พิมพ์หน้านี้ - ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Red_Enchanted ที่ 12-05-2017 14:06:28

หัวข้อ: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 12-05-2017 14:06:28
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

__________________________________________________________________________________________








ll GET IT BACK ll

Written by ALLEIN
**นามปากกไม่ตรงกับ username นะคะ ไม่ทราบวิธีเปลี่ยนจริงๆ


............................................................................



- สารบัญ -

CHAPTER ONE (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.msg3633646#msg3633646)
CHAPTER TWO (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.msg3634252#msg3634252)
CHAPTER THREE (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.msg3634916#msg3634916)
CHAPTER FOUR (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.msg3635510#msg3635510)
CHAPTER FIVE (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.msg3636688#msg3636688)
CHAPTER SIX (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.msg3641879#msg3641879)
CHAPTER SEVEN (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.msg3644408#msg3644408)
CHAPTER EIGHT (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.msg3649720#msg3649720)
CHAPTER NINE (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.msg3655765#msg3655765)
CHAPTER TEN (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59885.120)



INTRO

- And then I woke up, it’s a bad dream, no one on my side.-

   
   “ฮ่าๆๆๆ ไอ้พิณ คนในรูปนั่นมันมึงใช่มั้ยวะ”

   “โอ้ย!!! ไอ้เหี้ยท่าแม่งอย่างเด็ดอ่ะ กูอยากรู้จริงๆ ว่าอีกคนมันเป็นใคร ใช่คนในโรงเรียนเราปะวะ”

   “ไอ้พิณ มึงแม่งน่าเอาจริงๆโว้ย”


   อย่านะ...

   “ไอ้ห่า กูไม่คิดเลยนะว่าหน้าอย่างไอ้พิณมันจะเป็นเกย์อ่ะ ขยะแขยงว่ะ”
   
   “มึงว่าใครเป็นคนแอบถ่ายอะ มุมกล้องนี่มันจากในห้องที่เอากันชัดๆ ไอ้พิณมันตั้งใจปล่อยให้ตัวเองฉาวเองหรือเปล่าวะ”

   “ไม่ว่ะ กูว่าอีกคนนึงตั้งกล้องแอบถ่ายมากกว่า”

   
   หยุดพูดนะ...

   “กูว่าอีกคนในรูปต้องเป็นไอ้ปืนห้องสามแน่ๆ”

   “ไม่อะ กูว่าพี่แตมป์มอสี่”
   
   “เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นเพื่อนสนิทมันอย่าง...”


   “กูบอกให้หยุดพูดไง!!!!”

   ตึกๆๆๆๆๆๆๆ

   ก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ในอกซ้ายของผมเพิ่มจังหวะขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมกรีดร้องอย่างสุดเสียงพร้อมเด้งตัวออกจากเตียง เหงื่อที่ชุ่มบริเวณศีรษะและมือทั้งสองข้างของผมทำให้ผมตระหนักได้ว่าทั้งเหตุการณ์และคำพูดที่ผมได้เห็นได้ยินเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ภาพความฝัน

   ...อีกแล้วหรอ...ฝันแบบนี้อีกแล้ว

   ผมกระเถิบตัวไปชิดหัวเตียง ก่อนจะชันหัวเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วยกแขนไปกอดรัดไว้

   “ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร มันก็แค่ความฝัน”

   …ผมโคลงตัวไปมา พร้อมปลอบตัวเอง...

   “เป็นแค่ความฝัน เป็นแค่อดีต มันมาทำร้ายอะไรเราไม่ได้ทั้งนั้น”

   …ปลอบตัวเองอยู่คนเดียวในความมืด...

   “ไม่มีอะไรแล้วนะ พิณ”
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [INTRO] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 12-05-2017 14:23:58
CHAPTER ONE

-Now it’s back to the way we started. Strangers.-


   [ Walking down 29th and park
   I saw you in another's arms
   Only a month we've been apart
   You look happier… ]

   “ไอ้ภัทร”

   [ Saw you walk inside a bar
   He said something to make you laugh… ]

   “ภัทร!”

   [ I saw that both your smiles were twice as wide as ours
    Yeah you lo.. ]

   “ไอ้ห่าภัทร!!”

   ป้าป!

   เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นตามด้วยสัมผัสหนักๆที่ลงมากลางกบาลทำให้ตัวผมเซไปข้างหน้าเล็กน้อย ถ้าไม่ติดว่าผมจับแขนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทั้งสองข้างไว้ทันละก็ หัวผมก็คงฟาดไปกับโต๊ะกาแฟข้างหน้าไปแล้วเต็มๆ

   “ไอ้หอกเกล้า เรียกกูดีๆก็ได้เปล่าวะ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันด้วย” ผมว่า ก่อนจะหันไปหามันพลางถอดหูฟังที่เสียบคาหูเอาไว้อยู่ออก

   ‘ไอ้เกล้า’ เพื่อนสนิทตั้งแต่มอสี่ของผมถอนหายใจออก ก่อนจะเอ่ยปากตอบ

   “เรียกนานกว่านี้กูคงได้เป็นมะเร็งกล่องเสียงอะ แทบจะเอาโทรโข่งมาตะโกนใส่หูแล้วมึงก็ยังไม่ได้ยิน” ร่างสูงที่เพิ่งตบหัวผมไปเมื่อกี้เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ก่อนที่จะหยิบแก้วชามะนาวของผมขึ้นมาดื่มอย่างถือวิสาสะ

   “ใครอนุญาต” ผมว่าพร้อมตีมือไปมันไปทีนึง มันมองผมเคืองๆ แล้ววางแก้วลง

   “มาร้านกาแฟแต่สั่งชามะนาวแดก กูละเชื่อมึงจริงๆ”

   “เรื่องของกู”

   “อ้าวๆ ให้เกียรติผมนิดนึงมั้ยครับคุณภัทร วันนี้ผมเป็นตัวนำเงินนำทองมาให้คุณเลยนะ”

   “ตัวเงินตัวทองละสิไม่ว่า” ผมยักคิ้วใส่คนตรงหน้าแบบกวนๆ และถามคำถามขึ้นมาก่อนที่มันว่าอะไรผมกลับ “แล้วไอ้คนที่จะมาติวกับกูน่ะอยู่ไหน”

   “ไม่รู้ว่ะ เดี๋ยวกูไลน์ถามมันแป๊ป” ไอ้เกล้าว่าพร้อมควักมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักเรียนของมันแล้วพิมพ์ลงไป “แล้วทำไมวันนี้มึงไม่ไปเรียนวะ”

   “ขี้เกียจ โดด อยู่บ้าน อ่านหนังสือ”

   “สัตว์...” ไอ้เกล้าเงยหน้ามาด่าผมอย่างเสียไม่ได้ แล้วก้มลงไปมองหน้าจอมือถือมันอีกรอบ “นี่ไง มันมาแล้ว เดี๋ยวกูออกไปรับมันที่หน้าลิฟต์ก่อน มันหาร้านไม่เจอ”

   “อ้าวหรอ เออๆ” ผมพยักหน้ารับไปแกนๆ ก่อนที่ไอ้เกล้าจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากร้าน

   ผมถอนหายใจด้วยอารมณ์ไหนบอกไม่ถูก ก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าดินสอและหนังสือตะลุยโจทย์เลขขึ้นมาวางไว้ตรงหน้า อ่อ...คงพอจะเดาๆกันออกแล้วใช่มั้ยละครับว่าผมมาทำอะไรที่่นี่

   ใช่แล้ว...ผมรับจ้างเป็นติวเตอร์(มือใหม่)สอนคณิตศาสตร์

   แหน่...งงกันอยู่ใช่มั้ยละว่าทำไมผมถึงไม่เร่งอ่านหนังสือเพื่อการสอบเข้ามหาลัยที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนนี้เหมือนกับเด็กมอหกคนอื่นๆ มานั่งติวหาเงินเข้ากระเป๋าอยู่ได้

   นั่นก็เป็นเพราะว่าผมมีแพลนปีหน้าที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศครับ พวกคะแนนต่างๆ ที่ต้องใช้ยื่นผมก็ไปสอบมาหมดแล้วเรียบร้อย และคะแนนสอบที่ได้มันก็น่าพอใจพอๆกับเกรดที่โรงเรียนของผม จนพูดได้ว่าโปรไฟล์ของผม ยื่นไปที่ไหนเขาก็รับ

   ตอนนี้ก็เหลือแค่ยื่นข้อมูลให้มหาลัยทางนู้นเขาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแหละครับ แหะๆ

   ส่วนนักเรียนคนแรกของผมคนนี้ ผมก็ยังไม่รู้จักอะไรหรอก รู้แต่ว่าเป็นเพื่อนของไอ้เกล้าเพราะมันแนะนำมา หน้าเหนอก็ยังไม่เคยเห็น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันทั้งนั้นแม้แต่ชื่อ รู้แค่ว่าความรู้ทางด้านการคำนวณของมันห่วยเข้าขั้น และต้องการคนช่วยติวด่วน สบโอกาสกับที่ผมไปบ่นๆกับไอ้เกล้าว่าช่วงนี้ผมมีเวลาว่างเยอะ อยากลองรับเป็นติวเตอร์ดู ไอ้เกล้าก็เลยติดต่อให้

   “ไอ้ภัทร” เสียงเรียกชื่อผมจากไอ้เกล้าดังขึ้นทางด้านหลังอีกครั้ง

   ไปไวมาไวจริงแหะ เดินเร็วกันจริงๆทั้งมันทั้งเพื่อน

    ผมยืนขึ้นแล้วหันไปโดยไม่ลืมที่จะประดับรอยยิ้มเล็กๆไว้บนใบหน้าเผื่อว่ามันจะสร้างความประทับใจแรกที่ดีให้กับเพื่อนไอ้เกล้าได้ แต่ทว่า...

   รอยยิ้มของผมกลับถูกทำให้หายไปในพริบตา

   ด้วยปากนั่น...

   จมูกนั่น...

   ตานั่น...

   รูปหน้าแบบนั้น...

   ด้วยคนๆ นั้น

   ‘เขา’

   “พิณ”

   …

   “ภัทร นี่เพื่อนกูมาจากโรงเรียนเธียรวิทย์ ชื่อว่า...”

   “เต” ผมเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาออกไปก่อนที่ไอ้เกล้าจะพูดจบประโยค เพื่อนผมพูดอะไรสักอย่างหลังจากนั้น ซึ่งผมไม่ทันได้ฟัง และก็ไม่มีสติมากพอที่จะฟังด้วย

   เขาเปลี่ยนไปมาก...

   ทั้งสูงขึ้น มีกล้ามเนื้อมากขึ้น และดูดีขึ้น

   เขาเปลี่ยนไปมาก...แต่ผมก็ยังจำเขาได้ราวกับว่าเราเพิ่งพบกับเมื่อวาน

   จำได้แม่นเสียจนน่าเจ็บใจ

   “พิณ” เขาเอ่ยชื่อนั่นขึ้นมาอีกครั้ง ชื่อเก่าของผมที่ไม่มีใครเรียกมาหลายปีแล้ว

   ชื่อเก่า...ที่ผมเลิกใช้และฝังกลบมันทิ้งไปพร้อมกับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น

   เขาขยับตัวก้าวเข้า...ผมก้าวถอยหลังหนี

   “อย่า” ผมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เบาจนผมไม่แน่ใจว่าเขาได้ยิน

   แต่เขาหยุด...

   เขาหยุดนิ่งแล้วมองผมด้วยสายตาที่ผมดูไม่ออกว่าเขากำลังจะสื่ออะไร ผมไม่ใช่คนที่อ่านสายตาคนอื่นเก่งนัก ผมอ่านไม่ออก และในกรณีนี้

   ผมแทบไม่สนใจที่จะอ่านมัน

   “กูไม่สอนแล้วนะเกล้า” ไวเท่าความคิด ผมหันไปเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดลงกระเป๋า คว้ามือถือที่อยู่บนโต๊ะ แล้วหยิบข้าวของทั้งหมดก่อนจะเดินผ่านสองคนนั้นและเนรเทศตัวเองออกจากร้านกาแฟทันที โดยไม่ฟังคำทักท้วงจากเพื่อนตัวเองเลยแม้แต่น้อย

   ผมใช้สองขาพาตัวเองมาที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอื้อมมือที่สั่นจนควบคุมไม่อยู่กดเรียกลิฟท์ กดอยู่ซ้ำๆ อย่างนั้นเหมือนกับว่าการกระทำของผมจะทำให้ลิฟต์มาถึงเร็วขึ้น

   ...ไม่มีอะไรหรอก...เขาคงไม่วิ่งตามมา...

   ผมกดลิฟต์ย้ำๆ

   …คงไม่ตามมา...

   ผมกดปุ่มเรียกลิฟต์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลดมือลง

   …ไม่ตามมา...

   ติ๊ง!!

   ผมเดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปในลิฟต์ที่ว่างเปล่า

   ...ไม่ตามมาจริงๆ สินะ...

   “พิณ!!! เดี๋ยวก่อน!!!”

   ผมเงยหน้าขึ้น...

   …และประตูลิฟต์ก็ปิดลง

   ปิดลง...ก่อนที่ ‘เขา’ จะได้ก้าวเข้ามา

   เขา...เต เตชภณ วิไกรกาญน์



   
   KaoKavin: มึงเป็นเหี้ยไร(16.53 น.)
   KaoKavin: ภัทร เตมันขอไลน์มึงอะ (16.53 น.)
   KaoKavin: มึงรู้จักมัน?(16.53 น.)
   KaoKavin: ทำไมมันถึงเรียกมึงว่าพิณวะ (16.54 น.)

   KaoKavin: บอกหน่อยเถอะ กูอยากเสือก (17.47 น.)

   Missed call (1) from เกล้า

   PPEem: อยู่ไหน (18.18 น.)

   Missed call (3) from เฮียภีม

   KaoKavin: ไอ้เหี้ย เป็นอะไรป่ะเนี่ย (19.40 น.)


   หน้าจอมือถือที่มีการแจ้่งเตือนเกือบสิบครั้งส่องแสงไฟว้าบออกมาเมื่อข้อความล่าสุดส่งมาถึง ผมมองตัวอักษรบนจอสี่เหลี่ยมอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วโยนมันไปไว้ที่โซฟาอย่างไม่ใยดี ผมไม่ได้โกรธหรือรู้สึกไม่ดีอะไรกับไอ้เกล้า และผมไม่ได้อยากให้มันเป็นห่วง เพียงแค่ไม่มีอารมณ์จะตอบตอนนี้

   ผมเดินเข้าห้องนอนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดสภาพ สายตาของผมจ้องมองไปบนเพดานสีขาวที่ว่างเปล่า ไฟเฟยอะไรในห้องผมก็ยังไม่เปิด...ไม่มีอารมณ์

   รู้สึกเหนื่อยจนอยากจะหลับไปซะให้ได้ ทั้งๆที่วันนี้ยังไม่ทำอะไรนอกจากออกไปข้างนอกแค่เพียงชั่วโมงสองชั่วโมงเท่านั้น แต่ผมก็ไม่หลับ...

   …ได้แต่นอนโง่ๆ อยู่อย่างนั้น แล้วจมตัวเองลงไปสู่ห้วงความทรงจำที่ผมไม่เคยอยากนึกถึง

   ‘ก็อย่าให้ใครรู้สิ’

   เสียงแผ่วเบาที่กระซิบข้างหูทำให้ผมเด้งขึ้นมาจากเตียงนอนอย่างรวดเร็วก่อนจะกะพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับความมืดในห้อง ผมถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด เมื่อพบว่าตัวเองหลอนไปเองอีกแล้ว มันเป็นเสียงที่ตามหลอกหลอนผมมาตั้งแต่สามปีที่แล้ว

   ...เสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันร้ายกาจของเขา

   อ๊อด! อ๊อดดดดด!

   สัญญาณกริ่งดังขึ้นที่ประตูคอนโดดึงผมให้ออกจากภวังค์ความคิดจนผมสะดุ้ง แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังนั่งอยู่อย่างเฉยเมยที่ปลายเตียง ไม่ได้คิดจะลุกไปเปิดประตูอะไร เพราะผมยังไม่อยากเจอใครทั้งนั้นในตอนนี้

   อ๊อดดดดดดดดดดด!

   ถ้าคนมาเยือนคิดว่าผมไม่อยู่ เขาคงจะไปเองแหละมั้ง

   ปังๆๆๆ!

   “พิณ! พิณ!” ผมสะดุ้งตัวอีกรอบหลังจากได้ยินเสียงที่ดังมาจากหน้าประตูอีกฝั่งของกำแพง เสี้ยววินาทีนึงผมคิดว่าคนที่ผมเจอในร้านกาแฟวันนี้จะมาหาผมที่คอนโด แต่แล้วผมก็จำได้ว่าน้ำเสียงแบบนี้ไม่มีทางเป็นเขาคนนั้น และเขาเองก็ไม่ได้รู้ที่อยู่ผม

   ทันทีที่ผมตระหนักได้ว่าคนที่อยู่หน้าประตูคือใคร ผมก็รีบลุกไปเปิดไฟ ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้กลายเป็นปกติ แล้วเดินไปเปิดประตู

   “ทำไมมาเปิดประตูช้านัก” ร่างหนาที่ยืนอยู่หันมามองหลังจากที่ผมเปิดประตูออกไปแล้วเห็นภาพเขากำลังถือคีย์การ์ดจะสแกนเข้าห้องเพราะรอผมนานเกินไป “นึกว่าเป็นอะไร”

   “ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่ ทำไมเฮียไม่แตะบัตรเข้ามาเลยล่ะ กดออดทำไม” ผมถาม

   “บัตรอยู่ในกระเป๋า ขี้เกียจล้วง” คนตรงหน้าตอบพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “เมื่อกี้มึงทำอะไร ทำไมไม่รีบมาเปิดประตู”

   “ผม...ผมอาบน้ำอยู่”

   “หรอ...แล้วมึงจะอาบน้ำแต่งตัวออกไปไหน สองทุ่มกว่าแล้วทำไมยังใส่กางเกงยีนส์อยู่” คำถามของคู่สนทนาทำให้ผมต้องตบหน้าผากตัวเองในใจที่ดันไปโกหกกับคนจับเท็จเก่งอย่างเขา แถมสิ่งที่โกหกออกไปก็ดันไม่เนียนอีก เพราะผมยังอยู่ในชุดที่เพิ่งจะใส่ออกไปข้างนอกมา

   ‘เฮียภีม’ พี่ชายร่วมสายเลือดเพียงคนเดียวของผมมองผมอย่างจับผิดตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเดินเชียดตัวผมเข้ามาในห้องเมื่อเห็นว่าผมไม่มีคำตอบให้ เฮียปลดกระดุมคอบนเสื้อนักศึกษาของเขาออกสองสามเม็ดเพื่อคลายร้อน แล้วหันมาหาผมที่ยืนงงๆ อยู่ตรงธรณีประตู

   “อยู่ห้องตั้งนานแล้วทำไมไม่เปิดแอร์” เฮียภีมยังไม่เลิกจับผิด

   “เอ่อ...”

   “รู้ว่าตัวเองโกหกไม่เก่ง วันหลังก็อย่าโกหก” เฮียจิ๊ปากเบาๆ แล้วมองนิ่งมาที่ผม “ไปทำอะไรให้กินหน่อย”

   “หะ...” ผมชะงักไปนิดหน่อยเพราะปรับอารมณ์ตามคนตรงหน้าไม่ทัน “อ่อ...ได้ๆ เฮียจะกินอะไรอะ”

   “อะไรก็ได้ หิว”

   “ได้ รอแป๊ป” ผมกล่าวก่อนจะเดินหันหลังเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าเฮียภีมบ่งบอกว่าเขากำลังพาตัวเองไปนั่งอยู่แถวโซฟาหน้าทีวี

   ผมแอบโล่งใจนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าเฮียภีมไม่สงสัยมากเกี่ยวกับการโกหกในครั้งนี้ ผมจัดแจงเอาของสองสามอย่างออกมาจากตู้เย็น ว่าจะทำหมูทอดง่ายๆให้เฮียแกน่ะครับ เนื่องจากว่าตู้เย็นของผมในตอนนี้มีของอยู่ไม่กี่อย่าง คงจะทำเมนูที่เลิศเลอไปกว่านี้ไม่ได้มาก แถมเฮียภีมเองก็บอกอยู่ว่าหิว คงไม่อยากจะทนรออะไรนานๆ

   พี่ชายของผมนั่งดูทีวีอยู่เงียบๆ ขณะที่ผมกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัว เมื่อก่อนผมอยู่คอนโดนี้สองคนกับเฮียภีมครับ ส่วนพ่อแม่เเราทำงานเกี่ยวกับมูลนิธิเพื่อช้างไทยอยู่ทางภาคเหนือ พวกเราสองพี่น้องย้ายมาอยู่กรุงเทพกันเพราะเหตุผลบางประการเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นผมกำลังจะขึ้นมอสี่ ส่วนเฮียภีมที่โตกว่าผมอยู่สองปีก็ต้องย้ายลงมาที่นี่กลางคันทั้งๆที่อีกปีเดียวแกก็จะจบมอปลาย

   แต่ตอนนี้เฮียแกย้ายออกไปอยู่หอแล้วครับเพราะมหาลัยที่แกเรียนอยู่ไกลจากตัวคอนโดเกินไป(แบบคนละฟากของเมืองเลยทีเดียว) ส่วนผมก็ยังต้องอยู่คอนโดเพราะว่ามันใกล้โรงเรียน เฮียภีมจะแวะมาเยี่ยมเยียนผมบ้างตามจังหวะที่แกว่าง แต่เห็นช่วงนี้แกบอกว่ายุ่งๆ เพราะต้องอยู่ซ้อมดนตรีให้กับงานมหาลัย ผมเลยงงๆนิดหน่อยที่เฮียแกโผล่มาวันนี้

   “เฮีย เสร็จแล้ว” ผมเรียกพี่ชายตัวเองหลังจากที่ทำอาหารและจัดโต๊ะเสร็จ ร่างสูงหันไปกดรีโมทปิดทีวีก่อนจะเดินมานั่งเก้าอี้ตรงอีกฝั่งนึงของโต๊ะกินข้าว “ทำแค่นี้นะ ไม่มีของ”

   “อือ” เฮียตอบรับแล้วลงมือกินข้าวอย่างไม่รีบร้อน

   ...นี่หิวจริงหรือเปล่าวะ

   “เฮียมาหาผมทำไมละ งานดนตรีที่มอมันอีกสองวันไม่ใช่หรอ ไม่ซ้อมหรือไง” ผมชวนคุยในขณะที่ยังไม่ลงมือกินอะไร เอาจริงๆมันก็กินไม่ลงเท่าไหร่ เพราะถึงผมจะพยายามทำตัวปกติอย่างไร ความรู้สึกไม่ดีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นนี้ก็ยังคงติดอยู่ในใจของผม

   “ไลน์หาทำไมไม่ตอบ โทรไปทำไมไม่รับ”

   “ก็ผม...”

   “นี่...” เฮียภีมเอ็ดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าโกหก”

   เพราะเฮียแกบอกมาอย่างนั้น ผมก็เลยเงียบปาก

   “ไอ้เกล้าโทรมาหาเฮีย บอกว่ามึงทำตัวแปลกๆ เมื่อเย็นนี้” พี่ชายของผมถอนหายใจก่อนจะวางช้อนส้อมลงแล้วพูดขึ้น “หลังจากที่ได้เจอเพื่อนมัน”

   เฮียเว้นจังหวะพูด ผมเว้นจังหวะหายใจ

   “ที่ชื่อว่าเต”

   คำพูดของคนตรงหน้าทำให้ผมเผลอกำมือที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างไม่รู้ตัว ผมหลบตาเฮียภีมทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นออกมาจากปากเขา ใจของผมเต้นแรงขึ้นหนึ่งชั่วขณะเมื่อเฮียทำเหมือนจะเดาเรื่องออกแล้ว

   “ใช่ ไอ้เต เตชภณหรือเปล่า”

   ผมเงียบ ก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาหรือกลืนน้ำลาย

   “พิณ” เฮียภีมเรียกผมอีกรอบ

   “ใช่” ผมกลั้นใจตอบออกไป บรรยากาศในห้องยังคงเงียบสงัด ผมเงยหน้าแล้วสบตากับเฮียภีม ก่อนจะพูดขึ้นเพื่อยืนยันคำตอบอีกรอบ “ใช่เฮีย เต...เตชภณ”

   “มันคือคนที่จะมาจ้างมึงติว?” เฮียภีมเลิกคิ้วขึ้นถาม

   “ใช่”

   “บังเอิญไปนะ” ร่างสูงแค่นหัวเราะ “มันรู้หรือเปล่าว่ามึงเป็นคนที่จะไปสอนมัน”

   “ผมไม่รู้” บทสนทนาของเราสองคนเงียบลงอีกครั้งหลังจากที่ผมตอบออกไป เฮียภีมเอนตัวลงกับพนักเก้าอี้ เขายกแขนขึ้นกอดอกแล้วจ้องหน้าผม จนผมทำหน้าไม่ถูก

   “เอาตรงๆนะ ตอนนี้รู้สึกยังไง”

   “ก็ช็อคนิดหน่อย” ผมตอบ “แต่เดี๋ยวก็หายช็อค”

   “พิณ” เฮียเรียกชื่อผมก่อนจะถอนหายใจ “ถ้ามันจะหาย มันหายไปตั้งนานแล้ว”

   “เฮียไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หลังจากนี้ผมคงไม่ได้เจอมันอีก” ผมพูดตอบเฮีย และพยายามปลอบใจตัวเองไปในขณะเดียวกัน เฮียภีมเงียบไปอีกครั้ง ผมว่าแกคงกังวลและเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อย “มันไม่มีอะไรแล้วแหละเฮีย”

   “ให้กูกลับมาอยู่คอนโดเป็นเพื่อนมั้ย”

   “ไม่เป็นไร ผมอยู่ได้” ผมรีบปฏิเสธไปทันควัน เพราะการให้พี่ชายผมขับรถไปกลับที่มอกับคอนโดนี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าแกทางอ้อมเลยสักนิด

   “ถ้ามันแย่จนมึงรู้สึกอยากกลับไปหาหมออีก มึงต้องบอกกูนะ”

   “ฮะๆ” ผมหัวเราะแกนๆ “มันไม่ขนาดนั้นหรอก”

   “แล้วแต่” ร่างหนาพยักหน้ารับก่อนจะลงมือกินข้าว ผมก้มหน้าลงกินอาหารตรงหน้าบ้างเพื่อไม่ให้เฮียเห็นว่าผมรู้สึกแย่กว่าที่แสดงออกอยู่ เพราะไม่เช่นนั้นเฮียคงต้องมาเป็นห่วงผมอีกยกใหญ่แน่ๆ

   อาการของผมดีขึ้นแล้ว...ผมมั่นใจ

   ผมกินข้าวหมดก่อนเฮียภีมเพราะผมตักข้าวมาน้อยกว่าแกมาก ผมลุกขึ้นเพื่อเอาจานข้าวของตัวเองไปเก็บไว้ในซิงค์ ทิ้งจานเอาไว้ในกรณีที่เฮียมีอารมณ์อยากจะล้าง แต่ถ้าแกไม่ล้าง ผมก็ค่อยกลับมาล้างพรุ่งนี้ตอนเย็น

   “เฮีย ผมไปอาบน้ำนอนแล้วนะ” ผมพูดขึ้นในขณะที่เดินผ่านหลังเขา ร่างหนาพยักหน้ารับในขณะที่กำลังกินข้าวพร้อมเช็คโทรศัพท์ในมือตัวเองไปด้วย

   “เดี๋ยวก่อน” เสียงเรียกที่บอกอารมณ์ไม่ถูกของเฮียภีมหยุดการเคลื่อนไหวของผมเอาไว้ แต่เฮียแกก็พูดต่อก่อนที่ผมจะได้ตอบรับอะไร “ถ้าข้างในนั้นมันแย่มาก มึงแสดงออกมาบ้างก็ได้ ไม่ต้องมาทำตัวปกติให้กูสบายใจ นี่กูเฮียมึงนะ มึงบอกกูได้ทุกเรื่อง”

   “อา...” ผมก้มหน้า ปั้นยิ้ม ก่อนหันไปหาพี่ชายตัวเอง “รู้แล้วน่ะเฮีย”

   

   คืนนั้น เวลา 2.14 น.

   ติ้ง!

   TAE.CP added you by LINE ID

   ติ้ง!

   TAE.CP: กูอยากเจอมึง (2.16 น.)




..............................................................................



คนเขียนขอเม้าท์: สวัสดีผู้อ่านที่(อาจจะหลง)เข้ามาทั้งหลายนะคะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่บ้าน #เตคนเล่นพิณ ของเราค่ะ เห็นทั้งบทนำทั้งบทแรกมาแนวดราม่าแบบนี้ คนเขียนอยากจะบอกว่านิยายเรื่องนี้คนเขียนตั้งใจให้เป็นนิยายแนวเด็กมัธยมจีบกันใสนะคะ(หรอ) มีอะไรก็ฝากติชมด้วยแล้วกันเนอะ เพราะคนเขียนไม่ได้จับงานทางด้านนี้มานานมากแล้วจริงๆ รูปแบบกระทู้นี่ก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าที่ทำมาถูกแล้วหรือเปล่า ฝากสอน ฝากติ ฝากชมกันด้วยนะคะ
ปล.ที่อยากรู้อีกเรื่องนึงคือ chapter one ของเรามันสั้นไปมั้ยอะคะ กะไม่ถูกจริงๆ


หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 12-05-2017 15:35:41
น่าสนใจค่ะ รอติดตาม
ไม่รู้ว่าเตจะผิดจริงหรือเปล่า
แต่ผลจากเหตุการณ์นั้นดูเหมือนจะทำให้น้องพิณอาการแย่ไม่น้อยเลยนะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 12-05-2017 15:41:47
หวาาาา อยากอ่านอีกนะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 12-05-2017 16:16:57
อยากอ่านต่อเลยแล้วแบบนี้จะได้ไปเรียนต่อเมืองนอกมั้ยเนี่ย เจอเจ้ากรรมนายเวรแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: kyungploy ที่ 12-05-2017 16:36:58
เจ้ากรรมนายเวรเลยแฮะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 12-05-2017 16:43:10
ชอบชื่อเรื่อง 55555  :hao6:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 12-05-2017 16:45:11
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 12-05-2017 19:36:11
เจ้ากรรมนายเวรติดตามมาแบบนี้ จะได้ไปเรียนนอกไหมอ่ะ  :mew5:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 12-05-2017 21:01:47
เปิดเรื่องมาได้ใสๆ มาก 555 เราชอบ
เขียนดี ชวนติดตาม ไม่รู้ว่าเตเอาไอดีไลน์มาจากเกล้าด้วยวิธีไหน แต่ถ้าเกล้าให้เองโดยไม่รอพิณอนุญาต เป็นเรา เราเท ตัดเพื่อนอ่ะ อาจแรงไป แต่เพื่อนสนิทที่หวังดีแบบไม่เข้าใจเราจริงๆ ไม่จำเป็นต้องมี เราเซนซิทีฟเรื่องนี้บอกเลย เพิ่งจะตอนแรกเอ๊งงง นี่ก็ออกตัวแรงละ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 12-05-2017 21:19:17
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-05-2017 21:42:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-05-2017 21:44:26
ตามต่อ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: kkmm ที่ 12-05-2017 23:48:32
มาต่ออีกนะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 13-05-2017 12:18:39

CHAPTER TWO

- And one day, your name didn’t make me smile anymore. -


   “พิณ...คืนนี้กูไปค้างที่ห้องมึงนะ”
   “มึงจะได้ช่วยติวสังคมให้กูไง”


   “ไอ้พิณ ตื่นไปโรงเรียนได้แล้ว”

   “ที่ใจกูเต้นแรงขนาดนี้ มันยังปกติอยู่หรือเปล่าวะ”

   “พิณ” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นพร้อมแรงกระชากสิ่งที่ห่อหุ้มกายทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอย่างงงงวย ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ก่อนจะหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาให้มันคุ้นชินกับแดดในยามเช้า ถ้าให้เดาตอนนี้สีหน้าของผมคงจะบอกบุญไม่รับมากแน่ๆ เนื่องจากถูกปลุกแบบกระทันหันไปหน่อย

   “ไม่เห็นต้องกระชากผ้าห่มขนาดนั้นเลยเฮีย” ผมบ่นง่วงพลางปรือตามองเฮียภีมที่บัดนี้ยืนจับผ้าห่มอยู่ ร่างหนาข้างเตียงใช้อีกมือที่ไม่ได้จับผ้าถือแก้วกาแฟร้อน ทำให้ผมนึกสงสัยว่าไอ้ที่กระชากผ้าห่มผมออกแรงๆเนี่ย มันไม่ไปกระทบกระเทือนอะไรที่จะทำให้กาแฟกระฉอกบ้างเลยหรือ

   “กูปลุกหลายรอบแล้วมึงไม่ยอมลุก” เฮียถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มัวแต่นอนฝันอะไรอยู่ล่ะ”

   ฝันหรอ...

   “เปล่า” ผมตอบปฏิเสธ ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว “เฮียเห็นโทรศัพท์ผมมั้ย”

   “เมื่อคืนเห็นอยู่ที่โซฟา ป่านนี้แบตหมดไปแล้วมั้ง” ผมพยักหน้ารับคำตอบ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงอย่างคนไม่เต็มตื่น แล้วเดินไปเอามือถือที่โซฟาถามคำบอกของเฮีย พอเอามากดเช็คดูแล้วก็เห็นว่ามันแบตหมดจริงอย่างที่เฮียแกว่า ผมถอนหายใจออกอย่างหัวเสีย หลังจากนั้นก็เดินเอามือถือไปเสียบชาร์ต “มึงไปอาบน้ำแต่งตัวเลย วันนี้มึงต้องไปโรงเรียน”

   “ไปทำไม” ผมหันไปถามคู่สนทนาเพราะสงสัย ร้อยวันพันปีเฮียแกไม่เคยจะเคี่ยวเข็ญให้ผมไปโรงเรียน เพราะแกรู้ว่าอย่างผมเนี่ยมันคนฉลาดเป็นธรรมชาติ ต่อให้ไม่เข้าเรียนก็สี่หมดทุกตัวอยู่ดี (ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ อันนี้เฮียภีมเคยพูดเอาไว้เอง)

   “ระวังหมดสิทธิ์สอบ” เฮียปาผ้าขนหนูใส่หน้าผม “วันนี้กูไม่อยากให้มึงอยู่คอนโดคนเดียว เดี๋ยวคิดมากอีก”

   “แต่ว่า...”

   “รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวกูไปส่ง”

   “เออๆ ก็ได้” ผมเถียงเฮียแกไม่เคยชนะหรอกครับ ส่วนมากเพราะผมไม่ค่อยกล้าหือกับเฮียเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น มันก็เป็นคนอยู่ดูแลผมมาตลอด ขาดบ้างเกินบ้างแต่ก็ไม่เคยไปไหน ผมเอาผ้าขนหนูพาดบ่า ก่อนจะเดินไปเก็บเตียงลวกๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา




   TAE.CP: กูอยากเจอมึง (2.16 น.)

   “วันนี้กูมีซ้อมใหญ่ กลับไม่ได้ มึงอยู่ได้หรือเปล่า”

   …อยากเจองั้นหรอ

   “ไอ้พิณ”

   “หะ...” ผมละสายตาจากข้อความตรงหน้าไปหาคนที่ขับรถอยู่ “เมื่อกี้เฮียว่าไงนะ”

   “กูบอกว่าคืนนี้กูไม่กลับ มึงอยู่คนเดียวได้มั้ย” เฮียถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าปกตินิดหน่อยพลางหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยโรงเรียนผม “เดี๋ยวกูโทรขอพ่อแม่ไอ้เกล้า ให้มันมานอนเป็นเพื่อนมึงดีกว่า”

   “เฮีย ผมโอเค ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมพูดออกไปทั้งๆที่ยังกำโทรศัพท์ในมือแน่น ไม่กล้ามองลงไปที่หน้าจออีกครั้งเลยด้วย เพราะข้อความของคนๆนั้นทำให้หัวใจของผมเต้นผิดจังหวะอย่างควบคุมไม่อยู่จนผมไม่กล้าอ่านซ้ำ “ผมจะไม่คิดมาก”

   เฮียภีมเหลือบตามามองแต่ไม่ได้พูดอะไร ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มกับคู่สนทนาแล้วพูดขึ้น “พิณคนเก่ามันตายไปตั้งแต่สามปีที่แล้วแล้วเฮีย”

   “เออ...กูเชื่อใจมึงนะ” ร่าหนาเอ่ยขึ้นเมื่อรถจอดเทียบฟุตบาท ผมหันไปสวัสดีพี่ชายตนเอง ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินเข้าสู่รั้ว ‘ญาดาพิวัฒน์’ โรงเรียนมัธยมชั้นแนวหน้าของเมืองไทยที่พ่อแม่จัดแจงเอาผมมาฝากฝังเอาไว้ตั้งแต่ขึ้นมอสี่

   ผมไม่ได้สอบที่นี่ไม่ติดหรอกครับ แต่ไม่ได้สอบเลยต่างหาก เพราะว่าตอนช่วงที่โรงเรียนนี้เปิดสอบผมยังไม่ได้มีความคิดที่จะย้ายเข้ามาในกรุงเทพเลย และแม้ว่าครูบางคนจะดูถูกผมในช่วงแรกที่ผมเข้ามา เพราะความเป็นเด็กเส้น แต่ผมก็ได้พิสูจน์ความสามารถให้พวกเขาเห็นด้วยการกวาดสี่เรียบตั้งแต่เทอมแรกทั้งๆที่ผมเกเร ไม่ค่อยได้เข้าเรียน ทางฝ่ายวิชาการเขาก็อยากให้ผมไปสอบแข่งขันนอกสถานที่อะไรแบบนี้นะ แต่ผมปฏิเสธไปครับ เพราะผมไม่อยากได้รางวัลอะไร ผมอยากให้เด็กคนอื่นๆที่อยากไปแข่งจริงๆได้ไปมากกว่า

   บรรยายกาศยามเช้าในโรงเรียนดึงความสนใจของผมออกจากข้อความที่ผมเพิ่งเห็นไปได้ช่วงหนึ่งแต่ก็ไม่นานนัก ผมหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจากกระเป๋ากางเกง จ้องหน้าจอที่มืดสนิทอยู่อย่างนั้น ลังเลว่าจะเปิดอ่านข้อความย้ำอีกรอบดีมั้ย แต่ในระหว่างที่ผมกำลังตัดสินใจอยู่นั้นเอง...

   ติ้ง!

   TAE.CP: อ่านแล้วก็ตอบดิ (7.48 น.)

   หน้าด้าน...

   ทำกับกูไว้ขนาดนั้นแล้วยังมาเรียกร้องความสนใจอะไรอยู่อีก

   แม้จะคิดเอาไว้แล้วว่าผมคงไม่มีทางได้กลับไปติดต่อหรือพบเจออะไรกับคนๆนั้นอีก

   แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกด้านซ้ายของผมมันเต้นแรงขึ้นมาหลังจากเห็นข้อความที่เขาส่งมาหา

   อย่านะ...พิณ

   เขาใจร้ายแค่ไหน มึงเองนั่นแหละที่รู้ดีที่สุด

   ป้าบ!

   “ไอ้ภัทร! เมื่อวานกูทั้งโทรทั้งไลน์หา ไม่ยอมตอบอะไรกูสักอย่าง กูนึกว่ามึงตายไปแล้วนะเนี่ย!” การปรากฎตัวของไอ้เกล้ามักมาพร้อมกับแรงหนักๆที่กบาลผมครับ ส่วนครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันไปมองเจ้าตัวแบบไม่สบอารมณ์

   “มึงก็โทรไปฟ้องเฮียกูแล้วนี่” พูดจบ ผมก็เร่งฝีเท้าเดินหนี

   “เอ้า! ไอ้ห่านี่ กูเป็นห่วง”

   “เป็นห่วงหรืออยากเสือก” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นคาดโทษมัน ก่อนจะนึกถึงเรื่องบางอย่างออก “มึงใช่มั้ยที่เอาไลน์กูไปให้มัน”

   “ให้ใคร” ไอ้เกล้าทำหน้างุนงงไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง หลังจากนั้นก็ตบมือดังลั่นเมื่อรู้ว่าผมพูดถึงเรื่องอะไร “ไอ้เตอะนะ?”

   “ใช่” ผมตอบในขณะที่ก้าวขาขึ้นบันได “ใครอนุญาต”

   “อ้าว ก็มันตื้ออ่ะ อีกอย่าง...กูก็บอกมึงไปในไลน์แล้วนี่”

   “แต่กูยังไม่ได้อนุญาต” คนที่เดินตามหลังผมมาส่งเสียงอึกอักเถียงไม่ออก ก่อนจะเงียบปากไป ที่จริงแล้วผมไม่ได้อยากจะหงุดหงิดใส่มันหรอกนะ และผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมต้องไปพาลลงไอ้เกล้ามันด้วย ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้รู้เรื่องอดีตที่ผ่านมาของผม

   …ผมไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย

   “ช่างเหอะ” ผมพูดออกไปอย่างปลงๆ ก่อนจะชะงักการก้าวขาแล้วหันไปมองไอ้เกล้า แล้วเอ่ยถึงคำถามบางอย่างที่ค้างคาใจผมอยู่ “มึงไปรู้จักมันได้ยังไง”

   “ไอ้เต?” มันถามผมย้ำราวกับว่ากำลังกวนประสาท แต่ถึงกระนั้นไอ้เกล้าก็ไม่ได้ใช้เวลานานที่จะตระหนักได้ว่ามันควรเลิกกวนตีน แล้วตอบคำถามของผมอย่างจริงๆจังๆเสียที “เพื่อนของเพื่อนที่คอร์ดแบด หลังๆก็มาตีแข่งกันบ้างอะ ทำไมหรอ”

   “เล่นด้วยมานานหรือยัง” ผมถามขึ้นพร้อมหันหน้ากลับมาก้าวขึ้นบันได้ต่อ

   “ไม่นะ เพิ่งรู้จักได้สองสามอาทิตย์เอง” ไอ้เกล้าตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆขึ้น “มึงมีปัญหากับมันมาก่อนใช่มั้ย ถึงไม่ยอมสอนมันอะ”

   มีปัญหาหรอ...

   หึ...มีมากกว่าที่มึงจะจินตนาการออกเลยแหละ

   “อ้าว มาดึงเงียบใส่กูอีก” เพื่อนผมเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบ

   “แล้วมันรู้มาก่อนมั้ยว่ากูเป็นคนที่จะไปสอนมัน” ผมหลีกเลี่ยงการตอบโดยการถาม คนเดินตามทำเสียงฟึดฟัดนิดหน่อย ก่อนจะตอบออกมาอย่างเสียมิได้

   “ก็รู้แค่ว่ามึงชื่อภัทรแหละ” คู่สนทนาตอบพลางเร่งการเคลื่อนไหวเพื่อมาเดินอยู่ในระนาบเดียวกับผม “มึงนี่ยังไง ทำท่าทางเหมือนจะไม่ชอบมัน แต่ก็ถามเรื่องของมันไม่หยุดปากเลยนะ”

   ประโยคที่ถูกเอ่ยขึ้นมาทำให้ผมเงียบปากไปอย่างอัตโนมัติ ผมถามคำถามเดียวกันกับตัวเองในใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่ ผมก็ไม่ได้คำตอบ แต่อย่างน้อยผมก็ได้รู้มาว่าเตไม่ได้ตั้งใจอะไรที่จะมาเจอผม เพราะมันคงไม่รู้ว่าผมเปลี่ยนทั้งชื่อจริงชื่อเล่นและนามสกุลไปแล้ว แต่ถึงจะรู้ มันก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่านามสมมติเหล่านั้นถูกเปลี่ยนไปเป็นอะไรจนกระทั่งเมื่อวาน

   เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น

   …และคงจะไม่เกิดซ้ำรอยอีก

   “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”




   วันนี้ทั้งวันผมใช้เวลาอยู่แต่ในห้องเรียนครับ เพื่อนในห้องรวมถึงไอ้เกล้ามีท่าทีแปลกใจกันนิดหน่อย ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้ออกไปเข้าห้องน้ำหรือลงไปทานอาหารนะ แต่ผมพูดถึงว่าผมไม่ได้โดดเรียนไปไหนเท่านั้นเอง เพราะโดยปกติแล้วผมจะชิ่งไปอยู่ห้องอังกฤษซึ่งช่วงนี้ถูกน้องมอห้าจับจองเพื่อซ้อมละครเวทีของโรงเรียนกันอยู่ครับ โดยมีข้ออ้างว่าผมต้องไปช่วยผู้กำกับทางนั้น เนื่องจากผมเป็นคนเขียนบท อาจารย์จะได้ไม่เช็คขาด

   ผมก็ยังงงๆตัวเองอยู่ ว่าทำไมวันนี้ตัวเองถึงอยู่ห้องเรียนได้ทั้งวัน

   “ภัทร วันนี้มึงจะไปดูหนังกับพวกกูป่ะ”

   ‘มะนาว’ เพื่อนที่นั่งด้านหน้าหันมาถามทันทีที่สัญญาณบอกเลิกเรียนดังขึ้น จริงๆแล้วไอ้มะนาวเนี่ยเป็นผู้ชายทั้งแท่งนะครับ แต่สาเหตุที่ชื่อมันออกผู้หญิงจ๋าแบบนี้ก็เพราะว่าพ่อแม่ยกให้พี่สาวมันเป็นคนตั้งให้ เวรกรรมก็เลยมาตกอยู่ที่มันที่ต้องใช้ชื่อนี้ไปทั้งชีวิต

   “ไม่ว่ะ ว่าจะกลับบ้านเลย การบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้กูก็ยังไม่ได้ทำ” ผมพูดพลางกวาดห้องที่อยู่บนโต๊ะทั้งหมดลงกระเป๋า แต่ก็ไม่วายหันไปมองตาเขียวใส่ไอ้เกล้า “ถ้าจะโทษใครก็ต้องเป็นไอ้ห่านี่แหละ จารย์สั่งมาเป็นอาทิตย์แล้วเพิ่งมาบอกกู”

   “อ้าว...กูก็มีลืมบ้างอะไรบ้างปะวะ มึงควรโทษตัวเองนะไอ้ภัทรที่ไม่ยอมเข้าเรียนเอง เลยไม่รู้ว่าจารย์เขาสั่งอะไร” ไอ้เกล้าหันมาโวยใส่ผม ผมหยุดต่อปากต่อคำกับมันในเมื่อสิ่งที่เพื่อนพูดเป็นความจริง เถียงไปก็เสียเวลา

   ไอ้เกล้าเลิกถามผมเรื่องของเตแล้วครับ เพราะผมบอกจะเลิกให้บัตรประชาชนปลอมของเฮียภีมที่มันมายืมผมบ่อยๆเพื่อไปเข้าผับ หากมันยังเอ่ยปากถามอะไรเรื่องเตอีก มันเลยยอมหุบปากไป เพราะปกติแล้วไอ้เกล้าเป็นคนช่างซักครับ พูดมากพอๆกับผมนี่แหละ ต่างกันตรงที่มันจะพูดเรื่องของคนอื่นเยอะหน่อย

   ผมสามคนเดินออกมาจากโรงเรียน ไอ้เกล้ากับไอ้มะนาวแยกออกจากผมทันทีเพราะพวกมันจะไปดูหนังกัน พอดีว่าโรงเรียนของผมมันอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้ามาก นั่งวินมอไซค์ไปอึดใจเดียวก็ถึง ส่วนผมก็มายืนรอที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถประจำทางสายที่ผมต้องนั่งก่อนจะลงเพื่อต่อรถไฟฟ้า

    …

   ความรู้สึกราวกับถูกใครบางคนกำลังจ้องมองทำให้ผมต้องเหลียวไปกวาดตาดูกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังแต่ก็พบว่ามันไม่มีอะไร ผมถอนหายใจออกมาหนักๆ เมื่อตระหนักได้ว่าตนคงคิดมากไปเอง

   รอไม่นานนักรถประจำทางสายที่ผมรอก็มาจนเทียบฟุตบาท ด้วยความที่ผมยืนอยู่หน้าป้าย ผมจึงถูกดันให้เข้าไปในรถเมล์ก่อน โชคดีที่จำนวนคนไม่เยอะมาก ผมก็เลยไม่ถึงขั้นที่ต้องยืนเบียดกับใคร

   ติ้ง!

   เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ผมเอี้ยวตัวไปหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาอย่างทุลักทุเลเพราะกระเป๋าก็ต้องถือ เสารถก็ต้องจับ โทรศัพท์ก็ต้องดู

   เป็นเรื่องจำเป็นครับ...เผื่อว่าเป็นเฮียภีมไลน์มาเช็คแล้วผมไม่ตอบ เฮียแกจะเกิดอาการแพนิคเอาได้

   TAE.CP: ถ้าไม่ตอบกูจะไปหานะ (15.45 น.)

   …

   …เต
   
   “โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย” ผมพรึมพรำกับตัวเองเบาๆหลังจากที่อ่านข้อความจบ ก่อนจะคิดไปเองว่ามันไม่มีทางหาผมเจอหรอก ที่อยู่อะไรก็ไม่มี ชื่อเสียงเรียงนามอะไรผมตอนนี้มันก็ไม่รู้ ผมเรียนที่หนะ...

   ...เดี๋ยวนะ

   ไม่ใช่มันรู้ว่าผมอยู่โรงเรียนไหนแล้วหรอกหรือ!

   นัยน์ตาผมเบิกกว้างทันทีเมื่อนึกได้ถึงข้อสำคัญข้อนี้ คิดแล้วอยากจะเอาหัวตัวเองโขกเสารถเมล์สักสองสามทีโทษฐานที่เผลอลืมอะไรสำคัญๆแบบนี้ไปเสียได้ เตมันรู้จักกับไอ้เกล้าได้สองสามอาทิตย์แล้ว คงไม่แปลกหรอกหากพวกมันจะถามไถ่กันว่าเรียนที่ไหนอะไรยังไง

   ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดจนคนข้างๆผมสะดุ้งเบา

   เอาเถอะ...อย่างไรเสียผมก็ขึ้นรถเมล์มาแล้ว มันคงตามผมไม่เจอหรอก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่วันนี้

   ทั้งนี้...ผมไม่ก็คิดหรอกว่ามันจะมีความพยายามในการตามหาผมอย่างที่มันส่งข้อความมาบอก โรงเรียนเธียรวิทย์อยู่ตั้งไกล ถึงจะเป็นโรงเรียนดังมีแต่ลูกคุณหนูอย่างไรแต่ก็อยู่เสียเกือบนอกเมือง ไอ้เตคงไม่มีอารมณ์นั่งรถมาไกลๆเพื่อพบคนที่ไม่เจอกันมาตั้งหลายปีอย่างผมเป็นแน่

   ผมก้าวลงจากรถประจำทางเมื่อมาถึงที่หมาย ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อแตะบัตรไปขึ้นรถไฟฟ้า ผมถือโทรศัพท์อยู่ในมือหลังจากที่ได้อ่านข้อความนั้นอยู่ตลอดเวลาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมยังไม่เก็บมันใส่กระเป๋า แค่ยังไม่อยากเก็บ

   รอไม่นานครับ ขบวนรถไฟฟ้าก็จอดเทียบสถานี ตอนนี้คนยังไม่เยอะมากเพราะพนักงานออฟฟิคส่วนใหญ่ยังไม่เลิกงาน จะมีมากก็พวกนักเรียนนักศึกษา ผมก้าวไปในรถไฟฟ้า ก่อนจะเดินเข้าไปจับจองที่ยืนบริเวณประตูอีกฝั่ง

   อากาศเย็นในตัวขบวนทำให้ร่างกายผมเย็นขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงแค่ร่างกาย หากพูดถึงภายในจิตใจแล้วมันอุ่นๆร้อนๆเหมือนมีใครเอาไฟอ่อนมาแนบอยู่ ผมถอนหายใจก่อนจะเปิดดูข้อความที่เตส่งมาอีกครั้ง

   …ผมจะทำยังไงดี

   “ตอบเถอะพิณ คนส่งเขารออยู่นะ”

   !!!

   สมองของผมว่างเปล่าไปทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าเจ้าของประโยคเมื่อครู่เป็นใคร ลมหายใจของใครอีกคนที่เป่ารดบนหัวทำให้ผมรู้ได้ว่าเสียงพูดนั้นมาจากเขาจริงๆ และผมไม่ได้หลอนไปเองอย่างที่ผ่านมา

   …ผมไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยซ้ำ

   “พิณ” ชื่อเรียกพร้อมน้ำเสียงอันคุ้นเคยดังข้างหูอีกครา แต่ผมก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม อยู่อย่างนั้นเป็นนาทีๆ “จะไม่เงยหน้ามาคุยกันหน่อยหรอ”

   บ้าจริง...ผมคิดอะไรไม่ออก

   คิดไม่ออกเลยสักอย่าง

   !!!

   ผมสะดุ้งตัวโหย่งอีกครั้งเมื่อคนที่พูดอยู่ด้านข้าง ลดหน้าลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหน้าผมแล้วช้อนสายตาขึ้นมอง “มึงไปอยู่ที่ไหนมา”

   แม้จะมีรอยยิ้มแต่งแต้มที่มุมปาก แต่แววตาอันสั่นไหวและน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยของเขา บ่งบอกถึงความหมายบางอย่างที่ถูกแฝงไว้ในประโยคนั่น ประโยคคำถามที่ว่า ‘ผมไปไหนมา’

   ความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านมานั้นทำให้ผมปวดใจ

    การได้เห็นหน้าเตอีกครั้งในระยะที่ใกล้ขนาดนี้มันไม่ดีต่อใจผมเลยสักนิด ผมเม้มปากแน่นก่อนจะเสตามองไปทางอื่น ผมทำอะไรไม่ถูก...การได้เจอคนที่เคยทำร้ายผมอย่างแสนสาหัส แต่ตอนนี้เขากลับมาเริ่มบทสนทนากับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมควรจะต้องทำตัวยังไงหรอ

   ยิ่งคนๆนั้นเป็นคนที่ผม....

   [ สถานีต่อไป สถานีเอกมัย, โดยประตูรถจะเปิดทางด้านขวา Next station Ekkamai, doors will opened on the right hand side of the train. ]

   “ขอโทษนะ” และในที่สุดผมก็หาเสียงตัวเองเจอ

   ผมเงียบไปเสี้ยววินาทีนึง ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ขอทางด้วย” เมื่อพูดจบ ผมก็เดินอ้อมผ่านเตไปยังประตูรถไฟฟ้าที่เปิดออกทันที

   ...เขาไม่ได้ตามออกมา...

   เหมือนเมื่อวานที่เขาไม่ได้ตามผมออกมาจากร้านกาแฟเร็วพอ...

   …เหมือนในวันนั้นที่เขาไม่ได้มาตามผมที่สนามบิน

   …เหมือนกันเลย...



   
   ผมตรงไปกดลิฟต์ขึ้นชั้นตัวเองทันทีที่ถึงคอนโด ทั้งที่จากเดิมผมคิดจะไปซื้อของมาในซูเปอร์เติมใส่ตู้เย็นแท้ๆ แต่ความรู้สึกของผมตอนนี้มันจุกแน่นไปหมดจนบรรยายออกมาไม่ถูก รู้เพียงอย่างเดียวว่าหัวใจของผมยังไม่หยุดเต้นแรงหลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับเตบนรถไฟฟ้าเมื่อครู่ และนั่นทำให้ผมกลัว

   อย่านะ...อย่ากลับไปหวั่นไหวกับมันอีก

   อย่ากลับไปเกี่ยวข้องกับคนอย่างมันอีก

   “อ้าว! น้องภัทร!” เสียงใสของใครบางคนดังขึ้นเรียกความสนใจผมให้ออกมาจากโลกของตัวเองทันทีที่ผมเดินออกมาจากลิฟต์ ผมหันไปตามต้นตอเสียง หญิงสาวร่างท้วมวัยยี่สิบกว่าปียิ้มตาหยีมาทางผม ส่วนข้างๆตัวเธอนั้นก็มีผู้ชายวัยไล่เลี่ยกันยืนก้มๆเงยๆหลังลังกระดาษอยู่ ดูท่าทางจะยุ่งไม่เบา

   “อ้าว...พี่ครีม” ผมตอบรับคำทักทายของเพื่อนห้องข้างห้อง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับไม่ให้สีหน้าดูแย่จนเกินไป “มาย้ายของออกหรอครับ”

   “ใช่จ้ะ นี่ก็ล็อตสุดท้ายแล้ว” คนที่เพิ่งทักทายผมพยักหน้า “จะไปเคาะห้องบอกภัทรอยู่พอดีเลยว่าจะไปแล้ว เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนหรอ”

   “อ่า...ครับ” ผมยิ้มรับ อันที่จริง ผมกับพี่ครีมก็สนิทกันนิดหน่อยแต่ไม่มาก มีคุยกันบ้างตามประสาเพื่อนข้างห้องที่อยู่ใกล้กันมาหลายปี กับข้าวกับปลาส่วนใหญ่ที่ผมทำเป็นพี่ครีมเนี่ยแหละครับเป็นคนสอน เห็นแกบอกว่ามีน้องชายวัยใกล้ๆกับผมอยู่ทางบ้านน่ะครับ เลยอดทำตามสัญชาตญาณคนเป็นพี่ไม่ได้ “มีคนติดต่อมาซื้อห้องแล้วหรอพี่”

   “มีแล้วจ้ะ สองสามราย แต่ส่วนใหญ่กดราคาพี่กันทั้งนั้นเลย ห้องนี่ซื้อมาเจ็ดหลัก พวกนั้นต่อให้ลดเป็นหกหลัก ถ้าขายแล้วขาดทุนเยอะพี่ก็คงไม่ขาย พี่ก็ไม่ได้รีบใช้เงินอะไร เออ...เกือบลืมไป” หญิงสาวตรงหน้าชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ พี่ครีมหมุนตัวเข้าห้องไปก่อนจะหยิบซองสีชมพูอ่อนจากบนลังกระดาษที่วางอยู่ไม่ไกลมายื่นให้ผม “ว่าจะให้ตั้งนานแล้ว นี่การ์ดเชิญร่วมงานแต่งพี่ อย่าลืมไปให้ได้นะ”

   นั่นแหละครับ...สาเหตุที่พี่ครีมย้ายออก

   “ได้ครับ” ผมยิ้มรับ “เดี๋ยวผมเข้าห้องก่อนนะพี่ ยังไงก็เจอกันวันแต่งพี่นะครับ”

   “จ้ะๆ แล้วเจอกัน”

   รอยยิ้มผมหายไปทันทีที่ผมหมุนตัวกลับมา ผมแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง ทีแรกตั้งใจว่าจะมุ่งไปยังเตียงนอน แต่ก็เปลี่ยนใจกะทันหันและเดินไปที่มุมโต๊ะเขียนหนังสือ ผมเม้มปากข่มทั้งความคิดและความรู้สึกเอาไว้ข้างในใจพร้อมหยิบชีทการบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้ออกมาวางบนโต๊ะ

   ถ้าไปนอนอยู่ที่เตียงก็คงไม่วายคิดเรื่องเดิมๆอีกอยู่ดี

   คิดได้เช่นนั้นแล้วผมก็จรดปากกาลงเพื่อทำการบ้าน...

   ผมพยายามไม่คิด ไม่นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างที่เคยปากดีไว้กับเฮียภีม

   แต่หากมันจะมีอะไรยากไปกว่าการบ้านฟิสิกส์ตรงหน้าแล้วละก็...

   …มันก็คงจะเป็นการทำตามสิ่งที่ผมเคยบอกกับเฮียแก

   เพราะตลอดการทำการบ้านฟิสิกส์ทั้งสามชั่วโมงของผมในครั้งนั้น

   …ผมหยุดคิดเรื่องเตไม่ได้เลย...




   23.20 น.

   พรึ่บ! พรึ่บ!

   ผมนอนไม่หลับ ทำยังไงผมก็ข่มตานอนไม่ลง ผมนอนบนเตียงมาเป็นครึ่งชั่วโมง พลิกตัวไปมาเป็นสิบๆรอบแล้วก็ยังไม่ง่วง เพราะสมองผมมันเอาแต่คิดวกวนอยู่กับเรื่องที่เจอเตบนรถไฟฟ้าวันนี้

   ให้ตายเถอะ...

   ติ้ง!

   เสียงมือถือดังแจ้งเตือนข้อความเข้าทำให้ผมต้องลืมตาหันไปมองอุปกรณ์สื่อสารเจ้าปัญหาที่ดันมาดังไม่รู้จักเวล่ำเวลา ผมคลานไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะปิดเสียงมันไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวด้วยความเซง แต่ทว่า...

    TAE.CP: ไม่ตอบ แล้วทำไมไม่บล็อคไปล่ะ (23.21 น.)

   …

   ระ...โรคจิตจริงๆเลย!

   ผมคิดอย่างโมโหก่อนจะใช้นิ้วกดปดล็อกโทรศัพท์เพื่อพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไป

   pPATn: อย่าท้า (23.21 น.)

   พิมพ์เสร็จผมก็จัดการปิดเสียงเจ้าเครื่องมือสื่อสาร ก่อนจะเอื้อมแขนไปวางมือถือเอาไว้ที่หัวเตียงอย่างฉุนเฉียว แล้วกลับมาข่มตานอนบนเตียง

   แต่จากที่นอนไม่หลับ...ผมก็กลับผล็อยหลับไปในเวลาไม่ถึงห้านาที

   และในการนอนครั้งนี้...

   ผมไม่ได้ฝันร้ายอะไรเลย



..................................................................................



คนเขียนขอเม้าท์: รู้สึกมั้ยว่าช่วงนี้กำลังมีคนทำตัวย้อนแย้ง  :laugh: ขอบคุณทุกเม้นท์และทุกกำลังใจนะคะ : )


หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: Saiias0005 ที่ 13-05-2017 12:45:00
รอค่าาา ชอบแนวนี้มากค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: sentpai ที่ 13-05-2017 12:57:03
สนุกดีครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
#อย่าหวั่นไหวง่ายๆละภัทรพิณ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-05-2017 13:14:51
อยากรู้ รายละเอียดของเต พิณ แล้ว
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 13-05-2017 13:27:42
อืมม นั่นสิ ย้อนแย้ง 555 ไม่อยากยุ่งก็ บล็อคๆไปซะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 13-05-2017 14:36:36
ลงชื่อติดตาม
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-05-2017 15:17:14
เป็นแฟนเก่าที่ไม่ใช่แค่เลิกกันเพราะทะเลาะแบบมุ้งมิ้ง
แต่มันรุนแรงกว่านั้นมาก ชื่อเรื่องฮาแต่เนื้อหาซีเรียส
น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: wikawee ที่ 13-05-2017 19:28:34
ชีวิตยังต้องเดินต่อไป  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 1] 12.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 13-05-2017 20:12:59
 :ling1:ตาม น่าสนใจมาก
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 13-05-2017 20:23:14
อย่าบอกนะว่าตามมาข้างห้องเลย
หรือคนปล่อยคลิปจะไม่ใช่เต
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 13-05-2017 20:45:33
ย้อนแย้งจริงๆ แต่เรื่องคลิปนี่มันแรงมากเลยนะ เป็นเราคงแตกหักไปข้างหนึ่ง
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 13-05-2017 20:54:41
น่าติดตามมากก..
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: เปาเปา ที่ 13-05-2017 21:19:07
ชอบค่ะสู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: kamontipsaii ที่ 13-05-2017 21:23:35
เตคงไม่ได้ปล่อยรูปหรอกมั้ง หรือว่าเตทำ เอ๊ะยังไง 55555555
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 13-05-2017 22:21:31
เต ต้องมาอยู่ห้องพี่ครีมแน่เลย
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 13-05-2017 22:34:07
หวังว่าเตจะไม่ใช่คนปล่อยคลิปนะ ไม่งั้นคงเชียร์ไม่ขึ้น
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 2] 13.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 14-05-2017 15:16:50
CHAPTER THREE

- I want you out of my life, but I don’t want to let you go. -


   [สามปีที่แล้ว]

   “น่า...นะๆๆ พิณไปเป็นเพื่อนเบลหน่อยเถอะ” เสียงออดอ้อนของเด็กสาวแรกรุ่นวัยมัธยมต้นดังขึ้นในห้องสมุด จนร่างบางต้องหันไปมองคุณครูบรรณารักษ์เพราะกลัวถูกเอ็ดเอา เด็กหญิงเอื้อมมือมาปิดนิยายสืบสวนที่ ‘พีรการต์’ หรือ ‘พิณ’ กำลังอ่านค้างอยู่ เมื่อเห็นว่าการเรียกร้องความสนใจแบบใช้เสียงของเธอเริ่มจะไม่ได้ผล

   “เบลก็ไปเองสิ” เด็กชายหันไปดุคนข้างกายเสียงเบาพลางพยายามเยื้อแย่งหนังสือที่อยู่ในมือเพื่อนรัก “เรื่องอะไรแบบนี้ไร้สาระ เราไม่เอาด้วยหรอก

   “ก็ถือว่าไปดูเพื่อนซ้อมกีฬาไง” เด็กสาวยกเหตุผลขึ้นมาประกอบ เธอหยิบหนังสือเจ้าปัญหาไปซ่อนเอาไว้หลังกายตัวเองก่อนพูดขึ้น “ยืมหนังสือนี่ออกไปอ่านข้างสนามก็ได้ แต่ช่วยไปนั่งเป็นเพื่อนกันหน่อยเถอะ

   พิณกอดอกเงียบพลางมองเพื่อนตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย เธอเป็นจอมตื้อเบอร์ไหน เขาเองนั่นแหละที่รู้ดีที่สุด หากว่าเขาไม่ไปกับเธอแล้ว เบลคงไม่ยอมหยุดขอร้องและเขาก็คงไม่มีวันได้อ่านหนังสือนิยายเล่มนั้นต่ออย่างสงบสุขเป็นแน่

   “นะๆๆๆๆ” เบลว่าพร้อมเอาดึงแขนพิณเข้าไปกอด เด็กชายหลับตาลงด้วยความปวดหัวก่อนจะตอบขึ้น

   “ก็ได้ๆ” พิณยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้ปนรำคาญหน่อยๆ “แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ

   “ไม่สัญญาหรอก

   ‘เบล’ หรือ ‘นภสร’ หันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เพื่อนชายพลางหัวเราะร่าเมื่อเห็นว่าพิณยอมโอนอ่อนตาม เธอเป็นผู้หญิงไทยแท้ มีหน้าหวานคม รูปร่างเป็นไปตามเกณฑ์น้ำหนักและส่วนสูงมาตรฐานแต่ไม่ถึงกับมีสัดส่วนมากเพราะยังไม่แตกเนื้อสาวดี ทั้งพิณและเบลนั้นเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเด็กด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กันมาก อีกทั้งพิณเองก็เป็นเด็กเพียงคนเดียวในระแวกนั้นที่สามารถสื่อสารกับเบลที่ย้ายมาจากกรุงเทพได้ เพราะพ่อแม่ของพิณสอนภาษากลางให้เขาตั้งแต่เริ่มพูด

   จนปัจจุบันนี้ทั้งสองคนอยู่มอสามต้นเทอมสอง ก็ยังคงสนิทกันแนบแน่นอยู่เหมือนเดิม

   เด็กชายและเด็กหญิงพากันเดินมาที่สนามกีฬาพื้นซีเมนต์เมื่อออกจากห้องสมุด เสียงลูกยางกระทบพื้นไม่ได้ทำให้หน้าที่เซ็งอยู่แล้วของพิณสดชื่นขึ้นมาสักเท่าไหร่ เขาไม่ได้มีความสนใจทางด้านกีฬาแม้สักนิดเดียว กีฬานั้นเป็นอะไรที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย แค่วิ่งยังช้ากว่าคนอื่นเขาด้วยซ้ำไป คิดถึงเรื่องนั้นพิณก็หน้างอกว่าเดิม

   ก็กีฬาเป็นอย่างเดียวที่คนเก่งอย่างเขาทำไม่ได้นี่หน่า

   “คนไหนละ เด็กใหม่ที่ย้ายมาจากกำแพงแพชรน่ะ” พิณถามพลางชะเง้อหาตัวการที่ทำให้เขาต้องมานั่งทนอากาศอบอ้าวที่สนามกีฬานี้

   ‘เด็กใหม่’ เป็นคำนามที่ดูประหลาดเล็กน้อยเมื่อมันถูกเอ่ยขึ้นในโรงเรียนของพิณ เพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนมัธยมระดับจังหวัดที่ทุกคนต้องสอบเข้ามา ตามปกติแล้วก็จะมีเด็กใหม่อยู่แค่ตอนมอหนึ่งกับมอสี่ ส่วนเด็กที่ได้เข้ามาตอนมอสามนี่ก็คงไม่พ้นเป็นเด็กเส้น แต่ทุกคนก็เหมือนจะพร้อมใจกันมองข้ามความจริงข้อนี้ไป

   เมื่อมีข่าวลือมาว่า เด็กใหม่ที่ย้ายมาจากกำแพงเพชรนี้ หล่อมาก

   ไม่ใช่ความพิณมีความกระตือรือร้นอะไรที่จะเจอเจ้าตัวหรอกนะ เพียงแต่เขาอยากรู้เท่านั้นเอง ว่าไอ้เด็กมอต้นแบบที่สาวกรี๊ดกันยกโรงเรียนจนปรอทความฮ็อตแซงพี่มอปลายไปหลายคนน่ะ หน้าตามันเป็นยังไง

   “คนนั้นไง” เบลเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ใครบางคนที่อยู่ใต้แป้นบาส พิณหันไปตามเพื่อนบอกเพื่อจะยลโฉมไอ้เจ้าเด็กใหม่คนดัง เพียงแต่ว่า...

   “เฮ้ย!!!!” 

   พลั้ก!

   ไอ้วัตถุก้อนกลมสีส้มที่อยู่ในมือของคนสักคนในสนามกลับรอยมากระแทกเข้าเต็มๆที่เบ้าตาของคนที่อยู่นอกสนามอย่างพิณทันทีที่เขาหันไป

   “โอ๊ยยยย...” เด็กชายร้องโอดโอยขึ้นมาเสียงเบาหลังจากที่อาการชาเสี้ยววิหายไป ร่างบางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมตาตัวเองที่เพิ่งจะถูกลูกบาสอัดเข้าไปเต็มๆ

   “พิณ! เป็นไรป่ะเนี่ย!” เสียงของเด็กสาวข้างกายดังขึ้นมาเพราะว่าเธอเองก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่ยังไม่ทันที่เบลจะได้ทำอะไร เจ้าของลูกบอลสีส้มก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาคนเจ็บก่อนจะจับมือของพิณที่ปิดตาอยู่ออกมาจากหน้าเจ้าตัว เพื่อดูรอยช้ำ

   “เป็นอะไรมั้ย” คนมาใหม่ถามขึ้นก่อนเงียบไปอึดใจนึง “เอ่อ...กูหมายถึง เป็นอะหยังก่อ

   พิณยังไม่ตอบอะไรออกไปเนื่องจากยังมึนมาก เด็กชายกะพริบตาข้างที่ไม่เจ็บถี่ๆ แต่เขาก็ยังมองเห็นไม่ชัดนักเนื่องจากน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่

   “เจ็บจนร้องไห้เลยหรอ” เสียงแหบนั่นยังคงพูดอยู่ตรงหน้าเขา เจ้าของเสียงลดใบหน้าลงมาให้ต่ำกว่าพิณนิดหน่อยแล้วมองสังเกตที่เบ้าตาของร่างบาง “สุมาเตอะ” และเจ้านั่นก็ยังคงพูดไทยกลางสลับกับไทยล้านนาอย่างเพี้ยนๆให้เขาฟัง จนพิณอดหัวเราะออกมาไม่ได้

   “พูดกลางเถอะ กูพูดได้” พิณพูดแม้ยังไม่ได้ลืมตาเต็มดีนัก คนเจ็บหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนจะหลับตาแน่นเพื่อไล่น้ำตา และในวินาทีต่อมาร่างบางก็ลืมตาพร้อมพูดขึ้น “ไม่เป็นระ...

    และสิ่งที่พิณเห็นตรงหน้ามันก็ทำให้เขาอึ้งเสียจนลืมพูดให้จบประโยค...

   คือเด็กชายคนนึงที่ตัวสูงกว่าเขาประมาณห้าหกเซ็นต์ ชุดนักเรียนที่ถูกปลดกระดุมเม็ดบนออกสองสามเม็ดของร่างสูงมีรอยเหงื่อไหลซึมออกมาเป็นดวงๆเพราะความร้อนและความเหนื่อย สีผิวไม่ขาวไม่แทนแต่ก็เนียนละเอียดดูสุขภาพดี หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วงเพราะกำลังหอบหายใจ และนัยน์ตาสีดำสนิทนั่นก็ฉายความกังวลออกมาอย่างชัดเจน

    เด็กใหม่ที่ใครๆก็ต่างพูดถึงกันนั้น...หล่อสมคำร่ำลือจริงๆด้วย

   “แน่ใจนะ” กลีบปากสีคล้ำขยับเพื่อเอ่ยถาม...

   …แต่พิณยังคงไม่สามารถละความสนใจไปจากใบหน้าของ เด็กใหม่ ที่ว่าได้เลย

   “นี่มึง ไม่เป็นอะไรแน่นะ” ร่างสูงถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าพิณเงียบไป ซึ่งนั่นมันก็ทำให้พิณหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตนเอง

   “อา...แน่ใจ” พิณพยักหน้าลงหงึกหงัก

   ““ดีแล้ว” เขายิ้มอย่างโล่งใจ คนตรงหน้ากะพริบตาถี่สองสามครั้งแล้วยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เขาเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าที่พิณก็ไม่รู้ว่ามันไหลลงมาจากตาตั้งแต่เมื่อไหร่

   “ไอ้เต! เขาเป็นไรมากมั้ยวะ!” เสียงใครบางคนจากสนามตะโกนมา ร่างหนาตรงหน้าหันไปโบกมือให้ทางนั้นไหวๆ “เขาไม่เป็นไรมึงก็มาเล่นต่อได้แล้ว!”

   “เออ!” คนถูกเรียกตะโกนรับคำเพื่อนตัวเอง ก่อนจะหันมามองหน้าพิณแล้วหัวเราะแผ่ว “ไปแล้วนะ”

   เมื่อพิณพยักหน้าตอบรับร่างสูงก็วิ่งออกไป เพื่อนสาวของพิณที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงพูดอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์ ดวงตาของพิณยังคงจับจ้องอยู่กับคนที่เคลื่อนไหวเหยาะๆไปในสนาม ก่อนที่คนที่ถูกมองนั้นจะหันมาส่งยิ้มให้กับพิณอีกครา

   วินาทีที่เขาสองคนสบตากันอีกครั้ง...

     ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...

   ...เป็นวินาทีเดียวกับที่เด็กชายพีรการต์ได้รู้จักกับคำว่าผีเสื้อที่บินอยู่ในท้องเป็นครั้งแรก

   ฉิบหายแล้วไอ้พิณ...ฉิบหายแล้ว




   [ปัจจุบัน]

   “พี่ว่าอารมณ์ของพระเอกได้แล้วนะ แต่นางเอกจะต้องโมโหน้อยกว่านี้” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากดูการซ้อมละครภาษาอังกฤษของน้องมอห้าจบไป “พี่เขียนไว้ว่าให้ขึ้นเสียงนิดหน่อย ไม่ใช่ตะโกน” ผมว่าพลางเอาปากกาจิ้มๆไปตรงตำแหน่งนึงในสคริปต์ให้ ‘น้องแจง’ ผู้กำกับเรื่องนี้ดู หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณ

   “นี่ถ้าไม่มีพี่ภัทร งานพวกหนูคงไม่เดิน” แจงกล่าวก่อนจะก้มลงไปมองนาฬิกา “แจงคงจะให้พวกนั้นซ้อมอีกรอบอะค่ะ พี่ภัทรกลับเลยก็ได้นะคะ เกรงใจ เพราะเดี๋ยวยังไงพรุ่งนี้แจงคงให้ซ้อมฉากนี้อีกสองสามรอบ”

   “อา...หรอ” ผมครางในลำคอ “งั้นพี่กลับแล้วนะ”

   น้องแจงไหว้สวัสดีผมอีกทีเมื่อผมบอกลา ตามมาด้วยน้องคนอื่นๆในห้องซ้อมที่พากันยกมือไหวผมเป็นแถว อันที่จริงแล้วผมค่อนข้างจะเป็นเด็กกิจกรรมครับ พวกร้องเพลงหรือละครเวทีอะไรแบบนี้ ซึ่งส่วนมากแล้วผมจะชอบเป็นเบื้องหลังมากกว่า แต่ถึงกระนั้น...ผมก็ยังเป็นที่รู้จักของใครหลายคนอยู่ดี

   ปีที่แล้วผมพ่วงตำแหน่งทั้งคนเขียนบทและผู้กำกับละครเวทีภาษาอังกฤษของโรงเรียนครับ ปีนี้เลยเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องมาคุมน้องทำงาน แต่ไปๆมาๆ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองต้องกลับมาเป็นผู้กำกับอีกครั้ง เพราะน้องทุกคนกลับร่วมใจกันขอความเห็นจากผมไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรซะอย่างนั้น ไอ้ผมก็ได้แต่งงๆตามน้ำไป ยิ่งตอนนี้เหลือเวลาแค่อีกอาทิตย์กว่าๆก่อนจะถึงวันจริงด้วยแล้ว ผมเลยยิ่งโดนตามตัวบ่อย

   ก็ดีครับ...มีอะไรให้ทำจะได้ไม่ต้องเอาเวลาไปนั่งคิดเรื่องฟุ้งซ่าน

   ผมใช้วิธีการกลับบ้านแบบเดิมที่เคยบอกไปครับ แต่วันนี้ใช้เวลากว่าเดิมหน่อยเนื่องจากรอรถเมล์นาน ผมมองออกไปนอกกระจกหลังจากที่ขึ้นรถไฟฟ้ามา แม้จะมีป้ายโฆษณาปิดนอกตัวขบวนเอาไว้แต่มันก็ไม่ยากเท่าไหร่ที่ผมจะเห็นได้ว่าดวงอาทิตย์นั้นลับขอบฟ้าไปแล้วหลายชั่วโมง

   ความเงียบในตัวขบวนทำให้ให้ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น...

   …เหตุการณ์ที่เตมายืนอยู่ต่อหน้าผม

   เรื่องมันผ่านไปได้เกือบสามอาทิตย์แล้วครับ เตหายไปเลยหลังจากที่ผมส่งข้อความบอกไปแบบนั้น ไม่มีการตอบกลับ ไม่มีการโผล่มาหา ไม่มีสัญญาณอะไรใดๆทั้งสิ้นจากมัน และนั่นทำให้ผมหายใจหน่อยๆทั้งที่มันเพิ่งกลับเข้ามาในชีวิตผมเพียงวันสองวันแท้ๆ

   แล้วมันก็กลับออกไป...

   …คนอย่างผมคงมีค่าพอให้มันพยายามเท่านั้นจริงๆ

   ผมไม่รู้ตอนนี้ตัวเองเสียใจหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกไหนที่มันเหมาะควรกับสถานการณ์

   ผมไล่ให้มันไป แต่ผมกลับมองหามัน

   ผมไม่ตอบไลน์มัน แต่ผมกลับรอให้มันไลน์หา

   ผมไม่อยากคุยกับมัน แต่ผมกลับอยากรู้เรื่องของมัน

   การเจอเตแค่เพียงครั้งสองครั้ง กลับทำให้ผมหัวปั่นได้เป็นอาทิตย์

   ติ้ง!

   เสียงแจ้งเตือนของเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมสะดุ้ง นึกขอบคุณตัวเองอยู่ไม่น้อยที่มีสติพอที่จะไม่ส่งเสียงบ่งบอกความตกใจใดๆออกไป อันที่จริงผมไม่ได้ขวัญอ่อนตกใจง่ายอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่เมื่อกี้ผมกำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆเท่านั้นเอง

   PPEem: ช่วงนี้คงไม่ได้กลับ ติวมิดเทอม (21.44 น.)

   เป็นเฮียภีมครับ ส่งมาสั้นง่ายได้ใจความตามสไตล์ของแก ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจอมือถือเมื่อเสียงประกาศบนรถไฟฟ้าบอกว่าถึงสถานีที่ผมต้องการลงแล้ว ลืมเรื่องข้อความของเฮียภีมไปสักครู่หนึ่งเนื่องจากหมู่คนบังคับให้ผมต้องเดินเร็วจนไม่มีเวลาตอบ ขึ้นลิฟต์คอนโดมานั่นแหละครับ...ผมถึงนึกขึ้นได้ว่าเฮียแกคงกำลังรอการตอบกลับอยู่

   pPATn: โอเค (21.56 น.)

   PPEem: ดูแลตัวเองด้วย (21.56 น.)

   pPATn: รู้แล้ว (21.57 น.)

   ผมเลิกให้ความสนใจกับมือถือเมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง ต่างไปจากเดิมหน่อยตรงที่มันที่มีถุงสีดำปริศนาแขวนเอาไว้ตรงกลอน ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจก่อนจะหยิบถุงขึ้นมาดู แล้วจึงพบว่าภายในมันมีกระดาษสอดไว้อยู่แผ่นนึง บนกระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรที่ใช้เครื่องพิมพ์ลงหมึกเอาไว้

   ‘ทานให้อร่อยนะครับ

      จาก เพื่อนข้างห้อง : D’


   ผมเปิดดูของข้างในทันทีที่อ่านจบ มันเป็นดาร์กช็อคโกแลตราคาแพงยี่ห้อที่ผมชอบ ชอบมากจนถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นของโปรดอันดับต้นๆ ผมขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิดเพราะสงสัยว่าเพื่อนข้างห้องที่ผมยังไม่เคยเป็นหน้าคร่าตาจะมารู้ว่าผมชอบกินอะไรได้ยังไง แต่ก็ในที่สุดผมก็เลิกคิดเล็กคิดน้อยไปแล้วบอกกับตัวเองว่าความบังเอิญมันมีจริง

   ผมผินหน้าไปมองห้องข้างๆ แล้วชั่งใจว่าจะไปเคาะประตูบอกขอบคุณดีมั้ย แต่ก็ต้องพับความคิดนั้นไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันดึกแล้ว

   เอาไว้...ค่อยไปขอบคุณพรุ่งนี้แล้วกัน


   

   ผมไม่ได้ไปขอบคุณคนข้างห้องเร็วอย่างที่ตั้งใจไว้เลยครับ...

   คืนนั้นคิดเอาไว้อยู่ว่าจะขอบคุณวันถัดไปเพราะไม่อยากไปรบกวนตอนดึกๆ แต่มันก็กลับกลายเป็นว่าผมกลับห้องดึกทุกวันเพราะต้องอยู่ช่วยงานละคร แต่ก็แปลกนะ ที่เขายังมีความพยายามที่จะผูกมิตรอย่างคงเส้นคงวามาก เล่นเอาขนมช็อคโกแลตแบบเดิมๆนั้นมาแขวนไว้ที่หน้าห้องผมไม่เว้นวันเลย

   ผมยังไม่ได้กินหรอกครับ เพราะยังไม่ได้รู้จัก...จึงไม่ไว้ใจอะไรขนาดนั้น

   วันนี้น้องๆมอห้ายกซ้อมครับ เห็นว่าพรุ่งนี้มีสอบย่อยเลขกันทั้งระดับและอาจารย์เลขมอห้าก็ให้คะแนนยากมาก พวกนั้นเลยรีบกลับบ้านไปอ่านหนังสือกัน ผมจึงได้กลับคอนโดเร็วเนื่องจากไม่ต้องอยู่ช่วยซ้อม ตั้งใจว่าจะกลับมาทำกับข้าวไปขอบคุณเพื่อนข้างห้องเพื่อตอบแทนน้ำใจเสียหน่อย เพราะค่าขนมที่เขาให้ผมมามันก็ไม่ใช่น้อยๆเลย

   ผมเลือกซื้อของขึ้นมาไม่กี่อย่าง กะว่าจะทำสปาเก็ตตี้มีตบอลรสชาติกลางๆไปฝากเขา เพราะไม่รู้ว่าคนข้างห้องปริศนาคนนั้นเป็นใคร ชอบกินรสชาติอาหารแบบไหน แม้จะพอเดาๆได้จากการกระทำและโน้ตใบนั้นว่าเป็นเขาอาจจะผู้ชายที่น่าจะอายุไม่มากก็เถอะ

   ตึง! ตึง! ตึง!

   เสียงอะไรสักอย่างจากข้างห้องดังผ่านผนังมาเมื่อผมผัดสปาเก็ตตี้เสร็จแล้ว ก่อนที่มันจะเงียบไป ผมเลิกใส่ใจก่อนจะจัดสปาเก็ตตี้ลงกล่องให้เรียบร้อยเพื่อนำไปให้บุคคลปริศนาดังกล่าว จากนั้นผมก็พาตัวเองก้าวขาเดินไปยังห้องข้างๆ จากนั้นก็ว่าประตูนั้นถูกลังกระดาษอะไรสักอย่างวางคั่นอยู่

   อย่างนี้คงไม่ต้องกดออดเสียละมั้ง

   “ขอโทษนะครับ” ผมเปล่งเสียงพลางขยับตัวเล็กน้อยเพื่อมองลอดช่องประตูที่แง้มไว้ แต่ขาของผมมันคงจะเก้งก้างไปหน่อย เลยไปดันลังที่คั่นประตูอยู่ ส่งผลให้บานไม้นั่นถูกเปิดออกไป ผมจึงได้เห็นบุคคลปริศนาที่อยู่ข้างใน

   !!!

   “พิณ...” คนด้านในห้องที่กำลังตอกตะปูเพื่อแขวนรูปอยู่ เบิกตากว้างหันมามองก่อนจะส่งเสียงเรียกชื่อผม คนตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกสมองเบลอไปชั่วขณะนึง

   โป้ก!

   “โอ๊ย!” และในที่สุดรูปที่เขาจับอยู่อย่างหมิ่นเหม่นั้นก็หล่นลงมา มุมของกรอบรูปตกกระแทกหัวเขาไปเต็มๆ

   “เต!” ผมเรียกชื่อเขาขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะพลั้งก้าวขาออกไปด้วยสัญชาตญาณ แต่ในวินาทีต่อมาเมื่อผมเห็นว่าเขาไม่ได้หมดสติไปผมก็ยั้งขาตัวเองไว้ได้อยู่ ผมมองเห็นเลือดที่ไหลออกจากหน้าผากเขา แต่นั่นมันก็ไม่มากพอให้ผมกุลีกุจอเข้าไปหา เตยกมือขึ้นกุมแผลไว้อย่างเจ็บปวด

   ร่างหนายังมึนงงในขณะที่ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ใช้เวลาเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น ผมก็พาตัวเองพร้อมกล่องสปาเก็ตตี้ในมือออกจากห้องดังกล่าวทันที

   “พิณ!” เสียงที่เรียกตามมาไม่ได้ทำให้ผมหยุดขาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ผมสาวเท้าไวขึ้นก่อนจะปิดประตูอย่างรวดเร็วเมื่อมาถึงห้อง

   ปึง!!

   ผมยืนเอาตัวเองพิงกับประตูไว้ หายใจอย่างรวดเร็วเพราะทำอะไรไม่ถูก พยายามจะเรียบเรียงความคิดในหัวสมองแล้วพยายามนึกอีกครั้งว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นความจริงหรือผมหลอนไปเองกันแน่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรตก ก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูห้องผม

   ปังๆๆๆ!

   “พิณ!” เสียงเรียกของเขาทำให้ผมสะดุ้งตัว “พิณ! พิณ! เชี้ยเอ้ย...” เตตะโกนเรียกชื่อผมอยู่ไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงสบถอย่างอ่อนแรง มันคงไม่ตั้งใจให้ผมได้ยินหรอก เตอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมยังยืนแนบอยู่กับบานประตู ผมตัดสินใจมองลอดผ่านตาแมวไปด้วยเหตุผลที่ไม่ได้คิด ก่อนจะเห็นภาพไอ้เตเอามือข้างหนึ่งเท้ากับประตูของผม ส่วนมืออีกข้างก็กุมแผลเอาไว้

   และเลือดนั่นก็ยังไหลไม่หยุด...

   ผมมองอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ร่างหนาก็ทรุดลงไปกับพื้น ผมตกใจจนตัวชาเมื่อเห็นดังนั้น จิตใต้สำนึกของผมพาให้ผมไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่อยู่หลังกระจกในห้องน้ำ ก่อนจะรีบวิ่งมาเปิดประตูออกทันที

   เตที่ตอนนี้นั่งพิงประตูอยู่จึงเซล้มลงมา

   “…!” เขาเบิกตาขึ้นอย่างตกใจ ผมยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความกระอักกระอ่วนแบบบอกไม่ถูก ไม่กี่วินาทีจากนั้นผมยื่นกล่องปฐมพยาบาลให้คนเจ็บก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร

   “อย่ามานอนตายอยู่ตรงนี้” ผมเอ่ยออกไปแค่นั้นทั้งที่จริงๆแล้วอยากจะไล่ให้เขาไปหาหมอ หรือถึงกับขั้นพาเขาไปเองด้วยซ้ำ ผมมองเตที่ยังนั่งมึนงงอยู่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะใช้มือผลักเขาให้พ้นไปจากธรณีประตูตัวเอง

   แล้วผมก็ทำใจแข็งปิดประตู...

   ผมจับมือตัวเองเอาไว้ให้มันหยุดสั่นแต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี ผมยืนอยู่ตรงประตูหน้าห้องเป็นนาที ก่อนจะเดินวนเวียนไปมาเป็นหนูติดจั่นอยู่บริเวณนั้นอีกนานโข จนในที่สุดความรู้สึกของผมมันก็ชนะเหตุผลจนผมต้องเปิดประตูออกไป

   เปิดออกไปแล้วพบกับความว่างเปล่า...

   แต่นั่นเป็นความว่างเปล่าที่ทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เตมีแรงมากพอที่จะเดินกลับไปที่ห้องของมันได้

   คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็ปิดประตูลง

   เสี้ยวนาทีเท่านั้นที่ผมรู้สึกวางใจ ก่อนที่ความรู้สึกนั่นจะเปลี่ยนเป็นความกังวงลที่ทำให้ผมต้องเดินมาเดินไปอีกรอบ ผมพยายามหลับตานับเลขในใจ แต่นั้นมันก็ไม่ได้ผล ผมลืมตาคือมาและเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ที่จอโทรทัศน์ที่ปิดสนิท สีหน้าที่กังวลและร่างกายที่สั่นเทิ้มนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าผมยังเป็นห่วงคนที่อยู่ในห้องถัดไป

   …ผมคงไม่เป็นแพนิคขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเลือดนั่นมันเยอะจนน่ากลัว...

   ...ถ้าไม่ใช่เพราะผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันเจ็บ

   ผมไม่เคยรู้ว่าเข็มนาฬิกาเดินช้าขนาดไหนจนกระทั่งตอนนี้

   ตอนที่ผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เดินไปหาเตที่ห้อง

   ก๊อกๆๆ!

   เสียงเคาะตรงประตูกระจกระเบียงทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วหันไปมอง ก่อนที่สิ่งที่ผมเห็นจะทำให้นัยน์ตาผมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ สมองของผมถูกหยุดการคิดประมวลไปชั่วขณะ มือที่สั่นอยู่ของผมหยุดไปเหมือนร่างกายลืมไปแล้วว่าเคยเป็นกังวลเรื่องที่เตโดนกรอบรูปหล่นใส่

   เพราะตอนนี้คนที่ผมพูดถึงมันมายืนเคาะกระจกอยู่ที่ระเบียงผมน่ะสิ!

   “นี่ปีนมาหรอ!” ผมเลื่อนประตูกระจกออกอย่างรุนแรงพร้อมขึ้นเสียงทั้งที่ทำไม่บ่อย “บ้าไปแล้วหรือไง!” น้ำเสียงที่แสดงถึงความเกรี้ยวกราดเพราะเป็นห่วงของผมไม่ได้ทำให้ร่างหนาหน้าเจื่อนไปแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับคลี่ยิ้มให้กับผมก่อนส่งกล่องปฐมพยาบาลมาให้

   “ทำแผลให้หน่อย” ประโยคนั้นมันทำให้ผมจ้องหน้ามันด้วยความเหลือเชื่อ เตเจ็บหนักและเสียเลือดไปเยอะ แถมมันจะเพิ่งจะปีนตึกข้ามห้องมาหาผมอีก

   ฟังไม่ผิดหรอกครับ ปีนตึก ไม่ได้ปีนระเบียง

   ระเบียงห้องผมและห้องเตห่างกันอยู่ประมาณยี่สิบเมตรได้ ทั้งสองโครงสร้างเชื่อมกันด้วยแค่ขอบปูนประมาณสองสามคืบที่ยื่นออกไปจากตัวตึกด้วยเหตุผลทางด้านความสวยงาม แล้วไอ้เตมันก็ฝืนตัวเองที่ควรจะหน้ามืดเพราะเสียเลือดมากเสี่ยงใช้ทางนั้นเดินมาที่ห้องผมเนี่ยนะ!

   “นี่มันชั้นสิบสองนะไม่ใช่ชั้นสอง! หน้ามืดตกลงไปตายจะทำยังไงฮะ!” ผมว่ามันเสียงดัง

   “ตายไปก็ไม่เสียดายหรอก” เตเอ่ย “อย่างน้อยพิณก็ยอมพูดด้วยแล้ว”

   “เต!” ผมยังคงเอ็ดเขาเสียงเขียว เตยิ้มอย่างขำขันทั้งๆที่หน้ามันซีดมาก ผมเลื่อนสายตาไปมองที่แผลฉกรรจ์บนหน้าผากมัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมยังคงเต้นแรงอยู่ บอกไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะผมยังตกใจไม่หาย หรือเป็นเพราะว่ากำลังโกรธมันกันแน่

   “ทำแผลให้หน่อย” มันพูดย้ำอีกครั้ง “เจ็บจะอยู่ตายแล้ว”

   ผมกวาดสายตามองเต สมองสั่งให้ไล่มันไปใกล้ๆ ในขณะที่ความรู้สึกในใจตะโกนบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม

   ให้ตายเถอะ...ผมอยากจะเป็นคนเย็นชาที่ทำตัวไม่มีหัวใจได้มากกว่านี้จริงๆ

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่...

    ...

    ..

   ...ก่อนจะที่เดินเข้าห้องมาโดยที่ไม่ได้ปิดประตูกระจก




......................................................................



คนเขียนขอเม้าท์: มีใครบางคนทายถูกด้วยแหละว่าคนที่ย้ายมาอยู่ห้องพี่ครีมจะเป็นเต ชื่อเรื่องก็บอกแล้วไงค่ะว่าเจ้านี่มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรของน้องพิณของจริง(ฮา)
มีคนขอรายละเอียดของเตพิณมาจากตอนที่แล้วค่ะ เหมือนรู้ใจว่าคนเขียนจะลงพาร์ทย้อนอดีต 555555 เจอกันครั้งแรกก็ไม่หวือหวาเนาะ เหมือนพระนายเจอกันในนิยายวายทั่วไป ยังไงก็ฝากติฝากชมกันด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 14-05-2017 17:06:13
ว่าแล้วเชียวววววเจ้ากรรมนายเวรของจริง
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 14-05-2017 17:59:51
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 14-05-2017 19:01:34
หวังว่าเต จะไม่รู้เห็นเรื่องในอดีต 
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: sentpai ที่ 14-05-2017 19:14:19
สนุกครับ
#ทีมพิณภัทร
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: wikawee ที่ 14-05-2017 19:23:21
เตเป็นคนยังไง เหตุไฉนถึงได้ปล่อยคลิปพิณออกมา
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 14-05-2017 19:42:19
ขอออกตัวเลยว่าเป็นทีมน้องพิณ เพราะฉะนั้นฝากถึงนังเตนะคะว่าอย่าเยอะกับน้องพิณให้มาก เดี๋ยวอิแม่จะส่งพี่ภีมไปกระทืบ55555
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-05-2017 21:37:23
ถ้าเต ตามพิณซะขนาดนี้  :z3: :z3: :z3:
คลิปที่ปล่อยต้องไม่ใช่ฝีมือเต
ต้องเป็นคนที่ใกล้ชิดเต
ไม่ชอบพิณ และตั้งใจประจานพิณ
เพื่อให้พิณอับอายขายหน้า ไม่กล้าสู้หน้าใครๆ
และไปจากเต แล้วตัวเองจะได้ประโยชน์
ซึ่งคงได้ประโยชน์ เพราะเต ยังตามหาพิณ / มโนไปไกลมั้ย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-05-2017 00:43:16
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 15-05-2017 02:38:18
มันหน่วงๆยังไงมิรู้ว แต่น้องพิณดูอาการแย่มากเลยอ่ะ สงสารน้อง ฮือออ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-05-2017 08:31:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 3] 14.05.17
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 15-05-2017 15:29:31

CHAPTER FOUR

- Some people cross your path and change your whole direction. -



   “พิณทำกับข้าวด้วยหรอ” ร่างหนาที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยขึ้น เขาหันหน้าไปมาเพื่อใส่สายตาสำรวจห้องผม และนั่นมันก็ทำให้ผมดูแผลเขาไม่ถนัด ผมเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำถามของเต ก่อนจะเขยิบเข้าใกล้แล้วใช้สำลีซับเลือดออกจากแผลนั่นอย่างเบามือที่สุด

   นี่มันแผลแตก ไม่ใช่แผลธรรมดา

   คงต้องเย็บ

   “หัวแตก” ผมเอ่ย “ต้องไปโรงพยาบาล” ผมเลือกที่จะประหยัดถ้อยประหยัดคำกับเขาทั้งที่ปกติแล้วเป็นคนพูดมาก เตยิ้มมุมปากก่อนจะพูดขึ้น

   “พิณทำกับข้าวด้วยหรอ” เขาถามย้ำประโยคเดิม ทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ผมถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบคำถามอย่างอ่อนใจ เวลานี้ผมไม่มีอารมณ์มาเล่นอะไรกับเขาหรอก

   “เตต้องไปโรงพยาบาลนะ” ผมพูดกับเขาดีๆ ไม่ใช่ว่าอยากจะสนทนาอะไรกับคนตรงหน้ามากนัก เพียงแต่ว่าถ้าเกิดเขาไม่รีบไปหาหมอ เขาคงต้องเลือดไหลหมดตัวตายไปตรงนี้แน่ๆ ผมไม่เคยอยากเจอเขาอีกครั้งก็จริง แต่ผมไม่ได้อยากให้เตเป็นอะไร ผมไม่ได้เกลียดเขา

   “งั้นพิณไปส่งหน่อยสิ” เขาคลี่ยิ้มด้วยริมฝีปากคล้ำที่ตอนนี้ดูซีดเซียวเต็มทน ผมยกสำลีอีกก้อนขึ้นไปอุดแผลเขาก่อนพูดขึ้น

   “กูไม่ขับรถ”

   “แต่เตขับ พิณนั่งไปเป็นเพื่อนเตก็พอ” ร่างสูงสวนขึ้นมาทันทีที่ผมพูดจบประโยค และเขาก็พูดขึ้นมาอีกก่อนที่ผมจะได้โต้ตอบอะไรกลับไป “เผื่อเตหน้ามืดไป เกิดรถชนตายขึ้นมาจะทำไงละ”

   หึ ตอนปีนตึกมาไม่เห็นจะกลัวตายอะไรเลยนี่

   ผมคิดในใจ

   ผมไม่ว่าอะไรหลังจากที่เตพูดจบ ผมหยิบผ้าก๊อซขึ้นมาแล้วพันแผลให้คนเจ็บแบบลวกๆ ก่อนจะลุกเดินไปรอตรงหน้าประตูห้อง ส่วนเตก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน เขาเพียงแต่หัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีแล้วเดินตามออกมา

   เตแวะไปหยิบกุญแจรถในห้องกับของอีกนิดหน่อย ร่างหนาเดินตัวปลิวเหมือนไม่ได้เพิ่งประสบอุบัติเหตุมา จนผมอยากจะเข้าไปเขย่าถามดูว่าที่เดินอยู่ข้างๆกันนี่เป็นคนจริงๆน่ะหรือ เราทั้งสองพากันเดินมาขึ้นรถของเตที่เป็นรถยุโรปหรูคันราคาเฉียดสิบล้านตามสไตล์ลูกคนรวยอย่างเขา

   “ไปหัดทำกับข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่” เตถามขึ้นทันทีที่ออกรถ เดาว่าคงจะเป็นการชวนคุย ผมหันไปมองเขาที่ขับรถหน้าซีด แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ก่อนที่ผมจะสังเกตได้ว่าเลือดของเตซึมผ่านผ้าก๊อซที่พันหัวเขาเอาไว้ อีกไม่นานก็คงหยดลงมาเปื้อนเสื้อ

   “ทิชชู่อยู่ไหน” ผมถาม

   “พิณไปหัดทำกับข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถามย้ำเช่นเดิมเหมือนที่เขาเคยทำทุกที เตเกลียดการถามที่ไม่ได้คำตอบ ข้อนั้นผมรู้ดี

   “เต!” ผมขึ้นเสียงใส่เขาด้วยความโมโห เตหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาดึงเงียบไม่พูดอะไรจนผมต้องยอมแพ้แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่เจืออารมณ์ไม่พอใจ “ก็เพิ่งหัดตอนย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพเนี่ยแหละ”

   ผมละอยากจะบ้า เลือดออกจะหมดตัวแล้วยังมาเล่นเป็นเด็กอยู่อีก

   ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ

   “ทิชชู่อยู่หลังรถน่ะ” เขาเอ่ยปากบอกสิ่งที่ผมอยากรู้ทันทีที่ผมตอบคำถามของเขา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอื้อมไปหยิบทิชชู่นั้นมาเพื่อซับเลือดจากแผลให้

   เตชะงักไป...

   “พิณ” เขาเรียกชื่อผมเสียงนิ่ง ร่างสูงเงียบไปอึดใจหนึ่งเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูด “เปลี่ยนชื่อหรอ”

   ผมจะไม่ตอบก็ได้

   “อืม” แต่ผมตอบ

   “ทั้งชื่อจริงชื่อเล่นนามสกุล เปลี่ยนไปหมดเลยสินะ” เตพูดขึ้นมาเหมือนว่าเขาไม่ได้พูดอยู่กับผม แต่กำลังพูดอยู่กับตัวเอง “มิน่า เตตามหาพิณ ‘พีรการต์ พรหมคีติสาร’ ตั้งนานก็ไม่เจอ” เขาแค่นหัวเราะในลำคอ

   “ตายไปนานแล้ว” ผมเอ่ย ด้วยน้ำเสียงไม่มีความประชดประชัน ไม่มีความเศร้า ไม่มีอารมณ์ใดๆเจือปนอยู่ “ตอนนี้เหลือแต่ภัทร”

   “พิณ” เตยังเรียกชื่อผมด้วยชื่อเก่า เสียงนั่นทำให้ผมปวดลึกในใจหากแต่ไม่แสดงอาการใดออกไป ผมผินหน้าออกมองถนนด้านข้าง บรรยากาศในรถเงียบไปเกือบสิบนาทีก่อนที่เตจะตัดสินใจพูดขึ้น “เรื่องรูปนั่น...”

   “ถ้าจะพูดเรื่องนั้นก็เงียบไปเถอะ” ผมพูดสวนขึ้นมาทันที ยอมรับเลยว่าทันทีที่เขาเอ่ยปากเรื่องนั้นผมก็รู้สึกเหมือนถูกกำปั้นแรงๆทุบลงมาบนอก ผมไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยินเรื่องเลวร้ายนั้นจากปากของผู้ชายคนนี้ เขาอยากจะอธิบายทั้งที่ตอนนี้มันสายไปแล้ว

   สายเกินไปมากๆ

   “พิณ” เสียงเรียกชื่อนั่นมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการขอความเห็นใจอย่างปิดไม่มิด

   “ไม่ต้องอธิบาย กูไม่ได้อยากฟัง” ผมเอ่ยนิ่งๆ “แล้วขอร้องแหละนะ ช่วยเรียกกูว่าภัทรด้วย พิณน่ะมันไม่อยู่แล้ว อย่าเอาชื่อคนตายมาเรียกกัน"

   


   เตเงียบไปหลังจากที่ผมพูดไปแบบนั้น ไม่ได้เงียบไปแบบคนโกรธ แต่ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง โชคดีหน่อยที่เราอึดอัดอยู่ในรถนั้นไม่นานเพราะขับมาถึงโรงพยาบาลกันเร็ว ผมตั้งใจว่าจะเรียกแท็กซี่กลับทันทีที่ส่งเขาถึงมือหมอ แต่ก็ต้องเลิกล้มความคิดนั่นไปเมื่อพบว่าผมไม่ได้เอาข้าวของติดตัวมาสักชิ้น ทั้งกระเป๋าสตางค์และมือถือ

   ผมนั่งรออยู่ได้ไม่นานนักเขาก็ออกมาจากห้องฉุกเฉิน เขามองหน้าผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แล้วพูดขึ้น “ขอบคุณนะ” เอ่ยจบเขาก็เดินไปรับยา แล้วเราสองคนก็เดินกลับมาขึ้นรถ

   บรรยากาศชวนอึดอัดเพิ่มขึ้นมาเป็นทวีคูณในระหว่างทางกลับ ผมไม่พูด เขาเองก็ไม่ได้พยายามจะถามอะไร ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว ผมคิดจะเอนหลังนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องตื่นดูอาการคนเจ็บเพื่อความปลอดภัย

   และในที่สุดเราก็มาถึงคอนโด

   ผมคิดเอาไว้แล้วว่าจะเปิดประตูเดินออกไปทันทีที่รถจอด แต่ผมกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น เราสองคนนั่งนิ่งเงียบกันอยู่ในรถ เสียงลมหายใจของเราดังสลับกันเป็นนาที

   “ที่บอกว่าพิณตายไปน่ะ...” และในที่สุด เตก็เป็นคนทำลายความเงียบ “แล้วความทรงจำของพิณตายไปด้วยหรือเปล่า”

   ผมหันออกมองนอกหน้าต่างรถ ไม่ตอบอะไร

   “ความรู้สึกที่พิณเคยมีให้เตตายไปด้วยมั้ย”

   เตยังคงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย เขาเอาแต่ทวงถามเรื่องเก่าในอดีตที่ผ่านมา ทั้งๆที่เจ้าตัวก็น่าจะรู้ว่าเรื่องราวเล่านั้นมันทำให้ผมเจ็บปวดมากขนาดไหน เตถามเหมือนเขาไม่รู้อะไรเลย

   เขาเคยคิดบ้างมั้ยว่ากว่าจะผ่านเรื่องนั้นมาได้ ผมรู้สึกอยากตายวันละกี่รอบ

   “มึงจะไปเอาอะไรกับคนตาย” ผมเปล่งเสียงพูดออกไปทั้งที่ลำคอแห้งผาก “ปล่อยมันไปเถอะ”

   “ยังไม่เข้าใจอีกหรอ” เตพูดขึ้นหลังจากที่เขาเงียบไปช่วงขณะหนึ่ง ผมเห็นเขามองมาผ่านเงาที่สะท้อนตรงกระจกหน้าต่าง และผม...ไม่กล้าหันกลับไป “ว่าถ้าปล่อยได้ก็ทำไปตั้งนานแล้ว”

   ให้ตายเถอะ...ผมเกลียดการร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ผมไม่เลยร้องไห้ต่อหน้าให้นอกจากคนในครอบครัว ไม่เคยร้องไห้แม้กระทั่งต่อหน้าเขา แต่ตอนนี้ขอบตาผมร้อนผ่าวหมือนน้ำตากำลังจะไหล

   “แต่ก็ปล่อยมาตั้งหลายปีแล้วนี่” ผมกลั้นใจพูด น้ำเสียงสั่นเครือที่ผ่านออกไป ไม่ใช่สิ่งที่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

   ผมเปิดประตูรถเพื่อเดินออกมา ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เตเห็น ไม่อยากให้เขารู้ว่าตัวเองยังมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผมขนาดไหน

   “เดี๋ยวก่อน!” เตเรียก และคราวนี้ผมชะงักเท้า “ถ้าพิณไม่อยู่แล้วก็ไม่เป็นไร”

   “…”

   “แต่ฝากบอกคนตายคนนั้นด้วยแล้วกันว่าเตคิดถึงเขามาก” น้ำตาผมไหล แต่ผมก็รีบปาดมันออกไปก่อนที่ใครจะได้เห็น “ส่วนภัทรน่ะ...” เสียงของเขาเงียบไปตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่บ่งบอกว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ เพียงกว่าครั้งนี้ผมไม่ได้ขยับหนีไปไหน “ช่วยรู้จักกับเตหน่อยได้มั้ย”

   พลั้ก!

   ผมผลักเขาออกทันทีที่เขาพูดจบ คราวนี้มันเป็นไปเพราะความโมโหและไม่พอใจ ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะดึงประโยคนั้นขึ้นมาพูดอีก เอาประโยคดีๆที่อยู่ในความทรงจำมาทำให้ผมเสียใจ

   หน้าด้าน

   “รู้เอาไว้ด้วยนะเต ในชีวิตของกู กูอาจจะเคยทำพลาดมาหลายอย่าง” ผมมองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยว “แต่สิ่งเดียวที่กูรู้สึกว่ากูทำพลาดมากที่สุด คือการปล่อยให้พิณรู้จักกับเต ปล่อยให้พิณไว้ใจมัน ปล่อยให้พิณระ...” ผมชะงักค้าง เก็บคำพูดที่ไม่สมควรลงไป แล้วแก้ใหม่ “ปล่อยให้พิณรู้สึกอะไรๆกับคนอย่างมึง”

   เตอึ้งไป แต่ตอนนี้ผมไม่มีความอดทนมากพอที่จะมองหน้าเขาอีกแล้ว

   ผมอึดอัด...อึดอัดเหมือนจะตาย

   ผมเดินผ่านเขาไปขึ้นลิฟต์ เพื่อกลับห้อง ผมเหนื่อยกับการยืนฟังเขาอธิบายอะไรที่ผมไม่อยากฟัง

   เขาไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ

   เขาไม่รู้สักนิดว่าเขากำลังขอโทษผมผิดเรื่อง




   [ สามปีที่แล้ว ]

   ‘เต เตชภณ’ ไม่ชอบอ่านหนังสือ...เขาเป็นคนเรียนไม่เก่ง ยิ่งวิชาไหนที่ต้องพลิกแพลงเนื้อหาที่เรียนมาใช้อย่างฟิสิกส์หรือคณิตด้วยแล้วความถนัดของเขายิ่งติดลบ ส่วนวิชาที่ต้องท่องจำเยอะๆเขาก็ไม่ชอบอ่านเหมือนกัน แต่หากพูดถึงความสามารถทางด้านศิลปะแล้ว เขากลับมีฝีมือที่ไม่เป็นสองรองใคร ผลงานของเขาได้รับรางวัลทั้งระดับโรงเรียน ระดับจังหวัดและก็ระดับประเทศ และที่น่าเจ็บใจก็คือ...ผลงานที่ได้รับรางวัลบางชิ้นของเต เขาใช้เวลาวาดมันไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ความสามารถในด้านนี้ของเขามันทั้งน่าหมั่นไส้และน่าชื่นชมไปในเวลาเดียวกัน

   ‘เต เตชภณ’ ไม่ชอบสถานที่เงียบ...เขาจะทนอยู่กับความเงียบได้นานที่สุดก็คือตอนสร้างงานศิลป์ แต่หากไม่ใช่ช่วงเวลานั้นแล้ว เขาจะชอบไปที่ๆที่มีผู้คน ได้ทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นเยอะๆ ดังเช่นสนามบาสในโรงเรียน
   
   ด้วยสาเหตุที่กล่าวมานี้เองทำให้ ‘เต เตชภณ’ ไม่ชอบเข้าห้องสมุด...ชีวิตนี้เตเข้าห้องสมุดมาไม่ถึงสามครั้ง และทุกครั้งที่เข้าก็จะเป็นเพราะว่าเขาโดนใครสักคนบังคับ เตไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องมานั่งอ่านหนังสือในห้องเงียบๆ ที่มีครูสูงอายุค่อยเอ็ดเวลาเด็กส่งเสียงดังด้วย

   แต่วันนี้...เตเข้าห้องสมุด

   แปลกอีกก็ตรงที่เตเข้าห้องสมุดทั้งๆที่ไม่มีใครบังคับ แต่เขาเข้ามาเพื่อมาตามหาใครบางคนต่างหาก คนๆนั้น...

   คนที่โดนลูกบาสอัดกระแทกเบ้าตาไปเมื่อวันก่อน

   อันที่จริงแล้ววันนั้นเตไม่ได้เป็นคนพลาดโยนลูกบาสไปตรงข้างสนามหรอก เพื่อนชายอีกคนของเขาต่างหากที่เป็นคนทำ ในระหว่างการเล่นครั้งนั้น เพื่อนจงใจจะส่งลูกมาให้เต เพียงแต่ว่าเจ้าตัวกลับเหม่อมองไปทางอื่นอยู่

   และสิ่งที่เตมองจ้องอยู่ก็ถูกลูกบาสกระแทกเข้าไปซะเต็มๆ

   ใช่...เขาเผลอมอง ‘ใครคนนั้น’ จนลืมว่าเขาอยู่ในสนามบาสไปเสียสนิท เพราะเหตุผลนี้เองไอ้ลูกยางสีส้มเจ้าปัญหานั้นมันถึงลอยไปกระแทกหน้าคนร่างบาง ตอนนั้นเตจำได้ว่าเพื่อนเขาจะวิ่งไปขอโทษคนข้างสนาม แต่เขานั่นแหละที่หันกลับไปบอกเพื่อนว่าเป็นคนจะเข้าไปคุยกับคนเจ็บเอง

   และหลังจากการพูดคุยในครั้งนั้น...เขาก็หยุดคิดถึงเรื่องของคนๆนั้นไม่ได้อีกเลย

   เขาเพิ่งจะตามสืบจนรู้ว่า ‘ใครคนนั้น’ ที่เขาพูดถึงมีชื่อจริงว่า ‘พีรการต์’ และมีชื่อเล่นว่า ‘พิณ’ จริงๆแล้วการสืบเรื่องของเจ้าคนนั้นก็ไม่ได้ยากอะไรนักหนาหรอก เพราะพีรการต์ออกจะมีประวัติที่โดดเด่นในโรงเรียนเขา ทั้งเรื่องกิจกรรมและเรื่องเรียน เจ้าตัวก็เหมาเอาหมดทั้งสองอย่าง มีน้อยคนนักในโรงเรียนที่จะไม่รู้จักพิณ

   พีรการต์ชอบเข้าร่วมกิจกรรม แต่เพราะช่วงนี้โรงเรียนไม่ค่อยมีงานอะไร คนที่ถูกกล่าวถึงจึงชอบไปสิงอยู่ที่ห้องสมุดในตอนเย็นบ่อยๆ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าพิณต้องรอกลับพร้อมพี่ชายที่ต้องอยู่ซ้อมดนตรีกับเพื่อนทุกเย็น

   ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่เตรู้มาจากการตามสืบเรื่องของพิณมาสามวันติด

   ว่าก็ว่าเถอะ...กูนี่ทำตัวเหมือนคนโรคจิตจริงๆนั่นแหละ 

   เตรำพันในใจ

   เขาไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงต้องไปตามสืบเรื่องของพิณด้วย เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาอยากทำและหยุดไม่ได้ รู้ตัวอีกที...เขาก็มายืนอยู่ในห้องสมุดนี่เพื่อสอดส่ายสายตาหาคนที่ถูกตามเสียแล้ว

   เมื่อเห็นว่าคนที่เขาตามหาไม่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะที่ถูกจัดไว้ให้พวกเด็กเนิร์ดนักอ่าน เตชภณก็ตัดสินใจเดินหาตามชั้นหนังสือ เขาเดินซอกแซกไปมาตามหลืบต่างๆ ก่อนที่เขาจะได้พบกับคนที่เขามองหามาตลอด...

   เตชภณมองเห็นพีรการต์ที่อยู่อีกฝั่งนึงของชั้นจากช่องว่างระหว่างหนังสือ อยากจะไปขอบคุณคนที่ยืมหนังสือเสียจริงที่ยืมได้ถูกเล่มถูกชั้นขนาดนี้ เตคิดอยู่กับตัวเองระหว่างที่มองสังเกตพิณผ่านช่องดังกล่าวในลักษณะหันหน้าเข้าหากัน

   ร่างบางที่ยังคงไม่รู้ตัวว่าถูกจ้องมองก้าวขาไปข้างหน้าเพื่อเดินไล่อ่านชื่อหนังสือ เพื่อหาหนังสือเล่มใหม่ๆ แต่ไม่ว่าพิณจะพยายามหาเท่าไหร่ หนังสือทั้งหมดบนชั้นนี้ก็มีเพียงแต่เล่มที่เขาอ่านแล้วทั้งนั้น

   เตเดินตามพิณมาจนสุดชั้นวาง คนตัวเล็กพึมพำบางอย่างกับตัวเองและยังไม่มีท่าทีว่าจะสังเกตเห็นเขา หากอยากจะรู้จักพิณให้มากกว่านี้ละก็...เตชภณคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะเดินอ้อมฝั่งไปทักทายร่างบางเสียให้มันสิ้นเรื่องไป

   คิดได้เช่นนั้นเขาจึงขยับขาก้าวเลี้ยวไปที่ขวามือของตัวเองเพื่อไปหาพีรการต์

   พร้อมกันที่ร่างบางขยับก้าวเลี้ยวซ้ายเพื่อที่จะไปดูอีกฝั่งนึงห้องชั้นหนังสือ

   ทั้งสองคนจึงได้เผชิญหน้ากันตรงกลางบริเวณปลายสุดของชั้นวางพอดี...

   ...ด้วยระยะที่ห่างกันไม่ถึงคืบ

   !!!

   เหมือนว่าใครมากดปุ่มหยุดเวลา ทั้งสองคนนิ่งไปทันทีที่รู้ว่าคนตรงหน้าตัวเองเป็นใคร พิณนิ่งไปเพราะไม่คิดว่าจะมาเจอเตที่นี่ ส่วนเตก็นิ่งไปเพราะไม่คิดว่าจะมาเจอพิณในระยะที่ประชิดขนาดนี้

   พิณกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนที่จะเป็นฝ่ายถอยหลังไป “เอ่อ โทษทะ...”

   “ชื่ออะไร” แต่ก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ทันคิดว่าพิณจะเอ่ยอะไรออกมา เขาพูดสวนขึ้นมาก่อนที่พิณจะได้พูดจบ ร่างบางกลืนน้ำลายพร้อมคำขอโทษของตัวเองด้วยความงุนงง เพราะว่าประโยคของตรงหน้าพอจะถูกตีความไปได้หลายแบบ และน้ำเสียงที่เตใช้พูดกับพิณตอนนี้ก็ดูไม่เป็นมิตรนัก

   เตชภณนึกอยากจะตบปากตัวเองสักร้อยหนที่ทำไปอย่างนั้น เขาพูดออกไปด้วยความตื่นเต้นและไม่ยั้งคิด ไม่ทันแม้แต่จะรับคำขอโทษจากพิณด้วยซ้ำ คำพูดที่เขาใช้ก็ดูสั้นและห้วนไปจนน่าใจหาย เขาได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้พิณกลัวแล้วเดินหนีเขาไปเสียก่อน

   เตไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะถามออกไปอย่างนั้นทำไม ในเมื่อเขาก็รู้ชื่อของพิณดีอยู่แล้ว

   รู้มากกว่าชื่อด้วยซ้ำ

   “ชื่อพิณ” ร่างเล็กตอบกระอ้อมกระแอ้ม เจ้าตัวไม่ได้เดินหนีไปอย่างที่เตกังวลใจ “ทำไมหรอ”

   “กูชื่อเต” เตชภณหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเขา “กูเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่”

   “อา...” พีรการต์ยังคงขมวดคิ้วงุนงง

   “ช่วย...ช่วยรู้จักกับกูหน่อยได้มั้ย”




   แล้วทั้งสองก็ได้รู้จักกันจริงๆนับแต่วันนั้น วันที่เตเดินไปขอทำความรู้จักกับพิณแปลกๆ จะให้บอกตามตรงก็คือตอนนั้นเตชภณเองตื่นเต้น...ตื่นเต้นเสียจนเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก นึกย้อนไปทีไรเตก็ขำตัวเองทุกที

   เย็นวันนั้นทั้งสองคนเก้อเขินกันนิดหน่อย แต่พิณก็ออกความคิดมาว่าเขาจะเป็นคนพาเตชมรอบๆพื้นที่เอง ร่างบางเป็นคนจัดการไปยืมมอเตอร์ไซค์ของพี่ชายก่อนจะขี่พาคนมาใหม่ไปสูดอากาศบนภูเขา

   ทั้งสองใช้เวลากันอยู่บนนั้นไม่นานมาก แต่ก็นานพอที่จะทำความรู้จักกัน

   และเตชภณเองก็ค้นพบว่าการพูดคุยกับพีรการต์นั้น ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตเขาก็คงจะรู้สึกว่ามันไม่พอ

   ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงชอบแวะมาที่ห้องสมุดทุกเย็น ทำอย่างนี้มาได้สองสามวันแล้ว

   “ไม่เห็นจะสมเหตุสมผลเลย” เตเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้องสมุด เขามีหนังสือวางอยู่ตรงหน้า แต่เตก็ไม่ได้สนใจที่จะอ่านมันเท่าไหร่นัก

   “อะไรไม่สมเหตุสมผลหรอ” ร่างเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาวางหนังสือในมือเจ้าตัวลงก่อนถามขึ้น “พูดถึงพล็อตเรื่องในนิยายหรือเปล่า”

   “เปล่า” เตส่ายหน้า “ทำไมพิณถึงชอบมานั่งจ้องตัวหนังสือเยอะๆ ในห้องเงียบๆ แบบนี้ละ”

   พิณหัวเราะในลำคอแผ่วเบา “ไม่ได้เรียกว่านั่งจ้องเสียหน่อย เรียกว่านั่งอ่าน”

   “ก็นั่นแหละ ที่ไม่สมเหตุสมผล” เตชภณว่าพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด ท่าทางของเขาทำให้รอยยิ้มจากพิณได้กว้างมากขึ้นกว่าเดิม

   “แล้วทำไมเตถึงชอบมานั่งเฝ้าเราอ่านหนังสือละ ทำไมไม่ไปเล่นบาสกับเพื่อน”

   ร่างสูงที่นั่งฝั่งตรงข้ามนิ่งไป จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่มีคำตอบเรื่องนั้นให้พิณเสียด้วย เตเคยนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงชอบมานั่งเฝ้าพิณอ่านหนังสือเป็นชั่วโมงๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยของคนอย่างเขาที่ไม่ชอบนั่งอยู่เฉย

   เตรู้เพียงแค่ว่า...เขาชอบมองหน้าพิณ จะให้มองกี่รอบยังถูกใบหน้าของร่างบางดึงความสนใจเอาไว้ได้ทุกครั้ง พิณเป็นคนขาวอาจจะเป็นเพราะว่าพิณมีเลือดคนจีนไหลเวียนอยู่ในร่างกายครึ่งหนึ่งเขาจึงเจ้าตัวจึงขาวจนเห็นเส้นเลือดได้ถึงเพียงนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หน้าพิณดูจืดเลยแม้แต่น้อย

   หน้าตาของพิณไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่เตกลับชอบมอง

   มองทีไรใจมันก็อุ่นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   และเตเองก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะหาที่มาของอาการใจอุ่นนั่นด้วย

   “ไม่มีคำตอบหรอ” พิณถามขึ้นมาหลังจากเห็นว่าร่างสูงตรงหน้าเงียบไปนานเกิน และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เตหลุดออกจากภวังค์ของเขา

   “หะ...”  เตกลืนน้ำลายก่อนจะกะพริบตาถี่ๆ “อ่อ...ไม่รู้สิ ก็คงชอบเฉยๆมั้ง” คำตอบของเตทำให้ใจของใครบางคนเต้นผิดจังหวะไป หากเจ้าตัวไม่รีบแก้คำพูดเสียก่อน “หมายถึงว่า นั่งอยู่ในนี้มันก็เย็นสบายดี”

   “หรอ...” ร่างบางครางรับ กล่าวโทษตัวเองที่เผลอใจเต้นแรงกลับคำพูดที่ไม่คิดอะไรของเพื่อนไปเสียได้ “นั่นแหละ พิณชอบอ่านหนังสือ เหมือนที่เตชอบนั่งตากแอร์เย็นๆ”

   คนพูดเว้นจังหวะไป

   “บางทีคนเราชอบอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องสมเหตุสมผลหรอกนะ” พิณยิ้มให้เตหลังจากที่เจ้าตัวพูดจบ คนตัวเล็กเลิกให้ความสนใจกับบทสนทนา แล้วหันไปอ่านหนังสือนิยายของตัวเองต่อ

   เตเผลออมยิ้มในขณะที่เขานั่งมองพีรการต์อ่านหนังสือในมือนั่น ทั้งๆที่มันไม่ได้มีอะไรพิเศษแต่อวัยวะภายในอกข้างซ้ายของเตก็ส่งเสียงประหลาดๆออกมา

   ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...

   อา...ไอ้หัวใจที่เต้นแรงแบบนี้ มันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย



.............................................................



คนเขียนขอเม้าท์: มีคนเตือนมาว่าบรรยายเยอะไปและเดินเรื่องช้าค่ะ อันนี้ก็พยายามรวบให้มันกระชับขึ้นแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะกระชับไปหรือเปล่า(ฮา) ยังไงก็ฝากติชมเรื่องนี้ด้วยแล้วกันนะคะ คนเขียนทิ้งงานด้านนี้ไปนานมากจริงๆ
ไม่คอมเม้นท์ในนี้ก็ฝากติด #เตคนเล่นพิณ ทวิตเตอร์ก็ได้ค่ะ
แต่ยังไงก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจและคำวิจารณ์นะคะ -/\-
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-05-2017 16:20:19
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 15-05-2017 17:19:47
เกาะๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: wasu ที่ 15-05-2017 17:35:18
มาติดตามๆๆ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-05-2017 18:48:18
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 15-05-2017 18:50:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-05-2017 19:55:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 15-05-2017 20:05:38
อืมมม เจ้ากรรมนายเวรของแท้
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 15-05-2017 20:27:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 15-05-2017 20:34:41
รอติดตามตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: boobooboo ที่ 15-05-2017 21:46:45
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-05-2017 18:52:38
รอติดตามตอนต่อไปค่าาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 16-05-2017 19:46:58
รอต่อตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 4] 15.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 17-05-2017 17:54:49
CHAPTER FIVE

- And even after all the hell you put me through I still want to end up in your arms. -


   
   ผมตื่นมาตอนเช้าด้วยอาการปวดหน่วงๆที่ศีรษะ หยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าตัวเองไม่ได้ตื่นตามที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ผมตื่นช้ากว่าที่ตั้งใจไปประมาณสามชั่วโมง ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าผมไปไม่ทันโรงเรียนเข้าแล้ว ข้อความในมือถือผมถูกส่งมาจากหลายคน ทั้งเพื่อน เฮียภีมและน้องที่อยู่ในงานละคร แต่ผมยังไม่มีอารมณ์ตอบ

   วันนี้ผมเพียงอยากนอนนิ่งๆปล่อยให้เวลามันผ่านไปเท่านั้น

   ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่า อาการเหล่านั้น กำลังกลับมาเล่นงานผมอีกรอบแล้ว

   ผมใช้เวลาทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่ายจมดิ่งลงไปกับความคิดของตัวเอง ในช่วงเย็นผมไลน์ไปโกหกเฮียภีมนิดหน่อยว่าผมสบายดีและวันนี้แค่โดดเรียน เผื่อว่าไอ้เกล้าหรือไอ้มะนาวจะโทรไปฟ้องเฮียว่าวันนี้ผมหายไป เฮียภีมจะได้ไม่ต้องผิดสังเกตอะไร

   และผมใช้เวลาทั้งวันไปกับการจ้องมองดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งบนท้องฟ้า

   คิดอยู่ในใจคนเดียวว่าชีวิตของผมมันก็แค่ฝุ่นธุรีเล็กๆละอองหนึ่งถ้าเทียบกับดวงดาวฤกษ์สีอมส้มนั่น

   ถ้าผมหายไป พระอาทิตย์ก็คงยังจะทำงานของมันต่อ โลกก็คงยังจะหมุนไป

   ...ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไรด้วยซ้ำ...

   ชีวิตที่แปดเปื้อนจนต้องปกปิด ชีวิตที่ถูกเหยียบย้ำจากคนที่เคยไว้ใจ ชีวิตที่ไม่มีค่าพอให้ใครมาปกป้อง

   ชีวิตที่ไร้ค่า

   คิดมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ได้แต่นอนนิ่งให้น้ำตามันไหลเปื้อนหมอน เจ็บสะท้อนในใจทุกครั้งที่หายใจเข้าออกเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องราวที่ผมถูกทิ้ง ถูกหักหลัง ถูกทำร้าย มันน่าสังเวชใจเกินกว่าจะเกิดขึ้นมาในชีวิตจริง

   ผมบอกเฮียภีมว่าพิณคนเก่าตายไปแล้ว บอกเตว่าตอนนี้มีแต่คนที่ชื่อว่าภัทร

   แต่นั่นมันไม่จริงเลย

   ทั้งความรู้สึกและความทรงจำของพิณยังไหลเวียนอยู่ในตัวผม

   ความทรงจำดีๆที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นอีก และความทรงจำแย่ๆที่ย้อนเข้ามาทำร้าย

   สิ่งเหล่านั้นมันกัดกินใจของผมจนไม่เหลือชิ้นดี

   อ๊อดดดดดดดดดดดด!

   เสียงออดที่ดังขึ้นหน้าประตูไม่ได้ทำให้ผมอยากจะลุกขึ้นไปเปิดประตูเท่าไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนหน้าประตูนั้นจะเป็นใคร หากแต่ผมทราบดีว่าคนๆนั้นคงไม่เป็นเฮียภีมเพราะแกต้องอยู่ติวมิดเทอม

   คนหน้าประตูคนนั้น...

   อ๊อดดดดดดดดดดดดดด!

   อาจเป็นคนที่โรงเรียนที่มาหาเพื่อไถ่ถามเรื่องงานละครที่ผมทิ้งความรับผิดชอบมาในวันนี้ อาจเป็นเพื่อนผมสักคนที่จำใจมาดูว่าผมยังอยู่ดีหรือไม่

   ในใจของผมภาวนาให้ใครคนนั้นกลับเมื่อเห็นว่าผมไม่เดินออกไป ภาวนาให้ใครคนนั้นเลิกล้มความคิดที่จะเจอผมเมื่อประตูห้องไม่ถูกเปิดออก

   ภาวนาให้ใครคนนั้นไม่ใช่เต

   เสียงออดหน้าประตูนั่นเงียบหายไป ทำให้ผมโล่งใจขึ้น ผมเอาหน้าซุกกับผ้าห่มหลับตาลงอีกรอบแม้ว่าจะไม่ง่วง แต่อาการอ่อนเพลียไม่รู้ว่ามาจากไหนกลับเข้าจู่โจม ลมหายใจของผมแผ่วเบาเสียจนน่าใจหาย และบางครั้งผมก็อยากให้มันหยุดไป

   หายไปตลอดกาล

   ก๊อกๆๆ!

   เสียงเคาะเรียกที่ประตูกระจกตรงระเบียงฉุดผมให้เด้งขึ้นจากเตียงด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งตกใจและคาดไม่ถึง ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าใครอยู่ข้างนอกนั้น คงจะมีเพียงไม่กี่คนบนโลกที่กล้าปีนระเบียงมาเคาะห้องผมในเวลานี้ ผมนึกโมโหสถาปนิกของคอนโด ที่ออกแบบมาให้ตึกนี้มันง่ายต่อการปีนเหลือเกิน

   ก๊อกๆๆ!

   ให้ตายเถอะ...ผมอยากรู้จริงๆว่าเตคิดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

   ก๊อกๆๆ!

   พรึ่บ!

   “นี่!” ผมเปิดประตูออกไปแหวใส่เขา ทั้งที่ในชีวิตผมไม่ค่อยจะขึ้นเสียงกับใคร ผมไม่รู้ว่าอารมณ์ที่เหวี่ยงขึ้นลงของผมนั้นเป็นเพราะอะไร ถึงแม้ว่ามันจะคล้ายๆกับอาการที่ผมเป็นครั้งที่แล้ว แต่มันก็ไม่ทั้งหมด “ใจคอจะเคาะไปถึงเมื่อไหร่กัน”

   “เมื่อมีคนมาเปิด” ร่างสูงเอ่ยขึ้นนิ่งๆเหมือนกำลังบอกสภาพดินฟ้าอากาศ หน้าของเตที่ขึ้นสีเล็กน้อยทำเอาผมผิดสังเกต “นี่วันทั้งวันไม่คิดจะออกจากห้องเลยหรือไง”

   “แล้วรู้ได้ไงว่ากูไม่ได้ออกจากห้อง”

   “ก็วันนี้รออยู่” เตว่า เขาพ่นลมหายใจออกมาจนผมสัมผัสได้ว่ามันร้อนๆชอบกล “ว่าจะดักรอเจอ ก็บอกแล้วไงว่าอยากรู้จักกับภัทร”

   “แต่ภัทรคนนี้ไม่ได้อยากรู้จักกับมึง” ผมถอนหายใจ ก่อนจะเอามือไปจับบานประตูไว้เตรียมจะปิด “มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น”

   พรึ่บ!

   “ก็ห้องอยู่ข้างกันจะไม่รู้จักกันได้ยังไง” เตเอามือของเขามาวางประตูที่จะปิดไว้ เขาดันให้มันเปิดกว้างขึ้นอีกหน่อย “ไม่แน่นะ ถ้าภัทร ได้รู้จักเตคนนี้มากอีกหน่อย ภัทรอาจจะชอบหลงชอบเตขึ้นมาเลยก็ได้” ผมพยายามจะปัดมือเขาออกไปถึงได้รู้ว่าตัวเขาร้อนมาก ร้อนเหมือนคนเป็นไข้

   “นี่ไม่สบายหรอ” ผมขมวดคิ้ว และเผลอเอามือไปแตะลำคอเขาเพื่อวัดอุณหภูมิอย่างลืมตัว

   …นี่ตัวร้อนขนาดนี้ ยังยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่ได้ยังไง

   “เพิ่งจะหยอดไป ฟังหน่อยไม่ได้หรอ”

   “เต นี่ไข้สูงเลยนะ” ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้ามาในห้องเพื่อไปหยิบปรอทวัดไข้ที่อยู่ไหนสักแห่งในห้องน้ำ ค้นได้สักพักก็เจอ ก่อนจะออกไปหาเจ้าคนป่วยที่บัดนี้ถือวิสาสะเข้ามานั่งอยู่บนโซฟาของผมเรียบร้อยแล้ว “คาบไว้ใต้ลิ้น”

   ผมสั่งเตเสียงเรียบ เขารับปรอทวัดไข้เอาไว้ในปาก ไม่ถึงนาทีผมก็ดึงมันออกมา

   ...สามสิบเก้าจุดเจ็ด...

   เขาอาจจะไข้ขึ้นเพราะพิษของบาดแผลบนศีรษะ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นไอ้ไข้บ้านี่มันก็สูงจนน่ากลัว ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะชักไปแล้ว

   “เต กลับห้องไปนอนพัก” น้ำเสียงของผมติดเครียดเล็กน้อย “กลับไป”

   “อะไร นี่ยังไม่ทันรู้จักกัน มาเป็นห่วงเป็นใยซะแล้ว” คนตรงหน้ายังทำหน้ายิ้มแป้นแล่นเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ทั้งที่จริงๆเขาอาจจะไม่ไหวแล้ว เตเป็นคนฝืนเก่ง เก็บอารมณ์เก่งมากกว่าผมหลายเท่าตัว ดังนั้นบางครั้งเขาจึงเป็นคนที่มองยากมากๆ ยิ่งกับผมที่อ่านคนอื่นไม่เก่งด้วยแล้ว จึงทำให้ผมเข้าใจเตได้ไม่ง่ายเลย

   “นี่มันไม่ใช่เวลามาเล่น กลับห้องไปกินยา เดี๋ยวช็อคขึ้นมาจะทำยังไง”

   “บอกมาก่อนว่าเป็นห่วง แล้วจะยอมกลับ”

   “เต...” ผมเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เขาเอาความเป็นความตายของตัวเองมาล้อเล่นกับผมหลายรอบแล้ว และผมก็ไม่สนุกกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว

   “พูดหน่อย แค่โกหกก็ได้” น้ำเสียงของเขาแฝงอารมณ์บางอย่างทำให้ผมชะงักไป แต่เตก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากไปกว่านั้น เขายังคงส่งยิ้มมาให้ผมดังเดิม “ขอเถอะ”

   ถึงเตจะเป็นคนที่เคยทำร้ายผม...

   …แต่ผมก็แพ้เขาทุกที

   “อืม เป็นห่วง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ พยายามกักเก็บอารมณ์และความรู้สึกอะไรก็แล้วแต่ที่มันอาจส่งผ่านประโยคนั้นออกไป ที่ยอมพูดเพราะผมไม่อยากให้เขาเป็นอะไร แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะให้เขาได้ทุกอย่างที่เขาต้องการไป

   อย่างน้อย เตก็ไม่ควรได้รู้

   ว่าจริงๆแล้วเขาทำให้ผมรู้สึกอะไรได้มากแค่ไหน

   แต่ถึงกระนั้นเตก็ยังยิ้มรับคำพูดของผม แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่ผมอ่านไม่ออกว่าข้างในเขารู้สึกอย่างที่แสดงออกหรือไม่

   ผมเดินถอยจากเตไปเปิดประตูห้องแล้วรอเขาอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ เตนั่งมองผมอยู่ช่วงขณะหนึ่งแต่ก็ยอมลุกออกมาจากโซฟาแต่โดยดี เขาหันหน้ามาหาผมตอนเดินผ่านแต่ก็ไม่พูดอะไรจนกระทั่งเขาเดินไปถึงประตูห้องของตัวเอง

   “ภัทร” เขาเรียก ผมไม่ได้ขานตอบ แต่เตรู้ว่าผมกำลังฟังอยู่ “ห้องเตไม่มียานะ ไม่ได้ซื้อติดไว้” ร่างสูงยกยิ้มมุมปากแล้วหันมามองผมตรงๆ พูดทิ้งท้ายประโยคไว้ก่อนจะเดินเข้าห้องไป “ประตูห้องเตไม่ล็อคนะ”

   อะไรกัน...ไม่มียางั้นหรอ แล้วจะไปหายยังไง ถ้าทิ้งไว้อาการจะทรุดหรือเปล่า

   ผมยืนนิ่ง นิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นนาที พยายามจะคิดว่าผมควรจะทำอะไร ผมควรจะเอายาไปให้เตมั้ย หรือผมควรจะปล่อยเขานอนไปอย่างนั้นในห้องตัวเอง

   เสียงในหัวผมบอกผมว่ามันควรจะเป็นอย่างหลัง ผมทำให้เตมาเยอะเกินพอแล้ว ทั้งปฐมพยาบาลให้เขา นั่งรถไปส่งที่โรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ และวัดไข้ให้เขา ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อะไรที่ผมควรทำให้เตเลยแม้แต่น้อย เขาไม่สมควรจะได้รับความเห็นใจใดๆจากผมหลังจากสิ่งที่เขาทำไว้เมื่อสามปีก่อน

   ผมยืนเม้มปาก จ้องบานประตูห้องของเตอยู่นิ่งทั้งที่ความคิดของผมมันตีกันไปมาอยู่ในหัว

   ช่างแม่ง

   และแล้วผมตัดสินใจพาตัวเองเดินเข้าห้อง...

   ...ก่อนจะเดินไปที่ครัวเพื่อหยิบหม้อขึ้นมาเพื่อตั้งน้ำร้อนเตรียมต้มข้าวต้ม

   ผมไม่เคยใจร้ายกับเตได้สักที ไม่เคย




   อ๊อดดดดดดด!

   เสียงสัญญาณออดที่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งแม้ว่าผมจะเป็นผมกดเอง ผมก้มมองข้าวต้มกุ้งและยาในมืออีกครั้งอย่างไม่เข้าใจว่าผมพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ผมเจอกับเตอีกครั้งและมันก็เป็นเพียงแค่เมื่อวานที่เราเริ่มได้คุยกัน(ด้วยความจำเป็น)  ผมไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ

   รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาทำกับผมไว้มันร้ายกาจ

   แต่ผมกลับห้ามตัวเองไม่ได้

   ไม่ได้เลยสักนิดเดียว

   แอด...!

   ประตูที่ค่อยๆเปิดออกมาอย่างเชืองช้าทำให้ผมเกร็งตัว ผมเสหน้าหันไปมองทางอื่นเพราะทำตัวไม่ถูก

   “พิ...ภัทร” เตเหมือนจะหลุดเรียกชื่อเก่าผมออกมาในเสี้ยววินาทีแรก แต่เขาก็เปลี่ยนมันได้อย่างทันท่วงที จริงอยู่ว่าผมบอกให้เขาเรียกผมด้วยชื่อใหม่ แต่ตอนนั้นผมพูดไปเพราะต้องการจะประชดให้เตเห็นว่าทุกความรู้สึกที่ผมมีต่อเขามันได้หมดลงไปแล้ว ไม่ได้หมายความตรงตามคำพูด ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำตามผมบอกไปเพื่ออะไรในเมื่อเขาก็น่าจะรู้จุดประสงค์ที่ผมพูดออกไปแบบนั้น “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว รออยู่ตั้งนาน”

   เตพูดออกมาแบบนั้น

   ...เขาอ่านผมขาดเสมอ

   เตชอบเล่นเกม และนี่มันก็คืออีกเกมของเขา

   และมันเป็นเกมที่ผมไม่มีทางชนะ ผมรู้ดี

   “หลีกไป” ผมเลือกที่ไม่สนใจคำพูดเต แล้วเดินผ่านเข้าห้องของเขามาทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต กลิ่นของห้องเป็นกลิ่นสะอาดเหมือนกับตัวเต ภายในก็เหมือนๆกันกับห้องผมเพียงแต่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะเพราะเจ้าตัวเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ “เอาข้าวกับยามาให้” ผมยืนหันให้เขาพลางพูดนิ่ง

   “…” เขาเงียบ ผมคิดเอาไว้ว่าจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจให้จบ แล้วผมจะกลับ

   “เอานี่ไปกินแล้วไปนอนพักซะ”

   “…” เขายังคงไม่โต้ตอบอะไร

   “ส่วนจากนะ...”

   พรึ่บ!

   เสียงบางอย่างที่ดังขึ้นหน้าประตูทำให้ผมต้องหันไปมอง ก่อนจะพบร่างสูงที่นอนคว่ำอย่างหมดแรงอยู่ที่พื้น “เต!” ผมเรียกชื่อเขาอย่างตกใจ วางข้าวของในมือลงแล้ววิ่งเข้าไปหาเขาทันที “เต!” ผมช้อนตัวเขาขึ้นมาตบหน้าเพื่อเรียกสติ

   ทำอย่างนั้นอยู่สองสามครั้งจนเปลือกตาของคนตรงหน้ามีการเคลื่อนไหว

   เตลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง แต่พอเห็นผมแล้วเขาก็พูดขึ้น

   “ดีจังนะ” คนตรงหน้ายิ้ม

   “…” ผมเงียบ เพราะไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร

   “พิณกอดเตแล้ว” เขาเอ่ยอีกรอบ พลันน้ำใสๆก็ไหลลงจากหางตาทันทีที่เขาหลับตาลง

   ผมอึ้ง...อึ้งไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ผสมปนเปกันอยู่ข้างใน จุกที่ใจเล็กๆเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากเตด้วยน้ำเสียงสั่นเครือนั่น แต่ผมมีเวลาไม่มากในตอนนี้ ไข้ที่สูงขึ้นแบบนี้ผมควรจะเรียกรถพยาบาล แต่มันก็อาจไม่ทัน รถอาจมาช้าไป ผมยกมือขึ้นมาวัดไข้เขาอย่างกังวล

   “เต เตอย่าเพิ่งหลับนะ ตื่นก่อน ลืมตามองหน้าพิณก่อน” ผมพูดพลางประคองตัวเขาให้ลุกขึ้นเพื่อที่จะพาเดินไปนอนที่เตียง ลำบากนิดหน่อยเพราะเตสูงกว่าผมเล็กน้อย แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง

   พรึ่บ!

   ผมทิ้งตัวเขาลงบนเตียง

   “ไม่หลับหรอก” เขาลืมตาขึ้นมาปรอยๆ “กว่าพิณจะยอมอยู่กับเตแบบนี้อีกที ก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่” เตพูด และนั่นก็อาจจะเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้เขาเพ้อ “ไม่รู้ว่ามันจะมีวันนั้นมั้ยเลยด้วยซ้ำ”

   ผมสั่นไหวอีกครั้งกับคำพูดของเต แต่มันไม่มีเวลาอะไรให้ผมมานั่งพร่ำเพ้อกับเขาตอนนี้

   ผมเดินไปหยิบกะละมังใบเล็กและผ้าขนหนูที่ใช้เวลาหาไม่นานนัก ก่อนจะกลับมาพร้อมน้ำอุ่นเตรียมเช็ดตัวให้เต ผมถอดเสื้อเขาออกจากตัวอย่างเร่งร้อนทั้งๆที่มือสั่นไปหมดเพราะความกลัว บิดผ้าหมาดๆ จากนั้นก็ไล่เช็ดไปตามแอ่งชีพจรของเขา ทำอยู่อย่างนั้นหลายรอบ ผมเลิกกางเกงขาสั้นของเขาใส่มันสูงขึ้นไปอีกนิดเพื่อที่จะได้เช็ดร่างกายช่วงล่างของเขาใส่มันสะดวกขึ้น

   ให้ตายเถอะ...เขาตัวร้อนอย่างกับไฟแน่ะ

   เตไม่ได้นอนหลับตา เขานอนจ้องมองผมอยู่ทุกการกระทำ

   ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เพราะผมไม่ได้อยากให้เขาหมดสติ

   “เตไม่อยากเรียกพิณว่าภัทรเลย” จู่ๆร่างสูงก็พูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมฟังผ่านคำพูดนั้น ไม่ได้โต้ตอบและไม่ได้หยุดมือจากสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ “แต่เตก็ยอมเรียกแบบนั้น เพราะเตไม่อยากได้ยินพิณพูดว่าตัวเองตาย”

   เตกำลังเพ้อ เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าเขาพูดอะไรอยู่

   แต่กระนั้น คำพูดของเขาก็มีอิทธิพลมากพอทำให้ผมชะงักมือไปเสี้ยววินาทีนึง ผมกัดปากตัวเองเพื่อเรียกสติ พยายามเช็ดตัวบรรเทาไข้ของเขาต่อไป

   “เตไม่อยากให้ใครมาพูดไม่ดีเกี่ยวกับพิณ แม้แต่ตัวพิณเอง” เตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเล่าเรื่อง หากแต่ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เข้มข้นอยู่ในประโยคเหล่านั้น ผมเริ่มอึดอัด อึดอัดเสียจนเกินคำบรรยาย “พีรการต์ของเต”

   “ชู่...” ผมเอ็ดให้เขาเงียบ เพราะทนฟังไม่ไหว สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมันตอกย้ำความทรงจำที่อยู่ในอดีตของผมเกินไปแม้ว่าเขาจะไม่รู้ตัว ผมกำลังจะร้องไห้ แต่ผมต้องเข้มแข็งเพื่อจะดูแลเขา เตจะต้องไม่เป็นอะไรเด็ดขาด เขาจะต้องหาย

   เตจะต้องแข็งแรงพอให้ผมผลักไสเขาไปอีกครั้ง

   “พิณ” เขาเรียกผมตอนผมกำลังพลัดเสื้อผ้าใหม่ให้เขา อันที่จริงผมก็ไม่อยากทำนักหรอก เพราะมันออกจะน่ากระดากอายอยู่เหมือนกัน แต่ผมมัวแต่คิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เตนอนพร้อมกับเสื้อผ้าชื้นๆอย่างนั้นไป เขาคงจับไข้มากกว่าเดิม “เตไม่ได้เพ้อนะ พูดอะไรก็รู้ตัว”

   เขาบอก...

   …แต่ผมไม่ฟัง

   คำพูดที่ออกมาแบบนั้น ให้เขาเพ้อเสียยังจะดีกว่า

   ผมเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปหยิบข้าวต้มและยามาให้เขา นั่งลงตรงข้างเตียงแล้วแล้วจัดท่าให้เตลุกขึ้นมานั่งแบบกึ่งนอนพิงหมอน หยิบช้อนขึ้นมาตักอาหาร เป่า และยื่นไปตรงหน้่าเขา เตมองผมนิ่งและยังไม่เคลื่อนไหว ผมพอรู้มาอยู่บ้างว่าคนที่เป็นไข้บางคนจะรู้สึกไม่สบายตัวจนไม่อยากกินอะไร

   “กินข้าวหน่อยเถอะ จะได้กินยา”  ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ขอร้อง เตมองหน้าผมแล้วยิ้มจางๆออกมา ก่อนที่เขาจะยอมกินข้าวที่ผมเป็นคนป้อน สายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าผมไม่ได้เคลื่อนไปไหน และนั่นมันก็ทำให้อวัยวะภายในอกซ้ายของผมเต้นแรงทุกครั้งที่ผมสบตากับเต แต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เตก็เริ่มกินช้าลง ช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดกิน “อิ่มแล้วหรอ”

   “ถ้าเตกินหมดแล้วพิณจะกลับห้องเลยหรือเปล่า” เขาถาม

   และเขาก็คงจะคาดหวังให้ผมตอบปฎิเสธ

   เพราะเป็นแบบนั้น ผมจึงไม่ตอบ

   “กินยานะ แต่ถ้าอีกสองสามชั่วโมงอาการยังไม่ดีขึ้นก็ควรจะไปหาหมอ” ผมพูดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเต ลมหายใจที่ยังไม่สม่ำเสมอของเขาบ่งบอกว่าพิษไข้ยังคงอยู่ ผมหันไปวางชามข้าวในมือลง ก่อนจะหยิบยากับแก้วน้ำมายื่นให้เขา

   แต่เตกลับจับข้อมือผมเอาไว้...ร่างกายของเขาร้อนผ่าว

   เขาไม่ได้บีบข้อมือผม ไม่ได้จับแรงเสียด้วยซ้ำ ถ้าผมสะบัดออกทีเดียวก็คงหลุด

   แต่ผมทำไม่ได้

   “ถ้าเตกินยาแล้ว พิณอย่าเพิ่งกลับห้องได้มั้ย” เขาลูบวนบนหลังมือของผมอย่างนุ่มนวล ผมเม้มปากเข้าหากันแน่น ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรออกไป สายตาที่เว้าวอนของเขาทำเอาผมปวดลึกในใจอย่างบอกไม่ถูก “อย่าไปได้มั้ย”

   คำพูดของเขาทำให้ผมหยุดหายใจ พลันสมองนึกคิดถึงเหตุการณ์ในวันวานที่ผมไม่ควรจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาจากความทรงจำอีก

   หากเพียงเขาพูดแบบนี้...หากเพียงเตพูดคำนี้ในวันนั้น

   หากเพียงเขารั้งผมไว้สักนิด

   เรื่องทั้งหมดมันคงจะง่ายกว่านี้

   แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้น...

   “อืม” ผมตอบตกลงอย่างแผ่วเบา ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำ เตรับยาและแก้วน้ำไปจากมือของผมแล้วกลืนเม็ดยาลงไปอย่างง่ายดาย ผมรับของคืนมาจากเขาก่อนจะจัดท่าให้เขานอนลง ผมลุกขึ้นจากข้างเตียง เดินเอาชามแล้วแก้วไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ จากนั้นก็เอาผ้าไปชุบน้ำ เดินกลับไปที่เตียงเพื่อนำไปวางลงบนหน้าผากของเตเพื่อหวังบรรเทาอุณหภูมิในร่างกายของเขา

   เขาสบตาสายเมื่อผมก้มลงใกล้ ยื้อแขนผมลงไปจนลมหายใจของเราสัมผัสกัน

   ผมไม่อยากมองความเจ็บปวดที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตานั่น แต่ผมกลับละสายตาไปไหนไม่ได้

   “พิณ” เขาเรียก “อยู่กับเตก่อน”

   ผมอยากจะร้องไห้...

   ...ผมอยากจะร้องไห้ออกมาเพราะความรู้สึกอะไรก็ไม่รู้ที่มันปะทุอยู่ข้างใน ทันทีที่เขาสัมผัสตัวผมอย่างอ่อนโยน และพูดกับผมแบบนั้น น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนก็คลออยู่ในดวงตาทั้งสองข้างของผมทันที ผมกัดปากตัวเองเอาไว้ เมื่อรู้ว่ากำแพงที่มีอยู่มันกำลังจะทลายลงมาแล้ว

   แต่ผมกลับไม่ห้ามตัวเองเลย

   เตเขยิบตัว ก่อนจะยื้อให้ผมนอนลงข้างๆเขา ผมเลือกที่จะทิ้งเหตุผลทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลังแต่ปล่อยให้เตทำอย่างที่เขาอยากทำ

   ร่างสูงเข้ามากอดผมไว้ ใบหน้าของผมอยู่ซุกอยู่บนหน้าอกของเขา หัวใจของเตเต้นเร็ว

   ผมรู้ว่านี่มันเกินความจำเป็น ผมรู้ว่าตัวเองใช้ข้ออ้างที่เตเป็นไข้เพื่อทำตามความปราถนาลึกๆในใจตน แต่ผมปฏิเสธมันไม่ได้

   แล้วผมก็ร้องไห้ ร้องไห้ออกมาในอ้อมกอดของเต ร้องไห้เพราะโกรธเตกับสิ่งที่เขาเคยทำกับผมไว้ในอดีต ร้องไห้เพราะหงุดหงิดที่เขาไม่สบายจนลำบากให้ผมต้องมาดูแล ร้องไห้เพราะโมโหโชคชะตาที่เล่นตลกให้เราสองคนมาเจอกันอีกครั้ง

   และก็ร้องไห้...เพราะเจ็บใจตัวเองที่ไม่เคยปฏิเสธเตได้เลย

   ผมเกลียด เกลียดความอ่อนโยนที่เขามอบให้กับผม

   “ไม่เป็นไรแล้วนะพิณ ไม่เป็นไรแล้ว” เกลียดจูบที่ขมับนั่น

   และยิ่งที่เกลียดมากไปกว่านั้น คือการที่ผมต้องรับรู้ว่าจริงๆแล้วผมโหยหาความอ่อนโยนเหล่านั้นมากแค่ไหน

   “คนใจร้าย ฮึก...คนใจร้าย”



....................................................................................



คนเขียนขอเม้าท์: รู้สึกได้ว่าเจ้าเตมันไม่เคยโผล่หน้ามาหาน้องพิณด้วยสภาพร่างกายปกติเลยสักครั้ง ครั้งหน้าคงลอยน้ำมาให้น้องพิณเอาไปเผา(ฮา) พยายามจะกระชับบทบรรยายแล้วนะคะ กลัวคนอ่านง่วงหลับไปเสียก่อน
ทราบดีว่าอารมณ์ของน้องพิณเหวี่ยงขึ้นลงเยอะมาก ไม่ได้เพี้ยนนะคะ คนเขียนตั้งใจ
ฝากคอมเม้นท์ติชมด้วยนะคะ ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกกำลังใจค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 17-05-2017 18:37:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 17-05-2017 19:13:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-05-2017 19:22:18
บางสิ่งบางอย่างที่เกิด เราคิดว่าคนนี้เป็นคนทำ
แต่อาจไม่ใช่เขาทำ แต่เพราะเราตีตราว่าเขาทำไปแล้ว
และไม่ยอมฟังความจริง ยังเชื่อกับสิ่งที่คิดอยู่อย่างนั้น
เหมือนพิณ เชื่อว่าเต ทำเรื่องไม่ดี แต่พิณ ไม่ยอมฟังสิ่งที่เต พูด
แล้วก็ไม่รู้เรื่องกัน เข้าใจผิดต่อไป  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 17-05-2017 19:52:59
เตต้องการอะไร?? มีอะไรมากกว่าที่พิณคิดใช่ไหม?? :ling3:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 17-05-2017 20:03:23
มันก็วนอยู่ในอ่างอะพิณ เพราะพิณก็เหมือนเดิม ไม่เคยใจแข็ง
บอกจะทำๆก็ไม่ ทบทวนเอานะว่าจะเอายังไว
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-05-2017 20:06:33
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 17-05-2017 21:15:26
ยังไงกันแน่ รอความจริงคลี่คลาย :hao4:
ลุ้นจนตัวโก่ง :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 17-05-2017 21:27:08
เราว่าให้เรื่องเดินหน้าอีกสักนิดจะดีไหมอ่ะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-05-2017 21:39:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 17-05-2017 21:51:03
อะไรกันเนี่ย
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-05-2017 22:44:13
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: fsbeentaken ที่ 19-05-2017 21:56:19
ส่วนตัวคิดว่าเตน่าจะไม่ใช่คนปล่อยรูปอะไรนั่น และชมคนเขียนเลยว่าเขียนได้น่าประทับใจมากๆ :mew6:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 19-05-2017 23:56:56
อะไรอ่ะ ซับซ้อนว่ะพิณ เตทำอะไรมาจะเป็นยังไงนี่ไม่รู้
แต่พิณใจยังไม่แข็งพออ่ะ อ่อนง่ายมากเลย อาจเป็นเพราะว่าเรากับพิณมีนิสัยที่ตรงกันข้ามเลยรู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆที่บอกว่าจะไม่เอาไม่เอาแต่เอาอะไรประมาณนี้
ตอนนี้ไม่เชิงเจ้ากรรมนายดวรแล้วล่ะ เรียกว่าความสับสนมากกว่า นี่ก็ไม่รู้ว่าเตทำอะไรมา แต่ส่วนใหญ่ตามพล็อตคือพระเอกมักดีแต่นายเอกเข้าใจผิด หรือพระเอกอาจจะมีเหตุผลบางอย่างไรงี้ เดามั่ว
นี่อ่านก็อิน เผื่อคนเขียนจะคิดมาก เราแค่อินกับพิณประมาณเราไม่เข้าใจ เพราะชีวิตตัดคนออกจากชีวิตได้ขาดเสมอ สรุปเราคิดมากเอง55555555
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 5] 17.05.17 ◣PAGE 2 ◢
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 26-05-2017 15:00:13
CHAPTER SIX

- We are tormented because love goes on not because it goes away. -

   
   ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเต รู้สึกโกรธตัวเองเป็นอย่างมากที่เผลอร้องไห้จนหลับไป ผมไม่เข้าใจตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือผมไม่เข้าใจเต เขาไม่ควรจะกลับมาทำแบบนี้กับผมทั้งๆที่เจ้าตัวเป็นคนที่เคยผลักไสผมเองกับมือ บางที...เขาอาจจะรู้สึกผิด แต่นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาได้ชดเชยสิ่งที่เคยทำลงไป

   ผมขยับตัวลุกออกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เพราะกลัวว่าการเคลื่อนไหวของผมจะไปปลุกใครอีกคนให้ตื่นขึ้น

   หมับ!

   “จะหนีไปไหน” แต่ผมก็ขยับตัวได้ไม่เบาพอ เตลืมตาขึ้นมาแล้วจับยื้อแขนผมเอาไว้

   “ปล่อย” ผมพูดอย่างไร้น้ำเสียง

   “พิณ” เขาเรียก “เลิกหนีเถอะ คุยกันได้แล้ว”

   ผมนั่งหันหลังให้เขา ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง ผมกลัวว่าไอ้สายตาอ้อนวอนบ้าๆของเขามันจะมันให้ผมเสียการควบคุม แต่ก็เพราะสิ่งที่เขาบอกในประโยคที่แล้ว บอกให้ผมเลิกหนี ทำให้ผมต้องแสยะยิ้มขึ้นอย่างนึกขันกับตลกร้ายที่ออกมาจากปากของเจ้าตัว

   เขาเองแท้ๆที่เป็นคนหนีมาตลอด

   “เอาสิ” ในที่สุดผมก็เปิดปากตอบ “อยากจะพูดอะไรก็พูด”

   เสียงที่เปล่งออกไปไม่ได้แข็งกร้าวอย่างที่ผมตั้งใจเอาไว้ มันไม่ได้อ่อนแอหรือเย็นชา มันเป็นเสียงที่ไร้ความรู้สึกจนตัวผมเองยังตกใจ เตจับแขนผมเอาไว้อย่างนั้น เสี้ยววินาทีนึงเขาเหมือนพยายามจะขยับตัวเข้ามาใกล้แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ

   “เรื่องรูปที่หลุดออกมาเมื่อสามปีก่อน...” เสียงของเขาแหบพร่ากว่าที่เคยเป็น แต่มันไม่มีความลังเลใดแฝงอยู่ในนั้น “เตขอโทษ”

   มันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ

   เตไม่รู้สักนิด เขาไม่รู้สักนิดว่าทำไมผมถึงจากเขามา

   “งั้นหรอ” ผมเอ่ย แต่นั่นไม่ได้เป็นประโยคคำถาม ไม่ได้เป็นประโยคปฏิเสธ ไม่แม้กระทั่งเป็นการตอบรับคำขอโทษของเต มันเป็นเพียงแค่คำที่ผมเอ่ยออกมาเพราะความสมเพช สมเพชทั้งตัวเองและคนที่กำลังยื้อผมเอาไว้ในตอนนี้ “จะมาขอโทษทำไม”

   “พิณ...”

   “ตอนนั้น เราก็อยู่ด้วยกัน มันก็ผิดกันทั้งสองฝ่าย” ผมพูดเสียงเบา หากแต่มันเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “กูก็ผิดที่ไว้ใจมึงด้วยแหละ”

   “เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่พิณคิดนะ” เขาบีบแขนผมแรงขึ้นเหมือนกลัวว่าผมจะเดินลุกหนีไปก่อนที่เขาจะได้อธิบายอะไรจบ ผมหันไปมองเขาด้วยหางตาแล้วถามขึ้น

   “กูคิดอะไรหรอ”

   เตคิดว่าผมโง่ โง่...ขนาดไหนกัน

   “พิณเข้าใจผิด” เตพูดขึ้นมาอย่างเร่งร้อน แต่ก็เว้นไปนานอยู่เหมือนกันก่อนจะเอ่ยประโยคถัดจากนั้น “เตไม่ได้เป็นคนปล่อยรูป”

   “หึ...” ผมแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ อยากจะระเบิดหัวเราะใส่หน้าเตให้ดังๆแต่มันก็ทำไม่ได้ สัมผัสแผ่วเบาที่แขนทำให้ผมรู้สึกรวดร้าวแม้คนจับจะไม่ได้ออกแรงบีบอะไร บรรยากาศทั้งห้องเงียบไปชั่วเวลานึงซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ก่อนที่ผมจะถอนหายใจออกมาแล้วพูดขึ้น “ที่ตามลงมาจากเหนือก็เพื่อจะอธิบายแค่นี้ใช่มั้ย”

   “หมายความว่ายังไง” เตถามขึ้นเหมือนเขากำลังสับสน

   “ก็อย่างที่ถามไป” ผมย้ำอีกรอบ “ที่ตามลงมาจากเหนือนี่เพื่อจะมาพูดแค่นี้หรอ”

   “พิณ เตไม่ได้โกหก”

   เตขยับเข้ามาใกล้ เขาเอาหน้าผากซบแตะลงบนท้ายทอยของผม น้ำเสียงเขาเหนื่อยเกินอธิบาย ผมไม่ได้ขัดขืนสัมผัสนั่นแต่ก็ไม่ได้ตอบรับอะไร

   “กูรู้ว่ามึงไม่ได้โกหก” น้ำตาของผมไหลจากความอัดอั้น แต่เตไม่รู้เพราะเขาไม่เห็น ไม่แม้กระทั่งได้ยินเสียงสะอื้นของผมทั้งที่เราอยู่ใกล้กันแค่นี้ “แต่มึงก็ยังเป็นคนโกหก”

   “นี่พิณไม่เชื่อเตหรอ”

   “เรื่องคนที่ปล่อยรูป...” ผมพูดทิ้งจังหวะ ก่อนจะสูดหายใจเข้าเพื่อปรับอารมณ์ตัวเองไม่ให้มันดาวน์ไปมากกว่าที่เป็นอยู่ พลางค่อยๆแกะมือเตออกจากแขนแม้ว่าเจ้าตัวเองจะไม่ให้ความร่วมมือ “กูรู้มาตั้งนานแล้วว่าไม่ใช่มึง”

   “…” เขาเงียบ ผมลุกออกจากเตียง บรรยายในห้องไม่ได้ดีมากขึ้นไปกว่าที่มันเคยเป็น

   “ถ้ามึงมาเพราะอยากขอโทษเรื่องนี้ก็ไม่ต้อง” เตยังคงไม่ตอบรับคำพูดของผม ระยะห่างระหว่างร่างกายเราตอนนี้มันมีอยู่ไม่มาก แต่หากจะพูดถึงในเรื่องของความรู้สึก เตยังอยู่ไกลจากผมมาก เขาอยู่ไกลจนสุดสายตามอง “มันไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องขอโทษ มันไม่ใช่เรื่องที่เราติดค้างอะไรกัน”

   ร่างกายทั้งหมดของผมชาซ่าน เพียงสิ่งเดียวที่ยังมีความรู้สึกอยู่ตอนนี้คือหัวใจ หัวใจที่เจ็บทุกครั้งที่ผมหายใจเข้าออก

   “ถ้ามึงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เราคงหมดธุระกันแค่นี้” ผมพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอนของเต ไม่มีการเหนี่ยวรั้งใดจากคนที่นั่งอยู่บนเตียง ไม่มีแม้แต่เสียงเรียกชื่อยื้อเอาไว้ ผมเดินไปเก็บชามที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ เหลือบไปมองทางประตูห้องนอนด้วยความหวังอะไรไม่รู้ที่มีอยู่ในใจ

   ถ้าเพียงแต่เขาลุกออกมา ถ้าเพียงแต่เขาถามถึงสาเหตุจริงๆที่ผมหนีเขามาจากเหนือในวินาทีนี้

   บางที...แค่บางที ผมอาจจะตอบ

   ผมยืนนับเลขอยู่ตรงนั้น วนจากหนึ่งถึงสิบเกือบห้ารอบแต่เขาก็ไม่ได้ออกมา

   ไม่ได้ออกมารั้งผมไว้

   น่าประหลาดที่ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการกระทำนั้นเลยแม้แต่น้อย

   ผมยิ้มอย่างสมเพชการกระทำตัวเองที่มันสวนทางกับตรรกะที่คิดไว้ไปเสียหมด ความเกลียดโกรธแค้นสามารถทำให้คนคนหนึ่งโง่งมได้เพียงใด ความรักก็คงทำเช่นนั้นได้ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผมมีความรู้สึกทั้งสองอย่างนั้นให้กับคนเพียงคนเดียว

   มันทำให้ผมโง่เง่าจนน่ารำคาญ

   ผมเดินออกมาจากห้องของเต ผ่านมาเข้ามาในห้องของตัวเอง นาฬิกาบนผนังห้องบอกเวลาว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงเช้า จ้องอยู่ได้ไม่นานความสนใจของผมก็หลุดลอยหายไปเหมือนความคิดในสมองมันกลับกลายไปเป็นความว่างเปล่า

   ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้น้ำไหลชะโลมตัวทั้งที่ยังไม่ถอดเสื้อผ้า

   แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง

   ร้องไห้ออกมาเพราะหัวใจของผมเจ็บ

   สิ่งที่มากไปกว่าการที่เขาทำผิด คือเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคือความผิด

   เตคิดว่าผมโง่จนไม่รู้ว่าคนที่ปล่อยรูปเป็นใคร เขาคิดว่าผมหน้ามือตามัวขนาดไหนที่จะปักใจว่าคนที่ปล่อยรูปเป็นเขาโดยไม่สืบอะไรเลย ผมเสียใจที่เตคิดว่าผมทิ้งเขามาเพียงเพราะเรื่องรูปหลุดบ้าๆนั่น

   ผมคิดว่าเตรู้จักผมดี แต่ผมเพิ่งมารู้ตอนนี้ว่ามันคงจะไม่ดีมากพอ

   เพราะถ้าเขารู้จักผมจริงๆ เขาจะรู้ เขาจะรู้ว่า...

   …ผมจะไม่ทิ้งเขามาเพียงแค่เพราะความอับอาย




   [ สามปีที่แล้ว ]

   “ไม่เห็นรู้เลยว่ามึงลงสีกับเขาเป็นด้วย” ร่างเล็กเอ่ยขึ้นพลางชะโงกหน้ามาดูใครบางคนที่กำลังจับพู่กันทาสีป้ายรณรงค์ของโรงเรียนอยู่อย่างขมักเขม่น สรรพนามของเขาสองคนเปลี่ยนไปนิดหน่อยเพราะความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้น

   “ตลกแล้วพิณ เรื่องศิลปะนี่กูออกจะดังนะ ตอนอยู่โรงเรียนเก่าไปประกวดได้รางวัลมาตั้งหลายรางวัล เคยชนะระดับประเทศมาตั้งสองสามครั้ง” เตชภณละมือจากงานศิลป์ตรงหน้ามาอย่างเคืองๆเมื่อคนตัวเล็กดูท่าทางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย ทั้งที่เตชภณเองจำเรื่องราวเกี่ยวกับคู่สนทนาได้ตั้งเยอะ พีรการต์วางถังสีในมือลงก่อนจะนั่งลงข้างเขา

   “จะไปรู้หรอ เห็นชอบเล่นบาส ก็นึกว่าไปสายกีฬาอย่างเดียว” พีรการต์พูดขึ้นอย่างตั้งใจกวนประสาทร่างสูง เขาหัวเราะขันๆในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงช่วยคนโมโหทาสีที่ป้ายรณรงค์ ไม่นานนักร่างเล็กก็เหลือบตามองการทำงานของคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม จึงสังเกตเห็นได้ว่าเตชภณละมือออกไปกดโทรศัพท์นานแล้ว “อ้าว ล้อเล่นแค่นี้เลยเลิกช่วยเลยหรอ”

   พีรการต์แซวอย่างไม่จริงจัง อันที่จริงทาสีป้ายนี้คนเดียวก็ไม่ได้เหนื่อยมากนัก เพราะนี่มันเป็นป้ายอันเล็กขนาดไม่เกินเมตรครึ่งเท่านั้น ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเท่าไหร่ ที่พูดไปก็เพราะอยากจะง้อคนโดนกวนประสาทต่างหาก

   “นี่ไง!” เตชภณร้องเสียงดังเมื่อเจอบางอย่างในโทรศัพท์ ทำให้คนอื่นๆที่มาช่วยงานอยู่บริเวณนั้นต้องหันมามอง แต่ไม่นานนักก็หันกลับไป “นี่ไงพิณ รูปที่กูได้รับรางวัลกับนายกอ่ะ”

   “ฮ่าๆๆๆ” คนถูกเรียกหัวเราะขึ้นอย่างถูกใจ เหมือนเจ้าคนอวดรางวัลจะไม่รู้จริงๆนั่นแหละว่าที่เขาพูดไปเมื่อกี้เป็นเพียงแค่การหยอกเล่นเท่านั้น เสียงหัวเราะของพีรการต์ทำให้เตหน้าหงอกขึ้นมากกว่าเดิม “เชื่อแต่แรกแล้ว ไม่ต้องเอารูปมาให้ดูขนาดนั้นหรอกน่า”

   “นี่หะ...”

   “พิณ!” เสียงแหลมเล็กเรียกของใครบางคนตัดประโยคสนทนาขึ้นมาก่อนที่เตจะได้พูดจบ เตชภณผินหน้าไปถามเสียงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เป็นคนถูกเรียกก็ตาม เด็กหญิงคนนั้นเป็นคนที่เตคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

   “อ้าว เบล” พิณขานรับเสียงอ่อย เตเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมพิณถึงทำน้ำเสียงแบบนั้นออกไป

   “มานั่งทำบอร์ดทำไมไม่เรียกเลยละ นึกว่าพิณกลับบ้านไปแล้วซะอีก” เด็กสาวยังคงพูดอย่างเจื้อยแจ้ว เธอเดินมาใกล้ก่อนจะถือวิสาวะนั่งคั่นกลางระหว่างสองคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้า จากนั้นก็หันไปยังคนร่างหนาที่เมื่อกี้นั่งยักคิ้วให้เธอออยู่สองสามที “ว่าไงเต”

   “ไงเบล นึกว่าจะไม่ทักกันซะละ” ร่างสูงรับคำทักทายอย่างสนิทสนม การกระทำนั้นสร้างความประหลาดใจให้พีรการต์อยู่ไม่น้อย

   “อ้าว สองคนนี้รู้จักกันหรอ” พีรการต์ถามขึ้น

   “รู้จักกันสิ เบลรู้จักกับเตมาก่อนที่พิณจะรู้จักอีก” เด็กสาวเอ่ยเสียงใส “เตไม่ได้บอกหรอ”

   “อือ...ไม่ได้บอก” พิณขานรับอย่างไม่เต็มน้ำเสียงนัก เขาไม่อยากจะซักไซร้เตถึงแม้จะอยากรู้ว่าทั้งสองคนไปรู้จักกันได้อย่างไร ส่วนเตเองก็ไม่ได้มีท่าทีที่อยากอธิบายอะไร

   เบลยื่นมือเข้ามาช่วยทาสีบอร์ดทำให้งานที่ทำอยู่คืบหน้าไปเร็วขึ้น เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงป้ายบอร์ดก็ถูกลงสีจนเต็ม พีรการต์พบว่าเตกับเบลเองสนิทกันมากกว่าที่เขาคิดไว้ พิณออกจะประหลาดใจหน่อยๆว่าทำไมเขาถึงไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ แม้จะเพิ่งได้รู้จักกับเตไม่นานนัก แต่ตัวเขาเองก็สนิทกับทั้งสอง วันที่ลูกบาสเข้าตาพิณครั้งนั้นเตกับเบลก็ไม่ได้มีท่าทีเหมือนเป็นคนรู้จักกันสักนิด

   ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างพุ่งเข้าโจมตีข้างในใจของร่างเล็ก พิณรู้สึกไม่ดีจนต้องพยายามสลัดมันทิ้งออกไป

   เขามีสิทธิ์อะไรที่จะไปหวงเตกัน ได้เมื่อเขากับเตไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเพื่อน แถมเบลเองก็บอกเขามาตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอปลาบปลื้มเตชภณ เขาควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ทั้งสองคนรู้จักกัน นั่นเป็นหน้าที่ของเพื่อนที่ดีที่เขาพึ่งกระทำให้เบล

   รู้จักกันก็ดีแล้ว

   พิณสรุปกับตัวเองอย่างนั้นระหว่างที่กำลังล้างสีที่เปื้อนมือ

   “อ๊า...” จู่ๆเบลก็ร้องออกมาเมื่อเธอก้มลงไปมองที่โทรศัพท์ระหว่างเตกำลังเก็บล้างอุปกรณ์อย่างขะมักเขม้น รุ่นน้องที่อยู่แถวนั้นเดินมายกบอร์ดไปไว้กลางสนามเพื่อผึ่งแดดให้สีแห้ง “พ่อโทรมาตั้งหกสาย สงสัยมารอรับนานแล้วมั้งเนี่ย”

   “งั้นก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้พวกเตเก็บเองได้” ร่างสูงพูดขึ้นระหว่างที่เดินกลับมาหยิบพู่กันที่วางทิ้งไว้เพื่อเอากลับไปล้างที่ซิงค์ เด็กสาวพยักหน้าให้กับเตน้อยๆก่อนจะวิ่งออกไป เตหันกลับเดินไปที่อ่างเมื่อเบลพ้นสายตาไปแล้ว

   เขาเดินเอาพู่กันไปล้างข้างๆพิณที่ก้มหน้าก้มตาล้างมืออยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะไอ้สีที่เปื้อนอยู่บนมือมันดันติดทนเกินความจำเป็น

   “นั่นมันสีรองพื้น ล้างลูบๆแบบนี้ไม่ออกหรอก” เตทักขึ้น ไม่รอให้พิณได้ตอบอะไร ร่างสูงก็เอื้อมไปคว้ามือบางมา ล้างให้อย่างตั้งใจเสมือนเป็นธุระของเจ้าตัว เตใช้เล็บที่หัวแม่มือขูดสีที่เปื้อนอยู่ออกเบาๆ แต่เพราะว่าพิณเป็นคนขาวจัด สัมผัสเหล่านั้นจึงทิ้งรอยแดงบนมือไว้บ้างแบบประปราย “เจ็บมั้ย”

   พิณเงียบไปชั่วอึดใจด้วยความรู้สึกแปลกข้างในแบบที่เขาบอกไม่ถูก ก่อนที่เขาจะรวบรวมสติตอบออกไปได้ “ไม่เจ็บ” พิณกัดริมฝีปากล่างทันทีที่ได้ยินเสียงของตัวเองที่ตอบออกไป น้ำเสียงของเขามันทั้งสั่นทั้งอ่อนไหวมากเสียจนน่าอาย ถ้ามุดดินลงไปได้พิณคงทำไปแล้ว

   “วันนี้พูดน้อยจัง” เตขำในลำคอ ถ้ามองไม่ผิดร่างสูงนั้นเลิกให้ความสนใจกับรอยเปื้อนที่มือของพิณไปแล้ว เขาเอาแต่จ้องพิณอยู่อย่างนั้นจนร่างบางเองรู้สึกเห่อร้อนบนใบหน้า ไม่รู้ว่าเตจะได้ยินมั้ย แต่เสียงหัวใจของพีรการต์มันเต้นดังขึ้นอย่างน่าตกใจ มือทั้งสองยังจับกันอยู่ตรงน้ำที่ไหลผ่าน เพียงแต่มันไม่มีจากเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นอีกแล้ว

   พีรการต์อยากจะหลบตาคนตรงหน้า แต่เขาก็ทำไม่ได้ ส่วนเตเองก็แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่

   “เห้ย! ไอ้เต!” เสียงเรียกเอ่ยชื่อทำให้ร่างสูงผละออกไปจากพิณแทบจะทันที คนตัวเล็กลุกลี้ลุกลนหันไปปิดน้ำพลางทบทวนความในหัวว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้คืออะไร แต่คิดได้ไม่นานนักความสนใจก็ถูกแย่งไปโดยบทสนทนาที่เกิดขึ้นกับคนมาใหม่เสียก่อน

   “เชี้ยเปรม เรียกเบาๆก็ได้ กูตกใจหมด” เตหันไปว่าอย่างนั้น คนมาเยือนเป็นใครสักคนที่พิณคุ้นหน้า เขาเป็นผู้ชายที่มีส่วนสูงกลางๆ หน้าตากลางๆ ทุกอย่างดูกลางไปหมดจนไม่มีอะไรโดดเด่น พิณจำได้ว่าเคยเห็นเขาในโรงอาหารอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ผ่านตาไปทุกที

    “หายไปเลยนะมึง” เปรมว่า เขายักคิ้วให้กับเตเล็กน้อยก่อนจะหันมาหาร่างเล็กที่ยืนงงอยู่ “หวัดดีพิณ”

   พิณพยักหน้ายิ้มรับคำทักทายเล็กน้อย ไม่ได้แปลกใจอะไรที่คนตรงหน้ารู้ชื่อเสียงเรียงนามของตน ในเมื่อตัวพิณเองก็ทำกิจกรรมอยู่บ่อยๆ ไม่แปลกที่จะพอมีคนรู้จักชื่ออยู่บ้าง

   “กูก็งงว่าหายไปไหน ที่แท้ก็มาสวีตอยู่กับพิณนี่เอง” เปรมล้อขึ้นอย่างสนุกปาก พิณไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรกับคำพูดนี้ดี ใจเขาที่เพิ่งจะสงบไปกลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง

   “ไอ้ห่า เพื่อนกัน” เตว่าขึ้นพลางเอื้อมมือไปดันหัวเปรมแรงๆ เป็นการบอกปัดที่ดูไม่ออกว่ามีความเก้อเขินปนอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ คนถูกทำร้ายสบถขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก

   “เออๆๆ เพื่อนก็เพื่อน อย่าให้กูจับได้นะมึง กูจะล้อไปจนลูกมึงบวชเลยคอยดู!” เปรมยังคงแซวและกวนประสาทเตจนร่างสูงเองแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา เห็นดังนั้นคนที่กำลังสนุกปากอยู่จึงหยุดล้อ พวกเขาคุยกันต่อสองสามคำ ได้ความว่ารุ่นพี่ที่สนามบ่นถึงการหายตัวไปของเต เจ้าตัวควรจะโผล่หน้าไปที่นั่นเสียหน่อยหากไม่อยากให้เพื่อนเลิกคบ

   ทั้งสองใช้เวลาไม่นานในการพูดคุยกันก่อนที่เปรมจะละออกไป เตหันมายังร่างบางที่ยืนอยู่ พิณไม่รู้ว่าเขารออยู่ตรงนี้ทำไมด้วยซ้ำ แต่เขาก็รอ

   “วันนี้กลับกับเฮียภีมหรือเปล่า” เตหันมาถาม ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เขาเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่พิณจะได้ตอบอะไรออกไป “ถ้านัดแกไว้ว่าจะกลับ ก็โทรไปบอกเลยว่าวันนี้จะไปกับกู”

   “ไปไหน”

   “กูอยากขึ้นเขา”




   พีรการต์ไม่อยากขึ้นเขา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในวันที่อากาศเย็นแบบนี้ ช่วงนี้เมืองไทยเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ยิ่งเป็นบนภูเขาทางเหนือด้วยแล้วอากาศยิ่งหนาวเป็นพิเศษ แม้จะมีเสื้อแจ็คเก็ตติดตัวมาโรงเรียน แต่เสื้อนั่นก็ไม่ได้ทุกทำขึ้นมาเพื่อกันอากาศหนาวขนาดนี้

   เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ผิดที่เสื้อหรอก มันผิดที่พิณที่เป็นคนขี้หนาวต่างหาก

   ผิดมากขึ้นไปอีกเมื่อพิณยอมตามใจเตแล้วขึ้นมาบนเขานี่จนได้

   “วันนี้มึงเงียบผิดปกตินะ” เตเอ่ยพลางจูงมอเตอร์ไซค์เขาไปจอดที่ใต้ต้นไม้ เขาเดินมาแล้วหย่อนกายนั่งลงข้างพิณ “มีอะไรหรือเปล่า”

   “ไม่นิ” พิณตอบปฎิเสธ จะไปบอกได้อย่างไรว่าที่เงียบไปนี่เพราะกำลังครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเตกับเบล ถึงแม้เจ้าตัวจะนั่งอยู่ตรงนี้ก็เถอะ เขาก็ไม่กล้าถามอยู่ดี

   “ไม่ใช่ว่าคิดมากเรื่องกูกับเบลอยู่หรอกหรอ” เตถามเหมือนรู้ใจเขา พิณขบเม้มปากตัวเองไปมาพร้อมกระชับเสื้อกันหนาวให้แนบชิดกับร่างกายมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรเต เพราะไม่รู้ว่าคำตอบใดที่มันเหมาะสมกับสถานการณ์นี้ “มันไม่มีอะไรหรอก”

   พิณมองตรงไปข้างหน้า หมอกที่ลงปกคลุมบนเขาในตอนนี้ทำให้พิณมองเห็นทัศนียภาพข้างหน้าไม่ชัดนัก

   “ถ้าเกิดว่ามีอะไร...” พิณเอ่ยปากออกมาอย่างลืมตัว เสียงของเขาเลือนลอยทั้งที่ยังมีสติครบถ้วนอยู่ “แล้วกูต้องรู้สึกยังไงหรอ”

   ช่วงนี้พีรการต์พูด ทำและคิดอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเสมอ บางครั้งเขาก็เอ่ยถามอะไรที่ตัวเองไม่ได้คาดหวังคำตอบให้เป็นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง บางครั้งเขาก็เอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองกลัวที่จะได้ยินคำตอบ

   “ไม่รู้สิ...แต่กูอยากให้มึงรู้สึกอะไรบ้าง” เตว่าพลางพิงศีรษะของเจ้าตัวลงมาที่ไหล่พิณ “อย่างที่กูรู้สึก”

   พีรการต์ไม่ใช่คนโง่ เขาฟังออกว่าเตกำลังพยายามสื่อสารอะไรบางอย่างกับเขา เพียงแต่ความคิดที่ส่งผ่านประโยคออกมานั้นมันฟังดูคลุมเครือและไม่ชัดเจน คนตัวเล็กเลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกไป

   “พิณ” เตเรียกชื่อของร่างบางขึ้น หลังจากที่สังเกตได้ว่าพิณนั่งตัวสั่นมานานแล้ว “หนาวหรือเปล่า”

   “หนาวแล้วมึงจะยอมกลับบ้านหรอ” พีรการต์ถาม เขาเหลือบตาไปมองเจ้าคนตัวสูงที่นั่งอยู่อย่างไม่สะทกสะท้านกับสภาพอากาศ ไม่แม้แต่จะใส่เสื้อแขนยาวเลยด้วยซ้ำ

   “ยอมนะ” เตเว้นจังหวะพูดไปช่วงนึงก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ “เดี๋ยวมึงไม่สบาย”

   พีรการต์อยากจะบอกความจริงออกไปอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าร่างสูงบอกจะยอมกลับบ้านน่ะนะ เพราะพิณเองก็ยังอยากใช้เวลาอยู่กับคนตรงหน้าให้นานกว่านี้หน่อย “ไม่หนาว” เขาตอบปฎิเสธ

   “ไม่หนาวจริงหรอ” เตเอื้อมมือทั้งสองเข้ามาจับแก้มเขา ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะไออุ่นหรือการกระทำของคนตรงหน้าที่ทำให้พิณเกิดอาการวูบวาบบนใบหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด “ดูสิ แก้มเย็นเฉียบเลย”

   เอาอีกแล้ว...เตทำท่าทีแปลกๆที่ทำให้ใจเต้นแรงอีกแล้ว

   เตส่งยิ้มล้อเลียนให้พิณ แต่รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆที่จะเลือนหายไปจนกลายเป็นเพียงแค่การจับจ้อง

   พีรการต์หายใจเข้าออกอย่างติดขัดเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างสูงยังคงไม่ละสายตาไปไหน ร่างบางหลุบตาลงต่ำและกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความประหม่า เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใดเตชภณจึงได้มีอิทธิพลกับเขาเยอะนักนับตั้งแต่ที่วันที่เขาทั้งสองที่เจอกันครั้งแรก

   เตมีอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ดึงดูดเขาราวกับเวทมนตร์

   และพิณก็พยายามเป็นอย่างมากที่จะเพิกเฉยต่อแรงดึงดูดเหล่านั้นราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น

   แต่ยิ่งนานขึ้นมากเท่าไหร่ ความรู้สึกที่พิณมีต่อเตมันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นจนมันยากต่อการเพิกเฉยที่เขาเพียรทำอยู่ทุกวัน

   “พิณ” เตเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันที่ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้เขาขนาดนี้ ใกล้จนขนาดที่ว่าพิณรู้สึกถึงลมหายใจของเขาได้ เตหยุดอยู่ตรงนั้น ไม่เคลื่อนไหว ไม่พูดอะไรต่อ

   “อะไร” เสียงที่พิณขานรับออกไปก็ไร้ความหนักแน่นไม่แพ้กัน เตใช้นิ้วหัวแม่มือสัมผัสวนอยู่ที่บริเวณมุมปากของร่างบาง พลางสายตาจับจ้องวางอยู่ตรงนั้นไม่ได้เลื่อนไปไหน

   เตชภณกลืนน้ำลาย สมองของร่างสูงในตอนนี้ว่างเปล่าเกินกว่าจะมานั่งคิดคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และเตหยุดตัวเองไม่ได้ เขาคิดอะไรไม่ออกเลย

   เตไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่ปะทุอยู่ในอกมันเป็นความรู้สึกแบบไหน

   หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นเมื่อปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกัน

   “ถ้ากูจูบ...” ร่างสูงเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “มึงจะต่อยกูมั้ย”

   …

   ..

   .

   “คงไม่”



.......................................................................................



คนเขียนขอเม้าท์: เกิดการหักมุมขึ้นเล็กน้อยค่ะ พิณไม่เคยเข้าใจเตผิดนะคะ พีรการต์ของเราไม่ใช่คนโง่ถึงแม้บางครั้งจะดูไม่พูดจนน่าหมั่นไส้ไปบ้างก็ตาม(ฮา) ปมจะคลายในไม่กี่ตอนข้างหน้านี้แล้วค่ะ รอกันหน่อยเนาะ
ปล.ขอโทษจริงๆที่หายไปหลายวันนะคะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา จะพยายามกลับมาอัพให้ได้ทุกสองสามวันค่ะ  :hao5:


หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-05-2017 19:18:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-05-2017 19:48:42
คนปล่อยรูป เป็นเบลใช่มั้ย
เต บอกไม่มีอะไรกับเบล
แต่ เบล ชอบเตแน่ๆ

ที่พิณ จากมา ไม่ใช่เพราะอับอาย
งั้นคงเพราะ เต มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเบลหรือเปล่า

เรื่องรูป คลิ้ปที่มีอะไรกัน
ถ่ายเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก
แต่เห็นเป็นที่ระทึกกันนักต่อนัก
 
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 26-05-2017 20:07:33
้เตคงจะเป็นคนที่น่าตีส่วนเบลอ่านแค่นี้ก็รู้สึกถึงกลิ่นไอค.สตอ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: JokerLK ที่ 26-05-2017 20:36:08
โอยย ไม่รู้จะว่ายังไง แต่ว่าชอบมาก ชอบมากๆ ชอบจริงๆไม่ล้อเล่นเลย เพิ่งมาเห็นแล้วก็อ่านรวดเดียวเลย
เราไม่รู้สึกว่าบทบรรยายมันยืดยาดหรืออะไรนะคะ บางเรื่องจะมีบทบรรยายที่ทำให้เราแค่กวาดตาอ่าน เพราะเราเป็นพวกอ่านแบบ skimming แต่เรื่องนี้เราอ่านแบบทุกคำ ทุกคำจริงๆค่ะ จริงๆเราก็ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้แต่อินมากเลยไม่รู้ทำไม 5555555 มีกำลังใจตรงนี้หนึ่งคนนะคะ รอตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 26-05-2017 22:53:15
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-05-2017 00:02:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-05-2017 00:15:10
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 27-05-2017 00:57:33
รักหน่วงๆ :ling1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-05-2017 01:29:14
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: sentpai ที่ 27-05-2017 13:39:49
บรรยายดีมากครับ
สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: Papangtha ที่ 27-05-2017 16:02:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-05-2017 16:38:53
คนปล่อยรูป เป็นเบลใช่มั้ย
เต บอกไม่มีอะไรกับเบล
แต่ เบล ชอบเตแน่ๆ

ที่พิณ จากมา ไม่ใช่เพราะอับอาย
งั้นคงเพราะ เต มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเบลหรือเปล่า

เรื่องรูป คลิปที่มีอะไรกัน
ถ่ายเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก
แต่เห็นเป็นที่ระทึกกันนักต่อนัก
 
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

เห็นด้วยอย่างแรงเลยค่ะ เพราะแบบนี้ใช่มั้ยพิณถึงหนีเตมา แล้วเบลล่ะเตเคลียร์เรียบร้อยแล้วหรือยังถึงได้มายุ่งกับพิณอีกแบบนี้
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-05-2017 00:52:15
ตามมมม
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: Viewonohm ที่ 28-05-2017 02:02:13
ติดตามค่ะ ชอบเต  :ling1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-05-2017 10:16:00
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 28-05-2017 12:12:14
เดาไม่ยาก คนปล่อยน่าจะเบล
แต่เรื่องที่พิณผิดหวังในตัวเตคืออะไร
หรือว่าเตไม่ออกมาปกป้องอะไรพิณเลย
ถ้าเป็นแบบนั้นก็หน้าตัวเมียดีๆนี่เอง
เป็นเราเราก็ไม่กลับไปอะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 28-05-2017 15:57:46
โอยยย อึดอัดแทนน้องพิณ รอติดตามต่อค่า

ปล. ท่อน [  “ปล่อย” ผมพูดอย่างไร้น้ำเสียง ] น่าจะเป็นพูด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์อะไรอย่างนี้หรือป่าวคะ อ่านแล้วมันสะดุดนิดดดนึงอ่ะค่ะ ถือว่าเสนอแนะเนอะๆ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 6] 26.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 30-05-2017 19:19:25
CHAPTER SEVEN

- This is a modern fairytale with no happy endings. -


   
   ผมหันไปมองนาฬิกาปลุกประจำวันที่แผดเสียงดังขึ้นด้วยความว่างเปล่าในแววตา ผมหมกตัวอยู่ในห้องมาสองวันแล้ว ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้ติดต่อกับใครแม้กระทั่งเฮียภีม แม้กระทั่งอาหารผมยังจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มีอะไรเข้าปากผมน่ะมันตอนไหน

   ส่วนคนข้างห้องที่ทำให้ผมมีอาการเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่ได้มาวอแวอะไร

   พูดง่ายๆก็คือเตหายไปนั่นแหละ

   ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนได้กลิ่นเลือดจางๆ สมองของผมคิดย้ำแต่เรื่องเดิมๆจนผมเบื่อตัวเอง  ตลอดสองวันที่ผ่านมา...ผมสูญเสียความสนใจต่อสิ่งรอบกายไปจนหมด เพราะจิตใจที่ไม่เข้มแข็งพาเอาร่างกายของผมเหนื่อยอ่อน ผมนอนอยู่บนเตียงแทบจะตลอดเวลา

   ผมนึกย้อน

   เตไม่ควรจะกลับเข้ามาในชีวิตผม เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น

   เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของผมอีก

   ใช่ เตไม่มีสิทธิ์

   คิดได้ดังนั้นผมก็ลุกขึ้นจากเตียงขึ้นเป็นครั้งแรกในหลายชั่วโมงและกดปิดดนาฬิกาปลุก ลำคอของผมแห้งผากจนแวบนึงที่ผมไม่คิดว่าจะมีเสียงใดเล็ดลอดออกมาได้อีก ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเครื่อง ไม่มีข้อความจากเฮียภีม และนั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าเฮียแกยุ่งอยู่กับการสอบมิดเทอม อย่างไรก็ตาม ในไลน์ของผมก็ยังมีข้อความจากใครหลายคนที่เข้ามาไถ่ถามว่าทำไมผมถึงไม่ไปโรงเรียน

   มีทั้งข้อความจากไอ้เกล้า ไอ้มะนาว เพื่อนร่วมชั้นบางคน และน้องแจง...

   ผมขมวดคิ้วเมื่อคิดอะไรบางอย่างออก ก่อนจะเลือกกดเข้าช่องบทสนทนาระหว่างผมกับผู้กำกับละครภาษาอังกฤษปีนี้แล้วพิมพ์บางอย่างลงไป

   pPATn: แจง ช่วงนี้กองละครนอนกันที่ไหน (6.32 น.)

   ผมถามแต่ก็ไม่ได้รอคำตอบ ผมลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่มาจากหลังตู้ไม้บิวอินหลังใหญ่ จากนั้นก็เดินหาเตรียมข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้าที่จำเป็น เช็คย้ำอีกรอบหนึ่งว่าไม่มีอะไรตกหล่นจึงเอาของทั้งหมดใส่ไปในเป้

   ติ๊ง!

   J.JANG: บางคนเริ่มนอนที่บ้านครูอ้อแล้วค่ะ ช่วงนี้ซ้อมดึก (6.35 น.)

   J.JANG: คงต้องเป็นอย่างนี้ไปกว่าวันแสดงจริง (6.35 น.)


   ผมยกมือถือขึ้นมาอ่านข้อความทั้งที่ก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว เพราะปีที่แล้วก็ผมนี่แหละครับที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการแสดงละครเวทีภาษาอังกฤษของโรงเรียน ยิ่งใกล้วันจริงเท่าไหร่ยิ่งซ้อมหนัก และมันก็เป็นธรรมเนียมของชมรมละครทุกปี ที่อาทิตย์สุดท้ายของการซ้อมทุกคนจะต้องไปสุ่มหัวกันอยู่ที่บ้านครูอ้อซึ่งเป็นครูที่ปรึกษาในการทำละครเพื่อเร่งงาน

   ผมเม้มปากก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป

   pPATn: เดี๋ยวช่วงนี้พี่ไปค้างที่นั่นด้วย จะได้ช่วยพวกเราให้เต็มที่ (6.36 น.)

   J.JANG: จริงๆแจงก็เกรงใจนะคะ (6.36 น.)

   J.JANG: แต่ตอนนี้ชมรมก็ต้องการพี่ภัทรมากอ่ะค่ะ (6.36 น.)

   J.JANG: หายไปหลายวันเชียว 55555 (6.37 น.)


   ผมดีใจที่น้องแจงตอบมาอย่างนั้น บอกตามตรงคือตอนนี้ผมต้องการที่หลบภัยสักแห่งที่จะไม่เป็นอะไรที่ผิดสังเกตสำหรับเฮียภีม และการบ้ากิจกรรมที่โรงเรียนจนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องก็เป็นเรื่องปกติวิสัยของผมอยู่แล้ว จึงคาดว่าเฮียภีมไม่น่าจะอะไร

   pPATn: งั้นก็ตกลงตามนี้ (6.37 น.)

   ผมพิมพ์ตอบไปอย่างนั้น ก่อนจะละไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปโรงเรียน แม้ว่าผมจะไม่ค่อยใส่ใจการเรียนในเทอมนี้มากเท่าไหร่ แต่ผมก็ต้องไปเข้าเรียนให้ครบไม่ให้หมดสิทธิ์สอบ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นจีพีเอของผมมันจะถูกดึงลงไป

   และถึงอย่างไร การรับนักศึกษาเข้าเรียนในมหาลัยทางอเมริกาก็มีตัวเลขจีพีเอเป็นหนึ่งในเกณฑ์พิจารณาที่สำคัญ ผมจะพลาดการสมัครเข้าครั้งนี้ไม่ได้ สาเหตุหนึ่งก็เพราะผมมีอนาคตทั้งอนาคตเป็นเดิมพัน
และอีกสาเหตุนึงที่เพิ่งถูกเพิ่มขึ้นมาใหม่ก็คือ...

   ผมจะหนีเตอีกครั้ง และนี่คือวิธีของผม

   
   

   
   [สามปีที่แล้ว]

   ไม่มีอะไรชัดเจนเป็นรูปธรรมหลังจากจูบนั่น หรืออย่างน้อย...พีรการต์ก็คิดแบบนั้น

   ความสัมพันธ์ของเขาและเตชภณไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง เพียงแต่ว่ามันค่อนข้างจะเปลี่ยนรูปแบบและทิศทางไป เขาสองคนคุยกันมากขึ้น มีเวลาอยู่ด้วยกันส่วนตัวเป็นครั้งคราว มีจูบ กอด หอมแก้ม หรือพูดอะไรเลี่ยนๆตามแบบที่เตชอบทำ แต่ถึงกระนั้น เขาทั้งสองคนก็ไม่เคยคุยกันจริงจังเรื่องสถานะที่ทั้งคู่เป็นอยู่เลยสักครั้ง

   ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุย แต่ทุกครั้งที่พิณเลียบเคียงเอ่ยเปรยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เตเป็นต้องหลบเลี่ยงที่จะพูดถึงมันทุกครั้งไป และเมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะขยับขั้นสถานะความสัมพันธ์ พิณจึงปล่อยมึน เพราะเท่าที่เป็นอยู่มันก็ดีมากพอสำหรับเขาแล้ว

   อีกเรื่องนึงที่ใหม่สำหรับพิณนั่นก็คือ การที่เบลกับเตเริ่มจะสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ เบลไม่ได้เข้ามาคั่นตรงกลาง ไม่ได้เข้ามาเป็นอุปสรรคขัดขวาง เธอแค่อยู่ตรงนั้น อยู่กับพวกเขาบ้างในบางเวลา เบลดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพิณกับเตลับหลังเธอ หรือบางที เธอก็อาจจะแกล้งไม่รู้เรื่อง

   เตและเบลกลับบ้านด้วยกันในบางครั้ง แม้ว่าบ้านเบลจะอยู่ใกล้กับบ้านพิณมากจนขนาดเดินถึงกันแต่จะมีบางวันที่เบลอิดออดไม่อยากอยู่รอพิณทำงานโรงเรียนในตอนเย็นจนต้องให้เตไปส่งที่บ้าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อของเธอมักจะมารับ หรือไม่เธอก็รอกลับพร้อมพิณเสมอ มีบางวันที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องงานตอนเย็นด้วยซ้ำ

   ไม่ใช่ว่าพีรการต์โง่จนไม่รู้ว่าเบลคิดอะไรอยู่ เขารู้ แต่พิณไม่รู้จะเอาสิทธิ์ที่ไหนไปห้าม ในเมื่อเตชภณไม่เคยให้สิทธิ์อะไรกับเขาเลย แต่พิณก็ไม่อยากจะเรียกร้องอะไรทั้งนั้นด้วย

   ถ้าเตจะชอบเบล สถานะอะไรก็คงไปรั้งเตไว้ไม่อยู่

   และถึงอย่างไรเสีย เบลก็มองเห็นเตมาก่อนเขา

   “เบลกลับบ้านไปแล้วหรอ” เตชภณถามขึ้นเมื่อเห็นพิณเดินเข้ามาในห้องศิลปะ ช่วงนี้ร่างสูงต้องขลุกอยู่ที่นี่ทุกเย็นแม้ว่าจะไม่มีครูหรือนักเรียนคนใดอยู่แล้ว เนื่องจากว่าทางโรงเรียนต้องการให้เขาส่งผลงานด้านประติมากรรมเข้าประกวดในระดับจังหวัด และเตเองก็อยากลองด้านนี้อยู่แล้วเพราะเห็นว่ามันท้าทาย เขาจึงรับทำไป

   “ใช่ เห็นว่าต้องไปวัดตัวเช่าชุดอะไรสักอย่างนี่แหละ” พิณตอบ ห่อไหล่ลงเล็กน้อยขณะที่ก้มลงวางกระเป๋า ช่วงนี้โรงเรียนไม่ค่อยมีกิจกรรมเสียเท่าไหร่ เตเลยขอร้องแกมบังคับให้พิณมาที่นี่ทุกเย็น

   “อ่อ ที่ต้องไปเป็นคนกั้นประตูเงินประตูทองงานหมั้นพี่สาวหรือเปล่า” เตไม่ได้ถามพิณ ค่อนไปทางพรึมพรำอยู่กับตัวเองมากกว่า

   “กูไม่เห็นรู้” ร่างบางเดินลงมานั่งข้างๆ ในขณะที่เตกำลังใช้เหล็กอะไรสักอย่างขูดดินเหนียวเพื่อสร้างลวดลาย

   “เมื่อวานเบลบอกตอนกูขับรถไปส่งที่บ้าน” ร่างสูงพูดนิ่งๆ พลางขยับมือสร้างผลงานต่อไป

   “งั้นหรอ” พิณครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว “สนิทกันดีจัง”

   ประโยคพูดไร้น้ำเสียงออกมาจากปากพิณ มันไม่ใช่การประชดประชันหรือเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ มันคือคำพูดนิ่งๆที่พิณก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดออกไปทำไม

   “แล้วไม่ดีหรือไง” เตถาม แต่พิณไม่ได้ตอบ ร่างบางก้มลงมองดินเหนียวที่ถูกวางอยู่บนแป้นหมุนที่ตอนนี้ไม่ได้เคลื่อนที่เลยแม้แต่น้อย แววตาของพีรการต์แสดงออกถึงการครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เตเช็ดมือลวกๆบนผ้าที่วางอยู่ไม่ใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือมาหาพิณ “มานี่มา”

   พีรการต์ไม่ได้ตั้งคำถามในท่าทางของเต เขาเอื้อมไปจับมือที่ส่งมาไว้อย่างว่าง่าย เตชภณออกแรงดึงให้พิณไปนั่งบนตักเขาเบาๆ ก่อนจะเอาคางมาเกยไว้บนไหล่บาง

   “เล่นอะไร” พิณถาม เขาพยายามทำสีหน้าให้นิ่งแม้ว่าอวัยวะภายในอกข้างซ้ายจะเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาก็ตาม พีรการต์มั่นใจมากว่าเตจะต้องได้ยินเสียงหัวใจของเขา

   เตจูบที่หลังคอระหงส์ “เย็นแล้วยังตัวหอมอยู่เลย” ทั้งคำพูดทั้งการกระทำนั้นทำให้หน้าของพิณเห่อร้อนขึ้นมา

   “ก็ไม่ได้บ้าพลังเล่นกีฬาทั้งวันเหมือนคนบางคนนี่” พีรการต์อยากเอียวตัวไปมองคนข้างหลัง แต่เขาก็ไม่กล้าเพราะความเก้อเขิน “เหงื่อท่วมจนเหม็นไปหมดแล้ว”

   “เหม็นจริงหรอ” คนที่นั่งซ้อนหลังพูดขึ้นก่อนจะจูบหนักๆลงไปที่แก้มของพิณ จากนั้นก็ใช้จมูกไล้ไปมาตรงกกหูของคนตัวเล็ก พีรการต์ดันใบหน้าของเขาออกอย่างไม่จริงจังหนัก เตไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น แม้ว่าจะอยากทำ “งานปั้นกูสวยมั้ย”

   “เอ...จะตอบว่ายังไงดีละ” พิณพูดพลางเอามือไล้ไปตามดินเหนียวรูปร่าวพิลึกตรงหน้าอย่างแผ่วเบา ระวังไม่ให้มันบิดรูป

   “ตอบตามความจริง” เตเอ่ย ก่อนจะเงียบไปอึดใจนึง “อย่าทำร้ายจิตใจกันมากไปก็พอ”

   “งั้นก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วแหละ” พีรการต์พูดหยอก

   “โถ่...พิณ ใจร้ายไปมั้ย” เตชภณเอ่ย ไม่ได้ไม่รู้ว่าคนนั่งตักล้อเล่นในเมื่อเจ้าตัวเล่นขำคิกชัดเจนขนาดนั้น

   “เอาจริงๆนะ” พิณขมวดคิ้ว กัดมุมปากเล็กน้อย “ยังดูไม่ออกเลยเนี่ยว่ามันเป็นตัวอะไร”

   เตชภณไม่ได้โกรธอะไรที่พิณพูดออกมาอย่างนั้น เหตุนึงก็เพราะมันเป็นงานปั้นที่ยังเสร็จไม่ถึงครึ่ง ใครเดาออกก็คงแปลก ส่วนสาเหตุอื่นนอกเหนือจากนั้นก็มีแต่ความเอ็นดูล้วนๆ เตขำเล็กน้อยในลำคอ “ดอกไฮยาซิน” เตตอบ “รู้จักหรือเปล่า”

   “อือ” พิณครางรับพร้อมพยักหน้าขึ้นลง

   เตวาดแขนผ่านลำตัวบาง เขาชี้มือไปที่ผลงานบนแป้นหมุน “ไอ้ที่โค้งๆตรงนี้เป็นก้านดอก” เขาวาดมือชี้ไปยังส่วนต่างๆของงานปั้นเพื่ออธิบายให้พิณเห็นภาพคร่าวๆ ไม่ใช่ว่าเตจะไม่รู้ตัวว่าการที่เขาทำอย่างนี้มันทำให้ลำตัวของเขาทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นไปอีก แต่เขาก็ทำ “ตรงนี้เป็นใบ ส่วนนี้จะปั้นเป็นตัวดอกทีหลัง”  พูดจบเขาก็ลดมือลง “เตว่าจะไม่ลงสี”

   “ทำไมละ” พีรการต์ถามขึ้นในขณะที่เตชภณเอานิ้วที่ยังเปื้อนเศษดินอยู่นิดหน่อยมาเขี่ยมือบางเล่น

   “ดอกไฮยาซินมันก็เหมือนดอกกุหลาบอ่ะ มีหลายสี แต่ละสีก็มีความหมายเฉพาะของมัน” เตอธิบาย “ต้องให้คนดูเขาลงสีในใจเอง”

   พีรการต์อึ้งไป ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ว่าดอกไฮยาซินมีหลายสี อันที่จริง เขารู้ความหมายของแต่ละสีด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าพิณไม่เคยเห็นมุมที่ละเอียดอ่อนของเต เตชภณที่เขารู้จักเป็นคนขี้อ้อน ขี้หยอดและชอบเล่นสนุก เจ้าตัวเองมีลุคที่ค่อนข้างจะเหมือนเด็กเกเรนิดหน่อย ซึ่งนั่นทำให้พีรการต์คาดไม่ถึงว่าเตจะมีความเป็นศิลปินสูงขนาดนี้

   และนั่นมันก็ทำให้เขาตกหลุมรักเตมากขึ้นไปอีก

   “รู้มั้ยว่ามันเป็นดอกไม้ที่เกิดมาจากน้ำตาที่หยดลงบนเลือดน่ะ” พีรการต์เอ่ยปากถาม

   “ไปเอามาจากไหน” เตขมวดคิ้วสงสัย

   “อ่านเจอมาในหนังสือเทพนิยายกรีก”

   “เศร้านะ” เตชภณพูดขณะที่ใช้แขนดึงร่างเล็กให้เข้าไปชิดกับอกกว้างมากขึ้น “พิณ”

   “หือ” พีรการต์ครางรับคำเรียกชื่อในลำคอ

   “ถ้าลงสีได้ มึงจะลงสีดอกไฮยาซินดอกนี้ให้เป็นสีอะไร”

   “สีฟ้า” พิณตอบทันที ทั้งที่ไม่รู้ว่าคนถามคิดอะไรอยู่ในหัว แต่เขาก็ตอบ ร่างบางพูดย้ำอีกรอบ “สีฟ้า”

   


   แต๊ก! แต๊ก! ตะ...แต๊ก!

   “ไม่ติดเลยว่ะพิณ” เตเอ่ยขึ้นอย่างยอมจำนนหลังจากที่เขาใช้ความพยายามสตาร์ถเพื่อมอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมของตัวเองมาประมาณห้านาทีได้ ร่างหนาเอามือเสยผมลวกๆเพื่อคลายความร้อน “วันนี้มึงคงต้องกลับกับเฮียภีม”

   “อ้าว แล้วมึงจะกลับยังไง” พีรการต์เอ่ย ก่อนจะมองไปรอบกาย “เย็นแล้วนะ”

   “ยังไม่ได้คิด” เตว่าอย่างไม่ยี่หระ “มึงโทรหาเฮียก่อนเถอะ”

   พีรการต์พยักหน้ารับคำ แล้วก้มกดโทรศัพท์หาพี่ชาย เสียงรอสายดังอยู่อึดใจนึงก่อนที่คนปลายสายจะรับ เสียงลมที่ผ่านเข้าหูโทรศัพท์มาทำให้พิณรู้ว่าพี่ชายของเขากำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับบ้าน แม้จะเกรงใจพี่ชายเล็กน้อย แต่พิณก็จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ

   สนทนาได้ไม่กี่ประโยคก็วางสายไป ได้ความว่าอีกไม่นานคนทางนู้นก็จะย้อนกลับมารับ

   “ขอโทษที เมื่อกี้ทำงานเพลินไปหน่อย” ร่างสูงข้างกายพูดขึ้น หลังจากที่พิณคุยโทรศัพท์เสร็จ “เฮียมึงเลยต้องย้อนไปย้อนมา”

   “นั่นนับว่าทำงานแล้วหรอ” พีรการต์เอ่ยขันๆ ตั้งแต่เข้าห้องศิลปะไปก็ไม่เห็นเตชภณจะได้ทำอะไรนอกจากแทะโลมเขา ทั้งทางสายตา กิริยาและคำพูด ถึงพิณจะไม่ได้รังเกียจสิ่งที่เตทำเท่าไหร่นัก เขาก็อดหมั่นไส้เมื่อเจ้าตัวเอาคำว่าทำงานมาอ้างไม่ได้   

   “คิดไปคิดมาก็ไม่นะ งั้นเปลี่ยนคำพูดใหม่ก็ได้” เตกล่าว เขาเอื้อมมือไปจับศีรษะของพิณ ลูบไปมาเสมือนเอาเส้นผมไปทัดไว้กับหูคนร่างบางทั้งที่พีรการต์เองก็ไม่ได้ผมยาวอะไร เตชภณขยับตัวเข้าไปใกล้คนข้างกายอีกนิด ก่อนจะจ้องไปในดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่าย “อยู่กับใครบางคนจนลืมเวลาไปหน่อย”

   ให้ตายเถอะ...

   และนั่นก็ทำให้พีรการต์หมดคำพูด เขาไม่กล้าที่จะหายใจแรงหลังจากฟังประโยคนั้นด้วยซ้ำ ร่างบางกัดปากตัวเองทันที มันเป็นกิริยาที่พิณชอบทำเวลาตัวเองประหม่าหรือเขินอาย ซึ่งท่าทางเหล่านั้นก็ทำให้หัวใจของเตเต้นแรงทุกครั้ง

   พิณ กัดปากแบบนั้นมันมากเกินไปแล้วนะ

   เตชภณรำพึงในใจ เขาไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของตัวเองเวลาอยู่ใกล้กับพีรการต์ มากไปกว่านั้นคือเขาหลีกเลี่ยงที่จะทำความเข้าใจกับมันด้วย รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนไม่ควรกอดหรือจูบแบบที่พวกเขาสองคนทำกันอยู่แทบทุกวัน แต่เตก็เลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นความจริงข้อนั้นไป

   แล้วหลอกตัวเองว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นเรื่องปกติของคนที่เป็นเพื่อนกัน


    “ไอ้พิณ!” เสียงตะโกนเรียกของใครบางคนทำให้เตผละออกจากพิณอย่างอัตโนมัติ ทั้งสองหันไปมองมอเตอร์ไซค์สองคันที่ขับมุ่งมาทางพวกเขา คันนึงมี ‘ภีม’ หรือ ‘ภูมิรพี’ เป็นคนขับ ส่วนอีกคันก็ถูกขับโดยเพื่อนของภีมซึ่งพิณเองก็ลืมชื่อไปแล้ว

   ไม่ถึงสามวินาทีต่อมามอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันก็แล่นเข้ามาจอดบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ เตชภณหันไปไหว้คนมาใหม่ทั้งสองคนเพราะถือเป็นรุ่นพี่ แต่ไม่ทันทีเพื่อนของภีมจะรีบไหว้ ภูมิรพีก็ดึงความสนใจของทุกคนโดยการโยนกุญแจมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ในมือไปให้น้องชายของตนเสียก่อน

   พีรการต์รับได้อย่างทันท่วงที

   “ขับคันนี้ไปส่งเพื่อนมึงที่บ้าน เดี๋ยวกูกลับกับไอ้บีม” คนมาใหม่จัดการวางแผนให้เตและพิณอย่างเสร็จสรรพ

   “ไม่ต้องก็ได้” เตขัดขึ้นมาทันที และนั่นทำให้ทั้งสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์หันมาจ้องคนพูดอย่างไม่เข้าใจ เตชภณยืดหลังขึ้นมาเล็กน้อย “เอ่อ คือผมหมายถึงว่าบ้านผมมันค่อนขะ...”

   “เอาตามนั้นแหละ” ภูมิรพีเอ่ยตัดบทเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งที่เตชภณกำลังพยายามพูด เขาหันเดินกลับไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ของบีมที่ยังไม่ได้ดับเครื่อง และก่อนที่ใครจะเอ่ยอะไรขึ้นมาอีกครั้ง พาหนะสองล้อนั่นก็ถูกขับออกไปแล้ว

   ทิ้งคนสองคนให้ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ

   “บ้านของมึงทำไม” พีรการต์ถามขึ้นเพื่อทำลายความอึดอัดหลังจากที่พี่ชายเขาลับสายตาไปแล้ว แต่เตชภณไม่ตอบ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด เห็นดังนั้นพิณจึงเอ่ยเรียกชื่อเขาขึ้น “เต”

   คนร่างสูงสะดุ้งเบา “เปล่า” เขากะพริบตาถี่เหมือนเพิ่งจะออกจากภวังค์ “ไม่มีอะไร”

   เตพูด จากนั้นก็เดินมาซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่พิณขึ้นค่อมอยู่ก่อนแล้ว ร่างบางบิดกุญแจสตาร์ถเครื่อง ก่อนที่จะออกรถ

   แม้ว่าเตชภณจะมีท่าทีที่แปลกออกไปอย่างเห็นได้ชัด และแม้ว่าอยากจะรู้ว่าร่างสูงเป็นอะไรแต่พีรการต์ก็ไม่สนใจที่จะซักไซร้กับคนที่ไม่อยากบอกความ พิณเคยไปบ้านของเตอยู่สองสามครั้งแต่ไม่เคยเข้าไปข้างในเพราะไม่มีเหตุจำเป็น บ้านของเตเป็นบ้านหลังใหญ่ที่กินพื้นที่ประมาณครึ่งซอย มีสไตล์การตกแต่งผสมผสานระหว่างความทันสมัยและความเป็นไทย เป็นบ้านสร้างใหม่ที่เตชภณเคยบอกว่าเขามีส่วนร่วมในการออกแบบอยู่เล็กน้อย

   และเมื่อดูจากความสามารถทางด้านศิลปะของเจ้าตัวแล้ว สิ่งที่เตพูดมามันก็น่าเชื่ออยู่ไม่น้อย

   พีรการต์ใช้เวลาขับรถไม่นาน พาหนะเครื่องยนต์สองล้อก็มาจอดอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว

   “มึงรีบกลับเถอะ” เตชภณกล่าวขึ้นมาทันทีที่ก้าวขาลงจากมอเตอร์ไซค์ เขาตรียมหมุนตัวเข้าบ้าน “เดี๋ยวไว้เจอกันพรุ่งนี้”

   “เดี๋ยว” พีรการต์ดึงแขนแกร่งไว้ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกไป เตหันกลับมามอง “พรุ่งนี้จะไปโรงเรียนยังไง”

   “ก็ว่าจะ...”

   “พี่เต!” เสียงเรียกที่ดังขัดประโยคมาจากในรั้วบ้านทำให้เตชภณสะดุ้งก่อนจะปัดมือของพิณที่จับแขนเขาอยู่ออกอย่างรวดเร็ว พีรการต์มองเตด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจอยู่เสี้ยววินาทีนึง แต่ก็หลุบตาต่ำลงทันทีที่คนข้างในกดรีโมทเพื่อเปิดประตูรั้ว แล้วเดินออกมาส่งยิ้มให้คนสองคนที่ยืนอยู่ข้างนอก “ทำไมวันนี้พี่เตกลับเย็นจังละคะ แตงรอตั้งนาน”

   คนที่เพิ่งปรากฎตัวเป็นเด็กสาวที่ดูจากภายนอกแล้วอายุอานามน่าจะใกล้เคียงกับเต หรืออาจจะเด็กกว่าสักสองสามปี เธอพูดด้วยน้ำเสียงสดใสจนเหมือนแกล้งดัด เด็กสาวตรงหน้าเป็นคนที่พิณไม่เคยเห็นมาก่อน เธอปราดตาที่ไร้แววมามองพิณแวบนึง ถึงบนปากจะมีรอยยิ้ม แต่เธอก็ทำให้พีรการต์รู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   “พี่ต้องทำงานศิลปะส่งเข้าประกวดน่ะ” เตตอบ เขาไม่ได้หันมามองพิณเลยสักนิดเดียว

   “แล้วทำไมวันนี้ถึงให้เพื่อนมาส่งละคะ” เธอซัก

   “วันนี้รถพี่เสีย” เตชภณถอนหายใจพลางเสตามองไปตรงจุดที่ว่างเปล่า “พรุ่งนี้คงต้องให้ลุงแจ่มไปส่ง”

   “พี่เป็นเพื่อนสนิทกับพี่เตหรอคะ” เธอไม่ได้ตอบรับคำบอกของเต ตรงกันข้าม เด็กสาวกลับหันมาชวนพิณคุยทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้มีท่าทีความรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา พีรการต์รู้สึกงุนงงแต่เขาก็พยักหน้าตอบคำถาม เด็กสาวตรงหน้าคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม “สนิทมากกันมั้ยคะ”

   “ไม่มากเท่าไหร่” จู่ๆคนร่างสูงก็โพล่งขึ้นมา พีรการต์หันไปมองเตชภณด้วยความประหลาดใจ

   เขาเอาอะไรมาพูดน่ะ ว่าเราสนิทกันไม่มาก

   “พี่ชื่ออะไรคะ” เธอเพิกเฉยต่อคำตอบของเตชภณ แตงถามพลางจ้องร่างบางด้วยดวงตาที่กลมโต เด็กสาวตรงหน้าทำให้พิณใจแกว่งแปลกๆ แต่พีรการต์ก็พยายามแสดงสีหน้าปกติออกมา

   “พี่ชื่อพิณ” ร่างบางว่าเสียงนิ่ง พีรการต์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังคุยกับใครอยู่ หากเดาจากประโยคสทนาที่เธอเพิ่งมีกับเตเมื่อครู่ เธอผู้นี้ก็น่าจะเป็นน้องสาวหรือญาติคนสนิทของเต แต่นั่นก็แปลก...เพราะพิณไม่เคยได้ยินเตพูดว่าตัวเองมีพี่น้องเลย

   “พี่พิณ...” เด็กสาวครางทวนคำตอบ “หนูชื่อแตงค่ะ”

   “พิณ กูว่านี่มันก็ใกล้มืดแล้ว มึงกลับบ้านไปเถอะ” เตชภณพูดขัดจังหวะสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง เขามองมาที่พีรการต์ด้วยสายตาที่คนร่างบางเองก็อ่านไม่ออก พิณเม้มปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ตัดใจล้มเลิกไป พีรการต์พยักหน้าแล้วหันไปยิ้มลาแตงที่ยืนอยู่ใกล้

   “เดี๋ยวค่ะพี่พิณ” แตงเอื้อมมือมาจับแขนเสื้อของพิณไว้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “พรุ่งนี้พี่พิณมารับพี่เตไปโรงเรียนด้วยนะคะ”

   “แตง” เตชภณเรียกชื่อเด็กสาวเสียงนิ่ง แตงหันไปส่งยิ้มเย็นให้ร่างสูง

   “มีอะไรหรือคะพี่เต”

   “ก็พี่บอกแล้วไงว่าพี่จะให้ลุงแจ่มไปส่ง” เตกล่าว ในน้ำเสียงของเขามีร่องรอยของความหงุดหงิด และนั่นก็ทำให้ความสงสัยที่พีรการต์มีอยู่ในตัวเตแทบจะล้นออกมาจากอกเขา   

   “พรุ่งนี้ลุงแจ่มต้องพาคุณแม่ไปกำแพงเพชรแต่เช้าค่ะ คุณแม่ต้องไปจัดการเรื่องโรงเรียนให้แตง”

   “หมายความว่ายังไง ที่ว่าจะไปจัดการเรื่องโรงเรียนให้น่ะ” ร่างสูงเอ่ยถาม

   “ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละค่ะ” แต่ทว่าเขาไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เด็กสาวกะพริบตาถี่ๆก่อนจะยิงคำถามขึ้น “ทำไมพี่เตไม่อยากให้พี่พิณมารับตอนเช้าละคะ มีอะไรหรือเปล่า”

   “นั่นสิ” พีรการต์พูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน เขามองหน้าเตแล้วถามย้ำคำที่เด็กสาวเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ “มีอะไรหรือเปล่า”

   ปกติแล้วพีรการต์ไม่ใช่คนขี้สงสัยอะไรมากนัก เขาไม่ค่อยถามหากรู้ว่าคู่สนทนาไม่อยากจะตอบ แต่ครั้งนี้เตชภณมีท่าทีที่ประหลาดจริงๆ ทั้งที่เมื่อตอนเย็นที่อยู่ด้วยกันเขาก็ยังดูปกติอยู่เลย เพิ่งจะมาออกอาการก็ตอนที่เฮียภีมบอกให้พิณมาส่งที่บ้านเท่านั้น

   แล้วเตก็ดูแปลกมากขึ้นไปอีกเมื่อแตงปรากฎตัว

   เมื่อเห็นว่าร่างสูงไม่ตอบอะไร พิณก็เลือกที่จะตัดบท “เจอกันพรุ่งนี้ตอนเช้านะเต”



........................................................................


คนเขียนคนเม้าท์: ตัวละครสำคัญออกครบแล้ว (เย้!)  :mc4: ต่อจากนี้จะไม่มีการขมวดปมอีกต่อไปแล้วค่ะ อย่าเพิ่งด่าคนเขียนกันเลยเนอะ ตอนนี้พาร์ทอดีตกินไปแทบทั้งตอนเลย นิยายย้อนเวลาของแท้(ฮา)
ปล.มีคนบอกมาว่าสำนวน "พูดไร้น้ำเสียง" ค่อนข้างจะแปลก อันที่จริงคนเขียนเจอสำนวนนี้ในนวนิยายแปลเล่มนึงค่ะ เห็นด้วยเลยว่าแปลกก็เลยยืมมาใช้ อ่านทีไรรู้สึกว่ามันเย็นช๊าเย็นชา แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ  :mew3:
อย่าลืมเข้าไปติดแฮชแท็ก #เตคนเล่นพิณ ในทวิตเตอร์กันนะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: sentpai ที่ 30-05-2017 20:06:01
สนุกมากครับ
เนื้อเรื่องชวนให้ติดตามต่อมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: sebest ที่ 30-05-2017 20:32:41
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 30-05-2017 23:08:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 30-05-2017 23:14:37
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 30-05-2017 23:28:24
ปมขมวดเข้ามาแล้วววว
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-05-2017 23:57:39
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 31-05-2017 06:38:05
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 31-05-2017 07:15:22
แตงคือใคร น้องจริงหรือเปล่า หรือว่าว่าที่คู่หมั้นอะไรแบบนี้หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-05-2017 07:20:20
สังหรณ์ใจว่ายัยแตงอะไรนี่(ดูจะ)โรคจิต
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-06-2017 15:46:40
มาตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 7] 30.05.17 ◣PAGE 3◢
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 08-06-2017 16:08:00
CHAPTER EIGHT

- I’ve written so many love stories with sad endings since I don’t know anything about the happy ones. -



   “พี่ภัทรคะ ละครจบแล้วไปฉลองกันนะคะ” ประโยคเชิญชวนถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับการบีบเบาๆที่ไหล่ของผม น้องแจงไม่ได้อยู่รอฟังคำตอบอะไร เธอกลับเดินตัดหน้าไปเพื่อเช็คไฟเวทีอีกครั้งก่อนเปิดการแสดงรอบสุดท้าย

   ปกติแล้วการแสดงละครเวทีภาษาอังกฤษของโรงเรียนผมมีเพียงแค่สามรอบเท่านั้น แบ่งเป็นรอบมอต้นเข้าชม รอบมอปลายเข้าชม และรอบสุดท้ายเป็นรอบดึกที่จะเปิดให้คนนอกซื้อตั๋วเข้ามาดู ถือเป็นการทำรายได้ให้กับโรงเรียน ซึ่งปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ทำรายได้ได้ค่อนข้างมากเนื่องจากมีงบในการประชาสัมพันธ์สูงกว่าทุกปี

   ทุกคนตื่นเต้น ผมเองก็เช่นกัน

   ผมเดินไปที่แถวปล่อยคิวเพื่อดูแลนักแสดงที่กำลังทำสมาธิ น้องบางคนดึงเอามือผมไปจับเพื่อลดความกังวล และมือของน้องเขาก็เย็นมากเพราะความตื่นตระหนก ผมพาพวกน้องๆนับเลขในใจหนึ่งถึงสิบวนไปมาอยู่อย่างนั้น

   เมื่อม่านเปิด นักแสดงทุกคนต่างก็ทิ้งความกลัวเอาไว้หลังผ้าม่าน แล้วย่างก้าวออกไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่ต่างอะไรกลับทีมงานเบื้องหลังทุกคน ฝ่ายฉากวิ่งยกของหนักวิ่งกันไปมาอย่างวุ่นวาย เช่นเดียวกับฝ่ายเสียงที่ยุ่งไม่แพ้กัน ส่วนผมที่ไม่มีหน้าที่อะไรแล้วจึงเนรเทศตัวเองไปอยู่ข้างเวทีเพื่อดูละครที่ผมเป็นคนเขียนขึ้นมาเองให้เต็มตา

   เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น และเป็นเพราะว่าพวกเราซักซ้อมกันมาอย่างดี การแสดงของพวกเราจึงไม่มีพลาดกันเลยสักจุด บทที่เขียนขึ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเอกในอนาคตที่ย้อนเวลากลับมาติดอยู่ในโลกปัจจุบัน ก่อนตกหลุมรักกับนางเอกซึ่งเป็นวิศวกรที่พยายามจะช่วยซ่อมไทม์แมชชีนของเขา

   และเรื่องก็ดำเนินมาถึงจุดไคล์แมกซ์...
   
   จุดที่เขาทั้งสองคนต้องลาจากกัน

   “I’m going to miss you. (ผมจะคิดถึงคุณ)” นักแสดงฝ่ายชายว่า เขายืนอยู่ในเครื่องไทม์แมชชีนที่ซ่อมเสร็จแล้ว “And it’s going to hurt me real bad. (และมันคงจะเจ็บปวดมาก)” ฝ่ายชายขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ฝ่ายหญิง แต่เธอก้าวถอยหนีพร้อมกับยิ้มบางที่มุมปาก

   นางเอกไม่พูดอะไร

   “I won’t forget you. (ผมจะไม่ลืมคุณ)” ฝ่ายหญิงยังเงียบ “Please, say something, anything. (ได้โปรด พูดอะไรหน่อยได้มั้ย อะไรก็ได้)”

   ฝ่ายหญิงยังนิ่งงัน เธอดันฝ่ายชายเข้าไปด้านใน ก่อนจะกดปุ่มข้างนอกเพื่อทำให้เครื่องทำงาน ทั้งสองมองหน้ากันท่ามกลางความเงียบที่เต็มไปด้วยความเศร้า พร้อมกันที่ทีมงานฝ่ายฉากเดินเข้าไปค่อยๆเข็นเครื่องไทม์แมชชีนและตัวพระเอกออกมาจากหน้าเวที

   ไฟหรี่ลง เพลงสากลจังหวะช้าดังขึ้น สายตานางเอกยังจับจ้องอยู่ที่เดิมที่เคยมีพระเอกแต่ทว่าตอนนี้มันกลับว่างเปล่า

[They can take tomorrow and the plans we made
They can take the music that we never played]
   
   แล้วนางเอกก็พูดขึ้นมา “Don’t go (อย่าไป)”


[All the broken dreams take everything
Just take it away
But they can never have yesterday]


   เมื่อม่านปิดลง เสียงปรบมือกระหึ่มขึ้นมาจนผมไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆอีก น้องนักแสดงบางคนกระโดดโลดเต้นกันอยู่หลังเวทีด้วยความโล่งใจ มีใครบางคนตะโกนขึ้นมาถึงร้านเหล้าที่พวกเขาจะไปฉลองกันหลังจากออกไปขอบคุณคนดูจบ

   การปิดฉากละครเวทีภาษาอังกฤษประจำปีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีการขอบคุณนักแสดง ทีมงานหลังฉาก ผู้กำกับ คุณครูที่ปรึกษา สปอนเซอร์และผมที่อยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ ผมกล่าวออกไปหน้าเวทีเพื่อรับดอกไม้และถ่ายรูป แม้ว่าจะรู้ว่าไม่มีคนที่ผมรู้จักมักจี่มาดูในวันนี้ก็ตาม

   หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ผมกับพวกน้องๆก็พากันมาฉลองที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งมีครูอ้อเป็นหุ้นส่วน อาจจะฟังแปลกไปหน่อยนะครับ แต่ครูอ้อเป็นครูหัวสมัยใหม่มาก แกเลยใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นหุ้นส่วนในร้านของแกเปิดขวดเหล้าให้กับพวกผม แล้วมันจะไปมีใครขัดอะไรละครับ เด็กวัยรุ่นสมัยนี้มันก็ชอบกันอยู่แล้ว

    “ครูว่าเรื่องของปีนี้ดีนะภัทร ตอนจบทำเอาครูน้ำตาซึม” ครูแกว่าในขณะที่หยิบของแกล้มเข้าใส่ปาก

   “ใช่พี่ ขนาดผมเป็นผู้ชายผมยังเกือบร้อง” น้องผู้ชายฝ่ายเสียงอีกคนนึงสมทบขึ้นมา “ว่าแต่ทำไมพี่ภัทรถึงชอบเขียนตอนจบเศร้าๆละ ปีที่แล้วก็คราวนึงแล้วนะ”

   “เออว่ะ” ใครอีกคนว่าต่อ “ปีที่แล้วพี่สาวพระเอกก็พลั้งมือฆ่านางเอกนี่หว่า จบไม่สวยเหมือนกัน”

   พอน้องคนนั้นพูดจบหลายคนก็พากันหันมาจ้องเพื่อขอคำตอบจากผม ผมเสตาไปมองทางอื่น ยกแก้วขึ้นกระดกน้ำเมาเข้าปาก ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบที่เหมาะสมให้คนรอฟังอย่างไรดี ผมถอนหายใจ “พี่ถนัดแบบนี้ เขียนแนวอื่นไม่ค่อยลื่น”

   “เพลงที่ขึ้นตอนจบก็เพราะมาก เหมาะกับอารมณ์จากลาพอดีเลย” ครูอ้อหันไปคุยกับน้องหัวหน้าฝ่ายเสียง “ชื่อเพลงอะไรนะ”

   “Yesterday ของ Leona Lewis ครับ” คนตอบหันมามองทางผม “เพลงนี้พี่ภัทรเป็นคนเลือก”

   “ละเอียดอ่อนมาก” ครูอ้อพยักหน้าพลางชมเปราะ เธอเอื้อมมือมาตีไหล่ผมสองสามที “เก่งสมเป็นภัทรจริงๆ”

   ผมยิ้มรับคำชม ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรไป

   “พี่ภัทรเขียนเข้าถึงอารมณ์แบบนี้นี่ ประสบการณ์ตรงหรือเปล่าคะ” น้องแจงถามพลางหัวเราะคิกคักกับเพื่อน ผมนิ่ง ก่อนจะปล่อยมึน ไม่ยอมตอบเหมือนไม่ได้ยินที่เธอถาม โชคดีที่น้องแจงไม่ได้ถามแบบอยากรู้จริงจังอะไร ทุกคนจึงปล่อยผ่าน

   บางอย่างในคำถามนั่นสะกิดใจผมเข้าอย่างจัง

   ‘ประสบการณ์ตรง’ งั้นหรอ

   ผมแค่นยิ้มก่อนจะกระดกเครื่องดื่มมึนเมาเข้าปากรวดเดียวเหมือนเป็นน้ำเปล่า แล้วหยิบขวดเเหล้าและโซดามาชงเองใหม่เรื่อยๆ น้องบางคนผิดสังเกตขึ้นมานิดหน่อยที่ผมเงียบกว่าปกติ พวกเขาถามแต่ก็ไม่ได้รอฟังคำตอบเช่นเคย มันเหมือนการถามไถ่ไปตามมารยาทเท่านั้น

   ทุกคนสนุก ผมพูดคุยและยิ้มบ้าง แต่ส่วนมากก็จะเติมน้ำสีอำพันเข้าร่างกายมากกว่า

   ใช่เวลาไม่นานเท่าไหร่ ผมก็เริ่มมึนหัวและจับใจความที่น้องๆพูดกันไม่ได้มาก ผมวางแก้วลง กวาดสายตามองไปทั่วร้านหลังจากที่นั่งก้มหน้ามานาน

   แล้วผมก็เห็น...

   เห็นใครบางคนที่เข้ามายึดครองพื้นที่ในหัวผมตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

   ‘เต เตชภณ’

   ผมเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะนึง สมองผมที่เต็มไปด้วยเรื่องของเขากลับถูกเข้ามาแทนที่ด้วยความว่างเปล่าในเสี้ยววินาที ผมหลับตาลงเพื่อตั้งสติ คิดว่านั้นเป็นภาพหลอนที่เกิดจากอาการเมา แล้วผมก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

   แต่มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ภาพหลอน

   เตมองกลับมาที่ผม เขาดูไม่ได้ตกใจอะไร เหมือนเขาเห็นผมมาตั้งนานแล้ว

   “ไอ้เต...” ผมครางเรียกชื่อเขาออกมาอย่างไม่รู้ตัว

   “หะ” น้องคนที่นั่งข้างผมเอ่ย “เมื่อกี้พี่ภัทรว่าไงนะครับ”

   ประโยคที่ถูกคนข้างตัวถามขึ้นเบี่ยงความสนใจของผมออกจากเต ผมก้มหน้าลงมองตักตัวเอง กะพริบตาถี่ กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเอ่ย “เปล่า พี่ว่าพี่เมาแล้วว่ะ” ผมลุกขึ้นยืน ไม่ได้โฟกัสสายตาไปที่จุดใดจุดนึง เสียงในหูของผมเป็นเสียงดังก้องๆที่ผมจับใจความอะไรไม่ได้ “ขอตัวก่อนนะ”

   ผมพูดโดยไม่ได้ระบุผู้ฟัง จากนั้นก็แทรกตัวออกมา มีน้องคนนึงเข้ามาพยายามจะช่วยพยุงแต่ผมก็สะบัดน้องเขาออกไปแล้วทำสัญลักษณ์มือไปว่าผมโอเค น้องเขาจึงปล่อยตัวผม ใครบางคนคาดการณ์ว่าผมคงจะไปห้องน้ำเพราะนั่นคงจะเป็นทิศทางที่ผมเดินมา แต่ทว่าผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตั้งใจจะพาตัวเองไปที่ไหน มีสติรู้แค่ว่าต้องเดินออกมาจากตรงที่นั่งอยู่ให้เร็วที่สุด

   เพราะร้านนี้เป็นร้านแบบเอ้าท์ดอร์ พอผมเดินอย่างไม่มีจุดหมายมาเรื่อยๆผมจึงหลุดออกจากบริเวณตัวร้านในที่สุด ข้างหน้าของผมเป็นถนนเส้นนึงที่ก็ไม่รู้ว่ามันมุ่งหน้าไปทางไหน แต่ก็เพราะความเมามายจนไร้สติจึงทำให้ผมตัดสินใจก้าวขาเดินต่อไปโดยไม่สนใจดูรถที่วิ่งอยู่

   และก็เพราะว่าเป็นแบบนั้น...

   ปริ๊นนนนนนนนนนน!

   แสงไฟจากพาหนะที่เคลื่อนตัวอยู่บนถนนสาดเข้าที่ตาทันทีที่ผมหันไปมอง ก่อนที่ผมจะทันได้คิดอะไร มือของใครบางคนก็กระชากจนผมเซไปปะทะกับแผงอกกว้าง ผมนิ่งไปครู่นึงด้วยความตกใจและความมึนจากฤทธิ์แอลกฮอล์ หัวใจของผมเต้นแรง และยิ่งแรงมากขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าเสี้ยววินาทีที่แล้วผมเกือบตาย

   ผมเงยหน้าเพื่อจะกล่าวคำขอบคุณให้คนที่ช่วยชีวิตผม แต่ทว่า...

   “พิณ! มึงอยากตายหรือไง! เมื่อกี้เกือบถูกรถชนแล้วเห็นมั้ย!” คนที่ช่วยผมกลับเป็นคนที่ผมเพิ่งเดินหนีมา

   เตตะโกนขึ้นอย่างลืมตัว เขาจับแขนผมแน่นมากจนผมเจ็บไปหมด สรรพนามที่เขาเคยใช้เรียกผมอย่างคนห่างไกลก่อนหน้านี้หายไป เหลือทิ้งไว้แต่คำแทนชื่อที่เราใช้เรียกกันเมื่อสมัยสามปีที่แล้วเท่านั้น

   นัยน์ตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงระคนไปกับความตกใจทำเอาผมพูดไม่ออก ตัวเขาสั่นมากพอๆกับผม เตกระชากผมเข้าไปกอด

   “เกือบไป...” เขาพึมพำพลางลูบหลังผมไปมา “เกือบไปแล้ว”

   เขาดูตกใจมาก เหมือนเขากลัว ทั้งๆที่คนที่ควรรู้สึกแบบนั้นควรจะเป็นผม

   “เต” ผมเรียกชื่อเขา และมันก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมใช้น้ำเสียงแบบนี้ “กูไม่เป็นอะไรแล้ว”

   ผมไม่ได้กอดเตตอบ แต่ก็ไม่ได้ดันเขาให้ถอยห่าง ใจของเตเต้นเร็วและแรงจนผมรู้สึกได้ หัวใจของผมก็เช่นกัน ไม่รู้เหมือนว่าทำไมผมปล่อยให้เขากอดผมเอาไว้แบบนั้น นานพอสมควรอยู่เหมือนกันกว่าผมจะเอ่ยอะไรออกมา

   “ปล่อย” ผมใช้มือดันเขาเบาๆ เตไม่ได้ขัดขืน เราทั้งสองยังยืนอยู่ในระยะที่รู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

   เตใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไม่เป็นไรแน่นะ”

   ผมพยักหน้าแทนคำตอบ

   เขายังไม่ละสายตาออกจากผม “นี่เมาใช่มั้ย” เตถาม “กินไปเยอะขนาดไหนถึงได้เมาขนาดนี้”

   “ก็เยอะ” ผมตอบสั้น หลับตา ใช้มือเสยผมตัวเองและเบี่ยงหน้าไปทางอื่น ความรู้สึกหลายหลากตีผสมปนเปกันไปมาในหัวของผม และยิ่งผมเมามันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ ดังนั้นมันคงจะไม่ดีแน่หากผมยังคงยืนอยู่ตรงนี้และสนทนากับคนตรงหน้าต่อไป “กูกลับแล้วนะ”

   เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมหันหลังกลับ “เดี๋ยว” เตเอื้อมมือมายื้อไหล่ผมเอาไว้ “จะกลับไปไหน”

   ผมเงียบไม่ตอบเขา

   “จะหนีไปไหนอีก” ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองมั้ย แต่เสียงของเตสั่น และความอ่อนไหวในเสียงนั้นมันก็กรีดลงในใจจนผมปวดลึก ผมขบริมฝีปากเข้าหากันเพราะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

   “หนีไปไหนก็ได้” ผมตอบ ทั้งที่ตัวเองไม่กล้าหันกลับไปมองเขาด้วยซ้ำ “ขอแค่ไม่ต้องเจอมึงก็พอ”

   แรงบีบที่ไหล่ของผมคลายลงทันทีหลังจากที่ผมพูดแบบนั้นออกไป แรงยื้อของเตมันเบาลงเสียจนผมรู้สึกได้ว่า หากจะสะบัดมือหนาออกในตอนนี้ผมก็คงทำได้

   แต่ผมไม่ทำ

   เตไม่ได้เขยิบเขามาใกล้ไปมากกว่านั้น เขาใช้เพียงแค่แรงอันน้อยนิดจับไหล่ผม แต่นั่นมันก็พอแล้วที่จะยื้อทั้งตัวของผมเอาไว้ “ต้องให้กูทำยังไง” เตพูด ภาพตรงหน้าของผมเริ่มเลือนลาง ผมสะบัดหัวไปมาเพื่อให้อาการเหล่านั้นมันหายไป “ต้องทำยังไงมึงถึงจะไม่หายไปอีก”

   มือหนาเลื่อนลงมาจับมือผม ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามของเขา

   “มึงแค่บอก ขอแค่มึงบอกว่าอยากให้กูทำอะไร กูจะทำให้มึงทุกอย่าง” เตกระชับมือแน่นขึ้น “แต่ขอร้อง อย่าหนี...อย่าหนีกูไปอีกเลยนะ”

   ผมรู้ดีว่าผมควรผลักไสให้เขาออกไปอย่างที่บอกตัวเองว่าควรทำมาตลอด แต่ความลังเลบางอย่างมันกลับทำให้ผมไม่กล้าทำแบบนั้น ความรู้สึกข้างในของผมมันหมุนคว้าง เช่นเดียวกันกับโลกทั้งใบที่ผมยืนอยู่ตอนนี้

   “ทำไมกูต้องทำตามที่มึงบอก” ผมดึงมือออก หันหน้าไปมองเขา “ทำไม”

   “เพราะกูทนไม่ไหวแล้ว” ความมึนเมาจากฤทธิ์สุราเริ่มโจมตีผมหนักมาก จนตอนนี้สิ่งรอบตัวมันกลายเป็นเพียงแค่ภาพฟุ้งๆเหมือนดังในความฝัน เตเดินเข้ามาใกล้ สบหน้าผากลงที่ไหล่ข้างนึงของผม “กูทนที่จะไม่มีมึงอยู่ในชีวิตไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”

   ท่ามกลางจังหวะที่ถี่เร็วของหัวใจตัวเอง ผมกลับพบความสงบอยู่ในนั้นจากสิ่งที่เตพูดออกมา ผมไม่รู้ว่ามันคือคำโกหกดั่งเช่นที่เขาเคยทำในวันวานหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมก็ไร้สติเกินกว่าจะสนอะไรทั้งสิ้น

   “กูก็ทนไม่ไหว” ผมยกมือขึ้นกอดเขา

   เตนิ่งไป

   จะอะไรก็แล้วแต่เถอะ...

   ขอเพียงเสี้ยววินาทีนี้แล้วกันที่ผมได้ทำตามใจตัวเอง

   “ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”




   [สามปีที่แล้ว]

   เพราะอากาศที่เย็นจึงทำให้พีรการต์ตัวรุมเหมือนจะเป็นไข้ แต่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาต้องมาขี่มอเตอร์ไซค์ตากลมหนาวเพื่อไปโรงเรียนอยู่แบบนี้ก็คือ เขาจะต้องไปรับเตชภณไปเรียนด้วยกันอย่างที่บอกกับเจ้าตัวไว้เมื่อวาน แม้ว่าเตเองจะดูไม่ค่อยเต็มใจก็ตามที

   พีรการต์กับเตชภณไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่ที่แยกจากกันเมื่อวานตอนเย็น ทั้งที่ปกติแล้วพวกเขาจะไลน์หากันไม่เคยขาด มีบางวันถึงขนาดโทรคุยกันจนฟ้าเกือบส่างด้วยซ้ำ มันน่าแปลกที่พวกเขาไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แต่ก็ไม่มีใครอยากจะเริ่มต้นบทสนทนาในช่องแชทของเมื่อคืนนี้

   เตไม่ได้ไลน์มาถามว่าเขาถึงบ้านอย่างปลอดภัยหรือเปล่าอย่างที่เคยทำ  และพิณเองก็ไม่รู้จะรายงานคนใจดำไปทำไมในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้มีกะใจที่จะถาม

   พีรการต์ไม่พอใจแต่ก็ไม่รู้จะเอาสิทธิ์อะไรไปเรียกร้อง

   พาหนะสองล้อแล่นมาจอดที่หน้าบ้านเตชภณอย่างนิ่มนวล พิณยันสองเท้าของตัวลงกับพื้นเพื่อประคองมอเตอร์ไซค์ก่อนจะชะเง้อคอมองเข้าไปในบ้าน ลังเลใจว่าจะกดกริ่งดีหรือไม่

   ไลน์บอกเอาแล้วกัน

   พีรการต์คิด

   แอ๊ด...!

   “พี่พิณคะ” เสียงเล็กแหลมของคนที่เปิดประตูออกมาเรียกขัดก่อนที่ร่างบางจะได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์อะไรลงไป พีรการต์หันไปมาตามต้นเสียง เด็กสาวที่เขาเจอเมื่อวานแต่งตัวอยู่ในชุดธรรมดาทั้งที่วันนี้ควรจะไปโรงเรียนเดินออกมาจากรั้วบ้าน “มาเช้าจังเลยนะคะ”

   “อา...ครับ” พิณพยักหน้ารับ พลางนึกสงสัยว่าแตงรู้ได้อย่างไรว่าเขามาถึงแล้ว ทั้งที่เขายังไม่ได้กดกริ่งเรียกคนในบ้านด้วยซ้ำ

   “พี่เตอยู่ในบ้านแน่ะค่ะ สงสัยกำลังทานข้าวอยู่” เด็กสาวเอ่ย พีรการต์ไม่สามารถบอกได้ว่านั่นเป็นประโยคชวนคุยหรือไม่ “พี่พิณทานข้าวมาหรือยังคะ”

   “อ่อ ก็...”

   “ช่างเถอะค่ะ” คู่สนทนาพูดขัดขึ้นมาก่อนที่พีรการต์จะได้ตอบคำถามของเธอให้จบประโยค “ที่จริงแตงก็ไม่ได้สนเรื่องนั้นมากเท่าไหร่”

   พิณนิ่งไป เขาไม่รู้จะหาคำตอบใดที่เหมาะสมกับคำพูดประหลาดของเด็กสาวที่เอ่ยมาเมื่อครู่นี้ ร่างบางจึงเงียบลง ดวงตากลมโตของคู่สนทนากะพริบถี่ แตงสาวเท้าเข้ามาใกล้เพื่อใช้ดวงตาคู่นั้นสำรวจวงหน้าเรียวจนพีรการต์รู้สึกอึดอัด

   “พี่พิณเป็นเพื่อนกับพี่เตมานานแล้วหรือคะ” เธอถาม แต่ก็ไม่ได้เว้นช่วงให้พีรการต์ตอบ “สนิทกันมาตั้งแต่พี่เตเข้าเรียนที่นี่เลยมั้ย”
   
   พิณนิ่งนึก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “รู้จักกันได้อาทิตย์สองอาทิตย์หลังเตเข้าเรียน”

   เด็กสาวเงียบไปอึดใจนึง ดวงตาสีนิลของเธอที่ล่องลอยจนดูไร้แววและไร้ความรู้สึกทำให้พิณรู้สึกขนลุกแปลกๆ แตงกะพริบตาถี่อีกครั้ง ฉีกยิ้มแล้วถามขึ้น

   “อยู่ที่นี่ พี่เตมีใครหรือเปล่าคะ” คำถามของเธอทำให้พีรการต์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แตงจึงตีความไปเองว่าร่างบางไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด “หมายถึงแฟนน่ะค่ะ อยู่ที่นี่พี่เตมีแฟนหรือเปล่า”

   พิณเงียบไปหลังจากฟังสิ่งที่แตงอธิบายเพิ่ม เขาไม่รู้จะตอบคำถามของเด็กสาวตรงหน้าอย่างไร เพราะหากจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว ตัวพีรการต์เองก็ไม่ทราบคำตอบที่แน่ชัด ร่างบางไม่รู้ว่าตอนนี้เขากับเตเป็นอะไรกัน เพราะเตชภณไม่เคยให้คำจำกัดความกับสถานะของเขาทั้งสอง

   พิณไม่เคยรู้สึกไม่ชอบความชัดเจนนี้ จนกระทั่งวินาทีนี้ วินาทีที่เขาตอบคำถามไม่ได้

   นั่นสิ...อย่างเตนี่จัดว่ามีแฟนแล้วหรือยังนะ

   “พี่...” พีรการต์พึมพำ เขาหลบสายตาที่คนตรงหน้ามองมา “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

   “ไม่รู้” แตงเอ่ยทวนคำ เธอเลิกคิ้วพร้อมยกมือขึ้นมากอดอก เด็กสาวพูดเสียงห้วน “หรือไม่อยากบอกกันแน่”

   พิณเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา เขาเอียงคอเล็กน้อยอย่างอัตโนมัติ ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันด้วยบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความอึดอัดอยู่เสี้ยวนาทีหนึ่ง ก่อนที่เด็กสาวจะหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ แตงก้มหน้าลงพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในนั้น เธอใช้เวลาไม่นาน

   เด็กสาวชูเครื่องมือสื่อสารหันมาทางพีรการต์ “พี่พิณรู้จักกับพี่คนนี้หรือเปล่าคะ”

   ร่างบางหรี่ตามองมือถือของเด็กสาว หน้าจอโทรศัพท์แสดงหน้าวอลเฟสบุ๊คของผู้หญิงคนนึงที่เขารู้จักดี

   ‘Bella Noppasorn’

   ...เบล

   “อืม รู้จัก”
พิณเอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย อวัยวะภายในอกข้างซ้ายของคนร่างบางเต้นในจังหวะที่ผิดแปลกไปในวินาทีที่เขาเปิดปากตอบ   

   “แล้วเขาสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันอยู่หรือคะ” เสียงเล็กแหลมเอ่ยขึ้น พีรการต์เหลือบตาลงมองปลายเท้าตัวเอง แม้จะรู้ดีว่าเตกับเบลไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเพ่ือน แต่สิ่งที่แตงถามมานั้นมันก็ทำให้เขาปวดใจไม่น้อย

   เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจ...

   …ไม่แน่ใจว่าสองคนนั้นจะคงสถานะเพื่อนกันไปอีกนานแค่ไหน

   “พิณ” เสียงแหบพร่าที่เป็นเอกลักษณ์ดังขึ้น เตชภณไม่ได้ตะโกน แต่เขาก็เรียกพีรการต์ดังเกินความจำเป็นด้วยระยะที่ใกล้แค่นี้ น้ำเสียงของเตดูมีความตกใจระคนอยู่ด้วย “มานานหรือยัง”

   เตชภณก้าวขาออกมาจากบ้าน ร่างหนาเหลือบตาไปทางแตงเสี้ยววินาทีนึง พีรการต์เผลอมองหน้าเขาด้วยแววตาที่แสดงความรู้สึกหลากหลาย เตเลิกคิ้วขึ้นเพื่อทวงคำตอบ

   “ก็ไม่นานเท่าไหร่” พิณเอ่ยหลังจากที่เขาหาเสียงตัวเองเจอ

   “แล้วทำไมไม่ไลน์บอก” เตถามห้วน ในประโยคนั้นมีร่องรอยความไม่พอใจบางอย่างจากร่างสูงที่พิณไม่คุ้นชิน เตชภณไม่เคยแสดงอารมณ์แบบนี้ให้เขาเห็นเลยแม้เพียงครั้ง และนั่นทำให้พีรการต์สงสัย

   “คือว่า...”

   “แตงชวนพี่พิณคุยเองแหละค่ะ” เด็กสาวแทรกขึ้น เตชภณหันไปมองเธอด้วยแววตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ “แค่คุยกันแค่นี้คงไม่ทำให้พี่เตไปโรงเรียนสายหรอก”

   ประโยคและน้ำเสียงหยอกล้อควรจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นในกรณีนี้ “ก็คงจะแบบนั้น” เตชภณกล่าวก่อนจะหันกลับมามองหน้าพิณ ร่างสูงเหวี่ยงขาขึ้นคร่อมซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตรงหน้า เขาพูดเสียงเรียบ “รีบไปกันเถอะ”

   “เดี๋ยวค่ะ” แตงเอ่ยรั้งเอาไว้ เธอเดินไปหาเตชภณก่อนจะหอมแก้มเขาเสียงดัง “รีบกลับมานะคะ แตงรออยู่”

   “อืม” เตชภณรับคำ พีรการต์จับสีหน้าร่างสูงไม่ได้เนื่องจากเขานั่งอยู่ข้างหลังตัว

   ตกลงแล้ว...เตกับแตงเป็นอะไรกันแน่

   พิณตั้งคำถามในใจ

   พีรการต์ออกรถหลังจากจากที่เตร่ำลากับเด็กสาวเป็นที่เรียบร้อย เขาทั้งสองคนไ่ม่ได้พูดอะไรระหว่างทางทั้งที่ทำได้ อากาศอุณหภูมิน้อยทำให้พิณต้องขับรถช้ากว่าที่เคยเป็นเพื่อลดแรงลมปะทะ ร่างบางนึกโทษตัวเองที่ประมาทคิดว่าตัวเองจะทนหนาวได้

   เอาเถอะ อีกแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว

   พีรการต์คิด

   “ปล่อยมือออกข้างนึง” เตชภณเอ่ยพูดที่ข้างหูพิณทำลายความเงียบ ร่างบางเบี่ยงหน้าไปมองคนซ้อนเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ

   “ไม่เอาอันตราย” คนร่างบางพูดตอบ

   “เอาน่า แป๊ปเดียว” ร่างสูงยังคงร้องขอหลังจากที่พีรการต์ปฏิเสธไปในคราแรก พิณส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเถียงเตไปทำไมในเมื่ออย่างไรเขาก็ต้องยอมทำตามสิ่งที่เตชภณบอกมาอยู่ดี

   พีรการต์ปล่อยมือข้างนึงออก เตจับแขนบางข้างนั้นให้ยกสูงขึ้นก่อนจะสวมเสื้อกันหนาวลงมา

   “อีกข้างนึง” เตชภณพูด การกระทำที่อ่อนโยนของร่างสูงทำให้หัวใจของพิณเต้นแรงราวกับว่ามันจะหลุดออกจากอก เขาเม้มปากเข้าหากัน พยายามทำความรู้สึกที่ประดังประเดอยู่ในใจเขาให้หายไป

   แต่ถึงอย่างไร พีรการต์ก็ไม่ลืมที่จะทำตามสิ่งที่เตบอกอย่างว่าง่าย  เตชภณสวมแขนเสื้ออีกข้างนึงใส่พิณทันทีที่ร่างบางปล่อยมือออกมา ความอบอุ่นที่แล่นผ่านร่างกายทำให้พิณสับสนว่ามันมาจากเสื้อกันหนาวหรือการกระทำของเตกันแน่

   ทันทีที่พีรการต์เลี้ยวเข้าซอยแคบไร้ผู้คนที่เขาใช้เป็นทางลัดเพื่อไปโรงเรียนอยู่เป็นประจำ เตก็เอื้อมแขนมากอดเขาไว้จากทางด้านหลัง ร่างหนาซบหน้าผากลงบนหลังคอของพิณอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ และนั่นก็ทำให้พีรการต์รู้สึกดี แต่พิณเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยิ่งเขารู้สึกดีกับเตมากเท่าไหร่ ภายในใจของเขาก็ยิ่งสับสนขึ้นมากเท่านั้น

   ทั้งสับสนและสงสัย

   จนบางครั้งพิณก็สัมผัสได้ว่ายิ่งเขาคุยกับเตมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกเจ้าตัวน้อยลงไปทุกที

   “เต” พีรการต์เปล่งเสียงเรียกชื่อคนที่นั่งซ้อนข้างหลังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาจนคำพูดนั่นมันเกือบจะกลืนไปกับสายลม แต่ถึงกระนั้นความกังวลบางอย่างที่ถูกส่งผ่านในน้ำเสียงนั้นกลับทำให้ชื่อของเตถูกได้ยินอย่างชัดเจนจนน่าประหลาด

   น้ำเสียงของพิณเต็มไปด้วยคำถามที่เจ้าตัวไม่กล้าเอื้อนเอ่ย แต่เตชภณก็รู้ว่ามันถึงเวลาที่เขาควรจะตอบ

   เตกอดกระชับร่างบางให้แน่นขึ้น เขาสบหน้าทั้งหน้าลงบนไหล่บาง ก่อนจะพูดเสียงอู้อี้

   “แตงเป็นน้องสาวแท้ๆของกูเอง” เตชภณกล่าว เขาเงียบไปชั่วครู่นึงแล้วเอ่ย “แล้วแตงก็หวงกูมาก”

   พีรการต์ยิ้มโล่งใจ แม้ว่าเตจะไม่ได้ตอบทุกอย่างที่เขาอยากรู้ “เห็นมึงทำท่ามีลับลมคมนัยตั้งนาน ที่แท้ก็แค่อายที่ถูกน้องสาวหวงนี่เอง” พิณขำในลำคอ แต่เตไม่ได้หัวเราะด้วย และนั่นทำให้ความสงสัยของร่างบางที่เพิ่งหายไปกลับเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว

   เขาทั้งสองสบตากันผ่านกระจกมองหลัง เตชภณดูจริงจังมากกว่าที่เขาเคยเป็นครั้งไหนๆ

   “เอาเป็นว่า...” ร่างสูงลากเสียงยาวเหมือนกำลังครุ่นคิด แต่ท้ายที่สุดเขาก็พูดออกมา “มึงอยู่ห่างจากแตงไว้เป็นดีที่สุด”




..................................................................................



คนเขียนขอเม้าท์: น้องพิณเมาค่ะ คนเขียนพยายามจะเขียนให้รู้ว่าน้องเมามาก บวกกับพิณเป็นคนประเภทแข็งนอกอ่อนใน(และบางทีก็อ่อนทั้งนอกและใน) ยิ่งพื้นฐานเดิมของน้องคือรักอิเตมาก เรื่องมันเลยดำเนินมาในทางนี้
จะบอกว่าพิณยอมใจอ่อนง่าย ไม่ยอมทำอย่างที่ตัวเองพูดสักทีนี่ก็ถูกค่ะ เพราะอันที่จริงแล้ววางคาแรกเตอร์ของน้องไว้ในเป็นคนใจอ่อนและย้อนแย้ง(ฮา)
อย่าเพิ่งหงุดหงิดความเยอะของปมปัญหานะคะ ทุกตัวละครมีความสำคัญมากค่ะ
ยังไงก็ฝากติชมกันด้วยนะคะ หรือเอาไปพูดถึงในทวิตเตอร์ก็ได้ คนเขียนจะรู้สึกปริ่มมาก
#เตคนเล่นพิณ << ใช้แฮชแท็กนี้นะคะ ขอบคุณค่ะ  :hao5:

หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-06-2017 17:47:12
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 08-06-2017 19:04:35
จะใช่น้องสาวจริงเหรอ?
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: satiara ที่ 08-06-2017 19:29:12
สงสัยจะแย่แล้วว
มาต่อนะคะะะ (=
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 08-06-2017 19:45:55
สาเหตุที่ต้องแยกกันไป คงเป็นฝีมือเด็กแตงนี่ซินะ รวมถึงเป็นคนปล่อยคลิปด้วย

อ่านไปก็หน่วงไป
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 08-06-2017 21:29:17
สาเหตุที่แท้จริงคืออะไรกันนะ :hao4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-06-2017 21:47:27
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-06-2017 21:52:40
หรือแตงเป็นลูกพี่ลูกน้อง
หรือน้องเลี้ยง ที่หวงเต เกินพี่ มากกว่าพี่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 08-06-2017 23:26:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-06-2017 00:09:13
ตอนนี้แตงดูจะเป็นปริศนามาก
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-06-2017 09:16:01
ไม่ชอบเตเลยจิง หึ่ยยย!!
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 09-06-2017 09:33:48
เห็นด้วยกะชื่อเรื่อง นี่แฟนเก่า หรือเจ้ากรรมนายเวร
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-06-2017 11:17:16
บอกว่าเป็นน้องสาวแท้ๆ จริง แต่บอกไม่หมดใช่ป่ะว่ามีปัญหาทางจิตด้วยอะไรแบบนี้ ถึงได้ให้อยู่ให้ห่างเข้าไว้
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 09-06-2017 11:21:01
 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 09-06-2017 13:35:08
เป็นน้องสาวก็โรคจิตได้นะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 8] 08.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 18-06-2017 14:58:27
CHAPTER NINE

- This same flower that smiles today, tomorrow will be dying. -



   [สามปีที่แล้ว]

   ‘แตง’ หรือ ‘ตุลยดา’ เป็นเด็กสาวแรกรุ่นวัยสิบสี่ปีที่มีหน้าตาสะสวย ผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียด และนัยน์ตาแข็งกร้าวเกินกว่าเด็กปกติในรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ตุลยดาเองก็ไม่เคยรู้ตัว เด็กสาวก้าวขาลงจากรถตู้ราคาแพงด้วยรองเท้าคัทชูขัดใหม่เงาวับในชุดเครื่องแบบนักเรียนที่คุณแม่ของเธอเพิ่งพาไปซื้อเมื่อไม่นานมานี้

   แตงเพิ่งจะย้ายโรงเรียนมาจากกำแพงเพชร

   อากาศที่เย็นเป็นพิเศษในฤดูหนาวทางตอนภาคเหนือของไทยไม่ได้ทำให้แตงสะทกสะท้านอะไรมากนัก เธอใส่เสื้อนักเรียนตัวบางที่ไม่มีเสื้อแขนยาวทับ ทั้งที่คนท้องถิ่นบางคนเริ่มใส่เสื้อกันหนาวชนิดหนาพิเศษไปแล้วเสียด้วยซ้ำ นั่นทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กสาวยังมีประสาทรับรู้ความรู้สึกอยู่หรือเปล่า

   “ลงมาสิคะพี่เต” เธอหันไปเรียกคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ในรถเสียงแหลม แม้ว่าแตงจะเป็นคนที่มีแก้วเสียงใส แต่ในบางครั้งเสียงของเธอกลับฟังดูน่ารำคาญหูอย่างประหลาด

   คนที่ถูกเรียกก้าวเท้าลงมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งจนผิดวิสัย ตั้งแต่พ่อแม่ซื้อมอเตอร์ไซค์คันใหม่ให้ เขาก็ไม่เคยนั่งรถที่บ้านมาโรงเรียนแม้แต่ครั้งเดียว แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดที่ทำให้เขาหงุดหงิด

   “ดีใจจังเลย สุดท้ายเราทั้งสองคนก็ได้เรียนที่เดียวกันอีก” เด็กสาวว่าพร้อมกระโดดเข้ามาเกาะแขนแกร่งอย่างร่าเริง “พี่เตดีใจมั้ยคะ”

   เตชภณหันไปมองน้องสาว ซึ่งตอนนี้กำลังฉีกยิ้มกว้าง “ดีใจสิ” คำตอบของเตสวนทางกับสีหน้าของเขา มันไม่ใช่การแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อนอะไร แต่ถึงกระนั้นเด็กสาวก็มองข้ามการกระทำของร่างสูงไป

   เตชภณและตุลยดาแยกย้ายกันเข้าห้องเรียน โดยที่เตไม่คิดจะไปส่งน้องสาวของเขาที่ห้องเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับแตง เธอเป็นคนฉลาด และรู้จักวิธีการที่จะผูกมิตรกับคนอื่นเมื่อจำเป็น หลังจากเข้าเรียนได้ไม่นานนัก เธอก็ได้เข้ากลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่จัดว่าเป็นที่นิยมของหนุ่มๆภายในโรงเรียนนี้พอสมควร

   “นี่พวกแก” ตุลยดาเอ่ยเรียก หลังจากเสียงสัญญาณบอกเวลาพักรับประทานอาหารดัง แตงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดภาพของเด็กสาวคนที่เธอเคยพูดถึงกับพิณ “คนนี่น่ะ เขาชื่อพี่เบลใช่มั้ย”

   “อืม ใช่ ทำไมหรอ” หนึ่งในเพื่อนของเธอกล่าว

   “แกพอรู้มั้ยว่าพี่เขาอยู่ห้องไหน”

   เพื่อนคนเดิมกลอกตาคิด “สามทับหนึ่ง” เธอตอบ “แตงรู้จักหรอ”

   “ยังไม่รู้จัก” ตุลยดาพูด เด็กสาวฉีกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “แต่เดี๋ยวก็รู้จักแล้ว”




   “เบล ไปกินข้าวกันเถอะ” พีรการต์หันไปเรียกเพื่อนสาวพลางจัดของที่อยู่บนโต๊ะลงกระเป๋า ร่างบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าแอปพลิเคชั่นไลน์เพื่อเช็คช่องแชทที่เจ้าตัวคุยกับเตไว้ครั้งสุดท้าย เพราะปกติแล้วเตจะส่งข้อความมาบอกหากว่าเขาไปจองโต๊ะแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มี “เตหายอ่ะ ไม่รู้ว่าไปจองโต๊ะไว้หรือยัง”

   “ทำไมหรอ” นภสรถามพร้อมเดินเข้ามาใกล้ เธอเอียงคอเล็กน้อย

   “ยังไม่ไลน์มาเลย” พิณแกว่งโทรศัพท์ไปมา

   เบลเม้มปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ ในตาของเธอมีแววสงสัย เด็กสาวทิ้งช่วงให้เงียบอยู่สักพักนึงก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก “พิณ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

   พีรการต์นิ่งงัน เขารู้สึกตัวชา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยักหน้ารับคำขอของเบล

   “พิณกับเตน่ะ...” เบลเกริ่นขึ้นมาได้นิดหน่อย เธอเผลอกลั้นหายใจไปเสี้ยววินาทีนึง “มีอะไรเกิดขึ้นที่เบลไม่รู้หรือเปล่า”

   ร่างบางจิกเล็บเข้าฝ่ามือตัวเองทันทีที่เขาฟังคำถามจบ พีรการต์ไม่กล้าสบสายตาที่อีกฝ่ายมองมาด้วยซ้ำ พิณเป็นคนโกหกไม่เก่ง และเจ้าตัวก็รู้ดี ยิ่งกับเพื่อนที่คบกันมานานนมขนาดนี้ด้วยแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะปิดเธอได้หรือเปล่า

   ไม่ใช่ว่าพิณไม่อยากบอก แต่เขากำลังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเพื่อนทรยศ

   รู้ทั้งรู้ว่าเบลแอบปลื้มเต แต่ก็ยัง...

   “ไม่...” พีรการต์เผลอพึมพำออกไป เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามเค้นคำพูดออกมาเพื่อจบประโยค “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

   “งั้นหรอ” เบลพูดเสียงนิ่ม แต่นัยน์ตาเธอกลับดูขุ่นมัว “อย่าให้เบลรู้ว่าโกหกก็แล้วกัน”

   พีรการต์เงียบ เขาเงียบไปนานมาก แต่ในที่สุดเขาพูดออกมา “ไม่ใช่เรื่องโกหกหรอก”

   นภสรมองหน้าพิณนิ่ง อารมณ์ร้อนบางอย่างกำลังปะทุขึ้นมาในใจเธอ และต้นเหตุของมันก็อาจจะเป็นเพราะว่าเบลอ่านคนเก่งเกินไป อย่างที่เธอกำลังอ่านพิณได้อย่างขาดฉลุยในตอนนี้ นภสรรู้ ถึงเธอจะไม่มีหลักฐานเธอก็รู้อย่างเต็มอกแล้วว่าพีรการต์กำลังโกหก

   หน้าซีดขนาดนั้นน่ะ ใครดูไม่ออกก็โง่แล้ว

   เบลคิดในใจ

   “ถ้าพิณจะว่าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร” เด็กสาวเอ่ยปาก หากใจเธอกลับคิดตรงข้ามกับสิ่งที่พูด จริงอยู่ว่าเธอแอบชอบเตและไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเขา แต่สิ่งที่ทำให้เบลรู้สึกโกรธพิณมากกว่าอะไรทั้งหมดคือการที่คนตรงหน้าโกหกเธอ ทั้งที่เขาไม่เคยทำแบบนี้เลยตลอดสิบกว่าปีที่คบกันมา

   นภสรรู้ แต่ตอนนี้เธอยังไม่มีสิ่งยืนยัน

   และตอนนี้เบลก็กำลังอยากได้หลักฐาน

   “ไปกินข้าวกัน” เด็กสาวพูดตัดบทเมื่อเห็นพีรการต์ยืนนิ่ง เบลมองหน้าคู่สนทนาด้วยแววตาที่พยายามจะซ่อนความหงุดหงิด เธอเดินผ่านตัวเขาไปยังประตูอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าพิณยังไม่ยอมขยับเคลื่อนไหว

   แต่ทว่า...

   ปึก!

   กึก!

   “โอ๊ย...!” ใครบางคนกลับเดินตัดหน้ามาชนนภสรอย่างแรงทำให้ตัวเธอกระเดนไปชนขอบประตูจนล้มลง เบลร้องโอดครวญออกมาเสียงค่อย เธอตวัดสายตาขึ้นมองคนที่ทำเธอเจ็บ

   และเด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งตรงหน้าไม่แม้แต่จะขอโทษ

   “เบล เป็นอะไรหรือเปล่า” พีรการต์วิ่งออกมาทันทีที่เห็นเหตุการณ์ เขาตรงเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนสาวที่นั่งเจ็บขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองคนต้นเหตุ

   ‘แตง’ ฉีกยิ้มให้พิณเล็กน้อย “สวัสดีค่ะพี่พิณ” ตุลยดาพูดเสียงเย็น เธอหันไปมองเด็กสาวรุ่นพี่ที่กำลังยืนจ้องหน้าเธออย่างฉงนปนไม่พอใจ “แล้วก็พี่เบล”

   พีรการต์ใช้สายตาสำรวจเด็กสาวผิวสองสีที่ยืนกอดอกอยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความงุนงง ตุลยดาอยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนเขาอย่างเต็มตัว และพิณเองก็จำไม่ได้ด้วยว่าเตชภณเคยบอกว่าน้องสาวจะย้ายมาเรียนที่นี่

   แปลกจริง

   “พิณ นี่คะ...” นภสรหันไปหาพีรการต์ เธอกำลังจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดได้ไม่ทันจบประโยค

   “เป็นเพื่อนสนิทกับทั้งสองคนแบบนี้...” แตงพูดขัดขึ้นมา เด็กสาวรุ่นน้องลากเสียงยาวแต่เธอไม่ได้มีท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิด ตุลยดาก้าวขาเข้ามาใกล้พิณมากกว่าเดิม เธอกวาดตามองหน้าร่างบางจนร่างเขาสึกอึดอัด ส่วนเบลก็ได้แต่ดูการกระทำนั้นด้วยความไม่เข้าใจ “ที่บอกว่าไม่รู้เรื่องพี่เตนี่ โกหกสินะคะ”

   เด็กสาวยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่น่ามองเลยในความคิดของพีรการต์

   “ช่างเถอะค่ะ” ตุลยดาก้าวเท้าถอยออกไป “เพราะที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่พิณ”

   “นี่น้อง”  นภสรเอ่ยหลังจากเงียบมานาน เด็กสาวรุ่นพี่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา เธอยืดตัวขึ้นพูด “น้องเป็นใครน่ะ มีสิทธิ์มาพูดกับเพื่อนพี่แบบนี้ เมื่อกี้เดินชนพี่ก็ไม่ขอโทษ”

   “แล้วทำไมแตงจะต้องขอโทษละคะ ก็แตงตั้งใจจะเดินชน” เด็กสาวผิวสองสีหันไปยิ้มให้เบลอย่างไม่มีร่องรอยความสะทกสะท้านหรือความเคารพรุ่นพี่หลงเหลือในเห็นในน้ำเสียงและแววตา คำตอบของตุลยดาทำให้รุ่นพี่ทั้งสองคนอึ้งไปด้วยความตะลึง แตงสาวเท้าถอยหลังห่าง ยิ้มเย็นเป็นครั้งสุดท้าย “แล้วเจอกันนะคะ พี่เบล”

   ตุลยดาเดินออกไปจากหน้าห้องสามทับหนึ่งโดยไม่มีใครพูดรั้งเธอเอาไว้ทั้งนั้น นภสรมองตามจนเธอพ้นระยะสายตา ก่อนที่เธอจะหันหน้ามาหาพีรการต์

   “พิณ เด็กคนเมื่อกี้เป็นใคร ทำไมมันถึงรู้จักเรา” เบลถามด้วยน้ำเสียงที่เจือความโกรธเกรี้ยว

   “น้องเขาชื่อแตง” พีรการต์ตอบเสียงลอย เขาหันไปสบตาคู่สนทนาของตนเอง “เป็นน้องสาวของเต”

   


   “เตคิดจะลงสีเจ้าดอกไม้นี่เป็นสีอะไรหรอ” เสียงของนภสรดังเจื้อยแจ้วดังขึ้นภายในห้องศิลปะในขณะที่เตกำลังขมักเขม้นอยู่กับชิ้นงานของเขา สาวเจ้าเดินเข้าไปใกล้เจ้าของผลงานก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ “ถ้าลงเป็นสีม่วงก็น่าจะสวยน่าดูเหมือนกันเนาะ”

   เตชภณไม่ตอบ หากจะพูดให้ถูกคือเขาไม่ได้ยินที่นภสรถามเสียมากกว่า เพราะตอนนี้จิตใจของร่างสูงกำลังจดจ่ออยู่กับงานปั้นตรงหน้าที่เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เบลนิ่งไปเหมือนเห็นว่าเตเพิกเฉยต่อคำถามของเธอ เด็กสาวจึงหันมาหาเพื่อนร่วมวง

   “ว่ามั้ยพิณ”  นภสรถามเพื่อนที่นั่งพิงอยู่ที่ขอบหน้าต่าง นัยน์ตาสีนิลของพีรการต์มองออกไปตรงสนามหญ้ารกกร้างข้างโรงเรียน แววตาของร่างบางดูว่างเปล่าทั้งที่ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดที่พันกันอย่างวุ่นวายจนยุ่งเหยิงไปหมด

   พีรการต์ถอนหายใจ

   พิณและเบลพร้อมใจกันไม่บอกเตชภณเกี่ยวกับการเจอตุลยดาอันเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตรที่ห้องเรียนของพวกเขาในที่ผ่านมา ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้ เตเองก็แทบจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับแตง เขาเคยพรึมพรำอยู่ระหว่างมื้ออาหารแค่ว่า ‘น้องสาวย้ายมาเรียนที่นี่’ แต่มันก็แค่นั้น

   นับตั้งแต่ที่แตงเข้าเรียนที่นี่จนผ่านมาเป็นเดือนกว่าแล้ว เตชภณก็ดูจะมีความลับจนพีรการต์รู้สึกได้ พิณเคยพยายามลองพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างแล้วเหมือนกัน แต่ก็มักได้คำตอบกลับมาว่าไม่มีอะไรเสมอ ซึ่งนั่นทำให้พีรการต์หนักใจ

   นอกเหนือไปจากเรื่องท่าทีแปลกๆของเตชภณที่ทำให้พิณสงสัยแล้ว คือการที่เตดูจะไม่สนิทกับเบลเหมือนเมื่อก่อน จริงอยู่ว่านภสรยังคงมาที่ห้องศิลปะและพยายามเข้าหาเตชภณอย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อใดที่เบลขอให้เตไปส่ง เธอก็จะต้องถูกเขาปฏิเสธว่าไม่ว่างทุกครั้งไป

   ที่แปลกอีกคือ นอกจากปฏิเสธการไปส่งเบลที่บ้านแล้ว หลังจากการทำงานศิลปะตอนเย็น เตชภณยังแวะมานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านของพิณบ่อยๆ อีกต่างหาก ทั้งที่บ้านของพีรการต์กับนภสรห่างกันไม่ถึงสองร้อยเมตรด้วยซ้ำ

   พิณสงสัย แต่เขาไม่เคยปริปากถามอย่างจริงจังสักที

   ในความรู้สึกดีที่พิณได้ใช้เวลาร่วมกับเตมักจะปะปนไปด้วยความรู้สึกผิดเหมือนเขากำลังหักหลังเพื่อนสนิทตัวเองทุกครั้ง แต่พิณก็ดันหักห้ามใจตัวเองไม่ได้สักเพียงนิด พีรการต์เกลียดตัวเองสำหรับความรู้สึกเกินเพื่อนที่เขามีให้เต ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่านภสรชอบเตก็ตาม

   เราจะใช้ ‘ความรัก’ มาเป็นข้ออ้างของ ‘ความเห็นแก่ตัว’ ได้จริงๆน่ะหรือ

   พิณคิด

   “พิณ” เสียงเรียกของนภสรในโทนที่ต่ำกว่าปกติทำให้พีรการต์สะดุ้งตัวออกจากภวังค์ เบลดูหงุดหงิดที่เพื่อนทั้งสองฟังข้ามคำถามของเธอ “มัวแต่เหม่ออะไรอยู่”

   “อ่อ...เปล่า” พีรการต์รีบตอบ นภสรแอบเห็นร่างบางเหลือบตาไปมองเตชภณเสี้ยววินาทีนึง “พอดีง่วงนิดหน่อยน่ะ เบลว่าไงนะ”

   “เปล่า ไม่มีอะไร” เบลกัดเล็บพร้อมหรี่ตาลง ในหัวนึกไปถึงแผนการพิสูจน์ความจริงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ที่เธอคิดไว้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสทำเสียที

   พีรการต์รู้สึกอึดอัดกับสายตาที่จ้องมองมาของเบล เขาเสสายตาไปมองงานปั้นที่เตกำลังจงใจปราณีตทำอยู่ ร่างสูงใช้เครื่องมือที่ดูคล้ายแท่งไม้ปลายเหล็กซี่เล็กเขี่ยขูดลงไปบนรูปดินเหนียวเพื่อเพิ่มรายละเอียดของกลีบดอกไม้ เหงื่อที่ไหลชะโลมหลังแผ่นกว้างเนื่องจากความร้อนในห้องศิลปะทำเอาพิณหน้าเห่อร้อนเพียงแค่คิดจิตนาการหากว่าตัวเองได้ซบหน้าลงกับแผ่นหลังนั่น

   พีรการต์ละสายตาออกทันทีเมื่อรู้ตัวว่าคิดอะไรไม่เข้าเรื่อง และนึกขึ้นได้ว่านภสรเองก็ยังอยู่ในห้องนี้

   พิณภาวนาให้เด็กสาวไม่เห็นความรู้สึกจากสายตาของเขาที่ส่งผ่านไปในเต

   แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

   นภสรเห็น และเด็กสาวเกลียด เกลียดความลึกซึ้งในดวงตาสีนิลคู่นั้น

   เธอเกลียดมากขึ้น เมื่อพีรการต์ใช้ดวงตาคู่เดียวกันทอดมองมาที่เธอในขณะที่เจ้าตัวโกหกว่ามันไม่มีอะไรระหว่างเขากับเต

   ไม่ใช่ว่าเบลชอบเตขนาดที่ยอมหักกับเพื่อนรักได้ เธอไม่ได้เกลียดพิณ หากแต่เธอเกลียดการกระทำของร่างบาง ลึกลงไปแล้วนภสรแอบน้อยใจที่พีรการต์เห็นความไว้ใจของเธอเป็นของราคาถูกที่เขาลืมให้ค่ามัน

   ด้วยเหตุนั้นเองเบลจึงอยากพิสูจน์ อยากเอาหลักฐานมาตบหน้าพิณ เพื่อให้เขาเลิกโกหกเธอได้แล้ว

   จริงสิ...

   เบลกอดอก เลิกคิ้วขึ้น

   “เออพิณ โครงงานภาษาอังกฤษคู่ของครูวิมลน่ะ เบลว่าเราสองคนรีบทำกันเลยดีกว่านะ นี่ก็จะสอบปลายภาคแล้ว เดี๋ยวครูคนอื่นทยอยสั่งงานเร่งทำคะแนนขึ้นมาอีก เราจะทำกันไม่ทัน”

   “เอาสิ” พีรการต์ตอบโดยไม่ต้องคิด “เมื่อไหร่ดีละ”

   “พรุ่งนี้ดีมั้ย วันเสาร์พอดี” เด็กสาวคู่สนทนาเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “แต่เอาเป็นที่บ้านพิณนะ”

   “ก็ได้ พรุ่งนี้เราว่างพอดี” พีรการต์เอ่ย เขาหมุนตัว กระโดดลงจากขอบหน้าต่าง “เอ...แต่ปกติแล้ว เวลาเราทำงานคู่ เราก็ทำกันที่บ้านเบลตลอดไม่ใช่หรือ”

   “ใช่ แต่ว่าพรุ่งนี้เราอยากไปบ้านพิณน่ะ ไม่ได้เข้าไปสวัสดีป๊าม๊านานแล้ว” นภสรพูดเร็วฟังอย่างไรก็รู้สึกได้ว่าเธอดูลนลานผิดปกติ แต่พีรการต์ก็ไม่ได้นึกติดใจอะไรกับท่าทีของเบล ร่างบางเพียงแต่ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ

   “ก็ตามนั้นแล้วกัน”

   “โอเค...” เบลยิ้่ม และมันไม่ใช่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจ เด็กสาวก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับพีรการต์ด้วยน้ำเสียงปกติ “เราไปก่อนนะ คนที่บ้านน่าจะมารับแล้ว”

   “อ้าว อาเก่งกลับมาจากทริปไปเยี่ยมลูกค้าแล้วหรือ” เตชภณที่ก่อนนั่งเงียบอยู่เอ่ยขึ้นหลังจากเบลพูดจบ พีรการต์เสตาไปมองเขาพลางขึ้นสงสัยว่าคนร่างสูงสนิทชิดเชื้อกับครอบครัวของนภสรจนขนาดรู้จักกับคุณพ่อของเบลแล้วหรือ

   แต่ก็นั่นแหละนะ เคยเทียวรับเทียวส่งกันเช้าถึงเย็นถึงซะขนาดนั้นนี่หน่า

   “เปล่าหรอก ยังไม่กลับมา” นภสรเอ่ยเสียงนิ่ง เด็กสาวเหลือบตาไปมองคนถามครู่นึง ก่อนจะหันกลับมาสบตาพิณ “เราขี้เกียจรอพิณกับเฮียภีมน่ะ ขอให้เตไปส่งทีไร เตก็ไม่ว่างทุกทีไม่ใช่หรือ”

   เบลตั้งใจพูดประชด หากแต่เธอไม่ใช่มองหน้าเตชภณ ในเสี้ยววินาทีหนึ่งเด็กสาวส่งแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจให้พีรการต์ มันเร็วเสียจนคนถูกมองไม่ทันจะสังเกตเห็น นภสรเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่มุมห้อง ร่ำลาเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะเดินออกไป

   ~!

   เครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงของเตชภณแผดร้องขึ้นก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร ร่างสูงหันไปเช็ดมือที่เปื้อนดินเหนียวกับผ้าที่วางอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรายชื่อคนโทรเข้า เตถอนหายใจออก แววประกายในตาของเขาหายไปเมื่อทราบว่าเจ้าของเบอร์เป็นใคร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกดรับ

   “ฮัลโหล แตง” พีรการต์ไม่ได้หันไปมอง จะพูดให้ถูกเลยคือร่างบางไม่ใส่ใจ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกเย็นหลังจากที่ตุลยดาเข้าเรียนที่นี่ จนถึงตอนนี้ พิณก็ชินเสียแล้ว “พี่ยังทำงานไม่เสร็จเลย ไม่ต้องรอ”

   พิณเดินทอดน่องสำรวจชิ้นงานต่างๆในห้องศิลปะ ทั้งที่เขาเองก็ได้ชื่นชมงานพวกนี้มาเป็นจะร้อยครั้งได้แล้ว

   “ไม่ต้องมา กลับบ้านไปกับลุงแจ่มเลย เดี๋ยวเย็นนี้พี่ก็กลับไป”

   พีรการต์หยุดมองที่ภาพวาดสีน้ำรูปพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นรูปวาดชิ้นโปรดที่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนวาด ร่างบางจำรายละเอียดทุกอย่างของภาพวาดนี้ได้ ความเหงาบางอย่างที่แผ่ออกมาจากภาพนี้เป็นไอเย็นที่ทำให้ใจของพิณอุ่น

   “แตง” คนคุยโทรศัพท์ขึ้นเสียงเข้ม “ถ้าแตงมา วันนี้พี่ไม่กลับ”

   ประโยคเดิมๆ กับบทสนทนาเดิมๆ ของร่างสูงกับน้องสาวทุกวันกลายเป็นสิ่งที่คุ้นหูของพิณ ความสงสัยมีเคยมีแต่เดิมก็หายไปเสียแล้ว เพราะเตชภณดูไม่เคยพยายามจะอธิบายพฤติกรรม ‘ติดพี่ชายเกินไป’ ของน้องสาวเขาเลย พอเป็นเข้าเช่นนั้นทุกวันพิณจึงบังคับให้ตัวเองเลิกสนใจ

   บางครั้งการเพิกเฉยต่อความรู้สึกบางอย่าง มันก็คงจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

   พีรการต์คิดแบบนั้น

   “อืม รู้แล้ว” พิณเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ใกล้เตชภณ เมื่อเขารู้ว่าบทสนทนาใกล้มาถึงบทจบ “แค่นี้นะ”

   แล้วเตชภณก็วางสาย ร่างสูงหันมาสบสายตากับคนที่นั่งข้าง

   เขายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   …และมันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง

   “ไปบ้านมึงนะ”


   
   
   “กลับมาแล้วคร้าบบบบ!” พีรการต์ตะโกนดังหลังจากที่เขาและเตชภณเดินเข้ามาในตัวบ้านแม้จะมีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้สูงว่าไม่มีใครได้ยินประโยคนั้นก็ตาม เพราะปกติแล้วป๊าของพิณจะยังไม่กลับ ม๊าของพิณก็คงหนีไม่พ้นการทำกับข้าวอยู่ในครัวซึ่งมีเสียงโขกครกดังอยู่ตลอด ส่วนเฮียภีมก็คงจะยังซ้อมดนตรีอยู่ที่โรงเรียน

   เตชภณเคยถามว่า พีรการต์จะทำแบบนี้ทำไมหากรู้ว่าไม่มีใครได้ยิน

   และคำตอบที่เขาได้มาก็ทำให้เขายิ้มกว้างหลังจากได้ยินมัน

   ‘ทำเลียนแบบโนบิตะน่ะ ทำมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้เลยชินไปแล้ว’

   ร่างบางว่าแบบนั้น

   มันเป็นการกระทำที่เตชภณอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่เห็น

   “กลับมาแล้วเหมือนกันคร้าบบบ!” และวันนี้เตเองก็ตัดสินใจตะโกนเป็นเพื่อนพีรการต์ ร่างบางหันไปกระทุ้งข้อศอกใส่คนใกล้ตัวทีนึงโทษฐานที่บังอาจล้อเลียนเขา ร่างหนาหัวเราะหยอกเบาๆ ก่อนทั้งคู่ก็เดินไปวางกระเป๋าไว้ที่โซฟา แล้วชวนกันไปหาม๊าของพิณที่อยู่ในครัว

   โป้กๆๆ!

   “ม๊า!” พีรการต์ร้องเรียกสรรพนามของมารดาดังกว่าปกติเนื่องจากหญิงวัยกลางคนกำลังตำอะไรบางอย่างที่อยู่ในครก คนถูกเรียกสะดุ้งตัวเล็กน้อย ยังไม่ทันจะหันมา พิณก็เข้าชาร์จไปกอดเธอจากด้านหลังเสียก่อน “วันนี้ทำอะไรกินอะ”

   เตชภณอมยิ้มกับการกระทำเด็กๆของพิณ อดคิดไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวที่ใกล้ชิดขนาดนี้น่าอุ่นใจไม่หยอก

   “ก็มีตำขนุน แคบหมูผัดพริกขิง น้ำพริกหนุ่ม แล้วก็ไส้อั่วตับของโปรดเรา” คนเป็นแม่หันหน้ามาตอบลูกชายตัว ก่อนจะเธอจะเห็นแขกมาเยือนที่ยืนแอบยิ้มไม่ให้ซุ้มให้เสียงอยู่ข้างพิณ “อ้าว เจ้าเต ยืนอยู่เงียบๆ แม่ตกใจหมด”

   “สวัสดีครับน้าจิน” ร่างหนายกมือไหว้

   “นี่ บอกกี่ทีๆแล้วว่าให้เรียกม๊าน่ะหือ ว่ายากจริงเด็กคนนี้” สาววัยกลางคนบ่นแบบไม่จริงจังมากนัก เธอหันหน้ากลับไปมองลูกชาย ก่อนจะพบว่าเจ้าตัวกำลังหยิบน้ำตาลปี๊บจากถ้วยมากินเล่นอยู่ จินตนาตีมือพีรการต์เสียงดังจนคนถูกตีร้องโอดโอย “ม๊าบอกแล้วใช้มั้ยว่ากินแบบนี้บ่อยๆมันจะเป็นเบาหวานเอา”

   “โถ...ม๊า ก็มันอร่อยอ่ะ” พิณว่าพลางวางน้ำตาลปีี๊บก้อนลงหน้าเจื่อน

   “ไปเลยไป เราสองคนขึ้นไปซนรอบนห้องเลย เดี๋ยวม๊าทำเสร็จแล้วจะเรียก” คนเป็นแม่ว่าพร้อมโบกมือไล่

   “ไม่ต้องให้ช่วยหรือครับ” เตชภณถาม

   “ช่วยป่วนเสียมากกว่าละสิ เดี๋ยวเจ้าพิณก็กินนู้นกินนี่ ของหมดก่อนตั้งโต๊ะพอดี” จินตนากล่าว หลังจากนั้นก็บอกไล่ให้ทั้งสองคนออกจากครัวไปเสียที พีรการต์แหย่แม่ตัวเองเล่นนิดหน่อยโดยการวิ่งไปหยิบน้ำตาลปี๊บมากินอีกก้อน แต่เขาก็วิ่งออกจากที่นั่นได้ทันก่อนที่ม๊าเขาจะได้บ่นอะไร

   ทั้งสองพากันวิ่งขึ้นมาชั้นบนของบ้าน แล้วพากันเข้าไปในห้องของพิณ

   พีรการต์หอบเหนื่อยอยู่หน่อยๆ “เกือบโดนสากปาหัวแล้ว” ร่างบางพูดแซวแม่ตัวเองเกินจริง

   “น้าจินคงไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า” เตเอ่ย เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วยิ้มออกมา “มึงเวลาอยู่กับแม่ อ้อนแม่ นี่ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ”

   “ถ้าไม่อ้อนเดี๋ยวม๊าจะน้อยใจ” พีรการต์ตอบพลางเอื้อมมือไปปิดประตู ร่างบางพยายามเพิกเฉย ทำตัวไม่เคอะเขิน เหมือนไม่ได้ยินคำชมที่เตชภณเพิ่งเอ่ยออกมา

   “งั้นวันหลังกูจะแกล้งน้อยใจบ้าง” ร่างสูงยิ้มกริ่ม “อยากโดนอ้อนแบบนั้น”

   พิณเงียบไปเพราะเขาไม่รู้ว่าจะตอบเตอย่างไรดี ร่างบางหลบสายตาคู่สนทนาพลางใช้มือกระเพือมเสื้อเพื่อดับความร้อน แก้มเนียนขึ้นสีนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยหรือคำหยอดที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่กันแน่

   พีรการต์ขบริมฝีปากเข้าด้วยกัน

   จู่ๆ เตก็ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้เมื่อเขามองภาพตรงหน้านั้น สายตาเขาจับจ้องตามพีรการต์ในขณะที่ร่างบางเดินไปเปิดหน้าต่าง แสงแดดที่ส่องเข้ามาจากข้างนอกทอดลงผ่านเสื้อนักเรียนสีขาวที่พิณสวมใส่อยู่จนเตชภณสังเกตเห็นสัดส่วนช่วงบนของคนถูกมองได้อย่างชัดเจน

   คนตัวสูงก้าวเข้าไปซ้อนหลังพีรการต์อย่างลืมตัว

   เขานึกรำคาญอาภรณ์ที่อยู่บนร่างบางขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

   “ถ้าร้อนนักก็ถอดเสื้อซะสิ” เสียงที่แหบพร่าของร่างสูงไม่มีแววของการล้อเล่นอยู่เลยแม้แต่น้อย และนั้นทำให้หน้าของพีรการต์ร้อนวูบขึ้นมา เตใช้คำพูดจาด้วยน้ำเสียงโทนนี้ไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่เขาใช้มัน พิณก็รู้สึกเหมือนใจตัวเองจะละลายกลายเป็นของเหลวไปเสียทุกที

   “จะบ้าหรือไง” พีรการต์เอ่ยค่อย เขาไม่กล้าหันไปมองคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

   มือหนาเอื้อมไปปิดหน้าต่างที่พิณเพิ่งเปิดเมื่อครู่ ตามมาด้วยหน้าม่าน “ไม่หรอก”  เตพูดพลางจับไหล่บางให้คนตัวเล็กหันกลับมาหาเขา “ก็ผู้ชายเหมือนกัน”

   เตชภณพูดประโยคธรรมดาด้วยน้ำเสียงอันตราย

   เตขยับเข้าไปใกล้พิณจนร่างบางถูกดันจนชิดขอบหน้าต่าง เขาใช้มือสากเชยคางคนตรงหน้าจนปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกัน พีรการต์เม้มปากด้วยความประหม่าแต่นัยน์ตาสีดำกลับไม่หลุบหนี เตชภณไล่ปลายนิ้วลงบนปกเสื้อของพิณ ก่อนจะปลดกระดุมที่เกะกะนั่นออก

   เขาหยุดตรงเม็ดที่สอง

   ใช้จมูกไล้ลงมาที่แก้มเนียนแผ่ว

   แล้วประกบจูบลงบนริมฝีปากสีชมพูเรื่อ

   มือบางจับเข้าที่สาบนักเรียนของร่างสูงทันทีที่โดนจู่โจม รสหวานบนปากของพีรการต์ทำให้เตอดใจละเลียดชิมไม่ไหว ลิ้นสากกวาดเลียบนบนริมฝีปากนุ่ม แล้วเน้นย้ำจูบลงไปอีก เตชภณยกมือของเขาขึ้นมาจับเข้าที่ข้างหน้าพิณ เพื่อปรับองศาของหน้าทั้งสองให้ดีขึ้น ในขณะที่อีกมือนึงก็ยังสารวนอยู่ตรงกระดุมเม็ดที่สองนั่น

   เขาสองคนจูบกันมาแล้วบ่อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่พีรการต์รู้สึกวาบหวามเท่าครั้งนี้

   เตเริ่มปลดกระดุมเม็ดต่อไป

   “เดี๋ยว” พีรการต์ดันร่างสูงออกจากตัวเขา เตชภณเลิกคิ้วขึ้นอย่างขัดใจ คนตัวใหญ่ก้าวเข้ามาเหมือนอยากประทับจูบลงมาอีก พิณเอามือกันเขาไว้ “เต”

   พีรการต์เรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นไหวที่พยายามจะดูจริงจัง

   เขาอยากถาม

   ถามคำถามนั้นก่อนที่เรื่องมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้

   “กูกับมึง...” พีรการต์ลากเสียงเหมือนลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจพูดออกมา “เราเป็นอะไรกัน”

   เตชภณนิ่งไป

   เขาเงียบนานจนหัวใจของคนร่างบางเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นพิณก็ยังคงยืนรอคำตอบ

   “พิณ...” ร่างสูงครางชื่อของคนร่างบาง เตจับมือของพีรการต์ไปวางไว้บนข้างอกข้างซ้ายของเขา อวัยวะภายในบางอย่างที่อยู่ใต้นั้นทำงานของมันอย่างหนักจนพิณรู้สึกได้ “ที่ใจกูเต้นแรงขนาดนี้ มันยังปกติอยู่หรือเปล่าวะ”

   เตชภณสบตากับคนตัวเล็ก เขาไม่รอให้พิณได้เอ่ยอะไรต่อไป

   ร่างสูงประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง

   คำพูดหวานๆของเขา

   อ้อมกอดที่แสนอบอุ่น

   การกระทำที่เต็มไปด้วยความใส่ใจของเต

   ทำให้ความคิดในสมองของพีรการต์เบลอไปชั่วขณะ จนเขาลืม...

   ...ลืมว่าเตชภณไม่ได้ตอบคำถามของเขา

   แค่นี้ก็พอแล้ว...ไม่เป็นไรหรอก

   นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่แว่บเข้ามาในหัวของพีรการต์ ก่อนที่คนตัวสูงจะใช้แขนช้อนเข่ายกเขาขึ้นแล้วพาร่างทั้งสองไปที่เตียง


....................................................................................

ประกาศ
คนเขียนจะหยุดการอัพประมาณหนึ่งเดือน เนื่องจากการเดินทางไปต่างประเทศ

หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 9] 18.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 18-06-2017 23:11:21
ฮือออ ค้างมากค่าา มาต่อเร็วๆน้าา
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 9] 18.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 19-06-2017 09:40:04
ปมเยอะจริง ทำไมเตทำตัวไม่ชัดเจน ไม่ชัดเจน ไม่ชัดเจน
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 9] 18.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-06-2017 11:00:52
เบล เต พิณ สับสนกัน
แถมมีแตง โผล่มาแบบที่เต ไม่พูด ไขความเข้าใจกับเพื่อนๆเลย

พิณ ถามเต แต่เตไม่พูด ใช้แต่การกระทำตอบกับมา :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
นี่เต ได้แต่....... แต่ไม่ตอบจนเกิดเรื่องหรือเปล่า  o22 o22 o22
เต น่าเบื่อโคตรๆ
สมควรละ ที่พิณ จากมา ทิ้งเต จริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 9] 18.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 19-06-2017 14:29:18
แตง น่ากลัวมาก
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 9] 18.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-06-2017 14:38:04
ค้างมากมาย และค้างต่ออีก 1 เดือน
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 9] 18.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: Kactus_Tea ที่ 01-07-2018 17:36:01
ใช้ภาษาดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่น่าติดตามดีค่ะ
อยากให้มาต่อจังเลย

 :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 9] 18.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 06-07-2018 21:02:41
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 9] 18.06.17 ◣PAGE 4◢
เริ่มหัวข้อโดย: Red_Enchanted ที่ 21-10-2018 18:34:18
CHAPTER TEN

   
- After all, how can you run away from what’s inside you -
   

   { Special Part - Tae }

   ตึก...ตึก...ตึก...

   เสียงฝีเท้าที่สะท้อนอยู่ในทางเดินโถงของคอนโด ณ เวลาเกือบตีหนึ่งเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ เนื่องจากคนที่เดินอยู่ข้างผมถูกน้ำเมาที่เรียกว่าเหล้าล้างสติออกไปจากสมองเสียหมดแล้ว ผมพยายามพยุงพิณที่ตอนนี้ดูเสมือนร่างไร้กระดูกให้ตั้งตัว เมื่อผมทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าห้องของเขา

   “พิณ คีย์การ์ดห้องอยู่ไหน” ผมเอ่ยถาม พลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก

   “…”

   พิณนิ่งสนิท ผมเลื่อนหน้าเข้าใกล้คนเมาขึ้นอีกหน่อย ลดระยะห่าง เพื่อเพิ่มความหวังในการปลุกคนหลับให้มีสติขึ้นมาสักนิด “พิณ ตื่นก่อน”

   “…” คนตรงหน้าผมลืมตา แต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

   ผมหายใจผิดจังหวะอย่างกระทันหัน ลมหายใจแผ่วของคนตรงหน้าอาบลดลงบนปลายจมูกของผม เราทั้งสองนิ่งสนิทไปชั่วเสี้ยววินาทีนึงด้วยความรู้สึกประหลาดที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน ความวูบไหวบางอย่างในแววตาของพิณทำให้ผมไม่สามารถละสายตาจากวงหน้าของเขาได้

   ผมเม้มปากเข้าหา กลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่คล้ายจะหายไปก่อนหน้า “คีย์การ์ดห้องพิณอยู่ไหน”

   สิ้นคำถามของผม พิณก็หลับตาลงอีกครั้ง ไร้ซึ่งคำตอบหรือทางแก้ปัญหาใดๆ ผมนิ่ง แต่ก่อนที่ในหัวผมจะมีเสียงความคิดอะไร เครื่องมือสือสารในกระเป๋าของคนเมาก็ดังขึ้น ผมน้อมตัวเอื้อมหยิบเจ้าเครื่องที่แผดร้องเสียงออกมาอย่างทุลักทุเล

   ~!

   ‘ครูอ้อ’

   จริงสิ...เราเอาพิณออกมาจากร้าน แต่ยังไม่ได้บอกใครเลยนี่หว่า

   ผมกดรับสาย “ฮัลโหลครับ”

   [ ภัทร เราอยู่ไหนเนี่ย ครูหาทั้งร้านแล้วก็หาไม่เจอ ] คนปลายสายฟังดูใจร้อนเพราะความเป็นห่วง

   “ผมเป็นเพื่อนข้างห้องของภัทรเขานะครับ ไม่ใช่ภัทร” ผมเอ่ยในขณะที่ค่อยๆวางคนในอ้อมกอดลงให้นั่งพิงกับกำแพง “พอดีผมเจอเขาเดินเมาไม่ได้สติอยู่ที่ริมถนนน่ะครับ กลัวรถจะชนเข้า เลยพากลับคอนโดมาก่อน”

   [ เดี๋ยวนะ...แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณเป็นเพื่อนข้างห้องของภัทรจริงๆ ]

   “เอาอย่างนี้นะครับ เดี๋ยววางสายแล้ว ผมจะถ่ายรูปตัวเองกับภัทร พร้อมกับรูปบัตรประชาชนของผมส่งไปให้ทางข้อความ ถ้าพรุ่งนี้ตอนสิบโมง ภัทรยังไม่ติดต่อกลับไปหาคุณครู คุณครูก็เอาข้อมูลทั้งหมดไปแจ้งความได้เลยครับ” ผมเสนอทางออกอย่างใจเย็น

   [ แบบนั้นก็ได้ ] ครูอ้อ เธอฟังดูหัวเสียระคนโล่งใจ [ แล้วเธอจะพาภัทรเข้าห้องยังไง ภัทรลืมกระเป๋าตังค์เอาไว้ที่โต๊ะ คีย์การ์ดห้องเขาก็อยู่นี่ ]

   “อ้าวหรอครับ ผมก็หาอยู่ตั้งนาน” ผมเบือนหน้าไปมองคนไร้สติแล้วยิ้มออกมาน้อยๆด้วยความเอ็นดูผมใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าพิณออกไปเพื่อจะได้ลอบมองวงหน้านั้นให้ชัดเจนขึ้นก่อนจะพูดต่อ “งั้นไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคืนนี้ให้ภัทรค้างห้องผมก่อนก็ได้”

   [ โอเค ] ครูอ้อตอบห้วน ยังคงเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ [ พรุ่งนี้ฉันจะรอสายจากภัทร สิบโมงนะ ]

   “ได้ครับ สวัสดีครับ” ผมตอบแล้วถือสายรอจนคู่สนทนาวางสายไปเอง

   ผมหันกลับไปมองคนที่นั่งพิงกำแพงที่ยังไม่ได้สติ แว่บแรกแล้วผมคิดว่าจะใช้วิธีพยุงร่างเล็กเช่นเคย ทว่าการกระทำที่บางครั้งไว้กว่าความคิดกลับนำให้ผมทำอีกอย่าง

   ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเตรียมคีย์การ์ดห้องของตนเองไว้ในมือ ก่อนจะช้อนอุ้มพิณขึ้นมา

   พิณไม่ใช่คนตัวหนักเลย ออกจะเบาไปเสียด้วยซ้ำในความคิดของผม

   “ไม่เปลี่ยนเลยนะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตอนนี้คิดอะไรอยู่ “ไม่เปลี่ยนเลย”

   ผมพูดย้ำครั้งที่สองด้วยด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม

   มันเต็มไปด้วยคำขอโทษที่ซ่อนอยู่ในนั้น

   แม้ว่าตอนนี้...

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังขอโทษเรื่องอะไร ผมคิดมาตลอดว่าเรื่องที่พิณโกรธผมคือเรื่องที่พิณเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนปล่อยรูปบ้าๆนั่นแต่มันก็ไม่ใช่

   ผมเจ็บที่ผมไม่สามารถขอโทษในเรื่องที่ผมทำให้เขาเสียใจได้

   แต่ที่ผมเจ็บมากไปกว่านั้น...คือการที่ผมปล่อยให้พิณเจ็บโดยที่ตัวผมเองไม่รู้ซ้ำว่าเขาเจ็บเรื่องอะไร

   ผมรักเขา แต่ผมไม่เคยกล้าแสดงออกให้เขารับรู้ได้เลย

   หรืออย่างน้อย....ผมก็ไม่เคยทำได้ในตอนที่เขาต้องการ

   ผมพาร่างไร้สติของพิณเข้าห้อง เดินตรงไปที่เตียงเพื่อวางเขาลงอย่างเบามือ ก่อนจะอ้อมไปที่ปลายเตียงเพื่อถอดรองเท้าออกให้เขา

   “เต...” เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อผมถอดรองเท้าข้างที่สองของพิณออกสำเร็จ คนที่นอนอยู่บนเตียงจัดแจงเปลี่ยนท่าตัวเองมาเป็นนั่ง เขาทอดสายตามองผม

   ผมเดินเข้าไปใกล้ตามเสียงเอ่ยเรียกของพิณ นั่งลงบนเตียงเพื่อจะได้มองหน้าเขาให้ถนัดตาขึ้น “ว่าไงพิณ” ผมรับคำเรียก “มึนหัวมั้ย”

   “เต” พิณเรียกผมอีกครั้ง บางอย่างในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้จะพูดอะไรต่อ ผมจ้องลงไปในนัยน์ตาคู่สวยของพิณเพื่อละเลียดความรู้สึกเปลือยเปล่าไร้กำแพง แววตาของเขาสั่นไหวและดูเปราะบางเกินไปจนผมไม่สามารถทนมองได้นาน

   เพราะถ้าพิณมองตาของผมในตอนนี้ด้วยสติ

   พิณจะพบว่าความรู้สึกข้างในของผมสั่นไหวไม่ต่างไปจากเขาสักนิด

   ผมหลุบตาลง

   “ความรู้สึกของกู...” พิณเอ่ยขึ้น เสียงของเขาฟังดูเลื่อนลอยแต่ก็หนักแน่นและเต็มไปด้วยความรู้สึกในที “ความรู้สึกของกู มันตรงข้ามกับสิ่งที่กูอยากจะรู้สึกทุกครั้งที่อยู่ใกล้มึง”

   เขาเว้นวรรค

   โลกทั้งโลกเงียบไป เหมือนทุกสรรพสิ่งรอบข้างกำลังตั้งใจฟังเขาเช่นเดียวกับผม

   “กับมึงแล้ว...กูไม่เคยควบคุมได้เลย”

   พิณยิ้ม

   เขาไม่ได้ฝืนยิ้ม แต่เขายิ้มดังเช่นคนยิ้มเยาะตัวเอง “กูควรจะโกรธมึงมากกว่านี้” เขาพูดต่อ “กูควรจะเกลียดมึง...หนีมึง...ผลักไสมึงไปให้ไกลๆ”

   พิณเอื้อมมือมาวางไว้ที่ข้างหน้าของผม ผมไม่เคยคิดว่าไออุ่นจากฝ่ามือของคนตรงหน้าจะเป็นสิ่งที่ผมโหยหาจนกระทั่งผมได้สัมผัสมันอีกครั้ง ผมหลับตาลงเพื่อรับความรู้สึกที่พิณส่งผ่านมาก่อนจะยกมือขึ้นมาวางทับมือบาง

   “พิณ...” ผมจูบลงบนมือของเขา ขยับเข้าใกล้คนร่างบาง “พิณบอกเตได้มั้ยว่าพิณโกรธเตเรื่องอะไร” คนตัวเล็กเงียบไปทันทีที่ผมถามจบ พิณเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ ผมมองเห็นใบหน้าตัวเองสะท้อนในดวงตาของคนตรงหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำ

   ความเจ็บปวดที่ถูกส่งผ่านมาในนัยน์ตานั้นมันชัดเจนเสียจนผมเกือบจะบอกให้พิณเพิกเฉยกับคำถามเมื่อครู่

   “มึงไม่มา” ทว่า...พิณกลับตอบขึ้นมาเสียก่อน

   หยดน้ำตาของพิณกระทบลงบนหน้าตักของผม

   “เพราะกูรอ...แต่มึงไม่เคยมา”




   [ สามปีที่แล้ว ]

    “โห น้าจินทำขนมกล้วยได้อร่อยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะ” เสียงของเด็กสาวในครัวดังขึ้นพร้อมกับเสียงวิ่งจากเด็กชายที่ดังมาจากตรงบันได หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่ขมวดเข้าหากันอย่างอัตโนมัติจากความไม่พอใจของการกระทำไร้มารยาทของลูกชายเจ้าตัว

   “พิณ ม๊าบอกกี่รอบแล้วว่าห้ามวิ่งลงบ้าน” จินตนากล่าวในขณะที่พิณเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าแกล้งสำนึกผิด

   “โถ่...ม๊า” พีรการต์ย่างเข้าหา ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มแม่ของตัวเองเพื่อแทนคำขอโทษ “พิณรีบนี่หน่า ก็พิณกลัวเบลรอนานอ่ะ”

   “ไม่ต้องมาอ้างเบลเลย ถ้าวิ่งลงบันไดแบบนี้บ่อยๆ ม๊าจะเอาไม้เคาะตาตุ่มให้จำแล้วนะ” จินตนายังคงเอ็ดพร้อมชี้หน้าคาดโทษลูกชายต่อไปแม้ว่าใจข้างในจะอ่อนลงแล้วก็ตาม หญิงสาวเอื้อมตัวไปหยิบขนมกล้วยที่จัดใส่จานไว้อย่างดีดิบ ยื่นให้พิณ “เอ้า...เอาไปกินกัน ระวังอย่าให้หกบนเตียงด้วยนะ”

   “ขอบคุณครับ” พีรการต์หอมแก้มแม่ตัวอีกฟอดใหญ่ “ไปกันเถอะเบล”

   พิณว่าก่อนจะเดินนำนภสรไป เด็กสาวกล่าวขอบคุณแม่ของเพื่อนเล็กน้อย หยิบข้าวของที่เตรียมมา แล้วเดินตามพีรการต์ขึ้นห้อง

   เบลกวาดสายตามองสำรวจห้องพีรการต์ดังคนไม่เคยมาเยือน ทั้งที่เมื่อก่อนเธอก็มาคลุกอยู่ที่นี่เช้าจรดเย็นด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเตชภณย่างเท้าเข้ามาในชีวิตของพิณ

   นภสรกัดปากตัวเองจนเธอรู้สึกเจ็บพร้อมกับกำของที่เธอเตรียมไว้ในมือจนแน่น

   เบลไม่ได้อยากทำแบบนี้...แต่เธอทนให้เพื่อนสนิทของเธอโกหกเธอหน้าตายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

   “พิณ” เด็กสาวเปล่งเสียงเรียกเพื่อนตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่าด้วยความประหม่าจนหากสังเกตก็จะจับได้

   โชคร้าย...ที่พีรการต์ไม่ได้สังเกต

   “ว่าไง” เจ้าของชื่อขานรับ

   “คือพ่อเราฝากของฝากมาให้อ่ะ เป็นที่ทับกระดาษ” นภสรเอ่ย เธอชูถุงกระดาษขึ้นมาให้พีรการต์ดูแต่เธอไม่ได้ยื่นออกไปให้เขารับ เบลเดินไปที่โต๊ะหนังสือของพิณแล้วจัดการวาง ‘ของฝาก’ ที่เธอบอกไว้บนโต๊ะของพิณก่อนที่เด็กชายจะได้เห็นว่าที่ทับกระดาษนั่นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรเสียด้วยซ้ำ

   “วางไว้มุมนี้ เวลาแสงจากหน้าตากระทบลงมา มันจะฉายออกมาเป็นรูปกวางเนี่ย พิณเห็นมั้ย” เบลพยายามอธิบายด้วยความรวดเร็ว เธอกะพริบตาถี่จนเกือบเรียกได้ว่าถี่เกินไป “ชอบมั้ยพิณ”

   พีรการต์เดินเข้าใกล้ เด็กสาวหายใจติดขัดเมื่อคนตรงหน้าเอื้อมหยิบที่ทับกระดาษรูปร่างซับซ้อนนั้นขึ้นมาดูใกล้ “สวยดี ฝากขอบคุณอาเก่งด้วยนะเบล” พิณส่งยิ้มให้เธอ เบลยิ้มตอบ

   หากทว่ารอยยิ้มของทั้งสองนั้นกลับมีความจริงใจที่ต่างค่ากันคนละโยชน์

   พีรการต์วางของฝากในมือลง เด็กสาวตั้งใจมองการกระทำดังกล่าวก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะความโล่ง เมื่อพิณจัดแจงที่ทับกระดาษให้อยู่ในองศาเดียวกันกับที่เขาหยิบขึ้นมา

   “เริ่มทำงานกันเลยมั้ย” พีรการต์ถาม

   นภสรส่งยิ้มหลากอารมณ์

   “อืม”




   เบลกลับไปที่บ้านของพีรการต์อีกครั้งในอาทิตย์ต่อมา นภสรเลือกช่วงเวลาที่เธอคิดว่าพิณไม่อยู่เพื่อกลับไปเก็บ ‘หลักฐาน’ ที่เธอมั่นใจเกินร้อยว่ามันจะต้องถูกบันทึกลงในกล้องขนาดเล็กที่เธอแอบซ่อนไว้ในที่ทับกระดาษรูปร่างประหลาด

   เด็กสาวเร่งฝีเท้าขึ้นด้วยความร้อนใจทันทีที่เธอย่างก้าวพ้นธรณีประตูห้องตนเอง เบลมุ่งไปเปิดคอมพิวเตอร์ของเธอก่อนจัดการเชื่อมอุปกรณ์จากกล้องเข้าไป สัญลักษณ์วงกลมขึ้นรอดาวน์โหลดปรากฏขึ้น แสงจากหน้าจอที่สะท้อนลงมาบนวงหน้าของเด็กสาวทำให้เธอดูซับซ้อนเกินกว่าเด็กวัยมอต้นทั่วไป

   เบลกัดเก็บตัวเอง

   ไม่กี่อึดใจ วิดีโอที่รอเด็กสาวรอก็ปรากฎขึ้น  นภสรพอใจกับมุมกล้องที่ถูกจัดวางไว้ทว่าเธอไม่ได้ยิ้มออกมา หนำซ้ำ...เบลยังขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขึ้นกว่าเดิม

   ขอร้องเถอะ...

   …

   เบลหยุดคำภาวนา

   เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยากให้ภาพบนหน้าจอออกมาเป็นแบบไหน

   ถ้าภาพในวิดีโอนั่น แสดงออกมาว่า พีรการต์กับเตชภณมีอะไรปกปิดกันอยู่จริงๆ นั่นก็จะหมายความว่าสิ่งที่เธอคิดมาตลอดนั้นถูก แต่ถ้ามันเป็นไปในทางกลับกัน นั่นก็จะหมายความว่า...

   …พีรการต์โกหกเธอ พิณเลือกที่จะทรยศความไว้ใจของเธอ

   นภสรแทบจะลืมความรู้สึกที่เธอมีให้เตชภณไปหมดแล้วด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอทำอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเจ็บใจกับคำว่าเพื่อนหลอกๆที่พิณมอบให้

   คิดได้แบบนั้น เบลก็กดเล่นวิดีโอแล้วกรอมันไปข้างหน้าด้วยความเร็วพอประมาณ

   รอไม่นาน ใบหน้าของบุคคลที่นภสรรอก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

   ...เตชภณ...

   เธอขยับนิ้วกดให้ความเร็วบนภาพฉายกลับมาเป็นแบบปกติ

   [ น้องแตงโทรมาตามตัวมึงกับกูอีกแล้วว่ะ ] เสียงคุ้นเคยของพีรการต์ดังออกมาจากลำโพง [ ถามจริงๆเถอะว่าทำไมกูจะบอกน้องสาวมึงไปไม่ได้ว่ากูอยู่กับมึง ] ร่างบางถาม แต่อีกคนกลับไม่ตอบ [ ตั้งแต่แตงขึ้นมาที่นี่มึงก็ดูแปลกๆไปนะเต ]

   [ อย่าไปสนใจเลย ] เตชภณบอกปัด เขาเดินผ่านตัวพิณไปนั่งลงบนเตียง

   [ แต่มึง... ] พีรการต์เดินเข้าไปนั่งข้างเขา

   [ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ] คนตัวสูงขยับเข้าหาลดระยะห่างระหว่างร่างทั้งสอง [ มันไม่มีอะไรที่มึงช่วยได้แล้วมึงยังไม่ได้ทำหรอกพิณ ]

   เตชภณเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบลรู้สึกได้ว่ามันแปลกไปจากปกติ เธอรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากประโยคเหล่านั้น แต่ในขณะเดียวกันเธอก็สามารถบอกได้จากสัญชาตญาณบางอย่างว่าเตกำลังมีเรื่องหนักใจ

   เตชภณเอื้อมมือไปทาบลงบนแก้มของคนตรงหน้าเขา [ แค่ได้อยู่กับพิณ ] ร่างสูงนิ่งไปเสี้ยววินาทีนึง [ แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว ]

   [ แต่กูเป็นห่วง ] พีรการต์เอ่ย

   [ เป็นห่วงหรอ ] ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยนัยยะ เขาขยับเข้าใกล้พิณมากขึ้นอีก มือหนาจับล็อคใบหน้าของคนร่างบางเอาไว้ไม่ให้หนีออก แล้วเลื่อนตัวหน้าของตัวเองเข้าจนปลายจมูกของทั้งสองชนกัน [ ไหน...ขอดูหน่อยสิ ว่าความเป็นห่วงนี่มันหน้าตาเป็นแบบไหน ]

   นภสรไม่เห็นหน้าตาของความเป็นห่วง...

   …แต่ในวินาทีนั้น เด็กสาวได้รับรู้หน้าตาของคำว่าการโกหก

   การโกหกที่มีชื่อว่า ‘พิณ พีรการต์’

   ภาพของคนทั้งสองยังคงฉายบนจอคอมพิวเตอร์ของเบล เด็กสาวเหม่อมองภาพเคลื่อนไหวนั่นด้วยสายตาที่ไม่ว่าใครก็อ่านความรู้สึกไม่ออก เตกับพิณเปลี่ยนจากการนั่งใกล้ เป็นใกล้มากขึ้น เป็นจากสัมผัสที่แผ่วเบา เป็นสัมผัสที่หนักแน่นมากขึ้น เปลี่ยนการพรมจูบอย่างอ่อนหวาน เป็นจูบที่ลึกซึ้งมากขึ้น

   [ เต... ] พีรการต์ใช้มือดันอกของร่างหนาออก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยคำถาม

   [ พิณ ] เตเลื่อนมือลงมาจับมือบาง เขาจูบย้ำลงไปบนปากเล็กอีกรอบ [ เตขอนะ ]

   ไหวเท่าความคิด เบลกดหยุดภาพวิดีโอบนจอคอมของตัวเอง

   เธอเห็นมามากพอแล้ว...เธอไม่จำเป็นจะต้องเห็นอะไรอีก

   นภสรคิด

   ก๊อกๆๆ!

   นภสรสะดุ้งโหย่ง ทันทีที่เสียงหน้าประตูห้องนอนของเด็กสาวดังขึ้น “พี่เบล มีรุ่นน้องที่โรงเรียนมาหา”  ตามมาด้วยคำบอกกล่าวของน้องสาวคนกลางของเธอ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ลุกขึ้นผุด เบลกดพักหน้าจอทันควัน

   “ใครหรอบัว”

   แอ๊ดดดด...!

   “แตงเองค่ะ” คำตอบของคำถามที่เบลเพิ่งเอ่ยออกไปมาพร้อมกับการมาเยือนของคนที่นภสรเองไม่ได้คาดเอาไว้ว่าเธอจะมาปรากฎตัวถึงที่นี่ เด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งอนุญาตให้ตัวเองย่างเข้ามายืนในห้องนอนของเบลอย่างพลการก่อนจะยิ้มปราดให้เจ้าของห้อง

   “น้อง...” เบลประหลาดใจ

   “บัวไปนะ” น้องสาวของเบลกล่าวบอก เธอเดินออกไปแล้วจัดการปิดประตูห้องให้อย่างรู้งาน

   “น้องมาได้ยังไง” นภสรถามหลังจากที่เสียงเดินลงบันไดจากข้างนอกห้องเงียบไป

   “ให้เพื่อนมาส่งค่ะ” ตุลยดาตอบนิ่ง แววตาของเธอแข็งกร้าวจนเบลเลี่ยงที่จะมองตรงๆ

   “เปล่า...พี่หมายถึงว่าน้องมาทำไม แล้วรู้ได้ไงว่าบ้านพี่อยู่ไหน”

   “มาเรื่องพี่เตค่ะ” เด็กสาวเอ่ยพลางถอนหายใจอย่างรำคาญ เธอไม่ได้ตอบคำถามที่สองของเบลอย่างจงใจ แตงกวาดตามองรอบห้องนอนสีครีมด้วยสายตาที่ถือตัว ก่อนที่ตุลยดาจะเดินย่างเท้าเข้าใกล้เบลมากขึ้น จนเด็กสาวอายุมากกว่ารู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

   “ถ้าน้องจะมาหาเต พี่บอกได้เลยว่าเตไม่ได้อยู่ที่นี่” นภสรใช้น้ำเสียงที่พยายามจะข่มความรู้สึกถูกคุกคาม

   “รู้ค่ะว่าไม่อยู่”  ตุลยดาเอ่ยพร้อมเดินกอดอกผ่านเด็กสาวเจ้าของห้องไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ ก่อนที่แตงจะวางสะโพกพิงกับขอบโต๊ะดังกล่าว

   สายตาของนภสรเปลี่ยนความสนใจจากใบหน้าของผู้มาเยือนไปที่คอมเครื่องนั้นโดยอัตโนมัติ ความเปลี่ยนแปลงของจุดมองรวมทั้งความกังวลที่ส่งออกผ่านสายตานั่นมันมีมากพอให้เด็กฉลาดอย่างแตงจับสังเกตได้ เธอหันไปมองที่หน้าจอดำสนิท ก่อนจะไล่สายตาลงไปมองอุปกรณ์หน้าตาประหลาดที่ถูกเชื่อมต่ออยู่

   “น้องมาหาพี่เรื่องเต” นภสรพูดขัด “มีอะไรก็ว่ามา”

   แตงแกล้งละความสนใจ

   “ทีแรกแตงก็ว่าแค่จะโทรบอกนะคะ แต่คิดไปคิดมา ก็อยากมานี่เองเลยมากกว่า เพราะแตงกลัวพี่เบลไม่เข้าใจสิ่งที่แตงกำลังจะพูด” ตุลยดาว่าเสียงกระด้าง “แตงแค่อยากจะมาขอร้องให้พี่เบลเลิกยุ่ง เลิกคุย เลิกติดต่อ เลิกเป็นเพื่อนกับพี่เตน่ะค่ะ”

   “ขอร้อง?” เบลนึกสงสัยกับการเลือกใช้คำของตุลยดา

   “ค่ะ...ขอร้อง” เด็กสาวเน้นคำ

   “แล้วทำไมพี่จะต้องทำตามที่แตงขอร้องด้วย เตก็เพื่อนพี่” นภสรถามกลับ เบลไม่เข้าใจว่าทำไมน้องสาวของเตชภณจะต้องมาหาเธอถึงที่บ้านเพื่อบอกให้เธอเลิกยุ่งกับเด็กหนุ่ม

   แต่ที่แน่ๆ....เบลรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคู่นี้

   “ถามตรงๆนะ แตงกับเตเป็นอะไรกัน”

   นัยน์ตาของตุลยดาแข็งกร้าวขึ้นมาเป็นเท่าตัวหลังจากเบลเอ่ยคำถามนั้นจบประโยค แตงใช้ดวงตาไร้แววของเธอสาดความเกลียดชังที่ปิดไม่มิดมาที่นภสรจนคนถูกมองสะดุ้ง “อย่าถามแบบนี้นะคะ แตงไม่ชอบ” ตุลยดาเดินย่างเข้าหาคู่สนทนาของเธอ “เมื่อกี้พี่เบลพูดว่าเป็นอะไรกับพี่เตนะคะ เพื่อนงั้นหรือ”

   แตงกัดฟันยิ้มแสยะ เธอเค้นขำในลำคอ

   “น้อง...” นภสรรู้สึกกลัวเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอมากขึ้นไปทุกที

   “คิดว่าแตงโง่มากหรอคะ คิดว่าแตงไม่มีปัญญาสืบเรื่องพี่กับพี่เตงั้นหรอ” ตุลยดาไม่กะพริบตา

   “พี่ว่า...” นภสรกลั้นหายใจ “แตงสืบผิดคนแล้วละ”

   แว่บนึงในความคิด เบลคิดจะเดินไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อบอกความจริงกับตุลยดาให้มันจบๆกันไป แต่วินาทีต่อมา นภสรก็ตระหนักได้ว่านั่นเป็นความคิดที่ไร้สติมาก เพราะถึงแม้ว่าเธอจะโกรธพีรการต์อยู่ไม่น้อย เธอก็ไม่อยากให้เด็กสาวที่ดูโรคจิตพิกลตรงหน้าไปตามรังควานเพื่อนของเธอ

   “พี่เบลหมายความว่ายังไงคะ” แตงหรี่ตาลง

   “คือพี่...” นภสรหลุบตาลงต่ำ เธอพยายามหาประโยคมาพูดแก้สิ่งที่เธอเพิ่งเอ่ยออกไป แต่เบลกลับคิดอะไรไม่ออก

   “ช่างมันเถอะค่ะ” แตงตัดบท เบลเห็นว่าเท้าของเธอถอยห่างออกไป เมื่อนภสรเงยหน้าขึ้นมาแตงก็ยืนพิงอยู่ที่โต๊ะคอมฯเช่นเดิม “ต่อให้พี่เบลก็จะโกหกต่อไปยังไง หรือจะคบกับพี่เตในสถานะไหน แตงก็ขอร้องให้พี่เลิกยุ่งกับพี่เตอยู่ดี”

   เด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งยืดตัวขึ้น เดินออกห่างจากโต๊ะคอมพิวเตอร์และผ่านตัวนภสรไปที่ประตู เป็นสัญญาณบอกว่าเธอพูดธุระของเธอใกล้จบแล้ว ทว่าก่อนจะออกจากห้อง ตุลยดาก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่ดูขัดกับความหมายที่ประโยคนั้นสื่อออกมา “ถ้าไม่ทำตามที่แตงขอร้อง ระวังหน้าสวยๆจะมีรอยกรีดนะคะ”

   นภสรรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว

   “ถือว่าแตงเตือนแล้วนะ” ตุลยดาหันมายิ้ม “แฟนเก่าพี่เต ก็โดนไปตั้งหลายแผลแหน่ะ”


......................................................


คนเขียนขอเม้าท์: ขอโทษที่กลับมาช้าไปเกือบปีนะคะ ไม่มีคำแก้ตัวจริงๆค่ะ ขอโทษอีกครั้งจริงๆค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢
เริ่มหัวข้อโดย: nbom_pkai ที่ 25-07-2019 11:01:49
จะกลับมาอีกมั้ยคะ
หัวข้อ: Re: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢
เริ่มหัวข้อโดย: Blue Bear ที่ 31-01-2020 21:30:32
ไม่ต่อแล้วเหรอ