Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)  (อ่าน 22277 ครั้ง)

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2018 11:30:26 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก
«ตอบ #1 เมื่อ10-06-2017 22:06:37 »

บทแรก.....
หลง (1)

แสงไฟวูบวาบสีส้มสลับแดงฉายวนไปมาบนผนังสีขาวของห้องฉุกเฉินยามหัวค่ำของโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง ความวุ่นวายของบุคลากรในโรงพยาบาลเบื้องหลัง  ไม่สามารถทำให้ผมหันไปสนใจได้เลย ช่วงเย็นวันนี้ผมยอมรับว่าผมมีอาการเหม่อลอยบ่อยครั้ง เหตุไม่ใช่เพราะทีมบาสเก็ตบอลโรงเรียนที่ผมสังกัดอยู่พ่ายแพ้ให้แก่โรงเรียนคู่แข่งในนัดกระชับมิตรวันนี้ แต่เป็นเหตุการณ์ในช่วงบ่ายวันนี้

"เฮ้อ......"  ผมถอนหายใจยาวๆ

เพี้ย.......!!!!  เสียงมือของไอ้ชัย เพื่อนร่วมทีมที่มากระทบหัวผมอย่างจัง

"ไอ้เหี้ยหลง มึงเป็นเหี้ยอะไรอีกว่ะ?!?" ผมหันหลังไปทางต้นเสียงด้วยหน้าที่ยังมึนๆ จากอาการที่หัวสั่นระดับสิบ

"...." ผมยังไม่มีอารมณ์จะตอบโต้เลยทำหน้าเฉยใส่ ก่อนที่จะหันกลับไป

"กูถามจริง มึงจะเหม่อเหี้ยอะไรนักหนา ตอนแข่งแม่งก็ไม่มีสมาธิ มึงเป็นตัวหลักของทีมนะ แล้วนี่อะไรตอนท้ายเกมเลยกลิ้มล้มไม่เป็นท่า จนมาจบที่โรงพยาบาลเนี่ย" ไอ้ชัยมันยื่นหน้ามาใกล้ๆหูผมเพื่อจะย้ำเสียงเข้ม มันคงเกรงใจไม่อยากจะโวยวายเสียงดัง มันยังเคารพสถานที่บ้าง

"...กู...." ผมอ้ำอึ้งและพยายามนึกย้อนเหตุการณ์
"กูแม่ง...เหี้ยจริงๆ... อุตส่าห์ซ้อมกันทั้งปิดเทอม เพื่อจะเอาชนะนัดนี้ กูยัง... " ผมก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

"เออๆ.... ช่างแม่ง!! แค่นัดกระชับมิตรก่อนเปิดเทอม ยังมีนัดล้างตาของจริงกับงานกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดโน่น" ไอ้ชัยพูดพลางเอนหลังไปพิงพนัก
"แต่กูนี่สิต้องอาสาพามึงมาหาหมอ เพราะหลังจากที่มึงล้ม พวกทีมโรงเรียนxxพิทยาคมแม่งก็ทำแต้มเอาๆ จนหมดสิทธิจะแก้มือ พวกคนในทีมแม่งโกรธมึงมากเลยรู้ไหม โค้ชด้วย กูเลยรีบอาสาพามึงออกมาจากดงตีนก่อน" ไอ้ชัยยื่นมือมาตบไหล่เบาๆสองครั้ง

"เออ..ขอบใจ" ผมยังคงก้มหน้าและตอบไปอย่างขอไปที

"กูก็ไม่อยากจะเสือกนะ แต่ที่มึงเป็นอย่างนี้เพราะน้องนิ่มใช่ไหม?"  ไอ้ชัยแม่งยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหูอีกแล้ว

"มึง.... มึงรู้!!!" ผมตาโตหันไปทางมัน

"เอาจริงๆ นะกูไม่ได้อยากเสือกเรื่องของมึงเลย แต่เห็นมึงเป็นแบบนี้แล้วกูคันปาก"  ว่าแล้วมันก็ยกมือขึ้นมาเกาจริงๆ

"นิ่ม..... เธอมา... ขอเลิกกับกูว่ะ" ผมพูดไปก้มหน้าไป

"หา!!... ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ มันใช่ไหมว่ะ กูว่ากูต้องขอคุยกับนิ่มเรื่องนี้หน่อยล่ะ" ไอ้ชัยลืมตัวพูดเสียงดังจนต้องรีบยกมือปิดปากตัวเอง

เหี้ย... มึงนี่ห่วงการแข่งมากกว่าห่วงเพื่อนอีกนะ ผมสบถใส่มันในใจ เพราะตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะสวนกลับ
เพราะคำถามของไอ้ชัยทำให้ภาพในตอนนั้นไหลย้อนกลับเข้าสมองอีกครั้ง

.........

"หลง...หลง มากับเราหน่อยสิ" นิ่ม นางฟ้าของผม ดาวประจำโรงเรียทั้งที่เธออยู่แค่ชั้น ม.4 เธอยื่นแต่หน้าเข้ามาทางประตูห้องเก็บตัวนักกีฬาก่อนแข่งที่เปิดกว้างอยู่

"ได้จ๊ะ..ได้" ผมนี่ยิ้มแก้มแทบปริ

"เชี้ย....แม่ง.....อิจฉาคนมีกำลังใจมาส่งให้ถึงที่ฉิบหาย" ไอ้ชัยพูดพลางตบก้นผมตอนที่ลุกขึ้นยืน

"สาดด....อิจฉาสาดดๆ" ไอ้บอลเสริมอีกคน

"เชี่ย...เงียบไปเลยพวกมึง" ผมหันไปว่าพวกมันเสียงดังจะได้หุบปาก ผมกลัวน้องเขาอายครับ. พอหันไปหาน้องเขาอีกที ก็หายไปจากจุดเดิมแล้วครับ ผมเลยรีบบึ่งตามออกมา

นิ่ม.... เป็นเด็กสาวตากลมผมยาวหน้าใส ตัวเล็ก ผิวขาวสวยสไตล์เกาหลีที่หลายคนใฝ่ฝัน ผมเห็นนิ่มตั้งแต่วันแรกของวันเปิดเทอม ม.5 ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวทุกคนในโรงเรียนใครๆต่างก็ต้องมองเหลียวหลังเมื่อน้องเดินผ่าน ผมเป็นคนหนึ่งที่เฝ้าตามจีบน้องเหมือนกับทุกๆคนในโรงเรียน แต่ด้วยความหล่อของผม ความสูงที่โดดเด่นของผม คารมเป็นต่อ ตื้อเป็นเลิศ บวกดีกรีนักกีฬาบาสเก็ตบอลโรงเรียน ทำให้ในที่สุดน้องก็ตกลงรับที่จะคบกับผม
บอกตามตรงผมนี่โคตรจะดีใจ แม่งไม่เคยจีบใครเลย เคยแต่มีคนเข้ามาจีบ จนแทบสับรางไม่ทัน ยิ่งพอได้น้องนิ่มมาคบด้วยทำให้ภูมิใจในความหล่อของผมเยอะเลย นิ่มเป็นคนที่เวลาควงไปไหนแล้วมีแต่คนอิจฉา มีแต่คนมองยังกับคนดังในโทรทัศน์ มีแต่คนว่าพวกเราเหมาะสมกัน

แต่หนึ่งปีผ่านไป.... เธอมาบอกเลิกผมง่ายๆ แบบไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ยแบบนี้เนี้ยนะ  แถมยังใต้อัฒจันทร์ที่สนามบาสฯ ที่ไม่กี่ชั่วโมงผมจะแข่งเนี่ยนะ

"พี่หลง....เราเลิกกันเถอะ" สั้นๆง่ายๆจากปากนิ่ม เธอแทบไม่มองผมด้วยซ้ำ
"....เดี๋ยว....อะไรนะ" ผมไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หัวใจผมตอนนี้ลงไปเต้นอยู่ที่ตาตุ่ม
"ล้ออะไรพี่เล่นหรือเปล่าเนี่ย"  ผมจับมือนิ่มขึ้นมากุมไว้ มือนิ่มดูมั่นคงไม่สั่นไหว ยังคงอุ่นเหมือนเดิม
"เราเลิกกันเถอะ... นิ่มว่ามันไม่เวิร์คแล้ว" นิ่มสะบัดมือผมและถอยไปครึ่งก้าว
"ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น พี่รักนิ่มนะ ที่ผ่านมาเราก็มีความสุขกันทุกวันไม่ใช่หรือ?" ผมเดินตามจะเข้าไปกอด ทำทุกวิถีทางจะที่รั้งเธอไว้ แต่นิ่มกลับถอยห่างออกไป

........
เพี้ยะ.!!!!.....  หัวผมโดนกระทบกระเทือนอีกรอบ ไอ้ชัยอีกแล้วแม่งซาดิสต์หรือไงวะ

"เฮ้ย!! มึง ... พยาบาลคนสวยเขาเรียกชื่อมึงตั้งนาน ทำไมไม่ตอบเขาวะ" ไอ้ชัยง้างมือเตรียมลงมืออีกครั้ง
"เออ.... เชี่ย...แม่งเจ็บนะมึง เดี๋ยวกูโง่พอดี" ผมหันไปมองมันตาเขียวก่อนที่จะโดนมือมันฟาดอีกรอบ
"ก็...แม่งมัวแต่เหม่อ..."
"เออๆ กูรู้แล้ว มาช่วยพยุงกูสิสาดดด" ผมกวักมือเรียกมัน
"เออว่ะ ไอ้เดี้ยง" พูดจบมันก็ก้าวข้ามพนักเก้าอี้มาพยุงตัวผม
"ว่าแต่...กูถามได้ไหม?...ทำไมนิ่มถึงเลิกกับมึงวะ?"
........

"นิ่ม...บอกว่า....กูติดเพื่อนมากเกินไป"

...............………........


ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สอง
«ตอบ #2 เมื่อ11-06-2017 20:27:36 »

บทที่สอง

เอิร์ธ #1

การกินข้าวอย่างรีบเร่งนี่ผมไม่ถนัดเลย ทุกคำที่เคี้ยวอย่างไม่ละเอียดลงคอไปอย่างยากลำบาก เหมือนกลืนกรวดหยาบๆ
ผมรู้ครับว่าอาชีพหมออย่างเรานี่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มีเวลาได้กินข้าวนี่ก็ดีมากแล้ว ผมย้ายมาอยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งนี้ได้สองสามวัน ยังปรับตัวได้ไม่ชินกับสถานที่เท่าไหร่ก็ต้องมาทำงานหนักติดกันจนแทบไม่มีเวลาพัก คงต้องโทษการขาดแคลนบุลคากรทางการแพทย์ของประเทศนี้สินะ ที่ทำให้เราลำบากขนาดนี้ แต่ก่อนที่ผมจะโดนหิ้วหายสาปสูญไปเอาเป็นว่าทนๆไปและอยู่เงียบๆดีกว่า

"อาจารย์คะ ทานข้าวเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ พร้อมตรวจเลยไหมคะ มีคนไข้มารอสักพักแล้วคะ" พยาบาลหน้าตาจิ้มลิ้มเดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม

"โอ้ ... อ้อ.... โอเคครับ" ผมแทบสำลักข้าวที่เพิ่งกลืนลงไป จากที่ก่อนหน้านี้ผมนี่หิวแทบไส้ขาด

"เดี๋ยวดิชั้นพาคนไข้มาพบนะคะ" พยาบาลสาวคำนับหนึ่งครั้งแล้วเดินจากไป ผมทำได้แค่พยักหน้าตาม

วันนี้ผมต้องอยู่เวรห้องฉุกเฉินคนเดียว อะไรมันจะแย่ไปกว่าการที่ต้องมาเจอคนไข้อาการแปลกๆยามดึกนี่ไม่มีอีกแล้ว การเรียนหมอนี่ก็ถือว่ายากและหนักมากแล้ว พอมาเป็นอินเทิร์นนี่ยิ่งรู้สึกหนักกว่าเดิม แต่หลังจากมาลงภาคสนามเต็มตัวแบบนี้ยิ่งไม่ง่ายเลย จนตอนนี้ชักอยากไปแอดมิชชั่นใหม่

โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะส่องแสงวูบวาบ ผมมองไปที่หน้าจอ เจอกับเบอร์ที่คุ้นเคยและภาพแสดงหน้าจอที่คุ้นตา

เอ อนันต์ และรูปหัวใจเล็กๆต่อท้าย

ผมไม่ได้สนใจที่จะรับเพียงปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้น

"อาจารย์จะรับก่อนไหมคะ" พยาบาลคนเดิมเดินเข้ามาแบบไม่รู้ตัวพร้อมกับเด็กในชุดกีฬาสองคนที่พยุงกันเข้ามาในห้อง
"ไม่เป็นไรครับ.. ไม่สำคัญ" ผมหยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋าทั้งๆ ที่มันยังส่องแสงวูบวาบอย่างนั้น
"นั่งเลยคะน้อง" พยาบาลเลื่อนเก้าอี้ให้คนที่โดนพยุงนั่งลงและวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะอย่างรีบเร่ง
"โอ้ย...." เด็กในชุดนักกีฬาร้องขึ้นมา ทำให้ผมหันไปมองทางต้นเสียง

เด็กหนุ่มน่าจะอายุไม่เกิน 20 ผิวขาว หน้าตาน่าจะค่อนไปทางคนไทยเชื้อสายจีน แต่มีตาสองชั้นดวงโตรับกับคิ้วที่เข้มกำลังดี แล้วก็จมูก.. เอ้า สรุปว่าหน้าตาดี แต่ท่ีสำคัญเขาสูงมาก มากกกก น่าจะสัก 185 อัพๆ โห.... ไอ้เด็กนี่กินอะไรเข้าไปวะ  แม้จะดูมอมแมมแต่ก็ยังดูดี

"ชื่ออะไรครับ?" ผมรีบถามขึ้นมา เพราะใช้สายตาสังเกตคนไข้มานานเกินไปแล้ว
"หลง...เอ่อ....มังกร ครับ มังกร ตันติวานิช" เขาตอบด้วยสายตาลอยๆ
ระหว่างที่ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พยาบาลที่ช่วยผมอยู่ก็เชิญเด็กอีกคนออกไปรอด้านนอก ก่อนที่เธอจะปิดประตูห้องตรวจ

"เป็นอะไรล่ะเรา วันนี้" ผมถามด้วยรอยยิ้ม
เขาใช้การพยักหน้าชี้ไปที่ข้อเท้าตัวเองที่บวมแดง ผมสำรวจไล่จากขาขึ้นมาตามตัวพบว่ามีแผลและรอยพกช้ำประปรายตามตัว
"ไปหกล้มเพราะไปไล่ฟัดกับหมาข้างทางมาหรือไง? ทำไมมันเยินแบบนี้"ดูท่าทางเด็กมันจะซึมๆเหม่อๆเลยหยอกไปเสียหน่อย

"อ้าวหมอ!!"
เออ! สีหน้าดูดีขึ้น ผมคิด
"อ้าว...ก็พูดได้... ไหนเล่ามาดูสิไปโดนอะไรมา?"
"ผม...ล้มขณะแข่งกีฬา แล้วก็กลิ้งไปทางที่วางอุปกรณ์สำรองระหว่างแข่ง"
"เล่นอะไรน่ะเรา"
"บาสเก็ตบอลครับ"
จากรูปร่างกับชุดก็น่าจะรู้ ผมนี่ไม่น่าถาม
ผมเลื่อนตัวเองไปใกล้เขามาขึ้น ผมลองใช้มือสัมผัสเบาๆ


ตรงจุดที่บวมแดงและให้เขาบอกอาการความเจ็บปวดมาให้ฟัง

"อืม....ไม่น่าเป็นอะไรมาก น่าจะแค่กล้ามเนื้ออักเสบ ทานยาพักผ่อนสักสัปดาห์ก็หายแล้ว" ผมพยักหน้าให้กำลังใจ
"ไม่นานก็กลับไปเล่นกีฬาต่อได้แล้วครับ ... โอเค.....เดี๋ยวให้พยาบาลพาไปทำแผลต่อนะครับ..... " ผมยกมือเพื่อให้พยาบาลผู้ช่วย ที่ควรจะอยู่ใกล้ผมมากกว่า ไม่ใช่ไปยืนเหม่ออยู่มุมห้อง

"ไม่เป็นไรครับ" เขาตอบให้รูผมรู้ว่าเขาลุกขึ้นเองได้ไม่ต้องการให้พยาบาลช่วย
"โอ้ย" เขาเสียหลักระหว่างลุกขึ้นทำให้โน้วตัวมาข้างหน้า จนผมต้องรีบลุกจากเก้าไปรับตัวเขาทำให้อยู่ในท่าที่เหมือนเขายืนซบไหล่ผม ในขณะที่นางพยาบาลยืนปิดปากหน้าแดงอยู่ทางด้านหลังเด็กนี่

"พยาบาลสุนีย์!!!" ผมต้องทำเสียงแข็งใส่กว่าจะรู้ตัวว่าต้องมาช่วย
"ขอโทษครับ" เด็กมันขอโทษขอโพยก้มหัวปะหลกๆ
"เออ.. ที่หลังอยากจะต๊ะอั่งหมอก็บอกกันก่อนก็ได้ หน้าตาแบบเราขอมาได้หมอไม่ถือ ฮ่าฮ่าฮ่า"
เด็กมันทำฮึดฮัดหันหลังรีบจ้ำอ้าวออกไป
เฮ้อ.... แปลกดี ไอ้เด็กนี่ทำผมอารมณ์เปลี่ยนได้ ทั้งๆ มีคนๆหนึ่งพยายามทำลายความสงบสุขของเย็นวันนี้

...................................

หลง (2)

จากที่ผมกำลังเสียสติจากการอกหักครั้งแรก พอมาเจอคนกวนๆ อย่างหมอคนนี้ ทำเอาความเศร้าผมกระเจิงเลย อารมณ์เสียแทน ท่าทางจะเป็นหมอใหม่ ผมไม่เคยเห็น ...พูดเหมือนมาบ่อย แต่ก็คิดว่าบ่อยนะครับ คนหน้าตาดีอย่างผมอริมันจะเยอะก็ไม่แปลก (ฮา) ตีกันบ่อยตามประสาเด็กผู้ชาย และผมไม่เคยแพ้ใครด้วย

หมอยังดูหนุ่มอยู่เลย น่าจะไม่เกินอายุ 30 ปี หน้าใสเวอร์ๆ ตาสวยขนตายาว ผมเห็นครั้งแรกนึกว่าผู้หญิงตัดผมสั้น หากไม่ได้ยินเสียงทุ้มๆของเขาก่อน

"อ้าว... ไอ้หมา หมอว่าไง" เสียงกวนของไอ้ชัยดังขึ้นใกล้ๆ มันยืนรอผมอยู่หน้าห้องตรวจ
"เออ...ไม่เป็นไรมาก"
 ผมตอบพลางพยักหน้าเรียกมันให้มารับผมต่อจากคุณพยาบาล ผมเกรงใจเขา ผมตัวสูงกว่าเขามาก ท่าจะไม่ถนัด ผิดกับไอ้ยักษ์เพื่อนผมที่มายืนรออยู่นี่
"เดี๋ยวพาเพื่อนไปรอพี่ตรงห้องกระจกตรงนั้นนะ เดี๋ยวตามไปทำแผลให้"  นางพยาบาลชี้ไปอีกทางซึ่งอยู่อีกฝากของห้องตรวจ
"ครับ / ครับ" พวกผมตอบพร้อมกัน

"พยาบาลที่นี่แม่งแจ่ม" ไอ้ชัยปล่อยหมาออกจากปากหลังจากเดินห่างมาไม่ไกล
"เชี้ย..... เดี๋ยวเขาได้ยิน" อยากเอามือตบปากมันมาก
"แม่งแจ่มจริงนี่หว่า อกแม่งบึ้ม กูเล็งมาพักหนึ่งแล้ว" มันพูดพร้อมเหลือบมอง แต่พยาบาลคนนั้นได้หายไปจากสายตาแล้ว มันทำหน้าผิดหวัง
"ไอ้ฤทธิชัย ครับ ไอ้เหี้ย มึงนี่มาเพราะห่วงกูหรือมาเพราะจีบสาว สาดดด"
มันยักไหล่พร้อมเดินต่อไป

ไอ้ชัย หรือนายฤทธิชัย ผมกับมันสนิทกันตั้งแต่เรียน ม.ต้น เรามีอะไรเหมือนกันหลายอย่างเช่น เรื่องฐานะไม่ถึงยากไร้ แต่ก็มีธุรกิจที่คนในจังหวัดนับหน้าถือตา เรื่องหน้าตาผมว่าผมดีกว่ามันนะ (แล้วแต่สเปกครับ ผมสูงกว่า มันขาวกว่า)   ที่มันเก่งกว่าผมก็เรื่องเรียนกับเรื่องความเจ้าชู้ของมันเท่านั้นแหละ มันฉลาดพอที่จะไม่ต้องทบทวนหนังสือแต่สามารถสอบได้ระดับท้อปๆ (แต่ผมนี่ท้อปเหมือนกันแต่จากท้ายนะครับ) ดังนั้นเรื่องคารมมันกินขาดและเป็นประเภทกินทิ้งกินขว้าง

"เออเฮ้ย... สรุปว่าน้องนิ่มเลิกกับมึงด้วยเหตุผลแค่นี้ แล้วมึงไม่เคลียร์ให้เรียบร้อย? อย่าบอกว่าเรื่องแค่นี้ต้องให้สอน?"  ไอ้ชัยมันหันมาพูดแบบไม่ทันตั้งตัว หลังจากที่จัดให้ผมนั่งที่เก้าอี้ในห้องกระจก ถ้าจะเผือกต้องเผือกตอนร้อนๆสินะ
"สรุปมึงมาปลอบกู หรือมาซ้ำเติมกู?" อยากกระถีบยอดหน้าแต่ทำไม่ได้
"ปลอบ...กูมาปลอบ...จริงๆ"  มันยักคิ้วให้แบบกวนๆ
ผมส่ายหน้าเบาๆ ผมไม่ถือสามันหรอก ผมรู้ว่ามันพยายามให้ผมกลับไปเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุดแต่ผมไม่มีอารมณ์ว่ะตอนนี้
"กูรักของกู มึงนึกว่ากูจะปล่อยเขาไปง่ายๆ หรือไง? กูพยายามง้อแล้วแต่นิ่มแม่งใจแข็งมาก กูรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กูได้ยินอะไรแบบนี้จากปากนิ่ม แต่กูไม่คิดว่านิ่มจะจริงจัง"
"ผู้หญิงก็งี้ เขาคงอยากอยู่กับมึงแค่สองคน ไม่ใช่กระเตงๆ เขาไปกับเพื่อนมึงทุกที"
"กูก็มีเวลาอยู่กับเขาสองคนก็บ่อยนะมึง"
"เห็นท่าจะไม่พอว่ะ"

"....." ผมนึกอะไรต่อไม่ออก

"อืม....แต่กูว่า...มันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้...." มันทำท่าคิดแบบนักสืบ
"หมายความว่าไง....?..."
"ไม่เป็นไร.....มึงยังไม่ต้องรู้ตอนนี้ กูมีวิธีสืบของกู เรื่องเผือกแบบนี้กูถนัด เดี๋ยวจัดให้"
ไอ้วิธีสืบของมันน่าจะหมายถึงเข้าทางเพื่อนนิ่ม เพื่อนนิ่มก็มีคนหน้าตาน่ารักอยู่เยอะ

"มึงจะช่วยกูพาน้องนิ่มกลับมา?" ผมถาม
"กูว่ามึงตัดใจเถอะ ....เรื่องนิ่มนะ ... " มันคิ้วขมวดทำท่าจริงจัง
"ความรักทำให้ไอ้เสืออย่างมึงสิ้นลายจนมองข้ามความจริงไปหมด ตอนแรกกูก็นึกจะมึงจะแค่เล่นๆเหมือนเคย ไม่คิดว่าจะจริงจังขนาดนี้" 
ใครจะเหมือนมึง ไม่ได้มั่วแต่ทั่วถึง ผมเถียงในใจ
"กูแค่อยากให้มันพิเศษ..."
"อย่าบอกว่ามึงยังไม่ได้น้องเขา.. ขาวเหี้ยๆ เป็นกู....." มันหยุดฝอยหลังจากเห็นสายตามองมันอย่างกระหายเลือด
 "น้องมันน่าทะนุถนอนกูเลยว่าจะให้เขายอมเอง วันนี้จริงๆกูก็มีเซอร์ไพส์หลังแข่งชนะและวางแผนพาน้องไปค้างด้วย"
"ถุย ไอ้ลูกแมว... มึงหยุด!! เลิกคิด กูว่ามึงเลิกก็ดี ตอนนี้ทำใจให้ได้เดี๋ยวกูจะทำให้มีงตาสว่างเอง!!"
ไอ้ชัยมันเอามือตบไหล่ผมเบาๆ


 :jul1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 20:33:27 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สาม
«ตอบ #3 เมื่อ17-06-2017 11:37:50 »

หลง (3)

สามวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า กับการใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนที่นอนตัวเองนี่แสนจะน่าเบื่อ PS4 PS3 PS vista วางเรียงรายอยู่ปลายเตียงหน้าทีวี แต่ไม่มีเครื่องไหนออนอยู่เลย ผมเล่นจนเบื่อ ผมพยายามโทรหานิ่มทุกชั่วโมง แต่นิ่มไม่รับสายเลย การไม่ได้เจอหน้าหรือได้ยินเสียงของนิ่มเลยทำเอาผมรู้สึกอึดอัดมาก ไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนมีตัวอะไรพยายามมาดูดพลังงานของผมไปจนหมด

พระอาทิตย์คล้อยตำ่ชนเส้นขอบฟ้าจนท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม แสงที่ฉายเข้ามาในห้องทำให้ห้องสีขาวของผมกลายเป็นสีแสดอ่อนๆ ผมไม่ค่อยได้อยู่ช่วงเวลานี้ในห้องเท่าไหร่เพราะส่วนใหญ่เป็นเวลาซ้อมบาสฯหรือไม่ก็อยู่กับนิ่ม แต่สามวันที่หยุดอยู่ที่บ้านทำให้ผมมีช่วงเวลาแบบนี้ ผมนอนมองเพดานบ้านอย่างเบื่อๆ เฝ้ามองมันค่อยๆเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มองไปที่หน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมา ภาวนาให้มีข้อความตอบกลับจากคนที่ผมเฝ้าโทรหา และส่งข้อความหาตลอดทั้งวัน กลับเจอแต่รูปตัวเองกับนิ่มที่ถ่ายกันตอนเราไปกินบิงซูที่ร้านดังในเมือง

ว่างเปล่าไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ผมผ่อนลมหายใจยาวๆ รวมรวบกำลังที่จะเสี่ยงโทรหานิ่มอีกครั้ง

เอาวะ......ผมพูดกับตัวเอง
ตอนนี้นิ่มน่าจะเลิกเรียนพิเศษแล้ว น่าจะว่างรับ ที่ผ่านมานิ่มน่าจะเรียนหนักการบ้านเยอะจนไม่ว่างรับสาย ผมพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง

ครืดๆๆๆๆ
โทรศัพท์ผมสั่นและมีแสงวูบวายขึ้นมา แต่ชื่อที่อยู่บนหน้าจอกลับเป็น

"ไอ้ชัย"
จากที่ผมตีสีหน้าดีใจกลับกลายเป็นหมาหงอยทันที

"ไอ้ห่า...หากไม่มีธุระจำเป็นอะไรก็รีบวางเลย กูรอสายน้องนิ่ม"
"เฮ้ยๆ กูโทรมาก็เรื่องน้องนิ่มนี่ล่ะ"
"เออๆ ว่าไง นัองโอเคไหมว่ะ โทรไปทั้งวันไม่รับเลย"
"ก็ไม่ไงสบายดี ไปเรียนพิเศษทุกวัน กินอิ่มนอนหลับ มีความสุขดีสุดๆ"
"มั่วป่าวเนี่ยมึง"
"ไม่มั่วเว้ย กูลงทุนไปคลุกวงในเลยมึง เหี้ย...ดีกว่าที่คิด จนกูอยากไปคลุกอีกรอบเลยตอนนี้"
ผมรู้ครับว่ามันหมายถึงอะไร เจ้าชู้อย่างมันคงไม่พ้นเรื่องฉาวของสาวๆ กะจะมาคุยโม้ตามประสามัน กินในที่ลับคายในที่แจ้ง ซึ่งเป็นนิสัยเสียเพียงหนึ่งเดียวของมัน แต่ดูหญิงของมันทุกคนดูจะเต็มใจ

"แค่นี้ใช่ไหม งั้นกูวาง!!"
"อ้าวเฮ้ย... กูมีเรื่องนิ่มมาเล่าให้ฟังเหมือนกัน"
"เออ.. งั้นว่ามา!!"  ผมเอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
"มึง... คือ.... บอกกูก่อนว่ามึงฟังแล้วมึงต้องใจเย็นๆนะมึง"
ผมเริ่มใจไม่ดี ท้องมันเริ่มปั่นป่วนบอกไม่ถูก
"เออ...ว่ามา....."
"......"
ไอ้ชัยมันนิ่งไปพักหนึ่ง
"ว่ามาสิ !!!"
"คือ นิ่มมันมีคนใหม่มาพักหนึ่งแล้วว่ะ มันบอกเพื่อนสนิทอย่างโบว่า พยายามจะทิ้งมึงหลายครั้งแล้วจนกระทั้งมันได้กับผู้ชายคนนั้นแล้ว ผู้หญิงคนนี้แม่งเลวว่ะ.... เฮ้ยมึงฟังอยู่ไหมว่ะ"
"....."
"หลง .... ไอ้หลง..ไอ้เชี้ยหลง"
"เออ ... งั้น.... แค่นี้ก่อนนะ"
"เฮ้ย....ไอ้เหี้ย.... กูบอกให้ใจเย็นๆ ไง เฮ้ยมึงได้ยินกูไหม?............."
หลังจากนั้นผมก็ฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว หูมันอื้อไปหมด บอกไม่ถูกว่าเสียใจหรือโกรธดี ความรู้สึกมันปะปนกันไปหมด ผมวางสายจากไอ้ชัย นั่งมึนกับความคิดตัวเองในห้องที่ความสว่างจากแสงสีทองด้านนอกค่อยๆหายไป

...........

เสียงอึกทึกที่ชั้นล่างของตัวบ้านทำให้ผมพ้นจากภวังค์ แม่ผมคงกลับจากไปการไปประชุมอาจารย์ก่อนเปิดภาคเรียนใหม่
ลืมบอกไปครับ แม่ผมเป็นอาจารย์ครับ ก็โรงเรียนเดียวกับที่ผมไปเรียนนั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็เลี้ยงผมแบบสบายๆ ไม่เหมือนกับภาพที่โรงเรียนเลย ปกติที่โรงเรียนแม่ผมจะดุมาก แต่ที่บ้านแม่ใจดีกับผมมากจนบางครั้งแม่ก็ทำตัวเป็นเพื่อนมากกว่าแม่ แม่บอกว่าเราจะได้พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้คงเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่อยากคุยกับแม่ ผมขอลองพยายามผ่านพ้นไปกับตัวเองก่อน

"หลงเอ้ย....หลง... เป็นไงบ้างลูก" แม่ตะโกนทะลุพื้นชั้นสองขึ้นมา เสียงทรงพลังอย่างเคย
"ก็ดีครับ....ไม่เป็นไรครับแม่" ผมก้มลงเอามือป้องปากก่อนตะโกน เพราะกลัวแม่ไม่ได้ยิน อันนี้คงเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้กรรมพันธุ์จากแม่ เสียงอันทรงพลังนั่น
"ได้ลงมากินข้าวบ้างไหมลูก กับข้าวที่แม่เตรียมไว้ให้ในตู้เย็นไม่เห็นพล่องเลย"
ก็ผมกินไม่ลงน่ะ อะไรมันก็ไม่อร่อยเลยถึงจะเป็นฝีมือแม่ก็เหอะ ยิ่งตอนนี้ผมตาแดงมากยิ่งไม่อยากเจอแม่ให้ท่านไม่สบายใจ

"เดี๋ยวลงมากินข้าวเย็นกับแม่นะ แม่มีแขกมาด้วย เดี๋ยวจะทำแกงเขียวหวานแบบที่แกชอบให้กินด้วยรีบลงมานะลูก"
แม่น่ารักที่สุด แค่แม่พูดถึงอาหารโปรดฝีมือแม่ ความหิวของผมก็กลับมาเยือนแล้วครับท้องมันร้องทันที

แกงเขียวหวานแบบของแม่นั่น แม่จะหั่นฝักใส่ลงไปชิ้นใหญ่ๆ ใส่เลือดไก่ที่หั่นเป็นลูกเต๋าชิ้นใหญ่ลงไปพร้อมกับเนื้อไก่นุ่มๆสไตล์แม่ แม่ทำได้ไม่เหมือนใครครับ ที่สำคัญเผ็ดน้อยหวานนำแบบที่ผมชอบ

สรุปผมเป็นคนเห็นแก่กินใช่ไหมเนี่ย

"ให้ผมช่วยอะไรไหมครับ อาจารย์"
อืม.... ได้ยินเสียงคนอื่นอยู่ด้วย ถึงจะเบาจนได้ยินไม่ชัดแต่ก็จับความได้ว่าเป็นเสียงผู้ชาย

"อืมไม่เป็นไรลูก นั่งเหอะ ทำงานมาเหนื่อย ไปนั่งรอที่ห้องรับแขกเถอะลูก"
"เอ่อ.... โอเคครับ" เสียงปริศนาตอบแม่ไปอย่างแผ่วเบา
แม่บอกมีแขกมาด้วย ใครหว่า? เออ.... ช่างเถอะ... ไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนดีกว่าจะลงไปแค่บ็อกเซอร์ ตาแดงๆ กับเหงื่อชุ่มๆอย่างนี้คงไม่ไหว

ผมตัดสินใจพยุงร่างตัวเองไปอาบน้ำ และแต่งตัวให้เหมาะกับการมีคนอื่นอยู่ที่บ้านหน่อย
พูดง่ายๆ ก็ให้มิดชิดขึ้น กางเกงขาสั้นเสื้อยืดคงพอ

"หลง.... ใกล้เสร็จแล้วลูก"
"ครับเดี๋ยวลงไปครับ"
"ให้แม่ไปช่วยไหม"
เสียงแม่ดูใกล้ขึ้น เหมือนกำลังเดินมาใกล้บันได
"ไม่เป็นไรครับ...ผมไหว"
ผมไม่อยากให้ต้องมาลำบากพาร่างยักๆของผมลงไป ความจริงผมดีขึ้นเยอะแล้ว. พอจะเดินได้ไม่ปวดเท่าไหร่แล้ว

หลังจากที่เดินโขยกเขยกลงไปถึงชั้นล่างได้แล้ว ผมก็พบกับร่างหนึ่งนั่งโซฟาหันหลังให้ รู้สึกคุ้นตาอยู่นิดหน่อย

"ลงมาแล้วก็ไปนั่งคอตรงห้องรับแขกก่อนลูก ฝากดูแลแขกให้แม่ด้วยนะ"
"คร๊าบ.... "
ผมตอบเสียงยาวๆ ไป แม่น่าจะรู้ว่าผมเข้ากับผู้ใหญ่ไม่ค่อยติด จะให้ผมไปดูแลอะไรเขาวะ ยิ่งอารมณ์ตอนนี้ผมไม่อยากต้องเผชิญหน้ากับใครเลย
ผมค่อยๆขยับร่างตัวเองไปจนถึงโซฟาอีกด้านใกล้ๆกัน และทิ้งตัวลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก

" นั่งลงแรงแบบนี้ไม่กลัวเจ็บเพิ่มรึ?"
ตอนแรกกะว่าจะพยายามทำตัวเป็นหมอนบนโซฟานิ่งๆ แต่พอได้ยินเสียงนี้เท่านั้นผมรีบหันไปหาต้นเสียงที่กวนประสาทนั่นทันที

"เชี้ย!!!" เป็นเสียงของไอ้หมอกวนบาทาคนนั้น

"สุภาพหน่อยลูก สุภาพ" เสียงแม่แผดมาจากห้องครัว

"ขอโทษคร๊าบบบ"

"มึง...เอ้ย...คุณหมอมาทำอะไรที่นี่?" ผมขยับตัวออกห่างไปอีกหน่อย
"อาจารย์รุ่ง ชวนมาทานมื้อเย็น อ้าว...แสดงว่าเธอเป็นลูกของอาจารย์ใชไหม?"
รุ่ง...ชื่อแม่ผม เรียกกันซะสนิทเชียว แสดงว่าเคยเป็นนักเรียนแม่ผม

"ครับ"
"จะว่าไปก็คล้ายๆกันนะ แต่..." เขาเพ่งมองรูปหน้าผม
"ผมใช้นามสกุลพ่อครับ ส่วนแม่ไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุล เห็นบอกว่าดีแล้ว" มีคนถามบ่อยจนรู้แล้วว่าจะตอบไปว่าอะไร แม่ผมเขาเชื่อเรื่องพวกนี้
"อ้อ" เขายังมองผมไม่วางตาจนกระทั่งมองยาวลงมาที่ขา

ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวๆ แปลกๆ หรือว่ากูเขินเขาวะ เขินผู้ชายเนี่ยนะ ตลก!! แค่เกลียดผู้ชายลักษณะแบบนี้ พวกปากเสีย

แต่ผมเองก็แอบยอมรับว่าตาคู่นั่นสวยจริงๆ ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนๆ นั่นมันรับกับรูปหน้าที่เรียวยาวนั่นเสียจริง หากมันเป็นผู้หญิงผมคงจีบ

"ดีขึ้นไหม? ให้หมอดูให้อีกทีไหม? แม้ไม่ถนัดด้านนี้แต่ก็ดูให้ได้นะ"
เขายิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย

"ไม่เป็นไรครับ ดีขึ้นแล้ว" ผมตอบแบบไม่มองหน้า
"อืม...ก็ดีแล้ว"
คำพูดยังไม่ทันทิ้งห้วงไปเขาก็ก้มลงมาที่นั่งใกล้กับขาที่เจ็บของผม ผมตกใจถึงกับสะดุ้ง ไม่คิดว่าเขามาทำอะไรแบบนี้
"เฮ้ย...หมอทำอะไร?"
เขาใช้นิ้วที่เรียงยาวจับเท้าของผมขึ้นมาอย่างอ่อนโยน เขาก้มลงมาใกล้ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา
"อืม...ก็ดีขึ้นจริงๆ "
ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว ไม่เคยเจอใครทำขนาดนี้ กี่หมอๆ ก็ไม่เคย
"หายไวดีนี่ ท่าทางจะเป็นพวกตายยาก ถึกเป็นควายสินะ"

"อ้าว...ไอ้หมอ!!!" ผมกัดฟันให้เสียงลอดออกมาทางช่องฟัน กลัวแม่ได้ยิน

"ทำอะไรกันลูก?" แม่เดินมาใกล้ขนาดนี้ตอนไหน แม่ยืนอยู่หลังโซฟาของไอ้หมอกวนบาทานั่น
"ว่าจะช่วยดูขาให้น่ะครับ เห็นว่าเจ็บอยู่" ไอ้หมอยึดตัวตรงหันไปยิ้มทรงเสน่ห์ให้แม่ หากแม่ไม่อายุมากแล้วคงคิดว่ามันมาจีบ
"โอ้ย!! ไม่ต้องไปดูให้มันหรอก อึดยิ่งกว่าหมี เจ็บหนักกว่านึ้ก็โดนมาแล้วยังไม่ตายเลย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก"
อ้าว!!! แม่ไหงเป็นงั้นล่ะ เป็นห่วงลูกบ้างอะไรบ้าง
"อ้อ...สวัสดีพี่เขาด้วย พี่เขาชื่อเอิร์ธนะ"
ผมยกมือไหว้แบบลวกๆทันทีที่แม่หันไป
"มากินข้าวกันได้แล้ว กับข้าวกับปลาพร้อมแล้วลูก"
ผมพยายามลูกขึ้นยืน โดยที่ไอ้หมอรีบเดินเข้ามาช่วยพยุง
"ไม่ต้อง ผมไหว"
ไอ้หมอยกสองมือขึ้นผายมือเสมออกทำท่ายอมแพ้
"โอ้ย!!"
ด้วยความรีบเลยผิดท่าไปหน่อยทำให้ผมจะล้มคว่ำหน้า แล้วก็มีมือยาวๆ มาโอบจับผมไว้ไม่ให้ล้ม ไอ้หมอนั่นเอง
"เอาอีก.. ไอ้ซุ่มซ่าม ลำบากพี่เขาอีก" แม่แผดเสียงจากโต๊ะกินข้าว
"ไม่เป็นไรครับ" พูดจบเขาก็พยุงผมยืดตัวตรง
โอ้โห!! นี่มันสูงเกือบเท่าผมเลยนี่ น่าจะเท่าไอ้ชัย สัก 180 เซ็นฯ เพิ่งจะเคยมองมันใกล้ขนาดนี้ เป็นหมอจะสูงไปเพื่ออะไรวะ
"ขอบคุณ...แต่ไม่เป็นไรผมเดินเองได้" พูดจบผมก็รีบเดินออกจากตรงนั้นเลย แต่ก็อดที่จะได้ยินเสียงหัวเราะของมันไม่ได้

ตอนนี้ทุกคนนั่งพร้อมหน้าและเริ่มทานมื้อเย็นกันแล้ว วันนี้กับข้าวแม่อลังการมาก มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้น ไก่ย่างเจ้าประจำที่ตลาด ไข่เจียวใส่หัวหอม แกงเขียวหวานสูตรของแม่ อาจเพราะแม่จะรู้สึกว่าผมมีเรื่องไม่สบายช่วงนี้เลยทำเอาใจ เอ....หรือเพราะไอ้หน้าใสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมเนี่ย

"แฟนอาจารย์ไม่อยู่เหรอครับ?" อยู่มันก็ทำลายความเงียบ
"วันนี้ไปดูโรงงานที่ต่างอำเภอน่ะ คงจะอยู่ค้างเลยน่ะ"
".....อ้อ เหรอครับ ตอนนี้มีโรงงานที่อื่นด้วยหรือครับ?"
พ่อผมเป็นเจ้าของโรงงานเกี่ยวกับประดับยนต์น่ะครับ แค่คนทำมาหากินครับ ไม่รวยๆ
"ก็มีเพิ่มมาสอง สามที่ น้าก็ไม่ค่อยรู้...ว่าแต่เราไม่ใช่นักเรียนแล้ว ไม่ต้องน้าว่าอาจารย์แล้ว เรียกน้ารุ่งเหมือนเคยก็ได้"
เหมือนแม่จะอ่านสีหน้าผมได้ที่ผมทำหน้าสงสัยใส่แม่
"นี่เราจำพี่เขาไม่ได้หรือ ลูกเพื่อนแม่ไง เพื่อนแม่ฝากดูแลช่วงที่เอิร์ธเรียนม.ปลายที่นี่ไง"
ผมพยายามนึก แต่ก็พอจะจำได้ว่า ช่วงหนึ่งแม่เคยพาลูกศิษย์มาบ้านบ่อยๆ แต่ห่วงแต่เล่นเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ สุดท้ายผมก็ส่ายหน้า

"โตขึ้นเยอะเลยนะ" ไอ้หมอมันทำท่ายืดมือสูง
"มันก็โตแต่ตัวล่ะเอิร์ธ"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....."

กว่าจะทานข้าวเสร็จ ผมต้องทนฟังประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของไอ้หมอนั่น และแม่ก็ยกมันมาเปรียบเทียบกับผมตลอด กับไอ้นักเรียน นักศึกษาดีเด่นนั่นพาลจะกินข้าวไม่ลง
แม่ก็ดูเป็นห่วงมันมาก (ดูจะมากกว่าลูกนะ) บ่นอุบอิบว่าหลังจากออกจากหอพักสมัยมัธยมก็ย้ายไปอยู่หอพักที่กรุงเทพซึ่งไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลย มันก็ขอโทษขอโพยใหญ่และก็ปิดท้ายว่าได้คว้าเกียรตินิยมมาฝากเหมือนที่เคยบอกก่อนไปเรียน แม่ผมดูปลื้มมมมมม มากกกกกกกก  ช่วยไม่ได้เพราะแม่คงไม่ได้สิ่งนี้จากผม

ก่อนกลับมันยังช่วยแม่เก็บจานไปล้าง พ่อคนดี!!!
ส่วนผมหนีมานั่งเล่นมือถืออยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นนานแล้ว นั่งภาวนาว่ามันเมื่อไหร่จะกลับ เพราะมันกำลังทำคะแนนนำแย่งความรักจากแม่ผมไปหมดแล้ว

........
เสียงมอเตอร์ไซค์จอดที่หน้าบ้าน ไอ้ชัยวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในบ้านสีหน้าดูกังวลมาก ผมเงยหน้าจากโทรศัพท์หันไปทักมัน
"เฮ้ย... เป็นเชี้ยอะไร... มึงจะรีบไปไหนเนี่ย"
"อ้าวสัด กูอุตส่าห์รีบออกมากลัวมึงจะคิดสั้น"
"สัด!! เบาๆ มานี่" ผมรีบเอามือจุ๊ปากและกวกมือเรียกมันใกล้ๆ พออยู่ในระยะมือผมจัดการโบกไปหนึ่งรอบ

"ใครมาล่ะลูก?" แม่ตะโกนข้ามห้องเข้ามา ตอนนี้แม่อยู่ในห้องทานข้าว แม่ชอบไปนั่งอ่านหนังสือตรงนั้น บอกว่าไฟมันสว่างดี
"เชี้ย... มึงจะตะโกนเพื่อ??" มันยังยืนงง จนผมต้องกระชากให้มันนั่งข้างๆ
"....."

"ไอ้ชัยแม่ มันมาหา" รีบตอบแม่ก่อนที่แกจะเดินออกมา
"มาเสียดึกเลยนะลูก"
"สวัสดีครับแม่" ไอ้ชัยรู้หน้าที่
"อย่ากลับดึกนะลูก"
"ครับ" สุภาพมากมึงไอ้ชัย

"อะไรของมึงเนี่ย?"  ไอ้หันมาคิ้วขมวดใส่
"เดี๋ยวแม่กูถาม สาดด"
"ทำไมวะ?" ยัง....มันยังไม่รู้ตัว
"กูไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ"
"เออ... เอาเหอะ ไม่เป็นเหี้ยอะไรก็ดีแล้ว กูนึกว่ามึงคิดเรื่องนิ่มเสียจน......"
แค่ฟังชื่อนิ่มผมก็รู้สึกเหมือนมีเข็มสักร้อยเล่มมาจิ้มที่หัวใจ มันคงเห็นหน้าผมแย่มาเลยหยุดพูดไปหันมาจ้องหน้าผมแทน
"...."
"กูทนไม่ไหวแล้ว.... ไม่มีใครทำกับเพื่อนกูแบบนี้ได้ กูจะไปแก้แค้นแม่งให้สาสม"
แล้วมันก็เดินออกจากบ้าน
............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 23:15:41 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
เอิร์ธ #2

แค่เห็นผ่านๆ ผมก็จำได้ทันที ไอ้เด็กนักกีฬาที่เดินโขยกเขยกผ่านผมไปอย่างช้าๆ แล้วปล่อยตัวเองลงนั่งอย่างรีบร้อนทั้งยังทำหน้าเหมือนผมไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้  แค่เห็นหน้ามึนๆ ของมันก็อยากจะแกล้งแล้วครับ (หรือผมเป็นคนนิสัยไม่ดี)
สงสัยเพราะหน้ามีส่วนคล้ายกันน้ารุ่ง เลยรู้สึกเอ็นดู (อยากจะแกล้ง) ถ้าเป็นลูกของน้ารุ่ง สนิทกันไว้ท่าจะดี และการแกล้งเป็นวิธีทำความสนิทสนมของผมครับ

ไอ้เด็กนี่แซวนิดแซวหน่อยก็หน้าแดงโกรธฟึดฟัด ยิ่งตอนมันล้มเข้ามาในอ้อมอกผมนี่ อยากให้มันเห็นหน้ามันเองจริงๆ สงสัยจะเขินหรือเข้ากับผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่ง แต่ผมเองก็ไม่ได้ดูแก่อะไรนะครับ (หรือว่าดูแก่วะ ชักอยากหยิบกระจกขึ้นมาส่องตอนนี้เลย)

พอกินข้าวเสร็จ ผมก็พยายามช่วยเก็บจานไปล้างเหมือนเช่นปกติ แม้น้ารุ่งจะอิดออดไม่อยากให้ทำ แต่ผมเป็นคนขี้เกรงใจเลยรีบเข้าไปแย่งทำเสียหมด

"น้ารุ่งอุตส่าห์ทำของโปรดของผมให้กิน จะให้น้ารุ่งลำบากเก็บล้างอยู่ได้ยังไง"
"ไอ้แกงเขียวหวานนั่นก็ของโปรดลูกน้า น้าตั้งใจทำให้มันอยู่แล้ว ช่วงนี้เห็นมันไม่ค่อยเจริญอาหาร"
"ไม่เป็นไรครับ" ผมยืนยันหนักแน่น ก่อนที่สงครามแย่งกันเก็บจานนี่จะยืดยื้อผมเลยใช้ความเร็วของผมจัดการรวบจานทุกอย่างไปหลังบ้านเพื่อล้างทำความสะอาด ได้ยินแต่เสียงน้ารุ่งถอนหายใจแบบยอมๆ

ระหว่างล้างจานก็ได้แต่คิดถึงไอ้เด็กนั่น ว่ามันจะกลุ้มใจเรื่องอะไรหนักหนาแค่แข่งกีฬาแพ้  นี่มันก็ผ่านไปสามสี่วันแล้วนะ
ที่ผมรู้เพราะข่าวโรงเรียนที่ผมเคยเรียนอยู่แพ้กีฬาบาสเก็ตบอลซึ่งเป็นความภูมิใจของโรงเรียนให้กับโรงเรียนคู่แข่ง สมัยผมอยู่ในทีมนี่ไม่เคยแพ้เลยนะ เขาว่ากันว่าเพราะความประมาทของกัปตันทีม ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นมัน ในฐานะรุ่นพี่นี่อยากจะเขกหัวมันสักที

.......
พอช่วยเก็บกวาดเสร็จเรียบร้อยผมก็รีบขอตัวกลับเลย เพราะต้องรีบไปขึ้นเวรต่อ
แต่ขอกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน

ระหว่างทางกลับบ้าน ผมเปิดโทรศัพท์มือถือ เพราะในระหว่างอยู่ที่บ้านน้ารุ่ง ผมไม่อยากให้ใครโทรมากวนให้อารมณ์เสีย (ผมภาวนาไม่ให้มีเหตุฉุกเฉินแทบแย่ กลัว ผ.อ. โรงพยาบาลตำหนิเอา)

หลังจากเปิดได้ไม่นาน เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นมาอย่างรัวๆ จนผมตกใจเกือบหักพวงมาลัยไปผิดทิศ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาชำเลืองดู แสงไฟจากหน้าจอสว่างวาบขึ้นจนเกิดแสงเรืองในห้องโดยสาร BMW คันหรู

ข้อความทั้งหมดมาจากคนๆ เดียวกันกว่า 30 ข้อความ

ผมรีบปิดแสงนั่นและคว่ำโทรศัพท์ลง
ความหงุดหงิดแทรกซึมเข้ามาแทนที่ความสงบสุขเมื่อสักครู่

นี่ผมจะต้องไปทำงานทั้งที่หงุดหงิดอย่างนี้อีกแล้วหรือ

............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 23:16:49 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่สี่
«ตอบ #5 เมื่อ24-06-2017 11:18:24 »

ชัย #1

การทำตัวไม่เด่นเลยคงเป็นไปได้ยาก เป็นครั้งแรกที่ต้องขอโทษความสูงและความหน้าตาดีของตัวเองที่ทำให้การแอบสะกดรอยตามนิ่มและเพื่อนๆของเขาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะเดินตามได้ไม่นานก็ถูกสาวๆ กลุ่มนั่นเห็นเข้าเสียแล้ว หรือผมเดินตามมาถึงแผนกชุดชั้นในหญิงหว่า? (ไม่ได้โรคจิตนะครับ เห็นว่าสาวๆเข้ามาในห้างสรรพสินค้าก็เดินตามมาเรื่อยๆ)
 
น้องโบคนที่ผมเคยไปจีบๆ ไว้เพื่อสืบข้อมูลเรื่องนิ่ม เธอเดินยิ้มเข้ามาหาแต่ไกล เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมยาวมัดหางม้าสีดำคลับ เธอดูน่ารักมากกว่าสวย จะว่าไปเธอก็ถูกสเปกผมพอสมควร เว้นแต่เสียงแหลมเล็กของเธอนั่นล่ะ
"แหม.... บังเอิญจังเลยคะ" เธอเดินเข้ามากอดแขนผมอย่างคุ้นเคยทั้งๆที่ผมพยายามจะหลบสายตาของโบ
"เอ่อ.. ใช่ บังเอิญจัง"
สัมผัสได้ถึงเนื้อหนังอุ่นบริเวณหน้าอกเธอทะลุผ่านเสื้อผ้าบางๆสีพาสเทล ทำให้ผมปล่อยให้เธอจับต่อไปเลยตามเลย (ผมไม่ได้หื่นนะครับ.. จริงๆ ครับผมเป็นเหยื่อนะครับครั้งนี้)

"หรือว่าตามโบมา" เธอเอาตัวส่วนที่เหลือแนบเข้ามาใกล้อีก
อืม...... เอาวะ... มาขนาดนี้ตามน้ำมันซะเลย
"จ้า.... โบเนี่ยตาไวมากเลยนะ รู้ได้ไงว่าพี่ตามมา"
"ว้ายยย" โบเริ่มบิดตัวไปมาเสียงดังเสียจนผมเริ่มมองคนรอบข้าง
"น้องโบ... ไปทำธุระกับเพื่อนก่อนก็ได้จ๊ะ เดี๋ยวพี่รออยู่แถวนี้นะ"
ผมพยายามขยับออกห่างจากเธอครึ่งก้าว หันมองไปทางกลุ่มสาวๆที่ยังคงหวีดว้ายเลือกสินค้าในร้านโดยไม่รู้ว่าเพื่อนหายไปคนหนึ่งแล้ว
"จริงหรือคะ ใจดีจัง เดี๋ยวไปเลือกชุดชั้นในให้ยัยนิ่มก่อนนะคะ เห็นว่าอีกสองสามวันจะไปเดี่ยวต่างจังหวัดกับผู้ชายคนใหม่ ทิ้งมันไปตอนนี้เดี๋ยวมันด่าตายเลย"
โบพูดอะไรเรื่อยเปื่อยตามเคย จนหลุดข้อมูลสำคัญให้ผมรู้อีกเหมือนคราวก่อน
"พาโบไปกินข้าวหน่อยนะ"
"อ้าว.... แล้วไม่ไปกับเพื่อนรึ พี่ไปด้วยกันได้นะ"
"โอ้ย... ไม่เป็นไรหรอกเดี่ยวก็แยกย้ายแล้ว เพราะเดี๋ยวแฟนใหม่ยัยนิ่มก็มารับแล้ว"
อืม... มาอีกแล้ว หากเลือกได้จะไม่คบยัยนี่เป็นเพื่อน ปากเปราะไปหน่อย
"อ้อ จ๊ะ.... ได้จ๊ะ เดี๋ยวพี่รอยู่แถวนี้นะ"
พูดจบผมก็เกินไปนั่งม้านั้งแถวๆ นั้นให้เธอเห็นก่อนที่เธอจะเดินไปเข้ากับกลุ่มเพื่อนสาวที่เอะอ่ะอยู่ในร้าน

.......
ระหว่างที่ผมนั่งเหล่สาวที่เดินผ่านไปมาไม่นานนัก ผู้หญิงขายาวหุ่นดีหน้าสวยผิวขาว เดินออกมาคุยโทรศัพท์ที่หน้าร้านด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ผู้ชายแถวนั่นปลื้มเก็บไปนอนฝันได้ เธอคนนั้นคือนิ่ม ผู้หญิงใจร้ายที่หักอกเพื่อนผม

ก็ไม่แปลกที่เธอจะเกิดมาเลือกได้ขนาดนี้ ขนาดผมเองตอนแรกก็เกลียดเธอไม่น้อยหลังจากสิ่งที่เธอทำกับเพื่อนผม แต่เธอเองก็น่ามองไม่น้อย ผมนี่มองเพลินจนลืมความโกรธเหล่านั้นไปเลย
 
นิ่มโบกไม้โบกมือก่อนจะวางสาย ผมมองตามเธอที่เดินออกไปทางซ้ายของร้านอย่างไม่วางตา แล้วในสุดสิ่งที่ผมคิดก็ถูกต้อง คนที่เดินมาหานิ่มไม่ใช่เพื่อนผมแต่เป็นผู้ชายอีกคนหนึ่ง มองจากตรงนี้มันไกลพอควรแต่รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด

ดึงแขน คล้องแขน เกี่ยวมือ กระซิบข้างหู โอ้ว.... น่ารักว่ะ
นิ่มมีท่าทีที่น่ารักเหมือนที่ทำกับเพื่อนผม ที่ผมรู้เพราะไอ้หลงมันชอบพานิ่มไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆตลอด ผู้ชายที่ไหนก็มองและอยากจะเสียบแทนไอ้หลงมัน แต่ด้วยจรรยาบรรณความเป็นเพื่อนทุกคนคงแค่คิดในใจ

หน้าผมตอนนี้คงดูไม่ดีเท่าไหร่ (สังเกตจากคนที่นั่งข้างๆ ลุกหนีไป) เพราะหงุดหงิดกับภาพที่เห็น เพื่อนผมนี่จะเป็นจะตาย แต่ยัยนี่มาระริกระรี้กับผู้ชายคนใหม่ ฮืม... ผมกำมือแน่น รู้สึกอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร

เหมือนเทวดาดลใจ นิ่มพาชายคนนั่นเดินรี่เข้าไปในร้านด้วย(อวดผัว...ประมาณนั้น สาววีดว้ายกันใหญ่) ทำให้ผมเห็นหน้ามันชัดเจน

เหี้ย!!! ผมคิดในใจ นี่มัน ไอ้กวี  นักกีฬาบาสเกตบอลโรงเรียนคู่แข่งนี้ !!!

ก็ไม่แปลกที่ยัยนิ่มจะมาติดพันด้วย โปรไฟล์แม่งโคตรจะดี หล่อ สูง รวย เรียนเก่ง เป็น เพอร์เฟคกาย ในตำนาน ติดอันดับหนึ่ง ในโพลออลสตาร์ หนุ่มหน้าใสวัยเรียนในจังหวัด ของเพจอะไรสักอย่าง ไม่ได้จำ เพราะไม่เคยสนใจไปดูหนังหน้าผู้ชายด้วยกัน (ผมกับไอ้หลงก็อยู่ในท้อปเท็นนะ แต่ไม่รู้ลำดับ)

ผมไม่เคยชอบขี้หน้ามันอยู่แล้ว มันชอบจ้องมาที่ทีมผมด้วยสายตาไร้อารมณ์และเมินเชิดไปทางอื่นเหมือนพวกเราเป็นอากาศธาตุ ผมพยายามจะไปชวนคุยหลายรอบในช่วงที่เราเก็บตัวฝึกด้วยกัน (สปิริตนักกีฬา) แต่แม่งหยิ่งไม่เคยพูดด้วย

ผมกำหมัดแน่น อยากจะเข้าไปจัดการต่อยให้หน้าคว่ำ ให้หน้าหวานๆ ของมันช้ำเลือดช้ำหนอง แต่เหมือนมีปีศาจมาดลใจ ในเมื่อมันแย่งแฟนเพื่อนผมจะขัดขวางไม่ให้มันมีความสุข ในหัวผมตอนนี้ทำงานอย่างกับโรงงานคิดแผนชั่วๆ ได้เบ็ดเสร็จ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 23:17:40 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่ห้า
«ตอบ #6 เมื่อ25-06-2017 23:23:25 »

หลง (4)

แสงแรกของวันสาดส่องมากระทบยอดไม้ที่ไหวสั่นไปตามแรงสายลมอ่อนๆ ยามเช้า ผมยืนรอไอ้ชัยมารับไปโรงเรียนเฉกเช่นทุกวันในสองปีที่ผ่านมา ผมบิดตัวอย่างเกียจคร้านก่อนที่จะเห็นแสงหน้ารถบิ้กไบค์มาจอดตรงหน้า ผมไม่ได้ไปโรงเรียนพร้อมกับแม่ตั้งแต่ขึ้น ม.ปลาย รูสึกเขินๆ เลยขอไปพร้อมกับไอ้ชัยมันทุกวันจนเป็นกิจวัต
ผมโดดขึ้นรถพร้อมใส่หมวกกันน็อคที่ไอ้ชัยมันยื่นมาให้โดยไม่ได้ทักทายอะไรมันเลย มันเหมือนรู้ใจผมไม่ได้คิดมากอะไรและไม่ใส่ใจที่จะถามด้วย หลังจากเห็นว่าผมนั่งเรียบร้อย มันก็บิดคันเร่งออกตัวไปอย่างเร่งรีบ

สายลมเย็นๆกระทบหน้า ผมเหม่อมองทิวทัศน์ที่วิ่งเข้ามาปะทะสายตาด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บ้านเรือนและร้านค้าคาเฟ่ที่ปลูกขึ้นเรียงรายไม่ไกลจากรั่วโรงเรียน ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่ผมกับนิ่มเคยมีให้แก่กัน ไม่อยากเชื่อว่ามันจะกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว ผมหลับตาลงเลี่ยงที่จะมองพวกมัน บ้านผมไม่ไกลจากโรงเรียนมากนักไม่นานผมก็มาถึงที่หมาย

หลังจากนั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้านอย่างเบื่อหน่าย เพราะแม่สั่งห้ามไม่ให้ออกจากบ้านจนกว่าขาจะหายดี ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วหลังผ่านวันเกิดเหตุมาสามสี่วัน วันๆก็นั่งฟังไอ้ชัยมันมารายงานเรื่องโน่นนี่ให้ฟัง มันคงอยากให้ผมทำใจได้ แต่ทุกครั้งที่ฟังผมน้ำตาแทบไหล มันเจ็บจี๊ดที่หัวใจ อยากออกไปตะโกนโวยวาย เดินท่ามกลางสายฝน แสดงมิวสิควิดีโอ แต่กลัวแม่ด่าเอา

วันนี้เปิดเทอมวันแรก โคตรจะไม่โอเคน่ะ ไม่เคยรู้สึกอยากจะหนีออกจากกลุ่มเพื่อนขนาดนี้มาก่อน ข่าวเรื่องการที่ผมถูกสลัดรักจากนิ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและน่ากลัวยิ่งกว่าห่าตั๊กแตนลงทุ่งข้าวโพด  ลือไปจนขนาดที่ว่าผมกลายเป็นผู้ร้ายของเรื่องไปเลย ผมเป็นคนถูกทิ้งนะเว้ย คงต้องโทษโลกในยุคโซเชี่ยลมีเดีย

ระหว่างการเดินไปเข้าแถวยามเช้าหน้าเสาธง ผมเดินผ่านแถว ม.5 ด้วย ผมได้เจอนิ่มเหมือนทุกวันในอดีต แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือ  ผมพยายามทักทายแต่เธอทำเหมือนผมไม่อยู่ตรงนั้น ความรู้สึกเหมือนมีคนเอามีดมาเสียบกลางใจผม เจ็บแปลบจนผมต้องยกมือขึ้นมาทาบอกตัวเองว่ามีเลือดไหลซึมออกมาหรือเปล่า

ในทุกๆช่วงเวลาที่มีโอกาสไม่ว่าจะเป็น ช่วงเปลี่ยนคาบเรียน ช่วงเวลารออาจารย์เข้ามาสอน ช่วงเวลาคาบว่าง เพื่อนๆ ที่สนิทหน่อยก็จะทยอยเดินเข้ามาสอบถามความรู้สึกของผม ผมพูดบ่อยเสียจนอยากเปิดโต๊ะแถลงข่าวให้รู้โดยทั่วจะได้ไม่ต้องมาถามเซ้าซี้อะไรอีก ส่วนเพื่อนๆ ที่สนิทน้อยหน่อยก็จับกลุ่มคุยกันและมองมาทางผมด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกที่ต่างกันออกไป ผมโคตรจะไม่ชอบไอ้สถานการณ์อย่างนี้เลย มันอึดอัดจนอยากจะเดินหนีไปไกลๆ ผมไม่มีอารมณ์จะไปตามแก้ข่าวผิดๆ เหล่านั้น แต่โชคดีที่ไอ้ชัยและเพื่อนๆ นักกีฬาของผมพยายามคุยเรื่องอื่นและกันพวกชอบเผือกออกไปห่างๆ ทั้งวัน

"เดี๋ยวแม่งมันก็หยุดลือกันไปเอา พอมีเรื่องใหม่เข้ามาให้พวกมันเม้ากัน" ไอ้ชัยตบหลังผมเบาๆ
"ใช่ๆ" เพื่อนนักกีฬาคนที่เหลือเห็นด้วยขณะเดินไปที่สนามบาสเก็ตบอลของโรงเรียนเพื่อฝึกซ้อมประจำวัน
"......."  อยากจะเอ่ยขอบใจแต่ปากมันหนักเกินกว่าจะพูดออกมา พวกมึงคือเพื่อนแท้ของกู
"จริงที่ไม่นานที่เรื่องนี้จะไม่มีใครพูดถึงอีกในอนาคตแต่มันคงเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิตกู รักครั้งแรกของกู"
เพื่อนทุกคนช่วยกันตบหัวผมคนละทีสองที
"เชี้ย...แม่งน้ำเน่า เดี๋ยวมึงเจอคนที่แจ่มกว่ามึงก็ลืมเองแหละ สัด" ไอ้ชัยพูดไปไสหัวผมไปข้างหน้าอย่างแรง

แม้จะเพิ่งเปิดภาคเรียน โค้ชก็ยังให้ฝึกหนักเช่นเคย เพราะความพ่ายแพ้ที่ผ่านมา ผมรู้สึกผิดกับทุกๆ คน บวกกับที่นี่สถานที่ที่ผมยังไม่อยากเห็นเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะมองตรงไหนมันก็ไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าตรงม้านั่งข้างสนามที่นิ่มกับเพื่อนๆ มักจะมากินขนมกับเพื่อนๆ รอผมฝึกซ้อม แผงขายนำ้ที่เธอมักจะซื้อน้ำอัดลมมาให้ผมหลังซ้อมเสร็จ และ.... หลังอัศจันทร์นั่นที่เธอบอกเลิกกับผม....
 
วันนี้ผมซ้อมอย่างบ้าครั้ง ตั้งใจให้มีสมาธิกับการฝึกซ้อมมากที่สุด ทั้งวิ่ง ทั้งสปินต์ ทั้งกระโดด ทั้งฝึกชู้ต จนโค้ชต้องเอ่ยปากว่าให้พักเสียบ้าง (ปกติจะด่าผมว่าอย่าขี้เกียจ) ผมเหมือนไม่ได้ยินเหล่านั้น ผมยังฝึกหนักอย่างต่อเนื่องให้เหงื่อและความเหนื่อยล้ามันขับเอาความรู้สึกด้านลบออกไปจากระบบความคิด "เลิกคิดถึงเธอได้แล้ว" ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ กับตัวเอง

ผมเอ่ยลากับเพื่อนๆ อย่างเร่งรีบหลังเสร็จกิจชำระล้างร่ายกาย เดินออกจากห้องล็อคเกอร์โดยไม่รอไอ้ชัยที่มันยังอาบน้ำอยู่ วันนี้ผมขออยู่คนเดียวอีกสักวัน วันนี้มันเจอเรื่องราวเยอะเกินไปที่จะทำตัวปกติได้ ผมเดินออกจากโรงเรียนเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้สมองโล่งๆ ผ่านการมองทิวทัศน์ยามโผล้เผล้พระอาทิตย์เหลือเพียงแสงเรืองๆที่เส้นขอบฟ้า

ผมมองเข้าไปในร้านไอศกรีมร้านโปรดของนิ่มที่เรามักจะมานั่งจับมือแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันเป็นประจำ ทันใดนั้นภาพของนิ่มเดินยิ้มออกมาปรากฎขึ้นตรงหน้า เพียงแต่รอยยิ้มนั่นไม่ได้ยิ้มมาที่ผม แต่เป็นไอ้กวี!!!

ผมกำมือแน่น เหมือนทั้งสองยังไม่เห็นผม ยังไม่เห็นสายตาที่ขึงขังของผม ในหัวของผมไม่คิดเรื่องอื่น นอกจากจะเดินออกไปกระชากนิ่มเข้ามาในอ้อมกอดและใช้หมัดฟาดปากไอ้หน้าใสนั่น แต่จะมีประโยชน์อะไร.... ในเมื่อสายตานั้นไม่ได้เห็นอยู่ในนั้นอีกแล้ว
......อาจเพราะผมนั่งฟังเรื่องต่างๆ ของสองคนนี้ผ่านปากไอ้ชัยมาตลอด ทำให้คิดว่ามันสายเกินไปที่จะดึงนิ่มกลับมา เพราะหลังจากวันนั้นนิ่มไม่เคยแม้แต่จะคุยกับผม แชทกับผมอีกเลย ผมกำหมัดแน่นขึ้นไปอีกกับภาพที่เห็นตรงหน้าที่ทั้งสองพากันขึ้นรถเก๋งคันหรูและขับออกไปผ่านหน้าผมซึ่งเสมือนเป็นหลักกิโลเมตรตรงนั้น

ผมเดินไปเรื่อยๆ จนถึงสวนสาธารณะริมบึงไม่ห่างจากบ้าน ตอนนี้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ดวงแสงสว่างสีส้มที่ริมถนนเปิดขึ้นเป็นดวงๆ ลอยรายล้อมสวนริมบึงที่มีดวงไฟสีขาวผุดขึ้นตามทางเดินอิฐรูปตัวหนอนรอบบึงเป็นระยะๆ ช่วงนี้คนเริ่มบางตาจากการออกกำลังกายยามเย็น ผมเดินไปจุดที่ผมมักจะไปนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเป็นประจำ ผมชอบบรรยายกาศริมบึงที่สงบเงียบได้ยินเพียงเสียงลม มีเพียงผมและแสงไฟที่สะท้อนพื้นน้ำไหววูบวาบ

ผมคิดว่าผมเริ่มทำใจได้มากขึ้นหลังจากไม่เจอนิ่มหลายวัน ผมว่าผมแข็งแรงขึ้น นึกถึงเธอน้อยลง แต่.... ความแข็งของผมก็ต้องพังเมื่อเจอนิ่มกับผู้ชายคนใหม่ต่อหน้าต่อตา

"โธ่....โว้ย!!!" ผมเตะกิ่งไม้ที่หักลงพื้นอย่างไม่สบอารมณ์มันลอยเคว้งลงน้ำไป พลางคว้าเบียร์กระป๋องที่เพิ่งซื้อระหว่างทางมาซดอย่างกระหาย หมดไปหนึ่งรวดเร็วเหมือนน้ำซึมบ่อทราย ผมคว้ากระป๋องที่สองทันที

"เฮ้ยๆ ......" เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล "เป็นเด็กเป็นเล็กมาซดเหล้าเบียร์อย่างนี้ได้ยังไง!!"
คุ้นมาก คุ้นมากๆ ผมคิดในใจ เอากระป๋องเบียร์ซ่อนไว้ข้างหลังอย่างอัตโนมัติ  ผมหันไปทางขวาใกล้เสาโคมไฟ
"เชี้ย!!" ผมเผลอสบถออกมา "ไอ้หมอ!!"
"กูเป็นรุ่นพี่มึงนะ จะเรียกกูว่าพี่สักหน่อยไม่ได้รึไง หัดมีสัมมาคารวะบ้าง"
วันนี้มาแปลกว่ะ ขึ้นกูมึงด้วย ผมเดินไปใกล้ขึ้นเพื่อให้สายตาปรับแสงได้บ้าง
พบว่าไอ้หมอนั่งอยู่ข้าวเสาโคมไฟ หน้าแดงตาแดงๆ เหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ดูโทรมไปนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดูดีอยู่ รู้สึกอิจฉานิดหน่อยโทรมยังเสือกดูดี

"อ้าว..เฮ้ย มึง...เอ้ย... พี่ก็ดื่มเหมือนกันนี่หว่า" ผมชี้นิ้วไปที่กระป๋องเบียร์สีเขียวในมือ (ความต่างของฐานะ ผมลีโอ มันไฮเนเก้น) และกองกระป๋องเบียร์ในถุงร้านสะดวกซื้อข้างๆ (ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะว่างเปล่า)

"เป็นหมอมาทำเรื่องเสียสุขภาพแบบนี้ก็ได้หรือว่ะ"
"หมอก็คนไหมมึง"
เออ.....จริงของมัน
"แล้วมึงล่ะ มีอะไร หน้าอมทุกข์เชี่ยอะไรหนักหนา ยังเด็กอยู่เลย"
"มีละกัน"
"ถ้าแค่เรื่องแข่งบาสฯแพ้ มันไม่ถึงกับจะตายหรอกมั้ง"
"ไม่ใช่ ....กูกลุ้มใจเรื่องอื่น"
"เรื่องเชี้ยอะไร"
"มึงไม่รู้จักกูก็ไม่ต้องเสือก" รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นกูมึงกับไอ้หมอไปแล้ว
"งั้น กูจะช่วยไปบอกแม่มึงเอาไหม?"
อ้าว...เชี้ยแล้วไง มันทำท่าล้วงกระเป๋าเหมือนจะหยิบโทรศัพท์
"เออ..กูอกหัก พอใจยัง" ไอ้หมอทำหน้าแบบไม่ค่อยเชื่อ
"เป็นเด็ก แล้วไม่มีหัวใจหรือไง?"  พอผมพูดจบมันกลับทำหน้าเห็นด้วย
"เออ...นั่นสิเนอะ....." แล้วไอ้หมอมันก็น้ำตาไหลนองหน้าครับ ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกเลย เกิดมาไม่เคยเจอใครร้องไห้หนักขนาดนี้ นี่มันไปเจอเรื่องอะไรมาถึงได้เป็นขนาดนี้
"กู...ก็เคยมีความรักช่วงเรียนเหมือนกัน ..แต่แม่ง...จบแบบเหี้ยๆเนี่ยแหละ ที่ทำให้กูมานั่งเป็นบ้าแบบนี้!"
อ้าว....เฮ้ย... ใครถามมันว่ะ ผมมองมันอย่างงงๆ
"เฮ้ย....นั่งสิ" เขาตีพื้นหญ้าข้างๆ เขา แล้วหยิบเบียร์จากในถุงพลาสติกมาให้ผมกระป๋องหนึ่ง
เอาวะ.. ไหนๆก็ไม่มีที่ไป ได้เบียร์ฟรีด้วย

หลังจากที่ผมนั่ง ไอ้หมอมันก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ได้แต่กระดกเบียร์ขึ้นมาดื่ม ดื่มและก็ดื่ม เหมือนมีภาระกิจที่ต้องจัดการมันให้หมด หน้าตาก็เหม่อลอยเหมือนใจไม่ได้อยู่ตรงนี้ ส่วนผมเองก็จิบเบียร์ปล่อยอารมณ์ไปกับความเงียบ ให้ใจได้สงบลง เลิกคิดถึงคนที่เขาไม่ได้คิดถึงเรา ทั้งไอ้หมอและผมเหมือนนั่งด้วยกันแต่จริงแล้วเหมือนต่างคนต่างอยู่

เคร้ง!!

เสียงกระป๋องเบียร์ตกจากมือไอ้หมอกลิ้งลงน้ำไป

จ๋อม!!

ผืนน้ำที่สั่นไหว ทำผมออกจากภวังค์ หัวไอ้หมอโงนเงนจนเอนมาพิงผมที่อยู่ข้างๆ

"เฮ้ย!!!" ผมโวยวายลั่น แต่มันเหมือนหมดสติไปเลยครับ คอพับคออ่อนจนไหลลู่ลงไปจากไหล่ลงไปถึงหลัง ด้วยปฎิกิริยาอัตโนมัติ ผมรับคว้าตัวเข้าไว้ก่อนที่หัวจะกระทบพื้น ผมผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก ทันเวลาพอดี

"เฮ้ย หมอ.... ไอ้หมอ... หมอ!!!" ผมประคองเขาขึ้นมานั่งตรงและพยายามตบหน้าเขาเบาๆ (อยากทำมานานแล้ว) มันไม่ฟื้นครับ นอกจากบ่นงึมงำฟังไม่เป็นภาษา
"ถ้าจะคออ่อนขนาดนี้ก็ไม่ควรจะกินนี่หว่า" ผมเผลอไปมองกองกระป๋องเบียร์ที่ว่างเปล่า น่าจะเกือบโหล เออ!! ก็ควรแล้วแดกเข้าเยอะขนาดนั้น

"เชี้ย!!! เป็นภาระกูอีก" ผมมองซ้ายขวา ไม่มีใครอยู่แถวนั่นเลย ตอนนี้น่าจะเลย 2 ทุ่มแล้ว

เอาวะ พากลับไปให้แม่ดูมันหน่อยก็ได้ ด้วยความที่ไกล้บ้าน และผมแทบไม่รู้จักมันเลย คงเป็นวิธีเดียวที่ทำได้
ผมประคองไอ้หมอลุกขึ้นยืน ให้ตายสิตัวใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงเบาอย่างนี้เนี่ย แล้วผมก็ค่อยๆ ประคองมันจนไปถึงบ้าน

"ว้าย!! ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น" แม่ผมกรี๊ดทันทีกับภาพตรงหน้าที่เห็นไอ้หมอเมาเละเทะกองอยู่ตรงโซฟา กับผมที่อาบเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
"โอโห กลิ่นเหล้านี่หึ่งเลย .... แล้วนี่เราก็เอากับเขาด้วยหรือ แมบอกแล้วไงว่าอย่าดื่มในวันที่มีเรียน"
"มันชวน" ผมชี้ไปที่คนที่นอนเป็นศพอยู่ตรงนั้น อันนี้เรื่องจริงครับ แค่เล่าไม่หมด
"จริง?"
"ผมจะโกหกทำไม?"
"เออๆ ฉันไม่เถียงกับแกแล้ว ต่อให้โดนชวนจริงก็ปฏิเสธได้ใช่ไหม? อย่าให้แม่เจออีกนะ!!"
แม่ขึ้นเสียงสูง พูดจบแกก็ไปพยายามปลุกให้ไอ้หมอมันคืนสติกลับมาบ้างแต่ไร้ผล
"เอิร์ธๆ เอิร์ธ ลูก..  เฮ้อ.... ไม่ไหวเมามากจริงๆ"
"งั้นผมไปนะ เหนียวตัวจะแย่"
"เดี๋ยว... ไอ้ตัวดี มาช่วยแม่ก่อน" แม่ทำท่าจะพยุงไอ้หมอลุกขึ้น
"แม่จะเอามันไปไหน?  ให้นอนอยู่ตรงนี้แหละ"

"อ๊อกก..." เชี้ยมันอ้วกครับ เลอะเทอะไปหมด

" นี่ไง!! กะแล้ว แม่เห็นอาการไม่ดีตั้งแต่เมื้อกี้แล้ว ว่าจะให้แกช่วยพยุงไปห้องน้ำนี่ล่ะ ไม่ทันแล้ว"
แม่ทำหน้าแหยงๆ บอกไม่ถูก
"อ้วกอีกแล้ว ก่อนเข้าบ้านก็รอบหนึ่งแล้วนะ!"
"ไม่ต้องมาโวยวาย มาช่วยแม่เอาเขาไปล้างตัวหน่อย"
"ให้ผมทำ?"
"หรือจะให้แม่ทำ? งั้นแกมาล้างบ้านตรงนี้"
"ไม่เป็นไร งั้นผมพามันไปล้างตัวก็ได้" ผมรีบกุลีกุจอ เดินไปรับตัวมันมาแบกไว้โดยพยายามหลีกเลี่ยงอ้วกบนพื้นให้มากที่สุด ผมเห็นแม่คิ้วขมวดและส่ายหน้ากับภาพตรงหน้า

ผมพยุงมันขึ้นบันไดและวางมันตรงพื้นในห้องอย่างขอไปที
"เฮ้อ... ทำไมชอบทำให้กูวุ่นวายจัง" ผมยืนชี้หน้าคนที่กองอยู่ตรงพื้นแบบไม่มีระเบียบ

"หลง!!" เสียงแม่ตะโกนแทรกพื้นชั้นสองขึ้นมา
"ครับ" ผมตอบรับเสียงดัง
"ห้องรับรองแขกเราเพดานมันรั่ว วันนี้ฝากเอิร์ธไว้ห้องเราก่อนได้ไหม?"
"อ้าวทำไมล่ะ ให้มันนอนห้องรับแขกก็ได้นี่"
"พ่อแกกลับดึกเดี๋ยวจะตกใจ"
"โหย!!!"
"ก็แกไม่ยอมซ่อมหลังคาให้แม่เองนี่นา อย่าบ่น"
"คร้าบ คร้าบ" ผมตอบเสียงยาว... งานช่างแบบนี้แม่ให้ผมรับผิดชอบมาตั้งแต่ม.สาม แม่อยากให้เป็นวิศวะ แม่ว่างั้น พอโตมาตอนนี้รู้สึกเหมือนถูกหลอกครับ

ผมมองคนที่หลับอยู่ที่พื้นแล้วถอนหายใจ
ผมจับมันถอดเสื้อผ้าออก เสื้อที่เขลอะไปด้วยคราบอ้วกของมัน สังเกตดีๆ นี่มันมีแต่เสื้อผ้าดีๆมียี่ห้อทั้งนั้น อาชีพหมอนี่รวยว่ะ ดูอายุไม่เท่าไหร่ น่าจะเพิ่งทำงานหรือบ้านจะรวยอยู่แล้ววะ ผมบ่นไปโยนเสื้อผ้าของมันลงตระกร้าเตรียมซักไปด้วย

ผมเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวมันอย่างลวกๆ คนอะไรผิวขาวฉิบหาย ผมก็ขาวนะครับแต่ไอ้นี่มันใสแบบผิวดีมาก แถมอะไรๆ ก็เป็นสีชมพู ขนาดผมเป็นผู้ชายยังอดใจเต้นกับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้  อย่าเพิ่งคิดลึกนะครับ ผมยังไม่ได้ถอดบ๊อกเซอร์มันครับ
รูปร่างของไอ้หมอก็ดีนะครับ น่าจะออกกำลังกายมาบ้าง แต่หุ่นบางไปหน่อยมิน่าถึงได้เบานัก ผมเป็นนักกีฬาครับดังนั้นชินกับการเห็นผู้ชายถอดเสื้อผ้า แก้ผ้ากันจนไม่ได้คิดอะไร แต่ผมดันใจเต้นกับมันแบบแปลกๆ อาจเพราะไม่เคยเจอผู้ชายเปลือยแล้วดูสวยแบบนี้มั้ง

ระหว่างที่ผมเช็ดตัวมัน อยู่ๆ มันจับมือผมและดึงผมไปไกล้ๆ จนผมล้มหน้าทิ่มล้มไปข้าง จมูกผมโดนแก้มไอ้หมออย่างจัง คนเมาเชี้ยอะไรแรงเยอะฉิบหาย

"เอ...เอ..กลับมาหาเอิร์ธ แล้วใช่ไหม?" ไอ้หมอมันควรคราง ข้างๆหู

ส่วนผมนี่รีบดึงร่างตัวเองออกจากอ้อมกอดมันแทบไม่ทัน
"เชี้ย.. อะไรเนี่ย... กูไม่ใช่เมียมึงนะ" ผมโยนผ้าขนหนูหมาดๆ นั่นใส่ตัวมัน
แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นมันน้ำตาไหลพรากๆ ยังกะท่อน้ำแตก
ทำไมนะ ทำไมผมถึงรู้สึกหวั่นไหวกับภาพตรงหน้านี้ด้วย หากผมเมากว่านี้ ผมจะเป็นแบบนี้ไหมนะ ความรู้สึกเห็นใจไหลเข้ามาท่วมทับความรู้สึกรำคาญ 

"เอาวะ นึกว่าทำบุญก็แล้วกัน"
ผมตั้งใจจัดการเช็ดทำความสะอาด และเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเอาชุดของผมให้มันใส่ หลวมไปหน่อยแต่ก็ใส่ได้ ลำบากเหมือนกันเพราะมันดิ้นและพยายามจะเกาะแกะผมตลอด จับแขนบ้าง จับมือบ้าง จับเอวบ้าง โอย!! ยังกับปลาหมึกพัวพันไม่หยุด สรุปว่ามันเมาหรือจะแกล้งผมว่ะ กว่าจะจัดการให้มันนอนบนเตียงได้แทบแย่

ถึงมันจะตัวเล็กกว่าผม แต่ก็คือผู้ชายตัวควายๆคนหนึ่ง ดังนั้นแค่มันอยู่บนเตียงก็กินพื้นที่เตียงขนาดควีนไซส์ของผมไปกว่า 70% ผมเลยจำใจให้ตัวเองมานอนที่พื้นข้างๆ เตียง

"ยอมให้มึงคืนหนึ่งนะไอ้หมอ" ผมบ่นงึมงำ ขึ้นให้มันนอนพื้น แม่ผมรู้มีหวังบ่นหูชา

ผมปิดสวิทไฟ พยายามข่มตาหลับให้หลับ แต่ก็ทำได้แค่เพียงกลิ่งไปกลิ้งมา ผมไม่เคยคุ้นกับการนอนบนพื้นบ้านแข็งๆ แบบนี้เลย นอนไม่หลับ ขนาดตอนไปเข้าค่าย ร.ด.  ผมยังนอนไม่ค่อยหลับเลย ผมจำความทรมานแบบนั้นได้ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ผมตัดสินใจหยิบหมอนปลี่ยนที่นอนขึ้นไปบนเตียง

ผมพยายามขยับไอ้หมอที่ตอนนี้นอนเหยียดกายเต็มที่กางแข้งกางขา เหมือนเป็นที่นอนของมันเอง (ดีที่มันไม่กรน)  ผมใช้สองมือ พยายามโกยมันให้ไปกองอีกฝากของเตียง บทจะหนักมันก็หนักนะเนี่ย

หลังจากจัดการที่ว่างบนเตียงของตนเองเรียบร้อย ผมก็ล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจในฝั่งของผม กำลังจะเคลิ้มหลับได้ที่เพราะวันนี้ผมเหนื่อยจริงๆ ทั้งกายและใจ ในที่สุดผมได้กลับมานอนที่ๆ คุ้นเคย ไม่มีความสุขใดเท่าได้นอนเตียงนุ่มๆ ของตัวเอง หนังตามันก็หนักขี้นเรื่อยๆ

พั่บ!!

แขนของไอ้หมอฟาดมาที่ร่างผมอย่างแรง ผมตกใจแต่ก็รู้สึกของขึ้นอย่างแรง รู้สึกเส้นเลือดตรงขมับบูดขึ้นมา เลย ผมขว้างแขนมันออกไปและพลิกตัวหันไปทางเจ้าของแขนข้างนั้น

"เฮ้ย!!!  มันจะมากไปแล้ว.....น.....นะ" ผมเตรียมเงื้อมือขึ้นมากะว่าจะโบกมันสักทีสองที แต่พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ไปเจอหน้าสวยๆ ขนตายาวของมันเข้า ในระยะประชิด แสงไฟจากถนนภายนอกลอดผ่านช่องหน้าต่างแสงสีส้มสลับขาว ทำให้พอมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ยาก  ทำไมผมต้องใจเต้นขนาดนี้ด้วยนะ ตอนนี้ดวงตาคู่นี้ปิดสนิท มีคราบน้ำตาติดอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง ดวงหน้าดูสงบขึ้น มันดูดีจนผมทำร้ายมันไม่ลง รู้สึกไม่อยากไปรบกวนเขาตอนนี้

ผมตัดสินใจนอนลงไปอย่างเดิม แต่เพียงครู่เดียวไอ้หมอมันก็เอาแขนมาพาดผมอีก ผมโยนแขนมันกลับ สักพักมันก็กลับมาอีก สรุปคือแขนมันเป็นมูมเบอแรง? เป็นอย่างสักสองสามครั้งผมก็เลิกยุ่งกับมัน ปล่อยมันไว้บนตัวผมนี่แหละ เพราะเริ่มเหนื่อยแล้ว ผมง่วงมาก แต่.....ไม่เข้าใจว่าทำตัวเองใจสั่นขนาดนี้ แล้วผมจะนอนหลับไหมเนี่ย?

..............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2017 10:11:13 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่หก
«ตอบ #7 เมื่อ01-07-2017 12:21:37 »


เอิร์ธ # 3

วันนี้เป็นวันหยุดวันแรกของผมในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา (อยากจะจุดพลุฉลอง) เหนื่อยจนไม่อยากไปไหนเลย วันนี้ผมมีเป้าหมายแค่จะนอน กับนอน และนอน ผมเปิดแอร์ปิดม่านจนเวลาล่วงเลยไปเกือบเที่ยงวัน จนท้องมันเริ่มประท้วงแต่ร่างกายยังโหยหาการนอนอยู่เลย แค่หลับตาก็สามารถหลับต่อไปได้เลย แต่ผมก็พยายามดึงร่างตัวเองที่ติดกับเตียงออกมาหาอะไรกินให้ได้ ก่อนที่กรดในกระเพาะจะทำร้ายกระเพาะผม

ระหว่างที่ร่างกายกำลังต่อสู้กันเอง โทรศัพท์ก็ส่งเสียงดังส่องแสงวูบวาบขึ้นมา คงสงสัยกันว่าจะนอนยาวทำไมไม่ปิดโทรศัพท์ อย่างว่าครับด้วยอาชีพอย่างผมคงทำไม่ได้

ผมรีบขยับร่างไปดึงโทรศัพท์ที่ชาร์ทอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงมาดู แสงที่เรืองออกมาจากหน้าจอแสดงชื่อบอกว่าไม่ใช่คนของโรงพยาบาลโทรมา เป็นคนๆ หนึ่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะรับสายมาโดยตลอด

ผมลังเลที่จะกดปุ่มรับสาย ใช้นิ้วแตะที่หน้าจอแต่ไม่กล้าที่เลื่อนมันไปที่ ‘รับสาย’ ภาพในหัวนึกย้อนกลับไปที่เหตุการณ์วันนั้นทุกครั้งที่คนๆนี้มีชื่อว่าโทรหา….... วันที่ผมอยากจะลืมแต่…. เพียงแค่หลับตาภาพเหล่านั้นมันก็หวนกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ผมหยิบโทรศัพท์มากำไว้เหนือหน้าอก นอนแผ่หลาบนที่นอน ข่มใจที่จะไม่รับมัน
......………....

ย้อนไปเมื่อ สามเดือนก่อน

ก็อกๆ ก็อกๆ

ผมยืนตื่นเต้นอยู่หน้าอพาร์ทเม้นต์ ของเอ แฟนหนุ่มที่ผมคบหากันตั้งแต่ปีหนึ่ง เราแยกกันอินเทิร์นคนละโรงพยาบาล แถมอยู่คนละจังหวัด วันนี้วันเกิดเขาผมเลยเตรียมแผนที่จะมาเซอร์ไพร์ซเขา โดยการเอาของขวัญมาให้เขาโดยไม่ได้นัด ของที่เขาบ่นอยากได้มานาน แอปเปิลวอทช์รุ่นล่าสุด  ที่ผมอุตส่าห์ฝากพ่อซื้อมาจากต่างประเทศ

ตอนแรกผมบอกเขาไปว่าไม่สะดวกมาหาไม่ได้ เขาทำเสียงเศร้าๆ โอดควร
"ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน มาหาหน่อยไม่ได้ คิดถึง"
"ก็มันยุ่งจริงๆ ทางนี้คนไม่พอผมเลยต้องอยู่ยาวแบบไม่มีกำหนดหยุดเลย"
"เสียดายจัง อยากเจอ มีเรื่องจะคุยด้วยเยอะเลยครับ"
ผมพยายามอดกลั้นไม่เฉลยความจริงที่ว่าผมได้หยุดตั้งสองวันเพื่อจะข้ามจังหวัดไปหาเขา
"เราก็คุยกันเกือบทุกวัน"
"แต่มันไม่เห็นหน้านี่! ผมคิดถึงเอิร์ธมากเลยนะครับ"
โอย...จะทนไม่ไหวแล้ว
"จะลองพยายามก็แล้วกันนะ"
"เย้ๆ เอิร์ธ น่ารักที่สุด รักนะครับ อ่ะ!! เดี๋ยวผมต้องไปแล้ว แล้วโทรมาบอกด้วยนะว่าสรุปยังไง"
"ครับๆ คิดถึงนะครับ"
"จุ๊บๆ บาย"
"บายครับ"

แต่ตอนนี้มายืนอยู่หน้าห้อง แต่แปลก…ไหนว่าวันนี้ไม่ไปไหน เมื่อกี้ยังไลน์คุยกันอยู่เลยว่าอยู่ห้อง ทำไมไม่มาเปิดประตูเสียที

"ก๊อกๆๆ" ผมพยายามเคาะเรียกอีกรอบ แต่ก็ยังเงียบ จุดที่ผมยืนอยู่มีไอเย็นจากแอร์ฯไหลออกมาผ่านช่องประตูด้านล่างอย่างสม่ำเสมอ เลยค่อนข้างแน่ใจว่ามีคนอยู่ในห้อง หรือว่าหลับ?? หรือลืมปิดแอร์ฯ

แสงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ ผมยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว ผมแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แน่ๆ จึงตัดสินใจใช้กุญแจสำรองที่เขาเคยให้ไว้เปิดเข้าห้องรอเซอร์ไพร์สเขาในห้องดีกว่า  ผมผลักประตูห้องเข้าไปไอเย็นจากแอร์คอนดิชั่นเนอร์ด้านในปะทะเข้าที่หน้าอย่างจัง ทุกอย่างในห้องนิ่งเงียบในความมืดของผ้าม่านกันแดดและแสงยูวี ผมก้าวเดินเข้าเปิดสวิทไฟที่ข้างประตูด้านใน

วาบ!!

แสงไฟสว่างทั่วห้อง เผยให้เห็นรูปร่างคนนอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่มสีน้ำเงินเข้ม ผมรีบเดินเข้าไปนั่งที่ข้างเตียงทันที คนอะไรขี้เซาจัง เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น (ปมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เวลาเหนื่อยๆ แม่ผมลากลงจากเตียงยังไม่ตื่น

"เซอร์ไพร์ส!!!"

ผมเดินไปดึงผ้าห่มที่คลุมอยู่ขึ้นหมายให้คนข้างในแปลกใจ แต่คนที่แปลกใจกลับเป็นผมเองในเมื่อคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มกลับเป็นคนอื่น เฮ้ย!! หรือผมเข้าผิดห้อง

"อ้าว..เอ กลับมาแล้วหรือ? หายไปนานเลยนะ หิวแล้วนะเนี่ย"

ชายลึกลับที่นอนอยู่ ลุกขึ้นกึ่งนั่งขยี้ตาตัวเองด้วยความงัวเงีย เผยให้เห็นร่างกายที่เปล่าเปลือย

"อ้าว!! นายเป็นใคร?" ชายในร่างเปลือยเปล่าถามพลางฉวยผ้าห่มแถวนั้นมาปิดส่วนสำคัญไว้

"เอ่อ..คือ... ขอโทษครับ คือ... " ผมพยายามเรียบเรียงคำถามในหัว จ้องไปที่ชายหนุ่มผิวสองสีหน้าคมเข้มกึ่งเปลือย ที่ดูน่าจะอายุมากกว่าผม

ผลั่ก.... เสียงประตูเปิดขึ้น พร้อมกับเสียงที่คุ้นเคย
"พี่ต่อตื่นแล้วหรือครับ ขอโทษนะครับไปนานไปหน่อย บังเอิญว่าแวะไปหลายที่ หาอะไรมาฉะ....ลอ….."
เสียงหยุดขึ้นกลางคัน หลังที่เงยหน้ามาเจอผมที่สภาพที่ใกล้จะระเบิดอารมณ์ออกมา

ภาพและคำพูดไม่กี่ประโยคบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดของมัน ผมฉลาดพอที่จะไม่ถามอะไร ผมขว้างกล่องของขวัญที่อยู่ในมือใส่เออย่างเต็มแรง ก่อนที่ผมจะวิ่งเบียดไหล่เอออกจากห้องทั้งน้ำตา

ผมไม่รู้ว่าต้องไปไหน รู้แต่ว่าต้องวิ่ง วิ่ง และวิ่ง ไปให้ไกล แต่ไปได้แค่สองชั้นก็ถูกมืออันใหญ่โตคว้าไว้

"เอิร์ธ ... รอก่อน... "
"ปล่อย!!" ผมสะบัดเต็มแรงแต่ไร้ผล เขาดึงผมเข้ามากอดไว้
"เอิร์ธ ฟังก่อน คือ...."
"ฟังอะไร สิ่งที่เห็นมันอธิบายทุกอย่าง ปล่อยนะ" ผมพยายามดีดตัวเองอยู่อ้อมอกที่รัดแน่นเหมือนกระต่ายที่ติดในกับดักที่ดิ้นไม่หลุด
"นี่แหละ คือเรื่องที่เอจะบอกกับเอิร์ธไง"

"เรื่องอะไร... ปล่อยสิโว้ย" ผมดิ้นรนไม่หยุด
"เรื่องพี่ต่อนี่ไง. คือ……จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะอยู่ด้วยกันสามคน?"
"......." ผมอึ้งครับ ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะออกจากปากปัญญาชนแบบเราๆ
"เอิร์ธ... ผมรักเอิร์ธนะ แต่ผมก็รักพี่ต่อเหมือนกัน แล้ว…ผมคุยกับพี่เขาแล้วพี่เขาโอเค"
"......." ผมไม่พูดอะไรแค่มองเข้าไปในตาของที่ดูจริงจัง
"ว่าไงเอิร์ธ ดีไหม?"
ผมรู้สึกเคว้งอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไง อย่างแรกที่รู้สึกคือ รับไม่ได้

"ทำไมถึงมีแค่เราสองคนไม่ได้?" ผมหยุดดิ้นรนและเอ่ยออกมาเบาๆ
"แล้วเอิร์ธไม่รักเราแล้วหรือ?" เอยังบังคับให้ผมจ้องหน้าเขา
"รักแต่ ..ทำไมถึงมีแค่เราสองคนไม่ได้ ผมรับไม่ได้ที่จะอยู่อย่างนี้"
"เราจะได้มีความสุขเยอะๆ ไง คนยิ่งเยอะก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ?"
ไม่เคยฟังคำพูดเห็นแก่ตัวแบบนี้มาก่อนในชีวิต ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักเขาออกไปได้สำเร็จ สายตาก็เหลือบไปเห็นที่อยู่บนเตียงที่ห่อร่างกายตัวเองด้วยผ้าคลุมของเอเดินลงมาสมทบ ยิ่งทำให้สติผมขาดหายไป

"พูดอะไรออกมาน่ะ? รู้ตัวบ้างหรือเปล่า? หากรักกันจริงก็ต้องมีเราแค่คนเดียว หากเอรักเอิร์ธ เอก็ตามเรามา แต่หากเอเห็นว่าเขาสำคัญกว่าก็ไม่ต้องตามมา" ผมตะโกนทั้งน้ำตา รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

ผมเดินลงบันไดอย่างไม่คิดชีวิตจนไปหยุดที่หน้าตึกอพาร์ทเม้นต์ แต่ไร้ซึ่งวี่แววของเอตามมา ผมยือรออยู่ตรงนั้น มองเข้าไปที่ห้องพักของเขา แต่ทุกอย่างสงบเงียบ พระอาทิตย์ถอยร่นลงมาจนจะถึงขอบฟ้า แสงบนท้องฟ้าเริ่มซีดจางจนเริ่มเห็นแสงดาวรางๆ เหมือนกำลังใจของผมที่หมดลงไปเรื่อยๆ

ผมลังเลอยู่ว่าควรจะอยู่หรือควรจะไปจากตรงนี้ดี?

ผมนี่มันไม่มีหวังแล้วใช่ไหม?

การที่คนเราไม่เจอกันไม่กี่เดือนทำให้เปลี่ยนไปได้ขนาดนั้นเลยหรือ?

คำถามเกิดขึ้นในใจวนไปมาจนผมตัดสินใจหันหลังจากตึกสูง 6 ชั้น ที่ตอนนี้เริ่มเปิดไฟนีออนส่องสว่างตามจุดต่างๆ

ผมเดินไปที่รถ นั่งลงเอาหน้าผากชนกันพวงมาลัย ในหัวว่างเปล่า ผมไม่รู้จะไปไหนแล้ว ผมไม่มีแผนสำรองสำหรับเรื่องนี้ อยากขับรถไปลงเหวที่ไหนสักแห่ง ให้ความเจ็บปวดที่ใจตอนนี้มันหายไป แต่หน้าของพ่อและแม่ก็แทรกเข้ามาในหัว ผมร้องไห้เอาหัวโขกพวงมาลัยซ้ำไปซ้ำมา

"กลับบ้านดีกว่า" ความคิดนี้ถูกแทรกเข้ามาในหัวทันที ผมรีบสตาร์ทรถ และขับออกไป จากจุดนั้นตั้งใจจะตรงกลับบ้าน

ระหว่างที่ผ่านหน้าอพาร์ทเม้นต์ของเอ ผมเห็นเอและอีกคนหนึ่ง เดินลงมาและมีทีท่าเหมือนมีปากเสียงกัน แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เสียงเพลง ‘เจ็บแต่จบ’ ดังขึ้นจากคลื่นวิทยุที่เปิดทิ้งไว้ ทันใดนั้นเสียงพี่อ้อยพี่ฉอด ก็ดังขึ้นมาให้หัวว่า "หากเขารักเราจริงเขาจะไม่มีวันไปสนใจคนอื่น เขาต้องหนักแน่นพอที่จะมีเราแค่คนเดียว แค่คิดจะมีอีกคนก็ผิดแล้ว"

"ขอบคุณครับ" ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยสำนึกต่อถ้อยคำเหล่านั้นที่ทำให้เหมือนมีพลังเพิ่มขึ้นมาที่จะใช้ชีวิต่อไป
ผมเหยียบคันเร่ง เพื่อให้รถทะยานเร็วขึ้นโดยตั้งเป้าคือที่ ‘บ้าน’

...............

หลังจากวันนั้น ผมก็ให้พ่อใช้เส้นสายย้ายผมมาทำงานใช้ทุนที่นี่ เพื่อให้ไกลจากเอ และไม่ให้เขารู้ ผมปิดแม้กระทั้งเพื่อนสนิทของผมด้วยซ้ำ (คนที่รู้ก็มีแต่น้อย) ผมไม่รู้ว่าเขาจะติดต่อมาทำไม? แต่ผมก็ทำใจที่จะรับโทรศัพท์จากเขาไม่ได้ เขาส่งไลน์มามากมายจนผมต้องขอบล็อค

เพื่อนด่าผมประจำว่าทำไมไม่เปลี่ยนเบอร์ ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ หรือผมยังคิดว่ามีความหวังกับเรื่องของเออยู่

ผมพลิกโทรศัพท์ที่คว่ำหน้าอยู่ตรงหน้าอกผมขึ้นดู ซึ่งตอนนี้เงียบสงบไปแล้ว

5 สายที่ไม่ได้รับ... มีความพยายามดีจัง ทำไมตื้อจังวะ

ยังไม่ทันถอนหายใจจนสุด ก็มีสายเข้ามาอีก. แต่คราวนี้ไม่ขึ้นชื่อ ผมรีบกดรับทันทีกลัวเป็นคนที่โรงพยาบาลโทรมา

"สวัสดีครับ"
"เอิร์ธ... เอเองนะ ในที่สุดก็ได้คุยกันเสียที"
"......." เฮ้ยยยยยย
"อย่าเพิ่งวางสายนะครับ มีเรื่องจะคุยด้วย"
"........มี…..อะไร....?...."
"อยากได้ยินเสียง คิดถึงนายมากเลย"
"........" ไม่รู้ว่าจะตอบไปเพื่ออะไร
"สบายดีไหม? หายโกรธหรือยัง?"
"ควรจะหายไหม?" ผมรู้สึกบรรยากาศเดิมๆ เริ่มกลับมา
"ผมขอโทษนะที่ปิดบังเอิร์ธไว้"
"........" อืม...เกือบดีแล้ว แล้วไงต่อ
"เราเอาเรื่องที่เอิร์ธบอกให้เราตัดสินใจแล้ว"
"อืม..." ผมรู้สึกตื่นเต้น แปลว่าสิ่งที่เราทำคืออยู่ห่างกันนี่ช่วยได้เหมือนกัน
"เราหวังว่าสิ่งที่เราจะบอกไปจะทำให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม"
"…..??."
"เราตัดสินว่า..... เราจะเลือกพี่ต่อล่ะ แต่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ได้ใช่ไหม? เราแคร์ความรู้สึกนายมากนะ"
"......."  อันนี้เรียกว่าแคร์ใช่ไหม?

หลังจากนั้นหูผมก็อื้อดับไปเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอคำตอบแบบนี้ เวลาที่ผ่านมา ทุกอย่างที่เรามีให้กันมันไม่มีความหมายเลยหรือไง? ผมก็รู้ว่าช่วงก่อนที่เราจะแยกย้ายกันฝึกประสบการณ์จริง เรามีเรื่องระหองระแหงกันมาเรื่อยๆ แต่ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ จะมาขอเป็นเพื่อนต่อ กูทำใจไม่ได้โว้ย ผมวางสายและเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างอารมณ์เสีย

ผมลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปหาดื่มอะไรให้มันหายขัดข้องใจ

.......

ผมลืมไปที่นี่มันไม่ใช่กรุงเทพ การจะหาที่นั่งดื่มชิลๆ มองผู้ชายหน้าตาดีให้มันสาแก่ใจ นี่มันหายาก สุดท้ายก็จบที่ร้านสะดวกซื้อและไปหาที่เงียบๆ ซดเหล้าให้โล่งใจ ใช้สุรารารดหัวใจที่บอบช้ำ หลังจากนี้จะขอเริ่มต้นใหม่ไม่สนใจอดีตอีกต่อไป

เดินจนพบที่นั่งที่ห่างไกลจากผู้คนสักหน่อย บรรจงนั่งหยิบเบียร์เย็นๆในถุงมาดื่มชื่นชมบรรยากาศยามเย็น ใกล้บึงที่สงบเงียบ กับสายลมอ่อนๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้น มันทำให้อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย

“โธ่….เว้ย” เสียงคนตะโกนพร้อมกับกิ่งไม้แก่ลอยคว้างลงไปในบึงไม่ไกลนัก
ทำให้ผมต้องมองไปที่ไอ้ตัวที่ทำลายบรรยากาศ

อ้าว… ไอ้เด็กเวรนี่อีกแล้ว

ช่วงนี้เจอมันบ่อยเหลือเกิน ด้วยความหงุดหงิดประกอบกับดื่มเบียร์ไปได้ครึ่งทางแล้ว (ซื้อมาตั้งโหล) ผมเลยโวยวายให้มันสำนึกผิดเสียหน่อย แต่พระเจ้า…ดันเจอคนหัวอกเดี๋ยวกัน คนอกหัก โลกนี้แม่งไม่ยุติธรรม  ทำไมคนหน้าตาดีๆ อย่างเรา (ผมกับไอ้เด็กเวรนี่) ถึงได้มาเจอเรื่องอะไรแบบนี้วะ

บวกกับเพียงแค่เห็นสีหน้าของมันที่ดูผิดกับที่เคยเจอมา ดูเศร้าหมอง มองมันก็เหมือนส่องกระจก เหมือนผมตอนนั้นไม่ผิด เชี้ย!! ทำไมต้องนึกถึงเรื่องพวกนั้นด้วยวะ ทำใจให้ลืมไม่ได้เสียที ผมยกเบียร์กระป๋องในมือดื่มจนหมด พร้อมชวนมันมานั่งดื่มด้วย ผมยื่นกระป๋องให้มัน และบอกให้มันมานั่งเป็นเพื่อนหน่อย มันก็ว่าง่ายดี (สงสัยเพราะเบียร์ฟรี) หลังจากนั้นผมก็จัดหนักรินน้ำสีเหลืองทองพร้อมฟองนุ่มลงคออย่างกับดื่มนมตอนเช้า ไม่ได้นับว่าดื่มไปอีกกี่กระป๋อง และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้ในวันนั้น……

………..

ผมตื่นมาพร้อมกับหัวที่หนักเหมือนเอาดัมเบลสัก 30 กิโลกรัม มาผูกติดหัวไว้ รู้สึกคอแห้งไปหมด ทุกอย่างดูสลัวๆ ทึมๆในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งผมไม่มั่นใจว่าผมอยู่ที่ไหน รู้สึกว่าแค่แสงสว่างเพียงน้อยนิดก็สามารถจี้หัวผมให้ปวดร้าวไปหมด ผมพยายามหยีตาอยู่นานกว่าตาจะปรับเข้ากับแสงสว่างที่มีอยู่ตอนนี้
ความรู้สึกที่ลำตัวไปถึงเท้าสัมผัสกับความนุ่มนิ่มตรงพื้นที่นอนอยู่เลยคิดว่านอนอยู่บนเตียง ผมอยู่ในท่านอนตะแคงและแขนข้างหนึ่งพาดอยู่กับบางสิ่งที่นิ่มๆ อุ่นๆ  พยายามกวาดตามอง จนไปเห็นโครงหน้าที่ได้รูปกับจมูกที่โด่งเป็นสันกำลังดี

เฮ้ย ไอ้เด็กหลงนี่!!!  นี่ผมกำลังนอนอยู่กับไอ้เด็กหลงนี่!!

ผมถึงกับสะดุ้งเปลี่ยนท่านอนทันทีแต่ร่างกายเจ้ากรรมขยับไม่ได้ดังใจเท่าไหร่!

“โห…ไอ้หมอ… รู้สึกตัวแล้วหรือ นี่ทำผมแทบไม่ได้นอนเลยนะ” เจ้าของเสียงลุกขึ้นนั่งมองนาฬิกาปลุกที่โต๊ะข้างเตียง เผยให้เห็นว่า มันใส่แค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวนอนอยู่ข้างๆ ผมรู้ร้อนผ้าวที่หน้าทันทีที่เห็น

แล้วคำพูดของมันแปลว่าอะไร

“ต้องตื่นไปโรงเรียนแล้วสิ เป็นครั้งแรกเลยที่ตื่นก่อนนาฬิกาปลุก” แล้วมันก็ลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ปลายเตียงเดินเข้าห้องน้ำไปเลย ปล่อยผมลำดับความคิดอยู่ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น

ไม่กี่อึดใจมันก็ออกมาในผ้าเช็ดตัวปิดส่วนล่างแค่ผืนเดียว อาบน้ำสะอาดไหมวะ แล้วมันก็แต่งตัวโดยที่เหมือนผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น จะถอดจะใส่อะไรดูเปิดเผยไปหมด จนผมต้องยอมคลุมโปงเสียเอง แต่ภาพมันก็ติดตาเสียแล้ว เด็กสมัยนี้มันโตไวจริงๆ หุ่นมันได้สัดส่วนไปหมดแทบไม่มีไขมันส่วนเกินเลย ซิกแพ็คนั่นอีก อกแน่นๆ นั้นอีก ไหนจะส่วนนูนส่วนโค้งนั่นอีก เฮ้ยๆ เดี๋ยวติดคุก พอๆ นอนต่อดีกว่า หรือจะถามมันดีว่าเกิดอะไรขึ้น?

พรึ่บ!!

ไอ้เด็กหลงเดินมาเปิดผ้าห่มที่คลุมผมอยู่

“เดี๋ยวก็หายใจ ไม่ออกหรอก ไม่ไหวก็นอนพักก่อนนะ” เด็กหลงยกมือขึ้นมาจับหน้าผากผม
“ไม่มีไข้ น่าจะแฮ้งค์ อย่างเดียว ผมวางน้ำไว้ให้แล้วที่หัวเตียงนะ อย่าลืมดื่มน้ำมากๆ แล้วเดี๋ยวผมบอกให้แม่มาดูแลต่อนะครับ”

แล้วมันก็เดินออกจากห้องไปเลย จะทำตัวน่ารักก็ทำได้นะไอ้เด็กนี่

……….

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่เจ็ด
«ตอบ #9 เมื่อ02-07-2017 21:46:00 »

ชัย #2


ด้วยความเป็นนักวางแผน(ชั่วๆ) วันนี้ผมเลยมานั่งรอผู้สมคบคิดคนสำคัญที่ร้านกาแฟริมบึง ที่เขานิยมพาคู่รักมาเดทกัน

“ว้าย…. คิดถึงจังเลย” รู้สึกถึงมือที่โอบกอดมาทางด้านหลังและก้อนหยุ่นนิ่มๆที่ท้ายทอย
“หน้าอกใหญ่ขึ้นนะ” ผมจับมือคนที่โอบผมอยู่
“ตายแล้วทะลึ่ง” เธอสะบัดมือและหันมาตีผมไหล่ผมเบา
“แต่ก็ชอบ…..?” ผมยิ้มหวานใส่เธอขณะที่เธอเดินมานั่งข้างๆ
“แหม… ไม่มีเรื่องไหว้วานนี่ไม่คิดจะติดต่อมาเลยนะ”
เธอสะบัดผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอสยายไปด้านหลัง แค่นั่นก็ทำให้คนทั้งร้านมองอย่างตะลึงงัน โดยเฉพาะพวกตัวผู้ คนมากับแฟนก็โดนตีกันดังเพี๊ยะๆ

เธอยิ้มอย่างภูมิใจ เจ้พิ้งค์…..เธอเป็นผู้หญิงที่สวยแบบโดดเด่น ผิวขาวตาโต ปากได้รูป แบบสาวเกาหลี หุ่นดีหน้าอกใหญ่ ประเภทว่าหากผู้ชายไหนไม่มองนี่ถือว่าผิดปกติ แถมมีดีกรีถึงเน็ตไอดอล ผมเคยกิ๊กกับเจ้แกอยู่พักหนึ่งสมัยเธออยู่ม.6 จนตอนนี้เธออยู่ปีหนึ่งแล้วและเธอก็ตกลงเป็นแฟนกับหนุ่มปีสามมหา’ลัยเดียวมาเกือบปีแล้ว ซึ่งมันรวย/นักเลง/ เพลย์บอย เออ….ก็เหมาะสมกันดี ผมยินดีที่เธอได้เจอกับคนที่เธอถูกใจ เพราะผมเองก็คิดว่า อย่างเจ้แกคงไม่เหมาะกับการมาเป็นแฟนเท่าไหร่ เปรี้ยวเกินไปผมไม่ชอบ

“มองเจ้ตาหวานเหมือนเลยนะ อยากกลับมากิ๊กกันอีกไหม?”
“ฮ่าๆๆ ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวเจอแฟนเจ้ ฆ่าหมกป่า”
“โอย… อย่าพูดถึงมัน อารมณ์เสีย ขนาดมีเจ้มันยังเจาะแจะกับคนอื่นได้”
“เอาน่าๆ แต่เห็นอยากได้อะไรเขาก็ซื้อให้”
“มันก็มีดีแค่นี้แหละ เออ ว่าแต่มีอะไร หรือว่า….. วันนี้ห้องเจ้ว่างนะ” เจ้พิ้งค์เอานิ้วมาเขี่ยไปมาที่หลังมือผม
“เอ้ย!!! ไม่เอาไม่เอา” ผมรีบชักมือหนี แค่เจอกันแค่นี้ผมยังรู้สึกอันตราย หากทำมากกว่านี้เตรียมแจ้งตำรวจตามหาศพผมได้เลย
“อารมณ์เสีย!!” เธอกอดอกหน้าบึ้ง ดูน่ารักไปอีกแบบ
“เข้าเรื่องเลยดีกว่า อยากไว้วานอะไรหน่อย” ผมโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
“…….” เจ้พิ้งค์ทำหน้าฉงนใส่
“เอานะ …. ไม่ได้ทำฟรีหรอก” รู้ว่านางหน้าเงินไม่งั้นไม่ไปเป็นเน็ตไอดอลขายครีมหรอก
“เรื่อง??” ดูมีสีหน้ากระตือรือร้นขึ้นมาหน่อย
“มาใกล้ๆ หน่อยเดี๋ยวเล่าให้ฟัง ไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน” ดูเจ้พิ้งค์ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย
“……………………………………………….…”
“เอ…มันจะดีเหรอ?” เจ้พิ้งค์ผงะออกมา
“ดีสิ!!”
“มันจะโดนตีนตายเอานะ”
“อาจแค่ปางตาย แต่อย่างน้อยแค่จะสั่งสอนมันนิดหน่อย”
“ไม่ดีกว่า ไอ้อาร์ทมันน่ากลัวมากนะเวลาหึง”
“ไม่เป็นไร ผมรู้จักมันดี มันไม่เคยทำใครถึงตาย” อาร์ทคือแฟนขี้หึงของเจ้พิ้งค์
“และผมว่าอีกฝ่ายก็ร้ายไม่เบา คงป้องกันตัวเองได้” ผมพูดต่อเพื่อพยายามลดสีหน้ากังวลของเจ้พิ้งค์
“อืม……” แต่เจ้พิ้งค์ก็ยังดูลังเลและกังวล
ผมถอนหายใจเบาๆ และตัดสินใจยื่นซองจดหมายหนาๆ วางตรงหน้า พริ้งรีบหยิบขึ้นดูและผ่อนหายใจยาวๆ
“จริงจังสิเนี่ย?”
“เออสิ….คิดมาดีแล้ว”
“เออ…..ก็ได้”
พริ้งหยิบซองใส่กระเป๋า ผมแอบยิ้มแบบชั่วร้ายในใจ

……………..

เพื่อนผมมันคนดีครับ ไอ้หลงเห็นมันซ่าๆ อย่างนั้นแต่ในหัวมันแม่งโคตรอินโนเซ็นต์ ผมอุตส่าห์เฝ้าติดตาม นิ่มกับไอ้กวีอยู่หลายวัน จนคิดแผนแก้แค้นทั้งสองคนได้ ระหว่างที่เห็นเจ้พริ้งแกขายครีมแบบนมแทบหกจากเต้าในเฟซบุ๊ค ในที่สุดทุกอย่างก็พร้อม !!

ทุกวันไอ้กวีจะขับรถมาส่งนิ่มทางถนนเส้นนี้ทุกวัน มันเป็นทางที่รถผ่านน้อยแต่คลองส่งน้ำมันจะเยอะนิดหน่อยเลยไม่เป็นที่นิยม และผมก็เล็งที่จะปล่อยแผนของผมตรงสะพานที่มีความยาวมากที่สุด กะช่วงเวลาขากลับที่มันกลับจากส่งนิ่มเรียบร้อยแล้ว

“พวกมึงเสร็จกูแน่”
“จะดีหรือ ตรงนี้เปลี่ยวจะตาย” เสียงหนึ่งด้านหลังเอ่ยขึ้น
“เปลี่ยวสิดี เจ้พริ้ง !!”
“แน่ใจหรือว่าจะได้ผล”
“มั่นใจในเสน่ห์ตัวเองหน่อย”
“มืดแบบนี้ใครจะมองเห็น”
“งั้นเอาเสื้อนอกออก” ผมดึงเสื้อแจ็คเก็ตของเจ้พริ้งออก เผยให้เห็นเสื้อสายเดี่ยวและผิวขาวใต้ร่มผ้า ผมถึงกับแอบสัมผัสไปนิดหน่อย
“ทะลึ่งจริงเชียว” เจ้แกดูอายๆ กับสิ่งที่ผมทำ เห็นมากกว่านี้ผมก็เคยมาแล้วจะมาอายทำไมก็ไม่รู้
“เฮ้ยๆ มันมาโน่นแล้ว เริ่มแผนได้!!”
“ว้ายๆๆ” เจ้แกตกใจอุทานออกมา

แผนของผมที่ว่าก็คือ ผมจะให้เจ้พริ้ง ทำเป็นรถเสีย และอ่อยมันตรงสะพานนั่นแหละ จากที่สืบมามันสุภาพและเห็นผู้หญิงเดือดร้อนไม่ได้ นิ่มหึงมันตลอดเวลามันไปทำดีกับใคร แล้วเห็นสวยๆ เอ็กซ์ๆ แบบนี้ต้องลงมาช่วยแน่นอน หลังจากนั้นก็ให้เจ้พริ้งรุกสานสัมพันธ์จนให้นิ่มมันรู้ ให้มันทะเลาะกันให้มันเจ็บเหมือนที่เพื่อนผมเจ็บ ส่วนไอ้กวี หากเรื่องมันมาติดพันเจ้พริ้งรู้ไปถึงหูไอ้อาร์ท มันได้ปางตายแน่นอน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ผมจินตนาการหน้าตัวเองออกคงเหมือนตัวร้ายในการ์ตูน

ผมนั่งแอบส่องความเป็นไปในพุ่มไม้ไม่ไกล ยุงเริ่มเยอะขึ้นแล้ว เริ่มรู้สึกเสียใจที่มาปฏิบัติการตรงนี้

เป็นไปตามแผน…เจ้แกโบกรถไอ้กวี ไอ้หน้าหล่อนั่นรีบกดไฟฉุกเฉินเข้าเทียบจอดด้านหน้า มันลงมาสอบถามและพูดคุยกับเจ้พิ้งค์ ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ รู้แต่ว่าเจ้พริ้งแกตีบทแตก หัวร่อต่อกระซิก ใกล้แบบเนื้อแนบเนื้อ คงต้องมอบออสการ์ในเจ้แก หรือว่าแกจะหิวไอ้กวีจริงๆ เพราะมันก็หล่อ ตี๋ สูง ขาว หน้าหวานๆใครจะหลงมันก็ไม่แปลก

เรื่องกำลังไปได้สวยหลังจากที่ไอ้กวีซ่อมรถที่(แกล้ง)เสียเสร็จ. เจ้พริ้งก็อ้อนขอแลกไลน์ ซึ่งไอ้กวีก็ดูจะยอมให้แต่โดยดี
แว๊นๆๆๆ

เสียงมอเตอร์ไซค์แบบท่อแตกเสียงดังแสบหูชนิดเห็นแต่แสงไฟแต่ไกลก็ยังได้ยินเสียงชัดเจน แก๊งเด็กแว้นฝูงหนึ่งก็ขับผ่านไป ส่งเสียงวีดหวิวแซวเจ้พริ้งที่ตอนนี้ใส่เสื้อผ้าเหมือนอยู่ริมชายหาด ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร นอกจากเห็นไอ้กวีทำท่าเหมือนอยากให้เจ้พริ้งแกรีบเข้ารถ ไม่กี่อึดใจพวกมันก็วนรถกลับมาล้อมทั้งสองคนไว้

ผมได้ยินเสียงโหวกแหวกจากไอ้กวี และเสียงหวีดว้ายจากเจ้พริ้ง แล้วพวกแก๊งเด็กแว้นนั่นก็รี่เข้าใกล้คนทั้งสอง โชคดีที่ไอ้กวีมันฉลาดมันผลักคนที่อยู่ใกล้เจ้พริ้งล้มลงและเปิดทางให้เจ้แกรีบขึ้นรถ และหลังจากนั้นเหตุการณ์ก็ชุลมุนไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร ผมมองเข้าไปในรถเห็นเจ้โบกไม้โบกมือมาทางผมเหมือนขอความช่วยเหลือ

ผมกำหมัดแน่น คิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดตรงหน้า รู้ตัวอึกทีผมก็วิ่งไปจัดการไสรถที่ข้างทางรถเจ้พริ้งออกพอให้ขับฝ่าออกไปได้ ผมวิ่งไปทุบกระโปรงหน้ารถเจ้พริ้ง

“หนีไปแจ้งตำรวจ!! เร็ว!!” ผมตะโกนบอกเจ้พริ้งเสียงดังจนไอ้คนที่ชุลมุนอยู่แถวนั้นหันมามองกันหลายคน

“เฮ้ย..!! มันมีคนมาช่วย”  คนที่เป็นเหมือนหัวโจกโวยขึ้นและชี้มาทางผม ซวยแล้ว

สองสามคนในนั้นวิ่งกรูเข้าทางผม ในขณะที่เจ้พิ้งค์แกเหยียบคันเร่งจนมิดและขับออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ผมยกขายาวๆของผมยันไอ้คนที่มาคนแรกล้มไปหลังจากนั้นก็ชกคนที่ตามมา เบี่ยงตัวหลบหมัดคนที่สาม และเตะมันเข้าที่สีข้างอย่างจัง  เรื่องวิวาทผมก็ไม่แพ้ใครนะ

ในขณะเดียวกันไอ้กวีก็ไม่ธรรมดาซัดฝ่ายตรงข้ามหมอบไปหลายคนแล้ว หลังจากผมกระแทกเข่าเข้าที่ท้องน้อยของคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่ได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่ ผมสูดลมหายใจให้เต็มปอดอีกครั้งก่อนที่จะไปช่วยกระทืบคนที่เหลืออยู่ของอริฝั่งไอ้กวี

ไอ้หน้าขาวมองหน้าผมด้วยสายตาขอบใจปนประหลาดใจ แต่มือและเท้าก็ยังขยับไปมาเพื่อจู่โจมและหลบหลีกไปเรื่อย สีหน้าของไอ้กวีเริ่มไม่ดี แสดงอาการเหนื่อยและเริ่มมีแผลบอบช้ำที่ปลายคิ้วและมุมปาก ขนาดผมสู้กับสามคนยังเหนื่อยแต่จำนวนที่มันสู้ด้วยมากกว่าผมตั้งสองเท่าได้มั้งจะขนาดไหน

“ตายยากนักใช่ไหมมึง!!”
ไอ้หัวโจกเมื่อครู่มันมาจากไหมไม่รู้ ถือไม้อันใหญ่วิ่งเข้ามากมายจะตีเข้าที่หัวของไอ้กวี   มันที่ยังพัวพันกับอีกสองคนที่เหลือเลยไม่ทันระวังตัว ผมซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงวิ่งออกไปหมายจะถีบให้มันล้มไป แต่ไอ้หัวโจกนี่เก่งพอตัว มันหลบทันและใช้ไม้ฟาดเข้าที่หน้าผมอย่างจัง คราวนี้ผมรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ภาพที่เห็นทั้งหมดสั่นไหว แรงที่เคยมีเริ่มหดหาย ขาทรงตัวไม่อยู่ รู้สึกถึงของเหลวอุ่นไหลลงอาบแก้มข้างที่โดนของแข็งเข้าไป

“เฮ้ย!!” เสียงตะโกนของไอ้กวีดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมกับภาพที่มันถาโถมใส่หมัดไอ้หัวโจกแทบไม่ยั้งมือ

ผมเซไปจนถึงขอบสะพานข้ามคลองที่มีราวไม้กั้นต่ำๆ พยายามทรงตัวให้นั่งบนราวไม้กั้นนั่นให้ได้ แต่เหมือนโลกมันเอียงไปหมด ผมรู้สึกร่างทั้งร่างกำลังลอยลงมาอย่างช้าๆ

ตูม!!

เสียงน้ำกระจาย นี่ผมตกลงมาจากสะพานหรือนี่ น้ำเย็นๆในคลองช่วยเรียกให้สติผมกลับมาเฉียบคมขึ้นแต่เรี่ยวแรงมันยังไม่กลับมาทั้งหมด ผมพยายามตะเกียกตะกายให้หัวพ้นน้ำ แต่มันอยู่รอบตัวผม ไม่เคยคิดว่าน้ำจะมีพลังมากขนาดนี้ มันบีบรัดพัวพันตัวผมจนหายใจไม่ออก ผมค่อยๆจมลงอย่างช้าๆ สติที่มีเริ่มเลือนลางดำมืด ภาพในอดีตตัดสลับไปมาพร้อมกับความคิดที่ว่าผมควรจะใส่ใจคลาสเรียนว่ายน้ำมากกว่านี้……..

……………………………
“อย่าเพิ่งตายนะ ตื่นสิโว้ย!!!”

เสียงโวยวายดังอยู่ใกล้ รู้สึกได้ถึงแรงกดที่บริเวณลิ้นปี่อย่างเป็นจังหวะจนเริ่มเสียดท้อง ปากของผมสัมผัสถึงไออุ่นที่อ่อนโยนและลมอุ่นๆที่พัดผ่านแก้มเลยไปจนถึงท้ายทอย สักพักผมก็รู้สึกจุก และสำลักน้ำออกมา ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองเห็นเงาลางๆ ของผู้ชายที่ตัวเปียกปอนไปหมด

“เฮ้ย .. ฟื้นแล้ว… ค่อยยังชั่วหน่อย”
ตาผมยังปรับแสงกับความมืดไม่ได้แต่ก็เพลียเหลือเกิน ผมสำลักน้ำออกอีกสองสามรอบ

“ทุกคนคะ ทางนี้คะ!!” เสียงเจ้พิ้งค์ดังมาจากที่ไกลๆ
“ทางนี้ครับ!! ช่วยด้วยครับ!!”  เจ้าของเสียงที่ผมจำได้ว่าเป็นไอ้กวี พยุงผมลุกขึ้นจากพื้นที่ชื้นแฉะ

และหลังนั้นสติผมก็ดับวูบไป………

……………………

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Love Rebound รักต้องคว้า บทที่เจ็ด
« ตอบ #9 เมื่อ: 02-07-2017 21:46:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ชัย # 3


แฮ่กๆ

ณ ตอนนี้ผมเสียงลมหายใจของตัวเอง ความน่ากลัวในน้ำอันมืดมืดยังคงตามหลอกหลอนผมแม้แต่ในฝัน ผมตื่นมาในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดไม่ใหญ่มาก ทุกอย่างในห้องนิ่งเงียบจนได้ยินเสียงลมที่ออกจากช่องแอร์เป่าดังฟู่ๆ ผมขยับตัวพยายามมองรอบๆ แต่หัวของผมมันหนักๆ ชอบกล และปวดแปล๊บเป็นระยะๆ

ผมสังเกตตัวเองโดยทั่ว และสรุปว่าตัวเองมีสภาพเป็นคนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล (ก็ป่วยจริงๆ นั่นแหละ) หัวถูกพันผ้าไปรอบ และมีผ้าพันแผลพันอยู่หลายจุด

สังเวชตัวเองที่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ทำไมแผนที่จะไปทำร้ายคนอื่นจบลงด้วยการไปช่วยคนที่เราจะแกล้งและกลายเป็นคนเจ็บเสียเองวะ

“เฮ้ย….  บอกแล้วว่ามันตายยาก บ้าๆอย่างมันยมทูตไม่มารับตัวมันหรอก”
เสียงไอ้หลง ไอ้เพื่อนเฮงซวย ที่กูซวยก็เพราะมึง ยังมีหน้ามากวนเท้ากูอีก อย่าให้กูหายนะมึงจะกระถีบยอดหน้าเลย (หากขากูถึง แม่งเซ็งเกิดมาเตี้ยกว่ามัน)

“ไอ้เชี้ย” ผมมีแรงพูดออกมาแค่นั้น

“ชัยฟื้นแล้ว โล่งอกไปที ทีหลังไม่ทำแบบนี้แล้วนะ”
“ชู่!!” ผมทำเสียงและจุ๊ปากใส่เจ้พิ้งค์
“ไม่ทันแล้ว แผนโง่ๆของมึงน่ะ เจ้พิงค์เล่าให้กูฟังหมดแล้ว!!”
เจ้พิ้งค์หลุบหน้าลงต่ำ หลบตาผม
“เออๆ กูมันโง่เอง”
“แล้วไอ้กวี มันมาทำอะไรหน้าห้องมึงวะ”
“หือ??”
“เจ้พามาเองล่ะ ไปเจอตอนไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจเลยชวนมาเยี่ยมชัย”
“อ้าวเจ้ไม่ไม่พร้อมไอ้ชัย” ผมมองหน้าเจ้พิ้งค์อย่างสงสัย
“เจ้กับกวีมาถึงก่อน เจ้รอชัยอยู่ข้างล่าง เลยให้กวีขึ้นมาก่อน”
“แล้วทำไมมันไม่เข้ามาวะ?”
“คงเห็นชัยยังไม่ฟื้นมั้ง?”
เจ้พิ้งค์เดินไปเปิดม่าน แสงด้านนอกสาดเข้ามาจ้า คงน่าจะใกล้เที่ยงแล้ว ท้องผมเริ่มร้องหลังจากร่างกายรู้เวลา

“ไอ้กวี มันจะมาทำไมวะ?” ผมพูดพึมพำ
“แหม.. เขาคงมาขอบคุณชัยไง ก็ชัยวิ่งเข้าไปช่วยเขานี่… อีกอย่าง…เขาเป็นช่วยชัยขึ้นมาจากน้ำนะ แถมผายปอดให้ด้วยนะ!” เจ้พิ้งค์ยิ้มแบบฟินๆ

“หา!?!” ผมกับไอ้หลงร้องเสียงหลง

พูดถึงผี ผีก็มา ไอ้กวีมันเปิดห้องเข้ามาพร้อมกับนางพยาบาลที่เข็นถาดอาหารมื้อเที่ยงมาให้ พร้อมกับยาอีกหลายขนานในแก้วเล็กๆ ดูสีสันมันก็สวยดี แต่ผมไม่ชอบทานยานี่สิ

“ไม่ต้องแปลกใจนะ เราไปเรียกพยาบาลมาเองล่ะ เห็นว่านายตื่นแล้วคงจะหิวเลยให้เตรียมข้าวเตรียมยามาให้”

มันคงเห็นพวกผมทำหน้าเหวอๆ เลยรีบตอบคำถาม


“เห็นว่าเที่ยงแล้วคงหิว” มันเดินเข้าเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกับเรา ยิ้มทักทายทุกคนด้วยชุดที่หลุดมาจากแม็กกาซีน มันไปสถานีตำรวจหรือไปเดินแบบมาวะ

มันวางถุงผลไม้และขนมลงบนโต๊ะข้างๆตู้เย็นและนั่งอ่านหนังสือที่ติดมือมาอย่างใจเย็น

ผมมองเพื่อนกับเจ้พิ้งค์ในห้องแบบงงๆ แล้วอยู่ๆเจ้พิ้งค์ก็ขอตัวกลับเพราะแฟนนางโทรมาจิกแล้ว ส่วนไอ้หลงพอพยาบาลบอกว่าหมอเจ้าของไข้จะเดินมาตรวจมันถึงกับขอตัวไปด้วย

มันว่ารู้สึกหงุดที่เห็นหน้าไอ้กวีเลยไม่ขออยู่ร่วมห้องกับมัน

ผมดึงชายเสื้อมองมันแบบสื่อว่า “อย่าทิ้งกู”

ไอ้หลงเดินมากระซิบว่าใกล้ๆ ว่า “ หากมันไม่มีบุญคุณกับมึง กูไล่แม่งกลับไปแล้ว เรื่องนี้มึงหาเรื่องเอง จัดการเอาเองนะ”
แล้วไอ้หลงก็สะบัดก้นออกจากเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งผมให้อยู่กับไอ้กวีสองคน

ผมไม่กลัวอะไรมันมากหรอก แต่หากมันรู้ว่าต้นเหตุที่ทำให้มันไปจอดรถตรงนั้นให้เจ้าถิ่นสายแว๊นพวกนั้นมันรุมยำ ก็คือผมนี่จะเป็นยังไง ก็พ่อกับแม่ก็เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักในตัวจังหวัด แถมเป็นนักธุรกิจที่มีอิทธิพลอีก
 
หากมันเอาเรื่องนี่ผมว่ามีหนาวสันหลังวาบเหมือนกัน

ผมหิวจนพยาธิในท้องประท้วงเสียดังลั่นห้อง จนไอ้คนที่อ่านหนังสือที่มุมห้อง ลดหนังสือลงมาผมที่เตียงซึ่งกำลังพยายามเอื้อมมือไปจับโต๊ะเลื่อนที่ปลายเตียง มื้อเที่ยงผมอยู่บนนั้น

“โอ้ย!” ร่างกายผมมันไม่อำนวยให้ผาดโผนเท่าไหร่ เจ็บแปล๊บที่หัวจนต้องร้องออกมา

“มานี่… เราช่วย” อยู่ๆมันก็มาปรากฎที่ข้างเตียงและลากโต๊ะเลื่อนมาใกล้ตัวผมมากขึ้น มันเดินมาปรับเตียงจัดหมอน และเปิดฝาครอบอาหารออกจนหมด จัดช้อนส้อมออกมาวางเรียบร้อย ดูคล่องแคล้วมาก

“โอโห…”  ผมมองอ้าปากกว้าง “โคตรคล่องน่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า….” ไอ้กวีหัวเราะแบบเขินๆ “คือ… คุณย่าไม่ค่อยแข็งแรงเลยมาช่วยดูแลบ่อยๆน่ะ”
“อ้อ…” ทำท่าทีสนใจ พร้อมตักอาหารเข้าปากหลายคำ
“ไม่อร่อยใช่มะ?” หน้าผมแสดงออกชัดเจนว่าอาหารที่กินนี่ขาดรสชาติใดๆ เลย
“อืม… คงมีประโยชน์มากไป…” ความอยากอาหารผมลดลงจนสปีดในการกินตกลง
“คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เลยซื้อของชอบนายมาให้” ไอ้กวีเดินไปทางโต๊ะที่มีถุงหลากหลายขนาดวางอยู่
“ของชอบ??” แล้วมันรู้ได้ไงวะว่าผมชอบอะไร?
“อ่ะนี่” ไก่ย่างและอกไก่ผัดขี้เมา ใส่จานมาวางบนโต๊ะอย่างน่ากิน
“เอ่อ…..”  ถูกต้อง!! นี่คือเมนูสิ้นคิดของผม แต่ทำไมมันถึงรู้วะ?
“เอ่อ…โอเค… เรื่องพวกเนี่ยมันอยู่ในเพจ หนุ่มหน้าใสวัยทีน ไง”
“อ้อ….เหรอ” อะไรวะมีเรื่องพวกนี้เขียนไว้ด้วยเหรอเนี่ย แต่ที่แปลกกว่าคือ มันอ่านเพจนี้ด้วย!
“แล้ววันนี้ นิ่มไม่มาด้วยหรือ?” หาถามเรื่องอื่นแก้เขิน มันจะดูแลผมดีไปหน่อยจนทำตัวไม่ถูก ปกติไม่เคยพูดกันเลย แม้แต่มองหน้ามันยังหลบตา
“เขาไม่ชอบมาโรงพยาบาล เหม็นยา เขาว่างั้น” มันตอบไปด้วยยืนดูเรากินไปด้วย
“อ้อๆ….อืม…..”
แล้วก็นึกอะไรไม่ออก กินเงียบเรื่อยๆจนหมด สักพักจานจานผลไม้ก็ตามมาวางตรงหน้า อย่าบอกว่าที่หายไปเนี่ยคือไปเตรียมพวกนี้มา

“เดี๋ยวๆ นี่มันอะไรเนี่ย” อยากจะบอกว่าเพื่อนสนิททั้งหลายของผมยังไม่ดูแลผมขนาดนี้เลย มันออกจะเกินไปหน่อย
“ ไม่มีอะไรแค่จะตอบแทนที่ช่วยเรา ไม่งั้นคนที่นอนอยู่ตรงนี้อาจจะเป็นเรา”

“เฮ้ย…ไม่เป็นไร คือแบบ… อยู่ๆ ร่างกายมันก็ทำไปเอง แล้วกูมันไม่ระวังเอง พลาดโดนมันตีเอาได้”

“นั่นแหละๆ”

ผมยิ้มแห้งๆ กลับไป มันยิ้มหวานตอบมา บรรยากาศมันออกจะแปลกๆ ไปหน่อยแล้ว ไม่เคยคิดว่าจะต้องมามีโมเม้นต์แบบนี้กับมัน

ผมใช้ส้อมจิ้มผลไม้ที่ตัดแต่งแบบพอดีคำเข้าปาก แต่มันแต่เขินๆ เลยร่วงไปบนเป้ากางเกงผม ด้วยความเป็นนักกีฬาของทั้งคู่เลยใช้มือคว้าไว้แต่ …. ท่าทางตอนนี้เหมือนผมกับมันแอบจับมือกันใต้โต๊ะ

ก๊อกๆๆ

หมอเดินเข้าเข้ามาส่งยิ้มหวานให้ พวกผมรีบชักมือกลับทำตัวเป็นปกติ

“เห็นว่าฟื้นแล้วเลยขอมาตรวจเสียหน่อย…. ผมไม่รบกวนอะไรนะ”

“ไม่….ไม่ครับ” ผมรีบตอบ  แล้วกูจะตะโกนทำไมวะ

หลังจากหมอตรวจนั่นตรวจนี่เสร็จ ก็ยืนเขียนอะไรหยุกหยิกในแผ่นชาร์ทบนมือ
“โอเค…. โชคดีที่กระโหลกหนา ไม่เป็นไรมากแล้ว พักอีกสักสองคืนก็กลับไปพักต่อที่บ้านได้แล้ว”

“อ่อ… ครับ ขอบคุณครับ” นี่หมอชมใช่ไหมครับ?

“แฟนเหรอ? น่ารักดีนะ อย่าลืมบอกแฟนด้วยว่าอย่าซ่ามากนักนะ วันหลังอาจจะไม่โชคดีแบบนี้”
ไอ้กวีไอ้บ้า เสือกเขินหน้าแดง หัวเราะตอบหมอกลับไปแทนที่จะปฏิเสธ

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ เพื่อนครับเพื่อน”  ผมยกมือขึ้นมาโบกสิงมือเลย และหันไปตาเขียวใส่ไอ้กวีที่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแบบไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมเลย ไอ้เวรนี่

“หมอเห็นว่าดูแลกันดีขนาดนี้ เป็นหมอนะ รีบรับเป็นแฟนเลย หล่อด้วยดูสิ”

“ผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้นะครับ!” ผมตอบกลับไปโดยแทบจะไม่ได้ฟังหมอให้จบประโยค

“โอเคๆ งั้นหมอไปแล้ว”
ก่อนหมอออกไปผมแอบส่องป้ายชื่อหมอ “ปฐวี”  ผมนึกถึงไอ้หมอที่ไอ้หลงเช่าให้ฟังทันที มันจะใช่ไอ้หมอกวนทีนที่มันพูดถึงไหมเนี่ย?

หลังจากกวีมันกลับไปวันนั้น มันก็กลับเข้ามาเยี่ยมผมอีกบ่อยๆ  พูดง่ายๆ ผมเห็นมันทุกๆมื้ออาหารเลย เหมือนเช่นทุกครั้งที่มันจะซื้อโน่นซื้อนี้มาให้ผมกิน (ผมตะกละเลยไม่ปฏิเสธของฟรี) จนที่บ้านผมคิดว่าผมกับมันสนิทกันมาก ส่วนผมก็แอบคิดว่าผมไปสนิทกับมันตอนไหนวะ ส่วนไอ้หลงเพื่อนผม มันมาๆไปๆอยู่ได้ไม่เกินชั่วโมงมันก็รีบกลับ เป็นเชี้ยอะไรของมันวะ หรือว่าเป็นโรคแพ้โรงพยาบาลเหมือนนิ่มแฟนเก่ามัน

เมื่อเวลาผมออกจากโรงพยาบาลผมจึงตัดสินใจถามมันออกไปเลยดีกว่าจะได้เคลียร์กันไปเลย

“เฮ้ย..มึงน่ะ”
มันหันหน้ามาแบบงงๆ ขณะกำลังเก็บของโน่นนี่ลงกระเป๋าเดินทางที่แม่ผมเตรียมมา ส่วนแม่หายไปทำเรื่องชำระเงินโน่นนี่ให้เรียบร้อย

“เออ! มึงนั่นแหละ มานี่ดิ” ผมนั่งห้อยเท้าอยู่บนเตียงผู้ป่วย กวักมือเรียกมันมาใกล้ๆ

“นี่…กูจะถามหลายทีแล้ว อะไรของมึงเนี่ย?”
“อะไรคืออะไร”
แล้วมึงจะทำหน้าบ๊องแบ๊วใส่กูเพื่อ?? ผมคิด
“ก็นี่ไง ที่มึงทำอยู่เนี่ย? มาดูแลกูอะไรมากมายขนาดนี้?”
“ก็….แค่อยากตอบแทนที่ช่วย แล้ว….ไหนๆ เราก็มาเป็นเพื่อนกันก็ดีนะ”
“แค่เนี่ย???” ผมตอบเสียงสูงใส่
ไอ้กวีพยักหน้า แล้วก็เดินหันไปเก็บของต่อ หลังจากคิดทบทวนดูแล้วช่วงเวลาที่มันมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เห็นนิ่มเลย

อืมมมมมมมม

หัวสมองส่วนชั่วๆ ของผมก็คิดแผนสองออกมาได้อย่างแยบยล ก็ใช้ความเป็นเพื่อนนี่ละบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของมันสองคน

…………………………….
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2017 09:56:51 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


 กวี (1)

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ตัวเองเผลอนั่งมองนักกีฬาบาสเก็ตบอล ม.ต้น วัยเดียวกันด้วยความหลงไหล ทำไมถึงเป็นเล่นกีฬาเก่งขนาดนี้นะ ส่วนผมตอนนี้ก็เป็นได้แค่ตัวสำรองของทีม ผมมักจะนั่งมองเขาแข่งขันที่ข้างสนามเสมอ เพราะว่าโรงเรียนผมกับเขานั้นเป็นคู่แข่งที่มีธรรมเนียมในการจัดแข่งขันกันทุกปีจนกลายเป็นศึกสายเลือดกันไปแล้ว

แต่ในระหว่างแข่งขันผมดูเหมือนไม่ได้เชียร์อะไรทีมตัวเองเลย นั่งดูความเทพของเขาด้วยความเคยชินตลอดสามปีที่เข้าทีมบาสฯ มา เขาไม่ได้เป็นตัวทำคะแนนสูงที่สุด แต่บอกได้คำเดียวว่าหากทีมนี้ไม่มีเขาคงจะชนะได้ยาก เขาเป็นคนเก็บบอลได้ดี กระโดดคว้าบอลได้เร็วกว่าทุกคน มีการตัดสินใจที่เฉียบคมในการส่งลูกหาเพื่อนร่วมทีมของเขา โดยเฉพาะเพื่อนคู่หูของเขา (ชื่อหลงนะคิดว่า…ชื่อแปลกชะมัด) ที่เป็นตัวทำแต้มได้ดี โยนปุ๊ปลงโยนปุ๊บลง เขาแม้จะเป็นคนที่สูงที่สุดในทีม.ต้นแต่ก็รวดเร็วมาก

ผมมองเขาเป็นแบบอย่างและฝึกอย่างหนักเพื่อจะได้เป็นแบบเขาคนนั้น เป็นทีมเพลย์เยอร์ที่ดี จนกระทั้งขึ้นมาถึง ม.ปลาย ในมี่สุดผมก็ได้เป็นตัวจริงกับเขาเสียที (แล้วก็ป๊อปปูล่าขึ้นมาซะงั้น) ในที่สุดผมก็ได้อยู่ในสนามแข่งเดียวกับเขา แม้จะฝึกอย่างหนักแต่ก็ไม่อาจเทียบกับพรสวรรค์ของเขาได้ ทีมผมแพ้ให้กับทีมเขาแบบฉิวเฉียดเป็นประจำ (ไม่ว่าจะซ้อมแข่งหรือแข่งกันจริงตอนเก็บตัวด้วยกัน)  ผมไม่ได้เจ็บใจเลย แต่มันกลับเป็นแรงผลักดันให้ผมพัฒนาตัวเองต่อไป

ผมแอบมองจนเป็นนิสัย จนบางครั้งลืมไปว่าเราอยู่ใกล้กันมาก อยู่ในสนามแข่งเดียวกัน อยู่ระหว่างการแข่งในโซนพักเบรกใกล้ๆ กัน จนบางครั้งเขารู้ตัวก็มองกลับมา ตาเราสองคนประสานกัน ผมเหมือนคนบ้าผมรีบหลบตาทุกครั้งที่เขาจ้องมองมา ใจเต้นตูมตามเหมือนจะทะลุอกออกมาเต้นนอกอก

มีบางครั้งที่เขาเดินเข้ามาทักทายเหมือนแสดงความชื่นชมที่เราสู้กับเขาได้อย่างทัดเทียม แต่ผมก็เป็นอะไรไม่รู้ ไม่กล้าสู้หน้า พูดอะไรไม่ออก จนต้องหลบหน้าออกมาอยู่ไกลๆ

ก่อนหน้านี้เคยเห็นแต่จากในสนามไกลๆ เคยใกล้ชิดแต่ในรูป ไม่เคยเจอหน้าใกล้ๆแบบนี้ โครงหน้าตี๋ทรงไข่ ยิ้มแบบกวนๆ ผิวขาวแบบไม่ขาวมากแบบคนชอบเล่นกีฬากลางแจ้งบ่อยๆ ทำไมใจมันสั่น ท้องมันร้อนวูบวาบแบบนี้วะ อาการแบบนี้มันทำให้ผมสงสัยในตัวเองว่าจะผิดปกติหรือเปล่าวะ?

ผมเลยพยายามพิสูจน์ความเป็นชายกับผู้หญิงที่เข้ามาช่วงนี้ดู ผมก็ทำได้ดี ไม่บกพร่องและยังมีความต้องการเหมือนผู้ชายวัยรุ่นทั่วไป(คือความต้องการสูง) แต่ด้วยความเป็นลูกผู้ชายผมก็คงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ เธอชื่อนิ่ม หน้าตาน่ารักดี ผมถูกใจเธอตั้งแต่แรกเห็นแล้ว เธอเองก็มีใจให้อะไรๆ มันก็เลยง่าย

หลายครั้งที่ผมต้องไปแข่งกับทีมนี้หรือซ้อมด้วยกัน เวลาเจอเขาผมก็ยังคงมีอาการเหมือนเดิม จนผมถึงขั้นพิสูจน์ด้วยการค้นหาหนังโป๊ชาย-ชายมาแอบศึกษา ซึ่งผมยอมรับได้เลยว่า ไม่รู้สึกอะไร ดูไปได้ 10 นาทีผมก็ขอปิดแล้ว  แสดงว่าผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเขาคนนั้นในแบบนั้นแน่นอน ผมมั่นใจ!!

ในที่สุดผมก็สามารถเอาชนะทีมของเขาคนนั้นได้ แต่มันจะไปภูมิใจได้ไงกับสิ่งที่ได้มาโดยง่าย เพื่อนของเขาบาดเจ็บระหว่างแข่ง เขาจึงอาสาไปส่งเพื่อนที่โรงพยาบาล แม้ทีมเราจะตามอยู่ แต่พอไม่มีสองคนนั่น ชัยชนะมันก็ง่ายนิดเดียว เป็นชัยชนะที่ผมหงุดหงิดที่สุด

…………………………

แล้ววันนี้มันวันอะไรกัน การที่ผมลงไปช่วยสาวสวยที่ลำบากอยู่ริมทางทำให้ต้องมาทะเลาะวิวาทกับเจ้าถิ่น

เฮ้ย!! ผมไม่ผิดนะพวกมันเริ่มก่อน

โชคดีที่ผมเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้าง เรื่องปัองกันตัวเองก็พอไหว แต่จำนวนมันเยอะเกินไป ผมเริ่มอ่อนล้าจนไอ้พวกอันธพาลพวกนั้นสามารถต่อยโดนหน้าผมได้แล้ว ตอนนี้ทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บ

แต่เหมือนกับฟ้าเข้าข้าง มีคนจากไหนไม่รู้มาช่วยทำให้ อันธพาลส่วนหนึ่งแบ่งไปจัดการกับอีกคน ทำให้ผมหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น ทำให้พอจะจัดการที่เหลือได้ไม่ยาก ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วทำให้การมองเห็นไม่คมชัดเท่าไหร่ ทำให้ผมมองคนที่มาช่วยไม่ออกว่าเขาเป็นใคร?

จนกระทั่งเขาวิ่งเขามาขวางทางหัวโจกที่ยื้อไม้หมายจะฟาดหัวผมในมุมอับ แต่กลับเป็นเขาที่โดนฟาดเสียเอง ตอนนี้เขาอยู่ใกล้กับผมในระยะที่สายตามองเห็นได้ชัดพอดี ทำให้พอรู้ว่าคนที่มาช่วยชีวิตผมคือใคร

“ชัย!!”

ผมคิดในหัวเสียงดัง เขามีท่าทางการเดินแปลกไป จนเสียหลักเซไปจนถึงราวสะพานที่มีความสูงไม่ถึงเอว ผมเห็นของเหลวสีแดงไหลลามไปกว่าครึ่งหน้าของเขา ใจผมวูบไปที่ตาตุ่ม ความโกรธที่ไม่รู้มาจากไหน ผลักดันให้ผมวิ่งไปจัดการกับไอ้คนที่เล่นงามเขาเสียยับเยิน

ภาพที่เห็นคงสยดสยองเกินไปทำให้ลูกน้องของมันทยอยวิ่งหนีไป

ตูม!!!!!

เสียงน้ำกระเซ็นที่เบื้องล่างสะพาน…..

ผมรีบหันไปทางต้นเสียงทันที ชัยไม่ได้ยืนในจุดที่เขายืนอยู่ หรือว่าเขาตกลงไป!!!

ร่างกายมันขยับไปไวกว่าความคิด ผมถอดรองเท้าและกระโดดตามลงไปทันที ตัวของเขาหนักใช้ได้เลย (มันสูงกว่าผมแค่ 2 เซ็นต์ฯนะ) กว่าจะลากเขาขึ้นมาบนริมฝั่งคลองได้ก็ใช้เวลาพอสมควร ผมพยุงร่างที่หมดสติของเขาขึ้นมาไม่ไกลจากฝั่ง ร่างของเขาดูสงบนิ่งไร้สติ ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นผมได้เสียเขาไปแน่ๆ

พยายามคิดว่าตัวเองเคยเรียนอะไรรู้อะไรมาบ้าง
“ผายปอด!!”

ผมใช้กำลังที่เหลือ ทำตามวิธีกู้ชีพที่เคยเรียนมาจนสุดพลัง ใช้มือกดที่ลิ้นปี่อย่างเป็นจังหวะ สลับกับเป่าลมเข้าปาก

“ฟื้นสิๆ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง จำไม่ได้ว่าทำไปครั้งที่เท่าไหร่ จนเกือบคิดว่าหมดหวังไปเสียแล้ว

“เอาะ อ็อกกกก”  ในที่สุดเขาก็สำลักน้ำออกมา กลับมาหายใจได้อีกครั้ง แม้มันจะดูอ่อนแรง แต่ผมก็ทำสำเร็จ

“อยู่ทางนี้คะ ช่วยด้วย ช่วยด้วย!!” 
เสียงผู้หญิงบนสะพานและแสงจากไซเลน วิบวับไปมา

เฮ้อ….. รอดตายแล้วครับ ผมนอนแผ่ลงไปบนพื้นโคลนริมน้ำอย่างหมดแรง ใกล้ๆกับชัย ผมได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการช่วยเหลือคนที่ผมชื่นชม ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ทำให้ รู้สึกถึงไออุ่นจากปากของชัยที่ส่งผ่านเข้ามาเมื่อครู่ ผมใช้มือสัมผัสริมฝีปากไปมา ทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว

……………

นี่ผมมาทำอะไรอยู่ที่โรงพยาบาลอีกแล้ว ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าแค่มาเยี่ยมผู้มีพระคุณ ทั้งที่ใจมันก็บอกว่ามันไม่ใช่ แค่ข้ออ้างที่จะได้เจอเขาอีก 

สองสามวันมานี่ ผมแทบไม่เจอน้องนิ่มเลย อาจเพราะน้องบอกไม่ชอบมาโรงพยาบาล และผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจจะชวนด้วย  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมวะ

ทุกวันที่ผ่านมาแม้ผมกับชัยจะอยู่ในห้องเดียวกันแต่ก็พูดกันนับคำได้ ผมไม่อึดอัดที่จะอยู่ตรงนี้ และสบายใจที่ได้ดูแลเขา ช่วงหลังๆ เขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีอิดออดที่ผมทำโน่นนี่ให้แล้ว สุดท้ายผมก็เลยมาทุกวันจนกระทั่งวันสุดท้าย

ผมต้องมาสะดุดกับคำถามของชัยที่เหมือนถามว่า สิ่งที่ผมทำอยู่เพื่ออะไร ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ผมเลยตอบไปว่าแค่อยากเป็นเพื่อนด้วย ผมคิดว่าหากสนิทกันกว่าผมจะหาคำตอบกับความรู้สึกเหล่านี้พบ และดูเหมือนว่าเขาก็จะไม่ปฏิเสธผมด้วย

ความรู้สึกผมตอนนี้เหมือนจากแฟนคลับเปลี่ยนมาเป็นเพื่อนเลย  แล้วนี่ผมตัดสินใจถูกไหมวะที่มาใกล้ชิดเขาแบบนี้?

…………………………………………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
หลง (5)

นับตั้งแต่คืนนั้นกับไอ้หมอ ผมก็นึกถึงดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่น น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของมัน เรือนร่างของมันอยู่เนืองๆ ผมเกาหัวขณะที่กำลังนั่งเล่นเกมส์อยู่หน้าจอโทรทัศน์ จนกระทั่งโดนไอ้บอสยักษ์ในจอกระทืบตายคาที่ ผมหงายหลังล้มตัวลงบนเตียงอย่างเซ็งๆ กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยตลบขึ้นมา
เอ๊ะ….ทุกครั้งที่นอนบนเตียงนั้น ทำไมผมเหมือนรู้สึกถึงไออุ่นและกลิ่นของเขายังอยู่ที่เตียง

“มันเล่นของ หรือมันใช้น้ำหอมอะไรวะ” ผมบ่นกับตัวเองขณะนอนแผ่อยู่บนเตียงอย่างขี้เกียจ

เสียงเพลงริงโทนเรียบๆ ของผมดังขึ้นไม่ไกล ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นเบอร์เจ้พิ้งค์กิ๊กเก่าไอ้ชัย

“อะไรเจ้? ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรมา” ก็จริงผมบันทึกเบอร์ของเจ้พิ้งค์ตามไอ้ชัยเท่านั้น แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้แกจะมีเบอร์ผมด้วย

“หลง!! ชัย…. ชัย… บาดเจ็บหนักเลย ตอนนี้กำลังไปที่โรงพยาบาล”
“เฮ้ย!!! เจ๊เกิดอะไรขึ้น?!?”
“มันโดนรุมตี”
“อย่าบอกนะว่า…..” คือมันเป็นเรื่องที่ผมเคยกังวลอยู่ว่าถ่านไฟเก่ามันจะคุ แล้วเจอผัวเจ๊พริ้งกระทืบเอา
“ไม่!! ไม่ใช่! ใครก็ไม่รู้?” เจ้พิ้งค์คงพอจะเดาออกว่าผมหมายถึงอะไรเลยรีบปฏิเสธ
“เอ่อ….”
ผมค่อนข้างช็อค ว่าใครกันที่เล่นงานไอ้นักเลงลูกตำรวจอย่างมันได้ หากไม่ใช้จำนวนและความโง่ที่ไม่รู้ว่ามันเป็นลูกผู้กำกับโรงพัก เพราะไอ้อาร์ทแฟนเจ้พิ้งค์นี่ก็ลูกเจ้าสัวโรงสีใหญ่ น่าจะมีมันคนเดียวที่จะไม่กลัวพ่อไอ้ชัย

“อย่ามัวแต่ อึ้งสิ ช่วยเจ้โทรหา แม่กับพ่อของชัยหน่อย ใครก็ได้ เจ้ใจไม่ดีเลย” เจ้พริ้งร้องไห้โวยวายอย่างเสียสติที่อีกฝั่งหนึ่งของปลายสาย

“เจ้ใจเย็นๆ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ผมรีบวางสายและต่อสายตรงถึงพ่อแม่ไอ้ชัยทันที

…………………

ผมขอรถแม่ขับออกมาอย่างเร็วที่สุด แค่บอกกับแม่ว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล ไม่อยากเล่าอะไรให้ฟังมากเดี๋ยวจะเป็นกังวลอีกคน เพราะแกก็รักไอ้ชัยเหมือนลูก

ผมจอดรถที่ลานจอดด้านหน้า วิ่งเข้าโรงพยาบาลอย่างไม่รู้ทาง เห็นคนหน้าคุ้นเคยอย่างไอ้กวีนั่งทำแผลอยู่ในห้องกระจกในหัองฉุกเฉิน (ที่เดียวกับผม) พอมันเห็นผมมันถึงกับโบกไม้โบกมือเรียก แรกๆผมก็งงเพราะเราสองคนไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่ผมหันซ้ายขวาแล้ว จุดที่มันมองมีผมคนเดียวนี่หว่า

“เฮ้ย… อะไรว่ะ?” ผมเดินเข้าไปถามใกล้ๆ เห็นตัวมันเปียกปอนผมลู่ติดหัว หมดภาพความหล่อสำอางค์แบบที่มันเป็น พอมองเห็นมันในสภาพแบบนี้ทำเอาผมเกิดคำถามมากมายว่านี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน

“มึงมาหาไอ้ชัยใช่ไหม?” ไอ้กวีพยายามพูดกับผมโดยหลบพยาบาลที่มาพัวพันทำแผลให้เขาเป็นระวิง

“เออ ใช่ ทำไมมึงรู้”
ไอ้กวีไม่ตอบแค่ชี้เข้าไปข้างใน ที่มีกลุ่มคนเดินไปมาอย่างเป็นกังวลอยู่ที่หน้าห้องทึบที่ปิดสนิท (พยาบาลเริ่มหงุดหงิดกับมันเมื่อมันห่วงแต่จะคุยกับผมเลยไม่ค่อยอยู่นิ่งๆ ให้ทำแผล)

บรรยากาศตรงนั้นทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่สะดวกเหมือนก้อนอากาศมันหนักและแน่นจนผมควบคุมด้วยจมูกและปอดไม่ได้

“หมอแนะนำให้เข้าห้องสแกนน่ะ ชัยมันถูกตีหัวจนสลบไป ไหนจะตกจากสะพานและจมลงไปในคลองอีก”

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย กูงงไปหมดแล้ว”
แล้วไอ้กวีก็เล่าเรื่องที่ไอ้ชัยโดนพวกอันธพาลสายแว๊นพวกนั้นทำร้ายเพราะเข้ามาช่วยมัน

ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ดี แต่ก็ไม่อยากถามอะไรมาก เพราะไอ้กวีก็ดูสับสนอยู่ไม่น้อย ผมยังไม่จะถามอะไรกับผู้เคราะห์ร้ายอย่างมันมากนัก ผมมองไปเจอเจ้พิ้งค์ที่นั่งร้องไห้หมดสวยอยู่หน้าห้องสีเทาทึบ กับบรรดาพ่อแม่และญาติๆ ของมัน

พ่อของมันโทรศัพท์หน้าเครียด คงจะแจ้งให้ลูกน้องตามหาตัวคนทำอยู่ (หาเรื่องผิดคนแล้วมึง!)

ส่วนแม่ของชัยเข้มแข็งมาก พยายามปลอบเจ้พริ้งอยู่ใกล้ๆ
(ภาพมันดูสลับกันยังไงชอบกล)

ผมก้าวออกจากห้องไปที่จุดนั้นอย่างเร็ว ด้วยหวังดึงเจ้พิ้งค์ออกมาสอบปากคำเสียหน่อย

พลั่ก!!!

ผมชนกับคนชุดยาวสีขาวอย่างจัง

“ขอโทษครับ ผม….”
“ไม่เป็นไร เจอกันอีกแล้วนะ”

“เฮ้ย!!!”  ผมหลุดอุทานเสียงดัง หลังจากเงยหน้ามองคนที่ผมชนจนเซไปด้านหลังเล็กน้อย

“เบาหน่อย อยู่ในโรงพยาบาลนะ”
“เอ่อ… มาทำอะไรแถวนี้?”
ไอ้หมอมองชุดตัวเอง และหันกลับมามองผม เออสิ  กูไม่น่าถาม
“หมอก็มาทำงานไงครับ”
พอผมฟังแล้วชักคิดถึงโหมด กู-มึง ของไอ้หมอ

“เอ่อ..” อยู่ๆก็นึกคำพูดไม่ออก เพราะวันนี้มันดันใส่แว่นที่ทำให้ดูน่ารักไปอึกแบบ อืม…… ผมบอกว่า….น่ารัก……อยู่ๆ คำนี้ก็ผุดขึ้นในหัว

“เดี๋ยวค่อยคุย วันนี้มีเคสด่วน ไปก่อนนะ”
“เดี๋ยว!!” ผมคว้าแขนของหมอไว้
“หมอเป็นคนดูแลคนที่อยู่ในห้องนั้น??” ผมชี้ไปที่ห้องทึบสีเทาสุดทาง
“ใช่ … เด็กวัยรุ่นถูกตีศรีษะ… เอ๊ะ !!! เพื่อนเรารึ?”
ผมไม่พูดอะไรแค่พยักหน้าด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไม่เป็นไร อย่าห่วง วันนี้หมอไม่ได้อยู่คนเดียว อาจารย์หมอที่เก่งที่สุดในโรงพยาบาลก็อยู่ด้วย และไม่ว่ายังไงพี่จะช่วยสุดกำลังอยู่แล้ว”
พูดจบเขาก็ขยี้หัวผมและเดินจากไป

ผมมองแผ่นหลังผืนนั่นจนลับตาพลางคิดในใจว่า ทำไมมันดูเท่อย่างนี้วะ (ไอ้คนขึ้แยวันนั้นหายไปไหน)

เอาล่ะ….. ต่อไปก็ เจ้พิ้งค์
พอนึกได้ดังนี้ผมก็เดินไปลากเจ๊พริ้งออกจากกลุ่มญาติไอ้ชัยที่ชุมนุมกันอยู่หน้าห้องเพื่อเค้นความจริงเสียที เรื่องนี้มันน่าสงสัยเกินไปแล้ว

……………………..

วันรุ่งขึ้นผมตัดสินใจไปเยี่ยมไอ้ชัยอีกครั้ง หลังจากหมอบอกว่าผลจากการสแกนสมองและตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มีบาดแผลหลายที่และอ่อนเพลียจากการจมน้ำเท่านั้น

ผมนัดแนะเวลาเยี่ยมกับเจ้พิ้งค์เพราะไม่อยากไปคนเดียว ผมเจอเจ้พิ้งค์ที่มานั่งรออยู่ที่ล้อบบี้ชั้นล่างของโรงพยาบาล เธอดูสดใสขึ้นผิดกับกับเมื่อวาน และยังแต่งตัวล่อเสื้อล่อจระเข้เหมือนเคย หากผมเป็นแฟนเจ้แกผมจะรีบสกัดตั้งแต่ออกจากบ้าน ก้มทีเห็นถึงสะดือ

“นี่คือชุดไปโรงพัก?” ผมแซวและมองด้วยสายตาลวนลาม
“ใช่ สวยใช่ไหม?” เจ้พิ้งค์โพสต์ท่าเหมือนจะถ่ายแบบ
“ใช่… สวยและเซ็กมาก” ผมมองเข้าไปในชุดสายสปาเก็ตตี้ของเจ้พริ้ง
“มองแบบนั้น อยากตายใช่ไหม?” นางกระโดดตบไหล่ผม (กระโดดจริงๆครับ เจ้พิ้งค์เป็นผู้หญิงทรงกระทัดรัด)
“ปะๆ ไปเยี่ยมไอ้คนโง่กัน” ผมเดินนำหน้าไปก่อน

เดินไปจนถึงห้องพิเศษชั้นบนสุด ผมก็ต้องตกใจเพราะเห็นไอ้กวีนั่งอยู่หน้าห้อง อยู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
(สงสัยจะเรื่องที่มันเป็นแฟนใหม่นิ่ม)

“มึงมาทำไม?” ผมถาม
“เจ้ชวนมาเองแหละ  เมื่อเช้าไปเจอกันที่สถานีตำรวจ” เจ้พิ้งค์รีบเดินมาขวางหน้าผม ก่อนที่จะเริ่มคันไม้คันมือในโรงพยาบาล

เมื่อวานผมอยู่ในอาการตกใจเรื่องไอ้ชัยจนไม่สนใจเรื่องของไอ้เลวนี่ไปชั่วครู  แต่คราวนี้ขอสักทีเหอะ

“หยุดเลย ถือว่าเจ้ขอนะ อย่าลืมว่าน้องกวีเป็นคนช่วยชัยขึ้นมาจากน้ำ”
ผมอึ้งหยุดคิดไปพักหนึ่ง
“เออ!! กูจะพักรบกับมึงชั่วคราว” ผมกำหมัดแน่น
“เดี๋ยวนะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมงงไปหมดแล้ว”  ไอ้กวีมีนมองกน้าผมกับเจ้พิ้งค์สลับกัน
“อ้าว.. ไอ้เชี้ยนี่ทำเป็นไม่รู้เรื่อง” ผมเดินไปครึ่งก้าวเตรียมง้างมือแล้ว
“เดี๋ยวๆ” เจ้พริ้งดึงมือผมลงมาที่เดิม
“อะไรเจ้?” ผมทำหน้างงๆ ไม่ต่างกับหน้าของไอ้กวีที่ดูท่าทางสงสัยกับพฤติกรรมของผม
“คือ ไม่มีอะไรจ๊ะ” เจ้พิ้งค์ หันไปทางกวี
“……..”  มันทำยิ่งทำหน้างงหนักขึ้นไปอีก
“จะงงเชี้ยอะไร! ก็แปลว่ามึงแย่ง ..แฟ…..”
ยังไม่ทันจบประโยคเจ้พิ้งค์เดินมาดึงมือผมออกห่างจากไอ้กวี

“เท่าที่เจ้แอบถามน้องกวีน่ะ เขาไม่รู้นะว่าแกเป็นแฟนเก่านิ่ม” เจ้พิ้งค์ดึงคอผมลงมากระซิบกระซาบ

“หา!?!” 
“เออ ที่เด็ดกว่านั้น… กวีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแย่งแฟนคนอื่นมา”
“แปลว่าอะไรวะเจ้ มันจะไม่รู้ได้ไง”
“ก็นังนิ่มไง มันบอกว่ามันอกหักเลยให้กวีมาดามใจ และก็เป็นมุกที่ได้ผลด้วย”

ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที อย่างนี้หมายความว่าผมโทษคนผิดมาตลอดเลยสิ เป็นอย่างที่ไอ้ชัยมันพูดจริงๆ ว่าผมน่ะยังไม้รู้จักนิ่มดีพอ ผมเดินวนไปมาอยู่หน้าห้องที่ไอ้ชัยนอนพักอยู่ ก่อนที่จะตัดสินว่าจะไม่เอาเรื่องไอ้กวีมัน

“ไม่รู้แปลว่าไม่ผิด” ผมบ่นพึมพำกับเจ้พิ้งค์
“งั้นผมขอสนับสนุนไอ้ชัยอย่างเป็นทางการในการแก้แค้นนิ่มบ้าง” อันนี้เรียกได้ว่ายิ่งรักยิ่งแค้น

ผมกลับไปทำหน้าใจดีกับไอ้กวี บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีอะไร อย่าไปคิดมาก และชวนมันเข้าไปเยี่ยมไอ้ชัยข้างในห้อง

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าไปรอบหนึ่งแล้วแต่เห็นเขายังนอนหลับอยู่เลยขอมานั่งรอข้างนอกดีกว่า ไม่อยากรบกวน”

ดูมันเป็นห่วงไอ้ชัยจริงๆ ดูมันจะห่วงมากกว่าผมที่เป็นเพื่อนสนิทของมันด้วยซ้ำ ผมไม่ได้ตื้อให้มันเข้าไปด้วย พอมันปฏิเสธ ผมก็ชวนเจ้พิงค์เข้าห้องไปเลย

ก่อนเข้าห้องผมสังเกตที่ป้ายชื่อไอ้ชัย มีรายชื่อหมอเจ้าของไข้ด้วย

“ปฐวี”

เฮ้ย!! ไอ้หมอเอิร์ธนี่หว่า ทำไงดีรู้สึกยังไม่อยากเจอเลยวะ งี่เง่ากับเขาไปตั้งหลายเรื่อง  แล้วทำไมกูต้องแคร์ด้วยวะ สรุปว่ายังไม่อยากเจอ มีโอกาสขอตัวออกก่อนดีกว่า

หลังจากทักทายพอเป็นพิธีกับไอ้เพื่อนหัวแข็งแล้ว ผมรีบกลับทันทีที่เห็นพยาบาลเตรียมอาการและยาเข้ามา. ผมมีบางสังหรณ์ว่าเดี๋ยวไอ้หมอ มันต้องตามมาอีกไม่นาน เผ่นเลยดีกว่า

พอล่ำลามันเสร็จ ผมรีบก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องทันที  แต่สุดท้ายก็ต้องมาเจอไอ้หมออยู่ตรงจุดรอลิฟต์อยู่ดี

“อ้าว… มาเยี่ยมเพื่อนเหรอ?”
“เอ่อ.. ครับ”
“พูดเพราะเชียว”
“อ้าว ยังไงเนี่ย พูดไม่เพราะก็ว่าปีนเกลียว พอพูดดีก็แซว”
“โอเคๆ ดีแล้ว” แล้วมันก็หัวเราะ
“ผมลาล่ะ”
“อ้าว….ทำไมรีบกลับ”
“ผม….เอ่อ…มีธุระ!”
“โอเค… เจอกัน”
ผมยิ้มเฝื่อนๆตอบไป
“เดี๋ยว!” ไอ้หมอจับต้นแขนเพื่อรั้งผมไว้
“หมอรักษาสัญญาแล้วนะ… เพื่อนเราไม่เป็นอะไรแล้ว”
“เออ ผมเพิ่งไปเยี่ยมมันมา รู้อยู่” แล้วผมก็ชักแขนกลับและเดินเข้าลิฟต์ที่มาถึงพอดี ก่อนประตูลิฟต์จะปิด ผมเห็นมันส่ายหัวยิ้มละไมเดินไปทางห้องไอ้ชัย
โอย…… ทำไมใจเต้นอย่างนี้วะ….. ผมมองเงาที่สะท้อนผ่านประตูลิฟต์ เห็นตัวเองมีเลือดฝาดผิดปกติ

………………………………………………………..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2017 23:02:18 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
หลง (6)

วันหยุดยาวสุดสัปดาห์แบบนี้ ผมต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลแบบนี้ มันไม่สนุกเลย แถมยังต้องไปเจอหน้าไอ้หมอทุกวันอีก มันนี่ก็แซวผมได้ทุกวัน ไม่รู้คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย? ส่วนผมก็ไม่รู้เป็นอะไรเขินทุกครั้งที่มันแซว เฮ้อ….

และวันนี้ผมก็ต้องมารับไอ้ชัยออกจากโรงพยาบาลครับ ดี!! จะได้ไม่ต้องไปเจอหน้าไอ้หมอหน้าเป็นนั่นอีก

ผมรีบแต่งตัวออกจากเผลอหยิบชุดหล่อตัวเก่งใส่ออกไป ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไงเวลาออกไปเยี่ยมไอ้ชัยต้องแต่งตัวดีด้วยจนแม่แปลกใจ ความจริงคือผมใส่ไปแข่งกับไอ้กวีมัน เผื่อวันไหนมันพานิ่มไปด้วย นิ่นจะได้รู้ว่านิ่มคิดผิดที่ไปคบกับไอ้ตี๋หน้าหวานนั้น แต่ผมก็ไม่เคยเห็นนิ่มไปปรากฎตัวแถวนั้นเลย (คงกลัวเจอผม)

ผมเดินลงมาลาแม่ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องรับแขกชั้นล่าง

“ไปไหนอีกแล้วแก?”
“ไปหาไอ้ชัยไง วันนี้มันจะกลับบ้าน”
“อืม ฝากทักทายชัยด้วยนะลูก แม่ไม่ค่อยสบายคงไม่ได้ไปด้วยนะ”
ดูจากสภาพชุดนอนของแม่แล้วก็รู้ว่าคงไม่ไปด้วย
“อ้าว.. แม่เป็นอะไรล่ะ?”
“เวียนหัวน่ะ คงนอนน้อย”
“กินยาอะไรหรือยังแม่ หรือจะไปหาหมอที่โรงพยาบาลพร้อมผมเลย”
“ไม่ต้องหรอก แม่…..”
แม่ยังพูดไม่จบประโยคก็มีรถ BMW คันใหญ่มาจอดหน้าบ้าน
“พูดถึงก็มาเลย หลงก่อนไป ไปเปิดประตูบ้านให้แม่หน่อย”
ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับรถคันนี้แล้ว จึงไม่แปลกใจที่แม่ไปไปหาหมอ เพราะว่าหมอมาหาถึงที่บ้านนี่เอง
“อ้าว! จะไปไหน แต่งตัวเสียหล่อเชียว?” ไอ้หมอมันเดินลงจากรถยืนรออยู่หน้าประตูรั่วบ้าน
“ไปโรงพยาบาล”
“ อ้อ วันนี้เพื่อนเราดิสชาร์จนี่นา”
“ดิส… อะไรนะ?”
“ออกจากโรงพยาบาลไง”
“อ้อ ใช่ ว่าจะไปช่วยมันเก็บข้าวของเสียหน่อย”
“น้ารุ่งล่ะ”
ผมไม่ได้พูดอะไรแค่ชี้เข้าไปด้านใน

ไอ้หมอพยักหน้าเดินผ่านผมไป ผมมองไอ้หมอตั้งแต่หัวจรดเท้า มันแต่งตัวลำลองครับ เสื้อเชิ้ตสีเอิร์ธโทนแขนสั้น กางเกงห้าส่วนกับรองเท้าหนังแบบลำลองสีส้มอ่อนๆ มันเข้าดันดีจนรสนิยมการแต่งตัวของผมดูบ้านๆ ไปเลย ดู….. น่ารักดี…..

ผมไม่เคยชมผู้ชายว่าน่ารักเลย แต่ไอ้หมอมันแต่งตัวได้น่ารักจริงๆ เห็นแล้วอยากเผาเสื้อผ้าที่มีอยู่ทิ้งไปให้หมด

ผมเดินเข้าไปดูมันพูดคุยกับแม่ สอบถามอาการ เอาอุปกรณ์เล็กๆ ออกมาวัดนู่นนี่ (มันพกของแบบนี้ไปไหนต่อไหนทุกวันหรือวะ?)

แดดที่ส่องเข้าในตัวบ้านเริ่มเปลี่ยนสี และร้อนแรงขึ้น ผมมองดูนาฬิกาแล้วคิดว่าสายมากแล้ว จึงตัดสินใจออกเดินทางและทิ้งแม่ไว้กับไอ้หมอนั่นแหละ

“แม่..ผมไปแล้วนะ” ผมเดินผ่านพร้อมบอกลา

“เดี๋ยว….” แม่กวักมือเรียก

“อะไรอีกล่ะ”

“มาเอารายชื่อยาจากพี่เอิร์ธ แล้วก็ไปซื้อให้แม่หน่อย”
“ไม่เป็นไรครับวันนี้ผมหยุด เดี๋ยวผมไปซื้อให้”
“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ ยังไงไอ้หลงมันก็ต้องออกไปข้างนอก ฝากมันซื้อก็ได้”
“ผมจะกลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะแม่”
“ไม่เป็นไร มีแต่พวกวิตามินกับอาหารเสริม แม่ไม่รีบ!!”
“โหย…..” ผมโอดครวญ จะให้ผมแบกไอ้ยาพวกนี้ไปโน่นนี้ทั้งวันเนี่ยนะ

“เอ่อ… งั้นเอางี้ ให้หลงไปซื้อกับผม เดี๋ยวผมไปส่ง ไปรถยนต์เร็วกว่า ซื้อเสร็จแล้วรีบกลับมาเลย คือผมมีร้านยาที่รู้จักกันไม่ไกล และก็ไม่แพงด้วย”
“เอางั้นก็ได้จ๊ะ แต่เกรงใจจัง” โห…..แม่ ทีคนอื่นพูดอะไรเออออไปหมด
“ไม่เป็นไรครับ น้ารุ่งดูแลผมยิ่งกว่านี้อีกตอนนั้น”
“ขอบคุณพี่เขาด้วยหลง” แม่หันมาพูดกับผม แต่ผมหันไปยิ้มแห้งๆใส่มันแวบหนึ่ง

หลังจากนั้นผมก็ตัองมาอยู่บนรถกับมันเดินทางไปซื้อของให้แม่  ผมพลิกดูนาฬิกาหลายครั้งจนรู้สึกรำคาญตัวเอง

“ไปทันน่า ยังไงก็ต้องออกจากห้องประมาณเที่ยง”
เหมือนมันจะรู้ว่าผมกังวลเรื่องอะไร
“เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย ไหนบอกว่าไม่ไกล”
“เลี้ยวข้างหน้าก็ถึงแล้ว” ไอ้หมอชี้ไปที่สี่แยกข้างหน้า

เหมือนประชด พอเลี้ยวมาเพียงอึดใจเดียวก็ถึงร้านยาขนาดกลางที่เหมือนเพิ่งเปิดได้ไม่นานตั้งอยู่ ไอ้หมอขับมาจอดไม่ไกลจากหน้าร้าน แล้วเดินนำหน้าไปที่ร้านทันที พอผมออกมาสู่อากาศนอกรถ พบว่ายามนี้พระอาทิตย์ทำงานของตนได้เป็นอย่างดี ทำให้ผมอยากกลับเข้าไปนั่งรอที่รถเลย มันดูสบายและเย็นดี ผมเป็นคนขี้ร้อนเลยไวกับอากาศร้อนมาก

ผมลงจากรถและรีบวิ่งไปที่ร้านขายยาที่ไอ้หมอแนะนำทันที ก็เงินอยู่กับผมนี่นะ ผมเปิดประตูกระจกบานใหญ่ที่มีสติกเกอร์โฆษณายาติดอยู่อย่างสวยงาม ไอเย็นจากแอร์ฯในร้านวิ่งเข้ามาปะทะกับร่างกายโชคดีที่รีบวิ่งเข้ามา

สิ่งแรกที่เห็นคือไอ้หมอหัวเราะดูมีความสุขกับเภสัชกรหน้าหล่อผิวสองสีที่หน้าตาละม้ายคล้ายดาราละครช่องมากสี (ไม่รู้ชื่อ) ผมแอบส่ายหน้า นี่สินะที่อยากจะมาซื้อยาให้ จะได้มาเจอไอ้หนุ่มขายยานี่เอง

“อ้าว!! สวัสดีครับ ซื้อยามาสอบถามที่นี่ก่อนได้ครับ”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร มาด้วยกัน” ไอ้หมอรีบพูดสวนก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร
“อ้าวเหรอ หน้าตาดีเชียว อย่าบอกนะว่า….. กิ๊กเด็ก!!”
เภสัชกรหนุ่มชี้หน้าไอ้หมอเป็นเชิงล้อเลียน
“ไอ้บ้า ลูกอาจารย์รุ่งไง” ไอ้หมอตีมือเภสัชกรหนุ่มให้พ้นหน้าตัวเอง
“อ้อ… ที่เคยเล่าให้ฟัง”

ไอ้หมอ มันเล่าอะไรให้เพื่อนมันฟังวะ (เพื่อนหรือกิ๊ก …แล้วผมจะไปสนใจมันทำไมวะ) ผมคิดไปพลางทำหน้าขรึมๆเหมือนไม่ได้คิดอะไร

“เออๆ รีบจัดของมาเสียทีจะได้รีบกลับ เด็กมันมีนัด”
“อ๋อ จะไปเที่ยวกันต่อ?”
“ยังๆ ยังไม่หยุด” หมอตีหน้าซีเรียสใส่

ระหว่างที่เภสัชกรหนุ่มนั่นเดินไปหยิบโน่นนี่ตามที่ไอ้หมอมันต้องการแถมยังถกกันเรื่องผลิตภัณฑ์เหล่านั้นในประโยคที่มีศัพท์แปลกๆ ที่ผมไม่แน่ใจว่านั่นภาษาคน ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่สนุก ผมเลยได้แต่เดินไปเดินมาในร้านดูยาตัวนั่นตัวนี้หยิบอะไรต่อมิอะไรมาดู และทุกครั้งที่พวกมันเฮฮา เล่นมุกอะไรมันจะรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะไปให้พ้นจากร้านนี้ แต่ข้างนอกมันร้อนเลยต้องทนอยู่ในนี้ไปก่อน

ไอ้เสียงหัวเราะนั่นมาเป็นระยะๆ ผมต้องหันไปมองเป็นระยะๆ เช่นกัน บางครั้งก็เห็นหน้าของคนทั้งใกล้ชิดกันเสียจนจะแนบกันอยู่แล้ว

“เอาอันนี้ด้วยครับ” ผมหยิบของใกล้มือเดินไปวางที่หน้าเจ้าของร้าน ขวางหน้าหล่อๆ ของมันกับไอ้หมอ

ทั้งสองคนมองคนมองของสิ่งนั้น ที่มีลักษณะเป็นขวดสีม่วงเข้มกึ่งใส มีดีไซน์ขวดแปลกๆ

“น้องจะเอาไปใช้?”
“เอ่อ…อืม…” ผมพยักหน้า
“เอาไปใช้กับใคร?”
“ผมใช้เอง คนเดียว”  ยาอะไรมันจะไปใช้กันได้ทั้งบ้านวะ?
พวกเขามองหน้ากันแล้วหัวเราะกันเสียงดัง

“…..อะไรเหรอครับ?….” 
“ไม่รู้จริงๆ ?”
จริงๆ แล้วคือ ไม่ได้มองมากกว่าว่าหยิบอะไรมา

“มันเป็นเจลหล่อลื่นแบบ ช่วยในเรื่องการหมุนเวียนโลหิตตรงอวัยวะเพศนะ พูดง่ายมันเป็นเจลบำรุงส่วนตรงนั้นได้ด้วย จะใช้คนเดียวมันก็ไม่ผิดอ่ะนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

ผมนี่หน้าตึง อธิบายอารมณ์ไม่ถูก ส่วนไอ้หมอก็แค่ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ อายโคตร ทำไมกูไม่คิดก่อนทำอะไรแบบนี้วะ เป็นอีกครั้งที่เวลาอยู่ต่อหน้าไอ้หมอแล้วผมควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้

“คิดเงินรวมเลยไหม?” ไอ้เภสัชกรนั่นมันถือขึ้นมาแกว่งไปมา
“เฮ้ย… น้องมันคงนึกว่าเป็นยาสีฟันแบบน้ำ อย่าไปล้อมันสิ” ไอ้หมอผสมโรง แล้วก็หัวเราะกันไม่หยุด
“ไม่เอาครับ จะบ้าเรอะ” ผมคว้าไอ้สิ่งนั้นไปเก็บทันที พอเดินไปถึงจุดที่หยิบมาผมถึงกับช้อคเพราะมันมีขายอีกหลายสีหลายกลิ่นหลายสูตร วางรวมกันขนาดนี้ หากสติดีๆ คงไม่น่าหยิบจากชั้นวางแถวนี้เลย

“เฮ้ย… แน่ใจนะว่าไม่ใช่กิ๊ก เห็นน้องมันเตรียมพร้อมขนาดนี้”
“ไอ้บ้า กูไม่ชอบเด็ก” ทำไมผมได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกแปล๊บๆ ที่ใจชอบกล
“แปลว่ากูก็ยังมีหวังใช่ไหม? อยากดามใจคนแถวนี้”
“นั่นสิ ดีไหมนะ?”
แล้วมันก็มองหน้าหัวเราะกัน ผมเริ่มเบื่อกับการเป็นอากาศธาตุตรงนั้นแล้วเลยตัดสินใจเดินออกมารอที่รถ

ไม่ถึงห้านาทีไอ้หมอก็เดินตามออกมา

“อ้าว ทำไมไม่ไปคอยข้างในเย็นๆ”
“รำคาญ…. เบื่อ…. นาน….”  มันเดินไปเก็บของท้ายรถก่อนจะยื่นหน้ามาพูดด้วยรอยยิ้มกวนๆ

“หึงหรือไง?”
“หึง เชี้ยอะไร แค่รำคาญ จะคุยกันก็ค่อยมาคุย แม่รออยู่”  อ้างแม่ซะเลย
“จ้าๆ” มันยิ้มเยาะและเดินขึ้นรถไปเลย

บนรถระหว่างทางกลับบ้าน ผมแทบไม่พูดกับมันเลย รู้แค่ไม่อยากมองหน้ามัน ไหนว่าอกหักวะ ก็เห็นร่าเริงดีนี่หว่า

“ไอ้เต้ มันมีแฟนแล้ว แฟนมันก็เพื่อนหมอเอง หล่อกว่าหมออีก”
เออ…. เดี๋ยว! แปลว่าแมนๆ อย่างนั้นมีแฟนเป็นผู้ชาย!! โลกนี้อยู่ยากวะ

“แล้วมาบอกผมทำไม?”
“แค่อยากบอก”
“ใครจะไปอยากรู้วะ”
แต่ทำไมอกผมมันเบาขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วไปไหนต่อแต่งตัวเสียหล่อเชียว”
“เพิ่งเคยโดนหลงชมนะเนี่ย ขอปลื้มหน่อย”
“…..” ไอ้เชี้ยนี่
“หยุดทั้งทีว่าจะไปดูหนังตามประสาคนโสดเสียหน่อย”
“………”  ถามนิดเดียวพูดเสียยาว

พอถึงบ้านไอ้หมอก็อาสาไปส่งผมที่โรงพยาบาลทันที สรุปก็ไปทันครับ คือ….ไปทันส่งมันขึ้นรถกลับบ้าน ผมเหลือบมองเห็นไอ้กวีมันดูกระตือรือร้นในการช่วยเหลือคนที่บ้านของไอ้ชัยมากกว่าเพื่อนอย่างผมเสียอีก  จนแทบไม่ได้หยิบจับอะไร. ผมเลยตัดสินใจไปยืนคุยกับมันที่นั่งรถเข็นอยู่ไม่ไกล

“เฮ้ย…. นี่มึงสนิทกับมันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” ผมสะกิดถามมันบนรถเข็นวีลแชร์ขณะรอรถพร้อม
“กูก็ไม่รู้ บางทีกูยังคิดว่ามันรู้เรื่องกูดีกว่ามึงอีกนะ”
“เฮ้ย!! จริงหรือวะ?”
“งั้นอาหารโปรดของกูคืออะไร?”
“มึงมีด้วยหรือวะ อาหารโปรด? เห็นกินได้แม่งทุกอย่าง”
“เชี้ย!! นี่ไงมึงไม่รู้  แต่มันเสือกรู้ว่ะ นี่กูชักกลัวๆ มันแล้ว”
“เชี้ยหรือมันแอบชอบมึง”
“สัด มันเป็นผู้ชาย และอย่าลืมศัตรูหัวใจของมึง”
“เรื่องนั้น… ช่างแม่งมันเถอะวะ กูไม่อินกับมันแล้ว”
“อ้าว ที่กูอุตส่าห์ลงทุนขนาดนี้ก็เสียเปล่าสืวะ”
“เปล่า…. เท่าที่กูฟังจากเจ้พิ้งค์ กูก็แอบสงสารไอ้กวีมันว่ะ มันแม่งก็โง่พอๆ กับกูนั่นแหละ”
“อ้าว..แล้วไงเนี่ย?”
“เออ…  งั้นเพื่อแก้เผ็ดยัยผู้หญิงหลายใจนั่น มึงก็ทำให้ไอ้กวีตาสว่างสิวะ”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง กูคิดออกแล้วว่าจะทำยังไง”
“แผนโง่ๆ ของมึงอีกสินะ”
“อ้าว…..ไอ้….ว่าแต่…ช่วงนี้มึงหน้าตาดูดีขึ้นนะ  แล้วนั่นมากับกิ๊กใหม่เหรอวะ?”
“กิ๊กเชี้ยอะไร….. ไอ้หมอเอิร์ธไง”
“อ้อ พี่หมอหน้าสวยคนนั้นเอง โอเคนะมึงน่ารักดี” มันทำหน้ายิ้มแบบกวนส้นเท้ามาก
“พ่อง!!”  ผมวาดมือกะจะตีสักโบก
สรุปว่ามึงเห็นใครสวยก็ได้หมดถึงเป็นผู้ชายก็เถอะ
“กูป่วยนะสาด”
“โน่น ผู้ชายหน้าสวยของมึงมาแล้ว”
ไอ้กวีที่วิ่งไปวิ่งมาช่วยแม่ของไอ้ชัยขนของขึ้นรถเสร็จเรียบร้อยก็อาสามาเข็นรถไอ้ชัยไปที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกล สรุปว่ามันยังไม่ทันได้ช่วยอะไรเลย เจอเพื่อนใหม่มันแย่งทำหมด

ไอ้กวีมันยิ้มให้ผมเป็นการทักทาย ส่วนผมก็แค่พยักหน้า รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยตรงที่ปกติ สาวๆที่คอยตามตื้อมันหายไปไหนหมด มีแต่ส่งของเยี่ยมมาให้เต็มคันรถ ส่วนไอ้กวีก็มาคนเดียวอีกแล้ว ไม่เคยเห็นนิ่มมากับมันเลย



………………………………………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลง (7)

เนื่องจากรถของแม่ไอ้ชัยค่อนข้างเต็ม ผมเลยสละที่ให้เพื่อนใหม่ของมันและผมจะหารถตามไปบ้านมันเอง แต่ไอ้ขัยมันบอกไม่เป็นไร มันกลับไปก็ว่าจะนอนเลย ไม่ต้องตามมาก็ได้ เล่นเอาผมเคว้งเลย

ส่วนไอ้กวีมันไม่เห็นมันว่าอะไร ผมว่ามันแปลกๆ ทั้งๆ ที่ไอ้ชัยมันติดผมจะตาย แต่ช่างมัน มันคงมีแผนโง่ๆ อะไรของมันอีกเหมือนเคย

ตอนแรกก็กะว่าจะกลับบ้านเลย ไปเล่นเกมส์ที่ค้างไว้ แต่เหลือบไปมองรถไอ้หมอพอดีระหว่างเดินออกจากลานจอดรถ

อ้าว! ทำไมมันยังไม่ไปไหนวะ? ไหนว่าวันหยุด

ผมเดินไปใกล้ๆ รถที่จอดสนิทไม่มีวี่แววใครอยู่ในรถ

“หาอะไรอยู่?”
ผมนี่สะดุ้งเลย
“เฮ้ย! มาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“มีอะไรกับหมอ?”
“ไม่มี แค่คิดว่ารถสวยดี แล้วทำไมยังไม่ไปไหนอีก วันนี้วันหยุดนี่”
แก้ตัวไปเรื่อย….
“ฮ่าฮ่าฮ่า…  มาซื้อกาแฟที่ข้างโรงพยาบาลเนี่ย ร้านประจำ ซื้อทุกวัน”
“งั้นผมไปล่ะ”
“เดี๋ยวๆ จะกลับแล้วหรือ เห็นโดนเพื่อนทิ้งอยู่ลานจอดรถ ให้ไปส่งไหม?”
ผมขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมันเลยตัดสินใจไม่พูดอะไรหันหลังกลับ แต่…. ติดรถมันไปด้วยก็ดี ท่าจะสบายกว่า

“ตกลง” ผมหันไปพูดกับมัน

พอขึ้นรถเรียบร้อย แทนที่มันจะรีบสตาร์ทรถและขับออกไป มันดันหยิบมือถือขึ้นมาดูโปรแกรมหนัง  ผมเองก็ชอบดูหนังครับเห็นแล้วก็แอบเหลือบมองไม่ได้

“นี่ยังไม่รู้ว่าจะดูอะไรรึ?” ผมหันไปพูดกับคนขับรถที่ดูมีสมาธิกับการอ่านเรื่องย่อของหนังที่กำลังฉายอยู่
“อื้อ.. คือแค่อยากดูหนังแก้เบื่อแต่ยังไม่ได้คิดว่าจะดูเรื่องอะไร?”
ผมคว้าโทรศัพท์จากมือของไอ้หมอมาเลื่อนๆดู
“เรื่องนี้สิน่าสนุก” ผมหันหน้าจอไปทางมัน ส่วนมันก็แค่พยักหน้าอือออ
ไอ้หมอให้ผมวางโทรศัพท์และขับรถออกจากโรงพยาบาลอย่างเงียบๆ

“นี่จะไปดูหนังคนเดียวจริงๆ”  อยู่ๆผมก็ทำลายความเงียบ
มันทำหน้าหงอยๆ และพยักหน้า
“ให้ไปส่งบ้านเลยไหม?” ไอ้หมอถามแบบไม่มองผม
“ไปดูหนังด้วยได้ไหม? อยากดูอยู่แล้ว วันนี้ว่างแล้วด้วย”
“อื้ม…เอาสิ”
ผมแอบเห็นสีหน้ามันดูมีสีสันขึ้น

ณ ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ที่คราคร่ำไปด้วยคนมากมายเพราะเป็นวันหยุด ผมกับไอ้หมอกลายเป็นจุดสนใจเล็กๆ ภายในห้างเพราะต่างคนต่างดูดีไปคนละแบบ ไม่ว่าจะเดินผ่านทางไหนก็มักจะมีคนมอง และวันนี้ผมกับมันก็แต่งตัวกันแบบจัดเต็มทั้งคู่

ตั๋วหนังน่ะ ซื้อเรียบร้อยแล้ว มันเลี้ยงผมครับ มันบอกอุตส่าห์มาเป็นเพื่อน (ดีจังที่มา) แต่กว่าหนังจะเริ่มฉายก็อีกเกือบสองชั่วโมง พวกเราเลยตกลงว่าจะไปหาอะไรกินก่อน

เดินด้วยกันตั้งนาน มันก็ไม่ลงเอยที่ร้านไหนเสียที จนท้องผมเริ่มร้องแล้ว

“สรุปว่าจะกินร้านไหน เดินมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ”
“อืม… ไม่รู้สิ ไม่รู้กินอะไรดี”
ผมแอบค้อนไอ้หมอ เดินมาจนจะทั้งห้างแล้วยังไม่รู้อีกเหรอเนี่ย แล้วไอ้ที่แวะร้านขายเสื้อผ้าตลอดทางที่ผ่านมาอีก ผมเริ่มหมดความอดทน

“งั้นมานี่ เดี๋ยวเลือกร้านเอง”
ผมเดินนำไปก่อนโดยลืมตัวไปว่าไอ้หมอจะตามมาหรือเปล่า ปกติผมจะเป็นตัดสินใจตลอดไม่ว่ากับเพื่อนหรือกับคนที่มาเดทด้วย แต่ลืมไปว่าเรากับมันก็ไม่ค่อยสนิทกันนี่หว่า   

ผมรู้สึกโล่งใจเมื่อหันไปเขายังคงเดินตามมาอยู่ไม่ไกล ในที่สุดก็ถึงร้านขายอาหารไทยที่ดูธรรมดาๆ ร้านหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยภาพทิวทัศน์ของทุ่งนาและป่าฝน เฟอร์นิเจอร์ทำด้วยไม้เก่าๆ และโคมไฟสีส้มสว่างสดใส

“ร้านนี้แหละ” ผมชี้และเดินเข้าไปอย่าคุ้นเคย

มันเป็นร้านของพ่อแม่เพื่อนในทีมบาสฯน่ะครับ หิวทีไรก็แวะมากันเป็นประจำ อาหารอร่อย ให้เยอะเป็นพิเศษ เพราะนักกีฬาแต่ละคนกินกันยังกับปล้น และที่สำคัญมีส่วนลด แจก และแถมตลอด

ผมกับกับไอ้หมอเลือกนั่งที่มุมด้านในของร้าน ผมไหว้ทักทายคุณพ่อคุณแม่เพื่อนที่อยู่ร้าน เขาก็เข้ามาบริการอย่างเป็นกันเองเหมือนเคย

“วันนี้มากันแค่สองคน ไม่ต้องให้เยอะเหมือนเคยก็ได้นะครับ”
“เดี๋ยวกินไม่อิ่มนะ” พ่อเพื่อนผู้ใจดียิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไรครับ” เพราะไอ้คนตรงข้ามมันผอมแห้งเหลือเกินคงกินไม่เยอะ ผมเดาเอา
“แล้วนี่พาญาติผู้ใหญ่มาเที่ยวเหรอ?”
ผมขำเบาๆ และมองไปทางหน้าไอ้หมอที่มีอาการคิ้วกระตุกเบาๆ
“รุ่นพี่ครับ รุ่นพี่”
“อ้อ….หน้าตาดีนะ ตอนแรกนึกว่าผู้หญิง”
“เรื่องหน้าเนี่ย เขาพูดกันจนผมชินเสียแล้วครับ” มันยิ้มรับคำชม แต่ผมก็ยังอดขำเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้

เมนูที่นี่เป็นอาหารไทยหลากหลายภาคครับ อาหารอร่อยเช่นเคย ผมอุตส่าห์บอกแล้วว่าไม่ต้องให้เยอะ แต่ยังให้มาเหมือนเดิม ตอนแรกผมคิดว่าจะกินกันไม่หมดแล้ว แต่ไอ้หมอนี่ก็กินเยอะกว่าที่คิด ตัวบางๆแบบนั่นไปเก็บไว้ตรงไหนวะ

ผมสังเกตอาการของเขาที่แก้มสีแดงเรื่อๆ ขึ้นเรื่อยๆ กับปากสีชมพูที่เข้มขึ้น และอาการเป่าปากเบาๆ ซึ่งเหมือนกำลังพยายามจะไม่แสดงออกว่าเผ็ด ผมกินได้ทุกรสชาติครับ (เน้นหวาน) เผ็ดก็ได้หากอาหารอร่อยเลยไม่เดือนร้อนกับอาหารที่นี่

“เอ้า นี่….กินเผ็ดไม่ได้ก็ไม่เห็นต้องพยายามนี่หว่า” 
ผมยื่นแก้วน้ำที่มีน้ำแข็งปริ่มเต็มแก้วให้ถึงมือ ไอ้หมอรีบรับไปซดอย่างเร็ว จนหมดไปเกินครึ่งแก้วภายในเวลาเพียงอึดใจ

“เดี๋ยวจะหาว่าไม่อร่อย สั่งมาแล้วก็ต้องกินให้หมด”  มันเช็ดปากไปพูดไป ผมเลิกคิ้วขึ้นจนไอ้หมอสังเกตเห็น

“แต่สีสันมาน่ากินมากเลย อร่อยทุกอย่างแต่มันเผ็ดมากเลย” มันพูดต่อด้วยท่าทางเกรงใจ สงสัยคงรู้ว่าผมรู้จักเจ้าของร้านมันคงเกรงใจหากจะเหลืออาหารบนโต๊ะเยอะแยะ (นิสัยดีเหมือนกันนะเนี่ย)

“ไม่เป็นไรหมอ แค่บอกว่าอร่อยก็พอแล้ว ผมเป็นพามากินกลัวหมอจะไม่ถูกปาก”
“เฮ้ย… อร่อยมาก แต่คราวหลังสั่งของไม่เผ็ดมาเยอะกว่านี้ก็ดีนะ”
แปลว่ายังมีคราวต่อไป ผมยิ้มตอบกลับไป (แล้วกูจะดีใจทำไมวะ)

“ยิ้มทำไม?”
“เปล่า!! ไม่มีอะไร” ผมเผลอตอบเสียงสูง

หลังจากเข็คบิลผมกับไอ้หมอก็เดินออกจากร้านทันทีเพราะเหลือเวลาไม่มากก่อนเข้าโรงหนัง เลยตกลงว่าจะไปห้องน้ำกันก่อน

หลังจากเสร็จกิจผมเลยเดินออกมารอด้านนอกเลยเพราะไอ้หมอน่าจะมีปัญหากับลำไส้เลยวิ่งเข้าส้วมไปแล้ว  สงสัยเพราะอาหารเผ็ดที่กินเข้าไป ลำไส้อะไรมันจะอ่อนไหวขนาดนั้นวะ

พลั่ก!!

ขณะเดินผ่านประตูทางเข้าห้องน้ำผมดันไปชนกันคนที่วิ่งสวนเข้ามา ไอ้หนุ่มตี๋ล่ำแขนใหญ่เดินเร่งรีบไปโดยไม่มีคำขอโทษสักคำ วันนี้ผมอารมณ์ดีครับ ผมจะไม่เอาเรื่องมัน

ผมเดินไปยืนรอไม่ไกลจากประตูห้องน้ำ ไม่นานไอ้หมอก็เดินจ้ำอ้าวออกมาอย่างกับหนีอะไรมา

“เอิร์ธ… ฟังผมก่อน” ไอ้หนุ่มตี๋ไร้มารยาทนั่นเดินมารั้งแขนของไอ้หมอ
“เราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว” ไอ้หมอสะบัดมือไอ้ตี๋ล่ำนั่นทิ้ง แรงของไอ้หมอนี่ใช้ได้เลย ไอ้หมอเดินมาถึงหน้าผมพร้อมพยักหน้า

“ไปให้พ้นจากแถวนี้กันเถอะ”
ไม่ทันจะจบประโยคดี ไอ้ตี๋นั่นก็วิ่งมาดักหน้าไอ้หมอที่กำลังจะก้าวเท้าพอดี
“เดี๋ยว!! เพราะไอ้เด็กนี่ใช่ไหม เอิร์ธถึงไม่อยากคุยกับเรา”
“เอ น่าจะรู้นะเพราะอะไร” ไอ้หมอผลักคนที่ขวางทางให้เซออกไปครึ่งก้าวแล้วเดินผ่านไป ผมไม่รอช้าที่จะก้าวตาม แต่ยังไม่ทันผ่านไอ้ตี๋นั้นพ้น มันก็หันมาจับมือไอ้หมอได้ทัน (มันเป็นไอ้แมงมุมเรอะ)

“แต่ผมยังรักเอิร์ธอยู่นะ”
ไอ้หมอไม่หัน แต่ผมพอเดาออกจากอาการสั่นเทาของมันและเสียงที่เริ่มผิดปกติ ผมสัมผัสได้ถึงความวูบโหวงที่กลางอกตัวเอง
“มันจบแล้ว” ไอ้หมอพยายามบิดข้อมือไปมาหมายจะหลุดจากพันธนาแต่ควาวนี้ไม่หลุดจนผมเห็นมือของไอ้หมอแดงคล้ำไปหมดจากแรงบีบ

“มันยัง…” คราวนี้ผมไม่รอให้ไอ้ตี๋นี่พูดจบประโยค ผมจับมือไอ้ตี๋ล่ำบิดหงายให้มันปล่อยไอ้หมอทันที

“โอ้ย”

มันอ่อนกว่าที่ผมคิดว่ะ

“มึง! อย่ามายุ่งผัวเมียเขาคุยกัน”
“ทิ้งเขาแล้วไม่ใช่หรือ จะมาวุ่นวายอยู่ทำไม?” ผมสวนกลับและทำตัวพองให้ใหญ่กว่ามัน (ดีนะที่สูงกว่า)

“มึงเป็นคนอื่นอย่ามายุ่ง”

ผมมองไปที่ไอ้หมอ มองเห็นสายตาที่ส่งออกมาอย่างรวดร้าว ความเจ็บปวดของเขาเหมือนสามารถส่งผ่านอากาศมาได้ ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ใจแปล๊บๆ ผมตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าจะไม่ยอมให้เขาคนนี้เจ็บปวดอีก

“กูไม่ใช่คนอื่น.. เลิกยุ่งกับคนของกูได้แล้ว”

แล้วผมก็ผลักไอัเวรนั่นล้มลงไป ก่อนที่จะลากไอ้หมอให้พ้นจากสายตาไทยมุงที่เริ่มจะเยอะขึ้นด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าว
กูพูดอะไรลงไปวะ !?!

ผมลากไอ้หมอที่ดูอึ้งๆกับเหตุการณ์เมื่อครู่เข้าโรงหนังทันที (ไอ้ตี๋นั่นจะได้ตามมาไม่ได้) ผมรู้ว่าภายนอกถึงมันจะทำเป็นเข้มแข็งแค่ไหน แต่มันก็ดูอ่อนแอกับเรื่องแบบนี้

พวกเราเข้ามาทันตัวอย่างหนังพอดี และโชคดีที่คนในโรงนี้ค่อนข้างบางตา บริเวณที่ผมนั่งนี่ไม่มีคนเลย พอนั่งลงได้ไอ้หมอก็แทบไม่พูดอะไรเลยบรรยากาศรอบๆ ตัวดูหนักอึ้งจนผมรู้สึกอึดอัด

“ขอบใจนะ”
ไอ้หมอเอ่ยขึ้นลอยๆ เหมือนคุยกับตัวเองมากว่า ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ แม้จะไม่ได้หันไปมองจังๆแต่ผมก็แอบเห็นน้ำที่ไหลออกจากตาลอยๆ ทีมองไปอย่างไร้จุดหมาย

“อืม” บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมไม่รู้จะพูดอะไร

“ขอยืมไหล่แป๊ปนะ”

พูดจบไอ้หมอก็เอนหัวลงมาซบไหล่ผม ผมสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆซึมผ่านเสื้อของผม เพลงสรรเสริญฯ เริ่มดังขึ้น ไอ้หมอดีดตัวขึ้นมาพร้อมทำท่าปาดน้ำตา ในโรงหนังมันมืดมาก มีแต่แสงจากจอภาพด้านที่สะท้อนออกมาทางเรา ผมแทบมองไม่เห็นว่าตอนนี้หน้าไอ้หมอเป็นอย่างไรบ้าง แต่ผมก็ไม่มีสมาธิดูหนังแล้วด้วย ผมแอบมองหน้ามันเป็นระยะๆ

“หมอไม่เป็นไรแล้ว…ดูหนังเถอะ”
ไอ้หมอพูดออกมาเหมือนจะรู้ว่าแอบมองอยู่

“แน่ใจ?”
ผมถามเพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูนิ่งหนักอึ้งมืดมนอบอวลอยู่

“อืม คิดว่าทำใจได้แล้ว แต่พอเจอหน้าจริงๆ”
ไอ้หมอมันนิ่งไปพักหนึ่ง เหมือนพยายามสะกดนำ้ในตาไม่ให้ไหลออกมา

 “ดันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้…… ความสัมพันธ์ห้าหกปีคงตัดไม่ขาดง่ายๆ”
ไอ้หมอบีบขมับตัวเองอย่างช้าๆ

“……..” ผมคบกับนิ่มแค่ปีเดียว ตอนถูกบอกเลิกนี่ทำผมเซไปหลายวัน  แต่นี่ตั้ง ห้าหกปี เรื่องของผมนี่กลายเป็นมิวสิควิดีโอไปเลย ของไอ้หมอนี่ยังกับซีรี่ย์เรื่องยาว ผมยังไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอะไร ให้มันระบายมาเรื่อยๆ ดีกว่า

“แต่เมื่อกี้ก็แอบสะใจนะ….ฮ่าฮาฮ่า”
อ้าวอารมณ์เปลี่ยนซะงั้น หมอมึงเป็นไบโพลาร์?
“หลงนี่กล้าดีนะ พูดไปแบบนั้นไม่เป็นไรเหรอ ได้ข่าวว่าป๊อปอยู่ เดี๋ยวได้กลายเป็นข่าว”
“ไม่เป็นไร…ก็อยากให้เป็นจริงอยู่” ผมหันไปพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“……….”


…………………………………………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
เอิร์ธ # 4

หลังจากวันหยุดไปก็เข้าสู่วัฎจักรการทำงานไม่รู้จบอีกแล้ว ต้องตื่นมาเหนื่อยแต่เช้า เอาวะสู้ๆ เพื่อประชาชน

ครื่นๆ

เสียงสั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้ามาที่สมาร์ทโฟนสีโรสโกลด์ นี่เป็นครั้งที่สามของวันนี้แล้วนะตั้งแต่เช้า ไม่รวมเมื่อวานก่อนนอนอีกสามข้อความ ผมแค่เหลือบดูว่าข้อความเหล่านั้นมาจากใครบ้าง แต่ไม่อยากเปิดดู จนพยาบาลทักตั้งหลายรอบ เพราะกลัวเป็นเรื่องสำคัญ

“ไม่สำคัญหรอกครับ” ผมบอกพยาบาลอีกรอบ เพราะเห็นแล้วว่ามาจากใคร ไม่ได้มาจากเอ แต่เป็น อีกคนที่เด็กกว่าส่งมา…
มันทำให้ผมนึกย้อนไปเมื่อวาน ตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทำไมเอถึงไปเจอผมที่นั่นได้ทั้งๆ ที่เขาไม่ควรจะรู้ว่าผมย้ายมาทำงานที่ไหน ผมพยายามสืบกับเพื่อนคนที่รู้ว่าผมทำงานที่นี่ซึ่งมีน้อยคนมาก แต่ไม่มีเคยคุยกับเอเลย เหลือคนเดียวคือพ่อของผมแต่ก็ไม่น่าจะบอกเพราะแกก็ไม่ชอบเอ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว

และต่อด้วยคำพูดของไอ้เด็กเวรนั่นอีก หลังจากมันพูดจบประโยคและมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ทีแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนึกว่ามันพูดเล่น แกล้งหยอกเราสนุกๆ จนกระทั่งข้อความทั้งหลายเหล่านี้ (เมื่อวานตอนไปส่งที่บ้านก็ไม่ได้พูดอะไรกันเลย)

มีเรื่องให้คิดเยอะแยะไปหมด

และสิ่งที่ทำให้ผมสงสัยอย่างมากคือ ไอ้เด็กหลงนั่นจะแกล้งอะไรผมอีก ผมยิ่งเป็นคนคิดมากอยู่ด้วย. นี่มันจริงหรือหลอก?!? มันพูดอะไรของมันออกมามันรู้ตัวไหมวะ?


Long_Mangkorn: “ถึงบ้านยังครับ”
Long_Mangkorn: “รีบนอนนะครับ พรุ่งนี้ทำงานแต่เช้าหรือเปล่า”
Long_Mangkorn: “ฝันดีนะครับ”

Long_Mangkorn: “สวัสดีตอนเช้า” ส่งมาพร้อมรูปแมวยิ้ม
Long_Mangkorn: “อย่าลืมทานข้าวเช้านะครับ”
Long_Mangkorn: “ทำงานอยู่หรือครับ ไม่ตอบเลย”
อันนี้ข้อความล่าสุด

ผมทำเป็นไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป แต่ก็เผลอมองโทรศัพท์อยู่เนืองๆ

“วันนี้อาจารย์ดูอารมณ์ดีนะคะ”  พยาบาลยิ้มหวานขณะเปลี่ยนอุปกรณ์การตรวจให้ใหม่

“ไม่นะ ไม่นี่”
“เห็นอาจารย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
“………”  ผมหันไปมองกระจกที่อยู่ทางซ้ายมือติดผนัง
เออ!! ฉิบหายผมยิ้มอยู่จริงๆ

“ไปตามคนไข้คนต่อไปมาได้แล้ว!!” ผมดุพยาบาลที่ล้อเลียนผม

‘ไม่นะ ไม่’  ผมคิดอะไรไปอีกล้านแปดพร้อมทึ้งหัวตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว

“เอ่อ…. อาจารย์คะ พร้อมไหมคะ?”  พยาบาลเดินกลับมาพร้อมคนไข้
“เอ่อ…อ้อ…. มาสิครับ. นั่งเลยครับ”

วันนั้นเป็นอีกวันที่ผมแทบไม่มีสมาธิทำงานเลย

ครื่ดๆๆๆๆ

นั่นไง…..มันมาอีกแล้ว!!

…………….










หลง (8 )


ผมนั่งเหม่ออยู่ข้างสนามฟุตบอลของโรงเรียน ใต้ร่มไม้ใหญ่ในช่วงยามบ่ายแก่ๆ เป็นสถานที่ที่ผมมักจะมานั่งกับเพื่อนๆ ในคาบกิจกรรมอิสระ (หรือว่าคาบว่าง) นึกถึงเรื่องเมื่อวานก็เขิน กูพูดอะไรออกไปวะ? มันเป็นคำพูดที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองใดๆ เลย มันมาจากใจแล้วก็ตรงออกจากปากไปเลย

ที่ผ่านมาตอนแรก กับไอ้หมอผมก็รู้แค่สะดุดตาเฉยๆ ไมรู้ว่าเพราะอะไร การที่ได้เจอมันบ่อยๆ ทำให้ความรู้สึกผมเปลี่ยนไปทีละน้อย แล้วอย่างเหตุการณ์เมื่อวานที่ไปเจอไอ้ตี๋นั่น ผมนี่ยิ่งแน่ใจว่าผมคงรู้สึกไม่ปกติกับไอ้หมอแล้วแน่นอน

มันเร็วไปไหมวะ จำได้ว่าไม่ถึงเดือนก่อนหน้านี้ผมเพิ่งถูกผู้หญิงหักอกผมไป  แล้วนี่มันผู้ชายนะเว้ย!! ตอนนี้ใจผมเหมือนแบ่งเป็นสองฝ่าย คือ เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยกับความรู้สึกนี้ แต่ก็จบด้วยว่าต้องลองเดินหน้าต่อไป เพื่อให้รู้ใจตัวเองจริงๆ

ผมรู้ว่าผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง คราวที่แล้วกว่าจะจีบนิ่มติดก็ใช้เวลานานโข ไม่ตัดสินใจอะไรให้มันเด็ดขาด ไม่แสดงความรักออกมาโดยง่าย ครั้งนี้จะลองใส่เกียร์เต็มที่ดูละกัน

มันทำงานเป็นหมอ จะโทรไปหาบ่อยๆ คงไม่ดี (มีความเกรงใจอยู่บ้าง) งั้นส่งข้อความไปหาน่าจะดีกว่า เลยส่งไปลองเชิงตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเช้าก็ส่งไปอีกหลายดอก แต่เงียบฉี่ อะไรวะ ผู้ชายนี่จีบยากกว่าผู้หญิงอีกหรือวะ?

Long_Mangkorn: “สวัสดีตอนบ่ายครับ กินข้าวยัง?” พิมพ์ไปอีกดอก

นั่งรอไปอีกพักก็ยังไม่ตอบกลับมา เราก็แน่ใจนะว่ามันชอบผู้ชาย

“หรือว่าหน้ากูดูแย่ขนาดนั่นวะ?” ผมหยิบมือถือขึ้นมาเซฟฟี่

พลั่ก!!

หน้าผมเกือบทิ่มลงพื้นข้างหน้า

“เป็นเชี่ยอะไรอีก?”
“ไอ้ชัย ไอ้ซาดิสต์ มึงเห็นหัวกูเป็นอะไร? ตบจังเลย”
ผมทำท่าจะสวนคืนสักดอกแต่มันรู้ตัวทันยกมือขึ้นชี้ผ้าพันแผลบนหัว

“ก็เห็นมึงนั่งเหม่อ ยังไม่เลิกคิดถึงนิ่มอีกเหรอวะ?”
“ไม่ใช่ ผู้หญิงแบบนั้นกูไม่รู้จะไปคิดถึงทำไม?”
“ทำใจได้แล้วว่างั้น”
“ก็ไม่เชิง…..มันก็ยังเจ็บนะ แต่คงโกรธมากกว่ามั้งที่ทำให้กูเป็นไอ้โง่ได้ตั้งนาน”
“แล้วมานั่งดราม่าอะไรตรงนี้ฟะ?”
“อืมมมมม…..กูไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน?”
“เล่ามา!!” ไอ้ชัยลงมานั่งข้างๆโดยไม่ต้องรอคำเชิญ

ผมเลยพยายามเล่าให้มันฟังถึงความรู้สึกของผมตอนนี้กับใครบางคน แต่ยังไม่ได้บอกว่าใคร

“เฮ้ย! แค่นี้เนี่ยนะ มึงก็ไปหาเขาสิ ง่ายจะตาย มึงเดินหน้าจีบไปเลย
หากลองได้ทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น แล้วมึงยังรู้สึกเหมือนเดิมแปลว่ามึงชอบเขาจริงๆ หากรู้ว่ามันไม่ใช่ก็หยุด แค่นั้น!”
“……..” ผมดูคิดมาก
“อะไรที่มึงทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะว่ะ ชีวิตมันสั้นจะได้ไม่เสียใจทีหลัง”
“เออว่ะ ถูกของมึง…..งั้นกูไปเย็นนี้เลย!!”

………………

ผมไม่ได้ป่วยอะไรนะครับ แต่มานั่งอยู่ที่คนไข้รอตรวจหน้า ‘คลินิค นอกเวลา’ อยู่ตั้งแต่เย็นจนเลยช่วงหัวค่ำมา ผมรู้ว่าไอ้หมอมันยังทำงานอยู่ เพราะป้ายหน้าห้องยังเป็นชื่อมัน และยังมีคนไข้เข้าออกอยู่เรื่อยๆ

Long_Mangkorn: “ยังทำงานอยู่ใช่ไหม?”

Long_Mangkorn: “ทำงานหนักอย่างนี้ทุกวันเหรอ?”

Long_Mangkorn: “ทานข้าวเย็นหรือยัง?”

เป็นลักษณะข้อความที่ผมส่งเข้าไปทางไลน์ทุกๆ 15 นาทีระหว่างที่ผมนั่งรอแกร่วอยู่แถวนี้ แต่ก็เหมือนเดิม อีกฝั่งยังเงียบ ไม่มีการตอบข้อความกลับมา

ผมรู้สึกเหมื่อยล้า หลังจากนั่งรอมันมาเกือบสามชั่วโมง คนไข้ที่เข้าไปเรื่อยๆ ยังไม่มีทีท่าว่าหยุดเลย รู้สึกสงสารคนอาชีพนี้จัง ผมนั่งอยู่เฉยๆตรงนี้แค่ 2-3 ชั่วโมงยังเมื่อยจะแย่ แต่เขาคนนั้นต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา คงเหนื่อยสุดๆ

หลังจากคนไข้เริ่มลดลงแล้วผมตัดสินใจเดินไปหาพยาบาลที่เดินเข้าๆ ออกๆ ห้องนั้นเหมือนเครื่องจักรในโรงงาน

“หมอเอิร์ธ อยู่ไหมครับ?” ถามทั้งๆ ที่รู้
“อุ้ย..” พยาบาลสาวเธอดูตกใจและแก้มแดง สงสัยผมเข้าประชิดตัวด้วยท่าทีปกติ (เหมือนที่ทำกับสาวๆทุกคน มันเป็นนิสัย)
“อยู่คะ กำลังลงเวรพอดี”
“ผมมีธุระด่วน ขอเข้าไปคุยกับเขาได้ไหมครับ?”
“อือ…………ได้คะ”
พยาบาลสาวดูลังเลแต่เห็นสายตาอ้อนวอนของผมก็พาผมเข้าไปแต่โดยดี

“อาจารย์คะ มีแขกมาขอพบคะ”

ผมเดินเข้าในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดไม่กว้างมาก ไอ้หมอนั่งอยู่ที่โต๊ะและเก้าอี้ที่ดูมีอายุมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ภาพที่เห็นมันดูขัดๆกับภาพเทพบุตรที่นั่งอยู่กับสิ่งเหล่านั้นอยู่

โทรศัพท์ถูกวางคว่ำหน้าอยู่ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ ผมกำลังจะโวยวายนะครับที่ถูกเมินแบบนี้ แต่พอมองไปที่ดวงตาที่อิดโรยของไอ้หมอก็ทำให้ผมโกรธไม่ลง

“เฮ้ย!! เข้ามาทำอะไร?”
“มารับไปกินข้าว” ผมยิ้มสู้กับอาการคิ้วขมวดของคนข้างหน้า
“อะไรนะ?”
“มา…รับ…ไป….กิน….ข้าว” ผมพูดเน้นๆ ย้ำๆไป
“……..” มันนิ่งไป
“เลิกงานแล้วนี่”
“อะไรของเธอน่ะ หลง?”
“ไม่มีอะไรแค่อยากมากินข้าวด้วย”
“ไม่ไป…นี่เธอคิดอะไรของเธออยู่เนี่ย?” ไอ้หมอทำท่ากุมขมับขณะเก็บข้าวของลงกระเป๋า
“ดึกแล้วนะเนี่ย!! ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก” เขาพลิกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู วันนี้ดูท่าทางเขารุกรี้รุกรน ท่าทางดูขบขันแต่ก็น่ารักดี
“เร็วดิครับ ผมหิว รอตั้งนาน”
“รอ… เมื่อไหร่?” เขาถอดเสื้อกราวด์ออกหันมาทำท่าสงสัย
“เลิกเรียนก็บึ่งมาเลย ก็ไม่รู้ว่าหมอเลิกกี่โมง?”
“……..” มันดูอึ้งๆไป
“มาเถอะเร็ว ไม่ไหวแล้ว” ผมคว้ากระเป๋าสะพายหลุยส์วิคตองลายตารางสีดำมาหิ้วแล้วเดินออกจากห้องเลย
“เฮ้ย!! บอกว่าไม่ไป ไม่ไปไง พูดไม่รู้เรื่องเรอะ!!”
ผมได้ยินเสียงโวยวายตามหลังมา

ผมก้าวยาวๆ ไม่กี่อึดใจก็มาถึงหน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล
“เฮ้ย…. แฮ่ก..แฮ่ก” ไอ้หมอสาวเท้าตามอย่างรีบร้อนพร้อมหอบหายใจถี่ๆ
“หิวยัง? ผมรู้จักร้านอร่อยเยอะ อย่างหมอน่ะคงหาอะไรกินไม่เกินร้านอาหารหน้าโรงพยาบาลหรอกใช่ไหม?”
“……...” ไอ้หมอมันทำหน้าเหมือนยอมรับในสิ่งที่ผมพูด

ครืดครอด…..   เสียงท้องร้องของคนตรงหน้าผมนี่ดังจน เจ้าของหน้าแดงด้วยความอาย

“หิวจริงๆ ด้วย รถหมอจอดอยู่ไหนล่ะ จะได้ไปกัน”
“อยู่โน้น” มันชี้ด้วยท่าทางไม่เต็มใจ

ผมเดินนำไปที่รถ ส่วนไอ้หมอก็ต้องเดินตามมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะกระเป๋าของมันอยู่กับผม ระหว่างเดินไอ้หมอพยายามแย่งคืนไป แต่ด้วยเซ้นส์นักกีฬาของผมน่าจะดีกว่า ความพยายามของไอ้หมอก็สูญเปล่า จนกระทั่งเดินถึงรถ มันจึงต้องยอมตามใจผม

ผมบอกทางจนไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยว เป็นร้านที่อยู่ในตึกแถวอายุรุ่นพ่อ ใกล้ๆ กับตลาดโต้รุ่ง

“ไป!!….. รีบกินจะได้รีบกลับง่วงจะตาย ไหนจะต้องไปส่งเธออีก”
ไอ้หมอพูดด้วยอารมณ์ไม่เต็มใจนัก
“โอเคๆ” ผมรีบเดินนำไปที่โต๊ะที่อยู่ใกล้หน้าร้านที่สุด
“อืม……..?” ไอ้หมอนั่งลงพร้อมกวาดตาไปรอบๆ ร้านด้วยสายตาอย่างกับหาสิ่งผิดปกติบนฟิล์มเอกเรย์

“เห็นเป็นร้านอย่างนี้ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเด้ง อร่อยสุดๆไปเลยนะ กินกับไข่ลวกก็อร่อย”
“ก๋วยเตี๋ยวกับไข่ลวก?” คิ้วขมวดเข้าหากันอีกแล้วไอ้หมอ
“เดี๋ยวผมสั่งให้แล้วลองนะ” ผมบอกกับมัน และเรียกลุงเจ้าของร้านมาสั่งเมนูขึ้นชื่อตามที่ผมอยากให้ไอ้หมอลอง

ไม่นานก๋วยเตี๋ยวกับโจ๊กที่ไม่น่าจะมาอยู่คู่กันได้ก็มาวางบนโต๊ะ ผมจัดแจงเรียงชามทั้งหมดให้ตรงกับตำแหน่งคนกิน จัดตะเกียบและช้อนกลางให้เรียบร้อย ท่ามกลางสายตาที่ลุกโพลงของคนฝั่งตรงข้าม อาหารยังดูน่ากินและอลังการเหมือนเคย

“ลงมือเลยครับ” ผมทำมือเชื้อเชิญ

เราทั้งสองต่างคนต่างหิวกันมาเลยลงมือกินกันแทบไม่ได้คุยกัน โดยเฉพาะไอ้หมอที่ดูจะถูกใจเมนูที่ผมสั่งให้อย่างมาก ทั้งตะเกียบทั้งช้อนต่างคีบต่างตักอาหารเข้าปากไม่ขาดสาย ดูสีหน้ามีความพึงพอใจเหมือนขึ้นสวรรค์ (เล่นทำผมเคลิ้มหยุดกินไปพักหนึ่ง)

“อร่อยว่ะ” หมอพูดก่อนที่คำสุดท้ายจะเข้าปาก
“เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าอร่อย” ผมยิ้มตอบ
“ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าหมอไม่ชอบ” ผมเสริม
“ชอบ อร่อยกว่าที่คิด ไม่นึกว่าจะมีร้านอร่อยแถวนี้”
“ผมยังรู้จักอีกเยอะ เดี๋ยวพามากินทุกวัน”
รอยยิ้มของบนหน้าไอ้หมอหายไปแล้วหยุดนิ่งเหมือนสมองกำลังทำงานอยู่
“ไม่ต้องแล้ว มาทำไม หากหมอเลิกดึกกว่านี้หรือเข้ากะกลางคืนจะทำไง?”
“ดึกก็รอได้…. ถ้าเข้ากะดึกก็ซื้อไปกินด้วยกันที่โรงพยาบาลก็ได้”
“จะทำแบบนี้ไปทำไมวะ ไม่มีเพื่อนรึไงเรา?”
“เพื่อนน่ะมี  แต่อยากให้หมอมากินข้าวด้วยกันทุกวันได้ป่าว?”
“…..” ไอ้หมอดูหน้าแดงๆ ผมรุกขนาดนี้หมอน่าจะรู้นะว่าผมหมายถึงอะไร
“ได้ไหมครับ?” ผมถามย้ำด้วยเสียงที่ออดอ้อน
“ไม่ได้!!! กลับบ้านได้แล้ว ลุกขึ้นไปที่รถเดี๋ยวนี้” หมอทำเสียงเข้มใส่
แล้วไอ้หมอก็เดินไปชำระเงิน และเดินนำไปที่รถทันที (คราวนี้มันอาศัยจังหวะตอนผมเผลอ ฉวยกระเป๋าตัวเองไปก่อนจะลุกขึ้น)

ผมเดินไปที่รถด้วยสีหน้าหงอยๆ ก้มหน้าไม่พูดอะไรจนกระทั้งขึ้นไปนั่งบนรถด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ผมพยายามไม่มองไอ้หมอ เพราะอยากลองใจมัน

“เอ่อ…. พรุ่งนี้หมอเข้าทำงานบ่ายถึงกะดึก แต่มีพักตอนทุ่มหนึ่ง หาอะไรมากินด้วยกันที่ห้องอาหารของโรงพยาบาลกันก็ได้” แล้วไอ้หมอก็สตาร์ทรถออกเดินทาง

ผมหันหน้าออกไปมองถนนที่กระจกฝั่งของผมแอบยิ้มที่มุมปาก

…………………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ชัย #4

วันนี้ผมควรจะหยุดหรือเปล่าวะ?

ผมนั่งถามตัวเองขณะนั่งอยู่ในคาบเรียนสุดท้าย ยังไงก็อาศัยอาการป่วยหยุดยาวไปเลย  คงต้องโทษตัวเองที่ดันชวนไอ้กวีขู้ตบาสเล่นที่สวนหน้าบ้าน ไม่ยอมพักผ่อนตามที่ควรจะทำเมื่อกลับถึงบ้านเมื่อวาน ก็ไอ้กวีมันดันพูดชมว่าเราเล่นดีแต่ไม่เคยเห็นชู้ตทำคะแนน

ผมมันเป็นประเภทดูถูกไม่ได้เลยจัดชุดใหญ่ให้ดูเสียหน่อย ผมสังเกตว่ามันก็ดูชื่นชมผมอยู่ไม่น้อย หลังโดนแม่ดุ ผมกับมันเลยต้องหยุดไปคุยเรื่องบาสเก็ตบอลต่อในบ้าน ไอ้กวีมันเป็นคนคุยสนุกกว่าที่คิด นึกว่าจะเป็นพวกขี้เก็กพูดน้อย หยิ่ง แต่จริงๆ แล้วตรงกันข้าม มันเป็นคนตลกมีเสน่ห์พอควรเลย ผู้หญิงจะหลงมันก็ไม่แปลก

มันบอกหากไม่สนิทก็จะไม่ค่อยพูดด้วย ก็คงจริงกับพ่อแม่ผมมันพูดนับคำได้ แม่ก็ชมมันไม่ขาดปากถึงความสุภาพเรียบร้อยน่ารัก ก็ลูกแม่มันห้าวแล้วก็พูดมากนี่ แม่ทำใจนะครับ

หลังจากไปทักทายไอ้หมาหงอย ที่นั่งซึมเหม่อลอยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของมัน มันพยายามเล่าเรื่องที่มันกำลังสับสนว่าจะเดินหน้าหรือควรหยุดทำใจก่อน มันไม่บอกผมหรอกครับว่าคนที่ทำให้มันว้าวุ่นใจเป็นใคร แต่สองสามวันมานี้ มันพูดถึงคนๆหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา ปากก็ว่าน่ารำคาญ กวนประสาทมันเรื่องนั่นเรื่องนี้ จนผมเริ่มรำคาญ ทำให้ผมนึกออกได้ไม่ยากว่าเป็นใคร ผมไม่อยากล้อมันเดี๋ยวมันอาย

“อะไรที่ทำให้มึงมีความสุขก็ทำไป” นั่นเป็นสิ่งที่ผมพูดกับมัน

กริ่งสัญญาณหมดคาบสุดท้ายดังไปทั่วโรงเรียน ไอ้หลงรีบผุดออกจากจุดที่นั่งแล้ววิ่งออกไปที่ประตูโรงเรียนอย่างเร็ว

“กูไปแล้วนะ บอกโค้ชด้วยว่ากูป่วย วันนี้งดซ้อม” มันพูดทิ้งท้ายก่อนไป

“แล้วกูไม่ป่วย สัด” ผมตะโกนด่ามันไล่หลัง

ผมเดินไปลากับโค้ชเพื่อของดการฝึกซ้อมวันนี้ แต่พอผมบอกเรื่องไอ้หลงดูโค้ชแกไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แถมดูจะโกรธด้วย ส่วนผมไม่อยู่รอให้โค้ชถามอะไรมากรับเดินออกจากสนามบาสฯ ก่อน

เฮ้อ……

ผมเดินบิดขี้เกียจระหว่างเดินออกจากรั่วโรงเรียน รู้สึกว่างยังไงไม่รู้พอไม่มีซ้อมบาสฯ ถึงจะบ่นว่าขี้เกียจซ้อมทุกวัน แต่พอถึงเวลาไม่ได้ซ้อมขึ้นมาจริงๆ ก็รู้สึกโหว่งๆ ในอกยังไงไม่รู้

สายตาของผมเหลือบไปเห็นนิ่มกับกลุ่มเพื่อนของเธอ ที่เดินมาเป็น กลุ่มเหมือนนางพญากับฝูงผึ้ง ที่ดูจะเป็นภาพชินตาสำหรับคนแถวนี้ มันทำให้ผมคิดได้ว่าผมยังมีภารกิจสำคัญค้างคาอยู่

‘ภารกิจก่อกวนความสุขของนิ่ม’

แทนที่ผมจะเดินทางกลับบ้านกลับต้องตามมาสะกดรอยตามนิ่มแทนจนลงท้ายที่โรงเรียนกวดวิชาใกล้ห้างสรรพสินค้าในจังหวัด (ขยันกันจัง)

ผมไม่ได้เรียนที่นี่เลยไปนั่งอยู่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามฆ่าเวลา ร้านมันเป็นร้านนั่งสบายๆ กว้างขวางพอควร ลูกค้ามีทั้งนักเรียนและผู้ปกครองมานั่งเล่น นั่งรอ ดื่มกาแฟ และทานอาหาร เหมาะกับการมานั่งส่องคนมากๆ เพราะคนเยอะพอสมควร

ผมเคยสะกดรอยตามนิ่มมาช่วงหนึ่งแล้วเลยพอทราบว่า ไม่เกินสองชั่วโมงก็คงออกมา ผมนั่งโต๊ะอยู่ใกล้หน้าร้านเพื่อจะได้เห็นคนเดินเข้าออกโรงเรียนกวดวิชานั้นได้ชัดเจน

หากเป็นไอ้หลง ไอ้คนไฮเปอร์มาด้วย มันคงไม่คิดจะรอ แต่ผมรอได้ครับ ผมไม่เบื่อหรอกครับเพราะที่นี่มันแหล่งรวมสาวๆ หน้าตาดีทั้งนั้น ผมนั่งได้ทั้งวัน…จริงๆนะ

“ชัย” เสียงคุ้นหูดังขึ้นทางด้านหลัง
ผมหันไปหาต้นเสียงที่เอ่ยทักทายผมก่อน

“อ้าว… ไอ้กวีบังเอิญจริงๆว่ะ มาทำอะไรวะ?”
ไอ้กวีมาในชุดนักเรียนที่ดูเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิดกับผมที่ปลดกระดุมเสื้อตัวบนสุดและปล่อยชายเสื้อออกมานอกกางเกง แต่เรื่องความหล่อผมสู้มันได้สบายๆ

“มารอนิ่มน่ะ แล้วนายล่ะ” 
….ถามแบบนี้กูจะตอบว่าอะไรดี เพราะกูก็มารอนิ่มเหมือนมึงไงแค่คนละจุดประสงค์….
“มาดูของสวยๆงามๆแถวนี้”
ผมยักคิ้วให้มันพร้อมเหล่ไปทางกลุ่มเด็กสาวในชุดพละสีชมพูที่โต๊ะข้างๆ (ความกะล่อนของกูนี่ได้โล่มากๆ)
“อ้อ…” มันทำหน้าเหมือนพยายามเห็นด้วย ผมเองก็พึ่งสังเกตว่านั่นมันเด็ก ม.ต้น มันคงนึกว่าผมเป็นพวกชอบเด็กแน่ๆ (ช่างแม่ง)

“คือไม่ได้ซ้อมบาสฯ แล้วมันว่างน่ะ”
“นี่โรงเรียนนายซ้อมบาสฯ ทุกวันเลยเรอะ?”
“ใช่ ทำไมล่ะ”
“นึกว่าล่ะ ถึงได้เก่งกันขนาดนั้น”
“อ้าว ทีมนายไม่ได้ซ้อมทุกวัน?”
“ปกติก็ สัปดาห์ละ สามวัน ใกล้แข่งถึงได้ซ้อมทุกวัน คือที่นี่ห่วงเรื่องการเรียนจะตกน่ะ”
ก็จริงที่ชื่อเสียงด้านวิชาการของโรงเรียนผมสู้โรงเรียนมันไม่ได้

“แล้วนายไม่ไปเรียนพิเศษกับนิ่ม”
“ก็เรียนกันคนละชั้นนี่หว่า วันนี้งดการสอนน่ะ เลยมานั่งรอ ว่าแต่นายรู้ได้ไงว่าเราเรียนพิเศษที่เดียวกับนิ่ม?”

ฉิบหายแล้วววววว

“ก็…ก็เห็นนิ่มเดินเข้าไปเมื่อกี้ เลยเดาเอา”
“อ้อ” ไอ้กวีมันทำสีหน้าแบบเดิมอีกแล้ว เหมือนมันไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“เฮ้ย… เป็นแฟน NBA เหรอ?” ผมชี้ไปที่พวงกุญแจสัญลักษณ์ NBA ที่ห้อยกระเป๋าไอ้กวีอยู่ ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องให้ไวก่อนที่จะสงสัยไปมากกว่านี้

“เออสิ เล่นบาสฯ มันก็ต้องดูอยู่แล้ว แล้วนายไม่ติดตามเรอะ?”
“เออสิวะถึงได้ถาม เชียร์ทีมอะไรอยู่?”

หลังจากนั้นก็ยาวเลยครับ บทสนทนาระหว่างผมกับมัน มันถึงกับนั่งลงโต๊ะเดียวกันกับผมเพื่อคุยต่อจากที่ติดพันอยู่ เวลาผ่านไปเร็วมาก แสงสุดท้ายจากขอบฟ้าทางตะวันตกหายวับไปเหลือแต่เพียงแสงดาวและแสงจากไฟนีออน

เสียงโทรศัพท์ไอ้กวีดังขึ้นมาขัดจังหวะที่ผมกับมันกำลังเม้าส์กันกระจายเรื่องนักกีฬาคนโปรด

“หวัดดีครับ”  เสียงเล็กเสียงน้อยขี้นมาทันที
“……..”
“อื้อๆ ได้ๆ พี่อยู่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามนี่เอง” ผมพลิกนาฬิกาขึ้นดูนี่มันเกือบสองทุ่มแล้วนี่นา
“…….”
“โอเค งั้นพี่รออยู่นี่นะ”
ผมนั่งมองไอ้กวีโทรศัพท์ สีหน้าแม่งมีความสุขดี มันนี่ไม่รู้อะไรเสียเลย นิ่มมันไม่ได้ใสๆ อย่างที่มึงคิดหรอกนะ เผลอแบะปากไม่รู้ตัว

“เอ่อ นิ่มน้องเขาจะมาทานข้าวที่นี่น่ะ เห็นบอกว่าเลิกเรียนช้า หิวมาก” ไอ้กวีสีหน้าดูเกรงใจพลิกโทรศัพท์ไปมา
“โอเค แล้วค่อยคุยกันใหม่นะ” ผมลุกขึ้นชี้ไปที่โต๊ะข้างๆ ที่ว่างอยู่
“หิวเหมือนกัน ว่าจะสั่งอะไรมากินพอดี” ผมลงไปนั่งและพลิกเมนูดูทันที
“เฮ้ย… งั้นมากินโต๊ะเดียวกันก็ได้”
“ไม่เอา… เกรงใจ เอ็งกินกับแฟนของเอ็งไปเถอะ”
พูดจบผมก็วางของและเดินไปสั่งอาหารที่เคาเตอร์เลย ระหว่างที่ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ เป้าหมายของผมก็มาถึงพอดี

“สวัสดีคะพี่กวี ขอโทษนะคะอาจารย์เลิกช้าเลยทำให้พี่ต้องรอนานเลย”  นิ่มทำท่าน่ารักเหมือนเคย
“ไม่เป็นไร กินอะไรไปเดี๋ยวพี่ไปสั่งอาหารให้”
“แบบเดิมก็ได้คะ”
ไอ้กวีมันยิ้มให้แฟนมันแล้วเดินไปสั่งอาหารที่เคาเตอร์ ส่วนนิ่มก็นั่งอารมณ์ดียิ้มไม่หุบจนกระทั่งหันมาเจอผมที่โต๊ะข้างๆ รอยยิ้มนั้นก็จางหายไป

“พี่ชัย”  น้ำเสียงนิ่มแฝงความตกใจ
“ดีจ้า” ผมโบกมือขึ้นมาทักทาย
“พี่มาทำอะไรที่นี่?”
“แวะมานั่งเล่นแถวนี้ เจอไอ้กวีมันก็เลยคุยกันยาวเลย”
“…….”
“อ้าวนิ่ม….รู้จักชัยด้วยเหรอ?” ไอ้ชัยมาพร้อมน้ำหวานใส่โซดาสีสวย
“เอ่อ…..พี่เขาเป็นนักบาสฯโรงเรียน ใครๆก็รู้จักคะ”
โห…. เนียนได้อีก กูเป็นเพื่อนสนิมแฟนเก่ามึงไง เอาออสก้าไปเลยผู้หญิงคนนี้ ทำเหมือนไม่ค่อยรู้จักกันได้เนียน ส่วนไอ้กวีมันก็บื้อเหลือเกิน ไม่สังเกตอะไรบ้างหรือไง คนไม่สนิทมันจะทักกันก่อนแบบนี้รึไง!!!

“พี่กวีรู้จักพี่ชัยด้วยหรือคะ?”
“อื้อ… ก็คนที่เล่าให้ฟังไง คนที่มาช่วยพี่ตอนโดนพวกนักเลงมันรุมตีไง”
“อ้อ….” นิ่มทำท่านึกออก แต่ผมแอบคิดว่า นิ่มคงนึกไม่ออกหรอก เพราะคนที่สนใจแค่ตัวเองอย่างนิ่มคงไม่คิดใส่ใจรายละเอียดฟังใครอย่างตั้งใจ

“ขอบคุณนะคะ ไม่ได้พี่  ป่านนี้พี่กวีคงแย่” รู้สึกถึงรอยยิ้มที่ไม่จริงใจส่งออกมาจากนิ่ม
“เห็นคนเดือนร้อนก็ต้องช่วยเหลือ” ผมยิ้มตอบกลับไปแต่ก็ยิ้มรับได้ไม่เต็มที่ก็เพราะส่วนหนึ่งมันก็ความผิดผมด้วย มันเป็นเรื่องผิดแผนที่ช่วยไม่ได้จริงๆ
“ว่าแต่พี่ไปทำอะไรแถวบ้านนิ่มละคะ คนละทางกับบ้านพี่เลยนี่”  อ้าว…. นิ่มเล่นกูแล้ว ผมว่าคนฉลาด (เกมโกง) แบบนิ่มคงรู้สึกระแคะระคายบ้างนิดหน่อย
“เอ่อ…… ไปส่งสาวแถวนั้นน่ะครับ ” เข้าสู่โหมดเกมชิงไหวชิงพริบเสียแล้ว
“แหม…. เจ้าชู้จริงๆ นะคะ สาวคนไหนกันน๊า? แถวนั้นนิ่มรู้จักหมด บอกได้ไหมคะ? จะได้ช่วยจีบ”
“ไม่เป็นทำไรจ๊ะ….เรื่องแบบนี้พี่มั่นใจกว่าเรียนหนังสืออีกนะ ว่าแต่แล้วนิ่มรู้ได้ไงว่าพี่บ้านอยู่แถวไหน?”
“ก็…ก็ยัยโบไงคะ…. รู้จากโบไง ก็เห็นพี่ไปมาหาสู่กับเพื่อนนิ่มมาพักหนึ่งแล้วนี่คะ “
“อ้อ….นั่นสินะ” ผมยิ้มแบบแสแสร้งตอบกลับไป ส่วนนิ่มก็ไม่ต่างกัน ผมว่านอกจากแม่ ก็นิ่มนี่แหละที่พอจะทันความคิดของผม ส่วนไอ้กวีที่ยืนอยู่นอกบทสนทนาได้แต่หันไปหันมาตามบทสนทนาเท่านั้น
 
“สนิทกันเร็วดีนะ” ไอ้กวีมึงพูดได้แค่นี้ใช่ไหม?
“ก็ไม่ให้สนิทได้ไงก็นิ่ม……”
“ขอโทษนะครับ สเต็กหมูพริกไทดำของใครครับ”
อืม….. อีกนิดความอดทนผมจะหมดแล้วพร้อมแฉแล้ว โชคดีครับที่พี่พนักงานเสิร์พเดินมาส่งอาหารพอดี ไม่งั้นได้เผลอแฉหมดเปลือกแน่

“ผมเองครับ / ผมครับ” ผมกับไอ้กวีตอบพร้อมกัน
“อ้าว / อ้าว” พร้อมกันอีก
“นายสั่งก่อน เอาไปก่อนเลย” กวีผายมือมาทางผม ขณะเดียวกันที่สลัดและคลับแซนด์วิช ก็ถูกพนักงานอีกคนนำมาวางไว้ที่โต๊ะของนิ่ม
“ไม่เป็นไร นายมาด้วยกัน กินกันก่อนได้เลย เรารอได้”
“เฮ้ย… ไม่เป็นไร ยังไงนิ่มก็กินช้า เราตามทันอยู่แล้ว”
คิ้วของนิ่มเริ่มผูกเข้าหากันก่อนที่เปลี่ยนเป็นยิ้มอ่อนๆ
“พี่กวีคะ นั่งลงกินเถอะคะ พี่ชัยเขาให้แล้ว นิ่มอยากทานพร้อมพี่น่ะคะ นิ่มหิวแล้ว เดี๋ยวกลับบ้านดึกนะคะ”
ฟังแล้วอยากหาคำพูดเจ็บๆสวนกลับไป

“เชื่อแฟนเหอะ เดี๋ยวทะเลาะกันเปล่าๆ เรารอได้ไม่เป็นไร”
ซึ่งเป็นคำพูดที่ตรงกันข้ามกับความตั้งใจ  จริงๆแล้วคือผมหาทางให้ทั้งสองเลิกกัน ถึงแม้ว่าผมจะยังนึกไม่ออกถึงวิธีตอนนี้ก็เถอะ!
“เออ… อืม… ขอบใจนะ” กวีเอ่ยขึ้นสั้นๆ ด้วยสีหน้าเกรงใจ
ผมโบกมือให้และยิ้มตอบ ส่วนไอ้กวีก็พยักหน้าให้ครั้งหนึ่งก่อนจะหันกลับลงไปนั่งข้างๆ นิ่ม

ผมนั่งแอบมองทั้งสองด้วยสายตาสังเกตการณ์ พยายามคิดถึงแผนที่สองต่อไป

………………………………………………………

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกดีอะรีบมาต่อนะครับ  :z1: วันละหลายๆตอนจะดีมาก

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ชัย #5

ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ การติดตามใครว่าทำอะไรอยู่ที่ไหนเนี่ย ไม่ยากเลย ทั้งอินสตาแกรม และไอ้เพจหนุ่มน้อยน่ารักวัยใสอะไรนั่น ทำให้ผมคิดแผนถัดไปได้ไม่ยาก มีภาพกิจวัตของไอ้กวีทุกวันเลย (ทำให้ผมรู้ว่า ในเพจนี้ก็มีรูปผมอยู่ไม่น้อย แอบถ่ายทั้งนั้นเลย ทำไมบอกกันดีๆวะ จะยอมให้ถ่ายดีๆเลย มุมเผลอของผมนี่โคตรเอ๋อ!!)

และนั่นทำให้ผมทราบว่าจะไปดักเจอสองคนนั้นที่ไหน วันนี้วันอาทิตย์ เป็นวันที่มีความเป็นไปได้ที่ไอ้กวีจะพาน้องนิ่มไปว่ายน้ำที่คลับสระว่ายน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งญาติผมเป็นเจ้าของ เข้าทางผมล่ะ ผมรีบนัดผู้สมรู้ร่วมคิดทันที

“เจ้พิ้งค์ ว่าไงอยู่ไหนแล้วเนี่ย” ผมนั่งรอเจ้แกอยู่แถวม้านั่งบริเวณริมสระน้ำ (ที่นี่มีสระขนาดมาตรฐาน 2 สระ มีทั้งสระเด็กและสระผู้ใหญ่ไหนจะมีที่นั่งพักผ่อนรอบๆ สระและร้านกาแฟอีก ใหญ่เวอร์!!)
“แก…..จะเอาจริงๆง่ะ น้องกวีดูเป็นเด็กดีขนาดนั้น สงสาร” น้ำเสียงเจ๊แกดูกังวล
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ยัยนิ่มไม่ควรได้คนดีๆ ไปครอบครอง  และนี่ถือเป็นการช่วยให้กวีไปเจอคนที่ดีกว่า ดีกว่าไปอยู่กับยัยตอแหลนั่น!” ผมพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า
“เอ่อ….คือ”
“เจ้ผมจ้างเจ้นะ… ไม่ได้ให้ทำฟรีๆ เงินก็ให้ไปแล้วด้วย”
“เออๆ นี่เห็นแก่กวีด้วยนะ ถือว่าช่วยเด็กมัน กำลังจะไปแล้ว”
“โอเค… เจอกันที่นี่นะ” สุดท้ายเงินก็มาก่อนสินะเจ้อย่ามาอ้างโน้นนี่ ผมวางสายจากเจ้พิ้งค์ไม่นาน เป้าหมายของผมก็มาปรากฎสู่สายตาของผม

นิ่มเดินเคียงคู่มากับไอ้กวีในชุดวันพีชสีชมพูน่ารักพร้อมมีระบายตรงโน้นตรงนี้เยอะไปหมด ด้วยหุ่นของเธอคงจะปฏิเสธที่จะไม่มองไม่ได้ มันดูเกินอายุไปหมด ผมไม่ชอบขี้หน้าเธอยังอดตื่นเต้นที่มองไม่ได้ เธอตกเป็นเป้าสายตาหนุ่มๆ รอบสระทันที

ส่วนไอ้กวีก็เดินมาคู่กันก็ใส่กาวเกงว่ายน้ำสีดำธรรมดาๆ แต่หุ่นที่สูงสมส่วน หน้าใสสวยๆ สไตล์เกาหลี ผิวขาวเกลี้ยงเกลากับซิกแพ๊คนั่น ทำให้สาวๆ แถวนี้แอบกรี๊ดและซุบซิบชนิดที่ยัยนิ่มแทบจะหันไปค้อนใส่ทุกคน กวีเป็นผู้ชายที่ทำให้ทุกคนตื่นเต้นได้แม้แต้ผู้ชายด้วยกัน ผมยังเผลอมองไอ้ปากแดงกับจุดตรงหน้าอกที่อมชมพูอยู่นานสองนาน

ผมว่าที่นิ่มชอบมาว่ายน้ำที่นี่ นอกจากจะมาออกกำลังกายแล้วคิดว่าน่าจะอยากอวด “ของ” ด้วย เพราะเธอมีสีหน้าที่มีความสุขเหลือเกินเวลาที่คนมองพวกเธอด้วยสายตาชื่นชม จะเรียกสายตาเหล่านั้นว่า ‘ฟิน’ ก็ได้

 แผนวันนี้ไม่มีอะไรมากก็แค่ ส่งอีเจ้พิ้งค์เข้าไปยั่วให้ นิ่มมันหึงจนร่างนางฟ้าแตกกระจาย ความจริงวันนี้แค่น้ำจิ้มเท่านั้น แค่อยากกวนน้ำให้ขุ่นเฉยๆ ยังไงเจ้พิ้งค์ก็รู้จักกับไอ้กวีแล้วจากเหตุการณ์คราวก่อน การเข้าหามันง่ายนิดเดียว ที่เหลือก็มารยาของเจ้พิ่งค์แค่นั้น (ซึ่งเรื่องนี้ผมไว้ใจเธอได้)

ไม่นานเจ้พิ้งค์ก็ปรากฏกายในชุดทูพีชวาบหวิวสีส้มด้วยหุ่นและผิวขาวสวยของเจ้พิ้งค์ ทำให้ผู้ชายทุกคนแข็งขันขึ้นมาแน่นอน เธอเดินเลาะขอบสระมาเรื่อยๆ อย่างกับการประกวด next top model เธอสะกดสายตาด้วยท่าสะบัดผมอย่างที่เจ้แกถนัด ผมเลือกคนที่จะมาทำแผนนี้ไม่ผิดจริงๆ จะสู้กับดาวโรงเรียนก็ต้องดาวมหา’ลัยนี่ล่ะ

เจ้พิ้งค์แกส่งสายตามาทางผมหลังจากที่ผมพยายามส่งสายตาไปหาเธออยู่นาน ผมพยักหน้าและไสหน้าตัวเองไปยังทิศที่เป้าหมายของวันนี้อยู่ เจ้แกเข้าใจในทันที เจ้พิ้งค์ยิ้มและพยักหน้าหนึ่งครั้งก่อนที่จะเดินไปหาเป้าหมายอย่างใจเย็น

จุดที่ผมอยู่คือฝั่งตรงข้ามกับคู่รักที่เหมือนฝ่ายชายพยายามสอนฝ่ายหญิงว่ายน้ำ ทั้งที่ฝ่ายหญิงดูจะไม่เต็มที่กับมันเท่าไหร่ เหมือนพยายามจะโชว์การพลอดรักมากกว่า เห็นแล้วอยากหาอะไรขว้างใส่กลางวง

เจ้พิ้งค์เดินไปหยุดอยู่ที่ริมสระใกล้สองคนนั้น และก็เริ่มเนียนทักทายจนฝ่ายชายสนใจ รู้สึกถึงความไม่พอใจของฝ่ายหญิงแผ่มาถึงจุดที่ผมนั่งอยู่ ฝ่ายหญิงมองไปทางฝ่ายชายเชิงตั้งคำถาม ฝ่ายชายเหมือนพยายามแก้ตัวพัลวัน ผมรู้สึกสะใจกับภาพที่เห็น สักพักเจ้พิงค์ก็ลงสระบริเวณนั้นแต่พยายามชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ท่ามกลางสายตาของฝ่ายหญิงที่ดูไม่พอใจอย่างมาก สงสารไอ้กวีมันเหมือนกัน รู้สึกลำบากใจแบบสุดๆ ไปเลย หลังจากวันนี้ชีวิตของสองคนนั้นคงไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะความมั่นใจในความสวยของนิ่ม เธอก็เลยคิดว่ากวีมันคงจะไม่สนใจใครอีก มั่นใจในมารยาหญิงของตัวเอง คิดว่าคงไม่มีใครกล้าเทียบรัศมีของเธอ แต่พอมาเจอตัวแม่อย่างเจ้พิ้งค์คงต้องทบทวนเสียใหม่แล้ว

พอเห็นหน้าที่เหมือนกินยาขมของไอ้กวีก็เกิดสงสารขึ้นมาเลยว่า
‘กูทำถูกไหมวะเนี่ย?’

“ชัย! ชัย!” เสียงเล็กๆ ที่ฟังคุ้นหูดีงขึ้นไม่ไกล
“ครับ” ผมหันไปเจอป้าผมเองที่เป็นเจ้าของและคนดูแลที่นี่
“ช่วยอะไรน้าหน่อยสิ วันนี้ช่างป้ามันเบี้ยวนัดไม่ยอมไปเปลี่ยนฝักบัวในห้องน้ำชาย ช่วยป้าหน่อยนะหลาน” หน้าป้าดูลนลานอาจเพราะวันนี้เป็นหยุดที่ปกติคนจะเยอะ ห้องน้ำชำรุดหนึ่งหรือสองห้องก็จะยิ่งวุ่นวายหนักกว่าเดิม
“ได้ครับ” ผมพูดอย่างว่าง่าย เพราะผมเองก็มารบกวนป้าแกบ่อย (มาฟรีตลอด บางทีพาเพื่อนมาด้วย)

ผมเหลือบมองสถานการณ์บริเวณสระน้ำที่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วเพราะเจ้พิ้งค์ เดินออกมาวอร์มร่างกายอยู่ไกลออกไปหน่อย แต่สายตายังยั่วยวนอีกฝ่ายจนนิ่มจ้องกลับตาแทบถลนออกจากเบ้า ไอ้กวีนี่ดูหน้าหดลงไปหลายเซ็นติเมตรเพราะเผลอแอบมองเจ้พิ้งค์อยู่เรื่อยๆ ผมและผู้ชายรอบๆ สระน้ำยังเพลินตาไปเลย ผมเห็นรอยยิ้มเจื่อนๆ นั่นของไอ้กวีคงบอกว่าลำบากใจอยู่ เพราะนิ่มก็พยายามเรียกร้องความสนใจอยู่เนื่องๆ ผมนี่เกือบลั่นก้ากออกมาเลย ตลกฉิบหาย

ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้นก่อนที่จะปล่อยหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ และรีบตรงไปที่จัดการเรื่องที่ป้าไหว้วานไว้ ตรงนี้คงปล่อยให้เจ้พิ้งค์แกด้นสดจัดการไปได้ เพราะบอกว่าให้เจ้พิ้งค์ยั่วแบบจัดเต็มเอาให้ไอ้กวีเก็บไปฝันเปียกเลย!!!!!

ผมเดินไปรับอุปกรณ์ต่างๆที่ป้า และเดินไปที่ห้องน้ำชายฝั่งตะวันออก (มีสองฝั่ง) ห้องน้ำที่นี่สร้างแบบแยกเป็นสองโซน คือ โซนขับถ่ายกับโซนอาบน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ผู้คนตรงนี้ค่อนข้างบางตาเพราะป้ายหน้าทางเข้าบอกว่า ห้องอาบน้ำชำรุดกำลังซ่อม ผมเคยมาช่วยซ่อมกับช่างอยู่บ่อยๆ จนสามารถทำแทนช่างในบางงานได้ ป้าแกเห็นผมทีไรก็อดที่จะใช้ผมไม่ได้ (ก็ฟรีนี่นา)

ผมเดินเข้าไปที่จุดเสียคือห้องน้ำด้านในทั้งสองห้อง ห้องแรกดูจะไม่มีปัญหาอะไรแค่เปลี่ยนฝักบัวใหม่น้ำก็ไหลแรงเหมือนเดิม ส่วนไอ้ห้องที่สองเจ้ากรรมทำให้ผมงัดแงะอยู่นานกว่าจะเสร็จเล่นเอาเหงื่อท่วมแถมตัวเปียกน้ำไปหมด โชคดีที่ผมติดผ้าเช็ดตัวมาด้วยเลยตั้งใจว่าจะอาบน้ำต่อเลยก็แล้วกัน 

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอทดสอบการซ่อมของตัวเองซะเลย ผมเลื่อนผ้าม่านอาบน้ำสีเขียวทึบ ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำเสียเลย ระหว่างทำความสะอาดร่างกายอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาอาบน้ำห้องข้างๆ

ครืดๆ ป๊อก!!  พลั่ก!!!

“โอ้ย!!”

ผมร้องเสียงดังเพราะฝักบัวเจ้ากรรมของผมมันดันหลุดลงมาใส่หัวผม ใช่ฟังไม่ผิดหรอกครับ หัวผมอีกแล้ว หรือพระเจ้าจะลงทัณฑ์ผมที่ผมทำแผนชั่วมา ความรู้สึกเจ็บแล่นแปล๊บขึ้นทันที ผมขอล้มลงนั่งเพื่อตั้งสติก่อน มือก็คลำลูบจุดที่บาดเจ็บว่ามีแผลหรือเปล่า ตาก็พยายามมองตามพื้นว่ามีเลือดไหลมาพร้อมกับน้ำที่หลั่งพลั่งพลูลงมาจากท่อที่พังด้านบนหรือเปล่า

พรึ่บ!!

ระหว่างที่กำลังสำรวจอยู่นั้น ม่านกั้นอาบน้ำก็เปิดกว้างออก

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“……” น้ำเข้าตาบวกกับอาการมึนงงจากของแข็งตกใส่หัวทำให้ผมตั้งสติที่จะตอบนานกว่าปกติ

“ชัย!!…. เฮ้ย!! ชัยเป็นอะไรหรือเปล่า?”

ร่างเปลือยเปล่าของคนที่เสียงคุ้นหูเข้ามาพยุง และเอื้อมมือไปบิดคันบิดเพื่อปิดน้ำ สายตาค่อยๆกลับมาเป็นปกติ เห็นคนที่มาพยุงคือ ไอ้กวี เราสองคนทั้งเปลือยเปล่าและอยู่ในท่าที่ออกจะแปลกๆสักหน่อย เขาพยุงหลังผมด้วยเข่า (มั้ง) และแขนโอบล้อมหลังผมเพื่อพยุงให้ผมนั่งดีๆ ผมเผลอพิจารณารูปร่างไอ้กวีในระยะประชิดแบบเนื้อแนบเนื้อทำให้ผมอดตื่นเต้นไม่ได้

ไอ้กวีจับหน้าผมเงยขึ้นมา ตบเบาๆ สองสามทีเหมือนเพื่อเรียกสติ ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้วสติกลับมาครบแล้วแต่ใจนี่สิ มันตื่นกับเนื้อหนังของไอ้กวี เลยไม่ได้สนใจว่ามันถามว่าอะไร ผมเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะตอบมันว่าสบายดี จะได้ออกห่างจากผมเสียที แต่ดันเจอกับหน้าของไอ้กวีในระยะประชิด หน้าตาที่เปียกปอน ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงมีหยดน้ำพรมไปทั้วเส้นผม และ….ขนตา ผมไม่เคยเห็นคนตาสวยขนาดนี้มาก่อน

ผมรีบผลักไอ้กวีให้ขยับออกห่างจากผม และหันหลังให้ทันที ก่อนที่จะเห็นไอ้ชัยน้อยมันดูมีอาการผิดปกติกับคนตรงหน้า ส่วนไอ้ชัยเองก็มีอาการเลิ่กลั่กรีบหาผ้าเช็ดตัวมาพันกาย เรายืนอ้ำอึ้งกันพักใหญ่ๆ

“ขอบใจนะ ไม่…. ไม่เป็นไรแล้ว” ผมพูดก่อนที่จะกระชากม่านปิด
“โอเค… ไม่เป็นแผลใช่ไหม?”
“ไม่เป็น ไม่มีแผล คงแค่ตกใจน่ะ”
“งั้นก็ดี  เราขอตัวอาบน้ำก่อนนะ”
“เออ”

ผมตรวจสอบห้องอาบน้ำที่เกิดเหตุเมื่อครู่ทำให้รู้ว่า เกลียวสำหรับใส่ฝักบัวน่าจะพัง (ป้าครับมันเกินมือผมจริงๆ) ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนห้องสำหรับอาบน้ำแต่ห้องอื่นเต็มหมดแล้ว (หวังว่าไอ้ห้องที่เพิ่งเปลี่ยนผักบัวไปอีกหนึ่งจะไม่เป็นอะไร)

“เฮ้ย… ขอดูแผลหน่อยสิ” อ้าว…ผมเปิดม่านมาเจอไอ้กวี…นี่..มึงยังไม่เข้าไปอาน้ำอีก
ผมพยักหน้า แล้วมันก็เดินเข้าใกล้ผม ด้วยความสูงที่ใกล้เคียงกันทำให้ผมต้องก้มหัวให้ดู
“อืม…..เหมือนถลอกนะ หัวโนด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ เอางี้รีบมาล้างแผลแล้วไปขอยาที่ห้องปฐมพยาบาลก็แล้วกัน”
แล้วไอ้กวีก็มองไปที่ห้องน้ำทุกห้องที่เต็มอยู่
“งั้นนายเข้าไปก่อน ก็แล้วกัน”
ผมเดินเข้าในห้องน้ำได้ครึ่งก้าวก็เกิดพูดชวนมันขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจ
“รีบรึเปล่า… งั้นมาอาบด้วยกันก็ได้” ผมเคยชินกับการอาบน้ำรวมกับผู้ชายอยู่แล้วไม่มีปัญหา แต่ทำไมผมต้องพูดเบาๆ ด้วยวะ
“อืมมมม… เออ เอาดิ” แล้วมันจะยิ้มทำไมฟะ

หลังจากปิดม่านมันก็ปลดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่แขวนที่ราวใกล้ม่านปิด อย่างรวดเร็ว แล้วเดินตรงไปที่ฝักบัวเพื่อเริ่มอาบน้ำเลย ไอ้กวีแม่งกล้ากว่าที่คิด ท่าทีของมันทำผมอายไปเลย คนเชี้ยอะไร ขาว….ขาวไปหมด ขาวไปเสียทุกส่วน ผิวเนียนจนผู้หญิงหลายคนต้องอิจฉาเลย ผมมองจนลืมปลดผ้าตัวเอง

“รีบมาอาบน้ำสิ” มันทักขณะฟองเต็มตัว
“เออๆ”  ผมรีบเดินไปที่ฝักบัว พอไปยืนเทียบกันแล้ว ร่างของไอ้กวีดูบางกว่าผมเยอะ ผมมีกล้ามเนื้อเยอะกว่าทั้งที่ความสูงเท่ากัน ส่วนเรื่องลูกชายนั่นผมบอกได้เลย ผมภูมิใจกว่ากันเยอะ แต่ถึงอย่างนั้นไอ้กวีมันก็เกินมาตรฐานชายไทยล่ะ

“นี่ๆ จ้องนานๆ แบบนี้เราก็เขินนะครับ”
เออผมนี่จ้องไอ้กวีตาเป็นมันจริงๆ ผมรีบแก้เขินโดยการรับจัดการชำระล้างแผลและร่างกายตัวเองให้เรียบร้อย ตอนนี้ที่แผลบนหัวมันเริ่มหายชาแล้ว ความเจ็บแล่นเข้ามาเป็นระยะ  แผลเก่าเพิ่งหายแผลใหม่ก็มาอีก หรือพระเจ้ากำลังจะบอกให้ผมเลิกยุ่งกับไอ้กวีครับ

พอชำระเรียบร้อยผมก็รีบเดินออกมาแต่งตัวและรีบไปทำแผลที่ห้องปฐมพยาบาลทันที โดยผมแค่โบกมือลาไอ้กวีที่กำชังอยู่ท่ามกลางสายละอองน้ำที่พรมร่างอ้อนแอ้นนั้นได้อย่างน่าเอ็นดู ผมให้ป้าใส่แผลให้ผมไปคิดถึงภาพเมื่อครู่ไป ทำไมมันรู้สึกติดตาแบบนั้นว่ะ ผมชอบมองผู้ชายสวยๆ เหมือนผู้หญิงสวยๆ นั่นล่ะแต่ไม่เคยเก็บเอามาคิดถึงขนาดนี้ หรือว่าผมชอบมันวะ ไม่ๆ ไอ้เสืออย่างเราไม่มีทางสิ้นลายตอนนี้ โดยเฉพาะกับผู้ชาย!!!

“โอ้ย!!” ผมร้องขึ้นเพราะป้ากดรอบๆแผลเพื่อซับเบตาดีนที่เพิ่งหยอดใส่หัวผม
“แป๊ปหนึ่งลูก…. โอ้ย…. แม่แกด่าฉันอีกแน่ๆ”
ป้าแกดูหน้ากังวลใจมาก
“ไม่เป็นไรป้า ผมไม่บอกม๊าหรอก”
“หัวแกเป็นแบบนี้เดี๋ยวแม่แกก็รู้ เสร็จนี้แล้วไปฉีดยากันบาดทะยักซะหน่อยล่ะ อ่ะเอาเงินนี่ไป!” ป้าแกดึงธนบัตรสีเทาออกมาปึกย่อยๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า……ค่าปิดปาก?”  ผมแซวป้าที่ให้เงินผมเกินค่ารักษา
“ไอ้บ้า…. ไม่ใช่สักหน่อย ทิปโว้ยทิปที่มาช่วยน้าบ่อยๆ ไปได้แล้ว” ป้าแกตีไหลผมแก้เขิน ดีจังว่ะมี ถึงเจ็บตัวแต่ได้ตังค์ใช้ด้วย

ผมเดินออกมาจากห้องก็ได้เจอกับไอ้กวีที่โดนนิ่มพยายามลากออกจากสโมสรเพราะ เจ้พิ้งค์ในชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่ชวนคุยไม่ห่าง ผมมองไปพร้อมกับความรู้สึกโหว่งๆ ที่ท้อง เหมือมีลมมาพัดผ่านช่องว่างในท้องที่มันไม่มีอยู่จริง แรกทำไปเพราะนึกอยากแก้เผ็ดยัยนิ่ม(บวกสนุก) แต่ผมเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจแล้วผมอยากจะแยกสองคนเพราะเหตุผลเดิมหรือเปล่า…..

………………………………………………….

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ลงติดๆกันหลายๆตอนเลย รอๆๆ :z13:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
กวี (2)

ผมกำลังกุมขมับปวดหัวกับเหตุการณ์ในสระว่ายน้ำ ปกติวันหยุดผมมักจะมาสอนนิ่มว่ายน้ำซึ่งก็ไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่เพราะความไม่ใส่ใจของนิ่ม (แต่ผมนี่โคตรจริงจัง เพราะเป็นโรคที่มึใครไหว้วานอะไรไม่ได้ต้องทำให้สำเร็จ นิ่มอยากว่ายน้ำเป็นให้ผมช่วยสอนให้ ผมก็เต็มที่เลยครับ)

แต่วันนี้…..มันเริ่มวุ่นวายตั้งแต่บังเอิญมาเจอพี่พิ้งค์ ที่พี่แกดูเหมือนตั้งใจเข้ามายั่วโมโหนิ่มมากกว่าจะมายั่วยวนผม เพราะมันดูตั้งใจเกินไป!! พี่พิ้งค์น่ารักเซ็กซี่สไตล์เด็กมหา’ลัย ผมแค่รู้สึกชื่นชมในความงามเหล่านั้น (ผู้ชายที่ไหนก็ต้องมองล่ะวะ) การสอนของผมถูกรบกวนเพราะความไม่มีสมาธิของนิ่ม นิ่มดูหงุดหงิดและเรียกร้องความสนใจมากกว่าปกติจนผมเริ่มเวียนหัว จนสุดท้ายผมบอกยกเลิกการสอนของวันนี้ ผมบอกนิ่มให้ไปอาบน้ำแต่งตัวและเดินแยกออกมาอาบน้ำทันที ในใจคิดว่าเสร็จจากนี่แล้วไปหาข้าวกินและกลับไปหาที่อ่านหนังสือเหมือนเคยดีกว่า

ผมเดินไปห้องอาบน้ำที่ใกล้ที่สุด แต่แปลกคือวันนี้คนยืนรอต่อคิวอาบน้ำแทบล้นออกมานอกห้อง  ผมเลยเดินไปที่ห้องอาบน้ำอีกฝากของสระซึ่งก็แปลกที่คนน้อยมาก อาจเพราะป้ายห้องน้ำชำรุดที่หน้าหัองเลยทำให้คนเปลี่ยนใจไปใช้คนฝั่งนั้นกันหมด

ห้องอาบน้ำฝั่งนี้มีน้อยกว่าอีกฝั่ง คือมีแค่ห้าห้อง และติดป้ายชำรุดไปเสียสองห้องที่อยู่ด้านในสุดแต่แปลกที่มีห้องหนึ่งถูกใช้อยู่ ผมสำรวจรอบห้องมีกล่องอุปกรณ์ช่างและอะไหล่ตั้งอยู่เลยคิดว่าช่างน่าจะกำลังซ่อมอยู่ ผมตัดสินใจไปใช้ห้องที่ว่างอยู่ข้างๆห้องที่สอง (มันเหลืออยู่ห้องเดียว เลือกไม่ได้)

เพียงแต่เริ่มเปิดน้ำล้างตัวก็ได้ยินเสียงดังจากห้องข้างๆ เหมือนมีใครโดนอะไรกล่อนใส่เพราะมีเสียงวัตถุคล้ายๆเหล็กกระทบพื้นตามด้วยคนร้องเสียงดัง ฟังแล้วเป็นเสียงที่คุ้นหู ด้วยความเคยชินผมเปิดม่านรีบวิ่งออกไปช่วยอีกห้องทันที (ทั้งที่เปลือยนั่นแหละ เคยชินกับห้องน้ำนักกีฬาที่ไม่ค่อยใส่อะไรกันอยู่แล้ว)

ผมรูดม่านไปจนสุดเห็นคนล้มนั่งลงสองมือกุมศรีษะอยู่ ผมมองรอบๆ เห็นฝักบัวที่หลุดออกจากท่อส่งน้ำตกอยู่พื้น และท่อน้ำที่ผนังซึ้งตอนนี้มีน้ำไหลหลากออกมาปะทะคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างแรง ผมรีบพยุงคนที่ล้มลงเพื่อดูอาหารทันที ผมเรียนการปฐมพยาบาลมาบ้างครับ คงต้องเข้าไปดูสติกับแผลก่อน ผมพยุงคนเจ็บให้ยึดตัวตรงเงยหน้าขึ้น

“ชัย!!! เฮ้ย!! ชัยเป็นอะไรหรือเปล่า?”

นึกว่าถึงได้เสียคุ้นๆ บาดเจ็บที่หัวอีกแล้ว!! ไปทำกรรมอะไรไว้เนี่ย? ผมเอื้อมไปบิดคันโยกที่ผนังเพื่อปิดน้ำที่ปะทะเข้ามาอย่างแรง อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อเรียกสติคืน แต่ดูท่าทางชัยจะไม่เป็นอะไรมาก (อึดจริงๆ) แค่มีอาการขวยเขินนิดหน่อยเพราะพยายามหันหลังให้ผมและไม่มองหน้าผมเลย (เหมือนเด็ก ดูน่ารักดี) อาการเหล่านั้นทำให้ผมคิดได้ว่าผมเองก็เปลือยอยู่ ผมรับเอามือปิดส่วนสำคัญไว้และหาผ้ามาพันกายทันที ชัยยังคงหันหลังให้ผมอยู่ หลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและบาดแผลประปราย ไม่รู้ว่าเพราะเล่นกีฬาหรือไปมีเรื่องกับคนอื่น (เท่าที่ทราบประวัติก็โชกโชนไม่น้อย)

หลังจากที่เขาบอกว่าโอเคและชักม่านอาบน้ำปิด คนเรื่อยทยอยเดินเข้ามาอาบน้ำในหัองที่เหลือ ผมยังรู้สึกห่วงๆ อีกฝ่ายก็เลยจะถามว่าไม่เป็นไรจริงๆหรือ? ม่านห้องน้ำก็เปิดออก และในที่สุดเราก็ดันมาอาบน้ำห้องเดียวกันเพราะเหลืออยู่ห้องเดียว ความจริงผมก็ไม่ได้รีบอะไร และไม่รู้ทำไมชัยถึงได้ชวน และผมก็ใจง่ายเหลือเกินตอบตกลงแทบจะทันที เพราะรู้ถึงความสุขที่ได้ใกล้ชิดคนที่เราชื่นชม แต่ไม่เคยนึกว่าเราจะใกล้ได้ขนาดนี้ ยิ่งโดนชัยมองแล้วทำไมผมถึงใจเต้นไปหมด ผมรีบชำระล้างร่างกายเพื่อให้หยุดอาการแปลกๆของร่างกาย

กว่าจะอาบเสร็จหัวใจแทบวาย ผมไม่เคยอาบน้ำกับผู้ชายแล้วใจเต้นขนาดนี้มาก่อน โชคดีที่ชัยอาบเสร็จก่อน ทำให้ผมจัดการส่วนที่ตั้งตรงให้สงบลงได้ ก่อนที่เขาจะเห็น (ใจเย็นลูกใจเย็น ไม่ค่อยเข้าใจร่างกายตัวเองเลย ณ จุดนี้)

ผมรีบแต่งตัวออกมารับนิ่มที่ยืนรอหน้าหงิกอยู่แถวคาเฟ่ของสระ

“รีบกลับจังเลย ว่าจะชวนแข่งกันว่ายน้ำ เห็นอย่างนี้เจ้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำนะ” พี่พิ้งค์ในชุดว่ายน้ำกึ่งเปียกยืนท้าวแขนกับรั่วขอบสระที่แยกระหว่างสองพื้นที่เปียกกับแห้ง
“พี่กวี กลับเถอะคะ นิ่มอยากกลับแล้ว”
“เอ่อ….จ๊ะ”
“น้องกวี…จะมาวันไหนอีก ชวนพี่ด้วยนะคะ” พี่พิ้งค์ยกมือขึ้นโบกไปมาเรียกร้องความสนใจ คือตอนนี้ผู้ชายทั้งสระแทบถูกหยุดเวลากับเต้าทั้งสองที่สั่นกระเพื่อมตามแรงโปกของมือ
“พี่คะ!!! พี่กวีมีแฟนแล้ว ก็คือหนู ช่วยหยุดพฤติกรรมแบบนี้ด้วยนะ พี่ไม่อายบ้างหรือคะที่ทำแบบนี้!!” นิ่มอยู่ๆก็ระเบิดออกมา
“น้องกวี น้องมีเจ้าของแล้วหรือ? ทำไมไม่เห็นบอกพี่เลย คนนี้แฟนน้องจริงๆ เหรอ?…..” พี่พิ้งค์แกเล่นจ้องหน้าผมไม่วางตา ไม่ใช่แค่นั้นหรอก พี่พิ้งค์พูดเสียงดังจนทั้งสระหันมาเหมือนรอคำตอบเช่นกัน
“……เอ่อ……อือ….” แล้วผมจะอ้ำอึ้งทำไมฟะ
“พี่กวี!!!!” น้ำเสียงที่ขึ้นสูงทำให้รู้ถึงอารมณ์ของนิ่มที่พุ่งสูงถึงขึดสุด
ตอนนี้ผมทำได้แค่เพียงลากนิ่มออกไปจากจุดนั้น ก่อนที่เรื่องจะบานปลายกว่านี้….. ทำไมมันวุ่นวายอย่างนี้ฟะ!!

‘ผู้หญิงเป็นเพศที่เข้าใจยาก’ ผมพูดกับตัวเองในใจ

…………………………………………………………
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-08-2017 09:51:40 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
หลง(9)


“เฮ้ย!! ไอ้หลง! … มาโรงพยาบาลเป็นเชี้ยอะไร?”

ผมหันไปหาไอ้ต้นเสียงที่ฟังแล้วอยากกระโดดเตะปากทุกครั้ง

“ไม่ได้เป็นอะไร มาหาหมอ”
“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วมาหาหมอเพื่อ?”
ไอ้สัดนี่จะถามหาห่าอะไร จะให้กูบอกเรอะว่ากูมาตามจีบหมอ

“แล้วมึงล่ะ เป็นเชี้ยอะไรถึงมาโรงพยาบาล?” เลี่ยงการตอบโดยการถามคำถาม แต่ไอ้ชัยมันเหมือนจะรู้คำตอบอยู่เลยแค่แยกเขี้ยวยิ้มที่มุมปาก เป็นภาพที่น่าเลาะฟันซี่นั้นออกมามาก
“กูน่ะสิ แม่งซวยอีกแล้ว หัวแตกอีกแล้ว” ไอ้ชัยตอบไปพลางลูบหัวตัวเองเบา
“เอ่อ…. เดี๋ยวก่อนนะ รอตรงนี้สักแป๊ปนะ” ผมมองนาฬิกาข้อมือตัวเองก่อนที่จะกุมไหล่มันไว้
“อะไรของมึง ไม่เอาแล้วกูจะไปฉีดยากันบาดทะยัก อยากกลับบ้านนอนแล้ว เชี้ยแม่งโคตรเหนื่อย” แล้วมันก็สะบัดไหล่ไล่มือผมทิ้งไป
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ เกิดอะไรขึ้นเล่าให้กูฟังก่อน” ผมเดินไปขวางทางไอ้ชัย
“ไม่เอากูทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บ เดี๋ยวค่อยเล่า”
“หรือว่ามึงทำแผนโง่ๆเรื่องนิ่มมากอีกแล้ว”
“ไม่โง่โว้ยสัด!… กูจะบอกอะไรมึงใ้ห้………………..”

หลังจากนั้นมันก็เล่าตั้งแต่ต้นยันจบเรื่องที่มันโดนฝักบัวหล่นกระแทกหัวเลย
“แม่งโคตรสะใจ แต่แม่งเหมือนมีกรรมว่ะ” มันพูดทิ้งท้ายไว้
“อืมๆ” ทำท่าตั้งใจฟังแต่สายตาผมมองเข้าไปในโรงพยาบาล
“เชี้ย ไม่ฟังกูเลย กูไปแล้ว”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ มึงเล่าจบแล้ว?”
“เออ! กูไปแล้ว”
“เดี๋ยวๆ “ ผมพยายามรั้งมันไว้ ผมมองนาฬิกาสลับกับทางเข้าโรงพยาบาลอย่างเร็วจนกระทั่งเห็นเงาที่คุ้นเคยเดินถือกระเป๋าจากโถงทางเดินด้านในกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“เออๆ โชคดีนะมึงรีบไปได้แล้ว” ไอ้ชัยมันหันมามองหน้าผมแบบฉงนสงสัย ก่อนที่มันจะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล พอมันเห็นหน้าหมอเอิร์ท ที่เดินสวนออกมา มันโค้งหัวทักทาย พอหลังเดินผ่านหมอไปมันก็หันมายกนิ้วกลางให้ผมทันที

“อ้าวนั่น ชัยนี่ มาทำอะไร?”
“มันบอกหัวแตก จะมาฉีดยากันบาดทะยักอะไรของมันนั่นแหละ”
“ที่หัวอีกแล้ว” อันนี้เหมือนหมอจะหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย
“แล้วจะให้หมอไปช่วยดูแลเพื่อนเราไหม? เดี๋ยวหมอกลับไปได้นะ”
หมอทำท่าจะเดินกลับแต่ผมจับมือหมอไว้ได้ทัน
“ไม่เอาน่ะหมอ ผมอุตส่าห์ชวนมันคุยตั้งนานเพื่อที่จะได้ให้หมอดูแลคนไข้ในกะของหมอให้เสร็จเรียบร้อย เดี๋ยวมันเข้าไปเพิ่มผมต้องรออีกนานเลย”
“อ้าว!! ทำแบบนี้ไม่ถูกนะ หากเป็นอะไรเยอะจะทำยังไง?” เขาคิ้วขมวดใส่ผม ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ
“เอาน่าๆ แค่นี้มันไม่ตายหรอก ถึกขนาดโดนตีหัวบวกจมน้ำยังไม่ตายแค่นี้สบายมาก”
แล้วผมก็เดินไปไสหลังหมอเอิร์ธให้เดินไปข้างหน้า ไปที่รถของเขา
“เดี๋ยววันนี้ไปหาอะไรอร่อยๆ เหมือนเคยให้กินนะครับ”

…………

ช่วงนี้ผมมาโรงพยาบาลทุกวันเลย พาหมอมากินมื้อเย็นทุกวัน แรกๆ หมอเอิร์ธก็มีก็ดูมีท่าทีรำคาญแสดงให้เห็นชัดเจน พอผ่านไปหลายวันเข้าก็เริ่มยอมมาแต่โดยดี วันนี้พิเศษหน่อยเพราะเป็นที่หมอเลิกงานเร็วและเป็นวันที่ตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ เลยพาไปกินอะไรไกลๆ จากตัวเมืองสักหน่อย ขับออกมาไกลจนหน้าของหมอมันเริ่มเปลี่ยนเป็นโหมดกังวลใจแล้ว

“เป็นอะไร? ไม่พาไปฆ่าข่มขืนหรอก”
“ไอ้บ้า… นี่มันเย็นมากแล้วนะ ออกมาไกลขนาดนี้ เดี๋ยวก็กลับดึกหรอก”
“ไม่ต้องห่วงครับ แม่ผมชินแล้ว ส่วนพ่อผมก็ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก”
“ฉันเป็นผู้ใหญ่ ฉันควรห้ามเธอสักหน่อย แต่นี่โดนเธอบังคับทำโน่นนี่ตลอดเลย หลงรู้ได้ยังไงว่าแม่หลงไม่ห่วง แล้วถ้าพ่อเธอรู้ว่าฉันเป็นคนพาเธอมาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้เขาจะไม่โกรธฉันเหรอ?”  หมอถอนหายใจยาวๆหลังบ่นเป็นหมีกินผึ้งพึมพำอยู่หลังพวงมาลัย
 
“ขี้บ่นจังเลยนะครับ ยังไม่แก่เสียหน่อย”
“แต่ฉันก็อายุมากกว่าเธอนะ เธอน่าจะฟังฉันเสียหน่อย”
“คร๊าบ คร๊าบ เดี๋ยวจะรีบกินจะรีบกลับบ้านครับ”
“เธอเนี่ยน๊า มันดื้อเหมือนใครฟะ?” ผมมองหน้าเขาพร้อมยิ้มหวานยักคิ้วให้ หมอพยายามไม่มองแต่ผมรู้ว่าเขาเห็นแต่เขินจนไม่กล้ามองเอาแต่เหยียบคันเร่งและมองไปที่ถนนอย่างตั้งใจ

“หมอๆ นั่นๆๆ ซ้ายๆ เลี้ยวซ้าย” ผมชี้ไปทางซ้ายที่มีป้ายไฟสีเขียวและสีส้มสลับกันเป็นชื่อร้านอาหาร หมอชะลอความเร็วและเลี้ยวซ้ายตามมือผม เทคนิคขับแบบสนามแข่งแบบนี้ไม่เข้ากับหน้าตาน่ารักแบบหมอเลยให้ตายสิ ดีนะที่ผมรัดเข็มขัดแน่นหนา

รถเลี้ยวเข้ามาในร้านอาหารบรรยากาศริมน้ำ (น่าจะะเป็นสระที่ขุดขึ้นเอง) มีพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารรอบๆ สระน้ำขนาดทะเลสาบย่อมๆ มีแสงไฟสีส้มและแสงเทียนระยิบระยับสว่างไสว สายลมเย็นๆ ที่โชยเบาๆ กับแสงสุดท้ายของวันที่ขอบฟ้าตะวันตก ท้องฟ้าแบ่งออกเป็นสองสี ม่านกำมะยี่สีดำเลื่อมประดับด้วยประกายแสงดาวอ่อนๆ ปกคลุมไล่แสงสว่างไปเรื่อยๆ ภาพที่สวยงามตรงหน้าทำให้ที่นี่เป็นที่นิยมมารับประทานมื้อเย็นกันมากขึ้นทุกวัน

ผมลงจากรถมายืดเส้นยืดสายรับสายลมเย็นๆ ที่ปะทะหน้าเบาๆ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด ส่วนหมอก็เดินชื่นชมบรรยากาศของที่นี่ด้วยใบหน้าอมยิ้ม

“สวยจัง… ไม่เคยรู้เลยว่ามีที่แบบนี้ด้วย” เขาหันมาหาผมด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
“แน่นอน ผมหาจากในเน็ต เขาพูดถึงกันเยอะ”
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ไหม กินกันแบบเดิมตามข้างทางก็อร่อยดี”
“นานๆ ทีก็อยากมา วันนี้มีคนพามาด้วย เอาน่า…. ถือว่าให้ทั้งอาหารปากและอาหารตาไปด้วยเลยไง… เข้าไปเถอะ ผมจองไว้แล้ว” ผมเดินนำไปข้างหน้าให้หมอเดินตามเข้ามา

ผมได้โต๊ะที่ไม่ไกลจากที่จอดรถเท่าไหร่ โต๊ะสี่เหลี่ยมไม่กว้างมาก ขนาดพอนั่งสบายๆ สำหรับสอนคน โต๊ะถูกตั้งอยู่ริมน้ำติดกับรั่วกั้น พื้นที่ที่ตั้งโต๊ะอยู่บนพื้นที่ต่อเติมยื่นจากริมสระเข้าไปในพื้นน้ำมากกว่าครึ่งโต๊ะ แสงไฟสีส้มจากเสาสูงที่ราวกั้นกับแสงเทียนบนโต๊ะสร้างบรรยากาศให้น่านั่งเล่นสบายๆ ถัดออกจากรอบๆ สระเป็นพื้นที่มีต้นไม้รกครึ้มเสมือนป่า เสียงต้นไม้เสียดสีจากแรงลมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกสงบเย็นสบาย

คนที่มากับผมดูจะอินกับบรรยากาศมากกว่าผมเสียอีก เขานั่งหลับตาเงยหน้าให้สายลมอ่อนพัดผมด้านหน้าโปกไสวไปมา เสียงเพลงสไตล์บอสซ่า(มั้ง) ลอยมาเบาๆ จากที่ไหนสักแห่ง ผมเผลอมองภาพตรงหน้าเสียจนลืมสั่งอาหาร คนอะไรดูดีเป็นบ้า…..

“อะแฮ้ม……. จะสั่งอาหารหรือยังครับ?”
พนักงานเสิร์พที่มายืนอยู่ข้างโต๊ะตอนไหนก็ไม่ทราบ
“เอ่อ….คือ…. มีอะไรแนะนำไหมครับ?” ผมพลิกเมนูไปมาอย่างรวดเร็ว และมองไปทางหมอที่เหมือนเพิ่งตื่นและหันมาทางผมด้วยสีหน้างงๆ
“มีต้มยำกุ้งแม่น้ำ กุ้งแม่น้ำทอดกระเทียมพริกไทย กุ้งแม่น้ำผัดกะปิพริกสด ……….” เท่าที่ผมฟังสรุปว่าเมนูเด็ดของที่นี่มีแต่กุ้งแม่น้ำ ท่าจะมีแต่ของแพงๆแฮะ
“เอ่อ….” ทำเอาผมคิดไม่ออกเลยมือยังพลิกเมนูไปเรื่อยเปื่อย
“เอาที่แนะนำมาอย่างละหนึ่งเลย” หมอพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ยังสั่งอาหารได้น่าตกใจเหมือนเคย
“อ้อ.. ได้ครับ” พนักงานเสิร์พก็ทำท่าแปลกใจไม่แพ้กัน
“มันไม่มากไปเหรอ? ท่าจะแพงด้วย”
“ทำงานก็เหนื่อยก็ควรจะให้รางวัลตัวเองหน่อยสิ” หมอพูดทั้งที่ยังหลับตาเคลิ้มกับบรรยากาศอยู่ ผมมองพิจารณาเขาทั้งหน้าทั้งรูปร่างที่ผอมบาง ผมไม่รู้ว่าเอาไอ้ที่กินทั้งหมดนั่นไปไว้ไหนหมด เพราะเขากินเยอะกว่าผมด้วยสิ

นานพอควร….อาหารก็มาทีเดียวครบทุกอย่างที่สั่งจนกระทั้งต้องขอโต๊ะเสริมเพื่อวางจานอาหารที่ล้นมาจากโต๊ะหลัก อาหารสีสันสวยงามดีแต่ท่าทางรสชาติจัดจ้านมากกว่าที่คิด ผมกินไปกินน้ำตามไป ส่วนคนตรงข้ามผมนี่ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้แก้มแเดงปากเปลี่ยนสีไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่ลดละ

“กินไม่ได้ก็ควรจะหยุดกินไหม?”
“เฮ้ย อร่อยดีนะ แต่….เผ็ดฉิบหาย…” หมอพูดจบก็กินน้ำตาม
“นั่นแหละพอได้แล้วไหม เดี๋ยวท้องเสียอีกหรอก” ผมเป็นห่วงนะเนี่ย
“เสียดายว่ะ ยังไม่อิ่มเลย เกรงใจเขาด้วยดูสิเหลือตั้งเยอะ” หมอกวาดตามองทั่วทั้งโต๊ะที่ตอนนี้พร่องไปไม่ถึงครึ่ง
“ห่อกลับไปกินบ้านก็ได้นะ”
“ไม่เอา…..ไม่มีเวลาอุ่นกินหรอก หลงล่ะเอากลับบ้านไหม?”
“ไม่อ่ะครับ เดี๋ยวแม่ถามเยอะ” ผมยังไม่ได้บอกหมอเอิร์ธเลยว่าที่มากินข้าวด้วยทุกวันเนี่ยผมไม่เคยบอกแม่เลย
“อ้าว… ไม่เคยบอกแม่เลยหรือว่ามีอาชีพพาหมอมากินข้าว เงินก็ไม่ต้องจ่ายเสียหน่อย” หมอชักสีหน้าเปลี่ยนอารมณ์ อะไรวะเมื่อกี้ยังดูอารมณ์ดีอยู่เลย
“วันนี้ก็ว่าจะพามาเลี้ยงตอบแทนนั่นแหละ ให้เลี้ยงตั้งหลายมื้อเกรงใจ”  ผมยิ้มใจดีสู้เสือ พร้อมมองกวาดตั้งแต่จานอาหารตรงหน้าถึงปลายโต๊ะอีกข้าง
“ไม่ต้องหรอก หมอสั่งหมอรับผิดชอบเองได้” ว่าแล้วช้อนทุกอย่างใกล้ตัวเข้าปาก ผมพยายามจะยกมือห้ามแต่ท่าทางจะไม่ทันเพราะมีอยู่จานหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เผ็ดที่สุดบนโต๊ะ ซึ่งผม (และเหมือนจะเป็นหมอด้วย) ที่พยายามจะหลีกเลี่ยงไม่กินมัน

หมอมันดูท่าทางแปลกๆ ไปทันทีหลังจากที่พยายามยัดทุกอย่างตรงหน้าลงไป เข้าใจว่าโดนของเผ็ดเข้าให้แล้ว ผมรีบหยิบแก้วน้ำยื่นให้ ส่วนหมอก็รีบรับไปดื่มจนหมดแก้ว

“ก็บอกแล้วว่า กินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน” ผมหยิบแก้วน้ำไปเติมน้ำแข็งกับน้ำให้ใหม่

“…………..” หมอยังคงยัดอาหารตรงหน้าเข้าปากไม่พูดอะไรนอกจากต้ังหน้าตั้งตาเคี้ยว และที่สำคัญ มันไม่มองผมด้วย
“นี่หมอ.. พอเถอะ” ไม่ทันขาดคำหมอสำลักอาหารหน้าแดงคงเพราะมันมีรสเผ็ดด้วย ความทรมานจึงเพิ่มเป็นสองเท่าดูจากสีหน้าที่เห็นตอนนี้ ผมรีบเดินไปข้างหมอ หยิบแก้วน้ำยื่นให้พร้อมลูบหลังให้เบาๆ

“ผมขอโทษ… พี่เอิร์ธ… ผมพูดอะไรให้พี่โกรธผมขอโทษนะครับ”
“…..” หมอดูนิ่งไป
“เป็นอะไรครับ?”
“เมื่อกี้เรียกหมอว่าอะไรนะ?”
“………..” ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าพูดอะไรแปลกๆ ไปจริงๆ ผมไม่เคยเรียกเขาว่าพี่เอิร์ธเลยตั้งแต่รู้จักกันมา ปกติผมจะเรียกเขาว่า ‘หมอ’ บ้าง ‘ไอ้หมอ’ บ้าง (แต่ในใจเรียกพี่เอิร์ธตลอด) ผมรอให้เขายอมรับว่าผมเป็นมากกว่าน้อง เป็นมากกว่าลูกอาจารย์ก่อน ถึงจะเรียกเขาแบบนี้ อันนี้ออกจะเร็วไปหน่อย ผมทำอะไรไม่ถูกเลยแค่เดินกลับไปนั่งที่เดิม

“เอ้า…. ถามไม่ตอบ” หมอมันเซ้าซี้ทั้งที่มันก็กำลังเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมอยู่อาบแก้มแดงๆของเขา
“เอ่อ…. พี่เอิร์ธครับ”
“เออ!!! ก็ดีนะ ดูสนิทดี กินข้าวด้วยกันเกือบทุกเย็น เรียกแบบไม่สนิทนี่ไม่รู้ว่ายังไงนะ แปลกๆ”
“งั้นผมเรียกพี่เอิร์ธได้เลยใช่ไหมครับ?”
“ได้สิ”
“งั้น……เรียกอย่างอื่นอีกได้ไหมครับ?”
“อะไรวะ????”
“เรียกว่าที่รักได้ไหมครับ?”
“ไอ้บ้า!! ไอ้นี่ ลามปาม แค่นี้พอก่อนไหม? ยังไงพี่ก็แก่กว่าหลงหลายปีนะ ทำอะไรให้มันเหมาะสมหน่อยนะ”
“……..” ผมไม่รู้จะตอบยังไง เหมือนให้ความหวังแต่ก็โยนมันทิ้งไป
“นี่ถามจริง….. จะจีบพี่จริงหรือ?” คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจ้องตาผม
“จริง!!!”
“เฮ้ย!  เดี๋ยวนะหลงไม่ได้ชอบผู้หญิง?”
“ก็ไม่ได้บอกว่า ไม่ชอบนี่”
“แต่พี่……”
“ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่าอยู่กับพี่เอิร์ธแล้วมีความสุข อยากเจอพี่ทุกวัน อยากทำนู่นนี่กับพี่เยอะแยะเลย ถึงพี่จะเป็นผู้ชาย แต่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาที่ผมจะชอบพี่ ถ้าไม่ใช่พี่เอิร์ธ ผมก็ไม่เอา”

“………เฮ้อ…..” แล้วไอ้หมอก็ทึ้งหัวตัวเองเบาๆ

……………………………….
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2017 00:43:33 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
เอิร์ธ (5)


“พี่เอิร์ธ”


เป็นคำที่กระทบใจผมได้จริง ปกติรุ่นน้องผมก็เรียกแบบนี้ทุกคน แต่เป็นไอ้เด็กนี่เรียกแล้วถึงรู้สึกดีด้วย ผมใจสั่นกับไอ้เรื่องแค่นี่เนี่ยนะ ผมยอมรับว่าห่างจากสมรภูมิการจีบมานานพอควรแล้ว ลืมไปแล้วว่ามันเคยรู้สึกดีขนาดนี้ แต่คนอายุน้อยไม่เคยอยู่ในสายตาผมเลยนะครับ โดยเฉพาะคนนี้ เป็นลูกอาจารย์คนที่ผมเคารพและเป็นเพื่อนแม่ที่ช่วยดูแลผมมาก่อน ผมไม่เคยมองเขามากกว่าน้องชายเลย
หลังจากถามความจริงจากปากของหลงแล้ว ทำเอาผมคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงต่อไป พอย้ายมาอยู่ที่นี่แบบกระทันหัน ทำให้ผมเตรียมตัวอะไรไม่ได้มาก เพื่อนก็น้อยมากที่ยังเหลือที่นี่ การที่หลงเข้ามาในชีวิตผมทำให้มีสีสันขึ้นไม่น้อย จนกลายเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว

….นี่หรือผมจะคิดกับหลงเกินน้องชายไปแล้ว ผมขยี้หัวตัวเองพยายามไม่ปล่อยใจให้คล้อยตามคำพูดของเด็กผู้ชายหน้าใสตรงหน้า

โอย….. ชักไม่อยากมองหน้ามันแล้วสิ หน้ามันร้อนผ่าวๆ ชอบกล

“พี่เอิร์ธ เป็นอะไรครับ เงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?”
“ไม่….ไม่มีอะไร”  ไอ้เด็กนี่มันเหมือนจะแกล้งผมจังเลย หยุดเอาตาโตๆ นั่นมามองผมเสียที
“ก็ขับรถอยู่จะให้พูดอะไรล่ะ” ผมเฉไฉไปเรื่อยตาก็มองอยู่ที่ถนนต่อไป
“ปกติก็มีชวนคุยบ้างนี่นา ว่าแต่พรุ่งนี้ผมเลี้ยงข้าวเย็นเองนะ วันนี้พี่เอิร์ธเลี้ยงผมอีกแล้ว”
“แล้วหลงมีปัญญาจ่าย?”
“ก็พี่เอิร์ธเล่นสั่งซะขนาดนั้น”
“เออ…พี่ผิดเอง….”
“พรุ่งนี้ผมต้องคิดดีๆแล้วว่าจะพาพี่ไปเลี้ยงที่ไหน?”

หลงพยายามชวนคุยเรื่อยๆ ส่วนผมพยายามตอบโดยรักษาระยะห่างเอาไว้ก่อน  อย่าเปิดเผยความรู้สึกว่าไอ้เด็กนี่รู้ว่าเราก็รู้สึกดีเหมือนกันกับคำพูดของมัน ผมไม่ชอบเด็ก มันไม่ใช่สเปก และมันก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ เราต่างกันเกินไป เพราะนี่มันอาจเป็นแค่ความรู้สึกหลงไหลชั่วครู่ของวัยรุ่นเดี๋ยวมันก็หายไป ผมคงไม่อยากเจ็บอีกใช่ไหม? ผมบอกตัวเองซ้ำๆ

เป็นการขับรถที่นานแสนนานสำหรับผม ในที่สุดก็มาถึงบ้านของหลงผมขับเลยหน้าบ้านไปเสียหน่อย ผมรู้สึกผิดที่พาลูกอาจารย์กลับบ้านเสียดึก พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแล้วด้วย

“เอ้า!! รีบลงไปได้แล้ว มันดึกแล้ว”
“ครับ ขอบคุณครับพี่เอิร์ธ” ผมยังไม่ค่อยคุ้นกับการเรียกแบบนี้ของเขาสักเท่าไหร่ ฟังทีไรรู้จักจี้ทุกที หลงพูดจบเขาก็ทำท่ากุกๆกักๆกับประตูรถฝั่งเขา
“เป็นอะไรทำไมไม่ลงสักที”
“ก็ประตูน่ะสิเปิดไม่ออก”
“เอ…พี่ก็ปลดล็อคแล้วนี่นา” ผมหันมาดูแผงควบคุมอัตโนมัติที่ประตูรถฝั่งด้านคนขับ ซึ่งก็ดูปกติดีผมปลดล็อคให้แล้วตั้งแต่ที่จอดรถ
“ไม่เชื่อพี่ก็ลองมาเปิดดูสิ” ไอ้เด็กนี่มันรีบโวย ผมเลยเอี้ยวตัวใช้มือเอื้อมไปที่คันโยกสำหรับเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าผ่านไอ้ตัวยุ่งที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ เพียงแค่ผมสัมผัสกับคันโยกและดึงเข้าหาตัว ประตูก็ปลดตัวเองออกจากสลักและแง้มออกทันที ด้วยความหงุดหงิดว่าโดนไอ้นี่แกล้งอีกแล้วเลยหันไปหาว่าจะต่อว่าเสียหน่อย

ฟอด!!!! จุ๊บ!!!

ผมโดนไอ้เด็กนี้หอมที่แก้มและโอบรัดแน่นรอบหนึ่ง ความรู้ร้อนผ่าวมันเริ่มจากหน้าไล่ไปถึงช่วงท้อง ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเขินดี ผมรีบสลัดให้หลุดและกลับมานั่งในท่าเดิม

“ไอ้…เด็กนี่ หลง!!! ทำอะไรนะ?” ผมโวยวายเสียงดัง
“แค่อยากจะลาพี่แบบนี้ ชื่นใจจัง ไปก่อนนะครับ” ผมดีดตัวเองลงจากรถอย่างรวดเร็วพร้อมโบกมือให้จากนอกรถ เขายิ้มกว้างฟันขาวให้รอบหนึ่งก่อนวิ่งเข้าบ้านไป ทิ้งให้ผมใจเต้นตึกตักอยู่บนรถตัวเอง

“นี่ผมต้องเสียท่าให้เด็กมัธยมจริงๆ หรือนี่?”
………………………………

หลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน ทำให้สมาธิในการทำงานลดลง และเมื่อวานก็นอนไม่ค่อยหลับเสียด้วย มัวแต่นึกถึงเรื่องแก้มที่สัมผัสไออุ่นจากปากนุ่มๆนั่น และสัมผัสแนบแน่นตอนกอดของเด็กมัธยมที่มาตอแยผมช่วงนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงมันทำให้ผมรู้สึกร้อนหน้าวูบวาบท้องมันหวิวๆเหมือนไข้จะขึ้น 

…..ครื้นๆ…..

เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ผมไม่ได้จำ ผมเริ่มชินกับที่มันสั่นเป็นระยะๆ ทั้งวันอย่างนี้แล้ว ซึ่งผมก็ไม่เคยตอบกลับเลยสักครั้ง พยายามจะไม่สนใจนิ่งที่มันทำเพราะคิดว่าเด็กๆ อย่างมันเดี๋ยวก็หมดความสนใจไปเอง แต่ผมก็อดเหลือบตาไปอ่านไม่ได้

‘วันนี้โดนโค้ชตามครับ วันนี้สงสัยจะค่ำครับ’

ผมเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวที่เข็มสั้นชี้ไปที่เลขสี่เข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบ วันนี้ผมใกล้เลิกงานแล้วเหมือนกัน หวังกับตัวเองว่าจะไม่ต้องมีอะไรผิดพลาดที่ต้องควบกะอีก

“อาจารย์เอิร์ธคะ เชิญคนไข้เลยไหมคะ?”
“เชิญเลยครับ”
ผมยิ้มรับคนไข้ที่เดินเข้ามาอย่างเช่นเคย ในใจกลับคิดว่า วันนี้คงได้กินข้าวคนเดียวด้วยความสงบซะที

…………….

ตอนนี้แสงอาทิตย์ลับตาไปจนแสงนีออนรอบๆ โรงพยาบาลเปิดสว่างไหวแทนที่ ผมลืมตัวอยู่ช่วยเคลียร์คนไข้รอบเย็นจนเริ่มบางตาจนพี่รุ่นในกะถัดไปไล่ให้กลับไปพักผ่อนได้แล้ว ผมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดูไม่มีข้อความใหม่จากไอ้เด็กนั่นเลย สงสัยจะโดนซ้อมซ่อมหนักโทษฐานที่หนีมากินข้าวกับผมหลายวัน ผมเคยอยู่โรงเรียนนั่นมาก่อนผมรู้ว่าทีมบาสเก็ตบอลที่นี่ซ้อมหนักมากเพราะอยากรักษาอันดับหนึ่งไว้ตลอดไป

ท้องผมเริ่มประท้วงด้วยการร้องโวยวายเสียงดัง ผมคงต้องหาทางทำให้มันสงบเสียแล้ว ผมเดินไปที่หน้าโรงพยาบาลที่ฝั่งตรงข้ามมีตึกแถวเรียงรายซึ่งเปิดร้านอาหารมากมายทั้งวันและบางร้านเปิดเกือบทั่งคืน แม้รสชาติมันต่างจากร้านที่หลงพาผมไปกิน แต่ก็กินประทั่งความหิวไปได้ทุกวัน เพราะก่อนหน้านี้ผมก็หิ้วท้องมาฝากที่นี่ทุกวันล่ะครับ

“อ้าว…หมอ หายหน้าหายตาไปเลย” คุณลุงร้านอาหารตามสั่งที่ผมมากินเป็นประจำเอ่ยทักทันทีที่ผมเหยียบเข้ารัศมีร้าน
“ครับ… ช่วงนี้ยุ่งๆ”
“มีแฟนหรือครับหมอ?”
“อะไรลุง ไม่มีสักหน่อย”
“ไม่ต้องปฏิเสธลุงหรอก หน้าตาอย่างเราจะมีนัดทุกเย็นก็ไม่แปลกหรอก”
“…….”
“โอเค….ลุงไม่แซวแล้ว วันนี้กินอะไรดีละหมอ?”
“เหมือนเดิมละกันลุง”
“ข้าวผัดกุนเชียงนะ ได้ๆ”

ผมนั่งลงตรงที่ประจำของผม ร้านนี้เป็นร้านหนึ่งคูหาไม่ไกลจากโรงพยาบาล ที่ผมชอบมาเพราะมันไม่ค่อยมีคน ลุงก็ทำอาหารใช้ได้และเร็วดี ส่วนใหญ่ลูกค้าลุงมักจะรับกลับบ้านเลยไม่มีคนนั่งกินที่นี่มากนัก ผมชอบเพราะมันดูเหมือนเป็นส่วนตัวดี แต่วันนี้ความรู้สึกมันแปลกไป เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ผมมองไปที่พื้นที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะที่ว่างเปล่าหลังจากลุงนำอาหารมาเสิร์พ ทำไมในอกของผมมันถึงดูโหวงเหวงจนเหมือนได้ยินเสียงลมพัดก้องอยู่ข้างใน อะไรบางอย่างในตัวผมดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิม หรือผมกำลังนึกถึงรอยยิ้มกวนใจที่มักจะอยู่ฝั่งตรงข้ามเสมอในช่วงเวลาสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมสลัดหน้าเพื่อเอาความคิดไร้สาระออกไป และจ้วงข้าวตรงหน้าเข้าปากด้วยความหิว

วันนี้รู้สึกไม่เจริญอาหารเท่าไหร่ เพราะเห็นลุงเบ้ปากตอนมาเก็บจานจนผมต้องรีบบอกว่าผมไม่ค่อยหิวทั้งที่ก่อนมาถึง ท้องผมมันประท้วงโวยวายเสียงดังว่าต้องการอาหารจะแย่ แต่ถึงเวลาได้กินจริงๆ จิตใจมันเหมือนทรยศร่างกายเสียอย่างนั้น หลังจากชำระเงินกับลุงเรียบร้อย ผมก็เดินออกมาบิดยืดร่างกายอย่างเกียจคร้านอยู่หน้าร้าน ยืนนิ่งครุ่นคิดว่าจะทำอะไรต่อดี เพราะปกติหลังกินข้าวเสร็จต้องขับไปส่งไอ้เด็กนั่นกลับบ้าน ไปส่งที่ป้ายรถเมล์ที่ไหนสักแห่งหากผมต้องเข้าเวรต่อ ผมหัวเราะกับตัวเองเบาๆ

“บ้าหรือเปล่าวะเรา คิดบ้าอะไรอยู่ เวลาแบบนี้ก็ต้องกลับบ้านไปพักผ่อนดิวะ”

ไม่กี่อึดใจเท้าผมก็ก้าวมาถึงรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันงามของตัวเองที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล ผมก้าวขึ้นไปที่นั่งคนขับคาดเข็มขัดเตรียมสตาร์ทรถเพื่อออกเดินทางกลับบ้านของตัวเองซึ่งพ่อซื้อให้ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก

….ครึ่ดๆๆๆ…..

เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นวูบหนึ่ง ผมถึงกับลนลานรีบหยิบออกจากกระเป๋ากางเกง ภาพที่ฉายวาบขึ้นหน้าจอเป็นข้อความจากเพื่อนคนหนึ่งที่มาขอคำปรึกษาด้านวิชาการในกลุ่มไลน์ของเพื่อนร่วมคณะฯเหมือนเคย ผมบ่ายหน้าไม่สนใจข้อความดังกล่าว เพราะเดี๋ยวก็คงมีคนไปตอบมันเอง ผมโยนโทรศัพท์ไปทีนั่งด้านข้าง ถอนหายใจคิดเป็นห่วงคนที่อยู่ๆ วันนี้ก็หายไปไม่ติดต่อมาเลย เพราะปกติหลงจะไลน์หาผมแทบจะทุกชั่วโมง

ผมขับรถออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้ากลับบ้านระหว่างทางเสียงโต้ตอบไลน์ในโทรศัพท์เริ่มดังอย่างต่อเนื่อง (คงเป็นบรรดาเพื่อนๆผมต่างแสดงความคิดเห็นต่อคำถามของเพื่อนคนแรกที่ถาม) จนผมรู้สึกรำคาญคิดอยากจะปิดโทรศัพท์ลงชั่วคราว พอถึงเวลาที่รถติดไฟแดงผมเอื้อมมือไปหมายจะจัดการกับเสียงเหล่านั้นให้สงบลง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างลังเล ใช้นิ้ววนปุ่มเปิดปิดด้านบนสมาร์ทโฟนอย่างลังเล จนกระทั่งไฟจราจรเปลี่ยนสีเป็นเขียว ผมก็วางมันลงที่เดิมโดยไม่ได้ปิดหลังจากอ่านสำรวจที่แอพพริเคชั่นไลน์แล้วไม่มีข้อความที่เคยส่งถึงบ่อยๆจากคนเดิม

นี่ผมรอข้อความจากมันหรือนี่?

ไม่นานนักผมก็ขับรถถึงบ้าน เสียงโต้ตอบไลน์ระหว่างเพื่อนในกรุ๊ปแชทเงียบไปพักหนึ่งแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเขี่ยไปมาอย่างเซ็งๆ  แล้วข้อความหนึ่งก็เด้งขึ้นมาที่หน้าจอ

Long_Mangkorn:  เพิ่งเลิกครับ โค้ชจะโหดไปไหน คิดถึงจัง หิวข้าวด้วย
Long_Mangkorn: รูปหมีร้องไห้
Long_Mangkorn: แต่ป่านนี้หมอคงกลับบ้านแล้ว เดี๋ยวผมไปกินข้าวกับไอ้ชัย พรุ่งนี้ผมจะแอบหนีมาหาหมอให้ได้ ฝันดีครับ

ผมเหมือนยกของหนักออกจากอก เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว สักพักเครื่องสมาร์ทโฟนก็สั่นอีกครั้ง ผมรีบพลิกขึ้นดู

Long_Mangkorn:  คิดถึงผมบ้างนะครับ พี่เอิร์ธ ฝันถึงผมก็ยังดี

ไอ้เด็กบ้า! ผมทำเป็นปั้นปึงใส่มือถือ ผมนี่ถ้าจะบ้า

นิ้วของผมกดแป้นพิมพ์ที่หน้าจอและชะงักเมื่อเขียนจบประโยค ผมยืนลังเลอยู่ข้างลานจอดรถหน้าบ้านของตนเอง ล่วงเลยไปหลายนาทีกว่าจะกดปุ่มส่งข้อความกลับไป

Dr.Earth(Pathawee): เออ.. ฝันดี

รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ก่อนเดินอมยิ้มเข้าบ้านไป

………………………………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
หลง (10)


“ห้าวัน ห้าวันแล้วนะเว้ย ที่กูไม่ได้เจอเค้าเลย”

ผมโวยวายหลังเลิกซ้อมช่วงหัวค่ำวันศุกร์ ในห้องล็อคเกอร์

“เออๆ ใจเย็นดิ พอฟอร์มเราเข้าที่ เดี๋ยวโค้ชก็ปล่อยเราเองแหละ อีกสัปดาห์เดียวก็ต้องลงแข่งกระชับมิตรกับโรงเรียนAAวิทยาลัยแล้วทนหน่อยสิวะ เดี๋ยวก็ได้เจอ” ไอ้ชัยเดินมาแตะไหล่พร้อมทำท่าเห็นใจหลังจากที่มันจับได้ว่า ‘เขา’ ที่ว่าหมายถึงใครเมื่อสัปดาห์ก่อน

ก็วันที่มันไปโรงพยาบาลเพราะหัวแตกนั่นแหละ หลังจากนั้นมันก็เซ้าซี้จนได้คำตอบจากปากผมจนได้ ไอ้ชัยมันบอกว่าแค่อยากแน่ใจเท่านั้น เพื่อนจะชอบใครก็สิทธิ์ของเพื่อนมันไม่ได้คิดมากอะไร จะผู้หญิงหรือผู้ชายสมัยนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา บางทีผมก็ได้ยินอะไรที่คมๆ จากปากมันเหมือนกัน

“กูจะไปหาเขาวันนี้เลย!!” ผมหยิบกระเป๋าลุกขึ้นเดินจากห้องแต่งตัว
“เดี๋ยวๆ เมื่อเย็นมึงบอกเขาเข้าเวรดึก” ไอ้ชัยมันคว้ากระเป๋าผมหมับ
“เออว่ะ”
“พรุ่งนี้ไม่มีซ้อมมึงก็ไปหาเขาสิ”
“เออจริง พรุ่งนี้มันก็หยุดนี่หว่า”
“เวลาใจร้อนนี่ไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนเคยเลยมึง”

เออจริงของไอ้ชัย ผมลืมไปเลยว่า พี่เอิร์ธ บอกว่าพรุ่งนี้หยุดนี่หว่า ข้อดีของการไม่เจอกันหลายวันก็คือ พี่เขาตอบไลน์ผมนี่แหละ ปกติเหมือนคุยอยู่คนเดียว เขาอ่านแต่ไม่เคยตอบเลย ไม่รู้ว่ายุ่งหรือจงใจไม่สนใจ มันทำให้ผมรู้สึกว่าได้กว่าเข้าไปใกล้หัวใจของพี่เอิร์ธอีกก้าวหนึ่ง

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน
“ไป…กูไปส่งบ้าน” ไอ้ชัยเดินนำไปที่รถบิ้กไบค์ของมัน

……….

“สงสัยฝนจะตกเป็นกบ ทำไมลูกชายแม่ตื่นเช้าได้”

แม่ทักเสียงดังหลังจากที่เห็นผมลงมาในชุดหล่อเต็มยศท่ามกลางแสงแรกของวัน วันนี้แม่ผมแปลกใจมากเพราะผมตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะปกติผมจะเป็นคนตื่นสายมาก แม่บ่นผมจนปล่อยเลยตามเลยไปแล้ว มีไม่กี่ครั้งที่ผมจะตื่นเช้าในวันหยุดแบบนี้ได้คือ หนึ่ง-โดนโค้ชตามไปซ้อมตอนเช้า
สอง-มีนัดกับแฟน

“แต่งตัวแบบนี้มีนัดล่ะสิ”
“ครับ”
ตอบไปเดินไปหาของกินไปพลาง ทำไมหิวขนาดนี้คงเพราะเมื่อคืนไม่ได้กินอะไรเลย เพราะไอ้ชัยนั่นแหละ ไม่รู้จะรีบไปไหนของมัน ชวนไปหาอะไรกินก่อนก็ไม่ไป ส่งผมถึงบ้านมันก็บิดมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของมันหายไปเลย ช่วงนี้มันมักจะเป็นแบบนี้บ่อยๆ
“หิวก็กินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ของพ่อในตู้กับข้าวไปก่อน เมื่อวานพ่อแกไม่กลับบ้าน”
“ขอบคุณครับ”
ผมรีบเดินไปจัดการกับมื้อเช้าตามที่แม่บอก พ่อไม่ค่อยกลับบ้านเป็นเรื่องปกติสำหรับผมไปเสียแล้ว เพราะธุรกิจของแกที่กำลังไปได้ดี ผมกับแม่เลยสนิทกันมากกว่า แต่เราสองคนเข้าใจดีครับว่าพ่อทำเพื่อพวกเรา พ่อไม่อย่กให้ครอบครัวเราลำบากเหมือนที่พ่อเคยเป็น ธุรกิจของพ่อเริ่มจากร้านเล็กๆ จนกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ระดับจังหวัด แต่ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ โรงงานที่พ่อเปิดก็ส่วนใหญ่จะอยู่ต่างอำเภอ ไม่ก็ต่างจังหวัด แม่ก็ไม่อยากให้พ่อแกเทียวไปเทียวมาเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ เลยให้พักที่บ้านพักที่ไปปลูกไว้ตามพื้นที่ที่โรงงานตั้งอยู่

“ผมไปก่อนนะครับ” ผมลาแม่หลังจากจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย
“จ้าๆ  แหมๆ เวลาเรียนน่ะให้มันขยันแบบนี้นะ แม่จะดีใจมากเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ เหลือบไปเห็นแต่แม่ส่ายหัวแต่ไกลๆ

…………….

การสืบหาบ้านของพี่เอิร์ธเนี่ยไม่ยากเลย แค่อาศัยลูกตำรวจสะกดรอยตามรถคันหรูที่ในตัวจังหวัดมันมีไม่กี่คันหรอก ผมวิ่งไปปลุกไอ้ชัยจากที่นอนแต่เช้า บังคับให้มันมาส่งถึงหน้าบ้านพี่เอิร์ธ

บ้านแฝดสองชั้นที่มีพื้นที่หน้าบ้านและลานจอดรถขนาดพอดี 1 คัน พื้นที่ส่วนที่น่าจะเป็นสวนปกคลุมไปด้วยหญ้าขึ้นรก ต้นไม้ระเกะระกะเติบโตอย่างไร้ระเบียบแสดงถึงคนอยู่ไม่มีเวลาหรือไม่ได้เอาใจใส่มันเท่าไหร่ รถคับหรูยังจอดนิ่งสนิทอยู่ลานจอด นั่นแปลว่าเจ้าของของมันยังคงอยู่ในบ้าน มองจากภายนอกม่านทุกท่านภายในบ้านปิดสนิทไร้ความเคลื่อนไหว รอบๆบ้านได้ยินแต่เสียงคอมเฟสเซอร์แอร์คอนดิชั่นเนอร์ฮัมดังไปทั่ว

“จากสภาพที่เห็น พี่หมอน่าจะยังอยู่บ้านนะ”
ไอ้ชัยหาวไปพูดไป ในขณะที่มันยังนั่งคร่อมรถบิ้กไบค์ของมัน
“อืม… ส่งสัยยังไม่ตื่น”
“ก็แน่ล่ะ กลับมากี่โมงก็ไม่รู้ อาจจะเพิ่งเข้านอนก็ได้”
“มึงว่ากูควรกดกริ่งไหมวะ?”
“อย่าเลยวะ สงสาร”
“กูอุตส่าห์ซื้อของมาให้” พูดจบผมก็ยกถุงโจ๊กกับปาท่องโก๋ร้านดังในตลาดเช้าที่แวะซื้อระหว่างทางให้มันดู
“…….” ไอ้ชัยได้แต่ส่ายหัว
“งั้นกูไลน์หาเข้าก่อน”
“เฮ้ย…ไอ้เชี่ย!! มึงจะใจร้อนไปไหนวะ” ไอ้ชัยทำท่าจะคว้าโทรศัพท์บนมือผม แต่ผมเร็วกว่ามันมากเฉกเช่นมันไม่เคยแย่งลูกบาสฯจากมือผมได้

Long_Mangkorn: พี่เอิร์ธ… ตื่นยัง?
Long_Mangkorn: รูปกระต่ายยิ้ม
Long_Mangkorn: หิวยัง ซื้อข้าวมาฝาก

เงียบ…….
ไม่มีข้อความตอบกลับหลังจากส่งไปแล้วมากกว่าห้านาที

“กูว่า… เดี๋ยวรอให้พี่เขาตื่นแล้วค่อยมาไหม?” ตอนนี้ไอ้ชัยลุกขึ้นมายืนข้างผมด้วยใบหน้าขมวด
“งั้นกูโทรหาเลย” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเบอร์พี่เอิร์ธ

…..หมับ…..
โทรศัพท์ของผมไปอยู่ในมือมันเรียบร้อย

“มึงกวนใจพี่หมอขนาดนี้..มึงไม่กลัวเขาโกรธหรือวะ?”
“กลัว…….” ผมรู้สึกถึงใบหน้ายามโกรธของพี่เอิร์ธลอยมาในความคิด
“งั้นกลับ รอให้เขาตอบไลน์ แล้วค่อยมาก็ได้ ไอ้ห่ะ”
“……”
“มาดิ” ไอ้ชัยกวักมือเรียก
“งั้นกูขอลองกดกริ่งสักทีดูก่อนได้ป่ะ หากไม่ออกมากูจะกลับแปลว่าหลับจริง” ผมกำลังเดินไปกดกริ่งที่รั่วหน้าบ้าน ไอ้ชัยก็คว้าคอผมเสียก่อน
“ไอ้บ้า!! พอ!! กลับ!!” ไอ้ชัยมันเคาะหัวผมเบาๆ ผมยังดึงดันจะไปกดกริ่งอยู่ ไอ้ชัยก็พยายามรั้งผมไว้ กลายเป็นภาพผมกับมันยื้อดึงกันอยู่หน้าบ้าน

“ทะเลาะอะไรกันหน้าบ้านแต่เช้า จะต้องเอาน้ำร้อนสาดไหม?”
เสียงคุ้นหูที่ดูขุ่นๆ ดังออกมาจากตัวบ้าน  ทำให้พวกหยุดชงักในท่าตะลุมบอน ผมกับไอ้ชัยรีบจัดร่างกายเสียใหม่และปัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย ผมมองเข้าไปในรั่วบ้านสีซีด เจอพี่เอิร์ธยืนดิ้วขมวดอยู่ในชุดนอน ท่อนบนเป็นเสื้อยืดสีขาวคอกลมแขนสั้น ท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าลายสก็อตสีน้ำเงิน ผมที่ยุ่งไม่เป็นทรง ดวงตาดูลืมได้ไม่เต็มที่เท่าควร บวกกับท่าทางที่งัวเงียคอยเอามือเขี่ยตาเป็นระยะๆ ผมไม่เคยเจอพี่เอิร์ธในสภาพนี้เลย มันช่าง……

“เฮ้ย… เพิ่งตื่นแบบนี้ยังดูน่ารักเลย” ไอ้ชัยกระซิบกับผมพลางเอามือสะกิดผมที่แขน
(ไอ้เลวแย่งซีนในความคิดกูอีกแล้ว)
“เออ..อืม..” ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขณะเห็นภาพตรงหน้า

“ว่าไง….เรา? มาโหวกเหวกโวยวายหน้าบ้านคนอื่นแต่เช้าแบบนี้ทำไม? แล้ว…. รู้จักบ้านหมอได้ไงเนี่ย?” เจ้าของบ้านพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“โห…ยิงคำถามมาเป็นชุดแบบนี้ผมจะตอบอันไหนก่อนล่ะ”
ผมเกาะรั่วทำหน้าให้ดูน่ารักที่สุด
“ทั้งหมดนั่นแหละ!!” พี่เอิร์ธทำหน้าบอกบุญไม่รับกอดอก
“เอ่อ….. ผม…. เอ่อ…ซื้ออาหารเช้ามาให้ครับ” ผมแสดงของกลางให้อีกฝ่ายเห็น
“ตอบมาให้หมด!!!…. รู้จักบ้านพี่ได้ไง?”
“ให้ไอ้นี่สืบให้” ผมชี้ไอ้ชัยที่ตอนนี้ยืนยิ้มแห้งๆ และโปกมือให้คนอีกฝั่งของรั่ว
“เฮ่อ………” เขาถอนหายใจยาวมากพร้อมเอามือกุมศรีษะ
“เข้าไปได้ไหม? เดี๋ยวเทให้กิน”
“เอาของมาแล้วก็กลับไปได้แล้ว”
“ผมซื้อมาตั้งเยอะว่าจะมากินด้วย ผมหิวมากเลยรอมากินข้าวด้วยเลยนะเนี่ย” ผมใช้เสียงออดอ้อน ท่าพิฆาตประจำตัว ส่วนไอ้ชัยผมแอบเห็นมันกรอกตารอบหนึ่ง และคงจะด่าผมในใจว่า ‘ตอแหล’
“………” พี่เอิร์ธตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นะ นะ พี่นะ” ผมพยายามอีกรอบ พยายามเอามือกุมท้องเรียกร้องความสนใจ
“เออๆ เข้ามาๆ” พูดจบพี่เอิร์ธก็เดินมาปลอดล็อกประตูให้พวกเราเข้ามาในบ้าน

“เฮ้ย!!” เดินมาประมาณสามก้าวผมก็ร้องทักไอ้ชัย
“……” มันทำตาโตใส่
“มึงมีธุระด่วนไม่ใช่เหรอ? เก้าโมงแล้วเนี่ยสายแล้วนะ”
“เอ….กู..”
“ไม่เป็นไรไปเหอะ กูอยู่ได้เดี๋ยวกูหาทางกลับเอง ขอบใจนะ”
ผมขยิบตาใส่มันจนหน้าแทบย่น
“เออๆ ใช่ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับพี่หมอ” ไอ้ชัยมันไหว้ปะหลกๆก่อนหันหลังวิ่งไปขี่พาหนะสองล่อที่จอดอยู่หน้ารั่วแล้วบิดจนลับตาไป

“ไปกินข้าวกันครับ” ผมหันไปหาเจ้าของบ้านหรี่ตามองผมด้วยท่าทางสงสัย ก่อนที่จะส่ายหัวและเดินนำหน้าไป ผมตามเข้าไปในบ้านที่ค่อนข้างมืดเพราะหน้าต่างมีม่านปิดทึบไว้เกือบทุกบาน เจ้าของบ้านกำลังไล่เปิดม่านเพื่อรับแสงเท่าที่จำเป็นโดยเฉพาะบริเวณโต๊ะอาหารของบ้าน ภายในบ้านมีเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างน้อยชิ้น พื้นกระเบื้องสีขาวดูสะอาดตา การตกแต่งภายในต่างๆ เรียบง่ายภายในบ้าน ภายในบ้านสะอาดและเรียบร้อยกว่าภายนอกบ้านมาก
“ภายในบ้านเรียบร้อยมากครับ ผิดกับข้างนอกเลย” ผมแอบแซวขณะจัดอาหารลงจาน ที่สภาพดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ใส่อาหารลงไปสักเท่าไหร่
“ข้างในบ้านจ้างแม่บ้านมาทำสัปดาห์ละสองครั้งนะ แต่ข้างนอกยังหาคนจัดสวนไม่ได้เลย แต่ก็ไม่ซีเรียสเพราะยังไงก็คงไม่ได้ใช้งานข้างนอกเท่าไหร่” พี่เอิร์ธพูดไปสองมือก็ช่วยผมจัดวางอาหารบนโต๊ะ

“จ้างผมไหม? ผมทำเป็นนะจัดสวนน่ะ” ผมเห็นพี่เอิร์ธทำท่านึก
“อ้อ……สวนที่บ้านน้ารุ่งเราทำเองหรือ?”
“ใช่ครับ…เอาไหม ราคาไม่แพง”
“เท่าไหร่?”
“จ่ายด้วยหัวใจของพี่”
“ไอ้บ้า!!” เขาทำตาเขียวใส่ผม ดูโกรธแบบเขินๆ ภาพนี้ทำเอาผมใจละลายเลย
“พูดเล่นครับ พี่ก็เลี้ยงข้าวผมตั้งหลานมื้อ เดี๋ยวผมทำให้ สวนบ้านพี่สวยอยู่แล้วแค่ถางหญ้า พรวนดิน ตัดแต่งกิ่งต้นไม้บ้างก็พอ”
“ขอบใจ”
ผมมองตาเขาและยิ้มกลับไป พี่เอิร์ธหลบตาก้มหน้าก้มตาเขี่ยอาหารบนโต๊ะ
“กินๆไป พูดมาก รีบกินรีบกลับไปเลย ง่วงจะแย่”
“กินเสร็จแล้วขออยู่ต่อได้ไหม?”
“ไม่ได้!! กลับไป”
“ไม่เจอกันทั้งสัปดาห์ไม่คิดถึงกันบ้างหรือไง”
ผมมองหน้าพี่เอิร์ธที่บึ้งบูดทำให้รู้คำตอบได้ไม่ยาก
“เอ่อ….ผมอยู่ทำสวนให้ไง!!”
“ไม่รีบ กลับไปเหอะ!!”
“งั้นผมทำเสร็จแล้ว จะกลับเลยโอเคไหม?”
ผมยื่นมือไปจับมือเขาเพื่อขอร้องแต่พี่เอิร์ธรีบถอนมือหนี และมองตาเขียวใส่ผมทีหนึ่ง ผมสู้ไม่ถอยยิ้มสู้
“เออๆ อยากทำอะไรก็ทำ!!” เขาถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะตักโจ๊กที่ผมซื้อให้เข้าปากไป

…………….

เป็นงานที่ไม่ยากสำหรับผมเลย เพราะเป็นผู้ชาย(ที่เหลืออยู่)คนเดียวในบ้าน งานพวกนี้แม่เลยไว้วานให้ผมทำเสียส่วนใหญ่ แถมพื้นที่สวนที่นี่เล็กกว่าบ้านผมเยอะ แต่อากาศวันนี้ไม่เป็นใจเลย เมฆบนฟ้าเหมือนจะพร้อมใจหายไปกันหมด เหลือแต่พระอาทิตย์กลมโตที่แผดแสงสีเหลืองทองลงมาที่ผมเต็มที่

ผมทุ่มเทกับการทำสวนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตัดหญ้าและตัดแต่งกิ่งต้นไม้ กวาดเศษซากใบไม้ จนไปถึงจัดกระถางต้นไม้ การกวาดตามพื้นหญ้า ภาพรวมตั้งแต่เริ่มทำแสดงให้เห็นว่าสวนบ้านนี้มีสภาพที่ดีมาก่อน คงจัดไว้ดีตั้งแต่ซื้อ แต่ขาดคนเอาใจใส่ดูแล แต่ผมก็เข้าใจเพราะการที่มาอยู่ใกล้ชิดกับอาชีพหมออย่างพี่เอิร์ธ ทำให้ผมโทษเขาไม่ได้ เวลานอนยังน้อยเลยเวลาดูแลสวนหย่อมหน้าบ้านนี่ไม่ต้องพูดถึง

กว่าจะทำเสร็จกินเวลาไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน พี่เอิร์ธที่มานั่งคุมการทำงานที่โซฟาโซนรับแขกใกล้สวน นอนหลับไปด้วยความเพลียเรียบร้อยแล้ว ใบหน้ายามหลับนี่ช่างดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา ดูสงบและไร้ความกังวลใดๆบนหน้า ผมยืนมองอยู่นานจนผมเผลอยื่นมือไปสัมผัสหน้าที่ขาวใสเนียนนั่น ใช้กลังมือลูบขึ้นลงเบาๆ

“เฮ้ย… ทำอะไร” พี่เอิร์ธจับมือผมหมับพร้อมลืมตาแบบไม่เต็มตื่นมองผม
“เอ่อ…. ปัดยุงให้ครับ”
“ไอ้กะล่อนเอ๊ย!” เขาเหวี่ยงมือผมเบาๆ พร้อมลุกขึ้นนั่งแบบเกียจคร้าน  เขาเอียงตัวมองภายนอกบ้านที่ตอนนี้ถูกจัดการเสียใหม่จนเหมือนบ้านคนละหลัง
“โห…..มีพรสวรรค์ว่ะเรา”
“ผมบอกแล้ว ของง่ายๆ” ผมยืดอกยิ้มอย่างภูมิใจ
“งั้นก็กลับได้แล้วสิ”
“โหพี่ครับ…. ดูผมสิเหงื่อโชก มอมแมมหมดหล่อหมดแล้ว ขออาบน้ำก่อนได้ไหมครับ”
พี่เอิร์ธมองผมแบบพินิจพิเคราะห์ตั้งแต่หัวจดเท้า ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลย
“เออๆ ขึ้นไปใช้ห้องน้ำข้างบนเลย ส่วนผ้าเช็ดตัวใหม่ก็อยู่ในตู้เสื้อผ้าข้างห้องน้ำนั่นแหละ” พี่เอิร์ธชี้ขึ้นไปข้างบน
“ขอบคุณครับ”
สุดยอด!! วันนี้นับว่าคุ้มเพราะจะได้เข้าห้องนอนพี่เอิร์ธด้วย! รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก พูดจบผมก็เดินขึ้นไปพร้อมยักคิ้วให้กับเจ้าของบ้าน

………………………………………….
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2017 23:28:54 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

เอิร์ธ (6)

การกลับมาจากการทำงานเวรดึกนี่ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่ครั้งก็ไม่เคยชินเลย ผมวางทุกอย่างในที่ๆของมันอย่างลวกๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า กุญแจบ้าน กุญแจรถ ถอดทุกอย่าง และรีบไปเดินผ่านน้ำเพื่อมานอนต่อเพราะวันนี้คงต้องกลับไปอยู่เวรดึกอึกวัน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ผมรู้สึกตัวเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะสั่นอย่างต่อเนื่อง ผมรีบหยิบขึ้นมาดูหน้าจอที่ฉายชื่อไอ้เด็กเวรนั่น ด้วยความเพลีย ผมเลยไม่อยากจะสนใจกะว่าจะนอนต่อเสียหน่อย แต่หูเจ้ากรรมดันไปได้ยินเสียงอู้อี้ดังมาจากทางหน้าบ้าน ผมแอบแง้มม่านหน้าต่างดูพบเด็กวัยรุ่นสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่หน้าบ้าน ถึงจะไม่ได้เสียงดังแต่ภาพที่เห็นก่อให้เกิดความรำคาญแก่สายตาผม และรบกวนจิตใจผมอย่างมาก ด้วยความหงุดหงิดผมเลยตัดสินใจลงไปจัดการไล่วัยรุ่นสองคนนั้นให้ออกจากหน้าบ้านตนเองจะได้พักผ่อนต่อเสียที

……………..

หลังจากการออกไปไล่ไอ้เด็กเวรพวกนี้ประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียว ไม่สิส่วนเดียวเพราะไอ้เด็กที่กวนใจผมมากที่สุดมันดันไม่กลับไปแถมทำทุกวิถีทางที่จะได้อยู่ต่อเสียด้วยสิ ผมนี่ทัดทานความกะล่อนแบบนั้นไม่อยู่เสียด้วย บวกกับสวนหน้าบ้านที่พ่อทำให้ตอนย้ายบ้านมาก็ทรุดโทรมไปมาก ก็ไม่มีเวลาทำเลยนี่สิครับ ขนาดในบ้านผมยังต้องจ้างแม่บ้านมาช่วยทำความสะอาดเลย เพราะความตั้งใจที่อยากจะเป็นหมอของผมตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนก็ว่าลำบากแล้วนะแต่ก็ทนมาได้ แต่พอมาทำงานจริงนี่โหดร้ายกว่ากันเยอะ บางทีก็ท้อแท้เหมือนกัน

แต่วันนี้มีคนอาสามาทำให้ฟรีๆ ก็เลยขอไม่ขัดศรัทธามันก็แล้วกันครับ เพื่อไม่ให้เกิดอาการอู้งานเกิดขึ้น ผมเลยขอเป็นผู้จับตาการทำงานของหลงเอง เดี๋ยวจะหาทางอยู่ด้วยจนเย็นจนเลยเถิดไปขอกินมื้อเย็นด้วยอีก ผมเองก็จะไม่ได้นอนกันพอดี นั่งได้แค่เพียงครู่เดียว อากาศเย็นๆ ในบ้านกับโซฟาตัวใหญ่นุ่มๆ ทำให้ดวงตาเจ้ากรรมมันดันทรยศ มันหนักเสียจนผมลืมไม่ขึ้น……..

 ผมรู้สึกตัวอีกทีก็มึเงาทมึนมายืนอยู่ใกล้ๆ เสียแล้ว ไม่ทันที่ผมจะลืมตาตื่นดีก็มีมือใหญ่สากๆมาลูบแก้มผมอีกด้วย ด้วยปฏิกิริยาผมเลยเอื้อมมือไปจับให้มันหยุดก่อนที่ร่างกายผมจะเสียศูนย์ เพราะแค่มันมายืนใกล้ผมก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว (หรือเราเป็นโรคหัวใจวะ)

ผมรีบใช้จังหวะนี่ไล่มันกลับบ้านทันทีโทษฐานที่แต๊ะอั๋งโดยไม่ได้รับอนุญาติแต่ไอ้กระล่อนนี่ก็ขออยู่ต่อจนได้ แต่เอาวะ… เท่าที่สำรวจตามเนื้อตัวที่มอมแมมเต็มไปด้วยเศษดินและคราบเหงื่อ ก็สมควรจะผ่อนปรนให้ครั้งหนึ่ง

“เออๆ ขึ้นไปใช้ห้องน้ำข้างบนเลย ส่วนผ้าเช็ดตัวใหม่ก็อยู่ในตู้เสื้อผ้าข้างห้องน้ำนั่นแหละ” ผมชี้ทางไปห้องน้ำด้านบนแบบไม่เต็มใจนัก บ้านนี้ห้องน้ำที่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ในการอาบน้ำครบก็มีแค่ห้องนอนผมห้องเดียวนี่แหละ

“พี่เอิร์ธ… พี่เอิร์ธ”

ไอ้เด็กบ้านั่นมันขึ้นไปยังไม่เกินห้านาทีก็เรียกผมเสียแล้ว

“อะไร!?!” ผมตะโกนขึ้นไป

“ผมหาผ้าเช็ดตัวไม่เจอครับพี่”
ต้นเสียงอยู่ข้างบนบ้านพร้อมเสียงกึกกักเหมือนมีการรื้นค้นอะไรสักอย่าง ผมคงต้องรีบขึ้นไปสิใช่ไหมก่อนที่ห้องผมจะพังหมด ผมรีบวิ่งขึ้นที่ห้องนอนของตนเองซึ่งอยู่ไม่ไดลจากบันไดทางขึ้น ซึ่งเป็นมาสเตอร์เบดรูม ห้องใหญ่สุด ผมเปิดประตูหมายจะเคาะหัวเกรียนๆของมันสักทีหากห้องผมอยู่ในสภาพไม่น่าดู

“อะไรวะ! มันก็อยู่ในตู้ตรง……”. เสียงผมขาดหายไปเพราะภาพที่เห็นตรงหน้า หลงในสภาพเปลือยอกและสวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเล็กลายทางสีน้ำเงิน

“เฮ้ย!!! ทำไมแต่งตัวแบบนี้”
“อุ้ย ขอโทษครับ ลืมตัวปกติเคยชินเวลาอยู่กับเพื่อนผู้ชาย”
คำพูดของมันชวนให้เส้นเลือดในหัวโปนปูด
“กูก็ผู้ชาย!!!” พอหงุดหงิดภาษาก็เลยเปลี่ยน นี่มันแสดงว่าเห็นผมไม่ใช่ผู้ชายสิ
“งั้นพี่ก็ไม่ควรอายนะ ไม่ได้โป๊หมดเสียหน่อย”
เออ…. จริงของมัน
“ก็มันตกใจไหม? อยู่ๆ มาเจอคนอื่นแต่งตัวในบ้านแบบนี้” เถไปครับ เถไปเรื่อยๆ
“ขอโทษครับ ว่าแต่ผ้าเช็ดตัวอยู่ไหนครับ?”
“อยู่นี่ไง” ผมเดินตรงไปที่ตู้พร้อมเปิดลิ้นชักและหยิบผ้าเช็ดตัดผืนใหม่ด้านในสุดให้ ผมพยายามจะไม่มองมันเพราะตอนนี้ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
“ดูพี่ ไม่ค่อยสดชื่นเลย มาอาบน้ำด้วยกันไหมครับ?”
หลงรับผ้าเช็ดตัวไปห่มพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ไอ้บ้า” ผมเดินหนีมันก่อนครับ ก่อนที่จะโดนแซวอีกรอบ อันนี้เรียกว่ากรรมตามสนองไหม เพราะก่อนหน้านี้เห็นเด็กมันน่ารักเลยแซวไปเสียเยอะ
“จะอายอะไร ผมเห็นของๆ พี่หมดแล้ว”
“……..” ผมหันกลับไปคิ้วขนวดใส่มัน ปั้นหน้าเป็นเชิงคำถาม
“ก็วันที่พี่เมาจนไม่ได้สติ พี่คิดว่าใครเป็นคนดูแลพี่ล่ะ?”
“……”  เชี้ยแล้วไง สิ่งที่ผมไม่กล้าจะคิดเกี่ยวกับคืนนั้นก็เรื่องนี้แหละ และเรื่องที่ผมกลัวก็เป็นจริง!! รู้ทั้งรู้แค่ไม่อยากได้ยินจากปากไอ้เด็กเวรนี่
“เอาไงครับ มาอาบน้ำด้วยกันไหม?” ผมโดนแรงไอ้เด็กเวรนี่ดึงเข้าไปถึงเซล้มเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่เปลื่อยเปล่า
“ไอ้เด็กเวรนี่!!” ผมเคาะกระโหลกมันไปครั้งหนึ่งหลังจากตั้งตัวได้
“กูอายุมากกว่ามึงนะ เป็นพี่มึงตั้งหลายปี ทำอะไรหัดมีสัมมาคารวะบ้างสิ!!!”
ผมสะบัดตัวหนีจากวงแขนยาวๆแน่นๆนั่น ปิดประตูดังปัง ก่อนที่จะเดินลงมาหอบหายใจอยู่ข้างล่าง

“เกือบไปแล้ว…..” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ เบื่อตัวเองที่ร่างกายมักทรยศกับความคิดของตนเอง ผมไปหามุมสงบเพื่อให้ร่างกายส่วนกลางสงบลงบ้างหลังจากเจอแรงปะทะเมื่อครู่

…………………………..


หลังจากหลงอาบน้ำเสร็จผมก็เตรียมเสื้อผ้าตัวใหม่ให้เขาใส่ คิดว่าแค่ชุดลำลองที่เป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นธรรมดา ไม่น่าจะไซส์ต่างกันมาก พอเอาเข้าจริงๆ พอเห็นหลงเดินลงมาเหมือนหมอนข้างที่ใส่ปอกหมอนผิดไซส์ มันดูไม่สมสัดส่วน กางเกงคิดว่าพอไหวแม้จะดูสั้นกว่าตอนผมใส่ แต่เสื้อนี่สิดูคับไปหน่อย

“เสื้อผ้าพี่หอมจังเลยครับ อยากจะเก็บกลิ่นนี้ไว้ให้นานๆ” หลงมันดึงเสื้อผมขึ้นไปดมฟอดใหญ่
“โอเวอร์จริงๆ” 
“จริงๆครับ”

โครกๆๆๆ

เสียงเหมือนฟ้ากำลังถล่มแต่เสียงมันอยู่ไกลกับผมมาก ผมมองหาต้นเสียงจนไปเจอหลงยืนกุมท้องหน้าแดง
“แฮะๆ สงสัยออกแรงเยอะ คงจะหิว”
“เฮ้อ!”  ผมถอนหายใจยาวกับคนตรงหน้า ผมมองนาฬิกาที่อยู่ตรงผนังห้องรับแขกแจ้งเวลาบ่ายสามโมง นี่ก็ใกล้เวลาที่ผมจะต้องเตรียมไปทำงานอีกแล้วสิ หาอะไรมากินก่อนก็ดี ไหนๆ ก็ไม่ง่วงแล้ว

“กินอะไรล่ะ เดี๋ยวโทรสั่งร้านอาหารตามสั่งปากซอยมากิน เดี๋ยวให้เขามาส่ง”
“ขอบคุณครับ” ดูมันยิ้มปากจะฉีกถึงรูหู
“อะไรก็ได้ครับ กินข้าวกับพี่ กินอะไรก็อร่อย” มันเสริม
“งั้นหมูสามชั้นทอดกระเทียม”
“โห….. พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบมันหมู!”
“ไหนว่ากินกับพี่กินอะไรก็อร่อย”
“………”
“เออๆ งั้นเอาอะไร”
“ข้าวราดผัดกระเพราะไก่ครับ ขอแกงจืดเต้าหู้หมูสับด้วยนะครับ เอ่อ…. ไข่เจียวหมูสับด้วยก็ดีครับ”
สมเป็นเด็กกำลังโตจริงๆ แสดงว่าหิวจริง

……………..

หลังจากจัดการรอาหารตรงหน้าเรียบร้อยก็เกือบห้าโมงแล้ว ได้เวลาที่ผมต้องไปเข้าเวรแล้ว หลงอาสาจัดการเก็บถ้วยชามทำความสะอาดส่วนผมขอตัวไปจัดการตัวเองก่อน  ไอ้เด็กคนนี้มันหาเรื่องอยู่กับผมจนเย็นจนได้ ผมสลัดความคิดไร้สาระออกไปเพื่อเตรียมตัวไปทำงานให้ทันเวลา ไม่งั้นรุ่นพี่ผมโกรธตายเลย เพราะทุกวันนี้แค่ออกไปพักกินข้าวนานก็โดนเพ่งเล็งจะแย่ ผมรีบทำความสะอาดร่างกาย ด้วยความรีบร้อนผมออกมาและดึงผ้าเช็ดตัวที่ห่อท่อนล่างคลี่ออกมาเช็ดตัวด้วยความเคยชิน

“นี่พี่กะจะอ่อยผมใช่ไหมครับ?” เสียงคุ้นหูจากด้านหลัง

“เฮ้ย…!!!!” ผมดึงผ้าเช็ดตัวขึ้นมาปิดร่างกายเท่าที่จะปิดได้
“…….” มันยิ้มด้วยสายตาเชื่อมเยิ้มทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว
“ขึ้นมาทำไมวะ?” ผมยังพยายามปิดบังร่ายกายเท่าที่จะทำได้
“แอร์ห้องพี่เย็นก็เลยว่าจะมาตากแอร์เสียหน่อย ผมขี้ร้อนพี่ก็รู้”
“ก็เลยถือสิสาสะเดินเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต?”
“ก็พี่บอกว่าผู้ชายด้วยกันไม่น่าอาย” ผมพูดกับมันแบบนั้นตอนไหนวะ?
“ออกไปก่อนไป!!!” ผมไล่โดยใช้ทั้งหน้าและสายตา ตอนนี้เหมือนผมกำลังจะพ่นไฟได้
“ผมก็เคยบอกพี่แล้วว่า… มากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้ว”
“ไอ้….ไอ้….เด็กบ้า” ผมคว้าอะไรได้ก็ปาใส่มันหมดจน มันวิ่งหนีออกจากห้องไป ไม่รู้รู้สึกไปเองหรือเปล่าว่ากางเกงผมที่ไอ้เด็กนี่ใส่มันแน่นๆ ชอบกลโดยเฉพาะตรงเป้ากางเกง ผมผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมา

วันนี้รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน ผมอยู่กับหลงมากๆ พาลจะให้ผมอายุสั้นนะเนี่ย (หรือว่าอายุยืนวะ เพราะสีหน้ามีเลือดฝาดดูสุขภาพดีเกือบทั้งวัน)

หลังจากแต่งตัวเสร็จผมก็รีบเดินลงมาหมายจะจัดการกับไอ้ตัวดีทันที ผมเจอหลงนอนเอกขเนกบนโซฟาเหมือนทองไม่รู้ร้อน พอมันเห็นผมแทนที่จะมีสีหน้าสำนึกผิดเสียหน่อยกลับยิ้มร่ายักคิ้วใส่

“หลง พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” ผมตีหน้าซีเรียสจริงจัง
“ครับ” ยังยิ้มไม่หุบ
“ไปคุยกันที่รถ”
“ไม่เอาครับ คุยตรงนี้แหละ”
เฮ้อ….. ผมผ่อนลมหายใจออกยาวๆ
“ถ้าคบกันแบบพี่น้องพี่โอเคนะ แต่หลงมาทำแบบนี้กับพี่ พี่ว่าพี่ไม่โอเคว่ะ  เรายังเรียนอยู่นะ แต่พี่ก็อายุต่างจากเราเยอะ ไหนจะน้ารุ่งอีก หากน้าเขารู้ว่าหลงเป็นแบบนี้ น้ารุ่งเขาจะคิดยังไง แล้วพี่ก็ยังเคารพน้ารุ่งมากนะ เอาเวลามาตามตื้อพี่พวกนี้ไปเล่าเรียนให้ดีกว่านี้ดีไหม?”
หลงมีสีหน้าที่เหมือนแสงไฟที่ค่อยๆดับวูบลง มันทำให้ใจผมมันปวดแปลบมาแว่บหนึ่ง
“แต่……”
“ไม่มีแต่!!! เก็บของได้แล้ว พี่จะไปส่ง” ผมดุเสียงดัง
“……..” เด็กนั่นมองหน้าผมไม่พูดอะไร สายตานั่นมันเหมือนมีหลายร้อยคำพูดที่อยากจะพูดแต่โดนสายตาที่แข็งกร้าวของผมสะกดไว้
เพียงอึดใจหลงก็จัดการเก็บข้าวของๆเขาอย่างลวกๆ และเดินออกไปนอกบ้านทันที ผมเดินไปหยิบกุญแจบ้านที่แขวนไว้ใกล้ทางขึ้นบันไดและตามไปทันที แต่พอออกมาพ้นตัวบ้านก็พบแต่รถและความว่างเปล่ากับประตูบ้านที่เปิดทิ้งไว้

ฉิบหายแล้ว!! ผมพูดกับตัวเอง ผมพูดแรงไปไหมวะ? ผมมองดูนาฬิกาขณะวิ่งออกไปนอกตัวบ้านหวังว่าจะเจอเงาของเด็กที่สูงโปร่งคนนั้น แต่กลับไม่เห็นใครเลยนอกจากคนในหมู่บ้านแถวนั้นที่ดูเหมือนเกือบจะคุ้นตากันดี ผมวิ่งไปที่รถหมายจะขับตามหาแต่เสียงริงโทนบ้านๆ ของผมก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

หน้าจอแสดงชื่อเป็นรุ่นพี่ที่โรงพยาบาล ‘พี่เดช’ ผมกดรับสายทันที

“ครับพี่?”
“โทษทีนะน้อง ช่วยรีบมาที่โรงพยาบาลหน่อยได้ไหม?” เสียงที่ดูร้อนรนดังออกมาจากปลายสายอีกฝั่ง
“ทำไมครับพี่?”
“มีอุบัติภัยหมู่ คนไม่พอมาช่วยพี่หน่อย”
“ได้ครับเดียวผมรีบไป!!!”
โอ้ย!!! แย่แล้ว! คงไม่มีเวลาออกตามหาหลงแล้วคงต้องไปทำงานทั้งที่ใจผมยังพะวงกับเรื่องไอ้เด็กบ้านี่อีก

ผมขับรถออกจากบ้านด้วยความเร็วแต่ก็ยังไม่วายมองรอบๆ เผื่อว่าจะเจอหลงที่ไหนบ้าง ในระหว่างนั้นผมพยายามโทรหา แต่หลงก็ไม่รับสายเลย ผมภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีกับเขา เพราะกลัวประวัติจะซ้ำรอยแบบเดียวกับเรื่องของนิ่มที่หลงเคยเล่าให้ฟัง

…………………………………………………………

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
เอิร์ธ (7)


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วที่ผมไม่ได้รับการติดต่อจากหลงเลย เหมือนเขาหายไปเฉยๆ หลังจากวันนั้นผมได้โทรไปเช็คกับน้ารุ่งแล้วทำให้รู้ว่าหลงสบายดีกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยดีในวันนั้น แม้ในวันรุ่งขึ้นผมพยายามทั้งโทรหาและส่งไลน์ไปถามแต่ก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหรือข้อความตอบกลับจากเขาเลย ทำให้ผมถึงกับต้องทบทวนกับการกระทำในวันนั้นของตัวว่าได้ทำอะไรรุนแรงไปหรือเปล่า? มันจะหักดิบกันเกินไปไหม?

ใจหนึ่งผมก็บอกว่าดีแล้วมันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นอย่าให้เด็กมาหลงผิดอยู่กับเราเลย เขาควรไปอยู่ในที่ๆ ของเขาที่ที่เขาคู่ควรและสมควรจะเป็น แต่…… อีกใจหนึ่ง…… มันกับหงุดหงิดปนเศร้ากับการที่ผมไม่ได้เจอหน้าเขา ไม่ได้ยินเสียงเขาเหมือนว่าผมกำลังจมน้ำและโหยหาอากาศที่จะหายใจ………. ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องเลิกงานด้วยความรู้สึกเหมือนอะไรขาดหายไป ผมขึ้นรถกลับบ้านคนเดียว เดินไปกินข้าวคนเดียว สี่ห้าวันที่ผ่านมาผมพาตัวเองไปตามร้านต่างๆที่หลงแนะนำ แต่ครั้งนี้ผมมาคนเดียว อยู่คนเดียวอีกครั้งหนึ่ง ผมน่าจะชินเสียทีกับการอยู่คนเดียว แต่มันกลายเป็นว่าผมค่อยๆ ยอมรับว่าการมีใครสักคนที่เราพอใจอยู่ข้างๆ มันช่างเป็นความรู้สึกที่แสนพิเศษ

วันนี้ผมเลือกมากินที่ร้านซึ่งมีบรรยากาศพลุกพล่านที่สุด ร้านยอดนิยมริมบึงใหญ่ เพื่อหวังว่าความรู้สึกที่อยู่ท่ามกลางคนมากมายจะช่วยเติมเต็มช่องว่างในใจของผมที่แทบจะได้ยินเสียงของลมเสียดผ่าน

“กรี๊ด!!!…. แกดูสิ พี่หลงกับพี่ชัยตอนซ้อมบาสฯ ที่โรงเรียน”
เด็กนักเรียนหญิงที่อายุไม่น่าจะเกิน ม.ต้น ส่งเสียงดังจากโต๊ะข้างๆ เอ่ยชื่อที่ผมคุ้นหูมากๆ

“แกดูสิขนาดเหงื่อท่วมแบบนี้ยังหล่อ ว้ายๆ ดูสิ”
เด็กอีกคนส่งสมาร์โฟนเครื่องใหญ่ให้เพื่อนดู

“ดูน่าสงสารเนอะ ซ้อมหนักทุกวันเลย”
“ก็อย่างว่าแหละ ใกล้ถึงวันแข่งนัดกระชับมิตรกับโรงเรียนaaaวิทยาลัยแล้ว เขาว่าปีนี้น่ากลัวมาก ได้ข่าวเอาชนะโรงเรียน abc วิทยาคมที่พี่กวีอยู่มาแล้วด้วย”
“เสียดาย โรงเรียนนั่นไม่มีผู้ชายหน้าตาเร้าใจเท่าพี่หลง พี่ชัย และพี่กวีเลย”
“นั่นสิ เลยเลือกข้างที่จะเชียร์ไม่ยากเลย”
เด็กผู้หญิงสมัยนี้คุยกันน่ากลัวมาก แต่ผมก็นั่งตั้งใจฟังจนไม่สนอาหารตรงหน้า และในที่สุดก็ทำให้รู้ว่าทำไมช่วงนี้หลงถึงได้หายไป

“เสียดายอีตาอาจารย์โค้ชนั่นไม่ให้ไปดูการซ้อมที่ข้างสนามเลย บอกว่ากลัวนักกีฬาเสียสมาธิ”
ก็คงเพราะกรี๊ดเสียงดังขนาดนี้แหละ เขาถึงไม่ให้เข้าไปผมคิด
“แต่รูปพวกนี้ถูกถ่ายมาใน ‘เพจมัธยมหน้าใส’ ได้ไงล่ะ”
“คงเป็นพวกเล่นกีฬาแถวนั้นแหละ อาจารย์คงไม่ว่าหากไปเล่นกีฬาแถวนั้น”
“ว้า….. อยากไปดูตัวจริงจัง แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเล่นกีฬาอะไร”

ผมก้มมองพุงตัวเองที่ยื่นมาพอสมควรแล้ว
อืม…….. สงสัยพรุ่งนี้ลองไปวิ่งออกกำลังกายที่โรงเรียนเก่าหลังเลิกงานเสียหน่อยแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2017 21:05:26 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

หลง (11)


ผมเดินออกจากบ้านพี่เอิร์ธแบบไร้จุดหมาย หลังจากคำพูดของพี่เอิร์ธที่ตัดเยื่อใยแบบไร้ความผูกพันธ์กับผม ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว ผมรู้สึกว่าพี่เอิร์ธเองก็ต้องมีความรู้สึกดีๆกับผมบ้างไม่มากก็น้อย

แต่พอมาเจอความเป็นจริงจากปากพี่เขา ในหัวผมถึงกับว่างเปล่า เท้าของผมก้าวไปเรื่อยๆด้วยความเร็วเหมือนวิ่งไล่แย่งบอลจากมือคู่แข่ง นัยตาผมร้อนเหมือนมีถ่านไฟมารุมอยู่เนืองๆ มารู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะเคียงบึง ที่ๆผมเจอกับน้ำตาของพี่เอิร์ธครั้งแรก สถานที่ที่ทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวกับเขาจริงจังเป็นครั้งแรก ผมยืนมองจนกระทั้งเท้าของผมค่อยๆสาวเข้าไปในบึง น้ำเย็นสัมผัสสูงขึ้นจนถึงหัวเข่า ผมอยากให้น้ำเย็นจากบึงช่วยลบความรู้สึกแปลกแยกเหล่านี้ออกไป ไม่ใช่ความว่างเปล่าแบบนี้ ผมหยุดให้ความเย็นเหล่านั้นอยู่เพียงแค่เข่าจ้องมองฟ้าที่ค่อยๆมืดลง เสียงฝีเท้าและความจอแจรอบข้างค่อยๆ หายไป ตอนนี้เหลือผมและธรรมชาติโดยรอบเท่านั้น

ขณะที่ผมคิดว่าจะก้าวเข้าไปในบึงอีกก้าว อยากเอาหัวกดน้ำให้มันหายเบลอ เสียงริงโทนพื้นๆ จากโทรศัพท์ผมก็ดังเรียกสติผมเป็นเสียงที่ผมตั้งไว้เฉพาะเพื่อนสนิท ‘ไอ้ชัย’

“เชี้ย…. เป็นไง สรุปเผด็จศึกกับพี่หมอไปยัง? อย่าช้าแบบคราวนิ่มอีกล่ะมึง”
“พี่เอิร์ธ……. แม่ง…ไล่กูออกมา แถมพูดตัดเยื่อใยจนกูไม่อยากฟังต่อ”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ เกิดอะไรขึ้น?”
ผมเล่าให้มันฟังหมดเลยครับ ทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่ในบึงนั่นแหละ พอได้ระบายออกก็เริ่มรู้สึกคันๆ ที่ฝ่าเท้าแล้ว
“แล้วมึงอยู่ไหนเนี่ย?”
“สวนสาธารณะริมบึง”
“ไปทำเชี้ยอะไรที่นั้นวะ? เล่นมิวสิคอีกเพลง? มึงนี่นิสัยน่ารำคาญนะ ดราม่าฉิบหาย”
“ไอ้สัด ทางกลับบ้านกูไหม? กูจะแวะตรงไหนมันหนักหัวมึงเรอะ”
“เออๆ เอางี้เดี๋ยวกูไปหาที่บ้าน กูว่ากูมีแผน”
“………”
เอาอีกแล้ว แผนของมันอีกแล้ว แผนของไอ้ชัยมันล่มมากี่งานแล้ว
“กูก็รู้สึกนะว่าพี่หมอชอบมึงเหมือนกัน เพื่อนกูออกจะหล่อนิสัยดี ถึงจะน้อยกว่ากู”
“สัด”
“เออน่า…..คราวนี้กูว่าได้ผล”
“อืม” เชื่อมันสักหนล่ะกัน ผมค่อยๆ หันหลังกลับและเดินทางกลับบ้านทั้งๆที่ปลายขากางเกงขาสั้นชื้นเปียก

………………

แผนของไอ้ชัยเรียบง่ายกว่าที่คิด มันบอกว่าให้ผมวัดใจกับพี่เขาไปเลย ลองแสร้งทำเป็นไม่สนใจไม่ตอบไม่อ่านข้อความ ไม่โทรศัพท์ไปหา ไม่รับสาย สักสองสามสัปดาห์ หากในระยะนี้เขาพยายามตามหาผมแปลว่าเขามีใจให้ ผมสามารถเดินหน้าต่อได้ แต่หากเขาหายไปในระยะเวลานี้ก็ให้รีบตัดใจ

ตอนแรกผมก็โวยวายเพราะหลังจากกลับถึงบ้าน ผมเห็น miss call จำนวนหนึ่งจากพี่เอิร์ธ รวมถึงข้อความที่เขาส่งมาเป็นระยะๆ แค่นี้ก็ทำให้ผมร้อนใจอยากจะโทรหา หรือตอบกลับจะแย่ แต่ไอ้ชัยมันกล่อมผมจนผมยอมทำตาม

ผ่านมามากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ผมต้องทนกับการมองดูพี่เอิร์ธโทรมาและส่งข้อความมา มองแต่โต้ตอบไม่ได้ ผมกำมือแน่นทุกครั้งที่เห็นชื่อเขาแสดงอยู่ที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของผม มีหลายครั้งที่ผมเผลอตัวเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ในช่วงที่ชื่อเขาแสดงอยู่ แต่ก็เจอไอ้ชัยมันห้ามไว้เสียทุกครั้ง จนบางครั้งเกือบจะทะเลาะกันแต่ผมก็ผ่านมันมาได้ ผมใช้การตั้งใจกับการซ้อมกีฬาทำให้ลืมเรื่องใจพังพังของผม ใจที่แห้งแล้งเหมือนทะเลทราย

วันนี้เป็นอีกวันผมเกือบจะหมดแรงกับการซ้อมของอาจารย์โค้ชที่หนักหน่วงขึ้นทุกวัน ใจที่ห่อเหี่ยวร่างกายที่ใกล้ชำรุดเพราะการออกแรงหนักอย่างต่อเนื่อง ชีวิตช่วงนี้ไม่มีอะไรดีเลย นับวันจำนวนของมิสคอลและข้อความจากพี่เอิร์ธก็ทยอยน้อยลงเรื่อยๆ แสงสว่างแห่งความสุขในจิตใจของผมก็ค่อยๆ ผ่อนแสงลงเรื่อยๆ

“เฮ้อ……..” ผมทิ้งตัวลงที่ขอบสนามบาสฯหลังจากซ้อมแบบแบ่งทีมแข่ง
“โอ้ย….เหนื่อยฉิบหาย” ไอ้บอลเพื่อนร่วมทีมของผมบ่นออกมาเสียงดังแบบไม่เกรงใจอาจารย์โค้ชเลย
“เดี๋ยวแข่งเสร็จกูจะพาน้องเจนไปเที่ยวสักสองคืนสามวันเลย คิดถึงโคตร” ไอ้อาร์ม เพื่อนร่วมทีมของผมพูดอย่างอวดๆ ว่าจะพาแฟนไปเที่ยว (ใช่สิวะ แฟนแม่งสวยแถมยังนิสัยดี คบกันนานจนคนอื่นตาร้อนไปหมด)
“เป็นเชี่ยอะไรวะมึง?” ไอ้บอลถามผมด้วยความสงสัย นี่หน้าผมมันบอกอารมณ์ขนาดนั่นเลย
“เปล่านี่”
“ก็ดูมึงทำหน้าเหมือนใกล้จะตาย”
“……….”
“อย่าไปแซวมันมาก มันกำลังจะอกหัก!” ไอ้ชัยซึ่งมันควรจะอยู่อีกทีมหนึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้
“สัด!!”
“เฮ้ย นี่มึงยังไม่หายเฮิร์ตเรื่องนิ่ม?” ไอ้บอลโผเข้ามาร่วมวงด้วย
“…….” กูไม่มีอารมณ์จะตอบพวกมึง
“ไม่ใช่ๆ คนใหม่” ไอ้ชัยไอ้ปากมอม
“เย้…ด……… โห…. พ่อคัสโนว่า!!” ไอ้อาร์มร้องลั่น
“แยกๆ อย่าไปล้อมันกูขอร้อง” มันก็เริ่มมามึงนั่นแหละไอ้ชัย
“…….” ผมเดินหนีออกมาจากกลุ่มที่จ๊อกแจ๊กจอแจนั่นไปที่ริมรั่วที่กั้นสนามออกจากลานวิ่งและลานออกกำลังเอนกประสงค์ด้านนอก
“เฮ้ย….มึง แค่นี้โกรธเหรอ?” 
“……….” ผมไม่มีอารมณ์จะครื้นแคลงเท่าไหร่ เพราะใจผมมันนับเวลาเคาท์ดาวน์อยู่ ถอยหลังลงสู่ช่วงเวลาตัดใจจากเขา
“เชี้ย…!!!!!!!” ไอ้ชัยสบถออกมาพร้อมกับสะกิดผมถี่ๆ ที่ไหล่จนผมรำคาญอยากชกหน้ามันสักที
“เป็นเชี้ยอะไร สัด”
“นั่นๆ” ผมมองตามที่มันชี้ไปที่สนามกีฬาเอนกประสงค์ด้านนอกที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาออกกำลังกาย ที่นี่เป็นโรงเรียนที่สนับสนุนด้านกีฬาจึงอนุญาติให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้พื้นที่ได้หลังโรงเรียนเลิก
“เชี้ยอะไรของมึง?”
“มึง!!!….ไปตัดแว่นไป ที่วิ่งอยู่ตรงนั้นไง” มันชี้ไปทางมุมหนึ่งลู่วิ่งด้านนอกที่มุมทางซ้ายมือ
“เฮ้ย!!!” ผมเห็นคนที่ผมคอยสายโทรศัพท์อยู่วิ่งเยาะๆอยู่ไกลๆ
ขาของผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่แทบจะก้าวไม่ออกกลับก้าวสาวออกไปที่จุดปลายสายตา ใกล้เข้าไปใกล้เข้าไป พี่เอิร์ธถึงจะขายาวแต่ก็วิ่งไม่เร็วครับ  ผมใช้เวลาไม่นานก็ตามพี่เขาทัน ผมไม่ขอทักเขาครับ แค่ได้เห็นแผ่นหลัง ได้อยู่ในระยะสายตาผมก็รู้สึกพลังใจถูกเติมเต็ม

“เฮ้ย!!!!”
 เหมือนพี่เอิร์ธรู้ว่ามีคนจ้องผมอยู่ (ก็คือผม) เลยหันหน้ามาทางผม พอเห็นหน้าผมที่ยิ้มอ่อนๆ ให้ เขาเลยทำท่าตกใจพร้อมร้องเสียงหลง ด้วยความที่หันมาด้วยความเร็วทำให้เท้าเสียศูนย์ เซล้มไปข้างหน้า ด้วยความเร็วของผมทำให้วิ่งไปคว้าตัวเขาได้ทัน

ตอนนี้เขาอยู่ในอ้อมแขนผม หน้าทิ่มเข้ามาในแผงอกที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อี๋.. เหงื่อเต็มเลย”
“ก็ผมเพิ่งซ้อมบาสฯเสร็จนี่ ….ผมแปลกใจนะเนี่ยนึกว่าพี่จะอายที่โดนผมกอดเสียอีก”
“ไอ้บ้า!!”
“ไม่เคยเห็นพี่มาแถวนี้เลย?”
“นานๆ ก็อยากมาโรงเรียนเก่าบ้าง ไม่เห็นแปลก แล้ววันนี้ก็มาออกกำลังกายด้วย”
เออ….จริงด้วยสิผมคิด
“แต่แถวโรงพยาบาลก็มีลานออกกำลังกายนี่?”
“…………..” ดูพี่เอิร์ธพยายามนึกคำตอบอยู่
“หรือแอบมาดูผมเล่นบาสฯ?”
เป็นความคิดไอ้ชัยมันให้ส่งรูปผมไปที่เพจอะไรของมันนั่น ให้กระจายข่าวว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนเห็นจะใช้ได้อยู่เหมือนกัน
“ไม่ใช่โว้ย!!” เขาตอบด้วยสีหน้าอมชมพู (สงสัยจะวิ่งจนเหนื่อย) แล้วก็วิ่งนำผมไป

“เริ่มมืดแล้วนะครับ งั้นผมขอกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวไอ้ชัยไปส่งบ้าน”
ผมค่อยๆ วิ่งออกจากเขาห่างออกมา
“เดี๋ยว!!” เขาหยุดวิ่งและหันมาทักผม
“ครับ?” ผมเปลี่ยนท่าวิ่งเป็นเดินช้าๆ พลางหันไปหาพี่เอิร์ธ
“พี่…ก็จะกลับแล้ว กลับด้วยกันหรือเปล่า?”
“……..จะดีหรือครับ?”
“………” ดูเขาทำสีหน้างงๆ แล้วอดยิ้มไม่ได้แต่ต้องข่มตัวเองให้นิ่งไว้
“ผมไม่อยากหวั่นไหวกับพี่แล้ว ผมว่าที่พี่ให้เราอยู่ห่างๆ กันน่าจะดีกว่า”
“…….เอ่อ….คือ…..เรื่องนั่น…..” สีหน้าเขาดูสับสนมากรู้สึกเหมือนมีเทวดากับปีศาจตัวน้อยสู้กันในหัวของเขา
“งั้นผมไปล่ะนะ เพื่อนรอ”
“หลง!!!!!” เขาตะโกนเรียกชื่อผม เพิ่งจะเคยเห็นเขาเรียกชื่อผมแบบตั้งใจแบบนี้
“พี่อยากไปกินข้าวกับหลง ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม?”
โอย…..สายตาแบบนั้น น้ำเสียงแบบนั้น ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ หากเรียกชื่อผมอีกที ผมคงวิ่งเข้ากอดแบบไม่สนใจสายตาใครแถวนี้แน่”
“พี่อยากคุยกับเราเรื่องนั้นด้วย… คุยไปกินไปได้ไหม?”
“…….” ผมทำท่าคิด แต่ในใจผมตอบตกลงไปตั้งแต่จบประโยคนั่นแล้ว จริตพวกนี้ไอ้ชัยมันสอนมา
“……….” พี่เอิร์ธทำท่ารอด้วยการเตะโน่นเตะนี่ไปเรื่อย
“โอเคครับ งั้นผมขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“โอเค วั้นพี่ขับรถไปรอที่สนามบาสฯนะ”
“ครับ” วิ่งออกจากจุดที่เรายืนคุยกันแบบรักษาระยะห่าง ผมแอบเห็นสีหน้าพี่เอิร์ธสว่างวาบขึ้นแว่บหนึ่ง ความกังวลของเขาดูหายไปบางส่วน


ณ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวและวิ่งออกมาทั้งๆที่หัวยังเปียกอยู่จนเพื่อนทั้งทีมแปลกใจ ไอ้ชัยรีบเดินมาคว้าแขนผมและพูดด้วยสีหน้ายินดีว่า
“วันนี้ก็ปิดบัญชีเลยมึง”
“สัด กูนะไม่ใช่มึง”
“พี่หมอไปชอบคนน่าเบื่อแบบมึงได้ไงวะ”
ผมยกนิ้วกลางให้มันก่อนที่จะวิ่งไปหาหัวใจของผม ผมวิ่งมาจนถึงถนนใกล้กับลานกีฬาเอนกประสงค์ เห็นพี่เอิร์ธในชุดกีฬาชุดเดิม เสื้อแขนกุดกางเกงขาสั้นถึงเข่า หน้าสีอมชมพู ผมเผ้ายุ่งเล็กน้อย รับกับตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบไม่เจอกันตั้งหลายวันนี่ผมโคตรคิดถึงเลย

“เร็วไปไหมเนี่ย?” เขายกนาฬิกาขึ้นดู
“ปกติครับ” ผมเก็บอาการหอบของตัวเองไว้ และพยายามสะบัดหัวที่เปียกเผื่อมันแห้งเร็วขึ้น ผมเห็นพี่เอิร์ธยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะเปิดประตูขึ้นรถไป ผมเดินตามไปขึ้นอีกฝั่งทันที

“ไปกินไหนดีพี่?” หลังจากคาดเบลท์ผมก็เอ่ยถาม
“ปกติเราเป็นคิดนะ” เขาสตาร์ทรถ ทำให้ลมจากช่องแอร์เริ่มทำงาน ผมของพี่เอิร์ธปลิวไสวเบา ทำให้เขาพยายามลูบเพื่อเก็บผมดีๆ
“ตัดผมใหม่หรือครับ?”
“อืม….ยาวแล้ว เลยไปตัด แต่ก็ไม่สั้นเท่าไหร่ ช่างไม่ยอมตัดให้” ผมพินิจกับทรงใหม่อีกรอบ ช่างเขาทำได้ดีทีเดียว เพราะหน้าหวานๆ อย่างพี่เอิร์ธตัดสั้นคงไปลดความน่ารักลงไป
“เฮ้ย…หลง…. อย่าเหม่อ” พี่เอิร์ธโบกมือใส่หน้าผม ผมพยายามทำตัวห่างเหินกับพี่เขาตามที่ไอ้ชัยมันสั่งมาแล้วนะแต่พอมาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้มันสุดจะทัดทานความรู้สึกจากข้างในจริงๆ
“เอ่อ…. ไปร้านหน้ามอ(มหาวิทยาลัยประจำจังหวัด)ก็แล้วกันครับ ผมว่าจะไปกินกับไอ้ขัยวันนี้”
“คนเยอะหรือเปล่า”
“ก็เยอะนะ มันอยู่หน้ามอนี่”
“มีที่อื่นแนะนำไหม วันนี้พี่ไม่ค่อยอยากเจอคนน่ะ เหงื่อเยอะ ตัวเหม็น” จากคำพูดของพี่เอิร์ธทำให้ผมสำรวจคนตรงหน้าผมอีกครั้งและพยายามพิสูจน์กลิ่นในรถยนต์ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

“ก็ไม่นะครับ” ผมไม่ได้แสร้งทำนะแต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ พี่เขายังดูน่ารักและมีกลิ่นที่น่าค้นหาอยู่ ผมสามารถกอดได้ก็จะกระโดดกอดเลยนะเนี่ย

“อย่าเลย”
“งั้นหาซื้ออาหารร้านนั้นไปกินที่บ้านพี่ไหม?”
“……” พี่เอิร์ธดูหน้านิ่งๆ
“หรือ….หรือ…. ไปกินที่ร้านเดิมตรงหน้าที่ทำการฯ ก็ได้”
“อืม…..ก็ได้”
“…….” เออเฮ้ย ได้ด้วย ผมพยักหน้าและรีบมองออกไปทางอื่นเพราะกลัวผมจะแสดงสีหน้าให้เขาเห็น การที่เขายอมให้ผมไปที่บ้านอีกแปลว่า เขาอาจจะยอมรับผมแล้วก็ได้ แค่ก็อดดีใจออกนอกหน้าไม่ได้

ร้านอาหารหน้ามอ เป็นร้านที่ขายอาหารประเภทสเต็กครับ ที่เสิร์พในจานยักษ์ใหญ่แต่บนจานนี่อัดแน่นไปด้วยเนื้อสัตว์นานาชนิดที่แล้วแต่เราจะสั่ง ผมทั้งสองคนแน่นอนว่าสั่งจานที่ใหญ่ที่สุดครับ ผมน่ะหิวมากครับ แต่พี่เอิร์ธน่าจะสั่งแบบนี้เป็นเรื่องปกติ

พอกลับมาถึงบ้านพี่เอิร์ธ พวกเราต่างช่วยกันจัดลงจานซึ่งหนึ่งชุดจัดลงได้เต็มสองจาน รวมๆจานบนโต๊ะทั้งสิ้นสี่จาน

“โห..เยอะกว่าที่คิดนะเนี่ย ที่วิ่งไปเมื่อกี้สูญเปล่าเลย”
“เขาถึงบอกว่าอย่างสั่งอาหารตอนหิวไงครับ”
แล้วก็หัวเราะกัน ภาพเวลาทานมื้อค่ำแบบนี้กลับมาเป็นเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา พี่เอิร์ธดูมีความสุขกับการกินเหมือนเคย ผมก็พยายามเล่าเรื่องตลกๆ ให้พี่เอิร์ธหัวเราะเหมือนเช่นปกติ พี่เอิร์ธก็พยายามนั่งฟังและพยายามหัวเราะกับมุกที่ผมรู้เขาเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง (ก็อายุไม่เยอะนี่หว่าแต่ชอบคิดไม่ทันเหมือนคนแก่เลย)

ผมอาสาเก็บจานไปล้างทำความสะอาดเช่นเคย ส่วนพี่เอิร์ธก็เก็บโต๊ะปัดกวาดด้วยความคุ้นเคย การที่เราทำแบบนี้มันเหมือนคู่สามีภรรยาเลย ผมมองภาพเหล่านั้นอย่างอบอุ่นในใจ

หลังจากล้างและเก็บจานเรียบร้อย ผมเห็นพี่เอิร์ธนั่งอยู่ที่เก้าอี้นวมยาวในห้องรับแขกหน้าบ้าน เหม่อออกไปที่สวนด้านนอก ที่เปิดแสงไฟสีส้มสลัวๆสายลมเย็นพัดไปมาเบาๆ ให้ยอดไม้ในสวนสั่นไหวระริก ผมเดินไปนั่งข้างเขาอย่างไม่รู้ตัวเหมือนมีมนต์สะกดให้ผมทำแบบนั้น

“อ้าวเฮ้ย!! ตกใจหมด ที่ทางออกจะเยอะแยะช่วยขยับไปนั่งไกลๆ หน่อยสิ”
“ก็ผมอยากนั่งตรงนี้!!”
“หลง…..” พี่เอิร์ธจ้องผมและลากเสียงชื่อผมยาว
“อ่ะ…ครับได้ครับ” ผมขยับออกมานิดหน่อยเว้นที่ไว้ขนาดครึ่งไม้บรรทัด
“ขอบใจนะที่มากินข้าวเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรครับ พี่จะชวนทุกวันก็ได้”
“ไม่โกรธ ที่พี่พูดไม่ดีใส่เราวันนั้นเหรอ?”
“โกรธ….แต่ก็เข้าใจที่พี่พูดนะ”
“อืม…. งั้นเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม? เป็นพี่น้องที่ดีเหมือนเดิม”
“ไม่ได้!!!!” ผมเน้นเสียง
“…..” พี่เอิร์ธทำหน้าเสียและดูซีดลงไป ผมเลยใช้โอกาสนี้ จู่โจมเข้าไปหาพี่เอิร์ธยืนค่อมเขาอยู่โดยหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบ
“เฮ้ย! ทำอะไร?”
“พี่ก็รู้ว่าผมคิดกับพี่มากว่าพี่น้อง พี่ไม่ได้แบบเดียวกับผมเหรอ พี่อย่าใจร้ายกับผมนักเลยนะ” ผมจ้องตาเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามสื่อถึงใจเขามากที่สุด แต่พี่เอิร์ธพยายามเบี่ยงหน้าหลบตาผมไปทางอื่น แต่เขาก็ไม่ได้ขยับตัวหนีไปไหน
“เอ่อ..เอ่อ…. คือ…”
“ พี่เอิร์ธครับ….. รับรักผมนะครับ”
“หลงคือว่าพี่…..” จังหวะที่เขาหันมาผมกดริมฝีปากตัวเองลงไปที่อีกฝ่ายอย่างเร่าร้อน ผมพยายามใช้ริมฝีปากของผมงับริมฝีปากล่างของของพี่เอิร์ธ ผมได้ยินเสียงพี่เอิร์ธครางเบาๆ ในคอ เขาหลับตาพยายามขยับปากไปตามจังหวะของผม ผมใช้มือของผมลูบไล้ไปตามความยาวของคอและเลื่อนลงมาด้านล่างเรื่อยๆ จนถึงช่วงอก ผมโอบกอดพี่เขาและกระชับให้เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนผมได้ยินเสียงครางในคอดังขึ้นและรู้สึกถึงลมหายใจที่หอบถี่ ผมไต่มือลงไปเพื่อล้วงเข้าไปในเสื้อยืดสำหรับเล่นกีฬาของเขา กลิ่นตัวของพี่เอิร์ธช่วงยั่วยวนให้ผมคิดเตลิดไปไกล

“เดี๋ยวๆ” พี่เอิร์ธถอนหน้าออกจากผมและใช้มือดันหน้าอกผมให้ห่างออกไป
“พี่เอิร์ธครับ…” ผมรู้สึกถึงความหื่นออกจากเสียงของตัวเองและพร้อมที่จะรุกไล่เขาอีกระลอก
“หลง….” เสียงและสายตาพี่เอิร์ธเย็นมาก
“…..” ผมค่อยๆ ถอนตัวออกจากพี่เอิร์ธ
“…แฮ่ม…” พี่เอิร์ธหน้าแดง ลูบหัวจัดเสื้อผ้าตัวเองแบบเขินๆ
“พี่เอิร์ธครับ ผม…”
“เอางี้….เข้าใจแล้ว  งั้นเรามาตกลงกันก่อน”
“แปลว่าพี่รับเป็นแฟนผมแล้วใช่ป่ะ?” ผมขยับเข้ามาใกล้ชิดพี่เอิร์ธ
“ใจเย็นๆ ยังไม่ถึงขั้นนั้น พี่ขอดูพฤติกรรมเราก่อน ค่อยเป็นค่อยไปนะ”
“เยส!!” ผมกระโดดตัวลอย
“เฮ้ยๆ บ้านพี่จะพังไหม?” พี่เอิร์ธพยายามปรามด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ได้ครับผมจะพิสูจน์ให้พี่เห็นว่าพี่รักผมแล้วจะไม่ผิดหวัง….งั้นผม….ขอมัดจำไว้ก่อนได้ไหมครับ” พูดจบผมก็ก้าวไปหาพี่เอิร์ธและกดริมฝีปากตัวเองลงบนริมฝีปากพี่เอิร์ธอย่างแผ่วเบา

“ไอ้เด็กบ้า!”

พี่เอิร์ธผลักผมออกไปด้วยแรงแขนที่มีทั้งหมดพร้อมเสียงดังลั่นบ้าน แต่สีหน้ากลับแสดงออกตรงข้าม ผมเซไปทางด้านหลังแต่ก็สามารถยันตัวเองให้ตั้งตรงพร้อมยิ้มให้กับคนตรงข้าม

“พี่เตรียมรักผมแบบหัวปรักหัวปรำได้เลย” ผมยักคิ้วให้คนที่นั่งอยู่

……………………………………………





 :katai4:
หากมีผิดพลาดจะขอกลับมาแก้ไขเพิ่มเติมทีหลังครับ

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อยากได้ side story 5555

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ชัย # 6



จากข่าวที่ได้มาจากนักสืบโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทำให้ผมรู้ความเคลื่อนไหวของกวีตลอดสัปดาห์และรู้ถึงกิจวัตของมันไม่ยาก

จันทร์,พุธ,ศุกร์ - เรียนพิเศษช่วงเย็น, พานิ่มไปกินข้าวและส่งกลับบ้าน
อังคาร,พุธ - อยู่กับนิ่มหลังซ้อมบาสเก็ตบอลกับทีม และส่งนิ่มกลับบ้าน
เสาร์, อาทิตย์ - ก็มีเรียนพิเศษและซ้อมบาสเก็ตบอลที่โรงเรียน มีนิ่มไปนั่งเฝ้าและตัวติดกันตลอดทั้งวัน

ชีวิตมันโคตรจะเหนื่อย ซึ่งโคตรจะแตกต่างกับผมเลย ผมนอกจากจะต้องซ้อมบาสทุกวันแล้วนอกนั้นก็แล้วแต่อารมณ์ว่าจะไปไหนทำอะไร เรื่องสอบค่อยไปอ่านเอาใกล้ๆวันนั่นแหละ

แต่ที่แน่นอนทุกวันคือ หลังจากทุกกิจกรรมทุกวันของมันจะต้องแวะมาที่ร้านๆ หนึ่งใกล้บ้านมัน เป็นร้านคาเฟ่ที่มีอาหารขึ้นชื่อเรื่องของหวานและเบเกอรี่ บรรยากาศคล้ายห้องสมุด เป็นแหล่งรวมพวกนักเรียนนักศึกษาแบบเนิร์ดๆ มานั่งทบทวนบทเรียนและทำการบ้าน ที่สำคัญคือเปิดถึงเที่ยงคืน กวีมานั่งที่นี่ทุกวันครับ เพราะเห็นว่ามีการโพสรูปเขากับที่นี่ทุกวันใน ‘เพจวัยรุ่นวัยใสวัยน่ารัก’ อะไรนั่น (เพราะมันเลยทำให้ผมเข้าไปดูไอ้เพจนี่ ซึ่งก็เพลินดี สาวๆน่ารักเพียบพร้อมบอกนิสัยและถื่นที่อยู่!)

วันนี้ผมเลยมาดักรอที่นี่ และได้นัดแนะกับเจ้พิ้งค์ในการปฏิบัติภาระกิจเรียบร้อย น้ำหยอดลงกินทุกวันยังกร่อน เจอนางแมวยั่วสวาทหยอดบ่อยๆ มันต้องรู้สึกบ้างล่ะวะ ไหนจะไอ้เพจอะไรนั่นอีก หากมีการลงรูปไอ้กวีกับผู้หญิงสวยๆ อย่างเจ้พิ้งค์รับรองนิ่มได้หึงแบบไม่ลืมหูลืมตา
ผมกางสมุดที่ทำบันทึกกิจกรรมของไอ้กวีไว้ออกมาดูให้แน่ใจว่าวันที่มีเรียนพิเศษแบบนี้ ไอ้กวีมันจะต้องไปส่งนิ่มก่อน แล้วค่อยมาที่นี่ ดังนั้นมีโอกาสที่มันจะมาคนเดียวค่อนข้างสูง (นิ่มตามมาคุมอยู่บ่อยครั้งครับ แต่เธอก็อยู่ไม่นาน จริงๆ เธอก็ไม่ใช่เด็กเรียนเสียเท่าไหร่ มันออกจะน่าเบื่อที่มาอยู่ในสถานที่เงียบๆแบบนี้นานๆ ผมมานั่งไม่นานยังเบื่อเลย)

พอผมปิดสมุด โจษก็เดินเข้าทันที ดีที่ผมนั่งแอบอยู่ในมุมหนึ่งของร้านใกล้ๆชั้นหนังสือบานใหญ่ ไอ้กวีมันน่าจะมองไม่เห็น แต่แผนนี้จะสำเร็จไม่ได้หากไม่มีดารานำอีกคนหนึ่ง เจ้พิ้งค์ของผม ทำไมเจ้แกยังไม่มาอีกวะ นัดไว้ตั้งนานแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรศัพท์หาทันที ได้ยินสัญญาณไม่กี่ตื้ด เจ้แกก็รับสาย

“เจ้…อยู่ไหนเนี่ย”
“โทษที…เจ้ไปไม่ได้แล้วว่ะ”
“อ้าวทำไมละ ตกลงกันแล้วไง”
“ก็ไอ้เรื่องที่สระน้ำน่ะสิ แฟนเจ้คุมเจ้แจเลย วันนี้ว่าจะออกมาดันขอออกมาด้วย เจ้เลยมาตลาดนัดแทน”
“อ้าว…ทำไงดีเนี่ย”
“วันนี้ยกเลิกก่อนนะ”
“เออๆ เซ็งเลย”
“อีกเรื่องหนึ่งนะ เจ้ว่าเลิกเหอะ ดูท่าแฟนเจ้ก็เริ่มระเคะระคายเรื่องกวีนะ น้องมันเป็นคนดี พี่ไม่อยากทำร้ายเขาเลย คงจะรู้ใช่ไหมว่าคนของเจ้เวลามันหึงจะเป็นยังไง!”
“แต่…..”
“เรื่องนิ่มน่ะ เข้าใจว่าอยากจะแก้เผ็ดมัน แต่กวีเขาเป็นคนบริสุทธ์ในเรื่องนี้นะ”
“ผมรู้ ที่ทำอยู่เนี่ยก็เพื่อไอ้กวีด้วยนี่แหละ จะเลิกกับผู้หญิงแบบนั้นก่อนที่จะเสียใจเหมือนไอ้หลง”
“เออๆ แค่นี้นะแฟนเจ้คุยเรื่องผลบอลจบแล้ว ท่าทางหงุดหงิดด้วย แล้วก็เปลี่ยนแผนซะนะ ส่วนเรื่องค่าจ้างเดี๋ยวโอนคืนให้”
“ไม่ต้องหรอกครับเจ้เก็บไว้เหอะ”
“ว๊าย… น่ารักที่สุด บาย”
แล้วเจ้พิ้งค์ก็วางสายไปเลยทิ้งผมให้เคว้างคว้างกับร้านที่เงียบงันและหนอนหนังสือทั้งหลาย วันนี้ยกเลิกทุกอย่างกลับบ้านดีกว่า

“อ้าวชัย มาที่นี่ด้วยเหรอ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นขณะผมกำลังเก็บข้าวของลุกขึ้นจากโต๊ะ

ฉิบหายแล้ว!! ผมคิดในใจ

“เอ่อ….. มาอ่านหาที่อ่านหนังสือพรุ่งนี้มีสอบย่อย” ผมเหลือบไปเห็นกองหนังสือที่วางกองอยู่ตั้งแต่ผมเข้ามานั่งที่นี่และคว้าขึ้นมา 1 เล่มให้อีกฝ่ายเห็น
“อ้อ ชีวะฯ วิชาถนัดเราเลย ช่วยติวไหม?”
“เอ่อ… ไม่เป็นไร เราอ่านเองได้ แล้วนายล่ะมาทำอะไร?”
“อ้อ… การบ้านน่ะ ฟิสิกส์กับคณิตฯ โคตรจะไม่ถนัดเลย”
“………” มันบอกว่าไม่ถนัดแต่ได้ข่าวว่าเทอมล่าสุดมึงได้เกรดเฉลี่ย 4.00 มันจะเทพไปไหน?
“แล้วนี้จะกลับแล้วเหรอ?”
“เออ.. ใช่อ่านเสร็จแล้ว” ผมเดินถอยออกมาอย่างช้าๆ
“โอเคงั้นเจอกัน” ไอ้กวีมันตีสีหน้าเชิงเหงาๆ ปนผิดหวัง
ผมเดินออกจากตรงที่ผมนั่งได้สักสองสามก้าวก็คิดได้ว่าระหว่างที่ยังคิดแผนใหม่ไม่ออก สนิทกับมันเพิ่มขึ้นสักนิดก็น่าจะดีเผื่อจะคิดอะไรออก ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรทำ

“เออ! กวี เราช่วยทำการบ้านไหม? เราถนัดฟิสิกส์” ใช่ครับมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมเข้าใจที่สุดในบรรดาบทเรียนทั้งหลาย ส่วนวิชาที่อ่อนที่สุดก็ ชีวะฯ นีแหละ!
“ได้..ได้สิ นั่งเลย” ดูไอ้กวีมันกระตือรือร้นขึ้นทันที
“กินอะไรยัง? หิวว่ะ”
“กินแล้ว แต่ก็เอาดิสั่งมากินได้ เรามักจะกินอะไรไปด้วยระหว่างทำงานอยู่แล้วจะได้ไม่หลับ”
“ที่นี่มีอะไรกินมั้งเนี่ย?” ผมหยิบเมนูที่เสียบอยู่ที่กระเป๋าใส่ของข้างโต๊ะออกมากางมองหาของกิน
“ไอ้นี่อร่อย ไอ้นี่ก็อร่อย ไอ้นี่ด้วย ลองไหมเดี๋ยวเราไปสั่งมาให้”
“เออ…ก็..ดี” โอโห ของหวานทั้งนั้น ผมมันประเภทไม่ชอบของหวานครับ ขนมนมเนยอะไรพวกนี้ไม่ถนัด พอผมพูดจบมันก็ลุกขึ้นไปที่เคาเตอร์สั่งอาหารที่หน้าร้านเลย
เพียงไม่กี่อึดใจของที่สั่งก็มาเต็มโต๊ะพร้อมด้วยเครื่องดื่มโซดาสีสวยที่ทางร้านแนะนำว่าเป็นโปรโมชั่นแถมฟรีสำหรับคนที่ซื้อเซ็ทของหวานที่ไอ้กวีมันสั่ง ผมเห็นของบนโต๊ะก็แอบถอนหายใจ
“โอโหเยอะนะเนี่ย กินหมดเรอะ? แล้วเท่าไหร่เนี่ย?”
“หมดสิ ปกติก็สั่งประมาณนี้ แล้วก็ไม่เป็นไรเราเลี้ยง นายอุตส่าห์จะมาช่วยเราทำการบ้าน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนกับอาการปวดท้องล่วงหน้าหากต้องกินของหวานเหล่านี้เข้าไปซึ่งปริมาณมันไม่น้อยเลย
“ถามหน่อย บ้านอยู่ไม่ไกล ทำไมไม่กลับไปทำบ้านวะ” ผมเสถามเรื่องอื่น
“ที่บ้านไม่มีสมาธิน่ะ ทำที่นี่เสร็จเร็วกว่า”
“อ้อ….”  ทำเป็นเข้าใจแต่ไม่เข้าใจมันว่ะ เรื่องของมันไม่อยากจะถาม
“เอ้ากินกันเถอะ หิวพอดีเลย”
“…อืม….” ผมพยายามทำหน้าให้ยินดีกับการจัดการของหวานตรงหน้า
ปรากฏว่าที่ไอ้กวีมันว่ามันอ่อนฟิสิกส์เนี่ย ไม่ได้ใกล้กับความจริงเลย แต่ยังดีที่ผมน่ะคิดเร็วกว่ามัน ไม่งั้นคงได้หน้าแหกพอดี จะมาช่วยเขาแต่ตัวเองดันมีความรู้น้อยกว่า สงสัยคงต้องตั้งใจเรียนกว่านี้ เพราะไม่เคยได้ต่ำกว่าเกรดสามเลยขี้เกียจทบทวนเพราะเห็นว่าดีอยู่แล้ว

“โห… เสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เราตั้งเป้าไว้สี่ทุ่มนะเนี่ย ดูสิแค่สามทุ่มก็ทำเสร็จแล้ว ชัยช่วยได้เยอะเลย หัวดีจริงๆ”
“ไม่หรอก แค่คนถนัดเรื่องคำนวนก็เท่านั้น”
“ยังมีเวลา เรามาติวให้นายต่อเลยไหม?”
“ติว?”
“อ้าวก็ไหนว่ามีสอบย่อยชีวะฯไง”
“อ้อ…เอ้อ…ชีวะฯ เออ ใช่ ใช่ แต่ดึกแล้วไม่เป็นไร”
“ยังไม่ดึกหรอก ปกติเราอยู่ถึงสี่ห้าทุ่ม ไหนล่ะจะสอบบทไหนเรื่องอะไร เราถนัดวิชานี้มากเลยนะ”
“….อืม…” ผมรู้สึกมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หลัง ทำไงดีวะ เรื่องชีวะฯไม่ถนัดน่ะก็ใช่ แต่เรื่องสอบนี่สิ บทไหนฟะ เพราะรู้สึกว่ายากเลยไม่ตั้งใจเรียนเลย ผมตัดสินใจหยิบหนังสือชีวะฯจากกองหนังสือที่ตอนนี้วางกองอยู่ที่มุมโต๊ะขึ้นมาสักเล่ม พลิกไปมาอย่างลวกๆ และจิ้มหัวข้ออะไรสักอย่างที่แปลกตาหันไปให้ไอ้กวีที่นั่งมองตาใสแป๋ว

“อันนี้นี่เอง….. ไม่ยากๆ เราเรียนพิเศษมาแล้ว”

พูดจบไอ้กวีก็ขยับมานั่งใกล้ขึ้น พยายามพูดอธิบายต่างๆนานา ช่วงแรกเหมือนสมองจะไม่รับข้อมูลอะไรเหล่านั้นเสียเท่าไหร่ เหมือนข้อมูลที่ถูกใส่รหัสมา ไม่เข้าใจแปลไม่ออก สงสัยผมคงแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปว่าไม่เข้าใจ ทำให้ไอ้กวีพยายามเปลี่ยนโทนเสียง อธิบายช้าลง เปลี่ยนศัพท์และคำพูดจนผมรู้สึกว่าข้อมูลเหล่ากำลังไหลเข้าหัวผมช้าๆ ผมค่อยๆ เข้าใจกับบทเรียนของตัวเอง ยิ่งไอ้กวีพูดออกมายิ่งทำให้ผมสนใจอยากรู้มากขึ้น ผมถึงขั้นถามกลับในเรื่องที่ผมสงสัย

ยิ่งผมสนใจผมก็จับจ้องที่คนสอนมากขึ้น ดวงตาที่กลมโต คิ้วเข้ม จมูกสวยได้รูป ปากสีอมชมพูนั่น และน้ำเสียงไหลออกมาจากปากที่ขยับอย่างลงตัว บางครั้งผมยอมรับว่าผมเผลอมองสิ่งเหล่านี้จนลืมฟังบางเนื้อหาถึงขั้นให้เขาอธิบายใหม่

เสียงกริ่งนาฬิกาปลุกดีงขึ้นจากสมาร์ทโฟนเครื่องสีทองที่วางอยู่ข้างๆ กองหนังสือชีวะฯ ที่ไม่ใช่ของผม

“เข้าใจบ้างยัง? ไม่รู้ว่าจะช่วยได้ไหม? แต่ขอให้พรุ่งนี้สอบได้นะ”
“อือๆ ช่วยได้เยอะเลย” ผมใช้มือช้อนคางตัวเองพยักหน้าหงึกๆ ผมรู้สึกเสียดายที่เวลาดีๆแบบนี้ผ่านไปเร็วเหลือเกิน
“งั้นเรากลับก่อนนะ เดี๋ยวจะถึงเวลาเคอฟิวส์ที่บ้านแล้ว นายล่ะจะกลับยัง?”
“ยังน่ะ ขออ่านให้จบ แล้ว…..พรุ่งนี้นายมาไหม?”
“อืม….. มานะแต่อาจจะดึกหน่อย เพราะต้องไปส่งนิ่มก่อน”
“เรายังมีการบ้านของวิชาอื่นด้วยเผื่อนายจะช่วยเราได้”
“วันนี้เราแทบไม่ได้ช่วยอะไรนายเลยนะ ความจริงนายหัวไวนะเนี่ย หากเป็นเพื่อนในทีมเรา ชั่วโมงหนึ่งคงยังไม่จบพาร์ทแรกของบทนี้เลย แต่นายนี่เกือบจบบทเลยนะเนี่ย”
“อืม…. งั้นไม่เป็นไร ขอบใจนะ เราลองทำดูก็ได้”
“…….”
“แล้วเจอกันนะ” ผมโบกมือลาไอ้กวีขณะที่มันที่ทำหน้าลังเลอะไรสักอย่างอยู่
“เอางี้ ถ้าพรุ่งนี้นายมาที่นี่อีกคงได้เจอกัน เรามาที่นี่ทุกวันล่ะ”
“อื้ม! ได้สิ” 
แล้วมันก็โบกมือลาแล้วเดินออกไป

กูทำอะไรลงไปวะ? นี่เราชวนมันมาเจอกันอีกทำไม?  มาอ่านหนังสือเนี่ยนะ! ไม่เหมาะกับผมเอาเสียเลย ผมกำลังคิดวนไปมากับความสับสนในใจ จนกระทั่งไปจบลงที่ว่า หากทำให้ไอ้กวีสนิทกับเราได้จนริดรอนเวลาที่มันอยู่กับนิ่มอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองห่างออกไป ดีไม่ดีอาจจะไปเป็น กอขอคอ เลยก็ได้ นิ่มมันไม่ชอบคนติดเพื่อน!! ดีเลยใช้แผนนี้ก็แล้วกัน
ผมงึมงำกับความคิดของตัวเองที่โต๊ะ

………………..

ผมมาทำอะไรที่นี่ตั้งแต่สองทุ่มวะ! จากการที่ผมสืบมา มันน่าจะเพิ่งไปส่งนิ่ม ผมจะรีบมาทำไมวะเนี่ย แถมขนหนังสือของตัวเอง (ที่เหมือนใหม่มาก) มาด้วย คนที่ไม่เคยที่จะทำการบ้านแบบผมเนี่ย (หากไม่โดนบังคับก็ไม่ทำ) เอาการบ้านมานั่งรอไอ้ชัยอยู่ที่ร้านประจำของมัน ผมลงทุนไปไหมเนี่ย? ไหรจะต้องมานั่งกินของหวานเหล่านี้รออีก แค่เห็นก็คลื่นไส้แล้ว (คงต้องสั่งเพราะมีแววจะนั่งนาน เกรงใจเจ้าของร้านคนสวย)

เข็มสั้นของนาฬิกาเดินมาถึงค่อนเลขสิบ ส่วนเข็มยาวอยู่ที่เลขแปด ผมนั่งหาวอ้าปากกว้างอยู่ในร้านที่เงียบสงบที่มีเสียงดนตรีบรรเลงเพียงเบาๆ ไม่มีแม้แต่เสียงคนร้องบรรยากาศพาง่วงสุดๆ ผมรู้สึกว่าไอ้กวีไม่น่าจะมาแล้วคงไปสวีทกับนิ่มที่ไหนสักแห่ง

ผมมันคิดไปเองที่คิดว่ามันจะเห็นผมเป็นเพื่อนสนิท รับปากแล้วก็ต้องมา แต่วันนี้มันคงไม่มาแล้วล่ะ ผมตัดใจและค่อยๆ เก็บของที่อุตส่าห์เตรียมมา

กรุ่งกริ่ง…..

ประตูร้านที่เปิดกว้างออกพร้อมเสียงกระดิ่งดังกังวาลทั่งร้าน ไอ้กวีวิ่งหายใจหอบถี่เข้ามา

“โทษที วันนี้ต้องไปเป็นเพื่อนนิ่มซื้อของขวัญวันเกิดเพื่อนของนิ่มเลยกว่าจะมาได้”
“เฮ้ย! ไม่ว่างก็ไม่ต้องมาก็ได้นะ ยังไงเราก็จะมาทำการบ้านอยู่แล้ว”  ผมกำการบ้านที่ผมแทบไม่ได้แตะเลยขึ้นมากระชับที่อก
“ไม่ได้สิ บอกว่ามาก็ตัองมา”
“ไม่ต้องซีเรียสนะ ดึกแล้วกลับกันเถอะ” ผมแสร้งทำหน้าผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชักอยากเรียนการละครแล้วสิ
“พรุ่งนี้ไหม พรุ่งนี้ปกติเราจะมาหลังเรียนพิเศษอยู่แล้ว”
“อ้าว… แล้วแฟนนายล่ะ”
“……..” ไอ้กวีทำสีหน้าเหมือนแบกอะไรหนักๆอยู่
“ไม่ต้องคิดมาก มาได้ก็มา มาไม่ได้ก็ไม่ต้องมา” ผมตบไหล่มันเบาๆ
“มาได้แน่นอน แต่บางทีนิ่มอาจจะมาด้วย”
“ไม่เห็นเป็นไร”
“คือ… นิ่มมาอยู่ด้วยทีไร ทำการบ้านไม่เสร็จ อ่านหนังสือไม่จบสักทีน่ะสิ เดี๋ยวนายก็พาลทำอะไรไม่เสร็จไปด้วย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แฟนกันคงอยากให้อยู่ด้วยกันมากกว่ามานั่งทำการบ้านอ่านหนังสืออ่ะนะ”
“เออ…ก็จริง”
“ไม่เป็นไร ถึงยังไงเรามาคนเดียวก็ทำไม่เสร็จอยู่ดี”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นงั้นไป” ไอ้กวีหัวเราะขึ้นซะอย่างนั้นเหมือนจะเห็นด้วย ไอ้สัดนี่
……………………………………….


หลังจากวันนั้นผมก็แวะเวียนไปที่ร้านนั่นทุกวันหลังซ้อมบาสฯที่โรงเรียนเสร็จ ร้านนี้มันอยู่ค่อนข้างไกลจากโรงเรียนผม หลังซ้อมเสร็จผมจึงรีบบิดมอเตอร์ไซค์คันโปรดมารอไอ้กวีที่ร้านทันที ผมรู้สึกว่าแผนการคราวนี้ผมดูจะลงทุนกับมันมากเป็นพิเศษจนผมรู้สึกปลกใจในความกระตือรือร้นของตัวเอง

แล้วไอ้กวีก็ทำตามที่มันพูดมันไปเจอผมในวันรุ่งขึ้นและก็นัดกันในวันต่อๆไป จนกลายเป็นว่าผมกับมันต้องไปเจอกันทุกวันหลังเสร็จกิจธุระของแต่ละคน ส่วนนิ่มเท่าที่ผมทราบ พอรู้ว่าต้องมาอยู่ที่นี่ ต้องมาจมอยู่กับบทเรียนมหาศาล เธอก็ไม่เคยมาเลย สรุปว่าจากที่นัดกันวันต่อวันจนกลายมาเป็นว่าผมต้องไปเจอไอ้กวีจนเป็นกิจวัตไป

ผลพลอยได้จากงานนี้คือ ทุกการสอบย่อยผมได้ท้อปทุกวิชา มันก็มีข้อดีของมันนะครับ ตอนนี้รู้สึกตัวเองแปลกๆ ไปจนไอ้คนที่ทำสีหน้ามีความสุขมากทุกเย็นอย่างไอ้หลงถึงกับออกปากทักผมหลายครั้ง (ไอ้คนหลงแฟน!! ไอ้คนลืมเพื่อน) ผมตั้งว่าจะไม่บอกมันจนกว่าแผนจะสำเร็จ

“ไอ้ชัย มึงมีอะไรจะมาสารภาพไหม?”
ไอ้หลงเดินมาจากไหมไม่ทราบ มายืนอยู่หลังผมโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดซ้อมบาสฯ

“เชี้ย! กูตกใจหมด”
“ตอบคำถามกูมา!”
“สารภาพเชี้ยอะไรวะ?”
“นี่ไง”
ไอ้หลงมันหยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมา ที่หน้าจอขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือแสดงให้เห็นรูปคนสองคนนั่งแทบจะหัวติดกันในร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งที่ดูคุ้นตา ผมใช้นิ้วขยายภาพนั้นใหญ่ขึ้นเพราะเป็นภาพถ่ายระยะไกลพอควร

“เชี้ย!!!”
“เออ!! เชี้ย มึงไปทำเชี้ยอะไรกับมันวะ?”
“เอ่อ….ไปอ่านหนังสือ ทำการบ้านแค่นั้น”
“อย่างมึงนี่นะ? กูไม่เคยเห็นมึงทำอะไรแบบนี้ อย่าบอกมึงแผนอะไรโง่ๆ แล้วไม่บอกกูอีก”
“ไม่มีอะไรแต่บังเอิญไปเจอกัน”
“บังเอิญพ่อง!!! ไปเจอกันทุกวัน!!”
“มึงรู้ได้ไง”
“สัด!! มึงดูคอมเม้นต์ใต้ภาพ!” พูดยังไม่จบประโยคมือมันก็โบกหัวผมดังพั่บ
“เชี้ย! กูเจ็บนะมึง” หันไปคิ้วขมวดใส่มันแล้วอ่านคอมเม้นไล่ไปเรื่อยๆ

Xxx1: เจอคู่นี้ทุกวันเลยล่ะเธอ!!
Xxx2: อุ้ย คิ้วท์บอยในตำนานทั้งสอง
Xxx3: แก๊!!!  อย่าบอกนะว่า….. ว๊ายๆๆ
Xxx1: แค่คิดก็ฟินแล้วคะแก……
Xxx4: ไม่นะคะ ต้องไม่ใช่น้องชัยของพี่
Xxx5: แต่อีกคนชื่ออะไรนะ กวีใช่ไหมคะ คนนั้นมีแฟนด้วยนะคะ เป็นดาวโรงเรียนเลยนะคะ
Xxx6: เห็นเหมือนกันครับ ที่คนเข้าร้านนี้เยอะขึ้นก็เพราะสองคนนี้แหละ มาทีไรก็เห็นอยู่ด้วยกัน นั่งที่เดิมตลอด สนใจอยากเห็นอุดหนุนที่ร้านได้นะครับ
Xxx2: อันบนนี่เนียนนะคะ

และอื่นๆ อีกมากกว่า 100 คอมเม้นต์ และมีรูปในวันอื่นๆ ที่แฟนเพจสนับสนุนในการลงและแลกเปลี่ยนกันอย่างออกรส

“กูไม่นึกว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยว่ะ”
“นึกว่าช่วงนี้ หายไปบ่อยๆ กูนึกว่ามึงจะอายที่แม่บังคับให้เรียนพิเศษ เห็นช่วงนี้แม่งท้อปทุกวิชา”
“เชี้ยแล้ว แผนกูก็แค่ตีสนิทและหาทางบ่อนทำลายความสัมพันธ์แต่แม่งกูไม่เจอนิ่มเลย เจอแต่ไอ้กวีทุกวัน”
“ไม่แปลกหรอกว่ะ นิ่มไม่ชอบเรียน แค่โดนแม่บังคับให้เรียนทุกวันก็บ่นจะแย่ มึงคิดว่านิ่มจะไปสถานที่น่าเบื่อแบบนั่นเหรอ”
“กูก็ว่า…” สงสัยคงต้องเลิกแผนนี้เสียแล้ว แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเสียดายก็ไม่รู้สิ
“แต่ก็ดีนะ ช่วงนี้กูเห็นนิ่มไปแต่กับเพื่อน ไม่เคยเห็นอยู่กับไอ้กวีเท่าไหร่ มันอาจจะได้ผลก็ได้นะ ยิ่งมีข่าวลือเรื่องมึงสองคนนี่ กูว่าได้สนุกแน่ๆ”
“ถามกูสักคำไหมว่า กูอยากมีข่าวแบบนี้กับมันไหม? เป็นดาวมหา’ลัย อะไรอย่างนี้ก็ว่าไปอย่าง”
“กูรู้นิสัยนิ่มนะ เดี๋ยวได้มีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแน่ๆ มึงทำต่อไปดิ ดีไม่ดีเดี๋ยวก็ได้เลิกกันจริงๆ” ผมได้ยินไอ้หลงพูดรู้สึกเหมือนยกอะไรออกจากอก ไม่รู้สึกอึกอัดแบบเมื่อครู่แล้ว

“เฮ้ย!! พวกมึง!! จะเอาแต่คุยกันหรือไง?? ใครมาที่สนามช้ากูจะให้มันวิ่งรอบสนามเพิ่มอีก 10 รอบ!!”

เสียงอาจารย์โค้ชแผดก้องเข้ามาในห้องล็อคเกอร์ที่มีคนเหลืออยู่บางเบา ทำให้พวกผมกระจายตัวรีบเปลี่ยนชุดเพื่อวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด

………

วันนี้เป็นวันที่พวกผมซ้อมกันหนักที่สุดเพราะอีกไม่กี่วันจะถึงวันแข่งจริงกับโรงเรียน aaaวิทยาลัยแล้ว โค้ชพูดทิ้งท้ายไว้ว่าซ้อมอีกสองวันก็จะให้หยุดหนึ่งวันก่อนแข่งเพื่อคลายเครียดและพักผ่อนให้เต็มที่ดังนั้นช่วงนี้ก็จะซ้อมกันหนักขึ้นเช่นกัน พวกผมโห่ร้องโอดควรด้วยเสียงที่อ่อนแรง พอหลังจากโค้ชคล้อยหลังไปทุกคนต่างแยกย้ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ส่วนผมรีบปลีกตัวออกจากกลุ่มไปอาบน้ำก่อนและรีบออกมาก่อนที่ทุกคนจะแต่งตัวเสร็จ หนีไอ้หลงมันครับเดี๋ยวมันจะมาเซ้าซี้ผมอีก (รำคาญ) อีกอย่างวันนี้ผมเลิกซ้อมดึกกว่าทุกคืนมากครับ เดี๋ยวจะไปอีกฟากเมืองไม่ทัน

ผมบิดมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ขอมผมด้วยความเร็วเต็มกำลัง ตอนนี้ดึกแล้วรถบนถนนเริ่มบางตาทำให้การเดินทางไปถึงที่หมายเร็วกว่าที่คิด ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าร้านยืนมองเข้าไปในร้านที่มีแสงไฟสีส้มเข้มสว่างไปทั่วร้าน

จากมุมที่ผมยืนอยู่ผมเห็นไอ้กวีก้มๆ เงยๆ อ่านหนังสือของมันเหมือนอย่างเช่นเคย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกชื่นชมกับความอุตสาหะของมัน
เรื่องที่มันอยากเป็นสัตวแพทย์ เพราะเคยสูญเสียสัตว์เลี้ยงที่รักมาก เลยเป็นแรงผลักดันให้มันอยากเป็นสัตวแพทย์ ทั้งๆ ที่คนหัวดีอย่างมันจะไปเรียนเป็นแพทย์ไปเลยก็ได้

จนกระทั่งวันหนึ่งไอ้กวีมันหลุดปากเล่าให้ฟังถึงสุนัขตัวนั้น สุนัขพันธุ์ไซบีเรี่ยน ฮัสกี้เป็นของที่แม่ซึ่งเสียไปซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด พอหลังจากที่แม่เสียไป ด้วยความที่มันดูแลไม่ดี มันจึงเสียชีวิตตามไป มันเล่าให้ฟังด้วยตาที่แดงก่ำและน้ำตาที่ปริ่มเอ่อ ภาพที่เห็นตรงหน้าและเสียงที่เล่าตอนนั้น ทำเอาหัวใจหยาบกร้านของผมสั่นระรั่วผมไม่เคยสูญเสียใครในครอบครัว แต่ผมกลับรู้สึกกับสิ่งเหล่านั้นได้โดยไม่เสแสร้ง

ผมถอนหายใจและก้าวเดินเข้าไปที่ร้าน ก้าวไปด้วยความตั้งใจว่าจะหยุดการกลั่นแกล้งนี้เสียที หลังจากภาพที่เห็นในเพจนั่น ผมคงทำให้มันเสียไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากมันมีความสุขกับนิ่ม ผมก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นเพราะตอนนี้ถ้าจะให้พูดจากใจมันก็กลายเป็นเพื่อนสนิทผมคนหนึ่งไปแล้ว ส่วนไอ้หลง มันก็มีความสุขดีแล้ว จนผมคิดว่าการที่นิ่มทิ้งมันไป ทำให้มันได้เจอพี่หมอ (ที่น่ารัก) น่าจะเป็นเรื่องดีๆ ไปเสียแล้ว….. ดังนั้นผมควรจะหยุดเจอมันเสียทีแต่ทำไมในใจยังรู้สึกเสียดายอยู่แบบนี้นะ

ทันทีที่ผมเหยียบเข้าไปในร้าน เสียงเล็กที่ดูน่ารักแต่แฝงไปด้วยความไม่จริงใจดังขึ้นที่ข้างๆ ตัวทันที

“สวัสดีคะพี่ชัย”
ผมสะดุ้งและหันไปทางต้นเสียงที่ยืนพิงเคาเตอร์สั่งอาหารอยู่
“เจอกันอีกแล้วนะคะ”
“จ๊ะ” ผมยิ้มแห้งๆ ตอบไป
นิ่มเดินนำไปทางโต๊ะมีแฟนเธอนั่งอยู่ ผมเดินตามไปด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย
“อ้าว.. ชัย! มาแล้วเหรอ กินไรมายัง? กินก่อนทำการบ้านไหมล่ะ?”
“เออ..หิวกินก่อนดีกว่า” ผมวางข้าวของลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือของกวี ส่วนคนติดตามอย่างนิ่ม มีกระเป๋าสะพายใบเดียวและขนมของหวานวางเต็มหน้า ผมเหลือมองและเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้กวีถึงไม่ค่อยอยากพานิ่มมา มันมาเพื่อรบกวนการเรียนชัดๆ

“ไม่เคยรู้เลยว่าพี่มาทำอะไรแบบนี้ในที่แบบนี้ด้วย?” นิ่มพูดพลางใช้นิ้วชี้วนไปรอบร้านที่มีพวกหนอนหนังสือนั่งกันอยู่เกือบเต็มร้าน
“ก็…..ม.6 แล้วก็ต้องขยันกันบ้าง”
“แหม.. ไม่เหมือนที่เคยได้ยินมาเลยนะคะ นึกว่าจบแล้วจะไปขายอะไหล่รถมอเตอร์ไซค์”
ผมเคยพูดกับไอ้หลงครับ ตอนนั้นนิ่มก็อยู่ด้วยครับเลยจำมาตอกใส่หน้าผมตอนนี้ ก็ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าอยากเป็นอะไรในอนาคต แค่ชอบแต่งรถมอเตอร์ไซค์เลยว่าจะขอตังค์แม่ไปเปิดร้านเสียหน่อย
“คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้ครับ น้องนิ่ม” ผมนี่พยายามสุภาพสุดๆ
“เหมือนที่พี่เปลี่ยนมาชอบผู้ชายใช่ไหม?”
“???” อยู่ผมก็รู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่หน้าอย่างแรง
“หา? นิ่มพูดอะไรน่ะ ใครเปลี่ยนอะไร?” ผมโพล่งขึ้นในขณะที่ไอ้กวีเงยหน้าจากบทเรียนขึ้นมามองผมสลับกับนิ่มเลิ่กลั่ก
“พี่ชัย อย่านึกว่านิ่มไม่รู้นะว่า พี่แอบมาหาพี่กวีทุกวัน พี่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่” นิ่มหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่จอไร้ขอบที่แสดงภาพชัดๆ ของผมกับไอ้กวีนั่งที่ตรงนี้ด้วยกัน
“……..” กูว่าแล้ว นึกว่าไอ้หลงมันถึงได้บอกว่าผมจะได้เจอเรื่องสนุก สนุกกับผีมันสิ มาโดนโวยวายกลางที่สาธารณะแบบนี้ หากเป็นก่อนหน้านี้ผมจะสวนกลับให้เจ็บแสบกันไปข้าง แต่นี่ไอ้กวีมันดันนั่งอยู่ตรงนี้ มันที่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้ไปด้วย ทำไมผมต้องรู้สึกเกรงใจมันแบบนี้วะ?
“ใจเย็นๆนิ่ม เราบังเอิญเจอกันจริงๆ แล้วชัยเขาก็ตั้งใจมาอ่านหนังสือทำการบ้านจริงๆ ไม่มีอะไร ข่าวนี้พี่ก็เห็นมาพักหนึ่งแล้ว พี่เฉยๆ นะ หากมันไม่จริง นิ่มก็ไม่ควรไปคิดมาก” ไอ้กวียืนขึ้นโอบนิ่มเบาๆ แล้วพยายามอธิบาย
“นิ่มไว้ใจพี่กวีนะคะ แต่นิ่มไม่ไว้ใจพี่ชัย” พูดพลางมองผมตาเขียว
“ถ้าพี่ทำให้นิ่มเข้าใจผิด ขอโทษนะ งั้น…..” ผมกำลังจะตัดใจที่จะมาหาไอ้กวีเพราะไม่อยากเห็นท่ทางลำบากใจของมัน หากเป็นเมื่อเดือนที่แล้ว. ผมคงสะใจที่เห็นมันทะเลาะกันแบบนี้ แต่ผม…. เป็นอะไรของผมวะ?
“พี่กวีเปลี่ยนที่อ่านหนังสือไม่ได้เหรอ? นิ่มไม่อยากให้พี่มีข่าวแบบนี้เลย”
“คือ……”
“พี่กวีไม่รักนิ่มแล้วหรือ พี่จะให้นิ่มอยู่กับข่าวแบบนี้น่ะนะ” พูดจบนิ่มก็ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม (เอาสุวรรณหงษ์ไปเลย!!)
“พี่รักนิ่มนะ อย่าร้องไห้สิ”  ไอ้กวีทำหน้าลำบากใจส่งมาที่ผม ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆกลับไป พร้อมกับรู้สึกหวิวๆ เมื่อได้ยินไอ้กวีพูดแบบนั้นกับนิ่ม
“นิ่มไม่ชอบที่พี่กวีทำแบบนี้เลย เดี๋ยวนี้ชวนไปไหนก็ไม่ยอมไป ห่วงแต่เรียนหนังสืออย่างนี้ไม่มีเวลาให้กันเลย”
“พี่ ม.6 แล้วนะ พี่ต้องทำเพื่ออนาคตไง ไหนบอกอย่างมีแฟนเป็นสัตวแพทย์ไง อีกอย่างนิ่มก็มาอ่านหนังสือกับพี่ได้นะ พี่ก็ชวนอยู่”
ไอ้กวีใช้มือลูบหัวนิ่มอย่างทะนุถนอม
“นิ่มเรียนศิลป์ภาษานะ จะให้มานั่งเรียนกับพี่ได้ยังไง?”
นิ่มมองไปรอบๆ ร้านและหันมาค้อนใส่ผมรอบหนึ่งก่อนจะหันหน้าซุกไปที่หน้าท้องของไอ้กวีที่ยืนอยู่
 “ร้านนี้น่าเบื่อจะตาย นิ่มอยากให้พี่พาไปเที่ยวมากกว่า”
ผมว่าเหตุผลข้อหลังน่าจะมีเหตุผลที่สุด ผมถึงถึงกับแอบกรอกตาใส่นิ่มที่อยู่ในโมเม้นอ้อนแฟนแบบไม่อายสื่อ ส่วนไอ้กวีที่น่าสงสารได้แต่ถอนหายใจ
“งั้นรอพี่สอบกลางภาคตรงและสอบตรงกับมหาวิทยาลัยก่อนนะครับและเราค่อยมาผ่อนคลายกัน”
“ใจดีที่สุดเลย รักพี่กวีที่สุด” นิ่มร่าเริงขึ้นมาทันที เธอลุกขึ้นมาหอมแก้มไอ้กวีฟอดหนึ่งก่อนที่จะลงนั่งและยักคิ้วให้ผมเหมือน แสดงความมีชัยเหนือผม ซึ่งไอ้บื้ออย่างไอ้กวีไม่น่าจะได้เห็นมุมนี้
“เคลียร์กันได้แล้ว งั้นกูไปก่อนล่ะ”
“อ้าวจะรีบไปไหนล่ะ?”
“เขาจะไปไหนก็เรื่องของเขาเถอะคะพี่ นิ่มอยู่เป็นเพื่อนแล้วไงคะ… บายคะพี่” นิ่มเขย่ามือไอ้กวีไม่ให้สนใจผมที่กำลังลุกขึ้นยืน และส่งสายตาเชิงไล่ให้ผมไปด้วยนำ้เสียงหวานที่ขัดกัน

เส้นความอดทนบางๆ ของผมขาดลงทันที ผมบอกลาไอ้กวีและเดินจากมาทันที ได้ยินแต่เสียงไอ้กวีกับนิ่มคุยกันง่องแง่งจับเป็นศัพท์ไม่ได้

‘ทำไมต้องหัวร้อน’ ผมพูดกับตัวเองหลังจากออกไปยืนที่หน้าร้าน พร้อมผ่อนหายใจยาวๆออกมา ตอนนี้ความคิดของผมต่างจากตอนเดินเข้าน้านอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อร้ายมามีหรือว่าคนอย่างผมจะยอม ไม่เคยมีใครมาลูบคมผมได้ ผมตัดสินใจที่จะเดินหน้าแผนการของผมทันที ให้ความขี้เกรงใจของไอ้กวีมันบ่อนทำลายความน่ารักของนิ่มไปเรื่อย ผู้ชายด้วยกันผมรู้ดีครับว่า ต่อให้ผู้หญิงน่ารักยังไง แต่หากทำตัวงี่เง่ามากๆ ไม่มีผู้ชายที่ไหนทนได้แน่นอน ดูอย่างที่เห็นหน้าไอ้กวีเมื่อครู่ก็รู้แล้ว

“ชัย.. ขอโทษแทนนิ่มด้วยนะครับ เคลียร์แล้วเรียบร้อย นิ่มเขาเข้าใจแล้ว”  ผมหันกลับไปเจอไอ้กวีที่เดินตามมา พอไอ้กวีพูดจบผมก็เหลือบไปมองนิ่มที่ยังส่งสายตาค้อนผมเขม็งอยู่เลย
“เฮ้ย… ไม่เป็นไรเราไม่ถือ นายไปคุยกับแฟนนายเหอะ วันนี้เรากลับก่อนก็ได้”
“อ้าว… เห็นเมื่อวานบอกจะขอปรึกษาเรื่องวิชาภาษาอังกฤษวันนี้”
“ไม่เป็นไร… ไม่รีบ.. เป็นอย่างนี้คงเรียนกันไม่รู้เรื่องหรอก พรุ่งนี้ก็ได้” หยอดลองเชิงดูว่ากวีจะเชื่อเมียหรือไม่
“ได้ๆ พรุ่งนี้เจอกัน”

ฮ่าฮ่า..สำเร็จ!!

“อืม” ผมโบกมือลาไอ้กวีที่ทำหน้าเป็นหมาหงอยอยู่หน้าร้าน ผมตัดสินใจขับรถออกห่างจากร้านเรื่อยๆ

ระหว่างทางกลับบ้าน ผมก็ครุ่นคิดต่อไปว่าจะทำยังไงให้มันทะเลาะกันอีกดี สร้างความร้าวฉานเป็นงานของผมแล้วตอนนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า

…………………………………………………………….

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ชัย #7

ผมตัดสินใจใช้แผนข่าวลือของผมกับมันที่พวกสาววายเขากรี๊ดกันอยู่ให้มันดูสมจริงขึ้น เพื่อสร้างกระแสให้นิ่มยิ่งหึง ยิ่งทำให้เธอดูงี่เง่าในสายตาของไอ้กวีมากยิ่งขึ้นไปอีก สื่อสมัยนี้มันมันดีอย่างนี้นี่เอง สร้างได้ทำลายได้โดยใช้เวลาไม่นาน

วันนี้ก็เช่นเดิมที่ผมมาที่ร้านประจำของไอ้กวีตามปกติ วันนี้ไอ้กวีมาคนเดียวแต่ดูหน้าตามันเหมือนถูกดูดพลังงานไปจนหมดดูซีดเซียวและเป็นกังวล

“เราว่า หากนายเคลียร์กับแฟนไม่ได้ก็ไม่ต้องมาก็ได้นะ”
“เราก็ต้องมาอยู่แล้วหรือเปล่าวะ ร้านนี้ใกล้บ้านสุด จะได้กลับทันเคอฟิวส์ที่บ้าน”
“งั้นเราเปลี่ยนร้านเองดีกว่า นายกับนิ่มจะได้สบายใจ”
“เฮ้ยๆ ไม่ต้อง เราว่าเรื่องนี้เราจะไม่ตามใจนิ่มสักเรื่องว่ะ”

เยส!! ตรงตามที่เดาไว้เลย

“งั้นนั่งลงก่อนสิ เมื่อกี้หิวเลยสั่งมาเพียบเลย”
ไม่ทันขาดคำของหวานขึ้นชื่อของร้านต่างทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ จนเต็ม ไอ้กวีมองตาโต
“นี่อย่าบอกนะว่าสั่งมากินคนเดียว!”
“เวลาหิวมันน่ามืดน่ะ” จริงๆก็เตรียมสั่งมาให้มันนั่นแหละ อย่างที่รู้กันผมไม่ชอบของหวาน แต่ไอ้กวีนี่ชอบเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าไม่ใช่นักกีฬามันคงอ้วนไปแล้ว
“ได้ข่าวว่า วันหยุดนี้จะแข่งกระชับมิตรกับ ร.ร. Aaaวิทยาลัยนี่”
“อืม…ใช่”
“ปีนี้นักกีฬาหน้าเก่งมากเลยล่ะ”
“เออ…ใช่ ได้ข่าวว่าทีมนี้ชนะทีมนายด้วยนิ”
“ใช่ …. ทีมนี้ตอนบุกไม่เท่าไหร่ แต่การป้องกันดี แต่อย่าเผลอให้ถูกตีโต้ได้นะ คะแนนส่วนใหญ่ที่ได้จากการสวนกลับเลยล่ะ มีฝาแฝดอยู่ในทีมด้วย สองคนนั้นชู๊ตเก่งมาก ชู๊ตสามแต้มแม่งโคตรแม่น”
“โห….. เอาข้อมูลมาบอกกันอย่างนี้ไม่เป็นไรเหรอ?”
“ไม่เป็นไร ยังไงทีมนายมีทั้งนายและหลงน่ะเก่งกว่าอยู่แล้ว”
ไอ้กวีคุยไปเคี้ยวของว่างประเภทเค้กกับขนมปังตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย
“ชมกันเกินไป…. เดี๋ยวนะอยู่เฉยๆ” ผมยื่นมือไปใช้นิ้วเช็ดคราบครีมที่ติดอยู่ที่ข้างริมฝีปาก
“……”
“ทำไมชอบกินเลอะเทอะ เห็นหลายทีแล้ว ไม่ต้องรีบ เราไม่แย่งหรอก”

ผมไม่เคยทำแบบนี้หรอกนะครับ ครั้งแรกเลย แต่ที่ทำเนี่ยเพราะมีตากล้องรับเชิญกำลังบันทึกภาพอยู่ ผมให้ไอ้หลงตามมาถ่ายภาพกิจกรรมของผมกับไอ้กวีครับ แล้วส่งให้เพจวัยใสวัยน่ารักอะไรนั่น รับรองนิ่มเห็นจะต้องกรี๊ดใจขาด ผมเองก็เขินครับ จีบสาวผมยังไม่เคยทำขนาดนี้ ใจเต้นไปหมด ส่วนไอ้กวีดูมันจะอึ้งไปนิดหน่อยครับ ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตากินต่อไป โดยแทบไม่พูดอะไรต่อ โชคดีมันเป็นคนเรียบร้อยไม่ลุกขึ้นมาต่อยผมที่ทำอะไรแบบนี้

“วันนี้จะมาทำอะไรดี?”
“เอ่อ…เอ่อ…. เตรียมสอบ GAT PAT กัน”
“ได้ๆ เออ อันนี้อร่อยลองสิ” ผมหยิบผลไม้แช่อิ่มที่อยู่เค้กสีอำพันยื่นให้ถึงปาก ไอ้กวีพยายามใช้มือหยิบช้อนต่อจากผม ผมเขี่ยมือมันให้พ้นทางแล้วจ่อไปที่ปากสีชมพูของมัน
“ลองสิเร็ว” มันอ้าปากงับเข้าไปเคี้ยวอย่างว่าง่าย ผมรู้สึกขนลุกไม่รู้ว่าเพราะสิ่งที่ทำหรือความหวานของผลไม้แช่อิ่มที่ยื่นเข้าปากไอ้กวีไป
“อร่อยจริงด้วย!” มันยิ้มแสดงความพึงพอใจ
“……….” ผมยิ้มตอบ
“วันนี้นาย…. แปลกๆไปหนือเปล่าเนี่ย?”
“เปล่านี่ก็แค่อยากตอบแทนที่ช่วยติวให้ตั้งหลายวัน”
“……..”
ไอ้กวีทำหน้านิ่งมองผมพักหนึ่งก่อนที่จะเปิดหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะพลิกไปมา ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าผมว่าหน้ามันสีเข้มระเรื่อเหมือนไปวิ่งรอบสนามมารอบหนึ่ง ดูน่ารักดี….. อืม…. ไม่เคยชมผู้ชายน่ารักเลยนะเนี่ย แต่มันดูน่ารักจริงๆ

หลังจากไอ้กวีจัดการของหวานบนโต๊ะเสร็จสิ้น ทั้งๆที่เพิ่งเริ่มบทเรียนไปแค่บทเดียว (ผมรู้สึกทึ่งกับภาพตรงหน้า เพราะผมแทบไม่ได้แตะของหวานเหล่านั้นเลย)

ไอ้กวีอาสาเอาจานเล็กจานน้อยบนโต๊ะไปเก็บในที่เก็บจานชามที่ใช้แล้วซึ่งอยู่ที่มุมห้อง ผมเลยขอสาขาไปเก็บแทนโดยแย่งของจากในมือของอีกฝ่าย ไอ้กวีทำท่ายื้อไม่ยอมแต่ผมก็ดึงออกมาจากมือมันจนได้ เพราะผมใช้มาตรการใช้มือผมกุมกำมือขออีกฝ่ายทางด้านล่างอีกที มุกในการหลอกจับมือสาวๆ ของผม ไอ้กวีสะดุ้งเล็กน้อยตอนผมสัมผัสครั้งแรก แต่ยื้อกันสักพักกว่าจะยอมปล่อยเพราะผมกำมือแน่นขึ้นมาก

ระหว่างทางที่ผมเดินมาเก็บจานเหล่านั้น ทำให้สังเกตเห็นว่าลูกค้าร้านนี้ดูแน่นขึ้นและส่วนใหญ่เป็นหญิงสาววัยเรียน พวกเธอมองหน้าพร้อมยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและคุยซุบซิบกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน บางคนถึงขั้นแอบกรี๊ดในคอเบาๆ

ผมรู้สึกแปลกใจในตอนแรกแต่พอขากลับถึงกับนึกขึ้นได้ว่า ไอ้หลงคงเอารูปผมส่งไปที่เพจแล้วแน่นอน ผมเดาจากอาการผู้หญิงกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ที่ผมเดินผ่านมีอาการแอบเขินแอบยิ้ม ดูสมาร์ทโฟนบนมือไปดูผมไป แถมยังเหมือนมองหาใครบางคนอยู่ พอแอบมองไปที่โต๊ะของผมที่ไอ้กวีนั่งเหม่ออยู่ พวกเธอก็แอบตีอกชกหัวกันใหญ่ ผมยิ้มให้กับปฏิกิริยาแบบนั้น

หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจวันนี้ ผมเดินไปส่งไอ้กวีที่รถ ที่วันนี้มันมองผมด้วยสีแปลกใจกับทุกการกระทำที่ใกล้ชิดมากกว่าปกติ  ส่วนผมแอบมองหาเพื่อนของผมในร้านซึ่งตอนนี้หายไปแล้ว มันคงรู้หน้าที่ว่าไม่ควรเสนอหน้าอยู่ในนั้นนาน เดี๋ยวไอ้กวีมันจะเห็น

“นายไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ทำไมวะ?”
“ก็นายแบบ…..  ดูแปลกๆ ว่ะวันนี้”
“เฮ้ย… ไม่มีอะไร มีอะไรก็ปรึกษากันได้นะ ดูวันนี้นายไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”
ไอ้กวีก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันหรูของมัน ผมซึ่งยืนอยู่ใกล้กับประตูเดินเข้าไปใกล้ๆ ดวงตากลมโตใสๆ ดวงนั้นที่มองมาด้วยความเป็นห่วง ผมอดที่จะยิ้มให้กับภาพตรงหน้าไม่ได้ เลยเผลอยื่นมือไปยีผมทรงหน้าม้าของมันด้วยความเอ็นดู
“ไม่มีอะไรจริงๆ กลับบ้านเหอะ”
“…….เอ่อ…อืม….” สีหน้าของมันตอนนี้ฟ้องว่า นั่นไงทำแบบนี้อีกแล้ว

หลังจากที่รถของไอ้กวีลับตาไปผมหยิบโทรศัพท์ต่อสายถึงเพื่อนรักทันที

“เฮ้ย…. มึงหายหัวไปไหน? กลับกับกูไหม?”
“กูออกมากับพี่เอิร์ธแล้ว”
“อ้าว…… ทิ้งเพื่อนไปอยู่กับแฟนอีกแล้ว”
“กูอุตส่าห์มาช่วยมึงในวันหยุดพี่เขาก็บุญแล้ว ไอ้สัด ยังมีหน้ามาด่ากูอีก”
“เฮ้ย…. จริงง่ะ?”
“เออ……แล้วกูว่าจะโทรหามึงพอดีว่าให้เข้าไปดูในเพจนั่นหน่อยนะ”
“เพจอะไรฟะ?……. อ้อ….ทำไมวะ?”
“เข้าไปก็จะเข้าใจเอง… ว่าความจริงมึงไม่ต้องให้กูไปตั้งกล้องก็ได้นะ”
“หือ????”
“เออ!….. มึงเข้าไปดูเองเหอะ กูต้องวางสายแล้ว พี่เอิร์ธจะมาแล้ว ไปละโชคดีมึง”
สัด…. ตัดสายไปเลย ตั้งแต่มีแฟนแม่งทำตัวติดกันแจ (แอบอิจฉานิดๆ แต่ผมก็ชอบชีวิตคนโสดมากกว่า)

ผมเปิดเข้าไปดูที่เพจตามคำแนะนำของไอ้หลง สิ่งที่ผมเห็นในเพจ มันมากกว่าที่ผมคิดเยอะมาก เพราะตอนนี้นอกจากรูปที่ไอ้หลงจะส่งไปแล้ว (ซึ่งมีแค่ สี่รูป นี่มันหนีออกจากร้านนานแล้วใช่ไหมเนี่ย?) ยังมีรูปอื่นที่เหมือนคนถ่ายไว้อีกเพียบ พร้อมคำกำกับที่แสนหวาน นี่ผมกับไอ้กวีนี่ดังถึงขึ้นมีแฟนคลับกันเลยหรือนี่ ภาพหลายภาพจากหลายๆมุมในอริยาบทเดียวกัน และคนกดไลท์แต่ละภาพมากกว่าร้อย นี่มันไปไกลกว่าที่ผมคิดไว้เยอะมากเลย เรื่องชักจะบานปลายแล้วสิ แต่พอตัดกลับมาในด้านมืดของผม ผมนึกถึงภาพนิ่มที่ตอนนี้คงดิ้นพล่านๆ อยู่หน้าจอคอมฯ หรือโทรศัพท์ของตัวเองแล้วละ

……………….

วันต่อมาผมยังคงกลับไปที่ร้านเดิมทั้งๆ ที่วันรุ่งขึ้นผมจะมีแข่งขันบาสเก็ตบอลกับอีกโรงเรียนหนึ่งแล้ว วันนี้อาจารย์โค้ขสั่งหยุดพัก ให้ไปนอนพักผ่อนให้มากๆ อย่านอนดึก แต่ผมก็ดันลากตัวเองมาที่นี่อีก (จะว่าไปที่นี่มันก็เหมือนเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนของผมแล้วล่ะ)

เพราะไม่มีซ้อมบาสฯ วันนี้ผมมาตั้งแต่หัวค่ำ มานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ตอนนี้กลายเป็นว่าแม้ไม่มีไอ้กวีอยู่ผมก็จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเองด้วยความเคยชิน การได้ถกเถียงเรื่องวิชาการมันกลายเป็นความสุขไปแล้ว ไม่สิเรียกว่าอยากเอาชนะเสียมากกว่า มันเหมือนการแข่งขันที่ผมควรจะต้องเอาชนะไอ้กวีให้ได้ แสดงให้เห็นว่าผมเหนือกว่ามัน ทุกครั้งที่ผมชนะ ผมชอบแววตาที่มันมองผมด้วยความชื่นชมนั่นมากๆ

“พี่ชัยคะ นิ่มว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เสียงที่แสนคุ้นเคยเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลังเสียงที่เย็นเยียบไปถึงกระดูกสันหลัง
“อ้าว!!! นิ่ม…นั่งก่อนสิ” ผมทำใจดีสู้เสือ
“คะ” นิ่มตอบแบบทิ้งเสียงห้วนๆ ที่ขัดกับคำพูดที่ดูสุภาพ
“นิ่มมีอะไรจะคุยกับพี่ครับ”
“พี่ชัย พี่ชัยคิดจะทำอะไร?”
“เปล่านี่!” ผมเผลอตอบเสียงสูง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พี่จะเอาคืนหนูเรื่องพี่หลงใช่ไหม? พี่จะแกล้งมาตีสนิทกับพี่กวีเพื่อจะที่จะบอกเรื่องของนิ่มกับพี่หลงใช่ไหม?” นิ่มเธอตาเขียวใส่ผม
“นิ่ม ถ้าพี่จะบอก พี่คงบอกไปหลายวันก่อนหน้านี้แล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้”
“เหรอคะ? แล้วไอ้เรื่องที่พี่กุข่าวเกี่ยวกับพี่กับพี่ชัย มีอะไรลึกซึ้งเกินเพื่อนเนี่ย นิ่มบอกได้เลยว่ามันไม่ได้ผล!!”
“ไม่ได้ผล? แล้วน้องจะมาหาเรื่องพี่ที่นี่ทำไม? หากน้องไม่คิดมาก” ผมพยายามยั่วให้นิ่มของขึ้น
“เรื่องนั่น!! พี่กวีพิสูจน์ ทุกครั้งที่นิ่มถามอยู่แล้วว่าพี่กวี ไม่ได้ชอบผู้ชาย!! และเมื่อคืนพี่เขาก็เพิ่งพิสูจน์กับนิ่มเอง หลายครั้ง!”

นิ่มพูดจบกับลูบไล้ตรงคอที่เหมือนจะมีรอยแดงๆเป็นจ้ำๆ เล็กๆ ในปกเสื้อนักเรียนของเธอ การแสดงและสีหน้าของเธอมันดูชัดเจนว่าเรื่องที่เธอพูดหมายถึงเรื่องอะไรไม่ได้หากไม่พ้นเรื่องบนเตียง เป็นผู้หญิงที่ไร้ยางอายมากๆ  ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ แต่ด้วยเป็นแบบนี้มันเลยสร้างความขุ่นใจให้ผมอย่างที่ผมอธิบายไม่ถูก

“ในเมื่อรู้ว่าเป็นแบบนี้ พี่ชัยก็ควรเลิกล้มแผนโง่ๆ ของพี่ได้แล้วนะคะ” นิ่มยิ้มอย่างได้ชัยชนะ
“พี่ไม่รู้นะว่านิ่มพูดถึงอะไร” ผมมองเธอด้วยสีหน้าขึงขังขบฟันแน่น
แล้วเราก็จ้องกันอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง
“นิ่ม!! พี่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องนะว่ามันไม่มีอะไร เลิกยุ่งกับเพื่อนของพี่เสียที”

คนที่เสียงคุ้นหูที่ไม่รู้ว่ามายืนหลังนิ่มตอนไหนไม่ทราบ อาจเพราะผมมัวแต่จ้องหน้าผู้หญิงเจ้าเลห์ฝั่งตรงข้ามจนลืมมองสิ่งรอบข้าง

“พี่กวี” นิ่มทำสีหน้าตกใจและลุกขึ้นยืนหันไปทางต้นเสียง ส่วนไอ้กวีจ้องหน้านิ่มแบบโกรธเคือง
“พี่กวีคะ คือ…” คราวนี้ไอ้กวีเดินออกไปนอกร้านเลยครับ ตอนนี้คนที่วิ่งตามคือนิ่ม ผมมองตามไปที่หน้าร้านที่ซึ่งทั้งสองกำลังง้องอนกันอยู่ เสียงอื้ออึงที่ดังเข้ามาในร้านผ่านผนังกระจก ทำให้การสื่อสารไม่สามารถจับใจความได้

ภาพที่เห็นคือนิ่มพยายามจับแขนอีกฝ่ายและออดอ้อนสไตล์สาวบอบบางแต่ก็ถูกแขนยาวๆ นั่นสบัดทิ้งหลายครั้ง ตอนนี้นิ่มน่าจะหมดความอดทนแล้ว เริ่มแข็งกร้าวขึ้นทั้งน้ำเสียงและสีหน้า สุดท้ายการสนทนาครั้งนี้ ต่างคนต่างแยกย้ายครับ นิ่มเดินไปทาง ส่วนไอ้กวีเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้ามาในร้านและมากระแทกนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม ที่เดิมของมัน

“เราไม่เข้าใจว่ะ… ไม่เข้าใจแฟนตัวเองเลย บอกไม่มีอะไร ไม่มีอะไรแม่งก็ไม่เชื่อ เราพยายามทำดีทุกอย่างแล้วนะ เราอยากมีเวลาอยู่กับเพื่อน มีเวลาอ่านหนังสือบ้างมันผิดตรงไหนวะ ทำไมงี่เง่าเอาแต่ใจแบบนี้วะ”  ไอ้กวีร่ายยามเป็นชุด แสดงว่าอัดอั้นมานาน

“เฮ้ย…ผู้หญิงก็อย่างนี้ เราเลยยังไม่อยากมีแฟนไง”
“เมื่อก่อนนิ่มเป็นคนน่ารัก แสนดีและไม่งี่เง่าแบบนี้”
“เอาน่าใจเย็นๆ ค่อยๆพูดกัน” ผมแกล้งปลอบมันไปงั้นแหละ
“……..”
“อย่าเครียดดิกวี”
“ไม่แล้ว… ครั้งเราจะไม่ยอมแล้ว หากไม่สำนึกผิดและไม่ทำตัวให้ดีขึ้น เราก็ไม่ง้อแล้ว เหนื่อย!”
“…….” เยส!! สำเร็จ ผมแอบยิ้มในใจ
“เอ่อ… ขอโทษนายด้วยนะ” ไอ้กวีหันมามองผมอย่างเกรงใจหลังจากที่หันไปนอกร้านตลอดการสนทนา
“ ไม่เป็นไร…. ไม่คิดมาก เออ!!… พรุ่งมีเราแข่ง จะมาดูคลายเครียดไหมละ?”
“อืม….. เอาสิ กี่โมงนะ”
“เริ่มแข่ง สี่โมงเย็นที่โรงเรียนเรา”

………………………..


บ่ายสองโมง ผมต้องมาถึงที่สนามแข่งก่อนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและวอร์มร่างกาย วันนี้เป็นวันเสาร์คนในโรงเรียนจึงค่อนข้างน้อยมีแต่กองเชียร์นี่แหละครับที่มาถึงก่อนนักกีฬา ซึ่งตอนนี้อยู่บนอัศจรรย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และแน่นอนหากมีกองเชียร์ก็ต้องมีเชียร์ลีดเดอร์ ผมเจอนิ่มมาซ้อมเชียร์ในชุดกระโปรงบานสั้นแค่เข่าสีส้มสลับขาว เธอมาในฐานะเชียร์ลีดเดอร์ที่ถูกบังคับให้มาซ้อมใหญ่ก่อนลงสนามเชียร์จริงกับงานกีฬาโรงเรียนที่จัดขึ้นเดือนหน้า

ผมแต่งตัวเสร็จผมก็เดินมาวอร์มร่างกายที่ขอบสนาม สายตาเหลือบไปเห็นนิ่มแยกจากกลุ่มเพื่อนไปคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ ผมยืดร่างกายไปด้วยมองไปด้วย หลังจากที่นิ่มวางหูเธอก็เดินออกจากบริเวณสนามทันที ด้วยความเผือกผมเลยขอตามไปดูเสียหน่อย

“ไอ้ชัย…. มึงจะไปไหน?”
“เอ่อ… กูไม่ไหวแล้วขอเข้าส้วมหน่อย”
“ไอ้สัดนี่ จะแข่งอยู่แล้วยังจะมาปวดอะไรตอนนี้”
“เออน่ะ เดี๋ยวกูมา”
ผมรีบแยกตัวออกจากสนามทันทีก่อนที่ตามนิ่มไม่ทัน โชคดีที่นิ่มเดินไม่เร็วผมจึงเดินตามได้ทันโดยทิ้งห่างไว้สักหน่อย

ณ ใต้ต้นไม้ประจำโรงเรียนที่ทอดยาวตลอดถนนทางเข้าโรงเรียนซึ่งตอนนี้ผลิดอกสีส้มเข้มไปทั่วและร่วงหล่นเต็มท้องถนนที่แทบไร้ผู้คนในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ นิ่มยืนอยู่ใค้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งน่าจะมีร่มไม้ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น ส่วนผมขอหลบมาอยู่หลังต้นไม้อีกต้นหนึ่งห่างออกไปเกือบสิบเมตร

ไม่นานรถเก๋งคันใหญ่ก็มาจอดเทียบใกล้กับต้นไม้ที่นิ่มยืนพิงอยู่ เป็นไอ้กวีที่ก้าวลงจากรถมาด้วยท่าทีขึงขัง นิ่มวิ่งไปหาอีกฝ่ายทันทีพร้อมโผเข้ากอด  มองจากตรงที่ผมยืนอยู่น่าจะเริ่มกำลังร้องไห้อยู่ เหมือนกำลังอธิบายอะไรอยู่แต่เหมือนกวีไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ทำหน้านิ่งๆ และแกะมือของนิ่มออกจากตัว ไอ้กวีพูดอะไรสักอย่าง ส่วนนิ่มก็ได้แต่ร้องไห้ มันคุยเรื่องอะไรกันวะ? ต่อมเผือกผมใกล้จะระเบิดเต็มแก่ แต่การเข้าไปใกล้ขึ้นก็เสี่ยงจะถูกเจอ

เพี๊ยะ!!!!

ผมรู้สึกหน้าคว่ำหน้าผากเกือบชนเข้ากันลำต้นไม้ที่ผมแอบอยู่

“ไอ้เชี้ย…. โค้ชให้มาตาม จะแข่งอยู่แล้ว ห้องน้ำมึงอยู่ตรงนี้เหรอ?”
ไอ้หลงต่อว่าผมเสียงดัง ผมหันไปทำหน้าด่ามันและเอามือปิดปากมันจนได้ยินเสียงมันกลายเป็นเสียงอู้อี้ ผมมองไปยังเหล่าคนที่ผมแอบสังเกตการณ์อยู่ซึ่งตอนนี้หันมาทางผมทั้งสองคน

ตอนนี้นิ่มตะโกนเสียงสูงขึ้นจนผมยังได้ยินแม้จะยังอยู่ที่เดิม

“พี่เห็นนั่นไหม? แล้วอย่างนี้พี่จะให้นิ่มเชื่อใจพี่ชัยได้ไง ดูก็รู้ว่าน่าจะมีแผนอะไรอยู่”
“นิ่ม! พี่บอกแล้วไงว่ามันไม่มีอะไร”
“พี่กวีคะ….” นิ่มชี้มาที่ผมแต่คงเหลือบไปเห็นโจทย์เก่าที่อยู่ข้างหลังผม”
“พี่ว่าใครกันแน่ที่มีลับลมคมใน จากสายตาและสีหน้าของนิ่มตอนนี้ทำให้พี่แน่ใจอะไรในหลายๆ เรื่องเลย”
“อะ.. อะไรค่ะ?”เสียงนิ่มดูอ่อนลง
“เรื่องนิ่มกับหลงไง?”
“คือ… พี่รู้!!”
“รู้มาสักพักแล้ว หลังจากเรื่องที่มันวุ่นวายไปหมดช่วงนี้”
“ได้ไง?” นิ่มหันมามองทางผมด้วยสายตาที่ยากจะบรรยาย
“พี่ไม่ได้โง่ เรื่องแค่นี้ พี่สืบเองได้ พี่รู้ว่านิ่มคบซ้อนระหว่างพี่กับหลงมาสักพักหนึ่งแล้ว พี่ยอมรับว่าพี่โกรธมาก แต่พี่ก็รู้สึกดีใจนะ ที่นิ่มเลือกพี่ พี่เลยว่าจะขอมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่นิ่มกลับทำตัวแย่ขึ้นทุกวัน”
“แปลว่าพี่กวีจะทิ้งนิ่มใช่ไหม?”
“เปล่าพี่แค่อยากให้นิ่มเป็นนิ่มที่น่ารักเหมือนเดิม หากจะคบกันต้องเข้าอกเข้าใจมากกว่านี้”
“…พี่กวีคะ…” นิ่มยังร้องไห้ไปพูดไป
“นิ่มไปคิดดูนะ”  พูดจบไอ้กวีก็ขับรถออกจากโรงเรียนไปเลย

ผมรู้ว่าแผนต่างๆ เป็นไปด้วยดีแต่เหตุหนึ่งก็มาจากตัวต้นเหตุอย่างนิ่มเองนี่แหละ ทุกเรื่องที่เธอทำสุดท้ายก็กลับมาทำร้ายตัวเอง ลองมาคิดดูแล้วผมก็เร่งให้มันเกิดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่พอมองเห็นสิ่งที่ไอ้กวียังให้โอกาสนิ่มอยู่ ทำไมรู้สึกปวดใจยังไงบอกไม่ถูก

การแข่งขันวันนี้เป็นไปตามที่ไอ้กวีวิเคราะห์และบอกกับผมเมื่อวันก่อนเลย หากสามารถตัดโอกาสในการโต้กลับได้ ทีมนี้ก็หมดโอกาสทำแต้ม แต่ก็มีบ้างที่คู่แฝดในทีมนั้นพาให้สับสน เพราะคนหนึ่งเป็นตัวออฟเฟนซีพ(รุก) คนหนึ่งเป็นดีเฟนซีพ(ตั้งรับ) บางทีก็ทำให้สับสนเสียจนบอกกับเพื่อนร่วมทีมให้รับมือลำบากอยู่เหมือนกัน
ผมนึกขอบคุณไอ้กวีจากใจที่ทำให้วันนี้เล่นง่ายขึ้นและอาจารย์โค้ชก็หงุดหงิดน้อยลงกว่าปกตินิดหน่อย (ระหว่างแข่งแกจะเครียดและหยาบคายมาก) ระหว่างพักเบรกผมมักจะมองหาไอ้กวีบนอัฒจันทร์ทุกครั้งแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา แต่ทุกครั้งที่มองหาผมกลับเห็นนิ่มที่ทำหน้าที่ของเชียร์ลีดเดอร์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ในดวงตามีสีแดงเรื่อ แต่ผมไม่เห็นเธอเหม่อลอยหรือคิดมากอย่างที่ควรจะเป็นเลย (อย่างที่ไอ้หลงมันเคยเป็น) ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้แกร่งหรือว่าไม่มีหัวใจกันแน่

จบการแข่งขันทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ ทีมโรงเรียนผมชนะอย่างฉิวเฉียด ผมยอมรับเลยว่าเป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมมาก และรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เอาจริง ส่วนพวกผมน่ะหรือไม่เก็บฝีมือกันอยู่แล้วเล่นเต็มที่ ทำให้อาจารย์โค้ชถึงกับเรียกประชุมทีมกันก่อนกลับ แต่เนื่องจากทุกคนเหนื่อยกันมามาก โค้ชจึงแค่สรุปให้ฟังถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดกับการซ้อมก่อนวันงานกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดของจริงที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า “ซ้อมหนักและปรับกลยุทธใหม่” อาจารย์โค้ชพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะให้ทุกคนกลับบ้าน

ผมเดินมาถึงมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของผมคนเดียว ต้องเน้นแล้วว่าคนเดียวหลังจากไอ้หลง ไอ้คนทิ้งเพื่อนมันมีคนมารับหลังเลิกประชุมกับอาจารย์โค้ช ช่วงนี้ผมกลับบ้านคนเดียวบ่อยๆ เพราะไอ้หลงมันติดแฟน! บางทีก็รู้โหวงๆ เนือยๆเวลาอยู่คนเดียวบ่อยๆ เหมือนกัน แต่โชคดีที่ผมยังมีไอ้กวีเป็นเพื่อนอีกคนทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นค่อยๆ หายไป

พอพูดถึงไอ้กวี ตั้งแต่เหตุการณ์ที่มันทะเลาะกับนิ่มก่อนแข่ง ผมก็ไม่เห็นมันอีกเลย ทั้งที่ผมเฝ้ามองตามที่นั่งผู้ชมแต่ไม่เห็นเลย คงเพราะมันรู้ว่านิ่มก็อยู่ในนั้นด้วย หรือมันอยากอยู่คนเดียว ผมคิดอะไรไปล้านแปด นี่ผมเป็นห่วงมันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

อีกประเด็นหนึ่งที่คิดไม่ออกว่า ไอ้กวีมันรู้เรื่องของนิ่มเมื่อไหร่ และใครเป็นบอกมัน?

ระหว่างความคิดเหล่านั้นแล่นอยู่ในหัวซ้ำไปมา ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป จนกระทั่งขับมาถึงร้านประจำที่ผมกับไอ้กวีมาเป็นประจำแบบไม่รู้ตัว

………………………………………………………………..

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด