CHAPTER SIX
- We are tormented because love goes on not because it goes away. -
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเต รู้สึกโกรธตัวเองเป็นอย่างมากที่เผลอร้องไห้จนหลับไป ผมไม่เข้าใจตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือผมไม่เข้าใจเต เขาไม่ควรจะกลับมาทำแบบนี้กับผมทั้งๆที่เจ้าตัวเป็นคนที่เคยผลักไสผมเองกับมือ บางที...เขาอาจจะรู้สึกผิด แต่นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาได้ชดเชยสิ่งที่เคยทำลงไป
ผมขยับตัวลุกออกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เพราะกลัวว่าการเคลื่อนไหวของผมจะไปปลุกใครอีกคนให้ตื่นขึ้น
หมับ!
“จะหนีไปไหน” แต่ผมก็ขยับตัวได้ไม่เบาพอ เตลืมตาขึ้นมาแล้วจับยื้อแขนผมเอาไว้
“ปล่อย” ผมพูดอย่างไร้น้ำเสียง
“พิณ” เขาเรียก “เลิกหนีเถอะ คุยกันได้แล้ว”
ผมนั่งหันหลังให้เขา ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง ผมกลัวว่าไอ้สายตาอ้อนวอนบ้าๆของเขามันจะมันให้ผมเสียการควบคุม แต่ก็เพราะสิ่งที่เขาบอกในประโยคที่แล้ว บอกให้ผมเลิกหนี ทำให้ผมต้องแสยะยิ้มขึ้นอย่างนึกขันกับตลกร้ายที่ออกมาจากปากของเจ้าตัว
เขาเองแท้ๆที่เป็นคนหนีมาตลอด “เอาสิ” ในที่สุดผมก็เปิดปากตอบ “อยากจะพูดอะไรก็พูด”
เสียงที่เปล่งออกไปไม่ได้แข็งกร้าวอย่างที่ผมตั้งใจเอาไว้ มันไม่ได้อ่อนแอหรือเย็นชา มันเป็นเสียงที่ไร้ความรู้สึกจนตัวผมเองยังตกใจ เตจับแขนผมเอาไว้อย่างนั้น เสี้ยววินาทีนึงเขาเหมือนพยายามจะขยับตัวเข้ามาใกล้แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ
“เรื่องรูปที่หลุดออกมาเมื่อสามปีก่อน...” เสียงของเขาแหบพร่ากว่าที่เคยเป็น แต่มันไม่มีความลังเลใดแฝงอยู่ในนั้น “เตขอโทษ”
มันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ
เตไม่รู้สักนิด เขาไม่รู้สักนิดว่าทำไมผมถึงจากเขามา
“งั้นหรอ” ผมเอ่ย แต่นั่นไม่ได้เป็นประโยคคำถาม ไม่ได้เป็นประโยคปฏิเสธ ไม่แม้กระทั่งเป็นการตอบรับคำขอโทษของเต มันเป็นเพียงแค่คำที่ผมเอ่ยออกมาเพราะความสมเพช สมเพชทั้งตัวเองและคนที่กำลังยื้อผมเอาไว้ในตอนนี้ “จะมาขอโทษทำไม”
“พิณ...”
“ตอนนั้น เราก็อยู่ด้วยกัน มันก็ผิดกันทั้งสองฝ่าย” ผมพูดเสียงเบา หากแต่มันเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “กูก็ผิดที่ไว้ใจมึงด้วยแหละ”
“เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่พิณคิดนะ” เขาบีบแขนผมแรงขึ้นเหมือนกลัวว่าผมจะเดินลุกหนีไปก่อนที่เขาจะได้อธิบายอะไรจบ ผมหันไปมองเขาด้วยหางตาแล้วถามขึ้น
“กูคิดอะไรหรอ”
เตคิดว่าผมโง่ โง่...ขนาดไหนกัน
“พิณเข้าใจผิด” เตพูดขึ้นมาอย่างเร่งร้อน แต่ก็เว้นไปนานอยู่เหมือนกันก่อนจะเอ่ยประโยคถัดจากนั้น “เตไม่ได้เป็นคนปล่อยรูป”
“หึ...” ผมแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ อยากจะระเบิดหัวเราะใส่หน้าเตให้ดังๆแต่มันก็ทำไม่ได้ สัมผัสแผ่วเบาที่แขนทำให้ผมรู้สึกรวดร้าวแม้คนจับจะไม่ได้ออกแรงบีบอะไร บรรยากาศทั้งห้องเงียบไปชั่วเวลานึงซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ก่อนที่ผมจะถอนหายใจออกมาแล้วพูดขึ้น
“ที่ตามลงมาจากเหนือก็เพื่อจะอธิบายแค่นี้ใช่มั้ย” “หมายความว่ายังไง” เตถามขึ้นเหมือนเขากำลังสับสน
“ก็อย่างที่ถามไป” ผมย้ำอีกรอบ “ที่ตามลงมาจากเหนือนี่เพื่อจะมาพูดแค่นี้หรอ”
“พิณ เตไม่ได้โกหก”
เตขยับเข้ามาใกล้ เขาเอาหน้าผากซบแตะลงบนท้ายทอยของผม น้ำเสียงเขาเหนื่อยเกินอธิบาย ผมไม่ได้ขัดขืนสัมผัสนั่นแต่ก็ไม่ได้ตอบรับอะไร
“กูรู้ว่ามึงไม่ได้โกหก” น้ำตาของผมไหลจากความอัดอั้น แต่เตไม่รู้เพราะเขาไม่เห็น ไม่แม้กระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นของผมทั้งที่เราอยู่ใกล้กันแค่นี้ “แต่มึงก็ยังเป็นคนโกหก”
“นี่พิณไม่เชื่อเตหรอ”
“เรื่องคนที่ปล่อยรูป...” ผมพูดทิ้งจังหวะ ก่อนจะสูดหายใจเข้าเพื่อปรับอารมณ์ตัวเองไม่ให้มันดาวน์ไปมากกว่าที่เป็นอยู่ พลางค่อยๆแกะมือเตออกจากแขนแม้ว่าเจ้าตัวเองจะไม่ให้ความร่วมมือ
“กูรู้มาตั้งนานแล้วว่าไม่ใช่มึง” “…” เขาเงียบ ผมลุกออกจากเตียง บรรยายในห้องไม่ได้ดีมากขึ้นไปกว่าที่มันเคยเป็น
“ถ้ามึงมาเพราะอยากขอโทษเรื่องนี้ก็ไม่ต้อง” เตยังคงไม่ตอบรับคำพูดของผม ระยะห่างระหว่างร่างกายเราตอนนี้มันมีอยู่ไม่มาก แต่หากจะพูดถึงในเรื่องของความรู้สึก เตยังอยู่ไกลจากผมมาก เขาอยู่ไกลจนสุดสายตามอง “มันไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องขอโทษ มันไม่ใช่เรื่องที่เราติดค้างอะไรกัน”
ร่างกายทั้งหมดของผมชาซ่าน เพียงสิ่งเดียวที่ยังมีความรู้สึกอยู่ตอนนี้คือหัวใจ หัวใจที่เจ็บทุกครั้งที่ผมหายใจเข้าออก
“ถ้ามึงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เราคงหมดธุระกันแค่นี้” ผมพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอนของเต ไม่มีการเหนี่ยวรั้งใดจากคนที่นั่งอยู่บนเตียง ไม่มีแม้แต่เสียงเรียกชื่อยื้อเอาไว้ ผมเดินไปเก็บชามที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ เหลือบไปมองทางประตูห้องนอนด้วยความหวังอะไรไม่รู้ที่มีอยู่ในใจ
ถ้าเพียงแต่เขาลุกออกมา ถ้าเพียงแต่เขาถามถึงสาเหตุจริงๆที่ผมหนีเขามาจากเหนือในวินาทีนี้
บางที...แค่บางที ผมอาจจะตอบ
ผมยืนนับเลขอยู่ตรงนั้น วนจากหนึ่งถึงสิบเกือบห้ารอบแต่เขาก็ไม่ได้ออกมา
ไม่ได้ออกมารั้งผมไว้
น่าประหลาดที่ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการกระทำนั้นเลยแม้แต่น้อย
ผมยิ้มอย่างสมเพชการกระทำตัวเองที่มันสวนทางกับตรรกะที่คิดไว้ไปเสียหมด ความเกลียดโกรธแค้นสามารถทำให้คนคนหนึ่งโง่งมได้เพียงใด ความรักก็คงทำเช่นนั้นได้ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผมมีความรู้สึกทั้งสองอย่างนั้นให้กับคนเพียงคนเดียว
มันทำให้ผมโง่เง่าจนน่ารำคาญ
ผมเดินออกมาจากห้องของเต ผ่านมาเข้ามาในห้องของตัวเอง นาฬิกาบนผนังห้องบอกเวลาว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงเช้า จ้องอยู่ได้ไม่นานความสนใจของผมก็หลุดลอยหายไปเหมือนความคิดในสมองมันกลับกลายไปเป็นความว่างเปล่า
ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้น้ำไหลชะโลมตัวทั้งที่ยังไม่ถอดเสื้อผ้า
แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ร้องไห้ออกมาเพราะหัวใจของผมเจ็บ
สิ่งที่มากไปกว่าการที่เขาทำผิด คือเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคือความผิด
เตคิดว่าผมโง่จนไม่รู้ว่าคนที่ปล่อยรูปเป็นใคร เขาคิดว่าผมหน้ามือตามัวขนาดไหนที่จะปักใจว่าคนที่ปล่อยรูปเป็นเขาโดยไม่สืบอะไรเลย ผมเสียใจที่เตคิดว่าผมทิ้งเขามาเพียงเพราะเรื่องรูปหลุดบ้าๆนั่น
ผมคิดว่าเตรู้จักผมดี แต่ผมเพิ่งมารู้ตอนนี้ว่ามันคงจะไม่ดีมากพอ
เพราะถ้าเขารู้จักผมจริงๆ เขาจะรู้ เขาจะรู้ว่า...
…ผมจะไม่ทิ้งเขามาเพียงแค่เพราะความอับอาย [ สามปีที่แล้ว ]
“ไม่เห็นรู้เลยว่ามึงลงสีกับเขาเป็นด้วย” ร่างเล็กเอ่ยขึ้นพลางชะโงกหน้ามาดูใครบางคนที่กำลังจับพู่กันทาสีป้ายรณรงค์ของโรงเรียนอยู่อย่างขมักเขม่น สรรพนามของเขาสองคนเปลี่ยนไปนิดหน่อยเพราะความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้น
“ตลกแล้วพิณ เรื่องศิลปะนี่กูออกจะดังนะ ตอนอยู่โรงเรียนเก่าไปประกวดได้รางวัลมาตั้งหลายรางวัล เคยชนะระดับประเทศมาตั้งสองสามครั้ง” เตชภณละมือจากงานศิลป์ตรงหน้ามาอย่างเคืองๆเมื่อคนตัวเล็กดูท่าทางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย ทั้งที่เตชภณเองจำเรื่องราวเกี่ยวกับคู่สนทนาได้ตั้งเยอะ พีรการต์วางถังสีในมือลงก่อนจะนั่งลงข้างเขา
“จะไปรู้หรอ เห็นชอบเล่นบาส ก็นึกว่าไปสายกีฬาอย่างเดียว” พีรการต์พูดขึ้นอย่างตั้งใจกวนประสาทร่างสูง เขาหัวเราะขันๆในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงช่วยคนโมโหทาสีที่ป้ายรณรงค์ ไม่นานนักร่างเล็กก็เหลือบตามองการทำงานของคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม จึงสังเกตเห็นได้ว่าเตชภณละมือออกไปกดโทรศัพท์นานแล้ว
“อ้าว ล้อเล่นแค่นี้เลยเลิกช่วยเลยหรอ” พีรการต์แซวอย่างไม่จริงจัง อันที่จริงทาสีป้ายนี้คนเดียวก็ไม่ได้เหนื่อยมากนัก เพราะนี่มันเป็นป้ายอันเล็กขนาดไม่เกินเมตรครึ่งเท่านั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเท่าไหร่ ที่พูดไปก็เพราะอยากจะง้อคนโดนกวนประสาทต่างหาก
“นี่ไง!” เตชภณร้องเสียงดังเมื่อเจอบางอย่างในโทรศัพท์ ทำให้คนอื่นๆที่มาช่วยงานอยู่บริเวณนั้นต้องหันมามอง แต่ไม่นานนักก็หันกลับไป
“นี่ไงพิณ รูปที่กูได้รับรางวัลกับนายกอ่ะ” “ฮ่าๆๆๆ” คนถูกเรียกหัวเราะขึ้นอย่างถูกใจ เหมือนเจ้าคนอวดรางวัลจะไม่รู้จริงๆนั่นแหละว่าที่เขาพูดไปเมื่อกี้เป็นเพียงแค่การหยอกเล่นเท่านั้น เสียงหัวเราะของพีรการต์ทำให้เตหน้าหงอกขึ้นมากกว่าเดิม
“เชื่อแต่แรกแล้ว ไม่ต้องเอารูปมาให้ดูขนาดนั้นหรอกน่า” “นี่หะ...” “พิณ!” เสียงแหลมเล็กเรียกของใครบางคนตัดประโยคสนทนาขึ้นมาก่อนที่เตจะได้พูดจบ เตชภณผินหน้าไปถามเสียงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เป็นคนถูกเรียกก็ตาม เด็กหญิงคนนั้นเป็นคนที่เตคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“อ้าว เบล” พิณขานรับเสียงอ่อย เตเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมพิณถึงทำน้ำเสียงแบบนั้นออกไป
“มานั่งทำบอร์ดทำไมไม่เรียกเลยละ นึกว่าพิณกลับบ้านไปแล้วซะอีก” เด็กสาวยังคงพูดอย่างเจื้อยแจ้ว เธอเดินมาใกล้ก่อนจะถือวิสาวะนั่งคั่นกลางระหว่างสองคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้า จากนั้นก็หันไปยังคนร่างหนาที่เมื่อกี้นั่งยักคิ้วให้เธอออยู่สองสามที
“ว่าไงเต” “ไงเบล นึกว่าจะไม่ทักกันซะละ” ร่างสูงรับคำทักทายอย่างสนิทสนม การกระทำนั้นสร้างความประหลาดใจให้พีรการต์อยู่ไม่น้อย
“อ้าว สองคนนี้รู้จักกันหรอ” พีรการต์ถามขึ้น
“รู้จักกันสิ เบลรู้จักกับเตมาก่อนที่พิณจะรู้จักอีก” เด็กสาวเอ่ยเสียงใส
“เตไม่ได้บอกหรอ” “อือ...ไม่ได้บอก” พิณขานรับอย่างไม่เต็มน้ำเสียงนัก เขาไม่อยากจะซักไซร้เตถึงแม้จะอยากรู้ว่าทั้งสองคนไปรู้จักกันได้อย่างไร ส่วนเตเองก็ไม่ได้มีท่าทีที่อยากอธิบายอะไร
เบลยื่นมือเข้ามาช่วยทาสีบอร์ดทำให้งานที่ทำอยู่คืบหน้าไปเร็วขึ้น เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงป้ายบอร์ดก็ถูกลงสีจนเต็ม พีรการต์พบว่าเตกับเบลเองสนิทกันมากกว่าที่เขาคิดไว้ พิณออกจะประหลาดใจหน่อยๆว่าทำไมเขาถึงไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ แม้จะเพิ่งได้รู้จักกับเตไม่นานนัก แต่ตัวเขาเองก็สนิทกับทั้งสอง วันที่ลูกบาสเข้าตาพิณครั้งนั้นเตกับเบลก็ไม่ได้มีท่าทีเหมือนเป็นคนรู้จักกันสักนิด
ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างพุ่งเข้าโจมตีข้างในใจของร่างเล็ก พิณรู้สึกไม่ดีจนต้องพยายามสลัดมันทิ้งออกไป
เขามีสิทธิ์อะไรที่จะไปหวงเตกัน ได้เมื่อเขากับเตไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเพื่อน แถมเบลเองก็บอกเขามาตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอปลาบปลื้มเตชภณ เขาควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ทั้งสองคนรู้จักกัน นั่นเป็นหน้าที่ของเพื่อนที่ดีที่เขาพึ่งกระทำให้เบล
รู้จักกันก็ดีแล้ว พิณสรุปกับตัวเองอย่างนั้นระหว่างที่กำลังล้างสีที่เปื้อนมือ
“อ๊า...” จู่ๆเบลก็ร้องออกมาเมื่อเธอก้มลงไปมองที่โทรศัพท์ระหว่างเตกำลังเก็บล้างอุปกรณ์อย่างขะมักเขม้น รุ่นน้องที่อยู่แถวนั้นเดินมายกบอร์ดไปไว้กลางสนามเพื่อผึ่งแดดให้สีแห้ง
“พ่อโทรมาตั้งหกสาย สงสัยมารอรับนานแล้วมั้งเนี่ย” “งั้นก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้พวกเตเก็บเองได้” ร่างสูงพูดขึ้นระหว่างที่เดินกลับมาหยิบพู่กันที่วางทิ้งไว้เพื่อเอากลับไปล้างที่ซิงค์ เด็กสาวพยักหน้าให้กับเตน้อยๆก่อนจะวิ่งออกไป เตหันกลับเดินไปที่อ่างเมื่อเบลพ้นสายตาไปแล้ว
เขาเดินเอาพู่กันไปล้างข้างๆพิณที่ก้มหน้าก้มตาล้างมืออยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะไอ้สีที่เปื้อนอยู่บนมือมันดันติดทนเกินความจำเป็น
“นั่นมันสีรองพื้น ล้างลูบๆแบบนี้ไม่ออกหรอก” เตทักขึ้น ไม่รอให้พิณได้ตอบอะไร ร่างสูงก็เอื้อมไปคว้ามือบางมา ล้างให้อย่างตั้งใจเสมือนเป็นธุระของเจ้าตัว เตใช้เล็บที่หัวแม่มือขูดสีที่เปื้อนอยู่ออกเบาๆ แต่เพราะว่าพิณเป็นคนขาวจัด สัมผัสเหล่านั้นจึงทิ้งรอยแดงบนมือไว้บ้างแบบประปราย
“เจ็บมั้ย” พิณเงียบไปชั่วอึดใจด้วยความรู้สึกแปลกข้างในแบบที่เขาบอกไม่ถูก ก่อนที่เขาจะรวบรวมสติตอบออกไปได้
“ไม่เจ็บ” พิณกัดริมฝีปากล่างทันทีที่ได้ยินเสียงของตัวเองที่ตอบออกไป น้ำเสียงของเขามันทั้งสั่นทั้งอ่อนไหวมากเสียจนน่าอาย ถ้ามุดดินลงไปได้พิณคงทำไปแล้ว
“วันนี้พูดน้อยจัง” เตขำในลำคอ ถ้ามองไม่ผิดร่างสูงนั้นเลิกให้ความสนใจกับรอยเปื้อนที่มือของพิณไปแล้ว เขาเอาแต่จ้องพิณอยู่อย่างนั้นจนร่างบางเองรู้สึกเห่อร้อนบนใบหน้า ไม่รู้ว่าเตจะได้ยินมั้ย แต่เสียงหัวใจของพีรการต์มันเต้นดังขึ้นอย่างน่าตกใจ มือทั้งสองยังจับกันอยู่ตรงน้ำที่ไหลผ่าน เพียงแต่มันไม่มีจากเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นอีกแล้ว
พีรการต์อยากจะหลบตาคนตรงหน้า แต่เขาก็ทำไม่ได้ ส่วนเตเองก็แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่
“เห้ย! ไอ้เต!” เสียงเรียกเอ่ยชื่อทำให้ร่างสูงผละออกไปจากพิณแทบจะทันที คนตัวเล็กลุกลี้ลุกลนหันไปปิดน้ำพลางทบทวนความในหัวว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้คืออะไร แต่คิดได้ไม่นานนักความสนใจก็ถูกแย่งไปโดยบทสนทนาที่เกิดขึ้นกับคนมาใหม่เสียก่อน
“เชี้ยเปรม เรียกเบาๆก็ได้ กูตกใจหมด” เตหันไปว่าอย่างนั้น คนมาเยือนเป็นใครสักคนที่พิณคุ้นหน้า เขาเป็นผู้ชายที่มีส่วนสูงกลางๆ หน้าตากลางๆ ทุกอย่างดูกลางไปหมดจนไม่มีอะไรโดดเด่น พิณจำได้ว่าเคยเห็นเขาในโรงอาหารอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ผ่านตาไปทุกที
“หายไปเลยนะมึง” เปรมว่า เขายักคิ้วให้กับเตเล็กน้อยก่อนจะหันมาหาร่างเล็กที่ยืนงงอยู่
“หวัดดีพิณ” พิณพยักหน้ายิ้มรับคำทักทายเล็กน้อย ไม่ได้แปลกใจอะไรที่คนตรงหน้ารู้ชื่อเสียงเรียงนามของตน ในเมื่อตัวพิณเองก็ทำกิจกรรมอยู่บ่อยๆ ไม่แปลกที่จะพอมีคนรู้จักชื่ออยู่บ้าง
“กูก็งงว่าหายไปไหน ที่แท้ก็มาสวีตอยู่กับพิณนี่เอง” เปรมล้อขึ้นอย่างสนุกปาก พิณไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรกับคำพูดนี้ดี ใจเขาที่เพิ่งจะสงบไปกลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
“ไอ้ห่า เพื่อนกัน” เตว่าขึ้นพลางเอื้อมมือไปดันหัวเปรมแรงๆ เป็นการบอกปัดที่ดูไม่ออกว่ามีความเก้อเขินปนอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ คนถูกทำร้ายสบถขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก
“เออๆๆ เพื่อนก็เพื่อน อย่าให้กูจับได้นะมึง กูจะล้อไปจนลูกมึงบวชเลยคอยดู!” เปรมยังคงแซวและกวนประสาทเตจนร่างสูงเองแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา เห็นดังนั้นคนที่กำลังสนุกปากอยู่จึงหยุดล้อ พวกเขาคุยกันต่อสองสามคำ ได้ความว่ารุ่นพี่ที่สนามบ่นถึงการหายตัวไปของเต เจ้าตัวควรจะโผล่หน้าไปที่นั่นเสียหน่อยหากไม่อยากให้เพื่อนเลิกคบ
ทั้งสองใช้เวลาไม่นานในการพูดคุยกันก่อนที่เปรมจะละออกไป เตหันมายังร่างบางที่ยืนอยู่ พิณไม่รู้ว่าเขารออยู่ตรงนี้ทำไมด้วยซ้ำ แต่เขาก็รอ
“วันนี้กลับกับเฮียภีมหรือเปล่า” เตหันมาถาม ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เขาเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่พิณจะได้ตอบอะไรออกไป
“ถ้านัดแกไว้ว่าจะกลับ ก็โทรไปบอกเลยว่าวันนี้จะไปกับกู” “ไปไหน” “กูอยากขึ้นเขา” พีรการต์ไม่อยากขึ้นเขา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในวันที่อากาศเย็นแบบนี้ ช่วงนี้เมืองไทยเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ยิ่งเป็นบนภูเขาทางเหนือด้วยแล้วอากาศยิ่งหนาวเป็นพิเศษ แม้จะมีเสื้อแจ็คเก็ตติดตัวมาโรงเรียน แต่เสื้อนั่นก็ไม่ได้ทุกทำขึ้นมาเพื่อกันอากาศหนาวขนาดนี้
เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ผิดที่เสื้อหรอก มันผิดที่พิณที่เป็นคนขี้หนาวต่างหาก
ผิดมากขึ้นไปอีกเมื่อพิณยอมตามใจเตแล้วขึ้นมาบนเขานี่จนได้
“วันนี้มึงเงียบผิดปกตินะ” เตเอ่ยพลางจูงมอเตอร์ไซค์เขาไปจอดที่ใต้ต้นไม้ เขาเดินมาแล้วหย่อนกายนั่งลงข้างพิณ
“มีอะไรหรือเปล่า” “ไม่นิ” พิณตอบปฎิเสธ จะไปบอกได้อย่างไรว่าที่เงียบไปนี่เพราะกำลังครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเตกับเบล ถึงแม้เจ้าตัวจะนั่งอยู่ตรงนี้ก็เถอะ เขาก็ไม่กล้าถามอยู่ดี
“ไม่ใช่ว่าคิดมากเรื่องกูกับเบลอยู่หรอกหรอ” เตถามเหมือนรู้ใจเขา พิณขบเม้มปากตัวเองไปมาพร้อมกระชับเสื้อกันหนาวให้แนบชิดกับร่างกายมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรเต เพราะไม่รู้ว่าคำตอบใดที่มันเหมาะสมกับสถานการณ์นี้
“มันไม่มีอะไรหรอก” พิณมองตรงไปข้างหน้า หมอกที่ลงปกคลุมบนเขาในตอนนี้ทำให้พิณมองเห็นทัศนียภาพข้างหน้าไม่ชัดนัก
“ถ้าเกิดว่ามีอะไร...” พิณเอ่ยปากออกมาอย่างลืมตัว เสียงของเขาเลือนลอยทั้งที่ยังมีสติครบถ้วนอยู่
“แล้วกูต้องรู้สึกยังไงหรอ” ช่วงนี้พีรการต์พูด ทำและคิดอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเสมอ บางครั้งเขาก็เอ่ยถามอะไรที่ตัวเองไม่ได้คาดหวังคำตอบให้เป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง บางครั้งเขาก็เอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองกลัวที่จะได้ยินคำตอบ
“ไม่รู้สิ...แต่กูอยากให้มึงรู้สึกอะไรบ้าง” เตว่าพลางพิงศีรษะของเจ้าตัวลงมาที่ไหล่พิณ
“อย่างที่กูรู้สึก” พีรการต์ไม่ใช่คนโง่ เขาฟังออกว่าเตกำลังพยายามสื่อสารอะไรบางอย่างกับเขา เพียงแต่ความคิดที่ส่งผ่านประโยคออกมานั้นมันฟังดูคลุมเครือและไม่ชัดเจน คนตัวเล็กเลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกไป
“พิณ” เตเรียกชื่อของร่างบางขึ้น หลังจากที่สังเกตได้ว่าพิณนั่งตัวสั่นมานานแล้ว “หนาวหรือเปล่า”
“หนาวแล้วมึงจะยอมกลับบ้านหรอ” พีรการต์ถาม เขาเหลือบตาไปมองเจ้าคนตัวสูงที่นั่งอยู่อย่างไม่สะทกสะท้านกับสภาพอากาศ ไม่แม้แต่จะใส่เสื้อแขนยาวเลยด้วยซ้ำ
“ยอมนะ” เตเว้นจังหวะพูดไปช่วงนึงก่อนจะขยับเข้ามาใกล้
“เดี๋ยวมึงไม่สบาย” พีรการต์อยากจะบอกความจริงออกไปอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าร่างสูงบอกจะยอมกลับบ้านน่ะนะ เพราะพิณเองก็ยังอยากใช้เวลาอยู่กับคนตรงหน้าให้นานกว่านี้หน่อย
“ไม่หนาว” เขาตอบปฎิเสธ
“ไม่หนาวจริงหรอ” เตเอื้อมมือทั้งสองเข้ามาจับแก้มเขา ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะไออุ่นหรือการกระทำของคนตรงหน้าที่ทำให้พิณเกิดอาการวูบวาบบนใบหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด
“ดูสิ แก้มเย็นเฉียบเลย” เอาอีกแล้ว...เตทำท่าทีแปลกๆที่ทำให้ใจเต้นแรงอีกแล้ว
เตส่งยิ้มล้อเลียนให้พิณ แต่รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆที่จะเลือนหายไปจนกลายเป็นเพียงแค่การจับจ้อง
พีรการต์หายใจเข้าออกอย่างติดขัดเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างสูงยังคงไม่ละสายตาไปไหน ร่างบางหลุบตาลงต่ำและกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความประหม่า เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใดเตชภณจึงได้มีอิทธิพลกับเขาเยอะนักนับตั้งแต่ที่วันที่เขาทั้งสองที่เจอกันครั้งแรก
เตมีอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ดึงดูดเขาราวกับเวทมนตร์
และพิณก็พยายามเป็นอย่างมากที่จะเพิกเฉยต่อแรงดึงดูดเหล่านั้นราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น
แต่ยิ่งนานขึ้นมากเท่าไหร่ ความรู้สึกที่พิณมีต่อเตมันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นจนมันยากต่อการเพิกเฉยที่เขาเพียรทำอยู่ทุกวัน
“พิณ” เตเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันที่ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้เขาขนาดนี้ ใกล้จนขนาดที่ว่าพิณรู้สึกถึงลมหายใจของเขาได้ เตหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่เคลื่อนไหว ไม่พูดอะไรต่อ
“อะไร” เสียงที่พิณขานรับออกไปก็ไร้ความหนักแน่นไม่แพ้กัน เตใช้นิ้วหัวแม่มือสัมผัสวนอยู่ที่บริเวณมุมปากของร่างบาง พลางสายตาจับจ้องวางอยู่ตรงนั้นไม่ได้เลื่อนไปไหน
เตชภณกลืนน้ำลาย สมองของร่างสูงในตอนนี้ว่างเปล่าเกินกว่าจะมานั่งคิดคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และเตหยุดตัวเองไม่ได้ เขาคิดอะไรไม่ออกเลย
เตไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่ปะทุอยู่ในอกมันเป็นความรู้สึกแบบไหน
หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นเมื่อปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกัน
“ถ้ากูจูบ...” ร่างสูงเอ่ยขึ้นอย่างลังเล
“มึงจะต่อยกูมั้ย” …
..
.
“คงไม่”.......................................................................................
คนเขียนขอเม้าท์: เกิดการหักมุมขึ้นเล็กน้อยค่ะ พิณไม่เคยเข้าใจเตผิดนะคะ พีรการต์ของเราไม่ใช่คนโง่ถึงแม้บางครั้งจะดูไม่พูดจนน่าหมั่นไส้ไปบ้างก็ตาม(ฮา) ปมจะคลายในไม่กี่ตอนข้างหน้านี้แล้วค่ะ รอกันหน่อยเนาะ
ปล.ขอโทษจริงๆที่หายไปหลายวันนะคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา จะพยายามกลับมาอัพให้ได้ทุกสองสามวันค่ะ