CHAPTER TWO
- And one day, your name didn’t make me smile anymore. -
“พิณ...คืนนี้กูไปค้างที่ห้องมึงนะ”
“มึงจะได้ช่วยติวสังคมให้กูไง” “ไอ้พิณ ตื่นไปโรงเรียนได้แล้ว” “ที่ใจกูเต้นแรงขนาดนี้ มันยังปกติอยู่หรือเปล่าวะ” “พิณ” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นพร้อมแรงกระชากสิ่งที่ห่อหุ้มกายทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอย่างงงงวย ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ก่อนจะหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาให้มันคุ้นชินกับแดดในยามเช้า ถ้าให้เดาตอนนี้สีหน้าของผมคงจะบอกบุญไม่รับมากแน่ๆ เนื่องจากถูกปลุกแบบกระทันหันไปหน่อย
“ไม่เห็นต้องกระชากผ้าห่มขนาดนั้นเลยเฮีย” ผมบ่นง่วงพลางปรือตามองเฮียภีมที่บัดนี้ยืนจับผ้าห่มอยู่ ร่างหนาข้างเตียงใช้อีกมือที่ไม่ได้จับผ้าถือแก้วกาแฟร้อน ทำให้ผมนึกสงสัยว่าไอ้ที่กระชากผ้าห่มผมออกแรงๆเนี่ย มันไม่ไปกระทบกระเทือนอะไรที่จะทำให้กาแฟกระฉอกบ้างเลยหรือ
“กูปลุกหลายรอบแล้วมึงไม่ยอมลุก” เฮียถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มัวแต่นอนฝันอะไรอยู่ล่ะ”
ฝันหรอ...
“เปล่า” ผมตอบปฏิเสธ ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว “เฮียเห็นโทรศัพท์ผมมั้ย”
“เมื่อคืนเห็นอยู่ที่โซฟา ป่านนี้แบตหมดไปแล้วมั้ง” ผมพยักหน้ารับคำตอบ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงอย่างคนไม่เต็มตื่น แล้วเดินไปเอามือถือที่โซฟาถามคำบอกของเฮีย พอเอามากดเช็คดูแล้วก็เห็นว่ามันแบตหมดจริงอย่างที่เฮียแกว่า ผมถอนหายใจออกอย่างหัวเสีย หลังจากนั้นก็เดินเอามือถือไปเสียบชาร์ต “มึงไปอาบน้ำแต่งตัวเลย วันนี้มึงต้องไปโรงเรียน”
“ไปทำไม” ผมหันไปถามคู่สนทนาเพราะสงสัย ร้อยวันพันปีเฮียแกไม่เคยจะเคี่ยวเข็ญให้ผมไปโรงเรียน เพราะแกรู้ว่าอย่างผมเนี่ยมันคนฉลาดเป็นธรรมชาติ ต่อให้ไม่เข้าเรียนก็สี่หมดทุกตัวอยู่ดี (ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ อันนี้เฮียภีมเคยพูดเอาไว้เอง)
“ระวังหมดสิทธิ์สอบ” เฮียปาผ้าขนหนูใส่หน้าผม “วันนี้กูไม่อยากให้มึงอยู่คอนโดคนเดียว เดี๋ยวคิดมากอีก”
“แต่ว่า...”
“รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวกูไปส่ง”
“เออๆ ก็ได้” ผมเถียงเฮียแกไม่เคยชนะหรอกครับ ส่วนมากเพราะผมไม่ค่อยกล้าหือกับเฮียเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น มันก็เป็นคนอยู่ดูแลผมมาตลอด ขาดบ้างเกินบ้างแต่ก็ไม่เคยไปไหน ผมเอาผ้าขนหนูพาดบ่า ก่อนจะเดินไปเก็บเตียงลวกๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
TAE.CP: กูอยากเจอมึง (2.16 น.) “วันนี้กูมีซ้อมใหญ่ กลับไม่ได้ มึงอยู่ได้หรือเปล่า”
…อยากเจองั้นหรอ
“ไอ้พิณ”
“หะ...” ผมละสายตาจากข้อความตรงหน้าไปหาคนที่ขับรถอยู่ “เมื่อกี้เฮียว่าไงนะ”
“กูบอกว่าคืนนี้กูไม่กลับ มึงอยู่คนเดียวได้มั้ย” เฮียถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าปกตินิดหน่อยพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยโรงเรียนผม “เดี๋ยวกูโทรขอพ่อแม่ไอ้เกล้า ให้มันมานอนเป็นเพื่อนมึงดีกว่า”
“เฮีย ผมโอเค ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมพูดออกไปทั้งๆที่ยังกำโทรศัพท์ในมือแน่น ไม่กล้ามองลงไปที่หน้าจออีกครั้งเลยด้วย เพราะข้อความของคนๆนั้นทำให้หัวใจของผมเต้นผิดจังหวะอย่างควบคุมไม่อยู่จนผมไม่กล้าอ่านซ้ำ “ผมจะไม่คิดมาก”
เฮียภีมเหลือบตามามองแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มกับคู่สนทนาแล้วพูดขึ้น “พิณคนเก่ามันตายไปตั้งแต่สามปีที่แล้วแล้วเฮีย”
“เออ...กูเชื่อใจมึงนะ” ร่าหนาเอ่ยขึ้นเมื่อรถจอดเทียบฟุตบาท ผมหันไปสวัสดีพี่ชายตนเอง ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินเข้าสู่รั้ว ‘ญาดาพิวัฒน์’ โรงเรียนมัธยมชั้นแนวหน้าของเมืองไทยที่พ่อแม่จัดแจงเอาผมมาฝากฝังเอาไว้ตั้งแต่ขึ้นมอสี่
ผมไม่ได้สอบที่นี่ไม่ติดหรอกครับ แต่ไม่ได้สอบเลยต่างหาก เพราะว่าตอนช่วงที่โรงเรียนนี้เปิดสอบผมยังไม่ได้มีความคิดที่จะย้ายเข้ามาในกรุงเทพเลย และแม้ว่าครูบางคนจะดูถูกผมในช่วงแรกที่ผมเข้ามา เพราะความเป็นเด็กเส้น แต่ผมก็ได้พิสูจน์ความสามารถให้พวกเขาเห็นด้วยการกวาดสี่เรียบตั้งแต่เทอมแรกทั้งๆที่ผมเกเร ไม่ค่อยได้เข้าเรียน ทางฝ่ายวิชาการเขาก็อยากให้ผมไปสอบแข่งขันนอกสถานที่อะไรแบบนี้นะ แต่ผมปฏิเสธไปครับ เพราะผมไม่อยากได้รางวัลอะไร ผมอยากให้เด็กคนอื่นๆที่อยากไปแข่งจริงๆได้ไปมากกว่า
บรรยายกาศยามเช้าในโรงเรียนดึงความสนใจของผมออกจากข้อความที่ผมเพิ่งเห็นไปได้ช่วงหนึ่งแต่ก็ไม่นานนัก ผมหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจากกระเป๋ากางเกง จ้องหน้าจอที่มืดสนิทอยู่อย่างนั้น ลังเลว่าจะเปิดอ่านข้อความย้ำอีกรอบดีมั้ย แต่ในระหว่างที่ผมกำลังตัดสินใจอยู่นั้นเอง...
ติ้ง!
TAE.CP: อ่านแล้วก็ตอบดิ (7.48 น.) หน้าด้าน...
ทำกับกูไว้ขนาดนั้นแล้วยังมาเรียกร้องความสนใจอะไรอยู่อีก
แม้จะคิดเอาไว้แล้วว่าผมคงไม่มีทางได้กลับไปติดต่อหรือพบเจออะไรกับคนๆนั้นอีก
แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกด้านซ้ายของผมมันเต้นแรงขึ้นมาหลังจากเห็นข้อความที่เขาส่งมาหา
อย่านะ...พิณ
เขาใจร้ายแค่ไหน มึงเองนั่นแหละที่รู้ดีที่สุด
ป้าบ!
“ไอ้ภัทร! เมื่อวานกูทั้งโทรทั้งไลน์หา ไม่ยอมตอบอะไรกูสักอย่าง กูนึกว่ามึงตายไปแล้วนะเนี่ย!” การปรากฎตัวของไอ้เกล้ามักมาพร้อมกับแรงหนักๆที่กบาลผมครับ ส่วนครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันไปมองเจ้าตัวแบบไม่สบอารมณ์
“มึงก็โทรไปฟ้องเฮียกูแล้วนี่” พูดจบ ผมก็เร่งฝีเท้าเดินหนี
“เอ้า! ไอ้ห่านี่ กูเป็นห่วง”
“เป็นห่วงหรืออยากเสือก” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นคาดโทษมัน ก่อนจะนึกถึงเรื่องบางอย่างออก “มึงใช่มั้ยที่เอาไลน์กูไปให้มัน”
“ให้ใคร” ไอ้เกล้าทำหน้างุนงงไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง หลังจากนั้นก็ตบมือดังลั่นเมื่อรู้ว่าผมพูดถึงเรื่องอะไร “ไอ้เตอะนะ?”
“ใช่” ผมตอบในขณะที่ก้าวขาขึ้นบันได “ใครอนุญาต”
“อ้าว ก็มันตื้ออ่ะ อีกอย่าง...กูก็บอกมึงไปในไลน์แล้วนี่”
“แต่กูยังไม่ได้อนุญาต” คนที่เดินตามหลังผมมาส่งเสียงอึกอักเถียงไม่ออก ก่อนจะเงียบปากไป ที่จริงแล้วผมไม่ได้อยากจะหงุดหงิดใส่มันหรอกนะ และผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมต้องไปพาลลงไอ้เกล้ามันด้วย ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้รู้เรื่องอดีตที่ผ่านมาของผม
…ผมไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย
“ช่างเหอะ” ผมพูดออกไปอย่างปลงๆ ก่อนจะชะงักการก้าวขาแล้วหันไปมองไอ้เกล้า แล้วเอ่ยถึงคำถามบางอย่างที่ค้างคาใจผมอยู่ “มึงไปรู้จักมันได้ยังไง”
“ไอ้เต?” มันถามผมย้ำราวกับว่ากำลังกวนประสาท แต่ถึงกระนั้นไอ้เกล้าก็ไม่ได้ใช้เวลานานที่จะตระหนักได้ว่ามันควรเลิกกวนตีน แล้วตอบคำถามของผมอย่างจริงๆจังๆเสียที “เพื่อนของเพื่อนที่คอร์ดแบด หลังๆก็มาตีแข่งกันบ้างอะ ทำไมหรอ”
“เล่นด้วยมานานหรือยัง” ผมถามขึ้นพร้อมหันหน้ากลับมาก้าวขึ้นบันได้ต่อ
“ไม่นะ เพิ่งรู้จักได้สองสามอาทิตย์เอง” ไอ้เกล้าตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆขึ้น “มึงมีปัญหากับมันมาก่อนใช่มั้ย ถึงไม่ยอมสอนมันอะ”
มีปัญหาหรอ...
หึ...มีมากกว่าที่มึงจะจินตนาการออกเลยแหละ
“อ้าว มาดึงเงียบใส่กูอีก” เพื่อนผมเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบ
“แล้วมันรู้มาก่อนมั้ยว่ากูเป็นคนที่จะไปสอนมัน” ผมหลีกเลี่ยงการตอบโดยการถาม คนเดินตามทำเสียงฟึดฟัดนิดหน่อย ก่อนจะตอบออกมาอย่างเสียมิได้
“ก็รู้แค่ว่ามึงชื่อภัทรแหละ” คู่สนทนาตอบพลางเร่งการเคลื่อนไหวเพื่อมาเดินอยู่ในระนาบเดียวกับผม “มึงนี่ยังไง ทำท่าทางเหมือนจะไม่ชอบมัน แต่ก็ถามเรื่องของมันไม่หยุดปากเลยนะ”
ประโยคที่ถูกเอ่ยขึ้นมาทำให้ผมเงียบปากไปอย่างอัตโนมัติ ผมถามคำถามเดียวกันกับตัวเองในใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่ ผมก็ไม่ได้คำตอบ แต่อย่างน้อยผมก็ได้รู้มาว่าเตไม่ได้ตั้งใจอะไรที่จะมาเจอผม เพราะมันคงไม่รู้ว่าผมเปลี่ยนทั้งชื่อจริงชื่อเล่นและนามสกุลไปแล้ว แต่ถึงจะรู้ มันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่านามสมมติเหล่านั้นถูกเปลี่ยนไปเป็นอะไรจนกระทั่งเมื่อวาน
เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น
…และคงจะไม่เกิดซ้ำรอยอีก
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
วันนี้ทั้งวันผมใช้เวลาอยู่แต่ในห้องเรียนครับ เพื่อนในห้องรวมถึงไอ้เกล้ามีท่าทีแปลกใจกันนิดหน่อย ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้ออกไปเข้าห้องน้ำหรือลงไปทานอาหารนะ แต่ผมพูดถึงว่าผมไม่ได้โดดเรียนไปไหนเท่านั้นเอง เพราะโดยปกติแล้วผมจะชิ่งไปอยู่ห้องอังกฤษซึ่งช่วงนี้ถูกน้องมอห้าจับจองเพื่อซ้อมละครเวทีของโรงเรียนกันอยู่ครับ โดยมีข้ออ้างว่าผมต้องไปช่วยผู้กำกับทางนั้น เนื่องจากผมเป็นคนเขียนบท อาจารย์จะได้ไม่เช็คขาด
ผมก็ยังงงๆตัวเองอยู่ ว่าทำไมวันนี้ตัวเองถึงอยู่ห้องเรียนได้ทั้งวัน
“ภัทร วันนี้มึงจะไปดูหนังกับพวกกูป่ะ”
‘มะนาว’ เพื่อนที่นั่งด้านหน้าหันมาถามทันทีที่สัญญาณบอกเลิกเรียนดังขึ้น จริงๆแล้วไอ้มะนาวเนี่ยเป็นผู้ชายทั้งแท่งนะครับ แต่สาเหตุที่ชื่อมันออกผู้หญิงจ๋าแบบนี้ก็เพราะว่าพ่อแม่ยกให้พี่สาวมันเป็นคนตั้งให้ เวรกรรมก็เลยมาตกอยู่ที่มันที่ต้องใช้ชื่อนี้ไปทั้งชีวิต
“ไม่ว่ะ ว่าจะกลับบ้านเลย การบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้กูก็ยังไม่ได้ทำ” ผมพูดพลางกวาดห้องที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดลงกระเป๋า แต่ก็ไม่วายหันไปมองตาเขียวใส่ไอ้เกล้า “ถ้าจะโทษใครก็ต้องเป็นไอ้ห่านี่แหละ จารย์สั่งมาเป็นอาทิตย์แล้วเพิ่งมาบอกกู”
“อ้าว...กูก็มีลืมบ้างอะไรบ้างปะวะ มึงควรโทษตัวเองนะไอ้ภัทรที่ไม่ยอมเข้าเรียนเอง เลยไม่รู้ว่าจารย์เขาสั่งอะไร” ไอ้เกล้าหันมาโวยใส่ผม ผมหยุดต่อปากต่อคำกับมันในเมื่อสิ่งที่เพื่อนพูดเป็นความจริง เถียงไปก็เสียเวลา
ไอ้เกล้าเลิกถามผมเรื่องของเตแล้วครับ เพราะผมบอกจะเลิกให้บัตรประชาชนปลอมของเฮียภีมที่มันมายืมผมบ่อยๆเพื่อไปเข้าผับ หากมันยังเอ่ยปากถามอะไรเรื่องเตอีก มันเลยยอมหุบปากไป เพราะปกติแล้วไอ้เกล้าเป็นคนช่างซักครับ พูดมากพอๆกับผมนี่แหละ ต่างกันตรงที่มันจะพูดเรื่องของคนอื่นเยอะหน่อย
ผมสามคนเดินออกมาจากโรงเรียน ไอ้เกล้ากับไอ้มะนาวแยกออกจากผมทันทีเพราะพวกมันจะไปดูหนังกัน พอดีว่าโรงเรียนของผมมันอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้ามาก นั่งวินมอไซค์ไปอึดใจเดียวก็ถึง ส่วนผมก็มายืนรอที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถประจำทางสายที่ผมต้องนั่งก่อนจะลงเพื่อต่อรถไฟฟ้า
…
ความรู้สึกราวกับถูกใครบางคนกำลังจ้องมองทำให้ผมต้องเหลียวไปกวาดตาดูกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังแต่ก็พบว่ามันไม่มีอะไร ผมถอนหายใจออกมาหนักๆ เมื่อตระหนักได้ว่าตนคงคิดมากไปเอง
รอไม่นานนักรถประจำทางสายที่ผมรอก็มาจนเทียบฟุตบาท ด้วยความที่ผมยืนอยู่หน้าป้าย ผมจึงถูกดันให้เข้าไปในรถเมล์ก่อน โชคดีที่จำนวนคนไม่เยอะมาก ผมก็เลยไม่ถึงขั้นที่ต้องยืนเบียดกับใคร
ติ้ง!
เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ผมเอี้ยวตัวไปหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาอย่างทุลักทุเลเพราะกระเป๋าก็ต้องถือ เสารถก็ต้องจับ โทรศัพท์ก็ต้องดู
เป็นเรื่องจำเป็นครับ...เผื่อว่าเป็นเฮียภีมไลน์มาเช็คแล้วผมไม่ตอบ เฮียแกจะเกิดอาการแพนิคเอาได้
TAE.CP: ถ้าไม่ตอบกูจะไปหานะ (15.45 น.) …
…เต
“โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย” ผมพรึมพรำกับตัวเองเบาๆหลังจากที่อ่านข้อความจบ ก่อนจะคิดไปเองว่ามันไม่มีทางหาผมเจอหรอก ที่อยู่อะไรก็ไม่มี ชื่อเสียงเรียงนามอะไรผมตอนนี้มันก็ไม่รู้ ผมเรียนที่หนะ...
...เดี๋ยวนะ
ไม่ใช่มันรู้ว่าผมอยู่โรงเรียนไหนแล้วหรอกหรือ!
นัยน์ตาผมเบิกกว้างทันทีเมื่อนึกได้ถึงข้อสำคัญข้อนี้ คิดแล้วอยากจะเอาหัวตัวเองโขกเสารถเมล์สักสองสามทีโทษฐานที่เผลอลืมอะไรสำคัญๆแบบนี้ไปเสียได้ เตมันรู้จักกับไอ้เกล้าได้สองสามอาทิตย์แล้ว คงไม่แปลกหรอกหากพวกมันจะถามไถ่กันว่าเรียนที่ไหนอะไรยังไง
ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดจนคนข้างๆผมสะดุ้งเบา
เอาเถอะ...อย่างไรเสียผมก็ขึ้นรถเมล์มาแล้ว มันคงตามผมไม่เจอหรอก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่วันนี้
ทั้งนี้...ผมไม่ก็คิดหรอกว่ามันจะมีความพยายามในการตามหาผมอย่างที่มันส่งข้อความมาบอก โรงเรียนเธียรวิทย์อยู่ตั้งไกล ถึงจะเป็นโรงเรียนดังมีแต่ลูกคุณหนูอย่างไรแต่ก็อยู่เสียเกือบนอกเมือง ไอ้เตคงไม่มีอารมณ์นั่งรถมาไกลๆเพื่อพบคนที่ไม่เจอกันมาตั้งหลายปีอย่างผมเป็นแน่
ผมก้าวลงจากรถประจำทางเมื่อมาถึงที่หมาย ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อแตะบัตรไปขึ้นรถไฟฟ้า ผมถือโทรศัพท์อยู่ในมือหลังจากที่ได้อ่านข้อความนั้นอยู่ตลอดเวลาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมยังไม่เก็บมันใส่กระเป๋า แค่ยังไม่อยากเก็บ
รอไม่นานครับ ขบวนรถไฟฟ้าก็จอดเทียบสถานี ตอนนี้คนยังไม่เยอะมากเพราะพนักงานออฟฟิคส่วนใหญ่ยังไม่เลิกงาน จะมีมากก็พวกนักเรียนนักศึกษา ผมก้าวไปในรถไฟฟ้า ก่อนจะเดินเข้าไปจับจองที่ยืนบริเวณประตูอีกฝั่ง
อากาศเย็นในตัวขบวนทำให้ร่างกายผมเย็นขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงแค่ร่างกาย หากพูดถึงภายในจิตใจแล้วมันอุ่นๆร้อนๆเหมือนมีใครเอาไฟอ่อนมาแนบอยู่ ผมถอนหายใจก่อนจะเปิดดูข้อความที่เตส่งมาอีกครั้ง
…ผมจะทำยังไงดี
“ตอบเถอะพิณ คนส่งเขารออยู่นะ” !!!
สมองของผมว่างเปล่าไปทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าเจ้าของประโยคเมื่อครู่เป็นใคร ลมหายใจของใครอีกคนที่เป่ารดบนหัวทำให้ผมรู้ได้ว่าเสียงพูดนั้นมาจากเขาจริงๆ และผมไม่ได้หลอนไปเองอย่างที่ผ่านมา
…ผมไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยซ้ำ
“พิณ” ชื่อเรียกพร้อมน้ำเสียงอันคุ้นเคยดังข้างหูอีกครา แต่ผมก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม อยู่อย่างนั้นเป็นนาทีๆ “จะไม่เงยหน้ามาคุยกันหน่อยหรอ”
บ้าจริง...ผมคิดอะไรไม่ออก
คิดไม่ออกเลยสักอย่าง
!!!
ผมสะดุ้งตัวโหย่งอีกครั้งเมื่อคนที่พูดอยู่ด้านข้าง ลดหน้าลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหน้าผมแล้วช้อนสายตาขึ้นมอง “มึงไปอยู่ที่ไหนมา”
แม้จะมีรอยยิ้มแต่งแต้มที่มุมปาก แต่แววตาอันสั่นไหวและน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยของเขา บ่งบอกถึงความหมายบางอย่างที่ถูกแฝงไว้ในประโยคนั่น ประโยคคำถามที่ว่า ‘ผมไปไหนมา’
ความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านมานั้นทำให้ผมปวดใจ
การได้เห็นหน้าเตอีกครั้งในระยะที่ใกล้ขนาดนี้มันไม่ดีต่อใจผมเลยสักนิด ผมเม้มปากแน่นก่อนจะเสตามองไปทางอื่น ผมทำอะไรไม่ถูก...การได้เจอคนที่เคยทำร้ายผมอย่างแสนสาหัส แต่ตอนนี้เขากลับมาเริ่มบทสนทนากับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมควรจะต้องทำตัวยังไงหรอ
ยิ่งคนๆนั้นเป็นคนที่ผม....
[ สถานีต่อไป สถานีเอกมัย, โดยประตูรถจะเปิดทางด้านขวา Next station Ekkamai, doors will opened on the right hand side of the train. ]
“ขอโทษนะ” และในที่สุดผมก็หาเสียงตัวเองเจอ
ผมเงียบไปเสี้ยววินาทีนึง ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ขอทางด้วย” เมื่อพูดจบ ผมก็เดินอ้อมผ่านเตไปยังประตูรถไฟฟ้าที่เปิดออกทันที
...เขาไม่ได้ตามออกมา...
เหมือนเมื่อวานที่เขาไม่ได้ตามผมออกมาจากร้านกาแฟเร็วพอ...
…เหมือนในวันนั้นที่เขาไม่ได้มาตามผมที่สนามบิน
…เหมือนกันเลย...
ผมตรงไปกดลิฟต์ขึ้นชั้นตัวเองทันทีที่ถึงคอนโด ทั้งที่จากเดิมผมคิดจะไปซื้อของมาในซูเปอร์เติมใส่ตู้เย็นแท้ๆ แต่ความรู้สึกของผมตอนนี้มันจุกแน่นไปหมดจนบรรยายออกมาไม่ถูก รู้เพียงอย่างเดียวว่าหัวใจของผมยังไม่หยุดเต้นแรงหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับเตบนรถไฟฟ้าเมื่อครู่ และนั่นทำให้ผมกลัว
อย่านะ...อย่ากลับไปหวั่นไหวกับมันอีก
อย่ากลับไปเกี่ยวข้องกับคนอย่างมันอีก
“อ้าว! น้องภัทร!” เสียงใสของใครบางคนดังขึ้นเรียกความสนใจผมให้ออกมาจากโลกของตัวเองทันทีที่ผมเดินออกมาจากลิฟต์ ผมหันไปตามต้นตอเสียง หญิงสาวร่างท้วมวัยยี่สิบกว่าปียิ้มตาหยีมาทางผม ส่วนข้างๆตัวเธอนั้นก็มีผู้ชายวัยไล่เลี่ยกันยืนก้มๆเงยๆหลังลังกระดาษอยู่ ดูท่าทางจะยุ่งไม่เบา
“อ้าว...พี่ครีม” ผมตอบรับคำทักทายของเพื่อนห้องข้างห้อง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับไม่ให้สีหน้าดูแย่จนเกินไป “มาย้ายของออกหรอครับ”
“ใช่จ้ะ นี่ก็ล็อตสุดท้ายแล้ว” คนที่เพิ่งทักทายผมพยักหน้า “จะไปเคาะห้องบอกภัทรอยู่พอดีเลยว่าจะไปแล้ว เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนหรอ”
“อ่า...ครับ” ผมยิ้มรับ อันที่จริง ผมกับพี่ครีมก็สนิทกันนิดหน่อยแต่ไม่มาก มีคุยกันบ้างตามประสาเพื่อนข้างห้องที่อยู่ใกล้กันมาหลายปี กับข้าวกับปลาส่วนใหญ่ที่ผมทำเป็นพี่ครีมเนี่ยแหละครับเป็นคนสอน เห็นแกบอกว่ามีน้องชายวัยใกล้ๆกับผมอยู่ทางบ้านน่ะครับ เลยอดทำตามสัญชาตญาณคนเป็นพี่ไม่ได้ “มีคนติดต่อมาซื้อห้องแล้วหรอพี่”
“มีแล้วจ้ะ สองสามราย แต่ส่วนใหญ่กดราคาพี่กันทั้งนั้นเลย ห้องนี่ซื้อมาเจ็ดหลัก พวกนั้นต่อให้ลดเป็นหกหลัก ถ้าขายแล้วขาดทุนเยอะพี่ก็คงไม่ขาย พี่ก็ไม่ได้รีบใช้เงินอะไร เออ...เกือบลืมไป” หญิงสาวตรงหน้าชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ พี่ครีมหมุนตัวเข้าห้องไปก่อนจะหยิบซองสีชมพูอ่อนจากบนลังกระดาษที่วางอยู่ไม่ไกลมายื่นให้ผม “ว่าจะให้ตั้งนานแล้ว นี่การ์ดเชิญร่วมงานแต่งพี่ อย่าลืมไปให้ได้นะ”
นั่นแหละครับ...สาเหตุที่พี่ครีมย้ายออก
“ได้ครับ” ผมยิ้มรับ “เดี๋ยวผมเข้าห้องก่อนนะพี่ ยังไงก็เจอกันวันแต่งพี่นะครับ”
“จ้ะๆ แล้วเจอกัน”
รอยยิ้มผมหายไปทันทีที่ผมหมุนตัวกลับมา ผมแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง ทีแรกตั้งใจว่าจะมุ่งไปยังเตียงนอน แต่ก็เปลี่ยนใจกะทันหันและเดินไปที่มุมโต๊ะเขียนหนังสือ ผมเม้มปากข่มทั้งความคิดและความรู้สึกเอาไว้ข้างในใจพร้อมหยิบชีทการบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้ออกมาวางบนโต๊ะ
ถ้าไปนอนอยู่ที่เตียงก็คงไม่วายคิดเรื่องเดิมๆอีกอยู่ดี
คิดได้เช่นนั้นแล้วผมก็จรดปากกาลงเพื่อทำการบ้าน...
ผมพยายามไม่คิด ไม่นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างที่เคยปากดีไว้กับเฮียภีม
แต่หากมันจะมีอะไรยากไปกว่าการบ้านฟิสิกส์ตรงหน้าแล้วละก็...
…มันก็คงจะเป็นการทำตามสิ่งที่ผมเคยบอกกับเฮียแก
เพราะตลอดการทำการบ้านฟิสิกส์ทั้งสามชั่วโมงของผมในครั้งนั้น
…ผมหยุดคิดเรื่องเตไม่ได้เลย...
23.20 น.
พรึ่บ! พรึ่บ!
ผมนอนไม่หลับ ทำยังไงผมก็ข่มตานอนไม่ลง ผมนอนบนเตียงมาเป็นครึ่งชั่วโมง พลิกตัวไปมาเป็นสิบๆรอบแล้วก็ยังไม่ง่วง เพราะสมองผมมันเอาแต่คิดวกวนอยู่กับเรื่องที่เจอเตบนรถไฟฟ้าวันนี้
ให้ตายเถอะ...
ติ้ง!
เสียงมือถือดังแจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้ผมต้องลืมตาหันไปมองอุปกรณ์สื่อสารเจ้าปัญหาที่ดันมาดังไม่รู้จักเวล่ำเวลา ผมคลานไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะปิดเสียงมันไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวด้วยความเซง แต่ทว่า...
TAE.CP: ไม่ตอบ แล้วทำไมไม่บล็อคไปล่ะ (23.21 น.) …
ระ...โรคจิตจริงๆเลย!
ผมคิดอย่างโมโหก่อนจะใช้นิ้วกดปดล็อกโทรศัพท์เพื่อพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไป
pPATn: อย่าท้า (23.21 น.) พิมพ์เสร็จผมก็จัดการปิดเสียงเจ้าเครื่องมือสื่อสาร ก่อนจะเอื้อมแขนไปวางมือถือเอาไว้ที่หัวเตียงอย่างฉุนเฉียว แล้วกลับมาข่มตานอนบนเตียง
แต่จากที่นอนไม่หลับ...ผมก็กลับผล็อยหลับไปในเวลาไม่ถึงห้านาที
และในการนอนครั้งนี้...
ผมไม่ได้ฝันร้ายอะไรเลย..................................................................................
คนเขียนขอเม้าท์: รู้สึกมั้ยว่าช่วงนี้กำลังมีคนทำตัวย้อนแย้ง
ขอบคุณทุกเม้นท์และทุกกำลังใจนะคะ : )