[H.E.A.R.T.] Trap หัวใจพ่ายรัก
Part 2# Wayo พบกันอีกครั้ง
“โกรธพี่รึเปล่าครับ?” พี่ธามถามผมหลังจากที่ถอนจูบออกไป อะไรของพี่เขาเนี่ย ถ้ากลัวผมโกรธแล้วจะทำใจกล้ายื่นหน้าเข้ามาจูบผมเพื่อ
แกล้งเล่นซะดีมั้ยนะ?
แต่ถึงผมจะถามตัวเองแบบนั้น ปากของผมกลับพูดมันออกไปแล้ว
“โกรธ” ผมพูดด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่แผ่รังสีอัมหิตออกมาอย่างแรงกล้า พูดเลยนะถ้าหากผมเบนสายไปเป็นนักแสดง ป่านนี้ถ้วยรางวัลคงเต็มบ้านจนไม่มีที่เก็บไปแล้วมั้ง
“พี่ขอโทษนะวา...คือ...” พี่ธามพูดอย่างรู้สึกผิด พอเห็นสีหน้าหงอยๆ แบบนั้นแล้วผมก็แกล้งไม่ลง
“ผมล้อเล่นหรอกครับ ถ้าผมโกรธจริงๆ ป่านนี้ผมคงชกพี่ไปแล้ว คงไม่นั่งนิ่งๆ ให้พี่จูบผมตั้งนานหรอก” ผมพูดยิ้มๆ พี่ธามเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“วาก็นี่ก็ชอบแกล้งพี่จริงๆ นิสัยไม่ดีเลยนะเรา” พี่ธามยื่นมือมาบีบจมูกของผมอย่างหมั่นเขี้ยว พอได้ยินพี่เขาพูดแบบนี้ผมก็ถือโอกาสพูดเรื่องเดิมๆ ที่เคยพูดไปเป็นรอบที่ร้อย
“ถ้าเทียบกับคนดีๆ อย่างพี่ผมมันก็นิสัยไม่ดีจริงๆ นั่นแหละครับ เพราะงี้ไงผมถึงอยากให้พี่ลองมองคนอื่นดูบ้าง ผมไม่อยากให้พี่มาเสียเวลากับผม อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าไม่รู้ตอนไหนผมจะสามารถชอบพี่ได้ หรือบางทีมันอาจจะไม่มีวันนั้นเลย...”
โอเคแหละ ที่ผมบอกว่าพูดเรื่องนี้เป็นรอบที่ร้อยมันก็ดูจะเวอร์ไป แต่ว่าผมก็พูดเรื่องนี้กับพี่ธามบ่อยมาก มีโอกาสเมื่อไหร่ก็จะพูดตลอด เพราะผมไม่อยากให้พี่เขามาเสียเวลากับคนที่หัวใจปิดตายอย่างผม โซ่ที่พันธนาการหัวใจของผมมันแน่นหนาเกินไปจนพี่เขาไม่สามารถเข้ามาข้างในได้
“พี่ไม่เคยคิดว่า 3 ปีที่ผ่านมามันเป็นเรื่องเสียเวลาเลยนะ การที่พี่ได้อยู่ใกล้ๆ แล้วก็ได้ดูแลวา มันทำให้พี่มีความสุขมากจริงๆ” คำตอบของพี่ธามทำให้ผมนิ่งงัน บางทีสักวันผมอาจจะแพ้ให้กับความดีของพี่เขา
“ขอบคุณนะครับ”
“หมายถึงเรื่องที่พี่มาส่ง?” เนี่ย จะซึ้งก็ซึ้งไม่สุด
แต่เอาเถอะ ดีแล้วล่ะที่พี่ธามพูดแบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงเกิดเดดแอร์เพราะผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“เปล่าสักหน่อย ผมหมายถึงเรื่องที่พี่ช่วยให้ผมมีประสบการณ์จูบครั้งแรกต่างหาก” ผมพูดยิ้มๆ กวนตีนมากวนตีนกลับไม่โกง
“วาทำพี่ไปไม่เป็นเลย” แดงไปทั้งหน้า...ไม่สิ แดงไปทั้งตัวแล้วมั้งพี่ธาม
“แล้วอย่างนี้จะไปทำงานถูกมั้ยครับเนี่ย หรือว่าไหนๆ ก็สายแล้วเลยไม่ไปมันซะเลย”
“ได้ที่ไหนกันล่ะวา”
“ฮ่าๆๆ งั้นผมไปแล้วนะครับพี่ธาม” ผมโบกมือลาแล้วรีบเปิดประตูลงจากรถ ส่วนพี่ธามก็ยิ้มแล้วโบกมือให้ผมโดยที่ใบหน้ายังคงแดงจัดอยู่เหมือนเดิม ท่าทางจะยังเขินอยู่ที่ถูกผมแซวเรื่องจูบ
ถามว่าตอนนั้นผมรู้สึกยังไง?
ก็ตื่นเต้นนิดหน่อยออกไปทางเฉยๆ ซะด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่ธามด้วยมั้งเลยไม่รู้สึกหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นแรง หรือเขินแทบเป็นแทบตายอย่างคนทั่วไปตอนที่เสียจูบแรก เพราะงั้นผมเลยเดินเข้าไปในตึกสำนักงานด้วยท่าทางชิลๆ
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรคะ” พี่สาวที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ถามผม
“ผมเป็นนักศึกษาที่มาฝึกงานครับ”
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นขึ้นลิฟต์ไปรายงานตัวที่ฝ่ายบุคคลชั้น 4 ได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้แล้วขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 4 ตามที่พี่สาวตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์บอก เมื่อ 2 เดือนที่แล้วผมมาขอยื่นเรื่องฝึกงานที่นี่เลยจำได้ว่าฝ่ายนี้ต้องเลี้ยวไปทางไหน
“สวัสดีครับ ผมวาโย หทัยภักดิ์ เป็นนักศึกษาฝึกงานครับ”
“อ๋อ งั้นตามมาทางนี้เลยจ้ะ” พี่เขาพูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินนำผมไปยังห้องประชุมเล็กที่อยู่ไม่ไกล พอเปิดเข้าไปในนั้นก็มีนักศึกษาฝึกงาน 5 คนนั่งอยู่ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนละมหา’ลัย
“คุยกันไปก่อนนะเดี๋ยวรอน้องอีก 4 คนมาก่อนแล้วพี่ค่อยพูดเรื่องฝึกงานทีเดียว...อ้อ พี่ชื่อยุ้ยนะ” พี่ยุ้ยพูดจบก็เดินออกจากห้องไป ส่วนผมก็ยิ้มทักทายและทำความรู้จักกับเพื่อน 5 คนที่นั่งอยู่ ก่อนที่สักพัก 4 คนที่เหลือจะทยอยตามมาสมทบ
เมื่อคนครบแล้วพี่ยุ้ยก็เข้ามาอีกครั้งพร้อมกับเอาเอกสารมาให้คนละชุด ซึ่งก็เป็นรูปผู้บริหาร แนะนำองค์กร กฎระเบียบ แล้วก็งานคร่าวๆ ที่ต้องทำขณะที่ฝึก
ในตอนแรกผมนึกว่าพวกเราทั้ง 10 คนจะต้องฝึกงานที่ฝ่ายเดียวกันทั้งหมด ก็คิดอยู่ว่ามันจะต้องแออัดและวุ่นวายมาก แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ละคนก็จะไปฝึกที่ฝ่ายต่างๆ ตามสาขาที่เรียน ก็จะมีฝ่ายบุคคล ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต แล้วก็ฝ่ายจัดซื้อ
ถ้าถามถึงคณะที่ผมเรียนก็คือบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด เพราะงั้นคงไม่ต้องบอกเนอะว่าผมต้องฝึกงานที่ฝ่ายไหน
ส่วนสาเหตุที่ผมเลือกเรียนคณะนี้ก็เป็นเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองชอบคิด ชอบวางแผน แล้วก็สนใจติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวในแวดวงธุรกิจพอสมควร ซึ่งพอได้เรียนผมก็รู้สึกสนุก ส่วนผลการเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าดี ไม่อย่างนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดนี้คงไม่รับผมเข้าฝึกงาน แถมยังรับแค่คนเดียวทั้งที่ผมมายื่นเรื่องขอฝึกพร้อมกับเพื่อนตั้ง 6 คน
การที่ผมอยากมาฝึกงานที่นี่ก็คือ 1. เผื่อได้ทำงานต่อที่นี่หลังจากเรียนจบ 2. หากที่นี่ไม่รับแต่ผมก็ยังสามารถเอาไปใส่ Portfolio ได้ว่าผ่านการฝึกงานจากที่นี่ ซึ่งมีภาษีและได้เปรียบเด็กจบใหม่ที่อื่นมากเพราะเป็นบริษัทชั้นนำที่คัดเด็กฝึกค่อนข้างโหด 3. ที่นี่มีค่าตอบแทนระหว่างฝึกงาน ยิ่งถ้าต้องออกนอกพื้นที่หรือต้องฝึกนอกเวลาก็จะยิ่งได้ค่าตอบแทนคูณสอง
บริษัทที่ป๋ากับเด็กฝึกงานขนาดนี้จะหาได้อีกจากที่ไหน!
“น้องๆ คนไหนมีข้อสงสัยหรืออยากจะถามอะไรพี่มั้ยคะ” พี่ยุ้ยถามหลังจากที่พูดยิงยาวคนเดียวร่วมชั่วโมง จนผมอยากจะถามจริงๆ ว่าจิบน้ำหน่อยมั้ยพี่ พูดนานขนาดนี้คอไม่แห้งเป็นผงหมดแล้วหรอ
“ไม่มีครับ”
“ไม่มีค่ะ”
เชื่อปะ ถึงจะมีอะไรสงสัยคงไม่มีใครถาม ขนาดนั่งฟังอย่างเดียวผมยังเบื่อแล้วก็ง่วงจะตายชัก ขืนได้ฟังต่อมีหวังผมได้หลับมันตรงนี้แน่ๆ
“โอเค ถ้างั้นเดี๋ยวน้องๆ นั่งรอที่นี่กันก่อนนะ นั่งแยกเป็นฝ่ายไว้หน่อยก็ดี เวลาที่พี่เลี้ยงเข้ามาจะได้หาง่ายๆ” พี่ยุ้ยพูดจบก็เดินออกไป ส่วนพวกผมจากที่นั่งเรียงตามการมาถึงก่อนหลังก็นั่งกันเป็นคู่ๆ ตามฝ่ายที่ต้องฝึก
ผมหันไปยิ้มให้มิ้งซึ่งเป็นเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันมากพี่เลี้ยงจากแต่ละฝ่ายก็เริ่มเดินกันเข้ามา ก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมาจะมีพี่ผู้ชายคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าเราสองคน
“น้องสองคนฝึกฝ่ายการตลาดใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“ใช่ค่ะ” ผมกับมิ้งพยักหน้าแล้วพูดขึ้นพร้อมกัน
“ชื่ออะไรกันบ้าง”
“ผมชื่อวาครับ”
“หนูชื่อมิ้งค่ะ”
“โอเค พี่ชื่อฟลุคนะครับ ไหนใครอยากให้พี่เป็นพี่เลี้ยง?” สิ้นเสียงของพี่ฟลุคมิ้งก็รีบเอียงหน้ามากระซิบที่ข้างหูของผมอย่างรวดเร็ว
“เราขอ” อูยยยยย แรงงงงง มิ้งไหนไฟแรงเฟร่อ!
“อืม” ผมยิ้มแห้งๆ แล้วพยักหน้าให้ โอเคแหละพี่ฟลุคดูรวมๆ แล้วก็ถือว่าค่อนข้างดูดี แต่เป็นผู้หญิงก็ไม่ต้องออกตัวแรงว่าอยากได้มากขนาดนั้นก็ได้มั้ง
“โอเค งั้นเป็นอันว่าน้องมิ้งจะฝึกกับพี่นะ”
“ค่า พี่ฟลุค” แม่คุณเอ๊ย ยิ้มกว้างจนจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว
“แล้วผมไม่มีพี่เลี้ยงหรอครับ”
“มีสิ เป็นถึงหนุ่มดอกไม้ของบริษัทเลยนะ”
“หนุ่มดอกไม้?”
“สาวๆ ในบริษัทตั้งให้น่ะ ประมาณว่าแค่มองหน้าก็สามารถฮีลใจ ฟื้นพลังกายมาทำงานต่อได้ อะไรประมาณนี้”
“ขนาดนั้นเลยหรอครับ” เวอร์วังไปมั้ยเนี่ยพี่ฟลุค
“เดี๋ยวน้องวาเห็นก็จะรู้ว่าพี่ไม่ได้พูดเกินจริง...อ๊ะ นั่นไงมาพอดี ทางนี้เว่ยมึง!” พี่ฟลุคโบกมือเรียก ‘หนุ่มดอกไม้’ ที่อยู่ด้านหลัง ผมเลยเผลอหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้
แต่ทันใดนั้นเอง...
ผมก็ถึงกับตัวแข็งทื่อและตาเบิกกว้าง เพราะผู้ชายที่กำลังเดินมาเหมือนกับคนคนนั้นแทบทุกอย่าง ถึงแม้ว่ารูปร่าง หน้าตา และทรงผมจะเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเพราะผ่านไปตั้ง 7 ปี แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนนั่นก็คือรอยยิ้มอันอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้า
หึ! ทุกคนคงจะมองเห็นอย่างนั้น เพราะมันคือฉากหน้าที่คนคนนั้นสร้างขึ้น มีแค่ผมคนเดียวที่รู้ซึ้งถึงธาตุแท้ความเลวที่อยู่ข้างใน
ใช่...มันคือคนคนนั้นที่ทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตาย
ไอ้พี่โซ่...
“โทษทีที่มาช้า กูแวะเอาบิลของทุกคนไปเบิกที่ฝ่ายบัญชีให้น่ะ” ไอ้พี่โซ่พูดขึ้นเมื่อมายืนอยู่ข้างพี่ฟลุค ตอนที่กำลังเดินมาสายตาของพี่มันไม่ได้มองมาทางผมเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไร มึงก็ไม่ได้ช้ามากหรอก แค่มาไม่ทันตอนที่ให้น้องฝึกงานเลือกพี่เลี้ยงเท่านั้นเอง” พี่ฟลุคพูดยิ้มๆ พอได้ยินแบบนี้ไอ้พี่โซ่เลยหันหน้ามองมาที่ผม
วินาทีแรกที่ได้สบตากัน ผมเผลอกำหมัดแน่นแล้วจ้องกลับไปด้วยดวงตาแข็งกร้าว แต่ว่าสายตานั้นพี่มันคงไม่เห็น เพราะเพียงเสี้ยววินาทีสายตาคู่นั้นก็ได้เบนไปทางมิ้งที่อยู่ข้างๆ ของผมซะแล้ว
หรือว่าไอ้พี่โซ่มันจะจำผมไม่ได้?
“ถ้ามิ้งอยากขอเปลี่ยนพี่เลี้ยงจะได้รึเปล่าคะ” มิ้งอมยิ้มแล้วมองไอ้พี่โซ่ด้วยสายตาหยาดเยิ้ม อยากรู้จริงๆ ว่ายัยนี่มาฝึกงานหรือว่ามาฝึกอะไร
“น้องมิ้งพูดแบบนี้ไม่กลัวพี่ฟลุคเสียใจหรอครับ” ผมแอบเบ้ปากแล้วกลอกตามองบน อยากจะแหมยาวๆ ให้อ้อมจักรวาลจริงๆ
เฮอะ! ทำเป็นพูดดีนะไอ้พี่โซ่ ทำหน้าเจ้าชู้กรุ้มกริ่มขนาดนั้น ผมว่าคนที่เสียใจก็คือพี่มันนั่นแหละที่ไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงของยัยมิ้ง
“พี่ฟลุคเป็นผู้ใหญ่แล้วคงไม่เสียใจกับเรื่องเล็กๆ แบบนี้หรอกค่ะ” ยัง...ไอ้พี่โซ่มันพูดแบบนั้นก็ยังคิดไม่ได้อีกนะ
“จะฝึกกับพี่หรือกับพี่ฟลุคมันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ แต่ถ้าพี่ฟลุคดูแลน้องมิ้งไม่ดีมาบอกพี่ได้นะ เดี๋ยวพี่จัดการมันให้” มีขยิบตงขยิบตา ระหว่างทำงานกับโปรยเสน่ห์อะไรขยันทำมากกว่ากัน ตอบ!
“ถ้างั้นพี่ชื่ออะไรคะ”
“พี่ชื่อโซ่ครับ”
“มิ้งอยากจะขอไล...” แต่ยังไม่ทันที่มิ้งจะได้พูดจนจบไอ้พี่โซ่ก็หันหน้ามาทางผมซะก่อน หวายยยยยย นก!
“จะไม่พูดอะไรกับพี่เลยหรอครับ” คำถามนั้นทำเอาผมถึงกับขมวดคิ้ว เพราะผมไม่แน่ใจว่าไอ้พี่โซ่มันจะจำผมได้รึเปล่า แต่เท่าที่ดูมันไม่น่าจะจำผมได้นะ ถึงคำถามจะฟังดูแปลกๆ ก็เถอะ แต่ตอนนี้รูปร่างหน้าตาของผมก็เปลี่ยนไปมากจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
“ผมชื่อวานะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมแสร้งยิ้มแล้วยกมือไหว้ไอ้พี่โซ่
“วางั้นหรอ?”
“ทำไมครับ ชื่อผมมันคุ้นหูหรอพี่?” ผมลอบยิ้ม เริ่มจะนึกออกแล้วสินะ
“เปล่า ไม่คุ้นเลยต่างหาก ชื่อเล่นแปลกนะเรา พี่ไม่เห็นเคยได้ยินใครชื่อเล่นแบบนี้มาก่อนเลย” หนอย...
“ผมชื่อจริงคือวาโย ชื่อเล่นก็เลยชื่อวาครับ” ได้ยินแบบนี้แล้วจะนึกออกได้รึยัง!
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องวา” บ้าเอ๊ย! ทำไมถึงยังนึกไม่ออกวะ! คนอย่างผมมันไม่มีค่าให้ไอ้พี่โซ่จดจำขนาดนั้นเลยใช่มั้ย!
ได้...ในเมื่อจำผมไม่ได้ก็ดี เพราะว่าผมจะได้แก้แค้นพี่มันได้สะดวก
จะเอาคืนให้สาสมเลยคอยดูสิ!
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับพี่โซ่” ผมยิ้มหวาน แม้ว่าในใจอยากอาละวาดและด่ากราดไอ้พี่โซ่มากแค่ไหนก็ตาม
แต่ยังก่อน ทำตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไอ้พี่โซ่มันจะสำนึกมั้ยก็ไม่รู้ แถมผมยังจะอยู่ฝึกงานที่นี่ได้อย่างยากลำบากอีกต่างหาก เพราะเท่าที่ดูไอ้พี่โซ่ก็ดูจะเป็นที่รักของคนในบริษัท ดังนั้นรอเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยตอกหน้าไอ้พี่มันให้เจ็บแสบไปเลยก็ได้
“จริงสิ ก่อนพี่จะเข้ามาพี่ยุ้ยบอกว่าให้น้องสองคนแวะไปเอาป้ายชื่อที่โต๊ะด้วย ตามพี่มาเลยครับ” ไอ้พี่โซ่พูดจบก็เดินนำผมกับมิ้งออกไป โดยมีพี่ฟลุคเดินตามหลังมาอีกที
พอไปถึงพี่ยุ้ยก็ค้นหาป้ายชื่อแล้วยื่นมาให้ ที่ป้ายจะมีรูปถ่ายในชุดนักศึกษาและข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ โดยมีชื่อจริง นามสกุล ชื่อเล่น วันเดือนปีเกิด มหา’ลัยที่กำลังศึกษา แล้วก็แผนกที่กำลังฝึกงาน ผมคิดว่ารูปถ่ายกับข้อมูลพวกนี้มันก็ไม่มีอะไรแปลก แต่ทำไมไอ้พี่โซ่ถึงได้จ้องป้ายที่กำลังห้อยคอของผมใหญ่ก็ไม่รู้
“มีอะไรรึเปล่าครับพี่โซ่”
“พี่แค่สงสัยน่ะ”
“สงสัยอะไรครับ” หรือว่าพอเห็นนามสกุลแล้วไอ้พี่โซ่มันจะจำผมได้?
“ฝ่ายบุคคลพิมพ์พ.ศ.เกิดของวาผิดไปรึเปล่า รู้สึกจะเกินเพื่อนคนอื่นมา 1 ปี” โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็เรื่องนี้ เฮอะ! ก็คิดอยู่แล้วเชียวว่าคนสารเลวอย่างไอ้พี่โซ่น่ะหรอจะจำนามสกุลของผมได้ ขนาดชื่อของผมมันยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ไม่ผิดหรอกครับ ผมเคยดรอปเรียนตอนม.ปลายไปหนึ่งปี”
“ทำไมล่ะ หรือว่าวาป่วย?”
“เปล่าหรอกครับ แต่ว่ามีรุ่นพี่สารเลวคนนึงมันทำให้ผมเรียนต่อที่เดิมไม่ได้ ผมเลยต้องดรอปเรียน 1 ปีแล้วไปเข้าที่ใหม่น่ะครับ” ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของไอ้พี่โซ่ ถึงแม้ว่าผมจะแค้นขนาดไหนแต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา เพียงแค่จ้องเพื่อที่จะจับสังเกตให้ได้ว่าสีหน้าและแววตาของไอ้พี่มันจะเปลี่ยนไปมั้ย จะรู้สึกเอะใจในคำพูดของผมรึเปล่า
แต่ก็ปรากฏว่าเปล่า ไอ้พี่โซ่ไม่ได้เอะใจเรื่องของผมเลยสักนิด
“งั้นหรอ ทำไมรุ่นพี่คนนั้นถึงได้ใจร้ายจัง แต่พี่ก็ดีใจนะที่วาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้” ไอ้พี่โซ่ยิ้มบางๆ แล้ววางมือลงบนศีรษะของผม วินาทีนั้นความอบอุ่นมันก็แผ่ซ่านลงไปตามร่างกาย แต่ว่าตอนนี้ผมเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ผมไม่มีทางโง่เป็นควายหลงเชื่อความอบอุ่นจอมปลอมนั่นหรอก!
“ไอ้โซ่ เดี๋ยวกูพาน้องมิ้งไปเดินทัวร์ออฟฟิศก่อนนะเว่ย” พอพี่ฟลุคพูดขึ้นแบบนี้ผมเลยถือโอกาสถอยห่างออกจากไอ้พี่โซ่ก้าวหนึ่ง มือของไอ้พี่มันที่กำลังวางอยู่บนศีรษะของผมเลยตกลงไปอยู่ข้างตัว
“เออ มึงไปเถอะ” พี่ฟลุคพยักหน้าแล้วจะเดินนำมิ้งออกไป แต่มิ้งก็ดันชวนไอ้พี่โซ่ซะก่อน
“ไม่ไปด้วยกันหรอคะ” ถามแต่ไอ้พี่มันแต่ไม่ยักกะถามผมนะแม่คุณ
“อืม...ถ้างั้นเราไปพร้อมกับ 2 คนนี้เลยเนอะ” ไอ้พี่โซ่หันมาชวนผม
‘ก็ถ้าผมบอกว่าไม่ไปพี่จะว่ายังไง’ นั่นน่ะสิ่งที่ผมคิด แต่สิ่งที่ผมตอบน่ะคือ... “ครับ”
“โอเค งั้นพวกเราไปกันเลย” พี่ฟลุคเป็นคนเดินนำ ตามด้วยไอ้พี่โซ่ที่มีมิ้งทำตัวเป็นเห็บเกาะติดไม่ยอมห่าง ส่วนผมก็เดินตามหลังสองคนนั้นไปอีกทีด้วยท่าทางเซ็งๆ และเหม็นเบื่อโคตรๆ
เกือบชั่วโมงผมเดินเข้าออกห้องนั้นห้องนี้ เดินขึ้นลงชั้นนั้นชั้นนี้จนแทบขาลาก แต่ผมก็ไม่ปริปากบ่นทั้งยังยิ้มแย้ม แถมยังวาดแผนผังและจดบันทึกห้องที่สำคัญคร่าวๆ เอาไว้ด้วย
การที่ผมทำแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่อีกส่วนก็เพื่อให้ไอ้พี่โซ่ประทับใจผม ถ้าเทียบกับยัยมิ้งที่เอาแต่บ่นคนขยันอย่างผมน่ะดีกว่าเยอะ!
“เดี๋ยวต่อไปพี่จะพาน้องมิ้งกับน้องวาไปแนะนำให้พี่ๆ ที่แผนกรู้จักนะ” พี่ฟลุคพูดจบก็พาพวกผมขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 12
ชั้นนี้ทั้งชั้นเป็นของฝ่ายการตลาด จะมีหลายห้องที่ถูกกั้นเอาไว้ ก็มีห้องของผู้อำนวยการฝ่าย ห้องประชุมเล็ก ห้องเก็บเอกสาร ห้องครัว แล้วก็ห้องน้ำ ส่วนพนักงาน 10 กว่าคนก็จะนั่งตรงโต๊ะทำงานที่มีฉากกั้น แบ่งออกเป็น 3 แถวเรียงหน้ากระดาน แต่ละโต๊ะจะมีคอมพิวเตอร์ ชั้นเล็กๆ ใส่เอกสาร และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวนิดหน่อย แต่ก็ดูเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน แล้วพื้นที่แต่ละโต๊ะก็ค่อนข้างกว้าง ไม่แออัดกันเหมือนบริษัททั่วไป
“ทุกคนครับ นี่คือน้องที่จะมาฝึกงานกับแผนกของเรา น้องผู้หญิงชื่อมิ้ง น้องผู้ชายชื่อวา ยังไงผมก็ขอฝากให้ทุกๆ คนช่วยกันดูแลน้องทั้ง 2 คนด้วยนะครับ” ไอ้พี่โซ่พูดจบก็โปรยยิ้มมหาเสน่ห์
เรื่องสร้างภาพเป็นเทวดานี่ถนัดซะจริง ดูสิ สาวน้อยสาวใหญ่พากันเคลิ้มกับรอยยิ้มนั้นกันหมดแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าผมก็ต้องสร้างภาพเหมือนกันคงจะตะโกนบอกไปแล้วว่ามันตอแหลโว้ยยยยยยย!
หลังจากนั้นไอ้พี่โซ่ก็แนะนำพี่ๆ ในแผนกให้ผมรู้จัก ตั้งแต่หัวหน้าไล่ไปเรื่อยๆ ตามที่นั่งจนครบทุกคน แต่วันแรกไม่มีทางหรอกที่จะจำได้หมด ขนาดผมพยายามจำจากจุดเด่นแต่ก็ยังจำได้ไม่ครบเลย
“เดี๋ยวพี่จะวาดผังโต๊ะแล้วเขียนกำกับให้นะครับว่าแต่ละคนชื่ออะไรกันบ้าง” ไอ้พี่โซ่ก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูของผม เสียงทุ้มๆ แบบนี้นี่แหละที่ทำให้แต่ก่อนผมเคลิ้มจนแทบละลาย แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วผมยังเบ้ปากเป็นรูปสระอิในใจอีกต่างหาก
“ขอบคุณครับ” แต่ก็นั่นล่ะ สิ่งที่ผมต้องทำก็คือการยิ้มบางๆ ออกมานั่นเอง
“เอาล่ะ เดี๋ยวพี่จะพาไปนั่งที่โต๊ะทำงาน” ไอ้พี่โซ่พูดจบก็เดินนำผมไปยังแถวหลังสุดริมซ้าย ส่วนพี่ฟลุคกับมิ้งเดินไปแทบจะตรงข้ามกับพวกผม ผมแอบเห็นนะว่ามิ้งมองตามมาทางนี้ด้วยสายตาละห้อยและอาลัยอาวรณ์สุดขีด
โต๊ะที่ไอ้พี่โซ่พาผมมานั้นอยู่ติดกับผนังออฟฟิศที่เป็นกระจก มองจากตรงนี้ออกไปข้างนอกจะเห็นท้องฟ้าแจ่มใส ถนนหนทางที่รถสัญจรไปมา รวมทั้งตึกรามบ้านช่องมากมายที่เรียงกันจนสุดสายตา โต๊ะนี้ตั้งอยู่ในจุดที่ดีมากเพราะสามารถมองวิวด้านนอกได้ถึง 90 องศาเลย
“ผมจะได้นั่งโต๊ะนี้หรอครับ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น
“ใช่” พอได้ยินแบบนั้นผมก็แทบจะร้องว้าว แต่ว่ามารอย่างไอ้พี่โซ่ก็ดันทำลายความสุขของผมจนได้ “วานั่งโต๊ะเดียวกันกับพี่”
“ทำไมล่ะครับ” บ้าเอ๊ย! แค่คิดก็อึดอัดจะตายชัก!
“ถ้านั่งแยกโต๊ะพี่สอนงานไม่ถนัดน่ะ” ผมอยากจะบ้า! 3 เดือนนี้ผมได้อกแตกตายก่อนแน่ๆ!
แต่เอาเถอะ คิดในแง่ดีการที่ได้นั่งโต๊ะเดียวกันกับไอ้พี่โซ่มันก็น่าจะทำให้ผมสามารถทำตามแผนที่วางเอาไว้ได้ง่ายขึ้น
ถามว่าแผนที่ว่านั้นคืออะไร?
ก็แผนที่จะทำให้ไอ้พี่โซ่รัก แล้วผมก็จะทิ้งไอ้พี่มันอย่างที่ผมเคยโดนยังไงล่ะ!
2BC
สวัสดีค่า Trap หัวใจพ่ายรัก ตอนที่ 2 ก็จบลงไปแล้ว พอจะรู้แนวทางของเรื่องแล้วเนอะว่าจะเป็นแนวไหน
ส่วนพระเอกที่เก็งๆกันไว้จะใช่มั้ยล่ะน้อ ก่อนหน้านี้เรือธามวานี่แน่นมาก แต่ตอนนี้เชื่อว่าคงจะย้ายเรือมาโซ่วากันบ้างล่ะค่ะ อ้อ...แต่เรือผี 3P นี่พังได้เลยนะคะ เพราะไม่ใช่แน่นอนค่า 55555
ส่วนตอนหน้าเจอกันอีก 2 วันนะคะ แต่ถ้าเค้าได้แพคหนังสือเพลิงพายอาจจะต้องรอสัก 3 วัน แล้วมาลุ้นกันนะคะว่าวาจะทำให้โซ่รักได้รึเปล่า โซ่จะจำวาได้มั้ย แล้วสัญญาที่วาให้กับธามล่ะจะเป็นยังไง ไหนใครลงเรือไหนบอกกล่าวกันหน่อยน้าที่ร้ากกกก
(28 ส.ค. 61)