CHAPTER FIVE
- And even after all the hell you put me through I still want to end up in your arms. -
ผมตื่นมาตอนเช้าด้วยอาการปวดหน่วงๆที่ศีรษะ หยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าตัวเองไม่ได้ตื่นตามที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ผมตื่นช้ากว่าที่ตั้งใจไปประมาณสามชั่วโมง ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าผมไปไม่ทันโรงเรียนเข้าแล้ว ข้อความในมือถือผมถูกส่งมาจากหลายคน ทั้งเพื่อน เฮียภีมและน้องที่อยู่ในงานละคร แต่ผมยังไม่มีอารมณ์ตอบ
วันนี้ผมเพียงอยากนอนนิ่งๆปล่อยให้เวลามันผ่านไปเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่า
อาการเหล่านั้น กำลังกลับมาเล่นงานผมอีกรอบแล้ว
ผมใช้เวลาทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่ายจมดิ่งลงไปกับความคิดของตัวเอง ในช่วงเย็นผมไลน์ไปโกหกเฮียภีมนิดหน่อยว่าผมสบายดีและวันนี้แค่โดดเรียน เผื่อว่าไอ้เกล้าหรือไอ้มะนาวจะโทรไปฟ้องเฮียว่าวันนี้ผมหายไป เฮียภีมจะได้ไม่ต้องผิดสังเกตอะไร
และผมใช้เวลาทั้งวันไปกับการจ้องมองดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งบนท้องฟ้า
คิดอยู่ในใจคนเดียวว่าชีวิตของผมมันก็แค่ฝุ่นธุรีเล็กๆละอองหนึ่งถ้าเทียบกับดวงดาวฤกษ์สีอมส้มนั่น
ถ้าผมหายไป พระอาทิตย์ก็คงยังจะทำงานของมันต่อ โลกก็คงยังจะหมุนไป
...ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมใช้ชีวิตอยู่เพื่ออะไรด้วยซ้ำ...
ชีวิตที่แปดเปื้อนจนต้องปกปิด ชีวิตที่ถูกเหยียบย้ำจากคนที่เคยไว้ใจ ชีวิตที่ไม่มีค่าพอให้ใครมาปกป้อง
ชีวิตที่ไร้ค่า คิดมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ได้แต่นอนนิ่งให้น้ำตามันไหลเปื้อนหมอน เจ็บสะท้อนในใจทุกครั้งที่หายใจเข้าออกเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต เรื่องราวที่ผมถูกทิ้ง ถูกหักหลัง ถูกทำร้าย มันน่าสังเวชใจเกินกว่าจะเกิดขึ้นมาในชีวิตจริง
ผมบอกเฮียภีมว่าพิณคนเก่าตายไปแล้ว บอกเตว่าตอนนี้มีแต่คนที่ชื่อว่าภัทร
แต่นั่นมันไม่จริงเลย
ทั้งความรู้สึกและความทรงจำของพิณยังไหลเวียนอยู่ในตัวผม
ความทรงจำดีๆที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นอีก และความทรงจำแย่ๆที่ย้อนเข้ามาทำร้าย
สิ่งเหล่านั้นมันกัดกินใจของผมจนไม่เหลือชิ้นดี
อ๊อดดดดดดดดดดดด!
เสียงออดที่ดังขึ้นหน้าประตูไม่ได้ทำให้ผมอยากจะลุกขึ้นไปเปิดประตูเท่าไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนหน้าประตูนั้นจะเป็นใคร หากแต่ผมทราบดีว่าคนๆนั้นคงไม่เป็นเฮียภีมเพราะแกต้องอยู่ติวมิดเทอม
คนหน้าประตูคนนั้น...
อ๊อดดดดดดดดดดดดดด!
อาจเป็นคนที่โรงเรียนที่มาหาเพื่อไถ่ถามเรื่องงานละครที่ผมทิ้งความรับผิดชอบมาในวันนี้ อาจเป็นเพื่อนผมสักคนที่จำใจมาดูว่าผมยังอยู่ดีหรือไม่
ในใจของผมภาวนาให้ใครคนนั้นกลับเมื่อเห็นว่าผมไม่เดินออกไป ภาวนาให้ใครคนนั้นเลิกล้มความคิดที่จะเจอผมเมื่อประตูห้องไม่ถูกเปิดออก
ภาวนาให้ใครคนนั้นไม่ใช่เต
เสียงออดหน้าประตูนั่นเงียบหายไป ทำให้ผมโล่งใจขึ้น ผมเอาหน้าซุกกับผ้าห่มหลับตาลงอีกรอบแม้ว่าจะไม่ง่วง แต่อาการอ่อนเพลียไม่รู้ว่ามาจากไหนกลับเข้าจู่โจม ลมหายใจของผมแผ่วเบาเสียจนน่าใจหาย และบางครั้งผมก็อยากให้มันหยุดไป
หายไปตลอดกาล
ก๊อกๆๆ!
เสียงเคาะเรียกที่ประตูกระจกตรงระเบียงฉุดผมให้เด้งขึ้นจากเตียงด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งตกใจและคาดไม่ถึง ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าใครอยู่ข้างนอกนั้น คงจะมีเพียงไม่กี่คนบนโลกที่กล้าปีนระเบียงมาเคาะห้องผมในเวลานี้ ผมนึกโมโหสถาปนิกของคอนโด ที่ออกแบบมาให้ตึกนี้มันง่ายต่อการปีนเหลือเกิน
ก๊อกๆๆ!
ให้ตายเถอะ...ผมอยากรู้จริงๆว่าเตคิดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ก๊อกๆๆ!
พรึ่บ!
“นี่!” ผมเปิดประตูออกไปแหวใส่เขา ทั้งที่ในชีวิตผมไม่ค่อยจะขึ้นเสียงกับใคร ผมไม่รู้ว่าอารมณ์ที่เหวี่ยงขึ้นลงของผมนั้นเป็นเพราะอะไร ถึงแม้ว่ามันจะคล้ายๆกับ
อาการที่ผมเป็นครั้งที่แล้ว แต่มันก็ไม่ทั้งหมด “ใจคอจะเคาะไปถึงเมื่อไหร่กัน”
“เมื่อมีคนมาเปิด” ร่างสูงเอ่ยขึ้นนิ่งๆเหมือนกำลังบอกสภาพดินฟ้าอากาศ หน้าของเตที่ขึ้นสีเล็กน้อยทำเอาผมผิดสังเกต “นี่วันทั้งวันไม่คิดจะออกจากห้องเลยหรือไง”
“แล้วรู้ได้ไงว่ากูไม่ได้ออกจากห้อง”
“ก็วันนี้รออยู่” เตว่า เขาพ่นลมหายใจออกมาจนผมสัมผัสได้ว่ามันร้อนๆชอบกล “ว่าจะดักรอเจอ ก็บอกแล้วไงว่าอยากรู้จักกับภัทร”
“แต่ภัทรคนนี้ไม่ได้อยากรู้จักกับมึง” ผมถอนหายใจ ก่อนจะเอามือไปจับบานประตูไว้เตรียมจะปิด “มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น”
พรึ่บ!
“ก็ห้องอยู่ข้างกันจะไม่รู้จักกันได้ยังไง” เตเอามือของเขามาวางประตูที่จะปิดไว้ เขาดันให้มันเปิดกว้างขึ้นอีกหน่อย “ไม่แน่นะ ถ้าภัทร ได้รู้จักเตคนนี้มากอีกหน่อย ภัทรอาจจะชอบหลงชอบเตขึ้นมาเลยก็ได้” ผมพยายามจะปัดมือเขาออกไปถึงได้รู้ว่าตัวเขาร้อนมาก ร้อนเหมือนคนเป็นไข้
“นี่ไม่สบายหรอ” ผมขมวดคิ้ว และเผลอเอามือไปแตะลำคอเขาเพื่อวัดอุณหภูมิอย่างลืมตัว
…นี่ตัวร้อนขนาดนี้ ยังยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่ได้ยังไง
“เพิ่งจะหยอดไป ฟังหน่อยไม่ได้หรอ”
“เต นี่ไข้สูงเลยนะ” ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้ามาในห้องเพื่อไปหยิบปรอทวัดไข้ที่อยู่ไหนสักแห่งในห้องน้ำ ค้นได้สักพักก็เจอ ก่อนจะออกไปหาเจ้าคนป่วยที่บัดนี้ถือวิสาสะเข้ามานั่งอยู่บนโซฟาของผมเรียบร้อยแล้ว “คาบไว้ใต้ลิ้น”
ผมสั่งเตเสียงเรียบ เขารับปรอทวัดไข้เอาไว้ในปาก ไม่ถึงนาทีผมก็ดึงมันออกมา
...สามสิบเก้าจุดเจ็ด...
เขาอาจจะไข้ขึ้นเพราะพิษของบาดแผลบนศีรษะ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นไอ้ไข้บ้านี่มันก็สูงจนน่ากลัว ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะชักไปแล้ว
“เต กลับห้องไปนอนพัก” น้ำเสียงของผมติดเครียดเล็กน้อย “กลับไป”
“อะไร นี่ยังไม่ทันรู้จักกัน มาเป็นห่วงเป็นใยซะแล้ว” คนตรงหน้ายังทำหน้ายิ้มแป้นแล่นเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ทั้งที่จริงๆเขาอาจจะไม่ไหวแล้ว เตเป็นคนฝืนเก่ง เก็บอารมณ์เก่งมากกว่าผมหลายเท่าตัว ดังนั้นบางครั้งเขาจึงเป็นคนที่มองยากมากๆ ยิ่งกับผมที่อ่านคนอื่นไม่เก่งด้วยแล้ว จึงทำให้ผมเข้าใจเตได้ไม่ง่ายเลย
“นี่มันไม่ใช่เวลามาเล่น กลับห้องไปกินยา เดี๋ยวช็อคขึ้นมาจะทำยังไง”
“บอกมาก่อนว่าเป็นห่วง แล้วจะยอมกลับ”
“เต...” ผมเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เขาเอาความเป็นความตายของตัวเองมาล้อเล่นกับผมหลายรอบแล้ว และผมก็ไม่สนุกกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว
“พูดหน่อย แค่โกหกก็ได้” น้ำเสียงของเขาแฝงอารมณ์บางอย่างทำให้ผมชะงักไป แต่เตก็ไม่ได้แสดงออกอะไรมากไปกว่านั้น เขายังคงส่งยิ้มมาให้ผมดังเดิม “ขอเถอะ”
ถึงเตจะเป็นคนที่เคยทำร้ายผม...
…แต่ผมก็แพ้เขาทุกที
“อืม เป็นห่วง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ พยายามกักเก็บอารมณ์และความรู้สึกอะไรก็แล้วแต่ที่มันอาจส่งผ่านประโยคนั้นออกไป ที่ยอมพูดเพราะผมไม่อยากให้เขาเป็นอะไร แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะให้เขาได้ทุกอย่างที่เขาต้องการไป
อย่างน้อย เตก็ไม่ควรได้รู้
ว่าจริงๆแล้วเขาทำให้ผมรู้สึกอะไรได้มากแค่ไหน
แต่ถึงกระนั้นเตก็ยังยิ้มรับคำพูดของผม แม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่ผมอ่านไม่ออกว่าข้างในเขารู้สึกอย่างที่แสดงออกหรือไม่
ผมเดินถอยจากเตไปเปิดประตูห้องแล้วรอเขาอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ เตนั่งมองผมอยู่ช่วงขณะหนึ่งแต่ก็ยอมลุกออกมาจากโซฟาแต่โดยดี เขาหันหน้ามาหาผมตอนเดินผ่านแต่ก็ไม่พูดอะไรจนกระทั่งเขาเดินไปถึงประตูห้องของตัวเอง
“ภัทร” เขาเรียก ผมไม่ได้ขานตอบ แต่เตรู้ว่าผมกำลังฟังอยู่ “ห้องเตไม่มียานะ ไม่ได้ซื้อติดไว้” ร่างสูงยกยิ้มมุมปากแล้วหันมามองผมตรงๆ พูดทิ้งท้ายประโยคไว้ก่อนจะเดินเข้าห้องไป “ประตูห้องเตไม่ล็อคนะ”
อะไรกัน...ไม่มียางั้นหรอ แล้วจะไปหายยังไง ถ้าทิ้งไว้อาการจะทรุดหรือเปล่า ผมยืนนิ่ง นิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นนาที พยายามจะคิดว่าผมควรจะทำอะไร ผมควรจะเอายาไปให้เตมั้ย หรือผมควรจะปล่อยเขานอนไปอย่างนั้นในห้องตัวเอง
เสียงในหัวผมบอกผมว่ามันควรจะเป็นอย่างหลัง ผมทำให้เตมาเยอะเกินพอแล้ว ทั้งปฐมพยาบาลให้เขา นั่งรถไปส่งที่โรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ และวัดไข้ให้เขา ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อะไรที่ผมควรทำให้เตเลยแม้แต่น้อย เขาไม่สมควรจะได้รับความเห็นใจใดๆจากผมหลังจากสิ่งที่เขาทำไว้เมื่อสามปีก่อน
ผมยืนเม้มปาก จ้องบานประตูห้องของเตอยู่นิ่งทั้งที่ความคิดของผมมันตีกันไปมาอยู่ในหัว
ช่างแม่ง และแล้วผมตัดสินใจพาตัวเองเดินเข้าห้อง...
...ก่อนจะเดินไปที่ครัวเพื่อหยิบหม้อขึ้นมาเพื่อตั้งน้ำร้อนเตรียมต้มข้าวต้ม
ผมไม่เคยใจร้ายกับเตได้สักที ไม่เคย อ๊อดดดดดดด!
เสียงสัญญาณออดที่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งแม้ว่าผมจะเป็นผมกดเอง ผมก้มมองข้าวต้มกุ้งและยาในมืออีกครั้งอย่างไม่เข้าใจว่าผมพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ผมเจอกับเตอีกครั้งและมันก็เป็นเพียงแค่เมื่อวานที่เราเริ่มได้คุยกัน(ด้วยความจำเป็น) ผมไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาทำกับผมไว้มันร้ายกาจ
แต่ผมกลับห้ามตัวเองไม่ได้
ไม่ได้เลยสักนิดเดียว
แอด...!
ประตูที่ค่อยๆเปิดออกมาอย่างเชืองช้าทำให้ผมเกร็งตัว ผมเสหน้าหันไปมองทางอื่นเพราะทำตัวไม่ถูก
“พิ...ภัทร” เตเหมือนจะหลุดเรียกชื่อเก่าผมออกมาในเสี้ยววินาทีแรก แต่เขาก็เปลี่ยนมันได้อย่างทันท่วงที จริงอยู่ว่าผมบอกให้เขาเรียกผมด้วยชื่อใหม่ แต่ตอนนั้นผมพูดไปเพราะต้องการจะประชดให้เตเห็นว่าทุกความรู้สึกที่ผมมีต่อเขามันได้หมดลงไปแล้ว ไม่ได้หมายความตรงตามคำพูด ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำตามผมบอกไปเพื่ออะไรในเมื่อเขาก็น่าจะรู้จุดประสงค์ที่ผมพูดออกไปแบบนั้น “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว รออยู่ตั้งนาน”
เตพูดออกมาแบบนั้น
...เขาอ่านผมขาดเสมอ
เตชอบเล่นเกม และนี่มันก็คืออีกเกมของเขา
และมันเป็นเกมที่ผมไม่มีทางชนะ ผมรู้ดี
“หลีกไป” ผมเลือกที่ไม่สนใจคำพูดเต แล้วเดินผ่านเข้าห้องของเขามาทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต กลิ่นของห้องเป็นกลิ่นสะอาดเหมือนกับตัวเต ภายในก็เหมือนๆกันกับห้องผมเพียงแต่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะเพราะเจ้าตัวเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ “เอาข้าวกับยามาให้” ผมยืนหันให้เขาพลางพูดนิ่ง
“…” เขาเงียบ ผมคิดเอาไว้ว่าจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจให้จบ แล้วผมจะกลับ
“เอานี่ไปกินแล้วไปนอนพักซะ”
“…” เขายังคงไม่โต้ตอบอะไร
“ส่วนจากนะ...”
พรึ่บ!
เสียงบางอย่างที่ดังขึ้นหน้าประตูทำให้ผมต้องหันไปมอง ก่อนจะพบร่างสูงที่นอนคว่ำอย่างหมดแรงอยู่ที่พื้น “เต!” ผมเรียกชื่อเขาอย่างตกใจ วางข้าวของในมือลงแล้ววิ่งเข้าไปหาเขาทันที “เต!” ผมช้อนตัวเขาขึ้นมาตบหน้าเพื่อเรียกสติ
ทำอย่างนั้นอยู่สองสามครั้งจนเปลือกตาของคนตรงหน้ามีการเคลื่อนไหว
เตลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง แต่พอเห็นผมแล้วเขาก็พูดขึ้น
“ดีจังนะ” คนตรงหน้ายิ้ม
“…” ผมเงียบ เพราะไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร
“พิณกอดเตแล้ว” เขาเอ่ยอีกรอบ พลันน้ำใสๆก็ไหลลงจากหางตาทันทีที่เขาหลับตาลง
ผมอึ้ง...อึ้งไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ผสมปนเปกันอยู่ข้างใน จุกที่ใจเล็กๆเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากเตด้วยน้ำเสียงสั่นเครือนั่น แต่ผมมีเวลาไม่มากในตอนนี้ ไข้ที่สูงขึ้นแบบนี้ผมควรจะเรียกรถพยาบาล แต่มันก็อาจไม่ทัน รถอาจมาช้าไป ผมยกมือขึ้นมาวัดไข้เขาอย่างกังวล
“เต เตอย่าเพิ่งหลับนะ ตื่นก่อน ลืมตามองหน้าพิณก่อน” ผมพูดพลางประคองตัวเขาให้ลุกขึ้นเพื่อที่จะพาเดินไปนอนที่เตียง ลำบากนิดหน่อยเพราะเตสูงกว่าผมเล็กน้อย แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
พรึ่บ!
ผมทิ้งตัวเขาลงบนเตียง
“ไม่หลับหรอก” เขาลืมตาขึ้นมาปรอยๆ “กว่าพิณจะยอมอยู่กับเตแบบนี้อีกที ก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่” เตพูด และนั่นก็อาจจะเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้เขาเพ้อ “ไม่รู้ว่ามันจะมีวันนั้นมั้ยเลยด้วยซ้ำ”
ผมสั่นไหวอีกครั้งกับคำพูดของเต แต่มันไม่มีเวลาอะไรให้ผมมานั่งพร่ำเพ้อกับเขาตอนนี้
ผมเดินไปหยิบกะละมังใบเล็กและผ้าขนหนูที่ใช้เวลาหาไม่นานนัก ก่อนจะกลับมาพร้อมน้ำอุ่นเตรียมเช็ดตัวให้เต ผมถอดเสื้อเขาออกจากตัวอย่างเร่งร้อนทั้งๆที่มือสั่นไปหมดเพราะความกลัว บิดผ้าหมาดๆ จากนั้นก็ไล่เช็ดไปตามแอ่งชีพจรของเขา ทำอยู่อย่างนั้นหลายรอบ ผมเลิกกางเกงขาสั้นของเขาใส่มันสูงขึ้นไปอีกนิดเพื่อที่จะได้เช็ดร่างกายช่วงล่างของเขาใส่มันสะดวกขึ้น
ให้ตายเถอะ...เขาตัวร้อนอย่างกับไฟแน่ะ
เตไม่ได้นอนหลับตา เขานอนจ้องมองผมอยู่ทุกการกระทำ
ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว เพราะผมไม่ได้อยากให้เขาหมดสติ
“เตไม่อยากเรียกพิณว่าภัทรเลย” จู่ๆร่างสูงก็พูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมฟังผ่านคำพูดนั้น ไม่ได้โต้ตอบและไม่ได้หยุดมือจากสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ “แต่เตก็ยอมเรียกแบบนั้น เพราะเตไม่อยากได้ยินพิณพูดว่าตัวเองตาย”
เตกำลังเพ้อ เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าเขาพูดอะไรอยู่
แต่กระนั้น คำพูดของเขาก็มีอิทธิพลมากพอทำให้ผมชะงักมือไปเสี้ยววินาทีนึง ผมกัดปากตัวเองเพื่อเรียกสติ พยายามเช็ดตัวบรรเทาไข้ของเขาต่อไป
“เตไม่อยากให้ใครมาพูดไม่ดีเกี่ยวกับพิณ แม้แต่ตัวพิณเอง” เตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเล่าเรื่อง หากแต่ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เข้มข้นอยู่ในประโยคเหล่านั้น ผมเริ่มอึดอัด อึดอัดเสียจนเกินคำบรรยาย “พีรการต์ของเต”
“ชู่...” ผมเอ็ดให้เขาเงียบ เพราะทนฟังไม่ไหว สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมันตอกย้ำความทรงจำที่อยู่ในอดีตของผมเกินไปแม้ว่าเขาจะไม่รู้ตัว ผมกำลังจะร้องไห้ แต่ผมต้องเข้มแข็งเพื่อจะดูแลเขา เตจะต้องไม่เป็นอะไรเด็ดขาด เขาจะต้องหาย
เตจะต้องแข็งแรงพอให้ผมผลักไสเขาไปอีกครั้ง
“พิณ” เขาเรียกผมตอนผมกำลังพลัดเสื้อผ้าใหม่ให้เขา อันที่จริงผมก็ไม่อยากทำนักหรอก เพราะมันออกจะน่ากระดากอายอยู่เหมือนกัน แต่ผมมัวแต่คิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เตนอนพร้อมกับเสื้อผ้าชื้นๆอย่างนั้นไป เขาคงจับไข้มากกว่าเดิม “เตไม่ได้เพ้อนะ พูดอะไรก็รู้ตัว”
เขาบอก...
…แต่ผมไม่ฟัง
คำพูดที่ออกมาแบบนั้น ให้เขาเพ้อเสียยังจะดีกว่า
ผมเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปหยิบข้าวต้มและยามาให้เขา นั่งลงตรงข้างเตียงแล้วแล้วจัดท่าให้เตลุกขึ้นมานั่งแบบกึ่งนอนพิงหมอน หยิบช้อนขึ้นมาตักอาหาร เป่า และยื่นไปตรงหน้่าเขา เตมองผมนิ่งและยังไม่เคลื่อนไหว ผมพอรู้มาอยู่บ้างว่าคนที่เป็นไข้บางคนจะรู้สึกไม่สบายตัวจนไม่อยากกินอะไร
“กินข้าวหน่อยเถอะ จะได้กินยา” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ขอร้อง เตมองหน้าผมแล้วยิ้มจางๆออกมา ก่อนที่เขาจะยอมกินข้าวที่ผมเป็นคนป้อน สายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าผมไม่ได้เคลื่อนไปไหน และนั่นมันก็ทำให้อวัยวะภายในอกซ้ายของผมเต้นแรงทุกครั้งที่ผมสบตากับเต แต่ผมก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา เตก็เริ่มกินช้าลง ช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดกิน “อิ่มแล้วหรอ”
“ถ้าเตกินหมดแล้วพิณจะกลับห้องเลยหรือเปล่า” เขาถาม
และเขาก็คงจะคาดหวังให้ผมตอบปฎิเสธ
เพราะเป็นแบบนั้น ผมจึงไม่ตอบ
“กินยานะ แต่ถ้าอีกสองสามชั่วโมงอาการยังไม่ดีขึ้นก็ควรจะไปหาหมอ” ผมพูดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเต ลมหายใจที่ยังไม่สม่ำเสมอของเขาบ่งบอกว่าพิษไข้ยังคงอยู่ ผมหันไปวางชามข้าวในมือลง ก่อนจะหยิบยากับแก้วน้ำมายื่นให้เขา
แต่เตกลับจับข้อมือผมเอาไว้...ร่างกายของเขาร้อนผ่าว
เขาไม่ได้บีบข้อมือผม ไม่ได้จับแรงเสียด้วยซ้ำ ถ้าผมสะบัดออกทีเดียวก็คงหลุด
แต่ผมทำไม่ได้
“ถ้าเตกินยาแล้ว พิณอย่าเพิ่งกลับห้องได้มั้ย” เขาลูบวนบนหลังมือของผมอย่างนุ่มนวล ผมเม้มปากเข้าหากันแน่น ไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรออกไป สายตาที่เว้าวอนของเขาทำเอาผมปวดลึกในใจอย่างบอกไม่ถูก “อย่าไปได้มั้ย”
คำพูดของเขาทำให้ผมหยุดหายใจ พลันสมองนึกคิดถึงเหตุการณ์ในวันวานที่ผมไม่ควรจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาจากความทรงจำอีก
หากเพียงเขาพูดแบบนี้...หากเพียงเตพูดคำนี้ในวันนั้น
หากเพียงเขารั้งผมไว้สักนิด เรื่องทั้งหมดมันคงจะง่ายกว่านี้
แต่ถึงมันจะเป็นแบบนั้น...
“อืม” ผมตอบตกลงอย่างแผ่วเบา ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำ เตรับยาและแก้วน้ำไปจากมือของผมแล้วกลืนเม็ดยาลงไปอย่างง่ายดาย ผมรับของคืนมาจากเขาก่อนจะจัดท่าให้เขานอนลง ผมลุกขึ้นจากข้างเตียง เดินเอาชามแล้วแก้วไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ จากนั้นก็เอาผ้าไปชุบน้ำ เดินกลับไปที่เตียงเพื่อนำไปวางลงบนหน้าผากของเตเพื่อหวังบรรเทาอุณหภูมิในร่างกายของเขา
เขาสบตาสายเมื่อผมก้มลงใกล้ ยื้อแขนผมลงไปจนลมหายใจของเราสัมผัสกัน
ผมไม่อยากมองความเจ็บปวดที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตานั่น แต่ผมกลับละสายตาไปไหนไม่ได้
“พิณ” เขาเรียก “อยู่กับเตก่อน”
ผมอยากจะร้องไห้...
...ผมอยากจะร้องไห้ออกมาเพราะความรู้สึกอะไรก็ไม่รู้ที่มันปะทุอยู่ข้างใน ทันทีที่เขาสัมผัสตัวผมอย่างอ่อนโยน และพูดกับผมแบบนั้น น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนก็คลออยู่ในดวงตาทั้งสองข้างของผมทันที ผมกัดปากตัวเองเอาไว้ เมื่อรู้ว่ากำแพงที่มีอยู่มันกำลังจะทลายลงมาแล้ว
แต่ผมกลับไม่ห้ามตัวเองเลย
เตเขยิบตัว ก่อนจะยื้อให้ผมนอนลงข้างๆเขา ผมเลือกที่จะทิ้งเหตุผลทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลังแต่ปล่อยให้เตทำอย่างที่เขาอยากทำ
ร่างสูงเข้ามากอดผมไว้ ใบหน้าของผมอยู่ซุกอยู่บนหน้าอกของเขา หัวใจของเตเต้นเร็ว
ผมรู้ว่านี่มันเกินความจำเป็น ผมรู้ว่าตัวเองใช้ข้ออ้างที่เตเป็นไข้เพื่อทำตามความปราถนาลึกๆในใจตน แต่ผมปฏิเสธมันไม่ได้
แล้วผมก็ร้องไห้ ร้องไห้ออกมาในอ้อมกอดของเต ร้องไห้เพราะโกรธเตกับสิ่งที่เขาเคยทำกับผมไว้ในอดีต ร้องไห้เพราะหงุดหงิดที่เขาไม่สบายจนลำบากให้ผมต้องมาดูแล ร้องไห้เพราะโมโหโชคชะตาที่เล่นตลกให้เราสองคนมาเจอกันอีกครั้ง
และก็ร้องไห้...เพราะเจ็บใจตัวเองที่ไม่เคยปฏิเสธเตได้เลย
ผมเกลียด เกลียดความอ่อนโยนที่เขามอบให้กับผม
“ไม่เป็นไรแล้วนะพิณ ไม่เป็นไรแล้ว” เกลียดจูบที่ขมับนั่น
และยิ่งที่เกลียดมากไปกว่านั้น คือการที่ผมต้องรับรู้ว่าจริงๆแล้วผมโหยหาความอ่อนโยนเหล่านั้นมากแค่ไหน
“คนใจร้าย ฮึก...คนใจร้าย”....................................................................................
คนเขียนขอเม้าท์: รู้สึกได้ว่าเจ้าเตมันไม่เคยโผล่หน้ามาหาน้องพิณด้วยสภาพร่างกายปกติเลยสักครั้ง ครั้งหน้าคงลอยน้ำมาให้น้องพิณเอาไปเผา(ฮา) พยายามจะกระชับบทบรรยายแล้วนะคะ กลัวคนอ่านง่วงหลับไปเสียก่อน
ทราบดีว่าอารมณ์ของน้องพิณเหวี่ยงขึ้นลงเยอะมาก ไม่ได้เพี้ยนนะคะ คนเขียนตั้งใจ
ฝากคอมเม้นท์ติชมด้วยนะคะ ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกกำลังใจค่ะ