►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢  (อ่าน 23605 ครั้ง)

ออฟไลน์ Red_Enchanted

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
CHAPTER THREE

- I want you out of my life, but I don’t want to let you go. -


   [สามปีที่แล้ว]

   “น่า...นะๆๆ พิณไปเป็นเพื่อนเบลหน่อยเถอะ” เสียงออดอ้อนของเด็กสาวแรกรุ่นวัยมัธยมต้นดังขึ้นในห้องสมุด จนร่างบางต้องหันไปมองคุณครูบรรณารักษ์เพราะกลัวถูกเอ็ดเอา เด็กหญิงเอื้อมมือมาปิดนิยายสืบสวนที่ ‘พีรการต์’ หรือ ‘พิณ’ กำลังอ่านค้างอยู่ เมื่อเห็นว่าการเรียกร้องความสนใจแบบใช้เสียงของเธอเริ่มจะไม่ได้ผล

   “เบลก็ไปเองสิ” เด็กชายหันไปดุคนข้างกายเสียงเบาพลางพยายามเยื้อแย่งหนังสือที่อยู่ในมือเพื่อนรัก “เรื่องอะไรแบบนี้ไร้สาระ เราไม่เอาด้วยหรอก

   “ก็ถือว่าไปดูเพื่อนซ้อมกีฬาไง” เด็กสาวยกเหตุผลขึ้นมาประกอบ เธอหยิบหนังสือเจ้าปัญหาไปซ่อนเอาไว้หลังกายตัวเองก่อนพูดขึ้น “ยืมหนังสือนี่ออกไปอ่านข้างสนามก็ได้ แต่ช่วยไปนั่งเป็นเพื่อนกันหน่อยเถอะ

   พิณกอดอกเงียบพลางมองเพื่อนตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย เธอเป็นจอมตื้อเบอร์ไหน เขาเองนั่นแหละที่รู้ดีที่สุด หากว่าเขาไม่ไปกับเธอแล้ว เบลคงไม่ยอมหยุดขอร้องและเขาก็คงไม่มีวันได้อ่านหนังสือนิยายเล่มนั้นต่ออย่างสงบสุขเป็นแน่

   “นะๆๆๆๆ” เบลว่าพร้อมเอาดึงแขนพิณเข้าไปกอด เด็กชายหลับตาลงด้วยความปวดหัวก่อนจะตอบขึ้น

   “ก็ได้ๆ” พิณยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้ปนรำคาญหน่อยๆ “แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ

   “ไม่สัญญาหรอก

   ‘เบล’ หรือ ‘นภสร’ หันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เพื่อนชายพลางหัวเราะร่าเมื่อเห็นว่าพิณยอมโอนอ่อนตาม เธอเป็นผู้หญิงไทยแท้ มีหน้าหวานคม รูปร่างเป็นไปตามเกณฑ์น้ำหนักและส่วนสูงมาตรฐานแต่ไม่ถึงกับมีสัดส่วนมากเพราะยังไม่แตกเนื้อสาวดี ทั้งพิณและเบลนั้นเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเด็กด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กันมาก อีกทั้งพิณเองก็เป็นเด็กเพียงคนเดียวในระแวกนั้นที่สามารถสื่อสารกับเบลที่ย้ายมาจากกรุงเทพได้ เพราะพ่อแม่ของพิณสอนภาษากลางให้เขาตั้งแต่เริ่มพูด

   จนปัจจุบันนี้ทั้งสองคนอยู่มอสามต้นเทอมสอง ก็ยังคงสนิทกันแนบแน่นอยู่เหมือนเดิม

   เด็กชายและเด็กหญิงพากันเดินมาที่สนามกีฬาพื้นซีเมนต์เมื่อออกจากห้องสมุด เสียงลูกยางกระทบพื้นไม่ได้ทำให้หน้าที่เซ็งอยู่แล้วของพิณสดชื่นขึ้นมาสักเท่าไหร่ เขาไม่ได้มีความสนใจทางด้านกีฬาแม้สักนิดเดียว กีฬานั้นเป็นอะไรที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย แค่วิ่งยังช้ากว่าคนอื่นเขาด้วยซ้ำไป คิดถึงเรื่องนั้นพิณก็หน้างอกว่าเดิม

   ก็กีฬาเป็นอย่างเดียวที่คนเก่งอย่างเขาทำไม่ได้นี่หน่า

   “คนไหนละ เด็กใหม่ที่ย้ายมาจากกำแพงแพชรน่ะ” พิณถามพลางชะเง้อหาตัวการที่ทำให้เขาต้องมานั่งทนอากาศอบอ้าวที่สนามกีฬานี้

   ‘เด็กใหม่’ เป็นคำนามที่ดูประหลาดเล็กน้อยเมื่อมันถูกเอ่ยขึ้นในโรงเรียนของพิณ เพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนมัธยมระดับจังหวัดที่ทุกคนต้องสอบเข้ามา ตามปกติแล้วก็จะมีเด็กใหม่อยู่แค่ตอนมอหนึ่งกับมอสี่ ส่วนเด็กที่ได้เข้ามาตอนมอสามนี่ก็คงไม่พ้นเป็นเด็กเส้น แต่ทุกคนก็เหมือนจะพร้อมใจกันมองข้ามความจริงข้อนี้ไป

   เมื่อมีข่าวลือมาว่า เด็กใหม่ที่ย้ายมาจากกำแพงเพชรนี้ หล่อมาก

   ไม่ใช่ความพิณมีความกระตือรือร้นอะไรที่จะเจอเจ้าตัวหรอกนะ เพียงแต่เขาอยากรู้เท่านั้นเอง ว่าไอ้เด็กมอต้นแบบที่สาวกรี๊ดกันยกโรงเรียนจนปรอทความฮ็อตแซงพี่มอปลายไปหลายคนน่ะ หน้าตามันเป็นยังไง

   “คนนั้นไง” เบลเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ใครบางคนที่อยู่ใต้แป้นบาส พิณหันไปตามเพื่อนบอกเพื่อจะยลโฉมไอ้เจ้าเด็กใหม่คนดัง เพียงแต่ว่า...

   “เฮ้ย!!!!” 

   พลั้ก!

   ไอ้วัตถุก้อนกลมสีส้มที่อยู่ในมือของคนสักคนในสนามกลับรอยมากระแทกเข้าเต็มๆที่เบ้าตาของคนที่อยู่นอกสนามอย่างพิณทันทีที่เขาหันไป

   “โอ๊ยยยย...” เด็กชายร้องโอดโอยขึ้นมาเสียงเบาหลังจากที่อาการชาเสี้ยววิหายไป ร่างบางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมตาตัวเองที่เพิ่งจะถูกลูกบาสอัดเข้าไปเต็มๆ

   “พิณ! เป็นไรป่ะเนี่ย!” เสียงของเด็กสาวข้างกายดังขึ้นมาเพราะว่าเธอเองก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่ยังไม่ทันที่เบลจะได้ทำอะไร เจ้าของลูกบอลสีส้มก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาคนเจ็บก่อนจะจับมือของพิณที่ปิดตาอยู่ออกมาจากหน้าเจ้าตัว เพื่อดูรอยช้ำ

   “เป็นอะไรมั้ย” คนมาใหม่ถามขึ้นก่อนเงียบไปอึดใจนึง “เอ่อ...กูหมายถึง เป็นอะหยังก่อ

   พิณยังไม่ตอบอะไรออกไปเนื่องจากยังมึนมาก เด็กชายกะพริบตาข้างที่ไม่เจ็บถี่ๆ แต่เขาก็ยังมองเห็นไม่ชัดนักเนื่องจากน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่

   “เจ็บจนร้องไห้เลยหรอ” เสียงแหบนั่นยังคงพูดอยู่ตรงหน้าเขา เจ้าของเสียงลดใบหน้าลงมาให้ต่ำกว่าพิณนิดหน่อยแล้วมองสังเกตที่เบ้าตาของร่างบาง “สุมาเตอะ” และเจ้านั่นก็ยังคงพูดไทยกลางสลับกับไทยล้านนาอย่างเพี้ยนๆให้เขาฟัง จนพิณอดหัวเราะออกมาไม่ได้

   “พูดกลางเถอะ กูพูดได้” พิณพูดแม้ยังไม่ได้ลืมตาเต็มดีนัก คนเจ็บหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนจะหลับตาแน่นเพื่อไล่น้ำตา และในวินาทีต่อมาร่างบางก็ลืมตาพร้อมพูดขึ้น “ไม่เป็นระ...

    และสิ่งที่พิณเห็นตรงหน้ามันก็ทำให้เขาอึ้งเสียจนลืมพูดให้จบประโยค...

   คือเด็กชายคนนึงที่ตัวสูงกว่าเขาประมาณห้าหกเซ็นต์ ชุดนักเรียนที่ถูกปลดกระดุมเม็ดบนออกสองสามเม็ดของร่างสูงมีรอยเหงื่อไหลซึมออกมาเป็นดวงๆเพราะความร้อนและความเหนื่อย สีผิวไม่ขาวไม่แทนแต่ก็เนียนละเอียดดูสุขภาพดี หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วงเพราะกำลังหอบหายใจ และนัยน์ตาสีดำสนิทนั่นก็ฉายความกังวลออกมาอย่างชัดเจน

    เด็กใหม่ที่ใครๆก็ต่างพูดถึงกันนั้น...หล่อสมคำร่ำลือจริงๆด้วย

   “แน่ใจนะ” กลีบปากสีคล้ำขยับเพื่อเอ่ยถาม...

   …แต่พิณยังคงไม่สามารถละความสนใจไปจากใบหน้าของ เด็กใหม่ ที่ว่าได้เลย

   “นี่มึง ไม่เป็นอะไรแน่นะ” ร่างสูงถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าพิณเงียบไป ซึ่งนั่นมันก็ทำให้พิณหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตนเอง

   “อา...แน่ใจ” พิณพยักหน้าลงหงึกหงัก

   ““ดีแล้ว” เขายิ้มอย่างโล่งใจ คนตรงหน้ากะพริบตาถี่สองสามครั้งแล้วยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เขาเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าที่พิณก็ไม่รู้ว่ามันไหลลงมาจากตาตั้งแต่เมื่อไหร่

   “ไอ้เต! เขาเป็นไรมากมั้ยวะ!” เสียงใครบางคนจากสนามตะโกนมา ร่างหนาตรงหน้าหันไปโบกมือให้ทางนั้นไหวๆ “เขาไม่เป็นไรมึงก็มาเล่นต่อได้แล้ว!”

   “เออ!” คนถูกเรียกตะโกนรับคำเพื่อนตัวเอง ก่อนจะหันมามองหน้าพิณแล้วหัวเราะแผ่ว “ไปแล้วนะ”

   เมื่อพิณพยักหน้าตอบรับร่างสูงก็วิ่งออกไป เพื่อนสาวของพิณที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงพูดอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่ได้ศัพท์ ดวงตาของพิณยังคงจับจ้องอยู่กับคนที่เคลื่อนไหวเหยาะๆไปในสนาม ก่อนที่คนที่ถูกมองนั้นจะหันมาส่งยิ้มให้กับพิณอีกครา

   วินาทีที่เขาสองคนสบตากันอีกครั้ง...

     ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...

   ...เป็นวินาทีเดียวกับที่เด็กชายพีรการต์ได้รู้จักกับคำว่าผีเสื้อที่บินอยู่ในท้องเป็นครั้งแรก

   ฉิบหายแล้วไอ้พิณ...ฉิบหายแล้ว




   [ปัจจุบัน]

   “พี่ว่าอารมณ์ของพระเอกได้แล้วนะ แต่นางเอกจะต้องโมโหน้อยกว่านี้” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากดูการซ้อมละครภาษาอังกฤษของน้องมอห้าจบไป “พี่เขียนไว้ว่าให้ขึ้นเสียงนิดหน่อย ไม่ใช่ตะโกน” ผมว่าพลางเอาปากกาจิ้มๆไปตรงตำแหน่งนึงในสคริปต์ให้ ‘น้องแจง’ ผู้กำกับเรื่องนี้ดู หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณ

   “นี่ถ้าไม่มีพี่ภัทร งานพวกหนูคงไม่เดิน” แจงกล่าวก่อนจะก้มลงไปมองนาฬิกา “แจงคงจะให้พวกนั้นซ้อมอีกรอบอะค่ะ พี่ภัทรกลับเลยก็ได้นะคะ เกรงใจ เพราะเดี๋ยวยังไงพรุ่งนี้แจงคงให้ซ้อมฉากนี้อีกสองสามรอบ”

   “อา...หรอ” ผมครางในลำคอ “งั้นพี่กลับแล้วนะ”

   น้องแจงไหว้สวัสดีผมอีกทีเมื่อผมบอกลา ตามมาด้วยน้องคนอื่นๆในห้องซ้อมที่พากันยกมือไหวผมเป็นแถว อันที่จริงแล้วผมค่อนข้างจะเป็นเด็กกิจกรรมครับ พวกร้องเพลงหรือละครเวทีอะไรแบบนี้ ซึ่งส่วนมากแล้วผมจะชอบเป็นเบื้องหลังมากกว่า แต่ถึงกระนั้น...ผมก็ยังเป็นที่รู้จักของใครหลายคนอยู่ดี

   ปีที่แล้วผมพ่วงตำแหน่งทั้งคนเขียนบทและผู้กำกับละครเวทีภาษาอังกฤษของโรงเรียนครับ ปีนี้เลยเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องมาคุมน้องทำงาน แต่ไปๆมาๆ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองต้องกลับมาเป็นผู้กำกับอีกครั้ง เพราะน้องทุกคนกลับร่วมใจกันขอความเห็นจากผมไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรซะอย่างนั้น ไอ้ผมก็ได้แต่งงๆตามน้ำไป ยิ่งตอนนี้เหลือเวลาแค่อีกอาทิตย์กว่าๆก่อนจะถึงวันจริงด้วยแล้ว ผมเลยยิ่งโดนตามตัวบ่อย

   ก็ดีครับ...มีอะไรให้ทำจะได้ไม่ต้องเอาเวลาไปนั่งคิดเรื่องฟุ้งซ่าน

   ผมใช้วิธีการกลับบ้านแบบเดิมที่เคยบอกไปครับ แต่วันนี้ใช้เวลากว่าเดิมหน่อยเนื่องจากรอรถเมล์นาน ผมมองออกไปนอกกระจกหลังจากที่ขึ้นรถไฟฟ้ามา แม้จะมีป้ายโฆษณาปิดนอกตัวขบวนเอาไว้แต่มันก็ไม่ยากเท่าไหร่ที่ผมจะเห็นได้ว่าดวงอาทิตย์นั้นลับขอบฟ้าไปแล้วหลายชั่วโมง

   ความเงียบในตัวขบวนทำให้ให้ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น...

   …เหตุการณ์ที่เตมายืนอยู่ต่อหน้าผม

   เรื่องมันผ่านไปได้เกือบสามอาทิตย์แล้วครับ เตหายไปเลยหลังจากที่ผมส่งข้อความบอกไปแบบนั้น ไม่มีการตอบกลับ ไม่มีการโผล่มาหา ไม่มีสัญญาณอะไรใดๆทั้งสิ้นจากมัน และนั่นทำให้ผมหายใจหน่อยๆทั้งที่มันเพิ่งกลับเข้ามาในชีวิตผมเพียงวันสองวันแท้ๆ

   แล้วมันก็กลับออกไป...

   …คนอย่างผมคงมีค่าพอให้มันพยายามเท่านั้นจริงๆ

   ผมไม่รู้ตอนนี้ตัวเองเสียใจหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกไหนที่มันเหมาะควรกับสถานการณ์

   ผมไล่ให้มันไป แต่ผมกลับมองหามัน

   ผมไม่ตอบไลน์มัน แต่ผมกลับรอให้มันไลน์หา

   ผมไม่อยากคุยกับมัน แต่ผมกลับอยากรู้เรื่องของมัน

   การเจอเตแค่เพียงครั้งสองครั้ง กลับทำให้ผมหัวปั่นได้เป็นอาทิตย์

   ติ้ง!

   เสียงแจ้งเตือนของเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมสะดุ้ง นึกขอบคุณตัวเองอยู่ไม่น้อยที่มีสติพอที่จะไม่ส่งเสียงบ่งบอกความตกใจใดๆออกไป อันที่จริงผมไม่ได้ขวัญอ่อนตกใจง่ายอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่เมื่อกี้ผมกำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆเท่านั้นเอง

   PPEem: ช่วงนี้คงไม่ได้กลับ ติวมิดเทอม (21.44 น.)

   เป็นเฮียภีมครับ ส่งมาสั้นง่ายได้ใจความตามสไตล์ของแก ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจอมือถือเมื่อเสียงประกาศบนรถไฟฟ้าบอกว่าถึงสถานีที่ผมต้องการลงแล้ว ลืมเรื่องข้อความของเฮียภีมไปสักครู่หนึ่งเนื่องจากหมู่คนบังคับให้ผมต้องเดินเร็วจนไม่มีเวลาตอบ ขึ้นลิฟต์คอนโดมานั่นแหละครับ...ผมถึงนึกขึ้นได้ว่าเฮียแกคงกำลังรอการตอบกลับอยู่

   pPATn: โอเค (21.56 น.)

   PPEem: ดูแลตัวเองด้วย (21.56 น.)

   pPATn: รู้แล้ว (21.57 น.)

   ผมเลิกให้ความสนใจกับมือถือเมื่อมาถึงหน้าประตูห้อง ต่างไปจากเดิมหน่อยตรงที่มันที่มีถุงสีดำปริศนาแขวนเอาไว้ตรงกลอน ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจก่อนจะหยิบถุงขึ้นมาดู แล้วจึงพบว่าภายในมันมีกระดาษสอดไว้อยู่แผ่นนึง บนกระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรที่ใช้เครื่องพิมพ์ลงหมึกเอาไว้

   ‘ทานให้อร่อยนะครับ

      จาก เพื่อนข้างห้อง : D’


   ผมเปิดดูของข้างในทันทีที่อ่านจบ มันเป็นดาร์กช็อคโกแลตราคาแพงยี่ห้อที่ผมชอบ ชอบมากจนถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นของโปรดอันดับต้นๆ ผมขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิดเพราะสงสัยว่าเพื่อนข้างห้องที่ผมยังไม่เคยเป็นหน้าคร่าตาจะมารู้ว่าผมชอบกินอะไรได้ยังไง แต่ก็ในที่สุดผมก็เลิกคิดเล็กคิดน้อยไปแล้วบอกกับตัวเองว่าความบังเอิญมันมีจริง

   ผมผินหน้าไปมองห้องข้างๆ แล้วชั่งใจว่าจะไปเคาะประตูบอกขอบคุณดีมั้ย แต่ก็ต้องพับความคิดนั้นไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันดึกแล้ว

   เอาไว้...ค่อยไปขอบคุณพรุ่งนี้แล้วกัน


   

   ผมไม่ได้ไปขอบคุณคนข้างห้องเร็วอย่างที่ตั้งใจไว้เลยครับ...

   คืนนั้นคิดเอาไว้อยู่ว่าจะขอบคุณวันถัดไปเพราะไม่อยากไปรบกวนตอนดึกๆ แต่มันก็กลับกลายเป็นว่าผมกลับห้องดึกทุกวันเพราะต้องอยู่ช่วยงานละคร แต่ก็แปลกนะ ที่เขายังมีความพยายามที่จะผูกมิตรอย่างคงเส้นคงวามาก เล่นเอาขนมช็อคโกแลตแบบเดิมๆนั้นมาแขวนไว้ที่หน้าห้องผมไม่เว้นวันเลย

   ผมยังไม่ได้กินหรอกครับ เพราะยังไม่ได้รู้จัก...จึงไม่ไว้ใจอะไรขนาดนั้น

   วันนี้น้องๆมอห้ายกซ้อมครับ เห็นว่าพรุ่งนี้มีสอบย่อยเลขกันทั้งระดับและอาจารย์เลขมอห้าก็ให้คะแนนยากมาก พวกนั้นเลยรีบกลับบ้านไปอ่านหนังสือกัน ผมจึงได้กลับคอนโดเร็วเนื่องจากไม่ต้องอยู่ช่วยซ้อม ตั้งใจว่าจะกลับมาทำกับข้าวไปขอบคุณเพื่อนข้างห้องเพื่อตอบแทนน้ำใจเสียหน่อย เพราะค่าขนมที่เขาให้ผมมามันก็ไม่ใช่น้อยๆเลย

   ผมเลือกซื้อของขึ้นมาไม่กี่อย่าง กะว่าจะทำสปาเก็ตตี้มีตบอลรสชาติกลางๆไปฝากเขา เพราะไม่รู้ว่าคนข้างห้องปริศนาคนนั้นเป็นใคร ชอบกินรสชาติอาหารแบบไหน แม้จะพอเดาๆได้จากการกระทำและโน้ตใบนั้นว่าเป็นเขาอาจจะผู้ชายที่น่าจะอายุไม่มากก็เถอะ

   ตึง! ตึง! ตึง!

   เสียงอะไรสักอย่างจากข้างห้องดังผ่านผนังมาเมื่อผมผัดสปาเก็ตตี้เสร็จแล้ว ก่อนที่มันจะเงียบไป ผมเลิกใส่ใจก่อนจะจัดสปาเก็ตตี้ลงกล่องให้เรียบร้อยเพื่อนำไปให้บุคคลปริศนาดังกล่าว จากนั้นผมก็พาตัวเองก้าวขาเดินไปยังห้องข้างๆ จากนั้นก็ว่าประตูนั้นถูกลังกระดาษอะไรสักอย่างวางคั่นอยู่

   อย่างนี้คงไม่ต้องกดออดเสียละมั้ง

   “ขอโทษนะครับ” ผมเปล่งเสียงพลางขยับตัวเล็กน้อยเพื่อมองลอดช่องประตูที่แง้มไว้ แต่ขาของผมมันคงจะเก้งก้างไปหน่อย เลยไปดันลังที่คั่นประตูอยู่ ส่งผลให้บานไม้นั่นถูกเปิดออกไป ผมจึงได้เห็นบุคคลปริศนาที่อยู่ข้างใน

   !!!

   “พิณ...” คนด้านในห้องที่กำลังตอกตะปูเพื่อแขวนรูปอยู่ เบิกตากว้างหันมามองก่อนจะส่งเสียงเรียกชื่อผม คนตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกสมองเบลอไปชั่วขณะนึง

   โป้ก!

   “โอ๊ย!” และในที่สุดรูปที่เขาจับอยู่อย่างหมิ่นเหม่นั้นก็หล่นลงมา มุมของกรอบรูปตกกระแทกหัวเขาไปเต็มๆ

   “เต!” ผมเรียกชื่อเขาขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะพลั้งก้าวขาออกไปด้วยสัญชาตญาณ แต่ในวินาทีต่อมาเมื่อผมเห็นว่าเขาไม่ได้หมดสติไปผมก็ยั้งขาตัวเองไว้ได้อยู่ ผมมองเห็นเลือดที่ไหลออกจากหน้าผากเขา แต่นั่นมันก็ไม่มากพอให้ผมกุลีกุจอเข้าไปหา เตยกมือขึ้นกุมแผลไว้อย่างเจ็บปวด

   ร่างหนายังมึนงงในขณะที่ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ใช้เวลาเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น ผมก็พาตัวเองพร้อมกล่องสปาเก็ตตี้ในมือออกจากห้องดังกล่าวทันที

   “พิณ!” เสียงที่เรียกตามมาไม่ได้ทำให้ผมหยุดขาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ผมสาวเท้าไวขึ้นก่อนจะปิดประตูอย่างรวดเร็วเมื่อมาถึงห้อง

   ปึง!!

   ผมยืนเอาตัวเองพิงกับประตูไว้ หายใจอย่างรวดเร็วเพราะทำอะไรไม่ถูก พยายามจะเรียบเรียงความคิดในหัวสมองแล้วพยายามนึกอีกครั้งว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นความจริงหรือผมหลอนไปเองกันแน่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรตก ก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูห้องผม

   ปังๆๆๆ!

   “พิณ!” เสียงเรียกของเขาทำให้ผมสะดุ้งตัว “พิณ! พิณ! เชี้ยเอ้ย...” เตตะโกนเรียกชื่อผมอยู่ไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงสบถอย่างอ่อนแรง มันคงไม่ตั้งใจให้ผมได้ยินหรอก เตอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมยังยืนแนบอยู่กับบานประตู ผมตัดสินใจมองลอดผ่านตาแมวไปด้วยเหตุผลที่ไม่ได้คิด ก่อนจะเห็นภาพไอ้เตเอามือข้างหนึ่งเท้ากับประตูของผม ส่วนมืออีกข้างก็กุมแผลเอาไว้

   และเลือดนั่นก็ยังไหลไม่หยุด...

   ผมมองอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ร่างหนาก็ทรุดลงไปกับพื้น ผมตกใจจนตัวชาเมื่อเห็นดังนั้น จิตใต้สำนึกของผมพาให้ผมไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่อยู่หลังกระจกในห้องน้ำ ก่อนจะรีบวิ่งมาเปิดประตูออกทันที

   เตที่ตอนนี้นั่งพิงประตูอยู่จึงเซล้มลงมา

   “…!” เขาเบิกตาขึ้นอย่างตกใจ ผมยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความกระอักกระอ่วนแบบบอกไม่ถูก ไม่กี่วินาทีจากนั้นผมยื่นกล่องปฐมพยาบาลให้คนเจ็บก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร

   “อย่ามานอนตายอยู่ตรงนี้” ผมเอ่ยออกไปแค่นั้นทั้งที่จริงๆแล้วอยากจะไล่ให้เขาไปหาหมอ หรือถึงกับขั้นพาเขาไปเองด้วยซ้ำ ผมมองเตที่ยังนั่งมึนงงอยู่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะใช้มือผลักเขาให้พ้นไปจากธรณีประตูตัวเอง

   แล้วผมก็ทำใจแข็งปิดประตู...

   ผมจับมือตัวเองเอาไว้ให้มันหยุดสั่นแต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี ผมยืนอยู่ตรงประตูหน้าห้องเป็นนาที ก่อนจะเดินวนเวียนไปมาเป็นหนูติดจั่นอยู่บริเวณนั้นอีกนานโข จนในที่สุดความรู้สึกของผมมันก็ชนะเหตุผลจนผมต้องเปิดประตูออกไป

   เปิดออกไปแล้วพบกับความว่างเปล่า...

   แต่นั่นเป็นความว่างเปล่าที่ทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เตมีแรงมากพอที่จะเดินกลับไปที่ห้องของมันได้

   คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็ปิดประตูลง

   เสี้ยวนาทีเท่านั้นที่ผมรู้สึกวางใจ ก่อนที่ความรู้สึกนั่นจะเปลี่ยนเป็นความกังวงลที่ทำให้ผมต้องเดินมาเดินไปอีกรอบ ผมพยายามหลับตานับเลขในใจ แต่นั้นมันก็ไม่ได้ผล ผมลืมตาคือมาและเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ที่จอโทรทัศน์ที่ปิดสนิท สีหน้าที่กังวลและร่างกายที่สั่นเทิ้มนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าผมยังเป็นห่วงคนที่อยู่ในห้องถัดไป

   …ผมคงไม่เป็นแพนิคขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเลือดนั่นมันเยอะจนน่ากลัว...

   ...ถ้าไม่ใช่เพราะผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันเจ็บ

   ผมไม่เคยรู้ว่าเข็มนาฬิกาเดินช้าขนาดไหนจนกระทั่งตอนนี้

   ตอนที่ผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เดินไปหาเตที่ห้อง

   ก๊อกๆๆ!

   เสียงเคาะตรงประตูกระจกระเบียงทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวแล้วหันไปมอง ก่อนที่สิ่งที่ผมเห็นจะทำให้นัยน์ตาผมเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ สมองของผมถูกหยุดการคิดประมวลไปชั่วขณะ มือที่สั่นอยู่ของผมหยุดไปเหมือนร่างกายลืมไปแล้วว่าเคยเป็นกังวลเรื่องที่เตโดนกรอบรูปหล่นใส่

   เพราะตอนนี้คนที่ผมพูดถึงมันมายืนเคาะกระจกอยู่ที่ระเบียงผมน่ะสิ!

   “นี่ปีนมาหรอ!” ผมเลื่อนประตูกระจกออกอย่างรุนแรงพร้อมขึ้นเสียงทั้งที่ทำไม่บ่อย “บ้าไปแล้วหรือไง!” น้ำเสียงที่แสดงถึงความเกรี้ยวกราดเพราะเป็นห่วงของผมไม่ได้ทำให้ร่างหนาหน้าเจื่อนไปแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับคลี่ยิ้มให้กับผมก่อนส่งกล่องปฐมพยาบาลมาให้

   “ทำแผลให้หน่อย” ประโยคนั้นมันทำให้ผมจ้องหน้ามันด้วยความเหลือเชื่อ เตเจ็บหนักและเสียเลือดไปเยอะ แถมมันจะเพิ่งจะปีนตึกข้ามห้องมาหาผมอีก

   ฟังไม่ผิดหรอกครับ ปีนตึก ไม่ได้ปีนระเบียง

   ระเบียงห้องผมและห้องเตห่างกันอยู่ประมาณยี่สิบเมตรได้ ทั้งสองโครงสร้างเชื่อมกันด้วยแค่ขอบปูนประมาณสองสามคืบที่ยื่นออกไปจากตัวตึกด้วยเหตุผลทางด้านความสวยงาม แล้วไอ้เตมันก็ฝืนตัวเองที่ควรจะหน้ามืดเพราะเสียเลือดมากเสี่ยงใช้ทางนั้นเดินมาที่ห้องผมเนี่ยนะ!

   “นี่มันชั้นสิบสองนะไม่ใช่ชั้นสอง! หน้ามืดตกลงไปตายจะทำยังไงฮะ!” ผมว่ามันเสียงดัง

   “ตายไปก็ไม่เสียดายหรอก” เตเอ่ย “อย่างน้อยพิณก็ยอมพูดด้วยแล้ว”

   “เต!” ผมยังคงเอ็ดเขาเสียงเขียว เตยิ้มอย่างขำขันทั้งๆที่หน้ามันซีดมาก ผมเลื่อนสายตาไปมองที่แผลฉกรรจ์บนหน้าผากมัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมยังคงเต้นแรงอยู่ บอกไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะผมยังตกใจไม่หาย หรือเป็นเพราะว่ากำลังโกรธมันกันแน่

   “ทำแผลให้หน่อย” มันพูดย้ำอีกครั้ง “เจ็บจะอยู่ตายแล้ว”

   ผมกวาดสายตามองเต สมองสั่งให้ไล่มันไปใกล้ๆ ในขณะที่ความรู้สึกในใจตะโกนบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม

   ให้ตายเถอะ...ผมอยากจะเป็นคนเย็นชาที่ทำตัวไม่มีหัวใจได้มากกว่านี้จริงๆ

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่...

    ...

    ..

   ...ก่อนจะที่เดินเข้าห้องมาโดยที่ไม่ได้ปิดประตูกระจก




......................................................................



คนเขียนขอเม้าท์: มีใครบางคนทายถูกด้วยแหละว่าคนที่ย้ายมาอยู่ห้องพี่ครีมจะเป็นเต ชื่อเรื่องก็บอกแล้วไงค่ะว่าเจ้านี่มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรของน้องพิณของจริง(ฮา)
มีคนขอรายละเอียดของเตพิณมาจากตอนที่แล้วค่ะ เหมือนรู้ใจว่าคนเขียนจะลงพาร์ทย้อนอดีต 555555 เจอกันครั้งแรกก็ไม่หวือหวาเนาะ เหมือนพระนายเจอกันในนิยายวายทั่วไป ยังไงก็ฝากติฝากชมกันด้วยนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-05-2017 01:50:26 โดย Red_Enchanted »

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ว่าแล้วเชียวววววเจ้ากรรมนายเวรของจริง

ออฟไลน์ shoky_9

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
หวังว่าเต จะไม่รู้เห็นเรื่องในอดีต 

ออฟไลน์ sentpai

  • เพราะโลกของแต่ละคนนั้นมันไม่เหมือนกัน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกครับ
#ทีมพิณภัทร

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
เตเป็นคนยังไง เหตุไฉนถึงได้ปล่อยคลิปพิณออกมา

ออฟไลน์ นางฟ้าเชียงชุน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ขอออกตัวเลยว่าเป็นทีมน้องพิณ เพราะฉะนั้นฝากถึงนังเตนะคะว่าอย่าเยอะกับน้องพิณให้มาก เดี๋ยวอิแม่จะส่งพี่ภีมไปกระทืบ55555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ถ้าเต ตามพิณซะขนาดนี้  :z3: :z3: :z3:
คลิปที่ปล่อยต้องไม่ใช่ฝีมือเต
ต้องเป็นคนที่ใกล้ชิดเต
ไม่ชอบพิณ และตั้งใจประจานพิณ
เพื่อให้พิณอับอายขายหน้า ไม่กล้าสู้หน้าใครๆ
และไปจากเต แล้วตัวเองจะได้ประโยชน์
ซึ่งคงได้ประโยชน์ เพราะเต ยังตามหาพิณ / มโนไปไกลมั้ย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1691
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
มันหน่วงๆยังไงมิรู้ว แต่น้องพิณดูอาการแย่มากเลยอ่ะ สงสารน้อง ฮือออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Red_Enchanted

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2

CHAPTER FOUR

- Some people cross your path and change your whole direction. -



   “พิณทำกับข้าวด้วยหรอ” ร่างหนาที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยขึ้น เขาหันหน้าไปมาเพื่อใส่สายตาสำรวจห้องผม และนั่นมันก็ทำให้ผมดูแผลเขาไม่ถนัด ผมเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำถามของเต ก่อนจะเขยิบเข้าใกล้แล้วใช้สำลีซับเลือดออกจากแผลนั่นอย่างเบามือที่สุด

   นี่มันแผลแตก ไม่ใช่แผลธรรมดา

   คงต้องเย็บ

   “หัวแตก” ผมเอ่ย “ต้องไปโรงพยาบาล” ผมเลือกที่จะประหยัดถ้อยประหยัดคำกับเขาทั้งที่ปกติแล้วเป็นคนพูดมาก เตยิ้มมุมปากก่อนจะพูดขึ้น

   “พิณทำกับข้าวด้วยหรอ” เขาถามย้ำประโยคเดิม ทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ผมถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบคำถามอย่างอ่อนใจ เวลานี้ผมไม่มีอารมณ์มาเล่นอะไรกับเขาหรอก

   “เตต้องไปโรงพยาบาลนะ” ผมพูดกับเขาดีๆ ไม่ใช่ว่าอยากจะสนทนาอะไรกับคนตรงหน้ามากนัก เพียงแต่ว่าถ้าเกิดเขาไม่รีบไปหาหมอ เขาคงต้องเลือดไหลหมดตัวตายไปตรงนี้แน่ๆ ผมไม่เคยอยากเจอเขาอีกครั้งก็จริง แต่ผมไม่ได้อยากให้เตเป็นอะไร ผมไม่ได้เกลียดเขา

   “งั้นพิณไปส่งหน่อยสิ” เขาคลี่ยิ้มด้วยริมฝีปากคล้ำที่ตอนนี้ดูซีดเซียวเต็มทน ผมยกสำลีอีกก้อนขึ้นไปอุดแผลเขาก่อนพูดขึ้น

   “กูไม่ขับรถ”

   “แต่เตขับ พิณนั่งไปเป็นเพื่อนเตก็พอ” ร่างสูงสวนขึ้นมาทันทีที่ผมพูดจบประโยค และเขาก็พูดขึ้นมาอีกก่อนที่ผมจะได้โต้ตอบอะไรกลับไป “เผื่อเตหน้ามืดไป เกิดรถชนตายขึ้นมาจะทำไงละ”

   หึ ตอนปีนตึกมาไม่เห็นจะกลัวตายอะไรเลยนี่

   ผมคิดในใจ

   ผมไม่ว่าอะไรหลังจากที่เตพูดจบ ผมหยิบผ้าก๊อซขึ้นมาแล้วพันแผลให้คนเจ็บแบบลวกๆ ก่อนจะลุกเดินไปรอตรงหน้าประตูห้อง ส่วนเตก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน เขาเพียงแต่หัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดีแล้วเดินตามออกมา

   เตแวะไปหยิบกุญแจรถในห้องกับของอีกนิดหน่อย ร่างหนาเดินตัวปลิวเหมือนไม่ได้เพิ่งประสบอุบัติเหตุมา จนผมอยากจะเข้าไปเขย่าถามดูว่าที่เดินอยู่ข้างๆกันนี่เป็นคนจริงๆน่ะหรือ เราทั้งสองพากันเดินมาขึ้นรถของเตที่เป็นรถยุโรปหรูคันราคาเฉียดสิบล้านตามสไตล์ลูกคนรวยอย่างเขา

   “ไปหัดทำกับข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่” เตถามขึ้นทันทีที่ออกรถ เดาว่าคงจะเป็นการชวนคุย ผมหันไปมองเขาที่ขับรถหน้าซีด แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ก่อนที่ผมจะสังเกตได้ว่าเลือดของเตซึมผ่านผ้าก๊อซที่พันหัวเขาเอาไว้ อีกไม่นานก็คงหยดลงมาเปื้อนเสื้อ

   “ทิชชู่อยู่ไหน” ผมถาม

   “พิณไปหัดทำกับข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถามย้ำเช่นเดิมเหมือนที่เขาเคยทำทุกที เตเกลียดการถามที่ไม่ได้คำตอบ ข้อนั้นผมรู้ดี

   “เต!” ผมขึ้นเสียงใส่เขาด้วยความโมโห เตหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาดึงเงียบไม่พูดอะไรจนผมต้องยอมแพ้แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่เจืออารมณ์ไม่พอใจ “ก็เพิ่งหัดตอนย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพเนี่ยแหละ”

   ผมละอยากจะบ้า เลือดออกจะหมดตัวแล้วยังมาเล่นเป็นเด็กอยู่อีก

   ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ

   “ทิชชู่อยู่หลังรถน่ะ” เขาเอ่ยปากบอกสิ่งที่ผมอยากรู้ทันทีที่ผมตอบคำถามของเขา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอื้อมไปหยิบทิชชู่นั้นมาเพื่อซับเลือดจากแผลให้

   เตชะงักไป...

   “พิณ” เขาเรียกชื่อผมเสียงนิ่ง ร่างสูงเงียบไปอึดใจหนึ่งเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูด “เปลี่ยนชื่อหรอ”

   ผมจะไม่ตอบก็ได้

   “อืม” แต่ผมตอบ

   “ทั้งชื่อจริงชื่อเล่นนามสกุล เปลี่ยนไปหมดเลยสินะ” เตพูดขึ้นมาเหมือนว่าเขาไม่ได้พูดอยู่กับผม แต่กำลังพูดอยู่กับตัวเอง “มิน่า เตตามหาพิณ ‘พีรการต์ พรหมคีติสาร’ ตั้งนานก็ไม่เจอ” เขาแค่นหัวเราะในลำคอ

   “ตายไปนานแล้ว” ผมเอ่ย ด้วยน้ำเสียงไม่มีความประชดประชัน ไม่มีความเศร้า ไม่มีอารมณ์ใดๆเจือปนอยู่ “ตอนนี้เหลือแต่ภัทร”

   “พิณ” เตยังเรียกชื่อผมด้วยชื่อเก่า เสียงนั่นทำให้ผมปวดลึกในใจหากแต่ไม่แสดงอาการใดออกไป ผมผินหน้าออกมองถนนด้านข้าง บรรยากาศในรถเงียบไปเกือบสิบนาทีก่อนที่เตจะตัดสินใจพูดขึ้น “เรื่องรูปนั่น...”

   “ถ้าจะพูดเรื่องนั้นก็เงียบไปเถอะ” ผมพูดสวนขึ้นมาทันที ยอมรับเลยว่าทันทีที่เขาเอ่ยปากเรื่องนั้นผมก็รู้สึกเหมือนถูกกำปั้นแรงๆทุบลงมาบนอก ผมไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยินเรื่องเลวร้ายนั้นจากปากของผู้ชายคนนี้ เขาอยากจะอธิบายทั้งที่ตอนนี้มันสายไปแล้ว

   สายเกินไปมากๆ

   “พิณ” เสียงเรียกชื่อนั่นมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการขอความเห็นใจอย่างปิดไม่มิด

   “ไม่ต้องอธิบาย กูไม่ได้อยากฟัง” ผมเอ่ยนิ่งๆ “แล้วขอร้องแหละนะ ช่วยเรียกกูว่าภัทรด้วย พิณน่ะมันไม่อยู่แล้ว อย่าเอาชื่อคนตายมาเรียกกัน"

   


   เตเงียบไปหลังจากที่ผมพูดไปแบบนั้น ไม่ได้เงียบไปแบบคนโกรธ แต่ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง โชคดีหน่อยที่เราอึดอัดอยู่ในรถนั้นไม่นานเพราะขับมาถึงโรงพยาบาลกันเร็ว ผมตั้งใจว่าจะเรียกแท็กซี่กลับทันทีที่ส่งเขาถึงมือหมอ แต่ก็ต้องเลิกล้มความคิดนั่นไปเมื่อพบว่าผมไม่ได้เอาข้าวของติดตัวมาสักชิ้น ทั้งกระเป๋าสตางค์และมือถือ

   ผมนั่งรออยู่ได้ไม่นานนักเขาก็ออกมาจากห้องฉุกเฉิน เขามองหน้าผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แล้วพูดขึ้น “ขอบคุณนะ” เอ่ยจบเขาก็เดินไปรับยา แล้วเราสองคนก็เดินกลับมาขึ้นรถ

   บรรยากาศชวนอึดอัดเพิ่มขึ้นมาเป็นทวีคูณในระหว่างทางกลับ ผมไม่พูด เขาเองก็ไม่ได้พยายามจะถามอะไร ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว ผมคิดจะเอนหลังนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องตื่นดูอาการคนเจ็บเพื่อความปลอดภัย

   และในที่สุดเราก็มาถึงคอนโด

   ผมคิดเอาไว้แล้วว่าจะเปิดประตูเดินออกไปทันทีที่รถจอด แต่ผมกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น เราสองคนนั่งนิ่งเงียบกันอยู่ในรถ เสียงลมหายใจของเราดังสลับกันเป็นนาที

   “ที่บอกว่าพิณตายไปน่ะ...” และในที่สุด เตก็เป็นคนทำลายความเงียบ “แล้วความทรงจำของพิณตายไปด้วยหรือเปล่า”

   ผมหันออกมองนอกหน้าต่างรถ ไม่ตอบอะไร

   “ความรู้สึกที่พิณเคยมีให้เตตายไปด้วยมั้ย”

   เตยังคงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย เขาเอาแต่ทวงถามเรื่องเก่าในอดีตที่ผ่านมา ทั้งๆที่เจ้าตัวก็น่าจะรู้ว่าเรื่องราวเล่านั้นมันทำให้ผมเจ็บปวดมากขนาดไหน เตถามเหมือนเขาไม่รู้อะไรเลย

   เขาเคยคิดบ้างมั้ยว่ากว่าจะผ่านเรื่องนั้นมาได้ ผมรู้สึกอยากตายวันละกี่รอบ

   “มึงจะไปเอาอะไรกับคนตาย” ผมเปล่งเสียงพูดออกไปทั้งที่ลำคอแห้งผาก “ปล่อยมันไปเถอะ”

   “ยังไม่เข้าใจอีกหรอ” เตพูดขึ้นหลังจากที่เขาเงียบไปช่วงขณะหนึ่ง ผมเห็นเขามองมาผ่านเงาที่สะท้อนตรงกระจกหน้าต่าง และผม...ไม่กล้าหันกลับไป “ว่าถ้าปล่อยได้ก็ทำไปตั้งนานแล้ว”

   ให้ตายเถอะ...ผมเกลียดการร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ผมไม่เลยร้องไห้ต่อหน้าให้นอกจากคนในครอบครัว ไม่เคยร้องไห้แม้กระทั่งต่อหน้าเขา แต่ตอนนี้ขอบตาผมร้อนผ่าวหมือนน้ำตากำลังจะไหล

   “แต่ก็ปล่อยมาตั้งหลายปีแล้วนี่” ผมกลั้นใจพูด น้ำเสียงสั่นเครือที่ผ่านออกไป ไม่ใช่สิ่งที่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

   ผมเปิดประตูรถเพื่อเดินออกมา ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เตเห็น ไม่อยากให้เขารู้ว่าตัวเองยังมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผมขนาดไหน

   “เดี๋ยวก่อน!” เตเรียก และคราวนี้ผมชะงักเท้า “ถ้าพิณไม่อยู่แล้วก็ไม่เป็นไร”

   “…”

   “แต่ฝากบอกคนตายคนนั้นด้วยแล้วกันว่าเตคิดถึงเขามาก” น้ำตาผมไหล แต่ผมก็รีบปาดมันออกไปก่อนที่ใครจะได้เห็น “ส่วนภัทรน่ะ...” เสียงของเขาเงียบไปตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่บ่งบอกว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ เพียงกว่าครั้งนี้ผมไม่ได้ขยับหนีไปไหน “ช่วยรู้จักกับเตหน่อยได้มั้ย”

   พลั้ก!

   ผมผลักเขาออกทันทีที่เขาพูดจบ คราวนี้มันเป็นไปเพราะความโมโหและไม่พอใจ ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะดึงประโยคนั้นขึ้นมาพูดอีก เอาประโยคดีๆที่อยู่ในความทรงจำมาทำให้ผมเสียใจ

   หน้าด้าน

   “รู้เอาไว้ด้วยนะเต ในชีวิตของกู กูอาจจะเคยทำพลาดมาหลายอย่าง” ผมมองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยว “แต่สิ่งเดียวที่กูรู้สึกว่ากูทำพลาดมากที่สุด คือการปล่อยให้พิณรู้จักกับเต ปล่อยให้พิณไว้ใจมัน ปล่อยให้พิณระ...” ผมชะงักค้าง เก็บคำพูดที่ไม่สมควรลงไป แล้วแก้ใหม่ “ปล่อยให้พิณรู้สึกอะไรๆกับคนอย่างมึง”

   เตอึ้งไป แต่ตอนนี้ผมไม่มีความอดทนมากพอที่จะมองหน้าเขาอีกแล้ว

   ผมอึดอัด...อึดอัดเหมือนจะตาย

   ผมเดินผ่านเขาไปขึ้นลิฟต์ เพื่อกลับห้อง ผมเหนื่อยกับการยืนฟังเขาอธิบายอะไรที่ผมไม่อยากฟัง

   เขาไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ

   เขาไม่รู้สักนิดว่าเขากำลังขอโทษผมผิดเรื่อง




   [ สามปีที่แล้ว ]

   ‘เต เตชภณ’ ไม่ชอบอ่านหนังสือ...เขาเป็นคนเรียนไม่เก่ง ยิ่งวิชาไหนที่ต้องพลิกแพลงเนื้อหาที่เรียนมาใช้อย่างฟิสิกส์หรือคณิตด้วยแล้วความถนัดของเขายิ่งติดลบ ส่วนวิชาที่ต้องท่องจำเยอะๆเขาก็ไม่ชอบอ่านเหมือนกัน แต่หากพูดถึงความสามารถทางด้านศิลปะแล้ว เขากลับมีฝีมือที่ไม่เป็นสองรองใคร ผลงานของเขาได้รับรางวัลทั้งระดับโรงเรียน ระดับจังหวัดและก็ระดับประเทศ และที่น่าเจ็บใจก็คือ...ผลงานที่ได้รับรางวัลบางชิ้นของเต เขาใช้เวลาวาดมันไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ความสามารถในด้านนี้ของเขามันทั้งน่าหมั่นไส้และน่าชื่นชมไปในเวลาเดียวกัน

   ‘เต เตชภณ’ ไม่ชอบสถานที่เงียบ...เขาจะทนอยู่กับความเงียบได้นานที่สุดก็คือตอนสร้างงานศิลป์ แต่หากไม่ใช่ช่วงเวลานั้นแล้ว เขาจะชอบไปที่ๆที่มีผู้คน ได้ทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นเยอะๆ ดังเช่นสนามบาสในโรงเรียน
   
   ด้วยสาเหตุที่กล่าวมานี้เองทำให้ ‘เต เตชภณ’ ไม่ชอบเข้าห้องสมุด...ชีวิตนี้เตเข้าห้องสมุดมาไม่ถึงสามครั้ง และทุกครั้งที่เข้าก็จะเป็นเพราะว่าเขาโดนใครสักคนบังคับ เตไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องมานั่งอ่านหนังสือในห้องเงียบๆ ที่มีครูสูงอายุค่อยเอ็ดเวลาเด็กส่งเสียงดังด้วย

   แต่วันนี้...เตเข้าห้องสมุด

   แปลกอีกก็ตรงที่เตเข้าห้องสมุดทั้งๆที่ไม่มีใครบังคับ แต่เขาเข้ามาเพื่อมาตามหาใครบางคนต่างหาก คนๆนั้น...

   คนที่โดนลูกบาสอัดกระแทกเบ้าตาไปเมื่อวันก่อน

   อันที่จริงแล้ววันนั้นเตไม่ได้เป็นคนพลาดโยนลูกบาสไปตรงข้างสนามหรอก เพื่อนชายอีกคนของเขาต่างหากที่เป็นคนทำ ในระหว่างการเล่นครั้งนั้น เพื่อนจงใจจะส่งลูกมาให้เต เพียงแต่ว่าเจ้าตัวกลับเหม่อมองไปทางอื่นอยู่

   และสิ่งที่เตมองจ้องอยู่ก็ถูกลูกบาสกระแทกเข้าไปซะเต็มๆ

   ใช่...เขาเผลอมอง ‘ใครคนนั้น’ จนลืมว่าเขาอยู่ในสนามบาสไปเสียสนิท เพราะเหตุผลนี้เองไอ้ลูกยางสีส้มเจ้าปัญหานั้นมันถึงลอยไปกระแทกหน้าคนร่างบาง ตอนนั้นเตจำได้ว่าเพื่อนเขาจะวิ่งไปขอโทษคนข้างสนาม แต่เขานั่นแหละที่หันกลับไปบอกเพื่อนว่าเป็นคนจะเข้าไปคุยกับคนเจ็บเอง

   และหลังจากการพูดคุยในครั้งนั้น...เขาก็หยุดคิดถึงเรื่องของคนๆนั้นไม่ได้อีกเลย

   เขาเพิ่งจะตามสืบจนรู้ว่า ‘ใครคนนั้น’ ที่เขาพูดถึงมีชื่อจริงว่า ‘พีรการต์’ และมีชื่อเล่นว่า ‘พิณ’ จริงๆแล้วการสืบเรื่องของเจ้าคนนั้นก็ไม่ได้ยากอะไรนักหนาหรอก เพราะพีรการต์ออกจะมีประวัติที่โดดเด่นในโรงเรียนเขา ทั้งเรื่องกิจกรรมและเรื่องเรียน เจ้าตัวก็เหมาเอาหมดทั้งสองอย่าง มีน้อยคนนักในโรงเรียนที่จะไม่รู้จักพิณ

   พีรการต์ชอบเข้าร่วมกิจกรรม แต่เพราะช่วงนี้โรงเรียนไม่ค่อยมีงานอะไร คนที่ถูกกล่าวถึงจึงชอบไปสิงอยู่ที่ห้องสมุดในตอนเย็นบ่อยๆ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าพิณต้องรอกลับพร้อมพี่ชายที่ต้องอยู่ซ้อมดนตรีกับเพื่อนทุกเย็น

   ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่เตรู้มาจากการตามสืบเรื่องของพิณมาสามวันติด

   ว่าก็ว่าเถอะ...กูนี่ทำตัวเหมือนคนโรคจิตจริงๆนั่นแหละ 

   เตรำพันในใจ

   เขาไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงต้องไปตามสืบเรื่องของพิณด้วย เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาอยากทำและหยุดไม่ได้ รู้ตัวอีกที...เขาก็มายืนอยู่ในห้องสมุดนี่เพื่อสอดส่ายสายตาหาคนที่ถูกตามเสียแล้ว

   เมื่อเห็นว่าคนที่เขาตามหาไม่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะที่ถูกจัดไว้ให้พวกเด็กเนิร์ดนักอ่าน เตชภณก็ตัดสินใจเดินหาตามชั้นหนังสือ เขาเดินซอกแซกไปมาตามหลืบต่างๆ ก่อนที่เขาจะได้พบกับคนที่เขามองหามาตลอด...

   เตชภณมองเห็นพีรการต์ที่อยู่อีกฝั่งนึงของชั้นจากช่องว่างระหว่างหนังสือ อยากจะไปขอบคุณคนที่ยืมหนังสือเสียจริงที่ยืมได้ถูกเล่มถูกชั้นขนาดนี้ เตคิดอยู่กับตัวเองระหว่างที่มองสังเกตพิณผ่านช่องดังกล่าวในลักษณะหันหน้าเข้าหากัน

   ร่างบางที่ยังคงไม่รู้ตัวว่าถูกจ้องมองก้าวขาไปข้างหน้าเพื่อเดินไล่อ่านชื่อหนังสือ เพื่อหาหนังสือเล่มใหม่ๆ แต่ไม่ว่าพิณจะพยายามหาเท่าไหร่ หนังสือทั้งหมดบนชั้นนี้ก็มีเพียงแต่เล่มที่เขาอ่านแล้วทั้งนั้น

   เตเดินตามพิณมาจนสุดชั้นวาง คนตัวเล็กพึมพำบางอย่างกับตัวเองและยังไม่มีท่าทีว่าจะสังเกตเห็นเขา หากอยากจะรู้จักพิณให้มากกว่านี้ละก็...เตชภณคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะเดินอ้อมฝั่งไปทักทายร่างบางเสียให้มันสิ้นเรื่องไป

   คิดได้เช่นนั้นเขาจึงขยับขาก้าวเลี้ยวไปที่ขวามือของตัวเองเพื่อไปหาพีรการต์

   พร้อมกันที่ร่างบางขยับก้าวเลี้ยวซ้ายเพื่อที่จะไปดูอีกฝั่งนึงห้องชั้นหนังสือ

   ทั้งสองคนจึงได้เผชิญหน้ากันตรงกลางบริเวณปลายสุดของชั้นวางพอดี...

   ...ด้วยระยะที่ห่างกันไม่ถึงคืบ

   !!!

   เหมือนว่าใครมากดปุ่มหยุดเวลา ทั้งสองคนนิ่งไปทันทีที่รู้ว่าคนตรงหน้าตัวเองเป็นใคร พิณนิ่งไปเพราะไม่คิดว่าจะมาเจอเตที่นี่ ส่วนเตก็นิ่งไปเพราะไม่คิดว่าจะมาเจอพิณในระยะที่ประชิดขนาดนี้

   พิณกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนที่จะเป็นฝ่ายถอยหลังไป “เอ่อ โทษทะ...”

   “ชื่ออะไร” แต่ก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ทันคิดว่าพิณจะเอ่ยอะไรออกมา เขาพูดสวนขึ้นมาก่อนที่พิณจะได้พูดจบ ร่างบางกลืนน้ำลายพร้อมคำขอโทษของตัวเองด้วยความงุนงง เพราะว่าประโยคของตรงหน้าพอจะถูกตีความไปได้หลายแบบ และน้ำเสียงที่เตใช้พูดกับพิณตอนนี้ก็ดูไม่เป็นมิตรนัก

   เตชภณนึกอยากจะตบปากตัวเองสักร้อยหนที่ทำไปอย่างนั้น เขาพูดออกไปด้วยความตื่นเต้นและไม่ยั้งคิด ไม่ทันแม้แต่จะรับคำขอโทษจากพิณด้วยซ้ำ คำพูดที่เขาใช้ก็ดูสั้นและห้วนไปจนน่าใจหาย เขาได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้พิณกลัวแล้วเดินหนีเขาไปเสียก่อน

   เตไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะถามออกไปอย่างนั้นทำไม ในเมื่อเขาก็รู้ชื่อของพิณดีอยู่แล้ว

   รู้มากกว่าชื่อด้วยซ้ำ

   “ชื่อพิณ” ร่างเล็กตอบกระอ้อมกระแอ้ม เจ้าตัวไม่ได้เดินหนีไปอย่างที่เตกังวลใจ “ทำไมหรอ”

   “กูชื่อเต” เตชภณหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเขา “กูเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่”

   “อา...” พีรการต์ยังคงขมวดคิ้วงุนงง

   “ช่วย...ช่วยรู้จักกับกูหน่อยได้มั้ย”




   แล้วทั้งสองก็ได้รู้จักกันจริงๆนับแต่วันนั้น วันที่เตเดินไปขอทำความรู้จักกับพิณแปลกๆ จะให้บอกตามตรงก็คือตอนนั้นเตชภณเองตื่นเต้น...ตื่นเต้นเสียจนเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก นึกย้อนไปทีไรเตก็ขำตัวเองทุกที

   เย็นวันนั้นทั้งสองคนเก้อเขินกันนิดหน่อย แต่พิณก็ออกความคิดมาว่าเขาจะเป็นคนพาเตชมรอบๆพื้นที่เอง ร่างบางเป็นคนจัดการไปยืมมอเตอร์ไซค์ของพี่ชายก่อนจะขี่พาคนมาใหม่ไปสูดอากาศบนภูเขา

   ทั้งสองใช้เวลากันอยู่บนนั้นไม่นานมาก แต่ก็นานพอที่จะทำความรู้จักกัน

   และเตชภณเองก็ค้นพบว่าการพูดคุยกับพีรการต์นั้น ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตเขาก็คงจะรู้สึกว่ามันไม่พอ

   ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงชอบแวะมาที่ห้องสมุดทุกเย็น ทำอย่างนี้มาได้สองสามวันแล้ว

   “ไม่เห็นจะสมเหตุสมผลเลย” เตเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้องสมุด เขามีหนังสือวางอยู่ตรงหน้า แต่เตก็ไม่ได้สนใจที่จะอ่านมันเท่าไหร่นัก

   “อะไรไม่สมเหตุสมผลหรอ” ร่างเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาวางหนังสือในมือเจ้าตัวลงก่อนถามขึ้น “พูดถึงพล็อตเรื่องในนิยายหรือเปล่า”

   “เปล่า” เตส่ายหน้า “ทำไมพิณถึงชอบมานั่งจ้องตัวหนังสือเยอะๆ ในห้องเงียบๆ แบบนี้ละ”

   พิณหัวเราะในลำคอแผ่วเบา “ไม่ได้เรียกว่านั่งจ้องเสียหน่อย เรียกว่านั่งอ่าน”

   “ก็นั่นแหละ ที่ไม่สมเหตุสมผล” เตชภณว่าพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด ท่าทางของเขาทำให้รอยยิ้มจากพิณได้กว้างมากขึ้นกว่าเดิม

   “แล้วทำไมเตถึงชอบมานั่งเฝ้าเราอ่านหนังสือละ ทำไมไม่ไปเล่นบาสกับเพื่อน”

   ร่างสูงที่นั่งฝั่งตรงข้ามนิ่งไป จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่มีคำตอบเรื่องนั้นให้พิณเสียด้วย เตเคยนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงชอบมานั่งเฝ้าพิณอ่านหนังสือเป็นชั่วโมงๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยของคนอย่างเขาที่ไม่ชอบนั่งอยู่เฉย

   เตรู้เพียงแค่ว่า...เขาชอบมองหน้าพิณ จะให้มองกี่รอบยังถูกใบหน้าของร่างบางดึงความสนใจเอาไว้ได้ทุกครั้ง พิณเป็นคนขาวอาจจะเป็นเพราะว่าพิณมีเลือดคนจีนไหลเวียนอยู่ในร่างกายครึ่งหนึ่งเขาจึงเจ้าตัวจึงขาวจนเห็นเส้นเลือดได้ถึงเพียงนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หน้าพิณดูจืดเลยแม้แต่น้อย

   หน้าตาของพิณไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่เตกลับชอบมอง

   มองทีไรใจมันก็อุ่นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   และเตเองก็ไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะหาที่มาของอาการใจอุ่นนั่นด้วย

   “ไม่มีคำตอบหรอ” พิณถามขึ้นมาหลังจากเห็นว่าร่างสูงตรงหน้าเงียบไปนานเกิน และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เตหลุดออกจากภวังค์ของเขา

   “หะ...”  เตกลืนน้ำลายก่อนจะกะพริบตาถี่ๆ “อ่อ...ไม่รู้สิ ก็คงชอบเฉยๆมั้ง” คำตอบของเตทำให้ใจของใครบางคนเต้นผิดจังหวะไป หากเจ้าตัวไม่รีบแก้คำพูดเสียก่อน “หมายถึงว่า นั่งอยู่ในนี้มันก็เย็นสบายดี”

   “หรอ...” ร่างบางครางรับ กล่าวโทษตัวเองที่เผลอใจเต้นแรงกลับคำพูดที่ไม่คิดอะไรของเพื่อนไปเสียได้ “นั่นแหละ พิณชอบอ่านหนังสือ เหมือนที่เตชอบนั่งตากแอร์เย็นๆ”

   คนพูดเว้นจังหวะไป

   “บางทีคนเราชอบอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องสมเหตุสมผลหรอกนะ” พิณยิ้มให้เตหลังจากที่เจ้าตัวพูดจบ คนตัวเล็กเลิกให้ความสนใจกับบทสนทนา แล้วหันไปอ่านหนังสือนิยายของตัวเองต่อ

   เตเผลออมยิ้มในขณะที่เขานั่งมองพีรการต์อ่านหนังสือในมือนั่น ทั้งๆที่มันไม่ได้มีอะไรพิเศษแต่อวัยวะภายในอกข้างซ้ายของเตก็ส่งเสียงประหลาดๆออกมา

   ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...

   อา...ไอ้หัวใจที่เต้นแรงแบบนี้ มันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย



.............................................................



คนเขียนขอเม้าท์: มีคนเตือนมาว่าบรรยายเยอะไปและเดินเรื่องช้าค่ะ อันนี้ก็พยายามรวบให้มันกระชับขึ้นแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะกระชับไปหรือเปล่า(ฮา) ยังไงก็ฝากติชมเรื่องนี้ด้วยแล้วกันนะคะ คนเขียนทิ้งงานด้านนี้ไปนานมากจริงๆ
ไม่คอมเม้นท์ในนี้ก็ฝากติด #เตคนเล่นพิณ ทวิตเตอร์ก็ได้ค่ะ
แต่ยังไงก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจและคำวิจารณ์นะคะ -/\-

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ masochism2018

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ wasu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
อืมมม เจ้ากรรมนายเวรของแท้

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1691
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
รอติดตามตอนต่อไปค่าา

ออฟไลน์ boobooboo

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
รอติดตามตอนต่อไปค่าาา  :mew1:

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8

ออฟไลน์ Red_Enchanted

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
CHAPTER FIVE

- And even after all the hell you put me through I still want to end up in your arms. -


   
   ผมตื่นมาตอนเช้าด้วยอาการปวดหน่วงๆที่ศีรษะ หยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าตัวเองไม่ได้ตื่นตามที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ผมตื่นช้ากว่าที่ตั้งใจไปประมาณสามชั่วโมง ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าผมไปไม่ทันโรงเรียนเข้าแล้ว ข้อความในมือถือผมถูกส่งมาจากหลายคน ทั้งเพื่อน เฮียภีมและน้องที่อยู่ในงานละคร แต่ผมยังไม่มีอารมณ์ตอบ

   วันนี้ผมเพียงอยากนอนนิ่งๆปล่อยให้เวลามันผ่านไปเท่านั้น

   ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่า อาการเหล่านั้น กำลังกลับมาเล่นงานผมอีกรอบแล้ว

   ผมใช้เวลาทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่ายจมดิ่งลงไปกับความคิดของตัวเอง ในช่วงเย็นผมไลน์ไปโกหกเฮียภีมนิดหน่อยว่าผมสบายดีและวันนี้แค่โดดเรียน เผื่อว่าไอ้เกล้าหรือไอ้มะนาวจะโทรไปฟ้องเฮียว่าวันนี้ผมหายไป เฮียภีมจะได้ไม่ต้องผิดสังเกตอะไร

   และผมใช้เวลาทั้งวันไปกับการจ้องมองดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งบนท้องฟ้า

   คิดอยู่ในใจคนเดียวว่าชีวิตของผมมันก็แค่ฝุ่นธุรีเล็กๆละอองหนึ่งถ้าเทียบกับดวงดาวฤกษ์สีอมส้มนั่น

   ถ้าผมหายไป พระอาทิตย์ก็คงยังจะทำงานของมันต่อ โลกก็คงยังจะหมุนไป

   ...ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไรด้วยซ้ำ...

   ชีวิตที่แปดเปื้อนจนต้องปกปิด ชีวิตที่ถูกเหยียบย้ำจากคนที่เคยไว้ใจ ชีวิตที่ไม่มีค่าพอให้ใครมาปกป้อง

   ชีวิตที่ไร้ค่า

   คิดมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ได้แต่นอนนิ่งให้น้ำตามันไหลเปื้อนหมอน เจ็บสะท้อนในใจทุกครั้งที่หายใจเข้าออกเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องราวที่ผมถูกทิ้ง ถูกหักหลัง ถูกทำร้าย มันน่าสังเวชใจเกินกว่าจะเกิดขึ้นมาในชีวิตจริง

   ผมบอกเฮียภีมว่าพิณคนเก่าตายไปแล้ว บอกเตว่าตอนนี้มีแต่คนที่ชื่อว่าภัทร

   แต่นั่นมันไม่จริงเลย

   ทั้งความรู้สึกและความทรงจำของพิณยังไหลเวียนอยู่ในตัวผม

   ความทรงจำดีๆที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นอีก และความทรงจำแย่ๆที่ย้อนเข้ามาทำร้าย

   สิ่งเหล่านั้นมันกัดกินใจของผมจนไม่เหลือชิ้นดี

   อ๊อดดดดดดดดดดดด!

   เสียงออดที่ดังขึ้นหน้าประตูไม่ได้ทำให้ผมอยากจะลุกขึ้นไปเปิดประตูเท่าไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนหน้าประตูนั้นจะเป็นใคร หากแต่ผมทราบดีว่าคนๆนั้นคงไม่เป็นเฮียภีมเพราะแกต้องอยู่ติวมิดเทอม

   คนหน้าประตูคนนั้น...

   อ๊อดดดดดดดดดดดดดด!

   อาจเป็นคนที่โรงเรียนที่มาหาเพื่อไถ่ถามเรื่องงานละครที่ผมทิ้งความรับผิดชอบมาในวันนี้ อาจเป็นเพื่อนผมสักคนที่จำใจมาดูว่าผมยังอยู่ดีหรือไม่

   ในใจของผมภาวนาให้ใครคนนั้นกลับเมื่อเห็นว่าผมไม่เดินออกไป ภาวนาให้ใครคนนั้นเลิกล้มความคิดที่จะเจอผมเมื่อประตูห้องไม่ถูกเปิดออก

   ภาวนาให้ใครคนนั้นไม่ใช่เต

   เสียงออดหน้าประตูนั่นเงียบหายไป ทำให้ผมโล่งใจขึ้น ผมเอาหน้าซุกกับผ้าห่มหลับตาลงอีกรอบแม้ว่าจะไม่ง่วง แต่อาการอ่อนเพลียไม่รู้ว่ามาจากไหนกลับเข้าจู่โจม ลมหายใจของผมแผ่วเบาเสียจนน่าใจหาย และบางครั้งผมก็อยากให้มันหยุดไป

   หายไปตลอดกาล

   ก๊อกๆๆ!

   เสียงเคาะเรียกที่ประตูกระจกตรงระเบียงฉุดผมให้เด้งขึ้นจากเตียงด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งตกใจและคาดไม่ถึง ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าใครอยู่ข้างนอกนั้น คงจะมีเพียงไม่กี่คนบนโลกที่กล้าปีนระเบียงมาเคาะห้องผมในเวลานี้ ผมนึกโมโหสถาปนิกของคอนโด ที่ออกแบบมาให้ตึกนี้มันง่ายต่อการปีนเหลือเกิน

   ก๊อกๆๆ!

   ให้ตายเถอะ...ผมอยากรู้จริงๆว่าเตคิดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

   ก๊อกๆๆ!

   พรึ่บ!

   “นี่!” ผมเปิดประตูออกไปแหวใส่เขา ทั้งที่ในชีวิตผมไม่ค่อยจะขึ้นเสียงกับใคร ผมไม่รู้ว่าอารมณ์ที่เหวี่ยงขึ้นลงของผมนั้นเป็นเพราะอะไร ถึงแม้ว่ามันจะคล้ายๆกับอาการที่ผมเป็นครั้งที่แล้ว แต่มันก็ไม่ทั้งหมด “ใจคอจะเคาะไปถึงเมื่อไหร่กัน”

   “เมื่อมีคนมาเปิด” ร่างสูงเอ่ยขึ้นนิ่งๆเหมือนกำลังบอกสภาพดินฟ้าอากาศ หน้าของเตที่ขึ้นสีเล็กน้อยทำเอาผมผิดสังเกต “นี่วันทั้งวันไม่คิดจะออกจากห้องเลยหรือไง”

   “แล้วรู้ได้ไงว่ากูไม่ได้ออกจากห้อง”

   “ก็วันนี้รออยู่” เตว่า เขาพ่นลมหายใจออกมาจนผมสัมผัสได้ว่ามันร้อนๆชอบกล “ว่าจะดักรอเจอ ก็บอกแล้วไงว่าอยากรู้จักกับภัทร”

   “แต่ภัทรคนนี้ไม่ได้อยากรู้จักกับมึง” ผมถอนหายใจ ก่อนจะเอามือไปจับบานประตูไว้เตรียมจะปิด “มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น”

   พรึ่บ!

   “ก็ห้องอยู่ข้างกันจะไม่รู้จักกันได้ยังไง” เตเอามือของเขามาวางประตูที่จะปิดไว้ เขาดันให้มันเปิดกว้างขึ้นอีกหน่อย “ไม่แน่นะ ถ้าภัทร ได้รู้จักเตคนนี้มากอีกหน่อย ภัทรอาจจะชอบหลงชอบเตขึ้นมาเลยก็ได้” ผมพยายามจะปัดมือเขาออกไปถึงได้รู้ว่าตัวเขาร้อนมาก ร้อนเหมือนคนเป็นไข้

   “นี่ไม่สบายหรอ” ผมขมวดคิ้ว และเผลอเอามือไปแตะลำคอเขาเพื่อวัดอุณหภูมิอย่างลืมตัว

   …นี่ตัวร้อนขนาดนี้ ยังยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่ได้ยังไง

   “เพิ่งจะหยอดไป ฟังหน่อยไม่ได้หรอ”

   “เต นี่ไข้สูงเลยนะ” ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้ามาในห้องเพื่อไปหยิบปรอทวัดไข้ที่อยู่ไหนสักแห่งในห้องน้ำ ค้นได้สักพักก็เจอ ก่อนจะออกไปหาเจ้าคนป่วยที่บัดนี้ถือวิสาสะเข้ามานั่งอยู่บนโซฟาของผมเรียบร้อยแล้ว “คาบไว้ใต้ลิ้น”

   ผมสั่งเตเสียงเรียบ เขารับปรอทวัดไข้เอาไว้ในปาก ไม่ถึงนาทีผมก็ดึงมันออกมา

   ...สามสิบเก้าจุดเจ็ด...

   เขาอาจจะไข้ขึ้นเพราะพิษของบาดแผลบนศีรษะ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นไอ้ไข้บ้านี่มันก็สูงจนน่ากลัว ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะชักไปแล้ว

   “เต กลับห้องไปนอนพัก” น้ำเสียงของผมติดเครียดเล็กน้อย “กลับไป”

   “อะไร นี่ยังไม่ทันรู้จักกัน มาเป็นห่วงเป็นใยซะแล้ว” คนตรงหน้ายังทำหน้ายิ้มแป้นแล่นเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ทั้งที่จริงๆเขาอาจจะไม่ไหวแล้ว เตเป็นคนฝืนเก่ง เก็บอารมณ์เก่งมากกว่าผมหลายเท่าตัว ดังนั้นบางครั้งเขาจึงเป็นคนที่มองยากมากๆ ยิ่งกับผมที่อ่านคนอื่นไม่เก่งด้วยแล้ว จึงทำให้ผมเข้าใจเตได้ไม่ง่ายเลย

   “นี่มันไม่ใช่เวลามาเล่น กลับห้องไปกินยา เดี๋ยวช็อคขึ้นมาจะทำยังไง”

   “บอกมาก่อนว่าเป็นห่วง แล้วจะยอมกลับ”

   “เต...” ผมเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เขาเอาความเป็นความตายของตัวเองมาล้อเล่นกับผมหลายรอบแล้ว และผมก็ไม่สนุกกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว

   “พูดหน่อย แค่โกหกก็ได้” น้ำเสียงของเขาแฝงอารมณ์บางอย่างทำให้ผมชะงักไป แต่เตก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากไปกว่านั้น เขายังคงส่งยิ้มมาให้ผมดังเดิม “ขอเถอะ”

   ถึงเตจะเป็นคนที่เคยทำร้ายผม...

   …แต่ผมก็แพ้เขาทุกที

   “อืม เป็นห่วง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ พยายามกักเก็บอารมณ์และความรู้สึกอะไรก็แล้วแต่ที่มันอาจส่งผ่านประโยคนั้นออกไป ที่ยอมพูดเพราะผมไม่อยากให้เขาเป็นอะไร แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะให้เขาได้ทุกอย่างที่เขาต้องการไป

   อย่างน้อย เตก็ไม่ควรได้รู้

   ว่าจริงๆแล้วเขาทำให้ผมรู้สึกอะไรได้มากแค่ไหน

   แต่ถึงกระนั้นเตก็ยังยิ้มรับคำพูดของผม แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่ผมอ่านไม่ออกว่าข้างในเขารู้สึกอย่างที่แสดงออกหรือไม่

   ผมเดินถอยจากเตไปเปิดประตูห้องแล้วรอเขาอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ เตนั่งมองผมอยู่ช่วงขณะหนึ่งแต่ก็ยอมลุกออกมาจากโซฟาแต่โดยดี เขาหันหน้ามาหาผมตอนเดินผ่านแต่ก็ไม่พูดอะไรจนกระทั่งเขาเดินไปถึงประตูห้องของตัวเอง

   “ภัทร” เขาเรียก ผมไม่ได้ขานตอบ แต่เตรู้ว่าผมกำลังฟังอยู่ “ห้องเตไม่มียานะ ไม่ได้ซื้อติดไว้” ร่างสูงยกยิ้มมุมปากแล้วหันมามองผมตรงๆ พูดทิ้งท้ายประโยคไว้ก่อนจะเดินเข้าห้องไป “ประตูห้องเตไม่ล็อคนะ”

   อะไรกัน...ไม่มียางั้นหรอ แล้วจะไปหายยังไง ถ้าทิ้งไว้อาการจะทรุดหรือเปล่า

   ผมยืนนิ่ง นิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นนาที พยายามจะคิดว่าผมควรจะทำอะไร ผมควรจะเอายาไปให้เตมั้ย หรือผมควรจะปล่อยเขานอนไปอย่างนั้นในห้องตัวเอง

   เสียงในหัวผมบอกผมว่ามันควรจะเป็นอย่างหลัง ผมทำให้เตมาเยอะเกินพอแล้ว ทั้งปฐมพยาบาลให้เขา นั่งรถไปส่งที่โรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ และวัดไข้ให้เขา ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อะไรที่ผมควรทำให้เตเลยแม้แต่น้อย เขาไม่สมควรจะได้รับความเห็นใจใดๆจากผมหลังจากสิ่งที่เขาทำไว้เมื่อสามปีก่อน

   ผมยืนเม้มปาก จ้องบานประตูห้องของเตอยู่นิ่งทั้งที่ความคิดของผมมันตีกันไปมาอยู่ในหัว

   ช่างแม่ง

   และแล้วผมตัดสินใจพาตัวเองเดินเข้าห้อง...

   ...ก่อนจะเดินไปที่ครัวเพื่อหยิบหม้อขึ้นมาเพื่อตั้งน้ำร้อนเตรียมต้มข้าวต้ม

   ผมไม่เคยใจร้ายกับเตได้สักที ไม่เคย




   อ๊อดดดดดดด!

   เสียงสัญญาณออดที่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งแม้ว่าผมจะเป็นผมกดเอง ผมก้มมองข้าวต้มกุ้งและยาในมืออีกครั้งอย่างไม่เข้าใจว่าผมพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ผมเจอกับเตอีกครั้งและมันก็เป็นเพียงแค่เมื่อวานที่เราเริ่มได้คุยกัน(ด้วยความจำเป็น)  ผมไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ

   รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาทำกับผมไว้มันร้ายกาจ

   แต่ผมกลับห้ามตัวเองไม่ได้

   ไม่ได้เลยสักนิดเดียว

   แอด...!

   ประตูที่ค่อยๆเปิดออกมาอย่างเชืองช้าทำให้ผมเกร็งตัว ผมเสหน้าหันไปมองทางอื่นเพราะทำตัวไม่ถูก

   “พิ...ภัทร” เตเหมือนจะหลุดเรียกชื่อเก่าผมออกมาในเสี้ยววินาทีแรก แต่เขาก็เปลี่ยนมันได้อย่างทันท่วงที จริงอยู่ว่าผมบอกให้เขาเรียกผมด้วยชื่อใหม่ แต่ตอนนั้นผมพูดไปเพราะต้องการจะประชดให้เตเห็นว่าทุกความรู้สึกที่ผมมีต่อเขามันได้หมดลงไปแล้ว ไม่ได้หมายความตรงตามคำพูด ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำตามผมบอกไปเพื่ออะไรในเมื่อเขาก็น่าจะรู้จุดประสงค์ที่ผมพูดออกไปแบบนั้น “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว รออยู่ตั้งนาน”

   เตพูดออกมาแบบนั้น

   ...เขาอ่านผมขาดเสมอ

   เตชอบเล่นเกม และนี่มันก็คืออีกเกมของเขา

   และมันเป็นเกมที่ผมไม่มีทางชนะ ผมรู้ดี

   “หลีกไป” ผมเลือกที่ไม่สนใจคำพูดเต แล้วเดินผ่านเข้าห้องของเขามาทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต กลิ่นของห้องเป็นกลิ่นสะอาดเหมือนกับตัวเต ภายในก็เหมือนๆกันกับห้องผมเพียงแต่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะเพราะเจ้าตัวเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ “เอาข้าวกับยามาให้” ผมยืนหันให้เขาพลางพูดนิ่ง

   “…” เขาเงียบ ผมคิดเอาไว้ว่าจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจให้จบ แล้วผมจะกลับ

   “เอานี่ไปกินแล้วไปนอนพักซะ”

   “…” เขายังคงไม่โต้ตอบอะไร

   “ส่วนจากนะ...”

   พรึ่บ!

   เสียงบางอย่างที่ดังขึ้นหน้าประตูทำให้ผมต้องหันไปมอง ก่อนจะพบร่างสูงที่นอนคว่ำอย่างหมดแรงอยู่ที่พื้น “เต!” ผมเรียกชื่อเขาอย่างตกใจ วางข้าวของในมือลงแล้ววิ่งเข้าไปหาเขาทันที “เต!” ผมช้อนตัวเขาขึ้นมาตบหน้าเพื่อเรียกสติ

   ทำอย่างนั้นอยู่สองสามครั้งจนเปลือกตาของคนตรงหน้ามีการเคลื่อนไหว

   เตลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง แต่พอเห็นผมแล้วเขาก็พูดขึ้น

   “ดีจังนะ” คนตรงหน้ายิ้ม

   “…” ผมเงียบ เพราะไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร

   “พิณกอดเตแล้ว” เขาเอ่ยอีกรอบ พลันน้ำใสๆก็ไหลลงจากหางตาทันทีที่เขาหลับตาลง

   ผมอึ้ง...อึ้งไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ผสมปนเปกันอยู่ข้างใน จุกที่ใจเล็กๆเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากเตด้วยน้ำเสียงสั่นเครือนั่น แต่ผมมีเวลาไม่มากในตอนนี้ ไข้ที่สูงขึ้นแบบนี้ผมควรจะเรียกรถพยาบาล แต่มันก็อาจไม่ทัน รถอาจมาช้าไป ผมยกมือขึ้นมาวัดไข้เขาอย่างกังวล

   “เต เตอย่าเพิ่งหลับนะ ตื่นก่อน ลืมตามองหน้าพิณก่อน” ผมพูดพลางประคองตัวเขาให้ลุกขึ้นเพื่อที่จะพาเดินไปนอนที่เตียง ลำบากนิดหน่อยเพราะเตสูงกว่าผมเล็กน้อย แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง

   พรึ่บ!

   ผมทิ้งตัวเขาลงบนเตียง

   “ไม่หลับหรอก” เขาลืมตาขึ้นมาปรอยๆ “กว่าพิณจะยอมอยู่กับเตแบบนี้อีกที ก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่” เตพูด และนั่นก็อาจจะเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้เขาเพ้อ “ไม่รู้ว่ามันจะมีวันนั้นมั้ยเลยด้วยซ้ำ”

   ผมสั่นไหวอีกครั้งกับคำพูดของเต แต่มันไม่มีเวลาอะไรให้ผมมานั่งพร่ำเพ้อกับเขาตอนนี้

   ผมเดินไปหยิบกะละมังใบเล็กและผ้าขนหนูที่ใช้เวลาหาไม่นานนัก ก่อนจะกลับมาพร้อมน้ำอุ่นเตรียมเช็ดตัวให้เต ผมถอดเสื้อเขาออกจากตัวอย่างเร่งร้อนทั้งๆที่มือสั่นไปหมดเพราะความกลัว บิดผ้าหมาดๆ จากนั้นก็ไล่เช็ดไปตามแอ่งชีพจรของเขา ทำอยู่อย่างนั้นหลายรอบ ผมเลิกกางเกงขาสั้นของเขาใส่มันสูงขึ้นไปอีกนิดเพื่อที่จะได้เช็ดร่างกายช่วงล่างของเขาใส่มันสะดวกขึ้น

   ให้ตายเถอะ...เขาตัวร้อนอย่างกับไฟแน่ะ

   เตไม่ได้นอนหลับตา เขานอนจ้องมองผมอยู่ทุกการกระทำ

   ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เพราะผมไม่ได้อยากให้เขาหมดสติ

   “เตไม่อยากเรียกพิณว่าภัทรเลย” จู่ๆร่างสูงก็พูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมฟังผ่านคำพูดนั้น ไม่ได้โต้ตอบและไม่ได้หยุดมือจากสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ “แต่เตก็ยอมเรียกแบบนั้น เพราะเตไม่อยากได้ยินพิณพูดว่าตัวเองตาย”

   เตกำลังเพ้อ เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าเขาพูดอะไรอยู่

   แต่กระนั้น คำพูดของเขาก็มีอิทธิพลมากพอทำให้ผมชะงักมือไปเสี้ยววินาทีนึง ผมกัดปากตัวเองเพื่อเรียกสติ พยายามเช็ดตัวบรรเทาไข้ของเขาต่อไป

   “เตไม่อยากให้ใครมาพูดไม่ดีเกี่ยวกับพิณ แม้แต่ตัวพิณเอง” เตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเล่าเรื่อง หากแต่ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เข้มข้นอยู่ในประโยคเหล่านั้น ผมเริ่มอึดอัด อึดอัดเสียจนเกินคำบรรยาย “พีรการต์ของเต”

   “ชู่...” ผมเอ็ดให้เขาเงียบ เพราะทนฟังไม่ไหว สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมันตอกย้ำความทรงจำที่อยู่ในอดีตของผมเกินไปแม้ว่าเขาจะไม่รู้ตัว ผมกำลังจะร้องไห้ แต่ผมต้องเข้มแข็งเพื่อจะดูแลเขา เตจะต้องไม่เป็นอะไรเด็ดขาด เขาจะต้องหาย

   เตจะต้องแข็งแรงพอให้ผมผลักไสเขาไปอีกครั้ง

   “พิณ” เขาเรียกผมตอนผมกำลังพลัดเสื้อผ้าใหม่ให้เขา อันที่จริงผมก็ไม่อยากทำนักหรอก เพราะมันออกจะน่ากระดากอายอยู่เหมือนกัน แต่ผมมัวแต่คิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เตนอนพร้อมกับเสื้อผ้าชื้นๆอย่างนั้นไป เขาคงจับไข้มากกว่าเดิม “เตไม่ได้เพ้อนะ พูดอะไรก็รู้ตัว”

   เขาบอก...

   …แต่ผมไม่ฟัง

   คำพูดที่ออกมาแบบนั้น ให้เขาเพ้อเสียยังจะดีกว่า

   ผมเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปหยิบข้าวต้มและยามาให้เขา นั่งลงตรงข้างเตียงแล้วแล้วจัดท่าให้เตลุกขึ้นมานั่งแบบกึ่งนอนพิงหมอน หยิบช้อนขึ้นมาตักอาหาร เป่า และยื่นไปตรงหน้่าเขา เตมองผมนิ่งและยังไม่เคลื่อนไหว ผมพอรู้มาอยู่บ้างว่าคนที่เป็นไข้บางคนจะรู้สึกไม่สบายตัวจนไม่อยากกินอะไร

   “กินข้าวหน่อยเถอะ จะได้กินยา”  ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ขอร้อง เตมองหน้าผมแล้วยิ้มจางๆออกมา ก่อนที่เขาจะยอมกินข้าวที่ผมเป็นคนป้อน สายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าผมไม่ได้เคลื่อนไปไหน และนั่นมันก็ทำให้อวัยวะภายในอกซ้ายของผมเต้นแรงทุกครั้งที่ผมสบตากับเต แต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เตก็เริ่มกินช้าลง ช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดกิน “อิ่มแล้วหรอ”

   “ถ้าเตกินหมดแล้วพิณจะกลับห้องเลยหรือเปล่า” เขาถาม

   และเขาก็คงจะคาดหวังให้ผมตอบปฎิเสธ

   เพราะเป็นแบบนั้น ผมจึงไม่ตอบ

   “กินยานะ แต่ถ้าอีกสองสามชั่วโมงอาการยังไม่ดีขึ้นก็ควรจะไปหาหมอ” ผมพูดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเต ลมหายใจที่ยังไม่สม่ำเสมอของเขาบ่งบอกว่าพิษไข้ยังคงอยู่ ผมหันไปวางชามข้าวในมือลง ก่อนจะหยิบยากับแก้วน้ำมายื่นให้เขา

   แต่เตกลับจับข้อมือผมเอาไว้...ร่างกายของเขาร้อนผ่าว

   เขาไม่ได้บีบข้อมือผม ไม่ได้จับแรงเสียด้วยซ้ำ ถ้าผมสะบัดออกทีเดียวก็คงหลุด

   แต่ผมทำไม่ได้

   “ถ้าเตกินยาแล้ว พิณอย่าเพิ่งกลับห้องได้มั้ย” เขาลูบวนบนหลังมือของผมอย่างนุ่มนวล ผมเม้มปากเข้าหากันแน่น ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรออกไป สายตาที่เว้าวอนของเขาทำเอาผมปวดลึกในใจอย่างบอกไม่ถูก “อย่าไปได้มั้ย”

   คำพูดของเขาทำให้ผมหยุดหายใจ พลันสมองนึกคิดถึงเหตุการณ์ในวันวานที่ผมไม่ควรจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาจากความทรงจำอีก

   หากเพียงเขาพูดแบบนี้...หากเพียงเตพูดคำนี้ในวันนั้น

   หากเพียงเขารั้งผมไว้สักนิด

   เรื่องทั้งหมดมันคงจะง่ายกว่านี้

   แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้น...

   “อืม” ผมตอบตกลงอย่างแผ่วเบา ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำ เตรับยาและแก้วน้ำไปจากมือของผมแล้วกลืนเม็ดยาลงไปอย่างง่ายดาย ผมรับของคืนมาจากเขาก่อนจะจัดท่าให้เขานอนลง ผมลุกขึ้นจากข้างเตียง เดินเอาชามแล้วแก้วไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ จากนั้นก็เอาผ้าไปชุบน้ำ เดินกลับไปที่เตียงเพื่อนำไปวางลงบนหน้าผากของเตเพื่อหวังบรรเทาอุณหภูมิในร่างกายของเขา

   เขาสบตาสายเมื่อผมก้มลงใกล้ ยื้อแขนผมลงไปจนลมหายใจของเราสัมผัสกัน

   ผมไม่อยากมองความเจ็บปวดที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตานั่น แต่ผมกลับละสายตาไปไหนไม่ได้

   “พิณ” เขาเรียก “อยู่กับเตก่อน”

   ผมอยากจะร้องไห้...

   ...ผมอยากจะร้องไห้ออกมาเพราะความรู้สึกอะไรก็ไม่รู้ที่มันปะทุอยู่ข้างใน ทันทีที่เขาสัมผัสตัวผมอย่างอ่อนโยน และพูดกับผมแบบนั้น น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนก็คลออยู่ในดวงตาทั้งสองข้างของผมทันที ผมกัดปากตัวเองเอาไว้ เมื่อรู้ว่ากำแพงที่มีอยู่มันกำลังจะทลายลงมาแล้ว

   แต่ผมกลับไม่ห้ามตัวเองเลย

   เตเขยิบตัว ก่อนจะยื้อให้ผมนอนลงข้างๆเขา ผมเลือกที่จะทิ้งเหตุผลทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลังแต่ปล่อยให้เตทำอย่างที่เขาอยากทำ

   ร่างสูงเข้ามากอดผมไว้ ใบหน้าของผมอยู่ซุกอยู่บนหน้าอกของเขา หัวใจของเตเต้นเร็ว

   ผมรู้ว่านี่มันเกินความจำเป็น ผมรู้ว่าตัวเองใช้ข้ออ้างที่เตเป็นไข้เพื่อทำตามความปราถนาลึกๆในใจตน แต่ผมปฏิเสธมันไม่ได้

   แล้วผมก็ร้องไห้ ร้องไห้ออกมาในอ้อมกอดของเต ร้องไห้เพราะโกรธเตกับสิ่งที่เขาเคยทำกับผมไว้ในอดีต ร้องไห้เพราะหงุดหงิดที่เขาไม่สบายจนลำบากให้ผมต้องมาดูแล ร้องไห้เพราะโมโหโชคชะตาที่เล่นตลกให้เราสองคนมาเจอกันอีกครั้ง

   และก็ร้องไห้...เพราะเจ็บใจตัวเองที่ไม่เคยปฏิเสธเตได้เลย

   ผมเกลียด เกลียดความอ่อนโยนที่เขามอบให้กับผม

   “ไม่เป็นไรแล้วนะพิณ ไม่เป็นไรแล้ว” เกลียดจูบที่ขมับนั่น

   และยิ่งที่เกลียดมากไปกว่านั้น คือการที่ผมต้องรับรู้ว่าจริงๆแล้วผมโหยหาความอ่อนโยนเหล่านั้นมากแค่ไหน

   “คนใจร้าย ฮึก...คนใจร้าย”



....................................................................................



คนเขียนขอเม้าท์: รู้สึกได้ว่าเจ้าเตมันไม่เคยโผล่หน้ามาหาน้องพิณด้วยสภาพร่างกายปกติเลยสักครั้ง ครั้งหน้าคงลอยน้ำมาให้น้องพิณเอาไปเผา(ฮา) พยายามจะกระชับบทบรรยายแล้วนะคะ กลัวคนอ่านง่วงหลับไปเสียก่อน
ทราบดีว่าอารมณ์ของน้องพิณเหวี่ยงขึ้นลงเยอะมาก ไม่ได้เพี้ยนนะคะ คนเขียนตั้งใจ
ฝากคอมเม้นท์ติชมด้วยนะคะ ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกกำลังใจค่ะ  :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-05-2017 20:24:25 โดย Red_Enchanted »

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
บางสิ่งบางอย่างที่เกิด เราคิดว่าคนนี้เป็นคนทำ
แต่อาจไม่ใช่เขาทำ แต่เพราะเราตีตราว่าเขาทำไปแล้ว
และไม่ยอมฟังความจริง ยังเชื่อกับสิ่งที่คิดอยู่อย่างนั้น
เหมือนพิณ เชื่อว่าเต ทำเรื่องไม่ดี แต่พิณ ไม่ยอมฟังสิ่งที่เต พูด
แล้วก็ไม่รู้เรื่องกัน เข้าใจผิดต่อไป  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เตต้องการอะไร?? มีอะไรมากกว่าที่พิณคิดใช่ไหม?? :ling3:

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
มันก็วนอยู่ในอ่างอะพิณ เพราะพิณก็เหมือนเดิม ไม่เคยใจแข็ง
บอกจะทำๆก็ไม่ ทบทวนเอานะว่าจะเอายังไว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด