►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢  (อ่าน 23599 ครั้ง)

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1691
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
ปมขมวดเข้ามาแล้วววว

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
แตงคือใคร น้องจริงหรือเปล่า หรือว่าว่าที่คู่หมั้นอะไรแบบนี้หรือเปล่า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สังหรณ์ใจว่ายัยแตงอะไรนี่(ดูจะ)โรคจิต

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ Red_Enchanted

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
CHAPTER EIGHT

- I’ve written so many love stories with sad endings since I don’t know anything about the happy ones. -



   “พี่ภัทรคะ ละครจบแล้วไปฉลองกันนะคะ” ประโยคเชิญชวนถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับการบีบเบาๆที่ไหล่ของผม น้องแจงไม่ได้อยู่รอฟังคำตอบอะไร เธอกลับเดินตัดหน้าไปเพื่อเช็คไฟเวทีอีกครั้งก่อนเปิดการแสดงรอบสุดท้าย

   ปกติแล้วการแสดงละครเวทีภาษาอังกฤษของโรงเรียนผมมีเพียงแค่สามรอบเท่านั้น แบ่งเป็นรอบมอต้นเข้าชม รอบมอปลายเข้าชม และรอบสุดท้ายเป็นรอบดึกที่จะเปิดให้คนนอกซื้อตั๋วเข้ามาดู ถือเป็นการทำรายได้ให้กับโรงเรียน ซึ่งปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ทำรายได้ได้ค่อนข้างมากเนื่องจากมีงบในการประชาสัมพันธ์สูงกว่าทุกปี

   ทุกคนตื่นเต้น ผมเองก็เช่นกัน

   ผมเดินไปที่แถวปล่อยคิวเพื่อดูแลนักแสดงที่กำลังทำสมาธิ น้องบางคนดึงเอามือผมไปจับเพื่อลดความกังวล และมือของน้องเขาก็เย็นมากเพราะความตื่นตระหนก ผมพาพวกน้องๆนับเลขในใจหนึ่งถึงสิบวนไปมาอยู่อย่างนั้น

   เมื่อม่านเปิด นักแสดงทุกคนต่างก็ทิ้งความกลัวเอาไว้หลังผ้าม่าน แล้วย่างก้าวออกไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่ต่างอะไรกลับทีมงานเบื้องหลังทุกคน ฝ่ายฉากวิ่งยกของหนักวิ่งกันไปมาอย่างวุ่นวาย เช่นเดียวกับฝ่ายเสียงที่ยุ่งไม่แพ้กัน ส่วนผมที่ไม่มีหน้าที่อะไรแล้วจึงเนรเทศตัวเองไปอยู่ข้างเวทีเพื่อดูละครที่ผมเป็นคนเขียนขึ้นมาเองให้เต็มตา

   เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น และเป็นเพราะว่าพวกเราซักซ้อมกันมาอย่างดี การแสดงของพวกเราจึงไม่มีพลาดกันเลยสักจุด บทที่เขียนขึ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเอกในอนาคตที่ย้อนเวลากลับมาติดอยู่ในโลกปัจจุบัน ก่อนตกหลุมรักกับนางเอกซึ่งเป็นวิศวกรที่พยายามจะช่วยซ่อมไทม์แมชชีนของเขา

   และเรื่องก็ดำเนินมาถึงจุดไคล์แมกซ์...
   
   จุดที่เขาทั้งสองคนต้องลาจากกัน

   “I’m going to miss you. (ผมจะคิดถึงคุณ)” นักแสดงฝ่ายชายว่า เขายืนอยู่ในเครื่องไทม์แมชชีนที่ซ่อมเสร็จแล้ว “And it’s going to hurt me real bad. (และมันคงจะเจ็บปวดมาก)” ฝ่ายชายขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ฝ่ายหญิง แต่เธอก้าวถอยหนีพร้อมกับยิ้มบางที่มุมปาก

   นางเอกไม่พูดอะไร

   “I won’t forget you. (ผมจะไม่ลืมคุณ)” ฝ่ายหญิงยังเงียบ “Please, say something, anything. (ได้โปรด พูดอะไรหน่อยได้มั้ย อะไรก็ได้)”

   ฝ่ายหญิงยังนิ่งงัน เธอดันฝ่ายชายเข้าไปด้านใน ก่อนจะกดปุ่มข้างนอกเพื่อทำให้เครื่องทำงาน ทั้งสองมองหน้ากันท่ามกลางความเงียบที่เต็มไปด้วยความเศร้า พร้อมกันที่ทีมงานฝ่ายฉากเดินเข้าไปค่อยๆเข็นเครื่องไทม์แมชชีนและตัวพระเอกออกมาจากหน้าเวที

   ไฟหรี่ลง เพลงสากลจังหวะช้าดังขึ้น สายตานางเอกยังจับจ้องอยู่ที่เดิมที่เคยมีพระเอกแต่ทว่าตอนนี้มันกลับว่างเปล่า

[They can take tomorrow and the plans we made
They can take the music that we never played]
   
   แล้วนางเอกก็พูดขึ้นมา “Don’t go (อย่าไป)”


[All the broken dreams take everything
Just take it away
But they can never have yesterday]


   เมื่อม่านปิดลง เสียงปรบมือกระหึ่มขึ้นมาจนผมไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆอีก น้องนักแสดงบางคนกระโดดโลดเต้นกันอยู่หลังเวทีด้วยความโล่งใจ มีใครบางคนตะโกนขึ้นมาถึงร้านเหล้าที่พวกเขาจะไปฉลองกันหลังจากออกไปขอบคุณคนดูจบ

   การปิดฉากละครเวทีภาษาอังกฤษประจำปีเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีการขอบคุณนักแสดง ทีมงานหลังฉาก ผู้กำกับ คุณครูที่ปรึกษา สปอนเซอร์และผมที่อยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ ผมกล่าวออกไปหน้าเวทีเพื่อรับดอกไม้และถ่ายรูป แม้ว่าจะรู้ว่าไม่มีคนที่ผมรู้จักมักจี่มาดูในวันนี้ก็ตาม

   หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ผมกับพวกน้องๆก็พากันมาฉลองที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งมีครูอ้อเป็นหุ้นส่วน อาจจะฟังแปลกไปหน่อยนะครับ แต่ครูอ้อเป็นครูหัวสมัยใหม่มาก แกเลยใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นหุ้นส่วนในร้านของแกเปิดขวดเหล้าให้กับพวกผม แล้วมันจะไปมีใครขัดอะไรละครับ เด็กวัยรุ่นสมัยนี้มันก็ชอบกันอยู่แล้ว

    “ครูว่าเรื่องของปีนี้ดีนะภัทร ตอนจบทำเอาครูน้ำตาซึม” ครูแกว่าในขณะที่หยิบของแกล้มเข้าใส่ปาก

   “ใช่พี่ ขนาดผมเป็นผู้ชายผมยังเกือบร้อง” น้องผู้ชายฝ่ายเสียงอีกคนนึงสมทบขึ้นมา “ว่าแต่ทำไมพี่ภัทรถึงชอบเขียนตอนจบเศร้าๆละ ปีที่แล้วก็คราวนึงแล้วนะ”

   “เออว่ะ” ใครอีกคนว่าต่อ “ปีที่แล้วพี่สาวพระเอกก็พลั้งมือฆ่านางเอกนี่หว่า จบไม่สวยเหมือนกัน”

   พอน้องคนนั้นพูดจบหลายคนก็พากันหันมาจ้องเพื่อขอคำตอบจากผม ผมเสตาไปมองทางอื่น ยกแก้วขึ้นกระดกน้ำเมาเข้าปาก ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบที่เหมาะสมให้คนรอฟังอย่างไรดี ผมถอนหายใจ “พี่ถนัดแบบนี้ เขียนแนวอื่นไม่ค่อยลื่น”

   “เพลงที่ขึ้นตอนจบก็เพราะมาก เหมาะกับอารมณ์จากลาพอดีเลย” ครูอ้อหันไปคุยกับน้องหัวหน้าฝ่ายเสียง “ชื่อเพลงอะไรนะ”

   “Yesterday ของ Leona Lewis ครับ” คนตอบหันมามองทางผม “เพลงนี้พี่ภัทรเป็นคนเลือก”

   “ละเอียดอ่อนมาก” ครูอ้อพยักหน้าพลางชมเปราะ เธอเอื้อมมือมาตีไหล่ผมสองสามที “เก่งสมเป็นภัทรจริงๆ”

   ผมยิ้มรับคำชม ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรไป

   “พี่ภัทรเขียนเข้าถึงอารมณ์แบบนี้นี่ ประสบการณ์ตรงหรือเปล่าคะ” น้องแจงถามพลางหัวเราะคิกคักกับเพื่อน ผมนิ่ง ก่อนจะปล่อยมึน ไม่ยอมตอบเหมือนไม่ได้ยินที่เธอถาม โชคดีที่น้องแจงไม่ได้ถามแบบอยากรู้จริงจังอะไร ทุกคนจึงปล่อยผ่าน

   บางอย่างในคำถามนั่นสะกิดใจผมเข้าอย่างจัง

   ‘ประสบการณ์ตรง’ งั้นหรอ

   ผมแค่นยิ้มก่อนจะกระดกเครื่องดื่มมึนเมาเข้าปากรวดเดียวเหมือนเป็นน้ำเปล่า แล้วหยิบขวดเเหล้าและโซดามาชงเองใหม่เรื่อยๆ น้องบางคนผิดสังเกตขึ้นมานิดหน่อยที่ผมเงียบกว่าปกติ พวกเขาถามแต่ก็ไม่ได้รอฟังคำตอบเช่นเคย มันเหมือนการถามไถ่ไปตามมารยาทเท่านั้น

   ทุกคนสนุก ผมพูดคุยและยิ้มบ้าง แต่ส่วนมากก็จะเติมน้ำสีอำพันเข้าร่างกายมากกว่า

   ใช่เวลาไม่นานเท่าไหร่ ผมก็เริ่มมึนหัวและจับใจความที่น้องๆพูดกันไม่ได้มาก ผมวางแก้วลง กวาดสายตามองไปทั่วร้านหลังจากที่นั่งก้มหน้ามานาน

   แล้วผมก็เห็น...

   เห็นใครบางคนที่เข้ามายึดครองพื้นที่ในหัวผมตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

   ‘เต เตชภณ’

   ผมเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะนึง สมองผมที่เต็มไปด้วยเรื่องของเขากลับถูกเข้ามาแทนที่ด้วยความว่างเปล่าในเสี้ยววินาที ผมหลับตาลงเพื่อตั้งสติ คิดว่านั้นเป็นภาพหลอนที่เกิดจากอาการเมา แล้วผมก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

   แต่มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ภาพหลอน

   เตมองกลับมาที่ผม เขาดูไม่ได้ตกใจอะไร เหมือนเขาเห็นผมมาตั้งนานแล้ว

   “ไอ้เต...” ผมครางเรียกชื่อเขาออกมาอย่างไม่รู้ตัว

   “หะ” น้องคนที่นั่งข้างผมเอ่ย “เมื่อกี้พี่ภัทรว่าไงนะครับ”

   ประโยคที่ถูกคนข้างตัวถามขึ้นเบี่ยงความสนใจของผมออกจากเต ผมก้มหน้าลงมองตักตัวเอง กะพริบตาถี่ กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเอ่ย “เปล่า พี่ว่าพี่เมาแล้วว่ะ” ผมลุกขึ้นยืน ไม่ได้โฟกัสสายตาไปที่จุดใดจุดนึง เสียงในหูของผมเป็นเสียงดังก้องๆที่ผมจับใจความอะไรไม่ได้ “ขอตัวก่อนนะ”

   ผมพูดโดยไม่ได้ระบุผู้ฟัง จากนั้นก็แทรกตัวออกมา มีน้องคนนึงเข้ามาพยายามจะช่วยพยุงแต่ผมก็สะบัดน้องเขาออกไปแล้วทำสัญลักษณ์มือไปว่าผมโอเค น้องเขาจึงปล่อยตัวผม ใครบางคนคาดการณ์ว่าผมคงจะไปห้องน้ำเพราะนั่นคงจะเป็นทิศทางที่ผมเดินมา แต่ทว่าผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตั้งใจจะพาตัวเองไปที่ไหน มีสติรู้แค่ว่าต้องเดินออกมาจากตรงที่นั่งอยู่ให้เร็วที่สุด

   เพราะร้านนี้เป็นร้านแบบเอ้าท์ดอร์ พอผมเดินอย่างไม่มีจุดหมายมาเรื่อยๆผมจึงหลุดออกจากบริเวณตัวร้านในที่สุด ข้างหน้าของผมเป็นถนนเส้นนึงที่ก็ไม่รู้ว่ามันมุ่งหน้าไปทางไหน แต่ก็เพราะความเมามายจนไร้สติจึงทำให้ผมตัดสินใจก้าวขาเดินต่อไปโดยไม่สนใจดูรถที่วิ่งอยู่

   และก็เพราะว่าเป็นแบบนั้น...

   ปริ๊นนนนนนนนนนน!

   แสงไฟจากพาหนะที่เคลื่อนตัวอยู่บนถนนสาดเข้าที่ตาทันทีที่ผมหันไปมอง ก่อนที่ผมจะทันได้คิดอะไร มือของใครบางคนก็กระชากจนผมเซไปปะทะกับแผงอกกว้าง ผมนิ่งไปครู่นึงด้วยความตกใจและความมึนจากฤทธิ์แอลกฮอล์ หัวใจของผมเต้นแรง และยิ่งแรงมากขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าเสี้ยววินาทีที่แล้วผมเกือบตาย

   ผมเงยหน้าเพื่อจะกล่าวคำขอบคุณให้คนที่ช่วยชีวิตผม แต่ทว่า...

   “พิณ! มึงอยากตายหรือไง! เมื่อกี้เกือบถูกรถชนแล้วเห็นมั้ย!” คนที่ช่วยผมกลับเป็นคนที่ผมเพิ่งเดินหนีมา

   เตตะโกนขึ้นอย่างลืมตัว เขาจับแขนผมแน่นมากจนผมเจ็บไปหมด สรรพนามที่เขาเคยใช้เรียกผมอย่างคนห่างไกลก่อนหน้านี้หายไป เหลือทิ้งไว้แต่คำแทนชื่อที่เราใช้เรียกกันเมื่อสมัยสามปีที่แล้วเท่านั้น

   นัยน์ตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงระคนไปกับความตกใจทำเอาผมพูดไม่ออก ตัวเขาสั่นมากพอๆกับผม เตกระชากผมเข้าไปกอด

   “เกือบไป...” เขาพึมพำพลางลูบหลังผมไปมา “เกือบไปแล้ว”

   เขาดูตกใจมาก เหมือนเขากลัว ทั้งๆที่คนที่ควรรู้สึกแบบนั้นควรจะเป็นผม

   “เต” ผมเรียกชื่อเขา และมันก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมใช้น้ำเสียงแบบนี้ “กูไม่เป็นอะไรแล้ว”

   ผมไม่ได้กอดเตตอบ แต่ก็ไม่ได้ดันเขาให้ถอยห่าง ใจของเตเต้นเร็วและแรงจนผมรู้สึกได้ หัวใจของผมก็เช่นกัน ไม่รู้เหมือนว่าทำไมผมปล่อยให้เขากอดผมเอาไว้แบบนั้น นานพอสมควรอยู่เหมือนกันกว่าผมจะเอ่ยอะไรออกมา

   “ปล่อย” ผมใช้มือดันเขาเบาๆ เตไม่ได้ขัดขืน เราทั้งสองยังยืนอยู่ในระยะที่รู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

   เตใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไม่เป็นไรแน่นะ”

   ผมพยักหน้าแทนคำตอบ

   เขายังไม่ละสายตาออกจากผม “นี่เมาใช่มั้ย” เตถาม “กินไปเยอะขนาดไหนถึงได้เมาขนาดนี้”

   “ก็เยอะ” ผมตอบสั้น หลับตา ใช้มือเสยผมตัวเองและเบี่ยงหน้าไปทางอื่น ความรู้สึกหลายหลากตีผสมปนเปกันไปมาในหัวของผม และยิ่งผมเมามันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ ดังนั้นมันคงจะไม่ดีแน่หากผมยังคงยืนอยู่ตรงนี้และสนทนากับคนตรงหน้าต่อไป “กูกลับแล้วนะ”

   เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมหันหลังกลับ “เดี๋ยว” เตเอื้อมมือมายื้อไหล่ผมเอาไว้ “จะกลับไปไหน”

   ผมเงียบไม่ตอบเขา

   “จะหนีไปไหนอีก” ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองมั้ย แต่เสียงของเตสั่น และความอ่อนไหวในเสียงนั้นมันก็กรีดลงในใจจนผมปวดลึก ผมขบริมฝีปากเข้าหากันเพราะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

   “หนีไปไหนก็ได้” ผมตอบ ทั้งที่ตัวเองไม่กล้าหันกลับไปมองเขาด้วยซ้ำ “ขอแค่ไม่ต้องเจอมึงก็พอ”

   แรงบีบที่ไหล่ของผมคลายลงทันทีหลังจากที่ผมพูดแบบนั้นออกไป แรงยื้อของเตมันเบาลงเสียจนผมรู้สึกได้ว่า หากจะสะบัดมือหนาออกในตอนนี้ผมก็คงทำได้

   แต่ผมไม่ทำ

   เตไม่ได้เขยิบเขามาใกล้ไปมากกว่านั้น เขาใช้เพียงแค่แรงอันน้อยนิดจับไหล่ผม แต่นั่นมันก็พอแล้วที่จะยื้อทั้งตัวของผมเอาไว้ “ต้องให้กูทำยังไง” เตพูด ภาพตรงหน้าของผมเริ่มเลือนลาง ผมสะบัดหัวไปมาเพื่อให้อาการเหล่านั้นมันหายไป “ต้องทำยังไงมึงถึงจะไม่หายไปอีก”

   มือหนาเลื่อนลงมาจับมือผม ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามของเขา

   “มึงแค่บอก ขอแค่มึงบอกว่าอยากให้กูทำอะไร กูจะทำให้มึงทุกอย่าง” เตกระชับมือแน่นขึ้น “แต่ขอร้อง อย่าหนี...อย่าหนีกูไปอีกเลยนะ”

   ผมรู้ดีว่าผมควรผลักไสให้เขาออกไปอย่างที่บอกตัวเองว่าควรทำมาตลอด แต่ความลังเลบางอย่างมันกลับทำให้ผมไม่กล้าทำแบบนั้น ความรู้สึกข้างในของผมมันหมุนคว้าง เช่นเดียวกันกับโลกทั้งใบที่ผมยืนอยู่ตอนนี้

   “ทำไมกูต้องทำตามที่มึงบอก” ผมดึงมือออก หันหน้าไปมองเขา “ทำไม”

   “เพราะกูทนไม่ไหวแล้ว” ความมึนเมาจากฤทธิ์สุราเริ่มโจมตีผมหนักมาก จนตอนนี้สิ่งรอบตัวมันกลายเป็นเพียงแค่ภาพฟุ้งๆเหมือนดังในความฝัน เตเดินเข้ามาใกล้ สบหน้าผากลงที่ไหล่ข้างนึงของผม “กูทนที่จะไม่มีมึงอยู่ในชีวิตไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”

   ท่ามกลางจังหวะที่ถี่เร็วของหัวใจตัวเอง ผมกลับพบความสงบอยู่ในนั้นจากสิ่งที่เตพูดออกมา ผมไม่รู้ว่ามันคือคำโกหกดั่งเช่นที่เขาเคยทำในวันวานหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมก็ไร้สติเกินกว่าจะสนอะไรทั้งสิ้น

   “กูก็ทนไม่ไหว” ผมยกมือขึ้นกอดเขา

   เตนิ่งไป

   จะอะไรก็แล้วแต่เถอะ...

   ขอเพียงเสี้ยววินาทีนี้แล้วกันที่ผมได้ทำตามใจตัวเอง

   “ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”




   [สามปีที่แล้ว]

   เพราะอากาศที่เย็นจึงทำให้พีรการต์ตัวรุมเหมือนจะเป็นไข้ แต่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาต้องมาขี่มอเตอร์ไซค์ตากลมหนาวเพื่อไปโรงเรียนอยู่แบบนี้ก็คือ เขาจะต้องไปรับเตชภณไปเรียนด้วยกันอย่างที่บอกกับเจ้าตัวไว้เมื่อวาน แม้ว่าเตเองจะดูไม่ค่อยเต็มใจก็ตามที

   พีรการต์กับเตชภณไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่ที่แยกจากกันเมื่อวานตอนเย็น ทั้งที่ปกติแล้วพวกเขาจะไลน์หากันไม่เคยขาด มีบางวันถึงขนาดโทรคุยกันจนฟ้าเกือบส่างด้วยซ้ำ มันน่าแปลกที่พวกเขาไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แต่ก็ไม่มีใครอยากจะเริ่มต้นบทสนทนาในช่องแชทของเมื่อคืนนี้

   เตไม่ได้ไลน์มาถามว่าเขาถึงบ้านอย่างปลอดภัยหรือเปล่าอย่างที่เคยทำ  และพิณเองก็ไม่รู้จะรายงานคนใจดำไปทำไมในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้มีกะใจที่จะถาม

   พีรการต์ไม่พอใจแต่ก็ไม่รู้จะเอาสิทธิ์อะไรไปเรียกร้อง

   พาหนะสองล้อแล่นมาจอดที่หน้าบ้านเตชภณอย่างนิ่มนวล พิณยันสองเท้าของตัวลงกับพื้นเพื่อประคองมอเตอร์ไซค์ก่อนจะชะเง้อคอมองเข้าไปในบ้าน ลังเลใจว่าจะกดกริ่งดีหรือไม่

   ไลน์บอกเอาแล้วกัน

   พีรการต์คิด

   แอ๊ด...!

   “พี่พิณคะ” เสียงเล็กแหลมของคนที่เปิดประตูออกมาเรียกขัดก่อนที่ร่างบางจะได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์อะไรลงไป พีรการต์หันไปมาตามต้นเสียง เด็กสาวที่เขาเจอเมื่อวานแต่งตัวอยู่ในชุดธรรมดาทั้งที่วันนี้ควรจะไปโรงเรียนเดินออกมาจากรั้วบ้าน “มาเช้าจังเลยนะคะ”

   “อา...ครับ” พิณพยักหน้ารับ พลางนึกสงสัยว่าแตงรู้ได้อย่างไรว่าเขามาถึงแล้ว ทั้งที่เขายังไม่ได้กดกริ่งเรียกคนในบ้านด้วยซ้ำ

   “พี่เตอยู่ในบ้านแน่ะค่ะ สงสัยกำลังทานข้าวอยู่” เด็กสาวเอ่ย พีรการต์ไม่สามารถบอกได้ว่านั่นเป็นประโยคชวนคุยหรือไม่ “พี่พิณทานข้าวมาหรือยังคะ”

   “อ่อ ก็...”

   “ช่างเถอะค่ะ” คู่สนทนาพูดขัดขึ้นมาก่อนที่พีรการต์จะได้ตอบคำถามของเธอให้จบประโยค “ที่จริงแตงก็ไม่ได้สนเรื่องนั้นมากเท่าไหร่”

   พิณนิ่งไป เขาไม่รู้จะหาคำตอบใดที่เหมาะสมกับคำพูดประหลาดของเด็กสาวที่เอ่ยมาเมื่อครู่นี้ ร่างบางจึงเงียบลง ดวงตากลมโตของคู่สนทนากะพริบถี่ แตงสาวเท้าเข้ามาใกล้เพื่อใช้ดวงตาคู่นั้นสำรวจวงหน้าเรียวจนพีรการต์รู้สึกอึดอัด

   “พี่พิณเป็นเพื่อนกับพี่เตมานานแล้วหรือคะ” เธอถาม แต่ก็ไม่ได้เว้นช่วงให้พีรการต์ตอบ “สนิทกันมาตั้งแต่พี่เตเข้าเรียนที่นี่เลยมั้ย”
   
   พิณนิ่งนึก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “รู้จักกันได้อาทิตย์สองอาทิตย์หลังเตเข้าเรียน”

   เด็กสาวเงียบไปอึดใจนึง ดวงตาสีนิลของเธอที่ล่องลอยจนดูไร้แววและไร้ความรู้สึกทำให้พิณรู้สึกขนลุกแปลกๆ แตงกะพริบตาถี่อีกครั้ง ฉีกยิ้มแล้วถามขึ้น

   “อยู่ที่นี่ พี่เตมีใครหรือเปล่าคะ” คำถามของเธอทำให้พีรการต์ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แตงจึงตีความไปเองว่าร่างบางไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด “หมายถึงแฟนน่ะค่ะ อยู่ที่นี่พี่เตมีแฟนหรือเปล่า”

   พิณเงียบไปหลังจากฟังสิ่งที่แตงอธิบายเพิ่ม เขาไม่รู้จะตอบคำถามของเด็กสาวตรงหน้าอย่างไร เพราะหากจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว ตัวพีรการต์เองก็ไม่ทราบคำตอบที่แน่ชัด ร่างบางไม่รู้ว่าตอนนี้เขากับเตเป็นอะไรกัน เพราะเตชภณไม่เคยให้คำจำกัดความกับสถานะของเขาทั้งสอง

   พิณไม่เคยรู้สึกไม่ชอบความชัดเจนนี้ จนกระทั่งวินาทีนี้ วินาทีที่เขาตอบคำถามไม่ได้

   นั่นสิ...อย่างเตนี่จัดว่ามีแฟนแล้วหรือยังนะ

   “พี่...” พีรการต์พึมพำ เขาหลบสายตาที่คนตรงหน้ามองมา “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

   “ไม่รู้” แตงเอ่ยทวนคำ เธอเลิกคิ้วพร้อมยกมือขึ้นมากอดอก เด็กสาวพูดเสียงห้วน “หรือไม่อยากบอกกันแน่”

   พิณเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา เขาเอียงคอเล็กน้อยอย่างอัตโนมัติ ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันด้วยบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความอึดอัดอยู่เสี้ยวนาทีหนึ่ง ก่อนที่เด็กสาวจะหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ แตงก้มหน้าลงพิมพ์อะไรบางอย่างลงไปในนั้น เธอใช้เวลาไม่นาน

   เด็กสาวชูเครื่องมือสื่อสารหันมาทางพีรการต์ “พี่พิณรู้จักกับพี่คนนี้หรือเปล่าคะ”

   ร่างบางหรี่ตามองมือถือของเด็กสาว หน้าจอโทรศัพท์แสดงหน้าวอลเฟสบุ๊คของผู้หญิงคนนึงที่เขารู้จักดี

   ‘Bella Noppasorn’

   ...เบล

   “อืม รู้จัก”
พิณเอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย อวัยวะภายในอกข้างซ้ายของคนร่างบางเต้นในจังหวะที่ผิดแปลกไปในวินาทีที่เขาเปิดปากตอบ   

   “แล้วเขาสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันอยู่หรือคะ” เสียงเล็กแหลมเอ่ยขึ้น พีรการต์เหลือบตาลงมองปลายเท้าตัวเอง แม้จะรู้ดีว่าเตกับเบลไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเพ่ือน แต่สิ่งที่แตงถามมานั้นมันก็ทำให้เขาปวดใจไม่น้อย

   เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจ...

   …ไม่แน่ใจว่าสองคนนั้นจะคงสถานะเพื่อนกันไปอีกนานแค่ไหน

   “พิณ” เสียงแหบพร่าที่เป็นเอกลักษณ์ดังขึ้น เตชภณไม่ได้ตะโกน แต่เขาก็เรียกพีรการต์ดังเกินความจำเป็นด้วยระยะที่ใกล้แค่นี้ น้ำเสียงของเตดูมีความตกใจระคนอยู่ด้วย “มานานหรือยัง”

   เตชภณก้าวขาออกมาจากบ้าน ร่างหนาเหลือบตาไปทางแตงเสี้ยววินาทีนึง พีรการต์เผลอมองหน้าเขาด้วยแววตาที่แสดงความรู้สึกหลากหลาย เตเลิกคิ้วขึ้นเพื่อทวงคำตอบ

   “ก็ไม่นานเท่าไหร่” พิณเอ่ยหลังจากที่เขาหาเสียงตัวเองเจอ

   “แล้วทำไมไม่ไลน์บอก” เตถามห้วน ในประโยคนั้นมีร่องรอยความไม่พอใจบางอย่างจากร่างสูงที่พิณไม่คุ้นชิน เตชภณไม่เคยแสดงอารมณ์แบบนี้ให้เขาเห็นเลยแม้เพียงครั้ง และนั่นทำให้พีรการต์สงสัย

   “คือว่า...”

   “แตงชวนพี่พิณคุยเองแหละค่ะ” เด็กสาวแทรกขึ้น เตชภณหันไปมองเธอด้วยแววตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ “แค่คุยกันแค่นี้คงไม่ทำให้พี่เตไปโรงเรียนสายหรอก”

   ประโยคและน้ำเสียงหยอกล้อควรจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นในกรณีนี้ “ก็คงจะแบบนั้น” เตชภณกล่าวก่อนจะหันกลับมามองหน้าพิณ ร่างสูงเหวี่ยงขาขึ้นคร่อมซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตรงหน้า เขาพูดเสียงเรียบ “รีบไปกันเถอะ”

   “เดี๋ยวค่ะ” แตงเอ่ยรั้งเอาไว้ เธอเดินไปหาเตชภณก่อนจะหอมแก้มเขาเสียงดัง “รีบกลับมานะคะ แตงรออยู่”

   “อืม” เตชภณรับคำ พีรการต์จับสีหน้าร่างสูงไม่ได้เนื่องจากเขานั่งอยู่ข้างหลังตัว

   ตกลงแล้ว...เตกับแตงเป็นอะไรกันแน่

   พิณตั้งคำถามในใจ

   พีรการต์ออกรถหลังจากจากที่เตร่ำลากับเด็กสาวเป็นที่เรียบร้อย เขาทั้งสองคนไ่ม่ได้พูดอะไรระหว่างทางทั้งที่ทำได้ อากาศอุณหภูมิน้อยทำให้พิณต้องขับรถช้ากว่าที่เคยเป็นเพื่อลดแรงลมปะทะ ร่างบางนึกโทษตัวเองที่ประมาทคิดว่าตัวเองจะทนหนาวได้

   เอาเถอะ อีกแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว

   พีรการต์คิด

   “ปล่อยมือออกข้างนึง” เตชภณเอ่ยพูดที่ข้างหูพิณทำลายความเงียบ ร่างบางเบี่ยงหน้าไปมองคนซ้อนเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ

   “ไม่เอาอันตราย” คนร่างบางพูดตอบ

   “เอาน่า แป๊ปเดียว” ร่างสูงยังคงร้องขอหลังจากที่พีรการต์ปฏิเสธไปในคราแรก พิณส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเถียงเตไปทำไมในเมื่ออย่างไรเขาก็ต้องยอมทำตามสิ่งที่เตชภณบอกมาอยู่ดี

   พีรการต์ปล่อยมือข้างนึงออก เตจับแขนบางข้างนั้นให้ยกสูงขึ้นก่อนจะสวมเสื้อกันหนาวลงมา

   “อีกข้างนึง” เตชภณพูด การกระทำที่อ่อนโยนของร่างสูงทำให้หัวใจของพิณเต้นแรงราวกับว่ามันจะหลุดออกจากอก เขาเม้มปากเข้าหากัน พยายามทำความรู้สึกที่ประดังประเดอยู่ในใจเขาให้หายไป

   แต่ถึงอย่างไร พีรการต์ก็ไม่ลืมที่จะทำตามสิ่งที่เตบอกอย่างว่าง่าย  เตชภณสวมแขนเสื้ออีกข้างนึงใส่พิณทันทีที่ร่างบางปล่อยมือออกมา ความอบอุ่นที่แล่นผ่านร่างกายทำให้พิณสับสนว่ามันมาจากเสื้อกันหนาวหรือการกระทำของเตกันแน่

   ทันทีที่พีรการต์เลี้ยวเข้าซอยแคบไร้ผู้คนที่เขาใช้เป็นทางลัดเพื่อไปโรงเรียนอยู่เป็นประจำ เตก็เอื้อมแขนมากอดเขาไว้จากทางด้านหลัง ร่างหนาซบหน้าผากลงบนหลังคอของพิณอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ และนั่นก็ทำให้พีรการต์รู้สึกดี แต่พิณเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยิ่งเขารู้สึกดีกับเตมากเท่าไหร่ ภายในใจของเขาก็ยิ่งสับสนขึ้นมากเท่านั้น

   ทั้งสับสนและสงสัย

   จนบางครั้งพิณก็สัมผัสได้ว่ายิ่งเขาคุยกับเตมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกเจ้าตัวน้อยลงไปทุกที

   “เต” พีรการต์เปล่งเสียงเรียกชื่อคนที่นั่งซ้อนข้างหลังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาจนคำพูดนั่นมันเกือบจะกลืนไปกับสายลม แต่ถึงกระนั้นความกังวลบางอย่างที่ถูกส่งผ่านในน้ำเสียงนั้นกลับทำให้ชื่อของเตถูกได้ยินอย่างชัดเจนจนน่าประหลาด

   น้ำเสียงของพิณเต็มไปด้วยคำถามที่เจ้าตัวไม่กล้าเอื้อนเอ่ย แต่เตชภณก็รู้ว่ามันถึงเวลาที่เขาควรจะตอบ

   เตกอดกระชับร่างบางให้แน่นขึ้น เขาสบหน้าทั้งหน้าลงบนไหล่บาง ก่อนจะพูดเสียงอู้อี้

   “แตงเป็นน้องสาวแท้ๆของกูเอง” เตชภณกล่าว เขาเงียบไปชั่วครู่นึงแล้วเอ่ย “แล้วแตงก็หวงกูมาก”

   พีรการต์ยิ้มโล่งใจ แม้ว่าเตจะไม่ได้ตอบทุกอย่างที่เขาอยากรู้ “เห็นมึงทำท่ามีลับลมคมนัยตั้งนาน ที่แท้ก็แค่อายที่ถูกน้องสาวหวงนี่เอง” พิณขำในลำคอ แต่เตไม่ได้หัวเราะด้วย และนั่นทำให้ความสงสัยของร่างบางที่เพิ่งหายไปกลับเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว

   เขาทั้งสองสบตากันผ่านกระจกมองหลัง เตชภณดูจริงจังมากกว่าที่เขาเคยเป็นครั้งไหนๆ

   “เอาเป็นว่า...” ร่างสูงลากเสียงยาวเหมือนกำลังครุ่นคิด แต่ท้ายที่สุดเขาก็พูดออกมา “มึงอยู่ห่างจากแตงไว้เป็นดีที่สุด”




..................................................................................



คนเขียนขอเม้าท์: น้องพิณเมาค่ะ คนเขียนพยายามจะเขียนให้รู้ว่าน้องเมามาก บวกกับพิณเป็นคนประเภทแข็งนอกอ่อนใน(และบางทีก็อ่อนทั้งนอกและใน) ยิ่งพื้นฐานเดิมของน้องคือรักอิเตมาก เรื่องมันเลยดำเนินมาในทางนี้
จะบอกว่าพิณยอมใจอ่อนง่าย ไม่ยอมทำอย่างที่ตัวเองพูดสักทีนี่ก็ถูกค่ะ เพราะอันที่จริงแล้ววางคาแรกเตอร์ของน้องไว้ในเป็นคนใจอ่อนและย้อนแย้ง(ฮา)
อย่าเพิ่งหงุดหงิดความเยอะของปมปัญหานะคะ ทุกตัวละครมีความสำคัญมากค่ะ
ยังไงก็ฝากติชมกันด้วยนะคะ หรือเอาไปพูดถึงในทวิตเตอร์ก็ได้ คนเขียนจะรู้สึกปริ่มมาก
#เตคนเล่นพิณ << ใช้แฮชแท็กนี้นะคะ ขอบคุณค่ะ  :hao5:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2017 18:35:34 โดย Red_Enchanted »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
จะใช่น้องสาวจริงเหรอ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ satiara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสัยจะแย่แล้วว
มาต่อนะคะะะ (=

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
สาเหตุที่ต้องแยกกันไป คงเป็นฝีมือเด็กแตงนี่ซินะ รวมถึงเป็นคนปล่อยคลิปด้วย

อ่านไปก็หน่วงไป

ออฟไลน์ lnudeel

  • I wanna be a CAT!!
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-5
สาเหตุที่แท้จริงคืออะไรกันนะ :hao4:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
หรือแตงเป็นลูกพี่ลูกน้อง
หรือน้องเลี้ยง ที่หวงเต เกินพี่ มากกว่าพี่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตอนนี้แตงดูจะเป็นปริศนามาก

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ไม่ชอบเตเลยจิง หึ่ยยย!!

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เห็นด้วยกะชื่อเรื่อง นี่แฟนเก่า หรือเจ้ากรรมนายเวร

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
บอกว่าเป็นน้องสาวแท้ๆ จริง แต่บอกไม่หมดใช่ป่ะว่ามีปัญหาทางจิตด้วยอะไรแบบนี้ ถึงได้ให้อยู่ให้ห่างเข้าไว้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
เป็นน้องสาวก็โรคจิตได้นะ

ออฟไลน์ Red_Enchanted

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
CHAPTER NINE

- This same flower that smiles today, tomorrow will be dying. -



   [สามปีที่แล้ว]

   ‘แตง’ หรือ ‘ตุลยดา’ เป็นเด็กสาวแรกรุ่นวัยสิบสี่ปีที่มีหน้าตาสะสวย ผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียด และนัยน์ตาแข็งกร้าวเกินกว่าเด็กปกติในรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ตุลยดาเองก็ไม่เคยรู้ตัว เด็กสาวก้าวขาลงจากรถตู้ราคาแพงด้วยรองเท้าคัทชูขัดใหม่เงาวับในชุดเครื่องแบบนักเรียนที่คุณแม่ของเธอเพิ่งพาไปซื้อเมื่อไม่นานมานี้

   แตงเพิ่งจะย้ายโรงเรียนมาจากกำแพงเพชร

   อากาศที่เย็นเป็นพิเศษในฤดูหนาวทางตอนภาคเหนือของไทยไม่ได้ทำให้แตงสะทกสะท้านอะไรมากนัก เธอใส่เสื้อนักเรียนตัวบางที่ไม่มีเสื้อแขนยาวทับ ทั้งที่คนท้องถิ่นบางคนเริ่มใส่เสื้อกันหนาวชนิดหนาพิเศษไปแล้วเสียด้วยซ้ำ นั่นทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กสาวยังมีประสาทรับรู้ความรู้สึกอยู่หรือเปล่า

   “ลงมาสิคะพี่เต” เธอหันไปเรียกคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ในรถเสียงแหลม แม้ว่าแตงจะเป็นคนที่มีแก้วเสียงใส แต่ในบางครั้งเสียงของเธอกลับฟังดูน่ารำคาญหูอย่างประหลาด

   คนที่ถูกเรียกก้าวเท้าลงมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งจนผิดวิสัย ตั้งแต่พ่อแม่ซื้อมอเตอร์ไซค์คันใหม่ให้ เขาก็ไม่เคยนั่งรถที่บ้านมาโรงเรียนแม้แต่ครั้งเดียว แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดที่ทำให้เขาหงุดหงิด

   “ดีใจจังเลย สุดท้ายเราทั้งสองคนก็ได้เรียนที่เดียวกันอีก” เด็กสาวว่าพร้อมกระโดดเข้ามาเกาะแขนแกร่งอย่างร่าเริง “พี่เตดีใจมั้ยคะ”

   เตชภณหันไปมองน้องสาว ซึ่งตอนนี้กำลังฉีกยิ้มกว้าง “ดีใจสิ” คำตอบของเตสวนทางกับสีหน้าของเขา มันไม่ใช่การแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อนอะไร แต่ถึงกระนั้นเด็กสาวก็มองข้ามการกระทำของร่างสูงไป

   เตชภณและตุลยดาแยกย้ายกันเข้าห้องเรียน โดยที่เตไม่คิดจะไปส่งน้องสาวของเขาที่ห้องเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับแตง เธอเป็นคนฉลาด และรู้จักวิธีการที่จะผูกมิตรกับคนอื่นเมื่อจำเป็น หลังจากเข้าเรียนได้ไม่นานนัก เธอก็ได้เข้ากลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่จัดว่าเป็นที่นิยมของหนุ่มๆภายในโรงเรียนนี้พอสมควร

   “นี่พวกแก” ตุลยดาเอ่ยเรียก หลังจากเสียงสัญญาณบอกเวลาพักรับประทานอาหารดัง แตงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดภาพของเด็กสาวคนที่เธอเคยพูดถึงกับพิณ “คนนี่น่ะ เขาชื่อพี่เบลใช่มั้ย”

   “อืม ใช่ ทำไมหรอ” หนึ่งในเพื่อนของเธอกล่าว

   “แกพอรู้มั้ยว่าพี่เขาอยู่ห้องไหน”

   เพื่อนคนเดิมกลอกตาคิด “สามทับหนึ่ง” เธอตอบ “แตงรู้จักหรอ”

   “ยังไม่รู้จัก” ตุลยดาพูด เด็กสาวฉีกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “แต่เดี๋ยวก็รู้จักแล้ว”




   “เบล ไปกินข้าวกันเถอะ” พีรการต์หันไปเรียกเพื่อนสาวพลางจัดของที่อยู่บนโต๊ะลงกระเป๋า ร่างบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าแอปพลิเคชั่นไลน์เพื่อเช็คช่องแชทที่เจ้าตัวคุยกับเตไว้ครั้งสุดท้าย เพราะปกติแล้วเตจะส่งข้อความมาบอกหากว่าเขาไปจองโต๊ะแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มี “เตหายอ่ะ ไม่รู้ว่าไปจองโต๊ะไว้หรือยัง”

   “ทำไมหรอ” นภสรถามพร้อมเดินเข้ามาใกล้ เธอเอียงคอเล็กน้อย

   “ยังไม่ไลน์มาเลย” พิณแกว่งโทรศัพท์ไปมา

   เบลเม้มปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ ในตาของเธอมีแววสงสัย เด็กสาวทิ้งช่วงให้เงียบอยู่สักพักนึงก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก “พิณ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”

   พีรการต์นิ่งงัน เขารู้สึกตัวชา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยักหน้ารับคำขอของเบล

   “พิณกับเตน่ะ...” เบลเกริ่นขึ้นมาได้นิดหน่อย เธอเผลอกลั้นหายใจไปเสี้ยววินาทีนึง “มีอะไรเกิดขึ้นที่เบลไม่รู้หรือเปล่า”

   ร่างบางจิกเล็บเข้าฝ่ามือตัวเองทันทีที่เขาฟังคำถามจบ พีรการต์ไม่กล้าสบสายตาที่อีกฝ่ายมองมาด้วยซ้ำ พิณเป็นคนโกหกไม่เก่ง และเจ้าตัวก็รู้ดี ยิ่งกับเพื่อนที่คบกันมานานนมขนาดนี้ด้วยแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะปิดเธอได้หรือเปล่า

   ไม่ใช่ว่าพิณไม่อยากบอก แต่เขากำลังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเพื่อนทรยศ

   รู้ทั้งรู้ว่าเบลแอบปลื้มเต แต่ก็ยัง...

   “ไม่...” พีรการต์เผลอพึมพำออกไป เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามเค้นคำพูดออกมาเพื่อจบประโยค “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

   “งั้นหรอ” เบลพูดเสียงนิ่ม แต่นัยน์ตาเธอกลับดูขุ่นมัว “อย่าให้เบลรู้ว่าโกหกก็แล้วกัน”

   พีรการต์เงียบ เขาเงียบไปนานมาก แต่ในที่สุดเขาพูดออกมา “ไม่ใช่เรื่องโกหกหรอก”

   นภสรมองหน้าพิณนิ่ง อารมณ์ร้อนบางอย่างกำลังปะทุขึ้นมาในใจเธอ และต้นเหตุของมันก็อาจจะเป็นเพราะว่าเบลอ่านคนเก่งเกินไป อย่างที่เธอกำลังอ่านพิณได้อย่างขาดฉลุยในตอนนี้ นภสรรู้ ถึงเธอจะไม่มีหลักฐานเธอก็รู้อย่างเต็มอกแล้วว่าพีรการต์กำลังโกหก

   หน้าซีดขนาดนั้นน่ะ ใครดูไม่ออกก็โง่แล้ว

   เบลคิดในใจ

   “ถ้าพิณจะว่าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร” เด็กสาวเอ่ยปาก หากใจเธอกลับคิดตรงข้ามกับสิ่งที่พูด จริงอยู่ว่าเธอแอบชอบเตและไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเขา แต่สิ่งที่ทำให้เบลรู้สึกโกรธพิณมากกว่าอะไรทั้งหมดคือการที่คนตรงหน้าโกหกเธอ ทั้งที่เขาไม่เคยทำแบบนี้เลยตลอดสิบกว่าปีที่คบกันมา

   นภสรรู้ แต่ตอนนี้เธอยังไม่มีสิ่งยืนยัน

   และตอนนี้เบลก็กำลังอยากได้หลักฐาน

   “ไปกินข้าวกัน” เด็กสาวพูดตัดบทเมื่อเห็นพีรการต์ยืนนิ่ง เบลมองหน้าคู่สนทนาด้วยแววตาที่พยายามจะซ่อนความหงุดหงิด เธอเดินผ่านตัวเขาไปยังประตูอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าพิณยังไม่ยอมขยับเคลื่อนไหว

   แต่ทว่า...

   ปึก!

   กึก!

   “โอ๊ย...!” ใครบางคนกลับเดินตัดหน้ามาชนนภสรอย่างแรงทำให้ตัวเธอกระเดนไปชนขอบประตูจนล้มลง เบลร้องโอดครวญออกมาเสียงค่อย เธอตวัดสายตาขึ้นมองคนที่ทำเธอเจ็บ

   และเด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งตรงหน้าไม่แม้แต่จะขอโทษ

   “เบล เป็นอะไรหรือเปล่า” พีรการต์วิ่งออกมาทันทีที่เห็นเหตุการณ์ เขาตรงเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนสาวที่นั่งเจ็บขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองคนต้นเหตุ

   ‘แตง’ ฉีกยิ้มให้พิณเล็กน้อย “สวัสดีค่ะพี่พิณ” ตุลยดาพูดเสียงเย็น เธอหันไปมองเด็กสาวรุ่นพี่ที่กำลังยืนจ้องหน้าเธออย่างฉงนปนไม่พอใจ “แล้วก็พี่เบล”

   พีรการต์ใช้สายตาสำรวจเด็กสาวผิวสองสีที่ยืนกอดอกอยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความงุนงง ตุลยดาอยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนเขาอย่างเต็มตัว และพิณเองก็จำไม่ได้ด้วยว่าเตชภณเคยบอกว่าน้องสาวจะย้ายมาเรียนที่นี่

   แปลกจริง

   “พิณ นี่คะ...” นภสรหันไปหาพีรการต์ เธอกำลังจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดได้ไม่ทันจบประโยค

   “เป็นเพื่อนสนิทกับทั้งสองคนแบบนี้...” แตงพูดขัดขึ้นมา เด็กสาวรุ่นน้องลากเสียงยาวแต่เธอไม่ได้มีท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิด ตุลยดาก้าวขาเข้ามาใกล้พิณมากกว่าเดิม เธอกวาดตามองหน้าร่างบางจนร่างเขาสึกอึดอัด ส่วนเบลก็ได้แต่ดูการกระทำนั้นด้วยความไม่เข้าใจ “ที่บอกว่าไม่รู้เรื่องพี่เตนี่ โกหกสินะคะ”

   เด็กสาวยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่น่ามองเลยในความคิดของพีรการต์

   “ช่างเถอะค่ะ” ตุลยดาก้าวเท้าถอยออกไป “เพราะที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่พิณ”

   “นี่น้อง”  นภสรเอ่ยหลังจากเงียบมานาน เด็กสาวรุ่นพี่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา เธอยืดตัวขึ้นพูด “น้องเป็นใครน่ะ มีสิทธิ์มาพูดกับเพื่อนพี่แบบนี้ เมื่อกี้เดินชนพี่ก็ไม่ขอโทษ”

   “แล้วทำไมแตงจะต้องขอโทษละคะ ก็แตงตั้งใจจะเดินชน” เด็กสาวผิวสองสีหันไปยิ้มให้เบลอย่างไม่มีร่องรอยความสะทกสะท้านหรือความเคารพรุ่นพี่หลงเหลือในเห็นในน้ำเสียงและแววตา คำตอบของตุลยดาทำให้รุ่นพี่ทั้งสองคนอึ้งไปด้วยความตะลึง แตงสาวเท้าถอยหลังห่าง ยิ้มเย็นเป็นครั้งสุดท้าย “แล้วเจอกันนะคะ พี่เบล”

   ตุลยดาเดินออกไปจากหน้าห้องสามทับหนึ่งโดยไม่มีใครพูดรั้งเธอเอาไว้ทั้งนั้น นภสรมองตามจนเธอพ้นระยะสายตา ก่อนที่เธอจะหันหน้ามาหาพีรการต์

   “พิณ เด็กคนเมื่อกี้เป็นใคร ทำไมมันถึงรู้จักเรา” เบลถามด้วยน้ำเสียงที่เจือความโกรธเกรี้ยว

   “น้องเขาชื่อแตง” พีรการต์ตอบเสียงลอย เขาหันไปสบตาคู่สนทนาของตนเอง “เป็นน้องสาวของเต”

   


   “เตคิดจะลงสีเจ้าดอกไม้นี่เป็นสีอะไรหรอ” เสียงของนภสรดังเจื้อยแจ้วดังขึ้นภายในห้องศิลปะในขณะที่เตกำลังขมักเขม้นอยู่กับชิ้นงานของเขา สาวเจ้าเดินเข้าไปใกล้เจ้าของผลงานก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ “ถ้าลงเป็นสีม่วงก็น่าจะสวยน่าดูเหมือนกันเนาะ”

   เตชภณไม่ตอบ หากจะพูดให้ถูกคือเขาไม่ได้ยินที่นภสรถามเสียมากกว่า เพราะตอนนี้จิตใจของร่างสูงกำลังจดจ่ออยู่กับงานปั้นตรงหน้าที่เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เบลนิ่งไปเหมือนเห็นว่าเตเพิกเฉยต่อคำถามของเธอ เด็กสาวจึงหันมาหาเพื่อนร่วมวง

   “ว่ามั้ยพิณ”  นภสรถามเพื่อนที่นั่งพิงอยู่ที่ขอบหน้าต่าง นัยน์ตาสีนิลของพีรการต์มองออกไปตรงสนามหญ้ารกกร้างข้างโรงเรียน แววตาของร่างบางดูว่างเปล่าทั้งที่ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดที่พันกันอย่างวุ่นวายจนยุ่งเหยิงไปหมด

   พีรการต์ถอนหายใจ

   พิณและเบลพร้อมใจกันไม่บอกเตชภณเกี่ยวกับการเจอตุลยดาอันเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตรที่ห้องเรียนของพวกเขาในที่ผ่านมา ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้ เตเองก็แทบจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับแตง เขาเคยพรึมพรำอยู่ระหว่างมื้ออาหารแค่ว่า ‘น้องสาวย้ายมาเรียนที่นี่’ แต่มันก็แค่นั้น

   นับตั้งแต่ที่แตงเข้าเรียนที่นี่จนผ่านมาเป็นเดือนกว่าแล้ว เตชภณก็ดูจะมีความลับจนพีรการต์รู้สึกได้ พิณเคยพยายามลองพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างแล้วเหมือนกัน แต่ก็มักได้คำตอบกลับมาว่าไม่มีอะไรเสมอ ซึ่งนั่นทำให้พีรการต์หนักใจ

   นอกเหนือไปจากเรื่องท่าทีแปลกๆของเตชภณที่ทำให้พิณสงสัยแล้ว คือการที่เตดูจะไม่สนิทกับเบลเหมือนเมื่อก่อน จริงอยู่ว่านภสรยังคงมาที่ห้องศิลปะและพยายามเข้าหาเตชภณอย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อใดที่เบลขอให้เตไปส่ง เธอก็จะต้องถูกเขาปฏิเสธว่าไม่ว่างทุกครั้งไป

   ที่แปลกอีกคือ นอกจากปฏิเสธการไปส่งเบลที่บ้านแล้ว หลังจากการทำงานศิลปะตอนเย็น เตชภณยังแวะมานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านของพิณบ่อยๆ อีกต่างหาก ทั้งที่บ้านของพีรการต์กับนภสรห่างกันไม่ถึงสองร้อยเมตรด้วยซ้ำ

   พิณสงสัย แต่เขาไม่เคยปริปากถามอย่างจริงจังสักที

   ในความรู้สึกดีที่พิณได้ใช้เวลาร่วมกับเตมักจะปะปนไปด้วยความรู้สึกผิดเหมือนเขากำลังหักหลังเพื่อนสนิทตัวเองทุกครั้ง แต่พิณก็ดันหักห้ามใจตัวเองไม่ได้สักเพียงนิด พีรการต์เกลียดตัวเองสำหรับความรู้สึกเกินเพื่อนที่เขามีให้เต ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่านภสรชอบเตก็ตาม

   เราจะใช้ ‘ความรัก’ มาเป็นข้ออ้างของ ‘ความเห็นแก่ตัว’ ได้จริงๆน่ะหรือ

   พิณคิด

   “พิณ” เสียงเรียกของนภสรในโทนที่ต่ำกว่าปกติทำให้พีรการต์สะดุ้งตัวออกจากภวังค์ เบลดูหงุดหงิดที่เพื่อนทั้งสองฟังข้ามคำถามของเธอ “มัวแต่เหม่ออะไรอยู่”

   “อ่อ...เปล่า” พีรการต์รีบตอบ นภสรแอบเห็นร่างบางเหลือบตาไปมองเตชภณเสี้ยววินาทีนึง “พอดีง่วงนิดหน่อยน่ะ เบลว่าไงนะ”

   “เปล่า ไม่มีอะไร” เบลกัดเล็บพร้อมหรี่ตาลง ในหัวนึกไปถึงแผนการพิสูจน์ความจริงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ที่เธอคิดไว้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสทำเสียที

   พีรการต์รู้สึกอึดอัดกับสายตาที่จ้องมองมาของเบล เขาเสสายตาไปมองงานปั้นที่เตกำลังจงใจปราณีตทำอยู่ ร่างสูงใช้เครื่องมือที่ดูคล้ายแท่งไม้ปลายเหล็กซี่เล็กเขี่ยขูดลงไปบนรูปดินเหนียวเพื่อเพิ่มรายละเอียดของกลีบดอกไม้ เหงื่อที่ไหลชะโลมหลังแผ่นกว้างเนื่องจากความร้อนในห้องศิลปะทำเอาพิณหน้าเห่อร้อนเพียงแค่คิดจิตนาการหากว่าตัวเองได้ซบหน้าลงกับแผ่นหลังนั่น

   พีรการต์ละสายตาออกทันทีเมื่อรู้ตัวว่าคิดอะไรไม่เข้าเรื่อง และนึกขึ้นได้ว่านภสรเองก็ยังอยู่ในห้องนี้

   พิณภาวนาให้เด็กสาวไม่เห็นความรู้สึกจากสายตาของเขาที่ส่งผ่านไปในเต

   แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

   นภสรเห็น และเด็กสาวเกลียด เกลียดความลึกซึ้งในดวงตาสีนิลคู่นั้น

   เธอเกลียดมากขึ้น เมื่อพีรการต์ใช้ดวงตาคู่เดียวกันทอดมองมาที่เธอในขณะที่เจ้าตัวโกหกว่ามันไม่มีอะไรระหว่างเขากับเต

   ไม่ใช่ว่าเบลชอบเตขนาดที่ยอมหักกับเพื่อนรักได้ เธอไม่ได้เกลียดพิณ หากแต่เธอเกลียดการกระทำของร่างบาง ลึกลงไปแล้วนภสรแอบน้อยใจที่พีรการต์เห็นความไว้ใจของเธอเป็นของราคาถูกที่เขาลืมให้ค่ามัน

   ด้วยเหตุนั้นเองเบลจึงอยากพิสูจน์ อยากเอาหลักฐานมาตบหน้าพิณ เพื่อให้เขาเลิกโกหกเธอได้แล้ว

   จริงสิ...

   เบลกอดอก เลิกคิ้วขึ้น

   “เออพิณ โครงงานภาษาอังกฤษคู่ของครูวิมลน่ะ เบลว่าเราสองคนรีบทำกันเลยดีกว่านะ นี่ก็จะสอบปลายภาคแล้ว เดี๋ยวครูคนอื่นทยอยสั่งงานเร่งทำคะแนนขึ้นมาอีก เราจะทำกันไม่ทัน”

   “เอาสิ” พีรการต์ตอบโดยไม่ต้องคิด “เมื่อไหร่ดีละ”

   “พรุ่งนี้ดีมั้ย วันเสาร์พอดี” เด็กสาวคู่สนทนาเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “แต่เอาเป็นที่บ้านพิณนะ”

   “ก็ได้ พรุ่งนี้เราว่างพอดี” พีรการต์เอ่ย เขาหมุนตัว กระโดดลงจากขอบหน้าต่าง “เอ...แต่ปกติแล้ว เวลาเราทำงานคู่ เราก็ทำกันที่บ้านเบลตลอดไม่ใช่หรือ”

   “ใช่ แต่ว่าพรุ่งนี้เราอยากไปบ้านพิณน่ะ ไม่ได้เข้าไปสวัสดีป๊าม๊านานแล้ว” นภสรพูดเร็วฟังอย่างไรก็รู้สึกได้ว่าเธอดูลนลานผิดปกติ แต่พีรการต์ก็ไม่ได้นึกติดใจอะไรกับท่าทีของเบล ร่างบางเพียงแต่ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ

   “ก็ตามนั้นแล้วกัน”

   “โอเค...” เบลยิ้่ม และมันไม่ใช่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจ เด็กสาวก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับพีรการต์ด้วยน้ำเสียงปกติ “เราไปก่อนนะ คนที่บ้านน่าจะมารับแล้ว”

   “อ้าว อาเก่งกลับมาจากทริปไปเยี่ยมลูกค้าแล้วหรือ” เตชภณที่ก่อนนั่งเงียบอยู่เอ่ยขึ้นหลังจากเบลพูดจบ พีรการต์เสตาไปมองเขาพลางขึ้นสงสัยว่าคนร่างสูงสนิทชิดเชื้อกับครอบครัวของนภสรจนขนาดรู้จักกับคุณพ่อของเบลแล้วหรือ

   แต่ก็นั่นแหละนะ เคยเทียวรับเทียวส่งกันเช้าถึงเย็นถึงซะขนาดนั้นนี่หน่า

   “เปล่าหรอก ยังไม่กลับมา” นภสรเอ่ยเสียงนิ่ง เด็กสาวเหลือบตาไปมองคนถามครู่นึง ก่อนจะหันกลับมาสบตาพิณ “เราขี้เกียจรอพิณกับเฮียภีมน่ะ ขอให้เตไปส่งทีไร เตก็ไม่ว่างทุกทีไม่ใช่หรือ”

   เบลตั้งใจพูดประชด หากแต่เธอไม่ใช่มองหน้าเตชภณ ในเสี้ยววินาทีหนึ่งเด็กสาวส่งแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจให้พีรการต์ มันเร็วเสียจนคนถูกมองไม่ทันจะสังเกตเห็น นภสรเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่มุมห้อง ร่ำลาเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะเดินออกไป

   ~!

   เครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงของเตชภณแผดร้องขึ้นก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร ร่างสูงหันไปเช็ดมือที่เปื้อนดินเหนียวกับผ้าที่วางอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรายชื่อคนโทรเข้า เตถอนหายใจออก แววประกายในตาของเขาหายไปเมื่อทราบว่าเจ้าของเบอร์เป็นใคร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังกดรับ

   “ฮัลโหล แตง” พีรการต์ไม่ได้หันไปมอง จะพูดให้ถูกเลยคือร่างบางไม่ใส่ใจ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกเย็นหลังจากที่ตุลยดาเข้าเรียนที่นี่ จนถึงตอนนี้ พิณก็ชินเสียแล้ว “พี่ยังทำงานไม่เสร็จเลย ไม่ต้องรอ”

   พิณเดินทอดน่องสำรวจชิ้นงานต่างๆในห้องศิลปะ ทั้งที่เขาเองก็ได้ชื่นชมงานพวกนี้มาเป็นจะร้อยครั้งได้แล้ว

   “ไม่ต้องมา กลับบ้านไปกับลุงแจ่มเลย เดี๋ยวเย็นนี้พี่ก็กลับไป”

   พีรการต์หยุดมองที่ภาพวาดสีน้ำรูปพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป็นรูปวาดชิ้นโปรดที่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนวาด ร่างบางจำรายละเอียดทุกอย่างของภาพวาดนี้ได้ ความเหงาบางอย่างที่แผ่ออกมาจากภาพนี้เป็นไอเย็นที่ทำให้ใจของพิณอุ่น

   “แตง” คนคุยโทรศัพท์ขึ้นเสียงเข้ม “ถ้าแตงมา วันนี้พี่ไม่กลับ”

   ประโยคเดิมๆ กับบทสนทนาเดิมๆ ของร่างสูงกับน้องสาวทุกวันกลายเป็นสิ่งที่คุ้นหูของพิณ ความสงสัยมีเคยมีแต่เดิมก็หายไปเสียแล้ว เพราะเตชภณดูไม่เคยพยายามจะอธิบายพฤติกรรม ‘ติดพี่ชายเกินไป’ ของน้องสาวเขาเลย พอเป็นเข้าเช่นนั้นทุกวันพิณจึงบังคับให้ตัวเองเลิกสนใจ

   บางครั้งการเพิกเฉยต่อความรู้สึกบางอย่าง มันก็คงจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

   พีรการต์คิดแบบนั้น

   “อืม รู้แล้ว” พิณเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ใกล้เตชภณ เมื่อเขารู้ว่าบทสนทนาใกล้มาถึงบทจบ “แค่นี้นะ”

   แล้วเตชภณก็วางสาย ร่างสูงหันมาสบสายตากับคนที่นั่งข้าง

   เขายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   …และมันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง

   “ไปบ้านมึงนะ”


   
   
   “กลับมาแล้วคร้าบบบบ!” พีรการต์ตะโกนดังหลังจากที่เขาและเตชภณเดินเข้ามาในตัวบ้านแม้จะมีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้สูงว่าไม่มีใครได้ยินประโยคนั้นก็ตาม เพราะปกติแล้วป๊าของพิณจะยังไม่กลับ ม๊าของพิณก็คงหนีไม่พ้นการทำกับข้าวอยู่ในครัวซึ่งมีเสียงโขกครกดังอยู่ตลอด ส่วนเฮียภีมก็คงจะยังซ้อมดนตรีอยู่ที่โรงเรียน

   เตชภณเคยถามว่า พีรการต์จะทำแบบนี้ทำไมหากรู้ว่าไม่มีใครได้ยิน

   และคำตอบที่เขาได้มาก็ทำให้เขายิ้มกว้างหลังจากได้ยินมัน

   ‘ทำเลียนแบบโนบิตะน่ะ ทำมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้เลยชินไปแล้ว’

   ร่างบางว่าแบบนั้น

   มันเป็นการกระทำที่เตชภณอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่เห็น

   “กลับมาแล้วเหมือนกันคร้าบบบ!” และวันนี้เตเองก็ตัดสินใจตะโกนเป็นเพื่อนพีรการต์ ร่างบางหันไปกระทุ้งข้อศอกใส่คนใกล้ตัวทีนึงโทษฐานที่บังอาจล้อเลียนเขา ร่างหนาหัวเราะหยอกเบาๆ ก่อนทั้งคู่ก็เดินไปวางกระเป๋าไว้ที่โซฟา แล้วชวนกันไปหาม๊าของพิณที่อยู่ในครัว

   โป้กๆๆ!

   “ม๊า!” พีรการต์ร้องเรียกสรรพนามของมารดาดังกว่าปกติเนื่องจากหญิงวัยกลางคนกำลังตำอะไรบางอย่างที่อยู่ในครก คนถูกเรียกสะดุ้งตัวเล็กน้อย ยังไม่ทันจะหันมา พิณก็เข้าชาร์จไปกอดเธอจากด้านหลังเสียก่อน “วันนี้ทำอะไรกินอะ”

   เตชภณอมยิ้มกับการกระทำเด็กๆของพิณ อดคิดไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ของครอบครัวที่ใกล้ชิดขนาดนี้น่าอุ่นใจไม่หยอก

   “ก็มีตำขนุน แคบหมูผัดพริกขิง น้ำพริกหนุ่ม แล้วก็ไส้อั่วตับของโปรดเรา” คนเป็นแม่หันหน้ามาตอบลูกชายตัว ก่อนจะเธอจะเห็นแขกมาเยือนที่ยืนแอบยิ้มไม่ให้ซุ้มให้เสียงอยู่ข้างพิณ “อ้าว เจ้าเต ยืนอยู่เงียบๆ แม่ตกใจหมด”

   “สวัสดีครับน้าจิน” ร่างหนายกมือไหว้

   “นี่ บอกกี่ทีๆแล้วว่าให้เรียกม๊าน่ะหือ ว่ายากจริงเด็กคนนี้” สาววัยกลางคนบ่นแบบไม่จริงจังมากนัก เธอหันหน้ากลับไปมองลูกชาย ก่อนจะพบว่าเจ้าตัวกำลังหยิบน้ำตาลปี๊บจากถ้วยมากินเล่นอยู่ จินตนาตีมือพีรการต์เสียงดังจนคนถูกตีร้องโอดโอย “ม๊าบอกแล้วใช้มั้ยว่ากินแบบนี้บ่อยๆมันจะเป็นเบาหวานเอา”

   “โถ...ม๊า ก็มันอร่อยอ่ะ” พิณว่าพลางวางน้ำตาลปีี๊บก้อนลงหน้าเจื่อน

   “ไปเลยไป เราสองคนขึ้นไปซนรอบนห้องเลย เดี๋ยวม๊าทำเสร็จแล้วจะเรียก” คนเป็นแม่ว่าพร้อมโบกมือไล่

   “ไม่ต้องให้ช่วยหรือครับ” เตชภณถาม

   “ช่วยป่วนเสียมากกว่าละสิ เดี๋ยวเจ้าพิณก็กินนู้นกินนี่ ของหมดก่อนตั้งโต๊ะพอดี” จินตนากล่าว หลังจากนั้นก็บอกไล่ให้ทั้งสองคนออกจากครัวไปเสียที พีรการต์แหย่แม่ตัวเองเล่นนิดหน่อยโดยการวิ่งไปหยิบน้ำตาลปี๊บมากินอีกก้อน แต่เขาก็วิ่งออกจากที่นั่นได้ทันก่อนที่ม๊าเขาจะได้บ่นอะไร

   ทั้งสองพากันวิ่งขึ้นมาชั้นบนของบ้าน แล้วพากันเข้าไปในห้องของพิณ

   พีรการต์หอบเหนื่อยอยู่หน่อยๆ “เกือบโดนสากปาหัวแล้ว” ร่างบางพูดแซวแม่ตัวเองเกินจริง

   “น้าจินคงไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า” เตเอ่ย เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วยิ้มออกมา “มึงเวลาอยู่กับแม่ อ้อนแม่ นี่ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ”

   “ถ้าไม่อ้อนเดี๋ยวม๊าจะน้อยใจ” พีรการต์ตอบพลางเอื้อมมือไปปิดประตู ร่างบางพยายามเพิกเฉย ทำตัวไม่เคอะเขิน เหมือนไม่ได้ยินคำชมที่เตชภณเพิ่งเอ่ยออกมา

   “งั้นวันหลังกูจะแกล้งน้อยใจบ้าง” ร่างสูงยิ้มกริ่ม “อยากโดนอ้อนแบบนั้น”

   พิณเงียบไปเพราะเขาไม่รู้ว่าจะตอบเตอย่างไรดี ร่างบางหลบสายตาคู่สนทนาพลางใช้มือกระเพือมเสื้อเพื่อดับความร้อน แก้มเนียนขึ้นสีนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยหรือคำหยอดที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่กันแน่

   พีรการต์ขบริมฝีปากเข้าด้วยกัน

   จู่ๆ เตก็ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้เมื่อเขามองภาพตรงหน้านั้น สายตาเขาจับจ้องตามพีรการต์ในขณะที่ร่างบางเดินไปเปิดหน้าต่าง แสงแดดที่ส่องเข้ามาจากข้างนอกทอดลงผ่านเสื้อนักเรียนสีขาวที่พิณสวมใส่อยู่จนเตชภณสังเกตเห็นสัดส่วนช่วงบนของคนถูกมองได้อย่างชัดเจน

   คนตัวสูงก้าวเข้าไปซ้อนหลังพีรการต์อย่างลืมตัว

   เขานึกรำคาญอาภรณ์ที่อยู่บนร่างบางขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

   “ถ้าร้อนนักก็ถอดเสื้อซะสิ” เสียงที่แหบพร่าของร่างสูงไม่มีแววของการล้อเล่นอยู่เลยแม้แต่น้อย และนั้นทำให้หน้าของพีรการต์ร้อนวูบขึ้นมา เตใช้คำพูดจาด้วยน้ำเสียงโทนนี้ไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่เขาใช้มัน พิณก็รู้สึกเหมือนใจตัวเองจะละลายกลายเป็นของเหลวไปเสียทุกที

   “จะบ้าหรือไง” พีรการต์เอ่ยค่อย เขาไม่กล้าหันไปมองคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

   มือหนาเอื้อมไปปิดหน้าต่างที่พิณเพิ่งเปิดเมื่อครู่ ตามมาด้วยหน้าม่าน “ไม่หรอก”  เตพูดพลางจับไหล่บางให้คนตัวเล็กหันกลับมาหาเขา “ก็ผู้ชายเหมือนกัน”

   เตชภณพูดประโยคธรรมดาด้วยน้ำเสียงอันตราย

   เตขยับเข้าไปใกล้พิณจนร่างบางถูกดันจนชิดขอบหน้าต่าง เขาใช้มือสากเชยคางคนตรงหน้าจนปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกัน พีรการต์เม้มปากด้วยความประหม่าแต่นัยน์ตาสีดำกลับไม่หลุบหนี เตชภณไล่ปลายนิ้วลงบนปกเสื้อของพิณ ก่อนจะปลดกระดุมที่เกะกะนั่นออก

   เขาหยุดตรงเม็ดที่สอง

   ใช้จมูกไล้ลงมาที่แก้มเนียนแผ่ว

   แล้วประกบจูบลงบนริมฝีปากสีชมพูเรื่อ

   มือบางจับเข้าที่สาบนักเรียนของร่างสูงทันทีที่โดนจู่โจม รสหวานบนปากของพีรการต์ทำให้เตอดใจละเลียดชิมไม่ไหว ลิ้นสากกวาดเลียบนบนริมฝีปากนุ่ม แล้วเน้นย้ำจูบลงไปอีก เตชภณยกมือของเขาขึ้นมาจับเข้าที่ข้างหน้าพิณ เพื่อปรับองศาของหน้าทั้งสองให้ดีขึ้น ในขณะที่อีกมือนึงก็ยังสารวนอยู่ตรงกระดุมเม็ดที่สองนั่น

   เขาสองคนจูบกันมาแล้วบ่อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่พีรการต์รู้สึกวาบหวามเท่าครั้งนี้

   เตเริ่มปลดกระดุมเม็ดต่อไป

   “เดี๋ยว” พีรการต์ดันร่างสูงออกจากตัวเขา เตชภณเลิกคิ้วขึ้นอย่างขัดใจ คนตัวใหญ่ก้าวเข้ามาเหมือนอยากประทับจูบลงมาอีก พิณเอามือกันเขาไว้ “เต”

   พีรการต์เรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นไหวที่พยายามจะดูจริงจัง

   เขาอยากถาม

   ถามคำถามนั้นก่อนที่เรื่องมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้

   “กูกับมึง...” พีรการต์ลากเสียงเหมือนลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจพูดออกมา “เราเป็นอะไรกัน”

   เตชภณนิ่งไป

   เขาเงียบนานจนหัวใจของคนร่างบางเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นพิณก็ยังคงยืนรอคำตอบ

   “พิณ...” ร่างสูงครางชื่อของคนร่างบาง เตจับมือของพีรการต์ไปวางไว้บนข้างอกข้างซ้ายของเขา อวัยวะภายในบางอย่างที่อยู่ใต้นั้นทำงานของมันอย่างหนักจนพิณรู้สึกได้ “ที่ใจกูเต้นแรงขนาดนี้ มันยังปกติอยู่หรือเปล่าวะ”

   เตชภณสบตากับคนตัวเล็ก เขาไม่รอให้พิณได้เอ่ยอะไรต่อไป

   ร่างสูงประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง

   คำพูดหวานๆของเขา

   อ้อมกอดที่แสนอบอุ่น

   การกระทำที่เต็มไปด้วยความใส่ใจของเต

   ทำให้ความคิดในสมองของพีรการต์เบลอไปชั่วขณะ จนเขาลืม...

   ...ลืมว่าเตชภณไม่ได้ตอบคำถามของเขา

   แค่นี้ก็พอแล้ว...ไม่เป็นไรหรอก

   นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่แว่บเข้ามาในหัวของพีรการต์ ก่อนที่คนตัวสูงจะใช้แขนช้อนเข่ายกเขาขึ้นแล้วพาร่างทั้งสองไปที่เตียง


....................................................................................

ประกาศ
คนเขียนจะหยุดการอัพประมาณหนึ่งเดือน เนื่องจากการเดินทางไปต่างประเทศ


ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1691
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
ฮือออ ค้างมากค่าา มาต่อเร็วๆน้าา

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ปมเยอะจริง ทำไมเตทำตัวไม่ชัดเจน ไม่ชัดเจน ไม่ชัดเจน

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เบล เต พิณ สับสนกัน
แถมมีแตง โผล่มาแบบที่เต ไม่พูด ไขความเข้าใจกับเพื่อนๆเลย

พิณ ถามเต แต่เตไม่พูด ใช้แต่การกระทำตอบกับมา :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
นี่เต ได้แต่....... แต่ไม่ตอบจนเกิดเรื่องหรือเปล่า  o22 o22 o22
เต น่าเบื่อโคตรๆ
สมควรละ ที่พิณ จากมา ทิ้งเต จริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ค้างมากมาย และค้างต่ออีก 1 เดือน

ออฟไลน์ Kactus_Tea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ใช้ภาษาดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่น่าติดตามดีค่ะ
อยากให้มาต่อจังเลย

 :hao5:

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด