บัลลังก์ปักษา
ตอนที่ 13
นับตั้งแต่วันนั้นลองทายดูสิครับว่าเรื่องของผมกับอาสามีอะไรคืบหน้าหรือเปล่า
กด 1 คืบหน้าโคตรๆ
กด 2 คืบหน้าทีละนิดแบบกระดึ๊บๆ
กด 3 ไม่คืบหน้าเลย
กด 4 มึงจะให้กูกดทำเชี่ยอะไรนักหนา
โอเค ทุกคนกด 4 กันหมดผมรู้ แต่คำตอบที่ถูกต้องจริงๆ ก็คือ 3 ครับ ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ไม่มีเลย! ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามนะ แต่สถานการณ์แม่งไม่เอื้ออำนวยต่างหาก ซึ่งมันมีสาเหตุมาจากหลายเหตุผลด้วยกัน นั่นก็คือหนึ่งเพราะอาสามีงานเข้าเรื่องที่ต้องทำการบ้านส่งอาจารย์ และสองคือผมถูกพี่อ้ายสั่งให้ไปเดินแบบเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ที่ในเมือง
บอกตามตรงนะ ผมไม่รู้ว่างานนี้เกี่ยวเหี้ยอะไรกับผม แต่พี่อ้ายบอกว่าผู้จัดจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อนี้เป็นสปอนเซอร์ให้ทางมหา’ลัยมาเนิ่นนาน และเขาต้องการคนที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้สินค้ากับมหา’ลัยได้ ซึ่งพี่อ้ายบอกว่าตอนนี้ผมเป็นเด็กหน้าใหม่ที่กำลังมาแรงสุดๆ ยอดไลค์ในเพจคิวต์บอยพุ่งพรวดทั้งๆ ที่แอดมินโพสต์แค่รูปผมหันใบหน้าด้านข้างและตัวผมมีขนาดเท่ามด ดังนั้นพี่อ้ายก็เลยขอร้องกึ่งบังคับให้ผมไปเดินแบบให้วันเสาร์นี้
ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่พี่อ้ายแอบมากระซิบใกล้ๆ ว่าพวกหออื่นก็ส่งคนหน้าดีที่สุดให้ไปเดินด้วย และแต่ละคนที่ถูกส่งมาก็ไม่ใช่ขี้ๆ หอสามซึ่งเป็นหอที่ได้เปรียบที่สุดจะประมาทไม่ได้ ต้องส่งตัวท็อปอย่างผมกับไอ้เชี่ยเตไป
ว่าแต่...พี่ถามผมหรือยังก่อนที่พี่คิดจะทำอะไรอ่ะ โธ่
เย็นวันศุกร์ผมมีนัดซ้อมเดินแบบเล็กน้อย ผมกำลังนั่งอยู่ในห้อง 503 มองดูอาสาที่ทึ้งหัวตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน มันกำลังทำการบ้านของอาจารย์สุดโหดคนหนึ่งอยู่ ซึ่งเป็นงานที่อยู่ดีๆ มันก็นึกขึ้นได้ว่าต้องทำ อาสาบอกผมว่าช่วงที่อาจารย์สั่งมันต้องเผลองีบหลับไปอย่างแน่นอน
คนที่จะช่วยเหลือมันได้มีเพียงไม่กี่คน นั่นก็คือเด็กหอสามที่เรียนอยู่บัญชีปีสองทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในนั้นมีไอ้ไมล์ด้วย และตอนนี้มันกับคนอื่นๆ ก็กำลังเดินเข้ามาในห้องของผมกับอาสาเพื่อมาช่วยเหลือ
ดูจากสายตาและการกระทำ อาสากับไมล์ไม่ได้มีอารมณ์ที่จะมาเครียดเรื่องดราม่าระหว่างมันทั้งสองคน ตรงกันข้ามพวกมันกลับเอาแต่คุยเรื่องงาน ช่วยกันคิด ช่วยกันคำนวณ จนผมที่นั่งมองอยู่รู้สึกราวกับว่าสองคนนี้ไม่เคยมีเรื่องอึดอัดใจต่อกัน
มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีนะครับหากตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับอาสา เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมชอบอาสาไปแล้วไง
เพราะงั้นผมจึงต้องมานั่งหัวร้อนอยู่ในซอกมุมเล็กๆ แบบนี้
“ตรงนี้มันผิดหรือเปล่าวะ” ไมล์ขยับตัวเข้าไปใกล้อาสา เอื้อมมือไปวางชีทเรียนข้างๆ ดูกลายๆ เหมือนกำลังโอบอาสาที่นั่งอยู่
ผมกำโทรศัพท์แน่น ตอนนี้ผมเข้าแอพฯ อะไรอยู่ก็ไม่รู้ สติสตังหายไปหมดแล้ว
“เชี่ย ผิดจริงด้วย” อาสาโวย “โอ๊้ย กูจะบ้าตาย”
“อย่าเครียด ไม่ยากโว้ย” ไมล์ตบไหล่อีกฝ่ายด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติ ไม่หวังสิ่งใด
“ถ้าไม่มีมึงกูตายแน่เลย”
เย็นไว้ทนาย มึงเย็นไว้ เขาแค่ทำงานทำการบ้าน เขาไม่ได้จีบกัน...
“เดี๋ยวกูช่วยจนกว่ามึงจะเสร็จ”
“เออ ขอบใจมากนะ”
ทำไมต้องมีงานเดินแบบห่าเหวอะไรตอนนี้ด้วยวะ ผมกลอกตาขึ้นไปบนฟ้า นึกโทษโชคชะตาที่กำหนดให้ผมต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ ไมล์เห็นว่าผมเงียบไปก็เลยหันมาคุยด้วย
“พรุ่งนี้มึงกับเตเดินบ่ายสองใช่ป่ะ”
ผมพยักหน้า
“เดี๋ยวกูกับเชี่ยอาสาจะไปดูนะ”
“แต๊งกิ้วมาก”
“สู้ๆ นะมึง ปีก่อนกูก็โดน” ไอ้ไมล์เล่าด้วยท่าทางสบายๆ “คนที่จะทำให้มึงเครียดไม่ใช่คนจากหออื่น แต่เป็นพี่อ้าย”
“ทำไมวะ” ผมชักจะหวาดระแวง
“พี่มันแม่งกลัวมึงจะทำเสียชื่อหอสามไง ฮ่าๆๆ”
“มันไม่ทำเสียชื่อหรอก” อาสาหันมาพูดบ้าง “มันหล่อสุดๆ แล้ว พี่สงครามที่ว่าโคตรเท่ยังสู้มันไม่ได้เลย”
คำพูดที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของอาสากลับทำให้ผมรู้สึกดีจนอยากรับงานเดินแบบไปอีกห้าร้อยงานโดยไม่คิดค่าตัว
“อวยสัดๆ”
“ให้กำลังใจมันหน่อย มันเครียดจนหน้าเสียไปหมดแล้ว”
กูหวงมึงต่างหากล่ะไอ้บ้า...ผมลุกจากเตียงอย่างเซ็งๆ เพราะถึงเวลาที่ต้องไปซ้อมแล้ว
“เฮ้ย รอแป๊บเดี๋ยวลงไปด้วย” อาสาลุกบ้าง “พวกมึงจะกินอะไร เดี๋ยวซื้อมาให้” ที่แท้มันก็อยากเลี้ยงของกินเพื่อนที่มาช่วยมันนี่เอง ผมรออาสาครู่หนึ่ง จากนั้นเราก็เดินลงไปข้างล่างพร้อมกัน
“เป็นอะไรไป” อาสาเอ่ยท้วงทันทีที่เราสองคนอยู่ตามลำพัง “มึงเครียดเรื่องงานเดินแบบเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วมึงเครียดเรื่องอะไรวะ”
“คือ...” ผมมองอาสาอย่างลังเล ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมาเลยดีกว่า “มึงอยู่ตามลำพังกับคนพวกนั้นได้แน่นะ”
อาสาอึ้งไปเล็กน้อย “ได้สิวะ”
“ไม่อึดอัดแล้วใช่ป่ะ”
“ตอนนี้กลัวเรื่องงานไม่เสร็จมากกว่า”
“อืม” แทนที่จะเบาใจ ผมกลับหนักใจมากกว่าเดิม ผมพาอาสาไปยังร้านซูเปอร์มาร์เก็ตใต้หอ รอมันเลี้ยงขนมจนพอใจ จากนั้นก็เดินขึ้นไปส่งมันอีกรอบ
“ทำไมยังไม่ไปอีก”
“เออน่า ไปส่งมึงก่อน”
“เป็นห่วงกูเหรอ” อาสาพูดยิ้มๆ “มึงไม่ค่อยทิ้งให้กูอยู่คนเดียวแล้ว พอจะทิ้งให้อยู่กับคนอื่นมึงก็เลยเป็นห่วงกูใช่มั้ยล่ะ”
“เออ” ผมยอมรับอย่างไม่อ้อมค้อม อาสาถึงกับพูดไม่ออก “ตอบไลน์กูบ่อยๆ ได้ป่ะ”
“อย่าห่วงเลยน่า พวกนั้นเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา”
“อย่าลืมนะว่ามีไอ้ไมล์”
“...”
“ไม่รู้ล่ะ กูหวง เอ๊ย ห่วง” เกือบหลุดแล้วมั้ยล่ะไอ้ทนาย!
“ถ้ามันจะทำให้มึงรู้สึกดีขึ้นกูจะตอบไลน์มึงบ่อยๆ ก็ได้” อาสายิ้มอีกรอบ เป็นรอยยิ้มที่หวานกว่าเดิมจนใจผมแทบละลาย นี่มันกำลังอ่อยผมอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย
งูพิษตัวนี้น่ารักขึ้นเรื่อยๆ แฮะ
“พรุ่งนี้เดี๋ยวกูจะไปดู ยังไงวันนี้มึงก็ตั้งใจซ้อมนะ”
“อยากให้กูหล่อที่สุดป่ะ” ผมถามมันต่ออย่างอ้อยอิ่ง
“ถามห่าไรของมึง”
“เออน่า ตอบมาเถอะน่า”
“มึงหล่อที่สุดอยู่แล้ว ยังจะถามกูอีกทำไม”
ผมเก่งด้านหาเรื่องฟินให้ตัวเองจริงๆ ครับ ผมยิ้มกริ่มถูกใจก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะของไอ้อาสาเบาๆ แล้วก็ขอตัวไปซ้อมเดินแบบสักที
โดยไม่รู้เลยว่าลับหลังผม อาสามันมองตามและก็บ่นพึมพำ
“อะไรของแม่ง เดี๋ยวก็หน้าบึ้งเดี๋ยวก็ยิ้ม”
LAWYER : เสร็จยัง
ARSA : ยัง
ARSA : นี่มึงพิมพ์คำเดิมเป็นครั้งที่สี่แล้วนะ
LAWYER : เหรอ ไม่รู้ตัวเลย
ARSA : เลื่อนขึ้นไปดูก็เห็น ไอ้สัด มันเป็นแผนของผมเองแหละ ผมต้องทักอาสาบ่อยๆ ไอ้ไมล์จะได้ไม่มีโอกาสในการทำคะแนน ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในตึกอเนกประสงค์ซึ่งเป็นที่สำหรับซ้อมเดินแบบในครั้งนี้ ตัวแทนแต่ละหอที่ถูกส่งมามีบางคนซึ่งผมคุ้นหน้าคุ้นตาดีอย่างพี่สงคราม ไอ้เต และก็ไอ้พี่คีน
คนที่มากับผมและไอ้เตคือพี่อ้าย เป็นจริงอย่างที่ไอ้ไมล์บอก พี่อ้ายจะเข้ามากดดันแทนที่จะอยู่เฉยๆ พี่มันเอาแต่ขยับปากขมุบขมิบบอกผมกับไอ้เตว่า ‘หล่อๆ นะมึง’ ‘หอเราหล่อสุดอยู่แล้ว’ ‘อย่าให้เห็นนะว่าพวกมึงหลังค่อม’ ‘หออื่นก็งั้นๆ แหละ’
เอาเป็นว่าเรื่องงานที่ต้องใช้หน้าตา พี่อ้ายจะขอสู้ขาดใจ พี่มันสารภาพให้ผมฟังว่าพวกหอสามมีคนจับตามองเยอะก็จริง แต่ก็เหมือนดาบสองคม มีคนชอบเยอะก็มีคนหมั่นไส้เยอะ ถึงคนอื่นจะมองว่ามีดีแต่หน้าตา พี่มันก็ขอใช้จุดนี้เป็นจุดเด่นเพื่อลบคำสบประมาท
ได้ฟังแล้วก็รู้สึกฮึดสู้ขึ้นมา ตัวแทนจากหออื่นที่ถูกส่งมาแต่ละคนก็ไม่ได้ไก่กาเลยครับ อย่างพี่คีนซึ่งน่าจะเป็นคนที่รวยที่สุดในนี้ อาศัยออร่าที่มีอยู่ดึงเสน่ห์ของตัวเองออกมาในตอนซ้อม ผมสังเกตได้ว่าพวกออร์แกไนเซอร์ที่มาดูพากันปรบมือให้ไอ้พี่คีนกันกราวๆ อย่างกับพี่มันเป็นนายแบบระดับโลก
ไอ้เตช่วยไขข้อสงสัยให้ผม บริษัทที่นำเข้ามอเตอร์ไซค์ยี่ห้อนี้มาขายในตัวจังหวัดเป็นของที่บ้านไอ้พี่คีน มิน่าล่ะ มีแต่คนเอาอกเอาใจตั้งแต่พี่มันเดินเข้ามาในห้องนี้แล้ว
ส่วนคนที่น่าจับตามองอีกคนคือพี่สงคราม พี่มันใช้รอยสักในการดึงดูดสายตาของคนอื่น รู้ว่าตัวเองแข็งแรงก็โชว์กล้ามเนื้อใหญ่จนผมอดที่จะมองอย่างทึ่งๆ ไม่ได้ อยากรู้จังว่าพี่มันจะสามารถยกตัวใครสักคนได้ด้วยมือเดียวหรือเปล่า ดูจากกล้ามเนื้อที่โผล่พ้นแขนแล้วผมคิดว่าน่าจะทำได้มั้งครับนั่น
ผมกับไอ้เตซ้อมเสร็จแล้ว มองดูตัวแทนหอห้ากับหอหกถูกสั่งให้เดินใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงรู้สึกเบื่อ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาอาสาอีกรอบ ระหว่างนั้นเตก็ชวนผมคุยพอดี
“อาสาเป็นไงบ้าง” ดูมันชิลๆ กว่าที่ผมคิดไว้
“ก็เหมือนเดิมแหละ”
“ไอ้ไมล์มันตื่นเต้นใหญ่เรื่องช่วยอาสาทำการบ้าน”
“เหรอวะ” ผมหันไปมองหน้าอีกฝ่าย “แล้วมึงไม่ทำอะไรเลยเหรอ”
“กูลองแล้ว แต่มันไม่เวิร์ก” เตถอนหายใจ “กูเลยถอยออกมา ปล่อยให้เชี่ยไมล์มันทำคะแนนไปก่อน”
ผมถอนหายใจบ้าง ไม่รู้ว่าการที่ผมคุยกับไอ้เตตอนนี้มันเหมือนกับผมใส่หน้ากากเข้าหามันมั้ย ถ้ามันรู้ว่าผมเองก็เหมือนกับมัน มันจะรู้สึกยังไง
“กูรู้แค่ว่าช่วงนี้อาสาไม่ได้ติดต่อกับเตยแล้ว สัดไมล์มันบอกกู”
“อืม”
“มันกำลังว่าง ไร้คนคุย”
“งั้นมั้ง”
“เฮ้อ ถึงจะเป็นงั้นกูก็ไม่รู้ว่าต้องทำไงอยู่ดี”
“แต่มึงก็ใจกว้างนะ ปล่อยไอ้เชี่ยไมล์นำไปก่อนซะได้”
“ไม่ปล่อยแม่งได้ไง วันๆ มีแต่เพ้อให้กูฟังอยู่ได้ ไม่ได้เกรงใจกูเลยว่ากูก็คิดเหมือนกันกับมัน” เตสบโอกาสในการบ่นพอดีเลยบ่นยาว “กูเดาได้เลยนะว่าถ้าเกิดอาสามันเลือกใครขึ้นมา กูคงจะทำใจได้ก่อนไอ้ไมล์"
ทำไมฟังแล้วรู้สึกหดหู่วะ ผมเองก็อยู่ในสถานะรอว่าอาสาจะเป็นคนเลือกหรือเปล่า บอกตามตรงว่าผมยังไม่ได้คิดถึงตอนที่มันไม่ได้เลือกผม ในหัวคิดแค่ว่ายังไงก็ต้องเดินหน้าในเมื่อหัวใจมันรู้สึกไปแล้ว
ไม่เคยคิดเรื่องรับมือจากการอกหักมาก่อนเลย
หลังจากที่พี่อ้ายนัดแนะเรื่องการแต่งหน้าทำผม พี่มันก็ปล่อยให้ผมกับเตกลับหอได้ ผมใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องตัวเอง อาจเป็นเพราะรีบด้วยมั้ง ถึงได้ถึงที่หมายได้ไวปานนี้
ผมรีบจนเผลอลืมเคาะประตูห้องอ่ะคิดดู
ในห้องตอนนี้มีแค่อาสาอยู่คนเดียว หัวใจผมชื้นขึ้นทันที ในที่สุดไมล์ก็กลับไปแล้ว
“มาแล้วเหรอ” อาสายังคงนั่งอยู่หน้าคอมฯ “เป็นไงบ้างวะ”
“กูเดินไม่ได้เลยว่ะ โดนพี่อ้ายสวดจนหูชาหมดแล้ว กูท้อฉิบหาย”
“หา! อย่างมึงเนี่ยนะเดินไม่ได้”
“ใช่”
ผมแกล้งคอตก เดินไปนั่งที่เตียงตัวเองพร้อมๆ กับถอดถุงเท้าช้าๆ ด้วย อาสาหลงเชื่อผม มันเดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับแตะไหล่เป็นเชิงปลอบ
“ใจเย็นดิวะ คืนนี้มึงซ้อมทั้งคืนก็ได้”
“กูเดินไม่ได้จริงๆ”
“ยากตรงไหน แค่เดินเอง”
ช่างเป็นคำพูดที่ดูถูกการเป็นนายแบบ (จำเป็น) ของผมมาก
“มันมีอะไรมากกว่านั้น ต้องเป็นการเดินอย่างมั่นใจ”
“คนอย่างมึงเคยไม่มั่นใจด้วยเหรอ” มันมองผมอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เฮ้ยยยย” ผมเนียนเอียงศีรษะไปซบไหล่มัน “กูไม่มั่นใจจริงๆ”
แม้อาสาจะทำงานหน้าคอมฯ มาหลายชั่วโมงแต่ตัวมันก็ยังคงหอมอยู่ มันนั่งนิ่งๆ ให้ผมซบระหว่างที่มันก็เอาแต่พูดว่าไม่เชื่อที่ผมจะเดินไม่ได้
ผมไม่ได้ฟังที่มันพูดเลย ใจนึกไปถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับไอ้เต ผมชอบอาสาโดยที่ยังไม่ได้คิดถึงตอนที่มันไม่ได้เลือกผม ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้น ผมจะรู้สึกเจ็บมากแค่ไหนนะ จะเจ็บมากกว่าไอ้เตกับไอ้ไมล์หรือเปล่า
“แสดงว่ามึงคงเดินไม่ได้จริงๆ” อาสาเห็นท่าทางที่ดูเหนื่อยอ่อนของผมจึงปักใจเชื่อไปแล้วว่าผมเครียดเรื่องเดินแบบจริงๆ “มึงทำได้ กูเชื่อในตัวมึง”
ผมอดยิ้มเล็กๆ กับตัวเองไม่ได้ ผละศีรษะออกมาจากไหล่ของอาสา จากนั้นก็ถามถึงเรื่องของอีกฝ่ายบ้าง
“การบ้านเป็นไงบ้าง”
“ใกล้เสร็จแล้ว อีกนิดนึง แต่คืนนี้ไม่น่าจะได้นอน”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“...”
“งั้นเดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อน”
“สาด นอนเหอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่หล่อ”
“กูหล่ออยู่แล้ว มึงเป็นคนพูดเองว่ากูหล่อ เพราะงั้นกูจะยึดตามนั้น”
อาสาส่ายหน้าเบาๆ ส่งให้ผม เดินหนีไปยังแล็ปท็อปของมัน จากนั้นก็ชี้มือไปที่ถุงอาหารที่มันซื้อมา “กูซื้อมาเผื่อมึง เพราะกูรู้ว่ามึงยังไม่ได้แดกอะไรมา”
“เฮ้ย รู้ได้ไง”
“เรากินข้าวด้วยกันมากี่วันแล้วล่ะวะ” อาสาพูดโดยไม่มองมาที่ผม “กูเดาไปเองว่ามึงคงไม่ชินที่จะต้องไปแดกกับคนอื่น”
ผมมองอย่างทึ่งๆ อาสาไม่รู้หรอกว่าในใจของผมตอนนี้รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจขนาดไหน
“เพราะกูแดกกับเพื่อนเมื่อกี้ไม่ค่อยจะลงเลย”
มันใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานนี่เอง ก่อนที่จะรู้ตัวผมก็เดินไปขโมยหอมแก้มไอ้อาสาซะแล้ว มันเอามือลูบแก้มพร้อมๆ กับทำหน้าโมโหใหญ่
“อีกแล้วเหรอ!”
“ช่วยไม่ได้โว้ย อยากน่ารักเองทำไมล่ะ” ผมยักไหล่พร้อมมองมันอย่างเจ้าชู้ประตูดิน อาสาทำปากขมุบขมิบ แต่ก็เลือกที่จะหันไปสนใจงานตรงหน้าต่ออย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน
ผมรู้ว่าเพื่อนกันไม่ทำกันอย่างงี้หรอก และอาสาเองก็ควรจะรู้เหมือนผม
“ชักจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” อาสาพึมพำ
“กูได้ยินนะ”
“กูบ่นของกูเองนะ”
“ก็กูได้ยินไง”
“มึงนี่แม่ง...”
“มีเสน่ห์ใช่ป่ะ”
“ฟวยไรล่ะ”
“ฮ่าๆๆ กูก็ไม่ได้ทำอย่างงี้กับทุกคนนะ อยากให้มึงรู้”
“พอ เปลี่ยนเรื่องพูด เดี๋ยวงานกูจะไม่เสร็จ”
“เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนเอง”
“มึงหลับไปก่อนได้เลย”
“ไม่ กูปล่อยไอ้ไมล์ให้อยู่กับมึงนานแล้ว กูอยากอยู่กับมึงบ้าง”
“ทนาย!”
“จ๋า”
“กวนตีนนนน”
“พูดเพราะๆ ไม่ชอบเหรอวะ”
“กูไม่คุยกับมึงแล้ว”
ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงยอมผมง่ายๆ เรื่องนี้ให้มันไปคิดทบทวนเองก็แล้วกัน มันจะได้คิดแต่เรื่องของผม ไม่คิดถึงเรื่องของคนอื่น
วันต่อมาผมต้องรีบไปแต่งตัวก่อนเวลาเดินแบบจริงสี่ชั่วโมง
ใครจะไปรู้ว่างานนี้จะต้องตัดผมด้วย ไอ้เตที่มากับผมมันยังไม่รู้เลยครับ เราสองคนนั่งให้ช่างตัดผมเขาหั่นผมให้ ทุกคนโดนกันหมดแม้กระทั่งพี่สงคราม พี่มันเอาแต่บ่นเรื่องนี้อยู่ทุกสามวินาทีกันเลยทีเดียว
‘มันจะได้ค่าตัวสักเท่าไหร่กันเชียว ให้กูตัดผมขนาดนี้’
‘ทรงเหี้ยไรเนี่ย’
‘กูจะเอาผมเก่ากูคืน’
แม้จะบ่นแต่พอตัดออกมาแล้วพี่สงครามก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาอีกสิบระดับ หลังจากที่พี่อ้ายเห็นสภาพที่หล่อขึ้นเป็นกองของพี่สงคราม พี่อ้ายก็เดินเข้ามากำชับผมกับไอ้เตเป็นสิบเป็นร้อยรอบว่าอย่าทำเสียชื่อ
‘ถ้าพวกมึงเดินดีกูจะเลี้ยงหมูกระทะ’
‘เชี่ยเตถ้ามึงอยากแดกหมูกระทะ มึงต้องหล่อที่สุด’
‘มึงอย่าไปทำหน้าอย่างนั้นบนเวทีนะทนาย’
ผมชักจะสงสัยแล้วว่าทำไมคนรอบตัวจริงจังกับงานนี้กันนัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่มีเวลาที่จะคิดใส่ใจว่าเพราะอะไร ตอนนี้ผมถูกจับแปลงโฉมทั้งตัว สวมชุดแบรนด์อะไรไม่รู้ที่มีสีสันฉูดฉาดและก็แพงหูฉี่ เป็นเสื้อคลุมตัวยาวที่ไม่คลุมพุงเหี้ยไรเลย ต้องเปิดโชว์ชาวบ้านชาวช่อง ส่วนเรื่องผมนั้นนอกจากจะโดนลากไปตัดอย่างไม่ถงไม่ถามสุขภาพสักคำแล้ว ยังมีการฉีดสเปรย์สีๆ ใส่จนหัวนี่แทบกลายเป็นสีสายรุ้ง คือถ้าจะเปลี่ยนสีผมซะขนาดนี้ จะให้ตัดมันทำไมวะ ไม่เข้าใจ
บ่นไปก็เท่านั้นแหละครับ ตอนนี้ความรู้สึกของผมเหลือแค่เดินๆๆ ให้มันจบไป ผมเล่นโทรศัพท์ พยายามถามไอ้อาสาว่ามาถึงหรือยัง มันบอกอาจจะมาถึงช้าหน่อยเพราะต้องรอไอ้ไมล์
อย่าหึงนะทนาย อย่าหึงนะมึง ถ้าหน้าบึ้งบนเวทีคนที่จะต้องมารับกรรมฟังคำบ่นจากพี่อ้ายก็คือมึง
“เมื่อไหร่จะบ่ายสอง” ผมหันไปบ่นกับไอ้เตที่วันนี้หล่อมากจนผิดหูผิดตา
“นั่นดิ” ไอ้เตก็คงอยากให้ผ่านๆ ไปเหมือนกันกับผม “อาสามายังวะ”
“ยัง มันรอไมล์อยู่”
“เหี้ยนี่แม่งช้าตลอด”
ระหว่างนั้นไอ้ป๊อบก็โทรเข้ามาหา บอกว่ามันขนเพื่อนโรงเรียนมาดูด้วยหมดทุกคน ผมอดที่จะรู้สึกปลื้มใจไม่ได้ อย่างน้อยเพื่อนเก่าก็ยังมีแก่ใจที่จะมาดูผม เมื่อก่อนเวลาผมมีงานเล็กๆ น้อยๆ สมัยที่อยู่กรุงเทพฯ ไอ้พวกห่านี่ไม่เคยจะมาหรอกครับ ส่วนใหญ่ติดเกมไม่ก็ติดสาว
เชี่ยป๊อบแม่งบอกมีเซอร์ไพรส์ แต่เป็นเซอร์ไพรส์ที่ผมอาจจะไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ อะไรของมันวะ มันจะทำป้ายไฟมาเชียร์ผมเหรอ
ผมกับไอ้เตนั่งคุยกันอยู่ข้างหลังเวทีสักพัก จู่ๆ อาสาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าพวกเราเฉยเลย เราสองคนทำหน้าเหมือนเห็นผี
“เฮ้ยยยย!”
“มึงหายตัวเข้ามาเหรอ”
ประโยคหลังเป็นของผม อาสายิ้มแห้งๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปหาต้นตอที่ทำให้มันได้มายืนอยู่ตรงนี้
ไอ้พี่คีนนี่เอง
ผมมองไอ้พี่คีนซึ่งหล่อผิดหูผิดตาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร อย่าบอกนะว่าพี่มันก็ชอบอาสาอีกคน
“เป็นไง ตื่นเต้นมั้ย” อาสาถาม ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้า
กูเพิ่งมาตื่นเต้นตอนที่มึงมานี่แหละ
“ไอ้เชี่ยไมล์ล่ะ” เตเอ่ย
“อยู่ข้างนอกว่ะ พี่คีนปล่อยกูเข้ามาคนเดียว”
“สาด ทิ้งมันได้ไง”
“เดี๋ยวกูก็ออกไปแล้ว” อาสาพูด “ข้างนอกคนเยอะมาก กูนึกว่าณเดชน์มา”
“มันเป็นเพราะกูเองแหละ” ผมพูดยิ้มๆ
“มึงก็ช่วยถ่อมตัวหน่อยก็ได้”
“วันนี้กูเป็นไงบ้าง” ผมขยับชุดให้อาสาดู มันมองอยู่หนึ่งวินาทีถ้วน ขอย้ำ ‘หนึ่งวินาที’ “น่าเกลียดเหรอ” ความมั่นใจของผมตกฮวบ จากที่มีทะลุล้านตอนนี้เหลือเพียงศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง สายตานางฟ้ามีอิทธิพลต่อผมมากครับ
“ก็โอเค” มันตอบส่งๆ “แต่ไอ้เตหล่อมากเลยวันนี้”
อะไรกันวะ สองมาตรฐานสัดๆ โอเคกับหล่อมันต่างกันมากเลยนะเว้ย ผมกะพริบตาตัดพ้อใส่อาสา ขณะที่เตหัวเราะร่วน
“กูไปดูไอ้ไมล์ก่อน ป่านนี้แม่งสาปแช่งพี่คีนแย่แล้วมั้ง” คู่หูไอ้ไมล์อย่างไอ้เตรีบขอตัวออกจากหลังเวที จึงเหลือแค่ผมกับอาสาที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“กูไม่หล่อจริงเหรอ” ผมยังติดใจกับเรื่องนี้อยู่
“อย่างกับความเห็นกูจะสำคัญ”
“ถ้าไม่สำคัญกูไม่ถามบ่อยขนาดนี้หรอกนะ” ผมรีบเก๊กให้มันดู “หล่อเปล่า”
“โอ๊ย มึงคิดว่ามึงหล่ออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“กูอยากฟังจากปากมึงไงสาด”
“เออ หล่ออออออ” อาสาหลับหูหลับตาพูด “แต่วันนี้กูชอบพี่สงครามที่สุดแล้วว่ะ ไม่คิดว่าพี่มันจะแต่งตัวขึ้นขนาดนี้”
เป็นการยอมรับในความหล่อของผมที่ผมโคตรจะไม่ฟิน
“ชอบคนมีรอยสักเหรอ”
“อะไรนะ”
“มึงชอบคนมีรอยสักใช่มั้ย”
“ไอ้สัด มึงจะบ้าเหรอ”
“กูจะไปสักมั่ง!”
“ทนาย มึงเมาสเปรย์เปลี่ยนสีผมมาใช่ป่ะ” อาสามองหน้าผมอย่างแหยงๆ “ตั้งสติ”
“สักลายอะไรดี”
“...”
“ลายมังกรแบบพี่สงครามดีมั้ย”
“ไม่ต้องสัก ไม่ชอบบบบ” อาสาดันไหล่ผมแรงๆ
สรุปคือแม่งไม่ชอบให้ผมมีรอยสัก แต่ชมผู้ชายที่มีรอยสักต่อหน้าผม ผมมองอาสาอย่างจับผิด แต่พอจับได้ถึงน้ำเสียงกระเง้ากระงอดตอนที่มันขอให้ผมไม่สัก ผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันคงชอบผมที่เป็นแบบนี้
เดี๋ยวๆ นี่มึงชอบกูแล้วเหรอว้า ผมยิ้มคนเดียวจนอาสาสังเกตได้
“ยิ้มไร”
“มึงชอบกูที่กูเป็นกูตอนนี้ใช่ป่ะ”
“ไอ้สัด ใครชอบมึง”
“มึงไง”
“กูพูดตอนไหน”
“กูคิดไปเองก็ได้”
การที่ผมยอมรับตรงๆ ทำเอาอาสาถึงกับไปต่อไม่เป็น มันลุกขึ้นยืน ตั้งท่าจะเดินหนี
“เดี๋ยวๆ ให้กำลังใจกูก่อน”
“มึงนี่ชักจะเยอะเกินไปแล้วนะ”
“มึงสำคัญไงสาด มึงสำคัญกับกู”
ผมมึนไปหมดแล้วครับว่าใช้ความเป็นเพื่อนในการเนียนจีบมัน หรือจีบมันโต้งๆ โดยเอาความเป็นเพื่อนไว้ทีหลัง ไม่รู้แหละ ปกติผมไม่ได้จีบใครก่อนแบบนี้ ขอใช้วิธีมึนๆ ของผมไปนี่แหละ
“เออ สู้ๆ มึงหล่อที่สุด”
“นี่แหละที่อยากได้ยิน”
“ฟวยจริงๆ” อาสาเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้ผมนั่งยิ้มอยู่ตามลำพัง
การเดินแบบของผมเกือบจะผ่านไปได้ด้วยดีอยู่แล้ว
อาสาคอยเชียร์และมองผมซึ่งเป็นอะไรที่ดีกับใจผมมากๆ แต่ทุกอย่างต้องมาสะดุดเมื่อผมได้พบกับเซอร์ไพรส์ของไอ้เชี่ยป๊อบ
คนที่ยืนอยู่ข้างมันตอนผมเดินแบบอยู่คือแอล แฟนเก่าที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามานานมากแล้ว ถ้ามีคนสังเกตดีๆ จะเห็นว่าก่อนเดินลงเวทีใบหน้าของผมเจื่อนลงไปนิดหน่อย เป็นผลกระทบหลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของคนที่ถือว่าเป็นบาดแผลทางความรักของผมคนหนึ่ง
แอลมาเพื่ออะไรและมาทำไมในตอนนี้
หลังจากรับเงินค่าตัว (ซึ่งเป็นเงินตั้งห้าพันบาทเลยทีเดียว แต่ได้ข่าวมาว่าพี่คีนเป็นคนสั่งให้เพิ่ม เพราะถ้าเป็นราคาเดิมซึ่งก็คือหนึ่งพันบาท มันจะดูเป็นการดูถูกเด็กมหา’ลัย B มากเกินไป) ผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของตัวเอง นั่นคือเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนสีทึมๆ มันดูไม่ค่อยเข้ากับผมสีสายรุ้งตอนนี้เท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าชุดโชว์พุงล่ะวะ
อาสาเดินมาหาผมพร้อมกับเล่นโทรศัพท์ไปด้วย ดูก็รู้ว่ามันจะกลับพร้อมผม ผมมองภาพนั้นด้วยความสบายใจ แต่ก็มีความหนักใจมารบกวนอยู่ดี
ไอ้ป๊อบไลน์มาสลับกับโทรเข้า มันบอกว่าแอลต้องการเจอผมมาก ซึ่งผมก็เข้าใจได้ทันที เพียงแต่ว่า...ตอนนี้ผมอยู่กับอาสา และผมก็เกรงใจแม่งฉิบหาย เกรงใจทั้งๆ ที่ตอนนี้มันเป็นเพื่อน ไม่ใช่เมีย
“เป็นไรหรือเปล่าวะ” อาสาเริ่มสังเกตเห็นท่าทีแปลกๆ ของผม “เพื่อนโรงเรียนมึงมาเต็มเลย มึงไปทักยัง”
อื้อหือ แม่งถามในสิ่งที่ผมกำลังอยากหลีกเลี่ยง
“ต้องรอเตกับไมล์ป่ะ” ผมตอบมันด้วยคำถาม
“ไม่รู้พวกแม่งหายไปไหน”
“งั้นกลับกันเถอะ” ผมรีบบอกอาสา
“อ้าว ไม่ไปทักเพื่อนโรงเรียนเหรอ”
ผมควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี หรือแนะนำให้อาสารู้จักกับแอลไปเลยให้จบๆ ไป ผมชักจะสงสัยในตัวเองแล้วนะว่าผมกลัวอาสาเจอแอล หรือกลัวว่าตัวผมเองจะเจอแอลแล้วรู้สึกแปลกๆ
เกิดอะไรขึ้นกับผมวะ
ในที่สุดอาสาก็เดินเข้าไปทักทายเพื่อนโรงเรียนผม หลังจากไปดื่มด้วยกันวันนั้น มันกับเพื่อนผมก็กลายเป็นสนิทกันไปเลย ซึ่งเป็นอะไรที่ถูกอกถูกใจเพื่อนซี้ผมอย่างไอ้เชี่ยป๊อบ เพราะมันปลื้มอาสาอยู่แล้ว
ผมมองดูแอลอย่างกระอักกระอ่วน ไม่กล้าสบตา แอลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม ปล่อยให้อาสาคุยกับเพื่อนไป
ไม่ได้เจอแอลมานานมากแล้ว ดูเหมือนจะดูดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
“สบายดีป่ะ” แอลทักผม
“ก็...ตามที่เห็นน่ะ” ผมตอบง่ายๆ
“คนนั้น...เพื่อนเหรอ” แอลมองไปที่อาสาซึ่งกำลังมองมาที่ผมกับแอลพอดี “หวัดดีครับ เราชื่อแอลนะ”
อาสาอ้าปากค้าง ดูตกตะลึงมากจนผมประหลาดใจ
“แอลเหรอ” มันขยับปากเพื่อถามผม
ผมพยักหน้า อาสามันอึ้งจนทำสีหน้าไม่ค่อยถูกแต่ก็ทักทายแอลอย่างมีมารยาท
ผมมองคนทั้งสองสลับกันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แอลไม่ได้น่ารักเหมือนอาสา แต่อาสาก็ไม่ได้มีเซ็กส์แอพพีลสูงแม้จะเป็นเพศชายเหมือนแอล
ไม่คิดว่าจะมีวันที่ผมได้มายืนตรงกลางระหว่างสองคนนี้
ระหว่างทางกลับบ้าน
อาสาไม่ได้พูดกับผมนานมากแล้วแม้ว่าเราสองคนจะอยู่บนรถกันตามลำพัง เมื่ออดรนทนในความเงียบไม่ไหวผมจึงต้องเอ่ยถามว่ามันเป็นอะไร
“ทำไมเงียบอ่ะ”
“...”
“มีไรป่ะวะ”
มันพ่นลมก่อนจะตอบ “กูอึ้งว่ะ”
“อึ้งไร”
“กูคิดมาตลอดว่าแอลแฟนเก่ามึงเป็นผู้หญิง”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้จะตอบกลับไปว่าไงดี
“กูอึ้งสัดๆ อ่ะ ตอนนี้ยังไม่หายอึ้งเลย”
“หายได้แล้วน่า ไม่มีอะไรหรอก”
“กูคิดมาตลอดจริงๆ นะว่าหน้าอย่างมึงแม่งต้องชอบผู้หญิงชัวร์ๆ”
“ก็ชอบนะ ไม่เคยพูดเลยว่าไม่ชอบ”
“แต่ทำไม...”
“กูรู้สึกชอบใครกูก็คบหมดแหละ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย” ผมพูด “ตอนกูคบแอล กูก็มีความสุขดีนะ ไม่ได้รู้สึกแปลกๆ อะไร”
อาสากะพริบตาปริบๆ มองผม มันทำหน้าเหมือนสับสนอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันออกไปมองข้างนอกหน้าต่าง
“เขาตามมาง้อมึงรึเปล่าวะ” เหมือนมันไม่ได้ถามผม แต่พึมพำกับตัวเองมากกว่า
“ไม่รู้ว่ะ”
“ถ้ามาง้อ มึงจะเอายังไง”
“ก็ไม่เอา”
“เฮ้ย ตอบเร็วไปป่ะ”
“สาด เค้าทิ้งกูนะ”
“ตอนนี้เค้าอาจจะดีขึ้นแล้วก็ได้”
กูชอบมึง มึงยังมีหน้ามาเชียร์คนอื่นให้กูอีกนะ ผมคิดแล้วก็ทำหน้าบึ้ง
“ไม่ก็คือไม่ไง”
ถ้าไม่ใช่มึง จะเป็นใครกูก็ไม่เอาแล้ว...
POP : อาสาทักผมมามีอะไรเหรอ
POP : *สติ๊กเกอร์เจ๊เป่าบางพลัดพร้อมข้อความ ‘ต๊ะเอ๋’*
ARSA : แหะๆ ไม่มีอะไร
ARSA : แฟนเก่าทนายดูดีเนอะ
POP : ...
ARSA : เฮ้ย อย่าถือสา ไม่มีอะไร!tbc*