[H.E.A.R.T.] R. Rabid หัวใจคลั่งรัก
Part 12# Pie ตัวจริงของเพลิง
วันนี้ผมมีนัดกับอินน์ทำวิจัยที่หอสมุดเมืองกรุงเทพฯ
หอสมุดแห่งนี้พึ่งเปิดบริการเมื่อปี 60 และอยู่ค่อนข้างไกลจากมหา’ลัยของผม แต่ที่ผมเลือกมาทำวิจัยที่นี่เป็นเพราะอ.ที่ปรึกษาแนะนำมา บอกว่าถึงแม้จะเปิดใหม่แต่ค่อนข้างทันสมัย เอกสารและหนังสือก็มีเยอะพอสมควรโดยเฉพาะ E-book ที่สำคัญยังมีคอมพิวเตอร์ให้บริการฟรีหลายเครื่องมากๆ ผมที่ไม่มีโน้ตบุ๊คส่วนตัวจะได้ช่วยอินน์พิมพ์อีกแรง
วิชาวิจัยนี้ผมกับอินน์ได้ทำเป็นคู่ ซึ่งนี่ก็เป็นโค้งสุดท้ายก่อนจะสอบไฟนอลเทอม 1 เพราะงั้นทุกอย่างเลยต้องเสร็จสมบูรณ์ภายในวันอาทิตย์นี้ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ตลอดสัปดาห์ผมเลยแทบไม่มีเวลาอยู่กับเพลิง เพราะเพลิงก็ต้องเร่งทำวิจัยของตัวเองเหมือนกัน
หากวิจัยมีปัญหาก็จะส่งผลกระทบถึงการทำโปรเจคจบในเทอมหน้า ถ้าจะเรียนต่อโททันทีวิจัยกับโปรเจคจบต้องทำคนเดียว แต่ถ้าจะเรียนแค่ตรีหรือยังไม่ต่อโทตอนนี้ก็สามารถทำเป็นคู่ได้ ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเทอมหน้าผมก็ต้องจับคู่กับอินน์ต่อไปเพราะยังไม่มีแพลนเรียนต่อ
อ้อ ส่วนถ้าเรื่องฝึกงานพวกเราชาววิศวะฝึกกันตั้งแต่ซัมเมอร์ตอนปี 3 ก่อนขึ้นปี 4 กันเรียบร้อย ไม่เหมือนคณะอื่นที่ส่วนใหญ่จะฝึกตอนปี 4 เทอม 2 ก่อนเรียนจบ
“เฮ้ออออออ เสร็จสักที!” อินน์พูดจบก็ฟุบหน้าลงไปที่โต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก เพราะพวกผมนั่งทำกันยิงยาวแบบไม่หยุดพักตั้งแต่ 11โมง จนตอนนี้ใกล้จะ 3 ทุ่มซึ่งเป็นเวลาปิดทำการ
แต่ถึงอินน์จะบอกว่าเสร็จ อันที่จริงก็เป็นการทำเสร็จของวันนี้เท่านั้น เพราะพรุ่งนี้เราสองคนยังต้องลุยกันต่อ ซึ่งก็ต้องลุยกันตั้งแต่ 8 โมงที่หอสมุดเปิดทำการเลยเพราะเป็นวันสุดท้ายแล้ว
คืนนั้นผมถึงห้องตอนเกือบจะ 5 ทุ่มเพราะแวะกินบะหมี่กับอินน์ก่อนเข้ามา ผมจัดการเก็บของแล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็ราวกับรู้เวลา เพลิงโทรหาผมเมื่อหัวถึงหมอนได้ไม่ถึงนาที
[“ไง ถึงห้องแล้วใช่มั้ย”] ประโยคทักทายที่เพลิงพูดไม่มีอะไรพิเศษ น้ำเสียงก็ยังห้วนๆ ไม่อ่อนโยนเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยิ้มออกมาได้ด้วยหัวใจที่พองโต
“อืม ถึงสักพักแล้ว”
[“แล้ววันนี้เหนื่อยมั้ย ทำวิจัยเสร็จรึยัง”]
“ก็เหนื่อยนิดหน่อย ส่วนวิจัยพรุ่งนี้น่าจะเสร็จ แล้วนายล่ะ”
“ก็ใกล้แล้ว พรุ่งนี้คงเสร็จเหมือนกัน ค่ำๆ เดี๋ยวกูไปหานะ จะค้างด้วยแล้วก็กอดมึงยันเช้าให้หายเหนื่อยเลย”]
“เราว่านายจะทำให้เราเหนื่อยกว่าเดิมล่ะสิไม่ว่า” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็อมยิ้มออกมา ส่วนช่วงล่างก็เริ่มร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพลิงจะทำกับผมคืนพรุ่งนี้
[“หึหึ มีอารมณ์แล้วล่ะสิ”] เพลิงพูดอย่างกับว่าแอบมองอยู่ในห้องยังไงยังงั้น
“คะ...ใครจะไปมีอารมณ์กันเล่า” -///-
[“แหม่ ก็ถ้ามีกูว่าจะชวนเล่นเซ็กส์โฟนสักหน่อย”]
“หา!?” ผมอุทานด้วยความตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นจนใจเต้นรัว ช่วงล่างยิ่งร้อนผ่าวและเสียววาบที่ท้องน้อยขึ้นมาแล้ว
“คะ...คือ...” แต่ขณะที่ผมกำลังจะตอบว่าลองดูก็ได้ เพลิงกลับหัวเราะอย่างขำๆ ขึ้นมาซะงั้น
[“กูล้อเล่นหรอกน่า ซีเรียสอะไรเนี่ย”]
“อะไรกัน ล้อเล่นหรอกหรอ” รู้สึกเสียดายนิดๆ ยังไงก็ไม่รู้
[“จินตนาการจะไปสู้ของจริงได้ยังไงกันเล่า ไปนอนได้แล้วไป ถ้าพรุ่งนี้ตื่นไปทำวิจัยไม่ไหวเดี๋ยวก็มาโทษกู”]
“อืม งั้นเรานอนแล้วนะ”
[“ฝันดี”]
“ฝันดีเหมือนกัน”
แล้วบทสนธนาของผมกับเพลิงก็จบลงเพียงเท่านี้ ผมที่ถึงแม้จะอารมณ์ค้างหน่อยๆ แต่ความเหนื่อยล้าที่เร่งทำงานหลายชั่วโมงติดต่อกันก็ทำให้ผมฝืนต่อไปไม่ไหว เปลือกตาอันหนักอึ้งของผมได้ปิดลงด้วยความง่วงงุนไปเลย
ตื่นมาอีกทีก็ตอน 6 โมงเช้า ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วทำแซนด์วิชกินง่ายๆ จากนั้นก็รีบเดินทางไปหอสมุดเมืองกรุงเทพฯ ทันที วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่นี่เลยจะปิดเร็วกว่าเดิม 1 ชม. ผมกับอินน์เลยต้องเร่งทำงาน ช่วงกลางวันก็แว้บไปกินข้าวไม่ถึง 20 นาทีก็รีบมาลุยต่อ เพราะงั้นเพียง 5 โมงเย็นทุกอย่างจึงได้เสร็จอย่างสมบูรณ์
“ฮืออออ ในที่สุดพวกเราก็ทำได้” อินน์โผเข้ากอดผมด้วยความดีใจ ส่วนผมก็ไม่ต่างกัน ในที่สุดความพยายามทั้งเทอมของเราสองคนก็สำเร็จแล้ว
“หลังจากนี้ต้องรีบไปไหนมั้ย เราว่าจะชวนไปกินอะไรอร่อยๆ ฮีลร่างกายกันหน่อยน่ะ” อินน์ยิ้มแฉ่งด้วยดวงตาเป็นกระกาย
“ตอนค่ำๆ เพลิงบอกว่าจะมาหา แต่ว่ายังพอมีเวลาอยู่ เดี๋ยวเราไปกับอินน์ก่อนก็ได้”
“เฮ้ยไม่เป็นไร ไว้วันหลังเราค่อยไปหาอะไรกินกัน วันนี้พายรีบกลับไปหาเพลิงเถอะ”
“เอ่อ...เอางั้นก็ได้ ไว้หลังสอบเสร็จค่อยนัดกันใหม่เนอะ”
“โอเคได้เลย” อินน์ยังคงยิ้มอย่างสดใสไม่มีท่าทีน้อยใจผมแต่อย่างใด ผมจึงโล่งใจแล้วก็เริ่มเก็บข้าวของและเช็คความเรียบร้อยของไฟล์งาน
เมื่อคิดว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบไม่น่ามีปัญหา ผมกับอินน์จึงพากันแบ่งหนังสือที่หยิบมาอ้างอิงไปคืน โดยอินน์ไปชั้นบนส่วนผมลงชั้นล่างจะได้ไม่เสียเวลา แต่ถึงอย่างนั้นกองที่ผมหอบมาก็ดันมีเล่มที่ต้องไปคืนที่ชั้นบนจนได้ เพราะงั้นหลังจากคืนหนังสือที่เหลือแล้วผมจึงได้เดินขึ้นไปหาอินน์ที่ยังคงไม่ลงมา
พอไปถึงผมก็เก็บหนังสือเจ้าปัญหาเข้าที่ จากนั้นก็กวาดสายตามองหาอินน์ ซึ่งก็เจออินน์ยืนแอบอยู่ข้างชั้นหนังสือ โดยหันหลังทำเหมือนกับว่ากำลังมองใครหรืออะไรสักอย่างที่อยู่ตรงโต๊ะด้านหน้า
“มองอะไรน่ะอินน์” ผมคิดว่าผมก็ถามด้วยเสียงปกติ แถมตอนที่เดินเข้ามาก็ไม่ได้แอบย่องสักหน่อย แต่ไม่รู้ทำไมอินน์ถึงได้สะดุ้งโหยงอย่างตกใจราวกับเห็นผีซะงั้น
“พาย!!!”
“ชู่วววว เสียงดังไปแล้ว” ผมเอานิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก “ว่าแต่อินน์มองอะไรยังไม่เห็นตอบเราเลย” ผมพูดจบก็ว่าจะชะโงกหน้าไปดูสักหน่อย แต่อินน์ก็รีบดึงตัวผมเอาไว้แล้วทำหน้าตาตื่นยิ่งกว่าเดิม
“ไม่มีอะไรหรอกพาย! ระ...เราว่านี่มันก็เย็นมากแล้ว รีบกลับบ้านกันเถอะนะ!” ไม่พูดเปล่าอินน์ยังทำท่าจะลากผมออกไปจากตรงนี้ด้วย แต่ท่าทางของอินน์ที่ดูแปลกๆ แบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้ผมสงสัยจนต้องขืนตัวเอาไว้
“ถ้าไม่มีอะไรเราก็ต้องดูได้สิ”
“แต่พาย...” อินน์พยายามจะห้ามผมเอาไว้ แต่ก็ไม่ทัน เพราะตอนนี้ผมก้าวเท้าเดินตรงไปข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว แต่ก็เป็นแค่ก้าวเดียวเท่านั้น เพราะทันทีที่ผมเห็นผู้ชายสองคนที่นั่งข้างกันตรงโต๊ะด้านหน้า ขาของผมก็ก้าวไม่ออกได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่
ภาพที่สายตาของผมมองเห็นก็คือ เพลิงที่ดูลุคแปลกตานิดหน่อย อาจเป็นเพราะต้องแต่งตัวและทำผมให้เรียบร้อยเพราะมาสถานที่ราชการ กำลังนั่งพิมพ์งานที่โน้ตบุ๊คโดยมีผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งนั่งอ่านชีทงานให้ฟังอยู่ข้างๆ ซึ่งถ้านั่งอ่านธรรมดาผมคงจะไม่คิดอะไรมาก แต่การที่ควงแขนแล้วซบไหล่ด้วยท่าทางที่สนิทสนมแบบนั้น ทำเอาผมคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นแค่เพื่อนที่จับคู่ทำวิจัยกับเพลิงไม่ได้จริงๆ
ผมยืนนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อนอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคนที่ซบไหล่เพลิงรู้ตัวถึงได้มองมาที่ผมอย่างไม่ค่อยพอใจ แล้วก็หันไปสะกิดเพลิงที่กำลังพิมพ์วิจัยอยู่โดยไม่รับรู้ถึงการยืนอยู่ของผมเลย
“มึง นั่นใคร คนรู้จักมึงรึเปล่า” พอได้ยินแบบนั้นเพลิงก็เงยหน้าขึ้นมา สายตามองมาทางผมผ่านทางกรอบแว่นนั้นว่างเปล่าจนผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ใจ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับคำพูดที่ผมได้ยินหลังจากนั้น
“ไม่นี่ กูไม่รู้จัก แล้วก็ไม่เคยเห็นหน้าด้วย” เพลิงปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ค่อยยิ้มออกมาได้ ผิดกับผมที่ตอนนี้ราวกับว่าหัวใจได้แตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าไม่รู้จักก็แล้วไป แต่อย่าให้รู้แล้วกันว่ามึงริอาจแอบนอกใจกูไปมีกิ๊ก”
“จะมีให้ปวดหัวเพิ่มทำไม แค่เลี้ยงดูมึงคนเดียวกูก็แทบจะล้มละลายอยู่แล้ว”
“มึงว่าไงนะ!” ผู้ชายคนนั้นแยกเขี้ยวใส่แล้วทำตาขวาง เพลิงที่เห็นอย่างนั้นเลยหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะใช้สองมือจับไปตรงแก้มที่อยู่ด้านหน้า
“รักหรอกถึงหยอกเล่นน่า สาบานเลยว่ากูรักมึงคนเดียว” สายตาของเพลิงเวลาที่มองผู้ชายคนนั้นดูอบอุ่นและมีความสุขมาก ส่วนคำว่ารักต่อให้เด็กอนุบาลมองก็รู้ว่าเพลิงพูดออกมาจากใจ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมที่ยังคงยืนนิ่งอยู่น้ำตาไหลออกมา
“พาย...” อินน์แตะที่ไหล่ของผมเอาไว้ นั่นแหละผมถึงได้รู้ตัวว่าไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม แต่เป็นที่ของเพลิงกับตัวจริงต่างหาก
ที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่เพลิงบอกว่ารักผม ขนาดชอบก็ยังไม่มี แล้วอย่างนี้ทำไมผมถึงได้คิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นคนสำคัญกันนะ แถมยังคิดไกลเกินไปอีกว่าเราสองคนกำลังคบกัน ทั้งๆ ที่เพลิงก็เคยย้ำอยู่ตลอดว่าผมเป็นแค่เซ็กส์เฟรนด์แท้ๆ
อยู่กับผู้ชายคนนั้นเพลิงจะลุคคุณชายแถมยังดูเป็นสุภาพบุรุษ แต่อยู่กับผมเพลิงจะลุคแบดบอยและดิบเถื่อนราวกับสัตว์ป่า ก็อย่างว่าล่ะนะผมมันก็แค่ตัวแทน ความอ่อนโยนที่เคยได้รับมันก็แค่เศษเสี้ยวของตัวจริงเท่านั้น
“เราว่ามันอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ ให้เราไปถามเพลิงให้เอามั้ย บางที...”
“ไม่ต้องหรอกอินน์ เรากลับกันเถอะ” ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น ตอนนี้หัวใจของผมมันพังไม่เป็นชิ้นดีและเจ็บยิ่งกว่าตอนที่กวีบอกว่ามีแฟนแล้วซะอีก
นี่หรือว่าผมกำลังอกหักอีกครั้ง?
บ้าน่า...ไม่มีทางหรอก เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไง ผู้ชายแบบเพลิงไม่ใช่ประเภทที่ผมจะชอบหรือรักได้สักหน่อย ผมก็แค่รู้สึกแย่เฉยๆ ที่เผลอไปข้องเกี่ยวกับคนที่มีแฟนอยู่แล้ว แถมยังดูรักกันมาก มากซะจนผมนึกไม่ออกว่าคนที่รักแฟนขนาดนั้นจะกล้าแอบไปมีอะไรกับคนอื่นได้ยังไง
“เราอยากเลิก ไม่อยากเป็นเซ็กส์เฟรนด์ของเพลิงอีกแล้ว” เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่วางกระเป๋าเอาไว้ ผมก็ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วเอ่อคลอขึ้นที่ขอบตาก่อนจะไหลลงมาอีกครั้ง อินน์ที่เห็นแบบนั้นเลยบีบมือผมเบาๆ ด้วยความเห็นใจ
“แต่พายรักเพลิงไม่ใช่หรอ ถ้าเกิดว่าเลิก...”
“เราไม่มีทางรักคนแบบนั้นได้หรอก! ก็แค่...รู้สึกแย่...แค่นั้นจริงๆ...” ก็ไม่รู้ว่าประโยคนี้ผมตั้งใจจะอธิบายกับอินน์ หรือตั้งใจจะย้ำเตือนตัวเองกันแน่ แต่ผมก็หวังว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างนั้นอย่างที่พูด
“โอเค ถ้าไม่รักก็ดีแล้ว ว่าแต่เพลิงจะยอมเลิกง่ายๆ หรอพาย บางทีแฟนที่คบอยู่อาจจะไม่ยอมมีอะไรด้วย หรือเพลิงอาจจะอยากถนอมแฟนจนต้องหาที่ระบายอะไรแบบนี้”
“เรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหาของเรา แล้วเพลิงจะยอมหรือไม่ยอมก็ช่าง แต่ยังไงเราก็จะเลิก” สถานะเซ็กส์เฟรนด์ว่าแย่แล้ว แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเมียน้อยไม่ก็เมียเก็บที่แย่มากกว่าซะอีก
“ถ้าพายอยากจะเลิกจริงๆ เราก็พอมีวิธีที่จะช่วยพายได้อยู่นะ”
“วิธีอะไร” ผมรีบหันไปมองหน้าอินน์ทันที ตอนนี้ไม่ว่าจะวิธีไหนผมก็จะทำทั้งนั้น แต่นั่นผมก็ไม่คิดว่า...
“เราจะเป็นเซ็กส์เฟรนด์ของเพลิงแทนพายเอง”
“วะ...ว่าไงนะ?” นี่ผมได้ยินผิดไปใช่มั้ย หรือว่าอินน์ตั้งใจจะเล่นมุกให้ผมขำ แต่ว่าหน้าของอินน์ดูจริงจังเหมือนไม่ได้ล้อผมเล่นเลยสักนิด
“ตอนแรกเราก็ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับพายหรอก แต่ในเมื่อพายบอกไม่ได้ชอบเพลิงงั้นเราจะบอกพายก็ได้...เราชอบเพลิงมาตั้งแต่ตอนปี 1 แล้ว” สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้ระหว่างเรื่องที่เพลิงมีแฟนอยู่แล้ว กับเรื่องที่อินน์แอบชอบเพลิงมาตั้ง 3 ปี ผมไม่รู้ว่าควรจะตกใจเรื่องไหนมากกว่ากัน
อินน์เล่าว่าตอนแรกก็ไม่ได้ชอบอะไรเพลิงมาก แค่รู้สึกว่าหล่อ ตรงสเปค แถมยังเก่งแล้วก็เด่นมากเลยชอบมอง แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ได้กลายเป็นชอบขึ้นมาจริงๆ ซึ่งอินน์ก็ชอบมากซะจนเคยสารภาพรักกับเพลิงไปแล้ว แต่แน่นอนว่าเพลิงต้องปฏิเสธ แถมยังไม่สนใจอินน์เลยด้วยซ้ำเพราะไม่คิดจะคบกับใคร ส่วนคู่นอนก็มีแทบทุกคณะในมหา’ลัย ซึ่งแต่ละคนก็เป็นตัวท็อปด้วยกันทั้งนั้น
พอได้รู้ถึงความรู้สึกของอินน์ ผมจึงนึกย้อนไปถึงเรื่องที่คาใจมาสักพัก นั่นก็คือเรื่องที่อินน์มีเบอร์โทรศัพท์ของเพลิงทั้งที่ผมไม่เคยบอก นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ชอบซักถามเรื่องของเพลิง มองเพลิงด้วยสายตาแปลกๆ แถมเวลาแยกกันยังมองจนสุดสายตา ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นเพราะกลัวไม่ก็หวาดระแวง แต่ที่แท้ก็เป็นเพราะชอบเองสินะ
“เรามีอีกเรื่องที่จะสารภาพด้วยล่ะ ความจริงวันนั้นเรารู้นะว่าเพลิงกำลังตามหาพาย แต่ที่เราทำเป็นไม่รู้ แล้วก็เออออตามเวลาพายพูดอะไรก็เป็นเพราะเราอิจฉา เราไม่อยากให้เพลิงเจอพาย ขอโทษนะที่เรามันนิสัยไม่ดี” อินน์พูดอย่างรู้สึกผิด สีหน้าที่เห็นผมมองออกว่ามาจากใจจริงไม่ได้เป็นการเสแสร้งแม้แต่น้อย
มิน่าล่ะวันนั้นอินน์ถึงได้เชื่อที่ผมพูดทุกอย่าง ดูเข้าใจอะไรง่ายๆ และไม่สงสัยเลยสักนิด แม้ว่าคำพูดของผมจะมีตรรกะและเหตุผลแปลกประหลาดขนาดไหนก็ตาม
แต่จะว่าไปถ้าจำไม่ผิดเป็นเพราะชื่อ ‘พฤกษ์’ ที่อินน์แนะนำให้ผมเปลี่ยนนั่นแหละที่ทำให้เพลิงจับผมได้ นี่ถ้าบอกไปก็ไม่รู้ว่าอินน์จะรู้สึกยังไง แต่ที่แน่ๆ คงจะไม่รู้สึกดีใจหรอกมั้ง
“เรื่องนั้นอินน์ไม่ต้องขอโทษหรอก ก็เราไม่ได้อยากให้เพลิงเจอเราจริงๆ นี่นา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สาบานเลยว่าเราจะไม่เข้าไปที่บาร์นั้นเด็ดขาด ชาตินี้ทั้งชาติเรากับเพลิงจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน เป็นแค่เพื่อนร่วมคณะที่ไม่เคยคุยกันก็พอ แต่ก็นะ...ในโลกความเป็นจริงเรื่องที่จะย้อนเวลากลับไปมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” ผมยิ้มขื่นๆ ออกมา ทำไมชีวิตของผมถึงต้องมาตกอยู่ในวังวนความรักของคนนั้นคนนี้ไม่จบไม่สิ้นสักที
“จริงอยู่ว่าพายย้อนเวลากลับไปไม่ได้ แต่ถ้าพายทำตามที่เราบอก พายก็จะสามารถเปลี่ยนอนาคตได้นะ”
“แต่อินน์...” สถานะของผมที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็แค่ตัวแทนเท่านั้น ผมไม่อยากให้อินน์ต้องมาตกอยู่ในสถานะเดียวกัน เพราะนอกจากจะไม่มีความสุขแล้วมันยังเจ็บปวดมาก แต่ก็ดูท่าว่าอินน์จะยินดีและเต็มใจแม้จะรู้ถึงผลลัพธ์แบบนั้นอยู่แล้ว
“จำได้มั้ยว่าพายติดค้างคำขอของเราอย่างนึง เพราะงั้น...ขอให้เราได้ไปอยู่แทนที่พายเถอะนะ”
2BC
สวัสดีค่าทุกคน พบกับเค้าแบบนี้ก็แสดงว่า Rabid หัวใจคลั่งรักก็ได้จบไปอีก 1 ตอนแล้ว ลงแบบยาวกว่าปกติด้วยนะคะ ซึ่งก็ไม่มีกลิ่นมาม่าอย่างที่เค้าบอกเลยใช่มั้ยล่ะ เป็นกลิ่นของหวานจนรู้สึกเหม็นความรักเอามากๆ
ถามว่าพูดถึงคู่ไหน? ก็คู่พฤกษ์ซ่าไงจะใครล่ะ อิอิ (ได้เอาคืนอีตาเพลิงสมใจแกแล้วนะไอ้ซ่า 55555
)
ส่วนคู่ของเพลิงพายนั้น พูดเลยว่ามันไม่ใช่แค่มาม่าแล้วค่ะ แต่มันแทบจะเป็นระเบิดเวลาไปแล้ว 55555
เราจำได้ว่าเคยเห็นคอมเมนท์ที่รู้สึกทะแม่งๆกับอินน์บ้าง คืออยากจะปรบมือและยกนิ้วให้เลยค่ะ เก่งและเซ้นส์ดีมากๆเลยที่ร้ากกกกก
ไหนๆได้เอ่ยถึงอินน์ละก็ขอถามหน่อยแล้วกัน เกลียดอินน์กันมั้ยน้อ? ส่วนถ้าถามถึงความเห็นของเรา เราไม่เกลียดนะ คืออินน์ไม่ได้ร้ายอะไรขนาดนั้น แต่ก็ไม่รู้ล่ะนะว่าสร้างความร้าวฉานให้คู่เพลิงพายขนาดไหน ที่แน่ๆต้องมาลุ้นกับคำตอบของพายกันนะคะว่าตอบยังไง วันพุธช่วงค่ำๆหรือดึกๆเจอกันค่ะที่ร้ากกกก
กำพระให้แน่นกว่าเดิมแล้วมาเอาใจช่วยคู่เพลิงพายด้วยน้าาาา
(8 ก.ค. 61)