Rule #6: Make yourself happy
วันนี้เขาต้องพูดกับขวัญข้าวเรื่องของสองให้ได้
จอมทัพบอกกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาระหว่างแปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว และขับรถมาทำงาน เขาบอกตัวเองอย่างนั้นถึงแม้ว่าขวัญข้าวจะเดินเข้าออกห้องของเขาตลอดทั้งเช้า แต่ก็ยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะเอ่ยออกไป
“คุณจอมทัพครับ มีอะไรรึเปล่าครับ ดูไม่ค่อยสบายใจเลย”
ขวัญข้าววางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ ดึงปากกาที่ร่างสูงควงไปมาไม่หยุดออกจากมือของชายหนุ่มอย่างช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือที่ยังขยับไปมาแม้จะไม่มีปากกาแล้วของอีกฝ่ายไว้ให้หยุดสั่น
รู้สึกผิดทุกครั้งที่ฉวยโอากสสัมผัสความอบอุ่นเพียงเล็กน้อยนี้ แต่ก็ไม่อาจหักห้ามใจได้ทันเวลาสักที
“ไม่เป็นอะไรหรอก โทษทีนะที่ทำให้เป็นห่วง”
จอมทัพดึงมือของตวัเองออกจากร่างเล็กเบาๆ เขาไม่อยากใช้ประโยชน์จากความสงสารของอีกฝ่าย ไม่ใช่ตอนที่เขากำลังจะทำร้ายจิตใจของขวัญข้าวแบบนี้
“มีอะไรก็เรียกผมได้นะครับ”
สีหน้าของขวัญข้าวดูเศร้าหมองลง จอมทัพรู้สึกใจหาย คิดว่าอีกฝ่ายคงเสียความรู้สึกที่เขามีความลับ ร่างเล็กหมุนตัวหันกลับไปยังประตูห้อง นั่นเป็นจังหวะที่ลูกบ้าของจอมทัพเริ่มทำงาน
“คุณสองเขาแต่งงานแล้วนะ”
มือที่เอื้อมไปจับที่จับประตูชะงัก ขวัญข้าวไม่มั่นใจว่าข้อมูลนั่นสำคัญกับเขาอย่างไร ร่างเล็กหันกลับมาหาเจ้านายของตนด้วยสีหน้างุนงง
“ครับ ทำไมเหรอครับ?”
น้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่แปลกใจของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่จอมทัพคาดไม่ถึง
“เอ่อ...”
แว่บแรกที่เขาคิดคือ หรือว่าขวัญข้าวจะไม่ถือ?
แต่ขวัญข้าวเป็นคนดีเกินกว่าจะยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้ว เรื่องนี้เขารู้ดี
หรือว่าเขาจะเข้าใจผิดไปเองทั้งหมด รอยที่อยู่ที่คอของร่างเล็กในวันนั้นอาจเป็นเพียงแผลแมลงกัดต่อยที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาก็เป็นได้ จอมทัพรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเพียงแค่คิดแบบนั้น
“อ๋อ…แค่คิดว่าคุณสองเขาดูเด็กมาก เลยคิดไม่ถึงว่ามีครอบครัวแล้วน่ะ”
“พี่สองอายุเท่ากับคุณจอมทัพนะครับ สามสิบแล้วมีครอบครัวก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่ครับ” ร่างเล็กแย้งอย่างมีเหตุผล แต่จอมทัพกลับทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กโดนแกล้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ฉันแค่ยี่สิบเก้าต่างหาก ยังไม่ขึ้นเลขสามซะหน่อย”
คนที่จู่ๆก็ไม่อยากแก่ขึ้นมาเถียง เขาไม่อยากให้ขวัญช้าวรู้สึกว่าเขาอายุมากเกินไปสำหรับตัวเอง เพราะแค่นี้เขาก็เสียเปรียบมากพอแล้ว
“ครับๆ ยังไม่สามก็ยังไม่สาม”
ขวัญข้าวยิ้ม ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้านาย แต่รอยยิ้มนั้นยิ่งทำให้จอมทัพรู้สึกงุ่นง่านทำตัวไม่ถูกขึ้นไปอีก
แต่นี่เป็นโอกาสแล้ว หากเขาต้องการจะเริ่มสานความสัมพันธ์กับขวัญข้าวก็ต้องตอนที่ยังไม่มีคู่แข่งแบบนี้นี่แหละ ทางจะได้สะดวก
“ขวัญ ตอนกลางวันไปหาอะไรกินกันมั้ย?”
“เอ่อ..ขอโทษนะครับคุณจอมทัพ วันนี้คงไม่สะดวก...” ขวัญข้าวก้มหน้างุด
“มีงานเหรอ?” ร่างสูงถามหยั่งเชิง ทั้งที่รู้ดีว่าเที่ยงนี้ร่างเล็กไม่มีธุระอะไรที่เกี่ยวกับบริษัท
“เปล่าครับ...” รอยยิ้มกระอักกระอ่วนปรากฏบนใบหน้าขาว “...ผม..มีเดท...”
จอมทัพพยักหน้า อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะถึงไม่...ห๊ะ!!!!!
กว่าจะตั้งสติได้ร่างเล็กก็กลับออกไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองเสียแล้้ว จอมทัพรู้สึกช็อค นี่เขามีคู่แข่งเป็นตัวละครนิรนามที่ยังไม่โผล่หัวออกมาอีกเหรอ
จอมทัพใจลอยคิดไปถึงบุคคลต้องสงสัยในบริษัทที่เขาคิดว่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยในครั้งนี้ ร่างสูงเหม่อลอยอยู่ในโลกอันโหดร้ายในหัวตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องทำงานไปจนถึงตอนประชุมบอร์ดบริหารที่สิ่งที่ธีรเชษฐ์พูดไม่เข้าหูเขาเลยสักนิด
จนกระทั่งแรงหยิกที่ต้นขาทำให้เขาสะดุ้งสุดตัว
“เป็นอะไรรึเปล่านาย?”ธีรเชษฐ์เลิกคิ้วเมื่อเห็นหลานของตัวเองสะดุ้งโหยงขึ้นมา
“ปะ…เปล่าครับ...”
จอมทัพยิ้มแห้งๆ ก้มศีรษะอย่างขอโทษขอโทษให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน รวมถึงมธุวันที่นั่งอยู่ข้างๆเขา เจ้าของแรงหยิกที่สะสมไปด้วยความหมั่นไส้เมื่อครู่
“ถ้าอย่างนั้นมาที่เรื่องต่อไป ผมอยากจะของความร่วมมือให้หนึ่งในนี้ไปเข้าร่วมการสัมนาที่จะจัดขึ้นเป็นเวลาสี่วันที่รีสอร์ทภาคเหนือ...”
โอกาสที่เขาจะได้ทำคะแนนให้ขวัญข้าวผุดขึ้นมาในหัว จอมทัพรีบยกมือทันทีก่อนที่ประธานบริษัทจะพูดจบเสียอีก
“ครับ ผมไปเองครับ”
“เหรอ งั้นฝากด้วยนะ”
แม้จะสงสัยกับท่าทีกระตือรือร้นในการทำงานผิดปกติของหลานชาย แต่จอมทัพมักจะเป็นคนที่เขาส่งไปสัมนาตามงานต่างๆอยู่แล้วด้วยบุคลิกที่เป็นคนร่าเริงเข้ากับคนง่าย เขาจึงไม่ได้ขัดข้องอะไร
ที่เหลือก็คงไม่พ้นการสืบหาว่าบุคคลปริศนาที่ขวัญข้าวจะไปหาในวันนี้คือใคร
‘...ผม..มีเดท...’
เขาบอกคุณจอมทัพไปแบบนั้นจริงๆด้วย ทำไงดีอ่ะ ฮือ
ทั้งที่คิดว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ แต่จิตสำนึกในด้านมืดที่เขาไม่คุ้นเคยกลับบอกให้เขาโพล่งออกไปแบบนั้น เพียงแค่ต้องการจะดูปฎิกิริยาของร่างสูง แค่คิดว่าจะได้เห็นความรู้สึกหวงแค่เพียงสักนิดก็ยังดี
แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนี้เขานั่งอยู่ในร้านกาแฟบรรยากาศดีในห้างหรูแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากบริษัทมาพอสมควร พี่สองเป็นคนเลือกสถานที่นัดพบนี้ให้เขา โดยที่ขวัญข้าวไม่รู้เลยว่าฝ่ายตัวข้ามหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าเพราะเขาเชื่อใจรุ่นพี่ของเขาเต็มที่ หรือเพราะเขาไม่อยากรับรู้กันแน่
ว่าแต่...แล้วเขาจะรู้ได้ไงว่าใครคือคนที่พี่สองนัดไว้ให้เขา
“คุณขวัญข้าวครับ...”
ขวัญข้าวเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ร่างเล็กยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือแดนดิน อาจารย์หนุ่มร่างสูง น้องชายของมธุวันในชุดเสื้อคอปกสีอ่อนกกับกางเกงขายาวที่เน้นรูปร่างสมส่วนหุ่นนักกีฬาของชายหนุ่มให้เป็นที่น่าจับตามองของคนในร้านมากยิ่งขึ้น
“อาจารย์แดนดิน บังเอิญจังเลยครับ”
“พี่จีนกับพี่สองไม่ได้บอกเหรอครับ?”
ร่างสูงมีสีหน้างุนงงกับความแปลกใจของขวัญข้าว
“พี่สอง?”ขวัญข้าวกระพริบตาปริบๆ
“ครับ พี่สองกับพี่จีนบอกว่าจะพาเด็กๆไปเยี่ยมพ่อแม่ต่างจังหวัดช่วงปิดเทอม เขามาขอให้ผมช่วยสอนภาษาอังกฤษให้คนรู้จักสองสามครั้ง พอได้ยินว่าเป็นคุณขวัญข้าวผมเลยตอบตกลง....”เสียงของร่างสูงแผ่วลง ก่อนที่รอยยิ้มของแดนดินจะ
เจื่อนลง “...นี่...คงไม่ใช่ว่าพี่เขาพยายามจับคู่ให้ผมอีกหรอกใช่มั้ยครับ”
ขวัญข้าวได้แต่หัวเราะแห้งๆ ไม่สามารถปฎิเสธข้อกล่าวหานั้นได้
“ขอโทษนะครับ ที่ต้องลากอาจารย์เข้ามาเกี่ยวข้อง...”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” แดนดินหัวเราะในลำคอ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามของร่างเล็ก “แต่ไม่คิดเลยนะครับ ว่าคนน่ารักๆอย่างคุณขวัญข้าวจะมีปัญหาเรื่องนี้”
“ผมคงต้องพูดแบบั้นกับอาจารย์มากกว่าครับ”
ขวัญข้าวยิ้ม เลิกคิ้วมองร่างสูงที่ดูเหมือนพระเอกละครเตรียมเข้าฉากทุกองศา
“เรียกผมดินเฉยๆก็ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเรียกผมว่าขวัญหรือข้าวก็ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น..คุณขวัญพอจะเล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ ว่าอะไรทำให้คุณถูกพี่สองจากคู่นัดบอดให้แบบนี้”
คำเรียกที่มีเพียงจอมทัพคนเดียวที่ใช้ทำให้ร่างเล็กหน้าแดงเล็กน้อย นึกถึงเจ้านายของตนที่มักเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงตลอดเวลา
“คือ…” ขวัญข้าวอึกอัก ไม่แน่ใจว่าควรจะบอกความจริงกับอีกฝ่ายหรือไม่
“ผมเก็บความลับเก่งนะครับ”
ร่างสูงขยิบตาพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่อาจทำให้สาวๆในระยะที่มองเห็นเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ รู้ตัวอีกที สิ่งที่อัดอั้นไว้ในอกมาเป็นเวลานานก็พรั่งพรูออกมาจากปากอย่างหยุดไม่อยู่
-------------