันหลังจากไป

กลายเป็นผมที่งงกับการทะเลาะกันของผู้ใหญ่ทั้งสองคน ผมควรจะโกรธกับการที่แม่เลี้ยงของผมพยายามเข้ามาแทรกการสนทนาของเราพ่อลูก และแทรกแซงการตัดสินใจของพ่อ แต่ประโยคสุดท้ายที่น้าเล็กพูดนั่น!...... มันทำให้ผมไม่รู้สึกโกรธเลย น้ำเสียงและสีหน้าเหล่านั้นผมไม่เคยเห็นจากน้าเล็กมาก่อน มันทำให้ผมรู้ประหลาดใจมากกว่า

คุณนายของบ้านเดินห่างออกไปด้วยตาที่แดงก่ำ วงหน้าที่อึดอัดเหมือนถูกสกัดกั้นคำพูดเป็นร้อยแปดอยู่ภายใน ผมกลับมามองหน้าพ่อที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสน มือหนึ่งยกขึ้นมาบีบขมับทั้งสองข้างเหนื่อยล้า

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
“พ่อครับ ผมขอร้อง ให้ผมได้เลือกเส้นทางของชีวิตด้วยตัวเองเถอะครับ”
“หยุด!! พอได้แล้ว พ่อไม่อยากให้แกอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว มันมีแต่เรื่องแย่ๆ”  พ่อพูดห้วนออกมาทั้งที่ยังไม่มองตาผมเสียด้วยซ้ำ

“เรื่องแย่ๆ ผมไม่เคยทำตัวแย่ๆ เลยนะ พ่อก็รู้ ผลการเรียนผมก็ดี นักกีฬาผมก็เป็น ไม่เคยถูกหักคะแนนความประพฤติเลย!!”
“พ่อตัดสินใจแล้ว พ่อจะเรียกมาคุยแค่นี้แหละ ขึ้นห้องไปได้แล้ว พรุ่งนี้จะเรียกมาคุยเรื่องมหาวิทยาลัยที่พ่อติดต่อไว้แล้วที่ลอนดอน”
“พ่อ!! พ่อไม่มีเหตุผลเลย ทำไมพ่อถึงไม่ฟังผมบ้าง!! ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!! ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมขอประท้วง คราวเจ้ากรก็ทีแล้ว!! ผมไม่เข้าใจ!!”
ผมขึ้นเสียงกับพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต

“ได้!!! แกอยากรู้ใช่ไหมว่าทำไม ฉันถึงอยากให้แกไป!!”
พ่อพูดอย่างเหลืออด พอจบประโยคก็พ่อเดินห่างออกไปที่โต๊ะเข้ามุมที่มุมห้องด้านหนึ่ง ไปค้นกระเป๋าเอกสารจนได้ไอเพดมาเครื่องใหญ่ พ่อเขี่ยไปมาบนหน้าจอสี่ห้าครั้ง ถือมาโยนที่หน้าตักผม

“ดูเอาเอง!! แล้วจะให้พ่อทำยังไง!!??”
“............”
ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า มันคือภาพตัวผมเองในมุมที่ผมไม่คุ้นเคย ภาพที่ผมเปลือยเปล่ากับกลุ่มคนที่ผมไม่คุ้นตา ผมเลื่อนภาพเหล่านั้นไปเรื่อยๆ อึกหลายภาพ สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้คือความอับอาย ผมเข้าใจในที่สุดว่าทำไม ชัยถึงไม่เคยให้ผมเห็นภาพชุดนี้ ผมบอกตามตรงว่าผมรับไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์แบบไหน ทั้งโกรธทั้งอาย ทั้งเสียใจ ยิ่งคนที่ยื่นมาภาพนี้มาเป็นพ่อของผมเอง ยิ่งทำให้ผมอยากจะระเบิดตัวเองกระจายหายไปจากตรงนี้เลย

ตาและหน้าของผมมันร้อนไปหมด ผมเลื่อนภาพเหล่านั้นไปเรื่อยในสภาพที่ไม่อยากมองหน้าพ่อที่นั่งอยู่ไม่ห่างอย่างเงียบงัน จนในที่สุดผมก็มาหยุดที่ภาพของผมกับชัย ภาพแรกเป็นภาพที่ชัยเดินจับมือผมที่หน้าบ้าน ภาพต่อๆมาเป็นภาพความใกล้ชิดกันระหว่างผมกับชัยที่ร้านกาแฟร้านประจำ และภาพสุดท้ายเป็นภาพที่ผมถูกกดลงที่โซฟาบ้านตัวเองและถูกริมฝีปากของชัยประกบกับริมฝีปากของผมแน่น

“พ่อเข้าใจเพศสภาพของคนในปัจจุบันนี้นะ แต่ทำไม่ถึงทำตัวเหลวแหลกแบบนี้!!” พ่อพูดขึ้นในขณะที่ที่กำลังดูหลักฐานชิ้นสุดท้าย

“พ่อครับ... คือ ผมอธิบายได้!!!”
“ไม่ต้องแล้ว! สุดท้ายประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอยอีก พ่อไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แย่ๆกับคนในบ้านเราอีกแล้ว!!”

“แต่ผมไม่เหมือนกันกรนะครับ!!”
“แกรู้รึว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้อง!!??”
“คือ..... ผม... ไม่ทราบ”
“งั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว!! สักวันหนึ่งแกจะเข้าใจถึงความรักและความหวังดีของพ่อ และแม่เล็ก!!”
“แต่ที่พ่อเห็นมันไม่ใช่อย่างที่พ่อคิดนะ ผม...ผมโดนกลั่นแกล้ง!! และอีกอย่างผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แม่ผม!!”
ผมชี้ไปทางทิศที่แม่เลี้ยงผมเดินจากไป

“หยุดทำท่าทีก้าวร้าวแบบนี้ แกไม่รู้อะไร อย่ามาพูดเอาแต่ใจ ขี้นห้องแกไปเดี๋ยวนี้ ต่อไปนี้แกจะต้องอยู่ในสายตาฉันตลอด!!”
สายตาของพ่อที่ดุดันนั้น มันทำให้ผมรู้ว่าผมพูดอะไรไปตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไร คงต้องลองหาิธีมาคุยกับพ่ออีกครั้ง ผมกระแทกเท้าเดินจากมาด้วยใจที่ปวดร้าว

.............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2018 18:16:46 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เอ้าจะได้จบดีๆมั้ยเนี่ย คู่นี้ละกรนี่มายังไง :a5:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

.............

“สวัสดีครับ คุณหนู”
ลุงพรคนขับรถของคุณพ่อมารับผมถึงหน้าโรงเรียน เนื่องจากนับตั้งแต่ผมทะเลาะกับพ่อไปวันก่อน ผมก็โดนพ่อยึดทุกอย่างตั้งแต่รถที่ใช้ขับ คนขับรถส่วนตัว โทรศัพท์สมาร์ทโฟน บัตรเครดิต และอิสระภาพในการใช้ชีวิต

“สวัสดีครับลุงพร ผมขอแวะไปหาเพื่อนก่อนกลับบ้านนะ?”
ผมต้องบอกลุงเพราะลุงไม่เคยมารับผมกลับบ้าน
“ไม่ได้ครับ พอลุงไปส่งคุณหนูเสร็จแล้ว ลุงต้องรีบไปรับคุณท่านที่ทำงานด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ ลุงพรไปส่งผมอย่างเดียวก็ได้ เดี๋ยวผมให้เพื่อนไปส่ง”
“ไม่ได้ครับ ถ้าคุณท่านรู้ว่าลุงไปส่งคุณหนูไม่ถึงบ้านลุงจะโดนหักเงินเดือนเอานะ”
“............” ผมหน้านิ่วตอบกลับไปโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะผมรู้ว่าเวลาแบบนี้พ่อเอาจริง ผมไม่อยากให้ลุงพรแกเดือดร้อน เลยต้องจำยอมขึ้นรถไปโดยไม่ปริปากอะไร ได้แต่ทำท่าอึดอัดใจเท่านั้น

“ลุงขอโทษนะ แต่ลุงขัดคุณท่านไม่ได้จริงๆ”
ผมมองสายตาลุงขณะที่ลุงพูดผ่านกระจกมองหลัง
“ไม่เป็นไรครับลุง ผมเข้าใจ ผมไม่โกรธลุงหรอก”
แต่คนที่ผมโกรธคือพ่อต่างหาก!! ผมคิดในใจ

ผมมองถนนหนทางจากโรงเรียนมาบ้าน ผมไม่เคยรู้สึกอึดอัดเท่านี้เลย ผมโทรหาใครก็ไม่ได้ จะเดินทางไปหาใครก็ไม่ได้ แถมยังต้องโดนบังคับให้นั่งคุยกับพ่อทุกวันก่อนนอนเพื่อคุยเรื่องสถานที่เรียนมหาวิทยาลัยที่ลอนดอนอีก

คนที่ผมคิดถึงที่สุดคือ ‘ชัย’ ผมไม่รู้ว่าเขาจะพยายามติดต่อผมหรือเปล่า ผมอยากจะคุยกับเขาเหลือเกิน ผมอยากจะคุยกับเขาเรื่องคะแนนสอบที่ผมยังไม่ได้มีโอกาสดูเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ให้ใช้อินเตอร์เน็ต ผมอยากเจอหน้าเขา ตั้งแต่หลังสอบผมก็ยังไม่ได้คุยกับเขาเลย ทุกครั้งที่ผมนึกถึงเขา ดวงตาของผมมันร้อนผ่าว ใจสั่นหวิว และลำคอตีบตันจนไม่สามารถส่งเสียงได้ ตอนนี้ชัยกำลังทำอะไรอยู่นะ  ผมจินตนาการถึงชัยต่างๆ นานา ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ จนกระทั่งทิวทัศน์ตรงหน้าเปลี่ยนมาเป็นภาพรั่วยาวเป็นตารางเหล็กสีดำสลับช่องสีเขียวของต้นไม้ด้านใน ผมมองเข้าในรั่วก็พบกับบ้านหลังสีขาวสไตล์โมเดิร์นขนาดใหญ่ ที่พักพิงที่ผมไม่คุ้นเคย

......................



ชัย

‘หมายเลขที่ท่านเรียก ยังไม่เปิดใช้บริการ.....’

เป็นสิ่งที่ผมได้ยินมาตลอดสองสามวันที่ผมพยายามติดต่อกับกวี

“เฮ้ย!! มึงยังติดต่อกวีไม่ได้หรือวะ?” ไอ้หลงที่นั่งอยู่ข้างๆ ทักขึ้นขณะช่วงเวลาพักเที่ยง
“เออว่ะ... กูแม่งหงุดหงิดฉิบหาย แล้วก็เป็นห่วงด้วย”
ผมปล่อยโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่ของผมลงคว่ำหน้า
“มึงจะมาหงุดหงิดอะไรวะ มึงก็ไปหากวีที่บ้านสิวะ!”
ไอ้หลงแสดงความคิดเห็นพร้อมใช้มือเสยหลังหัวผมเบาๆ

“มึงว่ากูยังไม่ได้ทำหรือไง! กูไปมาเมื่อวานแล้ว บ้านแม่งปิดเงียบ เหมือนร้าง ลุง รปภ. ก็เปลี่ยนคนดูแลแล้ว พอถามก็บอกไม่รู้เรื่องอะไรเลย!!”

“อ้าว..... แล้วนี่มึงเจอกันล่าสุดเมื่อไหร่วะ?”
ก็ช่วงสอบนั่นแหละ หลังนั้น..... กูก็ติดต่อกวีไม่ได้เลย!!” ผมพูดพลางหยิบมือถือขึ้นมากดเขียนข้อความถึงกวีผ่านแอปปริเคชั่นไลน์ แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีคำตอบใดๆ ส่งผ่านมาปรากฏที่หน้าจอของผม ไม่มีแม้แต่คำว่าอ่านขึ้นที่กล่องคำพูดของผม
“มึงไปถามหน่วยข่าวกรองหรือยัง?” ไอ้หลงใช้มือตบไหล่ผมสองครั้ง ขณะที่ผมกำลังเหม่อมองโทรศัพท์ของตัวเอง

“ใครวะ??!”
“พี่โน่ไง!!”
“พี่โน่จะไปรู้ทุกเรื่องได้ไงวะ?”
“ก็คนรู้จักพี่เขาเยอะ แล้วครอบครัวกวีก็แบบมีชื่อเสียงในจังหวัด บวกกับพี่โน่เคยให้ลูกน้องแอบติดตามกวีอยู่ช่วงที่มีเรื่องกับยัยนิ่ม มันต้องมีใครรู้เรื่องบ้างล่ะวะว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง?”
ผมมองหน้าไอ้หลงที่มันพูดอะไรฉลาดๆแบบนี้
“มึงนี่ก็...ฉลาดเหมือนกันนะ ไม่เคยรู้...”
“แปลว่าอะไรวะ?!?” ไอ้หลงมันคิ้วขมวดใส่ผม
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ!! เออ ขอบใจนะ เย็นนี้ไปหาพี่โน่กัน!”
“เชี้ย!! มีงหลอกด่ากูอีกแล้ว!!” หลงยกมือขึ้นฟาดที่หัวผมดังลั่น
“เชี้ย!! เดี๋ยวกูโง่กันพอดี!!”
“เออ ดี จะโง่กว่ากู!!”
“ไอ้สาดดดด”
ผมลุกขึ้นหมายจะเหวี่ยงแข้งใส่ก้นมันสักที แต่หลงกลับรู้ตัวโดดหนีได้ทันท่วงที
ตอนนี้เลยกลายเป็นภาพของพวกผมวิ่งไล่กันอยู่ ให้เพื่อนๆ บริเวณนั้นที่นั่งพักกัน หัวเราะกันยกใหญ่
“พอสบายใจมึงก็มีแรงเลยนะ!!”
ไอ้หลงหันหลังตะโกนมา
“กูจะร่าเริงกว่านี้ ถ้ากูเตะมึงได้ อย่าหนีสิวะ!!”

....................


“อืม....... เรื่องนี้มัน....”
พี่โน่พูดขึ้นหลังจากผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“พี่รู้อะไรงั้นเหรอ?”
ผมไม่รอฟังให้จบประโยคก็โพล่งพูดแทรกขึ้นมา
“กูจะบอกว่า......”
“ว่า....???”
“มึงนี่ความรู้สึกช้าจังวะ เป็นกูแฟนหายไปวันเดียวกูก็ออกตามหาแล้ว ไอ้ฟาย!!”
ผมเจอพี่โน่กระแทกหน้าด้วยคำด่าเต็มคำ ตัวเล็กแต่แม่งเสียงทรงพลังฉิบหาย

“อ้าว!! พี่โน่... ทำไมพูดแบบนี้วะ?”
ผมหน้านิ่วใส่อีกฝ่ายทันที
“พี่พูดแบบนี้แปลว่าพี่รู้อะไรมางั้นเหรอ?”
ไอ้หลงเสือกตัวขึ้นมาใกล้พี่โน่มากกว่าเดิม พร้อมน้ำเสียงตื่นเต้น
“ก็นิดหน่อย...” พี่โน่ทำท่าทางสบายๆ ใส่หน้าผมแบบไม่สนใจท่าทางกระตือรือร้นของไอ้หลง
“พี่รู้อะไรก็รีบบอกมาดีกว่า จะมาอมพะนำทำไม?”
ผมพูดเสียงดังขึ้นรู้สึกถึงความร้อนรนในอกมันแฝงออกมาทางคำพูด
“เออๆ กูรู้แค่ว่ากวีน่าจะมีปัญหากับครอบครัว เพราะเหมือนโดนคุมตัวแจเลย ไม่ว่าจะไปไหน ก็มีคนติดตามไปรับไปส่งตลอด กูสงสัยก็เลยพยายามโทรศัพท์ไปถามแต่ก็เหมือนติดต่อไม่ได้ แล้วล่าสุดนี่.... ถึงกับถูกย้ายไปอยู่บ้านใกล้โรงเรียนอีกด้วย!!”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน??”
“กูก็ไม่รู้? กูก็รู้แค่นี้แหละ ย่านที่พักแถวนั้นมันเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลด้วย เข้าไปไม่ได้!”
“พี่รู้ขนาดนี้แล้วทำไมไม่รีบบอกผม”
“กูก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามึงจะทำยังไง หากมึงห่างเหินกันจริงๆ ก็เผื่อฟลุ๊คให้กูแทรกได้ ยังไงกวีก็ยังน่ารักสำหรับกูอยู่ดี”

“พี่โน่..... มึง... แม่ง.....”
ผมนี่กัดฟันดังกรอดๆรอดช่องปากออกมาด้วยความหงุดหงิด
“เฮ้ยๆ กูล้อเล่น แค่คิดเล่นๆ เอานี่แผนที่กูเตรียมให้แล้ว”
“โห.... พร้อมโคตร!!” ผมอึ้งตาโตใส่พี่โน่

“มึงว่าทำไมไอ้หลงถึงพามึงมาที่นี่ละ?”
“...??... หรือว่า....”
“เออ.... กูบอกให้ไอ้หลงพามึงมาหากูเองนี่แหละ!!”
พี่โน่พูดพร้อมยิ้มกว้างในขณะที่ไอ้หลง ยิ้มแห้งๆ ใส่ผม
“กูนึกแล้วเชียวว่ามึงไม่น่าฉลาดขนาดนั้น!!”
“อ้าว!! ไอ้นี่ กูอุตส่าห์ช่วย ไอ้สาดดด”
ไอ้หลงลุกขึ้นยืนทำท่าหาเรื่อง
“เอ้าๆ เสร็จธุระแล้ว พวกมึงก็ไปกันได้แล้ว อย่ามาทะเลาะกันแถวนี้”
พี่โน่ยกมือทำท่าไล่ด้วยความรำคาญ


.............................


“นี่! มึงแน่ใจนะว่าเป็นหมู่บ้านหลังนี้”
ผมพูดขณะดูแผนที่ในมือของไอ้หลงที่ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันโปรดของผม
“กูว่าใช่ แถวนี้ก็มีแต่ที่นี่นะที่เป็นหมู่บ้านจัดสรรใหญ่ขนาดนี้”
ไอ้หลงพูดขึ้นมาด้วยสายตาสอดส่องไปทั่วบริเวณ รถผมจอดอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ แค่ประตูทางเข้าก็ใหญ่กว่ารั่วบ้านผมแล้ว บวกกับรูปปั้นขบวนม้าในท่าทางวิ่งสีสัมฤทธิ์ มีน้ำพุน้อยใหญ่อยู่ล้อมรอบ ดวงไฟที่ประดับประดาประหนึ่งอยู่ในงานรื่นเริง ประตูเลื่อนขนาดใหญ่สีทองอร่ามสะท้อนแสงไฟสีส้มดูแวววาว จนไม่สามารถคิดมูลค่าสิ่งเหล่านั้นได้

“งั้นเข้าไปกัน!”

“เดี๋ยวๆ”
ไอ้หลงเลื่อนมือมาจับที่แขนผมเป็นเชิงห้าม
“อะไรวะ?!”
“มึงรู้เหรอไงว่าหลังไหน?”
“ไม่รู้... เดี๋ยวค่อยไปถาม!”
“ไอ้บ้า!! รปภ. ที่ไหนเขาจะบอกกัน!!”
“อ้าว!! แล้วไงวะ!! แบบนี้ก็ได้แต่มองดิวะ?”
“ก็คงงั้นแหละ!!”
“เชี้ย!! นี่มันไม่มีวิธีดีกว่านี้แล้วหรือวะ?”
“ก็เออดิ!! ขืนมึงบุกเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต รับรอง เตรียมคุยกับพ่อมึงยาวเลยที่โรงพัก!!”
“..............,” ผมนึกภาพตาม ภาพที่พ่อดุผมต่อหน้าคนทั้งโรงพัก ไหนจะต้องอธิบายเรื่องต้องบุกไปหาแฟนตัวเองอีก ผมยังไม่เคยบอกพ่อเรื่องกวีเลย ทุกคนในบ้านคงแค่เห็นว่าเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากเท่านั้น

“กูว่าทำได้แค่... รอ.... เผื่อว่าจะได้ดักเจอกันบ้างเท่านั้นแหละวะ” ไอ้หลงเสริมเหตุผลเพิ่มทับมาอีก
“.................” ผมไม่เห็นกับวิธีนี้เท่าไหร่ ผมใจร้อนเกินกว่าจะมานั่งรออะไรแบบนี้ แต่ผมยังนึกหาทางไม่ออกได้นั่งมองทางเข้าหมู่บ้านหรูไปเท่านั้น

.................

สี่วันผ่านไป.....ในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนที่ผมมานั่งเฝ้ากินนอนอยู่หน้าหมู่บ้านหรู ผมเห็นรถคันใหญ่หรูหราผ่านไปนับไม่ถ้วน แต่ผมไม่คุ้นรถคันไหนเลยที่จะเป็นรถของบ้านกวี  หรือว่าพ่อกวีจะซื้อรถคันใหม่? โห... ลงทุนทำขนาดนี้เลยหรือนี่! แต่พอดูจากฐานะของครอบครัวกวี ผมก็คิดว่าทำแค่นี้ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง...

ระหว่างที่ผมใจลอยมองผืนน้ำที่มีน้ำพุน้อยใหญประโคมน้ำสูงเหนือหัวรูปปั้นฝูงม้าขนาดใหญ่หน้าหมู่บ้านที่สะท้อนแสงแดดยามเย็นระยิบระยับงามตา นี่เป็นสวยงามสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเบื่อที่นี่น้อยลง  รถตู้หรูคันใหญ่ขับมาจอดขวางคลองสายตาของผม ทำให้ผมเผลอสะดุ้งดึงตัวเองยึดตรงพร้อมมองตาขวางไปที่ไอ้รถไม่มีกาละเทศะด้านหน้าตรงนี้

ครึด...วีดดดดด....

เสียงประตูรถตู้เลื่อนไปด้านข้างเบาๆ ด้วยเสียงอันเงียบเชียบ เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้าที่ทำให้ผมเฝ้ารอตรงนี้มานานหลายวัน รูปหน้าและทรงผมยังคงน่ารักเหมือนเคย ผิวขาวใสเนื้อละเอียด ปากออกรื่อชมพูแบบธรรมชาติที่ผมอยากจะเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว เว้นเสียแต่ดวงตาที่แดงก่ำและมีน้ำปริ่มๆ ที่ขอบตา แต่เพียงเท่านี่ก็เพียงที่จะให้ผมยิ้มกว้างออกมาไม่หุบ

“ชัย!!” กวีโผตัวลงมากอดผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติเขาจะเขินอายเวลาที่ผมแสดงความรักกับเขา เป็นครั้งแรกที่เขาโผเข้ามากอดผมแบบเต็มตัวแบบนี้   ยิ่งในที่สาธารณะแบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้

“คุณหนูพอเถอะ เดี๋ยวคุณนายรู้เข้าผมจะโดนไล่ออก!”
เสียงดังมาจากทางหน้ารถด้านคนขับ เพียงแค่จบประโยคนั้น กวีก็ถอยตัวออกห่างจากผมทันที
“เดี๋ยว!! เรามีเรื่องต้องคุยกัน! เกิดอะไรขึ้น นายหายไปไหม ทำไมเราติดต่อไม่ได้เลย?”
ผมยิงคำถามแบบรัวไม่หยุดในขณะที่มือก็ชุดรั้งกวีไว้ไม่ให้เขาเดินห่างไป
“นายกลับไปเถอะ..... เราก็แค่อยากจะเจอนายบ้าง ซึ่ง.... มันก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย....”
กวีเหมือนใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีสะบัดมือให้พ้นจากการพันธนาการของมือผม จนก้าวขึ้นรถไปได้
“ไม่!! เราไม่กลับ!! คุยกันก่อน มันหมายความยังไง?”
“คือ......”
กวีดูอ้ำอึ้งสับสน สายตาส่ายไปมาไม่นิ่ง

“น้องเห็นใจลุง เห็นใจคุณหนูเถอะ” ลุงคนขับรถพูดเชืงขอร้องดังออกมาจากด้านคนขับ
“ไม่ลุง..... ผมต้องรู้! นายเป็นอะไร บอกได้ไหม? เราเป็นห่วงนายมากนะ!!”
“ชัย......” ความทุกข์ของเขาส่งออกมาทางสายตาแม้แต่ผมยังรับรู้ได้จนแทบเจ็บปวดใจไปด้วย...”
“รู้ไหมเราคิดถึงนายมากขนาดไหน??” ผมพูดถ้อยคำที่ออกมาจากใจมากที่สุดถ้อยคำที่ผมอยากพูดกับเขามากที่สุด
“ชัย...... กลับไปเถอะ เรายังไม่มีอะไรจะคุยด้วย!!”
กวีผลักผมออกจากรถตู้คันหรู จนผมเสียหลักเกือบล้ม

“กวี!!” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปได้ตอนนี้ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเท่านั้น ผมไม่รู้จริงๆว่าจะช่วยให้เรื่องนี้จบอย่างไร
“ลุง!! ปิดประตู กลับกันได้แล้ว!!” กวีพูดเสียงดังแต่เต็มไปด้วยความเสียใจแฝงอยู่ เสียงสั่นเครือไปหมด ผมมองไม่เห็นหน้าเขาว่าเป็นยังไง แต่มันทำให้ดวงตาของผมมันร้อนผ่าวไปหมด

ครึดดดดดด..... วี๊ดดดดดดด...... เสียงประตูรถที่ค่อยๆ ทำงานเลื่อนปิดช้าๆ ด้วยเครื่องกลอย่างกับเวทมนต์

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มีเรื่องทั้งสองคู่เลย    :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“โธ่...โว้ย!!!  ไม่ไหวแล้วโว้ย!!”
เสียงลุงคนขับรถลอดดังออกมานอกรถก่อนที่ประตูรถจะปิดสนิท

“...........” ในขณะที่ผมกำลังจะพูดอะไรออกไปก็ต้องอึ้งกับเสียงตะโกนของลุง
“ไอ้หนุ่ม!! ขึ้นรถ!! วันนี้คุณท่านไม่อยู่ มาเคลียร์กันที่บ้าน ลุงทนเห็นคุณหนูเป็นแบบนี้ทุกวันไม่ไหวแล้ว เห็นแล้วลุงอยากจะร้องไห้ตามเลย” ลุงคนขับรถพูดขึ้นอีกครั้งหลังประตูรถเลื่อนเปิดออกเองอีกครั้ง

“ลุงแต่ ผม....” กวีหันไปพูดกับลุงคนขับรถ
“ลุงรู้ว่าคุณหนูกวีไม่เคยร้องไห้ คุณหนูกวีเข้มแข็งมาก แต่คุณหนูเปลี่ยนไปจนลุงรู้สึกได้!! คุณหนูไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อน... อ้าว!! ไอ้หนู!! รีบขึ้นมา!!”
ลุงคนขับรถพูดกับกวีที่ดูอ้ำอึ้งอยู่ตรงประตูรถด้านในเสร็จแล้วเขาก็หันมากวักมือเรียกผม
“ครับ!! ลุง!!” ผมไม่รอช้าทิ้งรถคันโปรดให้จอดอยู่ตรงนั้นและก้าวขึ้นรถตู้คันหรูที่สูงใหญ่ขนาดที่ผมขึ้นไปยืนได้สบาย

“นั่งลงดิ” ผมผลักกวีให้นั่งลง กวีมีท่าทีขัดขืนนิดหน่อยแต่ก็ถูกผมผลักให้นั่งโดยง่าย ผมลงไปนั่งข้างเขาแบบใกล้ชิด มือผมยื่นไปจับมือเขาและกำไว้แน่น กวีหยุดดิ้นรนและจ้องหน้าผมด้วยแววดีใจฉายอยู่เต็มสองตา ประตูรถปิดอย่างอัตโนมัติ รถเคลื่อนตัวออกจากจุดเดิม และขับไปถึงที่พักชั่วคราวที่กวีถูกพามาซ่อนไว้ เราสองคนเพียงแค่นั่งจับมือไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ผมรู้ว่าผมกำมือเขาแน่นมาก เพราะคิดถึงความรู้สึกนี้และกลัวว่าความรู้สึกแบบนี้จะหายไปอีกครั้ง

คำว่า ‘ที่พักช่วคราว’ นี่ดูจะเล็กไปเลยหากเทียบกับบ้านหลังที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปพร้อมกวี รถขับเข้ามาจอดในบ้านที่มีประตูอัตโนมัติเปิดอย่างช้าๆ เลื่อนด้านข้างเหมือนมีหุ่นยนต์ไขลานแบบล่องหนมาช่วยเปิดให้ รั่วบ้านสีดำเรียบง่ายเป็นทรงลูกกรงสี่เหลี่ยม มีพื้นที่สวนขนาดย่อมอยู่รอบๆ บ้านที่เต็มไปด้วยไม้ประดับขนาดกลางสีเขียวครึ้มสวยงาม จากประตูบ้านไปที่ตัวบ้านไม่ห่างไกลเหมือนคฤหาสน์ของกวีแต่ก็ถือว่ากว้างกว่าบ้านโดยรอบมาก บ้านทรงโมเดิร์นสีขาวขุ่นออกครีมสองชั้นมีความเรียบง่ายแต่โอ่อ่า มีบ้านใหญ่ๆ ทำไมตั้งสองหลัง?

“พ่อซื้อให้ญาติที่จะกลับมาจากต่างประเทศน่ะ นานๆจะกลับมาที แต่กลับมาแต่ละครั้งก็อยู่นานก็เลยซื้อบ้านนี้ไว้รับรอง”
กวีคงมองแววตาผมออกจากการที่ผมมองสอดส่องออกมาด้านนอกผ่านกระจกรถ เลยช่วยตอบคำถามคาใจให้ผมโดยไม่ได้เอ่ยปากถาม
“จะคุยกันก็มานี่!!” กวีลุกขึ้นและดึงมือของผมที่เกาะกุมกันอยู่ฉุดให้ตัวผมลุกขึ้นตามเขาออกมาหลังจากที่รถจอดสนิทและประตูรถเปิดอย่างอัตโนมัติ

ผมถูกดึงเข้าไปในตัวบ้านที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์นแบบบิ้วด์อินทั้งหลัง แค่ห้องรับแขกกับห้องทานข้าวก็ประดับดวงไฟมากกว่าบ้านผมทั้งบ้าน ทั้งคริสตัลที่แขวนประดับตามโคมไฟห้อยระย้าขนาดเล็กที่แค่มองแสงระยิบระยับที่สะท้อนมาก็ทำให้ตาพร่าได้ในทันที ที่นี่ดูจะประดับเกินระดับมาตรฐานคำว่าสวยไปหน่อย ผมถูกดึงไปเรื่อยๆ จนไปถึงชั้นสองห้องนอนใหญ่

“คุณหนู.... ลุงวางกระเป๋าไว้ที่ห้องรับแขกและรอไปส่งเพื่อนคุณหนูอยู่ที่รถนะครับ” ลุงคนขับรถตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง
“ครับ” กวีตะโกนกลับทั้งที่ยังคงเดินนำหน้าและลากผมไปเรื่อยจนผมแทบเดินตามไม่ทัน วันนี้ผมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงกวีมากกว่าปกติ (หรือปกติออมแรงไว้ตลอด)

พอมาถึงในห้องเขาก็เหวี่ยงผมลงไปนั่งที่เตียง ก่อนที่ผมจะโอดโอยการแรงกระแทก กวีก็โผเข้าโอบกอดผมไว้ เพียงแค่ได้สัมผัสไออุ่นจากร่างกายของเขา ร่างกายของผมก็ขยับไปกอดเขาโดยอัตโนมัติ ผมกอดเขาแน่นขึ้นให้คุ้มกับความคิดถึงมาตลอดหลายวัน กวีเองก็เช่นกัน เราสองคนอยู่ในท่านั้นโดยไร้คำพูดใดๆ ไปหลายนาที ทุกอย่างในห้องเงียบสนิทและหยุดนิ่ง ผมสูดกลิ่นกายของกวีเข้าปอดอึกใหญ่ เสียงหายใจของผมดัง จนทำให้กวีแอบหัวเราะในลำคอ ทำลายบรรยากาศที่นิ่งสนิทนั้นไป

“ผอมลงหรือเปล่า?” ผมพูดขึ้นขณะแขนยังโอยรอบเอวเขา และหน้ายังอยู่ระนาบกับช่วงท้องที่บอบบางของกวี
“อืมมมม มั้ง ไม่รู้สิ ไม่ค่อยได้ชั่งน้ำหนัก อาจเพราะช่วงนี้ไม่เจริญอาหารมั้ง” กวีตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง เราเป็นห่วงนะ..... ไหน......เล่ามาให้ฟังหน่อยเกิดอะไรขึ้น? เรื่องมันเป็นไงมาไง นายถึงหายหน้าไปเลย?” ผมจับให้กวีลงมานั่งระดับเดียวกับผม

“เราไม่อยากพูดถึงมันเลย....”
กวีโน้มตัวลงมากดริมปากของเขาจรดที่ริมฝีปากผม ผมสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนของเขาผ่านริมฝีปากและลิ้นที่ลุกล้ำเข้ามาในช่องปากของผม ด้วยความคิดถึงผมจึงเผลอโต้ตอบไปอย่างเร้าร้อน มือของกวีป่ายปัดไปทั่วร่างกายท่อนบนของผม ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ผมเอนตัวลงนอนโดยไม่รู้ตัว

ก่อนที่เสื้อผ้าผมจะถูกมือปลาหมึกของกวีปลดออกจนหมดผมจึงเอื้อมมือไปคว้าจับมือของกวีไว้

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า? นายดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย!”
“เฮ้อ!!!! .....” กวีถอนหายใจยาววูบใหญ่ใส่หน้าผมและพลิกตัวกระแทกลงนั่งข้างๆ ผม แม้จะรู้สึกเสียดายที่แม่ทัพใหญ่ด้านล่างพร้อมจะออกศีกอย่างแข็งขันแล้วก็เหอะ แต่ผมก็อยากรู้ความไม่สบายใจของแฟนตัวเองมากกว่า ผมสะกดความรู้สึกตัวเองไว้ และกลืนคำพูดร้อยแปดที่แสดงถึงความต้องการของตัวเองลงท้องไป

“เรารู้สึกไม่สบายใจเลย นายเป็นอะไรวะ?”
ผมคิดคำพูดเพื่อเริ่มเรื่องที่ควรจะเป็น ผมมาหากวีเพื่อคุยไม่ได้มาทำเรื่องอย่างว่า
“เราแค่..... ความทรงจำดีๆ เป็นครั้งสุดท........”
กวีพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินท้ายประโยค แต่เป็นถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง มีความสั่นเครือที่ท้ายประโยค

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 460
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
“อะไรนะ!!” ผมเสียงดังใส่กวีด้วยความตกใจ
“...........” กวีไร้ซึ่งคำพูดมีเพียงแววตาที่แดงก่ำตอบกลับมา
“กวี..... นายหมายความว่ายังไง?” ผมลงไปนั่งคุกเข่าหันหน้าไปหาเขาเพื่อให้มองหน้าเขาชัดขึ้น น้ำตาลูกผู้ชายไหลลงมาที่แก้มของผมหนึ่งหยด กวีรีบปาดน้ำตาที่เหลือและหันหน้าหนี

“ทำไมเราอ่อนแอกับเรื่องแบบนี้จังวะ...”
กวีพูดขึ้นขณะปาดน้ำตาที่หยดออกจากดวงตาไม่กี่หยด

“..........” ผมไม่ตอบอะไรเพียงแค่ใช้มือจับหน้าเขาเบาๆ ภาพตรงหน้าทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ผมไม่เคยเจอเขาเป็นแบบนี้มาก่อน กวีมักจะเข้มแข็งและยิ้มแย้มเสมอแม้เขาจะทุกข์เพียงใด ไม่ว่าเขาจะเผชิญอะไรมาหนักแค่ไหน แม้แต่เรื่องแม่เลี้ยงของเขา

“พ่อเขารู้เรื่องของเราแล้ว น้าเล็กเราเป็นคนบอก แล้วเรื่องภาพพวกนั้นอีก ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเห็นได้ยังไง พวกเขาคิดว่าเพราะเราคบกับชัย มันเลยเกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พ่อเขาคิดไปต่างๆนาๆ คิดแต่เรื่องแย่ๆ เขาไม่ฟังเราเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ฟังเราเลย!!! ไม่แม้แต่หยุดฟังที่เราพยายามอธิบาย!!”
กวีคร่ำครวญออกทั้งที่ตายังแดงเรื่อ น้ำตาหายไปแล้ว คงเหลือแต่ความอึดอัดคับใจในดวงตา

“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง เดี๋ยวเราไปช่วยอธิบายให้ เรามีหลักฐานเยอะแยะเลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นเรื่องที่โดนกลั่นแกล้ง!!” ผมรู้สึกอยากลากยัยนิ่มไปถ่วงน้ำสักสามรอบที่ยังให้เรื่องนี้ตามมาหลอกหลอนเราสองคนได้ขนาดนี้ และยังสร้างความเสียหายแก่กวีอย่างมหาศาลอีกด้วย ผมคิดไปถึงสุภาษิตไทยประโยคหนึ่งคือ ‘ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด’ จริงๆ

“ไม่มีประโยชน์แล้ว..... เพราะ.......”

€>>*$**€€€~~€

เสียงริงโทนของโทรศัพท์กวีดังขึ้นขัดจังหวะกลางประโยคของกวี

“คุณหนู คุณหนู!! แย่แล้ว!!”
เสียงที่ฟังคุ้นหูและตื่นตระหนกดังลอดออกมาจากปลายสาย
“แย่? อะไรแย่ครับลุง”
คุณท่านกับคุณนายมาแล้วน่ะสิครับ!! ตอนนี้กำลังจะขับรถเข้าไปจอดในบ้านแล้วครับ!!”
เสียงของลุงดังลอดออกมาจากโทรศัพท์เครื่องเล็กแต่เสียงดังออกมาเหมือนลำโพงงานวัด
“เฮ้ย!! ไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้ไง!!”  กวีทำท่าตื่นตระหนกไม่แพ้กับเสียงของลุงที่ดังเกินปกติ
“นั่นสิครับเอาไงดีครับคุณหนู ทั้งสองท่านรู้เรื่องที่เราแอบพาคุณชัยมาบ้านเข้าผมโดนไล่ออกแน่เลยครับ!!”

“....อืม...... ไม่ต้องตกใจไปครับ เดี๋ยวผมให้ชัยอยู่บนห้องนี้แหละ เดี๋ยวผมลงไปคุยกับคุณพ่อตามปกติเอง พ่อไม่เคยเข้าห้องผม ไม่เป็นไรหรอกลุง แล้วเดี๋ยวดึกๆ ค่อยให้ชัยแอบออกไปก็ได้ครับ ลุงทำตัวเป็นปกติก็พอ!!”
“โอเคครับ งั้นลุงลงจากรถไปต้อนรับนายท่านก่อนนะครับ”
“ครับๆ”

“อะไรเหรอ คุณพ่อมาแล้วเหรอ?”
ผมถามออกไปเพื่อให้แน่ใจ หลังจากที่นั่งฟังกวีพูดโทรศัพท์ด้วยความตื่นตระหนกตกใจกับลุงคนขับรถ
“อืม.... ใช่ นายช่วยอยู่บนนี้ก่อนนะ เดี๋ยวดึกๆ ค่อยกลับ... ได้ไหม?”
กวีหันมาตอบคำถามผมและถามกลับมาด้วยความกังวลในประโยคเดียวกัน
“นี่มันอะไรกัน ทำไมต้องตื่นตูมแบบนี้ด้วย พ่อนายมาก็ดีจะได้เคลียร์กันไปเลย ว่าพ่อกำลังเข้าใจผิดเรื่องรูปนั่น ถ้าจะโทษก็ไปโทษยัยงูพิษ ยัยนิ่มนั้น!!”

“วันนี้คงไม่เหมาะ.... เราว่า....”
กวีตอบกลับมาด้วยอาการอึดอัดใจ
“เราไม่กลัวแม่เลี้ยงนายหรอก และการที่เราคบกันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดด้วย เราจริงใจกับนาย เรารักนายจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องผิด!!”
“ชัย.......”
น้ำในตาของกวีไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก คำพูดของผมคงไปสะกิดอะไรในหัวของเขาเข้าไป เหมือนเขื่อนที่ร้าวใกล้จะพังแต่พอเจอหินก้อนเล็กๆ กระทบใส่ก็ทลายลงมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะจากไม้เนื้อแข็งที่ประตูดังขึ้นทำให้ทุกสิ่งในห้องแทบจะหยุดนิ่ง ผมแทบจะหยุดหายใจไปด้วยเพราะหน้าที่ซีดเผือดของกวี

“กวี?? ทำอะไรอยู่ เปิดประตูให้พ่อเข้าไปหน่อย”
คงเพราะประเป็นแบบล็อคอัตโนมัติ ทำให้เจ้าของเสียงติดอยู่ที่หน้าประตูอีกด้าน ในขณะที่ผมขยับพูดแบบไร้เสียงว่า
‘ไหนว่าพ่อนายไม่เคยขึ้นมาไง!!’

ครับผมเพิ่งออกจากห้องน้ำเดี๋ยวไปเปิดให้ครับ”
กวีทำได้แค่กระวีกระวาดไล่ให้ผมไปแอบในห้องน้ำในห้องนอนแบบมาสเตอร์เบดรูมนี้ หลังจากผมถูกลากไล่เข้าอยู่ห้องน้ำก็ถูกประตูห้องน้ำปิดใส่หน้าดัง ‘ปัง’

“ขอร้องนะว่าอย่าออกมาจนกว่าพ่อจะไป เราไม่อยากเพิ่มปัญหาให้มันยุ่งยากมากขึ้น!”
กวีกระซิบไปที่ประตูก่อนที่จะเดินจากไป

“สวัสดีครับพ่อ ผมนึกว่าพ่อจะกลับมาวันพรุ่งนี้เสียอีก?”
กวีกล่าวขึ้นหลังจากที่เสียงประตูเปิด
“เอ้อ... ก็ธุระมันเสร็จกว่าที่คาดก็เลยเปลี่ยนตั๋วกลับมาเลย ไม่อยากอยู่นาน แล้วพ่อจะมาบอกข่าวดีด้วย!!”
เสียงคุณพ่อของกวีดังเข้ามาใกล้ขึ้นแปลว่าคุณพ่อน่าจะเดินเข้ามาในห้อง ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่ากระเป๋าหนังสือที่ติดตัวมาด้วยยังกองอยู่ข้างเตียง ผมหวังว่าพ่อกวีคงไม่ได้สังเกต!!

“ข่าวดี..???”
กวีลากเสียงสูงเป็นเชิงตั้งคำถาม
“อ้าว!!!! ก็เรื่อง....”
“อ้อ.... ครับ เดี๋ยวไปคุยกันข้างล่างดีกว่าครับ ผมวางพวกใบปลิว และสมุดคู่มือคำแนะนำต่างๆ ไว้ข้างล่าง”
กวีรีบพูดขึ้นมาตัดบทก่อนที่คุณพ่อจะพูดจบประโยค

“โอเค ได้ๆ พ่อหิวน้ำพอดี น้าเล็กแกคงเตรียมของให้พ่อแล้ว จะตามพ่อมาเลยไหม?”
“เดี๋ยวผมขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ แล้วจะตามลงไป”
“โอเคๆ รับลงมานะ พ่อเหนื่อยแล้วว่าจะกลับไปนอนเสียหน่อย”
“ครับ”
เสียงฝีเท้าหนึ่งค่อยๆ ดังไกลออกไป ในขณะที่ผมรู้สึกโล่งใจที่คุณพ่อของกวีก้าวเดินออกไป ทั้งที่ใจหนึ่งอยากจะคุยให้รู้เรื่องแต่ก็ไม่อยากให้กวีลำบากใจ ผมแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกวี ตอนนี้ผมรู้แล้ว เรื่องคุยกับพ่อของกวี ค่อยหาเวลาไปคุยก็ได้ หากเรื่องมันเกิดจากผม ผมก็ควรจะไปเคลียร์กับพ่อของกวีด้วยตัวเอง

ในขณะที่ผมกำลังจะบิดลูกบิดเพื่อออกจากที่ซ่อน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

“กวี!! ผลสอบ IELTS ลูกออกหรือยัง? จะไปเรียนต่อที่ลอนดอนมันสำคัญนะ!!”
เสียงพ่อของกวีส่งเข้าในห้องจนใจผมสั่นวูบ  ผมไม่ได้ตกใจกับเสียงของคุณพ่อแต่ประหลาดใจในสิ่งที่พ่อพูดมากกว่า

“ครับ ออกแล้วครับ เดี๋ยวผมเอาลงไปคุยด้วยครับ”
เสียงกวีตอบอย่างราบเรียบ พร้อมเสียงปิดของบานประตูห้องและเสียงถอนหายใจของกวี

“นี่มัน......อะไรกัน??” ผมเอ่ยคำถามขึ้นมาพร้อมก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ
“เรา...... เรากำลังจะบอกนายพอดี..... แต่ยังไม่มีโอกาส...”
กวีพูดพร้อมหลบสายตาที่กราดเกรี้ยวของผม
“เข้าใจแล้ว!! นายถึงพูดและมีท่าทีแปลกๆแบบนี้!!”
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความโกรธแต่พอเห็นหน้าเขาผมก็ทำไม่ลง ( บวกกับพ่อกวีและน้าสาวเข้าก็อยู่ข้างล่างจะเสียงดังมากก็ไม่ได้โชคดีที่รั้งตัวเองได้ทัน!)

“......เราขอโทษนะ เราไม่ได้อยากปิดบังนาย แต่เรื่องแบบนี้เราทำอะไรไม่ได้เลย!!” กวีมองผมด้วยแววตาสำนึกผิด
“บอกเราหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่พ่อนายรู้เรื่องระหว่างเรา และเข้าใจผิดเรื่องรูปพวกนั้น?” ผมเดินเข้าไปหากวีและลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน

“เราทะเลาะกับพ่อหลายครั้ง แต่พ่อก็ไม่เข้าใจ น้าเล็กแกก็ไม่พอใจเร่งเร้าให้พ่อจัดการให้เด็ดขาด!! พ่อเลยจัดการให้เราไปเรียนต่อที่ลอนดอนให้ได้ จะได้อยู่ไกลๆ จากนายและสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี พ่อมีญาติเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่นจะได้จัดการคุมความประพฤติเราได้ง่าย!!”
กวีเล่าสิ่งเหล่านี้ออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและไร้ชีวิต

“อืม.... ไม่ได้แล้ว รอไม่ได้แล้ว แบบนี้เราต้องไปคุยกับพ่อนายให้รู้เรื่อง แบบนี้มันไม่ถูกต้อง เรายังมีหลักฐานเหลืออยู่ในมือถือ คิดไว้แล้วว่าสักวันต้องใช้ คำสารภาพของยัยงูพิษนั้น ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา เราคิดว่าอธิบายให้พ่อเข้าใจถึงความจริงใจของเรา พ่อเขาต้องเข้าใจแน่นอน!!”
ผมพูดไปร้อยแปดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กวี แต่ความจริงแล้วผมให้กำลังใจตัวเองมากกว่า เพราะผมเองก็ไม่มั่นใจหรอกว่า ผมจะไปอธิบายยังไงให้พ่อกวีเชื่อ แต่ผมจะใช้ความจริงใจของผมสู้จนกว่าพ่อเขาจะเข้าใจ ผมไม่เคยคุยกับพ่อของกวีแบบจริงจังเลย ทักทายกันแบบผ่านๆ ตลอด เพราะความวุ่นวายเรื่องงานของพ่อกวี

ผมพูดจบและสูดหายใจเข้าดังๆ ก่อนที่จะก้าวขาสั่นๆ ออกจากจุดที่ยืนอยู่ แต่แล้วก็มีมือๆหนึ่งมาจับแขนผมไว้แน่น

“อย่าเลย... ไม่ต้องหรอก.... เป็นกำลังใจให้ผมก็พอ วันนี้ผมจะจริงจังกับพ่ออีกครั้ง พอได้มาเจอนายทำให้เรามีพลังมากขึ้นเยอะเลย”
“แน่ใจนะ?” ผมมองตากวีเพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้น
“อืม!” เขามองตาผมกลับด้วยความมั่นใจพร้อมพยักหน้า
“โอเค งั้นเรารอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่นะ”  ผมเดินไปกอดกวีอน่างแนบแน่นเพื่อให้พลังใจเขาเพิ่มอีก
“อืม!! นายรออยู่ที่นี่ล่ะ เดี๋ยวเรามานะ” กวีผละจากผมไปหยิบเอกสารบางอย่างที่โต๊ะหนังสือมุมห้องก่อนที่จะก้าวเดินออกจากห้องไปอย่างมั่นคง

.................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2018 09:56:59 โดย Shonennihon »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด