[H.E.A.R.T.] E.Erotic หัวใจร้อนรัก
Part 8# Thara ยัยงูพิษ!
“ผมว่าเป็นฝาแฝด”
“แต่ผมว่าสองบุคลิก”
พฤกษ์และเพลิง สองแฝดของบ้านพูดขึ้นเมื่อได้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานจากผม ซึ่งผมเล่าทุกอย่างทั้งหมดแบบไม่คิดปิดบัง โดยเฉพาะความรู้สึกของผมที่สองจิตสองใจเลือกใครไม่ได้ ผมชอบทั้งเมฆทั้งหมอกและจะไม่ยอมเสียใครไปทั้งนั้น
“เฮ้ออออออ ขนาดพวกแกความคิดเห็นยังแตกแยกหรอเนี่ย” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ลองถ้าเป็นแบบนี้ผมก็คงต้องกลุ้มใจต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รู้ความจริงสินะ
ตอนนี้ผมนั่งเอามือข้างหนึ่งกุมศีรษะอยู่ที่ข้างเตียงในห้องนอน โดยมีพฤกษ์และเพลิงลากเก้าอี้มานั่งอยู่ตรงข้าม บรรยากาศเหมือนกับวันแรกที่ผมเล่าเรื่องของหมอกกับเมฆให้ฟังอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
อันที่จริงผมยังไม่คิดจะกลับบ้านวันนี้หรอก เพราะอยากอยู่ดูแลหมอกมากกว่า แต่หมอกมีนัดฉลองสอบเสร็จกับเพื่อนที่เอก จะไม่ไปก็ไม่ได้เพราะเพื่อนทุกคนก็ไปกันหมด แถมผมยังรู้สึกว่าหมอกกลับมาแข็งแรงจนแทบจะเป็นปกติแล้ว งานฉลองก็แค่กินหมูกระทะไม่มีแอลกอฮอล์ ผมเลยอนุญาตให้ไปแต่มีข้อแม้ว่าผมจะไปรับไปส่ง
“เอาจริงๆ มันก็มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ ก็คำพูดของเมฆฟังดูกำกวมซะขนาดนั้น” พฤกษ์พูดขึ้น ผมกับเพลิงจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“เออ มันก็เป็นได้ทั้งคู่จริงๆ แต่ที่กูคิดว่าเป็นสองบุคลิกมากกว่า ก็เพราะหมอกกับเมฆแม่งไม่เคยโผล่มาพร้อมกันเลยนี่แหละ โดยเฉพาะไอ้คนหลังนี่ทำตัวลึกลับฉิบหาย” เพลิงพูดด้วยท่าทางหัวเสีย นี่ขนาดเป็นแค่คนฟังนะ ถ้าเป็นคนเจอด้วยตัวเองเหมือนผมคงจะพ่นไฟจนบ้านไหม้แน่ๆ
“ที่มึงพูดมันก็ทำให้คิดว่าเป็นสองบุคลิกจริงๆ นั่นแหละ แต่กูรู้สึกสงสัยเรื่องที่เมฆพูดถึงพ่อแม่ แล้วก็เรื่องที่บอกว่ารู้จักหมอกเป็นอย่างดี แต่หมอกไม่เคยรับรู้ว่ามีตัวเองอยู่บนโลก มันเลยทำให้กูคิดว่าหมอกกับเมฆมีเปอร์เซ็นต์เป็นฝาแฝดกันมากกว่า”
“ทำไมล่ะพฤกษ์?” ผมอยากรู้เร็วๆ จนอดที่จะถามออกไปไม่ได้
“คือต้องบอกก่อนนะครับว่าบางทีเมฆอาจจะจงใจพูดให้สับสนจนเอนเอียงมาทางนี้ก็ได้ แถมผมเป็นคนที่คิดอะไรค่อนข้างซับซ้อนซะด้วยเลยอาจจะติดกับ เพราะงั้นผมเลยคิดว่าบางทีหมอกกับเมฆอาจจะถูกจับแยกกันตั้งแต่เกิดด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจเกี่ยวกับสุขภาพของหมอกก็ได้ แต่ผมยังประติดประต่อไม่ได้เพราะมีข้อมูลแค่นี้”
“นั่นสินะ ข้อมูลที่ได้มามันก็ชวนงงจริงๆ นั่นแหละ แถมอาการของหมอกที่ได้ฟังมามันก็ดูแปลกๆ ด้วย อีตาหมอบ้านั่นก็พูดเฉไฉไปเรื่อยไม่ยอมบอกอะไรเป็นเรื่องเป็นราว พอโทรไปหามากๆ เข้าก็ดันปิดเครื่องใส่อีก มันน่าบุกไปหาถึงโรงพยาบาลจริงๆ เลย” พูดแล้วก็เจ็บใจ ถ้าไม่อยากรับสายแล้วจะให้เบอร์ผมมาทำไมก็ไม่รู้ไอ้หมอเจ้าเล่ห์!
“ผมว่าพี่ไม่ต้องเสียเวลาบุกไปหาไอ้หมอนั่นหรอก เชื่อเหอะถึงไปกราบกรานอ้อนวอนมันก็ไม่ยอมบอกความจริงอยู่ดี ผมคิดว่าพี่น่าจะลองสืบจากคนใกล้ตัวของหมอกดู อย่างครอบครัวหรือพวกเพื่อนสนิทไรงี้” เพลิงเสนอความคิด ซึ่งผมคิดว่ามันก็ดูเข้าท่าอยู่เหมือนกัน
“เดี๋ยวพี่จะลองสืบจากกลุ่มเพื่อนของหมอกก็แล้วกัน ส่วนครอบครัวคงต้องเอาไว้ทีหลัง เพราะหมอกไม่เคยพูดเรื่องครอบครัวกับพี่เลย จะว่าไปวันที่มากินข้าวบ้านเรานั่นแหละที่หมอกพูดถึงครอบครัวเป็นครั้งแรก แต่นั่นก็เพราะถูกพี่ภูถาม แล้วหมอกก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากมายด้วย”
“เหมือนไม่อยากพูดถึง!” / “เหมือนไม่อยากพูดถึง!”
พฤกษ์กับเพลิงพูดขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็หันหน้าไปมองกันก่อนจะหันกลับมาหาผม
“ชัวร์เลย ครอบครัวของหมอกต้องมีอะไรแปลกๆ แน่ๆ ถึงเลี่ยงที่จะพูดถึงซะขนาดนั้น แต่พี่อย่าไปถามกับหมอกตรงๆ ล่ะเดี๋ยวจะถูกสงสัย ไปตีซี้หลอกถามจากเพื่อนหมอกดีกว่า ยิ่งถ้ามีคนที่จบ.ต้นหรือม.ปลายมาด้วยกันก็ยิ่งดี” พอเพลิงพูดแบบนี้พฤกษ์ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“อย่างวันนี้หมอกมีนัดไปกินเลี้ยงกับเพื่อนใช่มั้ยครับ ตอนไปรับพี่ธารจะเดินไปหาที่โต๊ะเลยก็ได้ ถ้าหากโดนถามว่าเป็นใครแล้วกลัวหมอกเสียหาย พี่ธารก็โกหกไปว่าเป็นญาติ เพราะคงไม่มีใครมานั่งซักประวัติว่าเป็นญาติฝั่งไหนของหมอกหรอก”
“อืม...นั่นสินะ พี่จะลองดูก็ได้พฤกษ์” คำแนะนำของทั้งสองแฝดที่พูดมามันก็น่าลองเหมือนกัน ถึงผมจะไม่ค่อยมั่นใจก็เถอะว่าจะเข้ากับเพื่อนหมอกได้มั้ย เพราะช่วงวัยเล่นห่างซะเกือบ 10 ปี แต่ผมจะพยายามเต็มที่ เพราะตอนนี้ผมคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ
จากนั้นประมาณ 4 ทุ่มนิดๆ หมอกก็โทรมาหาผมว่า งานเลี้ยงเริ่มซาเพื่อนบางคนได้ทยอยกันกลับบ้านแล้ว ผมเลยบอกลาสองแฝดแล้วก็คนอื่นๆ ในบ้าน จากนั้นก็ขับรถไปรับหมอกยังร้านหมูกระทะหลังมหา’ลัยที่เคยไปส่ง
ระหว่างทางผมก็พยายามคิดไปด้วยว่าจะทำทีเดินไปตามหมอกที่โต๊ะยังไง กะให้ดูเป็นธรรมชาติไม่ให้ดูจงใจเกินไปว่ามีจุดประสงค์ไปตีซี้เพื่อนของหมอก แต่พอไปถึงผมกลับไม่ต้องเสียเวลาทำแบบนั้น เพราะผมเห็นทั้งหมอกและเพื่อนผู้หญิงกับผู้ชายจำนวน 10 กว่าคนกำลังยืนจับกลุ่มกันที่หน้าร้าน
แปลก มายืนทำอะไรกันตรงนี้?
แต่ถึงจะสงสัยผมก็ไม่ต้องเดินลงจากรถไปถามให้เสียเวลา เพราะหมอกได้เดินมาเคาะกระจกรถผม (อันที่จริงต้องบอกว่าถูกเพื่อนดันให้มาซะมากกว่า) ผมเลยต้องกดกระจกลงอย่างช่วยไม่ได้
“ว่าไงหมอก?”
“คือ...คุณธารลงจากรถมาสักแป๊บได้มั้ยครับ พวกเพื่อนผมมันอยากเจอคุณ” หมอกพูดอย่างกลัวๆ กล้าๆ ด้วยท่าทางเกรงใจ
“อยากเจอฉัน? ทำไมหรอ?” ผมชี้มือเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ
“คือ...พอถูกถามว่าใครมารับมาส่ง ผมมีพิรุธเลยถูกจับได้ว่าเป็นแฟนน่ะครับ” มิน่าล่ะถึงได้ออกมายืนออกันหน้าร้านแบบนี้
“ฉันไม่มีปัญหาหรอกนะถ้าจะลงไป แต่นายจะไม่เป็นไรหรอ ไม่กลัวถูกล้อที่มีแฟนเป็นผู้ชายรึไง” จริงอยู่ที่เดี๋ยวนี้ความรักมันเปิดกว้างแล้ว คู่รักเพศเดียวกันสามารถควงกันได้โดยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่คนที่รังเกียจและยังเหยียดอยู่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
“ผมไม่แคร์เรื่องนั้นหรอกครับ คำพูดของคนอื่นจะไปสำคัญเท่ากับความรู้สึกของคุณได้ยังไง” ผมรู้สึกตื้นตันจนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้กับคำพูดนั้น แต่หมอกคงจะรู้สึกเขินที่พูดอะไรจริงจัง เลยหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“ว่าไปนั่น ความจริงเพื่อนผู้ชายในเอกที่คบกันก็มีครับ ถึงพวกนั้นจะกลับไปแล้วก็เถอะ แต่ยังไงก็ไม่มีใครล้อเรื่องของเราสองคนแน่นอน”
“อืม...ถ้างั้นฉันจะลงไปทักทายเพื่อนของนายหน่อยก็ได้” พูดจบผมก็ดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูรถลงไปข้างล่าง หมอกจึงจูงมือผมพาเดินไปหาพวกเพื่อนๆ
“พวกมึง นี่คุณธารแฟนกูเอง” หมอกแนะนำผมให้เพื่อนรู้จักอย่างเสียงดังฟังชัด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเห็นว่าหมอกมีอาการเขินอาย แม้จะพยายามข่มมันเอาไว้แค่ไหนก็ตาม
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เรียกฉันว่าพี่ธารก็ได้” ผมยิ้มหวานให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร ไม่ได้รู้สึกขัดเขินสักนิดที่ถูกสายตา 10 กว่าคู่จดจ้องอย่างตกตะลึง ก็นะ...เรื่องแบบนี้ผมชินแล้ว
“เหยดดดดด แฟนมึงโคตรสวยเลยว่ะหมอก ถามจริงพี่ธารเป็นผู้ชายจริงเปล่าวะ” เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งสะกิดที่ไหล่หมอก ทั้งที่ดวงตายังคงจ้องผมไม่วางตา ดูจากท่าทางแล้วคงจะเกรียนและสนิทกับหมอกพอสมควร
“กูจะโกหกมึงทำไมล่ะไอ้น็อต แล้วเมื่อไหร่จะเลิกจ้องคุณธารสักที นี่แฟนกู กูหวง” หมอกพูดจบก็เอามือปิดตาเพื่อนที่ชื่อน็อต คำพูดและการกระทำของหมอกทำเอาผมอดที่จะเขินไม่ได้ แต่ก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่เห็นหมอกพูดแบบนี้ ถ้าเป็นเมฆยังพอจะเข้าเค้ามากกว่า แต่ดูจากแววตาคนที่ยืนอยู่นี่คือหมอกไม่ใช่เมฆอย่างแน่นอน
“โหย แค่นี้ทำหวง ไอ้คนเห่อแฟนเอ๊ย” น็อตเบ้ปากมองบนใส่ แต่ก็ดูออกว่าเป็นมุขตลกเพื่อนที่อยู่รอบๆ เลยพากันหัวเราะ จะมีก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนริมสุดเท่านั้นที่ทำหน้าบึ้ง แถมยังจ้องมาทางนี้ราวกับว่ากำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง แต่ว่าก็แค่แป๊บเดียว เพราะหลังจากนั้นหมอกก็แนะนำทุกคนให้ผมรู้จักเธอก็ยิ้มแย้มตามปกติ ผมเลยพยายามคิดว่าผมคงคิดมากไปเอง
“ตอนนี้พวกมึงก็ได้เจอคุณธารแล้ว ถ้างั้นกูกลับแล้วนะ”
“อ้าวเฮ้ย แค่นี้เองหรอวะ พวกกูยังไม่ได้คุยกับพี่ธารเลยนะเว่ย” คนที่พูดนี้ชื่อเก่ง ท่าทางจะเฮ้วและเกรียนไม่ต่างจากน็อต
“นั่นสิ มึงจะรีบกลับไปไหน นี่พึ่ง 4 ทุ่มครึ่งเองนะไอ้หมอก” น้องผู้หญิงหนึ่งในสองคนที่ยืนอยู่ตรงนี้พูดขึ้น เห็นน้ำเสียงและท่าทางห้าวๆ แบบนี้ แต่ก็มีชื่อที่หวานเจี๊ยบตรงข้ามกับรูปลักษณ์โดยสิ้นเชิง เพราะน้องเขามีชื่อว่าน้ำตาล
อ้อ แต่น้องคนนี้เป็นคนละคนกับที่ผมเห็นว่าจ้องมองมาอย่างไม่พอใจนะ เพราะน้องคนนั้นน่ะชื่อเมเปิ้ล (ก็ไม่รู้ว่าตอนเกิดชื่อเปิ้ลเฉยๆ แต่พอโตขึ้นอยากเพิ่มความเก๋ความชิคให้กับชื่อ เลยเติม ‘เม’ เข้าไปข้างหน้าจนชื่อเมเปิ้ลรึเปล่าล่ะนะ) ถึงจะแต่งตัวเรียบร้อยใสๆ และทักทายผมอย่างยิ้มแย้ม แต่ผมกลับคิดว่านั่นเป็นการแอ๊บไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผมจะคิดไปเองอีกรึเปล่า
“ถ้าอยากคุยกับพี่งั้นพรุ่งนี้ไปร้องคาราโอเกะกันมั้ยล่ะ เดี๋ยวพี่เป็นเจ้ามือเอง” ผมยื่นข้อเสนอ แน่นอนล่ะว่าผมไม่ได้เลี้ยงฟรีๆ เพราะมีจุดประสงค์ที่จะหลอกถามข้อมูล แต่น้องๆ แต่ละคนไม่รู้เลยร้องว้าวตาโตพร้อมกับพยักหน้ากันรัวๆ
“ไปครับ!” / “ไปค่า!”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ให้หมอกโทรไปนัดเวลาอีกทีนะ ส่วนวันนี้พี่ขอตัวกลับก่อน” พูดจบผมก็โบกมือลา ทุกคนเลยยกมือไหว้ ก่อนที่ผมจะเดินนำหมอกไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้
“ขอโทษนะครับคุณธาร พรุ่งนี้วันหยุดแท้ๆ แทนที่คุณจะได้พักผ่อน แต่ต้องออกไปร้องคาราโอเกะแล้วก็เลี้ยงเพื่อนผมซะได้” หมอกพูดขึ้นอย่างเกรงใจเมื่อเราสองคนขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้ว
“ฉันเป็นคนเสนอตัวเลี้ยงเองนายจะขอโทษทำไม”
“ก็ผมเกรงใจนี่ครับ อีกอย่างผมกลัวคุณจะเบื่อด้วย ไอ้พวกนั้นมันติงต๊องไร้สาระกันทั้งนั้น” ถึงจะบ่นแบบนั้นแต่หมอกก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทางมีความสุข
“ฉันไม่เบื่อหรอก อันที่จริงฉันรู้สึกสนุกด้วยซ้ำไปที่ได้เห็นนายอีกมุมที่ไม่เคยเห็น นึกว่านายจะเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นายดูร่าเริงกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”
“ตอนแรกที่เข้ามาเรียนผมก็เงียบๆ อย่างที่คุณธารคิดนั่นแหละครับ แต่พอได้สนิทกับไอ้พวกนั้น ผมเลยติดนิสัยของพวกมันมา”
“ดีแล้วแหละ ฉันดีใจนะที่เห็นนายร่าเริง นายมีเพื่อนที่ดีนะหมอก” ผมพูดจบก็ยื่นมือไปวางที่ศีรษะของหมอกแล้วลูบเบาๆ โดยที่สายตายังคงจดจ้องอยู่ที่ถนนตรงหน้า ขนาดพึ่งเจอกันได้แค่แป๊บเดียว แต่ผมก็รู้สึกว่าเพื่อนของหมอกเป็นเด็กดีและน่าคบหากันทุกคนจริงๆ
แต่ที่ผมคิดอย่างนั้นก็เพราะลืมใครคนหนึ่งไป...
ผมไม่รู้เลยว่าน้องผู้หญิงที่ผมพยายามคิดไปเองว่าเข้าใจเธอผิด ตอนนี้กำลังกำหมัดแน่นและจ้องมาทางรถของผมที่ขับออกมาไกลลิบด้วยความชิงชัง สายตานั้นไม่เหลือเค้าความใสและน่ารัก เหลือแต่โฉมหน้าจริงที่ยิ่งกว่างูพิษ ซึ่งกำลังคิดแผนร้ายทำลายความสัมพันธ์ของผมกับหมอก
“ถ้ากูไม่ได้ก็อย่าฝันเลยว่าใครจะได้ ยิ่งเป็นผู้ชายกูยิ่งแพ้ไม่ได้เข้าไปใหญ่” เสียงนั้นแม้จะเต็มไปด้วยความแค้นและเจ็บใจ แต่ก็ดังแค่ในลำคอไม่มีใครสักคนได้ยิน ก่อนที่เสียงนั้นจะกลืนหายไปพร้อมกับสายลมที่ผ่านพัดมา...
.....................................................................
.........................................
................
“สวัสดีครับ / ค่ะ พี่ธาร” กลุ่มเพื่อนของหมอกยกมือไหว้ผมเมื่อเดินเข้ามาในห้องคาราโอเกะที่จองเอาไว้ จากนั้นก็หันไปยกมือทักทายหมอกที่เดินเข้ามาพร้อมกันกับผม
“มาถึงกันนานรึยัง ขอโทษที่ช้านะ พอดีเส้นที่พี่มากำลังสร้างรถไฟฟ้ารถเลยติดสุดๆ น่ะ” ขนาดผมเผื่อเวลาเอาไว้พอสมควรแล้วนะ แต่รถกลับติดนรกกว่าที่คิดไว้ซะอีก
“ไม่นานค่า พวกหนูก็พึ่งมากันครบเมื่อกี้เอง” น้ำตาลสาวห้าวเป็นคนตอบ
“หืม? นี่มากันครบแล้วหรอ พี่ก็นึกว่าจะมากันเยอะกว่านี้ซะอีก”
ที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะสมาชิกที่อยู่ในห้องถ้าไม่รวมหมอกกับผมก็มีแค่ 5 คนเอง จะมีน้ำตาล เมเปิ้ล น็อต เก่ง แล้วก็เต๋า ซึ่ง 4 คนแรกผมจำได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะน้องที่ชื่อเมเปิ้ลนี่ผมจำได้ขึ้นใจ ส่วนน้องที่ชื่อเต๋าผมจำได้ว่าเมื่อวานก็อยู่ด้วยแต่ไม่ได้คุยกัน เพราะท่าทางน้องเป็นคนเงียบขรึมยิ่งกว่าหมอกซะอีก
“ความจริงเพื่อนคนอื่นก็อยากมานะพี่ธาร แต่ไอ้ตาลมันไม่ให้มา มันบอกว่ากลัวพี่ธารล้มละลาย” น็อตพูดขึ้นแล้วหัวเราะขำๆ
“ก็แล้วมันจริงมั้ยล่ะ แต่ละคนแดกล้างผลาญอย่างกับห่าลง มากันแค่กลุ่มเราก็พอแล้วเว่ย” คำพูดของน้ำตาลถึงแม้จะหยาบเกินผู้หญิงไปหน่อยจนผมตกใจ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความหวังดีและความจริงใจที่มีให้ผม
“ขอบใจมากนะน้ำตาลที่เป็นห่วงพี่ แต่คราวหน้าให้เพื่อนคนอื่นมาด้วยก็ได้ พี่คิดว่าคงไม่โดนถล่มจนล้มละลายขนาดนั้นหรอกมั้ง” ผมพูดยิ้มๆ ทุกคนในห้องเลยหัวเราะออกมาเบาๆ
จนกระทั่ง...
“พี่ธารนี่สปอร์ตจังเลยนะคะ เวลาไปเที่ยวบาร์โฮสต์คงจะเปย์หนุ่มๆ หนักน่าดูเลยนะคะเนี่ย คิกคิก” ประโยคนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องถึงกับเงียบกริบ มีเพียงเมเปิ้ลเจ้าของเสียงที่หัวเราะคิกๆ คักๆ อยู่คนเดียว
“อ้าว ทำไมถึงเงียบกันหมดล่ะ ไม่ขำกับมุขของเราหรอ เราว่าตลกจะตาย” เมเปิ้ลเอียงคอถามอย่างบ้องแบ๊ว
“ตลกกับผีน่ะสิอีเปิ้ล!” ประโยคนี้ผมไม่ได้เป็นคนพูด แต่คนพูดคือน้ำตาล ซึ่งราวกับว่าเอาความในใจของผมไปพูดยังไงยังงั้น
“เราชื่อเมเปิ้ล เรียกให้ครบด้วยสิน้ำตาล”
“ย่ะ! เมเปิ้ลก็เมเปิ้ล! กูแก้ชื่อให้มึงแล้วมึงก็เอามุขตลกที่ขำไม่ออกของมึงกลับไปด้วย เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง หนูขอโทษแทนมันด้วยนะคะพี่ธาร” ประโยคสุดท้ายน้ำตาลหันมาพูดกับผม ผมจึงยิ้มให้บางๆ อย่างไม่ถือสา ทั้งที่ในใจกำลังเดือดปุดๆ อย่างไม่สบอารมณ์
ลองถ้าเมเปิ้ลพูดแบบนี้ก็แสดงว่า สิ่งที่ผมเห็นเมื่อวานมันเกิดขึ้นจริงไม่ใช่เป็นการคิดไปเอง ส่วนสาเหตุก็คงเป็นได้แค่อย่างเดียวคือเมเปิ้ลแอบชอบหมอก เลยหาทางปั่นให้ผมดูไม่ดีเพื่อที่ตัวเองจะได้มีโอกาสเสียบแทน แต่ก็ยังดีที่หมอกไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับคำพูดนั้น
“เอ่อ...ถ้าไงพวกเรามาร้องเพลงกันดีกว่า ใครอยากร้องเป็นคนแรกยกมือขึ้นเลย” เก่งเป็นคนพูดขึ้นเมื่อเห็นทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ซึ่งก็ช่วยแก้สถานการณ์ได้เป็นอย่างดี เพราะเพียงไม่นานทุกคนก็กลับมาสนุกสนานเฮฮากันอีกครั้ง
“ใครอยากกินอะไรสั่งได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ” แต่ถึงผมจะพูดแบบนี้ทุกคนก็ยังเกรงใจผมอยู่ดี ผมจึงเป็นคนออกปากสั่งอาหารแทน เมื่อสั่งไปแล้วจนอาหารถูกวางเรียงกันอยู่ตรงหน้า ทุกคนที่ถึงแม้จะเกรงใจแต่ก็ต้องช่วยกันกินเรื่อยๆ อยู่ดี
เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน 14 ตอนที่ฉันมีแฟนคนแรก ลึกๆ ข้างในมันหวั่นมันไหวแปลกๆ เธอรู้ไหมฉันเหมือน 14 อีกครั้ง ~~~ตอนนี้เก่งกำลังยืนร้องเพลงโดยพยายามทำท่าทางและดัดเสียงให้คล้ายเจ้าของเพลงอย่าง ‘เสก โลโซ’ เล่นเอาทุกคนถึงกับต้องปรบมือให้เพราะถูกใจในความเป๊ะ นี่ถ้าจับแปลงโฉมพร้อมให้ใส่ชุดคอสเพลย์ คงเหมือนพี่เสกแกมาร้องเพลงเองจริงๆ
“จะว่าไป ในนี้มีใครบ้างอะที่มีแฟนตอนอายุ 14” น็อตถามขึ้นพลางไล่มองใบหน้าแต่ละคน ซึ่งก็ได้รับการส่ายหน้าปฏิเสธเป็นคำตอบ
“โหย ไรเนี่ย อย่าบอกนะว่ามีแฟนก่อน 14 กันทุกคนเลย” พอคิดเองเออเองแบบนี้ น็อตก็ถูกน้ำตาลเหวี่ยงใส่ทันที
“บ้านมึงสิ! ก่อน 14 กูยังเป่ากบโดดยางอยู่เลยไอ้น็อต!” คำตอบนั้นทำเอาทุกคนหัวเราะออกมาตามๆ กัน
“แล้วมึงมีแฟนคนแรกตอนไหนล่ะ” น็อตยังคงถามต่อ
“มึงจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา ผ่านโว้ยผ่าน แฟนเฟินห่าเหวอะไรไร้สาระ”
“แหม ไร้สาระหรือว่าไม่มีคนเอากันแน่มึง ฮ่าๆๆๆ” น็อตหัวเราะอย่างสะใจ น้ำตาลจึงถลึงตาใส่อย่างเคียดแค้นราวกับจะฆ่าให้ตาย แต่น็อตก็ยักไหล่อย่างไม่แคร์แล้วหันไปหาเมเปิ้ล
“แล้วเมเปิ้ลล่ะมีแฟนคนแรกตอนไหน”
“เราไม่เคยมีแฟนหรอกน็อต คุณพ่อคุณแม่เราค่อนข้างหวง แล้วเราก็เป็นคนรักนวลสงวนตัวด้วย” เมเปิ้ลก้มหน้าน้อยๆ อย่างเอียงอาย แต่ก็แอบช้อนตาขึ้นมามองหมอก เล่นเอาผมอยากเอามือควักลูกตาที่ใส่บิ๊กอายเบอร์ 18 ให้แหกออกมาจริงๆ
“อื้อหือ กุลสตรีที่ชายไทยต้องการอยู่ตรงนี้เอง” น็อตยกนิ้วหัวแม่มือให้ แต่ผมอยากยกนิ้วกลางให้แทนมากกว่า
เฮอะ! อยากอ้วกใส่เป็นบ้า ถ้าเรียกยัยนี่ว่าหมูตัวเมียยังเข้าท่ากว่าเยอะ! (กุน = หมู / สตรี = ผู้หญิง)
“มาที่ฝั่งผู้ชายบ้างดีกว่าว่ามีแฟนคนแรกตอนอายุเท่าไหร่ เริ่มจากมึงเลยไอ้เต๋า” น็อตหันหน้าไปถามเต๋าที่นั่งเงียบๆ อยู่ริมสุดของโซฟา เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าน้องคนนี้ก็มาด้วย
“กูไม่เคยมีแฟน”
“เหยดดดดด นี่มึงพูดจริงพูดเล่น?” น็อตทำหน้าแปลกใจ
“ถ้าไม่เชื่อก็ถามไอ้หมอกดูสิ มันเรียนที่เดียวกับกูมาตั้งแต่ม.ต้น” ประโยคนั้นทำให้ผมรีบหันขวับไปมองเต๋าทันที แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพราะสนใจเรื่องการมีหรือไม่มีแฟนของเต๋า เป็นเพราะเต๋าบอกว่าเรียนที่เดียวกันกับหมอกมาตั้งแต่ม.ต้นต่างหาก
ผมเจอเป้าหมายที่จะตีซี้เพื่อหลอกถามเรื่องของหมอกและเมฆแล้ว!
“กูยืนยันเลยว่าไอ้เต๋ามันไม่เคยมีแฟนจริงๆ วันๆ มันเอาแต่เตะบอลเคยสนใจใครที่ไหน” หมอกหันไปยืนยันเรื่องของเต๋ากับน็อต ผมจึงสบโอกาสเริ่มคุยกับเต๋าเพื่อตีซี้
“งั้นพี่ขอถามเต๋าหน่อยสิว่า หมอกเคยมีแฟนก่อนจะได้มาเจอพี่รึเปล่า เห็นหล่อๆ แบบนี้แต่บอกไม่เคยมีแฟนพี่เลยไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่น่ะ” ผมแสร้งหรี่ตาทำเป็นไม่ค่อยไว้ใจ
“โธ่ คุณธารก็...ไอ้เต๋ามึงตอบดีๆ อย่าแกล้งกูนะเว่ย” หมอกโอดครวญกับผม ก่อนจะหันหน้าไปอ้อนวอนเต๋าที่นั่งข้างๆ
“สบายใจได้ครับพี่ธาร ไอ้หมอกมันไม่เคยมีแฟนหรอก พี่เป็นแฟนคนแรกของมันจริงๆ” นี่ถ้าเต๋าช่วยอำเพื่อแกล้งหมอกด้วยคนคงจะฮากันลั่นห้องแน่ๆ
“แล้วพี่ธารล่ะคะ ก่อนมีหมอกเป็นแฟนเคยได้ผู้ชาย...เอ๊ย! มีแฟนเป็นผู้ชายมากี่คนแล้วคะ” เสียงแอ๊บๆ ที่แสร้งตอแหลทำเป็นพูดผิดคงไม่ต้องบอกนะว่าใคร แน่นอนว่าต้องเป็นยัยเมเปิ้ลชัวร์อยู่แล้ว!
“เฮ้ยมึง พี่ธารไม่ใช่เพื่อนพวกเราสักหน่อย ถามแบบนี้มันเสียมารยาทนะเว่ย” เป็นอีกครั้งที่น้ำตาลช่วยออกหน้าแทนผม ผมรู้สึกว่าน้ำตาลดูจะไม่ค่อยชอบเมเปิ้ลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจเพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกันเลยมองออกก็ได้ว่าธาตุแท้ของเมเปิ้ลเป็นคนยังไง
“เราก็แค่ถามคำถามธรรมดาเองนะน้ำตาล ไม่เห็นรู้สึกเลยว่ามันจะเสียมารยาทตรงไหน” เมเปิ้ลกระพริบตากลมโตอย่างใสซื่อ น้ำตาลที่คงคนไม่ไหวกับความแอ๊บนั่นเลยง้างปากจะด่า แต่ผมก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องวิวาท พวกผู้ชายที่ดูไม่ออกเดี๋ยวจะเข้าข้างยัยเมเปิ้ลกันซะหมด
“พี่ไม่เคยมีแฟนมาก่อนหรอกนะน้องเมเปิ้ล” ที่ผมพูดไม่ได้เป็นการโกหกแต่อย่างใด ผมไม่เคยมีแฟนอย่างที่พูดจริงๆ ที่ผ่านก็เป็นแค่คู่นอนเท่านั้นเอง
คำพูดของผมทำให้ยัยเมเปิ้ลถึงกับหน้าเสียเพราะคงจะผิดแผน แต่ก็สามารถกลับมายิ้มหวานและแก้เกมได้อย่างรวดเร็ว
“ว้าว ถ้างั้นเมเปิ้ลก็ต้องแสดงความยินดีกับหมอกสินะคะ ที่อุตส่าห์รักษาความบริสุทธิ์จนได้มาเจอคนที่คู่ควรเพราะบริสุทธิ์เหมือนกัน” คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกราวกับถูกตบหน้ากลางสี่แยก เอาจริงๆ ผมคิดว่าถ้าถูกตบตรงนั้นยังดีกว่าการนั่งอยู่ตรงนี้ซะอีก
ผมไม่เคยรู้สึกแย่และคิดว่าตัวเองทำผิดที่เคยฟรีเซ็กส์จนกระทั่งวันนี้...
ตอนนี้ผมไม่กล้าหันไปมองหมอกด้วยซ้ำว่ากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่...
“อ้าว ทำไมหน้าซีดล่ะคะพี่ธาร หมอกก็ด้วยนั่งเงียบเชียว เป็นอะไรกันคะเนี่ยเมเปิ้ลงงไปหมดแล้ว” ยัยเมเปิ้ลเอียงคอ 45 องศาอย่างบ้องแบ๊ว แต่กลับยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากอย่างผู้ชนะ
อยากลุกไปตบยัยงูพิษนี่เป็นบ้า!
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นผมก็ได้แค่ขบกรามแน่นเพียงอย่างเดียว ก็ผมเป็นผู้ชายนี่นะจะให้ลุกไปตบผู้หญิงได้ยังไง แค่นี้ภาพลักษณ์ของผมก็ย่อยยับจนไม่เหลือชิ้นดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นหมอกคงไม่นั่งก้มหน้านิ่งๆ จนผมรู้สึกใจคอไม่ดีแบบนี้หรอก
ไม่ได้การ ผมต้องทำอะไรสักอย่างให้ยัยหมูตัวเมียหุบปากได้แล้ว!
ซึ่งขณะที่กำลังคิดอยู่นั่นเองผมก็เหลือบไปเห็นบิลค่าอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมจึงยิ้มที่มุมปากเมื่อเกิดความคิดดีๆ เลยหยิบกระเป๋าตังของตัวเองออกมา จากนั้นก็หยิบแบงค์พันกับเหรียญบาทออกมาจากกระเป๋า
การกระทำของผมทำเอาทุกคนที่อยู่ในห้องถึงกับทำหน้างง โดยเฉพาะเก่งที่พึ่งร้องเพลงเสร็จและยังยืนอยู่อย่างเก้ๆ กังๆ
“ยื่นมือออกมาหน่อยสิเมเปิ้ล” ผมยิ้มหวาน เล่นเอายัยเมเปิ้ลงงหนักกว่าเดิม แต่ก็ยอมยื่นมือออกมาตามคำขอของผมอย่างโดยดี ผมเลยวางเหรียญบาทลงบนนั้นแล้ววางแบงค์พันลงที่มือของผม
“ทุกคน ตอบพี่หน่อยว่าเหรียญในมือของเมเปิ้ลมีค่าเท่าไหร่”
“1 บาทครับ / ค่ะ” ทุกคนตอบคำถามอย่างพร้อมเพรียง
“แล้วในมือพี่ล่ะ?”
“1 พันครับ / ค่ะ” ผมยิ้มกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนที่จะขยำแบงค์พันในมือจนมันขดเป็นก้อนกลมๆ แต่หลังจากนั้นก็คลี่กลับคืนให้กลายเป็นแผ่นเหมือนเดิม
“พอพี่ทำแบบนี้ แบงค์พันในมือของพี่มีค่าลดลงไปรึเปล่า”
“ไม่ครับ / ค่ะ” จนถึงตอนนี้ทุกคนคงจะเข้าใจกันหมดแล้วล่ะว่าผมต้องการจะสื่ออะไร
“ของบางอย่างหรือคนบางคน ไม่ว่าจะเคยผ่านอะไรมามันก็ยังคงมีค่าเสมอ แต่สำหรับของบางอย่างหรือคนบางคน ถึงแม้จะไม่เคยผ่านอะไรมาเลยแต่มันก็ยังราคาถูกอยู่ดี ที่พี่พูดแบบนี้น้องเมเปิ้ลคงจะเข้าใจสินะ” ผมยิ้มที่มุมปาก ส่วนยัยเมเปิ้ลก็กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ เพราะคงคิดไม่ถึงว่าจะถูกผมตอกกลับจนหน้าหงายได้ขนาดนี้
ยกนี้ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายชนะไม่ใช่ยัยงูพิษ!
2BC
ฮัลโหลวววว สวัสดีค่าาาาาา Erotic ตอนที่ 8 ก็จบลงไปแล้วน้า ตอนที่กำลังอ่านทุกคนคงจะลุ้นและเจ็บใจแทนคุณธารมากๆเลยใช่มั้ยล่ะ
ที่ต้องมาไฝว้กับนีน้อยเมเปิ้ลจอมแอ๊บแบ๊วแบบนี้ แต่ในที่สุดมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะคุณธารสามารถตอกกลับไปได้สวยๆ เหมือนใบหน้าเลยค่า
ส่วนตอนหน้าก็มาลุ้นกันนะคะว่านีน้อยจะยอมแพ้แล้วร้องไห้วิ่งกลับบ้าน
หรือว่าจะไฝว้ต่อจนพี่ธารต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเสียน้ำตา หรือว่าจะมีอะไรที่พีคยิ่งกว่านี้เกิดขึ้น!? ถ้ายังไงก็รอกันอีกแค่ 2 วันนะคะ รับรองว่าช่วงค่ำๆหรือดึกๆเจอกันตอนที่ 9 แน่นอน บ๊ายบายยยย
แล้วมาเอาใจช่วยพี่ธารคนสวยกันด้วยน้า ถ้าชื่นชอบก็คอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เค้าด้วยเน่อ หรือจะเข้ามาเม้ามอยที่แฟนเพจก็ได้นะคะ รักทุกคนเลยน้า จุ๊บบบบบ
(16 พ.ย. 60)