Chapitre 18
หลังจากออกจากสยามมา หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ หลังจากนั้นรถคันสวยคู่ใจของปาร์คก็เข้ามาจอดสนิทภายในเขตรั้วบ้านผมเรียบร้อย ระหว่างทางผมก็ถามว่าจะมาบ้านผมทำไม แต่กลับได้คำตอบพร้อมกับการหันมายักคิ้วกวนๆ กลับมาว่าจะไปไหว้พ่อตาแม่ยาย ดูมัน! แต่เอาเถอะครับ อยากมาก็มา
“อ้าว รถใครน่ะฟร๊องก์” แม่เปิดประตูบ้านออกมาดูเมื่อเห็นรถปาร์คจอดสนิทอยู่ก่อนที่เจ้าของรถจะลงมา
“สวัสดีครับคุณแม่” ปาร์คที่เพิ่งลงมาจากรถส่งเสียงพร้อมกับไหว้ทักทายแม่ของผมอย่างมีมารยาท ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มนั่นน่าหมั่นไส้มากเลยครับ แถมยังมีการหันมาเหล่ผมเป็นเชิงก่อกวนอีก
“เพื่อนน่ะแม่ บ้านช่องไม่มีอยู่ สงสารเลยพามาบ้าน” ได้ทีผมกัดซะเลย
“ไปว่าเพื่อน! ว่าแต่คนนี้ชื่อ... ภาคหรือปาร์คอะไรนั่นป่ะ แม่คุ้นๆ หน้า” แม่ผมมองหน้าปาร์คอย่างพิจารณา ถึงจะเคยเจอกันมาก่อนหน้า แต่ปกติพ่อกับแม่ผมจะจำชื่อเพื่อนไม่ค่อยจะได้หรอกครับ จะจำได้แค่คนที่เคยไปส่งบ้านหรือเจอบ่อยๆ หน่อย แต่อย่างปาร์คนี้ไม่ค่อยบ่อยมากนักครับ ยังดีที่แม่พอคุ้นชื่ออยู่บ้าง
“ปาร์คครับผม” เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส
“มาๆ เข้าบ้านก่อนสิ ว่าแต่เพื่อนกินอะไรมาหรือยัง”
“ช่างมันเถอะแม่ โตแล้วให้กินเอาเอง โอ้ย!” ผมที่เดินตามแม่เข้ามาติดๆ พอพูดออกไปแบบนั้นเลยโดนแม่หันมาตีที่ต้นแขนเต็มๆ ครับ แสบมาก!
“พูดแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวเถอะ!” ไม่เดี๋ยวแล้วมั้งแม่ เต็มแรงขนาดนั้น
“ฮ่าๆ ยังไม่ได้ทานอะไรมาเลยครับ โดนเด็กดื้อลากมาบ้านซะก่อน” ปาร์คหัวเราะร่า แต่เดี๋ยวนะ! ใครเป็นคนลากมากันแน่ ไอ้นี่แม่งเนียนตลอด!!
“เหรอออ!” ผมหันไปกัดแทบจะทันที
“งั้นหาข้าวปลาให้เพื่อนกินด้วย แม่ทำงานก่อน” จากนั้นแม่ก็แยกตัวไปทำงานที่หน้าคอมพ์ฯ ต่อครับ ส่วนปาร์คก็ไหว้ทักทายพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟา ก่อนจะเดินตามผมเข้าไปในครัว
“มีแกงคั่วหน่อไม้กับผัดผักคะน้าอยู่ กินได้เปล่า เดี๋ยวทอดไข่ดาวให้อีกอย่าง” ผมจัดการเปิดฝาชีดูสำรับอาหารว่าจะมีอะไรให้คุณชายปาร์ครับประทานบ้าง
“กินได้หมดแหละ อยาก ‘กิน’ เจ้าของบ้านด้วย” ปาร์คเดินตามผมมา ก่อนจะสวมกอดและกระซิบเสียงแหบ (หื่น) ที่ด้านหลังขณะที่ผมกำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบไข่ออกมาทอดให้อีกฟอง
“ไม่ต้องมาเนียนเลย! ปล่อยเดี๋ยวพ่อกับแม่เห็น” ผมดิ้นขลุกขลักใบอ้อมกอดนั้นก่อนจะที่ปาร์คจะหัวเราะอย่างร่าเริงที่ได้แกล้งผมแล้วจึงยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระไป
“ว่าแต่จะได้กินเปล่าน๊า” ไอ้นี่ตั้งแต่ ‘คืนนั้น’ มาเริ่มแสดงออกและหื่นมากขึ้นทุกวันๆ แล้ว
“กินหมัดนี่ก่อนไหมถ้ายังไม่หยุดพูดมาก!” ผมแกล้งหันมาทำหน้าตาบึ้งตึงใส่ พร้อมทั้งยกกำปั้นตัวเอาขู่
“เร็วๆ นะ หิวแล้ว” ปาร์คหัวเราะกับท่าทางตลกของผม พลางเอามือมายีหัวผมเบาๆ
“ตักข้าวไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวเลย ทอดไข่แป๊บเดียวแหละ” ผมสั่งก่อนจะลงมือทอดไข่ดาวให้มัน
ไม่นานข้าวคำสุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในปากของคนที่นั่งยิ้มไปเคี้ยวข้าวไปตรงข้ามกับผม ส่วนผมไม่ได้กินหรอกครับ แต่โดยบังคับให้นั่งเป็นเพื่อน ไอ้คนที่นั่งกินข้าวก็ไม่ได้พูดอะไรมากหรอกครับ ซึ่งยังถือว่ามีมารยาทอยู่หน่อยที่ไม่กินข้าวไปพูดไป แต่ก็นั่งมองและส่งยิ้มให้ผมตลอดมื้ออาหารนั้น ส่วนผมเป็นยังไงน่ะเหรอ จะเป็นไงล่ะ ก็เขินสิครับ โดนจ้องแถมยังมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ๆ ที่ส่งมาให้ตลอดอีก ผมนี่อยากจะมุดใต้โต๊ะแล้วไปโผล่ที่ดาวอังคารมากเลย จ้องอยู่ได้ แล้วจะยิ้มอะไรมากมายก็ไม่รู้!
“อ่า กับข้าวฝีมือแม่ฟร๊องก์อร่อยจัง” ปาร์คพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้างก่อนจะวางช้อนส้อมลง
“ใครว่าฝีมือแม่ ซื้อมาต่างหาก ฮ่าๆ” ผมบอกออกไป แต่จริงๆ แล้วเป็นฝีมือแม่แหละครับ
“อ้าว นึกว่าจะได้กินฝีมือแม่... ยาย” ปาร์คพูดกวนๆ ขณะที่พูดคำสุดท้ายด้วยเสียงเบาให้ได้ยินแค่สองคน
“เป็นยังไงบ้าง กับข้าวฝีมือแม่พอใช้ได้ไหม” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อแม่เดินมาข้างหลัง เมื่อกี้แม่จะได้ยินไหมเนี่ย แล้วที่สำคัญปาร์คมันนั่งหันหน้าไปทางแม่พอดีด้วย ถึงไม่ได้ยินแต่ก็อาจจะอ่านปากออกก็ได้
“สรุปนี่ฝีมือแม่เหรอครับ อร่อยมากเลยครับ ผมยังชมกับฟร๊องก์อยู่หยกๆ แต่ฟร๊องก์สิกลับบอกผมว่าแม่ซื้อมา ไม่ชมแม่ตัวเองเลย” ปาร์คพูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน พร้อมทำท่าทำทางประจบประแจงยิ่งนัก
“อ้าวไอ้ลูกคนนี้ ฝีมือแม่ตัวเองไม่ชม มันน่าตีนัก!” นั่นไงครับ ไอ้คนที่นั่งตรงข้ามกับผมถึงกับหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เลย ท่าทางมันสะใจมากครับทีได้แกล้งผม แล้วเห็นผมโดนแม่ดุ
“ก็เห็นปกติแม่ซื้อมาตลอดนิ ใครจะไปรู้ว่าแม่ทำเอง” ผมพูดงอนๆ “แต่ฝีมือแม่ก็อร่อยที่สุดในโลกอยู่แล้ว” ก่อนที่จะเอาหัวไปไถๆ กับแขนแม่ เรื่องอะไรจะปล่อยให้คนอื่นเอาหน้าคนเดียวหล่ะ แม่ตัวเองก็ต้องอ้อนกันหน่อยสิ ทีไอ้คนที่ไม่ใช่ลูกยังอ้อนเอาๆ
“ฟร๊องก์ไม่ได้กินไม่ใช่หรอ แล้วรู้ได้ไงว่าอร่อย” ปาร์คยังไม่จบครับ ตัวมันเองนี่พยายามกลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์จนหน้าดำหน้าแดงหมดเลย เวลามันพูดนี่ยิ้มเยาะแบบสะใจมากที่กำลังถือไพ่เหนือกว่าผม
“เงียบไปเลย! ปกติฟร๊องก์ก็กินอยู่ตลอดเถอะ ฝีมือแม่อ่ะ ชิ!” ผมเถียงข้างๆ คูๆ ไม่ยอมๆ
“แล้วบอกว่าปกติแม่ซื้อมา เอ๊ะ! ลูกคนนี้นี่ยังไง ฮ่าๆ” แม่ผมก็เป็นไปกับเขาด้วย นี่ผมเป็นลูกแม่นะ ไม่ใช้ไอ้คนที่นั่งหัวเราะร่าอยู่ตรงหน้า!
“แม่อ่า! ไม่คุยด้วยแล้ว” ผมว่าพลางทำแก้มป่องๆ เหมือนเด็กไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีทั้งสองคนที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุย หึ! รุมแกล้งกันชัดๆ โกรธแล้วจริงๆ ด้วย
“ไปลูกปาร์ค ไม่ต้องไม่สนใจคนขี้งอนหรอก ไปๆ” เอาเข้าไป ไม่คิดจะง้อผมกันสักคน ยิ่งเห็นแม่ผมทำแบบนี้ ไอ้คนที่เริ่มก่อกวนตอนแรกก็ถึงกับหัวเราะเสียงดังอย่างออกหน้าออกตาเลย สะใจมากสินะที่ชนะน็อคผมได้เลย แถมยังมีแม่เป็นพวกอีก โอ้ย! แค้นนน!!!
“ไปอาบน้ำแล้ว ชิ!” ผมลุกออกจากโต๊ะอาหารอย่างงอนๆ ไม่สนใจกันเลย เสียใจ
**********__________**********
อาบน้ำเสร็จผมก็จัดการแต่งตัวในห้องนอน ก่อนหน้าผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเลยครับ คงไม่ต้องแบบเหตุผลว่าเพราะอะไร ออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงของปาร์คกับแม่ แถมยังมีเสียงพ่อแทรกเข้ามาด้วย ท่าทางคุยกันสนุกสนานเลย ปกติแล้วพ่อผมจะเป็นคนที่คุยเก่งอยู่แล้วครับ ส่วนแม่ก็เฮฮาตามประสา ครอบครัวผมค่อนข้างมีเสียงหัวเราะ สนุกสนานครับ เลยเป็นอีกเหตุผลที่ผมเป็นคนติดบ้าน เพราะอยู่แล้วมีความสุข ใครก็อยากอยู่ใช่ไหมล่ะครับ แต่ตอนนี้ผมกลับเป็นหมาหัวเน่าแล้ว มีขวัญใจคนใหม่นั่งคุยกันออกรสออกชาติเชียว อ๋อ ลืมบอกไปครับ ผมไม่ใช่ลูกคนเดียวเหมือนกับปาร์คนั่นล่ะ ผมมีพี่ชายอีกคนครับ แต่วันนี้ไม่อยู่บ้าน เสาร์อาทิตย์ส่วนใหญ่จะไปบ้านแฟนครับ ถ้าวันปกติทั้งพี่และแฟนก็จะมาอยู่ที่บ้านของผม เพราะทำงานที่เดียวกัน
ผมขลุกตัวอยู่ในห้องนอนนั่นล่ะครับ แถมยังกดล็อกประตูเอาไว้ด้วย ถ้าปาร์คจะกลับบ้านผมก็ไม่ออกไปส่งหรอกครับ กลับเอง! อยากแกล้งผมดีนัก ผมนั่งดูโทรทัศน์ในห้องอย่างไม่ทุกข์ร้อน พลางเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย (แบ่งตาข้างละอย่างครับ ข้างหนึ่งดูทีวี อีกข้างดูจอมือถือ ก็เทพเกิ๊น!)
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นดึงผมที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกจากภวังค์ กำลังดูวีดีโอที่คนแชร์ในเฟซบุ๊กอยู่เลยครับ ฮามาก! ขำท้องขดท้องแข็งกันเลยทีเดียว
“...” ผมลดเสียงหัวเราะตัวเองลง ทั้งที่คลิปกำลังดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุด สงสัยปาร์คจะกลับแล้วแหละมั้ง
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก...!
เสียงเคาะประตูรัวๆ ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นจังหวะการเคาะแบบสามช่าที่ปวดประสาทมาก เคาะแบบนี้อยากให้แม่เดินมาด่านัก ผมจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย!
“กลับไปเลย ไม่ออกไปส่งหรอก หมั่นไส้!” ผมตะโกนบอกออกไปเสียงดัง ก่อนที่จะนั่งหัวเราะกับตัวเอง เสมอกันคนละยก อยากแกล้งผมก่อนดีนัก
จากนั้นเสียงเคาะประตูก็เงียบไปครับ ผมแอบหวิวเหมือนกันนะ ไม่คิดจะง้อกันเลย สรุปว่าใครกันแน่ที่ชนะ ผมรู้สึกว่าปาร์คเป็นคนกำชัยไปเต็มๆ เลย กะจะแกล้งเขา แต่ตัวผมเองดันมานั่งเศร้าซะเอง
สงสัยปาร์คจะกลับไปแล้วจริงๆ ครับ เสียงหน้าห้องหายไปนานแล้ว ไม่แม้แต่จะง้อ หรือจะส่งไลน์ ข้อความ หรืออะไรก็ได้มาบอกผมเลยแม้แต่น้อย แค่แกล้งงอนแค่นี้ก็ง้อกันไม่ได้ ผมก็น้อยใจเหมือนกันนะ สรุปแล้วผมสำคัญกับมันจริงหรือเปล่า หรือแค่อยากลองใจสนุกๆ กับผมแค่นั้น
ผมนอนเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย สายตาที่มองที่หน้าจอก็หาจุดโฟกัสไม่ได้เช่นกัน ผมเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลาไปอย่างนั้นแหละ แต่ในใจผมมันกำลังกระวนกระวาย คิดมากเรื่องที่เกิดขึ้นมากก่อน ทุกอย่างที่มันกำลังจะดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายผมกลับรู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปยืนอยู่ที่เดิม เหมือนที่ผมเคยเป็นมา ทุกอย่างที่มันไม่ชัดเจน ใจและความรู้สึกของปาร์คเองก็ยังไม่ชัดเจนเหมือนกัน
แกร๊ก...
ผมถึงกับสะดุ้งจนต้องเด้งตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อตัวเองกำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ แต่จู่ๆ กลับมีเสียงไขกุญแจก็ดังขึ้น เห้ย! ผมว่าผมเก็บลูกกุญแจของห้องผมมาหมดแล้วนะ ไปเอามาจากไหน!
“งอนหรือไง” ปาร์คปรากฏตัวขึ้นหลังประตูบานนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ และกำลังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน ที่เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่เป็นลอนสวย ขับกับผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดราวกับผิวที่ผ่านการบำรุงมาอย่างดี กับท่อนล่างที่มีเพียงผ้าขนหนูที่ซึ่งมัดอย่างหมิ่นเหม่เกาะอยู่ที่ช่วงสะโพก ไรขนอ่อนๆ ไล่จากสะดือลงไปจนถึง... ส่วนนั้น พอๆ ผมเองก็จะเป็นลมกับภาพตรงหน้าแล้วเหมือนกัน
“เอากุญแจมาได้ไง!” ผมถามเสียงเข้ม ก่อนที่ปาร์คจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับกดล็อกประตูอีกครั้ง แล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมที่นั่งอยู่บนเตียง
“ระดับนี้แล้วไอ้น้อง ไม่ใช่เรื่องยาก” ปาร์คยักคิ้วกวนๆ พร้อมทั้งตัวเองที่มาหยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียงของผมแล้ว สถานการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมเกินไปแล้ว ผมเกรงว่ามันจะไม่ปลอดภัยต่อตัวผม
“ไปแต่งตัวเลย เสื้อผ้าหาๆ เอาตัวใหญ่ๆ หน่อยในตู้อ่ะ ไม่รู้มีเปล่า” ผมเอ่ยปากไล่ส่งๆ ไม่ไหวครับ ตอนนี้หัวใจผมเริ่มเต้นแรงแล้ว ขืนมันอยู่ในสภาพนี้นานกว่านี้ผมได้หัวใจวายตายซะก่อน
“แต่งทำไม ยังไงเดี๋ยวก็ต้องถอด” ปาร์คว่าพร้อมกับยื่นหน้าและโน้มตัวเข้ามาหาผม เห็นไหมล่ะครับ ว่าหลังจากคืนนั้นมามันหื่นมากขนาดไหน
“อย่ามาทะลึ่ง ไปแต่งตัวเลย!” ผมดันแผงอกแน่นนั้นให้ห่างออกจากตัวผม ก่อนที่ปาร์คจะหัวเราะเล็กน้อยแล้วยอมเดินไปหาชุดในตู้เสื้อผ้าของผม ไม่รู้ว่ามันจะใส่เสื้อผ้าของผมได้หรือเปล่า แต่เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ น่าจะมีอยู่นะ แบบฮิปฮอปๆ ตัวใหญ่ๆ อ่ะเคยมีอยู่ ส่วนกางเกงก็ใส่กางเกงบอลยางยืดไปแล้วกัน
ผมนั่งมองปาร์คที่คว้าเอาเสื้อตัวใหญ่ๆ (สำหรับผม) ที่บอกก่อนหน้ากับกางเกงบ็อกเซอร์ที่ปกติผมไม่ค่อยชอบใส่เท่าไรอีกตัวมาใส่ มันก็เป็นการสวมเสื้อผ้าปกติเนี่ยล่ะ ติดแค่ว่าปาร์คมันลืมหรือเปล่าว่ามีผมนั่งอยู่ในห้องด้วย ก็จังหวะที่มันยกขาเพื่อใส่บ็อกเซอร์น่ะสิครับ ผมเห็นทะลุเข้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว (ถึงจะเคยเห็นก่อนหน้านี้แล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่ชินอยู่ดีแหละ) เข้าใจถูกแล้วครับ ปาร์คไม่ได้ใส่กางเกงใน มึงจะชิลล์ไปไหน ไม่ได้นอนที่คอนโดฯ หรือบ้านตัวเองนะเห้ย!
“แอบมองเหรอ!” ปาร์คเหวี่ยงผ้าเช็ดตัวมาคลุมหัวผม ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ว่าฟูกข้างๆ จะยวบลงไปด้วยน้ำหนักตัวของคนที่ทิ้งตัวลงมา
“เล่นอะไรสกปรก!” ผมดึงผ้าขนหนูที่ปาร์คใช้เช็ดไข่ ? ออกจากหัว ก่อนจะหันไปแหวใส่ แต่... ต้องผงะเมื่อใบหน้าเรียวสีน้ำผึ้งเนียนใสของปาร์คอยู่ห่างจากหน้าผมเพียงไม่ถึงคืบ
“แล้วแอบมองทำไม อยากดูบอกดีๆ ก็ได้” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ปนหื่นส่งผ่านเข้าสู่โสตประสาทผม เล่นเอาผมขนลุกได้เหมือนกัน แถมรอยยิ้มนั้นยังไม่น่าไว้ใจอีกต่างหาก
“หลงตัวเอง ถอยออกไปเลย!” ผมว่าพร้อมกับผลักแผงอกปาร์คให้ถอยห่างออกไป แต่มีหรือที่ปาร์คจะยอมง่ายๆ มันขืนตัวไว้ครับ จนผมที่เป็นคนดันมันตอนแรกกลับร่นถอยหลังไปซะเอง ตัวหนักฉิบหาย!
“ว่าแต่เมื่อหัวค่ำนี่ยังไม่ได้เคลียร์เลยนะ” ปาร์คยังคงมองหน้าผมในระยะใกล้ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมจ้องลึกเข้ามายังดวงตาผมราวกับจะบีบบังคับให้ผมยอมจำนนทางสายตา
“เคลียร์อะไร ก็บอกไปแล้วว่าไปกับแคมป์ กับแซนด์” ผมว่าก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งใหม่ เป็นขยับห่างออกจากปาร์คแล้วนั่งพิงที่หัวเตียงแทน มือก็คว้ามือถือมากดเพื่อเบี่ยงความสนใจ
“แล้วไหนกลายมาเป็นไอ้ผู้ชายขี้เก็กนั่น” ปาร์คไม่ยอมให้ผมหนีได้ครับ เอื้อมมือมาคว้าโทรศัพท์ออกจากมือผม พร้อมกับเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของปาร์คที่รดรินข้างแกมของผมในระยะแค่ไม่กี่นิ้ว
“เจอกันโดยบังเอิญ ไม่เชื่อถามแซนด์มันดูก็ได้ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย” ผมเหลือบตาไปมองปาร์คที่อยู่ใกล้จนได้กายกลิ่นสบู่อ่อนๆ ก่อนจะอธิบายว่ามันไม่ได้มีหรือเป็นอย่างที่ปาร์คคิดเลย
“หึหึ ดีแล้ว ถ้างั้นต้องเปลี่ยนบทลงโทษมาเป็นให้รางวัลแทน” ยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำ ปาร์คก็คว้าตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเป็นทีเรียบร้อย แถมเจ้าตัวยังล้มตัวลงนอนกับเตียง ทำให้สภาพของผมตอนนี้กำลังดิ้นขลุกขลักอยู่บนตัวปาร์คซะแล้ว
“อื้อ อึดอัด” ผมพูดเสียงอ่อน
“ก็หยุดดิ้นสิ” ปาร์คว่าพร้อมกับริมฝีปากที่กำลังขบเม้มติ่งหูของผมอย่างแผ่วเบา
“วันนี้เหนื่อยแล้ว” เสียงของผมยังคงดังแผ่วๆ เป็นเชิงขอความเห็นใจ วันนี้เหนื่อยแล้วจริงๆ ครับ อีกอย่างมันเป็นข้ออ้างด้วย ครั้งที่แล้วผมเองก็สติไม่เต็มร้อย เพราะกำลังสะลืมสะลือ ส่วนปาร์คเองก็ดูเมาเล็กน้อย แต่วันนี้สติของเราทั้งคู่ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ผม... ไม่พร้อม
“งั้นขอแค่... จูบนะ” ปาร์คที่ยังไม่หยุดเล่นกับใบหูของผมเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
ริมฝีปากเรียวสีแดงระเรื่อนั้นจะค่อยๆ ซุกซนมากขึ้นเรื่อยๆ จากใบหูก็เริ่มลามลงไปยังลำคอของผมอยู่สักพัก และขึ้นมากดฝังจมูกและริมฝีปากหนักๆ ที่แก้มด้านซ้าย มือใหญ่ของปาร์คที่สอดเข้ามาภายในเสื้อยืดตัวบางของผมนั้นก็เริ่มอยู่ไม่นิ่งเช่นกัน อารมณ์ของผมพุ่งพล่านจนหยุดไม่อยู่เมื่อฝ่ามือนั้นลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของผมอย่างสะเปะสะปะ เสียงหายใจหอบหนัก ถี่ๆ ของเราสองคนดังสลับกัน ก่อนที่ริมฝีปากคู่นั้นจะมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของผม
ปาร์คคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยิ้มรับ ริมฝีปากนั้นก็กดประทับรสจุมพิตหวานละมุนลงบนริมฝีปากผมเป็นที่เรียบร้อย บทจูบกินเวลาเนิ่นนานหลายนาที จากจูบแผ่วเบาแสนหวานค่อยๆ ร้อนแรงมากขึ้นตามลำดับ จนผมเองเริ่มหายใจไม่ทัน และสุดท้ายปาร์คก็จำต้องถอนริมฝีปากออกด้วยท่าทางเสียดาย
“เหนื่อยก็นอนเถอะ” ปาร์คบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงฉายแววอยู่บนหน้า ก่อนจะผละตัวผมออกจากอ้อมกอด แล้วเปลี่ยนเป็นจัดท่านอนให้ผมแทน ผมที่ยังคงมึนกับเหตุการณ์ก่อนหน้า รู้สึกว่าร่างกายมันอ่อนระทวยไปตามแรงของปาร์คไปหมด
“ฟร๊องก์... รักปาร์คนะ” ผมพูดออกไปอย่างแผ่วเบา จนขนาดตัวผมเองยังแทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง
“รักฟร๊องก์เช่นกันครับ ฝันดีนะ” ปาร์คก้มลงมาจูบที่เปลือกตาผมเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะลุกไปปิดไฟ แล้วกลับขึ้นมาดึงผมเข้าไปในอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง อ้อมกอดอันอบอุ่นของคนที่ผมรักซึ่งผมพยายามไขว้คว้ามาเนินนาน และอ้อมกอดนี้ก็เป็นของผมแล้วในตอนนี้...
**********__________**********
ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนเล็กน้อย แสงแดดเริ่มส่องมาแยงตาแล้ว แสดงว่าสายแล้ว ผมกระพริบตาถี่ๆ ไล่ความง่วงก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ แต่กลับพบกับเตียงที่ว่างเปล่า ปาร์คหายไปไหน
ผมสะบัดหน้ารัวๆ ไล่ความมึนอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากเตียงเพื่อออกไปล้างหน้าและตามหาคนที่หายไปว่าอยู่ส่วนไหนของบ้าน หรือว่าจะหนีกลับไปแล้ว ถ้ากลับแล้วไม่บอกผมโกรธจริงๆ ครับ จะบอกกันสักนิดก็ไม่มี
“แค่นี้ใช้ได้ยังครับ” เสียงปาร์คแว่วดังเข้ามาในหูผมเมื่อผมเปิดประตูห้องนอนออกมา
“อีกสักแป๊บลูก เดี๋ยวมันจะแข็งเกินไป” เสียงแม่ผมเองครับ ทำอะไรกันตั้งแต่เช้าเชียว (จริงๆ นี่มันจะ 11 โมงแล้ว ไม่เช้าแล้วมั้ง)
ผมเดินตามไปยังต้นเสียง แล้วก็ต้องอมยิ้มกับภาพตรงหน้า ปาร์คกำลังเรียนรู้การทำอาหารจากแม่ผมครับ แบบนี้เขาเรียกว่าการฝากเนื้อฝากตัวหรือเปล่า ดูท่าทางปาร์คจะตั้งใจมากเลยครับ เพราะทั้งสีหน้าและท่าทางดูจริงจังและแอบเกร็งเล็กๆ คงกลัวทำพลาดล่ะมั้ง
“ทำอะไรกันอยู่อ่ะ” ผมโผล่เข้าไปข้างหลังของทั้งสองคน
“สปาเก็ตตี้ไวท์ซอส ทำอาหารหรูๆ ต้อนรับเพื่อนเราหน่อย” แม่ผมหันมาตอบยิ้มๆ ให้กับผม
“คุณแม่ก็เว่อร์ไปครับ ฝีมือผมจะกินกันลงเปล่าก็ไม่รู้” ปาร์คยิ้มพร้อมยกมือขึ้นมาเกาหัวอย่างเก้อๆ
“ออกมาอร่อยแน่นอน มีแม่อยู่ทั้งคน ว่าแต่เจ้านี่เถอะ รีบไปอาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา จะได้มากิน” แม่พูดกับปาร์ด้วยท่าทางที่มั่นใจ ก่อนจะหันมาไล่ผมให้ไปจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อย สภาพผมตอนนี้คงแย่มากเลยสินะ ฮ่าๆ
“ทำเร็วๆ นะ จะรีบมากิน หวังว่าจะไม่ท้องเสีย ฮ่าๆ” ผมหันไปหยอกล้อปาร์คที่เพิ่งเห็นว่าใส่ผ้ากันเปื้อนลายสติทช์สีฟ้า ตัวการ์ตูนตัวโปรดของผมเองแหละ (รู้สึกว่าปาร์คเองก็ชอบเหมือนกันนะ บอกว่ามันฟันเหลืองตลกดี ฮ่าๆ) ปกติผมไม่ค่อยได้ใช้มันหรอก แต่พอเห็นปาร์คใส่แล้วผมถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ มันทั้งน่ารักและดูตลกในคราวเดียวกัน
“ดูถูก! ค่อยดูแล้วกัน” ปาร์คผลักหัวผมเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยักคิ้วกวนๆ ให้แทน
แม่มองภาพการหลอกล้อของผมกับปาร์คยิ้มๆ ครับ ไม่ได้ว่าหรือแสดงท่าทีอะไร ผมไม่รู้ว่าแม่จะรู้หรือดูออกหรือเปล่าว่าผมกับปาร์คมันเกินกว่าเพื่อนปกติ ถึงแม้ว่าทางบ้านผมจะรู้ก็เถอะว่าผมเป็นแบบไหน
จากนั้นผมก็ปล่อยให้ปาร์คเป็นลูกมือทำสปาเก็ตตี้กับแม่ต่อครับ ส่วนผมก็ไปทำธุระส่วนตัวเล็กน้อย โดยไม่ได้อาบน้ำครับ ขี้เกียจ (สกปรกเนอะ) ก็แหม... เพิ่งอาบไปก่อนนอนเองนี่ครับ ไม่ได้เปรอะเปื้อนอะไรสักหน่อยจะอาบอีกทำไม เปลืองน้ำเปล่าๆ ยุคนี้เราต้องช่วยกันประหยัด ฮ่าๆ (โคตรอ้างเลย)
“เสร็จยางงง” ผมแหกปากร้องโอดโอยหลังจากที่ทาครีมบำรุงผิวอะไรเสร็จ มันก็ต้องมีบ้างแหละ เห็นผมอย่างนี้ เจ้าสำอางเหมือนกันนะ ฮ่าๆ ตอนแรกที่ตื่นก็ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอกครับ แต่ตอนนี้โคตรหิวเลย
“เดี๋ยวปาร์คใส่แป้งสาลีในกระปุกนั้นลงไปหน่อย แล้วเทนมใส่เลยนะลูก ผัดแป๊บหนึ่งก็ปิดไฟได้เลย” แม่อธิบายขั้นตอนกับปาร์ค แม่ผมเป็นคนทำอาหารเก่งครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารไทยมากกว่า แต่อาหารฝรั่งก็พอได้อยู่นะ ผมได้วิชามาจากแม่เนี่ยแหละครับ ว่าแต่ไม่มีใครได้ยินเสียงผมเหรอ ไม่สนใจกันเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว!
“หิวแล้ววว” ผมยังไม่เลิกราครับ คราวนี้เดินไปแทรกกลางระหว่างแม่กับปาร์คเลย
“หิวก็ไปจัดเส้นสปาเก็ตตี้ใส่จานเลย ซอสนี่จะเสร็จแล้ว ปาร์คทำอร่อยมากเลยนะ” ชมกันออกนอกหน้าเชียว เจ้าตัวที่ได้รับคำชมก็ถึงกับยิ้มหน้าบานเลย แต่จะว่าไปไวท์ซอสขาวๆ ข้นๆ ในกระทะที่ปาร์คกำลังคนอยู่นั้นดูน่ากินมากเลยทีเดียว มีพรสวรรค์เหมือนกันนะเนี่ย
“ว่าแต่พ่อไปไหนอ่ะแม่” ผมถามขึ้น ตั้งแต่ตื่นมาก็ไม่เห็นพ่อเลย ไม่ได้เดินออกไปดูด้วยว่ารถอยู่เปล่า แต่ถามไปก่อน ฮ่าๆ
“รายนั้นออกไปตั้งแต่สายๆ แล้ว ก็ออกไปส่องพระตามเคยแหละ ธุรกิจส่วนตัวของเขา” ฟังไม่ผิดหรือครับ พ่อผมเป็นนักส่องพระตัวยงเลย อาชีพหลักของพ่อกับแม่ผมเป็นครูครับ ส่วนอาชีพลองของพ่อก็อย่างที่บอก ส่วนแม่เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานบ้าน ทำเอกสาร ถ้าว่างหน่อยก็มีตัดชุดทำงานใส่เองบ้าง รับตัดบ้าง แต่หลังๆ มานี้งานเอกสารแม่เยอะครับ ผมไม่ค่อยเห็นแม่ตัดเสื้อผ้ามานานแล้ว แต่แม่ผมจะต้องหาอะไรทำตลอดครับ เหมือนเป็นคนไฮเปอร์ ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ วันดีคืนดีออกไปตัดแต่งต้นไม้ในบ้านเองด้วยซ้ำ แต่เพราะพ่อกับแม่ผมเป็นครูด้วยมั้งครับ ผมเลยโตมาในแบบที่ค่อนข้างมีกรอบอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับว่าทุกอย่างจะต้องเป๊ะ ต้องเป็นระเบียบซะหมด แต่เพื่อนผมชอบบอกว่าผมน่ะเรียบร้อยโดยเฉพาะต่อหน้าผู้ใหญ่หรือคนที่อาวุโสกว่า เรื่องนี้ผมโดนพ่อย้ำมาตั้งแต่เด็กๆ ครับ
“ตลอด! บ้านช่องไม่เคยอยู่เลย ว่าแต่ทำไมเส้นมันมันจังอ่ะแม่” ผมบ่นอุบอิบถึงพ่อตัวเองแบบไม่จริงจัง เพราะเป็นกิจวัตของพ่อทุกอาทิตย์อยู่แล้ว ก่อนที่จะใช้มือหยิบเส้นสปาเก็ตตี้เพื่อจัดใส่จาน
“แล้วทำไมไม่ใช้ส้อม!” แม่พุ่งมาตีมือผมทันทีเลยครับ แถมลูกทีมตัวดียังหัวเราะเสียงดังเยาะเย้ยผมอีก เลยเจอผมค้อนกลับไปวงใหญ่
“ก็เส้นคลุกน้ำมันมะกอกไว้นิ จะไม่มันได้ไง” ปาร์คว่าขณะที่ยกกระทะลงจากเตามาวางไว้ที่วางของร้อน
“ใส่ทำไมอ่ะ” ผมถามแบบงงๆ
“ก็ให้เส้นมันไม่ติดกันไง อีกอย่างเส้นมันจะได้เงาสวยด้วย” ปาร์คหันมายิ้มอย่างภาคภูมิกับความรู้ที่ตนเองมี
“บร๊ะ! เก่งจริงอะไรจริง” ผมแกล้งกัดกลับไปก่อนจะแลบลิ้นใส่อย่างหมั่นเขี้ยว ตอนนี้มอบหน้าที่จัดเส้นสปาเก็ตตี้ใส่จานให้แม่เรียบร้อยแล้วครับ ถ้าผมทำเองมีหวังเละกินไม่ได้แน่ๆ (แต่ผมว่าไม่เละหรอกแต่จะสกปรกมากกว่า)
“ได้คนเทรนด์ดี มีแม่สวยเก่งขนาดนี้ อยากจะมาสมัครเป็นลูกด้วยอีกสักคนเลย” ปาร์คพูดทีเล่นทีจริง แต่ผมหน้าร้อนผ่าวเลยครับ มันเป็นการเปิดตัวและเปิดช่องทางหรือเปล่า
“ปากหวานเชียวนะ ถ้าว่างก็มาเที่ยวบ่อยๆ สิ บอกเจ้าฟร๊องก์ไว้ก็ได้” แม่ผมก็ไม่มีปฏิเสธเลยครับ ตบปากรับคำง่ายเชียว ทำเอาคนพูดก่อนหน้ายิ้มหน้าบานเชียวครับ แถมยังยักคิ้วกวนๆ ให้ผมอีกต่างหาก
หลังจากนั้นเราสามคนก็มานั่งรวมตัวที่โต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับจานสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสที่หน้าตาน่าทานมากๆ คนละจาน กลิ่นหอมของซอสนมสดผสมกับพริกไทที่โรยมาด้านบนโชยเตะจมูกผมจนน้ำลายสอ และก็ไม่รอช้า ผมจัดการหมุนเส้นสีเหลืองอ่อนซึ่งถูกเคลือบไว้ด้วยซอสขาวข้นเข้าปากทันที ก็หิวมากนี่ครับ เห้ย! จะว่าไปมันก็อร่อยเหมือนกันนะ ไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไง ฝีมือปาร์คใช้ได้ป่ะ” ปาร์คหันมาเลิกคิ้วถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อร่อย! ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย” ผมหันไปยิ้มตอบทั้งที่ยังคงเคี้ยวเส้นสปาเก็ตตี้อยู่เต็มปาก
“นี่ปาร์คปรุงเอง ผัดซอสเองหมดเลยนะ แม่แค่บอกขั้นตอนเฉยๆ” แม่ผมเสริมทัพอีกคนครับ เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับยิ้มหน้าบานเลยทีเดียว
“เก่งนี่หว่า” ผมแซวต่อไม่หยุดปาก แต่ซอสที่ปาร์คทำถือว่าอร่อยใช้ได้เลยครับ รสชาติกลมกล่อม น้ำซอสก็ไม่ได้ข้นมากเกินไป แถมเส้นสปาเก็ตตี้ก็ยังมีกลิ่นอ่อนๆ ของน้ำมันมะกอกด้วย โดยรวมถือว่าดีมากเลย
ไม่นานเราทั้งสามก็จัดการสิ่งที่อยู่ในจานตรงหน้าจนหมดครับ แม่ผมขอตัวลุกไปทำงานต่อก่อน และก็ทิ้งจานไว้ให้ผมล้าง ซึ่งกะว่าจะโยนให้ไอ้คนที่นั่งข้างๆ ล้างให้อีกที ไม่รู้ว่าผมหิวมากหรือว่าอะไร เลยทำให้ผมกินสปาเก็ตตี้ตรงหน้านี้หมดเกลี้ยง มันไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกันนะครับ ถ้าเทียบกับปริมาณอาหารที่ผมกินปกติ แต่ผมกลับกินมันหมดโดยไม่ได้รู้สึกว่ากำลังทรมานตัวเอง หรืออาจเป็นเพราะ... มันเป็นฝีมือของปาร์คด้วย
à suivre...
ทุกคนเตรียมยำเล็บมือนางไว้ให้ปาร์คกันเต็มเลย 5555555+