Rule of secret Love “กฎของคนแอบรัก” อัพเดท แจ้งข่าว!!! (28/12/2017) P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Rule of secret Love “กฎของคนแอบรัก” อัพเดท แจ้งข่าว!!! (28/12/2017) P.6  (อ่าน 190539 ครั้ง)

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


Rule of secret Love
“กฎของคนแอบรัก”


คำนิยม

มอบแด่...ใครบางคนที่มีความรักที่แม้จะรู้ว่าไม่มีวันเป็นไปได้
แต่ก็ยังหวังว่าสักวันความรู้สึกที่หาสาเหตุไม่ได้นี้จะได้ประกาศออกไปในที่สุด
และมอบแด่...ใครคนนั้นที่กลายเป็นกำลังใจและรอยยิ้มทั้งหมด นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน
หากได้อ่านถึงบรรทัดนี้ ช่วยยิ้มและกล่าวคำว่าขอบคุณมากกว่าขอโทษ
ช่วยยิ้มยินดีมากกว่าร้องไห้ ช่วยมีความสุขมากกว่าความเจ็บปวด
และช่วยรับรู้ไว้ว่า ไม่ว่าช่วงเวลานี้จะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน
ผมอยากให้คุณรู้ว่า
‘นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม’
[/size]




เพิ่งเคยลงในเล้าเป็นครั้งแรก ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ (-/\-) : NAVY
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-12-2017 23:59:12 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 1 อย่าให้เขารู้ตัว
เราไม่มีทางรู้ว่าความรักจะดำเนินไปทางไหน
จนกว่าจะถึงจุดจบ






บนโลกนี้สิ่งที่พิเศษกว่าท้องฟ้าที่สามารถเปลี่ยนสีได้หลากหลาย พิเศษกว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติที่บางครั้งเกิดจากการที่สิ่งเล็กๆ รวมตัวกัน พิเศษยิ่งกว่าการกำเนิดของโลกใบนี้

ผมคิดว่า มันคือใครคนหนึ่ง

อ่า เขาอาจจะไม่ได้พิเศษสำหรับทุกคนหรอกครับ มองจากสายตาคนอื่นๆ เขาก็แค่ผู้ชายที่หน้าพอใช้ได้คนหนึ่ง เก่งหน่อยก็เรื่องมีน้ำใจ พิเศษกว่านั้นอีกนิดก็รอยยิ้มนั้นที่สดใสชะมัด! เขาคงไม่รู้ตัวหรอกว่า คนอื่นเขามีความสุขเวลามองรอยยิ้มของเจ้าตัวน่ะ...
เราถึงไหนแล้วนะ? ขอโทษครับ นอกเรื่องไปหน่อย

ที่บอกว่าเขาคือคนพิเศษน่ะ หมายถึงเขาพิเศษกับคนอย่างผมเป็นพิเศษน่ะครับ

เขาพิเศษตรงที่ไม่ว่าผมจะอยู่ในช่วงอารมณ์ที่แย่แค่ไหน กำลังร้องไห้อยู่หรือกำลังเครียดคร่ำครวญกับเกรดที่พากันร่วงเหมือนหุ้น แม้กระทั่งกำลังโกรธใครบางคนจนนึกอยากจะแปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาด พังทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง แค่เห็นเขาปรากฎตัวขึ้นมา แค่เห็นเขาขยับ ยิ้ม หัวเราะ หรือแม้แต่แค่ขมวดคิ้ว ผมก็สามารถกลับมายิ้มได้ทันที

อะไรนะ? มันพิเศษตรงไหนงั้นเหรอ?

ถึงมันจะเป็นเหมือนอะไรที่ธรรมดาสุดๆ แต่เอาเข้าจริงความพิเศษมันอยู่ตรงที่มันธรรมดา แต่กลับพิเศษสำหรับเรานี่แหละครับ
ผมเชื่อว่าทุกคนต้องมีอะไรที่ธรรมดาโคตรๆ แต่แสนพิเศษสำหรับตัวเอง คุณผู้ชายที่ร่ำรวยมีทุกอย่างที่หลายคนอิจฉา ทุกคนคงคิดว่าสิ่งพิเศษของเขาคือเงินที่ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่พิเศษสำหรับเขา อาจจะเป็นช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงในตอนเช้าที่เขาได้กอดและหอมแก้มลูกๆ ของเขาก่อนไปโรงเรียนก็เป็นได้ คุณผู้หญิงที่สวยและมีคนมาจีบมากมาย ใครๆ คงคิดว่าสิ่งพิเศษของเธอคือความรักที่ใครๆ ต่างมอบให้เธอมากมายอย่างไม่ต้องร้องขอ ทว่าบางทีสิ่งพิเศษของเธออาจจะเป็นการแต่งงานอย่างเรียบง่ายกับชายสักคนที่รักและอยากจะดูแลเธอไปทั้งชีวิตที่เหลือเท่านั้น เห็นไหม? สิ่งพิเศษไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นสิ่งที่คนทั่วไปหามาไม่ได้เลย

บางครั้งแค่ในความรู้สึกของเราเชื่อว่ามันพิเศษ...มันก็พิเศษแล้วล่ะครับ

เหมือนกับผมในตอนนี้ที่รู้สึกว่าเขาคนนั้นคือคนพิเศษของผมไง

มันเริ่มต้นจากตรงไหนงั้นหรือครับ?
 
อืม...น่าจะเป็นวันที่ท้องฟ้าสว่างและไม่ค่อยมีเมฆวันนั้นล่ะมั้งครับ

มันเป็นช่วงสายของวันเสาร์ที่ร้อนสุดๆ แต่ผมกลับต้องเดินออกจากหอเพื่อมาหาอะไรกินก่อนที่จะเป็นลมตายในห้องพักของตัวเอง แดดข้างนอกร้อนเสียจนผมมองเห็นตัวลอยขึ้นมาจากถนนตามไอน้ำเลยทีเดียว ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังถือว่าผมดวงดีใช้ได้ที่เดินมาถึงร้านอาหารตามสั่งได้โดยที่ไม่ได้ล้มลงไปนอนกองกับพื้นเล่นที่ไหนสักที่

ผมที่กำลังนั่งกินข้าวอย่างเอาเป็นเอาตายใช้เวลาที่กำลังเคี้ยวให้อาหารชิ้นโตๆ ลงท้องไปโดยไม่ติดคอตายไปเสียก่อน มองเหม่อออกไปด้านนอกของร้านเพิงริมทาง มองรถที่วิ่งกันรวดเร็วจนเหมือนไม่กลัวว่าหากมีใครสักคนจะข้ามถนน แล้วเกิดกะจังหวะก้าวข้ามผิดขึ้นมาทำให้เกิดอุบัติเหตุเลยสักคัน แต่ผมก็เข้าใจแหละ ในวันเวลาที่ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยเวลาตามกฎและทุกคนมีเวลาเท่าๆ กัน แต่ก็ใช่ว่ามันจะวัดแค่เวลา เพราะบางทีต้นทุนของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน มันย่อมมีการแข่งขันเกิดขึ้น

แต่มันจะดีสักแค่ไหนกัน หากว่าในช่วงเวลาที่แข่งกันแบบนี้ จะมีคนที่ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบคนอื่นสักเล็กน้อย เพื่อให้ใครอีกคนได้เดินนำไป

ภาพที่ผมเห็นตอนนี้คือคุณยายท่านหนึ่งยืนอยู่ริมถนนตรงบริเวณทางม้าลาย ดูเหมือนว่าท่านกำลังจะข้ามถนนพอดี ทว่าก็ไม่สามารถข้ามได้เนื่องจาก บริเวณนี้ไม่มีสัญญาณไฟและเป็นบริเวณที่มีรถเยอะมากในช่วงสายๆ แบบนี้ ท่านจึงได้แต่ยืนแล้วรอเล่า รอจนกว่ารถจะบางตาแล้วท่านถึงจะข้ามมาได้ แต่จะรอสักเท่าไหร่ก็ไม่มีใครใจดียอมชะลอรถให้คนข้ามเลยแม้แต่น้อย
ทุกคนเร่งรีบเพื่อที่จะได้ไปถึงจุดหมาย

จนบางครั้งก็ลืมที่จะเผื่อแผ่ความมีน้ำใจสักเล็กน้อยให้คนอื่น ด้วยกลัวจะเสียเปรียบ

ผมรีบยัดข้าวทั้งหมดที่เหลือเข้าปาก รีบจ่ายเงินและรีบที่จะวิ่งเพื่อที่จะข้ามถนนไปรับคุณยายท่านนั้น แหม...ฟังดูเป็นคนดีใช่มั้ยครับ ผมมันคนขี้ใจอ่อนน่ะครับ ถึงจะเห็นแก่ตัวมากกว่าก็เถอะ ทว่ามีน้ำใจกับคนแก่คนเฒ่าสักนิดก็ไม่ได้ทำให้ผมเสียหายอะไรนี่นา (‘—‘ )

ผมวิ่งไปที่ทางม้าลายตรงข้ามกับคุณยาย กำลังยกมือขอทางอยู่แล้วเชียว ไม่คิดว่าจะมีคนที่ใจตรงกันยกมือขอทางขึ้นมาเสียก่อน

มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างคุณยาย ประคองท่อนแขนและค่อยๆ พาแกเดินข้ามถนนมาทีละก้าว กระทั่งมาถึงอีกฝั่งทำให้ผมได้เห็นเขาชัดเจนขึ้น

“เมื่อยแย่เลยนะครับยาย แต่เดินอีกนิดเนอะ เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว”

“ขอบคุณนะจ๊ะ”

“ครับ ยินดีรับใช้ครับผม”


เสียงพูดคุยกลั้วเสียงหัวเราะพร้อมกับร่างคนแก่และชายหนุ่มหนึ่งคนผ่านผมไปช้าๆ แต่ไม่รู้ทำไมในสายตาของผมมันช้ากว่านั้น ช้าเหมือนทุกอย่างรอบตัวมันหยุดและมีเพียงคนๆ นั้นเคลื่อนไหว ช้าจนผมเห็นรอยยิ้มนั้นชัดเจนและได้กลิ่นหอมๆ จากอีกฝ่ายด้วย

ทว่ามันก็มีสิ่งหนึ่งที่สวนทางกับภาพช้าๆ เหล่านั้น

มันคือหัวใจของผมที่เต้นรัวในอกเหมือนกำลังมีใครสักคนเล่นเพลงร๊อคข้างในนั้น

เลือดจากทุกส่วนในร่างกายสูบฉีดผ่านเส้นเลือดฝอย จนชีพจรของผมดังตุบตุบชัดเจนในหู เสียงมันคล้ายลำโพงขยายเสียงเบสทุ้มๆ ราคาแพง เพราะมันดังจนกลบทุกเสียงไปหมดเลย

แม้ว่าผู้ชายคนนั้นกับคุณยายจะหายไปจนลับสายตา ผมก็ยังรู้สึกถึงความรู้สึกในวินาทีนั้นได้เพียงแค่นึกถึงรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง
แม้กระทั่งตอนนี้ที่วันเวลาได้พัดพาเอาช่วงเวลาที่น่าประทับใจนั้นใส่กล่องที่ชื่อว่าความทรงจำไปแล้ว แต่ผมก็ยังจำได้เสมอ จำได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองที่เกิดจากผู้อื่น

และจากนี้มันคงจะเปลี่ยนต่อไปเรื่อยๆ เมื่อเราได้พบกันอีก

การพบกันที่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นตอนนี้หรือพรุ่งนี้ บางทีอาจจะเป็นมะรืนนี้หรือปีหน้า แต่ผมเชื่อว่าสักวันความคิดถึงที่มีพลังศรัทธามากมายอยู่ในนั้น จะนำพาผมไปพบเขาได้อีกครั้ง

อาจจะไม่ได้พัดพาผมเดินเข้าไปในชีวิตของเขา มันอาจจะมีแรงนำให้ผมทำได้แค่อยู่รอบตัวเขาเหมือนสายลมสักสายที่เขาอาจจะรู้สึกถึงการมีอยู่ แต่สักวันก็จะเลือนหายไปคล้ายกับไม่เคยมีอยู่ แต่ทว่าแค่นั้นก็มากพอแล้ว

เพราะมันคือการแอบรัก รักแบบที่มีความปรารถนาเดียวต่อผู้ที่ถูกมอบความรักให้คนนั้น

ความปรารถนาดี...ที่จะมอบให้เสมอ

ให้จนกว่าจะรับรู้

หรืออาจจะให้...จนกว่าจะไม่มีให้อีกต่อไป

อืม แย่ละสิ

มันออกจะเศร้า แต่ทำไมผมถึงได้ยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้กันหว่า?

คงเป็นเพราะ วันนี้เราได้เจอกันแล้วล่ะมั้ง

คุณคนที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนมากมายและกำลังหัวเราะกันเกี่ยวกับหนังตลกที่พวกคุณเพิ่งไปดูมา คุณที่แต่งตัวเสื้อนิสิตไม่เรียบร้อยเหมือนคนอื่นแต่กลับดูดีกว่าคนอื่นๆ คุณยิ้มสวยสุดๆ คนนั้น ถึงผมจะไม่กล้ามากพอที่จะไปปรากฎตัวต่อหน้าคุณ แต่ยังไงก็ ยินดีที่ได้ (กลับมา) เจอนะครับ

บ้าจริง

“ยิ้มอะไรอยู่คนเดียววะ”

ผมหยุดยิ้มไม่ได้เลย

ตอนนี้ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่สองในมหาลัยแห่งหนึ่งที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่นมากมาย กำลังนั่งหาข้อมูลสำหรับทำรายงานที่จะต้องส่งภายในอาทิตย์หน้าในห้องสมุดกับเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เปิดเทอมปีหนึ่ง เป็นรายงานที่ยากพอสมควรครับ ตอนที่ได้ฟังหัวข้อครั้งแรกทำเอาเครียดเลย แต่พอมานั่งหาข้อมูลแล้วได้เจอกับคนๆ นั้น ผมก็รู้สึกว่าไอ้รายงานมหายากเนี่ย บางทีผมอาจจะทำออกมาได้ดีก็ได้เสียอย่างนั้น

อานุภาพความรักนี่ทำให้คนเพ้อเจ้อได้เหมือนคนพี้ยาจริงๆ นะครับเนี่ย

ผมกลับไปสนใจเพื่อนที่ถามคำถามมาคนนั้นด้วยการส่ายหน้าแล้วก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสือสลับกับหาข้อมูลอื่นๆ เพิ่มจากอินเทอร์เน็ต มีบางครั้งที่สายตาไม่รักดีแอบเผลอเหล่มองกลุ่มเพื่อนที่มีคนๆ นั้นอยู่ด้วยเป็นระยะ แต่เหมือนบางทีจะมองนานไปหน่อยจนลืมว่าตัวเองมาที่หอสมุดเพื่อที่จะทำงาน ไม่ใช่มาส่องคน ดีแล้วล่ะที่เพื่อนทักขึ้นมา ผมจะได้ตั้งใจทำงานให้มันเสร็จๆ ไปเสียที

พูดมาตั้งนานผมยังไม่เคยแนะนำตัวเองเลย ต้องขอโทษจริงๆ ครับ

เอาแบบง่ายๆ ก็ชื่อคิงครับ ผมมีน้องชายหนึ่งคนชื่อแจ๊ค เสียดายไม่มีน้องสาวอีกคน พ่อกับแม่จะได้ตั้งชื่อแหม่ม...เอ้อ ชื่อมันคล้องจองสมกับเป็นพี่น้องตรงไหนวะเนี่ย อย่าถามว่าทำไมตั้งชื่อแบบนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ ผมก็ไม่เคยถามซะด้วยสิ สงสัยเพราะพวกเขาพบรักผ่านวงไพ่มั้งครับ

ไม่มีเรื่องถนัดเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรที่ชอบหรือเกลียดเป็นพิเศษเหมือนกัน แต่มีคนพิเศษ แฮ่ (/_\)

พิเศษแบบที่พิเศษอยู่ข้างเดียวอ่ะครับ เขาไม่รู้เรื่อง 5555555

คนพิเศษของผมชื่ออะไรงั้นหรือครับ? ไม่อยากบอกเลยอ่า กลัวคนจะมาชอบเหมือนกัน... แต่เป็นกรณีพิเศษแล้วกัน คุณคนพิเศษของผมชื่อเพจครับ เรียนอยู่คณะเดียวกัน มหาลัยเดียวกัน หอเดียวกันและห้องอยู่ชั้นเดียวกันกับผมด้วยแหละ ヾ(*´∀`*)ノ

ผมว่าต้องมีคนมองผมว่าเป็นโรคจิตแหงเลย ไม่ใช่นะครับ! เปล่าโรคจิตขนาดที่จะตามติดชีวิตเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงขนาดนั้น มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ นะ!

เรื่องมหาลัยฯ บังเอิญมาเจอกันและรู้ว่าเขาก็เรียนที่นี่ก็ตอนรับน้องครับ ตอนนั้นเขาเป็นรุ่นพี่ปีสามที่มาคอยยืนคุมการรับน้องของพวกพี่ปีสองไม่ให้มันรุนแรงหรือมีอะไรที่ผิดกฎ ตอนเห็นหน้าเขานี่ผมแทบจะลุกขึ้นไปกรี๊ด แต่ต้องพยายามห้ามใจเอาไว้ด้วยการจิกต้นขาตัวเองแรงๆ ทั้งเพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองแสดงอาการออกไปและเพื่อทำการทดสอบว่า เรื่องที่มันเกิดขึ้นเนี่ย มันคือเรื่องจริงที่ผมไม่ได้ฝันไป!

ไม่นึกไม่ฝันไปเลยว่าคณะที่ชอบโคตรๆ จะนำพาให้ผมได้มาเจอกับคนที่ทั้งชอบโคตรๆ คิดถึงโคตรๆ คนนี้!

ต่อมาเรื่องหอและห้องพักนี่ก็บังเอิญครับ หอนั้นเป็นหอที่ใกล้ที่สุดแล้วถ้าดูจากระยะทางที่เดินไปมหาลัยได้ในเวลาสั้นๆ โชคดีสำหรับผมมากที่ดันมาจองตอนที่มีคนหนึ่งออกไปพอดี จึงได้อยู่ในหอนี้พร้อมกับในวันที่ย้ายออกได้เจอกับเขาคนนั้นตอนกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี ยังจำได้ดีถึงวันนั้นเลยครับ ผมที่อยู่ในชุดนิสิตที่เพิ่งกลับมาจากกิจกรรมในมหาลัย ห้อยป้ายชื่อเด่นหราเลยและมีสัญลักษณ์ของคณะบนป้ายชื่อ ทำให้พี่เพจที่กำลังจะก้าวออกไปข้างนอกชะงักและเดินเข้ามาหาผมเสียก่อน

หัวใจของผมตอนนั้นเต้นเร็วมาก รัวเหมือนตัวเองตอนตีกลองเพลง Burnout Syndromes ที่ประกอบอนิเมะเรื่องโปรดอย่าง Haikyuu! ยิ่งระยะห่างของพวกเราลดน้อยลงมากเท่าไหร่ หัวใจผมก็ยิ่งสูบฉีดเลือดมากขึ้น มากขึ้น จนอดนึกกลัวไม่ได้ว่าผมอาจจะเป็นลมไปเลยก็ได้ พี่เขายิ้มมาให้และพูดแค่ว่าดีใจที่ได้เจอน้องในคณะมาอยู่หอเดียวกัน เพราะทั้งหอตอนก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาอยู่นั้น มีพี่เขาคนเดียวที่เรียนคณะต่างจากคนอื่นในหอ เขายังพูดเรื่องอื่นอีกนิดหน่อยเกี่ยวกับการแนะนำการใช้ชีวิตในหอพัก พวกข้อห้ามอะไรเทือกๆ นั้น แต่อยากจะขอโทษมากจริงๆ ที่ผมดันไม่มีสติมากพอจะจำได้ทั้งหมด ที่จำแม่นสุดเห็นจะเป็นยิ้มของพี่เพจในตอนนั้นและมือที่เอื้อมมาตบบ่าก่อนจะจากไปของเขา

‘ไว้เจอกันตอนรับน้องมหาลัยนะ’

หัวใจจะวายยย!

จำได้ดีเลยว่าพอย้ายของเสร็จแล้วมารู้จากคุณผู้ดูแลหอว่าผมอยู่ห้องข้างพี่เขา ผมนี้กรี๊ดอัดกำแพง ดิ้นอยู่บนเตียงไปมาเกือบชั่วโมงกว่าจะระงับจิตระงับใจของตัวเองได้

หลังจากนั้นก็ต้องยอมรับแล้วล่ะครับว่าโรคจิตจริงๆ คือหอพักของผมเนี่ยมันจะมีสองฝั่งครับ ฝั่งที่หันหน้าไปตะวันออกกับตะวันตก ผมกับพี่เขาอยู่ฝั่งตะวันออกและฝั่งนั้นจะพิเศษกว่าอีกฝั่งตรงที่จะมีระเบียงเล็กๆ และไม่ถูกบังจากตึกสูงๆ รับแดดยามเช้าได้ดีเลยทีเดียว เพราะแบบนั้นทำให้ผมได้รู้นิสัยของพี่เขาอีกอย่างคือ พี่เขาตื่นเช้ามากเลยและชอบออกมาดื่มกาแฟที่ริมระเบียงก่อนจะเข้ามหาลัย ไม่ว่าวันนั้นจะร้อน จะหนาวหรือฝนเพิ่งหยุดตก ก็จะเห็นพี่เขาออกมายืนประจำ ภาพที่คุ้นเคยคงเป็นพี่เพจในเสื้อยืดสีดำกับกางเกงบ๊อกเซอร์สีเทา แก้วกาแฟสีแดงลายจุดกับหัวยุ่งๆ เหมือนผ่านสมรภูมิรบมาทั้งคืนนั่น พิงระเบียงโล่งๆ มองแดดยามเช้าไป จิบกาแฟไป มันเป็นบรรยากาศที่ทำให้ตอนเช้าน่าตื่นมามากเลยทีเดียว เลยทำให้เด็กที่ชอบตื่นสายอย่างผมพลอยมีนิสัยที่ดีตามเขาไปด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเปิดเทอมหรือวันหยุด ถ้าไม่ได้ตื่นเช้าเวลาเดิม ต่อให้อยากนอนต่อผมก็นอนไม่ลงอยู่ดี...

พี่เพจไม่ค่อยกินข้าวเช้าหรือถ้ากินก็กินพวกแซนวิซง่ายๆ ที่ขายก่อนเข้ามหาลัย แกจะแวะซื้อประจำเพราะคนขายเป็นคุณป้าที่ดูไม่ค่อยสบายคนหนึ่ง แกทำอร่อยนะผมลองไปซื้อตามมาแล้ว (ทำไมฟังละดูน่ากลัวชิบเป๋ง) เหมือนว่าแกจะมีลูกชายป่วยคนหนึ่งมั้งเลยต้องมาขาย เพราะโรคที่ลูกชายเป็นมันเรื้อรังเลยต้องเปิดขายมาตลอดหลายปี แกบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เพจมาเริ่มซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่หลายปีแล้วเหมือนกันที่ป้าเห็นพี่เพจมาทักทายทุกเช้าก่อนเข้ามหาลัย

แถมแกยังเล่าให้ฟังอีกว่า บางทีตอนหลังวันปีใหม่พี่เพจก็มีของขวัญมาให้ทั้งป้าทั้งลูกชายด้วย คนดีสุด!

ถามไปถามมา ตอนนี้ผมก็สนิทกับป้าไปอีกคนแล้วครับและแน่นอนว่าผมขอร้องไม่ให้ป้าบอกเรื่องเกี่ยวกับผมให้พี่เขาฟังโดยเด็ดขาด! ไม่งั้นผมตายแน่ ความแตกชัวร์ -.-

พี่เพจไม่มีรถหรือมอเตอร์ไซต์ แกอาศัยการขนส่งมวลชนอย่างเดียวเวลาไปไหนมาไหน ไม่ก็ติดรถเพื่อนๆ ไปเอา เคยได้ยินแว่วๆ ตอนพี่เขาบนกับเพื่อนว่า ทุกวันนี้รถติดจะแย่ ขี้เกียจมีรถไปให้รถมันติดเพิ่มอีกคัน อืม... แต่จากที่ผมสังเกตมา ผมว่าพี่เขาคงแค่ขี้เกียจขับมากกว่า พี่เพจมีนิสัยติดตัวอย่างหนึ่งคือขึ้นอะไรก็ตามที่เป็นพาหนะ (ยกเว้นพวกมอเตอร์ไซต์หรือจักรยานนะ) แกจะหลับ! หลับเหมือนตายอ่ะ คนปลุกก็ไม่ขยับ หลับแล้วหลับเลย จนกว่าจะถึงปลายทางถึงจะตื่นขึ้นมาเอง

จะถามล่ะสิว่าทำไมรู้? โฮ่! ถึงจะขี้ป๊อดและเป็นแค่คนแอบรัก แต่อย่างน้อยๆ ก็เคยมีวาสนาสั้นๆ ในการได้นั่งข้างพี่เพจนะครับ! ตอนนั้นมีรับน้องนอกสถานที่ครับ แล้วเกิดมีการแอบสลับที่กระทันหัน เพื่อนที่นั่งข้างผมไปนั่งข้างรุ่นพี่คนอื่นแทนมันเลยว่าง พี่เพจที่ไม่มีที่เลยมาหลับอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ เพราะครั้งนั้นผมเลยได้รูปตอนที่เขาหลับมาหลายรูปเลย กดชัตเตอร์รัวๆๆ ไม่กลัวเมมกล้องจะเต็ม เพราะผมมีเมมกล้องเอาไว้ตามถ่ายพี่เขาอยู่แล้ว ฮ่าๆ

จนทุกวันนี้มันจะผ่านมาหนึ่งปีแล้ว รูปด้านข้างของพี่เพจในยามหลับก็ยังเป็นรูปพื้นหลังของผมมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนเลย
เอาละ ผมชักจะแสดงด้านโรคจิตมากเกินไปแล้วล่ะ พวกคุณอย่าเพิ่งกลัวผมเลยนะ นานๆ ทีจะมีคนมานั่งฟังผมเพ้อถึงพี่เขานี่นา! คนแอบรักมันเศร้าตรงที่เราพูดกับใครไม่ได้เลยนี่แหละว่าเราชอบใคร (´;ω;`)

อะไรนะ ทำไมถึงไม่ยอมสารภาพงั้นเหรอ? โนวววว คุณคิดว่ามันมีสักกี่เปอร์เซ็นกันที่คนแอบรักหน้าตาธรรมดาแบบผมเนี่ยจะสมหวัง? แถมอีกฝ่ายเป็นผู้ชายด้วย ถึงเดี๋ยวนี้ความรักแบบที่สามจะมีมากมายเหมือนดอกเห็ดในสังคม แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถยอมรับคำบอกรักจากคนที่เพศเดียวกันได้ทุกคนสักหน่อย

ผมยังไม่อยากถูกเกลียดหรือถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ จากเขา

โอเค ทำอย่างกับว่าตอนนี้เขามองผม เขาไม่เห็นผมในสายตาก็จริง แต่นั่นก็มีความสุขดีออก ดีกว่าถูกเกลียดนะ

ผมยอมให้เขาไม่รับรู้ความรู้สึกของผมไปตลอดชีวิต ยังจะดีกว่าให้เขารู้ว่าผมชอบแล้วทำตัวเย็นชาหรือเกลียดใส่อ่ะ

หรือหากผมจะบอกเขา คงเป็นวันที่ผมแน่ใจแล้วว่าเราคงไม่มีวันได้เจอกันอีก อาจจะเป็นวันที่พี่เขาเรียนจบหรือผมต้องย้ายไปที่ไหนที่ไกลจนการกลับมาหาเขาเป็นเรื่องยาก วันนั้นผมอาจจะพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ก็ได้ แต่ตอนนี้ผมยังได้อยู่กับพี่เขาอีกตั้งหนึ่งปีแน่ะ! ดังนั้น ไม่พูดออกไปหรอก

บางคำพูดเราก็ไม่จำเป็นที่ต้องพูดออกไปเสมอ แม่ผมเคยพูดเอาไว้

และวันนี้มันก็ได้ใช้...ไปกับความรู้สึกนี้

ความรู้สึกของคนแอบรักที่ไม่มีวันส่งไปถึงนี่แหละ









แต่เราเลือกได้ที่จะให้ความรักเราดำเนินไปแบบไหน
และผมเลือกให้มันเป็นความสุข
แม้ว่ามันจะเป็นความสุขและรักที่เกิดขึ้นเพียงแค่ผมคนเดียวก็ตาม
[/i]








วันนี้เป็นอีกวันที่มีการเรียกประชุมปีสองและปีสูงๆ เรื่องเกี่ยวกับการรับน้องนอกสถานที่ที่วนกลับมาอีกครั้ง น้องปีหนึ่งที่โดนรับน้องไปในปีที่แล้วขึ้นมาเป็นรุ่นพี่ เช่นเดียวกับที่ปีอื่นๆ ขยับย้ายตัวเองเป็นรุ่นพี่ปีที่สูงขึ้น แต่แม้จะมีหลายอย่างที่เปลี่ยน แต่เรื่องการรับน้องรวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังคงยึดธรรมเนียมเดิมๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมา คิงเปิดประตูห้องที่ร้างคนก่อนจะเลือกมุมที่เงียบสงบเพื่อนั่งรอการประชุมที่กำลังจะมาถึง ปกติในการประชุมเขามักจะเป็นผู้ตามหรือคนที่คอยคล้อยตามเพื่อนๆ เสียมากกว่า เขาไม่มีความคิดที่อยากจะออกความคิดเห็นหรือเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ชอบที่จะได้รับคำสั่งและทำตามไปมากกว่า อ่า...แต่แน่นอนว่าคำสั่งนั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากตัวเองก่อนละนะ ถึงจะยอมทำแต่โดยดี

เขาเลือกนั่งที่ใกล้กับหน้าต่าง เอาไว้เผื่อตอนที่ฟังเรื่องที่ประชุมเบื่อๆ จะได้มองออกไปนอกหน้าต่าง ชมนกชมไม้แก้เบื่อไปเรื่อย แถมตรงนี้ก็ลมโกรกดีด้วย ถ้าได้นอนกลางวันตรงนี้จะดีแค่ไหนนะ...

ดูท่าคงจะมีคนคิดเหมือนกันกับเขาเช่นกัน

“...”

ภาพที่เห็นคือผู้ชายตัวสูงที่ทิ้งตัวลงนอนอยู่ใกล้ๆ กับที่ที่เขายืนอยู่ นิ่งด้วยอาราหลับสนิท คล้ายไม่สนใจความเป็นไปของโลก ไม่สนแม้กระทั่งตัวเองจะถูกลมพัดเอาใบไม้หรือขยะปลิวมาสุมที่ตัวเลยแม้แต่น้อย คนๆ นั้นคือ...

พี่เพจ!!!

พ่อแก้วแม่แก้ว ฟหกดเสวง!!!!

ถ้าเขาเอาหน้าตัวเองแทนกระทะเขาว่าป่านนี้คงทอดไข่ดาวไหม้เกรียมไปแล้วล่ะ คิงยืนอึ้งมองรุ่นพี่ที่ตัวเองแอบชอบนั่งหลังห้องพิงกำแพงนอนหลับอยู่ริมหน้าต่าง ทำให้ตอนที่เขาเข้ามาไม่เห็นอีกฝ่าย ลมเย็นๆ ที่ตัดกับแดดตอนบ่ายพัดเข้ามาในห้อง อาบไล้ใบหน้าของคนที่ยังอยู่ในห้วงนิทราอย่างอ่อนโยน จนคนที่มองอยู่เผลอมองเคลิ้มใจลอย

เขาทิ้งตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าพี่เพจมองใบหน้าที่หลับสนิทนั่น ก่อนจะสังเกตเห็นใบไม้ที่ปลิวมาติดที่ตามเส้นผมของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ได้ติดแบบธรรมดาเสียด้วย ใบเล็กๆ ของต้นนนทรีที่กำลังหลุดร่วงจากต้นปลิวมาติดตามกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มของพี่เพจ  เขาจึงพยายามเบามืออย่างที่สุดในการใช้นิ้วของตัวเองเขี่ยเอาใบไม้เหล่านั้นให้ออกจากเส้นผม เกือบจะเสร็จอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่มีเสียงเปิดประตูห้องและเสียงพูดคุยของกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นปีของเขาดังขึ้นเสียก่อน

“อ้าว คิง มาเร็วจัง”

“...” เขาตอบกลับแค่รอยยิ้มแหยๆ พยายามบังคนที่หลับอยู่สุดชีวิต ก่อนจะทำเนียนเลื่อนเก้าอี้ของตัวเองไปนั่งข้างหน้าต่างเช่นที่เคยเป็น ทำราวกับเมื่อกี้เขาไม่ได้สังเกตเห็นคนที่หลับอยู่เลยแม้แต่น้อย

ทันทีที่คนร่วมประชุมทยอยมาจนครบ การประชุมก็เริ่มต้นขึ้น เขาแทบไม่ได้สนใจเสียงทุ่มเถียงของเพื่อนและรุ่นพี่ในหัวข้อการประชุมครั้งนี้ นั่นเพราะว่าแดดยามบ่ายไม่ได้ถูกเมฆก้อนใหญ่บังอีกแล้ว มันจึงสาดลงมาทางหน้าต่าง แน่นอนว่ามันโดนเขา...และใครอีกคนที่แอบมานอนหลับอยู่ด้วย

คิงหันกลับไปมองคนที่หลับอยู่ สังเกตเห็นว่าหัวคิ้วของพี่เพจขมวดเหมือนโดนรบกวนการนอนกลางวันจากแสงแดด เขาจึงคิดหาวิธีที่จะบังแดด ลองเอามือบังก็แล้วก็ยังไม่ได้ ลองเลื่อนเก้าอี้มีช่วยบังก็บังได้แค่ตัวของพี่เขา สุดท้ายเขาจึงฉวยโอกาสที่ทุกคนให้ความสนใจประธานชั้นปีของเขาพูดเกี่ยวกับกำหนดการเวลาของการรับน้องนอกสถานที่ ลุกขึ้นยืนอยู่ริมหน้าต่าง ซึ่งมันทำให้เขายิ้มออกมาในที่สุด เพราะเมื่อเขาใช้ตัวเองต่างม่านบังแสงแดดให้พี่เพจได้สำเร็จ คนที่นอนหลับอยู่ก็เหมือนจะนอนสบายขึ้น เห็นแบบนั้นเขาเลยเผลอยิ้มออกมา ก่อนยิ้มนั้นจะแข็งค้างกับสายตาหลายสิบคู่ที่มองมา

“น้องคิงมีเรื่องจะเสนอเหรอครับ ยืนทำไมเอ่ย”

“อ่า...เมื่อยเฉยๆ ครับ ไม่มีอะไร”

จะบอกว่ายืนบังแดดให้รุ่นพี่ปีสี่มันก็กระไรอยู่นี่นะ

เมื่อได้ฟังเหตุผลที่ดูก็รู้ว่าแถสุดๆ ทุกคนก็เลิกให้ความสนใจในตัวของเขาแล้วกลับไปประชุมต่อ จนเวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าและผลการประชุมจบลงเป็นที่น่าพอใจนั่นล่ะ ทุกคนถึงได้ค่อยๆ แยกย้ายไปทีละคนสองคน เขาเองก็ต้องไปเช่นกันเพราะยังมีเรียนตอนบ่ายอีกคาบ...กระนั้น ก่อนที่จะออกไปจากห้องก็อดที่จะมองคนที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องคนนั้นไม่ได้

จะสะกิดดีมั้ยว่าเลิกประชุมแล้ว?

หรือจะปล่อยให้เขานอนต่อไปดีกว่า?

“คิง ไม่ไปเรียนเหรอ”

“อืม จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

อย่าดีกว่า

เขา...อย่าพูดคุยหรือทำอะไรที่มันมากกว่านี้ไปดีกว่า

ว่าแล้วมือที่ยื่นหมายจะวางบนบ่าเพื่อปลุกคนที่หลับอยู่ก็ชะงักค้างอากาศ ก่อนจะดึงกลับไปยังข้างตัวเอง คิงยิ้มพร้อมกับก้าวถอยหลังแล้วเดินหายไปจากห้องเล็กๆ นั่น

โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า คนที่คิดว่าหลับอยู่นั้น...รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา


“ไอ้เพจ จะนอนหรือซ้อมตายวะ ลุกเว้ย!!”

“ไม่ต้องปลุกมันก็ได้ มันรู้ตัวตลอดนั่นล่ะน่า”

“คนบ้าอะไรจะนอนแล้วรู้ตัวได้”

“ไอ้เพจนี่ไง ถ้าไม่ใช่หลับบนรถหรือพวกอะไรที่มันเคลื่อนที่ได้ ไอ้นี่ไม่มีทางหลับสนิทหรอก”

คนที่ถูกเพื่อนนินทาค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมามองเพื่อนสนิทสองคนที่รออยู่หน้าห้อง ร่างสูงลุกขึ้นปัดเศษใบไม้ที่ปลิวมาเกาะตามตัวออก ฉวยกระเป๋าที่วางทิ้งเอาไว้แล้วเดินตามมาสบทบเงียบๆ ก่อนจะแจกฝ่ามือให้เพื่อนคนละที โทษฐานที่นินทาคนหลับ แม้จะหลับไม่สนิทก็เถอะ

ช่วยไม่ได้นี่หว่า ใครให้เขาเป็นคนความรู้สึกไวกัน หลับก็จริงแต่ถ้ามีอะไรขยับไหวอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกตัวตื่นทั้งนั้นล่ะ


เพราะแบบนั้น

ภาพของเด็กปีสองที่เขาคุ้นหน้าคนนั้นที่กำลังปัดใบไม้ออกจากเส้นผมหรือแม้กระทั่งการยืนตากแดดแทนม่านให้เขาอย่างซื่อๆ นั่น เขาเห็นและจำได้ทั้งหมดนั่นล่ะ


“คิง ไม่ไปเรียนเหรอ”


ชื่อนี้ คุ้นๆ หูแฮะ...

“ยิ้มอะไรของมึงวะไอ้เพจ ขนลุก!”

“เสือก”

“ไอ้เชี่ยนี่ ถามดีๆ นะเว้ย”

อืม...บางทีเขาคงต้องใช้บริการน้องในสายตัวเอง ถามถึงอะไรสักหน่อยล่ะ





ฝากด้วยนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2017 22:55:27 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ Khanomni

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Rule of secret Love “กฎของคนแอบรัก”
«ตอบ #2 เมื่อ31-05-2017 20:23:46 »

น่่ารักกก>< พี่เพจก็อยากรู้จักน้องแล้วใช่มั้ยล้ะะ5555  รออ่านค่ะ ไรท์ก็สู้ๆนะคะ :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 2 อย่ามีพิรุธ
ยากกว่าการที่ผมต้องแก้สมการคณิตศาสตร์ยากๆ
ยากกว่าที่ต้องแยกสารสองอย่างด้วยกรวยบุชเนอร์
คือการบังคับตัวเองไม่ให้มองตามคุณเหมือนคนโง่ๆ







พี่เพจมีสถานที่พิเศษที่ไม่ว่าจะแวะไปเมื่อไหร่จะต้องพบพี่เขาอยู่

ที่นั่นคือ หอสมุดของมหาวิทยาลัย

ผมเพิ่งมารู้ว่าเขาชอบอ่านหนังสือมากๆ ก็ตอนเข้ามหาลัยนี่แหละครับ แถมยังเป็นการรู้โดยบังเอิญอีกเสียด้วย เพราะการหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมครั้งนั้น ทำให้ผมได้เจอกับพี่เพจที่หาตัวยากเหลือเกินคนนั้นที่มุมหนึ่งของหอสมุด ยังจำได้ดีถึงตอนที่ตัวเองดึงหนังสือออกจากชั้นหนังสือแล้วมันถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของใครบางคนที่ก้มอ่านหนังสือในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ มองแค่แวบเดียวผมก็จำได้แล้วว่าเจ้าของใบหน้านั่นเป็นใคร เพราะแบบนั้นวินาทีแรกที่เห็นผมถึงได้พลิกตัวหลบอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนจะเห็นว่าใครคนที่ผมหลบหน้านั้นไม่ได้สนใจผมเลยแม้แต่น้อย ผมจึงทำใจกล้าเดินกลับมาที่เดิม

แอบยืนมองเสี้ยวใบหน้าของพี่เพจที่โผล่พ้นชั้นหนังสืออยู่จนพี่เขาเดินจากไป

มันดูเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในความรู้สึกของผม แต่กว่าจะรู้ว่ามันเกือบครึ่งชั่วโมงก็ตอนที่ผมก้าวขาออกจากที่เดิมแล้วรู้สึกขามันปวดเมื่อยแปลกๆ นั่นล่ะ -_-;

หลังจากนั้นผมก็มาหอสมุดบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น จนสนิทกับอาจารย์ที่ประจำที่หอสมุด สนิทกับป้าแม่บ้านในแต่ละชั้น โดนเพื่อนแซวบ่อยครั้งว่าเป็นหนอนหนังสือ ไอ้เนิร์ดประจำ โดยที่พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าการมาอ่านหนังสือหาความรู้อะไรนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรกับผมเท่าการที่ได้เจอพี่เพจเพียงไม่กี่วิ

บางครั้งเราเดินสวนกันที่บันไดระหว่างเปลี่ยนชั้น บางครั้งเราเดินผ่านชั้นหนังสือที่พี่เขาหาและบางครั้งเราก็ติดอยู่ในลิฟต์ด้วยกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับทำให้ผมตื่นเต้นและอดที่จะกลั้นหายใจไม่ได้ ตอนที่พี่เขาพูดว่าขอบคุณเบาๆ และเดินออกไป

ถึงจะดูเหมือนผมจะเจอพี่เขาบ่อยๆ แต่เอาเข้าจริงมานับครั้งก็น้อยเหลือเกินที่เราได้เจอกันนานกว่าเสี้ยววินาที

และมีเพียงครั้งเดียวที่เราได้พบกันด้วยหน่วยเป็นนาที ไม่ใช่หน่วยวินาทีเช่นที่ผ่านๆ มา

นั่นคือวันนี้

“มีใครนั่งหรือเปล่า...อ้าว น้องคณะเดียวกันนี่”



#%&^**)*_)*_++)%@#@!!!!



เวรล่ะ จะดีใจที่พี่เขามานั่งด้วยหรือจะสติแตกที่ใกล้กับพี่เขาเกินไปดีวะเนี่ย (;_;)

“หวัดดีครับ พี่เพจ”

วันนี้พี่เพจแต่งตัวได้...อืม ถูกระเบียบกว่าปกติเล็กน้อย สงสัยวันนี้อาจจะมีควิซหรืออาจารย์ที่สอนเคร่งเรื่องการแต่งตัวละมั้ง ปกติพี่เพจจะใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อนิสิตแขนสั้น ไม่มีเนกไท ผมเผ้ากระเซิงบ้างตามเวลาตื่นนอนแล้วหารถเมล์มามหาลัยไม่ทัน จนต้องพึ่งพาพี่วินทั้งมาส่งและจัดทรงผมให้ (วันไหนพี่แกผมถูกเซตเสียหล่อ นั่นคือตื่นเช้าหรือไม่ได้นอนเลย555) แต่วันนี้ใส่เสื้อนิสิตแขนยาว (แม้ตอนนี้จะพับแขนขึ้นแล้วก็ตาม) มีเนกไท (ที่ปลดห้อยโตงเตงปลายเก็บใส่กระเป๋าที่อกเสื้อ) กางเกงนิสิต (ที่เดฟซะ...กลัวว่าจะรัดเป้าจนแตก -__-) ส่วนรองเท้าเป็นรองเท้าหนังที่ไม่ได้ใส่ถุงเท้า มีอย่างเดียวที่เหมือนทุกวันคือผมกระเซิงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนนั่นล่ะครับ แต่ถ้าถามผมว่าหล่อมั้ย

หล่อครับ หล่อกว่าใคร หล่อกว่าเดือนทุกมหาลัย

หล่อใจละลาย (///▽///)

“นั่งได้ครับ ไม่มีใครนั่ง”

พี่เพจพยักหน้าแล้ววางหนังสือที่เพิ่งไปหยิบมาจากชั้นลงกับโต๊ะ ซึ่งระหว่างที่แอบมองผมก็ทำเป็นเปิดหนังสือในมือเล่นๆ ไปมาไม่ให้พี่เขาจับสังเกตได้ว่า ความจริงแล้วผมไม่ได้สนใจตัวหนังสือในนั้นสักนิด

“ยังนั่งอยู่ที่นี่นานป่ะ”

“ก็...” ผมมองนาฬิกาที่ใส่อยู่ ตอนนี้เข็มชี้ที่เลขสิบสอง ยังเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าผมจะเข้าเรียนคาบบ่าย จึงพยักหน้าให้
 
“อีกชั่วโมงหนึ่งครับ”

“งั้นพี่ฝากของบนโต๊ะแล้วก็โทรศัพท์กับกระเป๋าเงินแปบนะ ไปหาหนังสือก่อน”

ผมรับโทรศัพท์และกระเป๋าเงินของพี่เพจมาแบบงงๆ กว่าจะรู้ตัวว่าพี่เขาฝากอะไรเอาไว้ ผมก็แทบจะกัดริมฝีปากสะกดเสียงร้องโวยวายของตัวเองแทบไม่ทัน ไอ้ครั้นจะวิ่งไปกรี๊ดกร๊าดในห้องน้ำก็ไม่ได้ รับคำบัญชาจากพี่เพจว่าจะนั่งโต๊ะเฝ้าของ ผมก็ต้องนั่งต่อไป

 ฮืออออ เป็นความทรมานที่มีความสุขจังโว้ยยยย

ไม่นานพี่เพจก็กลับมาพร้อมกับหนังสืออีกกองโต ผมมองมันอึ้งๆ ลืมความรู้สึกฟินๆ ที่ได้เฝ้าของและโต๊ะให้คนที่ชอบไปเลย ได้ยินมาว่าช่วงนี้ปีสี่กำลังวุ่นกับโปรเจ็กจบนี่หว่า พี่เพจเองถึงจะดูเล่นไปเรื่อยแต่เวลาที่ต้องจริงจัง ก็จริงจังมากจริงๆ

ภาพตรงหน้าทำให้ผมที่ฉวยเอาหนังสือขึ้นบังระยะสายตา แทบไม่สามารถละสายตาออกไปได้ ภาพคนพิเศษของผมที่สวมแว่นเพิ่มความขลัง (?) ตรงหน้า อ่านหนังสือ เท็กซ์บุ๊คภาษาต่างประเทศอย่างใจจดจ่อ งดงามจนละสายตาไม่ได้ เหมือนผมโดนมนต์เสน่ห์ให้ตกหลุมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนลุกขึ้นมาไม่ไหว

หัวใจเต้นแรง...ไม่ต่างจากทุกครั้งที่ได้เจอ

“...”

ทันทีที่คนที่อ่านหนังสือผุดรอยยิ้มคล้ายเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นสบตากับผมที่หลบสายตาไม่ทัน

เหมือนเวลารอบตัวผมหยุดหมุน แม้กระทั่งหัวใจก็ยังเต้นช้าลงจนจับชีพจรไม่ได้

ปากของพี่เพจกำลังขยับเป็นคำพูด ที่ผมไม่ทันจับใจความได้

ทว่าร่างกายกลับทำเกินที่สมองสั่ง เมื่อมันสูบฉีดเลือดไปกองที่ใบหน้าและบังคับให้ผมหลบตาในที่สุด

ประโยคนั้นที่ออกจากปากพี่เพจกำลังจะทำให้ผมหัวใจวาย...

“มองอะไรครับ น้องคิง

ไอ้เชี่ยยย พี่เขารู้ชื่อผมได้ยังไง!!!







ผมถูกคุณดึงดูด
ยากที่จะต่อกรไม่ให้หลงไปกับเสน่ห์ของนัยน์ตาคู่นั้น
แต่อันที่จริง ผมไม่ได้อยากขัดขืนสักหน่อยนี่นะ...









ใบหน้าอึ้งแกมช๊อกของคนตรงหน้าทำให้เพจหลุดหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหวในที่สุด

ตาของรุ่นน้องร่วมคณะเบิกโตจนเหมือนไข่ห่าน ไหนจะริมฝีปากที่อ้าๆ หุบๆ เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดออกมาไม่ได้นั่นอีก อย่างกับปลาทองแน่ะ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นสุดท้ายเด็กคนนั้นก็สงบสติอารมณ์จนพูดออกมาเป็นประโยคได้สำเร็จ

“พะ...พี่เพจรู้จักชื่อผมได้ไงอ่ะ”

“คุ้นๆ หน้าอยู่แล้วก็ไปถามอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“...”

“เหมือนจะเห็นเรามาด้อมๆ มองๆ พี่อยู่บ่อยๆ อ่ะ”

“...!!”

คราวนี้ไม่ใช่ไข่ห่านแล้ว นี่มันไข่ไดโนเสาร์! เพจหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังจนคนในหอสมุดหันมามองกันหมด เดือดร้อนเจ้าเด็กตรงหน้าที่ดูจะขี้ตื่นตระหนกกว่าคนอื่นๆ กระซิบเสียงเครียด คว้าหนังสือที่ถือมาตีลงที่ไหล่เขาเพื่อห้ามไม่ให้เขาหัวเราะอีก

“พี่เพจ! หยุดหัวเราะนะ”

“ฮ่าๆๆๆ”

“พี่เพจ เสียงดัง!”

“5555555+”

“=__= ผมเกลียดพี่เพจแล้ว”

เพจพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาที่หางตา มองหน้าบูดๆ ของคิงด้วยความเอ็นดู

“ทำอย่างกับเราตอนแรกเราชอบพี่อยู่งั้นแหละ”

“...ก็เป็นไอดอลไง”

คิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาและกล่าวประโยคนั้นออกมาเบาๆ เหมือนคนไม่มั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด มองจากตรงนี้เห็นได้ถึงความสั่นไหวของแก้วตาสีดำสนิทสะท้อนเงาของเขาและแก้มแดงๆ ของเด็กนั่นได้ชัดเจน ทำให้ภาพในใจของเพจ คิงกลายเป็นรุ่นน้องขี้อายและน่าแกล้งไปเสียแล้ว

ฟังคำตอบของรุ่นน้องแล้วเขาอดเลิกคิ้วไม่ได้ ท่าทางเรื่อยเฉื่อยเปลี่ยนไปเป็นจริงจังขึ้นมา เขานึกถึงตัวเองที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แล้วได้แต่ยิ้มแหย เขาที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนหรือเป็นเด็กเก่งมากความสามารถของคณะ ดีหน่อยก็เล่นกีฬาได้บางอย่าง

ไม่ได้เป็นเด็กกิจกรรมจ๋า โดดกิจกรรมก็บ่อย ไม่ได้เป็นเด็กมีระเบียบเรียบร้อยในกรอบในกฎ

นิสัยรึ? ก็...ไม่ได้น่าเป็นแบบอย่างสักเท่าไหร่เลย

มีตรงไหนให้ชื่นชมกัน?

เขาก็แค่คนธรรมดาเท่านั้นเอง

“มีตรงไหนให้น่าเอาเป็นแบบอย่างกัน พี่เนี่ย?”

“ชอบแบบไอดอลไม่ได้หมายถึงว่าจะอยากเป็นแบบพี่เสียหน่อย”

คิงเบ้ปากเอ่ยงึมงำ ก่อนจะวางหนังสือที่คว้าไปตีรุ่นพี่ลงกับโต๊ะ เผลอหยิกตัวเองไปหนึ่งทีที่ทำเรื่องร้ายกาจไปกับคนพิเศษของตัวเองอย่างไม่น่าให้อภัย ไม่น่าเกิดมาเป็นคนขี้เขินแล้วชอบทำร้ายร่างกายคนอื่นเลยวุ้ย -“-;;

“มันคงเหมือนกับเราชอบนักร้อง นักแสดงสักคนแบบนั้นละมั้งที่ผมพูดว่าชอบพี่น่ะ”

“อ๋อ เพราะงั้นเลยชอบมาแอบมองที่ริมระเบียงทุกวันสินะ”

“เฮ้ย!! รู้ได้ไงอ่ะ”


“-.- ยืนอยู่ที่เดิมทุกวัน ทำไมจะไม่เห็น”

“...”

“ออกมาทุกเช้าก็เห็นเราแอบมองจากในห้องตลอด ก็ยังเคยสงสัยอยู่ว่ามองทำไมว้า...หรือพี่ลืมใส่กางเกงเราถึงได้มอง ไร’เงี้ย”

“ก็แค่มองเฉยๆ”

“คร้าบ ไม่ได้ว่าไร”

ไม่รู้ทำไมพอเห็นหน้าบูดๆ ของเด็กนี่แล้วเขารู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากจะแกล้งให้น้องมันโกรธจริงๆ เพจจึงจบบทสทนาด้วยการยื่นมือไปยีเส้นผมและโยกหัวน้องเล่นด้วยความเอ็นดู ยิ้มจนดวงตาที่พราวระยับนั่นหยีเป็นเส้นโค้ง เหมือนจันทร์เสี้ยว โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังทำให้คนที่นั่งตรงข้ามใจเต้นแรง

“คราวหน้าไม่ต้องมองเฉยๆ เข้ามาคุยก็ได้ พี่ไม่กัดเราหรอก”

ควบคุมตัวเองไม่ได้และ...

“ตั้งใจอ่านหนังสือไป...เฮ้ย!!! คิง”

เลือดกำเดาไหลในที่สุด

คิงยกมือขึ้นปิดจมูกของตัวเองที่มีเลือดกำเดาทะลักออกมา อันที่จริงตอนนี้ที่ควบคุมตัวเองไม่ให้เป็นลมและนั่งตัวตรงเอนพิงพนักได้นี่ก็เก่งมากแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะโดนดาเมจจากการยีผมและรอยยิ้มของพี่เพจ เพราะแบบนั้นจึงตั้งการ์ดป้องกันพลังทำลายจากทั้งสองอย่างนั้นไม่ทัน ดวงตาของเขาเริ่มมองภาพตรงหน้าไม่ชัดแล้ว แต่ที่เป็นแบบนั้นก็ดี

เพราะไม่งั้นคิงคงได้หงายหลังเพราะใบหน้าที่ใกล้เสียจนได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ นั่นของพี่เพจเป็นแน่

“คิง! ไหวป่ะเนี่ย ไม่สบายเหรอ”

“...”

พี่เพจ ผมสบายดี ดีมากเลยครับ (//,,//)

“เลือดไหลไม่หยุดเลย... อาจารย์ครับ!! มีน้องเป็นลมครับ”

“พี่เพจ...ฮือออ เอาหน้าออกไป” แม้จะไร้เรี่ยวแรง แต่คิงก็พยายามจะเซฟเลือดตัวเองโดยการประท้วง ยกมือดันใบหน้าของเพจออกจากใบหน้าตัวเองเบาๆ แต่เสียงที่พูดดันเบาอย่างกับเสียงยุงบิน การสื่อสารเลยผิดพลาด กลายเป็นว่าหน้าที่เป็นต้นเหตุของเลือดกำเดาไหล กลับเข้ามาใกล้กว่าเดิม

“อะไรนะ หายใจไม่ออก? เฮ้ย คิงทำใจดีๆ เอาไว้”

ความหล่อจู่โจม!! ไอ้คิงตาลายแล้วครับพี่!!!

โอ๊ยยย เลือดจะหมดตัวก็วันนี้ละโว้ยยยย เอาหน้านั่นออกป๊ายยย ไอ้พี่เพจจ!!!

สุดท้ายวันนั้นเขาก็ต้องไปนอนพักฟื้นในห้องพยาบาลตลอดคาบบ่าย ต้องขาดเรียนอย่างเสียไม่ได้

ทว่า...ถ้ามีพี่เพจมานั่งเฝ้าข้างเตียงแบบนี้...



ไอ้คิงก็ยอมเป็นแบบนี้อีกครั้งก็ได้ครับ ฮืออ (//////)









พี่เพจช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย (-.-) จะพยายามมาต่อให้เรื่อยๆ นะคะ ฝากด้วยค่ะ :) : NAVY


ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
555555 พี่เพจเอ้ยยย ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเป็นสาเหตุ 555

ออฟไลน์ yagiza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟเรื่องนี้มันช่างดีงาม ช่างดีต่อใจสุดๆเลยค่ะ :o8: :o8:
ขอติดตามและเป็นกำลังใจให้นะคะ>< :L2:

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
รอติดตามจร้า ^^

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 3 อย่าแอบยิ้มให้เขาเห็น[/b]
ไม่รู้เลยว่าการรักใครสักคนมันยากและเจ็บปวดถึงขนาดนี้
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น
ผมก็ไม่เคยเสียใจแต่อย่างใดที่รักคุณ
[/i]






แต่ก่อนการได้เจอพี่เพจเป็นอะไรที่ผมชอบมากและเฝ้ารอให้ได้เจออีกบ่อยๆ


ทว่า ในวันนี้ผมไม่อยากเจอพี่เขาเลยครับ

เปล่าจะเลิกชอบนะ แต่ว่า...ไม่มีหน้าจะเจอแล้วต่างหาก!

มันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ห้องสมุดวันนั้นครับ...

‘พี่ขอโทษนะ เรามีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่าหืม? ทำไมเลือดกำเดาไหลซะน่ากลัวเลย -_-;’

ฮืออออออ พี่หล่อเกินไปจนผมเลือดกำเดาไหลไง (โว้ยย) ครับ

ขายขี้หน้าชิบเป๋ง! แงงงง

ก็นั่นแหละครับ ช่วงสองสามวันนี้ผมเลยไม่ได้ไปดักรอเจอพี่เพจเลยสักวันเดียว กิจวัตรประจำวันที่ต้องแอบมองพี่แกทุกเช้าก็งดไป เพราะถูกจับไต๋ได้แล้วว่าไปแอบมองเขา มีอย่างเดียวที่เหมือนเดิมคือ ผมยังคงเดินตามพี่เพจไปมหาลัยทุกวันเหมือนเดิม

วันนี้ก็เช่นกัน ภาพแผ่นหลังกว้างในชุดนิสิตไม่เรียบร้อยนั้นลอยเด่นอยู่ด้านหน้าผมไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้เสียจนคนที่ผมกำลังเดินตามอยู่รู้สึกได้ว่ามีคนเดินตามมา

วันนี้พี่เพจมีเรียนเช้าและตื่นเช้าเสียด้วย เลยไม่ได้ขึ้นวินไปเรียน ทรงผมเลยไม่กระเซิงเป็นเพิงหมาแหงนเหมือนวันอื่นๆ ที่ตื่นสาย

ผมวิ่งไปที่แผงป้าขายแซนวิซฉีกยิ้มให้แกเหมือนทุกที กำลังจะอ้าปากพูดแล้วเชียว ป้าก็ยิ้มและพูดดักเสียก่อน “เหมือนเจ้าเพจใช่มั้ยล่ะ อ่ะ ป้าเตรียมไว้ให้แล้ว”

“หูยยยย รู้ใจไอ้คิงก็มีแต่ป้านี่แหละครับ อ่ะ นี่ครับค่าแซนวิช”


ป้ารับเงินของผมไปแล้วพูดแซว “ตั้งแต่เจอหน้าจนวันนี้ก็จะสองปีแล้ว จะไม่ให้ป้าจำได้ได้ยังไง”

“คนมันมั่นคงก็เงี้ยอ่ะป้า คิงไปเรียนก่อนน้า”

“จ้า ไปดีมาดี”

ผมพยักหน้าแล้ววิ่งถอยหลังกลับโบกมือบ๊ายบายป้าอย่างที่ทำเป็นประจำ แต่แปลกแฮะ วันนี้ป้ากลับไม่ยิ้มหัวเราะเหมือนเดิม กลับตีหน้าเหมือนด้านหลังผมมีผีซะงั้น ผมจึงหยุดวิ่งแล้วมองป้าด้วยความสงสัย เห็นแกไม่ตะโกนอะไรกลับมาจึงหันหลังกลับเดินต่อ ใครจะไปรู้ว่าจะไปชนกับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง

อ้าว เสาไฟฟ้ามาตั้งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

อืม...แต่เสาไฟฟ้าทำไมใช้น้ำหอมกลิ่นกาแฟไหม้เหมือนพี่เพจเลยหว่า?

จะว่าไปไม่ใช่แค่น้ำหอมว่ะ

“ตื่นเช้าเนอะ มาม.เวลานี้ทำไมไม่บอก จะได้เดินมาด้วยกัน”

เสียงก็ใช่เว้ยเฮ้ยยยย!!!

พี่เพจ!! (อีกแล้ว)

ตอนแรกก็ว่าจะเขินตามเสต็ป แต่พอจะเขินภาพวันก่อนๆ ที่ผมเผลอเลือดกำเดาไหลและเป็นลมไปต่อหน้าต่อตาพี่เพจ ทำให้ใบหน้าที่แดงแจ๋จนลุกเป็นไฟ เปลี่ยนเป็นสีม่วงและกลายเป็นสีขาวในที่สุด

ไอ้ชิบหาย! ไม่ๆๆๆๆ ไม่เจอหน้าพี่เพจตอนนี้ ไม่!!

คิดได้แบบนั้นผมก็ตัดสินใจหันหลังกลับเพื่อที่จะวิ่งหนีกลับไปยังแผงป้าแซนวิซ รอให้พี่เพจเดินไปไกลแล้วค่อยเดินตามอีกที คราวนี้จะเว้นระยะเป็นสี่ห้าร้อยเมตรเลย! ฮือออออ

แต่พี่เพจดูจะไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นครับ

เพราะพี่แกดันฉวยโอกาสตอนที่ผมตะลึงอยู่กับความทรงจำอันน่าอับอายนั่น คว้าสายกระเป๋าสะพายของผมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ตอนที่ผมตัดสินใจจะวิ่งไปไหนไม่รอด เสียงหัวเราะของพี่เพจตอนที่ผมยอมถอดใจไม่วิ่งและหันกลับมาพุ่งกระแทกหัวใจผมอย่างจัง ไหนจะยิ้มสดใสรับยามเช้านั่นอีก

น่าอายก็น่าอายว่ะ ไอ้คิง! ใช่ว่ามึงจะมีบุญได้เจอพี่เพจยิ้มสดใสแบบนี้ให้ทุกวัน (/////)

แต่ยิ่งผมไม่ห้ามพี่เพจก็ยังหัวเราะอยู่แบบนั้นไม่เลิก ตอนแรกผมก็หน้าแดงเขินอายหรอกนะ แต่ตอนนี้ชักจะรำคาญและรู้สึกว่าพี่แกกวนประสาทโคตรๆ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังหัวเราะไม่เลิก ผมเลยตัดสินใจเดินผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อกี้

คนบ้าอะไรวะ หัวเราะอยู่เป็นนาที หายใจทางผิวหนังเหรอ!

“ไปหนายย”

“เฮ้ย!!! ไม่เล่นนะพี่เพจ ริมถนนนะเว้ย” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อผมเดินผ่านพี่แกแล้วแขนยาวๆ นั่นวาดมาโอบไหล่ของผมไว้ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเคียงไหล่ผม

“แน่ะ เอาแต่คิดว่าพี่จะแกล้ง ไปๆ เดินไปม.กัน”

เสียงหัวเราะพี่เพจหายไปแล้ว แต่รอยยิ้มกวนๆ ยังติดอยู่ที่ริมฝีปากนั่น เรียกสายตาของผมให้มองอยู่ตลอดจนอดกลัวไม่ได้ว่า จะเผลอมองรอยยิ้มของพี่เพจจนลืมมองทาง แต่ไหนๆ ก็โดนพี่แกเนียนโอบไหล่แล้ว ผมก็รบกวนให้พี่เพจช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยบนทางเท้าด้วยละกันครับ -.,- โฮะๆ

เกือบจะหลุดยิ้มอีกแล้ว ผมกัดปากตัวเองแน่น พยายามอย่างมากที่จะไม่ยิ้มออกมาให้พี่เพจเห็น ผมจะให้พี่เพจรู้ไม่ได้ว่าการที่เพจโอบผมแบนี้มันทำให้ผมโคตรเขิน โคตรฟิน โคตรของโคตรหอม...เอ้ย! ไม่ใช่ !!

อ่า...แต่พี่เค้าก็ตัวหอมจริงๆ นะ นอกจากกลิ่นกาแฟไหม้ที่พี่เพจจะมีติดตัวประจำในวันที่ตื่นเช้า บางทีในวันที่ตื่นสายและแต่งหล่อไม่ทัน กลิ่นกาแฟไหม้จะเปลี่ยนเป็นกลิ่นสบู่หอมๆ แทน อย่าถามต่อเลยนะครับว่าผมไปได้กลิ่นมาได้ยังไง มันค่อนข้างจะน่าอายนิดๆ น่ะนะ

แหม...ลิฟต์เลิฟมหาลัยผมก็เยอะ แต่มันก็แคบๆ ไง วันไหนคนเยอะหน่อย ผมก็แอบเนียนๆ ซุกหน้าเขาที่ไหล่พี่เพจไรเงี้ย

ฮือออ เปล่าโรคจิตนะเว้ยย พลอยชมพูในเอ็มวีปลิวยังซุกพี่ต่อได้ ทำไมผมจะซุกพี่เพจไม่ได้อ่ะ!

ขอกำไรนิดๆ หน่อยๆ เอง พี่เพจไม่สึกหรอหรอกครับ (. .  )

แต่ถึงจะพยายามควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้ามากแค่ไหนก็ตาม ผมก็ไม่ลืมได้ว่า บางครั้งร่างกายมันมักจะมีการแสดงออกโดยอัตโนมัติ มากกว่าจะรอให้สมองสั่งการ

ดังนั้นเมื่อพี่เพจก้มหน้าลงมาหา พร้อมรอยยิ้มที่ผมไม่วันชนะนั่น

“ยิ้มอะไรคิง ท่อน้ำมันตลกตรงไหนฮะ”

ผมก็เผลอยิ้มออกมาจนได้

“ผมเปล่าขำท่อน้ำสักหน่อย”

เพราะเขินพี่ เพราะชอบพี่ต่างหากวุ้ย!

“จริงง่ะ คนอะไร ไม่มีเรื่องขำ เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็ขำ”

“ตลกพี่มั้ง”

“หน้าพี่เหมือนหม่ำหรือไง ออกจะหล่อ”

“...”

“อะไร พูดความจริงทำมารับไม่ได้” พี่เพจโวยเสียงหลงเมื่อผมทำหน้าเอือมระอาใส่พี่แกตอนที่ชมตัวเองด้วยความภูมิใจ แน่นอนครับว่าพี่หล่อเสมอในสายตาของผม แต่ครั้นจะให้ผมพยักหน้ายิ้มรับร่า คงจะไม่ได้

หนึ่งพี่เพจเหลิงและน่าจะกวนตีนผมมากขึ้น

สองผมจะหลุดพิรุธอย่างอื่นแน่ๆ และข้อสุดท้าย...

พี่เพจแกมีนิสัยอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว ไม่รู้ว่าพี่เพจรู้ตัวหรือเปล่า แต่เขามักจะเป็นแบบนี้กับคนรอบตัวเสมอโดยไม่รู้ตัว

“ครับๆ หล่อมากครับพี่”

“ดีมาก! น่ารักที่สุดดด”

พี่เพจยิ้มกว้าง ยกมือข้างซ้ายที่ว่างอยู่ขึ้นหยิกแก้มของผม แม้แรงจะไม่เบาจนทิ้งรอยแดงไว้บนแก้มผม ผมก็ยังเขินอยู่ดีที่ถูกหยิกแก้มเหมือนพี่เขากำลังเอ็นดู

แต่ทว่ายัง... ยังไม่พอ! พอเห็นว่าแก้มผมแดงเถือกเพราะถูกหยิก ไอ้พี่เพจก็ยังมาอ่อย (?) ต่อด้วยการลูบแก้มข้างนั้นเบาๆ แถมบริการเป่าลมกลิ่นมิ้นต์ พึมพำให้ผมหายเจ็บไวๆ อีกด้วย!!!

โอ้ยยยย ผมจะตายอีกแล้ววว ช่วยด้วยยย

นี่แหละครับ เหตุผลข้อสุดท้ายที่ผมไม่อยากพูดรับคำชมใดๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับพี่เพจ

(โคตร) ขี้อ่อย!!

“แก้มแดงแจ๋เลยอ่ะ พี่ขอโทษนะเว้ย หยิกแรงไปหน่อย”


“...”

“แต่แก้มเรานิ่มจัง ก็ไม่อ้วนนะ ทำไมแก้มนิ๊มนิ่ม...หืม?”

“...”

พี่เพจชะงักไปเมื่อผมยกมือขึ้นห้าม อย่างกับพระพุทธรูปปางห้ามญาติ สายตาของผมจับจ้องไปยังทางเดินข้างหน้า แต่แท้จริงแล้วเหมือนจิตผมกำลังหลุดไปอีกโลก มืออีกข้างยกขึ้นปิดครึ่งหน้าตัวเอง พอดีกับที่มีเลือดซึมออกมาตามง่ามนิ้ว
อืม ผมรู้สึกเหมือนว่า...เลือดกำเดามันจะไหลอีกแล้วล่ะ

สุดท้ายในเช้าวันนี้ พี่เพจก็ต้องสละแขนเสื้อของตัวเองที่ปกติจะพับขึ้นเสมอแทนทิชชู่ให้ผมซับเลือดที่ยังคงไหลอย่างต่อเนื่องอย่างกับน้ำตกไนแองการ่า เดินจับมือจูงแขนผมจนถึงหน้าห้องพยาบาลที่เดิม ต่างไปตรงที่พี่เขาเหมือนจะรู้แล้วว่าทำไมผมถึงเลือดกำเดาไหล เดาได้จากเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างอารมณ์ดีนั่น คล้ายกับคนที่ค้นพบอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาอารมณ์ดี

พี่เพจส่งผมที่หน้าประตูห้องพยาบาล ระหว่างที่ผมกำลังไหว้บอกลา พี่เพจที่กำลังพับแขนเสื้อก็พูดลอยๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้

“ถ้าหมอมียารักษาโรคขี้อายของคิงก็ดีดิเนอะ”

“...ทำไมอ่ะ”

“อ้าว ไม่งั้นคราวหน้าพี่แกล้งแหย่เราอีก เราคงเลือดไหลหมดตัวพอดี”

“...”

“เลิกเขินพี่เพราะมองพี่เป็นไอดอลได้แล้ว มองพี่เป็นรุ่นพี่ธรรมดาๆ ก็พอ พี่สงสารจมูกเราว่ะ”

“จะพยายามนะ” ผมตอบรับเสียงอ่อย ไม่กล้าสบตากับพี่เพจเลยแม้แต่น้อย ทว่าพี่เขาคงไม่สังเกตเห็น

“ตั้งใจเรียนนะ พี่ไปล่ะ”

ผมโบกมือตอบ มองแผ่นหลังกว้างนั่นไปจนลับสายตา อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ผมคงทำไม่ได้อย่างที่พูด

พี่เพจครับ ผมว่าห้ามไม่ได้เลือดกำเดาหยุดไหล ยังง่ายกว่าที่พี่บอกให้เลิกชอบพี่อีกนะครับ







เพราะมีคนเคยพูดไว้ ว่าแค่ได้พบกับคนที่ชอบก็ดีแค่ไหนแล้ว
ต่อให้สุดท้ายจะไม่สามารถทำให้คุณมาชอบผม
ผมก็ชอบที่จะได้ยิ้มไปกับคุณแบบนี้ไปเรื่อยๆ แบบนนี้อยู่ดี








“พักนี้ไปห้องพยาบาลบ่อยไปมั้ยคิง ไม่สบายตรงไหนป่าวเนี่ย”

“เปล่า...เราสบายดี”

คนถูกเป็นห่วงจากเพื่อนร่วมคณะ เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองชีทเรียนในมือ ไม่ยอมสบตากับเพื่อนๆ ที่อยู่รอบตัว ด้วยกลัวว่าจะถูกมองออกถึงพิรุธที่ซ่อนในแววตา นัยน์ตาของเขามันไม่เคยเลยที่จะปิดความรู้สึกของตัวเองไว้ได้ เขาจึงติดนิสัยที่ไม่ค่อยสบตาคู่สนทนาเวลาคุยด้วย เพราะกลัวว่าดวงตาของตัวเองจะเผยสิ่งที่คิดเอาไว้ออกมาทั้งหมด

มันคงแย่และบางครั้งคงน่าเขินอายไม่น้อยที่ถูกคนอื่นเดาออกถึงความรู้สึกได้ง่ายๆ เช่นนั้น

โดยเฉพาะกับคนที่ชอบ เป็นคนที่เขาไม่นึกอยากให้อีกฝ่ายเดาความรู้สึกของเขาออกเลยแม้แต่น้อย

ทว่าเขาก็ไม่มีความพยายามมากพอที่จะดึงสายตาตัวเองออกมาจากอีกคนเลย

เหมือนว่าพี่เพจเป็นขั้วบวกและเขาเป็นขั้วตรงข้ามที่ถูกดึงดูดให้เข้าหา มองหาและไม่สามารถต้านทานแรงดึงดูดไร้ที่มานั่นได้ ได้แต่โอนอ่อนและยอมให้ตัวเองถูกแรงดึงนั้นให้ขยับเข้าไปใกล้เช่นคนไม่รู้ตัว

ปล่อยให้หัวใจรับความหวั่นไหวและความสุขเบาบางนั้นมาหล่อเลี้ยงให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

“เอ้อ คิง ตอนประชุมเรื่องรับน้องครั้งที่แล้ว คิงได้มีหน้าที่อะไรป่ะ”

เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่นะ ทำไมอ่ะ?”

“งั้นเราให้คิงมาช่วยเป็นฝ่ายสวัสดิการได้มั้ยอ่ะ คนขาดพอดี”

“ได้ดิ”

รองประธานพึมพำขอบคุณเขาทั้งรอยยิ้มกว้าง พร้อมกับจดชื่อของเขาลงไปในกระดาษที่เหมือนจะเป็นรายชื่อและหน้าที่ของแต่ละคนในชั้นปี เอาเข้าจริงจะให้เขาอยู่หน้าที่อะไรก็ได้อยู่แล้วน่ะนะ ขอแค่ไม่ต้องไปออกอยู่หน้าสุดหรือพวกสายพิธีกรเรียกเสียงโห่ฮาก็พอ

“ลืมบอก ฝ่ายสวัสดิการพี่ปีสามกับพี่ปีสี่นัดรวมเย็นวันนี้นะคิง อย่าลืมไปล่ะ”

“ได้”

ถ้าเขาไม่ลืมนะ...

เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลงไป เมื่ออาจารย์ได้เข้ามาและเริ่มการเรียนการสอนขึ้น คิงบอกให้ตัวเอง่วยลืมเรื่องของพี่เพจหรือภาระหน้าที่ออกไปครู่หนึ่งก็ยังดี เพื่อมาทำความเข้าใจกับเรื่องที่ต้องเรียนในวันนี้ ซึ่งก็ยังยากเช่นเดียวกับทุกวัน เรียกได้ว่าหากพลาดเหม่อหรือหลับไปนิดหน่อย ก็จะเรียนตามทำความเข้าใจไม่ทันอย่างแน่นอน ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นประจำก็คือคิงที่มักจะเท้าคางมองอาจารย์ที่สอนอยู่ด้านหน้าสลับกับการก้มหน้าก้มตาจดด้วยปากกามาร์กเกอร์หลากสี น้อยครั้งที่จะเห็นอีกคนหลับ หันมาคุยกับเพื่อนหรือเล่นโทรศัพท์

แต่ถึงจะน้อยครั้ง ใช่ว่าจะไม่เคยทำนะ เช่นตอนนี้เป็นต้น...

“นี่มันแก๊งค์พี่ปีสี่ไม่ใช่เหรอวะ?”

“ไหนๆ”

เสียงกระซิบกระซาบดังเข้ามาในหูของคิง อะไรก็ไม่สะดุดใจเท่าคำว่า ‘พี่ปีสี่’ แล้วล่ะในตอนนี้ ดังนั้นแม้ว่าจะพยายามรักษาประคองสติให้อยู่กับตัวหนังสือยึกยือตรงหน้ามากแค่ไหน หูของเขาก็ไม่อาจสนใจบทเรียนได้อีกแล้ว

“โหยย กลุ่มพี่สิงห์โคตรเข้ม! งานอะไรวะมึง?”

“งานเทศกาลดนตรี...ปีที่แล้วมีงานนี้ด้วยเหรอวะ?”

“เขาเพิ่งมาจัดมั้ง? ปีที่แล้วเขาห้ามจัดนี่”

“ไหนๆ มีวงไหนมาบ้าง”

เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนเพื่อนที่นั่งอยู่แถวหน้าๆ จำต้องส่งเสียงให้เพลาๆ การใช้เสียงกันบ้าง เสียงพูดคุยเกี่ยวกับงานดนตรีถึงได้เบาลงไปเล็กน้อย กระนั้นก็ยังดังเหมือนเสียงนกกระจิบกระจาบจนอาจารย์ปล่อยพัก เสียงนั้นถึงได้ดังขึ้นอีกครั้ง เรียกให้คิงที่อดทนมาเกือบสองชั่วโมงอดใจไม่ไหวในที่สุด

ขอพื้นที่ให้ส่องหน่อย (โว้ยย) ว่ามีพี่เพจมั้ย (/-  -\)

“ขอดูหน่อยดิ”

“คิงไปเปล่า?”

“...ขอดูก่อนแล้วกัน”

แม้จะรับคำเหมือนเผื่อเลือก แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของคนที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดอย่างพี่เพจแล้ว คิงก็ได้แต่กัดปากกลั้นเสียงตะโกนในใจที่ร้องบอกเป็นร้อยครั้งว่า ‘ไปโว้ยยย!!’ ไว้ในใจ เขาตีหน้านิ่งแล้วเลื่อนโทรศัพท์คืนยังเพื่อน ทันทีที่แอบส่งรูปนั้นเข้าไลน์ตัวเองเรียบร้อย ทำเหมือนว่างานเทศกาลดนตรีมันก็แค่งานดนตรีธรรมดาทั่วไป ทั้งที่ในใจนี่คิดถึงตัวเองไปยืนเต้นกรี๊ดกร๊าดในงานเรียบร้อย

พี่เพจจะขึ้นเวที วงพี่เพจจะแข่งในงานเทศกาลดนตรี!!!

ถึงจะเคยได้ยินผ่านๆ มาบ้างว่าพี่เพจนั้นเคยมีวงดนตรีเป็นของตัวเอง ทั้งยังเคยไปลงแข่งฝึกปรือฝีมือหลายงาน แต่เขาก็ไม่เคยได้เห็นภาพพี่เพจสะพายกีต้าร์ตัวโปรด แสดงฝีไม้ลายมือบนเวทีเสียที ดังนั้นเมื่อเห็นว่าพี่เพจจะกลับสู่เวทีอีกครั้ง เขาจึงค่อนข้างตื่นเต้นและมีความตั้งตาคอยมากกว่าทุกที

ไม่ได้การแล้ว เขาต้องเตรียม...เตรียมอะไรดี? ผ้าเชียร์? แท่งไฟ? เอ้อ...ไม่ได้ไปคอนเสิร์ตเคป๊อบ งั้นป้ายชื่อวงหรือจะเตรียมดอกไม้ดีหว่า?

พี่เพจจะชอบอะไรมากกว่ากันระหว่างดอกไม้กับป้ายชื่อวงนะ?

“ว่าไงคิง สรุปไปเปล่า?”

เพื่อนร่วมคณะหันมาถามอีกครั้ง เหมือนต้องการรู้จำนวนคนที่แน่นอนเพื่อจะได้หาบัตรได้ครบ คิงลังเลอยู่นิดหน่อยที่จะตอบ ให้ตอบทันทีก็ดูกระตือรือร้นไปหน่อย ขัดกับเมื่อกี้ที่ทำเล่นตัวชิบหาย -_-;

“เอ่อ...มีใครไปบ้างอ่ะ”

“มีกลุ่มเราห้าคนกับพวกผู้หญิงอีกสองกลุ่ม น่าจะราวๆ สิบห้าคน ถ้ารวมคิงก็สิบหก”

“ระหว่างนั้นจะอยู่ด้วยกันตลอดเลยเหรอ?”

“ไม่หรอก ทำไมอ่ะ? คิงไม่สะดวกใจจะไปกับพวกเราเหรอ?”

คิงส่ายหน้ายิ้มนิดๆ ปฏิเสธคำกล่าวนั้น

“เปล่าหรอก เราไป แต่ถ้าหายไประหว่างดูคอนเสิร์ตอย่าตกใจแล้วกัน”

เพราะเขาจะไหลไปหน้าเวทีไปหาพี่เพจ ไม่ว่างมาจ๊ะจ๋ากับกลุ่มเพื่อนเว้ย!!!

“ได้ๆ งั้นคิงไปด้วยนะ”

“อืม”

“โอเค ไว้เจอกันเสาร์หน้าหอประชุมตอนหกโมงนะ ประตูเปิดหกครึ่ง”

ในที่สุด เขาจะได้เห็นพี่เพจบนเวทีสักที!!







ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้กันเรื่อยๆ :) ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ :NAVY

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พี่เพจนี่ก็ขยันอ่อยจริง

ออฟไลน์ ravyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
งือออออ นุ้งคิงน่ารักกกกกกก พี่เพจก็อย่ามาอ่อยแล้วทำให้น้องเสียใจนะ!

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 4 อย่าเผยความรู้สึกออกไป
คุณไม่ได้สมบูรณ์แบบเลย ที่รัก
แต่เพราะแบบนั้น
คุณถึงได้กลายมาเป็นส่วนต่อเติมให้ผมสมบูรณ์ได้ในที่สุด






เด็กๆ ผมเคยวาดฝันเอาไว้เสียมากมาย อยากจะเป็นคุณหมอถือเข็มฉีดยาเท่ๆ อยากเป็นนักธุรกิจสร้างฝันตัวเองขึ้นมาด้วยสองมือ แม้กระทั่งอยากเป็นทหารอาการ ขับเครื่องบินรบไปทั่วท้องฟ้ากว้าง

จวบจนโตขึ้น ผมผ่านเรื่องราวมากมายเกินกว่าจะนับได้หมดว่ามีเรื่องดีหรือเรื่องร้ายเท่าไหร่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ความฝันของผมก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามสิ่งที่ผมเห็นและรู้สึก

เมื่อผมมองพ่อแม่ของผมที่พลันแก่ชราลงทุกปีที่ผมเติบโต ผมมักจะคิดเสมอว่าผมขอเป็นอะไรก็ได้ที่หาเงินให้พ่อและแม่ของผมได้อยู่สบาย ได้ไปไหนมาไหนอย่างที่ใจหวัง ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเงินเดือนนี้จะพอจ่ายหรือไม่

เมื่อการเงินมั่นคงพอที่จะสร้างชีวิตของตัวเอง ผมก็แค่อยากสร้างบ้านหลังเล็กๆ สักหลัง มีเพื่อนบ้านที่น่ารัก เลี้ยงหมาสักตัว...และอยู่จับมือกับใครสักคนไปจนแก่เฒ่า

พอถึงตอนนี้เมื่อคิดๆ ดูก็ได้แต่หลุดหัวเราะ เพราะไอ้เรื่องสุดท้ายเนี่ย ผมดันไม่เคยคิดเสียด้วยว่า คนที่ผมอยากจะจับมือดูแลกันไปจนแก่นั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

ก่อนที่จะมาเจอพี่เพจ ไม่คิดหรอกครับว่าจะชอบผู้ชาย คือผมก็เด็กผู้ชายวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป มีชอบหญิงตามจีบข้ามโรงเรียนก็ออกบ่อย เพียงแต่ที่มันต่างออกไปคงเป็น...ผมไม่เคยลืมพี่เพจไปจากหัวใจได้อย่างจริงจัง

บ้านเกิดของผมอยู่ต่างจังหวัด แต่โรงเรียนมัธยมและมหาลัยที่ผมเรียนอยู่นั้นอยู่คนละจังหวัดแถมไกลกันสุดๆ ผมเลยใช้ชีวิตเด็กหอมาตั้งแต่ครั้งมัธยมจึงเคยชินกับการอยู่คนเดียวมาตลอด ผมไม่คาดหวังถึงตัวเองในอนาคตว่าจะมีใครมาอยู่ด้วยหรือจะได้เจอใครมาเปลี่ยนความคิดแบบนั้น จวบจนวันที่ได้พบกับพี่เพจ...มันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่เหมือนการที่ได้พบพี่เขามันทำให้ผมเปลี่ยนไปจากเดิม

ผมอยากมีพี่เขาอยู่ในชีวิต อยากมีคนๆ นั้นที่ผมไม่อาจลืมคนนั้นมาอยู่ในชีวิตของผม

ไม่ต้องเป็นคนรักก็ได้ แต่แค่อยากให้ในสายตาของผมได้มีเงาร่างพี่เขาบ้างสักครั้งก็ยังดี

พอผมคิดได้แบบนี้ ผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาผมไปจีบหญิงถึงได้จีบไม่เคยติด ทั้งยังโดนตอกหน้าว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้วทำไมถึงมาจีบคนอื่น อะไรแบบนั้น

บางทีพวกเธอคงจะมองออกด้วยสัญชาตญาณอันละเอียดอ่อนของเพศหญิง พวกเธออาจจะมองเห็น...อะไรบางอย่างที่ผมมักซ่อนอยู่ในแววตาของตัวเองยามที่ทอดมองตัวเธอ

เธอคงมองออกว่าผมมักจะจินตนาการเสมอ ถึงใครคนนั้นที่ตอนนั้นผมไม่มีโอกาสได้พบอีกครั้งคนนั้น

มองเห็นว่าผมมักจะคิดถึงภาพตัวเองได้เดินเคียงข้างคนๆ นั้น

พวกเธอมองออกว่าพบรอใครบางคนอยู่

เพียงแต่ต่อให้ละเอียดอ่อนเพียงใด เธอก็ยังมองออกเพียงแค่ผมชอบคนๆ นั้นมาก แต่ไม่ได้มองเห็นถึงความสิ้นหวังที่แฝงในความรู้สึกที่แสดงอกมานั้น

ความสิ้นหวังที่มีเพียงผมเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด

ผมไม่มีวันมีเขาในชีวิต ไม่ว่าจะรอนานอีกเท่าไหร่

แม้กระทั่งวันนี้ที่เราได้เจอกันอีก ผมก็ยังรู้สึกเช่นเดิม ไม่ว่าระยะห่างระหว่างเราจะสั้นลงอีกกี่เซ็น มันก็ยังคงเดิม

ผมรู้อยู่แล้ว รู้ตั้งแต่รักหมดหัวใจ

ผมมีสิทธิแค่มองพี่เขามีความสุขกับใครสักคนที่เขารักไปตลอดชีวิตเท่านั้น

“ไม่เข้าไปหรือไง?”

“...!!!” ผมสะดุ้งไปกับแรงที่กดลงบนไหล่ ท่ามกลางเสียงกรี๊ดและเสียงโหวกเหวกบริเวณห้องซ้อมดนตรีของมหาลัย ซึ่งตอนนี้ถูกยึดครองโดยกลุ่มรุ่นพี่ปีสี่ของคณะผมเอง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมอยู่ตรงนี้ จากตรงนี้ผมมองเห็นเพียงกลุ่มผมของพี่เพจขับไหวไปมาเท่านั้น เพราะบริเวณทางเข้าออกที่เห็นประตูกระจกใสมีแต่บรรดาแฟนคลับของกลุ่มพี่เพจออเต็มไปหมด จนผมไม่มีทางแทรกเข้าไปได้ เมื่อมองไปยังใบหน้าของผู้ที่ทักผม ผมก็อดจะอึ้งไปไม่ได้ เสียงนี่ ผมลืมไปได้ยังไงกัน

เขาคือนักร้องนำของวงที่พี่เพจเป็นมือกีต้าร์หรือพี่สิงห์ หัวหน้าวง Merci ของพี่เพจ

“ไม่ดีกว่าครับ คงไปรบกวนเปล่าๆ”

ผมยิ้มเจื่อนๆ ขยับถอยห่างไปจากตัวของพี่สิงห์เล็กน้อยด้วยความประหม่า แต่ก็ยังไม่ประหม่าเท่าตอนที่ยืนข้างพี่เพจ พี่สิงห์มีสีหน้าไม่เข้าใจนิดหน่อย ก่อนจะพูดทิ้งท้ายหนึ่งประโยค

“เห็นวันนั้นเดินมากับไอ้เพจ นึกว่าสนิทกันเสียอีก”

“...”

“ถ้ายังไงอยากเข้าก็เดินเข้าไปดูได้ เด็กคณะเราพี่ไม่ว่าอะไรหรอก”

แล้วพี่สิงห์ก็ตบหัวผมเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป

ถ้าแค่เดินมาด้วยกันหมายถึงสนิท แล้วพี่ที่อยู่กับพี่เพจมาเกือบสี่ปีควรให้คำจำกัดความว่าไงล่ะครับคุณพี่

โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มผู้หญิงบางส่วนที่มีเรียนต่อรอบบ่ายพากันทยอยหายไป จนมีที่ว่างเหลือสำหรับผมให้แทรกเขาไปยืนมองได้ ผมจึงได้เห็นบรรยากาศซ้อมภายในได้ค่อนข้างชัดเจน จากตอนแรกที่พี่สิงห์เข้าไปก็ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วที่พวกพี่เขาเริ่มซ้อมกัน ทว่ากลับมีเหงื่อเกาะพราวไปตามเนื้อตัวเหมือนไปวิ่งรอบสนามกันมาสักสิบรอบ จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ไอ้ซ้อมดนตรีเนี่ยมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยหรือไง

ผมก้มหน้ามองนาฬิกาที่เดินต่อไปเรื่อยๆ สลับกับมองรอบตัวที่คนเริ่มบางตาลงทุกที แหงล่ะ ตอนแรกก็คงจะเห่อกันมาดูกลุ่มนักดนตรีซ้อมขึ้นแสดงงานเทศกาลดนตรี แต่ใครมันจะบ้าเห่อดูเฝ้าจนซ้อมจบกัน

อ้อ มีอยู่คน

ผมเอง -_-)//

ใครใช้ให้ชอบเขาหัวปักหัวปำ จนรู้สึกว่าแค่ได้มองเสี้ยวหน้าผ่านกระจกก็มีความสุขแล้วแบบนี้กันเล่า!

ดังนั้นสภาพความเป็นอยู่ของผมในหลายชั่วโมงต่อมาคือปักหลักนั่งอยู่แถวๆ หน้าห้องซ้อม คอยมองเข้าไปข้างในบ้าง แอบสลับมาให้ความสนใจงานที่หยิบออกมาทำบ้าง จนแสงสุดท้ายของวันหายไปเมื่อตอนที่ผมหายไปซื้อของและกลับมายังห้องซ้อมที่ยังเปิดไฟอยู่นั่นล่ะ ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าควรกลับหอได้แล้ว เพราะดูท่าพวกพี่เขาน่าจะซ้อมกันดึก

ผมดูของในถุงเซเว่นอันประกอบไปด้วยพวกน้ำ เกลือแร่หรือพวกเครื่องดื่มชูกำลัง มีแม้กระทั่งขนมหรือของกินเล่นที่น่าจะช่วยแก้เรื่องความหิวของพี่เขาได้ไม่มากก็น้อย ก่อนจะวางมันลงหน้าประตูโดยพยายามให้คนที่เดินออกมาเห็นมันชัดๆ แน่นอนว่าผมผูกถุงและกำกับชื่อพี่เพจเอาไว้กันคนมาแอบฉวยหยิบไปหรือมีการเข้าใจผิดกันขึ้น

ก่อนจะไปผมแอบยื่นหน้าเข้าไปดูข้างใน พวกพี่เขายังคงซ้อมกันอย่างบ้าคลั่งเหมือนจะไปแข่งเวทีระดับโลก กระนั้นเมื่อเห็นพี่เพจที่ดีดกีต้าร์อย่างเอาเป็นเอาตาย ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

คืนนี้จะนอนหลับไหมหนอ ไอ้คิงจอมเพ้อเจ้อ

ผมก้าวออกจากบริเวณห้องซ้อมดนตรีท่ามกลางความมืดมิดและแสงสลัวจางๆ จากไฟถนน แล้วถอนหายใจ

เฮ้อ...

คืนนี้ผมคงต้องรอจนกว่าเสียงปิดประตูจากห้องข้างๆ ดังขึ้น ถึงจะหลับสนิทอีกแล้วสินะ










“เพจ มีคนฝากมาให้มึงแน่ะ”

เสียงพูดอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมมือเบสของวงดังขึ้นหลังจากหายไปเข้าห้องน้ำในเวลาพัก เพจละสายตาจากโทรศัพท์เงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนบนผนังบอกเวลาเกือบสามทุ่ม แล้วรับถุงนั้นมาจากเพื่อน ทันทีที่เห็นของในนั้นก็อดถามกลับไปไม่ได้

“ใครวะ?”

“ถามกูแล้วกูจะถามใครล่ะ ก็ซ้อมด้วยกันตลอด แฟนคลับมึงมั้ง”

“หิว มีของกินมั้ย?” ทีม มือกลองลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงมาหาเขาเมื่อได้ยินว่ามีของฝากมา ก่อนจะฉวยไส้กรอกเวฟกับเกลือแร่ไปหนึ่งขวด ซึ่งของที่เหลือเขาก็ได้ขี้เหนียวอะไร จึงยื่นแจกจ่ายให้เพื่อนในวงจนครบ เหลือเอาไว้สองสามอย่างที่เป็นของโปรดของเขา ราวกับคนซื้อของพวกนี้จะรู้ดีว่า ต่อให้จะให้เขาแค่คนเดียวเขาก็จะแบ่งเพื่อนในวงจนหมดอย่างไรอย่างนั้น

“แฟนคลับมึงแน่ๆ ไม่งั้นจะรู้ได้ไงว่ามึงแพ้กุ้ง” นิน รับหน้าที่เล่นคีย์บอร์ดพูดขึ้นบ้างโดยมือหนึ่งถือกล่องข้าวผัดไก่เกาหลีที่เขาชอบซื้อบ่อยๆ ขึ้นมา อีกข้างถือขนมปังกระเทียมเข้าปากเคี้ยวไม่หยุด เพจเองก็คิดแบบนั้นจึงฉวยเอาข้าวกล่องกลับมาเปิดกิน แต่กระนั้นก็ยังคาใจอยู่นิดๆ

โอเค เขาแม้จะไม่ได้หล่อเหลาเทียบเท่าเหล่าดาวเดือนหรือเด่นอะไรขนาดนั้น แต่ก็มีแฟนคลับมีคนมาชอบไม่น้อยไม่แปลกที่จะมีคนหอบเอาข้าวของมาให้ แต่ไม่เคยมีแฟนคลับหรือใครคนนั้นกล้าเอาของที่จะให้มาทิ้งไว้แบบนี้ ส่วนมากจนกว่าเขาจะรับนั่นล่ะถึงจะยอมไป ไม่มีหรอกมาวางทิ้งไว้แล้วเขียนแค่ชื่อของเขา

ใครกันนะ?

สิงห์กระดกเครื่องดื่มชูกำลังนิ่วหน้าคิดนิดหน่อย แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปมันจะดูเป็นไปไม่ได้ แต่...มันอาจจะเป็นจริงก็ได้ “เมื่อกี้ก่อนซ้อมกูเจอเด็กที่เคยเดินมากับมึงด้วย เพจ”

“คนไหน?”

“ทำอย่างกับมีหลายคน คนที่ทำแขนเสื้อมึงเปื้อนเลือดอ่ะ”

“อ้อ น้องคิง ทำไม?”

“ไม่รู้เข้าใจผิดหรือเปล่านะ แต่ที่สังเกตมาตลอด พวกที่มาดูๆ เราซ้อมทุกทีไม่ค่อยมีเด็กคณะเราสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่คณะอื่น บางทีคนที่เอาของมาวางเอาไว้อาจจะเป็นน้องมันก็ได้ เพราะถ้าเป็นเด็กคนอื่น เขาคงจะถือวิสาสะเข้ามาให้กับตัวมากกว่า”

“...ไม่ใช่มั้ง” คิงน่ะนะ?

อืม...เขาคิดภาพเด็กคนนั้นหอบถุงเซเว่นใหญ่ๆ มาวางเอาไว้ไม่ออกเลยแฮะ

“ตอนแรกกูก็ถามแล้วนะว่าจะเข้าไปดูในห้องซ้อมไหม? น้องมันก็ส่ายหน้าไม่เอาลูกเดียว โคตรขี้เกรงใจ ทั้งที่กูไม่ได้ห้ามอะไรเลยกับน้องในคณะ พอรวมๆ กับที่กูเห็นว่ามึงเคยเดินมากับน้องมัน เลยคิดว่าน้องน่าจะซื้อมาให้มึงนั่นแหละ แต่ไม่กล้าเอาเข้ามาให้”

“...”

“แต่...ก็แค่การสันนิฐานนะ”

เพจหลุดยิ้มออกมานิดหน่อยแล้วพยักหน้าตาม “คงงั้นมั้ง”

เขาไม่ได้คล้อยตามอะไรกับสิ่งที่เพื่อนพูด แต่ไอ้ที่เพื่อนบอกว่าคิงน่าจะเป็นคนทิ้งไว้น่ะ เห็นด้วยเต็มๆ

ถามว่ามั่นใจมั้ย? อืม...ก็เกินครึ่งนะ

รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ?


‘บัตรประจำตัวนิสิต ชื่อ – นามสกุล: นายคนิน นาวากุล...’


คงไม่มีใครคนไหนแอบซื้อของมาให้แล้ว ‘เผลอ’ ทำบัตรประจำตัวนิสิตของคนอื่นหล่นในถุงหรอก

.

.

อันที่จริง ถ้าหากคิงเป็นผู้หญิงและแสดงออกว่าชอบเขาอีกสักนิด เขาว่านี่มันการอ่อยชัดๆ เลยนะเนี่ย -.-









แต่ผมรู้ดี รู้หมดทั้งใจนั่นล่ะ
ผมรู้ว่าส่วนที่ขาดหายที่คุณรอ
มันไม่มีวันเป็นผม
[/i]









ถนนหนทางตอนกลางคืนช่วงใกล้เข้าวันใหม่ยังคงวังเวงและเงียบเหงาเช่นที่ผ่านๆ มาเหมือนเดิม

เพจคุ้นเคยและชินเสียแล้วกับที่บางทีเขาพาสภาพร่างโทรมๆ ของตัวเองหลังจากซ้อมดนตรีเพื่อไปแสดงในงานดนตรีกลับหอในช่วงเวลาแบบนี้ นี้ก็ร่วมสัปดาห์แล้วที่เขาใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับการเรียน อ่านโน้ตหรือซ้อมดนตรี ทุ่มเทกับโปรเจ็คในสองสามชั่วโมงก่อนจะหลับเป็นตาย แล้วตื่นขึ้นมาในรุ่งสางเพื่อไปเรียนวนลูปเดิมๆ

มันเคยเป็นแบบนั้นมาตลอดจริงๆ

ยอมรับว่าเหนื่อยและบางทีก็เหงานิดๆ ทว่าเขาก็มีเพื่อนเยอะแยะ ทำไมยังเหงาอีกนะ

บางทีอาจจะแค่อิจฉาก็ได้ แต่เวลาที่เขาได้เห็นเพื่อนเดินออกจากห้องซ้อมแล้วเจอใครรออยู่ ไม่ว่าจะหลับรอหรือตื่นรอ มันก็ชวนอบอุ่นใจจริงๆ ทั้งที่คนเหล่านั้นไม่ได้เข้ามาเอาอกเอาใจ แค่ถามว่าเหนื่อยไหม? กลับบ้านกัน... แค่นั้นแต่ทำให้เขาอิจฉาอย่างประหลาด

เฮ้อ...อยากมีแฟนกับเขาบ้างจริงๆ น้า

พอคิดมาถึงตรงนี้เพจก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ บนถนนสายเล็กๆ ที่ตรงไปยังหอพักของตัวเอง คนแบบเขาเนี่ยนะอยากจะมีแฟน เขาคิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครมาเดินข้างเขา เขาที่ทั้งเอาใจแต่และดื้อรั้นแบบที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีวันรู้ได้เท่าตัวเขาเอง แม้ภายนอกเขาจะดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ดูเหมือนไม่อะไรกับใครมาก ตัวเขานี่แหละรู้ดีที่สุดว่าเขานั้นนิสัยเสียแค่ไหน
ยากที่จะหาคนที่ทนเขาได้ นอกจากครอบครัวของเขาคงไม่มีอีก

หรือถ้ามี

“พี่เพจ? ทำไมกลับดึกจังครับ”


เขาก็อาจจะมองข้ามไปแบบไม่รู้ตัวก็ได้

“พี่ต้องถามเรามากกว่ามั้ง? จะตีหนึ่งอยู่แล้วนะ ลงมาทำอะไร”

คิงดูลนลานนิดหน่อย ก่อนเหมือนจะสังเกตเห็นถุงในมือตัวเองจึงยกขึ้นมา “เอ่อ...อ่านหนังสือแล้วหิว เลย...”

“แวะเซเว่นหาอะไรกินว่างั้น” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารัวๆ เหมือนเขาไม่เชื่อ เพจก็หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งจนได้ แต่ครั้งนี้เขาหัวเราะเต็มเสียงทั้งยังทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นรอยยิ้มที่มุมปาก ลากยาวไปถึงในดวงตาที่หยีโค้งอารมณ์ดี ร่างสูงกวาดแขนไปโอบไหล่รุ่นน้องที่ยืนห่างจากตัวเองไม่กี่ก้าว พูดจาเอาแต่ใจอย่างที่ไม่เคยพูดกับใครมาก่อน

“งั้นเดี๋ยวไปหาที่นั่งเล่นใต้หอกัน พี่ซื้อข้าวมากินเหมือนกัน”

ราวกับเขารู้ รู้ว่าเด็กคนนี้ไม่มีทางผลักให้เขาถอยห่าง หากเขาจะแสดงตัวตนของ ‘ตัวเอง’ ออกมาอีกสักนิด ทั้งที่เขาไม่ได้มั่นใจอะไรเลยสักนิด

เขาแค่วางใจในตัวเด็กคนนี้ แม้จะมีเวลาทำความรู้จักคุ้นเคยแค่เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

ทว่าเพจกลับไม่รู้เลยว่า ต่อให้เขาแสดงความดื้อรั้นเอาแต่ใจมากขึ้นอีกนิด เด็กคนนี้ก็ไม่เคยนึกว่า ซ้ำร้ายจะยินดีเสียด้วยซ้ำที่ได้พบมุมที่ไม่ว่าใครก็ยังไม่ได้พบจากเขา

คิงฉวยเอาไอติมสีหวานเข้าปาก กัดกร้วมๆ สลับกับมองสีหน้าเหนื่อยล้าของคนข้างๆ ไปด้วย โชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่เขาดันเลือกไอติมแท่งยักษคู่ จึงออกแรงหักมันแบ่งออกเป็นสองส่วน ยื่นส่วนที่ยังไม่มีรอยกัดไปให้อีกคน
 
“กินมั้ยครับ ชื่นใจดีนะ”

“แต้งกิ้ว”

ทังสองคนเดินไปตาทางที่สว่างด้วยแสงไปไม่กี่จุด ผ่านความเงียบรอบตัวไปโดยไร้ซึ่งคำพูด หากก็ไร้ซึ่งความอึดอัดใดๆ ราวกับพวกเขาเดินเคียงข้างกันเช่นนี้มาเนิ่นนาน นานจนไม่ต้องหาคำพูดหรือบทสนทนาใดมาเปรยเพื่อขับไล่ความกระอักกระอ่วนของความสัมพันธ์ที่ก่อร่างได้ไม่นาน

หรือบางที...มันอาจเป็นเพราะมีหนึ่งฝ่ายที่ยอมสละตัวให้เป็นที่ไว้วางใจ จนทำให้อีกคนรับรู้ถึงความสบายใจยามที่ได้อยู่ด้วยก็เป็นได้

“ช่วงนี้พี่เพจกลับดึกบ่อยไปไหมครับเนี่ย?”

“ดึกเหรอ? ช่วงปีสองที่ไปกินเหล้าทุกวันดึกกว่านี้อีก”

“แต่นี่พี่อยู่ปีสี่แล้ว โปรเจ็คมันหนักมากไม่ใช่หรือครับ” คิงเงยหน้าขึ้นมองคนข้างๆ มองสบดวงตาคู่นั้นที่ก้มลงมองเขาเช่นกัน รอบใต้ตาของเพจดำคล้ำเหมือนคนอดนอน

“ตาดำเป็นหมีแพนด้าเลย นี่อย่าบอกนะครับว่ากลับจากซ้อมดนตรีแล้วพี่ยังนั่งอ่านทำโปรเจ็คต่ออีกอ่ะ”

“งานมันเร่ง” เพจตอบสบายๆ พลางกัดไอติมไปด้วย เขายกมือข้างที่ถูกน้ำหวานจากไอติมหยดใส่ขึ้นเลียเบาๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกก็เห็นเพียงแต่ใบหน้าของคิงหันไปทางอื่น แม้จะแปลกใจแต่เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรไปมากกว่าน้องมันแค่มองวิวดูทางอะไรเรื่อยเปื่อย ใครจะไปรู้ หากเพจยอมชะโงกหน้ามองไปด้วยความสงสัยอีกนิด เขาก็จะเห็นริ้วแดงเรื่อตั้งแต่แก้มไล่จรดใบหูขาวสะอาดนั่น เพราะคิงดันอดคิดอกุศลไม่ได้กับภาพที่รุ่นพี่ที่ชอบแลบลิ้นเลียคราบน้ำหวานบนมือตัวเอง

ไม่ได้หื่นนะเว้ย! ก็ผู้ชายป่ะวะ!!

“เราอ่ะ ทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ อ่านหนังสือเตรียมสอบก็เร็วไปมั้ง”

“แค่อ่านทบทวนบทเรียนเฉยๆ ครับ”

จุดๆ นี้ใครมันจะไปกล้าบอกวะ ว่านั่งเล่นเกมเฝ้าประตูห้องตัวเอง รอเสียงปิดประตูจากห้องข้างๆ น่ะ -_-

แถมมันไม่ใช่คืนแรกเสียด้วยสิ...

เพจพยักหน้าเอ่ยชมเชยรุ่นน้องที่ขยันแสนขยัน พร้อมกับเล่าเรื่องตัวเองตอนใกล้สอบให้ฟัง เสียงหัวเราะที่เคล้าคลอไปกับลมเย็นๆ ของตอนกลางคืนทำให้คิงรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

เขาชอบบรรยากาศแบบนี้ บรรยากาศที่เหมือนตอนนี้ทั้งโลกมีเพียงแค่พวกเขาสองคนที่ยังตื่นอยู่

ชอบที่ได้เดินกลับหอด้วยกัน

เขาชอบพี่เพจมากจริงๆ

ไม่นานพวกเขาก็เดินถึงหอพัก ใต้ตึกยังคงมีแสงไฟและเง่างของยามประจำหอพักรางๆ เพจมองนาฬิกาในโทรศัพท์ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม จริงๆ เขาก็อยากจะนั่งกินข้างล่างให้มันเสร็จๆ บนห้องจะได้ไม่มีกลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้ก็จะตีหนึ่งครึ่งเข้าไปแล้ว เขากลับไปกินบนห้องดีกว่า

“พี่ว่าจะไปกินในห้องแทนละ คิงล่ะ?”

คิงเองก็เดาได้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้จึงพยักหน้า เดินตามกันไปยังห้องพักของแต่ละคน

ก่อนจะแยกย้ายเพจเรียกรุ่นน้องไว้ที่หน้าห้อง ล้วงหยิบบัตรนิสิตที่อีกฝ่ายลืมเอาไว้ในถุงเสบียงนั่น ไม่รู้ว่าลืมจริงหรือถูกเก็บได้ แต่ยังไงก็คืนไปก่อนแล้วกัน

“อ่ะ เก็บบัตรดีๆ สิคิง”

“ขอบคุณครับ พี่เพจไปเก็บได้จากไหนอ่ะ ผมหาตั้งนานแน่ะ” สีหน้าแปลกใจของคิงไม่ได้เหนือความคาดหมายของเพจสักเท่าไหร่ เขาแสร้งยิ้มหน้าซื่อตอบคำตอบที่รู้อยู่แล้วว่าจะทำให้เด็กตรงหน้าทำสีหน้าแบบไหนออกมา

จะยังไงคิงก็เป็นเด็กที่เขาแกล้งแล้วสนุกที่สุดอยู่ดี

“ในถุงขนมที่วางหน้าห้องซ้อมดนตรีน่ะ”

“...”

“ข้าวผัดไก่เกาหลีอร่อยมากกกก รู้ได้ไงว่าพี่ชอบ” เพจอมยิ้มเมื่อสีหน้าสบายๆ ของคิงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าโกหกแอบมีความลับ หลบตาเขาเป็นพัลวัน ไม่รู้ทำไมเขาถึงดีใจสุดๆ ที่ตัวเองไม่ได้เดาผิด

เป็นเด็กคนนี้จริงๆ ด้วย

“ขอบคุณนะ พวกพี่รอดตายเลยล่ะ”

“...ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร เดี๋ยวจะซื้อไปฝากอีกแล้วกันครับ”

คิงว่าเสียงเบา แต่กระนั้นด้วยเวลาย่างเข้าวันใหม่ จะมีใครมายืนคุยเสียงดังนอกห้องเหมือนพวกเขาอีก เพจจึงได้ยินอย่างชัดเจน ยิ่งแสงไฟสลัวๆ ตามทางเดินอาบไล้พวงแก้มที่ขึ้นสีริ้วแดงๆ จากความเขินอาย รอยยิ้มมุมปากก็ยิ่งขยายกว้าง

“งั้นคราวหน้าขอเสต็กลุงหนวด”

“หากินเองเถอะครับ แบบนั้นน่ะ -_-^”

“อ้าว ไหนว่าจะซื้อให้อ่ะ”

“แพงไปป่ะล่ะ อยากกินก็เอาเงินมาสิครับ”

“นี่จะเลี้ยงรุ่นพี่ไม่ใช่หรือไงคิง มาขอเงินได้ไงน่าเกลียด”

“รุ่นพี่ที่ขูดรีดเงินรุ่นน้องมาเลี้ยงตัวเองนี่น่าอายน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะครับ -_-“

“ฮ่าๆๆ โอเคๆ ซื้ออะไรมาก็ได้ พี่กินหมดแหละ” คิงหน้าบูดขึ้นทุกที แต่เพจกลับยิ้มแป้น ดันหลังให้อีกคนกลับเข้าห้อง ทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ก่อนจะเป็นฝ่ายปิดประตู เพื่อส่งอีกคนเข้านอนในตอนเช้าวันใหม่เสียที

“นอนได้แล้ว เด็กดีเขาไม่นอนดึกหรอกนะ”

“มานอนเช้าแทนเลยไง โคตรเด็กดีเลยดิเนี่ย”

“ไปนอนได้แล้ว!”

“พี่เพจด้วย รีบกินข้าวอาบน้ำนอนได้แล้วนะครับ”

เพจยิ้มอ่อนใจ โคลงศีรษะให้เด็กที่ดื้อไม่ยอมนอนเสียทีตรงหน้า “แล้วเมื่อไหร่จะได้นอนล่ะ ฮึ?”

“จนกว่าพี่จะเข้าห้อง”

“...”

“ผมแค่อยากได้ยินเสียงพี่ปิดประตูเข้าไปเท่านั้นเอง”

“ได้ๆ พี่ปิดประตูแล้วนอนเลยนะ”

“ครับ”

“คิง”

“ครับ?”

“ฝันดีนะ”

พระเจ้าช่วย กล้วยทอด

เดาสิครับว่าเช้าวันนี้ไอ้คิงจะได้นอนกับเขาไหม?







ยังคงอ่อยอย่างต่อเนื่องงง
ฝากติดตามเช่นเคย :) :NAVY

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 22:55:59 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
นุ้งคิงไม่ได้ตั้งใจอ่อยเนอะ 555

พี่เพจ เรื่อย ๆ มากแต่เนื่อยๆ  แบบน่าร๊ากกกชอบจัง

ออฟไลน์ knxiiviii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น่าฮักขนาดดดดดด

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ละมุนนนนน. น่าฮักแท้

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
งืออชอบบบบบ
รอค่ะ :katai5:

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 5 อย่าพูดในสิ่งที่คิด
คนบางคนเกิดมาให้เรามองแล้วรู้สึกสบายตา
แต่คนบางคนเกิดมา...เพื่ออยู่ข้างเราให้เราสบายใจ









“น้องคนนั้นก็โอเคนนะ ลองไปคุยมาแล้ว น้องว่าอยู่หอ ซ้อมเย็นได้”

“งั้นจดลงไปเลย เอาเยอะๆ ก่อนแล้วค่อยคัดทีหลัง”

“คิง น้องพิมว่าไงบ้าง”

ผมส่ายหน้าเมื่อวิ่งมาหากลุ่มเพื่อนที่รออยู่ “น้องบอกว่าแม่ห่วงอ่ะ คงไม่ได้”

แม้จะเสียดาย แต่พวกเขาก็คงมางอนง้อเด็กแค่คนเดียวไม่ได้ โชคดีที่คณะของผมสัดส่วนของผู้หญิงและผู้ชายพอๆ กัน เวลามีกิจกรรมอะไรที่ต้องใช้ทั้งแรงงานและเรื่องความสวยความงาม มักจะพร้อมและเพียงพอเสมอ อย่างตอนนี้เป็นต้น

เฮ้อ ผมละเกลียดงานกีฬาภายในจริงๆ เล้ยย!

ใช่ครับ ตอนนี้แม้จะผ่านช่วงเปิดเทอมมานานแล้ว แต่กิจกรรมนั้นยังคงมีและดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ครั้งก่อนๆ เป็นงานใหญ่ระดับมหาลัยในช่วงวันแรกๆ ของการเปิดเทอม เช่นพวกการรับน้อง ไหว้ครูอะไรแบบนั้น แต่ครั้งนี้จะเป็นเกี่ยวกับงานกีฬา การแข่งแสตนด์และผู้นำเชียร์ รวมถึงมีการแข่งวิชาการด้วย เรียกได้ว่านอกจากจะต้องวุ่นวายกับการเรียนเพื่อต่อยอดไปยังการสอบแล้ว พวกผมยังต้องแบ่งสมองมานั่งจัดการเกี่ยวกับงานกิจกรรมเหล่านี้ไม่ให้ขาดช่วงอีกด้วย

เห็นอนาคตตัวยเองรำไรเลยล่ะครับ ไม่แคล้วคงได้เปิดฟาร์มหมีแพนด้ากันทั้งคณะ

หวังว่ารุ่นน้องจะไม่แสบเหมือนรุ่นพวกผมนะครับ ตอนรุ่นผมนี่คุมก็คุมยาก ซ้อมก็ไม่ค่อยมา ลำบากใจแทนรุ่นพี่สุดๆ

ผมเองก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้หรอกครับ แต่ก็อย่างว่า มาเรียนในสังคมที่ใหญ่ว่าหนึ่งห้องสี่เหลี่ยมของมัธยม เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับที่ที่อยู่ ไม่อย่างนั้นเราก็ต้านทานกระแสสังคมไม่ได้ ถึงจะอย่างนั้นแม้จะต้องตามกระแสแต่ก็ต้องรักษาความเป็นตัวเองไม่ให้หายไปด้วย การใช้ชีวิตในสังคมที่มีคนหมู่มากนี่ทั้งยากและน่ารำคาญพอสมควรเลยสำหรับผมที่รักที่จะอยู่มุมเงียบๆ มุมหนึ่งเท่านั้น

แต่ถ้าเทียบกับการทำตัวแข็งข้อมีปัญหา ผมยอมเข้าวุ่นวายแบบนี้ดีกว่า

“แล้วฝั่งกีฬาขาดกี่คน กีฬาอะไรบ้าง”

“เปตองขาดสองคน ส่วนวอลเลย์หญิงขาดอีกคนหนึ่ง นอกนั้นมีครบแล้ว”

“โอเค เดี๋ยวให้ฝ่ายกีฬาเขาไปหาคนเพิ่มมา เน้นด้วยนะว่าส่งรายชื่อวันพรุ่งนี้ไม่เกินเที่ยง ยังไงก็ต้องได้ชื่อมาก่อน แข่งได้ไม่ได้ยังไง ค่อยว่ากันอีกที”

“มีอะไรให้เราช่วยอีกหรือเปล่า” ผมพูดขึ้น ใจจริงอยากจะไปแบบไม่ถามเลยล่ะ แต่มันก็จะดูแย่เกินไป เพื่อนทั้งสองส่ายหน้าผมจึงพูดขอตัวและวิ่งออกมาในที่สุด ซึ่งจุดมุ่งหมายของผมจะป็นที่ไนไปไม่ได้นอกจาก ห้องซ้อมดนตรีนั่นแหละครับ

อีกไม่กี่วันก็จะงานแสดงดนตรีแล้ว ก็ต้องมีอัดฉีดนักดนตรีสักหน่อย -.-

อะไรนะ? ผมน่ะเหรอเอาเรื่องของกินมาบังหน้า? เฮ้ยย ใส่ร้าย

...

ครับ เอาของกินไปเซ่นถวายเพราะอยากเห็นหน้าพี่เพจเฉยๆ ก็ได้ครับ คนอื่นน่ะมันของแถม -_-

จากวันนั้นที่พี่เพจรู้แล้วว่าผมเป็นคนเอาของกินขนมไปให้ก็ผ่านมาเกือบห้าวันแล้วที่ผมคอยเทียวส่งน้ำส่งข้าวให้คนในห้องซ้อม บางวันมาเย็นบ้างเพราะผมเลิกเย็น บางวันก็มานั่งรอพวกพี่เขามาซ้อมบ้าง แล้วแต่เวลาเรียนของพวกเราทั้งคู่ แต่ก็มีบางวันเช่นเดียวกันที่ผมและพี่เขาเลิกเรียนในเวลาใกล้เคียงกันและ...มีใครบางคนมาหาถึงห้องเรียน

นึกมาถึงตรงนี้แก้มผมก็ร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อนึกถึงช่วงเวลาดังกล่าว

มันคือเรื่องของเมื่อวานครับ หลังจากที่อาจารย์ปล่อยให้นิสิตทั้งหลายที่ผจญกับความรู้ที่อาจารย์พยายามจะยัดเข้าให้หัวที่มีสมองก้อนน้อยแรมต่ำนี่ให้หมดภายในสองชั่วโมง ผมก็พบว่าประตูห้องนั้นออกไม่ได้เสียแล้ว

เพราะการปรากฎตัวของใครบางคนเรียกให้ความสนใจของทุกคนไปอออยู่ที่ประตู จนเหลือเพียงแค่ทางแคบๆ ให้เดิน
ผมเองก็เหมือนคนอื่นๆ แหละครับที่อดสงสัยไม่ได้ว่ามีใครมายืนอยู่จนทำให้การจราจรติดขัดแบบนี้ จึงรีบเก็บข้าวใส่กระเป๋าสะพายใบโปรดแล้วสะพายมันเดินลงมายังหน้าประตูห้อง

“มาหาใครคะ?”

“มาหารุ่นน้องคนหนึ่งน่ะ”

“มาจีบปีหนูเหรอคะ จีบใครอ่ะ?”

“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ๆ มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย อืม...มาลักพาตัวมั้ง”


ยิ่งใกล้บทสนทนาคลอเคล้าด้วยเสียงจอแจฟังไม่ได้ศัพท์หลายเสียงยิ่งดังขึ้น แต่ที่ดังสุดเห็นจะเป็นเสียงของคนที่อยู่ใจกลางของวงสนทนานั้นล่ะ แน่นอนว่าผมจำได้ตั้งแต่ประโยคที่ได้ยินและนั่นทำให้ผมรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปใกล้ๆ ใกล้จนผมมองเห็นว่า ‘ใครคนนั้น’ ที่ว่าคือพี่เพจ

“พี่เพจ?”

“ไง เลิกเรียนช้าจัง พี่รอตั้งนานแน่ะ”


ผมฝ่าวงล้อมของผู้หญิงพลางขอโทษไปด้วย มองคนตรงหน้าด้วยแววตางงๆ “พี่มาหาผมทำไมอ่ะ”

“ไหนว่าจะเลี้ยงเสต็กพี่”

“บอกตอนไหน พี่เพจอ่ะมั่ว”

“ชิ ตามน้ำหน่อยไม่ได้หรือไง?”


ผมทำเป็นเมินท่าทางดูงอนๆ ที่แสนน่ารักนั่น เบี่ยงเบนไปเรื่องอื่นเนียนๆ “แล้วไม่ซ้อมหรือครับวันนี้”

“ซ้อมดิ แต่วันนี้ซ้อมช้าหน่อย พวกไอ้ทีมมันมีเรียนเสรี มีแค่พี่กับไอ้สิงห์ที่เลิกเร็ว เลยมาชวนเอาไปกินข้าว ไปเปล่า?”


ความจริงผมควรจะเกรงใจและปฏิเสธตามวิสัยของรุ่นน้องที่แสนดีและขี้เกรงใจ ซึ่งสถานการณ์รอบตัวนี่ก็เอื้ออำนวยให้ผมต้องทำอย่างนั้นเสียเหลือเกิน ทั้งสายตาของเพื่อนร่วมเอกหรือแม้กระทั่งสายตาที่มองออกถึงความอิจฉาเล็กๆ จากผู้หญิงต่างเอก

ทว่า...โทษทีนะครับที่ผมไม่ได้แสนดีและขี้เกรงใจขนาดนั้น

เรื่องอะไรผมจะยอมเสียโอกาสที่ได้ไปกินข้าวกับพี่เพจเพราะสายตาคนอื่นด้วยล่ะ -.-

“ไปครับ”

“โอเค! ป่ะ ไอ้สิงห์มันรอที่ร้านนานแล้ว”


ผมพยักหน้ายิ้มๆ เดินผ่านบรรดาหญิงสาวที่มองตามมาด้วยความอิจฉา อย่างที่บอกครับ แม้ว่าพี่เพจจะไม่ได้หล่อขนาดเดือนมหาลัยหรือนายแบบ แต่พี่เขาก็ถือว่าดูดีกว่าระดับทั่วไปเล็กน้อย ไหนจะนิสัยและรอยยิ้มที่ขับเสน่ห์ในตัวของพี่เพจออกมา จนทำให้พี่เขาเป็นที่หมายปองทั้งจากผู้หญิงและผู้ชาย

ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

และเหมือนจะตกในหลุมรักของพี่เขาลึกที่สุดเสียด้วย!

ก็อย่างที่ว่าแหละครับ นึกๆ ดูแล้วผมยังอดชมตัวเองไม่ได้ที่ครองสติได้จนมาถึงหอพักหลังจากที่พี่เพจกลับไปซ้อมกันหลังกินข้าวเสร็จ โดยไม่สติหลุดลอยไปโลกที่สามเสียก่อน ผมได้นั่งใกล้ๆ พี่เพจ มองพี่เขากินข้าวคุยกับเพื่อน ฟังเสียงหัวเราะและท่าทางที่มีชีวิตชีวานั่นในที่ที่ใกล้ตัวพี่เขามากที่สุด

แม้ว่ามันจะไม่มีโอกาสได้ใกล้ไปมากกว่านี้ ผมก็ยังมีความสุขมากอยู่ดีล่ะนะ

ทว่าทันทีที่ผมมาถึงห้องซ้อนดนตรี ความคิดและความทรงจำที่แสนงดงามเมื่อวานก็เป็นอันพังทลายกับความวุ่นวายตรงหน้านี่เอง

“พี่สิงห์คะ >_< หนูได้ยินว่าพี่ชอบของหวาน นี่ค่ะ! เอแคลร์เบเกอรี่เจ้าอร่อย”

“ขอบคุณครับ”

“เพื่อนหนูฝากมาให้พี่ทีมกับพี่เกมด้วยนะคะอีกสองถุง”

“พี่นินคะ หนูเอาสายไหมมาฝากก”

“พี่เพจคะ หนูเอาขนมจีบมาให้ เจ้านี้หนูกินประจำอร่อยมากค่ะ!”

“ขอบ...” เพจ

“พี่เพจ เอาแซนวิชสอดใส่ความรักของเกมมี่ดีกว่าค่ะ อร่อยและอิ่มท้องกว่าขนมจีบอีกแน่นอน”

“เอ่อ...ขอบใจ” เพจ

“เอ๊ะ! พูดงี้หาเรื่องหรือไงยะ”

“หรือจะเอาละอิชะนีน้อย!”

“ไม่ทะเลาะกันๆ ขอบคุณทั้งคู่นะครับ -O-;;” ตอนแรกผมก็ค่อนข้างตกใจและเครียดพอสมควรแหละทีเห็นภาพที่หญิงสาวและหญิงเหลือน้อยทั้งหลายพากันกรูเข้าไปให้ขนมและข้าวของแก่หนุ่มๆ ในห้องซ้อมดนตรี ทั้งยังหงุดหงิดนิดๆ ตอนที่เห็นว่ามีผู้หญิงหลายคนพยายามที่จะกระแซะเข้าไปหาพี่เพจและพี่คนอื่นจนเกินงาม แต่กระนั้นผมก็พยายามบังคับให้ตัวเองยืนอยู่ที่เดิมและตีหน้านิ่งไม่แสดงอาการใดๆ ออกไปทั้งสิ้น

ผมเปล่าหึงนะ! ไม่ได้หึงเล้ยยย (เสียงสูง) -_-^

แต่พอเห็นการโต้เถียงที่เกิดขึ้นระหว่างส่งมอบข้าวของ ฟังบทสนทนาที่ค่อนข้างจะแดกดันกันเองแล้วก็อดขำตามไม่ได้และเพราะแบบนั้นมันทำให้คนที่หน้าเจื่อนพยายามยิ้มรับของจากบรรดาแฟนๆ มาสังเกตเห็นผมเข้า พี่เพจดูแปลกใจในตอนแรก แต่ก็พลันยิ้มออกมาเหมือนโล่งอกในที่สุด

พี่เพจยิ้มและพูดอะไรสักอย่างกับกลุ่มผู้หญิงที่มุงและขวางทางหน้าห้องเล็กน้อย ก่อนจะฝ่ากลุ่มคนมาหาผมฉวยรั้งข้อมือของผมให้เดินตามอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่าเพิ่งตามหาควายที่หายไปเพิ่งเจอและต้องการนำมันกลับคอกให้ไวที่สุด (ด่าตัวเองเป็นควายก็ได้เว้ยเฮ้ย) ผมสาวเท้าตามอย่างไม่กล้ามีแม้แต่คำถามว่าลากผมมาทำไม (วะ) ครับ? ผ่านผู้หญิงที่มองผมอย่างเคลือบแคลง กระทั่งเข้ามาในห้องซ้อมเรียบร้อย พี่เพจปล่อยมือของผมและเดินออกไปบรรดาแฟนคลับว่าจะเริ่มซ้อมและไม่สามารถออกมารับของได้อีกแล้ว พวกเธอจึงยอมสลายตัวกันไปในที่สุด เหลือเพียงแต่แฟนบอยอันดับหนึ่ง (แน่นอนว่าแต่ตั้งตัวเองเรียบร้อย) ยืนงงในดงคนหล่อเพียงคนเดียว

“เฮ้อ วุ่นวายสุดๆ”

พี่ทีมที่กำลังเช็กกลองเงยหน้าขึ้นมองพร้อมยิ้มแซว “ใครใช้ให้มึงใจอ่อนยอมรับมาล่ะ ไม่รับมาสักคนตั้งแต่แรกก็จบล่ะ”

“มันก็เสียน้ำใจคนให้ป่ะวะ สงสัยคราวหน้าต้องบอกจริงๆ จังๆ แล้วมั้งว่าไม่รับของฝาก” พี่เพจบ่นอุบอิบ หัวถูกมือตัวเองยีฟูจนไม่เหลือเค้าทรงเดิมขณะดินมาหาผม ใบหน้าที่ยุ่งเหยิงขยับเป็นรอยยิ้มสายหนึ่งพาดผ่านใบหน้า เรียกควาสดใสให้กลับมายังตัวของพี่เขา

“ไหน ซื้ออะไรมาฝากพี่”

“ไม่ค่อยจะกลืนน้ำลายตัวเองเลยนะครับ” ถึงปากจะว่าแต่มือของผมก็ยื่นถุงที่เต็มไปด้วยของกินมากมายไปให้อีกคนอยู่ดี ความจงรักภักดีที่น่าอายนี่โคตรจะ...เฮ้อ =_= ผมจะมีวันไหนที่ขัดใจพี่เขาได้บ้างวะ

พี่เพจร้องโห่ฮาไปตามประสาคนชอบแสดงท่าทางโอเวอร์ในหมู่เพื่อนฝูง หอบถุงข้าวของของผมไปให้เพื่อนแต่ละคน ส่วนผมก็ยืนยิ้มเจื่อนๆ กับคำขอบคุณที่ไหลบ่ามาหาอย่างกับน้ำหลากช่วงฤดูฝน ทั้งที่เมื่อกี้ทุกคนก็ต่างแสดงออกถึงความยุ่งยากใจในการจัดการเจ้าของฝากทั้งหลายที่ได้มาจากแฟนคลับ แต่กลับรับของฝากจากผมได้หน้าตาเฉย

เอาเถอะ ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษของเด็กคณะเดียวกันแล้วกัน -.,- จะพยายามไม่คิดลึกกว่านั้น...ไม่คิด

“คิง ยิ้มพิลึกอะไรน่ะเรา?”

ผมรีบหุบยิ้มที่ไม่รู้ยิ้มไปเมื่อไหร่ ตวัดสายตาขุ่นเคืองไปหาต้นเสียง พอเห้นว่าเป็นพี่นินก็ชะงักไปนิดหน่อย โอเค ผมหน้าด้านพูดได้ว่าตัวเองสนิทกับพี่เพจ แต่กับเพื่อนร่วมวงของพี่เขานี่ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ถ้าถามว่าพวกพี่เขาสนิทกับผมไหม? เอาง่ายๆ คือถ้าเหยียบเล่นบนหัวผมได้ก็คงทำไปแล้วล่ะ -_-

“ยิ้มเฉยๆ ไม่ได้หรือครับ”

“มันจะไม่มีอะไรเลย ถ้าเราไม่ยิ้มไปมองไอ้เพจไปด้วยอ่ะ”

“มองอะไร!! ใส่ร้าย” โอ๊ยยย จะตาไวกันไปไหนวะ!

“ตะโกนด้วยเว้ยเฮ้ย แซวเล่น! หูยย โกรธจริงจังอย่างกับรับว่ามองจริงๆ น่ะแหละ”

พี่นินว่าเสียงทะเล้นพร้อมลุกขึ้นไปหาพี่เพจที่หัวเราะร่วนไปกับเพื่อนๆ คนอื่น จับตัวเพื่อนที่สูงพอกันหมุนซ้ายหมุนขวาเหมือนแม่เล้าเตรียมส่งเด็กในสังกัดให้เสี่ย ทันทีที่พยักหน้าก็ผลักพี่เพจมาหาผมที่ยืนทำอะไรไม่ถูกกลางวง แล้วเอ่ยสำทับ

“อ่ะ ยกให้ เอาไปเลย ไม่ให้เอามาคืนนะคิง”

“พูดอะไรเนี่ย ผมไม่เล่นด้วยหรอกนะ” ปากก็ว่างั้นล่ะครับ ใครใช้ให้ผมฟอร์มจัดขนาดนี้

ถ้าเอาความจริงไม่ห่วงฟอร์มล่ะก็ จับกดได้ก็ทำแล้วล่ะตอนนี้ -.,- ไม่อยากคืนเหมือนกันครับพี่นิน

พี่ๆ คนอื่นๆ ก็เข้ามาร่วมเล่นด้วย ต่างพากันผลักและหัวเราะเฮฮากับมุกฝืดๆ ของพี่นิน ก่อนจะวิ่งเล่นไปมาทั่วห้อง ไม่คล้ายกับพี่ปีสี่ที่เคยเก๊กหน้าเข้มตอนครั้งงานรับน้อง พี่สิงห์ที่ไม่ได้ร่วมเล่นกับเพื่อนเดินมาหยุดอยู่ข้างผม มองผมด้วยแววตารู้ทันจนอดระแวงไม่ได้

“แน่ใจหรือไง?”

“แน่ใจ...อะไรเหรอครับ?”

“ที่ว่าไม่เอาน่ะ จริงเหรอ”

“...”

“ชอบไม่ใช่หรือไง”

“...”

“...”

ผมยิ้มออกมาขณะมองความวุ่นวายตรงหน้า ผิดแต่รอยยิ้มนี้คล้ายจะเป็นรอยยิ้มที่ทั้งยอมรับและปลงสังเวชในตัวเองมากกว่าจะเป็นยิ้มที่มีความสุขเช่นเคย

“ไม่มากพอที่จะกล้าทำให้สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้พังหรอกครับ”

“...”

“ตอนนี้มีความสุข...มากพอแล้ว”










แต่บางคนก็เป็นได้แค่คนที่เดินผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วจากไป
ไม่เป็นที่จดจำของใคร
แม้จะทุ่มเทหมดหน้าตักจนตัวเองไม่เหลืออะไรแล้วก็ตาม









หากจะมองให้ดีๆ แววตามันก็เหมือนจะฟ้องทุกอย่างในหัวใจคนเราได้เป็นอย่างดี ดีเสียยิ่งกว่าคำพูดเสียอีก

สิงห์รู้และเข้าใจประโยคนี้มาตลอด

และเข้าใจมากขึ้นเมื่อได้รู้จักรุ่นน้องคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขาโดยบังเอิญ

เพจเพื่อนเขานั้น แม้จะไม่ได้รู้จักกันยาวนานเป็นสิบปี แต่กระนั้นสี่ปีในรั้วมหาลัย ในห้องเรียนหรือกระทั่งหอพักเท่าแมวดิ้นตายก็มากพอแล้วที่จะทำให้เขานั้นเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนนี้เป็นหรือเข้าใจสิ่งที่เพื่อนคนนี้ชอบ พวกเขาทั้งห้าจับมือกอดคอร่วมผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันมากมาย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น หากใครถามว่าเขาสนิทกับใครมากที่สุด คนๆ นั้นก็เป็นเพจอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยนิสัยกึ่งเล่นกึ่งจริง ทะเล้นแต่บทจะจริงจังก็สามารถพึ่งพาได้ของเพื่อนคนนี้ ทำให้เขาผ่านช่วงเวลาทั้งดีและร้ายหลายต่อหลายครั้งมาได้อย่างง่ายดาย

และด้วยนิสัยแบบนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่หากเพจจะเป็นดนเดียวในกลุ่มที่มีคนตามชอบตามขอความรักมากที่สุดคนหนึ่ง
เขาเห็นการแสดงความรักมากมาย มองเห็นความทุ่มเทหรือพยายามที่จะไขว่คว้าเอาความรักที่เพื่อนของเขาเก็บเอาไว้ลึกสุดใจออกมาของใครมามากมาย จนบางครั้งก็อดเบื่อหน่ายแทนเพื่อนไม่ได้ที่จะครั้งก็เจอแต่ลูกไม้เดิมๆ จนเบื่อ

จะมีก็แต่คนหนึ่ง...ที่ต่างออกไป

เขาว่ากันว่า ผงเข้าตาตัวเองยากจะเอาออกคงจะจริง

เพราะเพจไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเด็กคนนั้นที่ตัวเองจับมือให้เข้ามาในชีวิตโดยบังเอิญจากความสงสัยครั้งนั้นจะมีสิ่งใดซ่อนอยู่ ซึ่งเกี่ยวกับเจ้าตัวอย่างดิ้นไม่หลุด

จะว่าเพื่อนเขาหัวไวก็ได้ แต่บางครั้งจะด่าว่าทึ่มทื่อก็ไม่ผิด บางเรื่องเพจมันก็รู้ดีจนน่าหมั่นไส้ แต่บางเรื่องมันก็ทึ่มเสียจน่าถีบ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึกของคนใกล้ตัว น้อยครั้งมากที่เพื่อนของเขาคนนี้จะจับสังเกตได้หากไม่มีคนบอก

เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยที่เด็กคนนี้สามารถอยู่ข้างๆ เพื่อนเขามาได้นานสองนานโดยไม่โดนเพื่อนเขาปฏิเสธให้ออกไปจากชีวิตเสียก่อน

คิง...เป็นแค่เด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง

ท่าทางดูซื่อๆ ดูน่าแกล้ง รอยยิ้มของเด็กคนนี้ดูจริงใจและมองแล้วสบายตา ไหนจะความห่วงใยและนิสัยขี้เกรงใจนั่นอีก เขาไม่แปลกใจหรอกถ้าหากวันหนึ่งจะพบว่ามีใครที่มองเห็นสิ่งดีๆ ในตัวเด็กคนนี้แล้วเกิดชอบขึ้นมา (ต้องขีดตัวแดงใหญ่ๆ ว่ายกเว้นเพื่อนเขาไว้ก่อน มันโง่ -_-)

แค่มองแว่บแรกที่ได้เจอกัน ตอนที่มองสบตากันครั้งแรกกับตอนที่ได้ไปกินข้าวด้วยกันเขาก็มองออกแล้ว

ตอนที่คิงมองหน้าสบตากับเขานั้น ในแววตาที่เปิดเปลือยทุกความรู้สึกนึกคิดของเด็กคนนี้ที่แต่ความชื่นชมและเลื่อมใส ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่มองเพื่อนเขาในร้านอาหาร เพจมักจะพูดมากและมีเรื่องพูดเยอะแยะบนโต๊ะอาหาร บ่อยครั้งที่บนโต๊ะอาหารจะมีเพียงเสียงพูดของคนๆ เดียวจนจบมื้อนั้น ดังนั้นในวันนั้นเขาจึงเห็นเพียงแค่ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มจางๆ ที่เต็มไปด้วยความสุขและเอ็นดูเล็กๆ จากคิงที่นั่งข้างเพื่อนเขา

แววตาของเด็กนั่นฉายชัดถึงความสุขยามมองที่เสี้ยวหน้าคนข้างกายและสาดประกายความรักที่แตกหน่อในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
และเพราะรู้โดยบังเอิญวันนั้นเขาจึงฉวยโอกาสที่เพจไปเข้าห้องน้ำและเช็กบิลมาคุยกับคิง

‘ชอบมันเหรอ’

‘ครับ?’

‘ไอ้เพจน่ะ’


สิ้นคำนั้นใบหน้าที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ก็พลันจืดเจื่อน เรียบนิ่งคล้ายเจ้าตัวกำลังอึ้งและใช้ความคิดอย่างหนัก คิงเบือนหน้าหนีมองตรงไปข้างหน้าตัวเองอย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะหยุดตรงที่ร่างสูงของเพจที่กำลังหยอกล้อกับสุนัขตัวน้อยที่เจ้าของร้านเลี้ยงเอาไว้ ภาพอันน่าเอ็นดูนั่นได้เรียกรอยยิ้มของเด็กข้างๆ เขาออกมาอีกครั้ง ก่อนคำตอบจะตามมาเบาๆ

‘ครับ’

‘...’

‘ชอบครับ’

‘รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องอกหัก ทำไมถึงยังดันทุรังชอบอีกล่ะ’

‘ไม่อกหักหรอกครับ’

‘...’


คิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ยิ้มที่สดใสนั่นเผยออกมาอีกครั้ง แต่ทำไมก็ไม่รู้ที่สิงห์รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นแสนเศร้าและบาดใจอย่างบอกไม่ถูก

คล้ายกับรอยยิ้มของคนที่ยอมรับและปลงตกกับทุกสิ่ง

‘ก็ผมไม่มีความหวัง ไม่ได้คาดหวังอะไรเลยกับความรักครั้งนี้ ผมจะอกหักได้ยังไง’

‘...’

‘ไม่หวังก็จะไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังก็ไม่เจ็บปวด แบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกเหรอครับ?’

‘หายากนะคนที่จะไม่หวังอะไรเลย ทั้งที่อยู่ใกล้คนที่ชอบมากขนาดนี้’

‘ไม่ใช่ไม่หวังนะพี่สิงห์ แต่ผมหวังอะไรจากมันไม่ได้’

‘...’

‘ที่เป็นอยู่ มันดีที่สุดแล้วจริงๆ พี่’

‘...แล้วคิดว่าตัวเองมีความสุขกับไอ้แบบนี้จริงๆ หรือไง?’


แล้ววันนั้นบทสนทนาของพวกเขาสองคนก็จบลงตรงนั้นจากความเงียบจากคู่สนทนา ระหว่างทางไปห้องซ้อมเขาเอาแต่มองเงาร่างของคนสองคนที่เดินนำเขาไป เพื่อนของเขายังคงพูดมากเหมือนเดิม ส่วนคิงก็ยังยิ้มและพูดคุยเป็นระยะกับเพื่อนของเขา รอยยิ้มที่แสนเศร้าหายไปแล้ว ตอนนี้มีแต่ยิ้มน้อยๆ ที่แฝงไว้ซึ่งความสุขเท่านั้น

นั่นทำให้เขาคิดอยู่สองเรื่องขึ้นมา

อย่างแรก มันจะมีจริงหรือรักที่ไม่คาดหวังอะไรและยังมีความสุขได้จนจบ โดยที่ไม่มีใครเสียใจ

และ

หากวันหนึ่งเพื่อนเขารับรู้ถึงความรู้สึกนี้ขึ้นมา เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อกัน?

เขาได้แต่หวังว่าคืนวันที่สงบสุขเช่นนี้จะดำเนินต่อไปอีกหน่อย ได้แต่หวังให้เพื่อนเขาโง่ต่อไปอีกสักนิด ให้สิ่งที่เรียกว่าความรักที่เพิ่งแตกหน่อเบ่งบานในใจเด็กคนนั้นโตขึ้นอีกสักนิดเสียก่อน

ขอให้มันสามารถทานทนต่อความผิดหวังได้อีกสักนิดก็ยังดี

สิงห์หลุดถอนหายใจพร้อมกับที่ประโยคหนึ่งที่พูดคุยกันย้อนกลับมาดังในโสตประสาทของตัวเอง

ราวกับจะยืนยันว่าสุดท้ายแล้ว

‘จะมีความสุขหรือไม่มี มันก็ขึ้นอยู่กับพี่เพจ’

‘...’

‘ทั้งหมดนั้น ขึ้นอยู่กับพี่เขา...ไม่ใช่ผมหรอกครับ’


เด็กคนนี้ก็ต้องเสียใจคนเดียวอยู่ดี







มันต้องมีคนคอยอยู่ฝั่งคิงบ้างงง ปล่อยให้พี่เพจโง่ไปคนเดียวก่อนเนอะ 55
ขอโทษที่เมื่อวานไม่ได้มาลงนะคะ มีปัญหานิดหน่อย >< ฝากติดตามเช่นเคยค่ะ :) :NAVY

ปล.ต่อไปจะแก้ไขเพิ่มวันอัพเดทให้ด้วยนะคะ จะได้ไม่งงว่าอัพวันไหน ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ ค่ะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 22:59:47 โดย KarmaNavy »

ออฟไลน์ sahatsawat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่าร๊ากกกกกก :katai2-1: :katai2-1: เป็นการรักที่ไม่หวังผลอ่งะ อือๆ ฉันซึ่งใจเธอจิงๆคิงงงคุง
ปล.ไรท์คร่าาาา เวลาลงแต่ละตอน ไรท์ช่วยใส่วันที่ลงให้หนูหน่อยได้ไหมอ่ะ คือจะได้รู้ว่าลงวันนี้ หรือ เมื่อวาน จะได้ดูง่ายๆ
ถึงจะตั้งแจ้งเตือน แต่หนูชอบส่องหน้าเว็บมากกว่าอ่ะ
ปล.สองงงง2 ไม่สะดวกไม่เป็นไรค่ะ แค่ลงให้จบก็พอนาาา หนูชอบเรื่องเนี้ยยยยยย :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ชอบเรื่องนี้นะค๊ะ เอาใจช่วยน้องคิงค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เข้ามาเพราะชื่อเรื่องเลย

คิงก็ได้ใกล้พี่เพจมากจริงๆแหละ
แอบหน่วงๆตอนท้ายดี
จะมีความสุขไหม ก็ขึ้นอยู่กับพี่เพจ
ถ้าพี่เพจรู้ความรู้สึกนี้จริงๆ จะเป็นยังไงต่อ น่าคิดตามเนอะ

มาลงตอนใหม่ไวๆนะ รอติดตาม

ออฟไลน์ สบายสบาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คือแบบว่าตอนอ่านนี้เรากำลังกินมาม่าอยู่เลย ถึงจะมาม่าดิบก็เถอะ แถมรถสุกี้ก็เถอะ :mew4: :mew4: :mew4:
กินไปอร่อยไปแถมน้ำตาคลอเลย
คิดไปก็ขำว่ะ ว่าแล้วก็หัวเรอะสิ   :laugh: :laugh: :laugh:
รอตอบต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 6 อย่ารู้เกี่ยวกับเขามากไป
เพลงที่เพราะที่สุดของผมไม่ใช่เพลงที่ฮิตติดชาตของประเทศ
หรือร้องด้วยนักร้องเสียงดี มากรางวัลจากหลายที่การันตี
มันก็แค่เพลงที่คุณร้องออกมาให้ผมฟังเท่านั้นเอง








(คิง อยู่ไหนอ่ะ)

“อยู่แถวๆ หน้างานอ่ะ ทำไมเหรอ? บัตรมันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

(ไม่ๆ แค่อยากจะถามว่า ไม่มาด้วยกันเหรอ มางานแสดงดนตรีคนเดียวมันเหงานา)

ผมยิ้มขำๆ กับความเป็นห่วงของเพื่อนร่วมคณะ ขณะที่ตอบปฏิเสธไป “ไม่เป็นไร เรา...มีนัดอยู่แล้วน่ะ”

(โอเค งั้นเราไม่กวนแล้ว)

ผมวางสายก่อนจะกอดของในมือให้แน่นขึ้น มันคือช่อดอกไม้ที่ไม่ได้ใหญ่เท่าฝาบ้านเหมือนที่บรรดาแฟนคลับแม่ยกของพวกพี่เพจเขาแบกมาหรอกครับ ดอกไม้ของผมก็แค่ดอกไม้ที่หาซื้อได้ตามร้านเล็กๆ แล้วนำมาตกแต่งเองให้พอดูดีเท่านั้นเอง ทว่าที่ต่างมากที่สุดจากดอกไม้ของคนอื่นเห็นจะเป็น

มันเป็นดอกไม้แห้งน่ะครับ

ทำไมผมถึงไม่เอาดอกไม้สดมางั้นหรือครับ?

มันก็แค่เหตุผลง่ายๆ นะ เพราะดอกไม้แห้งมันจะไม่มีวันเหี่ยวอีกครั้งไงล่ะ

ดอกไม้สดในวันที่เพิ่งมอบให้กัน แน่นอนว่ามันสวยและหอมมากๆ ใครเห็นก็ต้องชอบที่ความสวยของกลีบดอกสดๆ หรือกลิ่นหอมหวล ต่างจากดอกไม้แห้งที่บางทีก็ไร้กลิ่น มีเพียงแต่ดอกแห้งกรอบดูแห้งแล้ง

แต่ว่าผมว่ามันเป็นแบบนี้สวยกว่าดอกไม้สดตั้งเยอะ ทั้งความหมายของมันยังงดงาม

เพราะมันไม่มีวันแห่งเหี่ยวอีก ดังนั้นความรู้สึกของผู้ให้ที่มอบดอกไม้แห้งออกไปก็จะไม่มีวันแห้งเหี่ยวไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกันไงล่ะ

ตรงนี้ที่ผมกำลังยืนอยู่คือด้านหน้าเวทีที่จัดเตรียมสำหรับการแสดงของการประกวด เต็มไปด้วยบรรดานิสิตนักศึกษาทั้งในและนอกมหาลัย ทั้งยังมีบุคคลธรรมดาทั่วไปเข้ามาร่วมชมด้วย ส่วนมากมักจะเป็นเพื่อนหรือครอบครัวของคนที่เข้าประกวด ไม่ก็คนรักของผู้เข้าประกวดตามมาให้กำลังใจ ทำเอาผมอดอิจฉาไม่ได้ที่รักกันหวานแหววเสียเหลือเกิน

แต่อิจฉาไปก็เท่านั้นแหละ ผมมีโอกาสอะไรให้หวังไปถึงขั้นนั้นกัน

ประคองความสัมพันธ์ในตอนนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า...

ตอนนี้การประกวดเริ่มขึ้นแล้วล่ะครับ ซึ่งสองวงแรกทำได้ดีเลยทีเดียว เพราะอย่างที่บอกครับว่าส่วนใหญ่ที่มาชมมักจะเป็นเพื่อน แฟน ครอบครัวของคนที่เข้ามาประกวด ดังนั้นจึงมีน้อยที่จะมาแบบไม่รู้จักใครเลยแล้วมาดูให้กำลังใจ แต่หลังจากที่สองวงแรกเริ่มแสดงก็เรียกให้ผู้คนมารวมอยู่ตรงหน้าเวทีเป็นวงกว้าง เสียงเชียร์และร้องเพลงคลอตามไปด้วยเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมที่อยู่เกือบแถวหน้าสุดอดลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้ ดีนะที่ผมเข้ามาหาที่นั่งตั้งแต่เริ่มงาน ไม่งั้นป่านนี้กว่าจะแหวกกลุ่มคนเข้ามาจุดที่ยืนอยู่นี้ได้ ผมคงเสียเวลาจนไม่ทันวงของพี่เพจแน่ๆ =_=

วง Merci ของพี่เพจจะเริ่มแสดงเป็นวงที่สี่หลังจากวงที่กำลังแสดงอยู่นี้ ได้ยินว่ามีเพลงหนึ่งเป็นทั้งเพลงเปิดและเพลงแต่งเองของกลุ่มพี่ๆ เขา ซึ่งด้วยฐานะแฟนบอยอันดับหนึ่งของผมทำให้ได้ฟังดนตรีมานิดหน่อย ก่อนจะถูกไล่กลับหอด้วยความที่อยากจะเซอร์ไพรส์วันจริงของพี่เพจ ทว่าแม้จะได้ฟังเพียงเล็กน้อย แต่ก็พอฟังออกว่ามันเพราะมากแค่ไหน

 พวกพี่เพจจะเล่นทั้งหมดสามเพลงตามโควต้าการประกวดคือ มีเพลงแต่งเองหนึ่งเพลง เพลงเร็วหนึ่งและเพลงช้าหนึ่งเพลง ที่พีคที่สุดของการประกวดครั้งนี้คือ พี่เพจจะร้องด้วยหนึ่งเพลง!

ผมแทบจะอดใจรอตอนที่เพจนั่งเกากีต้าร์ร้องเพลงไม่ไหวแล้วสิ

“...จบไปแล้วนะครับกับวง ฟิพตี้ไฟว์ ความสามารถการันตีได้จากรางวัลรองแชมป์เมื่อสองปีที่แล้ว ก็ต้องมาดูกันนะครับว่า ในปีนี้บทเพลงที่แต่งและเลือกมาจะโดนใจหรือทำให้คณะกรรมการของเราถูกใจได้มากแค่ไหน เอาละครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญพบกับวงต่อไปได้เลยครับ!! Merci!!”

“สวัสดีครับ พวกเรา Merci ครับ!!”

เสนียงกรี๊ดดังขึ้นมาระลอกใหญ่ก่อนจะสงบลงเมื่อพี่สิงห์ยกมือขึ้นและแนะนำตัวก่อนจะส่งไมค์ต่อไปยังคนอื่นๆ ทั้งวง ทุกครั้งที่เปลี่ยนคนและเริ่มการแนะนำตัวขึ้น จะมีเสียงกรี๊ดดังขึ้นทุกครั้ง ทรงพลังไม่ต่างจากตอนที่ผมตามเพื่อนไปดูคอนเสิร์ตนักร้องเคป๊อบหลายวงในฮอลล์ขนาดใหญ่ นั่นทำให้ผมคิดได้ว่า


อา...ประเทศเรา...เมืองเราก็มีคนหล่อสาวกรี๊ดเหมือนกันแฮะ (‘  ‘)

โดยเฉพาะ

“สวัสดีครับ เพจ มือกีต้าร์ครับ”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!”

“พี่เพจจ พี่เพจมองมาทางนี้หน่อยค่า!!!”

(/-_-\)  (  >_<) _<) _<)//!!

ผมแอบเบ้ปากกับเสียงกรี๊ดที่มอบแด่พี่เพจและอุดหูแทบไม่ทันตอนที่พี่แกโปรยยิ้มมาให้สาวๆ ที่รอกรี๊ดอยู่ด้านล่างเวที ผมเงยหน้ามองเสี้ยวหน้าของพี่เพจจากด้านล่าง ในวันนี้พี่เพจดูแปลกตาไปจากทุกๆ วัน คงเพราะทรงผมและด้วยเครื่องสำอางหรืออาจจะมาจากอินเนอร์นักดนตรีอะไรเทือกๆ นั้น แต่ยอมรับครับว่าหล่อกว่าทุกวัน ทว่าให้หล่อแบบนี้ทุกวันไม่เอาดีกว่า

ทุกวันนี้ขนาดหล่อแบบธรรมดาไม่ใส่ไข่ เฮียแกยังมีแฟนๆ ตามเป็นพรวน -_- นึกภาพแล้วสยอง หากพี่เพจลุกขึ้นมาแต่งหล่อทุกวัน แฟนคลับต้องมากขึ้นแน่ๆ และ...บางทีผมในตอนนั้นอาจจะสู้เหล่าแฟนคลับไม่ได้

ดังนั้นหล่อธรรมดาบ้านๆ แบบเดิมน่ะดีแล้วครับ

ไม่นานหลังจากมีการเช็กเครื่องดนตรีเสร็จ เสียงทุ้มหนักของกล้องก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกีต้าร์และเบส พร้อมกับที่คนรอบตัวของผมเริ่มมีการขยับตัว บ้างก็กระโดดหรือโยกไปมาตามจังหวะเพลงที่แสนคุ้นเคย มันเป็นเพลงดังเพลงหนึ่งเมื่อสองถึงสามปีก่อนครับ ถ้าผมจำไม่ผิดก็น่าจะมาจากหนังสักเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าผมเองก็รู้จัก แต่นิสัยผมมันดันเป็นคนที่ไม่ถนัดการเต้นแร้งเต้นกาเหมือนคนอื่น จึงเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางมากเมื่ออยู่ท่ามกลางคลื่นมนุษย์ที่ขยับโยกร่างกายเป็นทางเดียวกัน

พวกเขาร้องและเต้นด้วยท่าทางคล้ายๆ กันและเพลงเดียวกันไปกับนักร้องนำที่ยืนหล่อๆ อยู่หลังไมค์บนเวที

ผมแอบเห็นพี่สิงห์ยิ้มด้วยล่ะ ปกติพี่เขาไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ แต่ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมทั้งเพื่อนผู้หญิงและผู้ชายถึงได้ชอบพี่สิงห์มาก ทั้งชอบแบบชายหญิงและแบบชื่นชมเลื่อมใส

พี่เขาแม่งยิ้มแล้วโคตรหล่อ เท่ชะมัด!

พี่ๆ ทั้งห้าคนแสดงภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากตอนที่อยู่ในห้องซ้อมออกมาสะกดสายตาของผู้คนด้วยท่าทาง ฝีมือการเล่นดนตรีและน้ำเสียงของพวกเขา เมื่อผมมองไปยังเหล่ากรรมการก็พบว่าคนพวกนั้นก็ไม่ได้ต่างจากพวกผมที่ยืนอยู่ด้านล่างของเวทีเลยแม้แต่น้อย

บทเพลงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จากเพลงเร็ว ต่อด้วยเพลงที่แต่งขึ้นเองซึ่งที่จังหวะที่เร็วไม่น้อยหน้าเพลงแรก ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างนักร้องนำและมือกีต้าร์ พี่เพจที่ตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อจับไมค์แล้วยิ้มอายๆ ตอบรับเสียงกรี๊ดท่วมท้นที่มอบแด่เขา

“มาถึงเพลงสุดท้ายแล้ว ไหนๆ ก็อยู่ด้วยกันตั้งแต่เพลงแรก ก็ช่วยอยู่ร้องเพลงกับเราจนถึงเพลงสุดท้ายด้วยนะครับ”

ผมพยักหน้าทั้งที่รู้ดีแท้ๆ ว่าพี่เขาไม่มีทางเห็นผมจากคนมากมายด้านล่าง

บ้าชะมัด

“เพลงนี้อาจจะเก่าหน่อย แต่ผมเชื่อว่าต้องมีคนร้องได้แน่ ยังไงก็ช่วยร้องด้วยนะครับ” พี่เพจยกกีต้าร์ขึ้นวางบนหน้าขาหลังจากที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ทีมงานได้นำมาวางไว้ให้ ยังคงมีเสียงกรี๊ดดังเป็นระยะ จนเมื่อพี่เพจใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก ทำท่าทางคล้ายจะบอกให้พวกเราเงียบนั่นแหละ เสียงเหล่านั้นจึงเบาลงในที่สุด

“ชื่อเพลงว่า ความทรงจำ ของวง Musketeers ครับ”



วันเวลาที่ผ่านมา จะเร็วจะช้าไม่เคยลบเลือนไป
ภาพวันที่เคยสุข ฉันรู้สึกว่ายังมีฉันและเธอเสมอ
ไม่ว่าดวงใจเธอเจ็บช้ำ ภาพความทรงจํายังคอยย้ำ ให้คิดถึงเธออยู่




เสียงของพี่เพจต่างจากที่ผมคิดไว้ไปเยอะเลยทีเดียว ปกติพี่เพจจะมีน้ำเสียงที่สูงกว่าเพื่อนร่วมวงเล็กน้อย แฝงด้วยความทะเล้นนิดๆ ตามนิสัยของเจ้าตัว แต่เมื่ออยู่หลังไมค์และขับร้องบทเพลงน้ำเสียงกลับแปรเป็นน้ำเสียงทุ้มนุ่มๆ ให้ความรู้สึกเหมือนฟองนมอุ่นๆ อย่างไรอย่างนั้น

ทว่าในความอบอุ่นในน้ำเสียงนั้นผมกลับรู้สึกถึงความเศร้าเจือจางในนั้น

ราวกับเพลงนี้ถูกสื่อถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของพี่เพจ

ช่วงเวลาที่ผ่านไปแล้วเช่นชื่อเพลง ความทรงจำ





อยู่ในช่วงเวลา จะนานจะช้ายังยืนที่เก่า ข่มตาสักเท่าไร ไม่ลืมภาพเรา
ยิ่งทําให้เหงา จนทนไม่ไหว เธอคงไม่คิดจะกลับมา




ตอนนั้นเองที่ผมหวนนึกถึงตอนที่ตัวเองได้พูดคุยกับพี่สิงห์หลังจากนั้นในวันที่พวกพี่เขาพักการซ้อมและวิ่งเล่นราวกับย้อนกลับไปเป็นเด็กๆ นั่น

พี่สิงห์ถามผมว่าชอบพี่เพจไม่ใช่หรือ

เมื่อผมตอบออกไปและทำท่าจะเดินหนี อีกประโยคจากพี่สิงห์ดังขึ้นเหมือนระฆังที่จะย้ำเตือน

ทั้งเพื่อให้ผมรู้สึกตัวและหวังดี

พี่เขาคงไม่อยากให้ต้องมีคนเจ็บปวดมากขึ้นอีกคนกระมัง

‘เรารู้ทุกเรื่องของมัน เพราะแบบนั้น...รู้ใช่มั้ยว่ามันรอใครคนหนึ่งมาตลอด’




ก็เธอจะอยู่ในใจฉัน คืนวันเก่าๆ ยังคอยย้ำ






‘ที่เราพูดว่าไม่หวังอะไรกับความรักนี่ เพราะรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่ายังไงเราก็ชนะคนในใจมันไม่ได้’

ผมจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองก็ยังคงยิ้ม ขณะมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของพี่เพจที่กอดคอหัวเราะกับพี่ทีม เช่นเดียวกับที่ผ่านมาและตอบกลับไปด้วยคำตอบเดิมๆ ที่คนฟังคงจะเบื่อที่จะฟังนั่น

‘อืม ผมรู้อยู่แล้ว’

‘เพราะงั้นถึงได้บอกว่าไม่หวังอะไรสินะ เก่งว่ะ... เป็นพี่นะ รู้แบบนี้เลือกจะลืมๆ ไปซะยังจะดีกว่า’

‘...’

‘...’


ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กับคำพูดนั้น ทั้งที่ในใจผมก็เห็นด้วย

ทำไมผมจะต้องชอบทั้งที่ความเป็นไปได้มันเป็นศูนย์ด้วยนะ?

‘...ถ้าลืมง่ายๆ ก็ดิสิพี่’

ผมไม่ได้เก่งเลยพี่สิงห์

ผมโง่มากต่างหาก ผมถึงได้ลืมพี่เพจไม่ลงไงล่ะ






ทําไมดวงใจยังห่วงหา และคิดถึงเธออยู่ ยังจําทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง




ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพี่เพจ สีที่พี่เพจชอบ หนังสือที่พี่เพจชอบอ่านหรือแม้กระทั่งคนที่ชอบ

เราเหมือนกันหลายอย่าง รวมถึงความดันทุรังต่อความรักที่เป็นไปไม่ได้นี่ก็ด้วย

รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่รัก...และคงไม่รัก

แต่ก็ลืมไม่ลง

คงเพราะมันสวยงามเกินไปจนนึกหวังเหมือนคนเพ้อเจ้อว่าหากพยายาม...หากอดทนรอ สักวันฟ้าคงเห็นใจ

แต่พวกผมนั้นลืมไปว่า...ฟ้าไม่เคยเห็นใจใครคนไหน

คนเดียวที่จะเห็นใจและปลอบพวกเราตอนที่ร้องไห้ผิดหวัง มีแค่ตัวเองเท่านั้นเอง





และเมื่อไหร่จะลบเลือนเธอจากใจ
คงไม่มีวันจะลืมเธอ



บางที...สิ่งเดียวที่ดึงดูดให้ผมและพี่เพจเข้ามาสนิทกันได้ อาจไม่ใช่ความถูกชะตา พรหมลิขิตหรือโอกาส

คงเพราะเราต่างเป็นคนที่พ่ายแพ้ต่อความคาดหวังในความรักเหมือนกัน

...ก็เท่านั้นเอง

















แล้วผมก็ได้แต่ยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่รินหัวใจ
เพราะเพลงนี้ที่คุณร้อง
ไม่เคยหมายถึงผม...ที่อยู่ต่อหน้าคุณเลย








“ร้องเพลงเพราะมากเลย Merci! ไม่เสียแรงที่พี่แต่งหน้าให้อยู่เป็นชั่วโมง”

“ขอบคุณคร้าบ”

“ไปกินไหนต่อมั้ย? หรือจะหากินแถวงาน”

“ไม่รู้ดิ ดูก่อน...เดี๋ยว!! ไอ้เพจไปไหนวะ”

เพจชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเพื่อนรั้งเอาไว้ แต่เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มแล้วโบกมือให้เป็นเชิงบอกว่า ไว้ค่อยคุยกัน ก่อนจะหายลับไปกับฝูงชนที่ออกันอยู่ที่หน้าทางออกของห้องแต่งตัวนักดนตรีที่ทำการประกวด ทันทีที่เปลี่ยนเสื้อเสร็จ

ทีมและคนอื่นได้แต่เกาหัวมองท่าทางของเพื่อนด้วยความสงสัย ต่างจากสิงห์ที่ทำเพียงแค่มองร่างของเพื่อนวิ่งหายไปเท่านั้น เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเพจจะไปที่ไหนและไปหาใคร

ก็มีอยู่แค่คนเดียวในตอนนี้

“รอนาน...มั้ย -_-;; คนเยอะชิบ”

“เร็วๆ พี่เพจ วงที่พี่ชอบจะขึ้นแล้ว” คิงรั้งแขนของรุ่นพี่ให้ขยับไปด้านหน้ามากขึ้น ขณะที่เพจยังไม่ทันหายเหนื่อย จนในที่สุดพวกเขาก็ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าที่ใกล้กับเวที เห็นชัดเจนถึงวงดนตรีที่กำลังเตรียมแสดง ซึ่งวงนี้เป็นวงที่เพจชอบและติดตามมานานตั้งแต่สมัยมัธยม แต่ก่อนที่เขาจะทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่เสียงดนตรีบนเวที สัมผัสแข็งๆ ที่แขนก็เรียกให้เขาหันไปมองเข้าเสียก่อน เพจอมยิ้มกับรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของคิงขณะพูดขอบคุณ

“ขอบคุณครับ ไม่นึกว่าจะซื้อให้จริงๆ นะเนี่ย”

“เอ้า พูดแล้วว่าจะซื้อให้ก็คือซื้อให้ ใครจะไปขี้โม้เหมือนพี่ล่ะ”

“เฮ้ย! ไปโม้ตอนไหน มั่วอีกแล้ว”

“ไม่ฟังๆๆ ฟังดนตรีดีกว่าฟังคนขี้โม้แถวนี้”

ก็อยากจะโกรธหรือแสดงท่าทางไม่พอใจกับสีหน้าและน้ำเสียงกวนประสาทของเด็กตรงหน้าหรอกนะ แต่เพจก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า คิงที่ทำท่าทางล้อเลียนราวกับเด็กๆ น่ารักน้อยเสียเมื่อไหร่ เขาจึงทำเพียงแต่ยีหัวของคนข้างแรงๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะหันไปมองการแสดงบนเวทีที่เริ่มต้นในที่สุด

พวกเขาแหกปากร้องตาม กระโดดโลดเต้นอย่างที่ไม่เคยทำกันมาก่อน แม้กระทั่งคิงที่เมื่อครู่ทำเพียงโยกตัวไปมาเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ก็ถูกเพจชวนกึ่งบังคับ จนต้องร่วมเต้นไปด้วยในที่สุด

คิงที่ถูกรุ่นพี่ที่ชอบโอบกอดจนแทบจมมิดอกเหลือบมองแขนที่พาดอยู่บนบ่าของตัวเอง ไล่เลื่อนกระทั่งหยุดที่ใบหน้าของคนที่อยู่ข้างๆ เขายิ้มออกมากับท่าทางตื่นเต้นและสนุกสนานของเพจ ก่อนจะรีบตีหน้านิ่งมองไปยังเวทีตรงหน้าเหมือนสนใจเสียเต็มประดา ในวินาทีที่เพจหันมามอง

“ไม่สนุกเหรอ เต้นสิ!”

“ผมไม่ค่อยชอบเต้นสัก...เหวอ!!”

เพจเปลี่ยนจากการโอบเป็นจับมือของคิงขึ้นชูตามคนอื่นและเริ่มร้องเพลงคลอตามอีกครั้ง ทว่าหากฟังให้ดีจะได้ยินเสียงหัวเราะที่เบาๆ ในเสียงที่ร้องเพลงนั่น เมื่อเพจเห็นคิงมีสีหน้าเอ๋อๆ ยามที่ถูกเขาชักจูงทำนู่นทำนี่ตามใจ เพื่อให้ตัวเองสนุก

เขาพยายามที่จะสนุก

พยายามจะไม่นึกอะไรที่มันจะทำให้บรรยากาศดีๆ พังทลาย

ทว่าไม่ว่าจะฝืนยิ้มยังไง ส่วนลึกๆ ในใจเขาก็อดหวนนึกถึงวันแบบนี้ในอดีตไม่ได้

เทศกาลดนตรี...วงโปรด...และใครคนนั้นที่หายไปจากชีวิตของเขา

“พี่เพจ”

“หืม?”

ขณะที่รอบข้างทุกคนรอบกายขยับย้ายร่างกายกันสุดเหวี่ยงเข้าสู่ช่วงที่เฮฮาที่สุด พวกเขาสองคนหยุดเต้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แววตาของคิงและมือที่บีบอุ้งมือของเขาอยู่ราวกับจะพูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้ยินมานาน

“ไม่ร้องเพลงเหมือนคนอื่นเหรอ สนุกจะตาย”

“...”

“คิง?”

“พี่...สนุกจริงๆ เหรอครับ?”

“...”

‘ไว้ปีหน้าเรามาด้วยกันอีกนะ’

โกหก

“สนุกสิ”

คิงหลุดหัวเราะออกมากับคำพูดและสีหน้ายิ้มแย้มของเขา แต่คิ้วที่ขมวดช่างตัดกับรอยยิ้มนั้นสิ้นดี

“คนสนุกที่ไหนทำหน้าอยากจะร้องไห้แบบพี่บ้างครับ”

“บ้า! ตาฝาดแล้ว พี่เนี่ยนะจะร้องไห้? คนอย่างไอ้เพจไม่เสียน้ำตาง่ายๆ หรอกไอ้น้อง ^_^”

“ยืมไหล่ผมไหม?”


“...”

“ตอนนี้คนเขาสนใจแต่คนบนเวที ไม่สนใจเราสองคนหรอก”

“...”

“ผมไม่ชอบที่พี่เป็นแบบนี้เลย”

เขาจะต้องไม่สบายมากแน่ๆ เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนหัวมันหนักขึ้นมาเสียเฉยๆ จนต้องเอนพิงคนที่ตัวเล็กกว่าเขาหลายเซ็นตรงหน้า ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ บนลาดไหล่ของคิง

เขาจะต้องไม่สบายหนักมากแน่ๆ ที่จู่ๆ น้ำมูกเหมือนจะไหลออกมาพร้อมกับน้ำตา

เขาไม่สบายจริงๆ นะ

“ไม่เป็นไรนะครับ อย่าฝืนอีกเลย”

“...อึก”

“กับผม...อย่าฝืนยิ้มเลยนะครับ”

ไม่อย่างนั้นจะเจ็บที่ใจขนาดนี้ได้ยังไง

‘ได้ ปีหน้า ปีถัดๆ ไป ก็มาด้วยกันอีกนะ’

‘สัญญาแล้วนะ อย่าลืมนะ’


คำสัญญามันเหมือนกับมีดเลยเนอะ...ที่บาดลึกตรงใจของเรา

เวลาคนที่พูดเขาลืมว่าเคยสัญญา








คนแอบรักที่ไม่มีความหวังกับคนที่ยังลืมอดีตไม่ได้มีความเหมือนกันตรงที่ เขาไม่อาจตัดใจจากรักที่ไม่สมหวังนั้นได้เช่นเดียวกัน
นั่นคือความสัมพันธ์ของพี่เพจและคิงค่ะ หลังจากที่ปล่อยให้ลอยทะเลมาน๊านนานนน 
ฝากติดตามเช่นเคย ขอบคุณความเห็นที่ให้มานะคะ :) :NAVY

ออฟไลน์ sahatsawat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: :hao5: เหมือนๆจะฟีลกู๊ดดีอ่ะ แต่ว่ามันเศร้าาใจอ่ะ โถ่ๆ น้องคิงของพี่ให้พี่เพจยืมไหล่
งั้นน้องมายืมไหล่พี่ซบก้ได้น่ะ โมะๆ :L2:

ออฟไลน์ MorethanMore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ฮึกกก ทำไมทำร้ายกันแบบนี้
คนที่ไม่หวัง กับลืมไม่ได้ เฮ้อ แล้วจะไปยังไงต่อ

ไม่รู้จะสงสารใคร แบบ นึกฟิลออก ให้ตายก็ลืมรักเก่าไม่ได้ มีคนใหม่ก็ไม่ไหว กับรักมาก แต่แค่นี้ก็พอแล้ว เป็นไรที่ทรมานอะ

รอวันที่พี่เพจจะกล้ารักคนใหม่ แล้วแบบนี้พี่เพจจะรักคิงได้เหรอ กล้าร้องไห้ต่อหน้านี่แปลว่าเชื่อใจสุด ๆ เลยอะ

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
อืมมม ตอนนี้ออกแนวเทาๆ ตะเปนไงต่อน้าาา

ออฟไลน์ xxSunShinexx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อหหหห โอ้ย สงสารน้อง แง้

ออฟไลน์ knxiiviii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่าาาาา สงสารทั้งคู่เลย แต่ทีมน้องคิง (เพราะทีมนี้มีพี่สิงห์...แบบนี้ก็ได้เหรอ ><)

ออฟไลน์ KarmaNavy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กฎข้อที่ 7 อย่าอยู่คนเดียว
ทุกคนเอาแต่พูดว่าผมอยู่กับคุณไปก็มีแต่เสียเวลา เพราะคุณให้ได้แต่ความเจ็บปวดกับผม
แต่พวกเขาไม่รู้เลยสักนิด
ไม่รู้เลยว่าคุณเป็นทั้งรอยยิ้มและความสุขเดียวของผมเช่นกัน










ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกับอีกสี่สิบหกนาที อีกไม่ถึงสิบห้านาทีก็จะเข้าวันใหม่แล้วละครับ

ส่วนสถานที่นั้น อืม...

ข้างถนนครับ

“คิง ทำไมรถที่มันลอยได้ล่ะ!!!   นี่เราหลงมาอยู่โลกเวทมนต์เหรอ”

“เปล่าครับ รถมันก็วิ่งบนถนนนั่นแหละ”

“โกหกชัดๆ เลย พี่เห็นมันวิ่งบนอากาศจริงๆ นะ -O-!!”

ผมเลือกที่จะไม่ตอบและถอนหายใจแทน ระหว่างที่เอื้อมมือไปฉุดเอาคนที่นั่งเอนจวนเจียนจะจูบพื้นถนนริมฟุตบาท ให้กลับขึ้นมานั่งตรงๆ เหมือนตอนแรก อย่าถามเลยครับว่าใครที่ทำให้ผมถึงขนาดต้องมานั่งเฝ้าแบบนี้ จะมีใครได้ ถ้าหากไม่ใช่พี่เพจ -_-

หลังจากที่ซบไหล่ของผมร้องไห้เกือบครึ่งชั่วโมงระหว่างงานเทศกาลดนตรี พี่เพจก็เงียบมาตลอดทาง แม้ว่าวันนี้ควรจะเป็นวันที่พี่เขาน่าจะดีใจที่สุดก็ตาม

ใช่ครับ วงของพี่เพจได้รางวัลชนะเลิศมาครองครับ

ทว่าพี่เพจกลับทำเพียงยิ้มน้อยๆ ตอนรับรางวัลบนเวที ต่างจากพี่คนอื่นๆ ที่ดูราวกับบ้าคลั่งไปแล้วตั้งแต่ที่ได้ยินชื่อวงของตัวเองตอนที่ประกาสรางวัลชนะเลิศในค่ำคืนนี้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นกลับไม่มีเพื่อนคนไหนที่คิดจะถามพี่เพจเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนหน้าที่จะประกาศผล เหมือนกับทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันเกิดเรื่องอะไร

เหมือนกับ...เรื่องราวความเศร้าของพี่เพจ มักจะเกิดในวันเวลาเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นความเคยชินของพวกเขา

หลังจากที่รับรางวัลและอยู่จนปิดงานเทศกาลดนตรีสำหรับปีนี้ พวกพี่เพจและเพื่อนร่วมคณะคนอื่นๆ ก็พากันมากินเลี้ยงเหล้าแกล้มเบียร์ตามประสา ตอนแรกผมก็กะจะไม่มากหรอครับ ไม่ค่อยชอบบบรรยากาศตามผับตามบาร์เท่าไหร่ ค่อนข้างไม่ถูกโฉลกกับกลิ่นบุหรี่ แต่พี่สิงห์กลับขอให้ผมมาด้วยเพื่อที่จะได้คอยดูพี่เพจ ซึ่งผมก็แอบแปลกใจที่พี่สิงห์ดูจะออกตัวและช่วยผมให้อยู่ใกล้พี่เพจมากขึ้น

ทว่าความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้ายนัก

“ที่พี่ให้เรามาด้วยเพราะเราอยู่หอเดียวกันกับมันอ่ะ”

“...” ผมเงยหน้ามองคนพูดสลับกับมองคนเมาท่เริ่มออกลายอาละวาดอีกครั้งด้วยสายตาเอือมๆ

“สิงห์! ใครเอาแก้วกูไปวะ”

“-_- ช่วงนี้ของทุกปีไอ้เพจมันจะเมาและเรื้อนไปทั่ว หาคนคอยตามดูแลมันยาก โชคดีมากที่ได้มาเจอเรา ยังไงก็ฝากด้วยนะ”
พี่สิงห์สะบัดขาที่ถูกเพื่อนรักกอดออก พร้อมกับขยับตัวพยุงพี่ทีมที่เมาแอ๋คาไหล่ไม่ให้หล่นไปกองกับพื้นอีกราย โดยพี่นินกับพี่เกมนั้นยังคงครองสติได้อยู่บ้าง จึงโบกแท๊กซี่กอดคอกันกลับหอไปแล้ว จึงเหลือเพียงผมที่ไม่ได้ดื่มสักแก้วกับพวกพี่สิงห์ที่รอจ่ายเงินอยู่

เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ไม่ได้มีเจตนาช่วยอะไรเล้ยย!!

เผลอคิดได้ไงวะ ว่าพี่เขาจะช่วยให้ผมได้เข้าใกล้พี่เพจ ถุ้ยยย

“นี่เรียกผมมาเฝ้าเพราะว่าจะใช้งานเฉยๆ เนี่ยนะ”

“ชอบมันไม่ใช่เหรอ ฉวยโอกาสนี้แทะโลมไปดิ เป็นค่าเสียเวลา”

“...” พี่แกช่างพูดได้หน้านิ่งโดยไม่มีอาการห่วงหาอาทรเพื่อนเลยแม้แต่น้อย

“มันใช่เวลาเล่นมั้ยเนี่ยพี่ พี่เพจเมาเป็นหมาแบบนี้ใครันจะไปคิดอกุศลลงวะ”

“ใครว่า เวลามันเมานี่แหละเหมาะสุดแล้ว -_-“

“พี่สิงห์! เห็นคิงเป็นคนยังไงเนี่ย”

“เอาน่า” พี่สิงห์ยิ้มขำๆ ตอนที่เห็นว่าหน้าผมแดงยิ่งกว่าเอาเลือดหมามาสาด ก่อนจะโบกรถแท๊กซี่เตรียมกลับหอของตัวเองบ้าง “แต่เรื่องที่ฝากเราดูแลมันน่ะ เรื่องจริงนะ...ยังไงก็ฝากปลอบมันด้วยแล้วกัน”

“เพราะเป็นพี่เพจหรอกนะ”

ถ้าผมไม่ชอบ ไม่มานั่งทำอะไรแบบนี้ให้หรอก

“ก็พี่รู้ไงว่าเราจะดูแลมันอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”

“...”

“เพราะแบบนั้น พี่ถึงได้วางใจให้เราดูแลเพื่อนรักของพี่”

“...ไม่ดีใจหรอกนะครับ”

“ไม่ได้ชมให้ดีใจสักหน่อย ขอบคุณต่างหากล่ะ เด็กบื้อ”











“เรากำลังจะไปไหนเหรอ”

“กลับห้องครับ”

“ห้องใครอ่ะครับ ห้องน้องคิงสุดที่รักของพี่เพจใช่เปล่า >_<”

“...ตอนมีสติช่วยพูดแบบนี้กับผมจะดีมาก แต่ตอนไร้สติแบบนี้ เงียบๆ ไปเถอะครับ!”
 
ผมโวยออกมาทันทีเมื่อพี่เพจยังคงยื่นหน้ามาพูดใส่ข้างหูผมไม่เลิกมาเป็นรอบที่สิบ นับตั้งแต่ที่ผมลากพี่เขาที่เผลอหลับในรถแท๊กซี่ออกมาเดินประคองไปยังหอพัก ไม่ได้รังเกียจอะไรเลยครับกับคำพูดคำจานั่น แต่ขอเถอะ ถ้าจะพูดช่วยพูดตอนที่มีสติและเลิกเอาหน้ามาใกล้ๆ ผมสักที (โว้ยย)

ได้ยินเสียงทีขาก็สั่นที พยายามประคองทั้งตัวเองทั้งพี่เพจถึงหน้าหอพักได้โดยหน้าไม่ทิ่มพื้นไปเสียก่อน ไอ้คิงก็ยอดมนุษย์แล้วครับ T_T

“หูยย ทำไมต้องตะโกนใส่พี่ด้วยอ่ะ”

“แล้วพี่จะมาพูดข้างๆ หูผมทำไมเล่า!”

“ก็กลัวคิงไม่ได้ยินไง”

 “พี่เพจครับ ให้ผมกราบเท้าก็ได้ แต่อย่าเพิ่งมาตีหน้าแบ๊วใส่ผมตอนกำลังเดินได้ป่ะ พี่อยากหน้าแหกเหรอครับ”

“ไม่พูดก็ได้... ถ้าคิงไม่อยากฟังพี่ไม่พูดแล้วก็ได้ครับ”

“...” ดูทำเข้า! มาทำเสียงเล็กเสียงน้อย ทำมาน้อยใจ คิดว่าผมจะใจอ่อนเรอะ!





ใช่! ผมใจอ่อน

ปวดหัวโว้ยย อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ถึงหน้าหอก่อนเถอะ หลังจากนั้นจะปู้ยี้ปู้ยำยังไงก็เอา!! (?) แต่ว่าถึงในใจจะเดือดแค่ไหน ผมก็ต้องพยายามบังคับเสียงให้มันดูซอฟต์ลงกว่าเมื่อกี้ เพื่อง้อคนงอนที่ดูท่าจะง้อยากง้อเย็นเสียเหลือเกิน

“ฟังครับ แต่เราถึงหอก่อนได้ไหมครับ เดินไปคุยไปแบบนี้ มันเหนื่อยนะ”

“คิงว่ายังไงก็ว่าตามนั้นเลย ตามใจคิง”

“...” งอนหนักเลยเว้ยเฮ้ย ผมส่ายหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่าคนเมาเอาแต่ตีหน้างอนไม่ยอมพูดยอมจากับผมอีกเลย จนเมื่อเราถึงหน้าหอก็ยังเงียบอยู่ สุดท้ายผมเลยตัดสินใจพาไปส่งถึงห้อง โดยไม่สนใจว่าพี่เขาจะหายงอนหรือไม่ เดี๋ยวตื่นเช้ามาก็ลืมเองแหละ (ถ้าถามว่ารู้ได้ยังไง เพราะผมไปถามพี่สิงห์มาครับ เนื่องจากพอเมาพี่เพจก็เริ่มปล่อยนิสัยกวนอวัยวะใช้เดินของผมมาก จนอดลงไม้ลงมือไม่ได้ -_-^ โชคดีที่พี่เพจเป็นพวกเมาแล้วเรื้อนตื่นมาก็ลืม ดังนั้นต่อให้วันนี้ผมเผลอตบหัวพี่แกก็คงจะลืมนึกว่าตัวเองนอนตกหมอนอย่างแน่นอน!) แต่ว่ายังดีที่ครึ่งทางที่เหลือพี่เพจให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกระทั่งมาถึงภายในห้อง ผมจึงสามารถปล่อยร่างปวกเปียกของพี่เพจส่งถึงห้องได้อย่างปลอดภัย

ผมมองคนที่นั่งหลับอิงโซฟาเงียบๆ ในความมืดสลัวยามค่ำคืนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อย ก่อนจะสาวเท้าเพื่อก้าวออกกลับไปยังห้องของตัวเองเสียที ทว่ากลับถูกคนที่คิดว่าเมาหลับไปแล้วคนนั้นรั้งเอาไว้

แม้แรงที่รั้งจะไม่ได้มากมาย แต่มันกลับทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะสะบัดมันทิ้งเช่นที่พี่สิงห์ทำ

ทันทีที่ผมได้ยินเสียงนั่น

“อย่า...อย่าเพิ่งไป”

“...”

“อย่าทิ้งให้พี่อยู่คนเดียวเลยนะ”

เสียงที่เหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้นั่น...รั้งขาผมเอาไว้ไม่ให้ไปไหน

 “...”

“...”

“คิง...”

“ขี้โกงนี่ครับ” ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราต่างคนต่างเงียบ ในที่สุดผมก็กลายเป็นคนแพ้อีกครั้งหนึ่ง ยอมทิ้งตัวลงนั่งอยู่เบื้องหน้าพี่เพจที่ตอนนี้ยอมลืมตาขึ้นมามองหน้าผมแล้ว ใบหน้าแดงเรื่อจากพิษน้ำเมากับดวงตาที่แวววาวอย่างประหลาดเมื่อต้องแสงไฟที่ผมเปิดจากหน้าประตู ทำให้ผมได้เห็นว่า...แท้จริงแล้วท่าทางบ้าบอปัญญาอ่อนนั่นมันก็แค่อาการกลบเกลื่อนของคนๆ นี้ต่อหน้าคนอื่น

ราวกับว่าค่ำคืนนี้ เหล้าที่กรอกลงคออย่างกับดื่มน้ำเปล่านั่น ไม่อาจทำอะไรพี่เขาได้เลย

พี่เพจปล่อยมืออกจากขากางเกงผมแล้วและทิ้งมันลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ก้มหน้ามองเงาของเราสองคนที่ซ้อนเหลื่อมทับกับบนพื้นห้อง ก่อนจะเริ่มหัวเราะออกมา...ทั้งน้ำตา

“ขอโทษนะ พี่เอาแต่ใจอีกแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ”

“...”

“ที่ร้องไห้...เพราะลืมไม่ได้หรือไม่อยากลืมกันหรือครับ?”

“...ไม่รู้ดิ อาจจะทั้งสองอย่าง”

“...”

“บางครั้งพอนึกถึงเรื่องไม่ดีก็อยากจะลืม แต่เรื่องดีๆ มันก็มีไงเลยลืมไม่ลง”

“...”

“สุดท้ายก็จบลงตรงที่เมาเป็นหมา ให้เพื่อนลำบากแบบนี้ทุกที”

“ตอนนี้พวกพี่สิงห์ไม่ลำบากแล้วละครับ คนที่ลำบากน่ะมันผมนะตอนนี้ -_-”

“ฮ่าๆๆ ใช่ๆ น้องคิงผู้โชคร้ายที่ต้องมาดูแลคนขี้เมาแบบพี่”

“...”

“ขอโทษนะ...” พี่เพจยิ้มแล้วค่อยๆ เอนตัวมากระทั่งซบลงที่เดิมที่เคยร้องไห้ บนบ่าของผมยังคงที่รอยน้ำตาให้เห็น ยังจำได้ดีถึงความอุ่นร้อนของน้ำตาที่รดบนบ่าของตัวเอง เพราะตอนนี้มันกำลังไหลออกมาจากดวงตาที่ผมรักคู่นั้นอีกแล้ว เสียงสะอื้นแผ่วๆ ในลำคอปนไปกับคำขอโทษที่กระซิบซ้ำไปมาจนผมนึกอยากจะร้องไห้ไปด้วย

อย่าร้องไห้ ผมไม่ชอบพี่ที่เป็นแบบนี้เลย

พี่เพจเป็นคนที่ยิ้มสวยมากเลยนะ รู้มั้ย? เพราะฉะนั้นอย่าร้องไห้ได้มั้ยครับ...

ผมอยากพูดแบบนั้นแทบตาย แต่กลับพูดไม่ออกสักประโยค ได้แต่นั่งบื้อเหมือนก้อนหินที่ซับน้ำตาได้ก้อนหนึ่ง เหมือนตัวเองไร้ประโยชน์ที่ทำได้แค่นั่งฟังเสียงคนที่ตัวเองชอบร้องไห้อยู่แบบนั้น โดยที่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้

“การลืมมันยากจังเลยนะ ทำไมเราต้องจำทั้งๆ ที่ต้องลืมก็ไม่รู้”

“ก็ไม่มีใครบังคับให้ลืมนี่ครับ ลืมไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ”

“...”

“ถ้าลืมไม่ได้ ก็แค่ต้องปรับตัวให้อยู่กับความทรงจำเหล่านั้นให้ได้ก็พอ”

“...ไม่คิดบ้างหรือไงว่าคนที่ลืมอดีตไม่ได้มันน่าสมเพซน่ะ”

“พยายามลืมแต่ก็เมาเป็นหมาเพราะทำไม่ได้ก็น่าตลกไม่แพ้กันหรอกครับ” ผมถอนหายใจและเลิกฝืนตัวในที่สุด มือที่เคยวางไว้ข้างตัวยกขึ้นมาวางบนเส้นผมนุ่มๆ ที่เคยอยากสัมผัสมาตลอดแล้วลูบมันเบาๆ ขณะที่พูดไปด้วย “ในเมื่อเราไม่อาจจะจำได้ทุกเรื่อง ก็ไม่จำเป็นเหมือนกันที่เราต้องลืมให้ได้ทุกเรื่องที่เสียใจ จำไว้บ้างก็ดี...เป็นบทเรียนไง”

“...”

“จำเอาไว้ รักครั้งหน้าจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้แบบนี้อีก”

“เจอแบบนี้แล้ว เราคิดหรือไงว่าพี่ยังอยากจะมีครั้งหน้าอีก? อยู่คนเดียวยังจะดีกว่า”

“ถ้าอยู่คนเดียวแล้วมันดีจริง ทำไมพี่ชอบทำหน้าเศร้าๆ ตอนที่เพื่อนพี่ไปเที่ยวกับแฟนล่ะ”

“...เหงาเฉยๆ”

“ปากแข็ง”

“คิง นี่พี่เป็นพี่นะ”

“เออ นี่ก็คนแบกพี่กลับมาหอไง”

“...”

“ผมก็อยู่ด้วยแล้วนี่ไง”

“...”

“ไม่ต้องมาอยากอยู่คนเดียวอีกล่ะ เพราะต่อจากนี้จะไล่ผมก็จะไม่ไป จะหน้าด้านอยู่จนเบื่อกันไปข้างหนึ่งเลย”

“...”

“เพราะฉะนั้น เลิกร้องไห้แล้วกลับมายิ้มเสียทีนะครับ พี่เพจ”









ผมไม่เคยเสียดายเวลาที่ได้อยู่กับคุณ
แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันเลยก็ตาม









“คิง มีคนที่ลืมไม่ลงบ้างไหม”

“มีครับ”

“แฟนเก่าเหรอ?”

คิงหลุดยิ้ม “คนที่ไม่มีวันชอบผมน่ะ”

“แล้วเคยคิดจะลืมไหม?”

“ไม่อ่ะ การได้คิดถึงเขามันคือความสุขอย่างหนึ่งนะ”

เพจมองหน้าคนข้างที่ยังตีสีหน้าธรรมดายามที่พูดถึงความรักที่ไม่สมหวังของตัวเอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่เชื่อถือ

“ไม่เชื่ออะ เราต้องโกหกพี่แน่ๆ”

“จะโกหกทำไม เนี่ย ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่เลย”

“ชอบทั้งที่ไม่มีหวังเนี่ยนะ”

“ก็ไม่จำเป็นว่าคนเราจะต้องสมหวังในความรักนี่นา”

“...”

“ถ้าบนโลกมีแต่คนสมหวัง ความรักก็คงจะเป็นสิ่งที่ดาษดื่นแล้วก็ไม่ค่อยมีค่า เพราะสูญเสียหรือไม่ได้มา คนถึงได้มองมันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคอยดูแลรักษา พี่เองก็เข้าใจเรื่องนี้จากประสบการณ์ตัวเองไม่ใช่หรือไง”

“พูดหน่อยไม่ได้ วกมาทำร้ายพี่ตลอด” เพจบ่นเล็กน้อยที่ตัวเองโดนพาดพิง แต่เมื่อทวนสิ่งที่ได้ยินก็รู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ โลกที่ไม่มีความผิดหวัง ทุกอย่างคงจะผ่านไปแบบไร้ค่า คนคงจะมองค่าทุกอย่างเป็นศูนย์เพราะมันได้มาง่ายเกินไป เมื่อเทียบกับโลกที่มีทั้งผิดหวังและโชคดีเช่นนี้แล้ว เขากลับรู้สึกว่าน่าอยู่กว่าแบบแรกกว่ามาก

“แล้วทำไมถึงชอบเขาล่ะ”

“ทำไมวันนี้ถามมากจัง”

“ก็ไหนว่าจะอยู่ด้วย ถามแค่นี้ทำมาบ่น”

“ไม่รู้”

“นี่ชอบจริงป่ะเนี่ย แค่ถามว่าทำไมถึงชอบยังไม่รู้เลย”

เพจมองคิงที่เอาแต่มองออกไปนอกระเบียงด้วยความสงสัย ขณะที่ลมของวันใหม่ยามตะวันยังไม่ขึ้นพัดผ่านพวกเขา ราวกับจะพัดเอาสีหน้าเฉยชาเมื่อครู่ของคิงทิ้งไป แล้วแทนที่ด้วยใบหน้ายิ้มๆ นั่น
 
เหมือนได้หวนย้อนกลับไปยังช่วงเวลาแสนสุขที่เขาไม่มีวันเข้าใจ

“ชอบใครทำไมต้องมีเหตุผลด้วยอ่ะ”

“เอ้า นี่ก็ถามแปลก”

“แปลกตรงไหน ชอบเพราะชอบเฉยๆ ไม่ได้เหรอ”

“...”

“ไม่คิดบ้างเหรอครับ ว่าการที่สามารถร่ายข้อที่เราชอบในตัวคนที่ชอบได้เป็นสิบๆ เนี่ยมันแปลกกว่า”

“...”

“ถ้าหากวันหนึ่งคนที่ชอบไม่มีไอ้สิบยี่สิบข้อที่เราชอบเมื่อไหร่ เราก็จะไม่ชอบเขางั้นหรือครับ?”

“เรานี่ก็ชอบคิดอะไรแปลกๆ เนอะ”

“คิดต่างก็เรียกแปลกแล้วเหรอครับ?”

เพจมองเสี้ยวหน้าที่ไม่ได้ดูอนาทรร้อนใจอะไรเลยกับคำถามที่ชวนปวดใจเหล่านั้น ซึ่งถ้าเป็นเขาโดนถามคงมีหน้าชากันไปบ้างล่ะ แต่คิงกลับตอบกลับมาสบายๆ เหมือนเขาแค่ถามแค่เรื่องสภาพอากาศวันนี้ นั่นทำให้เขาคิดขึ้นมาได้ว่าโลกนี้ก็มีคนที่สามารถพูดเรื่องเศร้าๆ ให้เหมือนเรื่องธรรมดาได้ด้วยแฮะ

ถ้าไม่เจ็บสุดๆ ก็ชินไปแล้วล่ะ...

“แล้วเขารู้ไหมว่าชอบ”

“ไม่รู้ครับ ไม่สมหวังอยู่แล้วผมจะหน้าด้านไปบอกเขาทำมะเขืออะไรล่ะ”

“แล้วเขาจะรู้ไหมว่าชอบ เขาอาจจะชอบเราก็ได้นะ แค่ไม่รู้ไง”

“ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว ผมไม่อยากหาเรื่องให้ใจพังเล่นๆ หรอกครับ”

“พังยังไง แค่บอกชอบเอง”

“เขามีคนที่ลืมไม่ลง เจอรักแย่ๆ ครั้งหนึ่งจนเข็ดไปเลย...แบบพี่ไง”

“วกมากัดพี่อีกแล้ว เดี๋ยวเถอะ” คิงหลุดหัวเราะออกมากับสีหน้าดุๆ ของคนข้างๆ ขณะตีสีหน้าเจ็บปวด ทั้งเอามือกุมหัวใจด้วยท่าทางสุดเว่อร์

“ก็เข้าไปดามใจดิ เสียบเลย”

“เสียบพุงพี่อ่ะดิ ถามตัวเองดิ๊ เจอมาแบบนั้นยังจะมีใจมาคอยแบ่งรับแบ่งสู้ถนอมใจคนที่ไม่ได้ชอบมั้ย?”

“...ก็คงไม่”

“เออ แล้วพูดมาได้”

“แต่คนนั้นของคิงอาจจะไม่ได้เป็นแบบพี่ก็ได้นี่”

“บอกชอบแล้วไงต่อ? ผมมองไม่ออกสักนิดว่าควรจะทำยังไงต่อ”

“...”

“เทียบกับตอนนี้ที่ผมยังมีโอกาสได้คุยกับเขา ได้อยู่ข้างๆ ดูแลเขาบ้าง ผมยังจะมีความสุขมากกว่า”

“แล้วไม่นึกอยากจะให้เขาชอบกลับเลยหรือไง”

“ก็เคยรู้สึก แต่ตอนนี้ไม่อยากแล้วล่ะ”

“...”

“ผมแค่อยากให้เขามีความสุข จะรักกับใครก็ได้ ยิ้มให้ใครก็ได้ นานๆ ทีค่อยนึกถึงผม ยิ้มให้ผมบ้างก็พอ ขอแค่เขามีความสุข ผมก็ไม่เห็นจะอยากได้อะไรเพิ่มไปมากกว่านี้”

“...”

“ผมเลิกหวังเรื่องนั่นไปนานแล้วล่ะ”

“น่าอิจฉานะ”

“ใคร?”

“คนที่เราชอบไง มีเราชอบแบบนี้โชคดีน่าดู”

แล้วพี่ไม่อยากเป็นคนโชคดีคนนั้นบ้างเลยหรือไง คนโง่...

คิงเม้มปากแล้วเบือนหน้าหนีใบหน้าของคนข้างๆ ไป โดยทิ้งเอาประโยคที่เพิ่งคิดลงถังขยะรีไซเคิลในสมองไปทันที เขาย้ำกับตัวเองซ้ำๆ ด้วยคำเดิมๆ ว่าอย่าพูดออกไปนะ อย่าเผลอแสดงอะไรผิดปกติออกไปเชียว ถ้าไม่อยากเสียตอนนี้ไป

“ผมโชคดีมากกว่าที่คนที่ผมชอบเขาโง่ เลยไม่รู้ว่าผมชอบเสียที”

“...พี่เริ่มสงสารคนนั้นแล้วล่ะ”

“ฮ่าๆ” สงสารตัวเองก็เป็นด้วยแฮะ...

“สงสารผมเถอะ แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยเห็นมะ”

“ครับๆ พี่เข้าข้างเราอยู่แล้วล่ะ”

“ดีมาก”

“ถ้าเหนื่อยจะชอบแล้วก็มาหาพี่ได้นะ”



ใจร้ายแฮะ...


“...”

“เดี๋ยวกินเหล้าย้อมใจเป็นเพื่อน ^^”

“...ผมไม่กินเหล้าสักหน่อย”

ถูกคนที่ชอบชวนให้กินเหล้าย้อมใจหลังจากที่ตัดใจจากอีกคนล่วงหน้านี่ เขาต้องใจแข็งขนาดไหนนะ?








ตอนนี้จะเป็นบทสนทนาซะส่วนมาก ขาดๆ เกินๆ ยังไงช่วยยกโทษให้คนที่เพิ่งฝึกงานครั้งแรกด้วยนะคะ มึนมาก TT
่วงนี้เริ่มฝึกงานแล้วค่ะ อาจจะไม่ได้อัพวันเว้นวันแล้ว ต้องขอโทษในความไม่สะดวก แต่จะพยายามไม่หายเกินสองถึงสามวันนะคะ
เช่นเคยค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ :) :NAVY

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
หน่วงจังเลยคะ แต่มันจะอินกว่านี้ (สำหรับเรา) ถ้าด้รู้ว่า ใครรุก ใครรับ คะ -0- คือจะว่าไงดีอ่านมาจนตอนนี้ก็มองไม่ออกอ่ะ รบกวนตอบทีน้าาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด